• 🚀 Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM เพื่อแซงหน้าคู่แข่งจากจีน
    Samsung กำลังเร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เพื่อ รักษาความเป็นผู้นำในตลาดหน่วยความจำ และ แซงหน้าคู่แข่งจากจีน เช่น CXMT ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการพัฒนา LPDDR5X RAM

    LPDDR6 RAM รุ่นใหม่นี้จะถูกผลิตบน กระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็น เจเนอเรชันที่หกของเทคโนโลยี DRAM โดยมี แบนด์วิดท์สูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง

    CXMT ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีน เริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM แล้ว และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ทำให้ Samsung ต้องเร่งกระบวนการพัฒนาเพื่อ รักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี

    Qualcomm จะเป็น ลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ของ Samsung ไปใช้ โดยคาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะรองรับเทคโนโลยีนี้ทันทีเมื่อเปิดตัวใน Snapdragon Summit วันที่ 23 กันยายน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในครึ่งหลังของปี 2025
    - LPDDR6 RAM จะถูกผลิตบนกระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่หกของ DRAM
    - CXMT จากจีนเริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    - Qualcomm จะเป็นลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ไปใช้ใน Snapdragon 8 Elite Gen 2
    - LPDDR6 RAM จะถูกใช้ใน AI, คอมพิวเตอร์พกพา, หุ่นยนต์ และรถยนต์ไร้คนขับ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT อาจทำให้ราคาหน่วยความจำผันผวน
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นจะนำ LPDDR6 RAM ไปใช้เร็วแค่ไหน
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ต้องตรวจสอบว่าการใช้พลังงานจะลดลงตามที่คาดหวังหรือไม่
    - ต้องรอดูว่า CXMT จะสามารถผลิต LPDDR6 RAM ได้เร็วพอที่จะแข่งขันกับ Samsung หรือไม่

    LPDDR6 RAM อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT จะส่งผลต่อราคาหน่วยความจำในตลาดอย่างไร

    https://wccftech.com/samsung-accelerating-lpddr6-ram-development-in-h2-2025/
    🚀 Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM เพื่อแซงหน้าคู่แข่งจากจีน Samsung กำลังเร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เพื่อ รักษาความเป็นผู้นำในตลาดหน่วยความจำ และ แซงหน้าคู่แข่งจากจีน เช่น CXMT ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการพัฒนา LPDDR5X RAM LPDDR6 RAM รุ่นใหม่นี้จะถูกผลิตบน กระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็น เจเนอเรชันที่หกของเทคโนโลยี DRAM โดยมี แบนด์วิดท์สูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง CXMT ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีน เริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM แล้ว และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ทำให้ Samsung ต้องเร่งกระบวนการพัฒนาเพื่อ รักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี Qualcomm จะเป็น ลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ของ Samsung ไปใช้ โดยคาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะรองรับเทคโนโลยีนี้ทันทีเมื่อเปิดตัวใน Snapdragon Summit วันที่ 23 กันยายน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในครึ่งหลังของปี 2025 - LPDDR6 RAM จะถูกผลิตบนกระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่หกของ DRAM - CXMT จากจีนเริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 - Qualcomm จะเป็นลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ไปใช้ใน Snapdragon 8 Elite Gen 2 - LPDDR6 RAM จะถูกใช้ใน AI, คอมพิวเตอร์พกพา, หุ่นยนต์ และรถยนต์ไร้คนขับ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT อาจทำให้ราคาหน่วยความจำผันผวน - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นจะนำ LPDDR6 RAM ไปใช้เร็วแค่ไหน - แม้จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ต้องตรวจสอบว่าการใช้พลังงานจะลดลงตามที่คาดหวังหรือไม่ - ต้องรอดูว่า CXMT จะสามารถผลิต LPDDR6 RAM ได้เร็วพอที่จะแข่งขันกับ Samsung หรือไม่ LPDDR6 RAM อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT จะส่งผลต่อราคาหน่วยความจำในตลาดอย่างไร https://wccftech.com/samsung-accelerating-lpddr6-ram-development-in-h2-2025/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Is Accelerating Development Of LPDDR6 RAM In H2 2025 To Obtain A Lead Against Chinese Manufacturers, Qualcomm Will Be One Of The First Top Adopt This Technology
    As Chinese DRAM manufacturers attempt to close the gap with Samsung, the latter is focused on accelerating LPDDR6 RAM development later in the year
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • 🔍 ความขัดแย้งเรื่องกฎหมายเฝ้าระวังในสวิตเซอร์แลนด์: Infomaniak vs. Proton
    บริษัท Infomaniak และ Proton กำลังเผชิญหน้ากันเกี่ยวกับ การแก้ไขกฎหมายเฝ้าระวังของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ VPN, แอปส่งข้อความ และโซเชียลมีเดีย โดยกำหนดให้ ต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้

    🔥 จุดยืนของแต่ละฝ่าย
    Proton และ NymVPN คัดค้านกฎหมายนี้อย่างหนัก โดยระบุว่า หากกฎหมายผ่าน พวกเขาจะย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจาก กฎหมายใหม่อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง

    Infomaniak ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการคลาวด์และอีเมลเข้ารหัส ได้วิจารณ์ Proton โดยกล่าวว่า การสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - กฎหมายใหม่ของสวิตเซอร์แลนด์จะบังคับให้ VPN และแอปส่งข้อความต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้
    - Proton และ NymVPN เตรียมย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์หากกฎหมายผ่าน
    - Infomaniak วิจารณ์ Proton ว่าการสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
    - Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน
    - นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - กฎหมายนี้อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง
    - การเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจทำให้รัฐบาลสามารถติดตามพฤติกรรมของประชาชนได้
    - การบังคับให้เก็บข้อมูลล่วงหน้าอาจเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
    - ต้องติดตามว่ากฎหมายนี้จะถูกแก้ไขหรือถูกยกเลิกในรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่

    หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจส่งผลกระทบต่อบริการ VPN และแอปส่งข้อความที่เน้นความเป็นส่วนตัว และ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงต้านจากภาคธุรกิจและนักการเมืองที่อาจทำให้กฎหมายนี้ถูกแก้ไขหรือยกเลิก

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/cloud-service-infomaniak-steps-up-fight-with-proton-over-controversial-swiss-surveillance-law
    🔍 ความขัดแย้งเรื่องกฎหมายเฝ้าระวังในสวิตเซอร์แลนด์: Infomaniak vs. Proton บริษัท Infomaniak และ Proton กำลังเผชิญหน้ากันเกี่ยวกับ การแก้ไขกฎหมายเฝ้าระวังของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ VPN, แอปส่งข้อความ และโซเชียลมีเดีย โดยกำหนดให้ ต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้ 🔥 จุดยืนของแต่ละฝ่าย Proton และ NymVPN คัดค้านกฎหมายนี้อย่างหนัก โดยระบุว่า หากกฎหมายผ่าน พวกเขาจะย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจาก กฎหมายใหม่อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง Infomaniak ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการคลาวด์และอีเมลเข้ารหัส ได้วิจารณ์ Proton โดยกล่าวว่า การสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - กฎหมายใหม่ของสวิตเซอร์แลนด์จะบังคับให้ VPN และแอปส่งข้อความต้องระบุตัวตนและเก็บข้อมูลผู้ใช้ - Proton และ NymVPN เตรียมย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์หากกฎหมายผ่าน - Infomaniak วิจารณ์ Proton ว่าการสนับสนุนความเป็นนิรนามออนไลน์อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรม - Infomaniak ยืนยันว่าพวกเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ในรูปแบบปัจจุบัน - นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่าการเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - กฎหมายนี้อาจทำให้บริการ VPN แบบไม่เก็บล็อกข้อมูลต้องยุติลง - การเก็บข้อมูลเมตาดาตาอาจทำให้รัฐบาลสามารถติดตามพฤติกรรมของประชาชนได้ - การบังคับให้เก็บข้อมูลล่วงหน้าอาจเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน - ต้องติดตามว่ากฎหมายนี้จะถูกแก้ไขหรือถูกยกเลิกในรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์หรือไม่ หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจส่งผลกระทบต่อบริการ VPN และแอปส่งข้อความที่เน้นความเป็นส่วนตัว และ อาจทำให้บริษัทเทคโนโลยีต้องย้ายออกจากสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงต้านจากภาคธุรกิจและนักการเมืองที่อาจทำให้กฎหมายนี้ถูกแก้ไขหรือยกเลิก https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/cloud-service-infomaniak-steps-up-fight-with-proton-over-controversial-swiss-surveillance-law
    WWW.TECHRADAR.COM
    Cloud service Infomaniak steps up fight with Proton over controversial Swiss surveillance law
    Infomaniak's comments have caused a stir across the Swiss privacy tech sector
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • 🔒 Cisco เตือนช่องโหว่ร้ายแรงใน ISE ที่ส่งผลกระทบต่อ AWS และ Azure
    Cisco ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Identity Services Engine (ISE) ซึ่งส่งผลกระทบต่อ การใช้งานบน AWS, Microsoft Azure และ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) โดยช่องโหว่นี้มี คะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.9/10 และมี Proof-of-Concept (PoC) exploit เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว

    ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-20286 และเกิดจาก การสร้างข้อมูลล็อกอินที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ ISE ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์มคลาวด์เดียวกันสามารถแชร์ข้อมูลล็อกอินกันได้

    ผลกระทบคือ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง ISE instances ที่อยู่ในคลาวด์อื่น ๆ ผ่านพอร์ตที่ไม่ได้รับการป้องกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ การเข้าถึงข้อมูลสำคัญ, การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบ และการรบกวนบริการ

    อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อ Primary Administration Node ถูกติดตั้งบนคลาวด์ หากติดตั้งแบบ On-Premises จะไม่ถูกโจมตี

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Cisco เตือนช่องโหว่ร้ายแรงใน ISE ที่ส่งผลกระทบต่อ AWS, Azure และ OCI
    - ช่องโหว่ CVE-2025-20286 มีคะแนนความรุนแรง 9.9/10
    - เกิดจากการสร้างข้อมูลล็อกอินที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ ISE instances สามารถแชร์ข้อมูลล็อกอินกันได้
    - แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง ISE instances ผ่านพอร์ตที่ไม่ได้รับการป้องกัน
    - ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อ Primary Administration Node ถูกติดตั้งบนคลาวด์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ช่องโหว่นี้มี Proof-of-Concept (PoC) exploit เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว
    - หาก ISE ถูกติดตั้งแบบ On-Premises จะไม่ถูกโจมตี
    - Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยและอัปเดตแพตช์ทันที
    - ต้องติดตามว่าช่องโหว่นี้จะถูกนำไปใช้โจมตีในวงกว้างหรือไม่

    Cisco ได้ออก แพตช์แก้ไขช่องโหว่แล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด รวมถึง ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ ISE บนคลาวด์

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-over-worrying-security-flaws-in-ise-affecting-aws-azure-cloud-deployments
    🔒 Cisco เตือนช่องโหว่ร้ายแรงใน ISE ที่ส่งผลกระทบต่อ AWS และ Azure Cisco ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Identity Services Engine (ISE) ซึ่งส่งผลกระทบต่อ การใช้งานบน AWS, Microsoft Azure และ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) โดยช่องโหว่นี้มี คะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.9/10 และมี Proof-of-Concept (PoC) exploit เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ช่องโหว่นี้ถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-20286 และเกิดจาก การสร้างข้อมูลล็อกอินที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ ISE ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์มคลาวด์เดียวกันสามารถแชร์ข้อมูลล็อกอินกันได้ ผลกระทบคือ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง ISE instances ที่อยู่ในคลาวด์อื่น ๆ ผ่านพอร์ตที่ไม่ได้รับการป้องกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ การเข้าถึงข้อมูลสำคัญ, การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบ และการรบกวนบริการ อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อ Primary Administration Node ถูกติดตั้งบนคลาวด์ หากติดตั้งแบบ On-Premises จะไม่ถูกโจมตี ✅ ข้อมูลจากข่าว - Cisco เตือนช่องโหว่ร้ายแรงใน ISE ที่ส่งผลกระทบต่อ AWS, Azure และ OCI - ช่องโหว่ CVE-2025-20286 มีคะแนนความรุนแรง 9.9/10 - เกิดจากการสร้างข้อมูลล็อกอินที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ ISE instances สามารถแชร์ข้อมูลล็อกอินกันได้ - แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง ISE instances ผ่านพอร์ตที่ไม่ได้รับการป้องกัน - ช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อ Primary Administration Node ถูกติดตั้งบนคลาวด์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ช่องโหว่นี้มี Proof-of-Concept (PoC) exploit เผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว - หาก ISE ถูกติดตั้งแบบ On-Premises จะไม่ถูกโจมตี - Cisco แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยและอัปเดตแพตช์ทันที - ต้องติดตามว่าช่องโหว่นี้จะถูกนำไปใช้โจมตีในวงกว้างหรือไม่ Cisco ได้ออก แพตช์แก้ไขช่องโหว่แล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด รวมถึง ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ ISE บนคลาวด์ https://www.techradar.com/pro/security/cisco-warns-over-worrying-security-flaws-in-ise-affecting-aws-azure-cloud-deployments
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • 🚀 กลุ่มพันธมิตร ASIC เร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia
    รายงานอุตสาหกรรมล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC (Application-Specific Integrated Circuits) เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด AI และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    Nvidia ครองตลาดด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 ซึ่งถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แต่ด้วยราคาสูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิป และเซิร์ฟเวอร์ GB200 ที่มีราคาสูงถึง $1.8 - $3 ล้าน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์

    แม้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงสั่งซื้อฮาร์ดแวร์จาก Nvidia แต่ก็ เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia
    - Nvidia ครองตลาด AI ด้วย Blackwell GPUs เช่น B200
    - ราคาชิป Nvidia สูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิ้น และเซิร์ฟเวอร์ GB200 สูงถึง $1.8 - $3 ล้าน
    - บริษัทต่าง ๆ ยังคงสั่งซื้อจาก Nvidia แต่เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC
    - TSMC ได้รับประโยชน์จากทั้ง Nvidia และบริษัทที่พัฒนา ASIC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การพัฒนา ASIC ต้องใช้เวลาหลายปี และ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ด้วย CUDA
    - แม้จะมีการพัฒนา ASIC แต่บริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา Nvidia ในระยะสั้น
    - Nvidia กำลังสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต ASIC เช่น MediaTek, Qualcomm และ Fujitsu ผ่าน NVLink Fusion
    - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI อย่างไร

    การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีมีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนา AI และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/rising-asic-coalition-seeks-to-jettison-nvidia-industry-report-claims-firms-are-accelerating-development-in-order-to-reduce-dependence-on-the-giant
    🚀 กลุ่มพันธมิตร ASIC เร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia รายงานอุตสาหกรรมล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC (Application-Specific Integrated Circuits) เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด AI และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง Nvidia ครองตลาดด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 ซึ่งถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แต่ด้วยราคาสูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิป และเซิร์ฟเวอร์ GB200 ที่มีราคาสูงถึง $1.8 - $3 ล้าน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์ แม้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงสั่งซื้อฮาร์ดแวร์จาก Nvidia แต่ก็ เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia - Nvidia ครองตลาด AI ด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 - ราคาชิป Nvidia สูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิ้น และเซิร์ฟเวอร์ GB200 สูงถึง $1.8 - $3 ล้าน - บริษัทต่าง ๆ ยังคงสั่งซื้อจาก Nvidia แต่เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC - TSMC ได้รับประโยชน์จากทั้ง Nvidia และบริษัทที่พัฒนา ASIC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การพัฒนา ASIC ต้องใช้เวลาหลายปี และ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ด้วย CUDA - แม้จะมีการพัฒนา ASIC แต่บริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา Nvidia ในระยะสั้น - Nvidia กำลังสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต ASIC เช่น MediaTek, Qualcomm และ Fujitsu ผ่าน NVLink Fusion - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI อย่างไร การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีมีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนา AI และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/rising-asic-coalition-seeks-to-jettison-nvidia-industry-report-claims-firms-are-accelerating-development-in-order-to-reduce-dependence-on-the-giant
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • 🏢 AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI Inference
    AMD ได้ประกาศว่า บริษัทได้ว่าจ้างทีมวิศวกรทั้งหมดจาก Untether AI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนา ชิป AI inference จากแคนาดา โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินของ Untether AI ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะ หยุดการสนับสนุนและการจัดจำหน่าย

    AMD ระบุว่า ทีมวิศวกรจาก Untether AI จะช่วยเสริมศักยภาพด้าน AI compiler และ kernel development รวมถึง การออกแบบ SoC และการตรวจสอบผลิตภัณฑ์

    Untether AI เป็นบริษัทที่ พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU โดย วางโปรเซสเซอร์ไว้ใกล้กับหน่วยความจำ เพื่อลด latency และการใช้พลังงาน ซึ่งแตกต่างจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงในการฝึกโมเดล AI

    นอกจากนี้ AMD ยังได้เข้าซื้อ Brium ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เน้น การเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ซึ่งบ่งชี้ว่า AMD กำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI inference chips เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI inference
    - ผลิตภัณฑ์ของ Untether AI เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะหยุดการสนับสนุน
    - ทีมวิศวกรจะช่วยพัฒนา AI compiler, kernel development และ SoC design
    - Untether AI พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU
    - AMD ยังเข้าซื้อ Brium ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ลูกค้าของ Untether AI อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจาก AMD ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท
    - ต้องติดตามว่า AMD จะพัฒนา AI inference chips ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI inference และการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล
    - ต้องรอดูว่า AMD จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Untether AI เมื่อใด

    การเข้าซื้อทีมวิศวกรจาก Untether AI อาจช่วยให้ AMD สามารถพัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันกับ Nvidia และตลาด AI inference อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-scoops-entire-untether-ai-chip-team-canada-ai-inference-outfit-will-cease-product-support
    🏢 AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI Inference AMD ได้ประกาศว่า บริษัทได้ว่าจ้างทีมวิศวกรทั้งหมดจาก Untether AI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนา ชิป AI inference จากแคนาดา โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินของ Untether AI ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะ หยุดการสนับสนุนและการจัดจำหน่าย AMD ระบุว่า ทีมวิศวกรจาก Untether AI จะช่วยเสริมศักยภาพด้าน AI compiler และ kernel development รวมถึง การออกแบบ SoC และการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ Untether AI เป็นบริษัทที่ พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU โดย วางโปรเซสเซอร์ไว้ใกล้กับหน่วยความจำ เพื่อลด latency และการใช้พลังงาน ซึ่งแตกต่างจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงในการฝึกโมเดล AI นอกจากนี้ AMD ยังได้เข้าซื้อ Brium ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เน้น การเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ซึ่งบ่งชี้ว่า AMD กำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI inference chips เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI inference - ผลิตภัณฑ์ของ Untether AI เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะหยุดการสนับสนุน - ทีมวิศวกรจะช่วยพัฒนา AI compiler, kernel development และ SoC design - Untether AI พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU - AMD ยังเข้าซื้อ Brium ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ลูกค้าของ Untether AI อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจาก AMD ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท - ต้องติดตามว่า AMD จะพัฒนา AI inference chips ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI inference และการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล - ต้องรอดูว่า AMD จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Untether AI เมื่อใด การเข้าซื้อทีมวิศวกรจาก Untether AI อาจช่วยให้ AMD สามารถพัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันกับ Nvidia และตลาด AI inference อย่างไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-scoops-entire-untether-ai-chip-team-canada-ai-inference-outfit-will-cease-product-support
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • 🔥 แผ่นระบายความร้อนกราฟีนสำหรับ CPU AMD: ประสิทธิภาพเหนือกว่าซิลิโคนถึง 17 เท่า
    บริษัท Coracer จากจีนได้เปิดตัว GPE-01 graphene thermal pad สำหรับ โปรเซสเซอร์ AMD AM5 ซึ่งให้ ค่าการนำความร้อนสูงถึง 130 W/m·K และมี อายุการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี

    ก่อนหน้านี้ GPE-01 รองรับเฉพาะ Intel LGA1851 และ LGA1700 แต่ล่าสุดได้มีรุ่นสำหรับ AMD AM5 ซึ่งมีขนาด 32 x 32 มม. และออกแบบให้ ครอบคลุม IHS ของ CPU ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    วัสดุของแผ่นนี้เป็น กราฟีนผสมซิลิโคน ซึ่งช่วยให้ การนำความร้อนสูงกว่าซิลิโคนทั่วไปถึง 17 เท่า และ สูงกว่าของ Thermal Grizzly Conductonaut ถึง 2 เท่า

    นอกจากนี้ GPE-01 ยังถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุฉนวน เพื่อป้องกัน การลัดวงจรระหว่างกราฟีนกับตัวโปรเซสเซอร์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - GPE-01 graphene thermal pad รองรับ AMD AM5 และมีค่าการนำความร้อนสูงถึง 130 W/m·K
    - มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี
    - ออกแบบให้ครอบคลุม IHS ของ CPU ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
    - วัสดุเป็นกราฟีนผสมซิลิโคน ช่วยให้การนำความร้อนสูงกว่าซิลิโคนทั่วไปถึง 17 เท่า
    - สูงกว่าของ Thermal Grizzly Conductonaut ถึง 2 เท่า

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ว่าค่าการนำความร้อนจะสูง แต่ต้องติดตามผลการทดสอบจริงว่ามีประสิทธิภาพตามที่ระบุหรือไม่
    - Coracer ยังไม่ได้เปิดเผยราคาหรือวันวางจำหน่ายของ GPE-01 รุ่น AMD AM5
    - ต้องตรวจสอบว่าการใช้แผ่นกราฟีนนี้จะมีผลกระทบต่ออุณหภูมิของ CPU ในระยะยาวหรือไม่
    - การติดตั้งต้องระมัดระวัง เนื่องจากกราฟีนเป็นวัสดุที่นำไฟฟ้าได้

    หาก GPE-01 สามารถทำงานได้ตามที่ระบุ อาจเป็นตัวเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าซิลิโคนและโลหะเหลว อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามผลการทดสอบจริงและการตอบรับจากผู้ใช้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/graphene-thermal-pad-for-amd-cpus-promises-17x-better-conductivity-than-thermal-paste-2x-improvement-over-thermal-grizzly
    🔥 แผ่นระบายความร้อนกราฟีนสำหรับ CPU AMD: ประสิทธิภาพเหนือกว่าซิลิโคนถึง 17 เท่า บริษัท Coracer จากจีนได้เปิดตัว GPE-01 graphene thermal pad สำหรับ โปรเซสเซอร์ AMD AM5 ซึ่งให้ ค่าการนำความร้อนสูงถึง 130 W/m·K และมี อายุการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี ก่อนหน้านี้ GPE-01 รองรับเฉพาะ Intel LGA1851 และ LGA1700 แต่ล่าสุดได้มีรุ่นสำหรับ AMD AM5 ซึ่งมีขนาด 32 x 32 มม. และออกแบบให้ ครอบคลุม IHS ของ CPU ได้อย่างสมบูรณ์แบบ วัสดุของแผ่นนี้เป็น กราฟีนผสมซิลิโคน ซึ่งช่วยให้ การนำความร้อนสูงกว่าซิลิโคนทั่วไปถึง 17 เท่า และ สูงกว่าของ Thermal Grizzly Conductonaut ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ GPE-01 ยังถูกห่อหุ้มด้วยวัสดุฉนวน เพื่อป้องกัน การลัดวงจรระหว่างกราฟีนกับตัวโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - GPE-01 graphene thermal pad รองรับ AMD AM5 และมีค่าการนำความร้อนสูงถึง 130 W/m·K - มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 10 ปี - ออกแบบให้ครอบคลุม IHS ของ CPU ได้อย่างสมบูรณ์แบบ - วัสดุเป็นกราฟีนผสมซิลิโคน ช่วยให้การนำความร้อนสูงกว่าซิลิโคนทั่วไปถึง 17 เท่า - สูงกว่าของ Thermal Grizzly Conductonaut ถึง 2 เท่า ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ว่าค่าการนำความร้อนจะสูง แต่ต้องติดตามผลการทดสอบจริงว่ามีประสิทธิภาพตามที่ระบุหรือไม่ - Coracer ยังไม่ได้เปิดเผยราคาหรือวันวางจำหน่ายของ GPE-01 รุ่น AMD AM5 - ต้องตรวจสอบว่าการใช้แผ่นกราฟีนนี้จะมีผลกระทบต่ออุณหภูมิของ CPU ในระยะยาวหรือไม่ - การติดตั้งต้องระมัดระวัง เนื่องจากกราฟีนเป็นวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ หาก GPE-01 สามารถทำงานได้ตามที่ระบุ อาจเป็นตัวเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าซิลิโคนและโลหะเหลว อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามผลการทดสอบจริงและการตอบรับจากผู้ใช้ https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/graphene-thermal-pad-for-amd-cpus-promises-17x-better-conductivity-than-thermal-paste-2x-improvement-over-thermal-grizzly
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • 🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm

    ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น

    การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP)
    - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm
    - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux
    - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่
    - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
    - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว

    การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้ - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่ - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • 🎻 นักฟิสิกส์อังกฤษสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี
    ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough University) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้าง ไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลก โดยใช้ นาโนลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ระดับนาโนที่สามารถสร้างโครงสร้างที่เล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์

    ไวโอลินนี้มีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง ซึ่งเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ และถูกสร้างขึ้นจาก แพลตตินัม ผ่านกระบวนการ thermal scanning probe lithography

    นักวิจัยใช้ NanoFrazor จาก Heidelberg Instruments ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถ แกะสลักโครงสร้างระดับนาโนลงบนวัสดุต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร โดยใช้ หัวเข็มที่ร้อนจัด เพื่อสร้างลวดลายบนชิปที่เคลือบสารต้านทาน จากนั้น เติมแพลตตินัมลงไปและล้างสารต้านทานออก เพื่อให้เหลือเพียงไวโอลินขนาดจิ๋ว

    แม้ว่าไวโอลินนี้จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง แต่การทดลองนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ซึ่งอาจช่วยให้เกิด อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟบะระสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี
    - ไวโอลินมีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง
    - ใช้แพลตตินัมและกระบวนการ thermal scanning probe lithography
    - NanoFrazor สามารถแกะสลักโครงสร้างระดับนาโนด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร
    - การทดลองนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ไวโอลินนี้ไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้ใช้งานจริง
    = ต้องติดตามว่าการใช้แพลตตินัมในกระบวนการผลิตจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
    - การพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโนต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสถียรภาพของข้อมูล

    แม้ว่าการสร้างไวโอลินระดับนาโนจะเป็นเพียงการทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น และ ช่วยขยายขีดจำกัดของการประมวลผลระดับนาโน อย่างไรก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/scientists-print-worlds-smallest-violin-in-platinum-with-nanolithography-uk-physicists-push-toward-nanoscale-computing
    🎻 นักฟิสิกส์อังกฤษสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลัฟบะระ (Loughborough University) ในสหราชอาณาจักร ได้สร้าง ไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลก โดยใช้ นาโนลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ระดับนาโนที่สามารถสร้างโครงสร้างที่เล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ ไวโอลินนี้มีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง ซึ่งเล็กกว่าความหนาของเส้นผมมนุษย์ และถูกสร้างขึ้นจาก แพลตตินัม ผ่านกระบวนการ thermal scanning probe lithography นักวิจัยใช้ NanoFrazor จาก Heidelberg Instruments ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถ แกะสลักโครงสร้างระดับนาโนลงบนวัสดุต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร โดยใช้ หัวเข็มที่ร้อนจัด เพื่อสร้างลวดลายบนชิปที่เคลือบสารต้านทาน จากนั้น เติมแพลตตินัมลงไปและล้างสารต้านทานออก เพื่อให้เหลือเพียงไวโอลินขนาดจิ๋ว แม้ว่าไวโอลินนี้จะไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง แต่การทดลองนี้เป็น ก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ซึ่งอาจช่วยให้เกิด อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟบะระสร้างไวโอลินที่เล็กที่สุดในโลกด้วยนาโนลิโธกราฟี - ไวโอลินมีขนาดเพียง 13 ไมครอนกว้าง และ 35 ไมครอนสูง - ใช้แพลตตินัมและกระบวนการ thermal scanning probe lithography - NanoFrazor สามารถแกะสลักโครงสร้างระดับนาโนด้วยความละเอียดสูงถึง 15 นาโนเมตร - การทดลองนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ไวโอลินนี้ไม่สามารถเล่นดนตรีได้จริง เป็นเพียงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาให้ใช้งานจริง = ต้องติดตามว่าการใช้แพลตตินัมในกระบวนการผลิตจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ - การพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำระดับนาโนต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านเสถียรภาพของข้อมูล แม้ว่าการสร้างไวโอลินระดับนาโนจะเป็นเพียงการทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้เกิดการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความหนาแน่นสูงขึ้น และ ช่วยขยายขีดจำกัดของการประมวลผลระดับนาโน อย่างไรก็ตาม https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/scientists-print-worlds-smallest-violin-in-platinum-with-nanolithography-uk-physicists-push-toward-nanoscale-computing
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • 🔒 Asus แนะนำให้รีเซ็ตโรงงานและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง หลังพบการโจมตีจากบ็อตเน็ต
    Asus ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ใช้ รีเซ็ตโรงงานและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง หลังจากพบว่า บ็อตเน็ต AyySSHush ได้เจาะระบบของเราเตอร์กว่า 9,000 เครื่องทั่วโลก โดยใช้ช่องโหว่ CVE-2023-39780 ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ เข้าถึงอุปกรณ์ได้แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้วก็ตาม

    บ็อตเน็ตนี้ใช้ ช่องโหว่ Command Injection เพื่อเปิดใช้งาน SSH บนพอร์ตที่ไม่ได้มาตรฐาน (TCP 53282) และ แทรกคีย์ SSH ของแฮกเกอร์ลงในการตั้งค่าของเราเตอร์ ซึ่งทำให้ การเข้าถึงยังคงอยู่แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์หรือรีบูตอุปกรณ์

    นอกจากนี้ แฮกเกอร์ยังปิดระบบล็อกและฟีเจอร์ความปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ทำให้สามารถ ควบคุมเราเตอร์ได้ในระยะยาวโดยไม่ถูกตรวจพบ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Asus พบว่าเราเตอร์กว่า 9,000 เครื่องถูกโจมตีโดยบ็อตเน็ต AyySSHush
    - ช่องโหว่ CVE-2023-39780 ถูกใช้เพื่อเปิด SSH บนพอร์ต TCP 53282
    - แฮกเกอร์แทรกคีย์ SSH ลงในการตั้งค่าของเราเตอร์ ทำให้การเข้าถึงยังคงอยู่แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว
    - แฮกเกอร์ปิดระบบล็อกและฟีเจอร์ความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ
    - Asus แนะนำให้รีเซ็ตโรงงานและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการโจมตี

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การอัปเดตเฟิร์มแวร์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถลบช่องโหว่ได้ หากเราเตอร์ถูกโจมตีแล้ว
    - ผู้ใช้ควรตรวจสอบล็อกของเราเตอร์เพื่อดูว่ามีการพยายามล็อกอินผิดพลาดหรือไม่
    - เราเตอร์ที่หมดอายุการสนับสนุนควรติดตั้งเฟิร์มแวร์ล่าสุดและปิดการเข้าถึงระยะไกล
    - ต้องติดตามว่าบ็อตเน็ตนี้จะพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการป้องกันหรือไม่

    🚀 วิธีป้องกันการโจมตี
    Asus แนะนำให้ผู้ใช้ ทำตามขั้นตอน 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการโจมตี ได้แก่:

    1️⃣ อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    2️⃣ รีเซ็ตโรงงานเพื่อกำจัดการตั้งค่าที่ไม่พึงประสงค์
    3️⃣ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง โดยใช้ตัวอักษรใหญ่-เล็ก, ตัวเลข และสัญลักษณ์

    https://www.techspot.com/news/108218-asus-urges-factory-resets-strong-passwords-following-botnet.html
    🔒 Asus แนะนำให้รีเซ็ตโรงงานและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง หลังพบการโจมตีจากบ็อตเน็ต Asus ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ใช้ รีเซ็ตโรงงานและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง หลังจากพบว่า บ็อตเน็ต AyySSHush ได้เจาะระบบของเราเตอร์กว่า 9,000 เครื่องทั่วโลก โดยใช้ช่องโหว่ CVE-2023-39780 ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ เข้าถึงอุปกรณ์ได้แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้วก็ตาม บ็อตเน็ตนี้ใช้ ช่องโหว่ Command Injection เพื่อเปิดใช้งาน SSH บนพอร์ตที่ไม่ได้มาตรฐาน (TCP 53282) และ แทรกคีย์ SSH ของแฮกเกอร์ลงในการตั้งค่าของเราเตอร์ ซึ่งทำให้ การเข้าถึงยังคงอยู่แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์หรือรีบูตอุปกรณ์ นอกจากนี้ แฮกเกอร์ยังปิดระบบล็อกและฟีเจอร์ความปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ทำให้สามารถ ควบคุมเราเตอร์ได้ในระยะยาวโดยไม่ถูกตรวจพบ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Asus พบว่าเราเตอร์กว่า 9,000 เครื่องถูกโจมตีโดยบ็อตเน็ต AyySSHush - ช่องโหว่ CVE-2023-39780 ถูกใช้เพื่อเปิด SSH บนพอร์ต TCP 53282 - แฮกเกอร์แทรกคีย์ SSH ลงในการตั้งค่าของเราเตอร์ ทำให้การเข้าถึงยังคงอยู่แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว - แฮกเกอร์ปิดระบบล็อกและฟีเจอร์ความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ - Asus แนะนำให้รีเซ็ตโรงงานและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการโจมตี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การอัปเดตเฟิร์มแวร์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถลบช่องโหว่ได้ หากเราเตอร์ถูกโจมตีแล้ว - ผู้ใช้ควรตรวจสอบล็อกของเราเตอร์เพื่อดูว่ามีการพยายามล็อกอินผิดพลาดหรือไม่ - เราเตอร์ที่หมดอายุการสนับสนุนควรติดตั้งเฟิร์มแวร์ล่าสุดและปิดการเข้าถึงระยะไกล - ต้องติดตามว่าบ็อตเน็ตนี้จะพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการป้องกันหรือไม่ 🚀 วิธีป้องกันการโจมตี Asus แนะนำให้ผู้ใช้ ทำตามขั้นตอน 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการโจมตี ได้แก่: 1️⃣ อัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นเวอร์ชันล่าสุด 2️⃣ รีเซ็ตโรงงานเพื่อกำจัดการตั้งค่าที่ไม่พึงประสงค์ 3️⃣ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง โดยใช้ตัวอักษรใหญ่-เล็ก, ตัวเลข และสัญลักษณ์ https://www.techspot.com/news/108218-asus-urges-factory-resets-strong-passwords-following-botnet.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Asus urges factory resets and strong passwords following botnet breach
    The company's guidance follows the discovery of a widespread botnet attack that has compromised over 9,000 Asus routers globally. Known as the "AyySSHush" botnet, the campaign exploits...
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • 🚀 Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วและบางที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงปี 2026
    Micron ได้เริ่มจัดส่งตัวอย่าง LPDDR5X memory ที่สร้างขึ้นบน กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node ซึ่งเป็น LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม โดยออกแบบมาเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ AI และปรับปรุงการใช้พลังงานในสมาร์ทโฟนเรือธง

    LPDDR5X รุ่นใหม่นี้สามารถ ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 10.7 Gbps และ ประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ LPDDR5X รุ่นก่อนของ Micron

    นอกจากนี้ แพ็กเกจ LPDDR5X แบบ 496-ball มีความบางเพียง 0.61 มม. ซึ่งบางกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่งอย่างน้อย 6% ทำให้สามารถนำไปใช้กับ สมาร์ทโฟนแบบพับได้และอุปกรณ์บางเฉียบ ได้ง่ายขึ้น

    Micron ยังเผยว่า LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหารตามตำแหน่งที่ตั้ง และ เร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงภาษาอังกฤษเป็นข้อความภาษาสเปนเพื่อบอกเส้นทาง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม
    - ใช้กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node
    - ทำความเร็วได้สูงสุด 10.7 Gbps และประหยัดพลังงานมากขึ้น 20%
    - แพ็กเกจ LPDDR5X มีความบางเพียง 0.61 มม.
    - ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหาร และเร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงเป็นข้อความ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ยังอยู่ในช่วงตัวอย่าง และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2026
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่
    - แม้จะบางลง แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อความทนทานของอุปกรณ์หรือไม่
    - Micron ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับราคาหรือความพร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป

    LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนเรือธงมีประสิทธิภาพ AI ที่ดีขึ้น และ ช่วยให้การออกแบบอุปกรณ์บางเฉียบและพับได้เป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108217-micron-ships-world-fastest-thinnest-lpddr5x-memory-2026.html
    🚀 Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วและบางที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงปี 2026 Micron ได้เริ่มจัดส่งตัวอย่าง LPDDR5X memory ที่สร้างขึ้นบน กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node ซึ่งเป็น LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม โดยออกแบบมาเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ AI และปรับปรุงการใช้พลังงานในสมาร์ทโฟนเรือธง LPDDR5X รุ่นใหม่นี้สามารถ ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 10.7 Gbps และ ประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ LPDDR5X รุ่นก่อนของ Micron นอกจากนี้ แพ็กเกจ LPDDR5X แบบ 496-ball มีความบางเพียง 0.61 มม. ซึ่งบางกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่งอย่างน้อย 6% ทำให้สามารถนำไปใช้กับ สมาร์ทโฟนแบบพับได้และอุปกรณ์บางเฉียบ ได้ง่ายขึ้น Micron ยังเผยว่า LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหารตามตำแหน่งที่ตั้ง และ เร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงภาษาอังกฤษเป็นข้อความภาษาสเปนเพื่อบอกเส้นทาง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม - ใช้กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node - ทำความเร็วได้สูงสุด 10.7 Gbps และประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% - แพ็กเกจ LPDDR5X มีความบางเพียง 0.61 มม. - ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหาร และเร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงเป็นข้อความ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ยังอยู่ในช่วงตัวอย่าง และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2026 - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ - แม้จะบางลง แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อความทนทานของอุปกรณ์หรือไม่ - Micron ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับราคาหรือความพร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนเรือธงมีประสิทธิภาพ AI ที่ดีขึ้น และ ช่วยให้การออกแบบอุปกรณ์บางเฉียบและพับได้เป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108217-micron-ships-world-fastest-thinnest-lpddr5x-memory-2026.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Micron ships world's fastest and thinnest LPDDR5X memory for 2026 flagship smartphones
    According to Micron, the 1γ-based memory modules deliver eye-popping speeds of up to 10.7 Gbps and offer up to 20 percent power savings compared to the company's...
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • 🌊 นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกที่สลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง
    ทีมนักวิจัยจาก RIKEN Center for Emergent Matter Science และมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้พัฒนา พลาสติกชนิดใหม่ที่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

    🔍 วิธีการทำงานของพลาสติกชนิดใหม่
    พลาสติกนี้มี ความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม แต่เมื่อสัมผัสกับ น้ำเค็ม จะ แตกตัวเป็นองค์ประกอบดั้งเดิม ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายโดย แบคทีเรียตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้ง ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก

    นักวิจัยได้สาธิตการทำงานของพลาสติกนี้ในห้องทดลองที่โตเกียว โดยพบว่า แผ่นพลาสติกใสสามารถสลายตัวในน้ำเค็มภายในหนึ่งชั่วโมง และหากฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง

    📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน
    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - พลาสติกชนิดใหม่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง
    - ไม่มีสารตกค้าง เช่น ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก
    - มีความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม
    - สามารถถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียตามธรรมชาติ
    - เมื่อฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - พลาสติกนี้ยังต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์
    - ต้องติดตามว่าการเคลือบพลาสติกจะมีผลกระทบต่อกระบวนการสลายตัวหรือไม่
    - แม้ว่าจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลหรือไม่
    - ต้องรอดูว่าบริษัทบรรจุภัณฑ์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงหรือไม่

    พลาสติกชนิดใหม่นี้ อาจช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกในมหาสมุทร และ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าพลาสติกชีวภาพที่ยังคงทิ้งไมโครพลาสติก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้จริงหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108206-scientists-plastic-dissolves-seawater-hours.html
    🌊 นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกที่สลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง ทีมนักวิจัยจาก RIKEN Center for Emergent Matter Science และมหาวิทยาลัยโตเกียว ได้พัฒนา พลาสติกชนิดใหม่ที่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 🔍 วิธีการทำงานของพลาสติกชนิดใหม่ พลาสติกนี้มี ความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม แต่เมื่อสัมผัสกับ น้ำเค็ม จะ แตกตัวเป็นองค์ประกอบดั้งเดิม ซึ่งสามารถถูกย่อยสลายโดย แบคทีเรียตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้ง ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก นักวิจัยได้สาธิตการทำงานของพลาสติกนี้ในห้องทดลองที่โตเกียว โดยพบว่า แผ่นพลาสติกใสสามารถสลายตัวในน้ำเค็มภายในหนึ่งชั่วโมง และหากฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง 📌 สรุปข้อมูลหลักและคำเตือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - พลาสติกชนิดใหม่สามารถสลายตัวในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมง - ไม่มีสารตกค้าง เช่น ไมโครพลาสติกหรือนาโนพลาสติก - มีความแข็งแรงเทียบเท่าพลาสติกจากปิโตรเลียม - สามารถถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียตามธรรมชาติ - เมื่อฝังลงในดินที่มีเกลือ จะสลายตัวหมดภายใน 200 ชั่วโมง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - พลาสติกนี้ยังต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ - ต้องติดตามว่าการเคลือบพลาสติกจะมีผลกระทบต่อกระบวนการสลายตัวหรือไม่ - แม้ว่าจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลหรือไม่ - ต้องรอดูว่าบริษัทบรรจุภัณฑ์จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงหรือไม่ พลาสติกชนิดใหม่นี้ อาจช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกในมหาสมุทร และ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าพลาสติกชีวภาพที่ยังคงทิ้งไมโครพลาสติก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเพิ่มเติมจะช่วยให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมได้จริงหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108206-scientists-plastic-dissolves-seawater-hours.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists develop plastic that dissolves in seawater within hours
    A team of Japanese researchers has developed a plastic material that disappears in seawater within hours, leaving no harmful residues. Designed to be more environmentally friendly than...
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • สหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกการแบน ETNs ด้านคริปโตสำหรับนักลงทุนรายย่อย
    Financial Conduct Authority (FCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผน ยกเลิกการแบนการซื้อขาย Crypto Exchange-Traded Notes (ETNs) สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางของรัฐบาลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

    ก่อนหน้านี้ FCA ได้ อนุมัติการซื้อขาย ETNs สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่ยังคงแบนสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยให้เหตุผลว่า ETNs เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน

    อย่างไรก็ตาม FCA ได้เปลี่ยนจุดยืน โดยระบุว่า การยกเลิกการแบนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของตลาดคริปโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - FCA เตรียมยกเลิกการแบน Crypto ETNs สำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - ก่อนหน้านี้ ETNs ถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น
    - การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ
    - ETNs ที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อยต้องอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุมัติจาก FCA
    - สหราชอาณาจักรเลือกแนวทางที่คล้ายกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ETNs ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทั้งหมด
    - FCA ยังคงแบนการซื้อขาย Crypto Derivatives สำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกฎระเบียบด้านคริปโตในอนาคตหรือไม่
    - นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ ETNs ก่อนตัดสินใจลงทุน

    การยกเลิกการแบนนี้ อาจช่วยให้ตลาดคริปโตในสหราชอาณาจักรเติบโตขึ้น และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/uk-to-end-ban-on-retail-investors-buying-crypto-exchange-traded-notes
    สหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกการแบน ETNs ด้านคริปโตสำหรับนักลงทุนรายย่อย Financial Conduct Authority (FCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผน ยกเลิกการแบนการซื้อขาย Crypto Exchange-Traded Notes (ETNs) สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางของรัฐบาลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนหน้านี้ FCA ได้ อนุมัติการซื้อขาย ETNs สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่ยังคงแบนสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยให้เหตุผลว่า ETNs เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน อย่างไรก็ตาม FCA ได้เปลี่ยนจุดยืน โดยระบุว่า การยกเลิกการแบนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของตลาดคริปโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ ✅ ข้อมูลจากข่าว - FCA เตรียมยกเลิกการแบน Crypto ETNs สำหรับนักลงทุนรายย่อย - ก่อนหน้านี้ ETNs ถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น - การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ - ETNs ที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อยต้องอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุมัติจาก FCA - สหราชอาณาจักรเลือกแนวทางที่คล้ายกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ETNs ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทั้งหมด - FCA ยังคงแบนการซื้อขาย Crypto Derivatives สำหรับนักลงทุนรายย่อย - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกฎระเบียบด้านคริปโตในอนาคตหรือไม่ - นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ ETNs ก่อนตัดสินใจลงทุน การยกเลิกการแบนนี้ อาจช่วยให้ตลาดคริปโตในสหราชอาณาจักรเติบโตขึ้น และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/uk-to-end-ban-on-retail-investors-buying-crypto-exchange-traded-notes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK to end ban on retail investors buying crypto exchange-traded notes
    LONDON (Reuters) -Britain's financial regulator is to remove a ban on consumers buying crypto exchange-traded notes (ETNs), ditching its previous position of wanting to keep them out of the hands of retail investors.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • 🚀 Starlink ได้รับใบอนุญาตให้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในอินเดีย
    Elon Musk และบริษัท Starlink ได้รับ ใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย เพื่อเริ่มดำเนินการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในประเทศ ซึ่งถือเป็น ก้าวสำคัญในการขยายตลาดของ Starlink ในเอเชียใต้

    Starlink เป็น บริษัทที่สามที่ได้รับใบอนุญาตจากอินเดีย ต่อจาก Eutelsat's OneWeb และ Reliance Jio อย่างไรก็ตาม Starlink ยังต้องได้รับใบอนุญาตเพิ่มเติมจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย ก่อนที่จะสามารถเริ่มให้บริการได้

    นอกจากนี้ Starlink ยังต้อง ขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาล และ สร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน รวมถึง ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย ตามข้อกำหนดของอินเดีย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Starlink ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย
    - เป็นบริษัทที่สามที่ได้รับอนุญาต ต่อจาก OneWeb และ Reliance Jio
    - ยังต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย
    - ต้องขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาลและสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน
    - ต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยก่อนเริ่มให้บริการ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - กระบวนการเปิดตัวอาจใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน
    - Starlink ยังต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยของอินเดีย
    - อินเดียกำหนดให้ผู้ให้บริการดาวเทียมต้องจ่าย 4% ของรายได้ต่อปีให้รัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาค่าบริการ
    - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Starlink และผู้ให้บริการท้องถิ่น เช่น Jio จะส่งผลต่อการกำหนดราคาหรือไม่

    การได้รับใบอนุญาตครั้งนี้ ช่วยให้ Starlink สามารถเข้าสู่ตลาดอินเดียได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่ากระบวนการเปิดตัวจะเป็นไปตามแผนหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/musk039s-starlink-gets-key-india-licence-from-telecoms-ministry-sources-say
    🚀 Starlink ได้รับใบอนุญาตให้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในอินเดีย Elon Musk และบริษัท Starlink ได้รับ ใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย เพื่อเริ่มดำเนินการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในประเทศ ซึ่งถือเป็น ก้าวสำคัญในการขยายตลาดของ Starlink ในเอเชียใต้ Starlink เป็น บริษัทที่สามที่ได้รับใบอนุญาตจากอินเดีย ต่อจาก Eutelsat's OneWeb และ Reliance Jio อย่างไรก็ตาม Starlink ยังต้องได้รับใบอนุญาตเพิ่มเติมจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย ก่อนที่จะสามารถเริ่มให้บริการได้ นอกจากนี้ Starlink ยังต้อง ขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาล และ สร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน รวมถึง ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย ตามข้อกำหนดของอินเดีย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Starlink ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย - เป็นบริษัทที่สามที่ได้รับอนุญาต ต่อจาก OneWeb และ Reliance Jio - ยังต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย - ต้องขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาลและสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน - ต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยก่อนเริ่มให้บริการ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - กระบวนการเปิดตัวอาจใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน - Starlink ยังต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยของอินเดีย - อินเดียกำหนดให้ผู้ให้บริการดาวเทียมต้องจ่าย 4% ของรายได้ต่อปีให้รัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาค่าบริการ - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Starlink และผู้ให้บริการท้องถิ่น เช่น Jio จะส่งผลต่อการกำหนดราคาหรือไม่ การได้รับใบอนุญาตครั้งนี้ ช่วยให้ Starlink สามารถเข้าสู่ตลาดอินเดียได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่ากระบวนการเปิดตัวจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/musk039s-starlink-gets-key-india-licence-from-telecoms-ministry-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's Starlink gets India licence to offer satcom services, sources say
    NEW DELHI (Reuters) -Elon Musk's Starlink has received a licence to launch commercial operations in India from the telecoms ministry, two sources told Reuters on Friday, clearing a major hurdle for the satellite provider that has long wanted to enter the South Asian country.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • 🔋 สตาร์ทอัพฮ่องกงพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม
    Achelous Pure Metals ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง กำลังขยายธุรกิจไปยัง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในจีน

    บริษัทใช้ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" ซึ่งเป็น ส่วนผสมของโลหะมีค่า เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, ทองแดง, แมงกานีส และนิกเกิล ก่อนนำไป สกัดเป็นสารประกอบลิเธียมคาร์บอเนต, โคบอลต์ และนิกเกิล

    Achelous ได้พัฒนา ระบบรีไซเคิลที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ พร้อมกับ เทคโนโลยีที่ใช้สุญญากาศและความร้อนเพื่อกำจัดสารอันตราย เช่น กาวอีพ็อกซีและฟลูออรีน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Achelous Pure Metals เป็นสตาร์ทอัพรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง
    - บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" เพื่อสกัดโลหะมีค่า
    - ใช้ระบบรีไซเคิลที่มีหุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่
    - เทคโนโลยีรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแข่งขันในจีนทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและราคาผลิตภัณฑ์ลดลง
    - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อม
    - ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมอาจเผชิญกับภาวะล้นตลาดจนถึงปี 2027
    - ต้องติดตามว่าการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบความสำเร็จหรือไม่

    เทคโนโลยีของ Achelous อาจช่วยให้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาดจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/how-a-hong-kong-startup-is-going-about-recycling-lithium-batteries
    🔋 สตาร์ทอัพฮ่องกงพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม Achelous Pure Metals ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง กำลังขยายธุรกิจไปยัง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในจีน บริษัทใช้ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" ซึ่งเป็น ส่วนผสมของโลหะมีค่า เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, ทองแดง, แมงกานีส และนิกเกิล ก่อนนำไป สกัดเป็นสารประกอบลิเธียมคาร์บอเนต, โคบอลต์ และนิกเกิล Achelous ได้พัฒนา ระบบรีไซเคิลที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ พร้อมกับ เทคโนโลยีที่ใช้สุญญากาศและความร้อนเพื่อกำจัดสารอันตราย เช่น กาวอีพ็อกซีและฟลูออรีน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Achelous Pure Metals เป็นสตาร์ทอัพรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง - บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" เพื่อสกัดโลหะมีค่า - ใช้ระบบรีไซเคิลที่มีหุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ - เทคโนโลยีรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแข่งขันในจีนทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและราคาผลิตภัณฑ์ลดลง - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อม - ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมอาจเผชิญกับภาวะล้นตลาดจนถึงปี 2027 - ต้องติดตามว่าการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เทคโนโลยีของ Achelous อาจช่วยให้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาดจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/how-a-hong-kong-startup-is-going-about-recycling-lithium-batteries
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How a Hong Kong startup is going about recycling lithium batteries
    Achelous Pure Metals plans to bring its scalable, movable, eco-friendly technology to the city followed by South-East Asia.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • 🖥️ Microsoft โปรโมต Intel vPro สำหรับ Windows 11 Pro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO
    Microsoft ได้เผยแพร่ โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้นไปที่ Intel vPro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD

    Microsoft ได้เผยแพร่โฆษณาในช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Windows โดยใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" ซึ่งเน้นไปที่ การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro พร้อมกับ โปรโมต Intel vPro เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร

    ในคำอธิบายวิดีโอ Microsoft ระบุว่า "Windows 10 support ends October 14. Stay on the right side of risk—upgrade now to the power of Windows 11 Pro PCs with Intel vPro®." ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึง การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และ แนะนำให้ผู้ใช้เลือก Intel vPro สำหรับการอัปเกรด

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เผยแพร่โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้น Intel vPro
    - ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ในโฆษณา
    - โฆษณาใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel"
    - Microsoft เน้นให้ผู้ใช้ธุรกิจอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro
    - Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Microsoft อาจมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล
    - การโปรโมต Intel vPro อาจทำให้ผู้ใช้มองว่า Microsoft มีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD
    - ต้องติดตามว่าการโปรโมตนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่ใช้ AMD Ryzen PRO หรือไม่
    - AMD มีบทความสนับสนุนเกี่ยวกับ Windows 11 และ Ryzen PRO แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในโฆษณาของ Microsoft

    การโปรโมต Intel vPro ในโฆษณาของ Microsoft อาจส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่กำลังพิจารณาอัปเกรดเป็น Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคตหรือไม่

    https://www.neowin.net/news/intel-vs-amd-microsoft-seemingly-has-a-clear-recommendation-for-windows-11-pro-pc-upgrade/
    🖥️ Microsoft โปรโมต Intel vPro สำหรับ Windows 11 Pro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO Microsoft ได้เผยแพร่ โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้นไปที่ Intel vPro แต่ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าบริษัทอาจมีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD Microsoft ได้เผยแพร่โฆษณาในช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของ Windows โดยใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" ซึ่งเน้นไปที่ การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro พร้อมกับ โปรโมต Intel vPro เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร ในคำอธิบายวิดีโอ Microsoft ระบุว่า "Windows 10 support ends October 14. Stay on the right side of risk—upgrade now to the power of Windows 11 Pro PCs with Intel vPro®." ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึง การสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 และ แนะนำให้ผู้ใช้เลือก Intel vPro สำหรับการอัปเกรด ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เผยแพร่โฆษณาใหม่เกี่ยวกับ Windows 11 Pro โดยเน้น Intel vPro - ไม่มีการกล่าวถึง AMD Ryzen PRO ในโฆษณา - โฆษณาใช้ชื่อ "Right side of risk | Windows 11 Pro and Intel" - Microsoft เน้นให้ผู้ใช้ธุรกิจอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 Pro - Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Microsoft อาจมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล - การโปรโมต Intel vPro อาจทำให้ผู้ใช้มองว่า Microsoft มีแนวโน้มสนับสนุน Intel มากกว่า AMD - ต้องติดตามว่าการโปรโมตนี้จะส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่ใช้ AMD Ryzen PRO หรือไม่ - AMD มีบทความสนับสนุนเกี่ยวกับ Windows 11 และ Ryzen PRO แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงในโฆษณาของ Microsoft การโปรโมต Intel vPro ในโฆษณาของ Microsoft อาจส่งผลต่อการตัดสินใจขององค์กรที่กำลังพิจารณาอัปเกรดเป็น Windows 11 Pro อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า Microsoft จะมีโฆษณาสำหรับ AMD Ryzen PRO ในอนาคตหรือไม่ https://www.neowin.net/news/intel-vs-amd-microsoft-seemingly-has-a-clear-recommendation-for-windows-11-pro-pc-upgrade/
    WWW.NEOWIN.NET
    Intel vs AMD? Microsoft seemingly has a clear recommendation for Windows 11 Pro PC upgrade
    Microsoft has published a new ad about upgrading Windows 10 PCs to Windows 11 Pro. However, in it, the tech giant seems to have a clear recommendation for one over the other between AMD and Intel.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • 📝 Obsidian 1.9.2: การอัปเดตครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงระบบ Bases
    Obsidian ซึ่งเป็น แอปจดบันทึกและจัดการข้อมูลด้วย Markdown ได้เปิดตัว เวอร์ชัน 1.9.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Bases ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนโน้ตให้เป็นฐานข้อมูลที่มีโครงสร้าง

    Obsidian 1.9.2 ได้ ปรับปรุงระบบ Bases โดยเปลี่ยน รูปแบบไฟล์ .base และไวยากรณ์ของสูตรคำนวณ เพื่อให้ ใช้งานง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

    ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่:
    - ไวยากรณ์ใหม่สำหรับฟังก์ชัน เช่น file.name.contains("Books") แทน contains(file.name, "Books")
    - การเชื่อมโยงฟังก์ชัน เช่น property.split(' ').sort()[0].lower()
    - ระบบประเภทข้อมูลใหม่ ที่ช่วยให้สามารถควบคุมการเขียนสูตรได้ดีขึ้น
    - ฟังก์ชันใหม่ เช่น link, date และ list สำหรับการแปลงค่าข้อมูล
    - คุณสมบัติใหม่ของไฟล์ เช่น file.path, file.links และ file.tags

    นอกจากนี้ Obsidian แนะนำให้ผู้ใช้ที่ใช้ Obsidian Sync หรือแชร์ Vault ข้ามอุปกรณ์ ควร อัปเดตทุกอุปกรณ์พร้อมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการซิงค์ไฟล์ที่ใช้ไวยากรณ์ต่างกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Obsidian 1.9.2 ปรับปรุงระบบ Bases และเปลี่ยนไวยากรณ์ของสูตรคำนวณ
    - เปลี่ยนรูปแบบไฟล์ .base เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
    - เพิ่มฟังก์ชันใหม่ เช่น link, date และ list
    - เพิ่มคุณสมบัติใหม่ของไฟล์ เช่น file.path, file. Links และfile. Tagss
    - แนะนำให้อัปเดตทุกอุปกรณ์พร้อมกันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการซิงค์

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ที่ใช้ Bases ต้องเรียนรู้ไวยากรณ์ใหม่เพื่อใช้งานได้อย่างถูกต้อง
    - หากไม่ได้อัปเดตทุกอุปกรณ์พร้อมกัน อาจเกิดปัญหาการซิงค์ไฟล์
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ปลั๊กอินบางตัวไม่สามารถใช้งานได้จนกว่าจะมีการอัปเดต
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะปรับตัวเข้ากับไวยากรณ์ใหม่ได้เร็วแค่ไหน

    การอัปเดตนี้ช่วยให้ Bases มีความยืดหยุ่นและใช้งานง่ายขึ้น แต่ ผู้ใช้ต้องเรียนรู้ไวยากรณ์ใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    https://www.neowin.net/news/obsidian-192-brings-breaking-changes-ui-improvements-and-several-bug-fixes/
    📝 Obsidian 1.9.2: การอัปเดตครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงระบบ Bases Obsidian ซึ่งเป็น แอปจดบันทึกและจัดการข้อมูลด้วย Markdown ได้เปิดตัว เวอร์ชัน 1.9.2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใน Bases ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ เปลี่ยนโน้ตให้เป็นฐานข้อมูลที่มีโครงสร้าง Obsidian 1.9.2 ได้ ปรับปรุงระบบ Bases โดยเปลี่ยน รูปแบบไฟล์ .base และไวยากรณ์ของสูตรคำนวณ เพื่อให้ ใช้งานง่ายขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่: - ไวยากรณ์ใหม่สำหรับฟังก์ชัน เช่น file.name.contains("Books") แทน contains(file.name, "Books") - การเชื่อมโยงฟังก์ชัน เช่น property.split(' ').sort()[0].lower() - ระบบประเภทข้อมูลใหม่ ที่ช่วยให้สามารถควบคุมการเขียนสูตรได้ดีขึ้น - ฟังก์ชันใหม่ เช่น link, date และ list สำหรับการแปลงค่าข้อมูล - คุณสมบัติใหม่ของไฟล์ เช่น file.path, file.links และ file.tags นอกจากนี้ Obsidian แนะนำให้ผู้ใช้ที่ใช้ Obsidian Sync หรือแชร์ Vault ข้ามอุปกรณ์ ควร อัปเดตทุกอุปกรณ์พร้อมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการซิงค์ไฟล์ที่ใช้ไวยากรณ์ต่างกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Obsidian 1.9.2 ปรับปรุงระบบ Bases และเปลี่ยนไวยากรณ์ของสูตรคำนวณ - เปลี่ยนรูปแบบไฟล์ .base เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น - เพิ่มฟังก์ชันใหม่ เช่น link, date และ list - เพิ่มคุณสมบัติใหม่ของไฟล์ เช่น file.path, file. Links และfile. Tagss - แนะนำให้อัปเดตทุกอุปกรณ์พร้อมกันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการซิงค์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ที่ใช้ Bases ต้องเรียนรู้ไวยากรณ์ใหม่เพื่อใช้งานได้อย่างถูกต้อง - หากไม่ได้อัปเดตทุกอุปกรณ์พร้อมกัน อาจเกิดปัญหาการซิงค์ไฟล์ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ปลั๊กอินบางตัวไม่สามารถใช้งานได้จนกว่าจะมีการอัปเดต - ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะปรับตัวเข้ากับไวยากรณ์ใหม่ได้เร็วแค่ไหน การอัปเดตนี้ช่วยให้ Bases มีความยืดหยุ่นและใช้งานง่ายขึ้น แต่ ผู้ใช้ต้องเรียนรู้ไวยากรณ์ใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ https://www.neowin.net/news/obsidian-192-brings-breaking-changes-ui-improvements-and-several-bug-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    Obsidian 1.9.2 brings breaking changes, UI improvements and several bug fixes
    A new version of the Obsidian Markdown Editor is out now, featuring UI improvements, major changes to Bases, and more.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • 🚀 Chrome เร็วขึ้นกว่าเดิม! Google เผยเบื้องหลังการปรับปรุง
    Google ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับ การปรับปรุงประสิทธิภาพของ Chrome ซึ่งทำให้เบราว์เซอร์ทำงานได้เร็วขึ้น โดยเน้นไปที่ การจัดการหน่วยความจำและระบบแคช

    Google ได้ทำการ ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยความจำ ในหลายส่วนของ Chrome เช่น DOM, CSS, Layout และ Painting โดยใช้เทคนิค ลดการใช้หน่วยความจำที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ CPU Cache ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ Google ยังได้ เปลี่ยนระบบจัดการหน่วยความจำจาก malloc ไปใช้ Oilpan ซึ่งเป็น Garbage Collector ของ Blink Rendering Engine ทำให้ ลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการประมวลผล

    อีกหนึ่งการปรับปรุงที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงวิธีการแฮชข้อมูล โดยใช้ Rapidhash ซึ่งช่วยให้ การจัดการข้อมูลภายใน Renderer มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Google ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยความจำของ Chrome เพื่อเพิ่มความเร็ว
    - ใช้ Oilpan แทน malloc ในการจัดการหน่วยความจำของ DOM
    - เปลี่ยนระบบแฮชข้อมูลเป็น Rapidhash เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    - ปรับปรุงระบบแคชของ CSS เพื่อให้มี Cache Hits มากขึ้น
    - ใช้ Speedometer 3.0 เป็นตัววัดประสิทธิภาพของ Chrome

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ Chrome จะเร็วขึ้น แต่ยังต้องติดตามว่าการใช้หน่วยความจำจะมีผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่มี RAM น้อยหรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงระบบแคชอาจทำให้บางเว็บไซต์โหลดข้อมูลผิดพลาดในช่วงแรก
    - ต้องติดตามว่า Microsoft Edge ซึ่งใช้ Chromium จะได้รับการปรับปรุงแบบเดียวกันหรือไม่
    - Google อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการหน่วยความจำในอนาคต

    การปรับปรุงนี้ช่วยให้ Chrome ทำงานได้เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการใช้งานในอุปกรณ์ที่มีสเปคต่ำอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/chrome-is-now-faster-than-ever-and-google-explains-how-it-did-it/
    🚀 Chrome เร็วขึ้นกว่าเดิม! Google เผยเบื้องหลังการปรับปรุง Google ได้เผยรายละเอียดเกี่ยวกับ การปรับปรุงประสิทธิภาพของ Chrome ซึ่งทำให้เบราว์เซอร์ทำงานได้เร็วขึ้น โดยเน้นไปที่ การจัดการหน่วยความจำและระบบแคช Google ได้ทำการ ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยความจำ ในหลายส่วนของ Chrome เช่น DOM, CSS, Layout และ Painting โดยใช้เทคนิค ลดการใช้หน่วยความจำที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ CPU Cache ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังได้ เปลี่ยนระบบจัดการหน่วยความจำจาก malloc ไปใช้ Oilpan ซึ่งเป็น Garbage Collector ของ Blink Rendering Engine ทำให้ ลดการใช้หน่วยความจำและเพิ่มความเร็วในการประมวลผล อีกหนึ่งการปรับปรุงที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงวิธีการแฮชข้อมูล โดยใช้ Rapidhash ซึ่งช่วยให้ การจัดการข้อมูลภายใน Renderer มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยความจำของ Chrome เพื่อเพิ่มความเร็ว - ใช้ Oilpan แทน malloc ในการจัดการหน่วยความจำของ DOM - เปลี่ยนระบบแฮชข้อมูลเป็น Rapidhash เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ - ปรับปรุงระบบแคชของ CSS เพื่อให้มี Cache Hits มากขึ้น - ใช้ Speedometer 3.0 เป็นตัววัดประสิทธิภาพของ Chrome ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ Chrome จะเร็วขึ้น แต่ยังต้องติดตามว่าการใช้หน่วยความจำจะมีผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่มี RAM น้อยหรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงระบบแคชอาจทำให้บางเว็บไซต์โหลดข้อมูลผิดพลาดในช่วงแรก - ต้องติดตามว่า Microsoft Edge ซึ่งใช้ Chromium จะได้รับการปรับปรุงแบบเดียวกันหรือไม่ - Google อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการหน่วยความจำในอนาคต การปรับปรุงนี้ช่วยให้ Chrome ทำงานได้เร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการใช้งานในอุปกรณ์ที่มีสเปคต่ำอย่างไร https://www.neowin.net/news/chrome-is-now-faster-than-ever-and-google-explains-how-it-did-it/
    WWW.NEOWIN.NET
    Chrome is now faster than ever and Google explains how it did it
    Google has shared that Chrome is now the fastest it has ever been, and in a new post, the company has explained in some detail how that came to be.
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • 🖥️ Windows 11 ปรับปรุงการแสดงข้อมูลสเปคเครื่องใน Settings
    Microsoft ได้เพิ่ม ฟีเจอร์ใหม่ในแอป Settings ของ Windows 11 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ ตรวจสอบข้อมูลสเปคของเครื่องได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคลิกหลายขั้นตอน

    ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ต้องเข้าไปที่ System > About เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับ โปรเซสเซอร์, หน่วยความจำ, การ์ดจอ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล แต่ใน Windows 11 Build 26200.5622 Microsoft ได้เพิ่ม "Your device info" card ไว้ที่หน้าแรกของ Settings

    การ์ดนี้จะแสดง ชื่อและความเร็วของโปรเซสเซอร์, การ์ดจอและหน่วยความจำวิดีโอ, พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และ RAM พร้อมลิงก์ไปยัง หน้า About เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม เช่น Windows edition, Product ID และ FAQ เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Windows 11 เพิ่ม "Your device info" card ในหน้าแรกของ Settings
    - การ์ดนี้แสดงข้อมูลโปรเซสเซอร์, การ์ดจอ, หน่วยความจำวิดีโอ, พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และ RAM
    - มีลิงก์ไปยังหน้า About เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Windows edition และ Product ID
    - ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานใน Windows 11 Build 26200.5622 หรือใหม่กว่า
    - ต้องลงชื่อเข้าใช้ด้วย Microsoft Account ในสหรัฐฯ เพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงการเปิดตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจยังไม่สามารถใช้งานได้ในทุกเครื่อง
    - ต้องใช้ Windows 11 เวอร์ชัน Dev Channel เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์นี้ก่อนใคร
    - ผู้ใช้บางคนมองว่าการเพิ่มการ์ดนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ Microsoft ใช้โปรโมตบริการ เช่น Microsoft 365 และ Game Pass
    - ต้องติดตามว่าฟีเจอร์นี้จะถูกนำไปใช้ใน Windows 11 เวอร์ชันเสถียรเมื่อใด

    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบข้อมูลสเปคของเครื่องได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเข้าไปที่หน้า About ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะมองว่าฟีเจอร์นี้เป็นประโยชน์ หรือเป็นเพียงการเพิ่มโฆษณาใน Settings

    https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-find-pc-specs-in-windows-11-settings/
    🖥️ Windows 11 ปรับปรุงการแสดงข้อมูลสเปคเครื่องใน Settings Microsoft ได้เพิ่ม ฟีเจอร์ใหม่ในแอป Settings ของ Windows 11 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถ ตรวจสอบข้อมูลสเปคของเครื่องได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคลิกหลายขั้นตอน ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ต้องเข้าไปที่ System > About เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับ โปรเซสเซอร์, หน่วยความจำ, การ์ดจอ และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล แต่ใน Windows 11 Build 26200.5622 Microsoft ได้เพิ่ม "Your device info" card ไว้ที่หน้าแรกของ Settings การ์ดนี้จะแสดง ชื่อและความเร็วของโปรเซสเซอร์, การ์ดจอและหน่วยความจำวิดีโอ, พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และ RAM พร้อมลิงก์ไปยัง หน้า About เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม เช่น Windows edition, Product ID และ FAQ เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Windows 11 เพิ่ม "Your device info" card ในหน้าแรกของ Settings - การ์ดนี้แสดงข้อมูลโปรเซสเซอร์, การ์ดจอ, หน่วยความจำวิดีโอ, พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และ RAM - มีลิงก์ไปยังหน้า About เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Windows edition และ Product ID - ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานใน Windows 11 Build 26200.5622 หรือใหม่กว่า - ต้องลงชื่อเข้าใช้ด้วย Microsoft Account ในสหรัฐฯ เพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในช่วงการเปิดตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจยังไม่สามารถใช้งานได้ในทุกเครื่อง - ต้องใช้ Windows 11 เวอร์ชัน Dev Channel เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์นี้ก่อนใคร - ผู้ใช้บางคนมองว่าการเพิ่มการ์ดนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ Microsoft ใช้โปรโมตบริการ เช่น Microsoft 365 และ Game Pass - ต้องติดตามว่าฟีเจอร์นี้จะถูกนำไปใช้ใน Windows 11 เวอร์ชันเสถียรเมื่อใด การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบข้อมูลสเปคของเครื่องได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเข้าไปที่หน้า About ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะมองว่าฟีเจอร์นี้เป็นประโยชน์ หรือเป็นเพียงการเพิ่มโฆษณาใน Settings https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-find-pc-specs-in-windows-11-settings/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft makes it easier to find PC specs in Windows 11 Settings
    Microsoft is updating the Settings app in Windows 11 to make it easier to find your computer's specs.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • 💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่?
    JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด

    การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ
    - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด
    - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน
    - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน
    - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง
    - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
    - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่
    - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด

    การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่

    https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่? JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ✅ ข้อมูลจากข่าว - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่ - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่ https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    WCCFTECH.COM
    Now That Wall Street Is Officially Using Bitcoin ETFs As Collateral, Is Rehypothecation And Another Financial Crisis Next?
    JP Morgan's move might encourage other Wall Street banks to also start accepting Bitcoin ETFs as collateral for their lending activities.
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง

    DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU

    Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง

    นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง
    - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท
    - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่
    - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่ - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • 🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm
    EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588

    เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ
    - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์
    - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย
    - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud
    - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่
    - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน

    SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร

    https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588 เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ✅ ข้อมูลจากข่าว - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์ - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    EdgeCortix SAKURA-II Enables GenAI on Raspberry Pi 5 and Arm Systems
    EdgeCortix Inc., a leading fabless semiconductor company specializing in energy-efficient Artificial Intelligence (AI) processing at the edge, today announced that its industry leading AI accelerator, SAKURA-II M.2 Module is now available with Arm-based platforms, including Raspberry Pi 5 and AETINA...
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • 🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm

    จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก

    GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์
    - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก
    - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล
    - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC)
    - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50%
    - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่

    การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC) - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50% - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่ การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • 🚀 Intel สร้างสถิติใหม่ในการโอเวอร์คล็อก GPU ด้วยกราฟิกแบบฝัง
    ที่งาน Computex 2025 นักโอเวอร์คล็อก SkatterBencher ได้ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU โดยใช้ กราฟิกแบบฝังของ Intel แทนที่จะเป็นการ์ดจอแยก เช่น RTX 5090 หรือ RX 9070 XT

    SkatterBencher ใช้ Core Ultra 9 285K และสามารถ โอเวอร์คล็อกกราฟิกแบบฝังไปถึง 4.25 GHz โดยใช้ แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C

    ก่อนหน้านี้ เขาสามารถ โอเวอร์คล็อกได้ถึง 3.1 GHz ที่ 1.3V แต่พบว่า Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง โดยที่ -150°C ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 GHz

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SkatterBencher ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU ด้วยกราฟิกแบบฝังของ Intel
    - ใช้ Core Ultra 9 285K และโอเวอร์คล็อกไปถึง 4.25 GHz
    - แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ช่วยให้สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุด
    - Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง
    - การโอเวอร์คล็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Counter-Strike 2 จาก 50 FPS เป็น 86 FPS

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การโอเวอร์คล็อกที่ระดับนี้ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว (LN2) ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แรงดันไฟฟ้าเกิน 1.5V อาจลดอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็ว
    - การเพิ่มความเร็วเกิน 4 GHz ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    - ต้องใช้เมนบอร์ดระดับสูง เช่น Asus ROG Z890 Apex เพื่อรองรับการโอเวอร์คล็อกขั้นสูง

    การทำลายสถิตินี้แสดงให้เห็นว่า กราฟิกแบบฝังของ Intel มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการออกแบบโปรเซสเซอร์ในอนาคตหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-frequency-overclocking-world-record-broken-using-integrated-intel-graphics-arrow-lake-outpaces-discrete-gpus-in-clock-speed-competition
    🚀 Intel สร้างสถิติใหม่ในการโอเวอร์คล็อก GPU ด้วยกราฟิกแบบฝัง ที่งาน Computex 2025 นักโอเวอร์คล็อก SkatterBencher ได้ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU โดยใช้ กราฟิกแบบฝังของ Intel แทนที่จะเป็นการ์ดจอแยก เช่น RTX 5090 หรือ RX 9070 XT SkatterBencher ใช้ Core Ultra 9 285K และสามารถ โอเวอร์คล็อกกราฟิกแบบฝังไปถึง 4.25 GHz โดยใช้ แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ก่อนหน้านี้ เขาสามารถ โอเวอร์คล็อกได้ถึง 3.1 GHz ที่ 1.3V แต่พบว่า Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง โดยที่ -150°C ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 GHz ✅ ข้อมูลจากข่าว - SkatterBencher ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU ด้วยกราฟิกแบบฝังของ Intel - ใช้ Core Ultra 9 285K และโอเวอร์คล็อกไปถึง 4.25 GHz - แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ช่วยให้สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุด - Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง - การโอเวอร์คล็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Counter-Strike 2 จาก 50 FPS เป็น 86 FPS ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การโอเวอร์คล็อกที่ระดับนี้ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว (LN2) ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แรงดันไฟฟ้าเกิน 1.5V อาจลดอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็ว - การเพิ่มความเร็วเกิน 4 GHz ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ - ต้องใช้เมนบอร์ดระดับสูง เช่น Asus ROG Z890 Apex เพื่อรองรับการโอเวอร์คล็อกขั้นสูง การทำลายสถิตินี้แสดงให้เห็นว่า กราฟิกแบบฝังของ Intel มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการออกแบบโปรเซสเซอร์ในอนาคตหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-frequency-overclocking-world-record-broken-using-integrated-intel-graphics-arrow-lake-outpaces-discrete-gpus-in-clock-speed-competition
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • 🎮 MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX: การ์ดจอขนาดเล็กที่ทรงพลัง
    MSI ได้เปิดตัว GeForce RTX 5060 8G Inspire ITX ซึ่งเป็น หนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้ พัดลมเดี่ยว

    แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ RTX 5060 Inspire ITX ยังคงใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน

    MSI ได้เปิดตัว สองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติและรุ่น OC ซึ่งมี ความเร็วบูสต์สูงสุด 2.527 GHz ขณะที่รุ่นมาตรฐานมี ความเร็วบูสต์ 2.497 GHz

    นอกจากนี้ MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้พัดลมเดี่ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 161 x 125 x 42 มม.

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX ซึ่งเป็นหนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด
    - ขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้พัดลมเดี่ยว
    - ใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin
    - มีสองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (2.497 GHz) และรุ่น OC (2.527 GHz)
    - MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพัดลมเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ยังคงใช้พื้นที่สองสล็อตในเคส
    - ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานหนัก
    - รุ่น OC มีความเร็วบูสต์สูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย แต่ต้องติดตามว่ามีผลต่ออุณหภูมิหรือไม่
    - การ์ดจอขนาดเล็กอาจมีเสียงรบกวนมากกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมหลายตัว

    RTX 5060 Inspire ITX อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการ์ดจอขนาดเล็กแต่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเสียงรบกวนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/msi-unveils-one-of-the-tiniest-rtx-5060-gpus-yet-single-fan-inspire-rtx-model-measures-just-145-x-120-x-45mm
    🎮 MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX: การ์ดจอขนาดเล็กที่ทรงพลัง MSI ได้เปิดตัว GeForce RTX 5060 8G Inspire ITX ซึ่งเป็น หนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้ พัดลมเดี่ยว แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ RTX 5060 Inspire ITX ยังคงใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน MSI ได้เปิดตัว สองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติและรุ่น OC ซึ่งมี ความเร็วบูสต์สูงสุด 2.527 GHz ขณะที่รุ่นมาตรฐานมี ความเร็วบูสต์ 2.497 GHz นอกจากนี้ MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้พัดลมเดี่ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 161 x 125 x 42 มม. ✅ ข้อมูลจากข่าว - MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX ซึ่งเป็นหนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด - ขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้พัดลมเดี่ยว - ใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin - มีสองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (2.497 GHz) และรุ่น OC (2.527 GHz) - MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพัดลมเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ยังคงใช้พื้นที่สองสล็อตในเคส - ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานหนัก - รุ่น OC มีความเร็วบูสต์สูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย แต่ต้องติดตามว่ามีผลต่ออุณหภูมิหรือไม่ - การ์ดจอขนาดเล็กอาจมีเสียงรบกวนมากกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมหลายตัว RTX 5060 Inspire ITX อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการ์ดจอขนาดเล็กแต่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเสียงรบกวนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/msi-unveils-one-of-the-tiniest-rtx-5060-gpus-yet-single-fan-inspire-rtx-model-measures-just-145-x-120-x-45mm
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • 🚗 Arm เปิดตัวแพลตฟอร์ม Zena: ลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50%
    Arm ได้เปิดตัว แพลตฟอร์ม Zena ซึ่งเป็น ระบบออกแบบชิปสำหรับยานยนต์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น โดยลดเวลาการพัฒนาลงถึง 50%

    ปัจจุบัน กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใช้เวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ การออกแบบชิปเสร็จสมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่รองรับฮาร์ดแวร์ ได้

    Arm ได้แก้ปัญหานี้โดย เปิดตัวชุดเครื่องมือคลาวด์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตสามารถเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ทันที แม้ว่า ชิปจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ

    นอกจากนี้ Arm ยังได้ รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถ พัฒนาและทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาได้อีก 12 เดือน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - แพลตฟอร์ม Zena ช่วยลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50%
    - ใช้ชุดเครื่องมือคลาวด์เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ก่อนที่ชิปจะเสร็จสมบูรณ์
    - รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวเพื่อให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พัฒนาไปพร้อมกัน
    - รองรับ CPU Cortex-A720AE 16 คอร์ และระบบความปลอดภัย Cortex-R82AE
    - สามารถเชื่อมต่อหลายระบบ Zena ผ่าน UCIe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องติดตามว่าการจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยังจีนจะส่งผลต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนหรือไม่
    - แม้จะลดเวลาพัฒนา แต่ผู้ผลิตยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะนำแพลตฟอร์ม Zena ไปใช้จริงหรือไม่
    - การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในรถยนต์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

    แพลตฟอร์ม Zena อาจช่วยให้ รถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้เร็วขึ้น และลดช่องว่างระหว่าง เทคโนโลยีในรถยนต์กับสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะนำระบบนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108188-arm-new-zena-platform-can-cut-car-development.html
    🚗 Arm เปิดตัวแพลตฟอร์ม Zena: ลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50% Arm ได้เปิดตัว แพลตฟอร์ม Zena ซึ่งเป็น ระบบออกแบบชิปสำหรับยานยนต์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น โดยลดเวลาการพัฒนาลงถึง 50% ปัจจุบัน กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใช้เวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ การออกแบบชิปเสร็จสมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่รองรับฮาร์ดแวร์ ได้ Arm ได้แก้ปัญหานี้โดย เปิดตัวชุดเครื่องมือคลาวด์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตสามารถเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ทันที แม้ว่า ชิปจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ นอกจากนี้ Arm ยังได้ รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถ พัฒนาและทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาได้อีก 12 เดือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - แพลตฟอร์ม Zena ช่วยลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50% - ใช้ชุดเครื่องมือคลาวด์เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ก่อนที่ชิปจะเสร็จสมบูรณ์ - รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวเพื่อให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พัฒนาไปพร้อมกัน - รองรับ CPU Cortex-A720AE 16 คอร์ และระบบความปลอดภัย Cortex-R82AE - สามารถเชื่อมต่อหลายระบบ Zena ผ่าน UCIe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องติดตามว่าการจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยังจีนจะส่งผลต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนหรือไม่ - แม้จะลดเวลาพัฒนา แต่ผู้ผลิตยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะนำแพลตฟอร์ม Zena ไปใช้จริงหรือไม่ - การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในรถยนต์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แพลตฟอร์ม Zena อาจช่วยให้ รถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้เร็วขึ้น และลดช่องว่างระหว่าง เทคโนโลยีในรถยนต์กับสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะนำระบบนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108188-arm-new-zena-platform-can-cut-car-development.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Arm says new Zena platform can cut car development time by 50%
    A significant part of the issue lies in the long and tedious automotive development process, particularly in how technology is adopted into modern vehicle platforms. Traditionally, automakers...
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
More Results