• การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ---

    ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน**

    #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**:
    - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่

    #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**:
    - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด)

    ---

    ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?**

    #### **ความเหมือน**:
    1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**:
    - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด
    - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด

    2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**:
    - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ

    3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**:
    - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น

    #### **ความต่าง**:
    1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**:
    - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า
    - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก

    2. **การรับรู้ของสาธารณชน**:
    - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน

    3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**:
    - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน

    #### **การคาดการณ์**:
    - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19
    - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้

    ---

    ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์**

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**:
    - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น
    - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**:
    - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19
    - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค
    - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข

    - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น

    ---

    ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์**

    - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม

    - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ

    หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ!
    https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม --- ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน** #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**: - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่ #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**: - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด) --- ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?** #### **ความเหมือน**: 1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**: - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด 2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**: - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ 3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น #### **ความต่าง**: 1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**: - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก 2. **การรับรู้ของสาธารณชน**: - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน 3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**: - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน #### **การคาดการณ์**: - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19 - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้ --- ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์** - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**: - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์ - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**: - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19 - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น --- ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์** - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ! https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • สร้างประวัติศาสตร์! "กริพเพ่น" ของไทย ใช้อาวุธจริงครั้งแรกในโลก โจมตีเป้าหมายรบจริงชายแดนไทย-กัมพูชา
    https://www.thai-tai.tv/news/20564/
    .
    #กริพเพ่น #Gripen #JAS39Gripen #กองทัพอากาศไทย #ทอไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #การรบจริง #อาวุธจริง #สถิติโลก #ป้องกันประเทศ #ไทยไท

    สร้างประวัติศาสตร์! "กริพเพ่น" ของไทย ใช้อาวุธจริงครั้งแรกในโลก โจมตีเป้าหมายรบจริงชายแดนไทย-กัมพูชา https://www.thai-tai.tv/news/20564/ . #กริพเพ่น #Gripen #JAS39Gripen #กองทัพอากาศไทย #ทอไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #การรบจริง #อาวุธจริง #สถิติโลก #ป้องกันประเทศ #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม
    ความมีอยู่ว่า

    ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ”
    เวยเวยตะลึงไป
    ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน
    “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ...

    - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน

    ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้?

    “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว

    องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี

    มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง

    จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่

    ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ

    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com
    https://www.sohu.com/a/350631198_120260771

    #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    เรื่องนี้เก่าไปนิด แต่เป็นเรื่องที่ Storyฯ ประทับใจไม่ลืม ความมีอยู่ว่า ... “ซื้อตั๋วเครื่องบินเถอะ” เวยเวยตะลึงไป ภายในห้องทำงานของผู้ที่อยู่อีกปลายสาย เซียวไน่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตาหยุดลงอยู่ที่กระถางต้นกระบองเพชรที่กำลังมีดอกบาน แววตาที่จับจ้องอยู่บนกลีบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นทอประกายอ่อนโยน “เวยเวย ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” ... - จากเรื่อง <เวยเวย ยิ้มนี้พิชิตใจ> ผู้แต่ง กู้ม่าน ไม่ทราบยังพอจะจำกันได้บ้างไหม? ลูกเพจท่านที่อ่านหนังสือจะทราบว่าผู้แต่งมีแปลความหมายของประโยคสุดท้ายข้างต้นไว้สั้นๆ แต่ผู้ที่ดูแต่ละครจะงงหรือไม่... ทำไมนางเอกต้องทำหน้า “อิน” ขนาดนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้? “ดอกไม้ริมทางผลิบาน ค่อยๆ เดินทางกลับมาได้แล้ว” หรือ “陌上花开 可缓缓归矣” (ม่อซ่างฮวาคาย เข่อหวนห่วนกุยอี่) ประโยคนี้เป็นวลีที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จริง อยู่ใน "จดหมายรัก" ขององค์เฉียนหลิว องค์เฉียนหลิวคืออ๋องผู้ก่อตั้งและเจ้าผู้ปกครองแคว้นอู๋เยวี่ย สมัยปีค.ศ. 852-932 (ยุคสมัยห้าราชวงศ์สิบแคว้น) มีพระชายาที่ทรงรักมากคือจวงมู่ฟูเหริน เพราะเป็นภรรยาที่เข้าหอร่วมพิธีแต่งงานและติดสอยห้อยตามพระองค์ไปทุกที่ จวงมู่ฟูเหรินมักจะเสด็จกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองหลิงอันทุกปีในช่วงฤดูหนาว จวบจนฤดูใบไม้ผลิจึงเสด็จกลับมาหาพระสวามี มีอยู่ปีหนึ่ง อ๋องอู๋เยวี่ยทรงพระราชหัตถเลขาถึงพระนาง ส่วนหนึ่งของใจความนั้นมีวลีนี้ เป็นประโยคสั้นแต่แฝงด้วยความหมายประมาณว่า 1) ดอกไม้เริ่มผลิบานแล้ว ไฉนยังไม่กลับมา? คิดถึงนัก 2) ไม่ต้องรอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิเต็มที่ก็ได้ เริ่มเดินทางกลับมาก็จะสัมผัสมันได้ในระหว่างทาง จวงมู่ฟูเหรินทรงเข้าพระทัยในความหมาย จึงเสด็จกลับโดยทันที (เอิ่ม... อ้อนสำเร็จด้วยเพียงอักษรเก้าตัว) เหตุการณ์นี้เป็นที่เล่าขานกันต่อมา เป็นวลีที่มีความหมายว่า สามีรักและคิดถึงภรรยายิ่งนัก รอคอยเธออยู่ ในเรื่อง “เวยเวยฯ” นี้ เซียวไน่ใช้วลีนี้เพื่อชวนให้เวยเวยกลับไปหา Storyฯ ทึ่งที่ว่า ทั้งเซียวไน่และเวยเวยต่างเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นสองคนที่ผิดแปลกจากเพื่อนฝูงตรงที่ต่างมีความชอบในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีน ลูกเพจลองคิดสิคะ ถ้าเป็นคนอื่นในคณะเดียวกัน เซียวไน่ใช้วลีนี้ คนฟังจะ “เก๊ท” ไหมนะ Credit เนื้อหารวบรวมจาก: https://baike.baidu.com https://www.sohu.com/a/350631198_120260771 #เวยเวยยิ้มนี้พิชิตใจ #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    百度百科_全球领先的中文百科全书
    百度百科是一部内容开放、自由的网络百科全书,旨在创造一个涵盖所有领域知识,服务所有互联网用户的中文知识性百科全书。在这里你可以参与词条编辑,分享贡献你的知识。
    1 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เรือที่ “คิดเองได้” กำลังจะเปลี่ยนโลกการขนส่ง

    ลองจินตนาการว่าเรือขนส่งขนาดมหึมา 750 ฟุต ที่บรรทุกรถยนต์กว่า 7,000 คัน กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องมีคนควบคุม — นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่คือแผนจริงของ Hyundai Glovis ที่ร่วมมือกับ Avikus บริษัทเทคโนโลยีในเครือ HD Hyundai เพื่อเปลี่ยนเรือขนส่งให้กลายเป็น “เรืออัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI”

    ระบบที่ใช้ชื่อว่า HiNAS (Hyundai Intelligent Navigation Assistant System) จะถูกติดตั้งในเรือ 7 ลำภายในปี 2026 โดยเป็นระบบระดับ MASS Level-2 ที่สามารถควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน AI แม้จะยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรมเดินเรือ

    เป้าหมายของโครงการนี้คือการลดการใช้เชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางทะเล

    Hyundai Glovis ร่วมมือกับ Avikus พัฒนาเรือขนส่งอัตโนมัติ
    ใช้ระบบ HiNAS ที่พัฒนาโดย Avikus ในเครือ HD Hyundai
    ติดตั้งในเรือขนส่งรถยนต์ 7 ลำภายในกลางปี 2026

    ระบบ HiNAS เป็น MASS Level-2
    รองรับการควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางด้วย AI
    ยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่สามารถตัดสินใจได้เองบางส่วน

    เรือ Sunrise จะเป็นเรือขนส่ง AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    ยาว 229.9 เมตร บรรทุกได้ 7,000 คัน
    เป็นเรือแรกที่ติดตั้งระบบ AI แบบเต็มรูปแบบ

    เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
    ลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 3.9% จากการทดลอง
    ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์

    เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $6.5 พันล้านของ Glovis
    เพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ “Smart Logistics Company” ภายในปี 2030
    รวมถึงเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2045

    Avikus เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเรือ LNG ข้ามมหาสมุทรแบบอัตโนมัติ
    ในปี 2022 เรือ LNG ขนาด 300 เมตรเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระบบ AI
    ลดการปล่อยคาร์บอน 5% และเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง 7%

    https://www.techradar.com/pro/shipping-giant-set-to-roll-out-worlds-first-ai-controlled-autonomous-car-carrying-ships-at-750-ft-long-and-weighing-almost-100-000-tons-its-probably-the-largest-ai-driven-vessel-ever
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เรือที่ “คิดเองได้” กำลังจะเปลี่ยนโลกการขนส่ง ลองจินตนาการว่าเรือขนส่งขนาดมหึมา 750 ฟุต ที่บรรทุกรถยนต์กว่า 7,000 คัน กำลังแล่นข้ามมหาสมุทรโดยไม่ต้องมีคนควบคุม — นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟ แต่คือแผนจริงของ Hyundai Glovis ที่ร่วมมือกับ Avikus บริษัทเทคโนโลยีในเครือ HD Hyundai เพื่อเปลี่ยนเรือขนส่งให้กลายเป็น “เรืออัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI” ระบบที่ใช้ชื่อว่า HiNAS (Hyundai Intelligent Navigation Assistant System) จะถูกติดตั้งในเรือ 7 ลำภายในปี 2026 โดยเป็นระบบระดับ MASS Level-2 ที่สามารถควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน AI แม้จะยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ของอุตสาหกรรมเดินเรือ เป้าหมายของโครงการนี้คือการลดการใช้เชื้อเพลิง เพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง และลดความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางทะเล ✅ Hyundai Glovis ร่วมมือกับ Avikus พัฒนาเรือขนส่งอัตโนมัติ ➡️ ใช้ระบบ HiNAS ที่พัฒนาโดย Avikus ในเครือ HD Hyundai ➡️ ติดตั้งในเรือขนส่งรถยนต์ 7 ลำภายในกลางปี 2026 ✅ ระบบ HiNAS เป็น MASS Level-2 ➡️ รองรับการควบคุมระยะไกลและปรับเส้นทางด้วย AI ➡️ ยังไม่ใช่ระบบไร้คนขับเต็มรูปแบบ แต่สามารถตัดสินใจได้เองบางส่วน ✅ เรือ Sunrise จะเป็นเรือขนส่ง AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ยาว 229.9 เมตร บรรทุกได้ 7,000 คัน ➡️ เป็นเรือแรกที่ติดตั้งระบบ AI แบบเต็มรูปแบบ ✅ เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ➡️ ลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึง 3.9% จากการทดลอง ➡️ ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์ ✅ เป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุน $6.5 พันล้านของ Glovis ➡️ เพื่อเปลี่ยนองค์กรสู่ “Smart Logistics Company” ภายในปี 2030 ➡️ รวมถึงเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2045 ✅ Avikus เคยสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำเรือ LNG ข้ามมหาสมุทรแบบอัตโนมัติ ➡️ ในปี 2022 เรือ LNG ขนาด 300 เมตรเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระบบ AI ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอน 5% และเพิ่มประสิทธิภาพเชื้อเพลิง 7% https://www.techradar.com/pro/shipping-giant-set-to-roll-out-worlds-first-ai-controlled-autonomous-car-carrying-ships-at-750-ft-long-and-weighing-almost-100-000-tons-its-probably-the-largest-ai-driven-vessel-ever
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • โลกของ “สาธารณสุขระหว่างประเทศ”: ระหว่างชีวิตและอำนาจ

    อดิเทพ จาวลาห์
    https://linktr.ee/chawlaadithep
    ต้นฉบับ: https://www.rookon.com/?p=1330

    เช่นเดียวกับด้านอื่นของการแพทย์ สาธารณสุขก็เป็นเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” สิ่งที่แตกต่างคือมันถูกจัดการในระดับกลุ่มและสเกลงานระดับนานาชาติ เมื่อมีเงินก้อนใหญ่—เป็นล้านดอลลาร์ —ถูกจัดสรรไปยังโครงการใดโครงการหนึ่ง ผลลัพธ์อาจเป็นชีวิตที่รอดมากมาย หรือในทางตรงกันข้าม อาจมีชีวิตสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ หากเงินนั้นไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถูกเบี่ยงเบนไปยังสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย

    การจัดการกับเรื่องเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อ “อีโก้” ของผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากมนุษย์มักให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่รู้สึกว่า ตนมีอำนาจที่สามารถส่งผลต่อชีวิตผู้อื่น เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับนานาชาติได้รับการยกย่องและชมเชยจากสื่อและผู้คน—ที่มักได้เห็นเพียงภาพเด็กผิวสีจำนวนมาก 🧒🏾👧🏾ยืนเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากคนในเสื้อกั๊กสีขาวที่มีตราโลโก้เจ๋งๆ —ภาพนี้สร้างความรู้สึก “ยิ่งใหญ่” ขึ้นในใจของพวกเขา ขณะที่ด้านที่เป็นความจริง เช่น เงินเดือนสูงที่มักได้รับการยกเว้นภาษี การเดินทางระหว่างประเทศ พักในโรงแรมห้าดาว บางครั้งถูกปิดบังไม่ให้เป็นเรื่องหลักในสายตาประชาชน ซึ่งผมไม่ได้เกียงสิ่งเหล่านั้น แต่หากคุณศึกษาข้อมูลการใช้เงินของหน่วยงานเหล่านี้ คุณจะตกใจว่า เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการเดินทางและความสะดวกสบายของเจ้าหน้าที่ เป็นหลัก

    ผลคือ “แรงจูงใจทางอีโก้” ถูกเสริมทัพ ทำให้เจ้าหน้าด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ รวมทั้งในประเทศมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มองว่าค่านิยมของตนดีเลิศจนพร้อมบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับ “เป้าหมาย” ของงาน ไม่ว่าจะเป็นชุมชนใด เมื่อการงานของพวกเขาดูเหมือนมีคุณค่ามากกว่าการเลี้ยงลูก หรือการทำงานปกติในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน — พวกเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจแทนผู้อื่นนั้นช่าง “ชอบธรรม” เสียยิ่งนัก

    ตัวอย่างชัดๆ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับค่านิยมตะวันตกอย่างสุดโต่ง

    เมื่อทุนใหญ่เข้ามาคุมเกม

    ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งเงินทุนหลักมีวาระผลประโยชน์ทางธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น WHO มีงบประมาณมากกว่า 75% ที่ถูกกำหนดโดยผู้ให้ทุน ซึ่งมักเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่อาจได้กำไรจากการผลักดันวัคซีนใหม่ๆ

    องค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือโควิด เช่น GAVI และ CEPI ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มทุนเอกชนและภาคธุรกิจ หลังจากวิกฤติ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตารางบอร์ด และมี “สิทธิในการ” กำหนดทิศทางโครงการระดับโลก

    เมื่อการบรรจุทุนเชิงพาณิชย์และการเมืองเข้าไปอยู่ใต้ร่มของ “สาธารณสุข” เนื้อหาของงานก็เปลี่ยนจากการช่วยชีวิต มาเป็นการผลักดันวาระที่อาจไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข แต่คือการหาผลประโยชน์มากกว่า และกำไรนานาประเภท

    แรงงานที่ “ถูกจับแต่เต็มใจ”

    ในธุรกิจ เราโฆษณาสินค้าและหวังว่าลูกค้าจะสนใจ เพราะนั่นคือความเสี่ยงและต้นทุน แต่หากสินค้านั้นถูก “บังคับให้ซื้อ” โดยกลไกของรัฐหรือองค์กร ไม่มีทางเลือก ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา แถมถ้าความเสียหายเกิด—คุณก็ไม่รับผิดชอบ

    สิ่งนี้คือ “การพิมพ์เงิน” แบบไร้ความเสี่ยง และเพื่อให้ระบบนี้เดินไปได้ ต้องมี “แรงงาน” ที่พร้อมเป็นเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ และต้องมีพร่ำบรรยายหน้าแผงข่าวอย่างไม่ผิดพลาด

    ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวของสาธารณสุข

    ประวัติศาสตร์สาธารณสุขในสหรัฐฯ ยังเคยถูกใช้สนับสนุนนโยบายเชิงเหยียดเชื้อชาติและยูจีนิกส์ (Eugenics) ที่บังคับให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น คนเชื้อสายคนพื้นเมือง หรือผู้ที่มีความบกพร่องบางอย่าง ถูกคุมขัง ทำหมัน และปล่อยให้ตายต่ำกว่ามาตรฐานสุขภาพ แนวคิดนี้ยังถูกปลูกฝังในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins

    ถึงแม้ในยุโรป เช่นอิตาลีและเยอรมนี ยุคฟาสซิสต์ก็ใช้สาธารณสุขในการฆาตกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ “ด้อยกว่า” —จากการคัดกรองทางพันธุกรรม จนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ และเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเนื่องไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง—อย่างเคส Tuskegee ที่ใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกศึกษา 👨🏿‍⚕️

    อีโก้ ความเชื่อ และการบังคับใช้

    แพทย์และพยาบาลในช่วงเวลานั้นเชื่อมั่นว่าตนเองทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” จะช่วยกวาดล้าง “ความต่ำช้า” ออกจากสังคม แต่สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ ที่มองไม่เห็นว่าตนกำลังทำร้ายมนุษย์อย่างไร้ความปราณี

    ในระบบที่มีลำดับขั้น ผู้ปฏิบัติงานจะยิ่งมีจิตวิทยาที่ทำให้ “เชื่อฟัง” และ “ยึดมั่นในระบบ” เมื่อพวกเขาได้รับการฝึกให้เชื่อใน “ความดีขั้นสูง” ของระบบ และเชื่อว่าการบังคับใช้มาตรการแข็ง หรือการจำกัดทางเลือกของประชาชน ล้วนเพื่อ “ประโยชน์สุขของส่วนรวม”

    ทางออกอยู่ที่การให้สิทธิ์และอำนาจ

    ในขณะที่ระบบนี้ขยายอำนาจการควบคุม แนวทางที่แท้จริงของ “สุขภาพ” กลับเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทางจิต ใจ และสังคม ที่ต้องการ “สิทธิ์ในการเลือก”

    เมื่อคนมีอำนาจของตนเองได้กำหนดการรักษา ได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นฐานชีวิตของตน และไม่ถูกบังคับจากส่วนกลาง สิ่งนี้เองคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริง

    แต่เมื่อระบบลุกลามไปยังการบังคับและการจำกัดเสรีภาพ—ไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม—มันคือต

    ตัวบ่อนทำลายระบบสุขภาพ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจ

    สรุปและแนวทางปลุกพลัง

    * สำรวจระบบสาธารณสุขในมิติใหม่ ทั้งในแง่ของอำนาจทุน และโครงสร้างอำนาจ
    * เข้าใจว่าหลายสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อชิงผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อความเป็นอยู่ของแท้
    * เห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าการใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบนำไปสู่หายนะได้จริง
    * ตระหนักถึงอีโก้ของผู้ปฏิบัติงานและอันตรายจากระบบลำดับขั้น
    * ร่วมเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง
    * ปลูกจิตสำนึกให้สังคมไม่ถูกควบคุม แต่มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ 🧑🏽‍🤝‍🧑🏼

    สุดท้าย… การจะสร้างระบบสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจาก “ประชาชนทุกคน” ที่ลุกขึ้นมามีเสียง มีสิทธิ์ มีอำนาจแสดงความคิดเห็น และร่วมกันสร้างระบบที่เคารพสิทธิและความต้องการของทุกคนอย่างแท้จริง

    ดังนั้นการเงียบเฉยคือการปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำผิดต่ออย่างไม่รู้จบ
    https://www.facebook.com/share/p/1Bmr3SPLx7/
    🌍 โลกของ “สาธารณสุขระหว่างประเทศ”: ระหว่างชีวิตและอำนาจ 🧠💉 ✍️ อดิเทพ จาวลาห์ 🔗 https://linktr.ee/chawlaadithep 📖 ต้นฉบับ: https://www.rookon.com/?p=1330 เช่นเดียวกับด้านอื่นของการแพทย์ 🏥 สาธารณสุขก็เป็นเรื่องของ “ชีวิตและความตาย” สิ่งที่แตกต่างคือมันถูกจัดการในระดับกลุ่มและสเกลงานระดับนานาชาติ 🌐 เมื่อมีเงินก้อนใหญ่—เป็นล้านดอลลาร์ 💵—ถูกจัดสรรไปยังโครงการใดโครงการหนึ่ง ผลลัพธ์อาจเป็นชีวิตที่รอดมากมาย 🙌 หรือในทางตรงกันข้าม อาจมีชีวิตสูญเสีย และความโศกเศร้าเข้ามาแทนที่ 😢 หากเงินนั้นไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถูกเบี่ยงเบนไปยังสิ่งที่ก่อให้เกิดอันตราย ⚠️ การจัดการกับเรื่องเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อ “อีโก้” ของผู้เกี่ยวข้อง 🧠 เนื่องจากมนุษย์มักให้คุณค่ากับตัวเอง เมื่รู้สึกว่า ตนมีอำนาจที่สามารถส่งผลต่อชีวิตผู้อื่น 🧍‍♀️🧍‍♂️ เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับนานาชาติได้รับการยกย่องและชมเชยจากสื่อและผู้คน—ที่มักได้เห็นเพียงภาพเด็กผิวสีจำนวนมาก 🧒🏾👧🏾ยืนเข้าคิวเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากคนในเสื้อกั๊กสีขาวที่มีตราโลโก้เจ๋งๆ 👕—ภาพนี้สร้างความรู้สึก “ยิ่งใหญ่” ขึ้นในใจของพวกเขา ✨ ขณะที่ด้านที่เป็นความจริง เช่น เงินเดือนสูงที่มักได้รับการยกเว้นภาษี 💰 การเดินทางระหว่างประเทศ ✈️ พักในโรงแรมห้าดาว 🏨 บางครั้งถูกปิดบังไม่ให้เป็นเรื่องหลักในสายตาประชาชน ซึ่งผมไม่ได้เกียงสิ่งเหล่านั้น แต่หากคุณศึกษาข้อมูลการใช้เงินของหน่วยงานเหล่านี้ 📊 คุณจะตกใจว่า เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการเดินทางและความสะดวกสบายของเจ้าหน้าที่ เป็นหลัก 🚗🍽️ ผลคือ “แรงจูงใจทางอีโก้” ถูกเสริมทัพ 💪 ทำให้เจ้าหน้าด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ รวมทั้งในประเทศมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ⬆️ มองว่าค่านิยมของตนดีเลิศจนพร้อมบังคับใช้สิ่งเหล่านั้นกับ “เป้าหมาย” ของงาน 🎯 ไม่ว่าจะเป็นชุมชนใด เมื่อการงานของพวกเขาดูเหมือนมีคุณค่ามากกว่าการเลี้ยงลูก 👶 หรือการทำงานปกติในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งพนักงานต้อนรับที่สนามบิน 🛫 — พวกเขาจึงรู้สึกว่าการตัดสินใจแทนผู้อื่นนั้นช่าง “ชอบธรรม” เสียยิ่งนัก 😇 ตัวอย่างชัดๆ จากองค์การอนามัยโลก (WHO) 🌏 ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยอมรับค่านิยมตะวันตกอย่างสุดโต่ง ❗ 💸 เมื่อทุนใหญ่เข้ามาคุมเกม ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อแหล่งเงินทุนหลักมีวาระผลประโยชน์ทางธุรกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ชัดเจน 🧩 ยกตัวอย่างเช่น WHO มีงบประมาณมากกว่า 75% ที่ถูกกำหนดโดยผู้ให้ทุน 💼 ซึ่งมักเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น เช่นบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่อาจได้กำไรจากการผลักดันวัคซีนใหม่ๆ 💉💰 องค์กรขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือโควิด เช่น GAVI และ CEPI ถูกตั้งขึ้นโดยกลุ่มทุนเอกชนและภาคธุรกิจ 🏢 หลังจากวิกฤติ พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของตารางบอร์ด และมี “สิทธิในการ” กำหนดทิศทางโครงการระดับโลก 🌐 เมื่อการบรรจุทุนเชิงพาณิชย์และการเมืองเข้าไปอยู่ใต้ร่มของ “สาธารณสุข” ⛱️ เนื้อหาของงานก็เปลี่ยนจากการช่วยชีวิต มาเป็นการผลักดันวาระที่อาจไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข แต่คือการหาผลประโยชน์มากกว่า และกำไรนานาประเภท 💹 👷‍♂️ แรงงานที่ “ถูกจับแต่เต็มใจ” ในธุรกิจ เราโฆษณาสินค้าและหวังว่าลูกค้าจะสนใจ 📢 เพราะนั่นคือความเสี่ยงและต้นทุน แต่หากสินค้านั้นถูก “บังคับให้ซื้อ” โดยกลไกของรัฐหรือองค์กร 🏛️ ไม่มีทางเลือก ❌ ไม่มีความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา 😶 แถมถ้าความเสียหายเกิด—คุณก็ไม่รับผิดชอบ ❌ สิ่งนี้คือ “การพิมพ์เงิน” แบบไร้ความเสี่ยง 🖨️💵 และเพื่อให้ระบบนี้เดินไปได้ ต้องมี “แรงงาน” ที่พร้อมเป็นเครื่องมือ ⚙️ ผลิตภัณฑ์ และต้องมีพร่ำบรรยายหน้าแผงข่าวอย่างไม่ผิดพลาด 🗞️ 📜 ประวัติศาสตร์ที่น่ากลัวของสาธารณสุข ประวัติศาสตร์สาธารณสุขในสหรัฐฯ 🇺🇸 ยังเคยถูกใช้สนับสนุนนโยบายเชิงเหยียดเชื้อชาติและยูจีนิกส์ (Eugenics) 🧬 ที่บังคับให้กลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น คนเชื้อสายคนพื้นเมือง หรือผู้ที่มีความบกพร่องบางอย่าง 🧑‍🦽 ถูกคุมขัง ทำหมัน และปล่อยให้ตายต่ำกว่ามาตรฐานสุขภาพ 🏚️ แนวคิดนี้ยังถูกปลูกฝังในรั้วมหาวิทยาลัย เช่น ห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins 🏫 ถึงแม้ในยุโรป เช่นอิตาลีและเยอรมนี ยุคฟาสซิสต์ก็ใช้สาธารณสุขในการฆาตกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ “ด้อยกว่า” ☠️—จากการคัดกรองทางพันธุกรรม จนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ 🩸 และเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเนื่องไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง—อย่างเคส Tuskegee ที่ใช้ฐานข้อมูลทางการแพทย์ล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถูกศึกษา 👨🏿‍⚕️ 🧠 อีโก้ ความเชื่อ และการบังคับใช้ แพทย์และพยาบาลในช่วงเวลานั้นเชื่อมั่นว่าตนเองทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ✅ จะช่วยกวาดล้าง “ความต่ำช้า” ออกจากสังคม แต่สุดท้ายพวกเขากลายเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ ที่มองไม่เห็นว่าตนกำลังทำร้ายมนุษย์อย่างไร้ความปราณี 🔥 ในระบบที่มีลำดับขั้น 🧱 ผู้ปฏิบัติงานจะยิ่งมีจิตวิทยาที่ทำให้ “เชื่อฟัง” และ “ยึดมั่นในระบบ” เมื่อพวกเขาได้รับการฝึกให้เชื่อใน “ความดีขั้นสูง” ของระบบ และเชื่อว่าการบังคับใช้มาตรการแข็ง หรือการจำกัดทางเลือกของประชาชน ล้วนเพื่อ “ประโยชน์สุขของส่วนรวม” 🫂 🌿 ทางออกอยู่ที่การให้สิทธิ์และอำนาจ ในขณะที่ระบบนี้ขยายอำนาจการควบคุม 🧬 แนวทางที่แท้จริงของ “สุขภาพ” กลับเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทางจิต ใจ และสังคม ที่ต้องการ “สิทธิ์ในการเลือก” 🗳️ เมื่อคนมีอำนาจของตนเองได้กำหนดการรักษา 🧘 ได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับพื้นฐานชีวิตของตน และไม่ถูกบังคับจากส่วนกลาง สิ่งนี้เองคือรากฐานของสุขภาพที่แท้จริง 🧡 แต่เมื่อระบบลุกลามไปยังการบังคับและการจำกัดเสรีภาพ—ไม่ว่าจะทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม—มันคือต ตัวบ่อนทำลายระบบสุขภาพ และทำให้มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอำนาจ 🤖 📢 สรุปและแนวทางปลุกพลัง * สำรวจระบบสาธารณสุขในมิติใหม่ ทั้งในแง่ของอำนาจทุน และโครงสร้างอำนาจ 🕵️‍♀️ * เข้าใจว่าหลายสิ่งถูกออกแบบมาเพื่อชิงผลประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อความเป็นอยู่ของแท้ 💔 * เห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าการใช้อำนาจโดยไม่ตรวจสอบนำไปสู่หายนะได้จริง 🧨 * ตระหนักถึงอีโก้ของผู้ปฏิบัติงานและอันตรายจากระบบลำดับขั้น 🧱 * ร่วมเรียกร้องให้ทุกคนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง 🗣️ * ปลูกจิตสำนึกให้สังคมไม่ถูกควบคุม แต่มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ 🧑🏽‍🤝‍🧑🏼 สุดท้าย… การจะสร้างระบบสุขภาพที่ดีต้องเริ่มจาก “ประชาชนทุกคน” ที่ลุกขึ้นมามีเสียง 📢 มีสิทธิ์ 🧾 มีอำนาจแสดงความคิดเห็น และร่วมกันสร้างระบบที่เคารพสิทธิและความต้องการของทุกคนอย่างแท้จริง 🙌 ดังนั้นการเงียบเฉยคือการปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำผิดต่ออย่างไม่รู้จบ ❌ https://www.facebook.com/share/p/1Bmr3SPLx7/
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • เที่ยว #จอร์เจีย เขาคอเคซัส
    รวมพิกัดที่เที่ยวไว้ให้แล้ว

    🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน
    ✈ G9-แอร์อาระเบีย
    พักโรงแรม


    นั่งรถ 4WD
    โบสถ์เกอร์เกติ
    อ่างเก็บน้ำชินวารี
    อนุสาวรีย์มิตรภาพ รัสเซีย-จอร์เจีย
    อุทยานประวัติศาสตร์จอร์เจีย
    โบสถ์ทรินิตี้
    สะพานแห่งสันติภาพ
    อนุสาวรีย์พระแม่จอร์เจีย

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์จอร์เจีย #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยว #จอร์เจีย เขาคอเคซัส 🍁❄ รวมพิกัดที่เที่ยวไว้ให้แล้ว 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 5วัน 3คืน ✈ G9-แอร์อาระเบีย 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐⭐ 📍 นั่งรถ 4WD 📍 โบสถ์เกอร์เกติ 📍 อ่างเก็บน้ำชินวารี 📍 อนุสาวรีย์มิตรภาพ รัสเซีย-จอร์เจีย 📍 อุทยานประวัติศาสตร์จอร์เจีย 📍 โบสถ์ทรินิตี้ 📍 สะพานแห่งสันติภาพ 📍 อนุสาวรีย์พระแม่จอร์เจีย รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์จอร์เจีย #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 0 Reviews
  • จะเป็นอย่างไรเมื่อ " นางนาก "ถูกสร้างโดยผู้กำกับ
    ชื่อดังทั่วโลก (ครบรอบ 26 ปีนางนาก)

    1. เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน
    - พี่มากกลับมาจากรบ และรู้ว่าแม่นากรอเขาจนตาย พี่มากเสียใจสุดๆ จึงพยายามทำทุกทางเพื่ออยากเจออีนากอีกครั้ง วันเวลาผ่านไปเป็นสิบปี จนเขาได้เจอกับคนที่อ้างว่ามาจากอนาคต และสามารถทำให้พี่มากย้อนเวลาไปหาอีนากได้ เขาจึงเข้าเครื่องย้อนเวลา และทำให้กลับไปเจออีนากอีกครั้ง อีนากตกใจกับผัวที่แก่ขึ้น และทั้งคู่ก็ทะเลาะกัน จนพี่มากพลั้งมือฆ่าอีนากตาย..

    2. เควนติน มารันติโน่
    - อีนากปากหมา ไล่ด่าทุกคน ก่อนเควนตินจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์หนัง อีนากไม่ตาย แต่เป็นไอ้มากตายและกลายเป็นผีมาหลอกแทน

    3. หว่อง-กาไว
    - อีนากนั่งรอพี่มากที่ท่าน้ำกับบรรยากาศสุดเหงายามเย็นที่มีแสงไฟจากตะเกียง พร้อมอีนากหยิบยาสูบขึ้นมาสูบ ทุกอย่างมันสโลไปหมด ยกเว้นอีนากคนเดียว

    4. ปู่มาร์ตี้
    - พี่มากเป็นหัวหน้าแก๊งค์รีดไถ่เงินในพระโขนง มีเพื่อนสนิทอยู่ 4 คน และมีเมียเป็นอีนาก ก่อนที่อีนากจะเล่นชู้กับเพื่อนพี่มากพร้อมกับเป่าหูให้ทุกคนหักหลังกัน และทั้งเรื่องจะเป็นการหักเหลี่ยมกันของแก๊งค์ ที่มีฉากไล่ข้าวโพดเป็นตอนจบ

    5. ไมเคิล เบย์
    - อีนากไม่ได้ท้องและออกไปรอบกับไอ้มากด้วย พร้อมกับระเบิดภูเขาเผ่ากระท่อมเหมือนเดิม

    5.1. ไมเคิล เบย์
    -อีนากหนีมาจากดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอนแต่ระบบเสียงเสียพูดไม่ได้ จากนั้นอีนากจะส่งแสงขึ้นฟ้าเป็นรูปสัญลักษณ์ ไอ้มากเห็นจึงเดินทางมายังดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า โลกกกกก !?

    6. จอห์น วู
    - อีนากนั่งรอที่ท่าน้ำจะมีนกพิราบบินแบบสโลโมชั่น ฉากระเบิดที่สงครามไอ้มากไปรบต้องใหญ่ๆไฟและควันพุ่งขึ้นสูงๆ

    7. โรเบิร์ต รอดริเกซ
    - อีนากตาย และกลายเป็นแวมไพร์ ไล่ฆ่าคน

    8. พี่เจ้ย
    - อีนากปลงชีวิต เดินเข้าไปใช้ชีวิตในป่า เดินไปเจอกับธรรมชาติมากมาย ก่อนนางจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น

    9. เอ็มไนต์ ชายามาลาน
    - อีนากตายเป็นผี ไอ้มากไม่รู้และไม่มีใครบอก เขาก็เลยอยู่กินกับผี จนพี่มากสังเกตและรู้เองว่าอีนากตายไปนานแล้ว ก่อนอีนากจะบอกว่า มึงก็ตายไปนานแล้วเหมือนกัน..

    10. เวส แอนเดอร์สัน
    - พระโขนงจะกลายเป็นสีพาสเทล

    11. พี่พจน์ อานนท์
    - พี่มากเป็นเกย์ และตบกะอีนาก

    12. คิมคิ ด็อก
    - ทั้งเรื่องจะเงียบ และไม่มีบทพูด อีนากจะเงียบและรอคอยพี่มาก แต่ตัวละครรอบข้างจะพูดปกติ

    13. เดวิด ฟินเชอร์
    - อีนากถูกฆาตกรรม จนไอ้มากต้องออกมาช่วยกันสืบคดี จนสุดท้ายไอ้มากเปิดลังกระดาษแล้วพบกับ!!

    14. หม่อมน้อย
    - ดีเทลทุกอย่างของคลองพระโขนงจะต้องเนี้ยบ เสื้อผ้าต้องเย็บใหม่ให้เหมือนในอดีต

    15. ลาร์ส ฟอร์นเทียร์
    - นางเอกจะติดเซ็กส์ และต้องการค้นหาตัวเอง

    16. เป็นเอก รัตนเรือง
    - ไม่เน้นผี เน้นตีความ

    17. พี่เต๋อ
    - ตัวละครทุกตัวจะพูดแบบเท่ๆ

    18. ทิม เบอร์ตัน
    - ทุกตัวละครจะขอบตาดำกันหมดแต่งกายด้วยชุดอังกฤษยุคเลเนซองค์

    19. เดอนี วีลเนิฟว์
    - ฉากหลังอีนากเป็นยุคไซเบอร์พังค์

    20. จอร์ด มิลเลอร์
    - เรื่องราวไม่ได้เกิดในพระโขนง แต่เกิดในทะเลทราย

    21. คูบริก
    นักแสดงนางนากจะถูกกังขังหน่วงเหนี่ยวไว้ จนกว่าจะยืดแขนเองได้

    22. เดวิด ลินซ์
    - มึงดูไม่เข้าใจกันหรอก

    23. จิบลิ
    - อีนากตายหลงเข้าไปในมิติวิญญาณ และไปทำงานในซ่องของโลกหลังความตาย

    24.ชิออน โซโนะ
    - อีนากเบื่อการเป็นแม่บ้าน จึงออกไปหาความสำราญจนโดนหลอก.. แต่ติดใจ

    25. ชินไค มาโคโตะ
    - แม่นากจะตามหาพี่มากตลอดไป จะost. ชื่อ 9.8 meter per sec ซึ่งมาจากความเร็วของมะนาวที่แม่นากทำหล่นจากชานบ้าน /เอ้าซู๊ดดดดดด

    26. อังลี่
    - อีนากคลอดลูกและรอดตาย ไอ้มากกลับมาปลอดภัย จนไอ้มากต้องไปทำงานเลี้ยงแกะบนเขา จนไปพบรักกับชายหนุ่มและทั้งคู่แอบเป็นชู้กัน

    27. พอล ดับบิวเอสแอนเดอสัน
    - แม่นากแสดงโดยเมียตัวเอง ให้แม่นากเก่งที่สุดในโลก มีพลังจิตมองตาพิฆาตสังหาร มีซอมบี้ เอาลูกซองที่ลูกกระสุนเป็นเหรียญลากหัวซอมบี้คมๆ

    28. เจมส์ เคเมรอน
    - สร้างพระโขนงขึ้นมาใหม่ เอาให้เหมือนจริงสุดๆ จนนักแสดงแก่หมดแล้ว หนังก็ยังสร้างไม่เสร็จ..

    29. ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ
    - แม่นากไอ้มาก ลักเด็กที่ถูกทำร้ายจากครอบครัวอีปริกมาเลี้ยงและหลายๆคนในครอบครัวไม่ใช่สายเลือดเดียวกันเพราะอีนากมีลูกไม่ได้

    30. กีเยโมร์ เดลโทโร่
    -นางมากและไอ้มากอยู่ในหน่วยพิทักษ์โลเพราะในการขับหุ่นยนต์ยักเยเกอร์ต้องใช้พลขับ 2 คนโดยทั้ง 2 ขับหุ่นยนต์ที่ชื่อ ยิปซี แดนเจอร์ ขับไปไปขับมาเลยได้เสียกันอีนากท้อง จากนั้นจึงตั้งชื่อลูกว่าไอ้แดง

    31.โรเบิร์ต เซเมคิส
    - นางนากต้องเป็นคนที่ไอ้มากปักใจรักมากที่สุดในชีวิต ก่อนนางจะใช้ชีวิตแบบขนนกที่ล่องลอยไปแบบที่นางอยากเป็น ผิดกับไอ้มากที่หลังจากไปรบในสงครามก็ใช้ชีวิตแบบขนนกที่ปลิวไปตามสายลมลมจะหอบไปทางไหนแต่เขาก็ตั้งใจทำมันทุกๆอย่างจนประสบความสำเร็จ สุดท้ายอีนากก็มีลูกชายกับไอ้มากแล้วนางก็ตาย ทำให้ไอ้มากต้องดูแลลูกชายหรือไอ้แดงเพียงคนเดียว ไอ้มากจึงสอนลูกชายเสมอว่า " ความตายเป็นส่วนนึงของชีวิต และ ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อคโกแลตเราไม่มีทางรู้ว่ามีรสชาติใดอยู่ข้างในบ้าง.."

    ที่เหลือก็หาผกก.ที่ชอบคอมเม้นท์มาเองนะ
    จะเป็นอย่างไรเมื่อ " นางนาก "ถูกสร้างโดยผู้กำกับ ชื่อดังทั่วโลก (ครบรอบ 26 ปีนางนาก) 1. เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน - พี่มากกลับมาจากรบ และรู้ว่าแม่นากรอเขาจนตาย พี่มากเสียใจสุดๆ จึงพยายามทำทุกทางเพื่ออยากเจออีนากอีกครั้ง วันเวลาผ่านไปเป็นสิบปี จนเขาได้เจอกับคนที่อ้างว่ามาจากอนาคต และสามารถทำให้พี่มากย้อนเวลาไปหาอีนากได้ เขาจึงเข้าเครื่องย้อนเวลา และทำให้กลับไปเจออีนากอีกครั้ง อีนากตกใจกับผัวที่แก่ขึ้น และทั้งคู่ก็ทะเลาะกัน จนพี่มากพลั้งมือฆ่าอีนากตาย.. 2. เควนติน มารันติโน่ - อีนากปากหมา ไล่ด่าทุกคน ก่อนเควนตินจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์หนัง อีนากไม่ตาย แต่เป็นไอ้มากตายและกลายเป็นผีมาหลอกแทน 3. หว่อง-กาไว - อีนากนั่งรอพี่มากที่ท่าน้ำกับบรรยากาศสุดเหงายามเย็นที่มีแสงไฟจากตะเกียง พร้อมอีนากหยิบยาสูบขึ้นมาสูบ ทุกอย่างมันสโลไปหมด ยกเว้นอีนากคนเดียว 4. ปู่มาร์ตี้ - พี่มากเป็นหัวหน้าแก๊งค์รีดไถ่เงินในพระโขนง มีเพื่อนสนิทอยู่ 4 คน และมีเมียเป็นอีนาก ก่อนที่อีนากจะเล่นชู้กับเพื่อนพี่มากพร้อมกับเป่าหูให้ทุกคนหักหลังกัน และทั้งเรื่องจะเป็นการหักเหลี่ยมกันของแก๊งค์ ที่มีฉากไล่ข้าวโพดเป็นตอนจบ 5. ไมเคิล เบย์ - อีนากไม่ได้ท้องและออกไปรอบกับไอ้มากด้วย พร้อมกับระเบิดภูเขาเผ่ากระท่อมเหมือนเดิม 5.1. ไมเคิล เบย์ -อีนากหนีมาจากดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอนแต่ระบบเสียงเสียพูดไม่ได้ จากนั้นอีนากจะส่งแสงขึ้นฟ้าเป็นรูปสัญลักษณ์ ไอ้มากเห็นจึงเดินทางมายังดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า โลกกกกก !? 6. จอห์น วู - อีนากนั่งรอที่ท่าน้ำจะมีนกพิราบบินแบบสโลโมชั่น ฉากระเบิดที่สงครามไอ้มากไปรบต้องใหญ่ๆไฟและควันพุ่งขึ้นสูงๆ 7. โรเบิร์ต รอดริเกซ - อีนากตาย และกลายเป็นแวมไพร์ ไล่ฆ่าคน 8. พี่เจ้ย - อีนากปลงชีวิต เดินเข้าไปใช้ชีวิตในป่า เดินไปเจอกับธรรมชาติมากมาย ก่อนนางจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น 9. เอ็มไนต์ ชายามาลาน - อีนากตายเป็นผี ไอ้มากไม่รู้และไม่มีใครบอก เขาก็เลยอยู่กินกับผี จนพี่มากสังเกตและรู้เองว่าอีนากตายไปนานแล้ว ก่อนอีนากจะบอกว่า มึงก็ตายไปนานแล้วเหมือนกัน.. 10. เวส แอนเดอร์สัน - พระโขนงจะกลายเป็นสีพาสเทล 11. พี่พจน์ อานนท์ - พี่มากเป็นเกย์ และตบกะอีนาก 12. คิมคิ ด็อก - ทั้งเรื่องจะเงียบ และไม่มีบทพูด อีนากจะเงียบและรอคอยพี่มาก แต่ตัวละครรอบข้างจะพูดปกติ 13. เดวิด ฟินเชอร์ - อีนากถูกฆาตกรรม จนไอ้มากต้องออกมาช่วยกันสืบคดี จนสุดท้ายไอ้มากเปิดลังกระดาษแล้วพบกับ!! 14. หม่อมน้อย - ดีเทลทุกอย่างของคลองพระโขนงจะต้องเนี้ยบ เสื้อผ้าต้องเย็บใหม่ให้เหมือนในอดีต 15. ลาร์ส ฟอร์นเทียร์ - นางเอกจะติดเซ็กส์ และต้องการค้นหาตัวเอง 16. เป็นเอก รัตนเรือง - ไม่เน้นผี เน้นตีความ 17. พี่เต๋อ - ตัวละครทุกตัวจะพูดแบบเท่ๆ 18. ทิม เบอร์ตัน - ทุกตัวละครจะขอบตาดำกันหมดแต่งกายด้วยชุดอังกฤษยุคเลเนซองค์ 19. เดอนี วีลเนิฟว์ - ฉากหลังอีนากเป็นยุคไซเบอร์พังค์ 20. จอร์ด มิลเลอร์ - เรื่องราวไม่ได้เกิดในพระโขนง แต่เกิดในทะเลทราย 21. คูบริก นักแสดงนางนากจะถูกกังขังหน่วงเหนี่ยวไว้ จนกว่าจะยืดแขนเองได้ 22. เดวิด ลินซ์ - มึงดูไม่เข้าใจกันหรอก 23. จิบลิ - อีนากตายหลงเข้าไปในมิติวิญญาณ และไปทำงานในซ่องของโลกหลังความตาย 24.ชิออน โซโนะ - อีนากเบื่อการเป็นแม่บ้าน จึงออกไปหาความสำราญจนโดนหลอก.. แต่ติดใจ 25. ชินไค มาโคโตะ - แม่นากจะตามหาพี่มากตลอดไป จะost. ชื่อ 9.8 meter per sec ซึ่งมาจากความเร็วของมะนาวที่แม่นากทำหล่นจากชานบ้าน /เอ้าซู๊ดดดดดด 26. อังลี่ - อีนากคลอดลูกและรอดตาย ไอ้มากกลับมาปลอดภัย จนไอ้มากต้องไปทำงานเลี้ยงแกะบนเขา จนไปพบรักกับชายหนุ่มและทั้งคู่แอบเป็นชู้กัน 27. พอล ดับบิวเอสแอนเดอสัน - แม่นากแสดงโดยเมียตัวเอง ให้แม่นากเก่งที่สุดในโลก มีพลังจิตมองตาพิฆาตสังหาร มีซอมบี้ เอาลูกซองที่ลูกกระสุนเป็นเหรียญลากหัวซอมบี้คมๆ 28. เจมส์ เคเมรอน - สร้างพระโขนงขึ้นมาใหม่ เอาให้เหมือนจริงสุดๆ จนนักแสดงแก่หมดแล้ว หนังก็ยังสร้างไม่เสร็จ.. 29. ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ - แม่นากไอ้มาก ลักเด็กที่ถูกทำร้ายจากครอบครัวอีปริกมาเลี้ยงและหลายๆคนในครอบครัวไม่ใช่สายเลือดเดียวกันเพราะอีนากมีลูกไม่ได้ 30. กีเยโมร์ เดลโทโร่ -นางมากและไอ้มากอยู่ในหน่วยพิทักษ์โลเพราะในการขับหุ่นยนต์ยักเยเกอร์ต้องใช้พลขับ 2 คนโดยทั้ง 2 ขับหุ่นยนต์ที่ชื่อ ยิปซี แดนเจอร์ ขับไปไปขับมาเลยได้เสียกันอีนากท้อง จากนั้นจึงตั้งชื่อลูกว่าไอ้แดง 31.โรเบิร์ต เซเมคิส - นางนากต้องเป็นคนที่ไอ้มากปักใจรักมากที่สุดในชีวิต ก่อนนางจะใช้ชีวิตแบบขนนกที่ล่องลอยไปแบบที่นางอยากเป็น ผิดกับไอ้มากที่หลังจากไปรบในสงครามก็ใช้ชีวิตแบบขนนกที่ปลิวไปตามสายลมลมจะหอบไปทางไหนแต่เขาก็ตั้งใจทำมันทุกๆอย่างจนประสบความสำเร็จ สุดท้ายอีนากก็มีลูกชายกับไอ้มากแล้วนางก็ตาย ทำให้ไอ้มากต้องดูแลลูกชายหรือไอ้แดงเพียงคนเดียว ไอ้มากจึงสอนลูกชายเสมอว่า " ความตายเป็นส่วนนึงของชีวิต และ ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อคโกแลตเราไม่มีทางรู้ว่ามีรสชาติใดอยู่ข้างในบ้าง.." ที่เหลือก็หาผกก.ที่ชอบคอมเม้นท์มาเองนะ
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • ถ้าไม่พูดถึงความรักก็จะดูตกเทรนด์ วันนี้เลยขอพูดถึงวลีคลาสสิคที่โด่งดังจากปากของเทพธิดาไหมแดงลี้มกโช้ว

    ความมีอยู่ว่า
    ... ทันใดนั้น ในอัคคีเพลิงบังเกิดเสียงเพลงอันเกรี้ยวกราดโหยหวนดังออกมาว่า
    “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด
    จึงมอบให้แก่กันและกันด้วยชีวิต
    วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ...” ...

    - จากเรื่อง <เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี> ผู้แต่ง กิมย้ง แปลและเรียบเรียงโดย น.นพรัตน์
    (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ)

    มีคนวิเคราะห์ไปแล้วมากมายถึงบทกวีนี้และเรื่องราวความรักของตัวละครต่างๆ ของกิมย้ง Storyฯ จะไม่กล่าวซ้ำ แต่ Storyฯ เชื่อว่าคงมีลูกเพจไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวเบื้องหลังของบทกวีนี้ ไม่ใช่เรื่องราวความรักของคน

    บทกวีนี้ปรากฎในยุคสมัยราชวงศ์จินโดยอัจฉริยะกวีและนักประวัติศาสตร์หยวนฮ่าวเวิ่น (ปีค.ศ. 1190-1297) ว่ากันว่า หยวนฮ่าวเวิ่นเมื่อครั้งยังอายุเพียง 16 ปี ได้เดินทางไปกับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อไปสอบ ระหว่างทางพบนายพรานคนหนึ่งกำลังรำพึงรำพันกับซากศพห่านป่าคู่หนึ่ง พรานเล่าให้ฟังว่าห่านป่าคู่นี้ ตัวหนึ่งโดนดักจับตาย อีกตัวหนึ่งบินหลุดรอดไปได้ แต่มันไม่หนีไป กลับบินวนส่งเสียงร้องไห้โหยหวน สุดท้ายพุ่งตัวดิ่งลงมาชนพื้นตายอยู่ข้างๆ คู่ของมัน

    หยวนฮ่าวเวิ่นรู้สึกโดนใจกับเรื่องราวของห่านป่าคู่นี้ จึงซื้อมันแล้วนำไปฝังไว้ด้วยกันที่ริมน้ำและตั้งชื่อหลุมฝังศพนั้นว่า “เนินห่านป่า” (เยี่ยนชิว หรือ 雁丘) เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนกลุ่มนี้ต่างแต่งบทกลอนขึ้นมา โดยหยวนฮ่าวเวินแต่งกลอนเนินห่านป่าบทนี้ขึ้น ต่อมามีการปรับปรุงเพิ่มเติมและเอาไปรวมอยู่ในชุดกลอน “ลูบคลำปลาน้อย” (ม้ออวี๋เอ่อร์ หรือ 摸鱼儿) ที่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบหกอักษร โดยเรียกกลอนวรรคนี้ว่า “ลูบคลำปลาน้อย: บทกวีเนินห่านป่า” (摸鱼儿.雁丘词)

    เข้าใจที่มาและเรื่องราวเบื้องหลังแล้ว ลองอ่านบทกวีเต็มๆ อีกทีนะคะว่า เห็นเงาร่างของห่านฟ้าคู่นี้ในบทกวีกันบ้างไหม

    “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้แก่กันด้วยชีวิต วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ เทียบปีกบินโผผินกี่ฤดูกาล ร่วมหรรษาเริงรื่น ขื่นขมยามพลัดพรากหาย กอปรด้วยบุตรธิดางมงาย ท่านพึงหมายจำนรรจา ชั้นเฆฆาสูงหมื่นลี้ ทัศนีย์พันภูพาไศล เงาเดียวดายดำรงอยู่ได้อย่างไร”

    Credit รูปภาพจาก: https://board.postjung.com/796272
    Credit เนื้อหารวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com
    https://zhidao.baidu.com/question/621016209188011772.html
    https://m.sohu.com/a/434620154_99929216/?pvid=000115_3w_a

    #กิมย้ง #เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    ถ้าไม่พูดถึงความรักก็จะดูตกเทรนด์ วันนี้เลยขอพูดถึงวลีคลาสสิคที่โด่งดังจากปากของเทพธิดาไหมแดงลี้มกโช้ว ความมีอยู่ว่า ... ทันใดนั้น ในอัคคีเพลิงบังเกิดเสียงเพลงอันเกรี้ยวกราดโหยหวนดังออกมาว่า “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้แก่กันและกันด้วยชีวิต วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ...” ... - จากเรื่อง <เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี> ผู้แต่ง กิมย้ง แปลและเรียบเรียงโดย น.นพรัตน์ (หมายเหตุ ชื่อหนังสือตามฉบับแปลอย่างเป็นทางการ) มีคนวิเคราะห์ไปแล้วมากมายถึงบทกวีนี้และเรื่องราวความรักของตัวละครต่างๆ ของกิมย้ง Storyฯ จะไม่กล่าวซ้ำ แต่ Storyฯ เชื่อว่าคงมีลูกเพจไม่น้อยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วเรื่องราวเบื้องหลังของบทกวีนี้ ไม่ใช่เรื่องราวความรักของคน บทกวีนี้ปรากฎในยุคสมัยราชวงศ์จินโดยอัจฉริยะกวีและนักประวัติศาสตร์หยวนฮ่าวเวิ่น (ปีค.ศ. 1190-1297) ว่ากันว่า หยวนฮ่าวเวิ่นเมื่อครั้งยังอายุเพียง 16 ปี ได้เดินทางไปกับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อไปสอบ ระหว่างทางพบนายพรานคนหนึ่งกำลังรำพึงรำพันกับซากศพห่านป่าคู่หนึ่ง พรานเล่าให้ฟังว่าห่านป่าคู่นี้ ตัวหนึ่งโดนดักจับตาย อีกตัวหนึ่งบินหลุดรอดไปได้ แต่มันไม่หนีไป กลับบินวนส่งเสียงร้องไห้โหยหวน สุดท้ายพุ่งตัวดิ่งลงมาชนพื้นตายอยู่ข้างๆ คู่ของมัน หยวนฮ่าวเวิ่นรู้สึกโดนใจกับเรื่องราวของห่านป่าคู่นี้ จึงซื้อมันแล้วนำไปฝังไว้ด้วยกันที่ริมน้ำและตั้งชื่อหลุมฝังศพนั้นว่า “เนินห่านป่า” (เยี่ยนชิว หรือ 雁丘) เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนกลุ่มนี้ต่างแต่งบทกลอนขึ้นมา โดยหยวนฮ่าวเวินแต่งกลอนเนินห่านป่าบทนี้ขึ้น ต่อมามีการปรับปรุงเพิ่มเติมและเอาไปรวมอยู่ในชุดกลอน “ลูบคลำปลาน้อย” (ม้ออวี๋เอ่อร์ หรือ 摸鱼儿) ที่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบหกอักษร โดยเรียกกลอนวรรคนี้ว่า “ลูบคลำปลาน้อย: บทกวีเนินห่านป่า” (摸鱼儿.雁丘词) เข้าใจที่มาและเรื่องราวเบื้องหลังแล้ว ลองอ่านบทกวีเต็มๆ อีกทีนะคะว่า เห็นเงาร่างของห่านฟ้าคู่นี้ในบทกวีกันบ้างไหม “ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงมอบให้แก่กันด้วยชีวิต วิหคคู่เคียงจากดินอุดรฟ้าทักษิณ เทียบปีกบินโผผินกี่ฤดูกาล ร่วมหรรษาเริงรื่น ขื่นขมยามพลัดพรากหาย กอปรด้วยบุตรธิดางมงาย ท่านพึงหมายจำนรรจา ชั้นเฆฆาสูงหมื่นลี้ ทัศนีย์พันภูพาไศล เงาเดียวดายดำรงอยู่ได้อย่างไร” Credit รูปภาพจาก: https://board.postjung.com/796272 Credit เนื้อหารวบรวมจาก: https://baike.baidu.com https://zhidao.baidu.com/question/621016209188011772.html https://m.sohu.com/a/434620154_99929216/?pvid=000115_3w_a #กิมย้ง #เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี #บทกวีจีนโบราณ StoryfromStory
    BOARD.POSTJUNG.COM
    ลี้ม๊กโช้ว เทพธิดาไหมแดง
    ลี้ม๊กโช้ว เทพธิดาไหมแดง ลี้มกโช้ว เป็นตัวละครใน นิยายกำลังภายในของกิมย้ง เรื่องมังกรหยก ลี้มกโช้ว เป็นศิษย์สำนักสุสานโบราณ รุ่นที่ 3 ฉายา เทพธิดาไหมแดง ..
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข้อความที่ขาดหาย: เมื่อ Aeneas ช่วยต่อจิ๊กซอว์ของอดีตด้วย AI

    Aeneas เป็นโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่ DeepMind พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยนักวิชาการ:
    - ตีความข้อความโบราณที่ไม่สมบูรณ์
    - ค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างข้อความต่าง ๆ
    - ฟื้นฟูเนื้อหาที่ขาดหายไป
    - จัดกลุ่มข้อความตามช่วงเวลาและบริบททางประวัติศาสตร์

    โมเดลนี้ใช้ข้อมูลจากจารึกภาษาละตินกว่า 176,000 รายการ ซึ่งสะสมจากงานวิจัยหลายสิบปี และสามารถ:
    - สร้าง “ลายนิ้วมือทางประวัติศาสตร์” ให้กับแต่ละข้อความ
    - วิเคราะห์รูปแบบทางไวยากรณ์และสูตรมาตรฐานในจารึก
    - รองรับการประมวลผลแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ + รูปภาพ

    Aeneas เป็นการต่อยอดจากโมเดล Ithaca ที่เคยใช้กับภาษากรีก โดยมีเป้าหมายเพื่อ:

    “ช่วยให้นักประวัติศาสตร์เข้าใจบริบทของข้อความที่โดดเดี่ยว และต่อภาพรวมของอดีตได้ชัดเจนขึ้น”

    DeepMind เปิดให้ใช้งาน Aeneas แบบ interactive สำหรับนักวิจัย นักเรียน ครู และพิพิธภัณฑ์ พร้อมเปิดซอร์สโค้ดและชุดข้อมูลบน GitHub

    https://www.neowin.net/news/google-deepmind-releases-new-ai-model-aeneas-that-understands-ancient-lingo/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อความที่ขาดหาย: เมื่อ Aeneas ช่วยต่อจิ๊กซอว์ของอดีตด้วย AI Aeneas เป็นโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่ DeepMind พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยนักวิชาการ: - ตีความข้อความโบราณที่ไม่สมบูรณ์ - ค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างข้อความต่าง ๆ - ฟื้นฟูเนื้อหาที่ขาดหายไป - จัดกลุ่มข้อความตามช่วงเวลาและบริบททางประวัติศาสตร์ โมเดลนี้ใช้ข้อมูลจากจารึกภาษาละตินกว่า 176,000 รายการ ซึ่งสะสมจากงานวิจัยหลายสิบปี และสามารถ: - สร้าง “ลายนิ้วมือทางประวัติศาสตร์” ให้กับแต่ละข้อความ - วิเคราะห์รูปแบบทางไวยากรณ์และสูตรมาตรฐานในจารึก - รองรับการประมวลผลแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ + รูปภาพ Aeneas เป็นการต่อยอดจากโมเดล Ithaca ที่เคยใช้กับภาษากรีก โดยมีเป้าหมายเพื่อ: 🔖 “ช่วยให้นักประวัติศาสตร์เข้าใจบริบทของข้อความที่โดดเดี่ยว และต่อภาพรวมของอดีตได้ชัดเจนขึ้น” DeepMind เปิดให้ใช้งาน Aeneas แบบ interactive สำหรับนักวิจัย นักเรียน ครู และพิพิธภัณฑ์ พร้อมเปิดซอร์สโค้ดและชุดข้อมูลบน GitHub https://www.neowin.net/news/google-deepmind-releases-new-ai-model-aeneas-that-understands-ancient-lingo/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google DeepMind releases new AI model 'Aeneas' that understands ancient lingo
    Google DeepMind has dropped a new AI model, Aeneas, to help historians better interpret connections from the past.
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • ด่วน!
    กัมพูชาแถลงยัน ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบเป็นระเบิดเก่า ไม่ใช่ PMN-2

    หน่วยงานปฏิบัติการและช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่า กองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย
    .
    หลังจากเกิดเหตุระเบิดทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. 68 ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุ
    .
    CMAA ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่นและย้ำว่า กัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542 อย่างเต็มที่

    แถลงการณ์โดยละเอียด:

    CMAA ขอตอบโต้ข้อกล่าวหาของไทย: จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตทุ่นระเบิดที่ได้รับการบันทึกไว้ภายในเขตแดนกัมพูชา

    พนมเปญ — หน่วยงานช่วยเหลือเหยื่อและปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์ดังต่อไปนี้เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่ากองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย

    หลังจากเกิดเหตุระเบิดจากทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนในจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 เป็นระเบิดที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุในครั้งนี้

    ทางหน่วยงาน CMAA ขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่น และย้ำว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542

    การตรวจสอบทางเทคนิคโดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเขตแดนของกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่นระเบิด BS/CMAA/16808 ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านเตโชโมโรโกต ตำบลโมโรโกต อำเภอจัมโบกสัน ทุ่นระเบิดนี้ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย และเป็นส่วนหนึ่งของคลังทุ่นระเบิดเก่าของกัมพูชาที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในอดีต

    การประเมินทางนิติวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับรูปแบบการบาดเจ็บชี้ให้เห็นว่าการระเบิดน่าจะเกิดจากทุ่นระเบิดเก่าที่มีพลังทำลายต่ำ เช่น ประเภท 72A, 72B, M14, MN79 หรือ MD82B ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแต่ละทุ่นระเบิดจะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ในทางตรงกันข้าม ทุ่นระเบิด PMN-2 มีวัตถุระเบิดมากกว่า 115 กรัม และมักส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าการบาดเจ็บที่ได้รับในเหตุการณ์นี้ไม่สอดคล้องกับการระเบิดของ PMN-2

    CMAA เน้นย้ำข้อเท็จจริงสำคัญดังต่อไปนี้:

    1. ยังไม่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนหนึ่งของทุ่นระเบิดที่มีมายาวนาน ซึ่งยังคงเป็นภัยคุกคามด้านมนุษยธรรมต่อชุมชนชายแดน

    2. การระเบิดเกิดขึ้นในเขตอันตรายที่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ พื้นที่ระเบิดทั้งหมดอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาและยังไม่ได้รับการแก้ไข

    3. กัมพูชามีสถิติการปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 กัมพูชาได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 1.1 ล้านลูก และซากวัตถุระเบิดจากสงครามเกือบ 3 ล้านชิ้น ประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดทั่วโลก รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเสียมเรียบ-อังกอร์ ปี พ.ศ. 2567 เพื่อลงนามสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด

    ข้อกล่าวอ้างเรื่องการติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานภาคสนาม และมีความเสี่ยงที่จะบั่นทอนเจตนารมณ์แห่งความร่วมมือซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาวุโส ลี ธุช รองประธานคนแรกของ CMAA แสดงความเสียใจต่อข้อเท็จจริงที่ผู้นำไทยบางคนกำลังบิดเบือนความตึงเครียดบริเวณชายแดนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นทางการเมืองภายในประเทศของไทย เขาโต้แย้งอย่างหนักแน่นต่อข้อเสนอของไทยที่ว่ากัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ โดยระบุว่ากัมพูชาประสบปัญหาจากการปนเปื้อนของทุ่นระเบิดมานานหลายทศวรรษ และกำลังดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อกำจัดทุ่นระเบิดเหล่านี้

    “เราเหนื่อยล้าจากอันตรายของทุ่นระเบิด และใช้เวลากว่า 30 ปีในการกำจัดทุ่นระเบิด” เขากล่าว “กัมพูชายังคงยึดมั่นในสันติภาพ และเราขอเรียกร้องให้ไทยร่วมเจรจาหารือเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและปฏิบัติการกำจัดทุ่นระเบิดร่วมกัน”

    เขายังกล่าวอีกว่า การกำจัดทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน เนื่องจากภูมิประเทศที่ยากลำบาก พืชพรรณที่หนาแน่น และพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนอย่างหนัก ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการกำจัด

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาวุโสยังย้ำว่าการขาดเจตนารมณ์อันดีและความไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับกัมพูชาในการกำหนดเขตแดนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายปลอดทุ่นระเบิดของกัมพูชา

    “ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ กองกำลังทหารไทยและนักการเมืองไทยบางคนได้ก่อให้เกิดข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมาหลายครั้ง”

    ท่านแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่าองค์ประกอบบางส่วนในกองทัพและการเมืองของไทยยังคงแสดงความไม่พอใจในสิ่งที่ได้รับจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความโลภแบบจักรวรรดินิยม แม้ว่าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ก็ตาม

    https://web.facebook.com/share/p/16Ks7b33s6/
    ด่วน! กัมพูชาแถลงยัน ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบเป็นระเบิดเก่า ไม่ใช่ PMN-2 หน่วยงานปฏิบัติการและช่วยเหลือเหยื่อทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่า กองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย . หลังจากเกิดเหตุระเบิดทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. 68 ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุ . CMAA ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่นและย้ำว่า กัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542 อย่างเต็มที่ แถลงการณ์โดยละเอียด: CMAA ขอตอบโต้ข้อกล่าวหาของไทย: จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตทุ่นระเบิดที่ได้รับการบันทึกไว้ภายในเขตแดนกัมพูชา พนมเปญ — หน่วยงานช่วยเหลือเหยื่อและปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์ดังต่อไปนี้เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาล่าสุดของเจ้าหน้าที่ไทยที่กล่าวหาว่ากองกำลังกัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดลูกใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย หลังจากเกิดเหตุระเบิดจากทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บใกล้ชายแดนในจังหวัดพระวิหาร เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวหาว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 เป็นระเบิดที่เพิ่งติดตั้งใหม่เป็นสาเหตุในครั้งนี้ ทางหน่วยงาน CMAA ขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างหนักแน่น และย้ำว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) อย่างเคร่งครัด ซึ่งกัมพูชาได้ให้สัตยาบันในปี พ.ศ. 2542 การตรวจสอบทางเทคนิคโดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเขตแดนของกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่นระเบิด BS/CMAA/16808 ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านเตโชโมโรโกต ตำบลโมโรโกต อำเภอจัมโบกสัน ทุ่นระเบิดนี้ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย และเป็นส่วนหนึ่งของคลังทุ่นระเบิดเก่าของกัมพูชาที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในอดีต การประเมินทางนิติวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับรูปแบบการบาดเจ็บชี้ให้เห็นว่าการระเบิดน่าจะเกิดจากทุ่นระเบิดเก่าที่มีพลังทำลายต่ำ เช่น ประเภท 72A, 72B, M14, MN79 หรือ MD82B ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแต่ละทุ่นระเบิดจะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ในทางตรงกันข้าม ทุ่นระเบิด PMN-2 มีวัตถุระเบิดมากกว่า 115 กรัม และมักส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าการบาดเจ็บที่ได้รับในเหตุการณ์นี้ไม่สอดคล้องกับการระเบิดของ PMN-2 CMAA เน้นย้ำข้อเท็จจริงสำคัญดังต่อไปนี้: 1. ยังไม่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นส่วนหนึ่งของทุ่นระเบิดที่มีมายาวนาน ซึ่งยังคงเป็นภัยคุกคามด้านมนุษยธรรมต่อชุมชนชายแดน 2. การระเบิดเกิดขึ้นในเขตอันตรายที่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ พื้นที่ระเบิดทั้งหมดอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาและยังไม่ได้รับการแก้ไข 3. กัมพูชามีสถิติการปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 กัมพูชาได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 1.1 ล้านลูก และซากวัตถุระเบิดจากสงครามเกือบ 3 ล้านชิ้น ประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดทั่วโลก รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดเสียมเรียบ-อังกอร์ ปี พ.ศ. 2567 เพื่อลงนามสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด ข้อกล่าวอ้างเรื่องการติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานภาคสนาม และมีความเสี่ยงที่จะบั่นทอนเจตนารมณ์แห่งความร่วมมือซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาวุโส ลี ธุช รองประธานคนแรกของ CMAA แสดงความเสียใจต่อข้อเท็จจริงที่ผู้นำไทยบางคนกำลังบิดเบือนความตึงเครียดบริเวณชายแดนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นทางการเมืองภายในประเทศของไทย เขาโต้แย้งอย่างหนักแน่นต่อข้อเสนอของไทยที่ว่ากัมพูชาได้ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ โดยระบุว่ากัมพูชาประสบปัญหาจากการปนเปื้อนของทุ่นระเบิดมานานหลายทศวรรษ และกำลังดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อกำจัดทุ่นระเบิดเหล่านี้ “เราเหนื่อยล้าจากอันตรายของทุ่นระเบิด และใช้เวลากว่า 30 ปีในการกำจัดทุ่นระเบิด” เขากล่าว “กัมพูชายังคงยึดมั่นในสันติภาพ และเราขอเรียกร้องให้ไทยร่วมเจรจาหารือเกี่ยวกับปัญหาชายแดนและปฏิบัติการกำจัดทุ่นระเบิดร่วมกัน” เขายังกล่าวอีกว่า การกำจัดทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนไทยยังคงเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน เนื่องจากภูมิประเทศที่ยากลำบาก พืชพรรณที่หนาแน่น และพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนอย่างหนัก ซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการกำจัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาวุโสยังย้ำว่าการขาดเจตนารมณ์อันดีและความไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับกัมพูชาในการกำหนดเขตแดนเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายปลอดทุ่นระเบิดของกัมพูชา “ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ กองกำลังทหารไทยและนักการเมืองไทยบางคนได้ก่อให้เกิดข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมาหลายครั้ง” ท่านแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่าองค์ประกอบบางส่วนในกองทัพและการเมืองของไทยยังคงแสดงความไม่พอใจในสิ่งที่ได้รับจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความโลภแบบจักรวรรดินิยม แม้ว่าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านั้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ก็ตาม https://web.facebook.com/share/p/16Ks7b33s6/
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • ผ่านวีคเอนด์แห่งความรักมาแล้ว วันนี้คุยกันเรื่องประเพณีงานแต่งงาน
    ความมีอยู่ว่า

    ... ครั้นกู้ถิงเยี่ยยกน้ำชาให้เสิ้งหงและฮูหยินจนเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว เจ้าสาวที่แต่งกายแต่งหน้าอย่างเต็มที่พร้อมผ้าคลุมหน้าก็ถูกแม่เฒ่าป๋าวพาก้าวเนิบๆ เข้าโถงใหญ่มา กู้ถิงเยี่ยไม่กระพริบตา เขาพาหมิงหลันค้อมกายลงคำนับอำลาเสิ้งหงและฮูหยิน ...

    - จากเรื่อง <หมิงหลัน บุปผาเคียงใจ> ผู้แต่ง กวนซินเจ๋อล่วน
    (หมายเหตุ ชื่อตามหนังสือฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่องตำนานหมิงหลันดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ในหนังสือ (ตามความข้างบน) หมิงหลันมีผ้าคลุมหน้าตอนแต่งงาน แต่ในละครกลับใช้เป็นพัดกลมบังหน้า (ดูจากรูปของละคร เปรียบเทียบกับรูปเจ้าสาวคลุมหน้าทั่วไป) มีเพื่อนเพจสงสัยกันบ้างไหมว่า ต่างกันอย่างไร? และประเพณีที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร?

    ไม่ว่าจะเป็นพัดหรือผ้าคลุมหน้า ล้วนเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นกุลสตรีของเจ้าสาว เพราะสมัยโบราณถือว่าการเผยหน้าต่อสาธารณะชนเป็นการประพฤติตนไม่งาม

    แต่ประเพณีแต่โบราณดั้งเดิมคือการถือพัด ว่ากันว่า เป็นไปตามตำนานปรำปราเรื่องของหนี่ว์วาและพี่ชายฝูซี สองพี่น้องเทพยดาผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนเขาคุนลุ้น ต่อมาแต่งงานกันและสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จากดินเหนียว โดยตามตำนานนางรู้สึกเขินอายเมื่อต้องแต่งงานกับพี่ชาย จึงใช้พัดที่ถักจากหญ้ามาบังใบหน้าไว้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขึ้น ต่อมาเพิ่มเติมเป็นเคล็ดใช้บังเจ้าสาวจากสิ่งอัปมงคล

    ประวัติศาสตร์มีจารึกไว้เรื่องประเพณีเจ้าสาวถือพัดมาแต่ราชวงศ์เหนือใต้ (ปีค.ศ. 420-589) โดยในสมัยราชวงศ์ซ่ง เจ้าสาวต้องถือพัดไว้ตลอดจนกว่าจะถูกส่งเข้าห้องหอ โดยพัดที่ใช้เป็นพัดรูปทรงกลมหรือทรงผีเสื้อ พออยู่ในห้องหอจึงวางพัดลงได้ ขั้นตอนวางพัดนี้มีชื่อเรียกว่า “เชวี่ยซ่าน” (却扇)

    และในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งนี้เอง ได้เริ่มมีการใช้ผ้าคลุมหน้า ซึ่งเดิมเพียงพาดไว้บนศีรษะเพื่อบังความหนาว ต่อมากลายเป็นการคลุมทั้งหน้าลงมาและทดแทนการถือพัด และภายหลังจากราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ก็เลิกใช้พัดปิดหน้า เปลี่ยนมาใช้ผ้าคลุมหน้าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทน

    เนื่องจากเรื่อง หมิงหลันฯ นี้เป็นเรื่องราวในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการถือพัดแบบในละคร หรือการคลุมผ้าปิดหน้าแบบในหนังสือ ล้วนถูกต้องตามประเพณีของสมัยนั้นทั้งคู่ค่ะ

    Credit รูปภาพจาก:
    https://dramapanda.com/2019/01/the-story-of-minglan-wedding-between.html
    http://www.bgushi.com/archives/2236
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://k.sina.cn/article_6482315882_182604a6a00100heft.html
    http://www.3yan.cn/question/982793

    #หมิงหลัน #ราชวงศ์ซ่ง #ประเพณีจินโบราณ #ชุดเจ้าสาวจีน #พัดบังหน้า #StoryfromStory
    ผ่านวีคเอนด์แห่งความรักมาแล้ว วันนี้คุยกันเรื่องประเพณีงานแต่งงาน ความมีอยู่ว่า ... ครั้นกู้ถิงเยี่ยยกน้ำชาให้เสิ้งหงและฮูหยินจนเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว เจ้าสาวที่แต่งกายแต่งหน้าอย่างเต็มที่พร้อมผ้าคลุมหน้าก็ถูกแม่เฒ่าป๋าวพาก้าวเนิบๆ เข้าโถงใหญ่มา กู้ถิงเยี่ยไม่กระพริบตา เขาพาหมิงหลันค้อมกายลงคำนับอำลาเสิ้งหงและฮูหยิน ... - จากเรื่อง <หมิงหลัน บุปผาเคียงใจ> ผู้แต่ง กวนซินเจ๋อล่วน (หมายเหตุ ชื่อตามหนังสือฉบับแปลอย่างเป็นทางการ ละครเรื่องตำนานหมิงหลันดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ในหนังสือ (ตามความข้างบน) หมิงหลันมีผ้าคลุมหน้าตอนแต่งงาน แต่ในละครกลับใช้เป็นพัดกลมบังหน้า (ดูจากรูปของละคร เปรียบเทียบกับรูปเจ้าสาวคลุมหน้าทั่วไป) มีเพื่อนเพจสงสัยกันบ้างไหมว่า ต่างกันอย่างไร? และประเพณีที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร? ไม่ว่าจะเป็นพัดหรือผ้าคลุมหน้า ล้วนเป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นกุลสตรีของเจ้าสาว เพราะสมัยโบราณถือว่าการเผยหน้าต่อสาธารณะชนเป็นการประพฤติตนไม่งาม แต่ประเพณีแต่โบราณดั้งเดิมคือการถือพัด ว่ากันว่า เป็นไปตามตำนานปรำปราเรื่องของหนี่ว์วาและพี่ชายฝูซี สองพี่น้องเทพยดาผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนเขาคุนลุ้น ต่อมาแต่งงานกันและสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จากดินเหนียว โดยตามตำนานนางรู้สึกเขินอายเมื่อต้องแต่งงานกับพี่ชาย จึงใช้พัดที่ถักจากหญ้ามาบังใบหน้าไว้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขึ้น ต่อมาเพิ่มเติมเป็นเคล็ดใช้บังเจ้าสาวจากสิ่งอัปมงคล ประวัติศาสตร์มีจารึกไว้เรื่องประเพณีเจ้าสาวถือพัดมาแต่ราชวงศ์เหนือใต้ (ปีค.ศ. 420-589) โดยในสมัยราชวงศ์ซ่ง เจ้าสาวต้องถือพัดไว้ตลอดจนกว่าจะถูกส่งเข้าห้องหอ โดยพัดที่ใช้เป็นพัดรูปทรงกลมหรือทรงผีเสื้อ พออยู่ในห้องหอจึงวางพัดลงได้ ขั้นตอนวางพัดนี้มีชื่อเรียกว่า “เชวี่ยซ่าน” (却扇) และในยุคสมัยราชวงศ์ซ่งนี้เอง ได้เริ่มมีการใช้ผ้าคลุมหน้า ซึ่งเดิมเพียงพาดไว้บนศีรษะเพื่อบังความหนาว ต่อมากลายเป็นการคลุมทั้งหน้าลงมาและทดแทนการถือพัด และภายหลังจากราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ก็เลิกใช้พัดปิดหน้า เปลี่ยนมาใช้ผ้าคลุมหน้าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทน เนื่องจากเรื่อง หมิงหลันฯ นี้เป็นเรื่องราวในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการถือพัดแบบในละคร หรือการคลุมผ้าปิดหน้าแบบในหนังสือ ล้วนถูกต้องตามประเพณีของสมัยนั้นทั้งคู่ค่ะ Credit รูปภาพจาก: https://dramapanda.com/2019/01/the-story-of-minglan-wedding-between.html http://www.bgushi.com/archives/2236 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://k.sina.cn/article_6482315882_182604a6a00100heft.html http://www.3yan.cn/question/982793 #หมิงหลัน #ราชวงศ์ซ่ง #ประเพณีจินโบราณ #ชุดเจ้าสาวจีน #พัดบังหน้า #StoryfromStory
    DRAMAPANDA.COM
    The Story of Minglan wedding between Minglan and Gu Tingye - DramaPanda
    The latest developments in The Story of Minglan 知否知否应是绿肥红瘦 have been pure bliss and a stark contrast to the tragedy dealt in past episodes. With their separate storylines finally converging, Gu Tingye succeeds in pursuing Minglan and they get married (this happens on episode 40)! Truth be told, I started the show mainly for Zhao Liying, more so because it’s her drama with real-life hubby Feng Shaofeng though it didn’t take long before I was completely hooked to everything else about it. Despite complaints about the slow pace, I wouldn’t have it any other way because even as the characters go about dealing with the most
    1 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • 22 กรกฏาคม 2568- รายงานจากเพจ ThePublisher ระบุว่า 144-88” รหัสล้างบางนักการเมือง!คำนูณ ชี้โทษร้ายแรงอาจล้มทั้ง ครม.ถึงขั้นปลัดกระทรวงนั่งแทนนายกฯ22 กรกฎาคม 2568 — นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กวิเคราะห์เจาะลึกกรณีการร้องเรียนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งขณะนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในทางการเมือง โดยเรียกคดีนี้ว่า “144-88 รหัสล้างบางนักการเมือง” พร้อมเตือนว่าโทษของความผิดร้ายแรงถึงขั้น “สิ้นสุดสมาชิกภาพ” ของ ส.ส. และ “พ้นตำแหน่งทั้งคณะ” สำหรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ “ปลัดกระทรวง” ต้องมานั่งแทนนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคสอง ซึ่งไม่เคยถูกใช้มาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย—————จุดเริ่มต้น: ศาลรับเรื่องไต่สวนรองประธานสภานายคำนูณระบุว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่กล่าวหารองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่ากระทำผิดตามมาตรา 144 วรรคสอง (มีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย) โดยคำร้องดังกล่าวมาจาก ส.ส.พรรคประชาชนที่เข้าชื่อกันยื่นตรงต่อศาล ซึ่งต้องมีคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน กระบวนการไต่สวนจึงเดินหน้าอย่างเร่งด่วน————-ตีความ “144” กับ “88” — จุดเปลี่ยนทางนิติรัฐนายคำนูณอธิบายว่ามาตรา 144 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 มี 2 ฐานความผิดหลัก ได้แก่ 1. วรรคหนึ่ง – ห้าม ส.ส. แปรญัตติลดหรือตัดทอนรายจ่ายที่เป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย 2. วรรคสอง – ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐสภามีส่วนร่วมโดยตรงหรืออ้อมกับการใช้งบประมาณโดยมีช่องทางร้องเรียน 2 ทาง ได้แก่ • ส.ส. หรือ ส.ว. เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาล (ยื่นได้เฉพาะวรรคสอง) • แจ้งผ่าน ป.ป.ช. ตามวรรคสี่ ซึ่งนายคำนูณย้ำว่า “ประชาชนทั่วไป” ก็สามารถกระทำได้ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 88 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ปี 2561คีย์เวิร์ดสำคัญในมาตรา 88 คือ “เมื่อความปรากฏต่อ ป.ป.ช.” ซึ่งนายคำนูณชี้ว่า เปิดทางให้กรณีที่ประชาชนร้องเรียนใด ๆ หาก ป.ป.ช. รับรู้และเห็นว่ามีมูล ก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ทันทีโดยไม่ต้องผูกกับช่วงเวลาของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ————-โทษร้ายแรง—กระทบทั้งสภาและรัฐบาลขณะที่มาตรา 144 วรรคสาม ยังกำหนดเรียกเงินคืนบวกดอกเบี้ย กำหนดอายุความ 20 ปีด้วยสำหรับฐานความผิดมีโทษร้ายแรง : • สมาชิกภาพ ส.ส./ส.ว. สิ้นสุดทันที • เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง • ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เว้นผู้ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่อยู่ในที่ประชุม • ผู้กระทำผิดต้องใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย โดยมีอายุความ 20 ปี • และอาจมีความผิดทางอาญาตามมาอีกด้วย—————อาจได้เห็น ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนนายกฯหากคณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งเพราะคดีนี้ มาตรา 168 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า “จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้” ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ ซึ่งนายคำนูณชี้ว่าอาจนำไปสู่กรณีที่ “ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงทำหน้าที่แทน รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” และ “ประชุมคัดเลือกปลัดกระทรวงผู้หนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ” ตามกลไกในรัฐธรรมนูญ — ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน——————— ต้องจับตาศาลรัฐธรรมนูญนายคำนูณปิดท้ายว่า “จะมากจะน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเรื่องเฉพาะรายบุคคล แต่เป็น “รหัสล้างบางนักการเมือง” ที่อาจเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยทั้งระบบ“บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว แม้นช่วงโหมโรงนี้ท่วงทำนองจะเริ่มต้นแบบเนิบ ๆ แต่ความความดุดันกระแทกกระทั้น และเหนือความคาดหมายยากคาดเดา กำลังจะตามมา…” — คำนูณ สิทธิสมาน#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน
    22 กรกฏาคม 2568- รายงานจากเพจ ThePublisher ระบุว่า 144-88” รหัสล้างบางนักการเมือง!คำนูณ ชี้โทษร้ายแรงอาจล้มทั้ง ครม.ถึงขั้นปลัดกระทรวงนั่งแทนนายกฯ22 กรกฎาคม 2568 — นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กวิเคราะห์เจาะลึกกรณีการร้องเรียนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งขณะนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในทางการเมือง โดยเรียกคดีนี้ว่า “144-88 รหัสล้างบางนักการเมือง” พร้อมเตือนว่าโทษของความผิดร้ายแรงถึงขั้น “สิ้นสุดสมาชิกภาพ” ของ ส.ส. และ “พ้นตำแหน่งทั้งคณะ” สำหรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ “ปลัดกระทรวง” ต้องมานั่งแทนนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคสอง ซึ่งไม่เคยถูกใช้มาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย—————จุดเริ่มต้น: ศาลรับเรื่องไต่สวนรองประธานสภานายคำนูณระบุว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่กล่าวหารองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่ากระทำผิดตามมาตรา 144 วรรคสอง (มีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย) โดยคำร้องดังกล่าวมาจาก ส.ส.พรรคประชาชนที่เข้าชื่อกันยื่นตรงต่อศาล ซึ่งต้องมีคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน กระบวนการไต่สวนจึงเดินหน้าอย่างเร่งด่วน————-ตีความ “144” กับ “88” — จุดเปลี่ยนทางนิติรัฐนายคำนูณอธิบายว่ามาตรา 144 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 มี 2 ฐานความผิดหลัก ได้แก่ 1. วรรคหนึ่ง – ห้าม ส.ส. แปรญัตติลดหรือตัดทอนรายจ่ายที่เป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย 2. วรรคสอง – ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐสภามีส่วนร่วมโดยตรงหรืออ้อมกับการใช้งบประมาณโดยมีช่องทางร้องเรียน 2 ทาง ได้แก่ • ส.ส. หรือ ส.ว. เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาล (ยื่นได้เฉพาะวรรคสอง) • แจ้งผ่าน ป.ป.ช. ตามวรรคสี่ ซึ่งนายคำนูณย้ำว่า “ประชาชนทั่วไป” ก็สามารถกระทำได้ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 88 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ปี 2561คีย์เวิร์ดสำคัญในมาตรา 88 คือ “เมื่อความปรากฏต่อ ป.ป.ช.” ซึ่งนายคำนูณชี้ว่า เปิดทางให้กรณีที่ประชาชนร้องเรียนใด ๆ หาก ป.ป.ช. รับรู้และเห็นว่ามีมูล ก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ทันทีโดยไม่ต้องผูกกับช่วงเวลาของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ————-โทษร้ายแรง—กระทบทั้งสภาและรัฐบาลขณะที่มาตรา 144 วรรคสาม ยังกำหนดเรียกเงินคืนบวกดอกเบี้ย กำหนดอายุความ 20 ปีด้วยสำหรับฐานความผิดมีโทษร้ายแรง : • สมาชิกภาพ ส.ส./ส.ว. สิ้นสุดทันที • เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง • ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เว้นผู้ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่อยู่ในที่ประชุม • ผู้กระทำผิดต้องใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย โดยมีอายุความ 20 ปี • และอาจมีความผิดทางอาญาตามมาอีกด้วย—————อาจได้เห็น ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนนายกฯหากคณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งเพราะคดีนี้ มาตรา 168 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า “จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้” ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ ซึ่งนายคำนูณชี้ว่าอาจนำไปสู่กรณีที่ “ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงทำหน้าที่แทน รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” และ “ประชุมคัดเลือกปลัดกระทรวงผู้หนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ” ตามกลไกในรัฐธรรมนูญ — ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน——————— ต้องจับตาศาลรัฐธรรมนูญนายคำนูณปิดท้ายว่า “จะมากจะน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเรื่องเฉพาะรายบุคคล แต่เป็น “รหัสล้างบางนักการเมือง” ที่อาจเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยทั้งระบบ“บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว แม้นช่วงโหมโรงนี้ท่วงทำนองจะเริ่มต้นแบบเนิบ ๆ แต่ความความดุดันกระแทกกระทั้น และเหนือความคาดหมายยากคาดเดา กำลังจะตามมา…” — คำนูณ สิทธิสมาน#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • โปรดเกล้าฯ สถาปนา "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์" เชิดชูคุณูปการต่อศาสนาและราชอาณาจักร
    https://www.thai-tai.tv/news/20448/
    .
    #สถาปนา #สมเด็จพระมหาสมณเจ้า #กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ #พระสังฆราชเจ้า #พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว #วัดราชบพิธ #พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ #ราชวงศ์ #พระพุทธศาสนา #ประวัติศาสตร์ไทย
    โปรดเกล้าฯ สถาปนา "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์" เชิดชูคุณูปการต่อศาสนาและราชอาณาจักร https://www.thai-tai.tv/news/20448/ . #สถาปนา #สมเด็จพระมหาสมณเจ้า #กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ #พระสังฆราชเจ้า #พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว #วัดราชบพิธ #พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ #ราชวงศ์ #พระพุทธศาสนา #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโรงงานชิป: เมื่อ TSMC ต้องเร่งผลิตชิปเล็กที่สุดในโลกให้ทันความต้องการ

    TSMC เริ่มผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตรในปี 2025 โดยตั้งเป้าเริ่มต้นที่ 40,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือน และจะเพิ่มเป็น 100,000 แผ่นในปี 2026 — แต่ด้วยความต้องการจากบริษัทอย่าง Apple, NVIDIA, Intel, AMD และ MediaTek ที่ใช้ชิปเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ AI, มือถือ และเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ TSMC อาจต้องเพิ่มกำลังการผลิตถึง 5 เท่าในปี 2027

    หากแผนนี้สำเร็จ:
    - จะเป็นการผลิตชิปขนาด sub-7nm ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ TSMC
    - ต้องใช้โรงงานถึง 8 แห่ง โดยมีโรงงานหลักอยู่ที่ F22 ในเมืองเกาสง ประเทศไต้หวัน

    แม้ Samsung จะมีเทคโนโลยีใกล้เคียง แต่ TSMC ยังครองตลาดด้วยอัตราการผลิตที่สูงกว่าและ yield ที่ดีกว่า — ทำให้กลายเป็นผู้ผลิตชิประดับสูงสำหรับลูกค้าภายนอกเพียงรายเดียวในโลก

    TSMC อาจเพิ่มกำลังผลิตชิป 2nm เป็น 200,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปี 2027
    เริ่มต้นที่ 40,000 แผ่นในปี 2025 และเพิ่มเป็น 100,000 แผ่นในปี 2026

    ความต้องการมาจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Apple, NVIDIA, Intel, AMD และ MediaTek
    ใช้ในผลิตภัณฑ์ AI, มือถือ, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ประมวลผลขั้นสูง

    Apple มักได้รับล็อตแรกของชิปใหม่ เพราะไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
    ส่วน AMD และ NVIDIA จะใช้หลังจาก TSMC ปรับปรุงการผลิตให้เสถียร

    หากผลิตถึง 200,000 แผ่น จะเป็นระดับสูงสุดในกลุ่ม sub-7nm ของ TSMC
    ต้องใช้โรงงานถึง 8 แห่ง โดยโรงงานหลักคือ F22 ที่เกาสง

    TSMC เป็นผู้ผลิตชิป 2nm รายเดียวที่ให้บริการภายนอกด้วย yield สูง
    Samsung มีเทคโนโลยีใกล้เคียงแต่ yield ยังต่ำกว่า

    https://wccftech.com/tsmc-worlds-largest-contract-chipmaker-nvidia-ai-supplier-could-boost-output-to-200000-wafers-per-month-report/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโรงงานชิป: เมื่อ TSMC ต้องเร่งผลิตชิปเล็กที่สุดในโลกให้ทันความต้องการ TSMC เริ่มผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตรในปี 2025 โดยตั้งเป้าเริ่มต้นที่ 40,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือน และจะเพิ่มเป็น 100,000 แผ่นในปี 2026 — แต่ด้วยความต้องการจากบริษัทอย่าง Apple, NVIDIA, Intel, AMD และ MediaTek ที่ใช้ชิปเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ AI, มือถือ และเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ TSMC อาจต้องเพิ่มกำลังการผลิตถึง 5 เท่าในปี 2027 หากแผนนี้สำเร็จ: - จะเป็นการผลิตชิปขนาด sub-7nm ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ TSMC - ต้องใช้โรงงานถึง 8 แห่ง โดยมีโรงงานหลักอยู่ที่ F22 ในเมืองเกาสง ประเทศไต้หวัน แม้ Samsung จะมีเทคโนโลยีใกล้เคียง แต่ TSMC ยังครองตลาดด้วยอัตราการผลิตที่สูงกว่าและ yield ที่ดีกว่า — ทำให้กลายเป็นผู้ผลิตชิประดับสูงสำหรับลูกค้าภายนอกเพียงรายเดียวในโลก ✅ TSMC อาจเพิ่มกำลังผลิตชิป 2nm เป็น 200,000 แผ่นเวเฟอร์ต่อเดือนภายในปี 2027 ➡️ เริ่มต้นที่ 40,000 แผ่นในปี 2025 และเพิ่มเป็น 100,000 แผ่นในปี 2026 ✅ ความต้องการมาจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Apple, NVIDIA, Intel, AMD และ MediaTek ➡️ ใช้ในผลิตภัณฑ์ AI, มือถือ, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ประมวลผลขั้นสูง ✅ Apple มักได้รับล็อตแรกของชิปใหม่ เพราะไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ➡️ ส่วน AMD และ NVIDIA จะใช้หลังจาก TSMC ปรับปรุงการผลิตให้เสถียร ✅ หากผลิตถึง 200,000 แผ่น จะเป็นระดับสูงสุดในกลุ่ม sub-7nm ของ TSMC ➡️ ต้องใช้โรงงานถึง 8 แห่ง โดยโรงงานหลักคือ F22 ที่เกาสง ✅ TSMC เป็นผู้ผลิตชิป 2nm รายเดียวที่ให้บริการภายนอกด้วย yield สูง ➡️ Samsung มีเทคโนโลยีใกล้เคียงแต่ yield ยังต่ำกว่า https://wccftech.com/tsmc-worlds-largest-contract-chipmaker-nvidia-ai-supplier-could-boost-output-to-200000-wafers-per-month-report/
    WCCFTECH.COM
    TSMC, World's Largest Contract Chipmaker & NVIDIA AI Supplier, Could Boost Output To 200,000 Wafers Per Month - Report
    TSMC may expand 2-nanometer wafer production to 200,000 per month by 2027 due to strong demand from Apple, NVIDIA, and Intel.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • หนึ่งในใบหน้าที่คนเห็นมากที่สุดในประวัติศาสตร์

    เจนนี โจเซฟ (Jenny Joseph) ศิลปินกราฟิกวัย 28 ปีของ The Times-Picayune (หนังสือพิมพ์อเมริกันที่ตีพิมพ์ในนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา) ในช่วงเวลาที่ Columbia Pictures ต้องการนางแบบโลโก้ใหม่ในปี 1992 (พ.ศ.2535) แม้เธอไม่เคยเป็นนางแบบมาก่อน แต่ตกลงช่วยในช่วงพักกลางวัน

    ทีมงานคลุมผ้าให้เธอ และให้ถือโคมไฟตั้งโต๊ะธรรมดา แล้วโพสท่าถ่ายรูป จากนั้นศิลปินก็ใช้ภาพอ้างอิงเหล่านั้นมาวาดเป็นโลโก้ นับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอได้เป็นนางแบบ

    ตอนนี้ผู้คนหลายพันล้านคนได้เห็นใบหน้าของเธอก่อนชมภาพยนตร์ทุกเรื่องของโคลัมเบียพิคเจอร์ส เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงพักกลางวันที่แสนธรรมดา

    ภาพ : Project Nightfall
    ข้อมูล : Columbia Pictures
    ถอดความ : เรื่อย เปื่อย เดย์
    #ภาพประวัติศาสตร์ #ColumbiaPictures
    หนึ่งในใบหน้าที่คนเห็นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เจนนี โจเซฟ (Jenny Joseph) ศิลปินกราฟิกวัย 28 ปีของ The Times-Picayune (หนังสือพิมพ์อเมริกันที่ตีพิมพ์ในนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา) ในช่วงเวลาที่ Columbia Pictures ต้องการนางแบบโลโก้ใหม่ในปี 1992 (พ.ศ.2535) แม้เธอไม่เคยเป็นนางแบบมาก่อน แต่ตกลงช่วยในช่วงพักกลางวัน ทีมงานคลุมผ้าให้เธอ และให้ถือโคมไฟตั้งโต๊ะธรรมดา แล้วโพสท่าถ่ายรูป จากนั้นศิลปินก็ใช้ภาพอ้างอิงเหล่านั้นมาวาดเป็นโลโก้ นับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอได้เป็นนางแบบ ตอนนี้ผู้คนหลายพันล้านคนได้เห็นใบหน้าของเธอก่อนชมภาพยนตร์ทุกเรื่องของโคลัมเบียพิคเจอร์ส เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงพักกลางวันที่แสนธรรมดา 📸ภาพ : Project Nightfall 🙏ข้อมูล : Columbia Pictures 🖋️ถอดความ : เรื่อย เปื่อย เดย์ #ภาพประวัติศาสตร์ #ColumbiaPictures
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน

    “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้

    เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก

    ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว

    คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ

    รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง

    อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

    เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก

    สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว

    “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว

    รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน

    ที่มา :
    https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Evidence shows Jeju Air pilots shut off less-damaged engine before crash, source says อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวที่รู้ข้อมูลการสอบสวน ซึ่งระบุว่า การสอบสวนที่นำโดยเกาหลีใต้เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกของสายการบินเจจูแอร์เมื่อเดือน ธ.ค. 2567 มีหลักฐานชัดเจนว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ที่ได้รับความเสียหายน้อยกว่าหลังจากถูกนกชน “หลักฐานต่างๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และสวิตช์เครื่องยนต์ที่พบในซากเครื่องบิน แสดงให้เห็นว่า นักบินได้ดับเครื่องยนต์ด้านซ้ายแทนที่จะเป็นด้านขวาขณะกำลังดำเนินการฉุกเฉินหลังจากถูกนกชนก่อนกำหนดลงจอด ทีมสอบสวนมีหลักฐานชัดเจนและข้อมูลสำรอง ดังนั้นผลการตรวจสอบจะไม่เปลี่ยนแปลง” แหล่งข่าวกล่าว ซึ่งขอให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากคณะทำงานสอบสวนยังไม่ได้เผยแพร่รายงานอย่างเป็นทางการซึ่งรวมถึงหลักฐานนี้ เหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ตกที่สนามบินมูอัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือเกือบทั้งหมด โดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 2 ราย ถือเป็นภัยพิบัติทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ซึ่งแหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวว่า จากการตรวจสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่กู้คืนมา พบว่าไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุนกชนและตก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งที่เข้าร่วมการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 เจ้าหน้าที่สอบสวนได้แจ้งต่อสมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตว่า เครื่องยนต์ด้านขวาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการถูกนกชนมากกว่าเครื่องยนต์ด้านซ้าย แต่กลับมีหลักฐานแวดล้อมที่บ่งชี้ว่านักบินได้ปิดเครื่องยนต์ด้านซ้ายซึ่งได้รับความเสียหายน้อยกว่า ซึ่งช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ค. 2568 สื่อเกาหลีใต้หลายสำนัก รวมถึง MBN และยอนฮัป รายงานข้อมูลดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางการบินและทางรถไฟของเกาหลีใต้ (ARAIB) ซึ่งเป็นผู้นำการสอบสวน ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ขณะที่โบอิ้งได้ส่งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกไปยัง ARAIB ส่วน CFM International ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GE และ Safran ของฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้ตอบกลับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที ด้านสายการบินเจจูแอร์ระบุว่ากำลังให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับการสอบสวนของ ARAIB และกำลังรอการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า อุบัติเหตุทางอากาศส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัย และภายใต้กฎระเบียบระหว่างประเทศ คาดว่าจะมีรายงานสรุปภายใน 1 ปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ส่วนรายงานเบื้องต้นที่เผยแพร่ในเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่าพบซากเป็ดในเครื่องยนต์ทั้งสองข้างของเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์หลังจากเที่ยวบินที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ตกที่สนามบินมวน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตของซากเป็ดหรือความเสียหายที่พบในเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 หน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ได้ยกเลิกแผนการเผยแพร่รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเครื่องยนต์เท่าที่ทราบมาจนถึงปัจจุบันต่อสื่อมวลชน ขณะที่ทนายความของกลุ่มญาติเหยื่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ให้ข้อมูลว่า ญาติของเหยื่อได้รับแจ้งเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวก่อนที่จะเผยแพร่ตามแผน แต่คัดค้านการเผยแพร่ โดยระบุว่ารายงานดูเหมือนจะโยนความผิดให้กับนักบินโดยไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เที่ยวบินของสายการบินเจจูแอร์ได้พุ่งออกนอกรันเวย์ของสนามบินมูอันขณะลงจอดฉุกเฉินและชนเข้ากับคันดินที่ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง ทำให้เกิดเพลิงไหม้และระเบิดบางส่วน ซึ่งตัวแทนของครอบครัวเหยื่อและสหภาพนักบินของสายการบินเจจูแอร์กล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่คันดินดังกล่าวด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบินระบุว่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าวว่า ARAIB กำลังทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด โดยระบุว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายไม่มีปัญหา เนื่องจากพบร่องรอยซากนกในเครื่องยนต์ทั้ง 2 เครื่อง อีกทั้ง พยายามทำให้นักบินกลายเป็นแพะรับบาปด้วยการไม่ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ระบุว่าเครื่องบินสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัยหากติดเครื่องยนต์ด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว “อุบัติเหตุทางอากาศเป็นเหตุการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยหลายประการ และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังไม่ได้นำเสนอหลักฐานที่สนับสนุนนัยที่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดพลาดของนักบิน และจนถึงขณะนี้ผู้สอบสวนยังคงนิ่งเฉยต่อความรับผิดชอบขององค์กร” สหภาพนักบินสายการบินเจจูแอร์ กล่าว รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้สูญเสียกล่าวในแถลงการณ์ว่ามีข้อความบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของอุบัติเหตุในข่าวประชาสัมพันธ์ที่วางแผนไว้ ซึ่งอาจตีความได้ว่าได้ข้อสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการชี้แจงให้ชัดเจน ที่มา : https://www.reuters.com/business/aerospace-defense/evidence-shows-jeju-air-pilots-shut-off-less-damaged-engine-before-crash-source-2025-07-21/
    1 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • ประวัติศาสตร์สอนไว้ สมรภูมิ 'นิรโทษกรรม' เกมนี้ยังไว้ใจไม่ได้ : ถอนหมุดข่าว 21/07/68
    ประวัติศาสตร์สอนไว้ สมรภูมิ 'นิรโทษกรรม' เกมนี้ยังไว้ใจไม่ได้ : ถอนหมุดข่าว 21/07/68
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 0 Reviews
  • “พระยาละแวก” นักตีท้ายครัวในประวัติศาสตร์! ถูกชำระแค้นจนเมืองละแวกหายไปทั้งเมือง!!

    “พระยาละแวก” เป็นคำที่พงศาวดารไทยเรียกกษัตริย์เขมรที่ครองราชย์เมืองละแวก ส่วนใหญ่แล้วเขมรจะตั้งเมืองหลวงอยู่ที่พนมเปญและอุดงมีชัย ในปี ๒๐๔๖ สมเด็จพระศรีสุคนธบท ครองราชย์อยู่เมืองพนมเปญ ถูกกบฏปลงพระชนม์ แต่ นักองค์จัน ผู้เป็นอนุชา หนีมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาและได้กองทัพไทยไปช่วยปราบปรามจนได้ราชสมบัติคืนใน พ.ศ.๒๐๕๙ สถาปนานักองค์จันขึ้นครองราชย์ เป็น พระบรมราชาที่ ๓ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่เมืองละแวก เหนือกรุงพนมเปญขึ้นไป

    ใน พ.ศ.๒๑๐๙ นักพระสัตถา พระราชโอรส ขึ้นครองราชย์ต่อ เป็น พระบรมราชา ที่ ๔ ใน พ.ศ.๒๑๑๙ ทรงสถาปนา พระราชโองการ พระราชโอรสขึ้นเป็นพระบรมราชาที่ ๕

    จนถึง พ.ศ.๒๑๓๖ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงจัดการกับพม่าเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาชำระแค้นกับพระยาละแวกที่แอบเข้ามาตีท้ายครัวมาตลอด เผาเมืองละแวกจนย่อยยับ กลายเป็นแค่อำเภอหนึ่งในจังหวัดกำปงชนังของกัมพูชาขณะนี้

    แม้ไทยจะช่วยกษัตริย์เขมรมาตลอด แต่ความไม่ไว้วางใจและความแค้นฝังใจที่ขอมเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในย่านนี้มาก่อน แต่ถูกกรุงศรีอยุธยาทำลายจนย่อยยับมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าสามพระยา ซึ่งเขมรก็ไม่อาจแก้แค้นได้เพราะความเข้มแข็งต่างกันมาก จนเมื่อใดที่ไทยอ่อนแอลง เขมรจึงถือเป็นโอกาส อย่างสมัยที่เสียกรุงครั้งที่ ๑ ถูกพม่ายึดอาวุธไปหมด ผู้คนส่วนใหญ่หนีไปหลบซ่อนอยู่ในป่า ยังไม่ทันกลับเข้าเมือง จึงเป็นโอกาสดีของเขมร ในปี ๒๑๑๓ พระบรมราชาที่ ๔ ได้นำกำลัง ๓๐,๐๐๐ คนมุ่งมาตีกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายไทยเห็นว่าไม่มีกำลังจะสู้เขมรได้ คิดจะถอยขึ้นไปเมืองพิษณุโลก แต่มาทราบว่าเจ้าเมืองเพชรบูรณ์คนเก่าตั้งกองโจรดักปล้นอยู่กลางทาง จึงต้องตัดสินใจปักหลักสู้พระยาละแวกที่กรุงศรีอยุธยา แต่พอสู้กันจริงๆ กองทัพพระยาละแวกก็แหยงฝีมือไทย ถอยกลับไปโดยกวาดต้อนผู้คนรายทางกลับไปมาก

    ต่อมาอีก ๕ ปี พระบรมราชที่ ๔ เจ้าเก่า ได้ข่าวว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชายกกองทัพไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดีตีกรุงศรีสัตนาคนหุต จึงยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงวัดพนัญเชิง แต่เผอิญสมเด็จพระนเรศวรซึ่งติดตามพระราชบิดาไปทัพด้วย เกิดเป็นไข้ทรพิษกลางทาง พระเจ้าบุเรงนองเลยให้กองทัพไทยกลับมาก่อน มาเจอเอากองทัพของพระยาละแวกแอบเข้ามาตีท้ายครัวเข้าพอดี เลยตีเสียกระเจิง แต่ตอนถอยออกไปพระยาละแวกก็ถือโอกาสขนเอาเทวรูปสัมฤทธิ์ ๒ องค์ที่เมืองพระประแดงและกวาดต้อนราษฎรไทยตามหัวเมืองชายทะเลกลับไปอีก

    รุ่งขึ้นอีกปี ใน พ.ศ.๒๑๑๔ พระบรมราชาธิราชที่ ๕ ขึ้นครองราชย์เมืองละแวก ได้ยกกองทัพเรือมีกำลังถึง ๗๐,๐๐๐ คนข้ามทะเลมาตีเมืองเพชรบุรี ล้อมถึง ๓ วันก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้ เสียทหารไปเป็นจำนวนมาก พระยาละแวกต้องถอยไปตั้งหลักใหม่ และตัดสินใจเข้าตีอีกครั้ง หากไม่สำเร็จก็จะกลับ แต่การตั้งรับศึกครั้งใหม่แม่ทัพไทยเกิดแตกคอกัน ต่างคนต่างตั้งรับด้านของตัวไม่ยอมประสานกัน พระยาละแวกเลยเข้าเมืองได้ ๓ แม่ทัพไทยที่แตกคอกันเองตายในที่รบ พระยาละแวกกวาดต้อนผู้คนไปอีกมาก

    ต่อมาอีก ๒ ปี เขมรก็เอาอีก เพราะช่วงนั้นไทยยังไม่พ้นความอ่อนแอ พระยาละแวกก็ส่งกองทัพม้าทัพช้าง ๕,๐๐๐ คนมาลาดตระเวนด้านตะวันออกของไทย สมเด็จพระนเรศวรทราบข่าวขณะประทับอยู่เมืองพิษณุโลก รับสั่งให้กองทัพเมืองชัยบุรีและเมืองถมอรัตน์ (เพชรบูรณ์) ป้องกันด้านในด่านไว้ ส่วนพระองค์นำทหาร ๓,๐๐๐ คนเข้าขับไล่กองทัพพระยาละแวกจนถอยกลับไป
    หลังการประกาศอิสรภาพ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรับปรุงกองทัพไทยให้เข้มแข็ง เมื่อพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงกรีฑาทัพมาปราบ ก็ต้องแตกพ่ายไป ในปี พ.ศ.๒๑๒๘ พระบรมราชาที่ ๕ ที่แอบเข้ามาตีท้ายครัวเป็นประจำ กลัวว่าจะถูกคิดบัญชีแค้น จึงแต่งราชทูตและถือศุภอักษรเข้ามาขอเป็นไมตรี สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับพม่า หากสงบศึกกับเขมรได้ ก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จึงทรงรับเป็นไมตรี

    เมื่อไทยเกิดศึกกับกรุงหงสาวดีครั้งที่ ๒ พระบรมราชาที่ ๕ ได้ส่งพระศรีสุพรรณมาธิราช พระอนุชา คุมกำลังเข้ามาช่วย แต่พระศรีสุพรรณมาธิราชกลับแสดงกิริยากระด้างกระเดื่อง ตอนพระนเรศวรทรงเรือพระที่นั่งกลับมาจากชนะศึกที่เชียงใหม่ ขณะที่ผ่านกองเรือเขมร พระศรีสุพรรณฯก็นั่งอยู่ในเรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมแสดงความเคารพ ทำให้พระองค์ดำทรงพิโรธ รับสั่งให้ตัดศีรษะเชลยศึกที่จับมาไปเสียบไว้ที่กราบเรือพระศรีสุพรรณฯ

    ในปี พ.ศ.๒๑๓๐ ขณะพระเจ้ากรุงหงสาวดีส่งกำลังมาล้อมกรุงศรีอยุธยาอีก พระบรมราชาที่ ๕ ซึ่งเคยส่งกำลังมาช่วย ได้ส่งฟ้าทะละหะนำกำลังเข้ามาตีเมืองปราจีน สมเด็จพระนเรศวรทรงส่งพระยาศรีไสยณรงค์กับพระยาสีหราชเดโชชัยยกกองทัพไปป้องกัน พอถึงเมืองนครนายกก็ปะทะกับกองทัพเขมร จึงเข้าตีจนแตกพ่าย และตามตีจนพ้นเขตแดนไทย

    เมื่อสมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์แล้ว ศึกทางพม่าว่างเว้น ทรงเห็นว่าจะต้องกำราบเขมรที่คอยตีท้ายครัวให้เข็ดหลาบเสียที ทรงร่วมกับสมเด็จพระเอกาทศรถยกกองทัพไป ให้พระราชมนูเป็นกองทัพหน้า พระยาละแวกยกมาสกัดที่เมืองโพธิสัตว์และพระตะบอง พระราชมนูถลำเข้าไปไม่รู้ตัว เลยถูกตีถอยมาถึงทัพหลวง สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธจะให้ประหารชีวิตแม่ทัพเสีย แต่สมเด็จพระเอกาทศรถทูลขอชีวิตให้โอกาสแก้ตัว พระราชมนูจึงกลับไปตีเมืองโพธิสัตว์และพระตะบองได้ กองทัพหลวงเข้าล้อมเมืองละแวก แต่ก็ขาดเสบียงอาหาร จึงต้องยกกลับ

    ในปี พ.ศ.๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรทรงนำกองทัพไปตีเมืองละแวกเป็นครั้งที่ ๒ จับพระยาละแวกได้ แล้วทำพิธีกรรมให้ประหารชีวิตเอาโลหิตล้างพระบาท

    แต่มีบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสกล่าวว่า พระบรมราชาที่ ๕ ไม่ได้ถูกสมเด็จพระนเรศวรประหาร แต่ได้หนีข้ามแดนไปอยู่ที่เมืองเชียงแตงในลาวพร้อมกับพระราชบุตร ๒ องค์ กองทัพไทยได้เผาเมืองละแวกวอดและกวาดต้อนผู้คนมา ต่อมาพระบรมราชาที่ ๕ พร้อมพระราชบุตรทั้ง ๒ ได้สิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงแตง

    การทำพิธีกรรมเอาโลหิตล้างพระบาท จึงอาจคลาดเคลื่อนมาจากพิธีกรรมอย่างอื่นก็เป็นได้ หรือเป็นรสชาติของประวัติศาสตร์ตามเจตนาของคนบันทึก

    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000124260
    “พระยาละแวก” นักตีท้ายครัวในประวัติศาสตร์! ถูกชำระแค้นจนเมืองละแวกหายไปทั้งเมือง!! “พระยาละแวก” เป็นคำที่พงศาวดารไทยเรียกกษัตริย์เขมรที่ครองราชย์เมืองละแวก ส่วนใหญ่แล้วเขมรจะตั้งเมืองหลวงอยู่ที่พนมเปญและอุดงมีชัย ในปี ๒๐๔๖ สมเด็จพระศรีสุคนธบท ครองราชย์อยู่เมืองพนมเปญ ถูกกบฏปลงพระชนม์ แต่ นักองค์จัน ผู้เป็นอนุชา หนีมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาและได้กองทัพไทยไปช่วยปราบปรามจนได้ราชสมบัติคืนใน พ.ศ.๒๐๕๙ สถาปนานักองค์จันขึ้นครองราชย์ เป็น พระบรมราชาที่ ๓ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่เมืองละแวก เหนือกรุงพนมเปญขึ้นไป ใน พ.ศ.๒๑๐๙ นักพระสัตถา พระราชโอรส ขึ้นครองราชย์ต่อ เป็น พระบรมราชา ที่ ๔ ใน พ.ศ.๒๑๑๙ ทรงสถาปนา พระราชโองการ พระราชโอรสขึ้นเป็นพระบรมราชาที่ ๕ จนถึง พ.ศ.๒๑๓๖ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงจัดการกับพม่าเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาชำระแค้นกับพระยาละแวกที่แอบเข้ามาตีท้ายครัวมาตลอด เผาเมืองละแวกจนย่อยยับ กลายเป็นแค่อำเภอหนึ่งในจังหวัดกำปงชนังของกัมพูชาขณะนี้ แม้ไทยจะช่วยกษัตริย์เขมรมาตลอด แต่ความไม่ไว้วางใจและความแค้นฝังใจที่ขอมเคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในย่านนี้มาก่อน แต่ถูกกรุงศรีอยุธยาทำลายจนย่อยยับมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าสามพระยา ซึ่งเขมรก็ไม่อาจแก้แค้นได้เพราะความเข้มแข็งต่างกันมาก จนเมื่อใดที่ไทยอ่อนแอลง เขมรจึงถือเป็นโอกาส อย่างสมัยที่เสียกรุงครั้งที่ ๑ ถูกพม่ายึดอาวุธไปหมด ผู้คนส่วนใหญ่หนีไปหลบซ่อนอยู่ในป่า ยังไม่ทันกลับเข้าเมือง จึงเป็นโอกาสดีของเขมร ในปี ๒๑๑๓ พระบรมราชาที่ ๔ ได้นำกำลัง ๓๐,๐๐๐ คนมุ่งมาตีกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายไทยเห็นว่าไม่มีกำลังจะสู้เขมรได้ คิดจะถอยขึ้นไปเมืองพิษณุโลก แต่มาทราบว่าเจ้าเมืองเพชรบูรณ์คนเก่าตั้งกองโจรดักปล้นอยู่กลางทาง จึงต้องตัดสินใจปักหลักสู้พระยาละแวกที่กรุงศรีอยุธยา แต่พอสู้กันจริงๆ กองทัพพระยาละแวกก็แหยงฝีมือไทย ถอยกลับไปโดยกวาดต้อนผู้คนรายทางกลับไปมาก ต่อมาอีก ๕ ปี พระบรมราชที่ ๔ เจ้าเก่า ได้ข่าวว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชายกกองทัพไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดีตีกรุงศรีสัตนาคนหุต จึงยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงวัดพนัญเชิง แต่เผอิญสมเด็จพระนเรศวรซึ่งติดตามพระราชบิดาไปทัพด้วย เกิดเป็นไข้ทรพิษกลางทาง พระเจ้าบุเรงนองเลยให้กองทัพไทยกลับมาก่อน มาเจอเอากองทัพของพระยาละแวกแอบเข้ามาตีท้ายครัวเข้าพอดี เลยตีเสียกระเจิง แต่ตอนถอยออกไปพระยาละแวกก็ถือโอกาสขนเอาเทวรูปสัมฤทธิ์ ๒ องค์ที่เมืองพระประแดงและกวาดต้อนราษฎรไทยตามหัวเมืองชายทะเลกลับไปอีก รุ่งขึ้นอีกปี ใน พ.ศ.๒๑๑๔ พระบรมราชาธิราชที่ ๕ ขึ้นครองราชย์เมืองละแวก ได้ยกกองทัพเรือมีกำลังถึง ๗๐,๐๐๐ คนข้ามทะเลมาตีเมืองเพชรบุรี ล้อมถึง ๓ วันก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้ เสียทหารไปเป็นจำนวนมาก พระยาละแวกต้องถอยไปตั้งหลักใหม่ และตัดสินใจเข้าตีอีกครั้ง หากไม่สำเร็จก็จะกลับ แต่การตั้งรับศึกครั้งใหม่แม่ทัพไทยเกิดแตกคอกัน ต่างคนต่างตั้งรับด้านของตัวไม่ยอมประสานกัน พระยาละแวกเลยเข้าเมืองได้ ๓ แม่ทัพไทยที่แตกคอกันเองตายในที่รบ พระยาละแวกกวาดต้อนผู้คนไปอีกมาก ต่อมาอีก ๒ ปี เขมรก็เอาอีก เพราะช่วงนั้นไทยยังไม่พ้นความอ่อนแอ พระยาละแวกก็ส่งกองทัพม้าทัพช้าง ๕,๐๐๐ คนมาลาดตระเวนด้านตะวันออกของไทย สมเด็จพระนเรศวรทราบข่าวขณะประทับอยู่เมืองพิษณุโลก รับสั่งให้กองทัพเมืองชัยบุรีและเมืองถมอรัตน์ (เพชรบูรณ์) ป้องกันด้านในด่านไว้ ส่วนพระองค์นำทหาร ๓,๐๐๐ คนเข้าขับไล่กองทัพพระยาละแวกจนถอยกลับไป หลังการประกาศอิสรภาพ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรับปรุงกองทัพไทยให้เข้มแข็ง เมื่อพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงกรีฑาทัพมาปราบ ก็ต้องแตกพ่ายไป ในปี พ.ศ.๒๑๒๘ พระบรมราชาที่ ๕ ที่แอบเข้ามาตีท้ายครัวเป็นประจำ กลัวว่าจะถูกคิดบัญชีแค้น จึงแต่งราชทูตและถือศุภอักษรเข้ามาขอเป็นไมตรี สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับพม่า หากสงบศึกกับเขมรได้ ก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จึงทรงรับเป็นไมตรี เมื่อไทยเกิดศึกกับกรุงหงสาวดีครั้งที่ ๒ พระบรมราชาที่ ๕ ได้ส่งพระศรีสุพรรณมาธิราช พระอนุชา คุมกำลังเข้ามาช่วย แต่พระศรีสุพรรณมาธิราชกลับแสดงกิริยากระด้างกระเดื่อง ตอนพระนเรศวรทรงเรือพระที่นั่งกลับมาจากชนะศึกที่เชียงใหม่ ขณะที่ผ่านกองเรือเขมร พระศรีสุพรรณฯก็นั่งอยู่ในเรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมแสดงความเคารพ ทำให้พระองค์ดำทรงพิโรธ รับสั่งให้ตัดศีรษะเชลยศึกที่จับมาไปเสียบไว้ที่กราบเรือพระศรีสุพรรณฯ ในปี พ.ศ.๒๑๓๐ ขณะพระเจ้ากรุงหงสาวดีส่งกำลังมาล้อมกรุงศรีอยุธยาอีก พระบรมราชาที่ ๕ ซึ่งเคยส่งกำลังมาช่วย ได้ส่งฟ้าทะละหะนำกำลังเข้ามาตีเมืองปราจีน สมเด็จพระนเรศวรทรงส่งพระยาศรีไสยณรงค์กับพระยาสีหราชเดโชชัยยกกองทัพไปป้องกัน พอถึงเมืองนครนายกก็ปะทะกับกองทัพเขมร จึงเข้าตีจนแตกพ่าย และตามตีจนพ้นเขตแดนไทย เมื่อสมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์แล้ว ศึกทางพม่าว่างเว้น ทรงเห็นว่าจะต้องกำราบเขมรที่คอยตีท้ายครัวให้เข็ดหลาบเสียที ทรงร่วมกับสมเด็จพระเอกาทศรถยกกองทัพไป ให้พระราชมนูเป็นกองทัพหน้า พระยาละแวกยกมาสกัดที่เมืองโพธิสัตว์และพระตะบอง พระราชมนูถลำเข้าไปไม่รู้ตัว เลยถูกตีถอยมาถึงทัพหลวง สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธจะให้ประหารชีวิตแม่ทัพเสีย แต่สมเด็จพระเอกาทศรถทูลขอชีวิตให้โอกาสแก้ตัว พระราชมนูจึงกลับไปตีเมืองโพธิสัตว์และพระตะบองได้ กองทัพหลวงเข้าล้อมเมืองละแวก แต่ก็ขาดเสบียงอาหาร จึงต้องยกกลับ ในปี พ.ศ.๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรทรงนำกองทัพไปตีเมืองละแวกเป็นครั้งที่ ๒ จับพระยาละแวกได้ แล้วทำพิธีกรรมให้ประหารชีวิตเอาโลหิตล้างพระบาท แต่มีบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสกล่าวว่า พระบรมราชาที่ ๕ ไม่ได้ถูกสมเด็จพระนเรศวรประหาร แต่ได้หนีข้ามแดนไปอยู่ที่เมืองเชียงแตงในลาวพร้อมกับพระราชบุตร ๒ องค์ กองทัพไทยได้เผาเมืองละแวกวอดและกวาดต้อนผู้คนมา ต่อมาพระบรมราชาที่ ๕ พร้อมพระราชบุตรทั้ง ๒ ได้สิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงแตง การทำพิธีกรรมเอาโลหิตล้างพระบาท จึงอาจคลาดเคลื่อนมาจากพิธีกรรมอย่างอื่นก็เป็นได้ หรือเป็นรสชาติของประวัติศาสตร์ตามเจตนาของคนบันทึก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000124260
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 330 Views 0 Reviews
  • เมื่อศรัทธาสั่นคลอน… จงเป็นแสงเทียนเองเสียเถิด
    แม้ข่าวพระแย่ ๆ จะเต็มฟีด
    แม้ใจเราจะตั้งคำถามว่า “ศาสนาเสื่อมแล้วหรือ”
    แต่ก่อนจะพยักหน้า ลองมองประวัติศาสตร์อินเดีย
    แผ่นดินเกิดของพระพุทธเจ้า… ก็เคยเสื่อมเพราะ "คนใน"

    วัดกลายเป็นองค์กรมั่งคั่ง
    พระบวชเพื่อ "รวย" มากกว่า "รู้"
    จีวรถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เครื่องหมายของการหลุดพ้น
    และไม่มีใครกล้าท้วง…

    แต่ในขณะเดียวกัน
    พระผู้เงียบงามในป่า
    พระที่เดินบิณฑบาตในอีสาน
    พระที่สอนเด็กๆ ในโรงเรียนวัด
    ก็ยังมีอยู่ — แต่อยู่ “นอกสปอตไลต์”

    อย่าลืมว่า
    พระศาสนาไม่ได้ขึ้นกับคนมีอำนาจ
    แต่ขึ้นกับคนธรรมดา ที่ไม่ยอมละความดี

    วันนี้… อย่ารอให้ข่าวดีเกิดก่อนศรัทธาจะกลับมา
    เพราะคุณเองก็ “จุดเทียน” ให้ศาสนาได้

    • อ่านหนังสือธรรมะแทนการแชร์ด่า
    • สอนลูกหลานไหว้พระ สวดมนต์เข้าใจความหมาย
    • ไปกราบพระดี ๆ ที่ไม่เคยเป็นข่าว
    • ถือศีลแบบตั้งใจ ไม่ใช่แค่ทอดผ้าป่า
    • เจริญภาวนา แม้วันละ 3 นาที

    🕯 ธรรมะไม่เคยริบหรี่ — แม้โลกจะมืดมนเพียงใด
    เพราะธรรมะอยู่ในใจ
    ไม่ใช่ที่จีวร
    ไม่ใช่ในคลิป
    ไม่ใช่ในข่าว
    แต่ใน "เจตนาดี" ที่เราตั้งไว้ทุกเช้า

    และผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
    คือ “สมณะที่แท้”
    ไม่ว่าจะห่มอะไร หรืออยู่ที่ใดในโลก

    ถึงเวลาที่ศรัทธาจะไม่ต้องรอใครฟื้นศาสนา
    แต่เริ่มต้นจากเรา… ผู้เป็นชาวพุทธตัวจริง
    ไม่ใช่แค่ในบัตรประชาชน
    แต่ใน “ความคิด คำพูด และการกระทำ” ในแต่ละวัน

    #แสงเทียนแห่งธรรมะ
    #ศรัทธาไม่ต้องรอใคร
    #ธรรมะอยู่ที่ใจ
    #พุทธแท้ไม่หวั่นข่าวปลอม
    #ชาวพุทธยุคใหม่
    🌘 เมื่อศรัทธาสั่นคลอน… จงเป็นแสงเทียนเองเสียเถิด แม้ข่าวพระแย่ ๆ จะเต็มฟีด แม้ใจเราจะตั้งคำถามว่า “ศาสนาเสื่อมแล้วหรือ” แต่ก่อนจะพยักหน้า ลองมองประวัติศาสตร์อินเดีย แผ่นดินเกิดของพระพุทธเจ้า… ก็เคยเสื่อมเพราะ "คนใน" วัดกลายเป็นองค์กรมั่งคั่ง พระบวชเพื่อ "รวย" มากกว่า "รู้" จีวรถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เครื่องหมายของการหลุดพ้น และไม่มีใครกล้าท้วง… 📜 แต่ในขณะเดียวกัน พระผู้เงียบงามในป่า พระที่เดินบิณฑบาตในอีสาน พระที่สอนเด็กๆ ในโรงเรียนวัด ก็ยังมีอยู่ — แต่อยู่ “นอกสปอตไลต์” อย่าลืมว่า พระศาสนาไม่ได้ขึ้นกับคนมีอำนาจ แต่ขึ้นกับคนธรรมดา ที่ไม่ยอมละความดี 🔥 วันนี้… อย่ารอให้ข่าวดีเกิดก่อนศรัทธาจะกลับมา เพราะคุณเองก็ “จุดเทียน” ให้ศาสนาได้ • อ่านหนังสือธรรมะแทนการแชร์ด่า • สอนลูกหลานไหว้พระ สวดมนต์เข้าใจความหมาย • ไปกราบพระดี ๆ ที่ไม่เคยเป็นข่าว • ถือศีลแบบตั้งใจ ไม่ใช่แค่ทอดผ้าป่า • เจริญภาวนา แม้วันละ 3 นาที 🕯 ธรรมะไม่เคยริบหรี่ — แม้โลกจะมืดมนเพียงใด เพราะธรรมะอยู่ในใจ ไม่ใช่ที่จีวร ไม่ใช่ในคลิป ไม่ใช่ในข่าว แต่ใน "เจตนาดี" ที่เราตั้งไว้ทุกเช้า และผู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือ “สมณะที่แท้” ไม่ว่าจะห่มอะไร หรืออยู่ที่ใดในโลก 💬 ถึงเวลาที่ศรัทธาจะไม่ต้องรอใครฟื้นศาสนา แต่เริ่มต้นจากเรา… ผู้เป็นชาวพุทธตัวจริง ไม่ใช่แค่ในบัตรประชาชน แต่ใน “ความคิด คำพูด และการกระทำ” ในแต่ละวัน #แสงเทียนแห่งธรรมะ #ศรัทธาไม่ต้องรอใคร #ธรรมะอยู่ที่ใจ #พุทธแท้ไม่หวั่นข่าวปลอม #ชาวพุทธยุคใหม่
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.130 : “อาชีพพระ” ธุรกิจศาสนาในญี่ปุ่น ?
    .
    ที่พูดกันว่า “เมืองไทยเมืองพุทธ” แต่ก็มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นกับพระสงฆ์หลายครั้งหลายครา ทั้งเรื่องของ “สตรี” และ “สตางค์” คือ ผู้หญิงและทรัพย์สินเงินทอง นอกจากนี้ วัดหลายแห่ง ก็มีข้อครหาเรื่องของรายได้ และผลประโยชน์ที่มีมากมาย จนกลายเป็น “ธุรกิจศาสนา” ไปแล้ว
    .
    พระสงฆ์ในพุทธศาสนา นิกายเถรวาทของไทย ถือศีลทั้งหมด 227 ข้อ แต่ว่าในหลายประเทศที่มีพระสงฆ์เหมือนกัน ก็มีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “พระญี่ปุ่น” ซึ่งคุณผู้ฟังหลายคนอาจจะพอทราบมาบ้างว่า “พระญี่ปุ่น” สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ , ในญี่ปุ่นพระเป็น “อาชีพ” อย่างหนึ่ง โดยที่คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้คิดว่าพระแบบนี้ ประพฤติผิดแต่อย่างใดเลย
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะเล่าเรื่องของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ว่ามีความเปลี่ยนแปลงตามประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับฆราวาส ไม่ได้เป็นนักบวชที่เคร่งครัด แต่ว่าชาวญี่ปุ่นก็ยังนับถือพระพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในศาสนาหลักอยู่ ?
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=dyBRBLwaw7M
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #พระไทย #พระญี่ปุ่น #ธุรกิจศาสนา #พุทธพาณิชย์
    บูรพาไม่แพ้ Ep.130 : “อาชีพพระ” ธุรกิจศาสนาในญี่ปุ่น ? . ที่พูดกันว่า “เมืองไทยเมืองพุทธ” แต่ก็มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นกับพระสงฆ์หลายครั้งหลายครา ทั้งเรื่องของ “สตรี” และ “สตางค์” คือ ผู้หญิงและทรัพย์สินเงินทอง นอกจากนี้ วัดหลายแห่ง ก็มีข้อครหาเรื่องของรายได้ และผลประโยชน์ที่มีมากมาย จนกลายเป็น “ธุรกิจศาสนา” ไปแล้ว . พระสงฆ์ในพุทธศาสนา นิกายเถรวาทของไทย ถือศีลทั้งหมด 227 ข้อ แต่ว่าในหลายประเทศที่มีพระสงฆ์เหมือนกัน ก็มีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “พระญี่ปุ่น” ซึ่งคุณผู้ฟังหลายคนอาจจะพอทราบมาบ้างว่า “พระญี่ปุ่น” สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ , ในญี่ปุ่นพระเป็น “อาชีพ” อย่างหนึ่ง โดยที่คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้คิดว่าพระแบบนี้ ประพฤติผิดแต่อย่างใดเลย . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะเล่าเรื่องของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ว่ามีความเปลี่ยนแปลงตามประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับฆราวาส ไม่ได้เป็นนักบวชที่เคร่งครัด แต่ว่าชาวญี่ปุ่นก็ยังนับถือพระพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในศาสนาหลักอยู่ ? . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=dyBRBLwaw7M . #บูรพาไม่แพ้ #พระไทย #พระญี่ปุ่น #ธุรกิจศาสนา #พุทธพาณิชย์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • ‘Agro Tourism’ เสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก : [Biz Talk]

    Essence of Agriculture ธ.ก.ส.เชื่อมโยงเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยว สู่ธุรกิจชุมชนผ่านโครงการ BAAC Agro Tourism ชู ‘บ้านชีทวน’ จ.อุบลราชธานี ต้นแบบชุมชนท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่น ด้วยการผสมผสานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ลุยพัฒนาชุมชนให้ผ่านมาตรฐานท่องเที่ยว 97 ชุมชน และพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร อีก 21 เส้นทางทั่วไทย ภายในปี 68
    ‘Agro Tourism’ เสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก : [Biz Talk] Essence of Agriculture ธ.ก.ส.เชื่อมโยงเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยว สู่ธุรกิจชุมชนผ่านโครงการ BAAC Agro Tourism ชู ‘บ้านชีทวน’ จ.อุบลราชธานี ต้นแบบชุมชนท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่น ด้วยการผสมผสานเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ลุยพัฒนาชุมชนให้ผ่านมาตรฐานท่องเที่ยว 97 ชุมชน และพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร อีก 21 เส้นทางทั่วไทย ภายในปี 68
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 519 Views 0 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากจักรวาล: การรวมหลุมดำที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เขย่าวงการฟิสิกส์

    เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ทีมวิจัยจาก LIGO (สหรัฐฯ), Virgo (อิตาลี) และ KAGRA (ญี่ปุ่น) ตรวจพบเหตุการณ์ GW231123 ซึ่งเป็นการรวมตัวของหลุมดำสองแห่งที่มีมวลประมาณ 100 และ 140 เท่าของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้เกิดหลุมดำใหม่ที่มีมวลรวมถึง 225 เท่า ถือเป็นสถิติใหม่ที่แซงหน้าเหตุการณ์ GW190521 ที่เคยตรวจพบในปี 2021

    สิ่งที่ทำให้ GW231123 น่าทึ่งยิ่งขึ้นคือหลุมดำทั้งสองหมุนด้วยความเร็วใกล้เคียงขีดจำกัดตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นได้ตามแบบจำลองวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ในปัจจุบัน

    นักวิจัยเสนอสมมติฐานว่า หลุมดำทั้งสองอาจเกิดจากการรวมตัวของหลุมดำขนาดเล็กมาก่อน แล้วจึงรวมกันอีกครั้งในลักษณะ “การรวมหลายชั้น” ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีมวลมากและหมุนเร็วผิดปกติ

    ข้อมูลจากเหตุการณ์นี้จะถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับโลกด้านสัมพัทธภาพทั่วไปและแรงโน้มถ่วงที่เมืองกลาสโกว์ และอาจใช้เวลาหลายปีในการวิเคราะห์ผลกระทบทางฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา

    LIGO-Virgo-KAGRA ตรวจพบเหตุการณ์ GW231123 ในเดือนพฤศจิกายน 2023
    เป็นการรวมหลุมดำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบ

    หลุมดำใหม่มีมวลรวม 225 เท่าของดวงอาทิตย์
    แซงหน้าสถิติเดิมจากเหตุการณ์ GW190521 ที่มีมวลรวม 140 เท่า

    หลุมดำทั้งสองหมุนใกล้ขีดจำกัดตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ
    เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแบบจำลองปัจจุบัน

    สมมติฐานใหม่เสนอว่าเป็นการรวมหลายชั้นของหลุมดำ
    อาจเกิดจากการรวมตัวของหลุมดำขนาดเล็กมาก่อน

    ข้อมูลจะถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับโลกที่กลาสโกว์
    เพื่อเปิดทางสู่การวิจัยเชิงลึกในอนาคต

    LIGO ใช้เครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงที่มีความแม่นยำสูง
    ร่วมกับ Virgo และ KAGRA ในการสร้างเครือข่ายตรวจจับระดับโลก

    https://www.techspot.com/news/108694-most-massive-black-hole-merger-ever-detected-shakes.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากจักรวาล: การรวมหลุมดำที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เขย่าวงการฟิสิกส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ทีมวิจัยจาก LIGO (สหรัฐฯ), Virgo (อิตาลี) และ KAGRA (ญี่ปุ่น) ตรวจพบเหตุการณ์ GW231123 ซึ่งเป็นการรวมตัวของหลุมดำสองแห่งที่มีมวลประมาณ 100 และ 140 เท่าของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้เกิดหลุมดำใหม่ที่มีมวลรวมถึง 225 เท่า ถือเป็นสถิติใหม่ที่แซงหน้าเหตุการณ์ GW190521 ที่เคยตรวจพบในปี 2021 สิ่งที่ทำให้ GW231123 น่าทึ่งยิ่งขึ้นคือหลุมดำทั้งสองหมุนด้วยความเร็วใกล้เคียงขีดจำกัดตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นได้ตามแบบจำลองวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ในปัจจุบัน นักวิจัยเสนอสมมติฐานว่า หลุมดำทั้งสองอาจเกิดจากการรวมตัวของหลุมดำขนาดเล็กมาก่อน แล้วจึงรวมกันอีกครั้งในลักษณะ “การรวมหลายชั้น” ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีมวลมากและหมุนเร็วผิดปกติ ข้อมูลจากเหตุการณ์นี้จะถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับโลกด้านสัมพัทธภาพทั่วไปและแรงโน้มถ่วงที่เมืองกลาสโกว์ และอาจใช้เวลาหลายปีในการวิเคราะห์ผลกระทบทางฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา ✅ LIGO-Virgo-KAGRA ตรวจพบเหตุการณ์ GW231123 ในเดือนพฤศจิกายน 2023 ➡️ เป็นการรวมหลุมดำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบ ✅ หลุมดำใหม่มีมวลรวม 225 เท่าของดวงอาทิตย์ ➡️ แซงหน้าสถิติเดิมจากเหตุการณ์ GW190521 ที่มีมวลรวม 140 เท่า ✅ หลุมดำทั้งสองหมุนใกล้ขีดจำกัดตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ ➡️ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยแบบจำลองปัจจุบัน ✅ สมมติฐานใหม่เสนอว่าเป็นการรวมหลายชั้นของหลุมดำ ➡️ อาจเกิดจากการรวมตัวของหลุมดำขนาดเล็กมาก่อน ✅ ข้อมูลจะถูกนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับโลกที่กลาสโกว์ ➡️ เพื่อเปิดทางสู่การวิจัยเชิงลึกในอนาคต ✅ LIGO ใช้เครื่องตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงที่มีความแม่นยำสูง ➡️ ร่วมกับ Virgo และ KAGRA ในการสร้างเครือข่ายตรวจจับระดับโลก https://www.techspot.com/news/108694-most-massive-black-hole-merger-ever-detected-shakes.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The most massive black hole merger ever detected shakes up astrophysics
    The LIGO-Virgo-KAGRA (LVK) collaboration has announced a groundbreaking discovery in the field of gravitational wave astronomy. The international research team has detected the most massive merger of...
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • Pontianak เมืองกลางเส้นศูนย์สูตร

    ปอนเตียนัค (Pontianak) จังหวัดกาลิมันตันตะวันตก บนเกาะกาลิมันตัน ประเทศอินโดนีเซีย หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะบอร์เนียว ในประเทศมาเลเซีย เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่

    สำหรับปอนเตียนัคเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร (Equator) ที่แบ่งโลกออกเป็นซีกเหนือและซีกใต้พอดี จากทั้งหมดนับพันเมืองใน 12 ประเทศ โดยมีแลนด์มาร์คหลักคือ อนุสาวรีย์เส้นศูนย์สูตร (Equator Monument) ที่ย่านซินตัง (Sintang) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1928 เพื่อบ่งชี้ตำแหน่งของเส้นศูนย์สูตรที่ระดับ 0 องศา จากเทคโนโลยีในยุคนั้น โดยมีนักสำรวจชาวดัตช์เป็นผู้ระบุจุดดังกล่าว โดยใช้เสาไม้เหล็ก (ironwood) จำนวน 4 ต้น พร้อมลูกศรบอกทิศทาง

    ต่อมามีการปรับปรุงและต่อเติมหลายครั้ง เช่น การสร้างโดมขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ทำให้อนุสาวรีย์ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า ภายในมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์จัดแสดงไว้ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมอยู่ด้านใน สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติกิดขึ้นที่นี่ปีละ 2 ครั้ง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุดบนศีรษะ (Sun at zenith) บนเส้นศูนย์สูตร คือ วันที่ 21–23 มี.ค. (ช่วงวสันตวิษุวัต – Vernal Equinox) และวันที่ 21–23 ก.ย. (ช่วงศารทวิษุวัต – Autumnal Equinox) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ไม่มีเงา ผู้คนจะมาร่วมกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลา 5 นาที ที่ร้อนที่สุดบนเกาะกาลิมันตัน

    นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลประจำท้องถิ่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน ได้แก่ เมอเรียมการ์บิต (Meriam Karbit) ประเพณีดั้งเดิมของชาวมลายู ใช้ปืนใหญ่ทำจากไม้ หรือเหล็ก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ กาปัวส์ (Kapuas River) แล้วใช้ก๊าซการ์บิตเป็นเชื้อเพลิงจุดระเบิดให้เกิดเสียงดังสนั่น เสียงกึกก้องทั่วเมืองยามค่ำคืน สร้างความตื่นเต้นแก่ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว จัดขึ้นในช่วงวันสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือวันอีดิลฟิฏร์

    การเดินทางจากกรุงเทพฯ ต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา กรุงจาการ์ตา (CGK) หลังจากนั้นต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติสุปาดีโอ (PNK) โดยมีเที่ยวบินระหว่างจาการ์ตากับเมืองปอนเตียนัครวม 240 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ หากเดินทางจากประเทศบรูไน หรือเมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย มีรถโดยสารประจำทางของบริษัทดามรี (Damri) ใช้เวลาเดินทางจากเมืองกูชิงผ่านด่านเอนติกง (Entikong) ประมาณ 8 ชั่วโมง

    #Newskit
    Pontianak เมืองกลางเส้นศูนย์สูตร ปอนเตียนัค (Pontianak) จังหวัดกาลิมันตันตะวันตก บนเกาะกาลิมันตัน ประเทศอินโดนีเซีย หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาะบอร์เนียว ในประเทศมาเลเซีย เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วย 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของป่าฝนเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ สำหรับปอนเตียนัคเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร (Equator) ที่แบ่งโลกออกเป็นซีกเหนือและซีกใต้พอดี จากทั้งหมดนับพันเมืองใน 12 ประเทศ โดยมีแลนด์มาร์คหลักคือ อนุสาวรีย์เส้นศูนย์สูตร (Equator Monument) ที่ย่านซินตัง (Sintang) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1928 เพื่อบ่งชี้ตำแหน่งของเส้นศูนย์สูตรที่ระดับ 0 องศา จากเทคโนโลยีในยุคนั้น โดยมีนักสำรวจชาวดัตช์เป็นผู้ระบุจุดดังกล่าว โดยใช้เสาไม้เหล็ก (ironwood) จำนวน 4 ต้น พร้อมลูกศรบอกทิศทาง ต่อมามีการปรับปรุงและต่อเติมหลายครั้ง เช่น การสร้างโดมขึ้นในปี ค.ศ. 1990 ทำให้อนุสาวรีย์ใหญ่กว่าเดิม 5 เท่า ภายในมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์จัดแสดงไว้ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมอยู่ด้านใน สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติกิดขึ้นที่นี่ปีละ 2 ครั้ง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุดบนศีรษะ (Sun at zenith) บนเส้นศูนย์สูตร คือ วันที่ 21–23 มี.ค. (ช่วงวสันตวิษุวัต – Vernal Equinox) และวันที่ 21–23 ก.ย. (ช่วงศารทวิษุวัต – Autumnal Equinox) ทำให้เกิดปรากฏการณ์ไม่มีเงา ผู้คนจะมาร่วมกิจกรรมพิเศษในช่วงเวลา 5 นาที ที่ร้อนที่สุดบนเกาะกาลิมันตัน นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลประจำท้องถิ่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน ได้แก่ เมอเรียมการ์บิต (Meriam Karbit) ประเพณีดั้งเดิมของชาวมลายู ใช้ปืนใหญ่ทำจากไม้ หรือเหล็ก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ กาปัวส์ (Kapuas River) แล้วใช้ก๊าซการ์บิตเป็นเชื้อเพลิงจุดระเบิดให้เกิดเสียงดังสนั่น เสียงกึกก้องทั่วเมืองยามค่ำคืน สร้างความตื่นเต้นแก่ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว จัดขึ้นในช่วงวันสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือวันอีดิลฟิฏร์ การเดินทางจากกรุงเทพฯ ต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา กรุงจาการ์ตา (CGK) หลังจากนั้นต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติสุปาดีโอ (PNK) โดยมีเที่ยวบินระหว่างจาการ์ตากับเมืองปอนเตียนัครวม 240 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ หากเดินทางจากประเทศบรูไน หรือเมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย มีรถโดยสารประจำทางของบริษัทดามรี (Damri) ใช้เวลาเดินทางจากเมืองกูชิงผ่านด่านเอนติกง (Entikong) ประมาณ 8 ชั่วโมง #Newskit
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • เมื่อ "บาดแผล" กลายเป็น "มรดกโลก"

    ‘มรดกโลก’ มักหมายถึงความงดงามและอารยธรรม
    แต่ไม่ใช่คราวนี้...

    ยูเนสโก (UNESCO) เพิ่งประกาศให้
    เรือนจำตวลสเลง (Tuol Sleng)
    ทุ่งสังหารเจืองเอ็ก (Choeung Ek)
    เรือนจำลับ M-13

    เป็น **มรดกโลก** อย่างเป็นทางการ เมื่อ 11 ก.ค. 2025
    ไม่ใช่เพื่อเชิดชูความโหดร้าย แต่เพื่อ **เตือนใจโลก** ไม่ให้ลืม

    กว่า 1.7 ล้านชีวิต ถูกพรากโดยระบอบเขมรแดง
    คนมีความรู้ เพียงสวมแว่นตา ก็ถูกฆ่า
    โรงเรียน กลายเป็นเรือนจำ
    ทุ่งหญ้า กลายเป็นหลุมศพ

    เสียงกรีดร้องยังฝังอยู่ในผนัง
    หัวกะโหลกนับพันเรียงรายในเจดีย์
    ทั้งหมดนี้...คือบทเรียนจากยุค "ปีศูนย์" ที่กัมพูชาต้องแลกมาด้วยเลือด

    การขึ้นทะเบียนครั้งนี้
    ไม่ใช่แค่ยอมรับอดีต แต่มันคือ "สัญญาจากมนุษยชาติ"
    ว่าโศกนาฏกรรมแบบนี้ **จะไม่เกิดซ้ำอีก**

    จดจำไว้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย
    มรดกโลกจากความเจ็บปวด
    ความทรงจำที่ต้องรักษา
    เพราะอดีต...คือครูของอนาคต

    #TuolSleng #ChoeungEk #Cambodia #UNESCO #มรดกโลก #เขมรแดง #ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #ความทรงจำที่ไม่ลืม #ประวัติศาสตร์
    📍เมื่อ "บาดแผล" กลายเป็น "มรดกโลก" 🌍 ‘มรดกโลก’ มักหมายถึงความงดงามและอารยธรรม แต่ไม่ใช่คราวนี้... ยูเนสโก (UNESCO) เพิ่งประกาศให้ 🟥 เรือนจำตวลสเลง (Tuol Sleng) 🟥 ทุ่งสังหารเจืองเอ็ก (Choeung Ek) 🟥 เรือนจำลับ M-13 เป็น **มรดกโลก** อย่างเป็นทางการ เมื่อ 11 ก.ค. 2025 ไม่ใช่เพื่อเชิดชูความโหดร้าย แต่เพื่อ **เตือนใจโลก** ไม่ให้ลืม 🩸กว่า 1.7 ล้านชีวิต ถูกพรากโดยระบอบเขมรแดง 🧠 คนมีความรู้ เพียงสวมแว่นตา ก็ถูกฆ่า 📚 โรงเรียน กลายเป็นเรือนจำ 🌳 ทุ่งหญ้า กลายเป็นหลุมศพ เสียงกรีดร้องยังฝังอยู่ในผนัง หัวกะโหลกนับพันเรียงรายในเจดีย์ ทั้งหมดนี้...คือบทเรียนจากยุค "ปีศูนย์" ที่กัมพูชาต้องแลกมาด้วยเลือด การขึ้นทะเบียนครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ยอมรับอดีต แต่มันคือ "สัญญาจากมนุษยชาติ" ว่าโศกนาฏกรรมแบบนี้ **จะไม่เกิดซ้ำอีก** 🌏 จดจำไว้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอย 📸 มรดกโลกจากความเจ็บปวด 📌 ความทรงจำที่ต้องรักษา 📣 เพราะอดีต...คือครูของอนาคต #TuolSleng #ChoeungEk #Cambodia #UNESCO #มรดกโลก #เขมรแดง #ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ #ความทรงจำที่ไม่ลืม #ประวัติศาสตร์
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • กรกิจ ดิษฐาน คอลัมนิสต์นักเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้โพสต์ว่า “สองสามวันมานี้ผมอ่านบันทึกการเดินทางของ เอเจียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ผู้ที่ทำการสำรวจ "ขอบเขตของดินแดนเขมรโบราณ" โดยเข้ามาสำรวจในภาคอีสานไทยและบางส่วนของลาว

    หนังสือสองเล่มนั้นคือ Le Cambodge. Les provinces siamoises (การสำรวจโบราณสถานเขมรโบราณในดินแดนของประเทศสยาม) กับ Voyage dans le Laos (การสำรวจภาคอีสานของไทยโดยที่เขาเรียกดินแดนนี้ว่าลาว)

    ที่สำคัญคือ เมื่อถึงเทือกเขาพนมดงรักแล้ว เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม

    สำหรับหนังสือการสำรวจทั้งสองนั้น เล่มแรกมีรสชาติเป็นวิชาการ คือ ค่อนข้างไร้อารมณ์ ส่วนเล่มสองนั้นมีเกร็ดสนุกๆ พอสมควร ทั้งสองเล่มต่างก็เล่าถึงการเดินทางมาที่ "เมืองสุรินทร์" อันเป็นจังหวัดของประเทศสยามและมีระเบียบการปกครองแบบสยาม เอโมนิเยร์ เดินทางกับลูกน้องชาวกัมพูชาจากสุรินทร์ลงมายังเทือกเขาพนมดงรักเพื่อสำรวจกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งบรรยากาศการสำรวจในหนังสือ Le Cambodge. Les provinces siamoises กล่าวถึงการรายละเอียดที่เป็นวิชาการมาก (เช่นปราสาทมีลักษณะแบบไหน ใครสร้าง จารึกว่าด้วยอะไร) แต่ Voyage dans le Laos ดูลี้ลับ สนุกเร้าใจ และน่าเสี่ยงภัยพอดู

    สิ่งสำคัญก็คือ เอเจียน เอโมนิเยร์ บอกว่า ปราสาทตาเมือน (ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือนธรรมดา) ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ แม้ว่าในเวลานั้นการกำหนดพรมแดนของไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสยังไม่ชัด แต่การระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตสุรินทร์ก็เท่ากับยอมรับว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของไทย

    และเนื้อหาของ Voyage dans le Laos ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ชัด รวมถึงการเข้ามาของข้าราชการจากสยามและบางกอกในพื้นที่นี้ ซึ่งผมจะแปลให้อ่านกัน ดังนี้ .... (บทว่าด้วยจากสังขะ ถึงสุรินทร์ สู่ดงรัก)

    "หมู่บ้านพนมได (พนมฎี?) แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักไป 4 ลีก (19.32 กิโลเมตร) นับจากช่องจุบสมัจที่ชาวสยามเรียกว่า ช่องเสม็ด ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนนำเครื่องบรรณาการจากเมืองลาวต่างๆ (อีสานและลาวฝั่งซ้าย) มายังกรุงเทพฯ เครื่องบรรณาการเหล่านี้ไม่ปลอดภัยจากการโจมตีของโจร ครั้งหนึ่งเคยถูกลักขโมยไปเมื่อปีที่แล้ว อีกครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นผู้รักษาการเจ้าถูกปล้นทรัพย์จนหมดสิ้น เขาต้องหลบหนีกลับประเทศโดยที่แม้แต่สัญญาบัตรพระราชทานตำแหน่งก็สูญหายไป พวกโจรยังปล้นสะดมได้แม้พระมหากษัตริย์ และพวกเรากับชาวกัมพูชาคนอื่นๆ กล่าวว่า "พวกเราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าในสัมภาระของเราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากกระดาษพิมพ์ลายศิลาจารึก"

    วันพุธที่ 19 ธันวาคม พวกเขาออกจากหมู่บ้านพนมไดเวลา 7 โมงเช้าเพื่อไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังที่เรียกว่าปราสาทตาเมือนบนภูเขา เวลา 9 โมง พวกเขาออกจากป่าที่โล่งและเข้าสู่ป่าสูงใหญ่ทึบที่ปกคลุมยอดเขาดงรัก ในภูมิภาคนี้ ป่าแห่งนี้มีลักษณะที่หาได้ยากในอินโดจีน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะเป็นหลุมดำทึบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ประกอบกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขา พื้นดินไม่ได้โล่งเตียน แต่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้และพุ่มไม้เล็กๆ ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาได้พบกับป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องเพลาจอมทัพเพชร เห็นได้ชัดว่าสามารถเดินได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากป่า

    หนึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าไปในป่านี้ นักเดินทางก็มาถึงปราสาทตาเมือน ในป่า ไม่ไกลจากสันเขาของกำแพงสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเขาดงรัก จากภูมิพนมได (บ้านพนมได) ไม่มีร่องให้ปีนป่ายให้เห็นเด่นชัด ภูมิประเทศดูเหมือนจะราบเรียบ และยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันครึ่งลีก (2.4 กิโลเมตร) เลยซากปรักหักพังไป ซึ่งมีทางเดินเท้าใกล้ๆ ซึ่งช่วยให้ลงจากภูเขาได้ มีคนเล่ากันว่าโจรขโมยวัวมักจะผ่านช่องเขาร้างที่เรียกว่า เพลาตาเมือน เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซากปรักหักพังเล็กๆ ของปราสาทตาเมือนตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบและเป็นทราย จากที่นั่น ลูกหาบชาวกัมพูชาของผมเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 หรือ 1,800 เมตร เพื่อเยี่ยมชมซากปรักหักพังขนาดใหญ่หรือปราสาทตาเมือนธม อนุสรณ์สถานสุดท้ายนี้ ซึ่งอยู่ในป่าขนาดใหญ่เช่นกัน มีความสำคัญมากกว่า ตั้งอยู่ใกล้สันเขา มีบันไดขนาดใหญ่ที่ลงจากภูเขาไปยังที่ราบสูงตอนล่าง ในวันแรกนั้น จารึกของปราสาทตาเมือนธมถูกพิมพ์ทำสำเนาไว้ อันส่งอุกกลับไปยังพนมไดเพื่อเฝ้าสัมภาระและพักอยู่กับชานที่ซากปรักหักพัง

    ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม เป็นวันที่ผมใช้เวลาทั้งวันในการขุดค้นจารึกของปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากไม่ได้นำอาหารมาเพียงพอ และต้องอยู่ในซากปรักหักพังนี้เกินกว่าที่คาดไว้ คนของผมและผู้นำทางจึงต้องงดอาหารเย็นและนอนที่ปราสาทตาเมือนธม ในซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างอันกว้างใหญ่นี้ พวกเขาได้รับสัญญาณเตือน ซึ่งอันเล่าว่า “พวกเราสี่คนนอนอยู่ที่นั่น จัน ผม (อัน) และชายสองคนจากภูมิพนมได ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนใบไม้ร่วงแต่ละใบส่งเสียงประหลาด เราได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์เดิน ผมต้องชื่นชมความนิ่งของชายคนหนึ่งจากท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด นิ่งสงบอยู่เสมอ แต่ราวๆ ช่วงเวลาไก่ขันครั้งแรก ชายคนนี้ก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันและตะโกนว่า “อะไรมันยืนอยู่อย่างนี้?” พลันกองไฟของเราดับลง ผมกระโดดขึ้น คว้าปืนไรเฟิลไว้ในมือข้างหนึ่งและเขย่าจันด้วยมืออีกข้างเพื่อปลุกเขา เราถามชายคนนี้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เขานิ่งลงตามปกติแล้ว หลังจากถามซ้ำหลายครั้ง เขาบอกเราเพียงว่าเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกบิน เราจึงกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำสำเนาจารึกเสร็จ เราหุงข้าวถ้วยเล็กๆ ที่เราเหลือไว้โดยการเจือจางด้วยน้ำปริมาณมาก และแบ่งโจ๊กหม้อเล็กๆ นี้ให้ทุกคนกิน งานของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราออกจากซากปรักหักพังทางทิศตะวันตก และทันใดนั้นก็พบกับงูสีดำตัวหนึ่ง ยาวสามถึง 4 เมตร ใหญ่กว่าลูกวัวเสียอีก มันกระโดดและหายเข้าไปในโพรงของซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว ผมขอปืนไรเฟิลไปอย่างไร้ผล ชายท้องถิ่นที่ถือมันไว้กลับวิ่งหนีไปแทนที่จะยื่นให้ผม ขณะที่ผมยังคงจ้องมองสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแขกยามราตรีที่ออกล่าสัตว์กับเรา"

    บันทึกนี้ระทึกใจเหมือนกำลังอ่านบทหนึ่งของเพชรพระอุมา

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม

    ดังนั้นพวก "เขมรต่ำ" ไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลาอีก”

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1FziKPwjkT/?mibextid=wwXIfr
    กรกิจ ดิษฐาน คอลัมนิสต์นักเขียนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ได้โพสต์ว่า “สองสามวันมานี้ผมอ่านบันทึกการเดินทางของ เอเจียน เอโมนิเยร์ (Étienne Aymonier) ผู้ที่ทำการสำรวจ "ขอบเขตของดินแดนเขมรโบราณ" โดยเข้ามาสำรวจในภาคอีสานไทยและบางส่วนของลาว หนังสือสองเล่มนั้นคือ Le Cambodge. Les provinces siamoises (การสำรวจโบราณสถานเขมรโบราณในดินแดนของประเทศสยาม) กับ Voyage dans le Laos (การสำรวจภาคอีสานของไทยโดยที่เขาเรียกดินแดนนี้ว่าลาว) ที่สำคัญคือ เมื่อถึงเทือกเขาพนมดงรักแล้ว เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม สำหรับหนังสือการสำรวจทั้งสองนั้น เล่มแรกมีรสชาติเป็นวิชาการ คือ ค่อนข้างไร้อารมณ์ ส่วนเล่มสองนั้นมีเกร็ดสนุกๆ พอสมควร ทั้งสองเล่มต่างก็เล่าถึงการเดินทางมาที่ "เมืองสุรินทร์" อันเป็นจังหวัดของประเทศสยามและมีระเบียบการปกครองแบบสยาม เอโมนิเยร์ เดินทางกับลูกน้องชาวกัมพูชาจากสุรินทร์ลงมายังเทือกเขาพนมดงรักเพื่อสำรวจกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งบรรยากาศการสำรวจในหนังสือ Le Cambodge. Les provinces siamoises กล่าวถึงการรายละเอียดที่เป็นวิชาการมาก (เช่นปราสาทมีลักษณะแบบไหน ใครสร้าง จารึกว่าด้วยอะไร) แต่ Voyage dans le Laos ดูลี้ลับ สนุกเร้าใจ และน่าเสี่ยงภัยพอดู สิ่งสำคัญก็คือ เอเจียน เอโมนิเยร์ บอกว่า ปราสาทตาเมือน (ทั้งตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาเมือนธรรมดา) ตั้งอยู่ในเมืองสุรินทร์ แม้ว่าในเวลานั้นการกำหนดพรมแดนของไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสยังไม่ชัด แต่การระบุว่ากลุ่มปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตสุรินทร์ก็เท่ากับยอมรับว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของไทย และเนื้อหาของ Voyage dans le Laos ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ชัด รวมถึงการเข้ามาของข้าราชการจากสยามและบางกอกในพื้นที่นี้ ซึ่งผมจะแปลให้อ่านกัน ดังนี้ .... (บทว่าด้วยจากสังขะ ถึงสุรินทร์ สู่ดงรัก) "หมู่บ้านพนมได (พนมฎี?) แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาพนมดงรักไป 4 ลีก (19.32 กิโลเมตร) นับจากช่องจุบสมัจที่ชาวสยามเรียกว่า ช่องเสม็ด ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนนำเครื่องบรรณาการจากเมืองลาวต่างๆ (อีสานและลาวฝั่งซ้าย) มายังกรุงเทพฯ เครื่องบรรณาการเหล่านี้ไม่ปลอดภัยจากการโจมตีของโจร ครั้งหนึ่งเคยถูกลักขโมยไปเมื่อปีที่แล้ว อีกครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นผู้รักษาการเจ้าถูกปล้นทรัพย์จนหมดสิ้น เขาต้องหลบหนีกลับประเทศโดยที่แม้แต่สัญญาบัตรพระราชทานตำแหน่งก็สูญหายไป พวกโจรยังปล้นสะดมได้แม้พระมหากษัตริย์ และพวกเรากับชาวกัมพูชาคนอื่นๆ กล่าวว่า "พวกเราระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าในสัมภาระของเราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากกระดาษพิมพ์ลายศิลาจารึก" วันพุธที่ 19 ธันวาคม พวกเขาออกจากหมู่บ้านพนมไดเวลา 7 โมงเช้าเพื่อไปเยี่ยมชมซากปรักหักพังที่เรียกว่าปราสาทตาเมือนบนภูเขา เวลา 9 โมง พวกเขาออกจากป่าที่โล่งและเข้าสู่ป่าสูงใหญ่ทึบที่ปกคลุมยอดเขาดงรัก ในภูมิภาคนี้ ป่าแห่งนี้มีลักษณะที่หาได้ยากในอินโดจีน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีลักษณะเป็นหลุมดำทึบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ประกอบกับเสาหินขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขา พื้นดินไม่ได้โล่งเตียน แต่ปกคลุมไปด้วยพืชพรรณไม้และพุ่มไม้เล็กๆ ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาได้พบกับป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของช่องเพลาจอมทัพเพชร เห็นได้ชัดว่าสามารถเดินได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากป่า หนึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าไปในป่านี้ นักเดินทางก็มาถึงปราสาทตาเมือน ในป่า ไม่ไกลจากสันเขาของกำแพงสูงชันที่ก่อตัวขึ้นจากเขาดงรัก จากภูมิพนมได (บ้านพนมได) ไม่มีร่องให้ปีนป่ายให้เห็นเด่นชัด ภูมิประเทศดูเหมือนจะราบเรียบ และยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งถึงหน้าผาสูงชันครึ่งลีก (2.4 กิโลเมตร) เลยซากปรักหักพังไป ซึ่งมีทางเดินเท้าใกล้ๆ ซึ่งช่วยให้ลงจากภูเขาได้ มีคนเล่ากันว่าโจรขโมยวัวมักจะผ่านช่องเขาร้างที่เรียกว่า เพลาตาเมือน เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ซากปรักหักพังเล็กๆ ของปราสาทตาเมือนตั้งอยู่บนพื้นดินที่ราบเรียบและเป็นทราย จากที่นั่น ลูกหาบชาวกัมพูชาของผมเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 หรือ 1,800 เมตร เพื่อเยี่ยมชมซากปรักหักพังขนาดใหญ่หรือปราสาทตาเมือนธม อนุสรณ์สถานสุดท้ายนี้ ซึ่งอยู่ในป่าขนาดใหญ่เช่นกัน มีความสำคัญมากกว่า ตั้งอยู่ใกล้สันเขา มีบันไดขนาดใหญ่ที่ลงจากภูเขาไปยังที่ราบสูงตอนล่าง ในวันแรกนั้น จารึกของปราสาทตาเมือนธมถูกพิมพ์ทำสำเนาไว้ อันส่งอุกกลับไปยังพนมไดเพื่อเฝ้าสัมภาระและพักอยู่กับชานที่ซากปรักหักพัง ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม เป็นวันที่ผมใช้เวลาทั้งวันในการขุดค้นจารึกของปราสาทตาเมือนธม เนื่องจากไม่ได้นำอาหารมาเพียงพอ และต้องอยู่ในซากปรักหักพังนี้เกินกว่าที่คาดไว้ คนของผมและผู้นำทางจึงต้องงดอาหารเย็นและนอนที่ปราสาทตาเมือนธม ในซากปรักหักพังที่ตั้งอยู่ในป่ารกร้างอันกว้างใหญ่นี้ พวกเขาได้รับสัญญาณเตือน ซึ่งอันเล่าว่า “พวกเราสี่คนนอนอยู่ที่นั่น จัน ผม (อัน) และชายสองคนจากภูมิพนมได ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนใบไม้ร่วงแต่ละใบส่งเสียงประหลาด เราได้ยินเสียงคล้ายเสียงสัตว์เดิน ผมต้องชื่นชมความนิ่งของชายคนหนึ่งจากท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด นิ่งสงบอยู่เสมอ แต่ราวๆ ช่วงเวลาไก่ขันครั้งแรก ชายคนนี้ก็กระโดดขึ้นอย่างกะทันหันและตะโกนว่า “อะไรมันยืนอยู่อย่างนี้?” พลันกองไฟของเราดับลง ผมกระโดดขึ้น คว้าปืนไรเฟิลไว้ในมือข้างหนึ่งและเขย่าจันด้วยมืออีกข้างเพื่อปลุกเขา เราถามชายคนนี้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เขานิ่งลงตามปกติแล้ว หลังจากถามซ้ำหลายครั้ง เขาบอกเราเพียงว่าเขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกบิน เราจึงกลับไปนอน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทำสำเนาจารึกเสร็จ เราหุงข้าวถ้วยเล็กๆ ที่เราเหลือไว้โดยการเจือจางด้วยน้ำปริมาณมาก และแบ่งโจ๊กหม้อเล็กๆ นี้ให้ทุกคนกิน งานของเรา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราออกจากซากปรักหักพังทางทิศตะวันตก และทันใดนั้นก็พบกับงูสีดำตัวหนึ่ง ยาวสามถึง 4 เมตร ใหญ่กว่าลูกวัวเสียอีก มันกระโดดและหายเข้าไปในโพรงของซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว ผมขอปืนไรเฟิลไปอย่างไร้ผล ชายท้องถิ่นที่ถือมันไว้กลับวิ่งหนีไปแทนที่จะยื่นให้ผม ขณะที่ผมยังคงจ้องมองสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแขกยามราตรีที่ออกล่าสัตว์กับเรา" บันทึกนี้ระทึกใจเหมือนกำลังอ่านบทหนึ่งของเพชรพระอุมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เอเจียน เอโมนิเยร์ ได้ย้ำกับเราแล้วว่า "เรายังอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์" เมื่อมาถึงปราสาทตาเมือนธม ดังนั้นพวก "เขมรต่ำ" ไม่ต้องมาเถียงให้เสียเวลาอีก” ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1FziKPwjkT/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
More Results