• รู้จัก ร.31 รอ. หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก อีกหนึ่งกองกำลังสำคัญในภารกิจด้านความมั่นคง

    นับเป็นอีกหนึ่งกองกำลังสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในขณะนี้ สำหรับทหารจาก กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของไทย ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี มีบทบาทหน้าที่สำคัญทั้งในด้านภารกิจความมั่นคงของประเทศ รวมถึงปกป้องรักษาราชวงศ์
    ความเป็นมา ร.31 รอ.

    กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) เป็นหน่วยงานระดับกรมทหารราบ ของกองทัพบก โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1 มีที่ตั้งปกติของหน่วยอยู่หน้าบ้านเลขที่ 120 ถ.พหลโยธิน อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นอดีตหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว (RDF) ซึ่งก้าวสู่หน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจในสงครามรูปแบบใหม่

    ร.31 รอ. จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2484 มีนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 3 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 3 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่ในพื้นที่ศาลาว่าการกลาโหม กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และใน พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนนามหน่วยเป็นกรมทหารราบที่ 21 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 2 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่บริเวณวัดไก่ อ.เมือง จ.ลพบุรี

    พ.ศ. 2491 ย้ายที่ตั้งหน่วยไปอยู่ ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี และใน พ.ศ. 2496 จึงย้ายมาอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยในปัจจุบัน

    พ.ศ. 2512 กองทัพบกแปรสภาพหน่วยเป็นหน่วยใช้ร่ม จากนั้นใน พ.ศ. 2521 ได้รับโอนกองพันส่งทางอากาศที่ 1 ศูนย์สงครามพิเศษ มาขึ้นการบังคับบัญชากับกรมผสมที่ 31 กระทั่งปี พ.ศ. 2522 ได้แปลงสภาพจากกรมผสม เป็นกรมทหารราบ ใช้ชื่อหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์

    ทั้งนี้ พ.ศ. 2523 ทางหน่วยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหน่วยรักษาพระองค์ใน ร.9 เรียกนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์

    พ.ศ. 2540 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกองพัน ของกองทัพบก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยต้นแบบในการพัฒนาหน่วยทหารไปสู่ความพร้อมรบและทันสมัย รวมถึงใช้เป็นหน่วยใช้รองรับสถานการณ์ภัยคุกคามต่าง ๆ โดยในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ได้กำหนดให้ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน.3 รอ.) เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง

    ต่อมา พ.ศ. 2545 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกรม โดยกำหนดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง

    พ.ศ. 2561 กองทัพบกจัดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยเฉพาะกิจ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) เพื่อปฏิบัติภารกิจถวายพระเกียรติ ถวายความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์ และถวายงานอื่น ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904
    4 บทบาทสำคัญของ ร.31 รอ. ในปัจจุบัน

    - เป็นกรมทหารราบ มีภารกิจหลักคือทำลายกำลังรบของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมพื้นที่รวมทั้งทรัพยากรและคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีภารกิจเสริมในการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

    - เป็นหน่วยรักษาพระองค์ ถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์

    - เป็นหน่วยใช้ร่ม หรือหน่วยส่งทางอากาศ มีภารกิจเข้าโจมตีด้วยการกระโดดร่วมลงเพื่อทำลายข้าศึก

    - เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก ซึ่งเป็นกำลังยุทธศาสตร์ มีภารกิจเป็นหน่วยต้นแบบในการฝึกศึกษา วิจัยพัฒนา ทดสอบการประกอบกำลังของกองทัพบก รวมถึงการจัดเตรียมกำลังและเตรียมความพร้อมสำหรับแก้ไขสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถของกองกำลังป้องกันชายแดน
    .

    ภาพจาก เฟซบุ๊ก ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์

    เครดิตเนื้อหา FB: Yutthana Suksawang
    รู้จัก ร.31 รอ. หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก อีกหนึ่งกองกำลังสำคัญในภารกิจด้านความมั่นคง นับเป็นอีกหนึ่งกองกำลังสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากในขณะนี้ สำหรับทหารจาก กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) หน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของไทย ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี มีบทบาทหน้าที่สำคัญทั้งในด้านภารกิจความมั่นคงของประเทศ รวมถึงปกป้องรักษาราชวงศ์ ความเป็นมา ร.31 รอ. กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) เป็นหน่วยงานระดับกรมทหารราบ ของกองทัพบก โดยเป็นหน่วยขึ้นตรงของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองทัพภาคที่ 1 มีที่ตั้งปกติของหน่วยอยู่หน้าบ้านเลขที่ 120 ถ.พหลโยธิน อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นอดีตหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว (RDF) ซึ่งก้าวสู่หน่วยพร้อมรบเฉพาะกิจในสงครามรูปแบบใหม่ ร.31 รอ. จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2484 มีนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 3 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 3 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่ในพื้นที่ศาลาว่าการกลาโหม กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน และใน พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนนามหน่วยเป็นกรมทหารราบที่ 21 ประกอบด้วยหน่วยรองหลัก ระดับกองพันจำนวน 2 กองพัน มีที่ตั้งหน่วยอยู่บริเวณวัดไก่ อ.เมือง จ.ลพบุรี พ.ศ. 2491 ย้ายที่ตั้งหน่วยไปอยู่ ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี และใน พ.ศ. 2496 จึงย้ายมาอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยในปัจจุบัน พ.ศ. 2512 กองทัพบกแปรสภาพหน่วยเป็นหน่วยใช้ร่ม จากนั้นใน พ.ศ. 2521 ได้รับโอนกองพันส่งทางอากาศที่ 1 ศูนย์สงครามพิเศษ มาขึ้นการบังคับบัญชากับกรมผสมที่ 31 กระทั่งปี พ.ศ. 2522 ได้แปลงสภาพจากกรมผสม เป็นกรมทหารราบ ใช้ชื่อหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ทั้งนี้ พ.ศ. 2523 ทางหน่วยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหน่วยรักษาพระองค์ใน ร.9 เรียกนามหน่วยว่า กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พ.ศ. 2540 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกองพัน ของกองทัพบก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยต้นแบบในการพัฒนาหน่วยทหารไปสู่ความพร้อมรบและทันสมัย รวมถึงใช้เป็นหน่วยใช้รองรับสถานการณ์ภัยคุกคามต่าง ๆ โดยในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 ได้กำหนดให้ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 พัน.3 รอ.) เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง ต่อมา พ.ศ. 2545 กองทัพบกได้จัดตั้งหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วระดับกรม โดยกำหนดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยหลักในการประกอบกำลัง พ.ศ. 2561 กองทัพบกจัดให้ ร.31 รอ. เป็นหน่วยเฉพาะกิจ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) เพื่อปฏิบัติภารกิจถวายพระเกียรติ ถวายความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์ และถวายงานอื่น ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 4 บทบาทสำคัญของ ร.31 รอ. ในปัจจุบัน - เป็นกรมทหารราบ มีภารกิจหลักคือทำลายกำลังรบของข้าศึก เข้ายึดและควบคุมพื้นที่รวมทั้งทรัพยากรและคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีภารกิจเสริมในการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ - เป็นหน่วยรักษาพระองค์ ถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ - เป็นหน่วยใช้ร่ม หรือหน่วยส่งทางอากาศ มีภารกิจเข้าโจมตีด้วยการกระโดดร่วมลงเพื่อทำลายข้าศึก - เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วของกองทัพบก ซึ่งเป็นกำลังยุทธศาสตร์ มีภารกิจเป็นหน่วยต้นแบบในการฝึกศึกษา วิจัยพัฒนา ทดสอบการประกอบกำลังของกองทัพบก รวมถึงการจัดเตรียมกำลังและเตรียมความพร้อมสำหรับแก้ไขสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถของกองกำลังป้องกันชายแดน . ภาพจาก เฟซบุ๊ก ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ เครดิตเนื้อหา FB: Yutthana Suksawang
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากวอชิงตัน: เมื่อ AI ถูกใช้เพื่อลบครึ่งหนึ่งของกฎระเบียบรัฐบาลกลาง

    ในปีแรกของการกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายสุดโต่ง—ลบกฎระเบียบของรัฐบาลกลางให้ได้ถึง 50%! และเครื่องมือหลักที่ใช้คือ “DOGE AI Deregulation Decision Tool” ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยหน่วยงานใหม่ชื่อ DOGE (Department of Government Efficiency) ที่เคยมี Elon Musk เป็นผู้นำ

    AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับ และคัดเลือก 100,000 ฉบับที่ “ไม่จำเป็นตามกฎหมาย” เพื่อเสนอให้ลบออก โดยอ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือแค่ 36 ชั่วโมง!

    แต่การใช้ AI แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีรายงานว่าเครื่องมือนี้เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง และอาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

    DOGE AI Deregulation Decision Tool ตั้งเป้าลบ 100,000 กฎระเบียบภายในปีแรกของรัฐบาลทรัมป์
    วิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับเพื่อคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นตามกฎหมาย
    ใช้แล้วใน HUD และ CFPB โดยเขียน “100% ของการยกเลิกกฎ” ที่ CFPB

    ระบบนี้อ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาอย่างมหาศาล
    ประหยัดงบประมาณได้ถึง $1.5 ล้านล้านต่อปี
    ลดภาระงานจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือเพียง 36 ชั่วโมง

    DOGE ใช้กลยุทธ์ “AI-first” ตั้งแต่ต้นปี 2025
    เริ่มฝัง AI ในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม
    เปิดตัวแชตบอท GSAi ให้พนักงานกว่า 1,500 คนใช้งาน

    แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในการลดกฎระเบียบของทรัมป์
    มาจากคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 31 มกราคม 2025 ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 10 ฉบับต่อการออกใหม่ 1 ฉบับ
    DOGE ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้โดยตรง

    AI เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง
    เจ้าหน้าที่ HUD รายงานว่า AI เข้าใจผิดว่ากฎที่ถูกต้องเป็นกฎที่ผิด
    อาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

    การใช้ AI เพื่อลบกฎระเบียบอาจขัดต่อกฎหมายปกครอง (Administrative Procedure Act)
    กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงกฎ
    การอ้างว่า “AI บอกให้ลบ” อาจไม่ผ่านการตรวจสอบของศาล

    การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับนี้อาจลดบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญ
    เกิดความกังวลว่าการตัดสินใจสำคัญจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม
    อาจกระทบต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล

    DOGE เคยมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
    เว็บไซต์ของ DOGE เคยถูกเจาะระบบและปล่อยข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ
    พนักงานบางคนมีประวัติที่น่าสงสัยและอุปกรณ์ถูกมัลแวร์โจมตี

    https://www.techspot.com/news/108826-doge-wants-use-ai-tool-eliminate-half-all.html
    🧠 เรื่องเล่าจากวอชิงตัน: เมื่อ AI ถูกใช้เพื่อลบครึ่งหนึ่งของกฎระเบียบรัฐบาลกลาง ในปีแรกของการกลับมาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายสุดโต่ง—ลบกฎระเบียบของรัฐบาลกลางให้ได้ถึง 50%! และเครื่องมือหลักที่ใช้คือ “DOGE AI Deregulation Decision Tool” ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยหน่วยงานใหม่ชื่อ DOGE (Department of Government Efficiency) ที่เคยมี Elon Musk เป็นผู้นำ AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับ และคัดเลือก 100,000 ฉบับที่ “ไม่จำเป็นตามกฎหมาย” เพื่อเสนอให้ลบออก โดยอ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือแค่ 36 ชั่วโมง! แต่การใช้ AI แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีรายงานว่าเครื่องมือนี้เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง และอาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ✅ DOGE AI Deregulation Decision Tool ตั้งเป้าลบ 100,000 กฎระเบียบภายในปีแรกของรัฐบาลทรัมป์ ➡️ วิเคราะห์กฎระเบียบกว่า 200,000 ฉบับเพื่อคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นตามกฎหมาย ➡️ ใช้แล้วใน HUD และ CFPB โดยเขียน “100% ของการยกเลิกกฎ” ที่ CFPB ✅ ระบบนี้อ้างว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณและเวลาอย่างมหาศาล ➡️ ประหยัดงบประมาณได้ถึง $1.5 ล้านล้านต่อปี ➡️ ลดภาระงานจาก 3.6 ล้านชั่วโมงเหลือเพียง 36 ชั่วโมง ✅ DOGE ใช้กลยุทธ์ “AI-first” ตั้งแต่ต้นปี 2025 ➡️ เริ่มฝัง AI ในหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม ➡️ เปิดตัวแชตบอท GSAi ให้พนักงานกว่า 1,500 คนใช้งาน ✅ แผนนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในการลดกฎระเบียบของทรัมป์ ➡️ มาจากคำสั่งผู้บริหารเมื่อ 31 มกราคม 2025 ที่เรียกร้องให้ยกเลิกกฎ 10 ฉบับต่อการออกใหม่ 1 ฉบับ ➡️ DOGE ถูกตั้งขึ้นเพื่อผลักดันเป้าหมายนี้โดยตรง ‼️ AI เข้าใจภาษากฎหมายผิดพลาดหลายครั้ง ⛔ เจ้าหน้าที่ HUD รายงานว่า AI เข้าใจผิดว่ากฎที่ถูกต้องเป็นกฎที่ผิด ⛔ อาจนำไปสู่การลบกฎที่ยังจำเป็นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ ‼️ การใช้ AI เพื่อลบกฎระเบียบอาจขัดต่อกฎหมายปกครอง (Administrative Procedure Act) ⛔ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงกฎ ⛔ การอ้างว่า “AI บอกให้ลบ” อาจไม่ผ่านการตรวจสอบของศาล ‼️ การใช้ระบบอัตโนมัติในระดับนี้อาจลดบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้เชี่ยวชาญ ⛔ เกิดความกังวลว่าการตัดสินใจสำคัญจะถูกแทนที่ด้วยอัลกอริธึม ⛔ อาจกระทบต่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐบาล ‼️ DOGE เคยมีปัญหาด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ⛔ เว็บไซต์ของ DOGE เคยถูกเจาะระบบและปล่อยข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ ⛔ พนักงานบางคนมีประวัติที่น่าสงสัยและอุปกรณ์ถูกมัลแวร์โจมตี https://www.techspot.com/news/108826-doge-wants-use-ai-tool-eliminate-half-all.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DOGE's AI tool misreads law, still tasked with deleting half of US regulations
    The Doge AI Deregulation Decision Tool will be analyzing around 200,000 federal regulations, according to the Washington Post, which cites documents it obtained and four government officials.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ “ติ๊กถูกว่าอายุเกิน 18” ไม่พออีกต่อไป

    ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป การเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะกฎหมาย Online Safety Act ได้เริ่มบังคับใช้จริงแล้ว โดยกำหนดให้ทุกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาลามกอนาจารต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่ “มีประสิทธิภาพสูง” — ไม่ใช่แค่การกรอกวันเกิดหรือคลิกยืนยันว่าอายุเกิน 18 อีกต่อไป

    ผู้ใช้อาจต้องส่งภาพเซลฟี่, สแกนบัตรประชาชน, ใช้ข้อมูลธนาคาร หรือแม้แต่ระบบวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น สื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ และความรุนแรง

    เว็บไซต์ใหญ่ ๆ อย่าง Pornhub, Reddit, X (Twitter เดิม), Discord และ Bluesky ได้เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแล้ว ขณะที่บางเว็บไซต์เล็ก ๆ เช่น BitChute เลือกปิดบริการในสหราชอาณาจักรแทน เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนและความเสี่ยงได้

    Online Safety Act เริ่มบังคับใช้ในสหราชอาณาจักร
    มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025
    บังคับให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผู้ใหญ่ต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่มีประสิทธิภาพ

    รูปแบบการตรวจสอบอายุที่ได้รับอนุญาต
    การวิเคราะห์ใบหน้าจากภาพหรือวิดีโอ
    การตรวจสอบผ่านบัตรเครดิตหรือธนาคาร
    การจับคู่ภาพถ่ายกับเอกสารราชการ
    การใช้ digital identity wallets

    เว็บไซต์ใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว
    Reddit ใช้ระบบ Persona ตรวจสอบอายุผ่านเซลฟี่หรือบัตรประชาชน
    X ปรับการตั้งค่าเนื้อหาให้เป็น “ปลอดภัย” หากไม่สามารถยืนยันอายุได้
    Pornhub แสดงหน้าตรวจสอบอายุทันทีเมื่อเข้าจาก IP ในสหราชอาณาจักร

    Ofcom เป็นผู้กำกับดูแลและมีอำนาจลงโทษ
    ปรับสูงสุด £18 ล้าน หรือ 10% ของรายได้ทั่วโลก
    ผู้บริหารอาจถูกดำเนินคดีอาญาหากละเมิดซ้ำ

    เป้าหมายหลักคือการปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย
    รวมถึงสื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ, ความรุนแรง และการกลั่นแกล้ง

    https://www.techspot.com/news/108814-no-porn-you-uk-online-safety-act-now.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ “ติ๊กถูกว่าอายุเกิน 18” ไม่พออีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป การเข้าถึงเว็บไซต์ผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะกฎหมาย Online Safety Act ได้เริ่มบังคับใช้จริงแล้ว โดยกำหนดให้ทุกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาลามกอนาจารต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่ “มีประสิทธิภาพสูง” — ไม่ใช่แค่การกรอกวันเกิดหรือคลิกยืนยันว่าอายุเกิน 18 อีกต่อไป ผู้ใช้อาจต้องส่งภาพเซลฟี่, สแกนบัตรประชาชน, ใช้ข้อมูลธนาคาร หรือแม้แต่ระบบวิเคราะห์ใบหน้าเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น สื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ และความรุนแรง เว็บไซต์ใหญ่ ๆ อย่าง Pornhub, Reddit, X (Twitter เดิม), Discord และ Bluesky ได้เริ่มใช้ระบบตรวจสอบอายุแล้ว ขณะที่บางเว็บไซต์เล็ก ๆ เช่น BitChute เลือกปิดบริการในสหราชอาณาจักรแทน เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนและความเสี่ยงได้ ✅ Online Safety Act เริ่มบังคับใช้ในสหราชอาณาจักร ➡️ มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2025 ➡️ บังคับให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผู้ใหญ่ต้องใช้ระบบตรวจสอบอายุที่มีประสิทธิภาพ ✅ รูปแบบการตรวจสอบอายุที่ได้รับอนุญาต ➡️ การวิเคราะห์ใบหน้าจากภาพหรือวิดีโอ ➡️ การตรวจสอบผ่านบัตรเครดิตหรือธนาคาร ➡️ การจับคู่ภาพถ่ายกับเอกสารราชการ ➡️ การใช้ digital identity wallets ✅ เว็บไซต์ใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว ➡️ Reddit ใช้ระบบ Persona ตรวจสอบอายุผ่านเซลฟี่หรือบัตรประชาชน ➡️ X ปรับการตั้งค่าเนื้อหาให้เป็น “ปลอดภัย” หากไม่สามารถยืนยันอายุได้ ➡️ Pornhub แสดงหน้าตรวจสอบอายุทันทีเมื่อเข้าจาก IP ในสหราชอาณาจักร ✅ Ofcom เป็นผู้กำกับดูแลและมีอำนาจลงโทษ ➡️ ปรับสูงสุด £18 ล้าน หรือ 10% ของรายได้ทั่วโลก ➡️ ผู้บริหารอาจถูกดำเนินคดีอาญาหากละเมิดซ้ำ ✅ เป้าหมายหลักคือการปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่เป็นอันตราย ➡️ รวมถึงสื่อลามก, การยุยงให้ทำร้ายตัวเอง, การกินผิดปกติ, ความรุนแรง และการกลั่นแกล้ง https://www.techspot.com/news/108814-no-porn-you-uk-online-safety-act-now.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    No porn for you, UK: Online Safety Act now requires age and ID checks on all adult sites
    The rules, designed to protect children from exposure to harmful content online, require sites that publish or display pornographic content to have rigorous age-verification systems in place....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปเหตุการณ์วันนี้ พฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2568
    ตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข:
    พลเรือน
    เสียชีวิต: 13 ราย
    บาดเจ็บสาหัส: 7 ราย
    บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย
    บาดเจ็บเล็กน้อย: 12 ราย
    รวมทั้งสิ้น: 45 ราย

    ทหาร
    เสียชีวิต: 1 นาย
    บาดเจ็บสาหัส: 6 นาย
    บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย
    บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย
    รวมทั้งสิ้น: 15 นาย

    โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้:
    เวลา 07.45 น. กองกำลังสุรนารีตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจในเขตพื้นที่หน้าปราสาทตาเมือนธม จากนั้นพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือเข้าประชิดแนวลวดหนาม ฝ่ายไทยพยายามใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ

    เวลา 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยอาวุธประจำหน่วยเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้บริเวณปราสาทตาเมือน ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย

    เวลา 09.30 น. ฝ่ายกัมพูชายิงจรวด BM-21 จากพื้นที่เขาแหลม เข้าตกในพื้นที่บ้านขึ้นเหล็ก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 1 ราย และตรวจพบหัวจรวดตกบนบ้านเรือนในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย

    เวลา 09.45 น. มีการยิงจรวด BM-21 เพิ่มเติมเข้าใส่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน บริเวณอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์

    ช่วงเวลา 10.00–10.22 น. ตรวจพบจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า ฐานพดุง และเนิน 500 ในจังหวัดอุบลราชธานี
    พร้อมกระสุนปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ผามออีแดง จุกตา จ.ศรีสะเกษ และบริเวณฐานทัพ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บจำนวน 7 นาย

    ช่วงเวลา 10.28–10.40 น. มีรายงานการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากฝั่งกัมพูชา ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 พุ่งเป้าไปยังพื้นที่ฐานมาเรีย และบ้านโพนทอง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง

    ช่วงเวลา 10.48–11.00 น. จรวด BM-21 จำนวน 3 ลูก ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า และในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ร้านค้าเอกชนได้รับความเสียหาย มีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย และได้รับบาดเจ็บ 14 ราย

    ช่วงเวลา 11.02–12.21 น. ยังคงมีการปะทะและยิงถล่มด้วยอาวุธหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนของจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี โดยกระสุนบางส่วนตกในเขตชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน

    จากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือน ถือเป็นการละเมิดหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้การโจมตีทางทหารกระทำได้เฉพาะต่อ เป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น
    สรุปเหตุการณ์วันนี้ พฤหัสบดี 24 กรกฎาคม 2568 ตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข: 👉พลเรือน เสียชีวิต: 13 ราย บาดเจ็บสาหัส: 7 ราย บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย: 12 ราย รวมทั้งสิ้น: 45 ราย 👉ทหาร เสียชีวิต: 1 นาย บาดเจ็บสาหัส: 6 นาย บาดเจ็บปานกลาง: 5 นาย บาดเจ็บเล็กน้อย: 3 นาย รวมทั้งสิ้น: 15 นาย โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้: 👉เวลา 07.45 น. กองกำลังสุรนารีตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินล้ำเข้ามาสำรวจในเขตพื้นที่หน้าปราสาทตาเมือนธม จากนั้นพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือเข้าประชิดแนวลวดหนาม ฝ่ายไทยพยายามใช้การเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ 👉เวลา 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงด้วยอาวุธประจำหน่วยเข้าใส่ฐานปฏิบัติการของไทย ใกล้บริเวณปราสาทตาเมือน ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย 👉เวลา 09.30 น. ฝ่ายกัมพูชายิงจรวด BM-21 จากพื้นที่เขาแหลม เข้าตกในพื้นที่บ้านขึ้นเหล็ก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 1 ราย และตรวจพบหัวจรวดตกบนบ้านเรือนในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย 👉เวลา 09.45 น. มีการยิงจรวด BM-21 เพิ่มเติมเข้าใส่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน บริเวณอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ 👉ช่วงเวลา 10.00–10.22 น. ตรวจพบจรวด BM-21 ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า ฐานพดุง และเนิน 500 ในจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมกระสุนปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ผามออีแดง จุกตา จ.ศรีสะเกษ และบริเวณฐานทัพ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บจำนวน 7 นาย 👉ช่วงเวลา 10.28–10.40 น. มีรายงานการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากฝั่งกัมพูชา ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 พุ่งเป้าไปยังพื้นที่ฐานมาเรีย และบ้านโพนทอง ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 1 หลัง 👉ช่วงเวลา 10.48–11.00 น. จรวด BM-21 จำนวน 3 ลูก ตกในพื้นที่ฐานหมูป่า และในบริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ร้านค้าเอกชนได้รับความเสียหาย มีพลเรือนเสียชีวิต 9 ราย และได้รับบาดเจ็บ 14 ราย 👉ช่วงเวลา 11.02–12.21 น. ยังคงมีการปะทะและยิงถล่มด้วยอาวุธหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนของจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี โดยกระสุนบางส่วนตกในเขตชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน 👉จากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในการใช้อาวุธโจมตีพื้นที่พลเรือน ถือเป็นการละเมิดหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้การโจมตีทางทหารกระทำได้เฉพาะต่อ เป้าหมายทางทหาร (Military Objectives) เท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ

    หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง:
    - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP
    - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\
    - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต
    - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm)

    ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ

    แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่
    ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party

    XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ
    ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB

    ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\
    เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว

    Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน
    ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์

    บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก
    ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย

    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR
    เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที

    ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear
    แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท

    บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ
    อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว

    XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB
    อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง
    อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต

    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท
    ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที

    https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเมาส์ที่ไม่ควรมีพิษ: เมื่อไฟล์จากเว็บทางการกลายเป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้ Reddit ดาวน์โหลดเครื่องมือปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 จากเว็บไซต์ของ Endgame Gear เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 แล้วพบพฤติกรรมผิดปกติในระบบ หลังตรวจสอบ พบว่าไฟล์นั้นถูกฝังมัลแวร์ XRed ซึ่งเป็น backdoor trojan ที่มีความสามารถขั้นสูง: - ขโมยข้อมูลระบบและส่งออกผ่าน SMTP - สร้างโฟลเดอร์ซ่อนที่ C:\ProgramData\Synaptics\ - แก้ไข Windows Registry เพื่อให้มัลแวร์อยู่รอดหลังรีสตาร์ต - แพร่กระจายผ่าน USB เหมือนหนอน (worm) ผู้ใช้พบว่า Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือนใด ๆ และลบไฟล์ติดมัลแวร์ออกอย่างเงียบ ๆ แม้บริษัทจะออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์จริง และให้คำแนะนำในการตรวจสอบและลบออกจากระบบ แต่ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบกำลังเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO (Information Commissioner’s Office) ในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ✅ Endgame Gear แจกจ่ายไฟล์ปรับแต่งเมาส์ OP1w 4K V2 ที่มีมัลแวร์ XRed ฝังอยู่ ➡️ ไฟล์ถูกดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ไม่ใช่ mirror หรือ third-party ✅ XRed เป็น backdoor trojan ที่สามารถขโมยข้อมูลและอยู่รอดในระบบ ➡️ ใช้โฟลเดอร์ซ่อน, แก้ Registry, และแพร่ผ่าน USB ✅ ผู้ใช้พบไฟล์ Synaptics.exe ที่ติดมัลแวร์ใน C:\ProgramData\Synaptics\ ➡️ เป็นตำแหน่งที่มัลแวร์ใช้ซ่อนตัว ✅ Endgame เปลี่ยนลิงก์ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม โดยไม่แจ้งเตือน ➡️ ผู้ใช้พบว่าไฟล์ก่อนวันที่ 17 เป็นเวอร์ชันที่ติดมัลแวร์ ✅ บริษัทออกแถลงการณ์ยอมรับว่ามีการติดมัลแวร์ และให้คำแนะนำในการลบออก ➡️ ระบุว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะไฟล์นั้น และไฟล์อื่นปลอดภัย ✅ ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเตรียมยื่นเรื่องต่อ ICO โดยอ้างว่าเป็นการละเมิด GDPR ➡️ เพราะบริษัทไม่แจ้งเหตุการณ์ต่อสาธารณะทันที ‼️ ไฟล์ติดมัลแวร์มาจากเว็บไซต์ทางการของ Endgame Gear ⛔ แสดงถึงความเสี่ยงจาก supply chain compromise หรือการจัดการไฟล์ที่ประมาท ‼️ บริษัทเปลี่ยนไฟล์โดยไม่แจ้งเตือนหรือออกประกาศต่อสาธารณะ ⛔ อาจเข้าข่ายละเมิด GDPR ซึ่งกำหนดให้ต้องแจ้งเหตุการณ์ที่กระทบต่อข้อมูลส่วนตัว ‼️ XRed มีความสามารถในการอยู่รอดหลังรีสตาร์ตและแพร่ผ่าน USB ⛔ อาจทำให้มัลแวร์กระจายไปยังอุปกรณ์อื่นโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบไฟล์ก่อนปล่อยให้ดาวน์โหลดจาก CDN เป็นความเสี่ยงร้ายแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ supply chain ในอนาคต ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าระบบติดมัลแวร์ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนจากบริษัท ⛔ ควรตรวจสอบไฟล์ที่ดาวน์โหลดระหว่างวันที่ 2–17 กรกฎาคม และลบออกทันที https://www.techspot.com/news/108773-malware-found-endgame-gear-official-mouse-configuration-utility.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Malware found in Endgame's mouse config utility
    Endgame Gear recently distributed a malicious software package bundled with the official configuration tool for its OP1w 4K V2 wireless gaming mouse. Customers discovered the issue the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22 กรกฏาคม 2568- รายงานจากเพจ ThePublisher ระบุว่า 144-88” รหัสล้างบางนักการเมือง!คำนูณ ชี้โทษร้ายแรงอาจล้มทั้ง ครม.ถึงขั้นปลัดกระทรวงนั่งแทนนายกฯ22 กรกฎาคม 2568 — นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กวิเคราะห์เจาะลึกกรณีการร้องเรียนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งขณะนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในทางการเมือง โดยเรียกคดีนี้ว่า “144-88 รหัสล้างบางนักการเมือง” พร้อมเตือนว่าโทษของความผิดร้ายแรงถึงขั้น “สิ้นสุดสมาชิกภาพ” ของ ส.ส. และ “พ้นตำแหน่งทั้งคณะ” สำหรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ “ปลัดกระทรวง” ต้องมานั่งแทนนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคสอง ซึ่งไม่เคยถูกใช้มาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย—————จุดเริ่มต้น: ศาลรับเรื่องไต่สวนรองประธานสภานายคำนูณระบุว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่กล่าวหารองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่ากระทำผิดตามมาตรา 144 วรรคสอง (มีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย) โดยคำร้องดังกล่าวมาจาก ส.ส.พรรคประชาชนที่เข้าชื่อกันยื่นตรงต่อศาล ซึ่งต้องมีคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน กระบวนการไต่สวนจึงเดินหน้าอย่างเร่งด่วน————-ตีความ “144” กับ “88” — จุดเปลี่ยนทางนิติรัฐนายคำนูณอธิบายว่ามาตรา 144 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 มี 2 ฐานความผิดหลัก ได้แก่ 1. วรรคหนึ่ง – ห้าม ส.ส. แปรญัตติลดหรือตัดทอนรายจ่ายที่เป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย 2. วรรคสอง – ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐสภามีส่วนร่วมโดยตรงหรืออ้อมกับการใช้งบประมาณโดยมีช่องทางร้องเรียน 2 ทาง ได้แก่ • ส.ส. หรือ ส.ว. เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาล (ยื่นได้เฉพาะวรรคสอง) • แจ้งผ่าน ป.ป.ช. ตามวรรคสี่ ซึ่งนายคำนูณย้ำว่า “ประชาชนทั่วไป” ก็สามารถกระทำได้ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 88 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ปี 2561คีย์เวิร์ดสำคัญในมาตรา 88 คือ “เมื่อความปรากฏต่อ ป.ป.ช.” ซึ่งนายคำนูณชี้ว่า เปิดทางให้กรณีที่ประชาชนร้องเรียนใด ๆ หาก ป.ป.ช. รับรู้และเห็นว่ามีมูล ก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ทันทีโดยไม่ต้องผูกกับช่วงเวลาของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ————-โทษร้ายแรง—กระทบทั้งสภาและรัฐบาลขณะที่มาตรา 144 วรรคสาม ยังกำหนดเรียกเงินคืนบวกดอกเบี้ย กำหนดอายุความ 20 ปีด้วยสำหรับฐานความผิดมีโทษร้ายแรง : • สมาชิกภาพ ส.ส./ส.ว. สิ้นสุดทันที • เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง • ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เว้นผู้ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่อยู่ในที่ประชุม • ผู้กระทำผิดต้องใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย โดยมีอายุความ 20 ปี • และอาจมีความผิดทางอาญาตามมาอีกด้วย—————อาจได้เห็น ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนนายกฯหากคณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งเพราะคดีนี้ มาตรา 168 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า “จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้” ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ ซึ่งนายคำนูณชี้ว่าอาจนำไปสู่กรณีที่ “ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงทำหน้าที่แทน รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” และ “ประชุมคัดเลือกปลัดกระทรวงผู้หนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ” ตามกลไกในรัฐธรรมนูญ — ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน——————— ต้องจับตาศาลรัฐธรรมนูญนายคำนูณปิดท้ายว่า “จะมากจะน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเรื่องเฉพาะรายบุคคล แต่เป็น “รหัสล้างบางนักการเมือง” ที่อาจเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยทั้งระบบ“บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว แม้นช่วงโหมโรงนี้ท่วงทำนองจะเริ่มต้นแบบเนิบ ๆ แต่ความความดุดันกระแทกกระทั้น และเหนือความคาดหมายยากคาดเดา กำลังจะตามมา…” — คำนูณ สิทธิสมาน#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน
    22 กรกฏาคม 2568- รายงานจากเพจ ThePublisher ระบุว่า 144-88” รหัสล้างบางนักการเมือง!คำนูณ ชี้โทษร้ายแรงอาจล้มทั้ง ครม.ถึงขั้นปลัดกระทรวงนั่งแทนนายกฯ22 กรกฎาคม 2568 — นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กวิเคราะห์เจาะลึกกรณีการร้องเรียนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งขณะนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในทางการเมือง โดยเรียกคดีนี้ว่า “144-88 รหัสล้างบางนักการเมือง” พร้อมเตือนว่าโทษของความผิดร้ายแรงถึงขั้น “สิ้นสุดสมาชิกภาพ” ของ ส.ส. และ “พ้นตำแหน่งทั้งคณะ” สำหรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ “ปลัดกระทรวง” ต้องมานั่งแทนนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 168 วรรคสอง ซึ่งไม่เคยถูกใช้มาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย—————จุดเริ่มต้น: ศาลรับเรื่องไต่สวนรองประธานสภานายคำนูณระบุว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่กล่าวหารองประธานสภาผู้แทนราษฎรว่ากระทำผิดตามมาตรา 144 วรรคสอง (มีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่าย) โดยคำร้องดังกล่าวมาจาก ส.ส.พรรคประชาชนที่เข้าชื่อกันยื่นตรงต่อศาล ซึ่งต้องมีคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน กระบวนการไต่สวนจึงเดินหน้าอย่างเร่งด่วน————-ตีความ “144” กับ “88” — จุดเปลี่ยนทางนิติรัฐนายคำนูณอธิบายว่ามาตรา 144 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 มี 2 ฐานความผิดหลัก ได้แก่ 1. วรรคหนึ่ง – ห้าม ส.ส. แปรญัตติลดหรือตัดทอนรายจ่ายที่เป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย 2. วรรคสอง – ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในรัฐสภามีส่วนร่วมโดยตรงหรืออ้อมกับการใช้งบประมาณโดยมีช่องทางร้องเรียน 2 ทาง ได้แก่ • ส.ส. หรือ ส.ว. เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาล (ยื่นได้เฉพาะวรรคสอง) • แจ้งผ่าน ป.ป.ช. ตามวรรคสี่ ซึ่งนายคำนูณย้ำว่า “ประชาชนทั่วไป” ก็สามารถกระทำได้ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 88 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ปี 2561คีย์เวิร์ดสำคัญในมาตรา 88 คือ “เมื่อความปรากฏต่อ ป.ป.ช.” ซึ่งนายคำนูณชี้ว่า เปิดทางให้กรณีที่ประชาชนร้องเรียนใด ๆ หาก ป.ป.ช. รับรู้และเห็นว่ามีมูล ก็ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ทันทีโดยไม่ต้องผูกกับช่วงเวลาของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ————-โทษร้ายแรง—กระทบทั้งสภาและรัฐบาลขณะที่มาตรา 144 วรรคสาม ยังกำหนดเรียกเงินคืนบวกดอกเบี้ย กำหนดอายุความ 20 ปีด้วยสำหรับฐานความผิดมีโทษร้ายแรง : • สมาชิกภาพ ส.ส./ส.ว. สิ้นสุดทันที • เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง • ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เว้นผู้ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่อยู่ในที่ประชุม • ผู้กระทำผิดต้องใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย โดยมีอายุความ 20 ปี • และอาจมีความผิดทางอาญาตามมาอีกด้วย—————อาจได้เห็น ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนนายกฯหากคณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งเพราะคดีนี้ มาตรา 168 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า “จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้” ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ ซึ่งนายคำนูณชี้ว่าอาจนำไปสู่กรณีที่ “ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงทำหน้าที่แทน รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” และ “ประชุมคัดเลือกปลัดกระทรวงผู้หนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ” ตามกลไกในรัฐธรรมนูญ — ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน——————— ต้องจับตาศาลรัฐธรรมนูญนายคำนูณปิดท้ายว่า “จะมากจะน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” พร้อมระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเรื่องเฉพาะรายบุคคล แต่เป็น “รหัสล้างบางนักการเมือง” ที่อาจเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยทั้งระบบ“บทเพลง 144 เริ่มบรรเลงแล้ว แม้นช่วงโหมโรงนี้ท่วงทำนองจะเริ่มต้นแบบเนิบ ๆ แต่ความความดุดันกระแทกกระทั้น และเหนือความคาดหมายยากคาดเดา กำลังจะตามมา…” — คำนูณ สิทธิสมาน#ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • สติถึงพร้อม
    น้อมรับตามดู
    กำหนดให้รู้
    อยู่กับความจริง

    ชีวีไม่แน่
    แต่ยังไม่ทิ้ง
    ความตายแน่จริง
    ทิ้งได้ปล่อยวาง

    ชีวีไม่เที่ยง
    เสี่ยงทุกหนทาง
    ความตายไม่ห่าง
    ต่างตายเที่ยงแท้

    เกิดแล้วรอดอยู่
    รู้ตัวผันแปร
    จุดจบตายแน่
    แต่ยังเวียนว่าย

    เมื่อยังเวียนว่าย
    ให้สติได้
    สมาธิใช้
    ให้คุณปัญญา

    ขอพบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลชัย

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    สติถึงพร้อม น้อมรับตามดู กำหนดให้รู้ อยู่กับความจริง ชีวีไม่แน่ แต่ยังไม่ทิ้ง ความตายแน่จริง ทิ้งได้ปล่อยวาง ชีวีไม่เที่ยง เสี่ยงทุกหนทาง ความตายไม่ห่าง ต่างตายเที่ยงแท้ เกิดแล้วรอดอยู่ รู้ตัวผันแปร จุดจบตายแน่ แต่ยังเวียนว่าย เมื่อยังเวียนว่าย ให้สติได้ สมาธิใช้ ให้คุณปัญญา ขอพบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง สวัสดีมงคลชัย นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?
    #12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง

    สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว

    เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย

    บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย

    จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน

    นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์

    ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”

    การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

    การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย

    ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน

    อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน

    “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ”

    แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

    นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย

    ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ

    ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา

    ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา

    เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย

    แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?

    คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น

    ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม?

    นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป

    โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก

    แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ

    โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้

    ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"

    โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด

    ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

    ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ

    หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก

    แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ

    ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา

    ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง"

    คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

    หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้

    ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย

    ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ

    การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้

    ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา

    การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น

    ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน

    การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้

    แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด

    จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง

    สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา

    การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน

    นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย

    เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน

    โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า

    กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ
    🤠#เหตุใดโจโฉจึงยืนกรานที่จะฆ่าหมอฮวาโถว(华佗)?🤠 🤠#12ปีต่อมาเขาก็พบว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้อง🤠 สามก๊ก หรือ ซานกั๋วเหยี่ยนอี้(Romance of the Three Kingdoms三国演义)เป็นผลงานชิ้นเอกในประวัติศาสตร์วรรณกรรมจีนที่ใครๆ ก็รู้จัก หนังสือเล่มนี้มีโครงเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากมายซึ่งชวนติดตาม ในงานนี้ ผู้เขียนไม่ได้แยกแยะระหว่างตัวเอกและตัวประกอบอย่างชัดเจน เพราะในใจของผู้อ่านที่ชื่นชอบผลงานชิ้นนี้ ตัวละครแต่ละตัวจะเปล่งประกายด้วยความเฉลียวฉลาดและเสน่ห์เฉพาะตัว เชื่อว่าหลายๆ คนคิดเหมือนกันว่าตัวละครที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งมากที่สุดคือโจโฉ(曹操) บางคนมองว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่ฉลาดและสามารถควบคุมสถานการณ์ในยามยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นคนร้ายที่ทรยศและวางแผนร้าย บางทีในสายตาของโจโฉ(曹操) ความซื่อสัตย์ภักดีและการทรยศคตโกงอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขาแสวงหาคือการรวมประเทศเป็นหนึ่ง และปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบรรลุการรวมกันเป็นหนึ่งคือความแข็งแกร่งและความสามารถ ด้วยค่านิยมที่ว่า “ผู้มีความสามารถคือประมุข” เขาจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าที่จะยึดติดกับข้อจำกัดทางศีลธรรมแบบเดิมๆ สิ่งนี้ยังทำให้วิธีการทำสิ่งต่างๆ (曹操) มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์และมักจะผสมผสาน และไม่ยึดหลักเกณฑ์ธรรมดาด้วย จากมุมมองของผู้คนในปัจจุบัน เขาสามารถถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าและแนวคิดทางเลือกอีกแนวทางหนึ่ง หากต้องการเข้าใจความซับซ้อนของสามก๊ก(三国)อย่างแท้จริง ต้องเข้าใจความภายในใจของโจโฉ(曹操)และวิธีการจัดการกับผู้คนพร้อมกับการปฏิบัติวานของเขาเสียก่อน นอกจากนี้ บุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จำนวนมากในช่วงยุคสามก๊ก(三国)มีปฏิสัมพันธ์สำคัญกับโจโฉ(曹操) และทั้งหมดนี้คนที่คลาสสิกที่สุดคือหมอฮวาโถว(华佗)ผู้โด่งดัง ดังที่เราทราบกันดีว่า ฮวาโถว(华佗)เสียชีวิตในท้ายที่สุดจากน้ำมือของโจโฉ(曹操) แต่หากเราหยุดอยู่แค่คำคร่ำครวญเรื่อง "หมอชื่อดังถูกฆ่า" เท่านั้น มันก็จะดูผิวเผินเกินไป ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ของตัวละครที่อยู่เบื้องหลัง มันดูจะซับซ้อนกว่าการที่จะเอาแต่แค่ระบายอารมณ์เพียงอย่างเดียว แม้จากมุมมองบางประการ การตัดสินใจเช่นนี้อาจสมเหตุสมผลในสมัยขณะนั้น เพื่อที่จะชี้แจงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนขึ้น จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากฮวาโถว(华佗) ปราชญ์ทางการแพทย์ 🥰ฮวาโถว(华佗) เป็นหนึ่งในสี่หมอผู้ยิ่งใหญ่ในจีนโบราณ ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮฮวาโถว(华佗)ได้แก่ การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”และนิทานปรัมปราเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”🥰 การออกกำลังกายห้าอย่างลอกเลียนท่าทางตามสัตว์ “อู๋ชินซี(Wuqinxi五禽戏)” เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เก่าแก่ที่สุดที่คิดค้นโดยฮวาโถว(华佗)ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ฮวาโถว(华佗)ทราบดีถึงความสำคัญของการออกกำลังกายของมนุษย์ต่อสุขภาพ และสนับสนุนให้การออกกำลังกายเป็นจังหวะและสอดประสานกัน และเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่างการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง การออกกำลังกายชุดนี้จะช่วยยืดเหยียดและออกกำลังกายไหล่ คอ ท้อง หลัง และแขนขาได้อย่างเต็มที่ โดยเลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก ฮวาโถว(华佗)สนับสนุนให้ “เดินตามธรรมชาติ เดินตามทางแห่งสวรรค์” ซึ่งไม่เพียงป้องกันโรคได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนรู้สึกสบายกายและใจและเพิ่มความอยากอาหารอีกด้วย ศิษย์ของท่านอาจารย์หวู่ปู้(吴普)ยืนกรานที่จะฝึกท่าบริหารสัตว์ทั้งห้าทุกวัน และในที่สุดก็ได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี โดยมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี คงทราบดีว่าในสมัยโบราณ เมื่ออายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 หรือ 50 ปีเท่านั้น การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีพลังมากขนาดนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ท่าบริหารสัตว์ทั้งห้ายังคงได้รับความนิยมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงได้รับการเคารพและสืบทอดโดยแพทย์แผนจีนแบบดั้งเดิมหลายคน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน “ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”ที่ฮวาโถว(华佗)คิดค้นขึ้นเป็นยาชาที่รับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำให้คนไข้หมดสติชั่วคราว ช่วยให้ทำการผ่าตัดรักษาผู้บาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแผนจีนแบบดั้งเดิม วิธีนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ และถือได้ว่าเป็นผลงานบุกเบิกของการผ่าตัดแบบจีนโบราณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่อง “กวนอู(关羽)ขูดกระดูกรักษาพิษ”เขาไม่ได้รับใช้“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)” ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ฮวาโถว(华佗)และกวนอูกำลังดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกเพื่อผ่อนคลายก่อนที่เขาจะกล้าขูดพิษลูกศรออกจากกระดูก หนังสือเล่มนี้บรรยายว่าใบมีดเสียดสีกับกระดูก ทำให้เกิดเสียง “เสียดสี” และเลือดออก แต่กวนอู(关羽)ไม่แสดงความกลัว ทำให้ฮวาโถว(华佗)อุทานออกมาว่า “ท่านแม่ทัพเป็นเทพเจ้าจริงๆ” แม้ว่า“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”จะไม่ได้ถูกใช้กับกวนอู(关羽) แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและกล้าหาญของเขา น่าเสียดายที่ปฏิบัติการนี้อาจเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของ“ผง หม่าเฟยซาน( Chinese Canna Med麻沸散)”แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์แล้ว ฮวาโถว(华佗)ยังเป็นบุคคลที่มีความรู้และความสามารถอีกด้วย ในช่วงต้นยุคสามก๊ก(三国) ผู้ที่ต้องการเข้าสู่ตำแหน่งทางการมักจะอาศัยระบบการแนะนำมากกว่าระบบการสอบของจักรพรรดิในยุคหลัง ระบบการแนะนำไม่เพียงแต่ประเมินระดับความรู้การศึกษาเท่านั้น แต่ยังกำหนดให้ต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่มีฐานะหรือบุคคลที่มีคุณธรรมสูง ยิ่งตำแหน่งทางการของผู้แนะนำสูงขึ้นเท่าใด ผู้ที่ได้รับการแนะนำก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูงส่งในสมัยนั้น ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมที่ว่า นักวิชาการ ชาวนา พ่อค้า และช่างฝีมือ มีเพียงเจ้าหน้าที่ทางข้าราชการเท่านั้นที่ได้รับการเคารพนับถือ แพทย์ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสี่ชนชั้น ได้แก่ นักวิชาการ เกษตรกร พ่อค้า และช่างฝีมือเสียด้วยซ้ำ และสถานะของพวกเขาก็คล้ายคลึงกับพ่อมดแม่มด นักแสดง และอาชีพบริการอื่นๆ ฮวาโถว(华佗)มีความขยันพรากเพียรเรียนหนักมาตั้งแต่เด็ก และมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพข้าราชการ ครั้งหนึ่งเขาเคยทิ้งบันทึกไว้ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ว่า "แต่ก่อนข้าเป็นนักวิชาการ แต่ข้าหาเลี้ยงชีพด้วยการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และข้าก็มักจะรู้สึกผิดหวังเสียใจ" นั่นหมายความว่าเขาต้องการมีอาชีพทางข้าราชการที่ราบรื่น อย่างไรก็ตาม เขาพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่ตำแหน่งทางข้าราชการเพราะมีอาชีพทางการแพทย์ของเขา ทักษะทางการแพทย์ของเขาทำให้เขามีชื่อเสียง ผู้คนมากมายต่างเข้ามาหาเขาราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอ อย่างไรก็ตาม ฮวาโถว(华佗)ยังไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเป็นผู้แนะนำ โดยคิดว่าคำแนะนำเหล่านั้นจะไม่ช่วยให้เขาได้ไปสู่ตำแหน่งสูงได้ จึงละทิ้งโอกาสที่จะเป็นข้าราชการระดับล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงปรารถนาที่จะประกอบอาชีพในสายข้าราชการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาที่ขัดแย้งกันในสมัยโบราณที่ว่า "หมอไม่รักษาให้ตัวเอง" แม้ว่าคนๆ หนึ่งจะประสบความสำเร็จก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากความคิดเรื่องลำดับชั้นของสังคมศักดินา เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ระดับตำแหน่งคนไข้ของฮวาโถว(华佗)ก็กลายเป็นผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมไปถึงผู้ปกครองสูงสุดอย่างโจโฉ(曹操)ด้วย 🥰แล้วฮวาโถว(华佗)ถูกโจโฉ(曹操)บังคับให้รักษาจริงหรือ? เขาเป็นคนริเริ่มสมยอมในเรื่องนี้หรือเปล่า?🥰 คำตอบอาจจะใช่ก็ได้ เพราะฮวาโถว(华佗)ก็หวังที่จะได้ทำงานในหน่วยงานรัฐบาล แต่เนื่องจากคนที่แนะนำเขามีฐานะต่ำต้อย เขาจึงหางานได้ยาก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขยายเครือข่ายด้วยการประกอบวิชาชีพแพทย์เท่านั้น 🥰ใครจะมีพลังอำนาจมากกว่าโจโฉในเวลานี้? ถ้าเขาได้รับการชื่นชมจากโจโฉ(曹操)นั่นไม่ใช่เหมือนกับว่าเขาจะต้องโด่งดังชั่วข้ามคืนใช่ไหม? 🥰 นอกจากนี้ ฮวาโถว(华佗)ยังมั่นใจในทักษะทางการแพทย์ของตน และเชื่อว่าตนสามารถรักษาอาการปวดหัวของโจโฉ(曹操)ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยคำเชิญอย่างเป็นทางการของโจโฉ(曹操) ฮวาโถว(华佗)จึงอาสาไป โจโฉ(曹操)ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากการทำงานหนักในกิจการราชการและสงครามเป็นเวลานาน หลังจากที่ฮวาโถว(华佗)เดินทางมาถึง เขาได้ใช้การฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการป่วยลงอย่างมาก ซึ่งทำให้โจโฉ(曹操)มีความสุขมาก แต่โจโฉ(曹操)ต้องการการรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาให้หายลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับคำร้องขอนี้ ฮวาโถว(华佗)ยอมรับว่าเขาสามารถใช้การฝังเข็มเพื่อชะลอโรคลงเท่านั้น ถ้าต้องการรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องทำการผ่าตัดกระโหลกศีรษะ โจโฉ(曹操)โกรธมากเมื่อฮวาโถว(华佗)พูดเช่นนี้ การผ่าตัดกระโหลกศีรษะถือเป็นเรื่องที่พบได้ยากและอันตรายมากในสมัยนั้น และไม่มีใครกล้าลองโดยง่าย นิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操)ทำให้เขาไม่อาจยอมรับข้อเสนอของฮวาโถว(华佗)ได้ 🥰ใน "บันทึกซานกั๋วจื้อ(Records of the Three Kingdoms三国志)" ได้บันทึกไว้ในหลายตอนถึงลักษณะบุคลิกนิสัยขี้ระแวงของโจโฉ(曹操) ในช่วงแรกๆ เขาล้มเหลวในการลอบสังหารตั๋งโต๊ะ(Dong Zhuo董卓) ขณะที่กำลังหลบหนี เขาได้ฆ่า ลิแปะเฉีย หรือ ลฺหวี่โป๋เชอ (Lü Boshe呂伯奢) เพื่อนที่ดีของพ่อของเขาและครอบครัวทั้งหมดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาอันโหดร้ายของเขาที่ว่า "ข้ายอมทรยศโลก ดีกว่าปล่อยให้โลกทรยศข้า"🥰 โจโฉ(曹操)ระมัดระวังชีวิตของตนเองอย่างมาก และถึงขั้นระแวงการกระทำอันดีงามขององครักษ์ ครั้งหนึ่งเขาเคยฆ่าองครักษ์ส่วนตัวเพราะความเข้าใจผิด ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาคุกคามความปลอดภัยของเขา และการผ่าตัดกระโหลกศีรษะเป็นเพียงภัยคุกคามในสายตาของเขาและเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในทางกลับกัน โจโฉ(曹操)ก็มีความสงสัยในนิสัยของฮวาโถว(华佗)เช่นกัน โดยคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโสและหลงตัวเอง และเขาอาจมีเจตนาอื่นใดที่เสนอวิธีการรักษาที่รุนแรงเช่นนี้ ดังนั้น โจโฉ(曹操)จึงเลือกการรักษาแบบประคับประคองและให้ฮวาโถว(华佗)ทำการฝังเข็มเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการ หลังจากเวลาผ่านไปนาน ฮวาโถว(华佗)เห็นว่าโจโฉไม่ยอมรับการผ่าตัด และไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งสูงๆ และเงินเดือนที่สูง จึงขอลาและกลับบ้านโดยอ้างว่าภรรยาของเขาป่วยหนัก แม้ว่าโจโฉ(曹操)จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังคงเห็นชอบ ต่อมาอาการปวดหัวของโจโฉก็กลับมาอีก เขาจึงส่งคนไปขอให้ฮัวโต่วกลับมารักษาให้อีกหลายครั้ง แต่ฮวาโถว(华佗)กลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดโจโฉ(曹操)ก็ส่งคนไปตรวจสอบและพบว่าภรรยาของฮวาโถว(华佗)ไม่ได้ป่วย แต่ฮวาโถว(华佗)ไม่เต็มใจที่จะกลับมา ด้วยความโกรธ โจโฉ(曹操)จึงให้ควบคุมตัวฮวาโถว(华佗)และจำคุกในข้อกล่าวหา "ไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง" และ "ฝ่าฝืนคำสั่ง" คนใกล้ชิดของเขาได้แนะนำให้โจโฉ(曹操)เมตตา แต่โจโฉ(曹操)กลับมุ่งมั่นที่จะฆ่าเขา หมอผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้จึงได้เสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า 🥰หลังจากสังหารฮัวโตวแล้ว โจโฉเคยเสียใจบ้างไหม? อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวของเขาก็ยังไม่สามารถรักษาหายได้🥰 ความขี้ระแวงสงสัยและความโกรธในเรื่องทางจิตใจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายเสียอีก อาจจะบางทีเมื่อความเจ็บปวดกลับมาอีกครั้ง เขาอาจจะนึกถึงฮวาโถว(华佗) แต่เขาไม่เคยนึกเสียใจเลย ในสายตาของโจโฉ(曹操) หมอเป็นเพียงเครื่องมือและคนรับใช้ ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ หากฮวาโถว(华佗)กล้าคุกคามชีวิตตนเอง มันจะเป็นความท้าทายต่ออำนาจของเขา และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับ การฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นเพียงการแสดงอำนาจและเป็นการเตือนทุกคนว่าไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ไม่มีใครสามารถล่วงเกินเขาได้ 🥰ในเวลานั้น โจโฉ(曹操)กำลังเตรียมตัวสำหรับการรบที่เซ็กเพ็ก ผาแดง (Red Cliffs or Chib赤壁之戰) และจำเป็นต้องรักษาขวัญกำลังใจของกองทหารของเขา เสริมสร้างชื่อเสียง และสร้างศักดิ์ศรีที่ไม่สามารถละเมิดได้ของเขา🥰 การไม่ควรปล่อยให้แพทย์ควบคุมร่างกายและชีวิตของตนเองโดยเด็ดขาด ดังนั้นการฆ่าฮวาโถว(华佗)จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่จำเป็น ขณะที่สงครามกำลังใกล้เข้ามา โจโฉ(曹操)ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอให้ฆ่าฮวาโถว(华佗)อยู่เคียงข้างเพื่อรับการรักษา แม้ภายนอกจะแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจสุขภาพของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว นี่ถือเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งของเขาต่อโลกภายนอกด้วยเช่นกัน การสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)เป็นการส่งสัญญาณทางอ้อมว่า "ฉันไม่กลัว" ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพมั่นคงและปราบปรามศัตรูได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพ่ายแพ้ในยุทธการที่ผาแดง (Red Cliffs 赤壁之戰)แต่ก็ถือเป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี และไม่มีผลต่อเสถียรภาพของสงครามจิตวิทยาแต่อย่างใด 🥰จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ การตัดสินใจของโจโฉ(曹操)ที่จะสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)นั้นถูกต้องหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ควรค่าแก่การหารือถกเถียง🥰 สิบสองปีต่อมา โจผี หรือ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ได้สืบทอดบัลลังก์และสืบสานสไตล์ที่เด็ดขาดและเข้มแข็งของบิดาของเขา การกระทำของบิดาของเขาในการสังหารฆ่าฮวาโถว(华佗)แสดงให้โลกเห็นถึงการควบคุมที่แท้จริงของตระกูลเฉา(Cao曹)และสถานะการปกครองที่ไม่อาจท้าทายได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นหลักสูตรเบื้องต้นของ เฉาพี (Cao Pi曹丕)ในหัวข้อ"ศิลปศาสตร์ของจักรพรรดิ(帝王学)" อีกด้วย เฉาพี (Cao Pi曹丕)สืบทอดเจตนารมณ์ และใช้การยับยั้งป้องปรามเพื่อปราบปราม สุมาอี้ หรือ ซือหม่าอี้(Sima Yi司马懿) เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดบัลลังก์ของตระกูลเฉา(Cao曹)จะมั่นคงและสืบสานราชวงศ์ต่อไปเป็นเวลาสามชั่วอายุคน 💓โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า💓 😍กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ😍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 594 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..555,การค้าผีบ้าของพวกโลกเสรี ประเทศที่พัฒนาแล้วพะนะ พัฒนาในการเก็บส่วย พัฒนาในการขูดรีดตังจากประเทศอื่นที่เรียกเขาว่ากำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา พัฒนาในการเอาเปรียบประเทศอื่น555ค้าขายกันปกติต้องเก็บภาษีเท่าๆกันสิ,เช่นไทยถูกอเมริกาเก็บที่35%,ไทยก็สามารถเก็บสินค้านำเข้าไทยของอเมริกาที่35%ด้วย,แต่ละคนส่งส่วยเท่ากัน,ปัญหาคือคนอเมริกาต้องการสินค้าจากไทยหรือไม่,ทรัมป์ไม่ฉลาด ต้องระบุด้วยว่า ภาษี35%นี้จะเรียกเก็บเฉพาะกับกิจการไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน35%ในกิจการไทยนัันๆ,ต่างชาติถือหุ้นเกิน49%ก็เก็บภาษีขั้นต่ำ49%ไป,กิจการไทยไหนถือโดยคนไทย100%ก็คิดขั้นต่ำที่14%ก็จบ,ไทยก็ด้วยถ้ากิจการอเมริกาคนมะกันถือหุ้น100%ก็คิดภาษีเท่ากันที่14%,นี้คนฉลาดแบบทรัมป์ต้องจัดการแบบนีัเลือกเป้าหมายศัตรูให้ชัดเจน,จะเป็นมาตราฐานการค้าเสรีของโลกยุคใหม่ด้วยสร้างบริบทใหม่ปฐมบทใหม่ก็ด้วย,กิจการใดย้ายฐานมาไทยมาอ้างนามชื่อไทยส่งออกก็ไม่รอดนั้นล่ะ,ยาถูกกับโรค,ไทยเป็นมหาอำนาจหากจะจัดการเขมรไปสร้างโรงงานที่ติมอร์อ้างส่งออกมาไทย,ไทยก็คิดภาษีติมอร์โดยดูว่ากิจการในติมอร์ที่ส่งออกมาไทยนั้นมีเขมรลงทุนเท่าไรถือหุ้น100% ไทยก็เก็บภาษีกิจการนั้นในนามติมอร์ที่200%ก็ได้ เป็นต้น,นี้คือบอกไทยจากทรัมป์อเมริกาว่าให้ไทยเป็นไทอย่าเป็นทาสใครมายืมที่ดินตั้งโรงงานยืมจมูกไทยหายใจทำรายได้ก็ว่า หัดใช้สมองใช้ปัญญาสร้างกิจการโรงงานผลิตตนเอง มีเงินทุนตนเอง100%บ้าง,อเมริกาจะส่งเสริมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวตนเอง มิใช่ให้เหี้ยใดแทรกแซงการเติบโตภายในประเทศนั้นๆที่ผิดปกติคือมะเร็งที่เติบโตผิดปกติในประเทศบ้านเมืองนั้นๆในร่างกายนั้นๆก็ว่า,นี้คือยารักษาชนิดขมของทรัมป์ก็ได้แต่ ถ้านายกฯเราดีมาจากพระราชทานนะ สามารถเชื่อมใจอเมริกาจีนรัสเชียสบายทางการค้า,มรึงจะตีกันแบบไหนเรื่องส่วนตัวของพวกมรึง,จีนมาตั้งโรงงานในไทย ต่างชาติเหี้ยใดๆมาสร้างกิจการในไทยแต่หมายส่งเข้าไปในอเมริกา อเมริกาดูกิจการนั่นๆทันทีว่าเจ้าของและคนถือหุ้นคือคนไทย100%มั้ย,ถ้าใช่ก็คิดอัตราต่ำสุดสนับสนุนการค้าเสรีกัน,แต่ไม่ใช่ เช่นสืบสวนพบต่างชาติถือเกินผ่านนอมินีด้วยอาจคิดที่อัตรา200%ในกิจการนั้นๆทันทีแม้ส่งออกมาไทยก็ว่า,แนวทางนี้จะช่วยให้ชาตินั้นๆตั้งใจพัฒนาการค้าการขายการตลาดในตัวด้วยตลอดสร้างวัตถุดิบพึ่งพาในประเทศตนเองด้วย,
    ..ยิ่งคิดภาษีให้จัดหนักลงลึกไปอีกสไตล์ทรัมป์ฟันอัตราภาษีเก็บที่60%ในทุกๆประเทศเพื่อสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศโดยเป็นแรงงานตนเองมิใช่ต่างด้าวภายนอกเป็นหลักด้วย ลดการค้ามนุษย์ ลดการก่ออาชญากรรมข้ามชาติหลากหลายมิติได้ด้วยหรือค้ายาเสพติดและอื่นๆสาระพัดก็ว่าจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในโรงงานกิจการต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทย เช่น กิจการ บริษัทRK เป็นของคนไทยถือหุ้น100%แต่จ้างแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเกือบเต็มโรงงาน หรือเกือบ100%ด้วย ทรัมป์สามารถคิดภาษีไทยที่อัตรานำเข้าอเมริกาที่200%เลยก็ว่า,มีแรงงานต่างด้าวในกิจการคนไทยที่50%ก็คิดภาษีนำเข้าอเมริกาอัตราที่100%ไป,มี25%เป็นแรงงานต่างด้าวก็เก็บภาษีส่งออกไปอเมริกาที่50%เลย,มีต่างด้าวต่างชาติทำงานในบริษัทในกิจการคนไทย12.5%ก็เก็บภาษีส่งออกที่25%ไป,มีต่างชาติต่างด้าวในกิจการคนไทย6.75%ก็คิดอัตราภาษีส่งออกไปอเมริกาปกติที่14% เป็นต้น,นี้อาจประยุกต์กับโรงงานต่างชาติย้ายฐานมาไทยด้วย มีคนไทยถือหุ้นเกิน51%ก็ตาม,แต่ทั้งโรงงานเป็นแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานย้ายฐานมานั้นอีก ทรัมป์อาจเก็บกิจการโรงงานที่อัตราภาษี200%บวกอีก200%ข้อหาแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานที่มิใช่คนไทยเลยก็ด้วย,ทรัมป์ทำแบบนี้นะ จะเก็บส่วยเก็บตังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทแน่นอน,สามารถมีตังล้างหนี้อเมริกากว่า35-36ล้านล้านเหรียญนั้นภายในไม่กี่ปีจริง,ทั้งช่วยสร้างงานจริงแก่คนในพื้นที่ของคนภายในประเทศเขาเองนั้นๆด้วย,ย่อมาไทยคือกิจการบริษัทต่างๆและโรงงานต่างๆทั่วประเทศไทยจะจ้างงานคนไทยมากกว่าคนต่างด้าวต่างชาติทันทีเพราะแลกกับตังที่สูญเสียไปไม่คุ้มทุนนั้นเอง บังเอิญทุกๆประเทศเสือกลอกเลียนแบบอเมริกา,bricsเองก็ด้วยกำหนดให้ชาติสมาชิกใช้มาตราการนี้มาตราฐานนี้เช่นกัน,คุณภาพการทำงานจะถูกเอาใจใส่ทันทีด้วย ชาวโลกทั่วโลกจะไม่ตกงาน ทำงานก็จะมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากหน้างานตำแหน่งงานเนื้องานแบบในอดีตอีก,ชนะด้วยกันหมด,อัพเรเวลโลกอีกสถานะหนึ่งนะนั้น.,ฝ่ายแสงบังเอิญมาอ่านผ่านๆไป เอาไปบอกทรัมป์ด้วย.บังคับแดกยารักษาพิษกลายๆก็ว่า,ขมในช่วงต้น แล้วสุขภาพจะดีในทุกๆประเทศ ค้าขายอย่างมีความสุขร่วมกันอีกครััง.


    https://youtube.com/watch?v=auqh7GjGax0&si=PWLqM2E30_vhlihE

    ..555,การค้าผีบ้าของพวกโลกเสรี ประเทศที่พัฒนาแล้วพะนะ พัฒนาในการเก็บส่วย พัฒนาในการขูดรีดตังจากประเทศอื่นที่เรียกเขาว่ากำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา พัฒนาในการเอาเปรียบประเทศอื่น555ค้าขายกันปกติต้องเก็บภาษีเท่าๆกันสิ,เช่นไทยถูกอเมริกาเก็บที่35%,ไทยก็สามารถเก็บสินค้านำเข้าไทยของอเมริกาที่35%ด้วย,แต่ละคนส่งส่วยเท่ากัน,ปัญหาคือคนอเมริกาต้องการสินค้าจากไทยหรือไม่,ทรัมป์ไม่ฉลาด ต้องระบุด้วยว่า ภาษี35%นี้จะเรียกเก็บเฉพาะกับกิจการไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน35%ในกิจการไทยนัันๆ,ต่างชาติถือหุ้นเกิน49%ก็เก็บภาษีขั้นต่ำ49%ไป,กิจการไทยไหนถือโดยคนไทย100%ก็คิดขั้นต่ำที่14%ก็จบ,ไทยก็ด้วยถ้ากิจการอเมริกาคนมะกันถือหุ้น100%ก็คิดภาษีเท่ากันที่14%,นี้คนฉลาดแบบทรัมป์ต้องจัดการแบบนีัเลือกเป้าหมายศัตรูให้ชัดเจน,จะเป็นมาตราฐานการค้าเสรีของโลกยุคใหม่ด้วยสร้างบริบทใหม่ปฐมบทใหม่ก็ด้วย,กิจการใดย้ายฐานมาไทยมาอ้างนามชื่อไทยส่งออกก็ไม่รอดนั้นล่ะ,ยาถูกกับโรค,ไทยเป็นมหาอำนาจหากจะจัดการเขมรไปสร้างโรงงานที่ติมอร์อ้างส่งออกมาไทย,ไทยก็คิดภาษีติมอร์โดยดูว่ากิจการในติมอร์ที่ส่งออกมาไทยนั้นมีเขมรลงทุนเท่าไรถือหุ้น100% ไทยก็เก็บภาษีกิจการนั้นในนามติมอร์ที่200%ก็ได้ เป็นต้น,นี้คือบอกไทยจากทรัมป์อเมริกาว่าให้ไทยเป็นไทอย่าเป็นทาสใครมายืมที่ดินตั้งโรงงานยืมจมูกไทยหายใจทำรายได้ก็ว่า หัดใช้สมองใช้ปัญญาสร้างกิจการโรงงานผลิตตนเอง มีเงินทุนตนเอง100%บ้าง,อเมริกาจะส่งเสริมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวตนเอง มิใช่ให้เหี้ยใดแทรกแซงการเติบโตภายในประเทศนั้นๆที่ผิดปกติคือมะเร็งที่เติบโตผิดปกติในประเทศบ้านเมืองนั้นๆในร่างกายนั้นๆก็ว่า,นี้คือยารักษาชนิดขมของทรัมป์ก็ได้แต่ ถ้านายกฯเราดีมาจากพระราชทานนะ สามารถเชื่อมใจอเมริกาจีนรัสเชียสบายทางการค้า,มรึงจะตีกันแบบไหนเรื่องส่วนตัวของพวกมรึง,จีนมาตั้งโรงงานในไทย ต่างชาติเหี้ยใดๆมาสร้างกิจการในไทยแต่หมายส่งเข้าไปในอเมริกา อเมริกาดูกิจการนั่นๆทันทีว่าเจ้าของและคนถือหุ้นคือคนไทย100%มั้ย,ถ้าใช่ก็คิดอัตราต่ำสุดสนับสนุนการค้าเสรีกัน,แต่ไม่ใช่ เช่นสืบสวนพบต่างชาติถือเกินผ่านนอมินีด้วยอาจคิดที่อัตรา200%ในกิจการนั้นๆทันทีแม้ส่งออกมาไทยก็ว่า,แนวทางนี้จะช่วยให้ชาตินั้นๆตั้งใจพัฒนาการค้าการขายการตลาดในตัวด้วยตลอดสร้างวัตถุดิบพึ่งพาในประเทศตนเองด้วย, ..ยิ่งคิดภาษีให้จัดหนักลงลึกไปอีกสไตล์ทรัมป์ฟันอัตราภาษีเก็บที่60%ในทุกๆประเทศเพื่อสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศโดยเป็นแรงงานตนเองมิใช่ต่างด้าวภายนอกเป็นหลักด้วย ลดการค้ามนุษย์ ลดการก่ออาชญากรรมข้ามชาติหลากหลายมิติได้ด้วยหรือค้ายาเสพติดและอื่นๆสาระพัดก็ว่าจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในโรงงานกิจการต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทย เช่น กิจการ บริษัทRK เป็นของคนไทยถือหุ้น100%แต่จ้างแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเกือบเต็มโรงงาน หรือเกือบ100%ด้วย ทรัมป์สามารถคิดภาษีไทยที่อัตรานำเข้าอเมริกาที่200%เลยก็ว่า,มีแรงงานต่างด้าวในกิจการคนไทยที่50%ก็คิดภาษีนำเข้าอเมริกาอัตราที่100%ไป,มี25%เป็นแรงงานต่างด้าวก็เก็บภาษีส่งออกไปอเมริกาที่50%เลย,มีต่างด้าวต่างชาติทำงานในบริษัทในกิจการคนไทย12.5%ก็เก็บภาษีส่งออกที่25%ไป,มีต่างชาติต่างด้าวในกิจการคนไทย6.75%ก็คิดอัตราภาษีส่งออกไปอเมริกาปกติที่14% เป็นต้น,นี้อาจประยุกต์กับโรงงานต่างชาติย้ายฐานมาไทยด้วย มีคนไทยถือหุ้นเกิน51%ก็ตาม,แต่ทั้งโรงงานเป็นแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานย้ายฐานมานั้นอีก ทรัมป์อาจเก็บกิจการโรงงานที่อัตราภาษี200%บวกอีก200%ข้อหาแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานที่มิใช่คนไทยเลยก็ด้วย,ทรัมป์ทำแบบนี้นะ จะเก็บส่วยเก็บตังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทแน่นอน,สามารถมีตังล้างหนี้อเมริกากว่า35-36ล้านล้านเหรียญนั้นภายในไม่กี่ปีจริง,ทั้งช่วยสร้างงานจริงแก่คนในพื้นที่ของคนภายในประเทศเขาเองนั้นๆด้วย,ย่อมาไทยคือกิจการบริษัทต่างๆและโรงงานต่างๆทั่วประเทศไทยจะจ้างงานคนไทยมากกว่าคนต่างด้าวต่างชาติทันทีเพราะแลกกับตังที่สูญเสียไปไม่คุ้มทุนนั้นเอง บังเอิญทุกๆประเทศเสือกลอกเลียนแบบอเมริกา,bricsเองก็ด้วยกำหนดให้ชาติสมาชิกใช้มาตราการนี้มาตราฐานนี้เช่นกัน,คุณภาพการทำงานจะถูกเอาใจใส่ทันทีด้วย ชาวโลกทั่วโลกจะไม่ตกงาน ทำงานก็จะมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากหน้างานตำแหน่งงานเนื้องานแบบในอดีตอีก,ชนะด้วยกันหมด,อัพเรเวลโลกอีกสถานะหนึ่งนะนั้น.,ฝ่ายแสงบังเอิญมาอ่านผ่านๆไป เอาไปบอกทรัมป์ด้วย.บังคับแดกยารักษาพิษกลายๆก็ว่า,ขมในช่วงต้น แล้วสุขภาพจะดีในทุกๆประเทศ ค้าขายอย่างมีความสุขร่วมกันอีกครััง. https://youtube.com/watch?v=auqh7GjGax0&si=PWLqM2E30_vhlihE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา
    วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ[2] ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์[3]

    การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น"วันพระรัตนตรัย" อีกด้วย

    เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธในประเทศไทย
    วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568 วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ[2] ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์[3] การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น"วันพระรัตนตรัย" อีกด้วย เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่คณะสังฆมนตรี ได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธในประเทศไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องนี้เริ่มจาก Dylan ที่ตอนอายุแค่ 10–11 ก็เล่นแฮกโค้ดเว็บเรียนออนไลน์ในโรงเรียน จนสามารถ “ปลดล็อกเกมบนคอมพิวเตอร์เรียน” ได้ — แม้จะโดนตักเตือน แต่ก็เป็นจุดเริ่มของความสนใจด้านการหาช่องโหว่

    พอช่วงโควิด Dylan เริ่ม “เลี่ยงข้อจำกัดบนเครือข่ายนักเรียน” และมาสู่จุดเปลี่ยนตอนเจอช่องโหว่ใน Microsoft Teams ที่สามารถ takeover กลุ่มใดก็ได้ → เขาเลือกไม่ใช้ประโยชน์เอง แต่แจ้งไปยัง MSRC แบบ responsible disclosure

    ผลคือ:
    - เขาได้เป็นนักวิจัย bug bounty อย่างเป็นทางการตอนอายุ 13
    - Microsoft ต้องปรับข้อกำหนดให้เปิดรับเด็กอายุ 13 ขึ้นไป
    - และเขายังติดโผ “MSRC Most Valuable Researcher” ในปี 2022 และ 2024 ด้วย!

    ช่วงซัมเมอร์ล่าสุด (2024) Dylan ส่งรายงานช่องโหว่ให้ Microsoft ถึง 20 ฉบับในเวลาไม่กี่เดือน (จากก่อนหน้าที่เคยส่งแค่ 6) → ยังคว้าอันดับ 3 ในงานแข่งขัน Zero Day Quest ที่ Microsoft จัดใน Redmond ได้อีกด้วย

    แม้วันนี้เขายังเป็นเด็กมัธยม แต่ก็เข้าใจหลักความรับผิดชอบของสาย white-hat อย่างเต็มตัว และยังมองว่า security เป็น “แค่กิจกรรมสนุก ๆ” ที่อยากทำควบคู่กับวิทยาศาสตร์และพลเมืองศึกษาด้วยซ้ำ

    Dylan เริ่มต้นศึกษาเขียนโค้ดตั้งแต่เด็กก่อนวัยรุ่น → ด้วย Scratch, HTML ฯลฯ

    พบช่องโหว่ takeover group บน Microsoft Teams และเลือก responsible disclosure

    กลายเป็นเหตุผลที่ Microsoft แก้เงื่อนไข Bug Bounty ให้เด็กอายุ 13 เข้าร่วมได้

    ได้รับรางวัล “Most Valuable Researcher” จาก Microsoft MSRC ปี 2022 และ 2024

    ส่งรายงานช่องโหว่ 20 ฉบับในฤดูร้อนเดียว (2024)

    คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขัน Zero Day Quest จัดโดย Microsoft เดือนเมษายน 2025

    แม้จะยังเป็นนักเรียนมัธยม แต่ได้รับความเคารพในวงการและสร้างแรงบันดาลใจวงกว้าง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/microsofts-youngest-security-researcher-started-collaboration-with-the-company-at-just-13-high-school-junior-filed-20-vulnerability-reports-last-summer-named-msrc-most-valuable-researcher-twice
    เรื่องนี้เริ่มจาก Dylan ที่ตอนอายุแค่ 10–11 ก็เล่นแฮกโค้ดเว็บเรียนออนไลน์ในโรงเรียน จนสามารถ “ปลดล็อกเกมบนคอมพิวเตอร์เรียน” ได้ — แม้จะโดนตักเตือน แต่ก็เป็นจุดเริ่มของความสนใจด้านการหาช่องโหว่ พอช่วงโควิด Dylan เริ่ม “เลี่ยงข้อจำกัดบนเครือข่ายนักเรียน” และมาสู่จุดเปลี่ยนตอนเจอช่องโหว่ใน Microsoft Teams ที่สามารถ takeover กลุ่มใดก็ได้ → เขาเลือกไม่ใช้ประโยชน์เอง แต่แจ้งไปยัง MSRC แบบ responsible disclosure ผลคือ: - เขาได้เป็นนักวิจัย bug bounty อย่างเป็นทางการตอนอายุ 13 - Microsoft ต้องปรับข้อกำหนดให้เปิดรับเด็กอายุ 13 ขึ้นไป - และเขายังติดโผ “MSRC Most Valuable Researcher” ในปี 2022 และ 2024 ด้วย! ช่วงซัมเมอร์ล่าสุด (2024) Dylan ส่งรายงานช่องโหว่ให้ Microsoft ถึง 20 ฉบับในเวลาไม่กี่เดือน (จากก่อนหน้าที่เคยส่งแค่ 6) → ยังคว้าอันดับ 3 ในงานแข่งขัน Zero Day Quest ที่ Microsoft จัดใน Redmond ได้อีกด้วย แม้วันนี้เขายังเป็นเด็กมัธยม แต่ก็เข้าใจหลักความรับผิดชอบของสาย white-hat อย่างเต็มตัว และยังมองว่า security เป็น “แค่กิจกรรมสนุก ๆ” ที่อยากทำควบคู่กับวิทยาศาสตร์และพลเมืองศึกษาด้วยซ้ำ ✅ Dylan เริ่มต้นศึกษาเขียนโค้ดตั้งแต่เด็กก่อนวัยรุ่น → ด้วย Scratch, HTML ฯลฯ ✅ พบช่องโหว่ takeover group บน Microsoft Teams และเลือก responsible disclosure ✅ กลายเป็นเหตุผลที่ Microsoft แก้เงื่อนไข Bug Bounty ให้เด็กอายุ 13 เข้าร่วมได้ ✅ ได้รับรางวัล “Most Valuable Researcher” จาก Microsoft MSRC ปี 2022 และ 2024 ✅ ส่งรายงานช่องโหว่ 20 ฉบับในฤดูร้อนเดียว (2024) ✅ คว้าอันดับ 3 ในการแข่งขัน Zero Day Quest จัดโดย Microsoft เดือนเมษายน 2025 ✅ แม้จะยังเป็นนักเรียนมัธยม แต่ได้รับความเคารพในวงการและสร้างแรงบันดาลใจวงกว้าง https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/microsofts-youngest-security-researcher-started-collaboration-with-the-company-at-just-13-high-school-junior-filed-20-vulnerability-reports-last-summer-named-msrc-most-valuable-researcher-twice
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศสต้องการบรรจุเรื่องการบังคับให้อิหร่านจำกัดขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าเป็นส่วนหนึ่งในข้อกำหนดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

    มาครง แสดงความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับโครงการขีปนาวุธพิสัยไกลของอิหร่าน โดยกล่าวว่าจะต้องมีการจัดการเรื่องนี้ในการเจรจาโครงการนิวเคลียร์ครั้งใหม่กับเตหะราน

    เขากล่าวต่ออีกว่า ขีปนาวุธของอิหร่านจะเป็นภัยคุกคามไม่ใช่แค่ปัญหาในภูมิภาคอีกต่อไป แต่เป็นความเสี่ยงโดยตรงต่อความมั่นคงของยุโรป

    ความคิดเห็นของมาครงมีขึ้นหลังจากที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธที่มีความแม่นยำสูง ทำให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปรวมทั้งฝรั่งเศส กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพที่ขยายขอบเขตของข้อกำหนดให้กว้างขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องโครงการนิวเคลียร์ แต่จะรวมถึงการจำกัดการใช้ขีปนาวุธและการบังคับให้อิหร่านหยุดสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธทั่วภูมิภาค
    ประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศสต้องการบรรจุเรื่องการบังคับให้อิหร่านจำกัดขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าเป็นส่วนหนึ่งในข้อกำหนดเกี่ยวกับการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน มาครง แสดงความกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับโครงการขีปนาวุธพิสัยไกลของอิหร่าน โดยกล่าวว่าจะต้องมีการจัดการเรื่องนี้ในการเจรจาโครงการนิวเคลียร์ครั้งใหม่กับเตหะราน เขากล่าวต่ออีกว่า ขีปนาวุธของอิหร่านจะเป็นภัยคุกคามไม่ใช่แค่ปัญหาในภูมิภาคอีกต่อไป แต่เป็นความเสี่ยงโดยตรงต่อความมั่นคงของยุโรป ความคิดเห็นของมาครงมีขึ้นหลังจากที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธที่มีความแม่นยำสูง ทำให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปรวมทั้งฝรั่งเศส กำลังผลักดันข้อตกลงสันติภาพที่ขยายขอบเขตของข้อกำหนดให้กว้างขึ้น ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องโครงการนิวเคลียร์ แต่จะรวมถึงการจำกัดการใช้ขีปนาวุธและการบังคับให้อิหร่านหยุดสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธทั่วภูมิภาค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • · การตรวจสอบของกระทรวงกลาโหมยืนยันว่ากรมสรรพากรล้าสมัยไปแล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำลังล่มสลาย และกฎหมายภาษีระหว่างประเทศกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่ภายใต้โปรโตคอล GESARA ธนาคารกลางสหรัฐสูญเสียหน้าที่การสั่งการไปแล้ว โหนดควอนตัมกำลังดำเนินการกระจายความมั่งคั่งในระดับโลก การยกหนี้ สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากสินทรัพย์ และกระเป๋าเงินคืนสำหรับทุกประเทศที่ถูกทำลายโดยเผด็จการของธนาคารกลาง

    · กวนตานาโม: ความยุติธรรมทางทหารแข็งแกร่งขึ้น อ่าวกวนตานาโมเป็นที่ตั้งศาลที่เข้มแข็งที่สุดในโลกในปัจจุบัน วันที่ 4 มิถุนายนเป็นวันก่อสร้างโครงสร้างใต้ดินรุ่นใหม่ ทางเดินกักขังแบบไบโอเมตริกซ์ ปีกกักขังแยก และศูนย์เฝ้าระวังที่บูรณาการกับ AI

    · ข่าวกรองทางทหารยืนยันว่าการแฮ็กข้อมูลไบโอเมตริกซ์ที่สกัดกั้นได้ ซึ่งดำเนินการโดยผู้ควบคุมของไบเดนในสวิตเซอร์แลนด์ ถูกบล็อกก่อนที่พวกมันจะดูดสินทรัพย์สาธารณะของ QFS เข้าสู่กองทุนดำดั้งเดิมได้

    · คำสารภาพอันยอดเยี่ยมกว่า 2,000 ชั่วโมงยืนยันว่าห้องทดลองโคลนนิ่งบนดวงจันทร์เปิดดำเนินการจนถึงเดือนพฤษภาคม 2023 โปรแกรมกระตุ้น COVID ถูกฝังชิปติดตามประสาทไว้ คาราวานวัคซีนของ FEMA ถูกกำหนดให้แพร่กระจายอาวุธชีวภาพ ห้องทดลองหายไปแล้ว คำสารภาพถูกบันทึกไว้ และโลกจะรู้ในไม่ช้า

    · QFS: หัวใจของการรีเซ็ต ลืมเงินตรา ลืมเงินดิจิทัลไปได้เลย QFS ไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจโลกใหม่ ชาติที่มีอำนาจอธิปไตยทั้งหมดที่สอดคล้องกับพันธมิตรกำลังดำเนินการโหนด QFS แบบคู่ขนาน ห้องนิรภัยทองคำดิจิทัลออนไลน์แล้ว การสร้างโทเค็นสกุลเงินสายรุ้งกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ห้องนิรภัยที่เชื่อมต่อกับการเข้ารหัสควอนตัมระดับเทสลาอยู่ในช่วงล็อกขั้นสุดท้าย

    · เงินเก่าของคุณกำลังจะตาย ความมั่งคั่งใหม่ของคุณเป็นแบบควอนตัม ปลอดภัย และอยู่ภายใต้การคุ้มครองทางทหาร ทุกธุรกรรม ทุกบัญชีแยกประเภท สาธารณะ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอิสระจากการควบคุมของ Rothschild ตลอดไป

    · ลอสแองเจลิสถูกปิดล้อม — การฟื้นฟูทางการทหารกำลังดำเนินไป การก่อจลาจลในแอลเอไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าหน้าที่โลกาภิวัตน์ที่แฝงตัวอยู่ในการเมืองของเมืองและเครือข่ายเอ็นจีโอ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ทรัมป์ได้อนุญาตให้มีการส่งกำลังทหารทั้งหมดเพื่อยึดแอลเอคืนจากกลุ่มประสานงานการประท้วงที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มค้ายา เซิร์ฟเวอร์ข่าวกรองต่างประเทศ และตัวแทนที่ได้รับเงินทุนจากโซรอส

    · เครือข่ายเข้ารหัสที่เชื่อมโยงกับกาตาร์ บรัสเซลส์ และซูริก ควบคุมการปฏิบัติการระดับถนนผ่านแอนติฟาและตัวแทนที่ได้รับการสนับสนุนจาก WEF ฝูงบินแบล็กฮอว์กควบคุมน่านฟ้าในปัจจุบัน ยานเกราะแคมป์เพนเดิลตันได้ล็อกบริเวณทางแยกสำคัญ ผู้นำกลุ่มค้ายาที่แฝงตัวอยู่ใน "เขตปลอดภัย" ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวถูกกำจัดด้วยการโจมตีที่แม่นยำ

    · JAG กำลังสอบสวนเจ้าหน้าที่ระดับรัฐ รวมถึงแกวิน นิวซัมและคาเรน บาสส์ ในข้อหาสมคบคิดและก่อกบฏในต่างประเทศ

    · การตรวจสอบของกระทรวงกลาโหมยืนยันว่ากรมสรรพากรล้าสมัยไปแล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำลังล่มสลาย และกฎหมายภาษีระหว่างประเทศกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่ภายใต้โปรโตคอล GESARA ธนาคารกลางสหรัฐสูญเสียหน้าที่การสั่งการไปแล้ว โหนดควอนตัมกำลังดำเนินการกระจายความมั่งคั่งในระดับโลก การยกหนี้ สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนจากสินทรัพย์ และกระเป๋าเงินคืนสำหรับทุกประเทศที่ถูกทำลายโดยเผด็จการของธนาคารกลาง · กวนตานาโม: ความยุติธรรมทางทหารแข็งแกร่งขึ้น อ่าวกวนตานาโมเป็นที่ตั้งศาลที่เข้มแข็งที่สุดในโลกในปัจจุบัน วันที่ 4 มิถุนายนเป็นวันก่อสร้างโครงสร้างใต้ดินรุ่นใหม่ ทางเดินกักขังแบบไบโอเมตริกซ์ ปีกกักขังแยก และศูนย์เฝ้าระวังที่บูรณาการกับ AI · ข่าวกรองทางทหารยืนยันว่าการแฮ็กข้อมูลไบโอเมตริกซ์ที่สกัดกั้นได้ ซึ่งดำเนินการโดยผู้ควบคุมของไบเดนในสวิตเซอร์แลนด์ ถูกบล็อกก่อนที่พวกมันจะดูดสินทรัพย์สาธารณะของ QFS เข้าสู่กองทุนดำดั้งเดิมได้ · คำสารภาพอันยอดเยี่ยมกว่า 2,000 ชั่วโมงยืนยันว่าห้องทดลองโคลนนิ่งบนดวงจันทร์เปิดดำเนินการจนถึงเดือนพฤษภาคม 2023 โปรแกรมกระตุ้น COVID ถูกฝังชิปติดตามประสาทไว้ คาราวานวัคซีนของ FEMA ถูกกำหนดให้แพร่กระจายอาวุธชีวภาพ ห้องทดลองหายไปแล้ว คำสารภาพถูกบันทึกไว้ และโลกจะรู้ในไม่ช้า · QFS: หัวใจของการรีเซ็ต ลืมเงินตรา ลืมเงินดิจิทัลไปได้เลย QFS ไม่ใช่ทฤษฎี แต่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจโลกใหม่ ชาติที่มีอำนาจอธิปไตยทั้งหมดที่สอดคล้องกับพันธมิตรกำลังดำเนินการโหนด QFS แบบคู่ขนาน ห้องนิรภัยทองคำดิจิทัลออนไลน์แล้ว การสร้างโทเค็นสกุลเงินสายรุ้งกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ห้องนิรภัยที่เชื่อมต่อกับการเข้ารหัสควอนตัมระดับเทสลาอยู่ในช่วงล็อกขั้นสุดท้าย · เงินเก่าของคุณกำลังจะตาย ความมั่งคั่งใหม่ของคุณเป็นแบบควอนตัม ปลอดภัย และอยู่ภายใต้การคุ้มครองทางทหาร ทุกธุรกรรม ทุกบัญชีแยกประเภท สาธารณะ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอิสระจากการควบคุมของ Rothschild ตลอดไป · ลอสแองเจลิสถูกปิดล้อม — การฟื้นฟูทางการทหารกำลังดำเนินไป การก่อจลาจลในแอลเอไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นการหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้าหน้าที่โลกาภิวัตน์ที่แฝงตัวอยู่ในการเมืองของเมืองและเครือข่ายเอ็นจีโอ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ทรัมป์ได้อนุญาตให้มีการส่งกำลังทหารทั้งหมดเพื่อยึดแอลเอคืนจากกลุ่มประสานงานการประท้วงที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มค้ายา เซิร์ฟเวอร์ข่าวกรองต่างประเทศ และตัวแทนที่ได้รับเงินทุนจากโซรอส · เครือข่ายเข้ารหัสที่เชื่อมโยงกับกาตาร์ บรัสเซลส์ และซูริก ควบคุมการปฏิบัติการระดับถนนผ่านแอนติฟาและตัวแทนที่ได้รับการสนับสนุนจาก WEF ฝูงบินแบล็กฮอว์กควบคุมน่านฟ้าในปัจจุบัน ยานเกราะแคมป์เพนเดิลตันได้ล็อกบริเวณทางแยกสำคัญ ผู้นำกลุ่มค้ายาที่แฝงตัวอยู่ใน "เขตปลอดภัย" ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวถูกกำจัดด้วยการโจมตีที่แม่นยำ · JAG กำลังสอบสวนเจ้าหน้าที่ระดับรัฐ รวมถึงแกวิน นิวซัมและคาเรน บาสส์ ในข้อหาสมคบคิดและก่อกบฏในต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 546 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สมศักดิ์” ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) เน้นควบคุมเฉพาะส่วนของช่อดอกกัญชา ผู้ซื้อต้องมีใบรับรองแพทย์ ผู้จำหน่ายต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมฯ ห้ามโฆษณาออนไลน์ ทุกช่องทางการค้า มีผลบังคับหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา

    กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2568 ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. – 5 มิ.ย.2568 และมีการขยายการรับฟังความคิดเห็นไปจนถึงวันที่ 15 มิ.ย.2568 รวมระยะเวลา 25 วัน โดยร้อยละ 59 เห็นด้วยกับร่างประกาศดังกล่าว และได้เสนอนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนาม ซึ่งนายสมศักดิ์ลงนามเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2568 เป็นการปรับปรุงจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 11 พ.ย.2565 ที่กำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบันประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดมาใช้ควบคุมเป็นการเฉพาะ เพื่อมิให้ใช้ไปในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ จึงควรมีการควบคุมไม่ให้นำกัญชาเฉพาะส่วนที่เป้นช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/qol/detail/9680000059522

    #Thaitimes #MGROnline #ประกาศกระทรวงสาธารณสุข #สมุนไพรควบคุม #กัญชา
    “สมศักดิ์” ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) เน้นควบคุมเฉพาะส่วนของช่อดอกกัญชา ผู้ซื้อต้องมีใบรับรองแพทย์ ผู้จำหน่ายต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมฯ ห้ามโฆษณาออนไลน์ ทุกช่องทางการค้า มีผลบังคับหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา • กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2568 ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. – 5 มิ.ย.2568 และมีการขยายการรับฟังความคิดเห็นไปจนถึงวันที่ 15 มิ.ย.2568 รวมระยะเวลา 25 วัน โดยร้อยละ 59 เห็นด้วยกับร่างประกาศดังกล่าว และได้เสนอนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนาม ซึ่งนายสมศักดิ์ลงนามเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา • ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2568 เป็นการปรับปรุงจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 11 พ.ย.2565 ที่กำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบันประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดมาใช้ควบคุมเป็นการเฉพาะ เพื่อมิให้ใช้ไปในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ จึงควรมีการควบคุมไม่ให้นำกัญชาเฉพาะส่วนที่เป้นช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/qol/detail/9680000059522 • #Thaitimes #MGROnline #ประกาศกระทรวงสาธารณสุข #สมุนไพรควบคุม #กัญชา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/
    เซเลนสกีเผยพร้อมพบปูติน แต่ยังไม่เลิกปากดีแซะปูติน โดยกล่าวว่า 'ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เกินกำหนดวาระก็ตาม'

    ในความเป็นจริง รัฐธรรมนูญของรัสเซียได้รับการปรับปรุงใหม่ เกี่ยวกับเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ขณะนี้ปูตินไม่ได้อยู่เกินกำหนดวาระแต่อย่างใด แต่ต่างโดยสิ้นเชิงกับเซเลนสกีที่หมดวาระตามรัฐธรรมนูญยูเครนไปแล้วกว่าหนึ่งปี

    การยอกย้อนของเซเลนสกีเกิดขึ้นหลังจากที่ปูตินเพิ่งเสร็จสิ้นกาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวต่างประเทศว่าเขายินดีที่จะพบกับเซเลนสกีเพื่อเจรจาสันติภาพ แต่ 'สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใครจะเป็นผู้ลงนามในข้อตกลง' เพราะรัฐธรรมนูญของยูเครนขณะนี้ไม่ได้กำหนดให้เซเลนสกีขยายวาระการดำรงตำแหน่งต่อไปได้ "วาระการดำรงตำแหน่งของเซเลนสกีสิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024"
    2/ เซเลนสกีเผยพร้อมพบปูติน แต่ยังไม่เลิกปากดีแซะปูติน โดยกล่าวว่า 'ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เกินกำหนดวาระก็ตาม' 👉ในความเป็นจริง รัฐธรรมนูญของรัสเซียได้รับการปรับปรุงใหม่ เกี่ยวกับเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ขณะนี้ปูตินไม่ได้อยู่เกินกำหนดวาระแต่อย่างใด แต่ต่างโดยสิ้นเชิงกับเซเลนสกีที่หมดวาระตามรัฐธรรมนูญยูเครนไปแล้วกว่าหนึ่งปี 👉การยอกย้อนของเซเลนสกีเกิดขึ้นหลังจากที่ปูตินเพิ่งเสร็จสิ้นกาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวต่างประเทศว่าเขายินดีที่จะพบกับเซเลนสกีเพื่อเจรจาสันติภาพ แต่ 'สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใครจะเป็นผู้ลงนามในข้อตกลง' เพราะรัฐธรรมนูญของยูเครนขณะนี้ไม่ได้กำหนดให้เซเลนสกีขยายวาระการดำรงตำแหน่งต่อไปได้ "วาระการดำรงตำแหน่งของเซเลนสกีสิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • 1/
    เซเลนสกีเผยพร้อมพบปูติน แต่ยังไม่เลิกปากดีแซะปูติน โดยกล่าวว่า 'ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เกินกำหนดวาระก็ตาม'

    ในความเป็นจริง รัฐธรรมนูญของรัสเซียได้รับการปรับปรุงใหม่ เกี่ยวกับเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ขณะนี้ปูตินไม่ได้อยู่เกินกำหนดวาระแต่อย่างใด แต่ต่างโดยสิ้นเชิงกับเซเลนสกีที่หมดวาระตามรัฐธรรมนูญยูเครนไปแล้วกว่าหนึ่งปี

    การยอกย้อนของเซเลนสกีเกิดขึ้นหลังจากที่ปูตินเพิ่งเสร็จสิ้นกาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวต่างประเทศว่าเขายินดีที่จะพบกับเซเลนสกีเพื่อเจรจาสันติภาพ แต่ 'สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใครจะเป็นผู้ลงนามในข้อตกลง' เพราะรัฐธรรมนูญของยูเครนขณะนี้ไม่ได้กำหนดให้เซเลนสกีขยายวาระการดำรงตำแหน่งต่อไปได้ "วาระการดำรงตำแหน่งของเซเลนสกีสิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024"
    1/ เซเลนสกีเผยพร้อมพบปูติน แต่ยังไม่เลิกปากดีแซะปูติน โดยกล่าวว่า 'ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เกินกำหนดวาระก็ตาม' 👉ในความเป็นจริง รัฐธรรมนูญของรัสเซียได้รับการปรับปรุงใหม่ เกี่ยวกับเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปตั้งแต่ปี 2020 ทำให้ขณะนี้ปูตินไม่ได้อยู่เกินกำหนดวาระแต่อย่างใด แต่ต่างโดยสิ้นเชิงกับเซเลนสกีที่หมดวาระตามรัฐธรรมนูญยูเครนไปแล้วกว่าหนึ่งปี 👉การยอกย้อนของเซเลนสกีเกิดขึ้นหลังจากที่ปูตินเพิ่งเสร็จสิ้นกาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวต่างประเทศว่าเขายินดีที่จะพบกับเซเลนสกีเพื่อเจรจาสันติภาพ แต่ 'สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใครจะเป็นผู้ลงนามในข้อตกลง' เพราะรัฐธรรมนูญของยูเครนขณะนี้ไม่ได้กำหนดให้เซเลนสกีขยายวาระการดำรงตำแหน่งต่อไปได้ "วาระการดำรงตำแหน่งของเซเลนสกีสิ้นสุดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม

    เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้
    ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”...

    เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ?

    ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน

    ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร

    ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต

    การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง)

    Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748
    http://www.naradafoundation.org/content/6526
    https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html

    #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    เพื่อนเพจที่ได้อ่านนิยาย/ดูละครเรื่อง <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> คงจำได้ว่า เป็นเรื่องราวแนวสืบสวนที่พูดถึงการใช้ข้อมูลจากบันทึกและทะเบียนต่างๆ มาใช้ในการแกะรอยคนร้าย มีหลายประเด็นที่ทำให้ Storyฯ สงสัยเลยต้องไปหาข้อมูลมาเพิ่ม เรื่องที่จะเล่าวันนี้มีความ ‘เอ๊ะ’ ตรงไหน เรามาดูจากคำพูดข้างล่างจากในละครเรื่องนี้ ... สวีปินกล่าว “จากบันทึกทะเบียนบ้านของคนผู้นี้ เขาย้ายมาฉางอันเมื่อปีที่ยี่สิบหกในรัชศกก่อน จดทะเบียนในนามหลงปอ ต่อมาย้ายบ้านหลายครา เมื่อปีที่แล้วย้ายเข้าหวยหย่วนฟาง ที่ดูน่าสงสัยคือ เมื่อปลายปีรัชศกเทียนเป่าปีที่สอง มีการจัดทำสมุดทะเบียนใหม่ กำหนดให้ใส่รายละเอียดใบหน้าให้ชัดเจน แต่ทะเบียนของหลงปอยังคงเป็นทะเบียนเก่าสมัยรัชศกก่อน ไม่เคยระบุรายละเอียดหน้าตา”... เพื่อนเพจสงสัยเหมือนกันไหมว่า ทะเบียนราษฎร์ในสมัยราชวงศ์ถัง (รัชศกเทียนเป่าคือช่วงปีค.ศ. 742-756) ถึงขนาดมีรายละเอียดใบหน้าชัดเจนเชียวหรือ? ไปค้นข้อมูลมาจึงพบว่า การนับจำนวนประชากรในจีนโบราณมีมาตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อนคริสตกาล เดิมเป็นการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้เพื่อช่วยเหลือคนในยามเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ไม่ปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นเพียงการนับจำนวนประชากรหรือมีการบันทึกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (ปี 1045-771 ก่อนคริสตกาล) มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์ทุกสามปี รายละเอียดที่บันทึกไว้รวมถึงวันเกิด วันตาย เพศ และที่อยู่ของประชาชน ในสมัยฉิน มีการจัดทำทะเบียนราษฎร์อย่างเข้มงวด นอกจากรายละเอียดข้างต้นยังมีการระบุเจ้าบ้าน ชื่อสามี-ภรรยา โดยวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อใช้ในการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหาร ต่อมาในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 221) ประชาชนมีหน้าที่รายงานข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัวทุกปี โดยข้อมูลจะถูกตรวจสอบโดยทางการท้องถิ่นอีกครั้งก่อนจะรวบรวมส่งทางการส่วนกลาง รายละเอียดที่บันทึกรวมถึงชื่อแซ่ อายุ ภูมิลำเนาเดิม สถานะสมรส รายละเอียดหน้าตา รายได้ และจำนวนพื้นที่ของที่ดินที่ถือครอง หากจะย้ายบ้าน ต้องทำการรายงานกับที่ว่าการท้องถิ่นก่อนจึงจะย้ายออกได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนพเนจร ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย (คือโดนฆ่าตายก็ไม่มีการสืบสวนเอาผิดคนฆ่า) ว่ากันว่าทะเบียนราษฏร์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี้ละเอียดถูกต้องเชื่อถือได้มากกว่าครั้งใดที่จีนเคยทำมาในอดีต การจัดทำทะเบียนราษฎร์มีต่อมาเรื่อยๆ และมีการลงรายละเอียดมากขึ้นในยุคสมัยราชวงศ์ถัง (ซึ่งเรื่องราวของ <ฉางอันสิบสองชั่วยาม> เกิดขึ้นในสมัยนี้) ในสมัยนั้น ทะเบียนราษฎร์คือการสรุปรวมข้อมูลของทะเบียนบ้านหรือที่เรียกว่า ‘โส่วสือ’ (手实) มีการจัดแยกหมวดหมู่ตามสถานะ กล่าวคือเป็นเจ้าบ้าน เป็นสมาชิกของตระกูล หรือเป็นผู้อยู่อาศัยในเรือนเช่นทาส บ่าว นักดนตรี ฯลฯ และมีการบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติมของรูปพรรณสัณฐาน เช่นส่วนสูง สีผิว เป็นต้น โดยมีเพียงสมาชิกของตระกูลเท่านั้นที่จะมีสิทธิแยกออกมาจัดตั้งครัวเรือนใหม่ได้ (Storyฯ เพิ่งเข้าใจบริบทที่ว่าบางนิยายจีนโบราณกล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ของคนในตระกูลเดียวกันที่ฟังดูเป็นเรื่องราวใหญ่โต) สำหรับชาวไร่ชาวนา ข้อมูลจากโส่วสือยังถูกใช้ในการจัดสรรที่ดินทำกิน โดยอิงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกคืออาชีพของคนในบ้าน เช่น นายช่าง ทหาร หรือข้าราชการ ฯลฯ และมีรายละเอียดรายรับและสินทรัพย์ของแต่ละคนเพิ่มเติม เช่นจำนวนที่ดิน บ้าน ร้านค้า รถม้า เรือ ฯลฯ ทะเบียนราษฎร์นี้เรียกว่า ‘หวงเช่อ’ (黄册) แปลตรงตัวว่าสมุดเหลือง เพราะมักใช้ปกสีเหลือง (โนว์... ไม่ใช่สมุดโทรศัพท์ Yellow Pages จ้า) อีกทั้งการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มาใช้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น ใครจะเดินทางต้องพกเอกสารใบอนุญาตที่มีข้อมูลประจำตัวและบ้าน (Storyฯ นึกถึงในละครที่จะผ่านประตูเมืองแต่ละครั้งต้องควักเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง) Storyฯ รู้สึกทึ่งว่า แบบแผนการบริหารงานบ้านเมืองในโลกปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ได้หนีจากของโบราณที่มีมาหลายพันปีแล้วเลย คนโบราณช่างคิดช่างทำ เก่งจริง เพื่อนๆ ว่าไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://luvasianseries.blogspot.com/2020/10/longest-day-in-changan.html https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/113664748 http://www.naradafoundation.org/content/6526 https://daydaynews.cc/zh-hans/history/160001.html #ฉางอันสิบสองชั่วยาม #ประวัติศาสตร์จีน #ทะเบียนราษฎร์จีน #ราชวงศ์ถัง
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 515 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฐมบท ไทยเสียดินแดน?

    7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป

    ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว

    ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด

    พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์

    ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร

    #Newskit
    ปฐมบท ไทยเสียดินแดน? 7 โมงเช้า 15 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก เพื่อขอแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต อาศัยวันที่ศาลโลกตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน อ้างว่าต้องการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนซึ่งเสี่ยงที่จะปะทะด้วยอาวุธ กลไกทวิภาคีไม่สามารถแก้ไขได้ และอ้างว่าขอความยุติธรรม ความเป็นธรรม และความชัดเจนในการกำหนดเขตแดนและขอบเขตกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อที่คนรุ่นหลังจะไม่มีปัญหากันอีกต่อไป ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) นอกจากจะอนุมัติวาระการประชุม 4 หัวข้อแล้ว นายลัม เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักเลขาธิการกิจการชายแดน และประธานคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมกัมพูชา ยังกล่าวว่า กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนทั้ง 4 พื้นที่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้ไทยจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกก็ตาม โดยจะไม่นำมาเป็นหัวข้อในการหารือภายใต้กรอบ JBC อีกต่อไป อีกทั้งนโยบายรัฐบาลกัมพูชายังยึดถือ MOU 2543 โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 และไม่ยอมรับแผนที่ฝ่ายไทยวาดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของไทย อ้างว่ามิได้มีการหารือในประเด็นที่กัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยมิได้มีการหารือประเด็นแผนที่ 1:200,000 คณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด พรมแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามีระยะทาง 798 กิโลเมตร ปักปันเขตแดนแล้ว 603 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด รวม 73 หลัก แต่ยังไม่ปักปันเขตแดน 195 กิโลเมตร ตั้งแต่ช่องสะงำ ถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กำหนดให้เป็นไปตามสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรัก แต่ไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ กัมพูชาใช้แผนที่ 1:200,000 ที่มีมาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด คลาดเคลื่อนหลักเขตแดนมากถึง 200 เมตร ขณะที่ไทยถือแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร มีความละเอียดของเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน เห็นแนวสันเขา ร่องน้ำที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางภูมิศาสตร์ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาทำสงครามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กลับไม่มีท่าทีใดๆ ออกมาชัดเจน ท่ามกลางสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุนของกัมพูชา และความไม่ไว้วางใจของประชาชนชาวไทย ที่ประเทศไทยกำลังจะเสียดินแดนอีกครั้งต่อจากเขาพระวิหาร #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวล่าสุดเผยว่า มีแอป VPN ฟรีกว่า 17 รายการใน App Store ของ Apple และ Google Play Store ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน โดยบางแอปอาจมีความเชื่อมโยงกับบริษัท Qihoo 360 ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีสายสัมพันธ์กับกองทัพจีน เรื่องนี้ถูกค้นพบโดย Tech Transparency Project (TTP) ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า Apple และ Google อาจได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจากแอปเหล่านี้ ด้วย

    VPN ฟรีที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน
    - แอป VPN ฟรีอย่าง Turbo VPN, VPN Proxy Master, Thunder VPN, Snap VPN และ Signal Secure VPN มีสายสัมพันธ์กับ Qihoo 360 ซึ่งถูกลงโทษโดยสหรัฐฯ ในปี 2020
    - ยังพบว่า อีก 11 แอป VPN ที่มีเจ้าของเป็นชาวจีนยังคงมีอยู่ใน App Store ของสหรัฐฯ ได้แก่ X-VPN, Ostrich VPN, VPNIFY, VPN Proxy OvpnSpider และอื่นๆ
    - Google Play Store ก็มีแอปที่เกี่ยวข้องกับจีนเช่นกัน รวมถึง Turbo VPN, VPN Proxy Master, Snap VPN และ Signal Secure VPN

    Apple และ Google อาจได้รับรายได้จากแอปเหล่านี้
    - แอป VPN บางตัวใน App Store มีการขาย การสมัครสมาชิกและบริการเพิ่มเติมในแอป ซึ่งหมายความว่า Apple และ Google อาจได้รับส่วนแบ่งรายได้
    - แอปบางตัวใน Google Play Store มีโฆษณา เช่น Turbo VPN

    ไม่มีการตอบกลับจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง
    - Apple ระบุว่ามีแนวทางเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลในแอป VPN
    - อย่างไรก็ตาม Apple ไม่ได้จำกัดการแจกจ่ายแอปตามประเทศของผู้ให้บริการ
    - Qihoo 360 และนักพัฒนาแอป VPN ที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้ตอบกลับข้อเรียกร้องของ TTP

    ข้อมูลเพิ่มเติมและคำเตือน
    ความเสี่ยงของผู้ใช้ VPN ฟรี
    - VPN ที่มีเจ้าของเป็นชาวจีนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนดให้เก็บข้อมูล และอาจต้องแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน
    - แม้ว่า VPN จะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว แต่หากมีเจ้าของที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลต่างประเทศ อาจเกิดความเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนบุคคล
    - VPN ฟรีบางตัวอาจมีโฆษณาหรือฟีเจอร์ที่ซ่อนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

    แนวทางในการเลือกใช้ VPN ที่ปลอดภัย
    - ควรเลือกใช้ VPN ที่มีนโยบาย "ไม่บันทึกข้อมูล" (No-Log Policy) และมีบริษัทที่สามารถตรวจสอบประวัติความน่าเชื่อถือได้
    - VPN ที่ได้รับการแนะนำว่าปลอดภัย ได้แก่ Privado VPN และ Proton VPN ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความโปร่งใส
    - หลีกเลี่ยงแอป VPN ฟรีที่ไม่เปิดเผยข้อมูลบริษัทผู้ให้บริการ

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/these-free-vpns-may-have-ties-to-chinas-military-and-they-are-still-hidden-in-apple-and-google-app-stores
    ข่าวล่าสุดเผยว่า มีแอป VPN ฟรีกว่า 17 รายการใน App Store ของ Apple และ Google Play Store ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน โดยบางแอปอาจมีความเชื่อมโยงกับบริษัท Qihoo 360 ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีสายสัมพันธ์กับกองทัพจีน เรื่องนี้ถูกค้นพบโดย Tech Transparency Project (TTP) ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า Apple และ Google อาจได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจากแอปเหล่านี้ ด้วย ✅ VPN ฟรีที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน - แอป VPN ฟรีอย่าง Turbo VPN, VPN Proxy Master, Thunder VPN, Snap VPN และ Signal Secure VPN มีสายสัมพันธ์กับ Qihoo 360 ซึ่งถูกลงโทษโดยสหรัฐฯ ในปี 2020 - ยังพบว่า อีก 11 แอป VPN ที่มีเจ้าของเป็นชาวจีนยังคงมีอยู่ใน App Store ของสหรัฐฯ ได้แก่ X-VPN, Ostrich VPN, VPNIFY, VPN Proxy OvpnSpider และอื่นๆ - Google Play Store ก็มีแอปที่เกี่ยวข้องกับจีนเช่นกัน รวมถึง Turbo VPN, VPN Proxy Master, Snap VPN และ Signal Secure VPN ✅ Apple และ Google อาจได้รับรายได้จากแอปเหล่านี้ - แอป VPN บางตัวใน App Store มีการขาย การสมัครสมาชิกและบริการเพิ่มเติมในแอป ซึ่งหมายความว่า Apple และ Google อาจได้รับส่วนแบ่งรายได้ - แอปบางตัวใน Google Play Store มีโฆษณา เช่น Turbo VPN ✅ ไม่มีการตอบกลับจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง - Apple ระบุว่ามีแนวทางเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลในแอป VPN - อย่างไรก็ตาม Apple ไม่ได้จำกัดการแจกจ่ายแอปตามประเทศของผู้ให้บริการ - Qihoo 360 และนักพัฒนาแอป VPN ที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้ตอบกลับข้อเรียกร้องของ TTP 🚨 ข้อมูลเพิ่มเติมและคำเตือน ‼️ ความเสี่ยงของผู้ใช้ VPN ฟรี - VPN ที่มีเจ้าของเป็นชาวจีนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กำหนดให้เก็บข้อมูล และอาจต้องแบ่งปันข้อมูลกับรัฐบาลจีน - แม้ว่า VPN จะถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว แต่หากมีเจ้าของที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลต่างประเทศ อาจเกิดความเสี่ยงต่อข้อมูลส่วนบุคคล - VPN ฟรีบางตัวอาจมีโฆษณาหรือฟีเจอร์ที่ซ่อนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ‼️ แนวทางในการเลือกใช้ VPN ที่ปลอดภัย - ควรเลือกใช้ VPN ที่มีนโยบาย "ไม่บันทึกข้อมูล" (No-Log Policy) และมีบริษัทที่สามารถตรวจสอบประวัติความน่าเชื่อถือได้ - VPN ที่ได้รับการแนะนำว่าปลอดภัย ได้แก่ Privado VPN และ Proton VPN ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความโปร่งใส - หลีกเลี่ยงแอป VPN ฟรีที่ไม่เปิดเผยข้อมูลบริษัทผู้ให้บริการ https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/these-free-vpns-may-have-ties-to-chinas-military-and-they-are-still-hidden-in-apple-and-google-app-stores
    WWW.TECHRADAR.COM
    These free VPNs may have ties to China’s military – and they are still hidden in Apple and Google app stores
    New research reveals 17 VPN apps with undisclosed Chinese ownership, and big tech may be making a profit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 1020
    ชื่อบทธรรม :- อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค-รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค
    --รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    --จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ
    ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : -
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา;
    +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี)
    http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี

    ++--เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี).
    http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=สุปฏินิสฺสคฺคี

    (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้
    มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือ
    ฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ
    ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม
    เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง
    กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป.
    โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้
    พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -)

    ก. จิตตุปปาทปริยาย
    +--การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า
    “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” ...
    เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า
    “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี)
    เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี)
    เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ
    เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)”
    ดังนี้นั้น
    ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว
    ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา.
    การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิดใคร่ครวญ เรียกว่า #จิตตุปปาทธัมมปริยาย.

    ข. ปริกกมนปริยาย
    +--การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล
    เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา.
    ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง
    ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ
    ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน”
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปริกกมนธัมปริยาย.

    ค. อุปริภาวังคมนปริยาย
    +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
    ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ)
    ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง)
    จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า
    “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น
    และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”.
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย.

    ง. ปรินิพพานปริยาย
    +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น
    ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น
    ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน)
    ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า
    “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน”
    ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า
    “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น
    และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน
    เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน
    ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน”
    การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปรินิพพานปริยาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/82/?keywords=ปรินิพฺพาน
    ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า
    ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้
    เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้
    ฉันใดก็ฉันนั้น.-

    (รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้
    ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว
    แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย
    ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย;
    ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร
    เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้
    โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น,
    ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/54 - 62/104 - 108.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/54/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๕ - ๘๓/๑๐๔ - ๑๐๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/75/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1020
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 1020 ชื่อบทธรรม :- อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค-รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020 เนื้อความทั้งหมด :- --หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค --รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา --จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : - +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น เป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา; +--ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี ++--เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี). http://etipitaka.com/read/pali/12/78/?keywords=สุปฏินิสฺสคฺคี (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้ มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป. โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้ พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -) ก. จิตตุปปาทปริยาย +--การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” ... เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และ เป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และ เป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)” ดังนี้นั้น ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา. การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิดใคร่ครวญ เรียกว่า #จิตตุปปาทธัมมปริยาย. ข. ปริกกมนปริยาย +--การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา. ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปริกกมนธัมปริยาย. ค. อุปริภาวังคมนปริยาย +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ) ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง) จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”. การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย. ง. ปรินิพพานปริยาย +--ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน) ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า #ปรินิพพานปริยาย. http://etipitaka.com/read/pali/12/82/?keywords=ปรินิพฺพาน ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.- (รายชื่อแห่งธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ คู่นี้ ไม่ได้ใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับการขูดเกลาอย่างเดียว แต่ใช้เพื่ออธิบายในการประพฤติกระทำอย่างอื่นด้วย ดังที่ได้แยกไว้เป็น ข้อ ก. ข. ค. ง. ในตอนท้าย; ผู้ที่ตั้งใจจะศึกษาจริงๆ พึงกำหนดให้ชัดเจนว่ามีลำดับอย่างไร เป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกอย่างไร ก็จะสามารถเข้าใจข้อความที่ละไว้ โดยไม่นำมาใส่ไว้ให้เต็ม เช่น อ้างถึงแต่ข้อต้น และ ข้อสุดท้าย เป็นต้น, ก็จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามปรารถนา). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/54 - 62/104 - 108. http://etipitaka.com/read/thai/12/54/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๗๕ - ๘๓/๑๐๔ - ๑๐๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/75/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1020 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1020 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค--รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา
    -[ในสูตรนี้ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”; ส่วนในสูตรอื่นๆ (๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗) ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี. ในสูตรอื่นทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี ( ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖) ]. หมวด ช. ว่าด้วย อุปกรณ์การปฏิบัติมรรค รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา (เรื่องควรดูประกอบในหน้า ๙๑๑, ๙๒๖, ๑๓๐๐, ๑๓๔๑, ๑๓๖๔, ๑๔๑๒, ๑๔๑๔ และในขุม.โอ.หน้า ๓๒๒) จุนทะ ! สัลเลขธรรม (ความขูดเกลา) เป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายพึงกระทำ ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ กล่าวคือ : ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำปาณาติบาต เราจัก เว้นขาดจากปาณาติบาต; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น กระทำอทินนาทาน เราจัก เว้นขาดจากอทินนาทาน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นไม่ประพฤติพรหมจรรย์ เราจักเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเท็จ เราจัก เว้นขาดจากการพูดท็จ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดส่อเสียด เราจัก เว้นขาดจากการพูดส่อเสียด; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดคำหยาบ เราจัก เว้นขาดจากการพูดคำหยาบ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น พูดเพ้อเจ้อ เราจัก เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ ไม่มากด้วยอภิชฌา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ ไม่มีจิตพยาบาท; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาทิฏิฐิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาทิฏิฐิ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสังกัปปะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสังกัปปะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวาจา เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวาจา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉากัมมันตะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมากัมมันตะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาอาชีวะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาอาชีวะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวายามะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวายามะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสติ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาสมาธิ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาสมาธิ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาญาณะ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาญาณะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีมิจฉาวิมุตติ เราจักเป็นผู้ มีสัมมาวิมุตติ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีถีนมิทธะกลุ้มรุม เราจักเป็นผู้ ปราศจากถีนมิทธะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่น มีวิจิกิจฉา เราจักเป็นผู้ ข้ามพ้นวิจิกิจฉา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มักโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่มักโกรธ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ ไม่ผูกโกรธ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ ไม่ลบหลู่คุณ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ แข่งดี เราจักเป็นผู้ ไม่แข่งดี; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ริษยา เราจักเป็นผู้ ไม่ริษยา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ ไม่ตระหนี่; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ โอ้อวด เราจักเป็นผู้ ไม่โอ้อวด; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมารยา เราจักเป็นผู้ ไม่มีมารยา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ กระด้าง เราจักเป็นผู้ ไม่กระด้าง; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ ไม่ดูหมิ่นท่าน; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ว่ายาก เราจักเป็นผู้ ว่าง่าย; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีมิตรชั่ว เราจักเป็นผู้ มีมิตรดี; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ประมาท เราจักเป็นผู้ ไม่ประมาท; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีสัทธา เราจักเป็นผู้ มีสัทธา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีหิริ เราจักเป็นผู้ มีหิริ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ไม่มีโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้ มีโอตตัปปะ; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสุตะน้อย เราจักเป็นผู้ มีสุตะมาก; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ขี้เกียจ เราจักเป็นผู้ ปรารภความเพียร; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีสติหลงลืม เราจักเป็นผู้ มีสติตั้งมั่น; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ มีปัญญาทราม เราจักเป็นผู้ ถึงพร้อมด้วยปัญญา; ทำสัลเลขะว่า เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็น ผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และเป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และเป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี). (ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดงไว้ในบาลีเกี่ยวกับการขูดเกลานี้ มีอยู่ ๔๔ คู่ เป็นคู่แห่งความตรงกันข้าม คือฝ่ายหนึ่งเป็นอกุศลไม่ควรกระทำ ฝ่ายหนึ่งเป็นกุศลที่ควรกระทำ ดังนั้นจึงเป็นการขูดเกลากันอยู่ในตัว เพราะความเป็นของตรงกันข้าม เรียกว่าธรรมเป็นเครื่องขูดเกลา ๔๔ อย่าง กับธรรมที่ควรขูดเกลา ๔๔ อย่างเป็นคู่กันไป. โดยอาศัยหลักที่มีอยู่ ๔๔ คู่นี้ พระองค์ได้ตรัสถึงธรรมปริยายอื่นๆ ต่อไปอีกคือ : -) ก. จิตตุปปาทปริยาย การกระทำจิตให้เกิดขึ้นโดยนัยยะ ๔๔ คู่ เป็นต้นว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ เบียดเบียน เราจักเป็นผู้ ไม่เบียดเบียน” เรื่อยไปจนกระทั่งถึงคู่สุดท้าย ว่า “เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน (สนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อาธานคาหี) และเป็นผู้ยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี) เราจักเป็นผู้ ไม่ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน (อสนฺทิฏฺฐิปรามาสี) เป็นผู้ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น (อนาธานคาหี) และเป็นผู้ง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน (สุปฺปฏินิสฺสคฺคี)” ดังนี้นั้น ยังได้ตรัสอีกว่า เพียงแต่ ตั้งจิตตุปบาทไว้ดังนี้ ก็เป็นการทำที่มีอุปการะมาก เสียแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึง การที่ได้ทำสำเร็จลงไปตามนั้นด้วยกายและด้วยวาจา. การเอาธรรม ๔๔ คู่นั้นมาทำไว้ในความคิด เรียกว่า จิตตุปปาทธัมมปริยาย. ข. ปริกกมนปริยาย การทำจิตให้หลีกออกมาเสียจากธรรมฝ่ายอกุศล มาอยู่ในธรรมฝ่ายกุศล เช่นคนหลีกทางผิดมาเดินอยู่ในทางถูก ดังนี้เรียกว่า ปริกกมนา. ธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายหลังเป็นฝ่ายถูก จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายที่ว่า ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นการหลีกออกจากทางผิดของบุคคลผู้ลูบคลำ ด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า ปริกกมนธัมปริยาย. ค. อุปริภาวังคมนปริยาย ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิด เป็น อโธภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายต่ำ) ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูก เป็น อุปริภาวังคมนียธรรม (นำไปสู่ฝ่ายสูง) จึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรกว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูง ของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้ายว่า “ความไม่เป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นธรรมนำไปสู่ภาวะฝ่ายสูงของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่าง เหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน”. การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า อุปริภาวังคมนธัมมปริยาย. ง. ปรินิพพานปริยาย ในธรรม ๔๔ คู่ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ฝ่ายแรกหรือฝ่ายผิดเป็นฝ่ายไม่ดับเย็น ฝ่ายหลังหรือฝ่ายถูกเป็นฝ่ายดับเย็น (ปรินิพพาน) ดังนั้นจึงมีพระบาลีวางไว้เป็นคู่แรก ว่า “ความไม่เบียดเบียน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้มีการเบียดเบียน” ดังนี้เรื่อยไปจนถึงคู่สุดท้าย ว่า “ความเป็นผู้ไม่ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และง่ายที่จะสลัดคืนซึ่งอุปาทาน เป็นไปเพื่อความดับเย็นของบุคคลผู้ลูบคลำด้วยทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างเหนียวแน่น และยากที่จะสลัดคืนซึ่ง อุปาทาน” การกระทำอย่างนี้ทั้ง ๔๔ คู่ เรียกว่า ปรินิพพานปริยาย. ข้อความตอนนี้ มีตรัสไว้พิเศษ ว่า ผู้ไม่ดับเย็นจะช่วยให้ผู้อื่นดับเย็นนั้นเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ติดหล่ม จะยกผู้อื่นขึ้นจากหล่มไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนถึงองครักษ์เสื้อแพรนอกเหนือจากที่มีในซีรีส์ ข้อมูลหาไม่ง่าย วันนี้เริ่มด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน

    ความมีอยู่ว่า
    ...เกาชิ่งมาเรียกหาจินเซี่ยแล้วถาม: “ใต้เท้าลู่มีคำถาม วันนี้เช่าเรือทั้งหมดสองเหลี่ยง รวมค่าชาและขนมบนเรืออีก คิดเป็นประมาณสามเฉียนแล้วกัน ท่านใต้เท้าออกเงินไปให้ก่อน แต่ถามว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะใช้คืน?”....
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ก่อนอื่นเทียบมูลค่าเงิน: 1 ตำลึงเงิน (เหลี่ยง) = 1,000 เฉียน (คือ เหวิน หรือ อีแปะ) = 1 ก้วน (พวงเหรียญเฉียน)

    ก่อนจะพูดถึงรายรับ เราดูค่าครองชีพกันหน่อย ราชวงศ์หมิงยาวนานเกือบ 300 ปี แต่ลู่ปิ่งและลู่อี้มีตัวตนจริงอยู่ในรัชสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) (Storyฯ เคยเขียนถึงมาหลายเดือนก่อน) ในยุคสมัยนั้น เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคา 7-8 เฉียน เนื้อไก่หนึ่งชั่งราคา 3-4 เฉียน (เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบัน 595 กรัม) ดังนั้นราคาขนมและชาที่ยกข้อความมาจากในนิยายข้างต้นก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผล

    คำถามต่อมาคือ องครักษ์เสื้อแพรมีรายรับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพตามข้างต้น?

    มีตารางข้อมูลจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงมาให้ดู (ดูรูปประกอบ) เป็นอัตราเงินเดือนของขุนนางที่กำหนดไว้โดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง จ่ายเป็นเดือน แต่กำหนดอัตราไว้เป็นรายปี วงให้ดูว่าเงินเดือนของใต้เท้าลู่อี้และพ่อของเขาคือ:
    ลู่ถิง (ในนิยายชื่อลู่ปิ่ง) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร ยศขุนนางขั้นที่สามเต็ม ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 420 ตาน/ปี (เขียนหน่วยเป็นสือ ต่อมาเรียกเป็นตาน) ส่วนใต้เท้าลู่อี้ของเราในนิยายกล่าวไว้ว่าตอนที่แรกพบกับนางเอก เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เจ็ดล่าง ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 84 ตาน/ปี หรือ 7 ตาน/เดือน

    ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ เงินเดือนของข้าราชการสมัยนั้นปกติจ่ายเป็นข้าวสาร

    ข้าวสารหนึ่งตานสมัยนั้นหน้าตาเป็นกระบุงหาบ เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบันประมาณ 60 กก. เชื่อว่าขุนนางระดับสูงเวลารับเงินเดือนต้องใช้รถเข็นเลยทีเดียว

    แล้วถ้าคิดเป็นเงินล่ะ? อันนี้ผันแปรตามเงินเฟ้อ ข้าวสารหนึ่งตานในสมัยของใต้เท้าลู่นั้นราคา 0.584 ตำลึงเงิน ดังนั้นใต้เท้าลู่มีเงินเดือนเพียงประมาณ 4 ตำลึงเงิน/เดือน หรือ 4,000 เฉียนเท่านั้น! (ภาพการควักเงินหยวนเป่าออกมาวางให้เสี่ยวเอ้อตาโต หายแวบไปจากมโนของ Storyฯ ทันที)

    แล้วถ้าเปรียบเทียบวิชาชีพอื่น? สรุปโดยประมาณได้ดังนี้: ค่าจ้าง 600-1,700 เฉียน/เดือนขึ้นอยู่กับระดับงาน แผงขายอาหารในเมืองใหญ่ 1,300-1,600 เฉียน/เดือน ที่ดูจะรายได้ดีมากคือคนขับรถม้าที่ 3,000 เฉียน/เดือนเลยทีเดียว (หาไม่พบว่าเป็นเพราะอะไร) ส่วนเกษตรกรรายได้เฉลี่ย 750-1,200 เฉียน/เดือน

    แต่ขุนนางมี ‘สวัสดิการ’ อย่างอื่นด้วยคือผ้า เงินค่าน้ำชา ฟืน ชุดประจำตำแหน่ง จวนประจำตำแหน่ง เป็นต้น และยังไม่ต้องเสียภาษีเหมือนชาวนาหรือพ่อค้า แน่นอนว่าการต้องเลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ แต่เทียบกับวิชาชีพอื่นแล้ว หากได้เป็นขุนนางติดยศชีวิตความเป็นอยู่จะดีมาก

    สมัยนั้นตำแหน่งจอหงวนคือลำดับหกเต็ม Storyฯ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงขวนขวายเข้าเมืองหลวงสอบจอหงวนกัน ยศสูงกว่าใต้เท้าลู่อี้เสียอีก! (วันนี้คุยเรื่องเงินทอง ไม่คุยเรื่องอุดมการณ์ค่ะ)

    เขียนเพิ่มเติมหลังจากอัพเพจครั้งแรก:
    ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่นแล้ง หรือเกิดสงคราม ข้าวในคลังมีน้อย หรือในฤดูที่ไม่มีการเก็บเกี่ยว มีการแก้ไขการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ โดยกำหนดมูลค่าของข้าวเทียบเท่าของอย่างอื่น เช่น ผ้าผืน พริกไทย ใบชา เป็นต้น (อะไรก็ได้ที่มีมากในคลังหลวง) ต่อมาจึงมีแบ่งจ่ายเป็นตั๋วเงินด้วย ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมากำหนดให้จ่ายเป็นข้าว ตั๋วเงินและเงิน แต่ยังคงเทียบอัตราเงินเดือนเป็นข้าวสารอยู่

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.sohu.com/a/360665261_162238
    https://www.bilibili.com/read/cv9844919
    https://www.zmkm8.com/artdata-94382.html
    https://www.sohu.com/a/273067566_559864
    http://www.gushizhuan.com/gdws/284082.html

    #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ราชวงศ์หมิง #วัฒนธรรมจีนโบราณ #เงินจีนโบราณ #เงินเดือนข้าราชการจีน
    มีเพื่อนเพจเคยขอให้เขียนถึงองครักษ์เสื้อแพรนอกเหนือจากที่มีในซีรีส์ ข้อมูลหาไม่ง่าย วันนี้เริ่มด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ ยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายคนต้องเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน ความมีอยู่ว่า ...เกาชิ่งมาเรียกหาจินเซี่ยแล้วถาม: “ใต้เท้าลู่มีคำถาม วันนี้เช่าเรือทั้งหมดสองเหลี่ยง รวมค่าชาและขนมบนเรืออีก คิดเป็นประมาณสามเฉียนแล้วกัน ท่านใต้เท้าออกเงินไปให้ก่อน แต่ถามว่าเมื่อใดพวกเจ้าจึงจะใช้คืน?”.... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่องยอดองค์รักษ์เสื้อแพรดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ก่อนอื่นเทียบมูลค่าเงิน: 1 ตำลึงเงิน (เหลี่ยง) = 1,000 เฉียน (คือ เหวิน หรือ อีแปะ) = 1 ก้วน (พวงเหรียญเฉียน) ก่อนจะพูดถึงรายรับ เราดูค่าครองชีพกันหน่อย ราชวงศ์หมิงยาวนานเกือบ 300 ปี แต่ลู่ปิ่งและลู่อี้มีตัวตนจริงอยู่ในรัชสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) (Storyฯ เคยเขียนถึงมาหลายเดือนก่อน) ในยุคสมัยนั้น เนื้อหมูหนึ่งชั่งราคา 7-8 เฉียน เนื้อไก่หนึ่งชั่งราคา 3-4 เฉียน (เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบัน 595 กรัม) ดังนั้นราคาขนมและชาที่ยกข้อความมาจากในนิยายข้างต้นก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผล คำถามต่อมาคือ องครักษ์เสื้อแพรมีรายรับเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าครองชีพตามข้างต้น? มีตารางข้อมูลจาก “หมิงสื่อ /明史” หรือบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงมาให้ดู (ดูรูปประกอบ) เป็นอัตราเงินเดือนของขุนนางที่กำหนดไว้โดยปฐมกษัตริย์จูหยวนจาง จ่ายเป็นเดือน แต่กำหนดอัตราไว้เป็นรายปี วงให้ดูว่าเงินเดือนของใต้เท้าลู่อี้และพ่อของเขาคือ: ลู่ถิง (ในนิยายชื่อลู่ปิ่ง) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพร ยศขุนนางขั้นที่สามเต็ม ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 420 ตาน/ปี (เขียนหน่วยเป็นสือ ต่อมาเรียกเป็นตาน) ส่วนใต้เท้าลู่อี้ของเราในนิยายกล่าวไว้ว่าตอนที่แรกพบกับนางเอก เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เจ็ดล่าง ได้เงินเดือนเป็นข้าวสาร 84 ตาน/ปี หรือ 7 ตาน/เดือน ท่านอ่านไม่ผิดค่ะ เงินเดือนของข้าราชการสมัยนั้นปกติจ่ายเป็นข้าวสาร ข้าวสารหนึ่งตานสมัยนั้นหน้าตาเป็นกระบุงหาบ เทียบเท่าน้ำหนักปัจจุบันประมาณ 60 กก. เชื่อว่าขุนนางระดับสูงเวลารับเงินเดือนต้องใช้รถเข็นเลยทีเดียว แล้วถ้าคิดเป็นเงินล่ะ? อันนี้ผันแปรตามเงินเฟ้อ ข้าวสารหนึ่งตานในสมัยของใต้เท้าลู่นั้นราคา 0.584 ตำลึงเงิน ดังนั้นใต้เท้าลู่มีเงินเดือนเพียงประมาณ 4 ตำลึงเงิน/เดือน หรือ 4,000 เฉียนเท่านั้น! (ภาพการควักเงินหยวนเป่าออกมาวางให้เสี่ยวเอ้อตาโต หายแวบไปจากมโนของ Storyฯ ทันที) แล้วถ้าเปรียบเทียบวิชาชีพอื่น? สรุปโดยประมาณได้ดังนี้: ค่าจ้าง 600-1,700 เฉียน/เดือนขึ้นอยู่กับระดับงาน แผงขายอาหารในเมืองใหญ่ 1,300-1,600 เฉียน/เดือน ที่ดูจะรายได้ดีมากคือคนขับรถม้าที่ 3,000 เฉียน/เดือนเลยทีเดียว (หาไม่พบว่าเป็นเพราะอะไร) ส่วนเกษตรกรรายได้เฉลี่ย 750-1,200 เฉียน/เดือน แต่ขุนนางมี ‘สวัสดิการ’ อย่างอื่นด้วยคือผ้า เงินค่าน้ำชา ฟืน ชุดประจำตำแหน่ง จวนประจำตำแหน่ง เป็นต้น และยังไม่ต้องเสียภาษีเหมือนชาวนาหรือพ่อค้า แน่นอนว่าการต้องเลี้ยงบ่าวไพร่ทั้งเรือนก็มีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ แต่เทียบกับวิชาชีพอื่นแล้ว หากได้เป็นขุนนางติดยศชีวิตความเป็นอยู่จะดีมาก สมัยนั้นตำแหน่งจอหงวนคือลำดับหกเต็ม Storyฯ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงขวนขวายเข้าเมืองหลวงสอบจอหงวนกัน ยศสูงกว่าใต้เท้าลู่อี้เสียอีก! (วันนี้คุยเรื่องเงินทอง ไม่คุยเรื่องอุดมการณ์ค่ะ) เขียนเพิ่มเติมหลังจากอัพเพจครั้งแรก: ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เช่นแล้ง หรือเกิดสงคราม ข้าวในคลังมีน้อย หรือในฤดูที่ไม่มีการเก็บเกี่ยว มีการแก้ไขการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ โดยกำหนดมูลค่าของข้าวเทียบเท่าของอย่างอื่น เช่น ผ้าผืน พริกไทย ใบชา เป็นต้น (อะไรก็ได้ที่มีมากในคลังหลวง) ต่อมาจึงมีแบ่งจ่ายเป็นตั๋วเงินด้วย ต่อมาในช่วงปลายราชวงศ์หมิงจึงเปลี่ยนมากำหนดให้จ่ายเป็นข้าว ตั๋วเงินและเงิน แต่ยังคงเทียบอัตราเงินเดือนเป็นข้าวสารอยู่ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.sohu.com/a/360665261_162238 https://www.bilibili.com/read/cv9844919 https://www.zmkm8.com/artdata-94382.html https://www.sohu.com/a/273067566_559864 http://www.gushizhuan.com/gdws/284082.html #ใต้เท้าลู่ #องครักษ์เสื้อแพร #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #ราชวงศ์หมิง #วัฒนธรรมจีนโบราณ #เงินจีนโบราณ #เงินเดือนข้าราชการจีน
    《锦衣之下》即将上线 任嘉伦谭松韵“猫鼠游戏“甜酥来袭_悬疑
    此次曝光的海报中,锦衣卫经历陆绎(任嘉伦饰)一身大红炽金飞鱼服,手握绣春刀伫立,眼神凌厉气势十足;六扇门小捕快袁今夏(谭松韵饰)侧抱花猫,明眸善睐、笑容明媚极具少女感;严世蕃(韩栋饰)执扇侧立,神思沉稳…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โคราช ผนึกกำลังนักเรียน-ครู-กรรมการ 8,952 คนมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียน อบจ.เมืองย่าโม 58 แห่งประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียน
    .
    วันนี้ (10 มิถุนายน 2568) ที่ห้องโคราชฮอลล์ 1-2 ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานเปิดโครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 โดยมี ดร.พงษ์พิมล คำลอย ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม , นางสาวกมลวรรณ กลั่นเกลี้ยง. รองศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา , ผศ.ดร.สิรินาถ จงกลกลาง ผู้ช่วยอธิการบดี ม.ราชภัฎนครราชสีมา และ น.ส.นิสา ชาภู่พวง ผจก.ทั่วไปศูนย์การค้าฯ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ บุคลากร นักเรียน ทั้ง 58 โรงเรียนในสังกัดร่วมกิจกรรมรวมกว่า 500 คน
    .
    ทั้งนี้โครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษา โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 ได้กำหนดให้มีการจัดการแข่งขันใน ระหว่างวันที่ 10 -12 มิถุนายน พ.ศ. 2568 รวม 3 วัน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา และวัดพายัพ พระอารามหลวง โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อจัดประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และจัดกิจกรรมการแสดงบนเวทีของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา , 2. เพื่อคัดเลือกตัวแทนครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วม แข่งขันทักษะทางวิชาการงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ตะวันออกเฉียงเหนือระดับภาค , 3. เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิชาการของครู นักเรียนและบุคลากร ทางการศึกษา โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา และนักเรียนโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา และ 4. เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ศักยภาพ และความเป็นเลิศด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ต่อสาธารณะ และประชาชนทั่วไป
    .
    สำหรับการดำเนินโครงการฯมีกิจกรรมการ แข่งขันทั้งสิ้น 133 กิจกรรม ประกอบด้วยการแข่งขันทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 2 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งในปีนี้มีกิจกรรมที่เพิ่มเติม 29 กิจกรรม และมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ นักเรียน จำนวน 5,043 คน , ครูผู้ฝึกสอน จำนวน 3,363 คน , กรรมการ จำนวน 564 คน รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด จำนวน 8,952 คน
    #โคราช ผนึกกำลังนักเรียน-ครู-กรรมการ 8,952 คนมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียน อบจ.เมืองย่าโม 58 แห่งประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียน . วันนี้ (10 มิถุนายน 2568) ที่ห้องโคราชฮอลล์ 1-2 ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานเปิดโครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 โดยมี ดร.พงษ์พิมล คำลอย ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม , นางสาวกมลวรรณ กลั่นเกลี้ยง. รองศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา , ผศ.ดร.สิรินาถ จงกลกลาง ผู้ช่วยอธิการบดี ม.ราชภัฎนครราชสีมา และ น.ส.นิสา ชาภู่พวง ผจก.ทั่วไปศูนย์การค้าฯ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ บุคลากร นักเรียน ทั้ง 58 โรงเรียนในสังกัดร่วมกิจกรรมรวมกว่า 500 คน . ทั้งนี้โครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษา โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 ได้กำหนดให้มีการจัดการแข่งขันใน ระหว่างวันที่ 10 -12 มิถุนายน พ.ศ. 2568 รวม 3 วัน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา และวัดพายัพ พระอารามหลวง โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อจัดประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และจัดกิจกรรมการแสดงบนเวทีของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา , 2. เพื่อคัดเลือกตัวแทนครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วม แข่งขันทักษะทางวิชาการงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ตะวันออกเฉียงเหนือระดับภาค , 3. เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิชาการของครู นักเรียนและบุคลากร ทางการศึกษา โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา และนักเรียนโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา และ 4. เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ศักยภาพ และความเป็นเลิศด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ต่อสาธารณะ และประชาชนทั่วไป . สำหรับการดำเนินโครงการฯมีกิจกรรมการ แข่งขันทั้งสิ้น 133 กิจกรรม ประกอบด้วยการแข่งขันทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 2 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งในปีนี้มีกิจกรรมที่เพิ่มเติม 29 กิจกรรม และมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ นักเรียน จำนวน 5,043 คน , ครูผู้ฝึกสอน จำนวน 3,363 คน , กรรมการ จำนวน 564 คน รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด จำนวน 8,952 คน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โคราช ผนึกกำลังนักเรียน-ครู-กรรมการ 8,952 คนมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียน อบจ.เมืองย่าโม 58 แห่งประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียน
    .
    วันนี้ (10 มิถุนายน 2568) ที่ห้องโคราชฮอลล์ 1-2 ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานเปิดโครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 โดยมี ดร.พงษ์พิมล คำลอย ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม , นางสาวกมลวรรณ กลั่นเกลี้ยง. รองศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา , ผศ.ดร.สิรินาถ จงกลกลาง ผู้ช่วยอธิการบดี ม.ราชภัฎนครราชสีมา และ น.ส.นิสา ชาภู่พวง ผจก.ทั่วไปศูนย์การค้าฯ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ บุคลากร นักเรียน ทั้ง 58 โรงเรียนในสังกัดร่วมกิจกรรมรวมกว่า 500 คน
    .
    ทั้งนี้โครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษา โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 ได้กำหนดให้มีการจัดการแข่งขันใน ระหว่างวันที่ 10 -12 มิถุนายน พ.ศ. 2568 รวม 3 วัน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา และวัดพายัพ พระอารามหลวง โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อจัดประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และจัดกิจกรรมการแสดงบนเวทีของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา , 2. เพื่อคัดเลือกตัวแทนครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วม แข่งขันทักษะทางวิชาการงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ตะวันออกเฉียงเหนือระดับภาค , 3. เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิชาการของครู นักเรียนและบุคลากร ทางการศึกษา โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา และนักเรียนโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา และ 4. เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ศักยภาพ และความเป็นเลิศด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ต่อสาธารณะ และประชาชนทั่วไป
    .
    สำหรับการดำเนินโครงการฯมีกิจกรรมการ แข่งขันทั้งสิ้น 133 กิจกรรม ประกอบด้วยการแข่งขันทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 2 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งในปีนี้มีกิจกรรมที่เพิ่มเติม 29 กิจกรรม และมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ นักเรียน จำนวน 5,043 คน , ครูผู้ฝึกสอน จำนวน 3,363 คน , กรรมการ จำนวน 564 คน รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด จำนวน 8,952 คน
    #โคราช ผนึกกำลังนักเรียน-ครู-กรรมการ 8,952 คนมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียน อบจ.เมืองย่าโม 58 แห่งประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียน . วันนี้ (10 มิถุนายน 2568) ที่ห้องโคราชฮอลล์ 1-2 ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานเปิดโครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษาโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 โดยมี ดร.พงษ์พิมล คำลอย ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม , นางสาวกมลวรรณ กลั่นเกลี้ยง. รองศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา , ผศ.ดร.สิรินาถ จงกลกลาง ผู้ช่วยอธิการบดี ม.ราชภัฎนครราชสีมา และ น.ส.นิสา ชาภู่พวง ผจก.ทั่วไปศูนย์การค้าฯ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ บุคลากร นักเรียน ทั้ง 58 โรงเรียนในสังกัดร่วมกิจกรรมรวมกว่า 500 คน . ทั้งนี้โครงการงานมหกรรมการจัดการศึกษา โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา ประจำปี 2568 ได้กำหนดให้มีการจัดการแข่งขันใน ระหว่างวันที่ 10 -12 มิถุนายน พ.ศ. 2568 รวม 3 วัน ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล โคราช จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา และวัดพายัพ พระอารามหลวง โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อจัดประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งครอบคลุมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และจัดกิจกรรมการแสดงบนเวทีของนักเรียนโรงเรียนสังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา , 2. เพื่อคัดเลือกตัวแทนครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วม แข่งขันทักษะทางวิชาการงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ตะวันออกเฉียงเหนือระดับภาค , 3. เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิชาการของครู นักเรียนและบุคลากร ทางการศึกษา โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ โรงเรียนสังกัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดนครราชสีมา และนักเรียนโรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมา และ 4. เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ศักยภาพ และความเป็นเลิศด้านการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ต่อสาธารณะ และประชาชนทั่วไป . สำหรับการดำเนินโครงการฯมีกิจกรรมการ แข่งขันทั้งสิ้น 133 กิจกรรม ประกอบด้วยการแข่งขันทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ 2 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งในปีนี้มีกิจกรรมที่เพิ่มเติม 29 กิจกรรม และมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ นักเรียน จำนวน 5,043 คน , ครูผู้ฝึกสอน จำนวน 3,363 คน , กรรมการ จำนวน 564 คน รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด จำนวน 8,952 คน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล หวั่นข้อมูล 3D NAND รั่วไหลไปยัง YMTC
    Micron กำลังต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อ ยกเลิกคำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี 3D NAND ให้กับ Yangtze Memory Technologies Company (YMTC) ซึ่งเป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

    เหตุผลที่ Micron คัดค้านคำสั่งศาล
    Micron อ้างว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจาก YMTC มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน และอาจนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีน

    ข้อมูลจากข่าว
    - Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับ 3D NAND
    - YMTC เป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
    - Micron อ้างว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
    - YMTC กล่าวหาว่า Micron ละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ 3D NAND ในปี 2023
    - ศาลอนุญาตให้ YMTC เข้าถึงเอกสารภายใต้คำสั่งคุ้มครองข้อมูล

    ความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล
    แม้ว่าคำสั่งศาลจะกำหนดให้ YMTC สามารถเข้าถึงเอกสารได้เฉพาะที่ปรึกษาภายนอกและผู้เชี่ยวชาญ แต่ Micron ยังคงกังวลว่า ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Micron อ้างว่า YMTC ขอเอกสารมากกว่าที่จำเป็น และอาจใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของจีน
    - แม้จะมีคำสั่งคุ้มครองข้อมูล แต่ Micron กังวลว่าอาจมีการละเมิดข้อกำหนด
    - การเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - ต้องติดตามว่าศาลจะพิจารณาคำอุทธรณ์ของ Micron อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/micron-seeks-reversal-of-court-order-to-share-73-pages-of-sensitive-data-with-chinas-banned-ymtc-chipmaker-micron-strives-to-protect-ip-from-chinese-chip-firm-on-the-entity-list
    🏛️ Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล หวั่นข้อมูล 3D NAND รั่วไหลไปยัง YMTC Micron กำลังต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อ ยกเลิกคำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี 3D NAND ให้กับ Yangtze Memory Technologies Company (YMTC) ซึ่งเป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ 🔍 เหตุผลที่ Micron คัดค้านคำสั่งศาล Micron อ้างว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจาก YMTC มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน และอาจนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Micron ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลที่บังคับให้เปิดเผยเอกสาร 73 หน้าเกี่ยวกับ 3D NAND - YMTC เป็นบริษัทจีนที่อยู่ใน Entity List ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ - Micron อ้างว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ - YMTC กล่าวหาว่า Micron ละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ 3D NAND ในปี 2023 - ศาลอนุญาตให้ YMTC เข้าถึงเอกสารภายใต้คำสั่งคุ้มครองข้อมูล 🔥 ความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล แม้ว่าคำสั่งศาลจะกำหนดให้ YMTC สามารถเข้าถึงเอกสารได้เฉพาะที่ปรึกษาภายนอกและผู้เชี่ยวชาญ แต่ Micron ยังคงกังวลว่า ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Micron อ้างว่า YMTC ขอเอกสารมากกว่าที่จำเป็น และอาจใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของจีน - แม้จะมีคำสั่งคุ้มครองข้อมูล แต่ Micron กังวลว่าอาจมีการละเมิดข้อกำหนด - การเปิดเผยข้อมูลอาจส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - ต้องติดตามว่าศาลจะพิจารณาคำอุทธรณ์ของ Micron อย่างไร https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/micron-seeks-reversal-of-court-order-to-share-73-pages-of-sensitive-data-with-chinas-banned-ymtc-chipmaker-micron-strives-to-protect-ip-from-chinese-chip-firm-on-the-entity-list
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน

    ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน

    นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้

    นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย

    สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง

    ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา

    #Newskit
    ลดเวลาพำนักไทย-เขมร จาก 60 เหลือ 7 วัน ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อให้เกิดมาตรการตอบโต้ระหว่างสองประเทศ จากการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน และการให้ผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า แรงงาน และงานจำเป็นอื่นๆ แต่ปิดตายห้ามนักท่องเที่ยวและนักพนันชาวไทยข้ามไปยังฝั่งกัมพูชา ล่าสุดกัมพูชาจำกัดระยะเวลาพำนักของชาวไทยที่เดินทางเข้ากัมพูชา จากเดิม 60 วัน เหลือเพียง 7 วัน ตามคำสั่งของผู้นำกัมพูชา เมื่อครบกำหนดต้องเดินทางออกนอกประเทศและประทับตราหนังสือเดินทางใหม่ ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศว่า ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาพำนักของชาวกัมพูชาเหลือเพียง 7 วันเช่นกัน นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ระบุว่า ได้รับทราบเหมือนกันว่ากัมพูชาลดจำนวนวันสำหรับการเดินทางเข้ากัมพูชาเหลือ 7 วัน ส่วนฝ่ายไทยได้ปรับลดเป็น 7 วันเช่นเดียวกัน ส่วนจะมีไปถึงเมื่อใดนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่กำหนดจึงยังตอบไม่ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นคงจะหันมาคุยกันเรื่องการเพิ่มวันเป็นลำดับต่อไป แต่ยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับต้นในขณะนี้ นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) เตรียมเสนอสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี และการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การตัดกระแสไฟฟ้า การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ อีกด้วย สำหรับกัมพูชา เคยเป็น 1 ใน 93 ประเทศที่ทางการไทยมีมาตรการฟรีวีซ่า กำหนดให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ แต่ที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเคยเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนปรับมาตรการฟรีวีซ่าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน หลังพบว่ามีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ไทยนานเกินไป ทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย อีกทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ในไทยส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวเผชิญปัญหาความมั่นคง กระทบความเชื่อมั่นต่อการเดินทาง ถึงกระนั้น การปรับลดเวลาพำนักชาวกัมพูชาเหลือ 7 วันครั้งนี้ อาจไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่เมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไทยจึงต้องออกมาตรการตอบโต้ตามมา #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts