• ส่วนขยาย VPN ฟรีบน Chrome กลายเป็นมัลแวร์ดักข้อมูล

    นักวิจัยจาก LayerX Security เปิดเผยการรณรงค์ที่ดำเนินมากว่า 6 ปี โดยมีการปล่อยส่วนขยาย VPN และ Ad-blocker ปลอมใน Chrome Web Store ภายใต้ชื่อที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น “VPN Professional – Free Secure and Unlimited VPN Proxy” และ “Free Unlimited VPN” ซึ่งถูกติดตั้งไปแล้วกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก

    สิ่งที่ดูเหมือนเครื่องมือเพื่อความเป็นส่วนตัว กลับถูกออกแบบให้เป็น Browser Implant ที่สามารถควบคุมการท่องเว็บของผู้ใช้ได้ทั้งหมด ส่วนขยายเหล่านี้ใช้เทคนิค PAC Proxy Injection เพื่อบังคับให้ทราฟฟิกทั้งหมดวิ่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ทำให้สามารถดักจับข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์, รายการส่วนขยายที่ติดตั้ง, และแม้กระทั่งแก้ไขประวัติการเข้าชมเพื่อปกปิดร่องรอย

    แม้ Google จะลบออกจาก Chrome Web Store หลายครั้ง แต่ผู้โจมตีก็กลับมาอีกด้วยเวอร์ชันใหม่ที่มีการปรับปรุงโค้ดให้สะอาดขึ้นและหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้ดีกว่าเดิม ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ยังมีเวอร์ชันใหม่ที่ถูกอัปโหลดและมีผู้ใช้งานกว่า 31,000 ราย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ ส่วนขยายเหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่ VPN เท่านั้น แต่ยังรวมถึง Ad-blocker และ Music Downloader ที่ใช้โค้ดอันตรายแบบเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้ที่คิดว่ากำลังป้องกันตัวเอง กลับถูกเปิดช่องให้ถูกสอดแนมและควบคุมการใช้งานโดยไม่รู้ตัว

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบมัลแวร์ใน Chrome Extensions
    ส่วนขยาย VPN และ Ad-blocker ปลอมถูกติดตั้งกว่า 9 ล้านครั้ง
    ใช้เทคนิค PAC Proxy Injection เพื่อควบคุมทราฟฟิกทั้งหมด

    พฤติกรรมที่อันตราย
    ดักจับข้อมูลการเข้าชมและส่วนขยายที่ติดตั้ง
    แก้ไขประวัติการเข้าชมเพื่อปกปิดร่องรอย

    ความเสี่ยงต่อผู้ใช้
    ข้อมูลส่วนตัวและกิจกรรมออนไลน์ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี
    ส่วนขยายยังสามารถปิดการทำงานของ Proxy หรือ Security Tools อื่น ๆ

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    อย่าติดตั้ง VPN หรือ Ad-blocker ที่ไม่น่าเชื่อถือ
    ตรวจสอบสิทธิ์และรีวิวของส่วนขยายก่อนติดตั้งทุกครั้ง

    https://securityonline.info/9-million-installs-malicious-chrome-vpn-extensions-hijack-user-traffic-via-remote-pac-proxy-injection/
    🛡️ ส่วนขยาย VPN ฟรีบน Chrome กลายเป็นมัลแวร์ดักข้อมูล นักวิจัยจาก LayerX Security เปิดเผยการรณรงค์ที่ดำเนินมากว่า 6 ปี โดยมีการปล่อยส่วนขยาย VPN และ Ad-blocker ปลอมใน Chrome Web Store ภายใต้ชื่อที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น “VPN Professional – Free Secure and Unlimited VPN Proxy” และ “Free Unlimited VPN” ซึ่งถูกติดตั้งไปแล้วกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก สิ่งที่ดูเหมือนเครื่องมือเพื่อความเป็นส่วนตัว กลับถูกออกแบบให้เป็น Browser Implant ที่สามารถควบคุมการท่องเว็บของผู้ใช้ได้ทั้งหมด ส่วนขยายเหล่านี้ใช้เทคนิค PAC Proxy Injection เพื่อบังคับให้ทราฟฟิกทั้งหมดวิ่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ทำให้สามารถดักจับข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์, รายการส่วนขยายที่ติดตั้ง, และแม้กระทั่งแก้ไขประวัติการเข้าชมเพื่อปกปิดร่องรอย แม้ Google จะลบออกจาก Chrome Web Store หลายครั้ง แต่ผู้โจมตีก็กลับมาอีกด้วยเวอร์ชันใหม่ที่มีการปรับปรุงโค้ดให้สะอาดขึ้นและหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้ดีกว่าเดิม ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ยังมีเวอร์ชันใหม่ที่ถูกอัปโหลดและมีผู้ใช้งานกว่า 31,000 ราย สิ่งที่น่ากังวลคือ ส่วนขยายเหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่ VPN เท่านั้น แต่ยังรวมถึง Ad-blocker และ Music Downloader ที่ใช้โค้ดอันตรายแบบเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้ที่คิดว่ากำลังป้องกันตัวเอง กลับถูกเปิดช่องให้ถูกสอดแนมและควบคุมการใช้งานโดยไม่รู้ตัว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบมัลแวร์ใน Chrome Extensions ➡️ ส่วนขยาย VPN และ Ad-blocker ปลอมถูกติดตั้งกว่า 9 ล้านครั้ง ➡️ ใช้เทคนิค PAC Proxy Injection เพื่อควบคุมทราฟฟิกทั้งหมด ✅ พฤติกรรมที่อันตราย ➡️ ดักจับข้อมูลการเข้าชมและส่วนขยายที่ติดตั้ง ➡️ แก้ไขประวัติการเข้าชมเพื่อปกปิดร่องรอย ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ ⛔ ข้อมูลส่วนตัวและกิจกรรมออนไลน์ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี ⛔ ส่วนขยายยังสามารถปิดการทำงานของ Proxy หรือ Security Tools อื่น ๆ ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ อย่าติดตั้ง VPN หรือ Ad-blocker ที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์และรีวิวของส่วนขยายก่อนติดตั้งทุกครั้ง https://securityonline.info/9-million-installs-malicious-chrome-vpn-extensions-hijack-user-traffic-via-remote-pac-proxy-injection/
    SECURITYONLINE.INFO
    9 Million Installs: Malicious Chrome VPN Extensions Hijack User Traffic Via Remote PAC Proxy Injection
    LayerX exposed a 6-year, 9M-install campaign: Fake VPN/ad-blocking Chrome extensions hijack all user traffic via remote PAC proxy scripts, enabling surveillance and data exfiltration.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 5 – 6

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”
    ตอน 5
    เป็นไปได้หรือว่า อเมริกาแสนจะชาญฉลาดกำโลกอยู่ในมือจนกระดิกไม่ออกมาตั้ง 70 ปี จะมาเสียทีให้กับอิหร่าน คงมีคนคิดกัน ตกลงอิหร่านต้มอเมริกา หรืออเมริกาต้มอิหร่านกันแน่ ก่อนจะลงความเห็น ลองฟังความเห็นอีกสักชิ้น เอามาจากบทความที่ลงในวารสาร Foreign Affairs วารสารที่ออกเป็นประจำของ CFR เมื่อปี ค.ศ.2012 ก่อนที่อเมริกาคิดจะเจรจากับอิหร่านไม่นาน
    คงมีคนสงสัย ทำไมลุงนิทานอ้างแต่ CFR ก็เขาเป็นผู้กำกับรัฐบาลอเมริกา ผมไม่ตามผู้กำกับ ผมก็ไม่รู้ว่าดาราคนไหน เล่นบทอะไร แล้วเล่นได้สมบทบาทแค่ไหน
    บทความนี้ชื่อ ” Time to Attack Iran” โดย Matthew Kroenig
    นายโคร เขาบอกว่า บรรดานักคิด และผู้วางนโยบายของอเมริกา ต่างโต้เถียงกันว่า อเมริกาควรจะจัดการเรื่องอิหร่านอย่างไรดี
    ความเห็นหนึ่ง บอกว่า เราควรบุกอิหร่าน และทำลายอุปกรณ์ทั้งปวงที่อิหร่านใช้ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้เหี้ยนเลย
    ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการบุก บอกว่า การใช้กำลังทหารกับอิหร่านเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า และจะไม่เข้าท่าหนักขึ้น ถ้าเราไปเจออาวุธนิวเคลียร์ของ จริงของอิหร่าน นอกจากนี้ การบุกอิหร่าน โอกาสไม่สำเร็จมีสูง และถึงจะทำสำเร็จ มันอาจจะเป็นการจุดไม้ขีด ให้เรื่องบานปลาย กลายเป็นสงคราม และอาจสร้างวิกฤติทางเศรษฐกืจ ให้กับอเมริกา และอาจลามไปทั้งโลกด้วยก็ได้
    นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายที่แนะนำให้อเมริกาใช้วิธีการที่ไม่ใช่ทางทหาร เช่นใช้การเจรจาทางการทูต การคว่ำบาตร หรือการปฏิบัติการณ์ลับ เพราะการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ มีค่าใช้จ่ายและต้นทุนด้านต่างๆสูง จนใจไม่ถึงที่จะควักกระเป๋าให้ (ตอนนั้น)
    ยังมีพวกนักวิเคราะห์ ที่บอกว่า พวกไม่เห็นด้วยกับการบุกอิหร่าน มองไม่เห็นอันตรายที่แท้จริง ที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์ของอเมริกา ที่อยู่ในและนอกตะวันออกกลาง จากการปล่อยให้อิหร่านที่มีนิวเคลียร์ ลอยนวลอยู่ตามสบาย มันเป็นการคุกคามผลประโยชน์ของอเมริกาโดยตรง
    ส่วนนายโครเอง มีชื่อเสียงว่า สนับสนุนการบุกอิหร่าน เขาบอกว่า โดยการใช้กำลังทหาร และใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง ล๊อคเป้าจ่อไปที่โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แค่นั้นเรื่องก็จบ อเมริกาและตะวันออกกลาง ก็จะได้อยู่อย่างสงบจากเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านเสียที
    โลกฝ่ายตะวันตก หรือฝ่ายอเมริกานั่นแหละ พยายามกดดันที่โครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านมานานแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ ขนาดปล่อยไวรัส Stuxnet เข้าไปในระบบของอิหร่าน ไม่นาน อิหร่านก็แก้ไขฟื้นขึ้นมาใหม่ Institute of Science and International Security บอกว่า นอกจากอิหร่านฟื้นเร็วแล้ว ระยะเวลาการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ละครั้งยังเร็วขึ้นอีกด้วย น่าจะใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น และอิหร่านมีแผนที่จะย้ายโครงการผลิตนิวเคลียร์นี้ ไปไว้ในสถานที่ ที่ยากแก่เข้าถึง ทำให้โอกาสที่จะการใช้กำลังทหารแคบลงไปอีก ขณะเดียวกัน หลายประเทศในภูมิภาคเริ่มสงสัยในสมรรถภาพ ของอเมริกาว่า อเมริกาทำอะไรอยู่ ปล่อยอิหร่านผลิตนิวเคลียร์ยังกับผลิตของเล่น
    อเมริกาไม่ได้อยู่เฉย อเมริกาคิด แต่ยังคิดไม่ตก อเมริกาคิดจะใช้ cold war model เหมือนตอนสงครามเย็นปิดล้อมสหภาพโซเวียต แต่สภาพประเทศในตะวันออกกลาง ต่างกับประเทศในยุโรป อย่างหน้ามือกับหลังมือเลย อย่าว่าจะไปปิดล้อมใครเลย แค่พร้อมพอที่จะป้องกันตัวเองยัง ทำไม่ได้ เพราะฉนั้น ถ้าคิดจะปิดล้อมอิหร่าน ต้องใช้งบบาน เพราะโดยสภาพภูมิประเทศ และทำเลที่ตั้งของอิหร่าน อเมริกาต้องส่งทั้ง กองทัพเรือ กองทัพบก รวมทั้งอาจจะต้องจัดส่งนิวเคลียร์ ไปให้ทั้งตะวันออกกลาง คอยจ่อคอหอยอิหร่าน แล้วทั้งหมด ไม่ใช่ไปอยู่วันสองวัน แล้วกลับบ้านนอน แต่ต้องอยู่ถาวรเป็นหลาย 10 ปี ไม่คุ้มค่าน้ำมันที่ไปต้มพวกเสี่ยปั้มมา ไหนจะลาดตระเวน ไหนจะป้องกัน ไหนจะตามเฝ้าอิหร่าน ไหนจะตรวจสอบอิหร่าน ฯลฯ
    พอเห็นแล้วนะครับ ว่า อเมริการู้ว่า อิหร่านกำลังทำอะไร คิดอะไร และอเมริกาน่าจะทำอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วทำไมอเมริกาถึงเลือกทำ อย่างที่กำลังโดนพวกตัวเองด่า และถ้า วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ยังเจรจากันไม่เสร็จ อเมริกาจะทำอย่างไรต่อไป และผลมันจะเป็นอย่างไร
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 6 (จบ)
    ก่อนไปถึงอเมริกา ขอย้อนกลับมาที่อิหร่าน ที่เขี้ยวลากดินหน่อย สมันน้อยแดนสยามจะได้เข้าใจว่า การจะออกจากคอกนั้นทำได้ ถ้าใช้สติปัญญา มีความตั้งใจทำจริง มีความอดทน ยอมลำบาก ไม่เห็นแก่ตัว และที่สำคัญต้องสามัคคี พร้อมใจกันทั้งชาติ
    อิหร่านโดนนักล่า ทั้งที่มาจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จนถึงนักล่าใบตองแห้ง ร่วมมือกัน แย่งชิงกัน เพื่อหลอกเอาทรัพยากรมีค่ามหา ศาลของอิหร่าน ด้วยการต้มเปื่อย ยุแยง แทรกแซง ปั่นหัว ฟอกย้อม ชาวอิหร่านทุกระดับ จนอิหร่านเสียทรัพยากร เสียพลเมือง เสียผู้นำประเทศ อย่างน่าเสียดายไปมากมาย ตั้งแต่ปี 1900 ต้นๆ โดนต้มมา 100 กว่าปี ไม่คิดปีนขึ้นมาจากหม้อ ก็.. คงต้องปล่อยไปตามกรรม
    แต่อิหร่าน ฮึดสู้ แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างหนักหนาสา หัส การฮึดสู้ อาจมีความลำบากยากเข็ญ ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และการทำธุกิจ ฯลฯ แต่ เพื่อรักษาประเทศ มีชาวอิหร่านที่คิดทำ และอดทน พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป แต่ถ้าไม่ฮึดสู้ ก็มีแต่ถูกเขาจูงกลับเข้าคอก แล้วปอกลอกเอาสมบัติของประเทศไป….. เหมือนเดิม
    อิหร่านเชื่อว่า ทางออกจากกำมือของตะวันตกมีทางเดียวคือ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ อิหร่านวางยุทธศาสตร์ สร้างชาติใหม่ที่พึ่งตัวเองได้ หนึ่งในกระบวนการสร้างชาติคือ การหาพลังงานใช้ในประเทศด้วยวิธีอื่นด้วย ไม่ใช่จากการขุดน้ำมันมาใช้อย่างเดียว น้ำมันของประเทศเอาไว้ขายเป็นรายได้ อิหร่านจึงคิดพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ คิดได้ 1 ก็ไป ถึง 2 แล้วก็เลยไปถึงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านบอก ไม่ใช่มีไว้เพื่อเป็นการรุกราน แต่ไว้ใช้เป็นการป้องกันตัว และเป็นเครื่องต่อรอง ประเทศที่มองการณ์ไกล ไม่อยากถูกครอบงำชักจูง อยู่ในกำมือผู้อื่นตลอดกาล ก็ย่อมคิดอย่างนี้
    เมื่อแรกๆ ไม่มีใครเชื่อว่า อิหร่านจะพัฒนาได้ แต่จากการเมืองของอิหร่านเอง ทำให้คนใน เอาความมาบอกคนนอก แล้วอเมริกาก็เลยรู้ แต่รู้ช้าไปนิด เมื่ออิหร่านเดินหน้าไปไกลพอสมควร อเมริกาคิดหนัก อย่างที่นายโคร เอามาเขียนนั่นแหละ่
    อเมริกาคิดว่า ยังไม่ใช่เวลาทำสงครามกับอิหร่าน อเมริกาเพิ่งขูดเนื้ออิรัคเสร็จ จะมาขูดเนื้ออิหร่านต่อ เหนื่อยตายชัก ทหารก็ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนการปิดล้อม ก็ค่าใช้จ่ายสูงสะบั้น อเมริกาจึงใช้วิธีทางการเมือง แยงให้ตะวันออกกลางวุ่นวาย บวกกับ การคว่ำบาตร น่าจะทำให้อิหร่าน เหนื่อยและสยบ แต่อเมริกา คงลืมคิดไป โลกตอนนี้ กับโลก เมื่อ 50 ปีก่อน ต่างกันแยะ
    และยิ่งต่างกันแยะมากขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา โลกไม่ได้มีขั้วเดียว ที่มีอเมริกาและพวก เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโลกเท่านั้น จากการบีบคั้น แสดงอำนาจ เอาเปรียบ และความไม่เป็นธรรมของอเมริกาเอง จึงค่อยๆมีแยกตัว และจับมือ สร้างกลุ่มใหม่กันขึ้น มาถึงวันนี้ ขั้วอำนาจดูเหมือนจะเริ่มแบ่งชัดขึ้น ระหว่างแองโกลอเมริกัน บวกยุโรป และสมุนค่ายหนึ่ง และ มี รัสเซีย จีน กับพวกอยู่อีกค่ายหนึ่ง
    ดอลล่าร์กำลังถูกท้าทาย เหมือนที่เงินปอนด์เคยถูกชิงตำแหน่ง จากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกก็แบ่งเป็น 2 ค่าย นี่เรากำลังเดินเข้าไปสู่วัฏฏะ เดิมอีกหรือ โดยมีเรื่องของอิหร่าน เป็นตัวแปร หรือเป็นชนวน…
    อิหร่านยอมที่จะเจรจากับอเมริกา เรื่องลดการพัฒนานิวเคลียร์ เพราะเป็นการเจรจาที่อิหร่าน มีแต่ได้ กับเสมอตัว อิหร่านต้องการให้ฝ่ายตะวันตก ปลดการคว่ำบาตรทั้งหมด ที่เกี่ยวกับอิหร่าน ถ้าได้ตามต้องการ อิหร่านจะกลายเป็นเสี่ยใหญ่แห่ง ตะวันออกกลาง เขาว่าเป็นเงินมากมาย ประเมินกันไม่ถูก เพราะอิหร่านอุบเงียบ แถมใช้ตัวแทน ทำหลายซับหลายซ้อน ขณะเดียวกัน ในระหว่างเจรจา อิหร่านก็เดินหน้าโครงการต่อ แถมโยกย้าย แยกแยะ จนยากแก่การติดตาม ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ อิหร่านก็กลับมาอยู่สภาพ เดินหน้าพัฒนาต่ออย่างที่ทำอยู่ ชีวิตก็เหมือนเดิม เคยลำบากมาแล้ว ก็ลำบากต่ออีกนิด แต่เมื่อมีนิวเคลียร์ครบ เสียงของอิหร่านที่จะเจรจา หรือ พูดอะไรต่อไป ก็คงต่างไปบ้าง อเมริกาก็คิดเองแล้วกัน จะเป็นเสียงอย่างไหน อเมริกาก็เคยใช้มาสาระพัดเสียงแล้วนี่
    วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ถ้า ฝ่าย P5+1 ตกลงกับอิหร่านได้ครบถ้วน ตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย บทที่แสดงหน้าจอ ก็คงชนิดได้ตุ๊กตาทอง มีการจับมือ เอาบุญเอาคุญ ตามธรรมเนียม และมันคงเป็นแค่ “การซื้อเวลา” เมื่อไหร่ที่อิหร่านพร้อม เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลางอย่างเห็นชัด เสี่ยปั้มทั้งหลาย ก็เฝ้าปั้มไว้ให้ดีก็แล้วกัน
    สำหรับอเมริกา อเมริกายอมเล่นบทคว่ำบาตร เพราะอเมริกา “ยังไม่พร้อม” เล่นบทอื่น ไม่ใช่อเมริกา ประเมินผิด ไอ้ถังขยะต่างๆ ที่ออกมาทำเสียงเขียว มันเป็นการเล่นละคร กันทั้งนั้น ต่างก็รู้คิวกัน เจรจาให้ยาว ทำเป็นตกลง ให้อิหร่านถลาเข้ามา แล้วก็ตวัดกลับ เพราะอเมริกา ไม่มีทางยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านอย่างจริงจัง แม้จะทำเป็นตกลง ท้ายที่สุดอิหร่านก็จะได้แต่กินแห้ว อเมริกาแค่ซื้อเวลา รอให้มีความพร้อมทางฝั่งของตนเองมากที่สุด
    อเมริกา โดยไอ้ถังขยะ CFR (อีกแล้ว) ลงทุนติวเข้มให้แก่ อิสราเอล และซาอุดิ 2 มิตรชิดใกล้ของอเมริกาในตะวันออกกลาง เกี่ยวกับเรื่องอิหร่าน ตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุด ประชุมติวกัน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ข่าวหลุดมาจาก นาย Anwar Eshski อดีตนายพล และทูตซาอุดิ ประจำอเมริกา อีกฝ่ายคือ นาย Dore Gold อดีตทูตอิสราเอล ประจำสหประชาชาติ มีการประชุมเช่นนี้ มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 อเมริกา ไม่ได้หลุดคิวเลย
    นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่าน เช่นเดียวกัน อเมริกายังส่งนาย John Brennan ผอ CIA บินตรงไปสรุปข้อมูลลับเกี่ยวกับอิหร่าน ให้กับหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอล Mossad
    แปลว่า อเมริกาน่าจะคิดขยับหมากแล้ว เรื่องการเจรจาก็ปล่อยไป เจรจาสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรต่างกัน เพราะอเมริกาน่าจะมีโผอยู่ในใจแล้ว เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน เป็นเหมือนหนังฮอลลีวู้ดสร้าง ซี่รี่ส์ยาว ให้เราดูติดต่อกันมา 2 ปี เท่านั้นเอง
    อเมริกาไม่มีวันจะปล่อยมือที่บีบคออิหร่าน แม้อเมริกาจะนับรัสเซีย เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งตลอดกาล และนับจีนเป็นคู่แข่งหมายเลขหนี่ง ซี่งแข่งมากๆ ก็จะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นศัตรูไปด้วย แต่กรณีของรัสเซีย เป็นเรื่องของ “ความอยากได้ ” ทรัพยากรของรัสเซีย บวกกับความแหยงสภาพการฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็วของรัสเซีย อเมริกาไม่มีผลประโยชน์โดยตรง มากมายในภูมิภาคของรัสเซีย มันเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์การเมืองมากกว่า กรณีของจีน ก็ใกล้เคียงกับกรณีรัสเซีย แต่หนักไปในแง่ที่อเมริกาถือว่า แปซิฟิกและเอเซีย เป็นเหมือนบ้านที่ 2 ของอเมริกา มีแต่เด็กๆ ในความปกครองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แค่คิดว่าจีนจะมาใหญ่กว่า หรือแค่เป็นคู่แข็ง อเมริกาก็ทนไม่ได้อยู่แล้ว
    แต่กรณีอิหร่าน ขณะที่อเมริกาอยากได้ ทรัพยากรของอิหร่าน แต่อิหร่านวันนี้ เป็นอิหร่านที่มีพิษ และอเมริกายังคิดเซรุ่มกันพิษรอบใหม่ของอิหร่านยังไม่ได้ ถ้าอเมริกาขยับผิด ผลประโยชน์มหาศาลของอเมริกา ในตะวันออกกลางจะฉิบหายเกลี้ยงไปด้วย ไม่ใช่แค่ไม่ได้สมบัติของอิหร่านอย่างเดียว เรื่องอิหร่าน เป็นเรื่องกระทบตรงกับผลประโยชน์ของอเมริกา เป็นเรื่องที่อเมริการู้อยู่แก่ใจ กำลังทำใจ และกำลังหาทางขจัดปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ เมื่ออเมริกาพร้อม โลกคงสะเทือน
    แต่การขยับหมากของอเมริกา ไล่มาตั้งแต่ ยูเครน ตะวันออกกลาง มาถึงหมากญี่ปุ่น (จะสำเร็จหรือไม่ ไม่รู้ แต่ผมว่า ร่อแร่ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อไปแบกถาดให้เขานี่ คนญี่ปุ่นน่าจะคิดออกนะ ว่าถูกเขาหลอกใช้ขนาดไหน) เหมือนความพร้อมของอเมริกา จะใกล้เข้ามาทุกที จะพร้อมลุยอิหร่านประเทศเล็กแต่มีพิษ หรือแค่พร้อมตั้งรับ เพราะรู้ว่า พิษคงจะเริ่มออกฤทธิ์อีกไม่ช้า และแพร่กระจายไปหลายทิศ ในอีกไม่นาน ก็ต้องดูกันต่อไป
    กลับมาที่อิหร่านอีกที ถ้า วันที่ 7 กรกฏาคมนี่ อิหร่านต้องฟังเพลง I will walk away … อิหร่านจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะหงิมๆ เก็บของ กลับบ้านไหม อิหร่านก็คงทำอย่างนั้น แต่กลับบ้านไปทำอะไร ผมไม่รู้ด้วย แต่ผมตั้งใจว่า ถ้าต้องฟัง พณฯใบตองแห้งครวญเพลง หลังจากวันที่ 7 กรกฏาคม ผมคง ตั้งสติให้นิ่ง ตามข่าวถี่หน่อย กินให้อร่อย นอนให้อิ่ม เก็บสะสมไว้ยามจำเป็นครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 5 เป็นไปได้หรือว่า อเมริกาแสนจะชาญฉลาดกำโลกอยู่ในมือจนกระดิกไม่ออกมาตั้ง 70 ปี จะมาเสียทีให้กับอิหร่าน คงมีคนคิดกัน ตกลงอิหร่านต้มอเมริกา หรืออเมริกาต้มอิหร่านกันแน่ ก่อนจะลงความเห็น ลองฟังความเห็นอีกสักชิ้น เอามาจากบทความที่ลงในวารสาร Foreign Affairs วารสารที่ออกเป็นประจำของ CFR เมื่อปี ค.ศ.2012 ก่อนที่อเมริกาคิดจะเจรจากับอิหร่านไม่นาน คงมีคนสงสัย ทำไมลุงนิทานอ้างแต่ CFR ก็เขาเป็นผู้กำกับรัฐบาลอเมริกา ผมไม่ตามผู้กำกับ ผมก็ไม่รู้ว่าดาราคนไหน เล่นบทอะไร แล้วเล่นได้สมบทบาทแค่ไหน บทความนี้ชื่อ ” Time to Attack Iran” โดย Matthew Kroenig นายโคร เขาบอกว่า บรรดานักคิด และผู้วางนโยบายของอเมริกา ต่างโต้เถียงกันว่า อเมริกาควรจะจัดการเรื่องอิหร่านอย่างไรดี ความเห็นหนึ่ง บอกว่า เราควรบุกอิหร่าน และทำลายอุปกรณ์ทั้งปวงที่อิหร่านใช้ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้เหี้ยนเลย ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการบุก บอกว่า การใช้กำลังทหารกับอิหร่านเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า และจะไม่เข้าท่าหนักขึ้น ถ้าเราไปเจออาวุธนิวเคลียร์ของ จริงของอิหร่าน นอกจากนี้ การบุกอิหร่าน โอกาสไม่สำเร็จมีสูง และถึงจะทำสำเร็จ มันอาจจะเป็นการจุดไม้ขีด ให้เรื่องบานปลาย กลายเป็นสงคราม และอาจสร้างวิกฤติทางเศรษฐกืจ ให้กับอเมริกา และอาจลามไปทั้งโลกด้วยก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายที่แนะนำให้อเมริกาใช้วิธีการที่ไม่ใช่ทางทหาร เช่นใช้การเจรจาทางการทูต การคว่ำบาตร หรือการปฏิบัติการณ์ลับ เพราะการใช้กำลังทางทหารเต็มรูปแบบ มีค่าใช้จ่ายและต้นทุนด้านต่างๆสูง จนใจไม่ถึงที่จะควักกระเป๋าให้ (ตอนนั้น) ยังมีพวกนักวิเคราะห์ ที่บอกว่า พวกไม่เห็นด้วยกับการบุกอิหร่าน มองไม่เห็นอันตรายที่แท้จริง ที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์ของอเมริกา ที่อยู่ในและนอกตะวันออกกลาง จากการปล่อยให้อิหร่านที่มีนิวเคลียร์ ลอยนวลอยู่ตามสบาย มันเป็นการคุกคามผลประโยชน์ของอเมริกาโดยตรง ส่วนนายโครเอง มีชื่อเสียงว่า สนับสนุนการบุกอิหร่าน เขาบอกว่า โดยการใช้กำลังทหาร และใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง ล๊อคเป้าจ่อไปที่โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แค่นั้นเรื่องก็จบ อเมริกาและตะวันออกกลาง ก็จะได้อยู่อย่างสงบจากเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านเสียที โลกฝ่ายตะวันตก หรือฝ่ายอเมริกานั่นแหละ พยายามกดดันที่โครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านมานานแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ ขนาดปล่อยไวรัส Stuxnet เข้าไปในระบบของอิหร่าน ไม่นาน อิหร่านก็แก้ไขฟื้นขึ้นมาใหม่ Institute of Science and International Security บอกว่า นอกจากอิหร่านฟื้นเร็วแล้ว ระยะเวลาการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ละครั้งยังเร็วขึ้นอีกด้วย น่าจะใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น และอิหร่านมีแผนที่จะย้ายโครงการผลิตนิวเคลียร์นี้ ไปไว้ในสถานที่ ที่ยากแก่เข้าถึง ทำให้โอกาสที่จะการใช้กำลังทหารแคบลงไปอีก ขณะเดียวกัน หลายประเทศในภูมิภาคเริ่มสงสัยในสมรรถภาพ ของอเมริกาว่า อเมริกาทำอะไรอยู่ ปล่อยอิหร่านผลิตนิวเคลียร์ยังกับผลิตของเล่น อเมริกาไม่ได้อยู่เฉย อเมริกาคิด แต่ยังคิดไม่ตก อเมริกาคิดจะใช้ cold war model เหมือนตอนสงครามเย็นปิดล้อมสหภาพโซเวียต แต่สภาพประเทศในตะวันออกกลาง ต่างกับประเทศในยุโรป อย่างหน้ามือกับหลังมือเลย อย่าว่าจะไปปิดล้อมใครเลย แค่พร้อมพอที่จะป้องกันตัวเองยัง ทำไม่ได้ เพราะฉนั้น ถ้าคิดจะปิดล้อมอิหร่าน ต้องใช้งบบาน เพราะโดยสภาพภูมิประเทศ และทำเลที่ตั้งของอิหร่าน อเมริกาต้องส่งทั้ง กองทัพเรือ กองทัพบก รวมทั้งอาจจะต้องจัดส่งนิวเคลียร์ ไปให้ทั้งตะวันออกกลาง คอยจ่อคอหอยอิหร่าน แล้วทั้งหมด ไม่ใช่ไปอยู่วันสองวัน แล้วกลับบ้านนอน แต่ต้องอยู่ถาวรเป็นหลาย 10 ปี ไม่คุ้มค่าน้ำมันที่ไปต้มพวกเสี่ยปั้มมา ไหนจะลาดตระเวน ไหนจะป้องกัน ไหนจะตามเฝ้าอิหร่าน ไหนจะตรวจสอบอิหร่าน ฯลฯ พอเห็นแล้วนะครับ ว่า อเมริการู้ว่า อิหร่านกำลังทำอะไร คิดอะไร และอเมริกาน่าจะทำอะไร ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วทำไมอเมริกาถึงเลือกทำ อย่างที่กำลังโดนพวกตัวเองด่า และถ้า วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ยังเจรจากันไม่เสร็จ อเมริกาจะทำอย่างไรต่อไป และผลมันจะเป็นอย่างไร ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 6 (จบ) ก่อนไปถึงอเมริกา ขอย้อนกลับมาที่อิหร่าน ที่เขี้ยวลากดินหน่อย สมันน้อยแดนสยามจะได้เข้าใจว่า การจะออกจากคอกนั้นทำได้ ถ้าใช้สติปัญญา มีความตั้งใจทำจริง มีความอดทน ยอมลำบาก ไม่เห็นแก่ตัว และที่สำคัญต้องสามัคคี พร้อมใจกันทั้งชาติ อิหร่านโดนนักล่า ทั้งที่มาจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย จนถึงนักล่าใบตองแห้ง ร่วมมือกัน แย่งชิงกัน เพื่อหลอกเอาทรัพยากรมีค่ามหา ศาลของอิหร่าน ด้วยการต้มเปื่อย ยุแยง แทรกแซง ปั่นหัว ฟอกย้อม ชาวอิหร่านทุกระดับ จนอิหร่านเสียทรัพยากร เสียพลเมือง เสียผู้นำประเทศ อย่างน่าเสียดายไปมากมาย ตั้งแต่ปี 1900 ต้นๆ โดนต้มมา 100 กว่าปี ไม่คิดปีนขึ้นมาจากหม้อ ก็.. คงต้องปล่อยไปตามกรรม แต่อิหร่าน ฮึดสู้ แม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างหนักหนาสา หัส การฮึดสู้ อาจมีความลำบากยากเข็ญ ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และการทำธุกิจ ฯลฯ แต่ เพื่อรักษาประเทศ มีชาวอิหร่านที่คิดทำ และอดทน พวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป แต่ถ้าไม่ฮึดสู้ ก็มีแต่ถูกเขาจูงกลับเข้าคอก แล้วปอกลอกเอาสมบัติของประเทศไป….. เหมือนเดิม อิหร่านเชื่อว่า ทางออกจากกำมือของตะวันตกมีทางเดียวคือ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ อิหร่านวางยุทธศาสตร์ สร้างชาติใหม่ที่พึ่งตัวเองได้ หนึ่งในกระบวนการสร้างชาติคือ การหาพลังงานใช้ในประเทศด้วยวิธีอื่นด้วย ไม่ใช่จากการขุดน้ำมันมาใช้อย่างเดียว น้ำมันของประเทศเอาไว้ขายเป็นรายได้ อิหร่านจึงคิดพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ คิดได้ 1 ก็ไป ถึง 2 แล้วก็เลยไปถึงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านบอก ไม่ใช่มีไว้เพื่อเป็นการรุกราน แต่ไว้ใช้เป็นการป้องกันตัว และเป็นเครื่องต่อรอง ประเทศที่มองการณ์ไกล ไม่อยากถูกครอบงำชักจูง อยู่ในกำมือผู้อื่นตลอดกาล ก็ย่อมคิดอย่างนี้ เมื่อแรกๆ ไม่มีใครเชื่อว่า อิหร่านจะพัฒนาได้ แต่จากการเมืองของอิหร่านเอง ทำให้คนใน เอาความมาบอกคนนอก แล้วอเมริกาก็เลยรู้ แต่รู้ช้าไปนิด เมื่ออิหร่านเดินหน้าไปไกลพอสมควร อเมริกาคิดหนัก อย่างที่นายโคร เอามาเขียนนั่นแหละ่ อเมริกาคิดว่า ยังไม่ใช่เวลาทำสงครามกับอิหร่าน อเมริกาเพิ่งขูดเนื้ออิรัคเสร็จ จะมาขูดเนื้ออิหร่านต่อ เหนื่อยตายชัก ทหารก็ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนการปิดล้อม ก็ค่าใช้จ่ายสูงสะบั้น อเมริกาจึงใช้วิธีทางการเมือง แยงให้ตะวันออกกลางวุ่นวาย บวกกับ การคว่ำบาตร น่าจะทำให้อิหร่าน เหนื่อยและสยบ แต่อเมริกา คงลืมคิดไป โลกตอนนี้ กับโลก เมื่อ 50 ปีก่อน ต่างกันแยะ และยิ่งต่างกันแยะมากขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา โลกไม่ได้มีขั้วเดียว ที่มีอเมริกาและพวก เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของโลกเท่านั้น จากการบีบคั้น แสดงอำนาจ เอาเปรียบ และความไม่เป็นธรรมของอเมริกาเอง จึงค่อยๆมีแยกตัว และจับมือ สร้างกลุ่มใหม่กันขึ้น มาถึงวันนี้ ขั้วอำนาจดูเหมือนจะเริ่มแบ่งชัดขึ้น ระหว่างแองโกลอเมริกัน บวกยุโรป และสมุนค่ายหนึ่ง และ มี รัสเซีย จีน กับพวกอยู่อีกค่ายหนึ่ง ดอลล่าร์กำลังถูกท้าทาย เหมือนที่เงินปอนด์เคยถูกชิงตำแหน่ง จากผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกก็แบ่งเป็น 2 ค่าย นี่เรากำลังเดินเข้าไปสู่วัฏฏะ เดิมอีกหรือ โดยมีเรื่องของอิหร่าน เป็นตัวแปร หรือเป็นชนวน… อิหร่านยอมที่จะเจรจากับอเมริกา เรื่องลดการพัฒนานิวเคลียร์ เพราะเป็นการเจรจาที่อิหร่าน มีแต่ได้ กับเสมอตัว อิหร่านต้องการให้ฝ่ายตะวันตก ปลดการคว่ำบาตรทั้งหมด ที่เกี่ยวกับอิหร่าน ถ้าได้ตามต้องการ อิหร่านจะกลายเป็นเสี่ยใหญ่แห่ง ตะวันออกกลาง เขาว่าเป็นเงินมากมาย ประเมินกันไม่ถูก เพราะอิหร่านอุบเงียบ แถมใช้ตัวแทน ทำหลายซับหลายซ้อน ขณะเดียวกัน ในระหว่างเจรจา อิหร่านก็เดินหน้าโครงการต่อ แถมโยกย้าย แยกแยะ จนยากแก่การติดตาม ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ อิหร่านก็กลับมาอยู่สภาพ เดินหน้าพัฒนาต่ออย่างที่ทำอยู่ ชีวิตก็เหมือนเดิม เคยลำบากมาแล้ว ก็ลำบากต่ออีกนิด แต่เมื่อมีนิวเคลียร์ครบ เสียงของอิหร่านที่จะเจรจา หรือ พูดอะไรต่อไป ก็คงต่างไปบ้าง อเมริกาก็คิดเองแล้วกัน จะเป็นเสียงอย่างไหน อเมริกาก็เคยใช้มาสาระพัดเสียงแล้วนี่ วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ถ้า ฝ่าย P5+1 ตกลงกับอิหร่านได้ครบถ้วน ตามความต้องการของทั้ง 2 ฝ่าย บทที่แสดงหน้าจอ ก็คงชนิดได้ตุ๊กตาทอง มีการจับมือ เอาบุญเอาคุญ ตามธรรมเนียม และมันคงเป็นแค่ “การซื้อเวลา” เมื่อไหร่ที่อิหร่านพร้อม เราคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตะวันออกกลางอย่างเห็นชัด เสี่ยปั้มทั้งหลาย ก็เฝ้าปั้มไว้ให้ดีก็แล้วกัน สำหรับอเมริกา อเมริกายอมเล่นบทคว่ำบาตร เพราะอเมริกา “ยังไม่พร้อม” เล่นบทอื่น ไม่ใช่อเมริกา ประเมินผิด ไอ้ถังขยะต่างๆ ที่ออกมาทำเสียงเขียว มันเป็นการเล่นละคร กันทั้งนั้น ต่างก็รู้คิวกัน เจรจาให้ยาว ทำเป็นตกลง ให้อิหร่านถลาเข้ามา แล้วก็ตวัดกลับ เพราะอเมริกา ไม่มีทางยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านอย่างจริงจัง แม้จะทำเป็นตกลง ท้ายที่สุดอิหร่านก็จะได้แต่กินแห้ว อเมริกาแค่ซื้อเวลา รอให้มีความพร้อมทางฝั่งของตนเองมากที่สุด อเมริกา โดยไอ้ถังขยะ CFR (อีกแล้ว) ลงทุนติวเข้มให้แก่ อิสราเอล และซาอุดิ 2 มิตรชิดใกล้ของอเมริกาในตะวันออกกลาง เกี่ยวกับเรื่องอิหร่าน ตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุด ประชุมติวกัน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ข่าวหลุดมาจาก นาย Anwar Eshski อดีตนายพล และทูตซาอุดิ ประจำอเมริกา อีกฝ่ายคือ นาย Dore Gold อดีตทูตอิสราเอล ประจำสหประชาชาติ มีการประชุมเช่นนี้ มาแล้ว 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 อเมริกา ไม่ได้หลุดคิวเลย นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่าน เช่นเดียวกัน อเมริกายังส่งนาย John Brennan ผอ CIA บินตรงไปสรุปข้อมูลลับเกี่ยวกับอิหร่าน ให้กับหน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอล Mossad แปลว่า อเมริกาน่าจะคิดขยับหมากแล้ว เรื่องการเจรจาก็ปล่อยไป เจรจาสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ สำหรับอเมริกา ไม่มีอะไรต่างกัน เพราะอเมริกาน่าจะมีโผอยู่ในใจแล้ว เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน เป็นเหมือนหนังฮอลลีวู้ดสร้าง ซี่รี่ส์ยาว ให้เราดูติดต่อกันมา 2 ปี เท่านั้นเอง อเมริกาไม่มีวันจะปล่อยมือที่บีบคออิหร่าน แม้อเมริกาจะนับรัสเซีย เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งตลอดกาล และนับจีนเป็นคู่แข่งหมายเลขหนี่ง ซี่งแข่งมากๆ ก็จะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นศัตรูไปด้วย แต่กรณีของรัสเซีย เป็นเรื่องของ “ความอยากได้ ” ทรัพยากรของรัสเซีย บวกกับความแหยงสภาพการฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็วของรัสเซีย อเมริกาไม่มีผลประโยชน์โดยตรง มากมายในภูมิภาคของรัสเซีย มันเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์การเมืองมากกว่า กรณีของจีน ก็ใกล้เคียงกับกรณีรัสเซีย แต่หนักไปในแง่ที่อเมริกาถือว่า แปซิฟิกและเอเซีย เป็นเหมือนบ้านที่ 2 ของอเมริกา มีแต่เด็กๆ ในความปกครองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แค่คิดว่าจีนจะมาใหญ่กว่า หรือแค่เป็นคู่แข็ง อเมริกาก็ทนไม่ได้อยู่แล้ว แต่กรณีอิหร่าน ขณะที่อเมริกาอยากได้ ทรัพยากรของอิหร่าน แต่อิหร่านวันนี้ เป็นอิหร่านที่มีพิษ และอเมริกายังคิดเซรุ่มกันพิษรอบใหม่ของอิหร่านยังไม่ได้ ถ้าอเมริกาขยับผิด ผลประโยชน์มหาศาลของอเมริกา ในตะวันออกกลางจะฉิบหายเกลี้ยงไปด้วย ไม่ใช่แค่ไม่ได้สมบัติของอิหร่านอย่างเดียว เรื่องอิหร่าน เป็นเรื่องกระทบตรงกับผลประโยชน์ของอเมริกา เป็นเรื่องที่อเมริการู้อยู่แก่ใจ กำลังทำใจ และกำลังหาทางขจัดปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ เมื่ออเมริกาพร้อม โลกคงสะเทือน แต่การขยับหมากของอเมริกา ไล่มาตั้งแต่ ยูเครน ตะวันออกกลาง มาถึงหมากญี่ปุ่น (จะสำเร็จหรือไม่ ไม่รู้ แต่ผมว่า ร่อแร่ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อไปแบกถาดให้เขานี่ คนญี่ปุ่นน่าจะคิดออกนะ ว่าถูกเขาหลอกใช้ขนาดไหน) เหมือนความพร้อมของอเมริกา จะใกล้เข้ามาทุกที จะพร้อมลุยอิหร่านประเทศเล็กแต่มีพิษ หรือแค่พร้อมตั้งรับ เพราะรู้ว่า พิษคงจะเริ่มออกฤทธิ์อีกไม่ช้า และแพร่กระจายไปหลายทิศ ในอีกไม่นาน ก็ต้องดูกันต่อไป กลับมาที่อิหร่านอีกที ถ้า วันที่ 7 กรกฏาคมนี่ อิหร่านต้องฟังเพลง I will walk away … อิหร่านจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะหงิมๆ เก็บของ กลับบ้านไหม อิหร่านก็คงทำอย่างนั้น แต่กลับบ้านไปทำอะไร ผมไม่รู้ด้วย แต่ผมตั้งใจว่า ถ้าต้องฟัง พณฯใบตองแห้งครวญเพลง หลังจากวันที่ 7 กรกฏาคม ผมคง ตั้งสติให้นิ่ง ตามข่าวถี่หน่อย กินให้อร่อย นอนให้อิ่ม เก็บสะสมไว้ยามจำเป็นครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมยังคงเผชิญช่องว่างค่าจ้างเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับผู้ชาย

    รายงานระบุว่า ผู้หญิงและบุคคล non-binary ในบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายถึง 24% ซึ่งสูงกว่าช่องว่างค่าจ้างโดยรวมในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 15% ข้อมูลจากการสำรวจคนทำงานเกม 562 คนในเดือนกรกฎาคมเผยว่า สองในสามของผู้ชายที่มีประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนมากกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 38% ของผู้หญิงและ non-binary ที่ได้ระดับเดียวกัน

    ความรู้สึกและการรับรู้ของแรงงาน
    กว่า 60% ของผู้หญิงและ non-binary เชื่อว่าตนเองถูกจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจริงที่พบในรายงาน แม้ว่าโดยรวมแล้วคนทำงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยชาวอเมริกัน (142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี) แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงชัดเจนและต่อเนื่องthestar.com.my

    ปัญหาความเท่าเทียมและวัฒนธรรมองค์กร
    อุตสาหกรรมเกมถูกวิจารณ์มานานเรื่อง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติทางเพศ บริษัทใหญ่เช่น Riot Games, Ubisoft และ Activision Blizzard เคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิง และบางแห่งต้องจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานที่ถูกละเมิด แม้หลายบริษัทพยายามเพิ่มจำนวนผู้หญิงในทีม แต่ปัจจุบันยังมีเพียง 25% ของแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้หญิง

    แนวโน้มและความท้าทาย
    แม้รายได้เฉลี่ยของคนทำงานเกมจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะหดตัว การแก้ไขช่องว่างค่าจ้างและสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หากไม่ปรับปรุง อุตสาหกรรมอาจสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางความคิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผู้หญิงและ non-binary ได้ค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 24%
    ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยสหรัฐฯ ที่ 15%

    ผู้ชาย 2/3 ได้เงินเดือน ≥125,000 ดอลลาร์สหรัฐ
    แต่ผู้หญิงและ non-binary มีเพียง 38% เท่านั้น

    แรงงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอเมริกัน
    เฉลี่ย 142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

    ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมมีเพียง 25% ของแรงงานทั้งหมด
    แม้บริษัทพยายามเพิ่มจำนวน แต่ยังต่ำมาก

    ความเสี่ยงจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติ
    บริษัทใหญ่หลายแห่งเคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย

    การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมา
    อาจทำให้แรงงานหญิงและ non-binary เสี่ยงตกงานมากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/women-in-games-industry-paid-24-less-than-men-survey-shows
    🙍‍♀️ ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมยังคงเผชิญช่องว่างค่าจ้างเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับผู้ชาย รายงานระบุว่า ผู้หญิงและบุคคล non-binary ในบริษัทเกมสหรัฐฯ ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชายถึง 24% ซึ่งสูงกว่าช่องว่างค่าจ้างโดยรวมในสหรัฐฯ ที่อยู่ราว 15% ข้อมูลจากการสำรวจคนทำงานเกม 562 คนในเดือนกรกฎาคมเผยว่า สองในสามของผู้ชายที่มีประสบการณ์ 6 ปีขึ้นไปได้รับเงินเดือนมากกว่า 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีเพียง 38% ของผู้หญิงและ non-binary ที่ได้ระดับเดียวกัน 📊 ความรู้สึกและการรับรู้ของแรงงาน กว่า 60% ของผู้หญิงและ non-binary เชื่อว่าตนเองถูกจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจริงที่พบในรายงาน แม้ว่าโดยรวมแล้วคนทำงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยชาวอเมริกัน (142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี) แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังคงชัดเจนและต่อเนื่องthestar.com.my ⚖️ ปัญหาความเท่าเทียมและวัฒนธรรมองค์กร อุตสาหกรรมเกมถูกวิจารณ์มานานเรื่อง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติทางเพศ บริษัทใหญ่เช่น Riot Games, Ubisoft และ Activision Blizzard เคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้หญิง และบางแห่งต้องจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานที่ถูกละเมิด แม้หลายบริษัทพยายามเพิ่มจำนวนผู้หญิงในทีม แต่ปัจจุบันยังมีเพียง 25% ของแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่เป็นผู้หญิง 🔮 แนวโน้มและความท้าทาย แม้รายได้เฉลี่ยของคนทำงานเกมจะสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2024 แต่การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยังอยู่ในภาวะหดตัว การแก้ไขช่องว่างค่าจ้างและสร้างวัฒนธรรมที่เท่าเทียมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หากไม่ปรับปรุง อุตสาหกรรมอาจสูญเสียแรงงานที่มีศักยภาพและความหลากหลายทางความคิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผู้หญิงและ non-binary ได้ค่าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่าผู้ชาย 24% ➡️ ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยสหรัฐฯ ที่ 15% ✅ ผู้ชาย 2/3 ได้เงินเดือน ≥125,000 ดอลลาร์สหรัฐ ➡️ แต่ผู้หญิงและ non-binary มีเพียง 38% เท่านั้น ✅ แรงงานเกมมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอเมริกัน ➡️ เฉลี่ย 142,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ✅ ผู้หญิงในอุตสาหกรรมเกมมีเพียง 25% ของแรงงานทั้งหมด ➡️ แม้บริษัทพยายามเพิ่มจำนวน แต่ยังต่ำมาก ‼️ ความเสี่ยงจากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และการเลือกปฏิบัติ ⛔ บริษัทใหญ่หลายแห่งเคยถูกกล่าวหาว่าสร้างสภาพแวดล้อมไม่ปลอดภัย ‼️ การเลิกจ้างจำนวนมากในปีที่ผ่านมา ⛔ อาจทำให้แรงงานหญิงและ non-binary เสี่ยงตกงานมากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/18/women-in-games-industry-paid-24-less-than-men-survey-shows
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Women in games industry paid 24% less than men, survey shows
    Women working in the video-game industry earn 24% less than their male colleagues on average, according to a new survey – a wider gap than in the US at large that suggests the sector is still struggling to shed its male-dominated culture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (7)

    ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ

    บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น

    หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์
    หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก

    ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน

    Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว

    ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร

    เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก
    ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที

    Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที

    Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด

    ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม

    เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (8 จบ)
    เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ

    สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ

    เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา

    เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก

    เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร
    เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน

    เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย

    หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น

    ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน

    ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา

    อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด
    ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ

    อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย
    มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น

    และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย

    ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ

    ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (7) ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์ หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย #################### ” ฤทธิ์ยิว” (8 จบ) เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อดีตวิศวกร Intel ถูกฟ้องฐานขโมยไฟล์ลับกว่า 18,000 รายการ ก่อนหลบหนีไร้ร่องรอย”

    อดีตพนักงาน Intel ถูกกล่าวหาว่าขโมยข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” กว่า 18,000 ไฟล์ ก่อนหายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง โดยบริษัทพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือนแต่ไร้ผล จนต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์

    Jinfeng Luo อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Intel ที่เริ่มงานตั้งแต่ปี 2014 ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ของบริษัทที่ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,000 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา

    ก่อนออกจากงาน Luo พยายามคัดลอกไฟล์จากแล็ปท็อปของบริษัทไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของ Intel ขัดขวางไว้ได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้ NAS (Network Attached Storage) และสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สำเร็จในครั้งต่อมา

    หลังจากนั้น Luo ใช้เวลาที่เหลือในการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมถึงข้อมูลลับของบริษัท ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ตอบกลับอีเมล โทรศัพท์ หรือจดหมายจาก Intel แม้บริษัทจะพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือน

    Intel จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ และขอให้ Luo คืนข้อมูลทั้งหมด โดยระบุว่าเขาละเมิดข้อตกลงการรักษาความลับอย่างร้ายแรง

    น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Intel เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้อดีตพนักงานอีกคนก็เคยถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 34,000 ดอลลาร์ และถูกคุมประพฤติ 2 ปี หลังนำข้อมูลไปใช้สมัครงานกับ Microsoft ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาธุรกิจระหว่างสองบริษัท

    เหตุการณ์การขโมยข้อมูล
    Luo ดาวน์โหลดไฟล์กว่า 18,000 รายการ
    รวมถึงข้อมูลระดับ “Intel Top Secret”
    ใช้ NAS ในการถ่ายโอนข้อมูล
    หายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง

    การดำเนินคดีของ Intel
    พยายามติดต่อ Luo นานกว่า 3 เดือน
    ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์
    ขอคืนข้อมูลทั้งหมด
    ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความลับ

    บริบทของบริษัท
    Intel ลดพนักงานกว่า 35,000 คนใน 2 ปี
    เผชิญวิกฤตการเงินตั้งแต่กลางปี 2024
    เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันกับอดีตพนักงานอีกคน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/laid-off-intel-employee-allegedly-steals-top-secret-files-goes-on-the-run-ex-engineer-downloaded-18-000-files-before-disappearing
    🕵️‍♂️ “อดีตวิศวกร Intel ถูกฟ้องฐานขโมยไฟล์ลับกว่า 18,000 รายการ ก่อนหลบหนีไร้ร่องรอย” อดีตพนักงาน Intel ถูกกล่าวหาว่าขโมยข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” กว่า 18,000 ไฟล์ ก่อนหายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง โดยบริษัทพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือนแต่ไร้ผล จนต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ Jinfeng Luo อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Intel ที่เริ่มงานตั้งแต่ปี 2014 ได้รับหนังสือแจ้งเลิกจ้างในเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่ของบริษัทที่ปลดพนักงานไปแล้วกว่า 35,000 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา ก่อนออกจากงาน Luo พยายามคัดลอกไฟล์จากแล็ปท็อปของบริษัทไปยังอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก แต่ระบบรักษาความปลอดภัยของ Intel ขัดขวางไว้ได้ เขาจึงเปลี่ยนแผนโดยใช้ NAS (Network Attached Storage) และสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สำเร็จในครั้งต่อมา หลังจากนั้น Luo ใช้เวลาที่เหลือในการดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมหาศาล ซึ่งรวมถึงข้อมูลลับของบริษัท ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่ตอบกลับอีเมล โทรศัพท์ หรือจดหมายจาก Intel แม้บริษัทจะพยายามติดต่อเขานานกว่า 3 เดือน Intel จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ และขอให้ Luo คืนข้อมูลทั้งหมด โดยระบุว่าเขาละเมิดข้อตกลงการรักษาความลับอย่างร้ายแรง น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Intel เจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ก่อนหน้านี้อดีตพนักงานอีกคนก็เคยถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับ 34,000 ดอลลาร์ และถูกคุมประพฤติ 2 ปี หลังนำข้อมูลไปใช้สมัครงานกับ Microsoft ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาธุรกิจระหว่างสองบริษัท ✅ เหตุการณ์การขโมยข้อมูล ➡️ Luo ดาวน์โหลดไฟล์กว่า 18,000 รายการ ➡️ รวมถึงข้อมูลระดับ “Intel Top Secret” ➡️ ใช้ NAS ในการถ่ายโอนข้อมูล ➡️ หายตัวไปหลังถูกเลิกจ้าง ✅ การดำเนินคดีของ Intel ➡️ พยายามติดต่อ Luo นานกว่า 3 เดือน ➡️ ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 250,000 ดอลลาร์ ➡️ ขอคืนข้อมูลทั้งหมด ➡️ ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงความลับ ✅ บริบทของบริษัท ➡️ Intel ลดพนักงานกว่า 35,000 คนใน 2 ปี ➡️ เผชิญวิกฤตการเงินตั้งแต่กลางปี 2024 ➡️ เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันกับอดีตพนักงานอีกคน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/laid-off-intel-employee-allegedly-steals-top-secret-files-goes-on-the-run-ex-engineer-downloaded-18-000-files-before-disappearing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • “FBI ตามล่าผู้ดูแล Archive.ph – เมื่อการเก็บข้อมูลกลายเป็นคดีอาญา”

    เว็บไซต์ Archive.ph (รวมถึง Archive.is และ Archive.today) เป็นเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้เก็บ snapshot ของหน้าเว็บ โดยเฉพาะเพื่อ “ข้าม” paywall ของสื่อข่าว หรือเก็บข้อมูลราชการที่อาจถูกลบในอนาคต

    แต่ในปี 2025 เว็บไซต์นี้กลายเป็นเป้าหมายของ FBI ซึ่งได้ออกหมายเรียกไปยังบริษัทจดโดเมน Tucows ในแคนาดา เพื่อขอข้อมูลผู้ดูแลเว็บไซต์อย่างละเอียด ตั้งแต่ชื่อผู้ใช้ หมายเลขโทรศัพท์ ประวัติการชำระเงิน ไปจนถึง session logs และบริการ cloud ที่เกี่ยวข้อง

    แม้หมายเรียกจะไม่ระบุว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใด แต่เอกสารระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “การสืบสวนคดีอาญาของรัฐบาลกลาง” และขอให้ Tucows “เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” อย่างไม่มีกำหนด

    อย่างไรก็ตาม Archive.today ได้โพสต์หมายเรียกนี้ลงบน X (Twitter เดิม) ทำให้เรื่องราวถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ และกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงการไซเบอร์ทันที

    ข้อมูลเกี่ยวกับ Archive.ph
    เป็นเว็บไซต์เก็บ snapshot ของหน้าเว็บตั้งแต่ปี 2012
    ใช้เพื่อข้าม paywall หรือเก็บข้อมูลที่อาจถูกลบ
    มีการใช้งานคล้าย Wayback Machine แต่ไม่เปิดเผยตัวตนผู้ดูแล
    เชื่อว่าผู้สร้างอาจเป็นบุคคลเดียว มีความเชื่อมโยงกับรัสเซียและยุโรป

    การดำเนินการของ FBI
    ออกหมายเรียกไปยัง Tucows เพื่อขอข้อมูลผู้ดูแลเว็บไซต์
    ขอข้อมูลส่วนตัวและเทคนิคอย่างละเอียด เช่น session logs และ cloud services
    ไม่ระบุความผิด แต่ระบุว่าเป็นคดีอาญาของรัฐบาลกลาง
    ขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ถูกเปิดเผยโดย Archive.today

    ความเคลื่อนไหวในวงการ
    คล้ายกับกรณี 12ft.io ที่ถูกปิดในเดือนกรกฎาคม 2025 จากข้อกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์
    สะท้อนแนวโน้มการปราบปรามเทคโนโลยีที่ “ข้ามระบบจ่ายเงิน” ของสื่อ
    ทำให้เกิดคำถามเรื่องสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ

    ความเสี่ยงด้านกฎหมายของเว็บไซต์เก็บข้อมูล
    การเก็บข้อมูลที่ข้ามระบบ paywall อาจถูกตีความว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
    ผู้ดูแลเว็บไซต์อาจถูกดำเนินคดีหากพบว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมาย
    การไม่เปิดเผยตัวตนอาจเพิ่มความสงสัยจากหน่วยงานรัฐ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักวิจัย
    การเข้าถึงข้อมูลที่เคยเปิดฟรีอาจถูกจำกัด
    นักข่าว นักวิชาการ และนักสิทธิมนุษยชนอาจสูญเสียเครื่องมือสำคัญ
    การปราบปรามเว็บไซต์แบบนี้อาจกระทบต่อเสรีภาพทางข้อมูล

    https://hackread.com/fbi-wants-to-know-who-runs-archive-ph/
    🕵️‍♂️ “FBI ตามล่าผู้ดูแล Archive.ph – เมื่อการเก็บข้อมูลกลายเป็นคดีอาญา” เว็บไซต์ Archive.ph (รวมถึง Archive.is และ Archive.today) เป็นเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้เก็บ snapshot ของหน้าเว็บ โดยเฉพาะเพื่อ “ข้าม” paywall ของสื่อข่าว หรือเก็บข้อมูลราชการที่อาจถูกลบในอนาคต แต่ในปี 2025 เว็บไซต์นี้กลายเป็นเป้าหมายของ FBI ซึ่งได้ออกหมายเรียกไปยังบริษัทจดโดเมน Tucows ในแคนาดา เพื่อขอข้อมูลผู้ดูแลเว็บไซต์อย่างละเอียด ตั้งแต่ชื่อผู้ใช้ หมายเลขโทรศัพท์ ประวัติการชำระเงิน ไปจนถึง session logs และบริการ cloud ที่เกี่ยวข้อง แม้หมายเรียกจะไม่ระบุว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใด แต่เอกสารระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “การสืบสวนคดีอาญาของรัฐบาลกลาง” และขอให้ Tucows “เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” อย่างไม่มีกำหนด อย่างไรก็ตาม Archive.today ได้โพสต์หมายเรียกนี้ลงบน X (Twitter เดิม) ทำให้เรื่องราวถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ และกลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงการไซเบอร์ทันที ✅ ข้อมูลเกี่ยวกับ Archive.ph ➡️ เป็นเว็บไซต์เก็บ snapshot ของหน้าเว็บตั้งแต่ปี 2012 ➡️ ใช้เพื่อข้าม paywall หรือเก็บข้อมูลที่อาจถูกลบ ➡️ มีการใช้งานคล้าย Wayback Machine แต่ไม่เปิดเผยตัวตนผู้ดูแล ➡️ เชื่อว่าผู้สร้างอาจเป็นบุคคลเดียว มีความเชื่อมโยงกับรัสเซียและยุโรป ✅ การดำเนินการของ FBI ➡️ ออกหมายเรียกไปยัง Tucows เพื่อขอข้อมูลผู้ดูแลเว็บไซต์ ➡️ ขอข้อมูลส่วนตัวและเทคนิคอย่างละเอียด เช่น session logs และ cloud services ➡️ ไม่ระบุความผิด แต่ระบุว่าเป็นคดีอาญาของรัฐบาลกลาง ➡️ ขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ถูกเปิดเผยโดย Archive.today ✅ ความเคลื่อนไหวในวงการ ➡️ คล้ายกับกรณี 12ft.io ที่ถูกปิดในเดือนกรกฎาคม 2025 จากข้อกล่าวหาว่าละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ สะท้อนแนวโน้มการปราบปรามเทคโนโลยีที่ “ข้ามระบบจ่ายเงิน” ของสื่อ ➡️ ทำให้เกิดคำถามเรื่องสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ ‼️ ความเสี่ยงด้านกฎหมายของเว็บไซต์เก็บข้อมูล ⛔ การเก็บข้อมูลที่ข้ามระบบ paywall อาจถูกตีความว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ⛔ ผู้ดูแลเว็บไซต์อาจถูกดำเนินคดีหากพบว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎหมาย ⛔ การไม่เปิดเผยตัวตนอาจเพิ่มความสงสัยจากหน่วยงานรัฐ ‼️ ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักวิจัย ⛔ การเข้าถึงข้อมูลที่เคยเปิดฟรีอาจถูกจำกัด ⛔ นักข่าว นักวิชาการ และนักสิทธิมนุษยชนอาจสูญเสียเครื่องมือสำคัญ ⛔ การปราบปรามเว็บไซต์แบบนี้อาจกระทบต่อเสรีภาพทางข้อมูล https://hackread.com/fbi-wants-to-know-who-runs-archive-ph/
    HACKREAD.COM
    FBI Wants to Know Who Runs Archive.ph
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮกเกอร์ Cavalry Werewolf โจมตีรัฐบาลรัสเซียด้วยมัลแวร์ ShellNET – ใช้ Telegram ควบคุมระบบจากระยะไกล

    กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อว่า Cavalry Werewolf ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีแบบเจาะจงต่อหน่วยงานรัฐบาลรัสเซีย โดยใช้มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ BackDoor.ShellNET.1 ที่สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายผ่าน Telegram และเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับและโครงสร้างเครือข่ายภายใน

    การโจมตีเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 เมื่อองค์กรเป้าหมายพบว่าอีเมลสแปมถูกส่งออกจากระบบของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนภายในและพบว่าเป็นการโจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยใช้ไฟล์เอกสารปลอมที่ถูกเข้ารหัสด้วยรหัสผ่านเพื่อหลอกให้เปิดใช้งานมัลแวร์

    มัลแวร์ ShellNET ใช้โค้ดจากโปรเจกต์โอเพ่นซอร์ส Reverse-Shell-CS เมื่อถูกเปิดใช้งานจะสร้าง reverse shell เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถสั่งงานจากระยะไกล และดาวน์โหลดเครื่องมือเพิ่มเติม เช่น Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์ และ BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้าง SOCKS5 tunnel เพื่อสื่อสารแบบลับ

    กลุ่มนี้ยังใช้ Telegram bots เป็นเครื่องมือควบคุมมัลแวร์ ซึ่งช่วยซ่อนโครงสร้างพื้นฐานของผู้โจมตีได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีการใช้โปรแกรมยอดนิยมที่ถูกดัดแปลง เช่น WinRAR, 7-Zip และ Visual Studio Code เพื่อเปิดช่องให้มัลแวร์ตัวอื่นทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรมเหล่านี้

    ลักษณะการโจมตี
    เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ปลอม
    ใช้มัลแวร์ ShellNET สร้าง reverse shell
    ดาวน์โหลดเครื่องมือขโมยข้อมูลและควบคุมระบบเพิ่มเติม

    เครื่องมือที่ใช้ในการโจมตี
    Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์
    BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้างช่องทางสื่อสารลับ
    Telegram bots สำหรับควบคุมมัลแวร์จากระยะไกล

    การใช้โปรแกรมปลอม
    ดัดแปลงโปรแกรมยอดนิยมให้เปิดมัลแวร์
    เช่น WinRAR, 7-Zip, Visual Studio Code

    เป้าหมายของการโจมตี
    ข้อมูลลับขององค์กรรัฐบาล
    โครงสร้างเครือข่ายภายใน
    ข้อมูลผู้ใช้และระบบที่เชื่อมต่อ

    ประวัติของกลุ่ม Cavalry Werewolf
    เคยโจมตีหน่วยงานรัฐและอุตสาหกรรมในรัสเซีย
    ใช้ชื่อปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลคีร์กีซ
    มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม Silent Lynx และ YoroTrooper

    https://hackread.com/cavalry-werewolf-russia-government-shellnet-backdoor/
    🎯 กลุ่มแฮกเกอร์ Cavalry Werewolf โจมตีรัฐบาลรัสเซียด้วยมัลแวร์ ShellNET – ใช้ Telegram ควบคุมระบบจากระยะไกล กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อว่า Cavalry Werewolf ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีแบบเจาะจงต่อหน่วยงานรัฐบาลรัสเซีย โดยใช้มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ BackDoor.ShellNET.1 ที่สามารถควบคุมเครื่องเป้าหมายผ่าน Telegram และเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลลับและโครงสร้างเครือข่ายภายใน การโจมตีเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2025 เมื่อองค์กรเป้าหมายพบว่าอีเมลสแปมถูกส่งออกจากระบบของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนภายในและพบว่าเป็นการโจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยใช้ไฟล์เอกสารปลอมที่ถูกเข้ารหัสด้วยรหัสผ่านเพื่อหลอกให้เปิดใช้งานมัลแวร์ มัลแวร์ ShellNET ใช้โค้ดจากโปรเจกต์โอเพ่นซอร์ส Reverse-Shell-CS เมื่อถูกเปิดใช้งานจะสร้าง reverse shell เพื่อให้แฮกเกอร์สามารถสั่งงานจากระยะไกล และดาวน์โหลดเครื่องมือเพิ่มเติม เช่น Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์ และ BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้าง SOCKS5 tunnel เพื่อสื่อสารแบบลับ กลุ่มนี้ยังใช้ Telegram bots เป็นเครื่องมือควบคุมมัลแวร์ ซึ่งช่วยซ่อนโครงสร้างพื้นฐานของผู้โจมตีได้อย่างแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีการใช้โปรแกรมยอดนิยมที่ถูกดัดแปลง เช่น WinRAR, 7-Zip และ Visual Studio Code เพื่อเปิดช่องให้มัลแวร์ตัวอื่นทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรมเหล่านี้ ✅ ลักษณะการโจมตี ➡️ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ปลอม ➡️ ใช้มัลแวร์ ShellNET สร้าง reverse shell ➡️ ดาวน์โหลดเครื่องมือขโมยข้อมูลและควบคุมระบบเพิ่มเติม ✅ เครื่องมือที่ใช้ในการโจมตี ➡️ Trojan.FileSpyNET.5 สำหรับขโมยไฟล์ ➡️ BackDoor.Tunnel.41 สำหรับสร้างช่องทางสื่อสารลับ ➡️ Telegram bots สำหรับควบคุมมัลแวร์จากระยะไกล ✅ การใช้โปรแกรมปลอม ➡️ ดัดแปลงโปรแกรมยอดนิยมให้เปิดมัลแวร์ ➡️ เช่น WinRAR, 7-Zip, Visual Studio Code ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ ข้อมูลลับขององค์กรรัฐบาล ➡️ โครงสร้างเครือข่ายภายใน ➡️ ข้อมูลผู้ใช้และระบบที่เชื่อมต่อ ✅ ประวัติของกลุ่ม Cavalry Werewolf ➡️ เคยโจมตีหน่วยงานรัฐและอุตสาหกรรมในรัสเซีย ➡️ ใช้ชื่อปลอมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลคีร์กีซ ➡️ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม Silent Lynx และ YoroTrooper https://hackread.com/cavalry-werewolf-russia-government-shellnet-backdoor/
    HACKREAD.COM
    Cavalry Werewolf Hit Russian Government with New ShellNET Backdoor
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฮกเกอร์เหนือชั้น! กลุ่ม Curly COMrades ซ่อนมัลแวร์ใน VM บน Hyper-V หลบ EDR ได้แนบเนียน

    เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟัง เพราะมันคือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีที่ “ล้ำลึกและแนบเนียน” ที่สุดในปี 2025 เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐจากรัสเซียที่รู้จักกันในชื่อ “Curly COMrades” ได้ใช้เทคโนโลยี Hyper-V ของ Microsoft เพื่อซ่อนมัลแวร์ไว้ในเครื่องเสมือน (VM) ที่ตรวจจับแทบไม่ได้ด้วยเครื่องมือ EDR (Endpoint Detection and Response) ทั่วไป

    แฮกเกอร์กลุ่มนี้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรในยุโรปตะวันออกและแถบคอเคซัส พวกเขาใช้เทคนิคเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่อง Windows 10 ที่ถูกเจาะ แล้วติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB ซึ่งภายในมีมัลแวร์ 2 ตัวคือ CurlyShell และ CurlCat

    VM นี้ถูกตั้งชื่อหลอกว่า “WSL” เพื่อให้ดูเหมือน Windows Subsystem for Linux ทั้งที่จริงแล้วเป็น Hyper-V VM แยกต่างหากอย่างสมบูรณ์

    CurlyShell ทำหน้าที่เป็น reverse shell ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ผ่าน HTTPS ส่วน CurlCat ทำหน้าที่เป็น reverse proxy โดยใช้ SSH over HTTP เพื่อส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสกลับไปยังผู้ควบคุม

    นอกจากนี้ยังมีการใช้ PowerShell script ขั้นสูง เช่น kb_upd.ps1 ที่สามารถ inject Kerberos ticket เข้าไปใน LSASS เพื่อเข้าถึงระบบอื่นในเครือข่าย และ screensaver.ps1 ที่สามารถสร้างหรือรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชีผู้ใช้ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การใช้ VM ซ่อนมัลแวร์เป็นแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Virtualization-based Evasion” ซึ่งยากต่อการตรวจจับเพราะ VM ทำงานแยกจากระบบหลัก
    การตั้งชื่อ VM ว่า “WSL” เป็นการใช้เทคนิค deception เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบให้เข้าใจผิดว่าเป็นระบบปกติ
    การใช้ libcurl และ Base64 แบบดัดแปลงช่วยให้การสื่อสารของมัลแวร์ไม่ถูกตรวจจับโดยระบบวิเคราะห์ทราฟฟิกทั่วไป
    การใช้ PowerShell และ Kerberos ticket injection เป็นเทคนิคที่นิยมในกลุ่มแฮกเกอร์ระดับสูง เพราะสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านจริง

    เทคนิคการโจมตีของ Curly COMrades
    ใช้ Hyper-V สร้าง VM ซ่อนมัลแวร์
    ติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB
    ใช้ชื่อ VM ว่า “WSL” เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบ
    ใช้ CurlyShell และ CurlCat สำหรับควบคุมและส่งข้อมูล
    ใช้ PowerShell script เพื่อคงอยู่ในระบบและเคลื่อนไหวภายในเครือข่าย

    จุดเด่นของมัลแวร์
    CurlyShell: reverse shell ที่สื่อสารผ่าน HTTPS
    CurlCat: reverse proxy ที่ใช้ SSH over HTTP
    เขียนด้วย C++ และใช้ libcurl
    ใช้ Base64 แบบดัดแปลงเพื่อหลบการตรวจจับ
    มีการจัดการสิทธิ์และบัญชีผู้ใช้ในเครื่องอย่างแนบเนียน

    การค้นพบและวิเคราะห์
    Bitdefender ร่วมมือกับ CERT ของจอร์เจีย
    พบการใช้ iptables filter เฉพาะเหยื่อ
    ใช้ fake TLS certificate เพื่อพรางตัว
    ใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์เป็น proxy สำหรับ C2

    คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบองค์กร
    อย่ามองข้าม VM ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย เช่น “WSL”
    ควรตรวจสอบการเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่องผู้ใช้
    ตรวจสอบ PowerShell script ที่รันอัตโนมัติในระบบ
    ใช้ EDR ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรม VM และการใช้ PowerShell ขั้นสูง
    แยกสิทธิ์ผู้ใช้และจำกัดการเข้าถึง Hyper-V เฉพาะผู้ที่จำเป็น

    นี่ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา แต่มันคือ “การซ่อนตัวในโลกเสมือน” ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถอยู่ในระบบของคุณได้นานโดยไม่มีใครรู้ตัว… และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด.

    https://securityonline.info/curly-comrades-apt-bypasses-edr-by-hiding-linux-backdoor-inside-covert-hyper-v-vm/
    🧠 แฮกเกอร์เหนือชั้น! กลุ่ม Curly COMrades ซ่อนมัลแวร์ใน VM บน Hyper-V หลบ EDR ได้แนบเนียน เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟัง เพราะมันคือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีที่ “ล้ำลึกและแนบเนียน” ที่สุดในปี 2025 เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ระดับรัฐจากรัสเซียที่รู้จักกันในชื่อ “Curly COMrades” ได้ใช้เทคโนโลยี Hyper-V ของ Microsoft เพื่อซ่อนมัลแวร์ไว้ในเครื่องเสมือน (VM) ที่ตรวจจับแทบไม่ได้ด้วยเครื่องมือ EDR (Endpoint Detection and Response) ทั่วไป แฮกเกอร์กลุ่มนี้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2025 โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรในยุโรปตะวันออกและแถบคอเคซัส พวกเขาใช้เทคนิคเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่อง Windows 10 ที่ถูกเจาะ แล้วติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB ซึ่งภายในมีมัลแวร์ 2 ตัวคือ CurlyShell และ CurlCat VM นี้ถูกตั้งชื่อหลอกว่า “WSL” เพื่อให้ดูเหมือน Windows Subsystem for Linux ทั้งที่จริงแล้วเป็น Hyper-V VM แยกต่างหากอย่างสมบูรณ์ CurlyShell ทำหน้าที่เป็น reverse shell ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ผ่าน HTTPS ส่วน CurlCat ทำหน้าที่เป็น reverse proxy โดยใช้ SSH over HTTP เพื่อส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสกลับไปยังผู้ควบคุม นอกจากนี้ยังมีการใช้ PowerShell script ขั้นสูง เช่น kb_upd.ps1 ที่สามารถ inject Kerberos ticket เข้าไปใน LSASS เพื่อเข้าถึงระบบอื่นในเครือข่าย และ screensaver.ps1 ที่สามารถสร้างหรือรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชีผู้ใช้ในเครื่องได้โดยอัตโนมัติ 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🎗️ การใช้ VM ซ่อนมัลแวร์เป็นแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Virtualization-based Evasion” ซึ่งยากต่อการตรวจจับเพราะ VM ทำงานแยกจากระบบหลัก 🎗️ การตั้งชื่อ VM ว่า “WSL” เป็นการใช้เทคนิค deception เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบให้เข้าใจผิดว่าเป็นระบบปกติ 🎗️ การใช้ libcurl และ Base64 แบบดัดแปลงช่วยให้การสื่อสารของมัลแวร์ไม่ถูกตรวจจับโดยระบบวิเคราะห์ทราฟฟิกทั่วไป 🎗️ การใช้ PowerShell และ Kerberos ticket injection เป็นเทคนิคที่นิยมในกลุ่มแฮกเกอร์ระดับสูง เพราะสามารถควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านจริง ✅ เทคนิคการโจมตีของ Curly COMrades ➡️ ใช้ Hyper-V สร้าง VM ซ่อนมัลแวร์ ➡️ ติดตั้ง Alpine Linux VM ขนาดเล็กเพียง 120MB ➡️ ใช้ชื่อ VM ว่า “WSL” เพื่อหลอกผู้ดูแลระบบ ➡️ ใช้ CurlyShell และ CurlCat สำหรับควบคุมและส่งข้อมูล ➡️ ใช้ PowerShell script เพื่อคงอยู่ในระบบและเคลื่อนไหวภายในเครือข่าย ✅ จุดเด่นของมัลแวร์ ➡️ CurlyShell: reverse shell ที่สื่อสารผ่าน HTTPS ➡️ CurlCat: reverse proxy ที่ใช้ SSH over HTTP ➡️ เขียนด้วย C++ และใช้ libcurl ➡️ ใช้ Base64 แบบดัดแปลงเพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ มีการจัดการสิทธิ์และบัญชีผู้ใช้ในเครื่องอย่างแนบเนียน ✅ การค้นพบและวิเคราะห์ ➡️ Bitdefender ร่วมมือกับ CERT ของจอร์เจีย ➡️ พบการใช้ iptables filter เฉพาะเหยื่อ ➡️ ใช้ fake TLS certificate เพื่อพรางตัว ➡️ ใช้เว็บเซิร์ฟเวอร์เป็น proxy สำหรับ C2 ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ดูแลระบบองค์กร ⛔ อย่ามองข้าม VM ที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัย เช่น “WSL” ⛔ ควรตรวจสอบการเปิดใช้งาน Hyper-V บนเครื่องผู้ใช้ ⛔ ตรวจสอบ PowerShell script ที่รันอัตโนมัติในระบบ ⛔ ใช้ EDR ที่สามารถตรวจจับพฤติกรรม VM และการใช้ PowerShell ขั้นสูง ⛔ แยกสิทธิ์ผู้ใช้และจำกัดการเข้าถึง Hyper-V เฉพาะผู้ที่จำเป็น นี่ไม่ใช่แค่มัลแวร์ธรรมดา แต่มันคือ “การซ่อนตัวในโลกเสมือน” ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถอยู่ในระบบของคุณได้นานโดยไม่มีใครรู้ตัว… และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด. https://securityonline.info/curly-comrades-apt-bypasses-edr-by-hiding-linux-backdoor-inside-covert-hyper-v-vm/
    SECURITYONLINE.INFO
    Curly COMrades APT Bypasses EDR by Hiding Linux Backdoor Inside Covert Hyper-V VM
    Bitdefender exposed Curly COMrades (Russian APT) using Hyper-V to run a hidden Alpine Linux VM. The VM hosts the CurlyShell backdoor, effectively bypassing host-based EDR for espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สงครามชิป AI ดันราคา DRAM พุ่งทะลุฟ้า แซงราคาทองคำ!"

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะอัปเกรดคอมพิวเตอร์ แต่ราคาหน่วยความจำ (RAM) กลับพุ่งสูงจนต้องคิดหนัก… นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เมื่อความต้องการชิปหน่วยความจำจากอุตสาหกรรม AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ราคา DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว — มากกว่าการขึ้นราคาของทองคำเสียอีก!

    บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังหันไปเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล AI เช่น RDIMM และ HBM แทนที่จะผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงในตลาดค้าปลีก เช่น Corsair Vengeance DDR5 ที่เคยขายในราคา $91 ตอนเดือนกรกฎาคม ตอนนี้พุ่งไปถึง $183 แล้ว!

    นอกจาก DRAM แล้ว NAND Flash และฮาร์ดไดรฟ์ก็โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะบริษัท AI รายใหญ่แห่กันเซ็นสัญญาซื้อชิปกับ Samsung และ SK Hynix ล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
    เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    สูงกว่าการขึ้นราคาของทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน

    ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI เป็นตัวเร่ง
    ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น RDIMM และ HBM
    ผู้ผลิตจึงลดการผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ราคาหน่วยความจำ DDR5 ในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเท่าตัว
    ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance DDR5 ขึ้นจาก $91 เป็น $183

    แนวโน้มระยะยาว
    ผู้ผลิตเซ็นสัญญาซื้อ DRAM ล่วงหน้ากับ Samsung และ SK Hynix นานถึง 4 ปี
    ราคาสินค้าดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน และพีซี อาจปรับตัวสูงขึ้นตาม

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
    อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในระยะยาว
    การอัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่อาจต้องวางแผนล่วงหน้า

    คำเตือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    ต้นทุนการผลิตที่ใช้หน่วยความจำอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    ควรพิจารณาการจัดซื้อหรือสต็อกสินค้าให้เหมาะสมกับแนวโน้มตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-surge-171-percent-year-over-year-ai-demand-drives-a-higher-yoy-price-increase-than-gold
    🧠💰 "สงครามชิป AI ดันราคา DRAM พุ่งทะลุฟ้า แซงราคาทองคำ!" ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะอัปเกรดคอมพิวเตอร์ แต่ราคาหน่วยความจำ (RAM) กลับพุ่งสูงจนต้องคิดหนัก… นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2025 นี้ เมื่อความต้องการชิปหน่วยความจำจากอุตสาหกรรม AI พุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ราคา DRAM เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว — มากกว่าการขึ้นราคาของทองคำเสียอีก! บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำกำลังหันไปเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูล AI เช่น RDIMM และ HBM แทนที่จะผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงในตลาดค้าปลีก เช่น Corsair Vengeance DDR5 ที่เคยขายในราคา $91 ตอนเดือนกรกฎาคม ตอนนี้พุ่งไปถึง $183 แล้ว! นอกจาก DRAM แล้ว NAND Flash และฮาร์ดไดรฟ์ก็โดนผลกระทบเช่นกัน เพราะบริษัท AI รายใหญ่แห่กันเซ็นสัญญาซื้อชิปกับ Samsung และ SK Hynix ล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง 4 ปี ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ราคาหน่วยความจำ DRAM พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ➡️ เพิ่มขึ้นถึง 171.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ➡️ สูงกว่าการขึ้นราคาของทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน ✅ ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI เป็นตัวเร่ง ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น RDIMM และ HBM ➡️ ผู้ผลิตจึงลดการผลิต DDR5 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ราคาหน่วยความจำ DDR5 ในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเท่าตัว ➡️ ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance DDR5 ขึ้นจาก $91 เป็น $183 ✅ แนวโน้มระยะยาว ➡️ ผู้ผลิตเซ็นสัญญาซื้อ DRAM ล่วงหน้ากับ Samsung และ SK Hynix นานถึง 4 ปี ➡️ ราคาสินค้าดิจิทัล เช่น สมาร์ทโฟน และพีซี อาจปรับตัวสูงขึ้นตาม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ⛔ อาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเทคโนโลยีที่สูงขึ้นในระยะยาว ⛔ การอัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้ออุปกรณ์ใหม่อาจต้องวางแผนล่วงหน้า ‼️ คำเตือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ⛔ ต้นทุนการผลิตที่ใช้หน่วยความจำอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ⛔ ควรพิจารณาการจัดซื้อหรือสต็อกสินค้าให้เหมาะสมกับแนวโน้มตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/dram-prices-surge-171-percent-year-over-year-ai-demand-drives-a-higher-yoy-price-increase-than-gold
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อทวด เนื้อนวะ วัดดีหลวง จ.สงขลา ปี2556
    เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อทวด เนื้อนวะ ( ตอกโค๊ด ตอกเลข ๘๒๗ จัดสร้างจำนวนน้อย ) รุ่นสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทวด-อาจารย์ทิม ประดิษฐาน ณ วัดดีหลวง (วัดหลวงพ่อทวด) อ.สทิงพระ จ.สงขลา ปี2556 // พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสก 3 วาระ สุดยอดประสบการณ์ชั้นเยี่ยมอีกเหรียญ สร้างน้อย // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ** พุทธคุณเยี่ยม เมตตา โชคลาภ มหาอุตม์ แคล้วคลาดคงกระพันเป็นเลิศ!!! เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก.กันเสนียดจัญไร เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย ประสบการณ์มากมาย **

    ** เหรียญเสมาเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อทวด-อาจารย์ทิม เนื้อทองแดงรมดำ รุ่นสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทวด-อาจารย์ทิม ประดิษฐาน ณ วัดดีหลวง (วัดหลวงพ่อทวด) สุดยอดแห่งการรวบรวมชนวนมวลสารศักดิ์ในการก่อสร้าง พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสก 3วาระ โดยเกจิอาจารย์สายใต้ฯลฯ

    วาระที่1 เข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก วันที่ 6 กรกฎาคม 2556 ณ อุโบสถ วัดพะโคะ จ.สงขลา โดยเกจิอาจารย์สายใต้ เช่น
    พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พ่อท่านหวาย วัดสะบ้าย้อย พ่อท่านจ่าง วัดศรีมหาโพธิ์ พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา ฯลฯ

    วาระที่2 วันที่ 9 สิงหาคม 2556 อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวโดย พระใบฏีกาประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดดีหลวง(วัดหลวงพ่อทวด)

    วาระที่3 วันที่ 6 กันยายน 2556 อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวโดย พระครูประสูตโสภณ(พ่อท่านเกลื่อน) วัดประดู่หมู่ เป็นสหธรรมิก อาจารย์ทิม วัดช้างให้

    ** วัดดีหลวง เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา อยุ่คุ่กันมากับวัดพระโค๊ะและวัดสีหยัง ตั้งอยู่ที่ริมถนนสายสงขลา-ระโนด ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ วัดดีหลวง เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ในแผนที่ภาพกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุง เรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดดีหลวง ขึ้นกับวัดพระโค๊ะ หลักฐานเอกสารเก่าบางฉบับก็เรียกว่า วัดกุฎีหลวงหรือวัดหลวง แต่คนเฒ่าคนแก่เรียกวัดเจดีหลวง เพราะสมัยก่อนมีเจดีย์ห้วยยอดขนาดใหญ่อยู่หน้าดบสถ์ หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ จ.ปัตตานี หรือสมเด็จเจ้าพะโคะ เคยบวชเรียนอยู่ สมภารเจ้าวัดองค์แรกมีนามว่า สมภารจวง ซึ่งเป็นหลวงลุงองค์สมเด็จหลวงพ่อทวด เยียบน้ำทะเลจืด จึงถือเป็นวัดที่มีความสำคัญต่อประวัติองค์สมเด็จหลวงพ่อทวด เป็นอย่างมากในภาคปฐมวัย **

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อทวด เนื้อนวะ วัดดีหลวง จ.สงขลา ปี2556 เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อทวด เนื้อนวะ ( ตอกโค๊ด ตอกเลข ๘๒๗ จัดสร้างจำนวนน้อย ) รุ่นสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทวด-อาจารย์ทิม ประดิษฐาน ณ วัดดีหลวง (วัดหลวงพ่อทวด) อ.สทิงพระ จ.สงขลา ปี2556 // พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสก 3 วาระ สุดยอดประสบการณ์ชั้นเยี่ยมอีกเหรียญ สร้างน้อย // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ** พุทธคุณเยี่ยม เมตตา โชคลาภ มหาอุตม์ แคล้วคลาดคงกระพันเป็นเลิศ!!! เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม ดีนัก.กันเสนียดจัญไร เป็นมหามงคลและสุดยอดนิรันตราย ประสบการณ์มากมาย ** ** เหรียญเสมาเลื่อนสมณศักดิ์หลวงพ่อทวด-อาจารย์ทิม เนื้อทองแดงรมดำ รุ่นสร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทวด-อาจารย์ทิม ประดิษฐาน ณ วัดดีหลวง (วัดหลวงพ่อทวด) สุดยอดแห่งการรวบรวมชนวนมวลสารศักดิ์ในการก่อสร้าง พระดีพิธีใหญ่ ปลุกเสก 3วาระ โดยเกจิอาจารย์สายใต้ฯลฯ วาระที่1 เข้าร่วมพิธีมหาพุทธาภิเษก วันที่ 6 กรกฎาคม 2556 ณ อุโบสถ วัดพะโคะ จ.สงขลา โดยเกจิอาจารย์สายใต้ เช่น พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พ่อท่านหวาย วัดสะบ้าย้อย พ่อท่านจ่าง วัดศรีมหาโพธิ์ พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา ฯลฯ วาระที่2 วันที่ 9 สิงหาคม 2556 อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวโดย พระใบฏีกาประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดดีหลวง(วัดหลวงพ่อทวด) วาระที่3 วันที่ 6 กันยายน 2556 อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวโดย พระครูประสูตโสภณ(พ่อท่านเกลื่อน) วัดประดู่หมู่ เป็นสหธรรมิก อาจารย์ทิม วัดช้างให้ ** วัดดีหลวง เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา อยุ่คุ่กันมากับวัดพระโค๊ะและวัดสีหยัง ตั้งอยู่ที่ริมถนนสายสงขลา-ระโนด ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ วัดดีหลวง เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ในแผนที่ภาพกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุง เรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดดีหลวง ขึ้นกับวัดพระโค๊ะ หลักฐานเอกสารเก่าบางฉบับก็เรียกว่า วัดกุฎีหลวงหรือวัดหลวง แต่คนเฒ่าคนแก่เรียกวัดเจดีหลวง เพราะสมัยก่อนมีเจดีย์ห้วยยอดขนาดใหญ่อยู่หน้าดบสถ์ หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ จ.ปัตตานี หรือสมเด็จเจ้าพะโคะ เคยบวชเรียนอยู่ สมภารเจ้าวัดองค์แรกมีนามว่า สมภารจวง ซึ่งเป็นหลวงลุงองค์สมเด็จหลวงพ่อทวด เยียบน้ำทะเลจืด จึงถือเป็นวัดที่มีความสำคัญต่อประวัติองค์สมเด็จหลวงพ่อทวด เป็นอย่างมากในภาคปฐมวัย ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI กลายเป็นช่องทางลับ: มัลแวร์ SesameOp แอบใช้ OpenAI API เป็นช่องสื่อสารลับ

    ลองจินตนาการว่าเครื่องมือ AI ที่เราใช้สร้างผู้ช่วยอัจฉริยะ กลับถูกใช้เป็นช่องทางลับในการสื่อสารของแฮกเกอร์ — นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในกรณีของ SesameOp มัลแวร์สายจารกรรมที่ถูกค้นพบโดยทีม Microsoft DART (Detection and Response Team)

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Microsoft ตรวจพบการโจมตีที่ซับซ้อน ซึ่งแฮกเกอร์ได้ฝังมัลแวร์ไว้ในระบบองค์กรผ่านการฉีดโค้ดลงใน Visual Studio โดยใช้เทคนิค .NET AppDomainManager injection เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและคงอยู่ในระบบได้นานหลายเดือน

    แต่สิ่งที่ทำให้ SesameOp โดดเด่นคือการใช้ OpenAI Assistants API — บริการคลาวด์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผู้ช่วย AI — เป็นช่องทางสื่อสารลับ (Command-and-Control หรือ C2) โดยไม่ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์แฮกเองให้เสี่ยงถูกจับได้

    SesameOp ไม่ได้เรียกใช้โมเดล AI หรือ SDK ของ OpenAI แต่ใช้ API เพื่อดึงคำสั่งที่ถูกเข้ารหัสไว้ แล้วนำไปประมวลผลในเครื่องที่ติดมัลแวร์ จากนั้นก็ส่งผลลัพธ์กลับไปยังแฮกเกอร์ผ่าน API เดิม โดยทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ในทราฟฟิก HTTPS ปกติ ทำให้ยากต่อการตรวจจับ

    Microsoft ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ช่องโหว่ของ OpenAI แต่เป็นการ “ใช้ฟีเจอร์อย่างผิดวัตถุประสงค์” และได้ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อปิดบัญชีและ API key ที่ถูกใช้ในการโจมตี

    มัลแวร์ SesameOp ใช้ OpenAI Assistants API เป็นช่องทางสื่อสารลับ
    ไม่ใช้โมเดล AI หรือ SDK แต่ใช้ API เพื่อรับคำสั่งและส่งผลลัพธ์
    ซ่อนการสื่อสารในทราฟฟิก HTTPS ปกติ ทำให้ตรวจจับได้ยาก

    ถูกค้นพบโดย Microsoft DART ในการสืบสวนเหตุการณ์โจมตีองค์กร
    ใช้เทคนิค .NET AppDomainManager injection ใน Visual Studio
    ฝังโค้ดเพื่อคงอยู่ในระบบและหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    Microsoft และ OpenAI ร่วมมือกันปิดบัญชีและ API key ที่ถูกใช้
    ยืนยันว่าไม่ใช่ช่องโหว่ของระบบ แต่เป็นการใช้ฟีเจอร์ผิดวัตถุประสงค์
    API ดังกล่าวจะถูกยกเลิกในเดือนสิงหาคม 2026

    การเข้ารหัสข้อมูลใช้ทั้ง AES-256 และ RSA
    ข้อมูลถูกบีบอัดด้วย GZIP ก่อนส่งกลับผ่าน API
    เพิ่มความลับและลดขนาดข้อมูลเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    https://securityonline.info/sesameop-backdoor-hijacks-openai-assistants-api-for-covert-c2-and-espionage/
    🕵️‍♂️ เมื่อ AI กลายเป็นช่องทางลับ: มัลแวร์ SesameOp แอบใช้ OpenAI API เป็นช่องสื่อสารลับ ลองจินตนาการว่าเครื่องมือ AI ที่เราใช้สร้างผู้ช่วยอัจฉริยะ กลับถูกใช้เป็นช่องทางลับในการสื่อสารของแฮกเกอร์ — นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในกรณีของ SesameOp มัลแวร์สายจารกรรมที่ถูกค้นพบโดยทีม Microsoft DART (Detection and Response Team) ในเดือนกรกฎาคม 2025 Microsoft ตรวจพบการโจมตีที่ซับซ้อน ซึ่งแฮกเกอร์ได้ฝังมัลแวร์ไว้ในระบบองค์กรผ่านการฉีดโค้ดลงใน Visual Studio โดยใช้เทคนิค .NET AppDomainManager injection เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและคงอยู่ในระบบได้นานหลายเดือน แต่สิ่งที่ทำให้ SesameOp โดดเด่นคือการใช้ OpenAI Assistants API — บริการคลาวด์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผู้ช่วย AI — เป็นช่องทางสื่อสารลับ (Command-and-Control หรือ C2) โดยไม่ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์แฮกเองให้เสี่ยงถูกจับได้ SesameOp ไม่ได้เรียกใช้โมเดล AI หรือ SDK ของ OpenAI แต่ใช้ API เพื่อดึงคำสั่งที่ถูกเข้ารหัสไว้ แล้วนำไปประมวลผลในเครื่องที่ติดมัลแวร์ จากนั้นก็ส่งผลลัพธ์กลับไปยังแฮกเกอร์ผ่าน API เดิม โดยทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ในทราฟฟิก HTTPS ปกติ ทำให้ยากต่อการตรวจจับ Microsoft ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ช่องโหว่ของ OpenAI แต่เป็นการ “ใช้ฟีเจอร์อย่างผิดวัตถุประสงค์” และได้ร่วมมือกับ OpenAI เพื่อปิดบัญชีและ API key ที่ถูกใช้ในการโจมตี ✅ มัลแวร์ SesameOp ใช้ OpenAI Assistants API เป็นช่องทางสื่อสารลับ ➡️ ไม่ใช้โมเดล AI หรือ SDK แต่ใช้ API เพื่อรับคำสั่งและส่งผลลัพธ์ ➡️ ซ่อนการสื่อสารในทราฟฟิก HTTPS ปกติ ทำให้ตรวจจับได้ยาก ✅ ถูกค้นพบโดย Microsoft DART ในการสืบสวนเหตุการณ์โจมตีองค์กร ➡️ ใช้เทคนิค .NET AppDomainManager injection ใน Visual Studio ➡️ ฝังโค้ดเพื่อคงอยู่ในระบบและหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ Microsoft และ OpenAI ร่วมมือกันปิดบัญชีและ API key ที่ถูกใช้ ➡️ ยืนยันว่าไม่ใช่ช่องโหว่ของระบบ แต่เป็นการใช้ฟีเจอร์ผิดวัตถุประสงค์ ➡️ API ดังกล่าวจะถูกยกเลิกในเดือนสิงหาคม 2026 ✅ การเข้ารหัสข้อมูลใช้ทั้ง AES-256 และ RSA ➡️ ข้อมูลถูกบีบอัดด้วย GZIP ก่อนส่งกลับผ่าน API ➡️ เพิ่มความลับและลดขนาดข้อมูลเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ https://securityonline.info/sesameop-backdoor-hijacks-openai-assistants-api-for-covert-c2-and-espionage/
    SECURITYONLINE.INFO
    SesameOp Backdoor Hijacks OpenAI Assistants API for Covert C2 and Espionage
    Microsoft exposed SesameOp, an espionage backdoor that uses the OpenAI Assistants API for a covert C2 channel. The malware bypasses network defenses by blending encrypted commands with legitimate HTTPS traffic.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 677 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “อินเทอร์เน็ตโลกยังเปราะบาง – Cloudflare เผยเบื้องหลังการล่มจากสายเคเบิล,ภัยธรรมชาติ และคำสั่งรัฐ”

    รายงานล่าสุดจาก Cloudflare เผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โลกเผชิญกับการล่มของอินเทอร์เน็ตจากหลายสาเหตุ ทั้งภัยธรรมชาติ, การก่อสร้าง, การโจมตีไซเบอร์ และคำสั่งจากรัฐบาล โดยมีผลกระทบต่อผู้ใช้งานในกว่า 125 ประเทศ.

    ลองนึกภาพว่าแค่กระสุนหลงในเท็กซัสก็สามารถทำให้ผู้ใช้ Spectrum หลายพันคนใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้ถึง 2 ชั่วโมง นี่คือหนึ่งในหลายกรณีที่ Cloudflare รวบรวมไว้ในรายงาน “Q3 Internet Disruptions” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกยังคงเปราะบางอย่างมาก

    รายงานระบุว่า:
    รัฐบาลยังคงเป็นต้นเหตุหลักของการล่ม เช่น อิรัก, ซีเรีย และซูดาน ที่สั่งปิดอินเทอร์เน็ตช่วงสอบระดับชาติ เพื่อป้องกันการโกงข้อสอบ
    ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุ เช่น แผ่นดินไหวขนาด 8.8 ในคัมชัตกา, ไฟไหม้ศูนย์กลางโทรคมนาคมในอียิปต์, และการตัดสายเคเบิลจากการก่อสร้างในแองโกลาและโดมินิกัน
    การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของระบบ เช่น Starlink ที่ล่มทั่วโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม จากความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ภายใน

    แม้จะมีเทคโนโลยีป้องกัน DDoS และระบบ routing ที่ทันสมัย แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายหรือถูกสั่งปิด อินเทอร์เน็ตก็ยังคงล่มได้ง่าย

    Cloudflare เผยรายงาน Q3 Internet Disruptions ปี 2025
    ครอบคลุมเหตุการณ์ล่มใน 125 ประเทศจากหลายสาเหตุ

    รัฐบาลยังคงใช้การปิดอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือควบคุม
    เช่น อิรัก, ซีเรีย, ซูดาน ปิดเน็ตช่วงสอบเพื่อป้องกันการโกง

    ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุเป็นสาเหตุสำคัญ
    แผ่นดินไหวในรัสเซีย, ไฟไหม้ในอียิปต์, กระสุนหลงในเท็กซัส

    การก่อสร้างทำให้สายเคเบิลถูกตัด
    ส่งผลให้การเชื่อมต่อหยุดชะงักหลายชั่วโมงในหลายประเทศ

    Starlink ล่มทั่วโลกจากความผิดพลาดของระบบ
    แสดงให้เห็นว่าแม้ระบบดาวเทียมก็ยังไม่ปลอดภัยจากข้อผิดพลาดภายใน

    Cloudflare ใช้ข้อมูลจากเครือข่ายใน 330 เมืองทั่วโลก
    เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการล่มและสาเหตุที่แท้จริง

    https://www.techradar.com/pro/disasters-shutdowns-and-cable-damage-galore-cloudflare-study-reveals-whats-really-been-behind-all-the-recent-internet-outages
    🌐⚡ หัวข้อข่าว: “อินเทอร์เน็ตโลกยังเปราะบาง – Cloudflare เผยเบื้องหลังการล่มจากสายเคเบิล,ภัยธรรมชาติ และคำสั่งรัฐ” รายงานล่าสุดจาก Cloudflare เผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2025 โลกเผชิญกับการล่มของอินเทอร์เน็ตจากหลายสาเหตุ ทั้งภัยธรรมชาติ, การก่อสร้าง, การโจมตีไซเบอร์ และคำสั่งจากรัฐบาล โดยมีผลกระทบต่อผู้ใช้งานในกว่า 125 ประเทศ. ลองนึกภาพว่าแค่กระสุนหลงในเท็กซัสก็สามารถทำให้ผู้ใช้ Spectrum หลายพันคนใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ได้ถึง 2 ชั่วโมง นี่คือหนึ่งในหลายกรณีที่ Cloudflare รวบรวมไว้ในรายงาน “Q3 Internet Disruptions” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตทั่วโลกยังคงเปราะบางอย่างมาก รายงานระบุว่า: 📍 รัฐบาลยังคงเป็นต้นเหตุหลักของการล่ม เช่น อิรัก, ซีเรีย และซูดาน ที่สั่งปิดอินเทอร์เน็ตช่วงสอบระดับชาติ เพื่อป้องกันการโกงข้อสอบ 📍 ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุ เช่น แผ่นดินไหวขนาด 8.8 ในคัมชัตกา, ไฟไหม้ศูนย์กลางโทรคมนาคมในอียิปต์, และการตัดสายเคเบิลจากการก่อสร้างในแองโกลาและโดมินิกัน 📍 การโจมตีไซเบอร์และความผิดพลาดของระบบ เช่น Starlink ที่ล่มทั่วโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม จากความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ภายใน แม้จะมีเทคโนโลยีป้องกัน DDoS และระบบ routing ที่ทันสมัย แต่เมื่อโครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายหรือถูกสั่งปิด อินเทอร์เน็ตก็ยังคงล่มได้ง่าย ✅ Cloudflare เผยรายงาน Q3 Internet Disruptions ปี 2025 ➡️ ครอบคลุมเหตุการณ์ล่มใน 125 ประเทศจากหลายสาเหตุ ✅ รัฐบาลยังคงใช้การปิดอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือควบคุม ➡️ เช่น อิรัก, ซีเรีย, ซูดาน ปิดเน็ตช่วงสอบเพื่อป้องกันการโกง ✅ ภัยธรรมชาติและอุบัติเหตุเป็นสาเหตุสำคัญ ➡️ แผ่นดินไหวในรัสเซีย, ไฟไหม้ในอียิปต์, กระสุนหลงในเท็กซัส ✅ การก่อสร้างทำให้สายเคเบิลถูกตัด ➡️ ส่งผลให้การเชื่อมต่อหยุดชะงักหลายชั่วโมงในหลายประเทศ ✅ Starlink ล่มทั่วโลกจากความผิดพลาดของระบบ ➡️ แสดงให้เห็นว่าแม้ระบบดาวเทียมก็ยังไม่ปลอดภัยจากข้อผิดพลาดภายใน ✅ Cloudflare ใช้ข้อมูลจากเครือข่ายใน 330 เมืองทั่วโลก ➡️ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการล่มและสาเหตุที่แท้จริง https://www.techradar.com/pro/disasters-shutdowns-and-cable-damage-galore-cloudflare-study-reveals-whats-really-been-behind-all-the-recent-internet-outages
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fires, bullets, and earthquakes can easily take the internet down
    Little things like a stray bullet in Texas can disrupt entire network connections
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ##
    ..
    ..
    ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025
    .
    ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า
    .
    โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี
    .
    นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง
    .
    นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์”
    .
    ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC
    .
    การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน
    .
    ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ”
    .
    แนวโน้มในตลาดทองคำ:
    ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว
    .
    การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3
    .
    ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น
    .
    แต่ด้านหนึ่ง
    .
    ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์
    ....
    ....
    สรุปสั้น ๆ
    .
    ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง”
    .
    ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ## .. .. ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025 . ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า . โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี . นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง . นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์” . ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC . การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน . ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ” . แนวโน้มในตลาดทองคำ: ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว . การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3 . ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น . แต่ด้านหนึ่ง . ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์ .... .... สรุปสั้น ๆ . ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง” . ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ

    SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ

    Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ

    SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ

    เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก

    นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก

    รายละเอียดของดีล SpaceX
    รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม
    พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome

    โครงการ Golden Dome
    ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ
    ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น
    ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล
    คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น

    ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง
    Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ”
    Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน
    Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    🛰️💰 SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก ✅ รายละเอียดของดีล SpaceX ➡️ รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม ➡️ พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome ✅ โครงการ Golden Dome ➡️ ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ ➡️ ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ➡️ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล ➡️ คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น ✅ ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ➡️ Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ” ➡️ Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน ➡️ Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (5)

    ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง

    ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ

    สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น

    เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น

    ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน

    อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม !

    เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี
    Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี

    อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม
    เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่

    อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน

    ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน

    อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ

    แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ

    ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม

    ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน
    หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง

    บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง

    ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ

    3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย

    3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ

    แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (5) ลำพังการโตเร็วของเยอรมัน ก็ทำให้อังกฤษออกอาการแล้ว มันหมายถึง อังกฤษมองว่าเยอรมันกำลังคุกคามอังกฤษ โดยเยอรมันจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และทำให้เยอรมันเปลี่ยนสถานะ กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับอังกฤษ โดยการจัดตำแหน่งของอังกฤษเอง ไม่ต่างอะไร กับอาการของอเมริกา ที่มองจีน เมื่อราว คศ 2000 ต้นๆ เมื่อเศรษฐกิจของจีนโตอย่างก้าวกระโดด และอเมริกา ก็จัดสถานะจีน ไว้ในตำแหน่ง ที่ต้องจับตามอง อย่างไม่ใว้วางใจ สถานะของเยอรมัน เหมือนจะคุกคาม (ความอยากเป็นผู้ครองโลกของ) อังกฤษ มากขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่อังกฤษทนอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อเยอรมัน ได้รับสัมปทานจากออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟ Berlin Bagdad และไม่ใช่เป็นเส้นทางที่ ผ่านแหล่งน้ำมันอย่างเดียว แต่อังกฤษเห็นว่า เป็นเส้นทางที่เยอรมันจะขนส่งน้ำมันทางบก ในเมโสโปเตเมียได้อย่างอิสระ โดยกองทัพเรืออันเกรียงไกรของอังกฤษ หมดหนทางสกัดกั้น เมื่อโอกาสของอังกฤษ ที่จะเข้าไปถึงแหล่งน้ำมันที่เล็งไว้ ดูจะลางเลือนมีอุปสรรค ผู้อื่นก็ไม่ควรมีโอกาสดีกว่าอังกฤษ แผนการกำจัดเยอรมัน จึงต้องเกิดขึ้น ความต้องการของอังกฤษที่แท้จริงคือ กำจัดเยอรมันอย่างหมดจด และครอบครองแหล่งน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหมด โดยไม่มีใครมาแย่ง มาแบ่ง มาขวาง เสาหลักทั้ง 3 จึงจะมีครบอย่างแข็งแรง และการเอาโลกใบนี้มาอยู่ในกำมือของตนตลอดกาลนาน จะได้ไม่เป็นแค่ความฝัน อังกฤษคิดว่า วิธีเดียว ที่จะทำให้อังกฤษได้ตามที่ต้องการทั้งหมดคือ ต้องสร้างสงคราม ! เดือนเมษายน คศ 1914 George ที่ 7 กษัตริย์ของอังกฤษ พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรี Sir Edward Grey จึงเดินทางไปฝรั่งเศส เป็นกรณีพิเศษ เพื่อไปพบประธานาธิบดี Poincare ของฝรั่งเศส ที่ปารีส โดยมีนาย Iswolski ฑูตรัสเซียประจำฝรั่งเศส เข้าร่วมสนทนากัน 3 ประเทศ และด้วยลิ้นการทูตที่ยาวไปถึงใบหู อันแสนโดดเด่นของอังกฤษ ทั้ง 3 ประเทศ ก็ตกลงจับมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อผนึกกำลังด้านการทหารสำหรับต่อสู้ กับฝ่ายเยอรมันและออสเตรียฮังการี อันที่จริง ในสังคมอีลิต และชนชั้นสูงอังกฤษ ก็เห็นพ้องกันก่อน ปี คศ 1914 เสียด้วยซ้ำว่า สงครามเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อจะได้จัดระเบียบของยุโรปเสียใหม่ ให้เป็นไปตามที่อังกฤษเห็นเหมาะสม เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว ที่อังกฤษใช้วิธีถ่วงอำนาจการควบคุมยุโรป ด้วยการสนับสนุนอาณาจักรออตโตมาน (ตุรกี ในปัจจุบัน) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขวางทางรัสเซีย ที่กำลังสร้างความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม อังกฤษสนับสนุนตุรกี ให้ควบคุม Dardanelles ทางเข้าแหล่งน้ำจืดของรัสเซีย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของรัสเซียขณะนั้น แต่การที่ออตโตมาน กลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจ ของเยอรมัน ที่เข้มแข็งขึ้นทุกวันในช่วงปลาย คศ 1900 ถึง 1900 ต้นๆ อังกฤษ จึงต้องปรับดุลยอำนาจ และแผนการทูต ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่ อังกฤษเริ่มแผน ด้วยการปรับสัมพันธ์การทูต เปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู และเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร ตามผลประโยชน์ของอังกฤษ อังกฤษใช้ผลประโยชน์อย่างเดียว เป็นเครื่องวัดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในกรณีนี้ ออตโตมาน ซึ่งเคยเป็นมิตรที่ดีกับอังกฤษ เสมอมา จึงถูกปรับสถานะใหม่ ให้เป็นศัตรู และไม่ใช่ศัตรูธรรมดา เป็นศัตรูที่ต้องถูกลงโทษ จนไม่เหลือประเทศ เพราะไปคบกับเยอรมัน ที่อังกฤษยกระดับให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้ว และเพราะออตโตมานมีแหล่งน้ำมันที่อังกฤษตั้งใจจะครอบครองให้ได้ แต่ออตโตมานกำลังทำตัว ให้เยอรมันมีโอกาสได้แหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษเล็งไว้ไปแทน ส่วนรัสเซีย ซึ่งอังกฤษเคยมองอย่างไม่ไว้ใจ คราวนี้จึงถูกหลอก มาให้ช่วยกำจัดออตโตมาน ซึ่งอังกฤษก็น่าจะมีเป้าหมาย ให้รัสเซียมีชะตากรรมไม่ต่างกับออตโตมาน เช่นกัน อังกฤษ มีความไม่พอใจรัสเซียสะสมอยู่แล้ว ที่รัสเซียเอง ก็มีแผนที่จะสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberia ยาว 5,400 ไมล์ ไปถึงเมืองท่า Vladivostock ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ตั้งแต่ ประมาณ คศ 1890 ต้นๆ ถ้ารัสเซียสร้างสำเร็จ จะทำให้รัสเซียเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่อังกฤษยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เช่นเดียวกัน อังกฤษเป็นโรคแพ้ทางรถไฟของผู้อื่นจริงๆ อังกฤษพยายามเสี้ยม ให้เกิดสงครามบอลข่านหลายครั้ง เพื่อขวางการสร้างทางรถไฟ สาย Trans-Siberia แต่ในที่สุด ในปี คศ 1903 Trans-Siberia ก็สร้างสำเร็จ แต่รัสเซีย ก็หนีไม่พ้นมือขวางของอังกฤษ คศ 1904 อังกฤษ สนับสนุนให้ญี่ปุ่นบุกรัสเซียทางไซบีเรีย รัสเซียแพ้ญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้น ภายในรัสเซียเองก็เริ่มระส่ำระสาย มีการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย วุ่นวายไปหมด ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าน่าจะต้านอังกฤษต่อไม่ไหว ควรกลับไปอ่อนข้อกับอังกฤษ อีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการสร้างทางรถไฟ บอกว่า ถ้ารัสเซียยอมอังกฤษเที่ยวนี้อีก ก็คงต้องยอมไปตลอดชาติ ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายแรก ปลดรัฐมนตรีที่แนะนำให้สร้างทางรถไฟ และ ตกลงยอมอ่อนข้อให้อังกฤษ แล้วรัสเซียก็เสียสิทธิในการปกครองอาฟกานิสถาน กับดินแดนบางส่วนในอิหร่านให้อังกฤษไปด้วย เป็นบทเรียนที่รัสเซียไม่ควรลืม ปี คศ 1907 อังกฤษ กล่อมฝรั่งเศสและรัสเซีย มาร่วมเป็นสัมพันธมิตร Triple Entente โดยมีเป้าหมายแรก เพื่อล๊อกคอ 2 สหาย แยกออกมาจากฝั่งเยอรมันเสียก่อน เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายต่อไป คือการทำสงครามกับเยอรมัน รัสเซียคงแพ้ทางอังกฤษ เดินหมากผิดติดต่อกัน หลังจากล๊อกคอ 2 สหายมาได้แล้ว อังกฤษ ก็ยุให้เกิดสงครามบอลข่าน 1 ในปี คศ 1912 บุลกาเรีย กรีก และเซอร์เบีย ทำสงครามกับออตโตมาน ซึ่งกำลังเริ่มเป็นคนป่วย (ทางเศรษฐกิจ) ของยุโรป อังกฤษเห็นว่า ไม่มีโอกาสไหนจะดีกว่า ทุบคนเวลาป่วย มีแต่ชนะไม่มีแพ้ แล้วออตโตมานก็น่วมตามคาด รอเวลาถูกทึ้ง บอลข่าน 1 เกิดขึ้นแล้ว แต่เยอรมันอาจมีตัวช่วยเหลืออยู่ บอลข่าน 2 จึงต้องเกิดขึ้น โดยโรมาเนียออกมาช่วยอัดกลับบุลกาเรีย อัดกันไปอัดกันมา ผลสุดท้ายอ่อนล้าไปทั้งคู่ ทั้งหมดเป็นการเตรียมการของอังกฤษในการเข้าเข้าสู่สงคราม ที่อังกฤษเรียกว่า The Great Game ที่อังกฤษวางแผนไว้เอง ด้วยสงครามเท่านั้น ที่จะทำลายเยอรมันจนหมดสภาพ ทำลายจักรออตโตมานจนไม่เหลือเค้าเดิม เพื่ออังกฤษจะได้เขียนแผนที่ตะวันออกกลางเสียใหม่ จัดสรร แบ่งแหล่งน้ำมันกันใหม่ กับผู้ที่ชนะสงคราม และเปิดตลาดให้นักล่ารุ่นใหม่เข้าไปแล่เนื้อเถือหนังของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ 3 อาณาจักรใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยืนยาว และน่าจะยังยั่งยืนได้ต่อไป ออตโตมาน เยอรมัน รัสเซีย จึงถูกวางแผนให้ล่มสลาย 3 เดือนหลังจากที่อังกฤษ ไปจับมือกับฝรั่งเศสและรัสเซียที่ปารีส วันที่ 28 กรกฎาคม คศ 1914 อาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของราชวงศ์ออสเตรีย ก็ถูกลอบยิง ที่เมืองเซราเยโว โดยชาวเซอร์เบีย ที่มีข่าวลือว่าเป็นสายลับของอังกฤษ แล้วสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้นตามแผนของอังกฤษ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • Big Tech เตรียมรายงานผลประกอบการท่ามกลางความกังวล “ฟองสบู่ AI” — นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า AI โตเร็วเกินไปหรือเปล่า

    บทความจาก The Star รายงานว่า Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta เตรียมประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2025 โดยนักวิเคราะห์เริ่มตั้งคำถามว่า การเติบโตของธุรกิจ AI ที่รวดเร็วและการลงทุนมหาศาลอาจนำไปสู่ “ฟองสบู่” ที่คล้ายกับยุคดอทคอมหรือไม่

    บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจด้าน AI เช่น cloud AI, LLMs, และการประมวลผลแบบ edge แต่ในขณะที่รายได้ยังเติบโต นักลงทุนเริ่มกังวลว่า “ความคาดหวัง” อาจสูงเกิน “ผลลัพธ์จริง”

    Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta ต่างคาดว่าจะรายงานรายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสกรกฎาคม–กันยายน 2025 โดยเฉพาะจากบริการ cloud และโซลูชัน AI สำหรับองค์กร แต่คำถามคือ “การเติบโตนี้ยั่งยืนหรือไม่?”

    นักวิเคราะห์บางรายเปรียบเทียบสถานการณ์กับฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 ที่บริษัทเทคโนโลยีเติบโตเร็วแต่ไม่มีรายได้จริงรองรับ ขณะที่บริษัท AI หลายแห่งยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน

    อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่ยังคงยืนยันว่าจะลงทุนใน AI ต่อไป เพราะเชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีหลักในระยะยาว แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นและการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล

    Big Tech เตรียมรายงานผลประกอบการ
    Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta
    รายได้จาก cloud และ AI ยังเติบโต

    ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่ AI”
    นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืน
    เปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอมปี 2000
    บริษัท AI บางแห่งยังไม่มีรายได้จริง

    การลงทุนใน AI ยังไม่หยุด
    บริษัทใหญ่ยังคงทุ่มเงินใน GenAI และโครงสร้างพื้นฐาน
    เชื่อว่า AI เป็นเทคโนโลยีหลักในอนาคต
    ต้องเผชิญแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นและหน่วยงานกำกับดูแล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/big-tech-to-report-earnings-under-specter-of-ai-bubble
    📉 Big Tech เตรียมรายงานผลประกอบการท่ามกลางความกังวล “ฟองสบู่ AI” — นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่า AI โตเร็วเกินไปหรือเปล่า บทความจาก The Star รายงานว่า Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta เตรียมประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2025 โดยนักวิเคราะห์เริ่มตั้งคำถามว่า การเติบโตของธุรกิจ AI ที่รวดเร็วและการลงทุนมหาศาลอาจนำไปสู่ “ฟองสบู่” ที่คล้ายกับยุคดอทคอมหรือไม่ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจด้าน AI เช่น cloud AI, LLMs, และการประมวลผลแบบ edge แต่ในขณะที่รายได้ยังเติบโต นักลงทุนเริ่มกังวลว่า “ความคาดหวัง” อาจสูงเกิน “ผลลัพธ์จริง” Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta ต่างคาดว่าจะรายงานรายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสกรกฎาคม–กันยายน 2025 โดยเฉพาะจากบริการ cloud และโซลูชัน AI สำหรับองค์กร แต่คำถามคือ “การเติบโตนี้ยั่งยืนหรือไม่?” นักวิเคราะห์บางรายเปรียบเทียบสถานการณ์กับฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 ที่บริษัทเทคโนโลยีเติบโตเร็วแต่ไม่มีรายได้จริงรองรับ ขณะที่บริษัท AI หลายแห่งยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม บริษัทยักษ์ใหญ่ยังคงยืนยันว่าจะลงทุนใน AI ต่อไป เพราะเชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีหลักในระยะยาว แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นและการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล ✅ Big Tech เตรียมรายงานผลประกอบการ ➡️ Microsoft, Alphabet, Amazon และ Meta ➡️ รายได้จาก cloud และ AI ยังเติบโต ✅ ความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่ AI” ➡️ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืน ➡️ เปรียบเทียบกับฟองสบู่ดอทคอมปี 2000 ➡️ บริษัท AI บางแห่งยังไม่มีรายได้จริง ✅ การลงทุนใน AI ยังไม่หยุด ➡️ บริษัทใหญ่ยังคงทุ่มเงินใน GenAI และโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เชื่อว่า AI เป็นเทคโนโลยีหลักในอนาคต ➡️ ต้องเผชิญแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นและหน่วยงานกำกับดูแล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/big-tech-to-report-earnings-under-specter-of-ai-bubble
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Big Tech to report earnings under specter of AI bubble
    (Reuters) -As America's tech titans report earnings this week, one question looms large: is the artificial intelligence boom that has inflated valuations headed for the next big bubble?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปปลายปี 2025 — สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชม

    Paramount Global เตรียมปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปทั้งหมดภายในสิ้นปี 2025 หลังการควบรวมกิจการกับ Skydance Media โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชมที่หันไปใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากขึ้น

    MTV เคยเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อปยุค 80s–90s โดยเฉพาะในยุโรปที่มีช่องเฉพาะอย่าง MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live แต่หลังจาก Paramount Global ควบรวมกับ Skydance Media ในดีลมูลค่า $8 พันล้านเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ก็มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

    David Ellison ซีอีโอคนใหม่ของ Paramount Skydance ต้องการลดต้นทุนและปรับแบรนด์ให้ทันยุค โดยเน้นไปที่แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Paramount+ และ TikTok ซึ่งครอบครัว Ellison มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านการถือหุ้น

    แม้เพลงยังคงได้รับความนิยม แต่ผู้ชมไม่ได้ดูผ่านทีวีอีกต่อไป YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ชมมากที่สุดในอเมริกา แซงหน้า Netflix และ Disney ไปแล้ว ขณะที่ช่อง MTV Music และ MTV 90s มีผู้ชมรวมกันเพียง 2.25 ล้านครั้งในเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวิวรายวันของเพลงฮิตอย่าง “The Fate of Ophelia” ของ Taylor Swift

    การปิดช่องเพลงจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากยุคทีวีสู่ยุคสตรีมมิ่ง และการรวมศูนย์ของอุตสาหกรรมสื่อที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

    Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรป
    รวมถึง MTV Music, MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live
    มีผลภายในสิ้นปี 2025

    เหตุผลหลักของการปิด
    การควบรวมกิจการกับ Skydance Media
    ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเน้นแพลตฟอร์มดิจิทัล
    ผู้ชมเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ YouTube และสตรีมมิ่ง

    สถานะของ MTV ในยุคใหม่
    ผู้ชมเฉลี่ยมีอายุ 56 ปี
    แบรนด์ต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่
    อาจเน้นไปที่คอนเทนต์ออนไลน์และแพลตฟอร์มมือถือ

    การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อ
    การรวมศูนย์ของแบรนด์ใหญ่ เช่น Paramount, HBO Max, TikTok
    การแข่งขันด้านคอนเทนต์ระหว่างสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดีย
    การใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตและวิเคราะห์คอนเทนต์

    คำเตือนสำหรับผู้บริโภคและผู้ผลิตคอนเทนต์
    การรวมศูนย์อาจลดความหลากหลายของคอนเทนต์
    ผู้ผลิตอิสระอาจถูกกลืนโดยแพลตฟอร์มใหญ่
    การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการถูกควบคุมหรือเซ็นเซอร์

    https://www.slashgear.com/2004759/paramount-global-shutting-down-mtv-music-channels-europe-reason-why/
    📺 Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปปลายปี 2025 — สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชม Paramount Global เตรียมปิดช่องเพลง MTV ในยุโรปทั้งหมดภายในสิ้นปี 2025 หลังการควบรวมกิจการกับ Skydance Media โดยให้เหตุผลว่าเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมสื่อและพฤติกรรมผู้ชมที่หันไปใช้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากขึ้น MTV เคยเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมป๊อปยุค 80s–90s โดยเฉพาะในยุโรปที่มีช่องเฉพาะอย่าง MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live แต่หลังจาก Paramount Global ควบรวมกับ Skydance Media ในดีลมูลค่า $8 พันล้านเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ก็มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ David Ellison ซีอีโอคนใหม่ของ Paramount Skydance ต้องการลดต้นทุนและปรับแบรนด์ให้ทันยุค โดยเน้นไปที่แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Paramount+ และ TikTok ซึ่งครอบครัว Ellison มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านการถือหุ้น แม้เพลงยังคงได้รับความนิยม แต่ผู้ชมไม่ได้ดูผ่านทีวีอีกต่อไป YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ชมมากที่สุดในอเมริกา แซงหน้า Netflix และ Disney ไปแล้ว ขณะที่ช่อง MTV Music และ MTV 90s มีผู้ชมรวมกันเพียง 2.25 ล้านครั้งในเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวิวรายวันของเพลงฮิตอย่าง “The Fate of Ophelia” ของ Taylor Swift การปิดช่องเพลงจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากยุคทีวีสู่ยุคสตรีมมิ่ง และการรวมศูนย์ของอุตสาหกรรมสื่อที่มีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ✅ Paramount ปิดช่องเพลง MTV ในยุโรป ➡️ รวมถึง MTV Music, MTV 80s, MTV 90s, Club MTV และ MTV Live ➡️ มีผลภายในสิ้นปี 2025 ✅ เหตุผลหลักของการปิด ➡️ การควบรวมกิจการกับ Skydance Media ➡️ ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดต้นทุนและเน้นแพลตฟอร์มดิจิทัล ➡️ ผู้ชมเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ YouTube และสตรีมมิ่ง ✅ สถานะของ MTV ในยุคใหม่ ➡️ ผู้ชมเฉลี่ยมีอายุ 56 ปี ➡️ แบรนด์ต้องปรับตัวเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ ➡️ อาจเน้นไปที่คอนเทนต์ออนไลน์และแพลตฟอร์มมือถือ ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อ ➡️ การรวมศูนย์ของแบรนด์ใหญ่ เช่น Paramount, HBO Max, TikTok ➡️ การแข่งขันด้านคอนเทนต์ระหว่างสตรีมมิ่งและโซเชียลมีเดีย ➡️ การใช้ AI และเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตและวิเคราะห์คอนเทนต์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้บริโภคและผู้ผลิตคอนเทนต์ ⛔ การรวมศูนย์อาจลดความหลากหลายของคอนเทนต์ ⛔ ผู้ผลิตอิสระอาจถูกกลืนโดยแพลตฟอร์มใหญ่ ⛔ การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจเสี่ยงต่อการถูกควบคุมหรือเซ็นเซอร์ https://www.slashgear.com/2004759/paramount-global-shutting-down-mtv-music-channels-europe-reason-why/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    After 40 Years, MTV Is Finally Taking Its Music Channels Off-The-Air Internationally - Here's Why - SlashGear
    Fans were devastated to learn that several MTV music channels would be shut down, but why has the station's owner decided to make the move now?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ วันอาทิตย์(26 ต.ค)ว่า แถลงยืนยันก่อนพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาที่เริ่มมาตั้งแต่กรกฎาคมว่า สหประชาชาติสมควรทำในสิ่งนี้แต่คนเหล่านั้นไม่ยอมทำ พร้อมเปิดเผยว่า ตัวเองนั้นมีควาสามารถในด้านเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาและเป็นคนที่ชอบในการเป็นแชมเปียนสันติภาพ พร้อมเผยกำลังเตรียมลงนามข้อตกลงแร่ธาตุสำคัญร่วมกับไทยเพื่อแก้ปัญหาการผูกขาดแร่ธาตุจากคู่ปรับจีน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102152

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ วันอาทิตย์(26 ต.ค)ว่า แถลงยืนยันก่อนพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาที่เริ่มมาตั้งแต่กรกฎาคมว่า สหประชาชาติสมควรทำในสิ่งนี้แต่คนเหล่านั้นไม่ยอมทำ พร้อมเปิดเผยว่า ตัวเองนั้นมีควาสามารถในด้านเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาและเป็นคนที่ชอบในการเป็นแชมเปียนสันติภาพ พร้อมเผยกำลังเตรียมลงนามข้อตกลงแร่ธาตุสำคัญร่วมกับไทยเพื่อแก้ปัญหาการผูกขาดแร่ธาตุจากคู่ปรับจีน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102152 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Love
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮกเกอร์ต่างชาติเจาะโรงงานนิวเคลียร์สหรัฐฯ ผ่านช่องโหว่ SharePoint – เสี่ยงลามถึงระบบควบคุมการผลิต”

    มีรายงานจาก CSO Online ว่าแฮกเกอร์ต่างชาติสามารถเจาะเข้าไปใน Kansas City National Security Campus (KCNSC) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ โดยใช้ช่องโหว่ใน Microsoft SharePoint ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดต

    โรงงานนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ National Nuclear Security Administration (NNSA) และผลิตชิ้นส่วนที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ถึง 80% ของคลังอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดของสหรัฐฯ

    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่สองรายการ ได้แก่ CVE-2025-53770 (spoofing) และ CVE-2025-49704 (remote code execution) ซึ่ง Microsoft เพิ่งออกแพตช์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ KCNSC ยังไม่ได้อัปเดตทันเวลา ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าระบบได้

    แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของจีนหรือรัสเซีย แต่ Microsoft ระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มจีน เช่น Linen Typhoon และ Violet Typhoon ขณะที่แหล่งข่าวบางแห่งชี้ว่าอาจเป็นกลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียที่ใช้ช่องโหว่นี้ซ้ำหลังจากมีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้การเจาะระบบจะเกิดขึ้นในฝั่ง IT แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากไม่มีการแยกเครือข่ายอย่างเข้มงวด แฮกเกอร์อาจ “เคลื่อนย้ายแนวรบ” ไปยังระบบควบคุมการผลิต (OT) ได้ เช่น ระบบควบคุมหุ่นยนต์หรือระบบควบคุมคุณภาพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์

    นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ข้อมูลทางเทคนิค แม้จะไม่จัดเป็นความลับ แต่สามารถนำไปวิเคราะห์จุดอ่อนของระบบผลิตอาวุธได้ เช่น ความแม่นยำของชิ้นส่วน หรือความทนทานของระบบจุดระเบิด

    รายละเอียดของเหตุการณ์
    แฮกเกอร์เจาะเข้า KCNSC ผ่านช่องโหว่ SharePoint
    ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-53770 และ CVE-2025-49704
    Microsoft ออกแพตช์แล้ว แต่โรงงานยังไม่ได้อัปเดต
    KCNSC ผลิตชิ้นส่วนไม่ใช่นิวเคลียร์ 80% ของคลังอาวุธสหรัฐฯ

    กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง
    Microsoft ระบุว่าเป็นกลุ่มจีน เช่น Linen Typhoon และ Violet Typhoon
    แหล่งข่าวบางแห่งชี้ว่าอาจเป็นกลุ่มรัสเซีย
    มีการใช้ช่องโหว่ซ้ำหลังจากมีการเปิดเผย PoC
    โครงสร้างการโจมตีคล้ายกับแคมเปญของกลุ่ม Storm-2603

    ความเสี่ยงต่อระบบควบคุม
    แม้จะเจาะฝั่ง IT แต่เสี่ยงต่อ lateral movement ไปยังระบบ OT
    OT ควบคุมหุ่นยนต์, ระบบประกอบ, ระบบควบคุมคุณภาพ
    หากถูกแทรกแซง อาจกระทบความปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์
    ระบบ OT บางส่วนอาจยังไม่มีการใช้ zero-trust security

    ความสำคัญของข้อมูลที่ถูกขโมย
    แม้ไม่ใช่ข้อมูลลับ แต่มีมูลค่าทางยุทธศาสตร์
    เช่น ข้อมูลความแม่นยำของชิ้นส่วน, ความทนทาน, ซัพพลายเชน
    อาจถูกใช้วิเคราะห์จุดอ่อนของระบบอาวุธ
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ supply chain หรือการปลอมแปลงชิ้นส่วน

    https://www.csoonline.com/article/4074962/foreign-hackers-breached-a-us-nuclear-weapons-plant-via-sharepoint-flaws.html
    ☢️ “แฮกเกอร์ต่างชาติเจาะโรงงานนิวเคลียร์สหรัฐฯ ผ่านช่องโหว่ SharePoint – เสี่ยงลามถึงระบบควบคุมการผลิต” มีรายงานจาก CSO Online ว่าแฮกเกอร์ต่างชาติสามารถเจาะเข้าไปใน Kansas City National Security Campus (KCNSC) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ โดยใช้ช่องโหว่ใน Microsoft SharePoint ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดต โรงงานนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ National Nuclear Security Administration (NNSA) และผลิตชิ้นส่วนที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ถึง 80% ของคลังอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดของสหรัฐฯ แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่สองรายการ ได้แก่ CVE-2025-53770 (spoofing) และ CVE-2025-49704 (remote code execution) ซึ่ง Microsoft เพิ่งออกแพตช์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ KCNSC ยังไม่ได้อัปเดตทันเวลา ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าระบบได้ แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของจีนหรือรัสเซีย แต่ Microsoft ระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มจีน เช่น Linen Typhoon และ Violet Typhoon ขณะที่แหล่งข่าวบางแห่งชี้ว่าอาจเป็นกลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียที่ใช้ช่องโหว่นี้ซ้ำหลังจากมีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้การเจาะระบบจะเกิดขึ้นในฝั่ง IT แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากไม่มีการแยกเครือข่ายอย่างเข้มงวด แฮกเกอร์อาจ “เคลื่อนย้ายแนวรบ” ไปยังระบบควบคุมการผลิต (OT) ได้ เช่น ระบบควบคุมหุ่นยนต์หรือระบบควบคุมคุณภาพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ข้อมูลทางเทคนิค แม้จะไม่จัดเป็นความลับ แต่สามารถนำไปวิเคราะห์จุดอ่อนของระบบผลิตอาวุธได้ เช่น ความแม่นยำของชิ้นส่วน หรือความทนทานของระบบจุดระเบิด ✅ รายละเอียดของเหตุการณ์ ➡️ แฮกเกอร์เจาะเข้า KCNSC ผ่านช่องโหว่ SharePoint ➡️ ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-53770 และ CVE-2025-49704 ➡️ Microsoft ออกแพตช์แล้ว แต่โรงงานยังไม่ได้อัปเดต ➡️ KCNSC ผลิตชิ้นส่วนไม่ใช่นิวเคลียร์ 80% ของคลังอาวุธสหรัฐฯ ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้อง ➡️ Microsoft ระบุว่าเป็นกลุ่มจีน เช่น Linen Typhoon และ Violet Typhoon ➡️ แหล่งข่าวบางแห่งชี้ว่าอาจเป็นกลุ่มรัสเซีย ➡️ มีการใช้ช่องโหว่ซ้ำหลังจากมีการเปิดเผย PoC ➡️ โครงสร้างการโจมตีคล้ายกับแคมเปญของกลุ่ม Storm-2603 ✅ ความเสี่ยงต่อระบบควบคุม ➡️ แม้จะเจาะฝั่ง IT แต่เสี่ยงต่อ lateral movement ไปยังระบบ OT ➡️ OT ควบคุมหุ่นยนต์, ระบบประกอบ, ระบบควบคุมคุณภาพ ➡️ หากถูกแทรกแซง อาจกระทบความปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ ➡️ ระบบ OT บางส่วนอาจยังไม่มีการใช้ zero-trust security ✅ ความสำคัญของข้อมูลที่ถูกขโมย ➡️ แม้ไม่ใช่ข้อมูลลับ แต่มีมูลค่าทางยุทธศาสตร์ ➡️ เช่น ข้อมูลความแม่นยำของชิ้นส่วน, ความทนทาน, ซัพพลายเชน ➡️ อาจถูกใช้วิเคราะห์จุดอ่อนของระบบอาวุธ ➡️ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ supply chain หรือการปลอมแปลงชิ้นส่วน https://www.csoonline.com/article/4074962/foreign-hackers-breached-a-us-nuclear-weapons-plant-via-sharepoint-flaws.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Foreign hackers breached a US nuclear weapons plant via SharePoint flaws
    A foreign actor infiltrated the National Nuclear Security Administration’s Kansas City National Security Campus through vulnerabilities in Microsoft’s SharePoint browser-based app, raising questions about the need to solidify further federal IT/OT security protections.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลมหนาวมาแล้ววว…

    ปลายฝนต้นหนาว ทุ่งนาที่เคยเขียวขจีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม รอวันเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ในขณะที่ธรรมชาติให้ความหวัง เหตุการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่สงบ

    พื้นที่เพาะปลูกจำนวนมากอยู่ในรัศมีการปะทะเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกษตรกรตัวเล็กๆ อย่างเราได้แต่หวังว่า…จะไม่มีการปะทะซ้ำในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออก

    ลองมองผ่านสายตาวรรณกรรมสามก๊ก กลยุทธ์ “ไฟเผาทัพ” ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสงครามยุคนั้น ไม่ต้องใช้ทรัพยากรมาก แต่สร้างผลลัพธ์มหาศาล

    โจโฉเผาค่ายลิโป้ที่เสียวพ่าย

    เผาเสบียงอ้วนเสี้ยวที่อู่เฉา

    ขงเบ้งวางแผนเผาทัพโจโฉที่โบหย๋อง

    ผาแดง…ลมตะวันออกพัดไฟเผาทัพเรือโจโฉ

    ลกซุนเผาค่ายเล่าปี่ที่อิเหลง

    และอีกหลายกลยุทธ์ที่ใช้ “ไฟ” เป็นอาวุธหลัก

    ไฟในสามก๊กคือกลยุทธ์ แต่ไฟในชีวิตจริง…คือความหวังที่อาจถูกเผาไหม้

    เราไม่สนับสนุนสงคราม แต่เรากลัว…กลัวสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เกษตรกรตัวน้อยๆ ต้องเร่งเก็บเกี่ยวก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

    #ลมหนาวมาแล้ว #สามก๊ก #กลยุทธ์ไฟเผาทัพ #ชายแดนไทยกัมพูชา #เกษตรกรตัวน้อย
    🍃 ลมหนาวมาแล้ววว… ปลายฝนต้นหนาว ทุ่งนาที่เคยเขียวขจีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม รอวันเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ในขณะที่ธรรมชาติให้ความหวัง เหตุการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่สงบ พื้นที่เพาะปลูกจำนวนมากอยู่ในรัศมีการปะทะเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เกษตรกรตัวเล็กๆ อย่างเราได้แต่หวังว่า…จะไม่มีการปะทะซ้ำในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออก 🧠 ลองมองผ่านสายตาวรรณกรรมสามก๊ก กลยุทธ์ “ไฟเผาทัพ” ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสงครามยุคนั้น ไม่ต้องใช้ทรัพยากรมาก แต่สร้างผลลัพธ์มหาศาล โจโฉเผาค่ายลิโป้ที่เสียวพ่าย เผาเสบียงอ้วนเสี้ยวที่อู่เฉา ขงเบ้งวางแผนเผาทัพโจโฉที่โบหย๋อง ผาแดง…ลมตะวันออกพัดไฟเผาทัพเรือโจโฉ ลกซุนเผาค่ายเล่าปี่ที่อิเหลง และอีกหลายกลยุทธ์ที่ใช้ “ไฟ” เป็นอาวุธหลัก 🔥 ไฟในสามก๊กคือกลยุทธ์ แต่ไฟในชีวิตจริง…คือความหวังที่อาจถูกเผาไหม้ เราไม่สนับสนุนสงคราม แต่เรากลัว…กลัวสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เกษตรกรตัวน้อยๆ ต้องเร่งเก็บเกี่ยวก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป #ลมหนาวมาแล้ว #สามก๊ก #กลยุทธ์ไฟเผาทัพ #ชายแดนไทยกัมพูชา #เกษตรกรตัวน้อย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ISS แนะนักลงทุนปฏิเสธดีล CoreWeave ซื้อ Core Scientific มูลค่า 9 พันล้านเหรียญ” — เมื่อบริษัท AI และโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ต้องเผชิญแรงต้านจากผู้ถือหุ้น

    Institutional Shareholder Services (ISS) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำแนะนำด้านการลงคะแนนเสียงสำหรับนักลงทุน ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific ปฏิเสธข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการโดย CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการคลาวด์ด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia

    ดีลนี้เป็นการซื้อแบบ all-stock ที่มีมูลค่าโดยประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ โดยเสนอราคาหุ้นที่ 20.40 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ราคาหุ้นของ CoreWeave ลดลงหลังจากนั้น ทำให้มูลค่าดีลลดลงตามไปด้วย

    ISS ให้เหตุผลว่า Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ และการเข้าซื้ออาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาโครงสร้างดีลที่ใช้ “fixed exchange ratio” ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific เสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหุ้น CoreWeave

    ก่อนหน้านี้ Two Seas Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ก็ออกมาคัดค้านดีลนี้ โดยชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใส และโครงสร้างดีลไม่เป็นธรรม

    หลังจากข่าวคำแนะนำของ ISS หุ้นของ Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด สะท้อนว่าตลาดอาจเห็นด้วยกับการให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ควบรวม

    การลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของดีลนี้

    CoreWeave เสนอซื้อ Core Scientific ด้วยดีลมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์
    เป็นการซื้อแบบ all-stock โดยเสนอราคาหุ้นที่ $20.40

    ISS แนะนำให้ผู้ถือหุ้นปฏิเสธดีลนี้
    เหตุผลคือ Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ

    โครงสร้างดีลใช้ fixed exchange ratio
    ทำให้ผู้ถือหุ้น Core Scientific เสี่ยงต่อราคาหุ้น CoreWeave ที่ผันผวน

    Two Seas Capital คัดค้านดีลก่อนหน้านี้
    ชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใสและโครงสร้างไม่เป็นธรรม

    หุ้น Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวคำแนะนำของ ISS
    สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อการดำเนินธุรกิจแบบอิสระ

    การลงคะแนนเสียงจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025
    เป็นตัวตัดสินว่าดีลจะเดินหน้าหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/21/iss-recommends-investors-reject-coreweave-deal-for-core-scientific
    💼 “ISS แนะนักลงทุนปฏิเสธดีล CoreWeave ซื้อ Core Scientific มูลค่า 9 พันล้านเหรียญ” — เมื่อบริษัท AI และโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ต้องเผชิญแรงต้านจากผู้ถือหุ้น Institutional Shareholder Services (ISS) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำแนะนำด้านการลงคะแนนเสียงสำหรับนักลงทุน ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific ปฏิเสธข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการโดย CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการคลาวด์ด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia ดีลนี้เป็นการซื้อแบบ all-stock ที่มีมูลค่าโดยประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ โดยเสนอราคาหุ้นที่ 20.40 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ราคาหุ้นของ CoreWeave ลดลงหลังจากนั้น ทำให้มูลค่าดีลลดลงตามไปด้วย ISS ให้เหตุผลว่า Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ และการเข้าซื้ออาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาโครงสร้างดีลที่ใช้ “fixed exchange ratio” ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific เสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหุ้น CoreWeave ก่อนหน้านี้ Two Seas Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ก็ออกมาคัดค้านดีลนี้ โดยชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใส และโครงสร้างดีลไม่เป็นธรรม หลังจากข่าวคำแนะนำของ ISS หุ้นของ Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด สะท้อนว่าตลาดอาจเห็นด้วยกับการให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ควบรวม การลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของดีลนี้ ✅ CoreWeave เสนอซื้อ Core Scientific ด้วยดีลมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นการซื้อแบบ all-stock โดยเสนอราคาหุ้นที่ $20.40 ✅ ISS แนะนำให้ผู้ถือหุ้นปฏิเสธดีลนี้ ➡️ เหตุผลคือ Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ ✅ โครงสร้างดีลใช้ fixed exchange ratio ➡️ ทำให้ผู้ถือหุ้น Core Scientific เสี่ยงต่อราคาหุ้น CoreWeave ที่ผันผวน ✅ Two Seas Capital คัดค้านดีลก่อนหน้านี้ ➡️ ชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใสและโครงสร้างไม่เป็นธรรม ✅ หุ้น Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวคำแนะนำของ ISS ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อการดำเนินธุรกิจแบบอิสระ ✅ การลงคะแนนเสียงจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ➡️ เป็นตัวตัดสินว่าดีลจะเดินหน้าหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/21/iss-recommends-investors-reject-coreweave-deal-for-core-scientific
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ISS recommends investors reject CoreWeave deal for Core Scientific
    NEW YORK (Reuters) -Proxy advisory firm Institutional Shareholder Services on Monday recommended investors vote down plans for AI company CoreWeave to buy infrastructure company Core Scientific in what was billed as a $9 billion deal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดิ้นพล่าน ตอนที่ 2

    “ดิ้นพล่าน”
    ตอนที่ 2
    ตุรกี นักไต่ลวดชอบเล่นเกมเสียว ตัดสินใจไม่ขาดเสียที เหยียบเรือสองแคมมานานแล้ว มีฐานทัพของนักล่าใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ในบ้านตัว แต่ดันจะเลือกระบบสกัดจรวดวิถีไกลของจีน เปิดประมูลหาคนมารับจ้างทำมาปีกว่า ประกาศผลรอบแรก ว่าจีนเข้าข่าย แต่ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ฝรั่งเศสเจรจาต่อ แล้วว่าจะตัดสินใจอีกที ไอ้อีกทีนี่ เลื่อนมา 5 ทีแล้ว ล่าสุด บอกจะประกาศว่าเลือกใช้ระบบของใครแน่ใน วันส่งท้ายปี วันที่ 31 ธันวาคม ช่างเล่นจริงนะนักไต่ลวด
    แค่นี้ ลูกพี่เจ้าของฐานทัพก็หมั่นเขี้ยวเต็มแก่อยู่แล้ว อยู่ดีๆเมื่อต้นเดือนธันวาคม คุณพี่ปูติน ก็แวะไปเยี่ยมเยียนจับมือคุยกันหนุงหนิง ตามประสาคนเคยมีจักรวรรดิใหญ่เหมือนกัน พร้อมเจรจาเรื่องท่อส่งแก๊สสายใหม่ ตุรกีบอกได้เลยครับพี่ปู แบบนี้นักล่าจะไม่แสบหลังได้ยังไง
    หลังจาก นั้น ประมาณ 2 อาทิตย์ (14 ธันวาคม) CNN ก็ออกข่าวซ้ำอยู่ทั้งวัน ว่านักข่าวตุรกีที่ไม่เชียร์รัฐบาล ชวนกันออกมาประท้วงเต็มถนนพร้อมกองเชียร์ ช่วยกันด่าว่ารัฐบาลโกงกิน การยั่วยวนได้ผล รัฐบาลสั่งจับหมด บอกเป็นแผนล้มรัฐบาลของคู่ปรับ เก่า Fetullah Gulen เด็กเลี้ยงของ CIA สื่อย้อม CNN ตีข่าวได้แค่วันกว่า ประธานาธิบดี Erdogan ทำหนังสือขอให้อเมริกา ส่งตัวนาย Gulen ที่ไปซุกอกอเมริกากลับมาให้ตุรกี ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างรัฐบาล ก็ต้องดูกันต่อว่า ไอ้นักล่าจะแก้อาการแสบหลังต่อไปอย่างไร (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนาย Fetullah Gulen อยู่ในนืทาน เรื่อง ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว)
    นี่ถ้า ตุรกีเกิดเบื่อไต่ลวดเล่นเสียว จับยามแล้วเลือกข้างชัดเจน ใช้ระบบของจีน บอกได้เลยว่า ไอ้นักล่า คงยิ่งกว่าแสบหลัง
    คืวบา เป็นคู่แค้นของไอ้นักล่ามาตั้งแต่สมัย Kennedy ขวัญใจสาวๆเป็นประธานาธิบดี อเมริกาแอบรู้ว่า คิวบาเปิดบ้านให้สหภาพโซเวียต มาตั้งฐานจรวดจ่อหลังบ้านอเมริกา ห่าง Florida ไม่ถึงอึดใจ จึงตัดสัมพันธ์ คว่ำขัน คว่ำบาตรกันมาถึงเดี๋ยวนี้ แล้วไง พอเมื่อกลางปี (กรกฎาคม 2014) คุณพี่ปูติน หิ้วกระติกน้ำร้อนเดินสายไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่คิวบา กอดคอกันแล้วกอดกันอีก
    เขาว่า แถววอชิงตันถึงกับมีคนสำลัก นึกไม่ถึง กระติกน้ำร้อนจะมาวางใกล้ตัวถึงขนาดน้ัน
    เรื่องนี้ นักล่ายอมไม่ได้ จะปล่อยให้มีจรวดของรัสเซียมาจ่ออยู่หลังบ้านอีกหนไม่ไหวแน่ หมดท่านักล่าหมายเลขหนึ่งกันพ อดี รายการนี้มันแสบหลังมาก นักล่าถึงขนาดยอม อมเลือด ส่งมือประสาน ที่นายโอบามาบอกเองว่า ระดับวาติกันไปกล่อมคิวบา เรามาเริ่มศักราชใหม่แห่งความเข้าใจอันดี และปรารถนาดีต่อกันดีกว่านะ เป็นการโชว์ให้รัสเซียเห็นว่า กระติกน้ำร้อนที่วางไว้ไม่ได้ผลนะคราวนี้
    คุณพี่ปูตินดูข่าวนายโอบามาแถลงเรื่องอเมริกากำลัง normalizing สัมพันธ์กับคิวบา แล้วหัวร่อ หึ หึ ผ่านไปเกือบ 50 ปี จะถล่มอเมริกา ไม่ต้องไปวางฐานจ่ออยู่ที่คิวบา ก็ได้นะคร้าบ แล้วกระติกที่เอาไปใส่น้ำหวานนะคร้าบ ไม่ใช่น้ำร้อน ฮา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 ธค. 2557
    ดิ้นพล่าน ตอนที่ 2 “ดิ้นพล่าน” ตอนที่ 2 ตุรกี นักไต่ลวดชอบเล่นเกมเสียว ตัดสินใจไม่ขาดเสียที เหยียบเรือสองแคมมานานแล้ว มีฐานทัพของนักล่าใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ในบ้านตัว แต่ดันจะเลือกระบบสกัดจรวดวิถีไกลของจีน เปิดประมูลหาคนมารับจ้างทำมาปีกว่า ประกาศผลรอบแรก ว่าจีนเข้าข่าย แต่ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ฝรั่งเศสเจรจาต่อ แล้วว่าจะตัดสินใจอีกที ไอ้อีกทีนี่ เลื่อนมา 5 ทีแล้ว ล่าสุด บอกจะประกาศว่าเลือกใช้ระบบของใครแน่ใน วันส่งท้ายปี วันที่ 31 ธันวาคม ช่างเล่นจริงนะนักไต่ลวด แค่นี้ ลูกพี่เจ้าของฐานทัพก็หมั่นเขี้ยวเต็มแก่อยู่แล้ว อยู่ดีๆเมื่อต้นเดือนธันวาคม คุณพี่ปูติน ก็แวะไปเยี่ยมเยียนจับมือคุยกันหนุงหนิง ตามประสาคนเคยมีจักรวรรดิใหญ่เหมือนกัน พร้อมเจรจาเรื่องท่อส่งแก๊สสายใหม่ ตุรกีบอกได้เลยครับพี่ปู แบบนี้นักล่าจะไม่แสบหลังได้ยังไง หลังจาก นั้น ประมาณ 2 อาทิตย์ (14 ธันวาคม) CNN ก็ออกข่าวซ้ำอยู่ทั้งวัน ว่านักข่าวตุรกีที่ไม่เชียร์รัฐบาล ชวนกันออกมาประท้วงเต็มถนนพร้อมกองเชียร์ ช่วยกันด่าว่ารัฐบาลโกงกิน การยั่วยวนได้ผล รัฐบาลสั่งจับหมด บอกเป็นแผนล้มรัฐบาลของคู่ปรับ เก่า Fetullah Gulen เด็กเลี้ยงของ CIA สื่อย้อม CNN ตีข่าวได้แค่วันกว่า ประธานาธิบดี Erdogan ทำหนังสือขอให้อเมริกา ส่งตัวนาย Gulen ที่ไปซุกอกอเมริกากลับมาให้ตุรกี ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย คิดล้มล้างรัฐบาล ก็ต้องดูกันต่อว่า ไอ้นักล่าจะแก้อาการแสบหลังต่อไปอย่างไร (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนาย Fetullah Gulen อยู่ในนืทาน เรื่อง ลูกครึ่ง หรือ นกสองหัว) นี่ถ้า ตุรกีเกิดเบื่อไต่ลวดเล่นเสียว จับยามแล้วเลือกข้างชัดเจน ใช้ระบบของจีน บอกได้เลยว่า ไอ้นักล่า คงยิ่งกว่าแสบหลัง คืวบา เป็นคู่แค้นของไอ้นักล่ามาตั้งแต่สมัย Kennedy ขวัญใจสาวๆเป็นประธานาธิบดี อเมริกาแอบรู้ว่า คิวบาเปิดบ้านให้สหภาพโซเวียต มาตั้งฐานจรวดจ่อหลังบ้านอเมริกา ห่าง Florida ไม่ถึงอึดใจ จึงตัดสัมพันธ์ คว่ำขัน คว่ำบาตรกันมาถึงเดี๋ยวนี้ แล้วไง พอเมื่อกลางปี (กรกฎาคม 2014) คุณพี่ปูติน หิ้วกระติกน้ำร้อนเดินสายไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่คิวบา กอดคอกันแล้วกอดกันอีก เขาว่า แถววอชิงตันถึงกับมีคนสำลัก นึกไม่ถึง กระติกน้ำร้อนจะมาวางใกล้ตัวถึงขนาดน้ัน เรื่องนี้ นักล่ายอมไม่ได้ จะปล่อยให้มีจรวดของรัสเซียมาจ่ออยู่หลังบ้านอีกหนไม่ไหวแน่ หมดท่านักล่าหมายเลขหนึ่งกันพ อดี รายการนี้มันแสบหลังมาก นักล่าถึงขนาดยอม อมเลือด ส่งมือประสาน ที่นายโอบามาบอกเองว่า ระดับวาติกันไปกล่อมคิวบา เรามาเริ่มศักราชใหม่แห่งความเข้าใจอันดี และปรารถนาดีต่อกันดีกว่านะ เป็นการโชว์ให้รัสเซียเห็นว่า กระติกน้ำร้อนที่วางไว้ไม่ได้ผลนะคราวนี้ คุณพี่ปูตินดูข่าวนายโอบามาแถลงเรื่องอเมริกากำลัง normalizing สัมพันธ์กับคิวบา แล้วหัวร่อ หึ หึ ผ่านไปเกือบ 50 ปี จะถล่มอเมริกา ไม่ต้องไปวางฐานจ่ออยู่ที่คิวบา ก็ได้นะคร้าบ แล้วกระติกที่เอาไปใส่น้ำหวานนะคร้าบ ไม่ใช่น้ำร้อน ฮา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แฮ็กเกอร์ใช้เว็บ WordPress กว่า 14,000 แห่งแพร่มัลแวร์ผ่านบล็อกเชน” — เมื่อ ClickFix และ CLEARSHOT กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามไซเบอร์

    Google Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า กลุ่มแฮ็กเกอร์ UNC5142 ได้เจาะระบบเว็บไซต์ WordPress กว่า 14,000 แห่งทั่วโลก เพื่อใช้เป็นฐานปล่อยมัลแวร์ โดยอาศัยเทคนิคใหม่ที่ผสาน JavaScript downloader กับบล็อกเชนสาธารณะเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและการปิดระบบ

    มัลแวร์ถูกส่งผ่านตัวดาวน์โหลดชื่อ “CLEARSHOT” ซึ่งฝังอยู่ในเว็บไซต์ที่ถูกแฮ็ก และจะดึง payload ระยะที่สองจากบล็อกเชน BNB chain โดยตรง จากนั้นจะโหลดหน้า landing page ที่เรียกว่า “CLEARSHORT” ซึ่งใช้กลยุทธ์ ClickFix หลอกให้เหยื่อคัดลอกคำสั่งไปวางใน Run (Windows) หรือ Terminal (Mac) เพื่อรันมัลแวร์ด้วยตัวเอง

    การใช้บล็อกเชนทำให้โครงสร้างพื้นฐานของแฮ็กเกอร์มีความทนทานต่อการตรวจจับและการปิดระบบ เพราะข้อมูลไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเหมือนเว็บทั่วไป

    แม้กลุ่ม UNC5142 จะหยุดปฏิบัติการในเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ GTIG เชื่อว่าพวกเขาอาจยังคงเคลื่อนไหวอยู่ โดยเปลี่ยนเทคนิคให้ซับซ้อนและตรวจจับยากขึ้น

    กลุ่ม UNC5142 เจาะระบบเว็บไซต์ WordPress กว่า 14,000 แห่ง
    ใช้ช่องโหว่ในปลั๊กอิน, ธีม และฐานข้อมูล

    ใช้ JavaScript downloader ชื่อ “CLEARSHOT” เพื่อกระจายมัลแวร์
    ดึง payload ระยะที่สองจากบล็อกเชน BNB chain

    หน้า landing page “CLEARSHORT” ใช้กลยุทธ์ ClickFix
    หลอกให้เหยื่อคัดลอกคำสั่งไปวางใน Run หรือ Terminal

    มัลแวร์ถูกโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ภายนอกผ่าน Cloudflare .dev
    ข้อมูลถูกเข้ารหัสเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    การใช้บล็อกเชนเพิ่มความทนทานต่อการปิดระบบ
    เพราะข้อมูลไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

    GTIG เชื่อว่า UNC5142 ยังไม่เลิกปฏิบัติการจริง
    อาจเปลี่ยนเทคนิคเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-web-pages-abused-by-hackers-to-spread-malware
    🕷️ “แฮ็กเกอร์ใช้เว็บ WordPress กว่า 14,000 แห่งแพร่มัลแวร์ผ่านบล็อกเชน” — เมื่อ ClickFix และ CLEARSHOT กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามไซเบอร์ Google Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า กลุ่มแฮ็กเกอร์ UNC5142 ได้เจาะระบบเว็บไซต์ WordPress กว่า 14,000 แห่งทั่วโลก เพื่อใช้เป็นฐานปล่อยมัลแวร์ โดยอาศัยเทคนิคใหม่ที่ผสาน JavaScript downloader กับบล็อกเชนสาธารณะเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและการปิดระบบ มัลแวร์ถูกส่งผ่านตัวดาวน์โหลดชื่อ “CLEARSHOT” ซึ่งฝังอยู่ในเว็บไซต์ที่ถูกแฮ็ก และจะดึง payload ระยะที่สองจากบล็อกเชน BNB chain โดยตรง จากนั้นจะโหลดหน้า landing page ที่เรียกว่า “CLEARSHORT” ซึ่งใช้กลยุทธ์ ClickFix หลอกให้เหยื่อคัดลอกคำสั่งไปวางใน Run (Windows) หรือ Terminal (Mac) เพื่อรันมัลแวร์ด้วยตัวเอง การใช้บล็อกเชนทำให้โครงสร้างพื้นฐานของแฮ็กเกอร์มีความทนทานต่อการตรวจจับและการปิดระบบ เพราะข้อมูลไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเหมือนเว็บทั่วไป แม้กลุ่ม UNC5142 จะหยุดปฏิบัติการในเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ GTIG เชื่อว่าพวกเขาอาจยังคงเคลื่อนไหวอยู่ โดยเปลี่ยนเทคนิคให้ซับซ้อนและตรวจจับยากขึ้น ✅ กลุ่ม UNC5142 เจาะระบบเว็บไซต์ WordPress กว่า 14,000 แห่ง ➡️ ใช้ช่องโหว่ในปลั๊กอิน, ธีม และฐานข้อมูล ✅ ใช้ JavaScript downloader ชื่อ “CLEARSHOT” เพื่อกระจายมัลแวร์ ➡️ ดึง payload ระยะที่สองจากบล็อกเชน BNB chain ✅ หน้า landing page “CLEARSHORT” ใช้กลยุทธ์ ClickFix ➡️ หลอกให้เหยื่อคัดลอกคำสั่งไปวางใน Run หรือ Terminal ✅ มัลแวร์ถูกโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ภายนอกผ่าน Cloudflare .dev ➡️ ข้อมูลถูกเข้ารหัสเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ การใช้บล็อกเชนเพิ่มความทนทานต่อการปิดระบบ ➡️ เพราะข้อมูลไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ✅ GTIG เชื่อว่า UNC5142 ยังไม่เลิกปฏิบัติการจริง ➡️ อาจเปลี่ยนเทคนิคเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-web-pages-abused-by-hackers-to-spread-malware
    WWW.TECHRADAR.COM
    Thousands of web pages abused by hackers to spread malware
    More than 14,000 websites were seen distributing malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัพฟ้าโต้เฟกนิวส์ เขมรตีปี๊บข่าว"อังคณา" : [NEWS UPDATE]
    พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เผยกรณีกัมพูชาออกข่าวทหารไทยโจมตีกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ยืนยัน การปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีการยิงจรวด BM- 21 เข้ามาในพื้นที่ไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ กองทัพอากาศตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ใช้ระเบิดความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบพลเรือน ข่าวดังกล่าวเป็นเฟกนิวส์ดิสเครดิตกองทัพไทย กรณีนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชา ทางกัมพูชาเอาข่าวนางอังคณาไปขยายผล กองทัพอากาศไม่ได้ตอบโต้ สว. แต่ตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันข้อเท็จจริงว่า ปฎิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานการป้องกันตนเอง ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดช่วงที่โจมตีเลือกเป้าหมายทางทหารทั้งหมด




    ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง

    รอดูร่างสุดท้ายลงมติ

    "นาท ภูวนัย"ตำนานหนังไทย

    ยึดบิตคอยน์แก๊งสแกมเมอร์
    ทัพฟ้าโต้เฟกนิวส์ เขมรตีปี๊บข่าว"อังคณา" : [NEWS UPDATE] พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ เผยกรณีกัมพูชาออกข่าวทหารไทยโจมตีกัมพูชาก่อน โดยใช้เครื่องบิน F-16 และ Gripen ยืนยัน การปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีการยิงจรวด BM- 21 เข้ามาในพื้นที่ไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ กองทัพอากาศตอบโต้โดยส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ใช้ระเบิดความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้กระทบพลเรือน ข่าวดังกล่าวเป็นเฟกนิวส์ดิสเครดิตกองทัพไทย กรณีนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ให้ความเห็นเรื่องการใช้เครื่องบิน F-16 โจมตีกัมพูชา ทางกัมพูชาเอาข่าวนางอังคณาไปขยายผล กองทัพอากาศไม่ได้ตอบโต้ สว. แต่ตอบโต้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนยันข้อเท็จจริงว่า ปฎิบัติการของเราอยู่บนพื้นฐานการป้องกันตนเอง ของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดช่วงที่โจมตีเลือกเป้าหมายทางทหารทั้งหมด ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง รอดูร่างสุดท้ายลงมติ "นาท ภูวนัย"ตำนานหนังไทย ยึดบิตคอยน์แก๊งสแกมเมอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 632 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts