• ไฟดูดบนรถบัส เรื่องเล็กอย่าปล่อยผ่าน

    สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถโดยสาร หรือรถทัวร์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเบาะนั่งนุ่มๆ กับห้องน้ำภายในรถแล้ว ยังมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้ผู้โดยสารชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้โดยสารอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

    เมื่อไม่นานมานี้้เหตุผู้โดยสารรถทัวร์ในประเทศมาเลเซีย ถูกไฟดูดเสียชีวิตระหว่างเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจรับแจ้งว่าพบคนหมดสติภายในรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ระหว่างเสียบปลั๊กภายในรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบพบว่าผู้โดยสารเป็นชายวัย 18 ปี ตำรวจตรวจสอบสภาพศพมีรอยไหม้ที่นิ้วมือซ้าย ปลายสายชาร์จโทรศัพท์มือถือละลาย และโทรศัพท์มือถืออุ่นขึ้น สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

    ตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบัส กำลังจะออกเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่งเสียงกรีดร้องและมีน้ำลายฟูมปาก คนขับรถจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลมาถึงปรากฎว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว

    เรื่องนี้ทำให้นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย สั่งระงับการเดินรถคันดังกล่าวทันที และตั้งหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบก (RTD) หน่วยงานระบบขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) และสถาบันวิจัยความปลอดภัยทางถนนมาเลเซีย เพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงสอบสวนหาสาเหตุดังกล่าว และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

    กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้ปลั๊กไฟบนรถทัวร์ และรถโดยสารทุกคันที่มีปลั๊กไฟถูกห้ามใช้ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ผู้ประกอบการรถทัวร์ในมาเลเซีย ต่างขอความร่วมมือผู้โดยสาร งดใช้ปลั๊กไฟบนรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือชั่วคราว เช่น Causeway Link Express ผู้ประกอบการเดินรถระหว่างรัฐยะโฮร์กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประกาศระงับใช้ปลั๊กไฟภายในรถชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการด้านความปลอดภัยออกมา

    อย่างไรก็ตาม สำหรับปลั๊กไฟบนเครื่องบินและรถไฟ ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

    ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีรถโดยสารทั้งที่เป็นรถประจำทาง (รถทัวร์) และรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถ 30) ผู้ประกอบการบางรายมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้บริการแก่ผู้โดยสาร หากกรมการขนส่งทางบกยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา วันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์สลดใจเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้

    #Newskit
    ไฟดูดบนรถบัส เรื่องเล็กอย่าปล่อยผ่าน สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถโดยสาร หรือรถทัวร์ที่ได้รับความนิยม นอกจากเบาะนั่งนุ่มๆ กับห้องน้ำภายในรถแล้ว ยังมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้ผู้โดยสารชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา ถือเป็นความเสี่ยงที่ผู้โดยสารอาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต เมื่อไม่นานมานี้้เหตุผู้โดยสารรถทัวร์ในประเทศมาเลเซีย ถูกไฟดูดเสียชีวิตระหว่างเสียบชาร์จโทรศัพท์มือถือ เมื่อเวลา 18.10 น. ของวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจรับแจ้งว่าพบคนหมดสติภายในรถทัวร์ ที่สถานีขนส่งปีนังเซ็นทรัล (Penang Sentral) เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ รัฐปีนัง ระหว่างเสียบปลั๊กภายในรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือ จากการตรวจสอบพบว่าผู้โดยสารเป็นชายวัย 18 ปี ตำรวจตรวจสอบสภาพศพมีรอยไหม้ที่นิ้วมือซ้าย ปลายสายชาร์จโทรศัพท์มือถือละลาย และโทรศัพท์มือถืออุ่นขึ้น สาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ตามรายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบัส กำลังจะออกเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่งเสียงกรีดร้องและมีน้ำลายฟูมปาก คนขับรถจึงโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล แต่เมื่อรถพยาบาลมาถึงปรากฎว่าผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว เรื่องนี้ทำให้นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย สั่งระงับการเดินรถคันดังกล่าวทันที และตั้งหน่วยเฉพาะกิจพิเศษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมการขนส่งทางบก (RTD) หน่วยงานระบบขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) และสถาบันวิจัยความปลอดภัยทางถนนมาเลเซีย เพื่อสืบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง จึงสอบสวนหาสาเหตุดังกล่าว และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. กระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารใช้ปลั๊กไฟบนรถทัวร์ และรถโดยสารทุกคันที่มีปลั๊กไฟถูกห้ามใช้ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น ทำให้ผู้ประกอบการรถทัวร์ในมาเลเซีย ต่างขอความร่วมมือผู้โดยสาร งดใช้ปลั๊กไฟบนรถเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือชั่วคราว เช่น Causeway Link Express ผู้ประกอบการเดินรถระหว่างรัฐยะโฮร์กับกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประกาศระงับใช้ปลั๊กไฟภายในรถชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการด้านความปลอดภัยออกมา อย่างไรก็ตาม สำหรับปลั๊กไฟบนเครื่องบินและรถไฟ ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ปัจจุบันมีรถโดยสารทั้งที่เป็นรถประจำทาง (รถทัวร์) และรถรับจ้างไม่ประจำทาง (รถ 30) ผู้ประกอบการบางรายมีปลั๊กไฟหรือช่องเสียบ USB ให้บริการแก่ผู้โดยสาร หากกรมการขนส่งทางบกยังไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยออกมา วันหนึ่งเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์สลดใจเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นได้ #Newskit
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
    ถวายพระพรชัยมงคล และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถพยาบาล พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อทรงใช้ตามพระราชอัธยาศัย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล
    เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
    รถพยาบาล พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าว เป็นรถพยาบาลที่สามารถใช้ในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิต เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย ให้ได้รับการปฐมพยาบาล และการช่วยชีวิตในขั้นแรกอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida #HMSV
    วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถพยาบาล พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อทรงใช้ตามพระราชอัธยาศัย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 รถพยาบาล พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าว เป็นรถพยาบาลที่สามารถใช้ในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิต เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย ให้ได้รับการปฐมพยาบาล และการช่วยชีวิตในขั้นแรกอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida #HMSV
    Love
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ” เป็นใคร มาจากไหน
    .
    วันนี้เรามาฟังความจริงที่มีหนึ่งเดียว จากผม สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จะขอเปิดตัว "คุณอ้อย" จตุพร อุบลเลิศ ทุกคนสงสัยว่าคุณอ้อย รวยมาจากไหน ถึงหลงกลโอนเงินลงทุนไปให้ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้มากมายมหาศาลถึง 71 ล้านบาท แล้วทนายตั้ม ก็อ้างว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
    .
    "พี่อ้อย จตุพร" ทุกวันนี้อายุ 58-59 ปีแล้ว เป็นชาวอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยกำเนิด คุณพ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ คุณแม่เป็นชาวนา ชื่อ สมพิศ อุบลเลิศ ชีวิตวัยเด็กเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อแม่แยกทางกัน ส่วนตัวคุณอ้อยเองนั้นจบแค่ ป.6 จากโรงเรียนประถมในอำเภอปากช่อง ก่อนจะออกมาทำงานเร่ขายถั่วต้มกับเพื่อนสนิทที่รักกันมาก ก็คือ "พี่น้อย" ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาฯ คุณอ้อย
    .
    หลังจากนั้นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไป พี่อ้อย ได้สามีเป็นคนเยอรมัน ไปอยู่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่อายุ 21 ปี ส่วนพี่น้อยทำงานคุมบ่อทราย คุมรถเข้า-ออก ดูเอกสารหลักฐาน ดูบัญชี เขาทำอะไรละเอียดลออ จดจำวันที่ วัน ว. เวลา น. เก็บหลักฐานเอกสารต่างๆ ไว้ครบถ้วนหมด ด้วยเหตุนี้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พี่อ้อยเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาเศรษฐินีขึ้นมา ก็เลยดึงพี่น้อยมาเป็นเลขาฯส่วนตัว มอบหมายให้จัดการเรื่องราวต่างๆ
    .
    แกร่ำรวยขึ้นมา มีข่าวจากสื่อฝรั่งเศสกรณีผู้ถูกรางวัลล็อตเตอรียูโร จำนวน 157 ล้านยูโร หรือราวๆ เกือบ 6,000 ล้านบาท เมื่อปี 2563 พอแกร่ำรวยขึ้นมาก็เกิดความสำนึกรักบ้านเกิดมาก เอาเงินซื้อวัคซีนที่มาฉีดให้คนปากช่อง กันโรคระบาด มีทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล แต่สิ่งที่พี่อ้อย หรือคุณจตุพร ทุ่มเทให้มากที่สุดนั้น คือโรงเรียนเก่าที่เคยเรียน ชื่อว่าโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ จึงเริ่มการสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้ก่อนที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ รวมจากวันนั้นถึงวันนี้ ร้อยกว่าล้านบาท จนได้รับฉายาจากครูอาจารย์ ชาวบ้านในพื้นที่ ว่าเป็น "นางฟ้าเดินดิน"
    .
    คณะอาจารย์โรงเรียนวัดขนงพระเหนือได้พูดกับคุณนพรัฐ พรวนสุข ขอใช้สิทธิ์พาดพิงและขอชี้แจงไปยังสื่อ (คือคุณหมาแก่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์) เพราะรู้ว่าออกข่าวด้อยค่าโรงเรียนอย่างขาดความเข้าใจ
    .
    นอกจากนี้ บนผนังอาคาร มีภาพถ่ายของษิทรา เบี้ยบังเกิด มาร่วมพิธีที่โรงเรียน พวกครู คณะครูเขาบอกว่ามั่นใจว่าจะไม่ได้เห็นทนายตั้มอีกแล้ว และกรุณาไม่อยากให้กลับมา เพราะสิ่งที่ทนายตั้มกระทำกับพี่อ้อยนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด ทำไมคนดีๆระดับนางฟ้าเดินดิน ต้องมาถูกฉ้อโกงจากทนายตั้ม ที่พี่อ้อยให้ใจและไว้วางใจ
    .
    พี่อ้อยเป็นคนมีจิตสำนึกที่ดี จิตใจงดงามที่เป็นบุญเป็นกุศล และผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบุญหนุนส่งให้พี่อ้อยโชคดีขนาดนี้ ก่อนที่จะโชคร้ายมาเจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด และคนที่เจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด โชคร้ายทุกคน
    .
    คุณษิทรา คุณรู้หรือเปล่า สิ่งที่คุณทำกับเขาไม่ใช่การเนรคุณกับพี่อ้อย จตุพร คนที่เคยไว้ใจคุณ มีพระคุณกับคุณ อายบ้างไหม ว่าความโลภของคุณมันได้ทำร้ายตัวคุณเอง แต่ยังทำร้ายคนจำนวนมาก
    “พี่อ้อย-จตุพร อุบลเลิศ” เป็นใคร มาจากไหน . วันนี้เรามาฟังความจริงที่มีหนึ่งเดียว จากผม สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จะขอเปิดตัว "คุณอ้อย" จตุพร อุบลเลิศ ทุกคนสงสัยว่าคุณอ้อย รวยมาจากไหน ถึงหลงกลโอนเงินลงทุนไปให้ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้มากมายมหาศาลถึง 71 ล้านบาท แล้วทนายตั้ม ก็อ้างว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด . "พี่อ้อย จตุพร" ทุกวันนี้อายุ 58-59 ปีแล้ว เป็นชาวอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยกำเนิด คุณพ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศจ่าสิบตำรวจ คุณแม่เป็นชาวนา ชื่อ สมพิศ อุบลเลิศ ชีวิตวัยเด็กเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อแม่แยกทางกัน ส่วนตัวคุณอ้อยเองนั้นจบแค่ ป.6 จากโรงเรียนประถมในอำเภอปากช่อง ก่อนจะออกมาทำงานเร่ขายถั่วต้มกับเพื่อนสนิทที่รักกันมาก ก็คือ "พี่น้อย" ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาฯ คุณอ้อย . หลังจากนั้นแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไป พี่อ้อย ได้สามีเป็นคนเยอรมัน ไปอยู่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่อายุ 21 ปี ส่วนพี่น้อยทำงานคุมบ่อทราย คุมรถเข้า-ออก ดูเอกสารหลักฐาน ดูบัญชี เขาทำอะไรละเอียดลออ จดจำวันที่ วัน ว. เวลา น. เก็บหลักฐานเอกสารต่างๆ ไว้ครบถ้วนหมด ด้วยเหตุนี้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พี่อ้อยเปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาเศรษฐินีขึ้นมา ก็เลยดึงพี่น้อยมาเป็นเลขาฯส่วนตัว มอบหมายให้จัดการเรื่องราวต่างๆ . แกร่ำรวยขึ้นมา มีข่าวจากสื่อฝรั่งเศสกรณีผู้ถูกรางวัลล็อตเตอรียูโร จำนวน 157 ล้านยูโร หรือราวๆ เกือบ 6,000 ล้านบาท เมื่อปี 2563 พอแกร่ำรวยขึ้นมาก็เกิดความสำนึกรักบ้านเกิดมาก เอาเงินซื้อวัคซีนที่มาฉีดให้คนปากช่อง กันโรคระบาด มีทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล แต่สิ่งที่พี่อ้อย หรือคุณจตุพร ทุ่มเทให้มากที่สุดนั้น คือโรงเรียนเก่าที่เคยเรียน ชื่อว่าโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ จึงเริ่มการสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้ก่อนที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ รวมจากวันนั้นถึงวันนี้ ร้อยกว่าล้านบาท จนได้รับฉายาจากครูอาจารย์ ชาวบ้านในพื้นที่ ว่าเป็น "นางฟ้าเดินดิน" . คณะอาจารย์โรงเรียนวัดขนงพระเหนือได้พูดกับคุณนพรัฐ พรวนสุข ขอใช้สิทธิ์พาดพิงและขอชี้แจงไปยังสื่อ (คือคุณหมาแก่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์) เพราะรู้ว่าออกข่าวด้อยค่าโรงเรียนอย่างขาดความเข้าใจ . นอกจากนี้ บนผนังอาคาร มีภาพถ่ายของษิทรา เบี้ยบังเกิด มาร่วมพิธีที่โรงเรียน พวกครู คณะครูเขาบอกว่ามั่นใจว่าจะไม่ได้เห็นทนายตั้มอีกแล้ว และกรุณาไม่อยากให้กลับมา เพราะสิ่งที่ทนายตั้มกระทำกับพี่อ้อยนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่สุด ทำไมคนดีๆระดับนางฟ้าเดินดิน ต้องมาถูกฉ้อโกงจากทนายตั้ม ที่พี่อ้อยให้ใจและไว้วางใจ . พี่อ้อยเป็นคนมีจิตสำนึกที่ดี จิตใจงดงามที่เป็นบุญเป็นกุศล และผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบุญหนุนส่งให้พี่อ้อยโชคดีขนาดนี้ ก่อนที่จะโชคร้ายมาเจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด และคนที่เจอคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด โชคร้ายทุกคน . คุณษิทรา คุณรู้หรือเปล่า สิ่งที่คุณทำกับเขาไม่ใช่การเนรคุณกับพี่อ้อย จตุพร คนที่เคยไว้ใจคุณ มีพระคุณกับคุณ อายบ้างไหม ว่าความโลภของคุณมันได้ทำร้ายตัวคุณเอง แต่ยังทำร้ายคนจำนวนมาก
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 828 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงแม้อิสราเอลไม่เคยประกาศเป็นโยบายอย่างเป็นทางการของตน แต่พวกนักวิเคราะห์กำลังชี้ว่า ข้อเสนอของอดีตนายพลกองทัพยิวกลุ่มหนึ่งที่ให้ปิดล้อมพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อจะได้กวาดล้างพวกนักรบฮามาส กำลังเป็นที่ยอมรับของอิสราเอลมากขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำสมาชิกบางคนในรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของรัฐยิว ยังเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้คนอิสราเอลกลับเข้าไปตั้งถิ่นฐานในฉนวนกาซาอีกคำรบหนึ่ง ทั้งนี้ กาซาเคยถูกอิสราเอลยึดครองเอาไว้ในปี 1967 และยังคงมีทหารประจำการอยู่ที่นั่น ตลอดจนนำพลเมืองชาวยิวไปตั้งถิ่นฐาน จวบจนกระทั่งถึงปี 2005 นั่นแหละจึงได้ยอมถอนตัวออกมา
    .
    ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากที่พยายามหนีออกจากตอนเหนือของกาซาในเวลานี้ บอกว่า รู้สึกสิ้นหวังและไม่สามารถหนีไปไหนได้ หลังจากติดอยู่ในบริเวณที่เป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างหนักหน่วงของอิสราเอล ก่อนได้รับคำสั่งให้อพยพ แต่แล้วก็กลับถูกต้อนและไล่จับโดยทหารยิว
    .
    ไซดา วัย 46 ปี เล่าว่า หนีจากโรงเรียนของสหประชาชาติ ในค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ที่ถูกแปลงเป็นที่หลบภัย พร้อมกับแม่และลูกอีก 4 คน แต่ทหารอิสราเอลสั่งให้เธอรอ 3 ชั่วโมงที่จุดตรวจ แถมบังคับให้ลูกชายวัย 15 ปีของเธอถอดเสื้อผ้า และเค้นถามว่า รู้จักพวกนักรบฮามาสหรือไม่
    .
    เนวิน อัล-ดาวาซาห์ นักฉุกเฉินการแพทย์ เล่าคล้ายกันว่า ติดอยู่ 16 วันในค่ายจาบาเลีย ที่เป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างรุนแรงของกองทัพอิสราเอลนับจากต้นเดือนตุลาคม กระทั่งในที่สุดโดรนของกองทัพยิวที่ติดตั้งลำโพงประกาศให้อพยพ แต่เมื่อเธอและคนอื่นๆ กำลังออกจากที่หลบภัย อยู่ๆ ก็มีการโจมตีด้วยปืนใหญ่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย
    .
    ดาวาซาห์เสริมว่า รู้สึกว่าต้องถ่ายวิดีโอผู้ได้รับบาดเจ็บเก็บไว้ เนื่องจากนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ตอนเหนือของกาซาที่เสียหายหนักอยู่แล้วจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของอิสราเองในช่วงเวลากว่า 1 ปีของสงครามที่ปะทุขึ้นจากการที่นักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.
    .
    หน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนของกาซารายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 400 คนจากการโจมตีไม่หยุดหย่อนของอิสราเอลที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 6 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกองทัพยิวอ้างว่า มุ่งโจมตีนักรบฮามาสที่ไปซ่องสุมกำลังใหม่ในบริเวณดังกล่าว
    .
    ดาวาซาห์เล่าต่อว่า เมื่อออกจากค่ายจาบาเลีย จะต้องผ่านจุดตรวจของอิสราเอลที่จะแยกผู้หญิงกับผู้ชายคนละฝั่งและค้นตัว และตลอดถนนสายหลักมีการตั้งจุดตรวจหลายแห่ง ซึ่งมักล้อมด้วยรถถังและยานยนต์หุ้มเกราะ กองทัพอิสราเอลยังติดตั้งกล้องและอาวุธอัตโนมัติไว้ตามหอสังเกตการณ์อีกด้วย
    .
    อย่างไรก็ตาม อิสมาอิล ทาวับเตห์ โฆษกรัฐบาลฮามาส ยืนยันว่า ชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ทางตอนเหนือของกาซา ไม่ได้พากันหนีออกมาอย่างที่เป็นข่าว และสำทับว่า อิสราเอลสังหารผู้ชายปาเลสไตน์จำนวนมาก รวมทั้งจับกุมด้วยวิธีการที่ทำให้คนเหล่านั้นอับอาย
    .
    หน่วยงานผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ของยูเอ็น (UNRWA) ประเมินว่า ยังมีชาวปาเลสไตน์ทางตอนเหนือของกาซา ซึ่งรวมถึงกาซาซิตี้ อยู่ราว 400,000 คน
    .
    หน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลฮามาสเรียกร้องให้นานาชาติหยุดยั้งอาชญากรรมการบังคับย้ายถิ่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการสังหารหมู่ในตอนเหนือของกาซา
    .
    การระดมโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างต่อเนื่องและถนนที่เสียหายทำให้หน่วยฉุกเฉินและรถพยาบาลไม่สามารถเข้าถึงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
    .
    ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า โรงพยาบาลตอนเหนือของกาซาที่ยังเปิดให้บริการได้เหลือเพียงแห่งเดียว แต่ไม่มีทั้งยาและอุปกรณ์การแพทย์
    .
    คามัล อัดวาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฮอสซัม อาบู ซาเฟียบอกว่า คนมากมายถูกเข่นฆ่า แต่ทางโรงพยาบาลช่วยอะไรไม่ได้ ต้องทิ้งศพเกลื่อนกลาดบนถนน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102304
    ..............
    Sondhi X
    ถึงแม้อิสราเอลไม่เคยประกาศเป็นโยบายอย่างเป็นทางการของตน แต่พวกนักวิเคราะห์กำลังชี้ว่า ข้อเสนอของอดีตนายพลกองทัพยิวกลุ่มหนึ่งที่ให้ปิดล้อมพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อจะได้กวาดล้างพวกนักรบฮามาส กำลังเป็นที่ยอมรับของอิสราเอลมากขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำสมาชิกบางคนในรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของรัฐยิว ยังเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้คนอิสราเอลกลับเข้าไปตั้งถิ่นฐานในฉนวนกาซาอีกคำรบหนึ่ง ทั้งนี้ กาซาเคยถูกอิสราเอลยึดครองเอาไว้ในปี 1967 และยังคงมีทหารประจำการอยู่ที่นั่น ตลอดจนนำพลเมืองชาวยิวไปตั้งถิ่นฐาน จวบจนกระทั่งถึงปี 2005 นั่นแหละจึงได้ยอมถอนตัวออกมา . ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากที่พยายามหนีออกจากตอนเหนือของกาซาในเวลานี้ บอกว่า รู้สึกสิ้นหวังและไม่สามารถหนีไปไหนได้ หลังจากติดอยู่ในบริเวณที่เป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างหนักหน่วงของอิสราเอล ก่อนได้รับคำสั่งให้อพยพ แต่แล้วก็กลับถูกต้อนและไล่จับโดยทหารยิว . ไซดา วัย 46 ปี เล่าว่า หนีจากโรงเรียนของสหประชาชาติ ในค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ที่ถูกแปลงเป็นที่หลบภัย พร้อมกับแม่และลูกอีก 4 คน แต่ทหารอิสราเอลสั่งให้เธอรอ 3 ชั่วโมงที่จุดตรวจ แถมบังคับให้ลูกชายวัย 15 ปีของเธอถอดเสื้อผ้า และเค้นถามว่า รู้จักพวกนักรบฮามาสหรือไม่ . เนวิน อัล-ดาวาซาห์ นักฉุกเฉินการแพทย์ เล่าคล้ายกันว่า ติดอยู่ 16 วันในค่ายจาบาเลีย ที่เป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างรุนแรงของกองทัพอิสราเอลนับจากต้นเดือนตุลาคม กระทั่งในที่สุดโดรนของกองทัพยิวที่ติดตั้งลำโพงประกาศให้อพยพ แต่เมื่อเธอและคนอื่นๆ กำลังออกจากที่หลบภัย อยู่ๆ ก็มีการโจมตีด้วยปืนใหญ่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย . ดาวาซาห์เสริมว่า รู้สึกว่าต้องถ่ายวิดีโอผู้ได้รับบาดเจ็บเก็บไว้ เนื่องจากนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ตอนเหนือของกาซาที่เสียหายหนักอยู่แล้วจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของอิสราเองในช่วงเวลากว่า 1 ปีของสงครามที่ปะทุขึ้นจากการที่นักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. . หน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนของกาซารายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 400 คนจากการโจมตีไม่หยุดหย่อนของอิสราเอลที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 6 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกองทัพยิวอ้างว่า มุ่งโจมตีนักรบฮามาสที่ไปซ่องสุมกำลังใหม่ในบริเวณดังกล่าว . ดาวาซาห์เล่าต่อว่า เมื่อออกจากค่ายจาบาเลีย จะต้องผ่านจุดตรวจของอิสราเอลที่จะแยกผู้หญิงกับผู้ชายคนละฝั่งและค้นตัว และตลอดถนนสายหลักมีการตั้งจุดตรวจหลายแห่ง ซึ่งมักล้อมด้วยรถถังและยานยนต์หุ้มเกราะ กองทัพอิสราเอลยังติดตั้งกล้องและอาวุธอัตโนมัติไว้ตามหอสังเกตการณ์อีกด้วย . อย่างไรก็ตาม อิสมาอิล ทาวับเตห์ โฆษกรัฐบาลฮามาส ยืนยันว่า ชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ทางตอนเหนือของกาซา ไม่ได้พากันหนีออกมาอย่างที่เป็นข่าว และสำทับว่า อิสราเอลสังหารผู้ชายปาเลสไตน์จำนวนมาก รวมทั้งจับกุมด้วยวิธีการที่ทำให้คนเหล่านั้นอับอาย . หน่วยงานผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ของยูเอ็น (UNRWA) ประเมินว่า ยังมีชาวปาเลสไตน์ทางตอนเหนือของกาซา ซึ่งรวมถึงกาซาซิตี้ อยู่ราว 400,000 คน . หน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลฮามาสเรียกร้องให้นานาชาติหยุดยั้งอาชญากรรมการบังคับย้ายถิ่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการสังหารหมู่ในตอนเหนือของกาซา . การระดมโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างต่อเนื่องและถนนที่เสียหายทำให้หน่วยฉุกเฉินและรถพยาบาลไม่สามารถเข้าถึงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต . ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า โรงพยาบาลตอนเหนือของกาซาที่ยังเปิดให้บริการได้เหลือเพียงแห่งเดียว แต่ไม่มีทั้งยาและอุปกรณ์การแพทย์ . คามัล อัดวาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฮอสซัม อาบู ซาเฟียบอกว่า คนมากมายถูกเข่นฆ่า แต่ทางโรงพยาบาลช่วยอะไรไม่ได้ ต้องทิ้งศพเกลื่อนกลาดบนถนน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102304 .............. Sondhi X
    Angry
    Like
    Sad
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1855 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=FAaBjV7Dtxo
    นิทานเรื่องเจ้าหนูเห็นมังกร ตอนที่ 4
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากนิทานเรื่องเจ้าหนูเห็นมังกร ตอนที่ 4
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    Part four ตอน 4

    Popy escaped from them and went under a tree and wiped his whiskers and said to himself. "Everybody doesn't believe me. I am saying a truth."
    He didn't know who called an ambulance. But an ambulance came and there were three mice wearing in white got down from it. The fattest one said to Popy.
    "We came to pick up you. Get on quickly. We can take you to the hospital."
    "Oh! no, no. Please don't. I am not ill."
    Popy insisted, but in vain. The three mice far bigger than him tackled him and forced him into the car. Popy only wept and shook his whiskers on the car.
    "Nobody believes me." shouted Popy.
    But as he could not do anything, so he only watched the scenery outside the car.
    About half an hour have passed, the ambulance arrived at a big house.


    เจ้าหนูโพปี้ได้หนีไปจากพวกเขาและไปอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและเช็ดหนวดของมันแล้วพูดกับตัว
    มันเองว่า “ทุกคนไม่เชื่อผม ผมพูดความจริงนะ”
    เขาไม่รู้ใครได้เรียกรถพยาบาลมา แต่รถพยาบาลคันหนึ่งได้มาและมีหนู 3 ตัวสวมใส่ชุดสีขาวลงมาจากรถ ตัวที่อ้วนที่สุดได้พูดกับโพปี้
    “พวกเรามารับเจ้าขึ้นรถไป ขึ้นไปเร็วเข้า พวกเราสามารถพาเจ้าไปโรงพยาบาลได้”
    “โอ้! ไม่ ไม่นะ โปรดอย่าเอาผมไป ผมไม่ได้ป่วย”
    โพปี้ได้พูดแล้วพูดอีก แต่ไร้ผล หนู 3 ตัวนั้นใหญ่กว่าเขามากได้จัดการเขาและบังคับเขาให้
    เข้าไปในรถจนได้ โพปี้ได้แต่เพียงร้องไห้และสั่นหนวดของเขาบนรถนั้น
    “ไม่มีใครเลยเชื่อผม” โพปี้ร้องตะโกนลั่น
    แต่ขณะที่เขาไม่สามรถทำอะไรได้นั้น ดังนั้นเขาจึงได้แต่เพียงมองไปที่ทิวทัศน์นอกรถ
    ประมาณครึ่งชั่วโมงที่ได้ผ่านไป รถพยาบาลได้มาถึงที่บ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    escaped คำกริยาช่องที่ 2 ของ escape (อีสเคพ') แปลว่า ได้หนีไป
    wiped คำกริยาช่องที่ 2 ของ wipe (ไวพฺ) แปลว่า เช็ด
    truth (ทรูธ) คำนาม แปลว่า ความจริง
    ambulance (แอม' บิวเลิน') คำนาม แปลว่า รถพยาบาล
    wearing (แว'ริง) คำคุณศัพท์ แปลว่า การสวมใส่
    fattest คำคุณศัพท์ขั้นสุดของ fat (แฟ็ต) แปลว่า อ้วนที่สุด
    pick up (พิค อัฟ) สำนวน กริยาตามด้วยบุพบท แปลว่า มารับ
    quickly (ควิค'ลี) คำกริยาวิเศษณ์ แปลว่า อย่างเร็ว
    hospital (ฮอส'พิเทิล) คำนาม แปลว่า โรงพยาบาล
    ill (อิล) คำคุณศัพท์ คำคุณศัพท์ แปลว่า ป่วย
    tackled คำกริยาช่องที่ 2 ของ tackle (แทค'เคิล) แปลว่า ได้จัดการ
    forced คำกริยาช่องที่ 2 ของ force (ฟอร์ส) แปลว่า ได้บังคับ
    car (คาร์) คำนา แปลว่า รถ
    wept (เวพทฺ) คำกริยาช่องที่ 2 ของ weep (วีพ) แปลว่า ร้องไห้
    shook (ชูค) คำกริยาช่องที่ 2 ของ shake. (เชด) แปลว่า สั่น
    scenery (ซี'เนอรี) คำนาม แปลว่า ทิวทัศน์
    outside (เอาทฺ'ไซดฺ) คำบุพบท แปลว่า ข้างนอก
    half an hour (ฮาล์ฟ แอน เอา'เออะ) คำคุณศัพท์ แปลว่า ครึ่งชั่วโมง
    passed คำกริยาช่องที่ 3 ของ pass (พาส) แปลว่า ได้ผ่านไป
    arrived คำกริยาช่องที่ 2 ของ arrive (อะไรว') แปลว่า ได้มาถึง
    https://www.youtube.com/watch?v=FAaBjV7Dtxo นิทานเรื่องเจ้าหนูเห็นมังกร ตอนที่ 4 (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากนิทานเรื่องเจ้าหนูเห็นมังกร ตอนที่ 4 มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ Part four ตอน 4 Popy escaped from them and went under a tree and wiped his whiskers and said to himself. "Everybody doesn't believe me. I am saying a truth." He didn't know who called an ambulance. But an ambulance came and there were three mice wearing in white got down from it. The fattest one said to Popy. "We came to pick up you. Get on quickly. We can take you to the hospital." "Oh! no, no. Please don't. I am not ill." Popy insisted, but in vain. The three mice far bigger than him tackled him and forced him into the car. Popy only wept and shook his whiskers on the car. "Nobody believes me." shouted Popy. But as he could not do anything, so he only watched the scenery outside the car. About half an hour have passed, the ambulance arrived at a big house. เจ้าหนูโพปี้ได้หนีไปจากพวกเขาและไปอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและเช็ดหนวดของมันแล้วพูดกับตัว มันเองว่า “ทุกคนไม่เชื่อผม ผมพูดความจริงนะ” เขาไม่รู้ใครได้เรียกรถพยาบาลมา แต่รถพยาบาลคันหนึ่งได้มาและมีหนู 3 ตัวสวมใส่ชุดสีขาวลงมาจากรถ ตัวที่อ้วนที่สุดได้พูดกับโพปี้ “พวกเรามารับเจ้าขึ้นรถไป ขึ้นไปเร็วเข้า พวกเราสามารถพาเจ้าไปโรงพยาบาลได้” “โอ้! ไม่ ไม่นะ โปรดอย่าเอาผมไป ผมไม่ได้ป่วย” โพปี้ได้พูดแล้วพูดอีก แต่ไร้ผล หนู 3 ตัวนั้นใหญ่กว่าเขามากได้จัดการเขาและบังคับเขาให้ เข้าไปในรถจนได้ โพปี้ได้แต่เพียงร้องไห้และสั่นหนวดของเขาบนรถนั้น “ไม่มีใครเลยเชื่อผม” โพปี้ร้องตะโกนลั่น แต่ขณะที่เขาไม่สามรถทำอะไรได้นั้น ดังนั้นเขาจึงได้แต่เพียงมองไปที่ทิวทัศน์นอกรถ ประมาณครึ่งชั่วโมงที่ได้ผ่านไป รถพยาบาลได้มาถึงที่บ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) escaped คำกริยาช่องที่ 2 ของ escape (อีสเคพ') แปลว่า ได้หนีไป wiped คำกริยาช่องที่ 2 ของ wipe (ไวพฺ) แปลว่า เช็ด truth (ทรูธ) คำนาม แปลว่า ความจริง ambulance (แอม' บิวเลิน') คำนาม แปลว่า รถพยาบาล wearing (แว'ริง) คำคุณศัพท์ แปลว่า การสวมใส่ fattest คำคุณศัพท์ขั้นสุดของ fat (แฟ็ต) แปลว่า อ้วนที่สุด pick up (พิค อัฟ) สำนวน กริยาตามด้วยบุพบท แปลว่า มารับ quickly (ควิค'ลี) คำกริยาวิเศษณ์ แปลว่า อย่างเร็ว hospital (ฮอส'พิเทิล) คำนาม แปลว่า โรงพยาบาล ill (อิล) คำคุณศัพท์ คำคุณศัพท์ แปลว่า ป่วย tackled คำกริยาช่องที่ 2 ของ tackle (แทค'เคิล) แปลว่า ได้จัดการ forced คำกริยาช่องที่ 2 ของ force (ฟอร์ส) แปลว่า ได้บังคับ car (คาร์) คำนา แปลว่า รถ wept (เวพทฺ) คำกริยาช่องที่ 2 ของ weep (วีพ) แปลว่า ร้องไห้ shook (ชูค) คำกริยาช่องที่ 2 ของ shake. (เชด) แปลว่า สั่น scenery (ซี'เนอรี) คำนาม แปลว่า ทิวทัศน์ outside (เอาทฺ'ไซดฺ) คำบุพบท แปลว่า ข้างนอก half an hour (ฮาล์ฟ แอน เอา'เออะ) คำคุณศัพท์ แปลว่า ครึ่งชั่วโมง passed คำกริยาช่องที่ 3 ของ pass (พาส) แปลว่า ได้ผ่านไป arrived คำกริยาช่องที่ 2 ของ arrive (อะไรว') แปลว่า ได้มาถึง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำเพื่อ??? : [News Story]
    วิจารณ์แซด!!...เก๋งซิ่งแซงปาดหน้าขวางรถพยาบาลซ้ำ 2 ครั้ง ขณะส่งต่อผู้ป่วย
    #News1 #NewsStory #รถพยาบาล #ปาดหน้ารถพยาบาล #รถเก๋ง #ปาดหน้า
    ทำเพื่อ??? : [News Story] วิจารณ์แซด!!...เก๋งซิ่งแซงปาดหน้าขวางรถพยาบาลซ้ำ 2 ครั้ง ขณะส่งต่อผู้ป่วย #News1 #NewsStory #รถพยาบาล #ปาดหน้ารถพยาบาล #รถเก๋ง #ปาดหน้า
    Angry
    Like
    11
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1048 มุมมอง 349 0 รีวิว
  • วิจารณ์แซด!!...เก๋งซิ่งแซงปาดหน้าขวางรถพยาบาลซ้ำ 2 ครั้ง ขณะส่งต่อผู้ป่วย
    #News1 #NewsStory #รถพยาบาล #ปาดหน้ารถพยาบาล #รถเก๋ง #ปาดหน้า
    วิจารณ์แซด!!...เก๋งซิ่งแซงปาดหน้าขวางรถพยาบาลซ้ำ 2 ครั้ง ขณะส่งต่อผู้ป่วย #News1 #NewsStory #รถพยาบาล #ปาดหน้ารถพยาบาล #รถเก๋ง #ปาดหน้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 137 0 รีวิว
  • กลุ่มฮิซบอลเลาะห์เพิ่งโจมตีฐานทัพทหารอิสราเอลด้วยโดรน, ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บ ๒๐ นาย

    รถพยาบาลหลายสิบคันกำลังขนย้ายผู้บาดเจ็บ
    .
    ⚡️BREAKING

    Hezbollah has just struck an Israeli military base with a drone, injuring up to 20 soldiers.

    Dozens of ambulances are transporting the casualties
    .
    12:15 AM · Oct 14, 2024 · 261K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1845513725245067668
    กลุ่มฮิซบอลเลาะห์เพิ่งโจมตีฐานทัพทหารอิสราเอลด้วยโดรน, ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บ ๒๐ นาย รถพยาบาลหลายสิบคันกำลังขนย้ายผู้บาดเจ็บ . ⚡️BREAKING Hezbollah has just struck an Israeli military base with a drone, injuring up to 20 soldiers. Dozens of ambulances are transporting the casualties . 12:15 AM · Oct 14, 2024 · 261K Views https://x.com/IranObserver0/status/1845513725245067668
    Like
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอแนะนำ *กระทรวงสร้างภาพในต่างประเทศของอเมริกา*

    นายกจอมอสูรของอิสราเอลกำลังส่งกองทัพไปบุกรุกและยึดแผ่นดินปาเลสไตน์ ทิ้งระเบิดใส่บ้านเรือนประชาชน สังหารประชาชนอย่างป่าเถื่อน พอมีหลายชาติส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไปให้ ก็ขออนุญาต รัฐบาลอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มรถช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทั้งหมดที่ปาเลสไตน์ด้วย ถล่มรถพยาบาลที่ไปช่วยเหลือคนบาดเจ็บด้วย

    รัฐบาลอเมริกาอนุมัติให้อิสราเอลถล่มได้โดยนายแอนโทนี่ บลิงเคนคนนี้ เป็นผู้ประสานงานให้อิสราเอลดำเนินการได้

    นับแต่เริ่มสงครามมา อเมริกาอยู่เบื้องหลังการรุกรานของปาเลสไตน์โดยตลอด ไม่เพียงแต่วางแผนทางทหารให้อิสราเอลรบเท่านั้น อเมริกายังส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างให้ด้วย โดยนักการทูตคนนี้เองที่คอยช่วยอิสราเอลตลอดเวลา

    ล่าสุดนี้ ก็ไปหลอกประธานาธิบดีอิหร่านว่าอิสราเอลจะหยุดยิงอย่างถาวร ถ้าอิหร่านไม่โจมตีอิสราเอลตามที่ขู่เอาไว้ ประธานาธิบดีไก่อ่อนของอิหร่านหลงเชื่อปากทูตของอเมริกาคนนี้เสียสนิท จึงปล่อยให้เลบานอนถูกรุกราน จนกระทั่งเลขาธิการเฮซบอเลาะห์ถูกสังหาร

    โดยปรกติ ตำแหน่งรมว.กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา กลุ่มยิวไซออนิสต์จะจองเอาไว้ให้คนที่เป็นไซออนิสต์เท่านั้น รมว.ทูตอเมริกาคนนี้ จึงไม่มีความหวังดีกับประเทศใดๆ เลย มีแต่เดินหน้าใช้ตำแหน่งของตนทำงานให้ยิวไซออนิสต์ล้วนๆ

    รัฐบาลรัสเซียไม่อยากคุยกับหมอนี่ด้วยแล้ว เพราะหมอนี่ไม่เคยรักษาวาจาสัตย์ จีนก็ไม่อยากพบแต่ต้อนรับตามมารยาทเท่านั้น

    หน้าที่หลักของรมว.กระทรวงนี้แต่ไหนแต่ไรมาคือพูดสร้างภาพให้ตนเองดูดีและโจมตีประเทศอื่นๆ ที่ไม่ยอมศิโรราบให้กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ ซึ่งเป็นเจ้านายของตนให้เสียหาย ผมจึงเรียกรมว.กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาให้สุภาพที่สุดแล้วว่า *กระทรวงสร้างภาพในต่างประเทศของอเมริกา*


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ขอแนะนำ *กระทรวงสร้างภาพในต่างประเทศของอเมริกา* นายกจอมอสูรของอิสราเอลกำลังส่งกองทัพไปบุกรุกและยึดแผ่นดินปาเลสไตน์ ทิ้งระเบิดใส่บ้านเรือนประชาชน สังหารประชาชนอย่างป่าเถื่อน พอมีหลายชาติส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไปให้ ก็ขออนุญาต รัฐบาลอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มรถช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทั้งหมดที่ปาเลสไตน์ด้วย ถล่มรถพยาบาลที่ไปช่วยเหลือคนบาดเจ็บด้วย รัฐบาลอเมริกาอนุมัติให้อิสราเอลถล่มได้โดยนายแอนโทนี่ บลิงเคนคนนี้ เป็นผู้ประสานงานให้อิสราเอลดำเนินการได้ นับแต่เริ่มสงครามมา อเมริกาอยู่เบื้องหลังการรุกรานของปาเลสไตน์โดยตลอด ไม่เพียงแต่วางแผนทางทหารให้อิสราเอลรบเท่านั้น อเมริกายังส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างให้ด้วย โดยนักการทูตคนนี้เองที่คอยช่วยอิสราเอลตลอดเวลา ล่าสุดนี้ ก็ไปหลอกประธานาธิบดีอิหร่านว่าอิสราเอลจะหยุดยิงอย่างถาวร ถ้าอิหร่านไม่โจมตีอิสราเอลตามที่ขู่เอาไว้ ประธานาธิบดีไก่อ่อนของอิหร่านหลงเชื่อปากทูตของอเมริกาคนนี้เสียสนิท จึงปล่อยให้เลบานอนถูกรุกราน จนกระทั่งเลขาธิการเฮซบอเลาะห์ถูกสังหาร โดยปรกติ ตำแหน่งรมว.กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา กลุ่มยิวไซออนิสต์จะจองเอาไว้ให้คนที่เป็นไซออนิสต์เท่านั้น รมว.ทูตอเมริกาคนนี้ จึงไม่มีความหวังดีกับประเทศใดๆ เลย มีแต่เดินหน้าใช้ตำแหน่งของตนทำงานให้ยิวไซออนิสต์ล้วนๆ รัฐบาลรัสเซียไม่อยากคุยกับหมอนี่ด้วยแล้ว เพราะหมอนี่ไม่เคยรักษาวาจาสัตย์ จีนก็ไม่อยากพบแต่ต้อนรับตามมารยาทเท่านั้น หน้าที่หลักของรมว.กระทรวงนี้แต่ไหนแต่ไรมาคือพูดสร้างภาพให้ตนเองดูดีและโจมตีประเทศอื่นๆ ที่ไม่ยอมศิโรราบให้กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์ ซึ่งเป็นเจ้านายของตนให้เสียหาย ผมจึงเรียกรมว.กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาให้สุภาพที่สุดแล้วว่า *กระทรวงสร้างภาพในต่างประเทศของอเมริกา* ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 510 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุปกรณ์สื่อสารระเบิดมากขึ้นทั่วเลบานอน: เท่าที่ทราบตอนนี้คืออะไร?

    หลังจากเกิดการระเบิดด้วยเพจเจอร์จำนวนมากในเมืองต่างๆของเลบานอนเมื่อวันอังคาร, การระเบิดอุปกรณ์สื่อสารระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นทั่วประเทศ นี่คือข้อมูลอัปเดตล่าสุด:

    ▪️จนถึงขณะนี้มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการระเบิดในหุบเขาเบก้าอย่างน้อย ๓ ราย, สำนักข่าว NNA ของเลบานอนรายงาน;

    ▪️จนถึงขณะนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า ๑๐๐ ราย, อัล ฮาดาธ รายงาน;

    ▪️หนึ่งในการระเบิดเกิดขึ้นที่พิธีศพของสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เสียชีวิตใกล้กรุงเบรุต;

    ▪️อุปกรณ์ที่ระเบิด, ตามรายงานต่างๆ, รวมถึง: เพจเจอร์, วิทยุสื่อสาร, โทรศัพท์ และเครื่องสแกนลายนิ้วมือ สปุตนิกไม่สามารถยืนยันข้อมูลในรายการอุปกรณ์ระเบิดทั้งหมดได้

    ▪️วิทยุสื่อสารที่จุดชนวนระเบิดถูกซื้อโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เมื่อประมาณ ๕ เดือนที่แล้ว, ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเพจเจอร์, สื่อเลบานอนอ้าง;

    ▪️อุปกรณ์สื่อสาร BAOFENG อยู่ในกลุ่มที่ระเบิดด้วย, การระเบิดดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตในหลายพื้นที่ของเลบานอน;

    ▪️รถพยาบาลของสภากาชาดเลบานอนมากกว่า ๓๐ คัน กำลังให้ความช่วยเหลือและอพยพผู้ประสบภัยจากการระเบิดดังกล่าว
    .
    More communication devices explode across Lebanon: What is known so far?

    Following Tuesday’s mass pager explosions in Lebanese cities, a new wave of detonations of communication devices has occurred across the country. Here are latest updates:

    ▪️At least three people so far are reported dead as a result of explosions in the Beqaa Valley, Lebanon's NNA news agency reports;

    ▪️More than 100 are injured so far, Al Hadath reports;

    ▪️One of the explosions occurred at a funeral ceremony for killed Hezbollah members near Beirut;

    ▪️The detonated devices, according to various reports, include: pagers, walkie-talkies, phones and fingerprint scanner. Sputnik cannot verify the information on the full list of exploding devices.

    ▪️The detonated walkie-talkies were purchased by Hezbollah about five months ago, around the same time as the pagers, Lebanese media claimed;

    ▪️BAOFENG communication devices were among those exploding, their detonation caused casualties in several Lebanese regions;

    ▪️More than 30 Lebanese Red Cross ambulances are involved in assisting and evacuating victims of the explosions.
    .
    10:52 PM · Sep 18, 2024 · 2,453 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1836433070762680785
    อุปกรณ์สื่อสารระเบิดมากขึ้นทั่วเลบานอน: เท่าที่ทราบตอนนี้คืออะไร? หลังจากเกิดการระเบิดด้วยเพจเจอร์จำนวนมากในเมืองต่างๆของเลบานอนเมื่อวันอังคาร, การระเบิดอุปกรณ์สื่อสารระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นทั่วประเทศ นี่คือข้อมูลอัปเดตล่าสุด: ▪️จนถึงขณะนี้มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากการระเบิดในหุบเขาเบก้าอย่างน้อย ๓ ราย, สำนักข่าว NNA ของเลบานอนรายงาน; ▪️จนถึงขณะนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า ๑๐๐ ราย, อัล ฮาดาธ รายงาน; ▪️หนึ่งในการระเบิดเกิดขึ้นที่พิธีศพของสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เสียชีวิตใกล้กรุงเบรุต; ▪️อุปกรณ์ที่ระเบิด, ตามรายงานต่างๆ, รวมถึง: เพจเจอร์, วิทยุสื่อสาร, โทรศัพท์ และเครื่องสแกนลายนิ้วมือ สปุตนิกไม่สามารถยืนยันข้อมูลในรายการอุปกรณ์ระเบิดทั้งหมดได้ ▪️วิทยุสื่อสารที่จุดชนวนระเบิดถูกซื้อโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เมื่อประมาณ ๕ เดือนที่แล้ว, ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเพจเจอร์, สื่อเลบานอนอ้าง; ▪️อุปกรณ์สื่อสาร BAOFENG อยู่ในกลุ่มที่ระเบิดด้วย, การระเบิดดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตในหลายพื้นที่ของเลบานอน; ▪️รถพยาบาลของสภากาชาดเลบานอนมากกว่า ๓๐ คัน กำลังให้ความช่วยเหลือและอพยพผู้ประสบภัยจากการระเบิดดังกล่าว . More communication devices explode across Lebanon: What is known so far? Following Tuesday’s mass pager explosions in Lebanese cities, a new wave of detonations of communication devices has occurred across the country. Here are latest updates: ▪️At least three people so far are reported dead as a result of explosions in the Beqaa Valley, Lebanon's NNA news agency reports; ▪️More than 100 are injured so far, Al Hadath reports; ▪️One of the explosions occurred at a funeral ceremony for killed Hezbollah members near Beirut; ▪️The detonated devices, according to various reports, include: pagers, walkie-talkies, phones and fingerprint scanner. Sputnik cannot verify the information on the full list of exploding devices. ▪️The detonated walkie-talkies were purchased by Hezbollah about five months ago, around the same time as the pagers, Lebanese media claimed; ▪️BAOFENG communication devices were among those exploding, their detonation caused casualties in several Lebanese regions; ▪️More than 30 Lebanese Red Cross ambulances are involved in assisting and evacuating victims of the explosions. . 10:52 PM · Sep 18, 2024 · 2,453 Views https://x.com/SputnikInt/status/1836433070762680785
    Wow
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!!

    ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!!

    ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า

    “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา
    เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง
    ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……”

    ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่
    เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา
    ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
    เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?)
    แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น
    จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก
    ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์

    ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก
    ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ

    เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน
    ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที
    ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน
    มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ……
    กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที
    แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว
    มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล

    แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม
    ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่?
    เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี…
    เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด

    มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด
    แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว
    แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด

    แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ
    ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring***
    อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์
    โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก

    ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ

    หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น
    สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก
    การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป
    ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค
    คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง
    อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!!

    งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน……
    ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม
    แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด
    เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร

    เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev
    ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด
    พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง
    แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง…

    การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย
    ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว
    สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว……
    อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า
    “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

    แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย……

    ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้
    เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน
    เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน
    พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง…

    ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย
    แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี
    ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน
    กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
    และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ…
    ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!!
    ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!!

    เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง
    ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล
    ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!!

    ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า
    บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน
    บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน
    บางคนเสนอตัวเอง…
    เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ

    มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ
    1 Boris Berezovsky
    2 Mikhaïl Fridman
    3 Vladimir Gusinsky
    4 Mikhaïl Khodorkovsky
    5 Vladimir Potanin

    (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์)

    สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา
    อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!!
    เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์……
    สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท
    ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง
    เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น
    และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา
    คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง
    เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน
    หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก”
    นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า
    “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!”

    เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง

    การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง
    แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น

    ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร
    แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่
    และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin
    ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน

    งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin
    ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ
    บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง
    ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา……
    ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่

    แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ติ่งขาาาา……มาช่วยกันเป็นกำลังใจให้พี่ปูหน่อยยยย……กำลังเคว้งคว้างหาที่ลงสวยๆไม่ได้………!!! ตอนหก…..……ดวงรุ่งไม่นาน…ต้องหางานใหม่ซะแล้วววว…!!! ปูตินทำงานอยู่แค่ในเบื้องหลังของอนาโตลี ในขณะที่เจ้านายใช้เวลาส่วนใหญ่เดินทางระหว่างเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก กับมอสโคว์ เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเยลซิน การทำงานของปูติน จากปากคำของเลขาฯ Marina Yentaltseva ที่บอกว่า “เขาเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่ไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร……งานที่สั่งมา เขาไม่สนใจว่าใครจะเอาไปทำ หรือมีปัญหาอะไร ……แต่ต้องเสร็จตามเวลา……ไม่มีใครรู้เลยว่า เขากำลังคิดอะไร เก็บอารมณ์ดีเป็นที่สุด ครั้งหนึ่งสุนัขสุดที่รักที่บ้าน ถูกรถชนตาย ฉันเอาข่าวไปบอก….เขาพยักหน้านิดนึง ไม่มีอากัปกิริยาอะไรมากกว่านั้นเลย……” ปูตินทำงานทั้งงานราษฎร์งานหลวง งานราษฎร์คือการที่ต้องขับเคี่ยวกับเหล่าแก๊งค์มาเฟียระดับตลาดล่าง ที่มีมากมายในเมือง โดยเฉพาะยิ่งจะมีบริษัทใหญ่ Golden Gate ที่จะมาทำการสร้างบริษัทส่งออกน้ำมัน โดย Gennady Timchenko เป็นนายทุนใหญ่ เรื่องอันธพาลกลางเมืองคือเรื่องที่เป็นอุปสรรค ต่อการที่จะพัฒนา ดังนั้น ปูตินจึงต้องรีบจัดการส่งลูกสาวทั้งสองคน มาชาและแคทยา ไปที่เยอรมันสักพักหนึ่งเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่จะจัดการกับพวกอุปสรรคทั้งหลาย (ไม่ทราบว่าวิธีไหน……?) แต่ เยนนาดี ได้ดำเนินการธุรกิจอย่างปลอดโปร่งจนเป็นอภิมหาเศรษฐีและเป็นสหายของปูตินจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น งานแจกจ่ายใบอนุญาตการค้าต่างๆ ก็ต้องเร่งมือ เพราะต้องเร่งหาเงินเข้ามาบำรุงท้องถิ่น จะหวังพึ่งทางมอสโคว์ก็ริบหรี่ เพราะช่วงเดือน ตุลาคม เกิดการประท้วงใหญ่ ที่มีการจับกุม ทุบตีผู้ประท้วง จนเยลซินก็ประกาศกฎอัยการศึก ถึงขนาดต้องใช้รถถังมาควบคุมสถานการณ์ ความยุ่งยากยืดเยื้อมาจนถึงปี 1993 การทำงานของอนาโตลี ที่มีปูตินเป็นเบื้องหลังให้นั้น เริ่มมีปัญหาจากฝ่ายตรงข้าม เพราะเค้าของการเลือกตั้งใหม่เริ่มมีการเตรียมตัวส่งแคนดิเดทมาร่วมเปิดตัวลงสมัคร และการดิสเครดิต สาดโคลนตามมาเป็นระลอก ที่ทำให้ปูตินต้องทำงานทั้งวัน…ต่อไปจนถึงมืดค่ำ เช้าวันที่ 23 ตุลาคม ปูตินขับรถไปส่งมาชาที่โรงเรียน ลุดมิลาจะต้องพาแคทยาไปซ้อมละครเวที ระหว่างที่กำลังขับรถกำลังจะขึ้นสะพาน มีรถคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนอย่างจัง กลางลำ…… กว่าเธอและลูกสาวจะไปถึงโรงพยาบาลเพราะรอรถพยาบาล ต้องใช้เวลาถึง 45 นาที แคทยา ฟกช้ำดำเขียวไปพอประมาณ แต่ลุดมิลากระดูกสันหลังเคลื่อนและมีบาดแผลตามตัว มารินา เลขาฯพยายามติดต่อปูติน เธอได้รับเอาแคทยามาดูแล แต่เขายังอยู่ในการประชุมกับ Ted Turner และ Jane Fonda (ตอนนั้นเป็นสามีภรรยากัน) ในเรื่องการจัดแข่งกีฬา Goodwill Games ครั้งที่สาม ทันทีที่รู้เรื่อง……ปูตินรีบไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปถามแพทย์ว่า หนักหนาหรือไม่? เมื่อทราบจากแพทย์ว่า กำลังดูแลเป็นอย่างดี… เขาก็กลับไปประชุมต่อ……ไม่ได้แวะไปดูลุดมิลาแต่อย่างใด มารินาได้เข้ามาดูแลลุดมิลาที่โรงพยาบาลและเด็กๆในช่วงที่รอมารดาของลุดมิลาจะเดินทางมาจากคาลินินกราด แม้ว่าหลังจากหนึ่งเดือนในโรงพยาบาลเมื่อออกมา……เธอก็ยังต้องใส่เฝือกอ่อนรัดตัว แต่ปูติน……มีความห่วงใย(แบบไม่แสดงออก) ในเรื่องการรักษาเขาไปปรึกษากับ เซอร์เก เพื่อนรักโดยเขาต้องการให้ลุดมิลาไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาลที่เดรสเดน เยอรมัน ที่เป็นที่ที่ดีที่สุด แต่ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ปัญหาเหล่านั้น……ได้สลายลงด้วยการช่วยเหลือของ Matthias Waring*** อดีตหัวหน้า Stasi ที่ผันตัวมาเป็นนายธนาคาร Dresdner ในกรุงเซนต์ โดยได้รับใบอนุญาตจากอนาโตลี (ผ่านปูติน) จนได้มาเปิดธนาคารในเมืองเป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรก ที่เยอรมันนี ลุดมิลาได้รับการรักษาอย่างดี ในโรงพยาบาลที่ Bad Homburg จนหายเป็นปรกติ หลังจากที่มอสโคว์เสร็จสิ้นจากการปราบม็อบไปในปี 1993 นั้น สัมพันธภาพระหว่าง อนาโตลีกับเยลซิน เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจาก การเลือกตั้งนกยกเทศมนตรีในเมืองต่างๆจะมีขึ้นในในเดือนมีนาคม 1994 ซึ่ง เยลซินเห็นว่า ถ้าอนาโตลีได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ก็อาจจะอาจเอื้อมเข้ามาเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป ซึ่งตัวเยลซินเองนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คณะคนที่รายล้อมรอบตัวเขา แต่ละคนคือมาเฟียตัวพ่อ ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับพรรค คนเหล่านั้น……ต้องการให้เยลซินอยู่ต่อไป หรือถ้าจะมีคนมาแทนก็ต้อวเป็นพรรคพวกของตัวเอง อย่าง……อนาโตลี นั้นไม่ใช่……!! งานสาดโคลนตามประเพณีเลือกตั้งจึงตามมา อนาโตลีถูกแฉว่าได้ยักยอกทรัพย์ออกนอกประเทศ ได้ทำการคอร์รัปชั่นในใบอนุญาต รวมทั้งการกระจายข่าวลือว่า อนาโตลีได้ติดต่อกับทางนายกรัฐมนตรีเยอรมันเพื่อที่จะโค่นล้มเยลซิน…… ซึ่งปูตินได้ติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในทีม แต่ในที่สุดเขาก็เคลียร์ตัวเองได้ ……เพราะตรวจสอบได้หมด เนื่องจากไม่มีสมบัติอะไร เวลาแห่งการหาเสียงมาถึง อนาโตลีต้องพบกับความประหลาดใจ ที่ผู้สมัครเข้าแข่งขันนั้น คือ รองของเขาเอง Vladimir Yakovlev ที่ตอนนั้น อนาโตลีมีความรู้สึกว่าโดนหักหลังจากคนใกล้ชิดที่สุด พวกกลุ่มทำงานในสำนักงานได้เริ่มแยกฝ่าย ไปตามคนที่ตัวเองถือหาง แต่ปูตินยังมั่นคงอยู่กับอนาโตลีไม่เปลี่ยนแปลง… การหาเสียงเป็นไปอย่างเข้าข้น เป็นการหาเสียงที่ต้องใช้เงินมากมาย ที่อนาโตลีด้อยกว่า เพราะท่อน้ำเลี้ยงจากมอสโคว์เหือดแห้งไปแล้ว สรุปว่า โยโกสเลฟ ชนะด้วยคะแนนเฉี่ยวฉิว…… อนาโตลี มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอ เขาได้ใช้ประโยคเด็ดของ Winston Churchill ในตอนที่แพ้เลือกตั้งในปี 1945 ว่า “การที่เราได้ช่วยชาติให้แล้วรอดปลอดภัย……นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” แต่นั่นหมายถึงว่า เมื่อหมดวาระ(ในไม่กี่เดือนข้างหน้า) ปูตินจะต้องหางานใหม่ทำ เพราะเขาไม่คิดที่จะทำงานกับโยโกสเลฟ ที่จะผันตัวจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นนาย…… ปูตินมีบ้านพักเล็กๆสำหรับพักผ่อนที่นอกเมือง เป็นบังกาโลไม้ธรรมดา ที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ เขาและครอบครัวใช้เป็นที่หย่อนใจ ในเดือนสิงหาคม อันเป็นเดือนของการพักร้อนที่งานไม่ค่อยเดิน เขาจึงได้เชิญครอบครัวของมารินาไปพักผ่อนด้วยกัน พวกผู้หญิงอยู่กันที่ชั้นบน ผู้ชายปูที่นอนกันที่ข้างล่าง… ปูตินออกไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เมื่อเขาเดินกลับมา เห็นควันไฟพลุ่งออกมาจากตัวบ้าน เปลวไฟกำลังลามขึ้นไปชั้นบน เขารีบวิ่งฝ่าขึ้นไป ส่งเด็กๆลงมาจากระเบียงโดยใช้ผ้าปูที่นอนผูกแทนเชือก ทุกคนออกมาอย่างปลอดภัย แต่ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเอกสารที่มีเงินอยู่ราวๆห้าพัน (ดอลล่าร์ โดยประมาณ) อันเป็นเงินก้อนเดียวที่เขามี ปูตินรีบวิ่งเข้าไปเอามันออกมา และโรยตัวออกทางระเบียงเช่นกัน กว่ารถดับเพลิงจะมาได้ บ้านทั้งหลังก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว และเมื่อรถมาถึง……พนักงานดับไฟบอกว่า ไม่มีน้ำ… ปูตินโกรธจนตัวสั่น เขาชี้ไปที่ทะเลสาบ……บอกว่า นั่นไง……น้ำ…!! ไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า……สายยางยาวไม่พอ…!!! เมื่อค้นหาสาเหตุได้ มาจากเครื่องทำความร้อนที่ชั้นล่าง ที่ได้เกิดช๊อตขึ้นมา……เมื่อทุกอย่างเริ่มเย็นลง ปูตินได้เข้าไปคุ้ยหาของที่อาจจะไม่เสียหายมาก เขาได้พบกับก้อนโลหะเล็กๆ ที่ได้หลอมละลายไป นั่นก็คือ กางเขนน้อยที่มาเรียมารดาของเขาได้ให้มา พร้อมกับกำชับว่าให้นำไปขอพรที่พระวิหารในนครเยรูซาเล็ม, อิสราเอล ที่ปูตินได้จัดการให้ตามนั้น เมื่อครั้งที่เขาติดตามอนาโตลีไปเยือนเมื่อสามปีที่แล้ว……!! ที่มอสโคว์……ปลายปี 1995 เยลซินได้เกิดอาการหัวใจกำเริบ ที่ค่อนข้างน่าตกใจ กลุ่มนายทุนที่รายล้อมรอบตัวเขา รีบตื่นตัวกันจ้าละหวั่น เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้า บางคนบอกว่า รีบออกกฎหมายให้เลื่อนการลงคะแนนออกไปก่อน บางคนรีบเสนอชื่อแคนดิเดทพวกพ้องของตัวเองที่จะให้มาลงแทน บางคนเสนอตัวเอง… เยลซินถึงกับบรรลุในสัจธรรม……ว่า…..ทุกคนมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น เขาวางใจใครไม่ได้เลยจริงๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเหล่า Oligarchs พวกนี้คือเหลือบไรที่เกาะตามตัวของท่านผู้นำที่เนรมิตรสัมปทานทั้งแผ่นดินใหักับพวกเขาจนร่ำรวยกันมหาศาล……เขาเหล่านั้นคือ 1 Boris Berezovsky 2 Mikhaïl Fridman 3 Vladimir Gusinsky 4 Mikhaïl Khodorkovsky 5 Vladimir Potanin (ดิฉันเคยเล่าถึง หมายเลข 1 และ 4 ไปแล้ว …จะนำมาลงให้อีกในคอมเม้นต์) สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด คือ ถ้าเยลซินหลุดไปจากอำนาจ แล้วถ้าคนใหม่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์……นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะหายวับไปกับตา อาจรวมถึงชีวิต ดังที่เยลซินพูดบ่อยๆว่า มันจะเอาพวกเราไปแขวนคอที่เสาไฟฟ้า……!! เหล่ามหาเศรษฐีพวกนั้นเลยระดมทุนกันใหญ่ ว่ากันว่า ถึงสองพันล้านดอลล่าร์…… สุขภาพของเยลซินก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ข่าวที่ออกก็เลือกแต่ส่วนช่วงดีๆ ………………ปกปิดเรื่องการป่วยไข้อย่างสนิท ในส่วนตัวของเยลซินเอง……เขาถอดใจแล้ว เขาเริ่มมองหาตัวแทนที่จะมาเป็นผู้นำด้วยตัวเอง เขามุ่งไปที่ลักษณะของนายทหาร ที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และสามารถเข้ากับทุกกลุ่มได้ คนที่เขาหมายตา คือ นายพลหนุ่ม Aleksandr Lebed ที่กะจะมาเอามาเป็นเด็กสร้าง เขาจึงเรียกตัวให้มารับหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลความมั่นคงในส่วนของเครมลิน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งได้วันเดียว นายพลหนุ่ม Alexandr ได้พบกับอดีตนายพลอาวุโส แห่งหน่วย คอสแซค ที่ทักทายเขาด้วยความมีไมตรีว่า…”ทราบว่าคุณก็มาจากกองพันคอสแซคเช่นกัน…ยินดีที่ได้รู้จัก” นายพลหนุ่มเชิดใส่……สบัดเสียงตอบไปว่า “ทำไมพูดจาเหมือนพวกยิว……!!” เยลซินถึงได้รู้ว่า เขาดูคนผิด เพราะนายพลที่เขาวาดภาพถึงนั้น คงมีแต่ในหนังสือที่อ่านสมัยเป็นเด็กๆ……ตอนนี้นายพลพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกยามรักษาความปลอดภัยดีๆนี่เอง การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น ตัวเยลซินเองก็ต้องแอบไปลงคะแนนในหน่วยใกล้บ้านแต่เช้าตรู่ เพราะเขาป่วยจนแทบเดินไม่ไหว ต้องมีคนคอยประคอง แต่อย่างไรเสีย……เขาก็ชนะด้วยคะแนนไม่มากนัก เพราะแรงทุนที่ทุ่มไม่อั้น ปูตินได้ช่วยเยลซินหาเสียงอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ถือว่าเป็นหน่วยสนับสนุนเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นกลไกสำคัญอะไร แต่ที่มอสโคว์……เมื่อเยลซินได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาได้จัดการเอาพวกที่คอยแทงข้างหลังออกไปเป็นแผง ที่ต้องหาคนมาแทนใหม่ และเขาได้เลือก Alexsei Bolshakov อดีตอัยการแห่งกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก เข้าไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รองจาก Viktor Chernomyrdrin ซึ่ง Alexsei คนนี้ ได้เป็นผู้นำปูตินเข้าไปพบกับเยลซิน เพราะเขาเลื่อมใสในการทำงาน เฝ้าดูมาตลอด แต่ไม่ได้สนิทกัน งานที่ปูตินได้รับการแต่งตั้ง คือ ผู้อำนวยการในฝ่ายมวลชนและประชาสัมพันธ์ ที่ต้องประสานกับ Pavel Borodin ที่เผอิญปูตินได้เคยสัมผัสกัน……โดยปาเวลได้ถือเป็นบุญคุณอย่างมากมาย กล่าวคือ บุตรสาวของปาเวลเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เมื่อครั้ง ปูตินเป็นคณบดี และได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา ปูตินได้จัดการให้เธอได้พบแพทย์และช่วยเรื่องการทดแทนชั้นเรียนในช่วงการขาดลา…… ยิ่งพอมาพบกันจริงๆ…ปาเวลยิ่งปลาบปลื้มขอบอกขอบใจ และสะดวกใจที่จะช่วยเหลืองานอย่างเต็มที่ แต่นั่นหมายถึง……ปูตินจะต้องย้ายไปอยู่ที่มอสโคว์…นี่คือสิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกลังเล………!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 842 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสได้ย้ำถึงสถานการณ์ของสมาชิกในทีมสี่คน ซึ่งทำหน้าที่ช่วยเหลือพยาบาลคนเจ็บประจำรถพยาบาล ได้ถูกระบุว่า “ถูกบังคับให้หายตัวไป” และถูกกองกำลังเอลควบคุมตัวมานานกว่าห้าเดือน
    “PRCS แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของทีมที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งยังคงไม่ทราบชะตากรรม และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงอย่างเร่งด่วนเพื่อกดดันหน่วยงานยึดครองของเอลให้ปล่อยตัวทีมที่ถูกควบคุมตัวของเราทันที”
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    สมาคมเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสได้ย้ำถึงสถานการณ์ของสมาชิกในทีมสี่คน ซึ่งทำหน้าที่ช่วยเหลือพยาบาลคนเจ็บประจำรถพยาบาล ได้ถูกระบุว่า “ถูกบังคับให้หายตัวไป” และถูกกองกำลังเอลควบคุมตัวมานานกว่าห้าเดือน “PRCS แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของทีมที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งยังคงไม่ทราบชะตากรรม และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงอย่างเร่งด่วนเพื่อกดดันหน่วยงานยึดครองของเอลให้ปล่อยตัวทีมที่ถูกควบคุมตัวของเราทันที” . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว