• 💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่?
    JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด

    การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ
    - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด
    - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน
    - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน
    - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง
    - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
    - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่
    - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด

    การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่

    https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่? JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ✅ ข้อมูลจากข่าว - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่ - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่ https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    WCCFTECH.COM
    Now That Wall Street Is Officially Using Bitcoin ETFs As Collateral, Is Rehypothecation And Another Financial Crisis Next?
    JP Morgan's move might encourage other Wall Street banks to also start accepting Bitcoin ETFs as collateral for their lending activities.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง

    DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU

    Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง

    นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง
    - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท
    - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่
    - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก
    - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    ❄️ Shell เปิดตัว DLC Fluid S3: นวัตกรรมใหม่สำหรับการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล Shell ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็น สารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรง ที่ออกแบบมาเพื่อ รองรับความต้องการด้านความร้อนของศูนย์ข้อมูล AI และการประมวลผลประสิทธิภาพสูง DLC Fluid S3 เป็น สารหล่อเย็นที่ใช้โพรพิลีนไกลคอล ซึ่งสามารถ ลดอุณหภูมิของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูง โดย ส่งความเย็นไปยังส่วนที่สร้างความร้อนโดยตรง เช่น CPU และ GPU Shell ระบุว่า ของเหลวนี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งช่วย ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศที่ใช้พลังงานสูง นอกจากนี้ DLC Fluid S3 ยัง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และ มีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท รวมถึง มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Shell เปิดตัว DLC Fluid S3 ซึ่งเป็นสารหล่อเย็นแบบของเหลวโดยตรงสำหรับศูนย์ข้อมูล AI - ใช้โพรพิลีนไกลคอลเพื่อระบายความร้อนให้กับ CPU และ GPU โดยตรง - ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ - มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และมีสารป้องกันการกัดกร่อนสำหรับโลหะหลายประเภท - มีสารเรืองแสงเพื่อช่วยตรวจจับการรั่วไหลได้ง่ายขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ต้องติดตามว่าการนำไปใช้จริงจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลหรือไม่ - ต้องตรวจสอบว่าของเหลวนี้สามารถทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การเปลี่ยนจากระบบระบายความร้อนด้วยอากาศไปเป็นของเหลวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงในช่วงแรก - ต้องติดตามว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ DLC Fluid S3 อาจช่วยให้ ศูนย์ข้อมูลสามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น และ ลดการใช้พลังงานโดยรวม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในระยะยาวอย่างไร https://www.techradar.com/pro/one-of-worlds-largest-oil-companies-just-launched-a-unique-cooling-fluid-for-data-centers-and-ai-chips-and-i-cant-believe-who-it-is
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm
    EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588

    เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ
    - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์
    - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย
    - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud
    - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่
    - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน

    SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร

    https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588 เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ✅ ข้อมูลจากข่าว - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์ - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    EdgeCortix SAKURA-II Enables GenAI on Raspberry Pi 5 and Arm Systems
    EdgeCortix Inc., a leading fabless semiconductor company specializing in energy-efficient Artificial Intelligence (AI) processing at the edge, today announced that its industry leading AI accelerator, SAKURA-II M.2 Module is now available with Arm-based platforms, including Raspberry Pi 5 and AETINA...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm

    จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก

    GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์
    - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก
    - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล
    - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC)
    - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50%
    - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่

    การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC) - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50% - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่ การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Intel สร้างสถิติใหม่ในการโอเวอร์คล็อก GPU ด้วยกราฟิกแบบฝัง
    ที่งาน Computex 2025 นักโอเวอร์คล็อก SkatterBencher ได้ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU โดยใช้ กราฟิกแบบฝังของ Intel แทนที่จะเป็นการ์ดจอแยก เช่น RTX 5090 หรือ RX 9070 XT

    SkatterBencher ใช้ Core Ultra 9 285K และสามารถ โอเวอร์คล็อกกราฟิกแบบฝังไปถึง 4.25 GHz โดยใช้ แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C

    ก่อนหน้านี้ เขาสามารถ โอเวอร์คล็อกได้ถึง 3.1 GHz ที่ 1.3V แต่พบว่า Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง โดยที่ -150°C ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 GHz

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SkatterBencher ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU ด้วยกราฟิกแบบฝังของ Intel
    - ใช้ Core Ultra 9 285K และโอเวอร์คล็อกไปถึง 4.25 GHz
    - แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ช่วยให้สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุด
    - Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง
    - การโอเวอร์คล็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Counter-Strike 2 จาก 50 FPS เป็น 86 FPS

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การโอเวอร์คล็อกที่ระดับนี้ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว (LN2) ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แรงดันไฟฟ้าเกิน 1.5V อาจลดอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็ว
    - การเพิ่มความเร็วเกิน 4 GHz ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    - ต้องใช้เมนบอร์ดระดับสูง เช่น Asus ROG Z890 Apex เพื่อรองรับการโอเวอร์คล็อกขั้นสูง

    การทำลายสถิตินี้แสดงให้เห็นว่า กราฟิกแบบฝังของ Intel มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการออกแบบโปรเซสเซอร์ในอนาคตหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-frequency-overclocking-world-record-broken-using-integrated-intel-graphics-arrow-lake-outpaces-discrete-gpus-in-clock-speed-competition
    🚀 Intel สร้างสถิติใหม่ในการโอเวอร์คล็อก GPU ด้วยกราฟิกแบบฝัง ที่งาน Computex 2025 นักโอเวอร์คล็อก SkatterBencher ได้ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU โดยใช้ กราฟิกแบบฝังของ Intel แทนที่จะเป็นการ์ดจอแยก เช่น RTX 5090 หรือ RX 9070 XT SkatterBencher ใช้ Core Ultra 9 285K และสามารถ โอเวอร์คล็อกกราฟิกแบบฝังไปถึง 4.25 GHz โดยใช้ แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ก่อนหน้านี้ เขาสามารถ โอเวอร์คล็อกได้ถึง 3.1 GHz ที่ 1.3V แต่พบว่า Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง โดยที่ -150°C ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 GHz ✅ ข้อมูลจากข่าว - SkatterBencher ทำลายสถิติโลกด้านความเร็วของ GPU ด้วยกราฟิกแบบฝังของ Intel - ใช้ Core Ultra 9 285K และโอเวอร์คล็อกไปถึง 4.25 GHz - แรงดันไฟฟ้า 1.7V และอุณหภูมิ -170°C ช่วยให้สามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุด - Arrow Lake มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดลง - การโอเวอร์คล็อกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Counter-Strike 2 จาก 50 FPS เป็น 86 FPS ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การโอเวอร์คล็อกที่ระดับนี้ต้องใช้ไนโตรเจนเหลว (LN2) ซึ่งไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แรงดันไฟฟ้าเกิน 1.5V อาจลดอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์อย่างรวดเร็ว - การเพิ่มความเร็วเกิน 4 GHz ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ - ต้องใช้เมนบอร์ดระดับสูง เช่น Asus ROG Z890 Apex เพื่อรองรับการโอเวอร์คล็อกขั้นสูง การทำลายสถิตินี้แสดงให้เห็นว่า กราฟิกแบบฝังของ Intel มีศักยภาพในการโอเวอร์คล็อกสูงกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะส่งผลต่อการออกแบบโปรเซสเซอร์ในอนาคตหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-frequency-overclocking-world-record-broken-using-integrated-intel-graphics-arrow-lake-outpaces-discrete-gpus-in-clock-speed-competition
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX: การ์ดจอขนาดเล็กที่ทรงพลัง
    MSI ได้เปิดตัว GeForce RTX 5060 8G Inspire ITX ซึ่งเป็น หนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้ พัดลมเดี่ยว

    แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ RTX 5060 Inspire ITX ยังคงใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน

    MSI ได้เปิดตัว สองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติและรุ่น OC ซึ่งมี ความเร็วบูสต์สูงสุด 2.527 GHz ขณะที่รุ่นมาตรฐานมี ความเร็วบูสต์ 2.497 GHz

    นอกจากนี้ MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้พัดลมเดี่ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 161 x 125 x 42 มม.

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX ซึ่งเป็นหนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด
    - ขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้พัดลมเดี่ยว
    - ใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin
    - มีสองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (2.497 GHz) และรุ่น OC (2.527 GHz)
    - MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพัดลมเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ยังคงใช้พื้นที่สองสล็อตในเคส
    - ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานหนัก
    - รุ่น OC มีความเร็วบูสต์สูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย แต่ต้องติดตามว่ามีผลต่ออุณหภูมิหรือไม่
    - การ์ดจอขนาดเล็กอาจมีเสียงรบกวนมากกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมหลายตัว

    RTX 5060 Inspire ITX อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการ์ดจอขนาดเล็กแต่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเสียงรบกวนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/msi-unveils-one-of-the-tiniest-rtx-5060-gpus-yet-single-fan-inspire-rtx-model-measures-just-145-x-120-x-45mm
    🎮 MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX: การ์ดจอขนาดเล็กที่ทรงพลัง MSI ได้เปิดตัว GeForce RTX 5060 8G Inspire ITX ซึ่งเป็น หนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด โดยมีขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้ พัดลมเดี่ยว แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ RTX 5060 Inspire ITX ยังคงใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน MSI ได้เปิดตัว สองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติและรุ่น OC ซึ่งมี ความเร็วบูสต์สูงสุด 2.527 GHz ขณะที่รุ่นมาตรฐานมี ความเร็วบูสต์ 2.497 GHz นอกจากนี้ MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้พัดลมเดี่ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยที่ 161 x 125 x 42 มม. ✅ ข้อมูลจากข่าว - MSI เปิดตัว RTX 5060 Inspire ITX ซึ่งเป็นหนึ่งในการ์ดจอ RTX 5060 ที่เล็กที่สุด - ขนาดเพียง 145 x 120 x 45 มม. และใช้พัดลมเดี่ยว - ใช้พลังงาน 145W และต้องการช่องเสียบ 8-pin - มีสองรุ่น ได้แก่ รุ่นปกติ (2.497 GHz) และรุ่น OC (2.527 GHz) - MSI ยังมี RTX 5060 Cyclone ซึ่งเป็นรุ่นพัดลมเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ยังคงใช้พื้นที่สองสล็อตในเคส - ต้องรอดูว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานหนัก - รุ่น OC มีความเร็วบูสต์สูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย แต่ต้องติดตามว่ามีผลต่ออุณหภูมิหรือไม่ - การ์ดจอขนาดเล็กอาจมีเสียงรบกวนมากกว่ารุ่นที่ใช้พัดลมหลายตัว RTX 5060 Inspire ITX อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการการ์ดจอขนาดเล็กแต่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเสียงรบกวนจะเป็นอย่างไรเมื่อใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/msi-unveils-one-of-the-tiniest-rtx-5060-gpus-yet-single-fan-inspire-rtx-model-measures-just-145-x-120-x-45mm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚗 Arm เปิดตัวแพลตฟอร์ม Zena: ลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50%
    Arm ได้เปิดตัว แพลตฟอร์ม Zena ซึ่งเป็น ระบบออกแบบชิปสำหรับยานยนต์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น โดยลดเวลาการพัฒนาลงถึง 50%

    ปัจจุบัน กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใช้เวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ การออกแบบชิปเสร็จสมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่รองรับฮาร์ดแวร์ ได้

    Arm ได้แก้ปัญหานี้โดย เปิดตัวชุดเครื่องมือคลาวด์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตสามารถเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ทันที แม้ว่า ชิปจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ

    นอกจากนี้ Arm ยังได้ รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถ พัฒนาและทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาได้อีก 12 เดือน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - แพลตฟอร์ม Zena ช่วยลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50%
    - ใช้ชุดเครื่องมือคลาวด์เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ก่อนที่ชิปจะเสร็จสมบูรณ์
    - รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวเพื่อให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พัฒนาไปพร้อมกัน
    - รองรับ CPU Cortex-A720AE 16 คอร์ และระบบความปลอดภัย Cortex-R82AE
    - สามารถเชื่อมต่อหลายระบบ Zena ผ่าน UCIe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้องติดตามว่าการจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยังจีนจะส่งผลต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนหรือไม่
    - แม้จะลดเวลาพัฒนา แต่ผู้ผลิตยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะนำแพลตฟอร์ม Zena ไปใช้จริงหรือไม่
    - การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในรถยนต์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

    แพลตฟอร์ม Zena อาจช่วยให้ รถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้เร็วขึ้น และลดช่องว่างระหว่าง เทคโนโลยีในรถยนต์กับสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะนำระบบนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108188-arm-new-zena-platform-can-cut-car-development.html
    🚗 Arm เปิดตัวแพลตฟอร์ม Zena: ลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50% Arm ได้เปิดตัว แพลตฟอร์ม Zena ซึ่งเป็น ระบบออกแบบชิปสำหรับยานยนต์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตรถยนต์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้น โดยลดเวลาการพัฒนาลงถึง 50% ปัจจุบัน กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใช้เวลานาน เนื่องจากต้องรอให้ การออกแบบชิปเสร็จสมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเริ่มพัฒนา ซอฟต์แวร์ที่รองรับฮาร์ดแวร์ ได้ Arm ได้แก้ปัญหานี้โดย เปิดตัวชุดเครื่องมือคลาวด์ ที่ช่วยให้ ผู้ผลิตสามารถเริ่มพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ทันที แม้ว่า ชิปจะยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ นอกจากนี้ Arm ยังได้ รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว ทำให้สามารถ พัฒนาและทดสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดเวลาในการพัฒนาได้อีก 12 เดือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - แพลตฟอร์ม Zena ช่วยลดเวลาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ลง 50% - ใช้ชุดเครื่องมือคลาวด์เพื่อให้สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้ก่อนที่ชิปจะเสร็จสมบูรณ์ - รวมชิปหลายตัวเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียวเพื่อให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พัฒนาไปพร้อมกัน - รองรับ CPU Cortex-A720AE 16 คอร์ และระบบความปลอดภัย Cortex-R82AE - สามารถเชื่อมต่อหลายระบบ Zena ผ่าน UCIe เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้องติดตามว่าการจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยังจีนจะส่งผลต่อผู้ผลิตรถยนต์จีนหรือไม่ - แม้จะลดเวลาพัฒนา แต่ผู้ผลิตยังต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะนำแพลตฟอร์ม Zena ไปใช้จริงหรือไม่ - การพัฒนาเทคโนโลยี AI ในรถยนต์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แพลตฟอร์ม Zena อาจช่วยให้ รถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้เร็วขึ้น และลดช่องว่างระหว่าง เทคโนโลยีในรถยนต์กับสมาร์ทโฟน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะนำระบบนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108188-arm-new-zena-platform-can-cut-car-development.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Arm says new Zena platform can cut car development time by 50%
    A significant part of the issue lies in the long and tedious automotive development process, particularly in how technology is adopted into modern vehicle platforms. Traditionally, automakers...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡ คอมพิวเตอร์ไร้สายเต็มรูปแบบ: เทคโนโลยีแห่งอนาคต
    ช่อง YouTube DIY Perks ได้สาธิต ระบบส่งพลังงานไร้สาย ที่สามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่าน "โดมพลังงานที่มองไม่เห็น" โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย

    ระบบนี้ใช้หลักการเดียวกับ แท่นชาร์จไร้สายของสมาร์ทโฟน ซึ่งสร้าง สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนขั้วหลายพันครั้งต่อวินาที เพื่อส่งพลังงานไปยังอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียง

    อย่างไรก็ตาม DIY Perks ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวไปอีกขั้น โดยทำให้ สนามแม่เหล็กสามารถเปลี่ยนขั้วได้เร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที ทำให้สามารถ ส่งพลังงานได้ไกลขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ระบบนี้ใช้ ลวดเส้นเดียวเป็นขอบเขตของพื้นที่ส่งพลังงาน และสามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งฟุต

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - DIY Perks สาธิตระบบส่งพลังงานไร้สายที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านโดมพลังงานที่มองไม่เห็น
    - ใช้หลักการเดียวกับแท่นชาร์จไร้สาย แต่เปลี่ยนขั้วสนามแม่เหล็กเร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที
    - สามารถส่งพลังงานได้ไกลขึ้น โดยมีขอบเขตที่กำหนดด้วยลวดเส้นเดียว
    - ระบบนี้สามารถฝังเข้าไปในโต๊ะไม้ได้ เนื่องจากไม้ไม่รบกวนสนามแม่เหล็ก
    - DIY Perks ได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่ฝังอยู่ในโต๊ะ พร้อมระบบจ่ายไฟไร้สายเต็มรูปแบบ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - อุปกรณ์ที่ต้องรับพลังงานไร้สายต้องมีวงแหวนรับพลังงานที่ติดตั้งไว้
    - แม้ว่าระบบจะทำงานได้ดี แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน
    - ต้องติดตามว่าการส่งพลังงานไร้สายจะมีผลกระทบต่อสุขภาพหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ หรือไม่
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง และต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะนำไปใช้จริงหรือไม่

    หากเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม อาจช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย ซึ่งจะช่วยให้ โต๊ะทำงานและพื้นที่ใช้สอยมีความสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/108190-truly-wireless-desktop-pc-build-blow-mind.html
    ⚡ คอมพิวเตอร์ไร้สายเต็มรูปแบบ: เทคโนโลยีแห่งอนาคต ช่อง YouTube DIY Perks ได้สาธิต ระบบส่งพลังงานไร้สาย ที่สามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่าน "โดมพลังงานที่มองไม่เห็น" โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย ระบบนี้ใช้หลักการเดียวกับ แท่นชาร์จไร้สายของสมาร์ทโฟน ซึ่งสร้าง สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนขั้วหลายพันครั้งต่อวินาที เพื่อส่งพลังงานไปยังอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม DIY Perks ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวไปอีกขั้น โดยทำให้ สนามแม่เหล็กสามารถเปลี่ยนขั้วได้เร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที ทำให้สามารถ ส่งพลังงานได้ไกลขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบนี้ใช้ ลวดเส้นเดียวเป็นขอบเขตของพื้นที่ส่งพลังงาน และสามารถ จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งฟุต ✅ ข้อมูลจากข่าว - DIY Perks สาธิตระบบส่งพลังงานไร้สายที่สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านโดมพลังงานที่มองไม่เห็น - ใช้หลักการเดียวกับแท่นชาร์จไร้สาย แต่เปลี่ยนขั้วสนามแม่เหล็กเร็วขึ้นถึงล้านครั้งต่อวินาที - สามารถส่งพลังงานได้ไกลขึ้น โดยมีขอบเขตที่กำหนดด้วยลวดเส้นเดียว - ระบบนี้สามารถฝังเข้าไปในโต๊ะไม้ได้ เนื่องจากไม้ไม่รบกวนสนามแม่เหล็ก - DIY Perks ได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่ฝังอยู่ในโต๊ะ พร้อมระบบจ่ายไฟไร้สายเต็มรูปแบบ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - อุปกรณ์ที่ต้องรับพลังงานไร้สายต้องมีวงแหวนรับพลังงานที่ติดตั้งไว้ - แม้ว่าระบบจะทำงานได้ดี แต่ยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน - ต้องติดตามว่าการส่งพลังงานไร้สายจะมีผลกระทบต่อสุขภาพหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ หรือไม่ - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง และต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะนำไปใช้จริงหรือไม่ หากเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม อาจช่วยให้เราสามารถใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องใช้สายไฟเลย ซึ่งจะช่วยให้ โต๊ะทำงานและพื้นที่ใช้สอยมีความสะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น https://www.techspot.com/news/108190-truly-wireless-desktop-pc-build-blow-mind.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    This truly wireless desktop PC build will blow your mind
    To grasp the wizardry at play, it helps to have a general understanding of how wireless phone charging mats work. As the presenter explains, such chargers use...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Intel เผยแผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่: Nova Lake, Wildcat Lake และ Bartlett Lake
    Intel ได้เปิดเผย แผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่ ผ่านเอกสารที่หลุดออกมา ซึ่งรวมถึง Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Nova Lake-U สำหรับแล็ปท็อป และ Wildcat Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำ

    Nova Lake-S คาดว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมเดสก์ท็อปที่มีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ ซ็อกเก็ต LGA 1954 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจาก LGA 1851 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่

    Wildcat Lake ถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์พกพา และอาจเป็น ผู้สืบทอดของ Twin Lake

    Bartlett Lake-S จะมี รุ่นใหม่ที่มีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่มีสูงสุด 24 คอร์ โดยคาดว่า จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954
    - Nova Lake-U เป็นรุ่นพลังงานต่ำสำหรับแล็ปท็อป
    - Wildcat Lake อาจเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำที่สืบทอดจาก Twin Lake
    - Bartlett Lake-S รุ่นใหม่จะมีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง
    - Bartlett Lake-S จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดเป็น Nova Lake-S จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
    - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Wildcat Lake และ Nova Lake-U
    - Bartlett Lake-S รุ่น 12 คอร์อาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการใช้งานในตลาดอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่า Intel จะเปิดตัว CPU เหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อใด

    การเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ AMD และ Apple ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงของซ็อกเก็ตจะส่งผลต่อการอัปเกรดของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด

    https://www.techspot.com/news/108184-intel-roadmap-reveals-nova-lake-su-wildcat-lake.html
    🚀 Intel เผยแผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่: Nova Lake, Wildcat Lake และ Bartlett Lake Intel ได้เปิดเผย แผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่ ผ่านเอกสารที่หลุดออกมา ซึ่งรวมถึง Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Nova Lake-U สำหรับแล็ปท็อป และ Wildcat Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำ Nova Lake-S คาดว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมเดสก์ท็อปที่มีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ ซ็อกเก็ต LGA 1954 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจาก LGA 1851 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ Wildcat Lake ถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์พกพา และอาจเป็น ผู้สืบทอดของ Twin Lake Bartlett Lake-S จะมี รุ่นใหม่ที่มีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่มีสูงสุด 24 คอร์ โดยคาดว่า จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954 - Nova Lake-U เป็นรุ่นพลังงานต่ำสำหรับแล็ปท็อป - Wildcat Lake อาจเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำที่สืบทอดจาก Twin Lake - Bartlett Lake-S รุ่นใหม่จะมีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง - Bartlett Lake-S จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดเป็น Nova Lake-S จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Wildcat Lake และ Nova Lake-U - Bartlett Lake-S รุ่น 12 คอร์อาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการใช้งานในตลาดอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่า Intel จะเปิดตัว CPU เหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อใด การเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ AMD และ Apple ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงของซ็อกเก็ตจะส่งผลต่อการอัปเกรดของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด https://www.techspot.com/news/108184-intel-roadmap-reveals-nova-lake-su-wildcat-lake.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel roadmap reveals Nova Lake CPUs, Wildcat Lake, and new 12-core Bartlett Lake SKUs
    The leak originates from an Intel support document about the Time Coordinated Computing (TCC) platform, which outlines how the technology can be used for real-time applications at...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 รีวิว AMD Radeon RX 9060 XT 16GB: พลัง 1440p ในราคาต่ำกว่า $400
    AMD ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT 16GB ซึ่งเป็น GPU รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน และ ราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20%

    RX 9060 XT ใช้ สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมี คล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT พร้อมกับ หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps ซึ่งช่วยเพิ่ม แบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s

    แม้ว่าจะมี ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5060 Ti แต่ RX 9060 XT มี VRAM มากกว่า และ รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้มี ความยืดหยุ่นในการใช้งานระยะยาว

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - RX 9060 XT 16GB มีราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20%
    - ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมีคล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT
    - หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps เพิ่มแบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s
    - รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ
    - มี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - RX 9060 XT 8GB มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่น 16GB อย่างมาก
    - Ray tracing ยังไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ในบางเกม
    - ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ $350 หรือจะเพิ่มขึ้นหลังเปิดตัว
    - AMD ควรตั้งชื่อรุ่นให้ชัดเจนขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างรุ่น 8GB และ 16GB

    RX 9060 XT 16GB อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการ GPU ราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าและราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ระดับที่แข่งขันได้หรือไม่

    ส่วนลุงนั้นฟันธงว่า
    1) คนที่ใช้ RTX 3060 หรือต่ำกว่าอยู่ แล้วอยากย้ายค่าย นี่คือช่วงเวลาที่ดีครับ
    2) คนที่ใช้ RX 5xxx อยู่ ถ้าอยากจะ Upgrade ควรจะย้ายมารุ่นนี้ครับ
    3) ถ้าคิดว่าจะใช้จอ 1080 ต่อไปยาวๆ หรือไม่เน้นเกม ก็พิจารณารอ รุ่น RX 9060 RAM 8GB ได้ครับ

    #ลุงฟันธง

    https://www.techspot.com/review/2996-amd-radeon-9060-xt/
    🎮 รีวิว AMD Radeon RX 9060 XT 16GB: พลัง 1440p ในราคาต่ำกว่า $400 AMD ได้เปิดตัว Radeon RX 9060 XT 16GB ซึ่งเป็น GPU รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน และ ราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20% RX 9060 XT ใช้ สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมี คล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT พร้อมกับ หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps ซึ่งช่วยเพิ่ม แบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s แม้ว่าจะมี ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 5060 Ti แต่ RX 9060 XT มี VRAM มากกว่า และ รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยให้มี ความยืดหยุ่นในการใช้งานระยะยาว ✅ ข้อมูลจากข่าว - RX 9060 XT 16GB มีราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti ถึง 20% - ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 และมีคล็อกสูงขึ้น 14% เมื่อเทียบกับ RX 7600 XT - หน่วยความจำ GDDR6 ความเร็ว 20 Gbps เพิ่มแบนด์วิดท์เป็น 320 GB/s - รองรับ PCIe 5.0 เต็มรูปแบบ - มี VRAM มากกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - RX 9060 XT 8GB มีประสิทธิภาพต่ำกว่ารุ่น 16GB อย่างมาก - Ray tracing ยังไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ในบางเกม - ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ $350 หรือจะเพิ่มขึ้นหลังเปิดตัว - AMD ควรตั้งชื่อรุ่นให้ชัดเจนขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างรุ่น 8GB และ 16GB RX 9060 XT 16GB อาจเป็น ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการ GPU ราคาประหยัด โดยมี VRAM มากกว่าและราคาถูกกว่า RTX 5060 Ti อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าราคาจะคงอยู่ที่ระดับที่แข่งขันได้หรือไม่ ส่วนลุงนั้นฟันธงว่า 1) คนที่ใช้ RTX 3060 หรือต่ำกว่าอยู่ แล้วอยากย้ายค่าย นี่คือช่วงเวลาที่ดีครับ 2) คนที่ใช้ RX 5xxx อยู่ ถ้าอยากจะ Upgrade ควรจะย้ายมารุ่นนี้ครับ 3) ถ้าคิดว่าจะใช้จอ 1080 ต่อไปยาวๆ หรือไม่เน้นเกม ก็พิจารณารอ รุ่น RX 9060 RAM 8GB ได้ครับ #ลุงฟันธง https://www.techspot.com/review/2996-amd-radeon-9060-xt/
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Radeon RX 9060 XT 16GB Review
    AMD's Radeon RX 9060 XT comes in two flavors–only one's worth your money. The 16GB model undercuts Nvidia on price, matches performance, and may be the new...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏢 การพักระหว่างวันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    ผลการศึกษาล่าสุดจาก DeskTime พบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่ใช้ รูปแบบการทำงานแบบ 75/33 ซึ่งหมายถึง ทำงาน 75 นาที แล้วพัก 33 นาที

    ในช่วงการทำงานจากที่บ้านระหว่างการระบาดของโควิด-19 พนักงานมีแนวโน้ม ทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26 (ทำงาน 112 นาที พัก 26 นาที) ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่พนักงาน ใช้เวลาพักมากขึ้น

    DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจาก ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน และพบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน ซึ่งมากกว่าช่วงที่ทำงานจากที่บ้านที่มีการพักเพียง 3 ครั้ง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใช้รูปแบบการทำงาน 75/33 (ทำงาน 75 นาที พัก 33 นาที)
    - ในช่วงโควิด-19 พนักงานทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26
    - DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน
    - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน
    - การทำงานในออฟฟิศหรือแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีโอกาสพักมากขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การทำงานต่อเนื่องโดยไม่พักอาจลดประสิทธิภาพและส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต
    - ซอฟต์แวร์ติดตามการทำงานอาจไม่สามารถวัดประสิทธิภาพที่แท้จริงได้
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจะส่งผลต่อองค์กรในระยะยาวอย่างไร
    - การทำงานจากที่บ้านอาจทำให้พนักงานมีเวลาพักน้อยลงและรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น

    การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การพักระหว่างวันมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน และอาจช่วยให้ องค์กรสามารถปรับรูปแบบการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

    https://www.techspot.com/news/108182-most-productive-workers-rest-almost-two-half-hours.html
    🏢 การพักระหว่างวันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผลการศึกษาล่าสุดจาก DeskTime พบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ได้ทำงานต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แต่ใช้ รูปแบบการทำงานแบบ 75/33 ซึ่งหมายถึง ทำงาน 75 นาที แล้วพัก 33 นาที ในช่วงการทำงานจากที่บ้านระหว่างการระบาดของโควิด-19 พนักงานมีแนวโน้ม ทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26 (ทำงาน 112 นาที พัก 26 นาที) ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่พนักงาน ใช้เวลาพักมากขึ้น DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจาก ผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน และพบว่า พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน ซึ่งมากกว่าช่วงที่ทำงานจากที่บ้านที่มีการพักเพียง 3 ครั้ง ✅ ข้อมูลจากข่าว - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใช้รูปแบบการทำงาน 75/33 (ทำงาน 75 นาที พัก 33 นาที) - ในช่วงโควิด-19 พนักงานทำงานต่อเนื่องนานขึ้น โดยมีอัตราส่วน 112/26 - DeskTime วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้ซอฟต์แวร์ 6,000 คน - พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักจะหยุดพักประมาณ 4 ครั้งต่อวัน - การทำงานในออฟฟิศหรือแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีโอกาสพักมากขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การทำงานต่อเนื่องโดยไม่พักอาจลดประสิทธิภาพและส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต - ซอฟต์แวร์ติดตามการทำงานอาจไม่สามารถวัดประสิทธิภาพที่แท้จริงได้ - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจะส่งผลต่อองค์กรในระยะยาวอย่างไร - การทำงานจากที่บ้านอาจทำให้พนักงานมีเวลาพักน้อยลงและรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การพักระหว่างวันมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน และอาจช่วยให้ องค์กรสามารถปรับรูปแบบการทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน https://www.techspot.com/news/108182-most-productive-workers-rest-almost-two-half-hours.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The most productive workers "rest" almost two and a half hours during an 8-hour workday, study claims
    DeskTime, the cloud-based time tracking and productivity management software from the Draugiem Group, carried out the recent productivity study.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💳 Google Wallet ยกเลิกการรองรับ PayPal สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ
    Google ได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ จะไม่สามารถใช้ PayPal เป็นวิธีการชำระเงินได้อีกต่อไป โดยบัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ

    แม้ว่า Google จะไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเลิกการรองรับ PayPal แต่มีการคาดการณ์ว่า PayPal อาจเป็นฝ่ายยุติการสนับสนุน Google Wallet ในสหรัฐฯ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ โซลูชันการชำระเงินของตนเอง

    PayPal เปิดตัวการรองรับ Google Wallet ครั้งแรกในปี 2017 เมื่อ Wallet ยังใช้ชื่อ Android Pay ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ Android มีความยืดหยุ่นในการชำระเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม PayPal อาจต้องการลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม และผลักดันให้ผู้ใช้หันไปใช้ แอป PayPal โดยตรง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Google Wallet จะหยุดรองรับ PayPal ในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025
    - บัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ
    - Google Wallet ยังคงรองรับบัตรเดบิตที่มีตราสินค้า PayPal ในสหรัฐฯ
    - PayPal จะยังคงเป็นวิธีการชำระเงินที่รองรับใน Google Wallet สำหรับผู้ใช้ในเยอรมนี
    - หลังวันที่ 13 มิถุนายน ผู้ใช้ต้องตรวจสอบธุรกรรม PayPal ผ่านเว็บไซต์หรือแอป PayPal แทน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเพื่อใช้บริการต่อไป
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet
    - PayPal อาจกำลังพัฒนาโซลูชันการชำระเงินของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น
    - ต้องติดตามว่า Google จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการชำระเงินในอนาคตหรือไม่

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องปรับตัวโดยเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเป็นวิธีการชำระเงินหลัก ขณะที่ ธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet อาจต้องหาทางเลือกใหม่ในการรับชำระเงิน

    https://www.techspot.com/news/108166-google-wallet-removes-paypal-payment-option-us-users.html
    💳 Google Wallet ยกเลิกการรองรับ PayPal สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐฯ Google ได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ จะไม่สามารถใช้ PayPal เป็นวิธีการชำระเงินได้อีกต่อไป โดยบัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ แม้ว่า Google จะไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการยกเลิกการรองรับ PayPal แต่มีการคาดการณ์ว่า PayPal อาจเป็นฝ่ายยุติการสนับสนุน Google Wallet ในสหรัฐฯ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ โซลูชันการชำระเงินของตนเอง PayPal เปิดตัวการรองรับ Google Wallet ครั้งแรกในปี 2017 เมื่อ Wallet ยังใช้ชื่อ Android Pay ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ Android มีความยืดหยุ่นในการชำระเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม PayPal อาจต้องการลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม และผลักดันให้ผู้ใช้หันไปใช้ แอป PayPal โดยตรง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google Wallet จะหยุดรองรับ PayPal ในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2025 - บัญชี PayPal ที่เชื่อมต่อกับ Wallet จะถูกลบออกโดยอัตโนมัติ - Google Wallet ยังคงรองรับบัตรเดบิตที่มีตราสินค้า PayPal ในสหรัฐฯ - PayPal จะยังคงเป็นวิธีการชำระเงินที่รองรับใน Google Wallet สำหรับผู้ใช้ในเยอรมนี - หลังวันที่ 13 มิถุนายน ผู้ใช้ต้องตรวจสอบธุรกรรม PayPal ผ่านเว็บไซต์หรือแอป PayPal แทน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเพื่อใช้บริการต่อไป - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet - PayPal อาจกำลังพัฒนาโซลูชันการชำระเงินของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น - ต้องติดตามว่า Google จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการชำระเงินในอนาคตหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ ผู้ใช้ Google Wallet ในสหรัฐฯ ต้องปรับตัวโดยเพิ่มบัตรเครดิตหรือเดบิตเป็นวิธีการชำระเงินหลัก ขณะที่ ธุรกิจที่พึ่งพา PayPal ผ่าน Google Wallet อาจต้องหาทางเลือกใหม่ในการรับชำระเงิน https://www.techspot.com/news/108166-google-wallet-removes-paypal-payment-option-us-users.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google Wallet removes PayPal as a payment option for US users
    The move will likely inconvenience many dedicated Wallet users, but it isn't entirely unexpected. Google started blocking US users from linking their PayPal accounts with Wallet on...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🧠 มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย
    ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สร้าง ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) โดยสามารถ บันทึกสัญญาณสมองของมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง

    อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองคือ Connexus ซึ่งพัฒนาโดย Paradromics เป็น BCI แบบไร้สายที่สามารถฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเซนติเมตร และใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรด ที่บางกว่าขนมนุษย์

    Connexus ทำงานโดย เก็บสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว และส่งข้อมูลไปยัง ตัวรับสัญญาณที่ฝังอยู่ในหน้าอก ก่อนจะ ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอก ซึ่ง AI จะช่วยแปลสัญญาณเหล่านี้ให้เป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย
    - Connexus เป็น BCI ที่ฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
    - ใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรดเพื่อเก็บสัญญาณจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว
    - ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอกเพื่อแปลเป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด
    - Paradromics เตรียมทดลองทางคลินิกกับผู้เข้าร่วม 10 คนเป็นเวลาหนึ่งปี

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้ Connexus จะมีความแม่นยำสูง แต่ยังต้องผ่านการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม
    - ต้องติดตามว่าการฝังอุปกรณ์จะมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่
    - BCI อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสมอง
    - Paradromics ต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลก่อนนำไปใช้จริง

    เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง และอาจนำไปสู่ การพัฒนา BCI ที่สามารถช่วยรักษาภาวะทางจิตเวชหรือความเจ็บปวดเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการทดลองทางคลินิกจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงใด

    https://www.techspot.com/news/108160-university-michigan-achieves-first-human-brain-recording-wireless.html
    🧠 มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สร้าง ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเทคโนโลยี Brain-Computer Interface (BCI) โดยสามารถ บันทึกสัญญาณสมองของมนุษย์เป็นครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองคือ Connexus ซึ่งพัฒนาโดย Paradromics เป็น BCI แบบไร้สายที่สามารถฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งเซนติเมตร และใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรด ที่บางกว่าขนมนุษย์ Connexus ทำงานโดย เก็บสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว และส่งข้อมูลไปยัง ตัวรับสัญญาณที่ฝังอยู่ในหน้าอก ก่อนจะ ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอก ซึ่ง AI จะช่วยแปลสัญญาณเหล่านี้ให้เป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด ✅ ข้อมูลจากข่าว - มหาวิทยาลัยมิชิแกนบันทึกสัญญาณสมองมนุษย์ครั้งแรกด้วยอุปกรณ์ไร้สาย - Connexus เป็น BCI ที่ฝังเข้าไปในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ - ใช้ 421 ไมโครอิเล็กโทรดเพื่อเก็บสัญญาณจากเซลล์ประสาทแต่ละตัว - ส่งข้อมูลแบบไร้สายไปยังคอมพิวเตอร์ภายนอกเพื่อแปลเป็นการเคลื่อนไหวหรือคำพูด - Paradromics เตรียมทดลองทางคลินิกกับผู้เข้าร่วม 10 คนเป็นเวลาหนึ่งปี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้ Connexus จะมีความแม่นยำสูง แต่ยังต้องผ่านการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติม - ต้องติดตามว่าการฝังอุปกรณ์จะมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ - BCI อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสมอง - Paradromics ต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลก่อนนำไปใช้จริง เทคโนโลยีนี้อาจช่วยให้ ผู้ที่มีภาวะอัมพาตหรือสูญเสียการพูดสามารถสื่อสารได้อีกครั้ง และอาจนำไปสู่ การพัฒนา BCI ที่สามารถช่วยรักษาภาวะทางจิตเวชหรือความเจ็บปวดเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการทดลองทางคลินิกจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงใด https://www.techspot.com/news/108160-university-michigan-achieves-first-human-brain-recording-wireless.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    University of Michigan achieves first human brain recording with wireless implant
    In a significant advance for brain-computer interface (BCI) technology, a University of Michigan research team has achieved the first in-human recording using Paradromics' Connexus device – a...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚚 Amazon ใช้ AI ปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง
    Amazon กำลังนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อปรับปรุง ระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง โดยเน้นการพัฒนา หุ่นยนต์อัจฉริยะ และ แผนที่นำทางสำหรับพนักงานส่งของ

    Amazon กำลังพัฒนา หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ขนถ่ายสินค้าออกจากรถบรรทุก และนำชิ้นส่วนไปซ่อมแซม ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ทำงานได้เพียงอย่างเดียว

    เทคโนโลยีนี้ใช้ Agentic AI ซึ่งช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยคาดว่า จะช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon พัฒนา AI เพื่อปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง
    - หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน
    - ใช้ Agentic AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
    - Amazon ยังใช้ AI เพื่อสร้างแผนที่นำทางที่ละเอียดขึ้นสำหรับพนักงานส่งของ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้จริงเมื่อใด
    - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในคลังสินค้าจะส่งผลต่อการจ้างงานของพนักงานหรือไม่
    - การใช้ AI ในการนำทางอาจทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน
    - Amazon อาจเผชิญกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ

    การนำ AI มาใช้ในระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง อาจช่วยให้ Amazon สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพนักงานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/amazon039s-delivery-and-logistics-will-get-an-ai-boost
    🚚 Amazon ใช้ AI ปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง Amazon กำลังนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อปรับปรุง ระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง โดยเน้นการพัฒนา หุ่นยนต์อัจฉริยะ และ แผนที่นำทางสำหรับพนักงานส่งของ Amazon กำลังพัฒนา หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ขนถ่ายสินค้าออกจากรถบรรทุก และนำชิ้นส่วนไปซ่อมแซม ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ทำงานได้เพียงอย่างเดียว เทคโนโลยีนี้ใช้ Agentic AI ซึ่งช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยคาดว่า จะช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon พัฒนา AI เพื่อปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง - หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน - ใช้ Agentic AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน - Amazon ยังใช้ AI เพื่อสร้างแผนที่นำทางที่ละเอียดขึ้นสำหรับพนักงานส่งของ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้จริงเมื่อใด - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในคลังสินค้าจะส่งผลต่อการจ้างงานของพนักงานหรือไม่ - การใช้ AI ในการนำทางอาจทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน - Amazon อาจเผชิญกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ การนำ AI มาใช้ในระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง อาจช่วยให้ Amazon สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพนักงานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/amazon039s-delivery-and-logistics-will-get-an-ai-boost
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon's delivery, logistics get an AI boost
    SUNNYVALE, Calif. (Reuters) -Amazon wants customers to know that artificial intelligence is not just for writing college essays.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔄 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Microsoft: LinkedIn CEO รับหน้าที่ดูแล Office และ AI
    Microsoft ได้ประกาศ การปรับโครงสร้างผู้บริหาร โดยให้ Ryan Roslansky ซึ่งเป็น CEO ของ LinkedIn เข้ามาดูแลผลิตภัณฑ์ Office และ Copilot ซึ่งเป็น AI ชั้นนำของบริษัท

    Roslansky จะยังคงเป็น CEO ของ LinkedIn แต่จะได้รับหน้าที่เพิ่มเติมในการดูแล Word, Excel และ Copilot ซึ่งเป็น AI ที่ฝังอยู่ในชุดโปรแกรม Productivity ของ Microsoft

    นอกจากนี้ Roslansky จะรายงานตรงต่อ Rajesh Jha ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Windows และ Teams ขณะที่ Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen ซึ่งเป็นผู้นำทีม Office จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Charles Lamanna ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม Copilot สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม จะย้ายไปรายงานต่อ Jha

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Ryan Roslansky จะดูแล Office และ Copilot นอกเหนือจากการเป็น CEO ของ LinkedIn
    - Roslansky จะรายงานต่อ Rajesh Jha ซึ่งดูแล Windows และ Teams
    - Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน
    - Charles Lamanna ซึ่งดูแล Copilot สำหรับธุรกิจ จะย้ายไปรายงานต่อ Jha
    - Microsoft กำลังปรับโครงสร้างเพื่อรวม AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลักมากขึ้น

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อทิศทางของ Office และ Copilot ในอนาคต
    - ต้องติดตามว่า Roslansky จะสามารถบริหาร LinkedIn และ Office พร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อให้ AI มีบทบาทมากขึ้นในผลิตภัณฑ์ของบริษัท
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและการทำงานภายในของ Microsoft

    การปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Microsoft กำลังให้ความสำคัญกับ AI มากขึ้น และอาจนำไปสู่ การพัฒนา Copilot ให้มีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการบริหารงานของ Roslansky และทิศทางของ Office อย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/04/linkedin-ceo-to-take-over-office-more-ai-duties-in-microsoft-executive-shuffle-
    🔄 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Microsoft: LinkedIn CEO รับหน้าที่ดูแล Office และ AI Microsoft ได้ประกาศ การปรับโครงสร้างผู้บริหาร โดยให้ Ryan Roslansky ซึ่งเป็น CEO ของ LinkedIn เข้ามาดูแลผลิตภัณฑ์ Office และ Copilot ซึ่งเป็น AI ชั้นนำของบริษัท Roslansky จะยังคงเป็น CEO ของ LinkedIn แต่จะได้รับหน้าที่เพิ่มเติมในการดูแล Word, Excel และ Copilot ซึ่งเป็น AI ที่ฝังอยู่ในชุดโปรแกรม Productivity ของ Microsoft นอกจากนี้ Roslansky จะรายงานตรงต่อ Rajesh Jha ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่าย Windows และ Teams ขณะที่ Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen ซึ่งเป็นผู้นำทีม Office จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ Charles Lamanna ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม Copilot สำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม จะย้ายไปรายงานต่อ Jha ✅ ข้อมูลจากข่าว - Ryan Roslansky จะดูแล Office และ Copilot นอกเหนือจากการเป็น CEO ของ LinkedIn - Roslansky จะรายงานต่อ Rajesh Jha ซึ่งดูแล Windows และ Teams - Sumit Chauhan และ Gaurav Sareen จะรายงานต่อ Jha เช่นกัน - Charles Lamanna ซึ่งดูแล Copilot สำหรับธุรกิจ จะย้ายไปรายงานต่อ Jha - Microsoft กำลังปรับโครงสร้างเพื่อรวม AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลักมากขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อทิศทางของ Office และ Copilot ในอนาคต - ต้องติดตามว่า Roslansky จะสามารถบริหาร LinkedIn และ Office พร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - Microsoft อาจปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อให้ AI มีบทบาทมากขึ้นในผลิตภัณฑ์ของบริษัท - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและการทำงานภายในของ Microsoft การปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Microsoft กำลังให้ความสำคัญกับ AI มากขึ้น และอาจนำไปสู่ การพัฒนา Copilot ให้มีบทบาทสำคัญในผลิตภัณฑ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการบริหารงานของ Roslansky และทิศทางของ Office อย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/04/linkedin-ceo-to-take-over-office-more-ai-duties-in-microsoft-executive-shuffle-
    WWW.THESTAR.COM.MY
    LinkedIn CEO to take over Office, more AI duties in Microsoft executive shuffle
    SAN FRANCISCO (Reuters) -The CEO of LinkedIn will take additional responsibility for Microsoft's Office products, while an executive responsible for one of the company's leading business-to-business artificial intelligence products will start reporting to head of the company's Windows unit, according to a memo from Microsoft CEO Satya Nadella viewed by Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🦷 ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ!
    นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว

    นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน

    แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ
    - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ
    - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด
    - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู
    - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน
    - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
    - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร
    - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน

    การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    🦷 ฟันของเรามีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ! นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยชิคาโก ค้นพบว่า เนื้อเยื่อที่ไวต่อความเย็นในฟันของเรา มีต้นกำเนิดมาจาก เกราะของปลายุคโบราณ ซึ่งใช้ในการรับรู้สภาพแวดล้อมแทนการเคี้ยวอาหาร งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature ยืนยันว่า เดนทีน (Dentine) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของฟัน ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการเคี้ยวในช่วงแรกของวิวัฒนาการ แต่กลับมีบทบาทในการช่วยให้ปลายุคโบราณ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำรอบตัว นักวิจัยใช้ Synchrotron Scanning ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงเพื่อศึกษาฟอสซิลของ Anatolepis heintzi ซึ่งเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากมีโครงสร้างคล้ายฟัน แต่ผลการสแกนพบว่า Anatolepis ไม่ได้มีเดนทีน แต่มี โครงสร้างรับความรู้สึกที่คล้ายกับสัตว์จำพวกกุ้งและปู ซึ่งช่วยให้พวกมันตรวจจับสภาพแวดล้อม ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อเยื่อไวต่อความเย็นในฟันมีต้นกำเนิดจากเกราะของปลายุคโบราณ - เดนทีนในยุคแรกไม่ได้ใช้ในการเคี้ยว แต่ช่วยให้ปลาตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ - Anatolepis heintzi เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่เก่าแก่ที่สุด - Synchrotron Scanning เผยว่า Anatolepis ไม่มีเดนทีน แต่มีโครงสร้างรับความรู้สึกคล้ายสัตว์จำพวกกุ้งและปู - นักวิจัยพบว่า Eriptychius ซึ่งเป็นปลายุค Ordovician มีเดนทีนในเกราะของมัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการของฟัน - การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์มีกระดูกสันหลัง - ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อการวิจัยด้านชีววิทยาและทันตกรรมอย่างไร - นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันระหว่างทฤษฎี "Inside-Out" และ "Outside-In" เกี่ยวกับวิวัฒนาการของฟัน การค้นพบนี้ช่วยให้เราเข้าใจ วิวัฒนาการของฟันในมุมมองใหม่ และอาจนำไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการศึกษานี้จะส่งผลต่อแนวคิดทางชีววิทยาในอนาคตอย่างไร https://www.neowin.net/news/that-sharp-cold-toothache-you-dread-its-origins-trace-back-to-ancient-unexpected-purpose/
    WWW.NEOWIN.NET
    That sharp cold toothache you dread? Its origins trace back to ancient, unexpected purpose
    That cold toothache you dread? Its origins trace back to an interesting ancient adaptation, one that served purposes far beyond chewing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🛡️ Microsoft เปิดตัวโครงการความปลอดภัยไซเบอร์ฟรีสำหรับรัฐบาลยุโรป
    Microsoft ได้เปิดตัว European Security Program ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้รัฐบาลยุโรปสามารถ รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

    โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่ การแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามที่ใช้ AI และ การเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ให้กับรัฐบาลยุโรป

    Microsoft ยังได้ร่วมมือกับ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรป เพื่อจัดการกับ มัลแวร์ Lumma infostealer ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่สามารถ ขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลทางการเงิน และกระเป๋าเงินคริปโต โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Lumma infostealer ได้ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลก

    นอกจากนี้ Microsoft ยังเตือนว่า อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว European Security Program เพื่อช่วยรัฐบาลยุโรปรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI
    - โครงการนี้เน้นการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามและเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - Microsoft ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรปเพื่อจัดการกับมัลแวร์ Lumma infostealer
    - Lumma infostealer ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
    - อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่รัฐบาลยุโรปยังต้องพัฒนาแนวทางป้องกันเพิ่มเติม
    - AI ที่ใช้ในอาชญากรรมไซเบอร์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การป้องกันต้องปรับตัวตาม
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลยุโรปจะนำข้อมูลภัยคุกคามที่ Microsoft แบ่งปันไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์อาจทำให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีมาตรการรับมือ

    โครงการนี้ช่วยให้ รัฐบาลยุโรปสามารถรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามจะช่วยลดจำนวนการโจมตีได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.neowin.net/news/microsoft-offers-free-cybersecurity-programs-to-european-governments/
    🛡️ Microsoft เปิดตัวโครงการความปลอดภัยไซเบอร์ฟรีสำหรับรัฐบาลยุโรป Microsoft ได้เปิดตัว European Security Program ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้รัฐบาลยุโรปสามารถ รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่ การแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามที่ใช้ AI และ การเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ให้กับรัฐบาลยุโรป Microsoft ยังได้ร่วมมือกับ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรป เพื่อจัดการกับ มัลแวร์ Lumma infostealer ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่สามารถ ขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลทางการเงิน และกระเป๋าเงินคริปโต โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Lumma infostealer ได้ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลก นอกจากนี้ Microsoft ยังเตือนว่า อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว European Security Program เพื่อช่วยรัฐบาลยุโรปรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI - โครงการนี้เน้นการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามและเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - Microsoft ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรปเพื่อจัดการกับมัลแวร์ Lumma infostealer - Lumma infostealer ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา - อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่รัฐบาลยุโรปยังต้องพัฒนาแนวทางป้องกันเพิ่มเติม - AI ที่ใช้ในอาชญากรรมไซเบอร์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การป้องกันต้องปรับตัวตาม - ต้องติดตามว่ารัฐบาลยุโรปจะนำข้อมูลภัยคุกคามที่ Microsoft แบ่งปันไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์อาจทำให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีมาตรการรับมือ โครงการนี้ช่วยให้ รัฐบาลยุโรปสามารถรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามจะช่วยลดจำนวนการโจมตีได้มากน้อยเพียงใด https://www.neowin.net/news/microsoft-offers-free-cybersecurity-programs-to-european-governments/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft offers free cybersecurity programs to European governments
    Microsoft has launched a cybersecurity enhancement program for European countries to help them repel AI-powered attacks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔄 Microsoft ปรับปรุงช่องทางอัปเดตแอปใน Microsoft 365
    Microsoft ได้ประกาศ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกี่ยวกับช่องทางอัปเดตแอปใน Microsoft 365 (M365) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ กรกฎาคม 2025 โดยมีการ ลดระยะเวลาการสนับสนุนของบางช่องทาง และขยายการรองรับของช่องทางอื่น

    ปัจจุบัน Microsoft มี 4 ช่องทางหลัก สำหรับการอัปเดตแอปใน M365 ได้แก่
    - Current Channel – ได้รับอัปเดตเร็วที่สุด
    - Monthly Enterprise Channel – อัปเดตทุกเดือน
    - Semi-Annual Enterprise Channel (Preview) – รุ่นทดลองก่อนอัปเดตจริง
    - Semi-Annual Enterprise Channel – อัปเดตทุก 6 เดือน

    Microsoft ได้ประกาศว่า จะยกเลิก Semi-Annual Enterprise Channel (Preview) และ ลดระยะเวลาการสนับสนุนของ Semi-Annual Enterprise Channel จาก 14 เดือนเหลือ 8 เดือน

    ในทางกลับกัน Monthly Enterprise Channel จะได้รับการขยายระยะเวลาการรองรับจาก 1 เดือนเป็น 2 เดือน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft จะยกเลิก Semi-Annual Enterprise Channel (Preview) ตั้งแต่กรกฎาคม 2025
    - Semi-Annual Enterprise Channel จะลดระยะเวลาการสนับสนุนจาก 14 เดือนเหลือ 8 เดือน
    - Monthly Enterprise Channel จะได้รับการขยายระยะเวลาการรองรับจาก 1 เดือนเป็น 2 เดือน
    - Microsoft แนะนำให้องค์กรที่ใช้ Semi-Annual Enterprise Channel ย้ายไปใช้ Monthly Enterprise Channel หรือ Current Channel
    - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่ออุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการดูแลโดยผู้ใช้ (Unattended Devices)

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - องค์กรที่ใช้ Semi-Annual Enterprise Channel ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
    - การลดระยะเวลาการสนับสนุนอาจทำให้บางองค์กรต้องอัปเดตบ่อยขึ้น
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อความเสถียรของแอป M365 อย่างไร
    - Microsoft อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่องทางอัปเดตในอนาคต

    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ องค์กรสามารถเลือกช่องทางอัปเดตที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลดระยะเวลาการสนับสนุนจะส่งผลต่อการบริหารจัดการแอปในองค์กรอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/microsoft-365-getting-major-change-to-how-app-updates-will-be-released/
    🔄 Microsoft ปรับปรุงช่องทางอัปเดตแอปใน Microsoft 365 Microsoft ได้ประกาศ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกี่ยวกับช่องทางอัปเดตแอปใน Microsoft 365 (M365) ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ กรกฎาคม 2025 โดยมีการ ลดระยะเวลาการสนับสนุนของบางช่องทาง และขยายการรองรับของช่องทางอื่น ปัจจุบัน Microsoft มี 4 ช่องทางหลัก สำหรับการอัปเดตแอปใน M365 ได้แก่ - Current Channel – ได้รับอัปเดตเร็วที่สุด - Monthly Enterprise Channel – อัปเดตทุกเดือน - Semi-Annual Enterprise Channel (Preview) – รุ่นทดลองก่อนอัปเดตจริง - Semi-Annual Enterprise Channel – อัปเดตทุก 6 เดือน Microsoft ได้ประกาศว่า จะยกเลิก Semi-Annual Enterprise Channel (Preview) และ ลดระยะเวลาการสนับสนุนของ Semi-Annual Enterprise Channel จาก 14 เดือนเหลือ 8 เดือน ในทางกลับกัน Monthly Enterprise Channel จะได้รับการขยายระยะเวลาการรองรับจาก 1 เดือนเป็น 2 เดือน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft จะยกเลิก Semi-Annual Enterprise Channel (Preview) ตั้งแต่กรกฎาคม 2025 - Semi-Annual Enterprise Channel จะลดระยะเวลาการสนับสนุนจาก 14 เดือนเหลือ 8 เดือน - Monthly Enterprise Channel จะได้รับการขยายระยะเวลาการรองรับจาก 1 เดือนเป็น 2 เดือน - Microsoft แนะนำให้องค์กรที่ใช้ Semi-Annual Enterprise Channel ย้ายไปใช้ Monthly Enterprise Channel หรือ Current Channel - การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่ออุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการดูแลโดยผู้ใช้ (Unattended Devices) ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - องค์กรที่ใช้ Semi-Annual Enterprise Channel ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง - การลดระยะเวลาการสนับสนุนอาจทำให้บางองค์กรต้องอัปเดตบ่อยขึ้น - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อความเสถียรของแอป M365 อย่างไร - Microsoft อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่องทางอัปเดตในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ องค์กรสามารถเลือกช่องทางอัปเดตที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลดระยะเวลาการสนับสนุนจะส่งผลต่อการบริหารจัดการแอปในองค์กรอย่างไร https://www.neowin.net/news/microsoft-365-getting-major-change-to-how-app-updates-will-be-released/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft 365 getting "major change" to how app updates will be released
    Microsoft has confirmed that update releases for its Microsoft 365 apps are getting a "major change" very soon.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💻 KDE เชิญชวนผู้ใช้ Windows 10 เปลี่ยนมาใช้ Linux ก่อนหมดการสนับสนุน
    KDE ได้เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ Windows 10 ที่กำลังจะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 สามารถเปลี่ยนมาใช้ Linux แทนการซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่

    KDE ระบุว่า Windows 10 จะกลายเป็น "ขยะ" และ "ล้าสมัย" หลังจาก Microsoft หยุดการอัปเดต ทำให้เกิด ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจนำไปสู่การถูกแฮกและข้อมูลรั่วไหล

    นอกจากนี้ แอปพลิเคชันใหม่ ๆ จะไม่สามารถรันบน Windows 10 ได้ และ Microsoft อาจ บล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ผู้ใช้จะซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ ซึ่ง KDE เรียกสิ่งนี้ว่า "การรีดไถทางเทคโนโลยี"

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Windows 10 จะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    - KDE เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ Linux
    - Windows 10 ที่ไม่ได้รับการอัปเดตจะมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - Microsoft อาจบล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่
    - KDE Plasma สามารถรันได้ดีแม้บนเครื่องที่มีอายุ 10 ปี

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนมาใช้ Linux ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เนื่องจากระบบแตกต่างจาก Windows
    - ผู้ใช้ต้องหาแอปพลิเคชันที่สามารถทดแทนโปรแกรม Windows ที่เคยใช้
    - บางเกมและซอฟต์แวร์ เช่น Adobe Creative Suite และ Microsoft Office อาจไม่สามารถใช้งานบน Linux ได้
    - ต้องติดตามว่าผู้ใช้ Windows 10 จะเลือกเปลี่ยนไปใช้ Linux มากน้อยเพียงใด

    KDE พยายามนำเสนอ Linux เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ฮาร์ดแวร์เดิมต่อไปได้ โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่

    https://www.neowin.net/news/as-windows-10-support-winds-down-kde-welcomes-windows-10-exiles-to-linux/
    💻 KDE เชิญชวนผู้ใช้ Windows 10 เปลี่ยนมาใช้ Linux ก่อนหมดการสนับสนุน KDE ได้เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ Windows 10 ที่กำลังจะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 สามารถเปลี่ยนมาใช้ Linux แทนการซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ KDE ระบุว่า Windows 10 จะกลายเป็น "ขยะ" และ "ล้าสมัย" หลังจาก Microsoft หยุดการอัปเดต ทำให้เกิด ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่อาจนำไปสู่การถูกแฮกและข้อมูลรั่วไหล นอกจากนี้ แอปพลิเคชันใหม่ ๆ จะไม่สามารถรันบน Windows 10 ได้ และ Microsoft อาจ บล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ผู้ใช้จะซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ ซึ่ง KDE เรียกสิ่งนี้ว่า "การรีดไถทางเทคโนโลยี" ✅ ข้อมูลจากข่าว - Windows 10 จะหมดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 - KDE เปิดตัวแคมเปญ "End of 10" เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ Linux - Windows 10 ที่ไม่ได้รับการอัปเดตจะมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - Microsoft อาจบล็อกการอัปเกรดเป็น Windows เวอร์ชันใหม่ เว้นแต่ซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ - KDE Plasma สามารถรันได้ดีแม้บนเครื่องที่มีอายุ 10 ปี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนมาใช้ Linux ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เนื่องจากระบบแตกต่างจาก Windows - ผู้ใช้ต้องหาแอปพลิเคชันที่สามารถทดแทนโปรแกรม Windows ที่เคยใช้ - บางเกมและซอฟต์แวร์ เช่น Adobe Creative Suite และ Microsoft Office อาจไม่สามารถใช้งานบน Linux ได้ - ต้องติดตามว่าผู้ใช้ Windows 10 จะเลือกเปลี่ยนไปใช้ Linux มากน้อยเพียงใด KDE พยายามนำเสนอ Linux เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ฮาร์ดแวร์เดิมต่อไปได้ โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ใช้จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่ https://www.neowin.net/news/as-windows-10-support-winds-down-kde-welcomes-windows-10-exiles-to-linux/
    WWW.NEOWIN.NET
    As Windows 10 support winds down, KDE welcomes "Windows 10 exiles" to Linux
    As we near the end of support for Windows 10, KDE is doubling its efforts to urge Windows users to switch to Linux and save their "perfectly good" computers from becoming obsolete.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤖 AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต
    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ

    แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น

    Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี

    OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี
    - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน
    - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล
    - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด
    - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย
    - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง
    - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร

    AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    🤖 AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    WWW.NEOWIN.NET
    Sam Altman says AI could soon help with discovering new knowledge
    OpenAI CEO Sam Altman looks pretty optimistic about AI's capability to help humans discover new knowledge.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่
    Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย

    แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น
    - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์
    - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026
    - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่
    - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง
    - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

    แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต

    https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่ Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026 - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่ - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    COMPUTERCITY.COM
    Apple Reportedly Cancels AR Video Glasses – What’s Next for Its Wearable Future?
    Apple has reportedly scrapped its long-rumored AR video glasses project, codenamed N107, marking a major pivot in the company’s vision for lightweight
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏭 การควบรวมกิจการของ Hygon และ Sugon: ความท้าทายใหม่ต่ออุตสาหกรรมชิป
    สองบริษัทออกแบบชิปชั้นนำของจีน Hygon และ Sugon ได้ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดจีน

    Hygon มีรากฐานจาก ข้อตกลงการอนุญาตเทคโนโลยี Zen 1 กับ AMD ในปี 2016 ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา Dhyana CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86-64 และได้รับการสนับสนุนจาก นักพัฒนา Linux และ Tencent

    Sugon เคยใช้ Dhyana processors ในระบบต่าง ๆ รวมถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัท อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Hygon และ Sugon ควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia
    - Hygon เคยได้รับสิทธิ์ใช้สถาปัตยกรรม Zen 1 จาก AMD ในปี 2016
    - Sugon ใช้ Dhyana processors ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500
    - ทั้งสองบริษัทอยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน
    - Hygon อาจพัฒนา SMT4 (Simultaneous Multithreading 4 threads per core) ซึ่งเคยใช้ใน IBM POWER7

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีการควบรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าชิปใหม่จะสามารถแข่งขันกับ AMD Threadripper หรือ Intel Xeon ได้
    - การอยู่ใน Entity List อาจทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา SMT4 จะสามารถทำให้ Hygon ก้าวเข้าสู่ตลาด CPU ระดับสูงได้หรือไม่
    - การควบรวมอาจช่วยให้จีนมีทางเลือกด้านเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา

    การควบรวมของ Hygon และ Sugon อาจช่วยให้ จีนมีความสามารถในการพัฒนา CPU ที่แข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จะสามารถลดช่องว่างกับ Intel และ AMD ได้หรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/two-of-chinas-biggest-chip-designers-just-merged-to-compete-better-against-intel-amd-and-nvidia
    🏭 การควบรวมกิจการของ Hygon และ Sugon: ความท้าทายใหม่ต่ออุตสาหกรรมชิป สองบริษัทออกแบบชิปชั้นนำของจีน Hygon และ Sugon ได้ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดจีน Hygon มีรากฐานจาก ข้อตกลงการอนุญาตเทคโนโลยี Zen 1 กับ AMD ในปี 2016 ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา Dhyana CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86-64 และได้รับการสนับสนุนจาก นักพัฒนา Linux และ Tencent Sugon เคยใช้ Dhyana processors ในระบบต่าง ๆ รวมถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัท อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Hygon และ Sugon ควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia - Hygon เคยได้รับสิทธิ์ใช้สถาปัตยกรรม Zen 1 จาก AMD ในปี 2016 - Sugon ใช้ Dhyana processors ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 - ทั้งสองบริษัทอยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน - Hygon อาจพัฒนา SMT4 (Simultaneous Multithreading 4 threads per core) ซึ่งเคยใช้ใน IBM POWER7 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีการควบรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าชิปใหม่จะสามารถแข่งขันกับ AMD Threadripper หรือ Intel Xeon ได้ - การอยู่ใน Entity List อาจทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา SMT4 จะสามารถทำให้ Hygon ก้าวเข้าสู่ตลาด CPU ระดับสูงได้หรือไม่ - การควบรวมอาจช่วยให้จีนมีทางเลือกด้านเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา การควบรวมของ Hygon และ Sugon อาจช่วยให้ จีนมีความสามารถในการพัฒนา CPU ที่แข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จะสามารถลดช่องว่างกับ Intel และ AMD ได้หรือไม่ https://www.techradar.com/pro/two-of-chinas-biggest-chip-designers-just-merged-to-compete-better-against-intel-amd-and-nvidia
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎮 RTX 50-Series X3W Max: นวัตกรรมใหม่ของ AX Gaming
    AX Gaming ได้เปิดตัว X3W Max series ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดในตระกูล RTX 50-Series ที่มาพร้อมกับ ดีไซน์พิเศษซ่อนสายไฟ 16-pin หลังแผงแม่เหล็ก

    X3W Max ใช้ พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin (12VHPWR) ที่ถูกออกแบบให้ ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก ทำให้สามารถ ติดตั้งและถอดสายไฟได้ง่ายขึ้น

    แม้ว่าจะมีการออกแบบที่คล้ายกับกราฟิกการ์ด Blackwell รุ่นอื่น ๆ แต่ AX Gaming ได้เพิ่มการโอเวอร์คล็อกเล็กน้อย ประมาณ 2-3% เหนือกว่ามาตรฐานของ Nvidia

    นอกจากนี้ X3W Max ยังมีระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และมาใน สีขาวล้วน ซึ่งช่วยให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AX Gaming เปิดตัว X3W Max series ในตระกูล RTX 50-Series
    - ใช้พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin ที่ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก
    - มีการโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้น 2-3% จากมาตรฐานของ Nvidia
    - ระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และดีไซน์สีขาวล้วน
    - แนะนำให้ใช้ PSU ขนาด 850W สำหรับ RTX 5080 X3W Max และ 800W สำหรับ RTX 5070 Ti X3W Max

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปลายสายไฟ 16-pin ว่าจะเป็นแบบ 16-pin หรือ 8-pin PCIe
    - AX Gaming ไม่ได้เปิดตัว RTX 5090D เนื่องจากถูกแบนในจีน
    - ต้องติดตามว่า Nvidia จะลดสเปคของ RTX 5090D เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังจีนได้หรือไม่
    - AX Gaming ยังไม่ได้ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของ X3W Max series

    X3W Max เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ กราฟิกการ์ดที่มีดีไซน์เรียบหรูและระบบจัดการสายไฟที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะได้รับความนิยมในตลาดหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/this-rtx-50-series-gpu-design-hides-its-custom-l-shaped-16-pin-power-cable-behind-a-magnetic-shroud
    🎮 RTX 50-Series X3W Max: นวัตกรรมใหม่ของ AX Gaming AX Gaming ได้เปิดตัว X3W Max series ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดในตระกูล RTX 50-Series ที่มาพร้อมกับ ดีไซน์พิเศษซ่อนสายไฟ 16-pin หลังแผงแม่เหล็ก X3W Max ใช้ พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin (12VHPWR) ที่ถูกออกแบบให้ ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก ทำให้สามารถ ติดตั้งและถอดสายไฟได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะมีการออกแบบที่คล้ายกับกราฟิกการ์ด Blackwell รุ่นอื่น ๆ แต่ AX Gaming ได้เพิ่มการโอเวอร์คล็อกเล็กน้อย ประมาณ 2-3% เหนือกว่ามาตรฐานของ Nvidia นอกจากนี้ X3W Max ยังมีระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และมาใน สีขาวล้วน ซึ่งช่วยให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AX Gaming เปิดตัว X3W Max series ในตระกูล RTX 50-Series - ใช้พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin ที่ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก - มีการโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้น 2-3% จากมาตรฐานของ Nvidia - ระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และดีไซน์สีขาวล้วน - แนะนำให้ใช้ PSU ขนาด 850W สำหรับ RTX 5080 X3W Max และ 800W สำหรับ RTX 5070 Ti X3W Max ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปลายสายไฟ 16-pin ว่าจะเป็นแบบ 16-pin หรือ 8-pin PCIe - AX Gaming ไม่ได้เปิดตัว RTX 5090D เนื่องจากถูกแบนในจีน - ต้องติดตามว่า Nvidia จะลดสเปคของ RTX 5090D เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังจีนได้หรือไม่ - AX Gaming ยังไม่ได้ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของ X3W Max series X3W Max เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ กราฟิกการ์ดที่มีดีไซน์เรียบหรูและระบบจัดการสายไฟที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะได้รับความนิยมในตลาดหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/this-rtx-50-series-gpu-design-hides-its-custom-l-shaped-16-pin-power-cable-behind-a-magnetic-shroud
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI
    Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI

    โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo

    HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM
    - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น
    - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่
    - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM
    - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027
    - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่
    - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM
    - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

    หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/news/live/chip-news
    🏭 Intel และ SoftBank ร่วมมือพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI Intel และ SoftBank ได้ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่แทน HBM (High-Bandwidth Memory) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล AI โครงการนี้ดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา ต้นแบบ DRAM แบบซ้อนชั้น โดยใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น เช่น University of Tokyo HBM เป็นหน่วยความจำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน AI GPUs แต่มีข้อเสียคือ ต้นทุนสูง, ผลิตยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้น Intel และ SoftBank จึงพยายามพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้น ที่สามารถลดการใช้พลังงานลง ครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM ✅ ข้อมูลจากข่าว - Intel และ SoftBank ร่วมมือกันพัฒนา DRAM แบบซ้อนชั้นเพื่อใช้แทน HBM - โครงการดำเนินการโดย Saimemory ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Intel และสิทธิบัตรจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น - HBM มีข้อเสียเรื่องต้นทุนสูงและใช้พลังงานมาก ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ - DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ HBM - SoftBank ต้องการสิทธิ์ในการจัดหาชิปเหล่านี้เป็นลำดับแรก หากโครงการประสบความสำเร็จ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนต้นแบบ และต้องรอการประเมินความเป็นไปได้ในการผลิตจำนวนมากภายในปี 2027 - HBM ยังคงเป็นมาตรฐานหลักในอุตสาหกรรม AI และต้องติดตามว่า DRAM แบบซ้อนชั้นจะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ - ตลาดหน่วยความจำมีการแข่งขันสูง โดยปัจจุบันมีเพียง Samsung, SK hynix และ Micron ที่ผลิต HBM - ญี่ปุ่นพยายามกลับเข้าสู่ตลาดหน่วยความจำหลังจากสูญเสียส่วนแบ่งไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หาก DRAM แบบซ้อนชั้นสามารถลดการใช้พลังงานได้จริง อาจช่วยให้ศูนย์ข้อมูล AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดต้นทุนด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบสนองต่อเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างไร https://www.tomshardware.com/news/live/chip-news
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน
    หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง

    B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน

    แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ
    - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs
    - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs
    - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU
    - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค
    - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร
    - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน
    - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้

    B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    🚀 Nvidia พัฒนา AI Chip รุ่นใหม่สำหรับตลาดจีน หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งห้ามส่งออกชิป H20 ไปยังจีน Nvidia กำลังพัฒนา B30 ซึ่งเป็น ชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออก โดยใช้ สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink เพื่อสร้าง คลัสเตอร์ประสิทธิภาพสูง B30 เป็น หนึ่งในหลายรุ่นของตระกูล BXX ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อจาก RTX Pro 6000D เป็น B40 และล่าสุดเป็น B30 โดยคาดว่า จะมีหลายเวอร์ชันสำหรับตลาดจีน แม้ว่าหลายฝ่ายคาดว่า B30 จะรองรับ NVLink แต่ Nvidia ไม่ได้รวม NVLink ในชิปสำหรับผู้บริโภคตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจใช้ ConnectX-8 SuperNICs ที่มี PCIe 6.0 switches เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อ GPU หลายตัวได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nvidia พัฒนา B30 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดด้านการส่งออกของสหรัฐฯ - B30 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell และอาจรองรับ NVLink หรือ ConnectX-8 SuperNICs - ชิปนี้ใช้ GDDR7 และ GB20X silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ RTX 50 GPUs - Nvidia เปิดตัว RTX Pro Blackwell servers ที่ใช้ ConnectX-8 SuperNICs สำหรับการเชื่อมต่อ GPU - Jensen Huang ระบุว่า Nvidia จะไม่พัฒนา Hopper-based alternatives สำหรับตลาดจีนอีกต่อไป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - NVLink อาจไม่ถูกนำมาใช้ใน B30 เนื่องจาก Nvidia ไม่ได้รวมไว้ในชิปสำหรับผู้บริโภค - สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดด้าน memory bandwidth และ interconnect bandwidth เพื่อป้องกันการใช้ชิป AI ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทางทหาร - AMD รายงานว่าการแบนชิป MI308 อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงถึง $800 ล้าน - Jensen Huang เตือนว่าสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากจีนพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้ B30 อาจช่วยให้ Nvidia สามารถรักษาตลาดจีนไว้ได้ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการส่งออก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าจีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อแข่งขันกับ Nvidia หรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-developing-new-ai-chip-for-china-that-meets-export-controls-b30-could-include-nvlink-for-creation-of-high-performance-clusters
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts