• ขยับหมาก ตอนที่ 3

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก”
    ตอน 3
    อยู่ๆ ทำไม Chatham House ถึงลุกขึ้นมาเล่นรัสเซียเสียแรง ยังกะตั้งใจจะแยกอยู่กันคนละโลกขนาดนั้น มันไม่น่าจะเป็นการโชว์กระเดือกเดี่ยว อย่างนั้นมันไม่ใช่รูปแบบของฝั่งตะวันตก ที่ชอบทาสี ตีปิ๊บ และรุมกันทึ้งตามสันดานนักล่าทั้งเก่าทั้งใหม่
    ย้อนไปดูความเคลื่อนไหวของโรงงานใบตองแห้งเสียหน่อย ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ระยะใกล้ในเดือนมิถุนายน มีรายงายข่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกา ที่มีสีหน้า เหมือนกินเต้าหู้บูดเข้าไปตลอดเวลา ได้เดินทางไปที่กองบัญชาการของกองทัพ US Eurpoean Commander ที่เมือง Stuttgart ของเยอรมัน และประชุมกับหัวกะทิของทหารอเมริกันประมาณ 2 โหล กับนักการทูตอีกหลายคน เพื่อหารือว่า จะยกระดับการจัดการทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการทหาร กับรัสเซียอย่างไรดี เนื่องจากสัมพันธภาพกับรัสเซียตอนนี้ กำลังเปลี่ยนเป็นทางดิ่งลง sad turn และสถานการณ์ในยุโรป ก็ไม่ได้สวยหวานอย่างเมื่อก่อนแล้ว
    ในวันเดียวกันนั้น ส่วนหนึ่งของรายงานของนายพล Martin Demsey ประธานคณะทำงาน Chairman of the US Joint Chief of Staffs ที่ไม่รู้ว่าใครมืออ่อน ทำหลุดไปถึงสื่อ รายงานนั้นระบุว่า วอชิงตันกำลังคิดจะติดหัวรบนิวเคลียร์ใส่จรวดแถวยุโรป เป็นการตอบโต้รัสเซีย ที่ถูกกล่าวหาว่า กำลังทำผิดสัญญาเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระยะกลาง Intermediate-range Nuclear Forces (INF) ซึ่งรัสเซียบอกว่า เปล่าผิด จรวดที่ใช้ไม่อยู่ในข้อห้ามของสัญญา อเมริกาก็ใช้แบบนี้ในอิรัคไม่ใช่หรือ ประโยคหลัง ลุงนิทานถามแทน
    Pentagon กำลังคิดว่าจะติดตั้งจรวดยิงใส่รัสเซียที่ไหนดี ระหว่างยิงสวนใส่กลับไปที่จรวดรัสเซีย ที่กำลังลอยฟ้า หรือยิงใส่ฐานที่ตั้งกองกำลังของรัสเซีย จะยิงไปที่ไหนยังไม่ตัดสินใจ แต่นาย Robert Scher ผู้ช่วยคุณเต้าหูบูด ด้านนโยบายการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ได้แจ้งรัฐสภาเมื่อเมษายนนี้ว่า มีแผนเเช่นนั้นจริง ฮั่นแน่ จับได้แล้ว คิดรุกเขาแล้วซินะ
    หลังจากนั้นคุณเต้าหู้บูด ก็ไปประชุมกับหัวกะทิของนาโต้ที่ Brussels ตกลงจะเพิ่มกองกำลังรถถัง อาวุธหนัก อาวุธเบา เต็มอัตรา ให้กับฐานทัพนาโต้ที่อยู่แถวบอลติก รวมทั้งโปแลนด์ โรมาเนีย และบุลกาเรีย พวก (ที่เคยเป็น) เพื่อนรักคุณพี่ปูตินทั้งนั้น เปลี่ยนใจจากที่ว่า จะลดกำลังฝั่งแอตแลนติกไปเรียบร้อยแล้ว
    นอกจากนี้ ที่สำคัญ อเมริกาเพิ่งออกรายงาน US National Military Strategy (US NMS) 2015 เมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้เอง ประเทศที่อเมริกาจับตามองเป็นพิเศษมีอยู่ 4 ประเทศ คือ รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน
    วิธีที่อเมริกาเขียนถึง 4 ประเทศ แม้ไม่ประกาศชัดเจนว่าเป็นศัตรู แต่การบรรยายสรรพคุณแต่ละประเทศ ก็ทำให้เห็นว่ายากจะเป็นมิตรต่อกัน ถึงว่า มันน่าจะเป็นปาหี่
    ไอ้เรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์น่ะ
    เมื่อย้อนมาดูช่วงเวลาของการอ อก Grand Strategy แผนสอยมังกร สำหรับจีน ที่ออกมาในเดือนเมษายน เรื่อง Russia Challenge กูไม่คบมึง ในเดือนมิถุนายน ยุทธศาสตร์ USNMS 2015 ในเดือนมิถุนายน เรื่องอิหร่านดีล ที่ควรจะจบตั้งแต่ 30 มิถุนายน แต่ลากยาวมาถึงกรกฏาคม และญี่ปุ่น ที่กำลังเตรียมแบกถาด เมื่อสภาญี่ปุ่นอนุมัติให้แก้รัฐธรรมนูญ ให้แบกถาดร่อนไปทั่วได้ ซึ่งญี่ปุ่นคาดว่า ภายในกรกฏาคมนี้ คงผ่านสภา
    ดูเหมือนอเมริกาน่าจะเลือกเล่นเกมหมากล้อม ล้อม 4 ประเทศ ที่จับตาจ้องเขม็งนั่นแหละ และเตรียมเดินหมากไว้แล้วด้วย
    อเมริกาอาจจะเริ่มขยับหมาก เมื่อเรื่องกรีซ กับเรื่องอิหร่านจบตอนหนึ่ง หมากชื่อกรีก เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ อาจจะเกี่ยว ส่วนอิหร่านนั้น เป็นหมากที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอิหร่านจะจบอย่างไร ผลกระทบมีสูงทุกทาง
    ถ้าอเมริกา ใช้ยุทธศาตร์หมากล้อม ตามแนวที่วิเคราะห์ เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ และเรื่องกรีซ เราคงต้องตามดู แต่ดูการพัฒนาการของเรื่อง และระยะเวลาของแต่ละเรื่อง อย่าไปหลงทางตามรายละเอียดที่เขาตั้งใจสร้างให้เรางง การพัฒนาของทั้ง 2 เรื่อง จะทำให้เราเห็นว่า อเมริกาขยับหมากอย่างไร และจะมีเรื่องยาวตามมาหรือไม่ หรือการเดินหมากของอเมริกาล้มเหลว หรือแค่ชลอ รอเวลา…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    17 ก.ค. 2558
    ขยับหมาก ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก” ตอน 3 อยู่ๆ ทำไม Chatham House ถึงลุกขึ้นมาเล่นรัสเซียเสียแรง ยังกะตั้งใจจะแยกอยู่กันคนละโลกขนาดนั้น มันไม่น่าจะเป็นการโชว์กระเดือกเดี่ยว อย่างนั้นมันไม่ใช่รูปแบบของฝั่งตะวันตก ที่ชอบทาสี ตีปิ๊บ และรุมกันทึ้งตามสันดานนักล่าทั้งเก่าทั้งใหม่ ย้อนไปดูความเคลื่อนไหวของโรงงานใบตองแห้งเสียหน่อย ไม่ต้องย้อนไปไกล เอาแค่ระยะใกล้ในเดือนมิถุนายน มีรายงายข่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกา ที่มีสีหน้า เหมือนกินเต้าหู้บูดเข้าไปตลอดเวลา ได้เดินทางไปที่กองบัญชาการของกองทัพ US Eurpoean Commander ที่เมือง Stuttgart ของเยอรมัน และประชุมกับหัวกะทิของทหารอเมริกันประมาณ 2 โหล กับนักการทูตอีกหลายคน เพื่อหารือว่า จะยกระดับการจัดการทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการทหาร กับรัสเซียอย่างไรดี เนื่องจากสัมพันธภาพกับรัสเซียตอนนี้ กำลังเปลี่ยนเป็นทางดิ่งลง sad turn และสถานการณ์ในยุโรป ก็ไม่ได้สวยหวานอย่างเมื่อก่อนแล้ว ในวันเดียวกันนั้น ส่วนหนึ่งของรายงานของนายพล Martin Demsey ประธานคณะทำงาน Chairman of the US Joint Chief of Staffs ที่ไม่รู้ว่าใครมืออ่อน ทำหลุดไปถึงสื่อ รายงานนั้นระบุว่า วอชิงตันกำลังคิดจะติดหัวรบนิวเคลียร์ใส่จรวดแถวยุโรป เป็นการตอบโต้รัสเซีย ที่ถูกกล่าวหาว่า กำลังทำผิดสัญญาเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระยะกลาง Intermediate-range Nuclear Forces (INF) ซึ่งรัสเซียบอกว่า เปล่าผิด จรวดที่ใช้ไม่อยู่ในข้อห้ามของสัญญา อเมริกาก็ใช้แบบนี้ในอิรัคไม่ใช่หรือ ประโยคหลัง ลุงนิทานถามแทน Pentagon กำลังคิดว่าจะติดตั้งจรวดยิงใส่รัสเซียที่ไหนดี ระหว่างยิงสวนใส่กลับไปที่จรวดรัสเซีย ที่กำลังลอยฟ้า หรือยิงใส่ฐานที่ตั้งกองกำลังของรัสเซีย จะยิงไปที่ไหนยังไม่ตัดสินใจ แต่นาย Robert Scher ผู้ช่วยคุณเต้าหูบูด ด้านนโยบายการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ได้แจ้งรัฐสภาเมื่อเมษายนนี้ว่า มีแผนเเช่นนั้นจริง ฮั่นแน่ จับได้แล้ว คิดรุกเขาแล้วซินะ หลังจากนั้นคุณเต้าหู้บูด ก็ไปประชุมกับหัวกะทิของนาโต้ที่ Brussels ตกลงจะเพิ่มกองกำลังรถถัง อาวุธหนัก อาวุธเบา เต็มอัตรา ให้กับฐานทัพนาโต้ที่อยู่แถวบอลติก รวมทั้งโปแลนด์ โรมาเนีย และบุลกาเรีย พวก (ที่เคยเป็น) เพื่อนรักคุณพี่ปูตินทั้งนั้น เปลี่ยนใจจากที่ว่า จะลดกำลังฝั่งแอตแลนติกไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ที่สำคัญ อเมริกาเพิ่งออกรายงาน US National Military Strategy (US NMS) 2015 เมื่อปลายเดือนมิถุนายนนี้เอง ประเทศที่อเมริกาจับตามองเป็นพิเศษมีอยู่ 4 ประเทศ คือ รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน วิธีที่อเมริกาเขียนถึง 4 ประเทศ แม้ไม่ประกาศชัดเจนว่าเป็นศัตรู แต่การบรรยายสรรพคุณแต่ละประเทศ ก็ทำให้เห็นว่ายากจะเป็นมิตรต่อกัน ถึงว่า มันน่าจะเป็นปาหี่ ไอ้เรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์น่ะ เมื่อย้อนมาดูช่วงเวลาของการอ อก Grand Strategy แผนสอยมังกร สำหรับจีน ที่ออกมาในเดือนเมษายน เรื่อง Russia Challenge กูไม่คบมึง ในเดือนมิถุนายน ยุทธศาสตร์ USNMS 2015 ในเดือนมิถุนายน เรื่องอิหร่านดีล ที่ควรจะจบตั้งแต่ 30 มิถุนายน แต่ลากยาวมาถึงกรกฏาคม และญี่ปุ่น ที่กำลังเตรียมแบกถาด เมื่อสภาญี่ปุ่นอนุมัติให้แก้รัฐธรรมนูญ ให้แบกถาดร่อนไปทั่วได้ ซึ่งญี่ปุ่นคาดว่า ภายในกรกฏาคมนี้ คงผ่านสภา ดูเหมือนอเมริกาน่าจะเลือกเล่นเกมหมากล้อม ล้อม 4 ประเทศ ที่จับตาจ้องเขม็งนั่นแหละ และเตรียมเดินหมากไว้แล้วด้วย อเมริกาอาจจะเริ่มขยับหมาก เมื่อเรื่องกรีซ กับเรื่องอิหร่านจบตอนหนึ่ง หมากชื่อกรีก เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ อาจจะเกี่ยว ส่วนอิหร่านนั้น เป็นหมากที่สำคัญยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอิหร่านจะจบอย่างไร ผลกระทบมีสูงทุกทาง ถ้าอเมริกา ใช้ยุทธศาตร์หมากล้อม ตามแนวที่วิเคราะห์ เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ และเรื่องกรีซ เราคงต้องตามดู แต่ดูการพัฒนาการของเรื่อง และระยะเวลาของแต่ละเรื่อง อย่าไปหลงทางตามรายละเอียดที่เขาตั้งใจสร้างให้เรางง การพัฒนาของทั้ง 2 เรื่อง จะทำให้เราเห็นว่า อเมริกาขยับหมากอย่างไร และจะมีเรื่องยาวตามมาหรือไม่ หรือการเดินหมากของอเมริกาล้มเหลว หรือแค่ชลอ รอเวลา… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 17 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 125 Views 0 Reviews
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”
    ตอน 3
    คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด
    วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง
    ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด
    ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป
    …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง
    ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
    …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น
    แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ
    … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง
    …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ
    … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง
    ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว
    ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน …..
    อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว
    ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว
    ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย
    ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง
    …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว)
    … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด
    …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ….
    คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 4
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน
    นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน
    นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง
    เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น
    แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ…
    นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย
    เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman
    ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ
    โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ
    ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ
    ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์
    ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ
    … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน
    ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้
    ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว
    นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย
    คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย
    นาย Cordesman ให้การว่า
    “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์
    ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ”
    “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…”
    และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย
    ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 3 คงจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา อเมริกา โดย พณฯใบตองแห้ง จัดใหญ่แถลงการณ์ว่า เราตกลงเลือกกรอบการเจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว (รายละเอียดในนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว”) ตีปิ๊บซะตื่นเต้นกันไปหมด วันเดียวกันนั้น นาย Richard Hass ผู้อำนวยการใหญ่ของถังขยะความคิด Council on Foreign Relation หรือ CFR ที่เข้าใจว่า ใหญ่กว่ารัฐบาลของอเมริกา ท่านดิ๊ก Richard ก็ออกความเห็นทันทีไม่รอช่า เขียนเองอีกด้วย ไม่ใช้เด็ก แปลว่า เรื่องนี้สำคัญ ต้องปั่น หรือ ปั้นกับมือเอง ท่านดิ๊ก เริ่มต้นได้หยดย้อย ..แบบฝรั่งจ๋า There’s many a slip twixt the cup and the lip” เป็นอะไรที่เหมือนกับว่าสำเร็จแล้ว แต่ความจริง ยังไม่ใช่ ท่านดิ๊กว่าอย่างนั้น แต่ลุงนิทานแปลเองว่า .. ปากจะถึงถ้วยอยู่รอมร่อ แต่ดันหกเสียก่อน..แปลสั้นๆอีกที ว่า อ ด ท่านดิ๊กบอกว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับกรอบการเจรจาเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์โปรแกรม จะเป็นการสร้างเหตุการณ์สำคัญทางด้านการเมืองและการทูต ที่มีรายละเอียดมากมาย กว้างขวางในบริบทต่างๆ เกินกว่าที่คาดกัน…. เริ่มแบบนี้ แปลว่า คงมีใครเหยียบเปลือกกล้วย หงายท้องไปแล้ว แต่จะถึงขนาดทำปืนลั่นใส่หัวแม่ตีนตัวเองหรือเปล่า ต้องตามอ่านบทความของท่านดิ๊กต่อไป …กรอบที่ตกลงกัน สร้างคำถามคาใจไม่น้อยกว่าคำตอบที่ได้มา และยังมีเรื่องค้าง ที่ยังต้องทำอยู่อีกมากมาย จริงๆ แล้ว ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง …ไม่รู้ว่าท่านดิ๊กเหน็บใคร ดันจัดงานแถลงซะใหญ่โตเหมือนกับเจรจาสำเร็จแล้วยังงั้น แหล่ะ เป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ถังขยะความคิด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง “ข้อสอบรั่ว” หน่อยนะครับ … กรอบที่ตกลง มีข้อกำหนดห้ามอิหร่านมากมายเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ มีข้อกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบว่า อิหร่านทำตามที่ตกลงกันหรือไม่ และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการ “ผ่อนคลาย” เรื่องการคว่ำบาตรทางเศรษฐกืจ เมื่อตรวจสอบและพิสูจน์ได้แล้วว่า อิหร่านทำตามข้อตกลง …ในการเจรจา ได้มีประเมินกันว่า เราจะมีระยะเวลาในการเตือน 1 ปี นับแต่วันที่อิหร่านตัดสินใจ ที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์สักลูก จนถึงสร้างสำเร็จ ระยะเวลาดังกล่าวเป็นไปตามข้อสันนิษฐานว่า จากการเฝ้าติดตามอิหร่านอย่างใกล้ชิด เราจะพบการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาได้เร็วพอ ที่จะระงับการดำเนินการของอิหร่าน และโดยเฉพาะ จะทำให้เรากลับไปใช้การคว่ำบาตรอิหร่านได้ใหม่ “ก่อน” ที่อิหร่านจะสร้างนิวเคลียร์ ตามข้อสมมุติฐานนี้สำเร็จ.... ข้อนี้ ท่านดิ๊ก เขียนได้เยี่ยมครับ ให้เห็นความโง่ของผู้เจรจา และผู้ตกลง ฝ่ายที่ไม่ใช่อิหร่าน ชัดเจนว่า ด่ากันเอง มันดีนะครับ … ท่านดิ๊กบอกว่า มีไม่น้อยกว่า 5 เหตุผล ที่การตกลงกับอิหร่าน ท้ายที่สุด จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ … นี่ใบ้หวยหรือไง ข้อแรก ระหว่างเวลา 90 วัน นับแต่เดือนเมษายนถึงสิ้นเดือน มิถุนายน อะไรก็เกิดขึ้นได้ การเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวผู้เจรจา การถูกกดดันจากรัฐบาลของตน แค่ตอนนี้ ความไม่เห็นพ้องกัน ระหว่างอเมริกากับอิหร่าน ก็มากมายกองสูงท่วมหัวแล้ว ข้อสอง เรื่องค้างที่สำคัญ คือเรื่องกำหนดเวลายกเลิกการคว่ำบาตร เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับฝ่ายอิหร่าน ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ใช้ในการเจรจาต่อรองกับอิหร่าน พูดชัดๆ ว่าฝ่ายอเมริกาและยุโรป ยังไม่อยากยกเลิกการคว่ำบาตรให้อิหร่าน จนกว่า “จะแน่ใจ” ว่า อิหร่านปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน ….. อืม ….อิหร่านคงเข้าใจความนัยนี้แล้ว ข้อสาม เรื่องที่ห่วงกันคือ พวกยึดแน่นกับหลักการ หรือพวกเข้มข้นของทั้ง 2 ฝ่าย เช่นทางอิหร่าน คงไม่อยากให้อิหร่านเจรจากับ “ซาตานอเมริกา” ส่วนทางอเมริกา ก็ใช่ว่า สภาสูงจะเอาด้วย ตอนนี้ก็พูดกันไปทั่วแล้วว่า เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยอิหร่านไว้กับนิวเคลียร์ ที่ความสามารถในการติดตาม การตรวจสอบ ยังไม่เป็นที่แน่ใจ ปล่อยไปเรื่อยๆ อีก 15, 20 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องใครก็ให้ความมั่นใจไม่ได้… พณฯใบตองแห้ง ได้ยินนะครับ ถูกลูกน้อง จริงๆ ก็คือลูกพี่ สั่งสอนให้แล้ว ข้อสี่ อิหร่านจะปฏิบัติกับข้อตกลงนี้อย่างไร ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติเสีย ในการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือที่เกี่ยวข้อง ขนาดผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงบันทึกไว้ในสมุดความประพฤติของอิหร่านแล้ว … นี่มันดูถูกซ้ำซาก อิหร่านรับได้หรือครับ ขอเสี้ยมหน่อย ข้อที่ห้า มาจากนโยบายด้านการต่างประเทศ และความมั่นคงของอิหร่านเอง ที่ทางอเมริกาไม่เห็นด้วย และเพื่อนฝูงในตะวันออกกลางก็แหยงกับการกระทำของอิหร่าน ที่สนับสนุน ซีเรีย อืรัค เยเมน รวมทั้งที่อื่นๆในตะวันออกกลาง …ท่านดิ๊กบอกว่า อิหร่านมีอนาคตไปได้ไกลถึงเป็นจักรวรรดิ ที่หวังจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคของตัว แม้ข้อตกลงนิวเคลียร์นี้จะเกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวเปลี่ยนแปลง อาจจะเลวร้ายลงไปด้วยซ้ำ เพราะอิหร่านอาจเลือกกลับมาสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อได้ อย่างไม่ยากเย็นอะไร (โดยเราไม่รู้ตัว) … โอบามาทำถูกแล้ว ที่เจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ตามแนวที่กำลังคุยกัน ยังดีกว่าให้อิหร่านมีนิวเคลียร์ หรือทำสงคราม เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ แต่ข้อตกลงดังกล่าว ต้องสร้างความเชื่อมั่น ให้อเมริกาและตะวันออกกลาง ให้ได้ว่า ได้มีการป้องกันอย่างรอบคอบแล้ว และถ้ามีการเบี้ยว หรือขี้โกง สิ่งเหล่านี้จะถูกจับได้ และจัดการได้อย่างเด็ดขาด …นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และจริงๆแล้ว มันไม่เกินไปหรอก ถ้าจะบอกว่า การสร้างความมั่นใจดังว่านั้น ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่า การเจรจาให้อิหร่านตกลงด้วยซ้ำ…. คุณดิ๊ก นี่ไม่เบาเลย ตกลงนี่ กำลังหลอกด่าประธานาธิบดี ตัวเองหรือไงว่า ไปโง่ให้เหนื่อยทำไม ผลสุดท้าย เจรจากับอิหร่านสำเร็จหรือไม่ ปลายทางก็คงไม่ต่างกัน …,,หรือว่า พณฯใบตองแห้ง ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน เพราะทางออกอื่นยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องเล่นบทตีหน้าซื่อ หรือเซ่อ … หลอกอิหร่าน หลอกโลกไปก่อน ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง” I will walk away….พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 4 ตกลง พณฯใบตองแห้ง คิดเรื่องอิหร่านอย่างไรกันแน่ อยากเจรจาต่อ หรืออยากเลิกเจรจา ยิ่งถังขยะความคิด CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกันตัวจริง ออกมาเขียนตีปลาหน้าไซอย่างนี้ เราๆชาวบ้าน สมันน้อย ไม่ว่าจะอยู่แดนสยาม หรือแดนเนรมิตรที่ไอ้นักล่าใบตองแห้งสร้างหลอกเอาไว้ จะเข้าใจไหม ว่าเขากำลังเล่นอะไรกัน นอกจาก CFR จะออกมาชี้เปลือกกล้วย ที่มีใครเหยียบจนลื่นหงายท้อง เสียท่าไปแล้ว ถังขยะความคิดอีกใบ ที่มีเสียงดังไม่น้อยเหมือนกัน คือ Center for Strategic & International Studies (CSIS) ได้ออกรายงาน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อย่างกับนัดกัน กับ CFR เรื่อง Judging a P5+1 Nuclear Agreement with Iran: The Key Criteria เขียนโดย Anthony Cordesman ตัวหัวหน้าใหญ่ ลงมือเขียนเองอีกเหมือน นาย Cordesman เขียนเสียยาว บรรยายอย่างละเอียด ถึงการเจรจา ผมขอเล่าแต่สรุปตอนท้ายของเขา ซึ่งน่าจะทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง เขาบอกว่า …. ข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธ ต้องอยู่บนหลักการ ที่เป็นความความเชื่อใจ แต่ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ” trust but verify” โดยให้น้ำหนัก ความเชื่อใจที่ 1% และเน้นการตรวจสอบที่พิสูจน์ได้ 99 % จากการวิเคราะห์ที่บรรยายในเอกสาร ไม่มีทางที่จะเอาความเชื่อใจอย่างเดียวมาใช้ในการตรวจสอบอาวุธของอิหร่านที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตกลงจะมีขึ้นได้ หรือจะเลื่อนออกไป หรือการเจรจาล้มเหลวจบสิ้น แล้วการเจรจาก็ต้อง เลื่อนออกไปจริงๆ… นอกจาก ได้รับการเคาะตาตุ่ม จากถังขยะความคิดใบใหญ่ 2 ใบแล้ว พณฯ ใบตองแห้งยังโดนยำเสียเละ จากฝ่ายรัฐสภา ที่ปล่อยข่าวออกมาให้เป็นหนังตัวอย่าง เพราะเรื่องของอิหร่าน รัฐบาลยังไม่ได้ส่งเข้าไปให้พิจารณา ดูหนังตัวอย่างม้วนนี้กันหน่อย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการย่อย ด้านตะวันออกกลาง และอาฟริกาเหนือ ได้จัดให้มีการประชุมหารือ โดยมีสมาชิกสภา Ileana Ros-Lehtinen เป็นประธาน ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมหลายคน หนี่งในนั้นคือ นาย Anthony Cordesman ที่ประชุมสรุปว่า การเจรจากับอิหร่านที่กำลังดำเนินอยู่คือ เส้นทางสู่ความหายนะ โดยสรุปเรื่องที่หารือกัน 5 ข้อ ข้อ 1. เด็กๆ ในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในคอกอเมริกา กำลังว้าวุ่นว่าจะพึ่งอเมริกาได้แค่ไหน ตั้งแต่มีเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ พวกเขาบางราย ถึงกับจะหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ ข้อ 2. เด็กๆ ในภูมิภาค ต่างไม่อยากเหลือเป็นรายสุดท้าย ที่ไม่มีของเล่นเป็นอาวุธนิวเคลียร์ เราคงไม่อยากเห็น รัสเซียคุยกับจอร์แดน หรืออียิปต์ เพื่อจะสร้างนิวเคลียร์ หรือเราคงไม่อยากให้ซาอุดิวิ่งไปหาจีนเรื่องนิวเคลียร์ ข้อ 3. อิหร่าน บอกมาเป็นเวลานานมากแล้วว่า เขาอยากจะทำโครงการนิวเคลียร์ ตอนนี้เขากำลังเจรจากับอเมริกาว่าเ ขาจะไม่ทำต่อแล้ว แต่เขายังจะทำโครงการจรวดต่อ … มันเป็นโครงการต่อเนื่องกัน เลิกโครงการนึง ก็ต้องเลิก อีกอันด้วย สิ่งที่เขาพูด กับที่เขาทำมันขัดกัน ข้อ 4. อิหร่านบอกว่า เขาสนใจที่จะเดินหน้าโครงการอวกาศ แต่เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการอวกาศส่วนใหญ่ มันก็เป็นรายการเดียวกับการทำจรวดวิถีไกล ถ้าอิหร่านจะซ่อนสักนิด อิหร่านก็สร้างจรวดวิถีไกลได้โดยไม่มีใครรู้ ข้อ 5. ตอนนี้อิหร่าน มีจรวดวิถีใกล้ และกลาง เรียบร้อยแล้ว และส่งให้ กลุ่ม Hezbullah กับกลุ่ม Hamas ใช้ไปแล้ว ทำให้อิสราเอลกำลังปวดกระบาล นี่ถ้าอิหร่าน มีจรวดวิถีไกลด้วย คนปวดกระบาลคือเรา อเมริกา อิหร่านโจมตีเราได้ โดยไม่ต้องย้ายพุงข้ามเขตแดนเขาออกมาเลยแม้แต่นิ้วเดียว นอกจากนี้ นาย Ed Royce ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านกิจการต่างประเทศ House Commitee on Foreign Affairs ซึ่งร่วมประชุมในโอกาสเดียวกันยังบอกว่า… ในหลายๆทาง การเจรจากับอิหร่าน เป็นกรณีศึกษาให้เห็นว่า รัฐบาลโอบามาดำเนินการเจรจากับอิหร่าน โดยไม่สนใจกับความเห็น หรือความต้องการของฝ่ายอื่นเลย เช่น เมื่อคณะกรรมาธิการแจ้งกับรัฐบาลไปว่า ต้องเอาเรื่องจรวดนำวิถีเข้าไปร่วมพิจารณาในการเจรจาด้วย แต่ปรากฏว่า ไม่อยู่ในกรอบการเจรจา แถมผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ส่งเสียงข้ามทวีปบอกว่า ตะวันตกโง่และเซ่อมาก ที่คิดว่าอิหร่านจะลดการผลิตจรวดนำวืถีด้วย คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของอิหร่าน ขอโวยกลับ …. จรวดนำวิถี เป็นหัวรบของอาวุธนิวเคลียร์ ไม่นับรวมได้ยังไง วันนี้ เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้การเป็นพยาน และในจำนวนผู้ที่ถูกเรียกให้มาเป็นพยาน มีนาย Anthony Cordesman มาด้วย นาย Cordesman ให้การว่า “…. จรวดนำวิถี ballistic missile ไม่ได้แยกส่วน หรือเป็นส่วนเสริม ของอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นส่วนหนึ่ง it is not a seperate and secondary but part and parcel ระยะยิงของจรวดพวกนี้ ไม่ใช่แค่ในตะวันออกกลาง แต่สามารถยิงไปไกลได้ถึงตอนใต้ของรัสเซียและยุโรป…ระบบนี้ อิหร่านได้รับความช่วยเหลือจากเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์บอกว่า ระบบนี้ก็เหมือนเป็นการทดสอบ สำหรับประเทศที่ต้องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ….. อิหร่านได้ส่งจรวดพวกนี้ ไปให้กลุ่ม Hezbullah และ Hamas ใช้ที่ฉนวนกาซ่า Hamas ใช้ไปแล้ว ประมาณ 3 พัน ถึง 1 หมื่นลูก ” “… ยังไม่มีประเทศไหน ที่ไม่ต้องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แล้วดันลงทุนในโครงการจรวดที่มีอานุภาพสูง และใช้ทุนมหาศาลขนาดนี้เลย สมาชิกสภา Ed Royce รำพึง…” และข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่เคยเข้ามาพิจารณาในรัฐสภาเลย ตกลง พณฯใบตองแห้ง กำลังเล่นอะไร โง่และเซ่อ อย่างที่มีเสียงด่าข้ามทวีปมา หรืออเมริกากำลังบอกว่า จำไม่ได้หรือ หนังฮอลลีวู้ดเป็นอย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 247 Views 0 Reviews
  • I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 1 – 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ”
    ตอน 1
    เดือนกรกฏา มาถึงแล้ว ถึงไม่เรียกก็มา ไม่อยากให้มา ก็มาถึงอยู่ดี
    สำหรับผู้ที่สนใจติดตามชะตาโลก เดือนนี้ไม่ติดตามไม่ได้เพราะเป็นเดือนที่จะมีการตัดสินใจ สำคัญหลายเรื่อง แต่ละเรื่องจะกระทบเฉพาะถิ่นของที่ผู้ตัดสินใจหรืออาจจะกระเทือนไปไกลค่อนโลกก็เป็นได้
    สำหรับชาวกรีก จะตัดสินใจตัดโซ่ แหกคอก หรือตายซากคาคอก วันที่ 5 กค นี่คงรู้กัน แต่คงยังไม่จบกัน หนังมาเป็นตอน เล่นยาวเป็นซีซั่น ซีซั่นนี้ จะจบแบบไหนต้องลุ้นกันหน่อย อย่าให้หนังขาด หรือเลิกเล่นกันหมดก็แล้วกัน
    ส่วนชาวอิหร่าน วันที่ 7 กค. นี้ การเจรจาที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี ของ Iran Nuclear Deal ที่เลื่อนวันเส้นตายมาจาก 30 มิย. มาเป็น 7 กค. จะเจรจาจบไหม หรือจะเลื่อนเส้นให้ตายช้าต่อไปอีก อิหร่านพร้อมจะยกเลิกการพัฒนานิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรของอเมริกากับพวกหรือไม่ อเมริกาพร้อมจะยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านแน่จริงหรือไม่
    เรื่องอิหร่านเป็นเรื่องใหญ่ ผลกระทบอาจไปไกล และแรง
    นอกจากเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่อง ยังมีเรื่องนิดเรื่องหน่อย ที่จะทยอยเกิดขึ้น เดือนนี้คงได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นเป็นระลอก เป็นเหตุการณ์ ที่อาจจะมีผลกระทบกับความเป็นไปในโลก เปลี่ยนแปลง จนเราตามกันแทบไม่ทัน หรือตามทันรู้ แต่ไม่เข้าใจเหตุ
    เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเส้นตาย ว่าการเจรจากับอิหร่านเรื่องพัฒนา นิวเคลียร์ ต้องตกลงกันให้เสร็จสิ้น ปรากฏว่า ตกไม่ลง ค้างเติ่ง ต้องเลื่อนเวลา แต่ที่น่าสนใจ นายโอบามา ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ ให้เริ่มและลุ้น การเจรจานี้มาตลอดเวลา ดันทำหน้าเฉย ให้สัมภาษณ์สื่อ แถมส่งเสียงเหมือนขู่….
    ” I will walk away” … ขึ้นต้น ยังกะเพลงรักหักอก ตอนพระเอกกำลังจะทิ้งนางเอก จะแค่หันหลังเดินออกประตูไป หรือจะถึงขนาดมีการตบตีส่งท้าย
    …. ถ้าอิหร่านไม่เจรจาตามกรอบ ที่ตกลง ที่เมืองโลซานน์ เมื่อเดือน เมษายน ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ มันจะเป็นปัญหา เพราะผมบอกตั้งแต่เริ่มเจรจาแล้วว่า ผมจะเลิกเจรจา ถ้ามันกลายเป็นข้อตกลงที่ห่วย …
    I have said from the start I will walk away from negotiations if, in fact, it’s a bad deal…”
    ข่าวบอกว่า คำขู่ฟ่อ ของพณฯใบตองแห้ง เป็นการตอบโต้ คำคัดค้านของท่านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน Ayatollah Ali Khamenei ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการตรวจสอบการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่จะปฏิบัติเสมือนเป็นการรุกล้ำอิหร่าน
    แต่ พณฯใบตองแห้งยืนยัน
    “…จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของอิหร่าน ไอ้ที่จะมีแค่คำแถลงของอิหร่าน และมีคนมาเดินไป เดินมา ตรวจสอบแบบนานๆทีมา อย่างนั้น คงไม่ได้ … มันต้องมีกระบวนการที่เข้มงวด เอาจริงเอาจัง มาทำการตรวจสอบอย่างพิสูจน์ได้ และผมคิดว่า นั่นจะเป็นการทดสอบว่า เราตกลงกันได้จริงหรือไม่
    ..Given past behavior on the part of Iran, that simply can’t be a declaration by Iran and a few inspectors wandering around every once in a while … that’s going to have to be serious, rigorous verification mechanism. And that, I think, is going to be the test as to whether we get a deal or not…. ”
    พณฯใบตองแห้งเล่นอิหร่านแรงนะ แล้วแบบนี้ มันคุยกันรู้เรื่องจริงหรือ ผมรู้สึกหวั่นใจแทนจัง
    ฝ่ายอิหร่านบอก เราเดินตามกรอบของโลซานน์นะ ไม่ได้ใช้กรอบอื่นเลย เราว่า อเมริกาต่างหากที่ต้องการเปลี่ยนกรอบ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน Mohammad Javad Zarif บินกลับมาเวียนนา หลังจากบินกลับไปที่เตหะรานเพื่อไปหารือบางประเด็น เขาบอกว่า .. ผมไม่ได้ไปขอรับคำสั่งในการตกลงจากประมุขประเทศ ผมได้รับอนุญาตเต็มใบในการเจรจาอยู่แล้ว ผมกลับมาเวียนนาเพื่อมาเจรจาขั้นสุดท้าย ซึ่งเราน่าจะทำสำเร็จ
    นาย Zarif ไม่ได้กลับมาคนเดียว เขามาพร้อมกับ Ali Akbar Salehi หัวหน้าใหญ่ขององค์การ Atomic Energy ของอิหร่าน Salehi ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด .,,แปลว่าอิหร่านเอาจริงกับการเจรจาใช่ไหม ไม่งั้นไม่หอบเอาคนป่วยมาด้วยหรอก นาย Zarif บอกกับนักข่าว
    ข่าวบอกว่า คณะเจรจาโดยเฉพาะอเมริกา ต้องการให้การเจรจาเสร็จต้นเดือนนี้ เพื่อส่งเรื่องให้ฝ่ายรัฐสภาพิจาร ณา ให้เสร็จภายในเวลา 30 วัน ถ้าส่งช้ากว่านั้น สภาปิดไปแล้ว ฝ่ายรัฐสภาจะมีเวลาพิจารณา เพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน แถมมีเวลาในการหว่านล้อมเสียง ฝ่ายที่เห็นต่างกันอีกด้วย... นี่ ก็เหมือนอเมริกาเอาจริงนะ ถูกใจ ก็ให้สภาผ่าน ไม่ถูกใจ สภาก็ไม่ผ่านให้….เล่นไม่ยาก
    ###############
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง”

    ตอน 2
    ในการประชุมที่โลซานน์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างอิหร่าน กับ กลุ่มที่เรียกว่า P5+1 (อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน + เยอรมัน) เป็นการกำหนด
    ” กรอบ การดำเนินการ” สำหรับทั้งด้านอเมริกา และอิหร่าน
    การดำเนินการที่สำคัญ ประการหนึ่งคือ กระบวนการยกเลิก sanction การคว่ำบาตรอิหร่าน คว่ำมานานหลายสิบปี จนนึกวิธีหงายไม่ออกว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แสดงว่าคนช่วยคว่ำคงแยะ และการคว่ำคงมีสาระพัดวิธี
    คุยกันเรื่องนี้ ตั้งแต่โลซานน์มาถึงเวียนนาว่า จะต้องมีการประกาศ (Declaration) เมื่อตกลงกันได้แล้ว โดยไม่มีการลงนามพันธสัญญา หลังจากนั้น ทุกฝ่ายก็จะให้ UN Security Council (UNSC) เป็นผู้ประทับตรารับรองการประกาศ และก็ออกมติที่จะทำให้การคว่ำบาตร ไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป ส่วนถ้อยคำของตัวมตินี่ ยังเจรจากันอยู่
    และเป็นเรื่องที่เสียวไสว่า กว่าจะเจรจาจบ คนเจรจาคงหืดขึ้นคอ หรือเจรจาไม่จบ เพราะพระเอกเล่นร้องเพลงลา... ล่วงหน้า
    ทุกฝ่าย ยกเว้นรัฐบาลของพณฯใบตองแห้ง ต้องการให้ส่งเรื่องไปที่ UNSC เร็วที่สุด แตอเมริกายังสงวนท่าที ไม่มีคำตอบให้
    ผู้เจรจาฝ่ายอิหร่านบอกอย่างชัดเจนระหว่างการเจราว่า อิหร่าน จะเริ่มดำเนินการตามข้อตกลงเกี่ยว กับนิวเคลียร์ทันที รื้อถอนเครื่องแยก รื้อถอนเครื่องปฏิกรณ์ ทำลายสต๊อกแร่ยูเรเนียม รื้อมันหมดทุกอย่าง ฯลฯ ทันที และให้ไอ้เอกับอีเอ IAEA มาตรวจสอบทันที ว่าอิหร่านปฏิบัติตามรายการถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
    แต่ทั้งหมดข้างต้น ต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการยกเลิก การคว่ำบาตร โดยอเมริกาและอียู จะต้องลงมือไปพร้อมกันว่า ได้จัดการหงายบาตรของใคร ที่ไหน อย่างไรแล้ว และ ต้องให้ UNSC ประทับตรารับรองการกระทำด้วย มันถึงจะเป็นธรรม จะให้ด้านหนึ่งทุบทิ้ง แต่อีกด้านยืนอมยิ้มกอดอกเฉยได้ไง
    ที่บรรยายมาทั้งหมดเข้างต้น เป็นเรื่องที่ได้ “ตกลงกันไปแล้ว” ที่โลซานน์ ระหว่างนาย Zarif รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกับคุณสาวน้อย Federica Mogherini ผู้แทนของอียู….
    แต่แล้วก็ข่าวรั่วเกี่ยวกับเรื่องกรอบ สวย ไม่สวยขนาดไหน ใครต้องการให้ชัดเจนอย่างไร อย่างที่เล่าข้างต้น สื่อเข้ามาช่วยปั่น แถมเพิ่มสีให้น่าตื่นเต้น อันที่จริงไม่ต้องเพิ่มก็น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว ถ้าคิดให้ลึกๆ ยิ่งคิด โต๊ะเจรจาก็ยิ่งสั่น โดยเฉพาะมีความเห็นแย้งจากมุมมอง ด้านกองทัพ possible military dimensions (PMD) ที่สะท้อนกลับ …. แล้วนี่จะพิสูจน์อย่างไร หากตกลงกันเรียบร้อยว่า ให้อิหร่านพัฒนาอะไรได้บ้าง สิ่งที่อิหร่าน “จะไปพัฒนาต่อ” มันจะกลายเป็นอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ เขาว่าไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ ก็พอนึกออกว่า มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก กว่าจะพิสูจน์ได้ โน่นแนะ ดอกเห็ดงอกขึ้นมาแล้ว ทำนองนั้น…. เฮ้ย… แบบนี้ก็ต้องรีบขยายเวลาเจรจาสินะ ให้จบแบบนี้ไม่ได้…
    อ้อพอเข้าใจแล้ว
    แต่ข่าวได้ฟุ้งกระจายเรียบร้อย ไปทั่วสถานที่เจรจา Palais Coburg เวียนนา ว่า ขณะนี้ พณฯใบตองแห้ง ชักลังเลที่จะยกเลิกการคว่ำบาตร…..สงสัยสถานการณ์เปลี่ยน แผนเจรจาเลยอาจต้องเปลี่ยน ตอนนี้คนที่หน้าเครียด เดินเข้าไปจับเข่าคุยทีละข้าง กับเจ้าของเข่าที่ละคน คือ นายKerry รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ไร้เสน่ห์ในการเจรจาอย่างที่สุดนั่นเอง แล้วมันจะคุยสำเร็จละหรือ
    อย่าลืมว่า ใน P5+1 มีรัสเซียกับจีน ที่รู้ๆ กันอยู่ว่า จับมือจับไม้เห็นใจอิหร่านมานานแล้ว และนอกจากจับมือแล้ว ดูเหมือนจะส่งหีบห่อไปช่วยเหลืออิหร่านสาระพัด แถมเมื่อเร็วๆนี้ ยังมีข่าวว่า จะรับอิหร่านเป็นสมาชิกก่อต้ัง ไอ้อิบ AIIB สถาบันการเงินที่กำลังหอมกรุ่น
    ยังไม่ถึงวันเส้นตาย ก็ต้องดื้นกันตายไปก่อน แล้วพณฯ ใบตองแห้ง ก็รีบหยิบบท ….I will walk away ออกมาครวญไปพลางๆ ระหว่างนี้ คุณไร้เสน่ห์ Kerry ก็สั่งเด็กๆ ให้ช่วยกันหาเหตุ ช่วยกันโหมหน่อย…. อิหร่านต่างหาก ที่ ทำท่าจะเบี้ยว เข้า
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ก.ค. 2558
    I Will Walk Away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away … พี่เผ่นก่อนนะน้อง ” ตอน 1 เดือนกรกฏา มาถึงแล้ว ถึงไม่เรียกก็มา ไม่อยากให้มา ก็มาถึงอยู่ดี สำหรับผู้ที่สนใจติดตามชะตาโลก เดือนนี้ไม่ติดตามไม่ได้เพราะเป็นเดือนที่จะมีการตัดสินใจ สำคัญหลายเรื่อง แต่ละเรื่องจะกระทบเฉพาะถิ่นของที่ผู้ตัดสินใจหรืออาจจะกระเทือนไปไกลค่อนโลกก็เป็นได้ สำหรับชาวกรีก จะตัดสินใจตัดโซ่ แหกคอก หรือตายซากคาคอก วันที่ 5 กค นี่คงรู้กัน แต่คงยังไม่จบกัน หนังมาเป็นตอน เล่นยาวเป็นซีซั่น ซีซั่นนี้ จะจบแบบไหนต้องลุ้นกันหน่อย อย่าให้หนังขาด หรือเลิกเล่นกันหมดก็แล้วกัน ส่วนชาวอิหร่าน วันที่ 7 กค. นี้ การเจรจาที่ยืดเยื้อมาเกือบ 2 ปี ของ Iran Nuclear Deal ที่เลื่อนวันเส้นตายมาจาก 30 มิย. มาเป็น 7 กค. จะเจรจาจบไหม หรือจะเลื่อนเส้นให้ตายช้าต่อไปอีก อิหร่านพร้อมจะยกเลิกการพัฒนานิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการยกเลิกการคว่ำบาตรของอเมริกากับพวกหรือไม่ อเมริกาพร้อมจะยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านแน่จริงหรือไม่ เรื่องอิหร่านเป็นเรื่องใหญ่ ผลกระทบอาจไปไกล และแรง นอกจากเรื่องใหญ่ๆ 2 เรื่อง ยังมีเรื่องนิดเรื่องหน่อย ที่จะทยอยเกิดขึ้น เดือนนี้คงได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นเป็นระลอก เป็นเหตุการณ์ ที่อาจจะมีผลกระทบกับความเป็นไปในโลก เปลี่ยนแปลง จนเราตามกันแทบไม่ทัน หรือตามทันรู้ แต่ไม่เข้าใจเหตุ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเส้นตาย ว่าการเจรจากับอิหร่านเรื่องพัฒนา นิวเคลียร์ ต้องตกลงกันให้เสร็จสิ้น ปรากฏว่า ตกไม่ลง ค้างเติ่ง ต้องเลื่อนเวลา แต่ที่น่าสนใจ นายโอบามา ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ ให้เริ่มและลุ้น การเจรจานี้มาตลอดเวลา ดันทำหน้าเฉย ให้สัมภาษณ์สื่อ แถมส่งเสียงเหมือนขู่…. ” I will walk away” … ขึ้นต้น ยังกะเพลงรักหักอก ตอนพระเอกกำลังจะทิ้งนางเอก จะแค่หันหลังเดินออกประตูไป หรือจะถึงขนาดมีการตบตีส่งท้าย …. ถ้าอิหร่านไม่เจรจาตามกรอบ ที่ตกลง ที่เมืองโลซานน์ เมื่อเดือน เมษายน ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ มันจะเป็นปัญหา เพราะผมบอกตั้งแต่เริ่มเจรจาแล้วว่า ผมจะเลิกเจรจา ถ้ามันกลายเป็นข้อตกลงที่ห่วย … I have said from the start I will walk away from negotiations if, in fact, it’s a bad deal…” ข่าวบอกว่า คำขู่ฟ่อ ของพณฯใบตองแห้ง เป็นการตอบโต้ คำคัดค้านของท่านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน Ayatollah Ali Khamenei ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการตรวจสอบการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่จะปฏิบัติเสมือนเป็นการรุกล้ำอิหร่าน แต่ พณฯใบตองแห้งยืนยัน “…จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของอิหร่าน ไอ้ที่จะมีแค่คำแถลงของอิหร่าน และมีคนมาเดินไป เดินมา ตรวจสอบแบบนานๆทีมา อย่างนั้น คงไม่ได้ … มันต้องมีกระบวนการที่เข้มงวด เอาจริงเอาจัง มาทำการตรวจสอบอย่างพิสูจน์ได้ และผมคิดว่า นั่นจะเป็นการทดสอบว่า เราตกลงกันได้จริงหรือไม่ ..Given past behavior on the part of Iran, that simply can’t be a declaration by Iran and a few inspectors wandering around every once in a while … that’s going to have to be serious, rigorous verification mechanism. And that, I think, is going to be the test as to whether we get a deal or not…. ” พณฯใบตองแห้งเล่นอิหร่านแรงนะ แล้วแบบนี้ มันคุยกันรู้เรื่องจริงหรือ ผมรู้สึกหวั่นใจแทนจัง ฝ่ายอิหร่านบอก เราเดินตามกรอบของโลซานน์นะ ไม่ได้ใช้กรอบอื่นเลย เราว่า อเมริกาต่างหากที่ต้องการเปลี่ยนกรอบ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน Mohammad Javad Zarif บินกลับมาเวียนนา หลังจากบินกลับไปที่เตหะรานเพื่อไปหารือบางประเด็น เขาบอกว่า .. ผมไม่ได้ไปขอรับคำสั่งในการตกลงจากประมุขประเทศ ผมได้รับอนุญาตเต็มใบในการเจรจาอยู่แล้ว ผมกลับมาเวียนนาเพื่อมาเจรจาขั้นสุดท้าย ซึ่งเราน่าจะทำสำเร็จ นาย Zarif ไม่ได้กลับมาคนเดียว เขามาพร้อมกับ Ali Akbar Salehi หัวหน้าใหญ่ขององค์การ Atomic Energy ของอิหร่าน Salehi ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด .,,แปลว่าอิหร่านเอาจริงกับการเจรจาใช่ไหม ไม่งั้นไม่หอบเอาคนป่วยมาด้วยหรอก นาย Zarif บอกกับนักข่าว ข่าวบอกว่า คณะเจรจาโดยเฉพาะอเมริกา ต้องการให้การเจรจาเสร็จต้นเดือนนี้ เพื่อส่งเรื่องให้ฝ่ายรัฐสภาพิจาร ณา ให้เสร็จภายในเวลา 30 วัน ถ้าส่งช้ากว่านั้น สภาปิดไปแล้ว ฝ่ายรัฐสภาจะมีเวลาพิจารณา เพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน แถมมีเวลาในการหว่านล้อมเสียง ฝ่ายที่เห็นต่างกันอีกด้วย... นี่ ก็เหมือนอเมริกาเอาจริงนะ ถูกใจ ก็ให้สภาผ่าน ไม่ถูกใจ สภาก็ไม่ผ่านให้….เล่นไม่ยาก ############### นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” I will walk away …พี่เผ่นก่อนนะน้อง” ตอน 2 ในการประชุมที่โลซานน์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างอิหร่าน กับ กลุ่มที่เรียกว่า P5+1 (อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน + เยอรมัน) เป็นการกำหนด ” กรอบ การดำเนินการ” สำหรับทั้งด้านอเมริกา และอิหร่าน การดำเนินการที่สำคัญ ประการหนึ่งคือ กระบวนการยกเลิก sanction การคว่ำบาตรอิหร่าน คว่ำมานานหลายสิบปี จนนึกวิธีหงายไม่ออกว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แสดงว่าคนช่วยคว่ำคงแยะ และการคว่ำคงมีสาระพัดวิธี คุยกันเรื่องนี้ ตั้งแต่โลซานน์มาถึงเวียนนาว่า จะต้องมีการประกาศ (Declaration) เมื่อตกลงกันได้แล้ว โดยไม่มีการลงนามพันธสัญญา หลังจากนั้น ทุกฝ่ายก็จะให้ UN Security Council (UNSC) เป็นผู้ประทับตรารับรองการประกาศ และก็ออกมติที่จะทำให้การคว่ำบาตร ไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป ส่วนถ้อยคำของตัวมตินี่ ยังเจรจากันอยู่ และเป็นเรื่องที่เสียวไสว่า กว่าจะเจรจาจบ คนเจรจาคงหืดขึ้นคอ หรือเจรจาไม่จบ เพราะพระเอกเล่นร้องเพลงลา... ล่วงหน้า ทุกฝ่าย ยกเว้นรัฐบาลของพณฯใบตองแห้ง ต้องการให้ส่งเรื่องไปที่ UNSC เร็วที่สุด แตอเมริกายังสงวนท่าที ไม่มีคำตอบให้ ผู้เจรจาฝ่ายอิหร่านบอกอย่างชัดเจนระหว่างการเจราว่า อิหร่าน จะเริ่มดำเนินการตามข้อตกลงเกี่ยว กับนิวเคลียร์ทันที รื้อถอนเครื่องแยก รื้อถอนเครื่องปฏิกรณ์ ทำลายสต๊อกแร่ยูเรเนียม รื้อมันหมดทุกอย่าง ฯลฯ ทันที และให้ไอ้เอกับอีเอ IAEA มาตรวจสอบทันที ว่าอิหร่านปฏิบัติตามรายการถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ แต่ทั้งหมดข้างต้น ต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการยกเลิก การคว่ำบาตร โดยอเมริกาและอียู จะต้องลงมือไปพร้อมกันว่า ได้จัดการหงายบาตรของใคร ที่ไหน อย่างไรแล้ว และ ต้องให้ UNSC ประทับตรารับรองการกระทำด้วย มันถึงจะเป็นธรรม จะให้ด้านหนึ่งทุบทิ้ง แต่อีกด้านยืนอมยิ้มกอดอกเฉยได้ไง ที่บรรยายมาทั้งหมดเข้างต้น เป็นเรื่องที่ได้ “ตกลงกันไปแล้ว” ที่โลซานน์ ระหว่างนาย Zarif รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านกับคุณสาวน้อย Federica Mogherini ผู้แทนของอียู…. แต่แล้วก็ข่าวรั่วเกี่ยวกับเรื่องกรอบ สวย ไม่สวยขนาดไหน ใครต้องการให้ชัดเจนอย่างไร อย่างที่เล่าข้างต้น สื่อเข้ามาช่วยปั่น แถมเพิ่มสีให้น่าตื่นเต้น อันที่จริงไม่ต้องเพิ่มก็น่าตื่นเต้นอยู่แล้ว ถ้าคิดให้ลึกๆ ยิ่งคิด โต๊ะเจรจาก็ยิ่งสั่น โดยเฉพาะมีความเห็นแย้งจากมุมมอง ด้านกองทัพ possible military dimensions (PMD) ที่สะท้อนกลับ …. แล้วนี่จะพิสูจน์อย่างไร หากตกลงกันเรียบร้อยว่า ให้อิหร่านพัฒนาอะไรได้บ้าง สิ่งที่อิหร่าน “จะไปพัฒนาต่อ” มันจะกลายเป็นอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ เขาว่าไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ ก็พอนึกออกว่า มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก กว่าจะพิสูจน์ได้ โน่นแนะ ดอกเห็ดงอกขึ้นมาแล้ว ทำนองนั้น…. เฮ้ย… แบบนี้ก็ต้องรีบขยายเวลาเจรจาสินะ ให้จบแบบนี้ไม่ได้… อ้อพอเข้าใจแล้ว แต่ข่าวได้ฟุ้งกระจายเรียบร้อย ไปทั่วสถานที่เจรจา Palais Coburg เวียนนา ว่า ขณะนี้ พณฯใบตองแห้ง ชักลังเลที่จะยกเลิกการคว่ำบาตร…..สงสัยสถานการณ์เปลี่ยน แผนเจรจาเลยอาจต้องเปลี่ยน ตอนนี้คนที่หน้าเครียด เดินเข้าไปจับเข่าคุยทีละข้าง กับเจ้าของเข่าที่ละคน คือ นายKerry รัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ไร้เสน่ห์ในการเจรจาอย่างที่สุดนั่นเอง แล้วมันจะคุยสำเร็จละหรือ อย่าลืมว่า ใน P5+1 มีรัสเซียกับจีน ที่รู้ๆ กันอยู่ว่า จับมือจับไม้เห็นใจอิหร่านมานานแล้ว และนอกจากจับมือแล้ว ดูเหมือนจะส่งหีบห่อไปช่วยเหลืออิหร่านสาระพัด แถมเมื่อเร็วๆนี้ ยังมีข่าวว่า จะรับอิหร่านเป็นสมาชิกก่อต้ัง ไอ้อิบ AIIB สถาบันการเงินที่กำลังหอมกรุ่น ยังไม่ถึงวันเส้นตาย ก็ต้องดื้นกันตายไปก่อน แล้วพณฯ ใบตองแห้ง ก็รีบหยิบบท ….I will walk away ออกมาครวญไปพลางๆ ระหว่างนี้ คุณไร้เสน่ห์ Kerry ก็สั่งเด็กๆ ให้ช่วยกันหาเหตุ ช่วยกันโหมหน่อย…. อิหร่านต่างหาก ที่ ทำท่าจะเบี้ยว เข้า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ก.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 5 – 6

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 5
    ไม่รู้ยังจำกันได้ไหม หลังจากสหภาพโซเวียตถูกทุบจนแหลกละเอียด ตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 อเมริกาและพวก ตีปีกกันใหญ่ ว่ากำจัดขู่แข่งตัวสำคัญไปเรี ยบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปเพียง 15 ปี ส่วนหัวและหัวใจ ของสหภาพโซเวียตคือ รัสเซีย ดันไม่ตายตามต้องการ แถมฟื้นขึ้นมาแบบมาดใหม่ ด้วยการสู้ด้วยท่อส่งแก๊ส ที่รัสเซียวางไปตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นเรื่องที่อเมริกาและพวก คิดไม่ถึง ยิ่งท่อส่งแก๊สของรัสเซียวิ่งตรงมายุโรป และยุโรปกลายเป็นฝ่ายพึ่งแก๊สของรัสเซียถึง 60% อเมริกายิ่งหายใจแรง ด้วยความขัดใจ กระบวนการขัดขารัสเซีย ไปจนถึงแซงช้่นจึงค่อยๆทยอยปล่อยออกมาใส่รัสเซีย
    เดือนธันวาคม ค.ศ.2014 รัสเซีย ประกาศยกเลิกเส้นทางท่อส่งแก๊ส South Sream ของ Gazprom บริษัทผลิตและส่งแก๊สของรัฐบาลรัสเซีย เพราะถูกอียูกั้ก ตามคำสั่งของอเมริกา รัสเซียหวังจะส่งแก๊สให้ชาวยุโรปด้วยเส้นทางใหม่ ที่ไม่ต้องผ่านยูเครน ที่กำลังมีปัญหากันอยู่ แต่ให้ไปโผล่ที่บุลกาเรีย เพิ่มอีกจุด เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างยุโรป และรัสเซีย แต่อเมริกา บีบให้อียูบอกว่า แบบนี้เป็นการรังแกยูเครน แล้วอียู ก็ไปบีบบุลกาเรียอีกต่อ ไม่ให้ตกลงกับรัสเซีย แล้วอียู รัสเซีย ก็เดือดร้อน แต่อเมริกาสบาย ฉลาดฉิบหายเลย
    คุณพี่ปูตินบอก ตามใจ ถ้าคนยุโรปไม่ต้องการ เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ งั้นรัสเซียส่งมาทางตุรกีแทนก็ได้ แทบไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าตุรกีไม่กล้าแหกคอกจากอเมริกา มาต่อท่อกับรัสเซีย ก็อเมริกาเพิ่งสั่งให้ลูกกระเป๋งแซงชั่นรัสเซียอยู่หยกๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง 6 เดือน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2015 นี้เอง ตุรกีกับ Gasprom ก็ยืนประกาศคู่กัน ว่า เส้นท่อส่งแก๊ส Turkish Stream เดินหน้าไปอย่างดียิ่ง และพร้อมจะส่งแก๊สจากรัสเซีย เข้ามาที่สถานีในตุรกีและไปโผล่ตรงเขตแดนตุรกี ที่ติดกับ”กรีซ “ได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ.2016 เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าในยุโรป….. มาแล้ว ฝีมือเดินหมากรุกระดับแชมป์
    ในวันที่รัสเซียตัดสินใจ ไม่เดินหน้าไปทางบุลกาเรีย แต่เปลี่ยนมาเป็นตุรกีนั้น ทันทีที่ตกลงกับตุรกีได้ในต้นเดือนเมษายน ค.ศ.2015 คุณพี่ปูตินยกโทรศัพท์คุยกับคุณน้องอเล็กซิสด้วยตัวเอง หลังจากนั้น สำนักงานท่านประธานาธิบดีของรัสเซียก็ออกข่าวเงียบๆ ว่า รัสเซียพร้อมให้เงินกู้กับกรีซ เพื่อเป็นการตอบแทนที่กรีซเข้าร่วมโครงการ Turkish Stream เข้าไปในอียู …
    แต่เมื่อสื่อเยอรมัน Der Spiegel รายงานข่าวว่า มอสโคว์พร้อมให้เงินกู้กับรัฐบาลกรีซทันที จำนวน 5 พันล้านยูโร ที่ประมาณว่า จะเท่ากับส่วนแบ่งกำไร ที่จะได้จากเชื่อมท่อส่งแก๊ส Turkish Stream แต่เครมลินออกมาปฏิเสธข่าวนี้ ….มันก็ควรปฏิเสธ เรื่องแบบนี้มันต้อง เปิดๆ ปิดๆ ถึงจะน่าตื่นเต้น
    ในขณะที่กรีซและเจ้าหนี้ กำลังเจรจาเครียด เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ถึงเรื่องหนี้ ที่ต้องจ่ายให้แก่ IMF จำนวน 1.6 พันล้านยูโรในวันสิ้นเดือนมิถุนายน นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ยังไม่มีคำตอบให้กับเจ้าหนี้ ว่าเขาจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้หนี้ แต่วันรุ่งขึ้น เขาบินไปร่วมงาน St. Petersburg Economic Forum ที่รัสเซีย อย่างไม่มีอาการเครียด…
    ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัสเซียพยายามไม่ยุ่งกับเรื่องวิกฤติทางการเงินของยุโรป แต่ปัญหาของกรีซ มันอาจจะทำให้รัสเซียเห็นทาง… ที่อาจจะคุ้ม กับค่ายุ่งก็เป็นได้
    และถ้ารัสเซียเห็นว่าคุ้ม แล้วโดดมาเล่นด้วย หนี้กรีซคงไม่ได้เป็นเรื่องวิกฤติทางการเงินเรื้อรัง แต่เปลี่ยนเป็นวิกฤติ ทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองทันที นี่อาจจะเป็น ซึนามิ ที่จะมาหลังแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์
    CFR (Council on Foreign Relations ) หน่วยงานที่เป็นผู้กำกับบทบาทของ รัฐบาลอเมริกัน เริ่มใช้ไมค์ตัวเล็ก นาย Sebastian Mallaby นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส นำร่อง ออกมาให้ความเห็นว่า คุณคงไม่อยากเห็นยุโรปต้องเจรจากับกรีซ ซึ่งเป็นสมาชิกของนาโต้ แต่ปุบปับก็ดันจะไปซบกับรัสเซีย ” You don’t want Europe to have to deal with Greece, who is a member of NATO, all of a sudden cozying up to Russia”
    แม้เป็นแค่ไมค์ตัวเล็ก แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ได้ยินเสียงแบบนี้ ก็ลนลานแล้ว เดิมรัฐบาลเยอรมัน คนเยอรมัน แบงค์เยอรมัน เห็นพ้องกันว่า เยอรมันจะยุติการให้เงินกู้กับกรีซเพิ่มเติม ถ้ากรีซ ยังเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีวินัย มันต้องให้ใส่ทั้งโซ่เหล็ก และเข้มขัดเหล็ก เข้าใจไหม
    เหมือนจะรู้ว่า ป้าเข็มขัดเหล็กกำลังคิดอะไร ไมค์ตัวเล็กจาก CFR เลยแถมท้าย…ป้าก็คงไม่ชอบใช่มั้ย ที่จะให้ปูติน ให้ของขวัญกับกรีซ ถ้ากรีซจะแหกคอก ออกไปจากพวกตะวันตกน่ะ …
    แล้วก็เหมือนกลัว ป้าจะตัดสินใจยาก นายอเล็กซิส ก็เขียนตอบโต้ คำกล่าวของคนเยอรมันที่บอกว่า คนเยอรมันต้องทำงานหนัก เพื่อเอาเงินไปเลี้ยงคนกรีซที่เลิกทำงาน อเล็กซิส เขียนส่งไปลงในหนังสือพิมพ์เยอรมันว่า… ใครที่อ้างว่า คนเยอรมันต้องเสียภาษีเพื่อเอาจ่ายเป็นค่าจ้าง และเงินบำนาญ เป็นคนโกหก…อันนี้ ฮอร์โมนคนหนุ่มพุ่งแรงจริงๆ
    กรีซและเจ้าหนี้ กำลังขยับการเผชิญหน้าใกล้เข้ามา จนแทบจะหายใจใส่หน้ากันอยู่แล้ว แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ทำปากแข็งบอก ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ ฉันยังรอรับฟังข้อเสนอของกรีซอยู่ ว่าแล้วก็หัวร่อร่ากับหนุ่มกรีก ทำเหมือนไม่มีรอยร้าวระหว่างป้า กับหลาน CFR คงไม่แน่ใจว่า ป้าหัวร่อกับหนุ่มกรีก เพราะเครียด หรือ ขากรรไกรค้าง รีบสำทับ อียูต้องจัดการให้ดีนะ ไม่งั้นเรื่องนี้คงจบยาก หรือจบไม่สวย และจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ให้สเปนและปอร์ตุเกส เอาอย่าง
    ไมค์ตัวเล็ก ยี่ห้อ CFR สำทับแบบนี้ อียูคงต้องคิดหนัก
    ###############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 6 (จบ)
    ดูเหมือนกรีซจะมีทางเลือก ขึ้นอยู่กับว่า กรีซคิดอะไร
    ทางเลือกที่หนึ่ง : ถ้าเจ้าหนี้ยินยอมปรับปรุงโครง สร้างหนี้ ในเงื่อนไขตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับได้ และกรีซ ไม่คิดออกจากอียู เรื่องก็คงจบด้วยดี จบแบบ ยังพอรักษาหน้า รักษาไมตรี ต่อกัน
    กรีซก็ได้อย่างที่ต้องการ ได้เอาโซ่ออกจากคอ ส่วนเจ้าหนี้ก็คงขาดโอกาส ที่จะใช้โซ่รัดคอกรีซต่อไป แต่ไม่เป็นไร เชื่อสายอัศวินนักล่าใบตองแห้ง ปลิ้นปล้อนต่อไปได้ว่า เห็นแก่มนุษยธรรม พูดเอาบุญเอาคุณไปได้อีกนาน คนที่จะช้ำหน่อย น่าจะเป็นป้าเข็มขัดเหล็ก เพราะลั่นปากออกสื่อไปแล้ว ว่าจะไม่ให้กู้เพิ่มแล้วถ้าไม่รัดโซ่ให้แน่นกว่านี้ นี่โซ่ก็ถูกตัดแต่ยังต้องอุ้มเขาต่อ ป้าก็คงต้องหุบปากบ้าง ไม่งั้นเรื่องเงินกู้กรีซ รอบแรก ที่แบงค์เยอรมันได้ไปก่อน คราวนี้ รับรองมีคนเอามาแฉใหม่แน่
    แต่มันแสนจะคุ้ม ที่สะกัดทางคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้าอียูผ่านกรีก
    แล้วคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้ามาเดินเล่นแถวกรีซล่ะ คุณพี่เขาก็เปลี่ยนวิธีเดินหมากได้ไหม่แน่นอน แชมป์หมากรุก ยอมมองทางออกทั้งกระดาน จะเดินตาไหนต่อ ก็คอยดูกันไป แต่คิดให้ดี ถ้าไม่มีข่าวคุณพี่ปูตินโทรหาคุณน้องอเล็กซิส รับรอง ทางเลือกที่หนึ่งนี่ ไม่มีทางเกิดขึ้น
    ทางเลือกที่สอง : กรีซเหม็นเบื่ออียูเต็มที ถึงเจ้าหนี้จะตกลง ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่กรีซบอกไม่เอาแล้ว เดี๋ยวให้ เดี๋ยวไม่ให้ เราจบกันแค่นี้ดีกว่า เอะ แล้วกรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ IMF สิ้นเดือนนี้ 1.6 พันล้าน ยูโร อย่านึกว่าคุณพี่ปูตินจะตกลงด้วยง่ายๆ นะครับ ให้ยืมน่ะเรื่องนึง ถ้าคุณพี่ตกปาก แล้วคงไม่เบี้ยว แต่ยืมเอาไปใช้หนี้เต็มราคา ไม่มีลดค่าหน้าตั๋ว ไม่มี ตัดผม haircut ผมเป็นคุณพี่ปูติน ผมไม่ให้ยืมหรอก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าลูกหนี้ล้มละลาย ก็พวกไอ้หมาไนของมันบอกเอง เจ้าหนี้หวังให้ใช้หนี้เต็มร้อย ก็ฝันไปหน่อย
    ตอน ปี ค.ศ.2012 เมื่อเห็นกันชัดๆ เต็มลูกตา ว่าวิธีเอาเงินกู้มาจ่ายเจ้าหนี้ทั้งก้อน วนไปวนมา หนี้กรีซก็ไม่มีวันลด คุณป้าเข็มขัดเหล็ก เลยเสียงเขียวให้เจ้าหนี้เอกชน ลดหนี้ ตัดผม haircut กันบ้าง มีต้ังแต่ ลด 50% ไปถึงลด 80 % เหลือ 20 ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ให้ไปแลกกับตั๋วใหม่ เขาว่า มีกองทุนแร้งลง ซื้อตั๋วใหม่พวกนี้อีกต่อ ราคาถูกลงไปอีก ไปเก็งกำไรอีกต่อ แล้วคิดว่าแบบนี้คุณพี่ปูติน จะจ่ายให้ IMF เต็มร้อยไหม เผลอๆ เรื่อง รัสเซีย จะให้เงินกู้กรีซ เป็นเรื่องสมต้มกัน
    ตกลงวิธีนี้จะไปได้ ก็ต่อเมื่อ IMF ลดหนี้ให้ แล้วถ้า IMF ก็เดาอยู่แล้ว ว่าเงินอาจจะมาจากไหน คิดว่า IMF จะลดหนี้ให้ไหม คุณนายหน้าเค็มไม่ยอมหน้าจืดหรอกครับ ลืมไปได้เลย
    ทางเลือกที่สาม : เหมือนทางเลือกที่สอง แต่ยังไม่ใช้หนี้ IMF เรียกว่า ตัดโซ่คล้องคอของเจ้าหนี้ ตัดเชือกผูกกับ อียู ยอมให้เขาว่าเป็นประเทศล้มละลาย ต้ังหน้าต้ังตา สร้างบ้านเมืองใหม่ แบบนี้ อาจจะมีเจ้าหนี้จูงกันมาให้กู้แบบดอกต่ำ เงื่อนไขไม่โหด แต่กรีซใจถึงไหม ที่จะเล่นบทนี้ บทนี้มันต้องใจถึงกันทั้งประเทศ
    ทางเลือกของกรีซ ก็คงมีเท่านี้
    ส่วนทางเลือกของเจ้าหนี้ มีแค่ 2 ทาง
    ทางเลือกที่หนึ่ง : ก็เหมือนทางเลือกที่หนึ่งของกรีซนั่นแหละ แค่เสียหน้า แต่ระบบแบงค์ยังปลอดภัย ที่สำคัญ ทางภูมิศาสตร์การเมือง ปิดทางเข้าอียูของรัสเซียผ่านกรีซ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แผ่นดินไหวไม่มี ซึนามิการเมืองไม่เกิดขึ้น แต่รายการนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้ข้างเดียว ต้องถามใจกรีซด้วย
    ทางเลือกที่สอง : เจ้าหนี้ไม่ขยับ ไม่ปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ให้ ไม่ผ่อนเวลาให้ ยึดแน่นกับเงื่อนไขโหด แถมจะเพิ่ม ให้โซ่คล้องคอกรีซรัดแน่นกว่าเดิม ทำไมหรือ ก็ยังกินไม่อิ่ม ไม่มีอะไรมาก ยิ่งท่อแก๊สรัสเซียจะมา ยิ่งอร่อย ยึดมาใช้หนี้เสียเลยดีไหม และเชื่อว่ารัสเซียไม่มีปัญญา ที่จะเข้ามาชำระหนี้ก้อนใหญ่ให้กรีซ
    ถ้าเจ้าหนี้เลือกทางนี้ ไม่ต้องวิเคราะห์มากครับ รับรอง มีทั้งแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อก ซึนามิทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองครบถ้วน อาจจะเลยเป็นชนวนสงครามโลกแทนยูเครน ที่นางเหยี่ยวรับหน้าที่มาจุดให้ไอ้นักล่าใบตองแห้งด้วยก็ได้
    ใครมันจะยอมให้หยามหน้า รังแกกันมากขนาดนั้น แล้วกลับบ้านนอนสบาย
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิ.ย. 2558
    หมายเหตุ: เขียนนิทานจบไปแล้ว ต้ังเวลาโพสต์ล่วงหน้า เตรียมเข้านอน เช็คข่าวล่าสุด ทำเอานอนไม่ได้ ต้องกลับมานั่งเขียนต่อ
    ล่าสุด วันที่ 27 มิถุนายน มีข่าวออกมาตอนค่ำบ้านเรา บอกว่า นายกรัฐมนตรีกรีซ พูดว่า เราคงเดินหน้าโดยมีโซ่คล้องคอแบบนี้ไม่ไหว เขาจึงออกทีวี ประกาศว่า เขาจะจัดให้มีการทำประชามติ ในวันที่ 5 กรกฏาคม นี้ ว่า ประะชาชนจะเอายังไง yes หรือ no กับ การกู้เงินต่อไป คำพูดของนายกรัฐมนตรีกรีซ อาจเป็นประโยคประวัติศาสตร์ ที่ต้องจดจำ หรือมีการอ้างถึงต่อไป
    ” กระผมขอให้ท่านตัดสินใจ ด้วยสำนึกในประวัติศาสตร์ แห่งความเป็นประเทศเอกราชและมีศักดิ์ศรีของกรีซ ว่าเราจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องรับการยื่นคำขาด ที่เสมือนเป็นการเหยียดหยามเรา ที่บีบคั้นเราอย่างรุนแรงและไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีแนวทางให้เราเห็นแม้แต่น้อย ว่าเรา จะมีโอกาสยืนด้วยสองเท้าของเราเองได้อีกหรือไม่ ทั้งในด้านสังคมและทางด้านการเงิน
    ประชาชนจะต้องตัดสินใจ โดยปราศจากความกดดัน จากการยื่นคำขาดดังกล่าว”
    “I call uopn you to decide – with sovereignty and dignity as Greek history demands-
    whether we should accept the extortionate ultimatum that calls for strict and humiliating austerity without end, and without the prospect of ever standing on our own two feet, socially and financially.
    The people must decide free of any blackmail..”
    เป็นคำประกาศของคนหนุ่ม ที่ “แรง” เกือบจะเป็นการประกาศสงครามเชียวนะ
    ขณะเดียวกัน ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยนายเจริญ Jeroen Dijsselbloem รัฐมนตรีคลังของดัชท์ ที่เป็นประธานที่ประชุมเจ้าหนี้ เมื่อได้รับถุงมือขาวของหนุ่มกรีก ก็รีบออกข่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีกรีซประกาศเช่นนี้ ก็ น่าจะแปลว่ากรีซ ไม่รับข้อเสนอของฝ่ายเจ้าหนี้ และการเจรจาก็น่าจะสดุดหยุดลง เมื่อไม่มีข้อตกลง กรีก ก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ จำนวน 1.6 พันล้านยูโร ให้กับ IMF ทีจะถึงชำระในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
    ก่อนหน้านั้น เล็กน้อย คุณน้องยานิสของผม ก็แจ้งในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของอียู ว่า กรีซ ขอ เลื่อนกำหนด วันตัดสินประหารขีวิตออกไปสัก 2 สัปดาห์ได้ไหม เพราะ เขาจะทำประชามติ กัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตพวกเขา ให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงตามประชาธิปไตยบ้าง ที่ประชุมอียู ตอบสั้นๆ ว่าไม่ได้ คุณน้องยานิส ก็เก็บของ เดินออกจากห้องประชุม
    ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยรัฐมนตรีคลังของฟินแลนด์ ออกมาบอกว่า ตอนนี้ แปลว่า ต้องเปลี่ยนเอา แผนสำรอง มาเป็นแผนจริงแล้ว
    แปลว่าอะไรครับ ช่วยกลับไปอ่านนิทานข้างต้นอีกที แปลว่า แผ่นดินเริ่มไหว จะขนาดไหน วันจันทร์ก็คงรู้ ที่กุมๆกันไว้ในกระเป๋า ก็คงเริ่มทยอยเอาออกมาใช้กัน แต่เกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ ดูกันต่อครับ จะกินบ้าน กู้เมืองกัน มันไม่ใช่เล่นเกมกด เกมชิงเมืองนี้ อาจลามไปไกล…จะกลายเป็นเกทับบลั้ฟแหลกกันขนาดไหน หรือ ของจริงแอบแจม ได้ทั้งสิ้น
    แต่อย่างน้อย วันนี้ ผมขอคารวะหนุ่มกรีก สำหรับประโยคเดินนำออกจากคอก ที่ คนรักบ้านรักเมือง รักศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ก็ต้องซึ้งใจ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 มิ.ย 58
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 5 ไม่รู้ยังจำกันได้ไหม หลังจากสหภาพโซเวียตถูกทุบจนแหลกละเอียด ตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 อเมริกาและพวก ตีปีกกันใหญ่ ว่ากำจัดขู่แข่งตัวสำคัญไปเรี ยบร้อยแล้ว เวลาผ่านไปเพียง 15 ปี ส่วนหัวและหัวใจ ของสหภาพโซเวียตคือ รัสเซีย ดันไม่ตายตามต้องการ แถมฟื้นขึ้นมาแบบมาดใหม่ ด้วยการสู้ด้วยท่อส่งแก๊ส ที่รัสเซียวางไปตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นเรื่องที่อเมริกาและพวก คิดไม่ถึง ยิ่งท่อส่งแก๊สของรัสเซียวิ่งตรงมายุโรป และยุโรปกลายเป็นฝ่ายพึ่งแก๊สของรัสเซียถึง 60% อเมริกายิ่งหายใจแรง ด้วยความขัดใจ กระบวนการขัดขารัสเซีย ไปจนถึงแซงช้่นจึงค่อยๆทยอยปล่อยออกมาใส่รัสเซีย เดือนธันวาคม ค.ศ.2014 รัสเซีย ประกาศยกเลิกเส้นทางท่อส่งแก๊ส South Sream ของ Gazprom บริษัทผลิตและส่งแก๊สของรัฐบาลรัสเซีย เพราะถูกอียูกั้ก ตามคำสั่งของอเมริกา รัสเซียหวังจะส่งแก๊สให้ชาวยุโรปด้วยเส้นทางใหม่ ที่ไม่ต้องผ่านยูเครน ที่กำลังมีปัญหากันอยู่ แต่ให้ไปโผล่ที่บุลกาเรีย เพิ่มอีกจุด เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างยุโรป และรัสเซีย แต่อเมริกา บีบให้อียูบอกว่า แบบนี้เป็นการรังแกยูเครน แล้วอียู ก็ไปบีบบุลกาเรียอีกต่อ ไม่ให้ตกลงกับรัสเซีย แล้วอียู รัสเซีย ก็เดือดร้อน แต่อเมริกาสบาย ฉลาดฉิบหายเลย คุณพี่ปูตินบอก ตามใจ ถ้าคนยุโรปไม่ต้องการ เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ งั้นรัสเซียส่งมาทางตุรกีแทนก็ได้ แทบไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าตุรกีไม่กล้าแหกคอกจากอเมริกา มาต่อท่อกับรัสเซีย ก็อเมริกาเพิ่งสั่งให้ลูกกระเป๋งแซงชั่นรัสเซียอยู่หยกๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง 6 เดือน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2015 นี้เอง ตุรกีกับ Gasprom ก็ยืนประกาศคู่กัน ว่า เส้นท่อส่งแก๊ส Turkish Stream เดินหน้าไปอย่างดียิ่ง และพร้อมจะส่งแก๊สจากรัสเซีย เข้ามาที่สถานีในตุรกีและไปโผล่ตรงเขตแดนตุรกี ที่ติดกับ”กรีซ “ได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ.2016 เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าในยุโรป….. มาแล้ว ฝีมือเดินหมากรุกระดับแชมป์ ในวันที่รัสเซียตัดสินใจ ไม่เดินหน้าไปทางบุลกาเรีย แต่เปลี่ยนมาเป็นตุรกีนั้น ทันทีที่ตกลงกับตุรกีได้ในต้นเดือนเมษายน ค.ศ.2015 คุณพี่ปูตินยกโทรศัพท์คุยกับคุณน้องอเล็กซิสด้วยตัวเอง หลังจากนั้น สำนักงานท่านประธานาธิบดีของรัสเซียก็ออกข่าวเงียบๆ ว่า รัสเซียพร้อมให้เงินกู้กับกรีซ เพื่อเป็นการตอบแทนที่กรีซเข้าร่วมโครงการ Turkish Stream เข้าไปในอียู … แต่เมื่อสื่อเยอรมัน Der Spiegel รายงานข่าวว่า มอสโคว์พร้อมให้เงินกู้กับรัฐบาลกรีซทันที จำนวน 5 พันล้านยูโร ที่ประมาณว่า จะเท่ากับส่วนแบ่งกำไร ที่จะได้จากเชื่อมท่อส่งแก๊ส Turkish Stream แต่เครมลินออกมาปฏิเสธข่าวนี้ ….มันก็ควรปฏิเสธ เรื่องแบบนี้มันต้อง เปิดๆ ปิดๆ ถึงจะน่าตื่นเต้น ในขณะที่กรีซและเจ้าหนี้ กำลังเจรจาเครียด เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง ถึงเรื่องหนี้ ที่ต้องจ่ายให้แก่ IMF จำนวน 1.6 พันล้านยูโรในวันสิ้นเดือนมิถุนายน นายกรัฐมนตรี อเล็กซิส ยังไม่มีคำตอบให้กับเจ้าหนี้ ว่าเขาจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้หนี้ แต่วันรุ่งขึ้น เขาบินไปร่วมงาน St. Petersburg Economic Forum ที่รัสเซีย อย่างไม่มีอาการเครียด… ตลอดเวลาที่ผ่านมา รัสเซียพยายามไม่ยุ่งกับเรื่องวิกฤติทางการเงินของยุโรป แต่ปัญหาของกรีซ มันอาจจะทำให้รัสเซียเห็นทาง… ที่อาจจะคุ้ม กับค่ายุ่งก็เป็นได้ และถ้ารัสเซียเห็นว่าคุ้ม แล้วโดดมาเล่นด้วย หนี้กรีซคงไม่ได้เป็นเรื่องวิกฤติทางการเงินเรื้อรัง แต่เปลี่ยนเป็นวิกฤติ ทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองทันที นี่อาจจะเป็น ซึนามิ ที่จะมาหลังแผ่นดินไหวระดับ 8 ริกเตอร์ CFR (Council on Foreign Relations ) หน่วยงานที่เป็นผู้กำกับบทบาทของ รัฐบาลอเมริกัน เริ่มใช้ไมค์ตัวเล็ก นาย Sebastian Mallaby นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส นำร่อง ออกมาให้ความเห็นว่า คุณคงไม่อยากเห็นยุโรปต้องเจรจากับกรีซ ซึ่งเป็นสมาชิกของนาโต้ แต่ปุบปับก็ดันจะไปซบกับรัสเซีย ” You don’t want Europe to have to deal with Greece, who is a member of NATO, all of a sudden cozying up to Russia” แม้เป็นแค่ไมค์ตัวเล็ก แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ได้ยินเสียงแบบนี้ ก็ลนลานแล้ว เดิมรัฐบาลเยอรมัน คนเยอรมัน แบงค์เยอรมัน เห็นพ้องกันว่า เยอรมันจะยุติการให้เงินกู้กับกรีซเพิ่มเติม ถ้ากรีซ ยังเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีวินัย มันต้องให้ใส่ทั้งโซ่เหล็ก และเข้มขัดเหล็ก เข้าใจไหม เหมือนจะรู้ว่า ป้าเข็มขัดเหล็กกำลังคิดอะไร ไมค์ตัวเล็กจาก CFR เลยแถมท้าย…ป้าก็คงไม่ชอบใช่มั้ย ที่จะให้ปูติน ให้ของขวัญกับกรีซ ถ้ากรีซจะแหกคอก ออกไปจากพวกตะวันตกน่ะ … แล้วก็เหมือนกลัว ป้าจะตัดสินใจยาก นายอเล็กซิส ก็เขียนตอบโต้ คำกล่าวของคนเยอรมันที่บอกว่า คนเยอรมันต้องทำงานหนัก เพื่อเอาเงินไปเลี้ยงคนกรีซที่เลิกทำงาน อเล็กซิส เขียนส่งไปลงในหนังสือพิมพ์เยอรมันว่า… ใครที่อ้างว่า คนเยอรมันต้องเสียภาษีเพื่อเอาจ่ายเป็นค่าจ้าง และเงินบำนาญ เป็นคนโกหก…อันนี้ ฮอร์โมนคนหนุ่มพุ่งแรงจริงๆ กรีซและเจ้าหนี้ กำลังขยับการเผชิญหน้าใกล้เข้ามา จนแทบจะหายใจใส่หน้ากันอยู่แล้ว แต่ป้าเข็มขัดเหล็ก ทำปากแข็งบอก ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ ฉันยังรอรับฟังข้อเสนอของกรีซอยู่ ว่าแล้วก็หัวร่อร่ากับหนุ่มกรีก ทำเหมือนไม่มีรอยร้าวระหว่างป้า กับหลาน CFR คงไม่แน่ใจว่า ป้าหัวร่อกับหนุ่มกรีก เพราะเครียด หรือ ขากรรไกรค้าง รีบสำทับ อียูต้องจัดการให้ดีนะ ไม่งั้นเรื่องนี้คงจบยาก หรือจบไม่สวย และจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ให้สเปนและปอร์ตุเกส เอาอย่าง ไมค์ตัวเล็ก ยี่ห้อ CFR สำทับแบบนี้ อียูคงต้องคิดหนัก ############### “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 6 (จบ) ดูเหมือนกรีซจะมีทางเลือก ขึ้นอยู่กับว่า กรีซคิดอะไร ทางเลือกที่หนึ่ง : ถ้าเจ้าหนี้ยินยอมปรับปรุงโครง สร้างหนี้ ในเงื่อนไขตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับได้ และกรีซ ไม่คิดออกจากอียู เรื่องก็คงจบด้วยดี จบแบบ ยังพอรักษาหน้า รักษาไมตรี ต่อกัน กรีซก็ได้อย่างที่ต้องการ ได้เอาโซ่ออกจากคอ ส่วนเจ้าหนี้ก็คงขาดโอกาส ที่จะใช้โซ่รัดคอกรีซต่อไป แต่ไม่เป็นไร เชื่อสายอัศวินนักล่าใบตองแห้ง ปลิ้นปล้อนต่อไปได้ว่า เห็นแก่มนุษยธรรม พูดเอาบุญเอาคุณไปได้อีกนาน คนที่จะช้ำหน่อย น่าจะเป็นป้าเข็มขัดเหล็ก เพราะลั่นปากออกสื่อไปแล้ว ว่าจะไม่ให้กู้เพิ่มแล้วถ้าไม่รัดโซ่ให้แน่นกว่านี้ นี่โซ่ก็ถูกตัดแต่ยังต้องอุ้มเขาต่อ ป้าก็คงต้องหุบปากบ้าง ไม่งั้นเรื่องเงินกู้กรีซ รอบแรก ที่แบงค์เยอรมันได้ไปก่อน คราวนี้ รับรองมีคนเอามาแฉใหม่แน่ แต่มันแสนจะคุ้ม ที่สะกัดทางคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้าอียูผ่านกรีก แล้วคุณพี่ปูติน ที่คิดจะเข้ามาเดินเล่นแถวกรีซล่ะ คุณพี่เขาก็เปลี่ยนวิธีเดินหมากได้ไหม่แน่นอน แชมป์หมากรุก ยอมมองทางออกทั้งกระดาน จะเดินตาไหนต่อ ก็คอยดูกันไป แต่คิดให้ดี ถ้าไม่มีข่าวคุณพี่ปูตินโทรหาคุณน้องอเล็กซิส รับรอง ทางเลือกที่หนึ่งนี่ ไม่มีทางเกิดขึ้น ทางเลือกที่สอง : กรีซเหม็นเบื่ออียูเต็มที ถึงเจ้าหนี้จะตกลง ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่กรีซบอกไม่เอาแล้ว เดี๋ยวให้ เดี๋ยวไม่ให้ เราจบกันแค่นี้ดีกว่า เอะ แล้วกรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ IMF สิ้นเดือนนี้ 1.6 พันล้าน ยูโร อย่านึกว่าคุณพี่ปูตินจะตกลงด้วยง่ายๆ นะครับ ให้ยืมน่ะเรื่องนึง ถ้าคุณพี่ตกปาก แล้วคงไม่เบี้ยว แต่ยืมเอาไปใช้หนี้เต็มราคา ไม่มีลดค่าหน้าตั๋ว ไม่มี ตัดผม haircut ผมเป็นคุณพี่ปูติน ผมไม่ให้ยืมหรอก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าลูกหนี้ล้มละลาย ก็พวกไอ้หมาไนของมันบอกเอง เจ้าหนี้หวังให้ใช้หนี้เต็มร้อย ก็ฝันไปหน่อย ตอน ปี ค.ศ.2012 เมื่อเห็นกันชัดๆ เต็มลูกตา ว่าวิธีเอาเงินกู้มาจ่ายเจ้าหนี้ทั้งก้อน วนไปวนมา หนี้กรีซก็ไม่มีวันลด คุณป้าเข็มขัดเหล็ก เลยเสียงเขียวให้เจ้าหนี้เอกชน ลดหนี้ ตัดผม haircut กันบ้าง มีต้ังแต่ ลด 50% ไปถึงลด 80 % เหลือ 20 ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ให้ไปแลกกับตั๋วใหม่ เขาว่า มีกองทุนแร้งลง ซื้อตั๋วใหม่พวกนี้อีกต่อ ราคาถูกลงไปอีก ไปเก็งกำไรอีกต่อ แล้วคิดว่าแบบนี้คุณพี่ปูติน จะจ่ายให้ IMF เต็มร้อยไหม เผลอๆ เรื่อง รัสเซีย จะให้เงินกู้กรีซ เป็นเรื่องสมต้มกัน ตกลงวิธีนี้จะไปได้ ก็ต่อเมื่อ IMF ลดหนี้ให้ แล้วถ้า IMF ก็เดาอยู่แล้ว ว่าเงินอาจจะมาจากไหน คิดว่า IMF จะลดหนี้ให้ไหม คุณนายหน้าเค็มไม่ยอมหน้าจืดหรอกครับ ลืมไปได้เลย ทางเลือกที่สาม : เหมือนทางเลือกที่สอง แต่ยังไม่ใช้หนี้ IMF เรียกว่า ตัดโซ่คล้องคอของเจ้าหนี้ ตัดเชือกผูกกับ อียู ยอมให้เขาว่าเป็นประเทศล้มละลาย ต้ังหน้าต้ังตา สร้างบ้านเมืองใหม่ แบบนี้ อาจจะมีเจ้าหนี้จูงกันมาให้กู้แบบดอกต่ำ เงื่อนไขไม่โหด แต่กรีซใจถึงไหม ที่จะเล่นบทนี้ บทนี้มันต้องใจถึงกันทั้งประเทศ ทางเลือกของกรีซ ก็คงมีเท่านี้ ส่วนทางเลือกของเจ้าหนี้ มีแค่ 2 ทาง ทางเลือกที่หนึ่ง : ก็เหมือนทางเลือกที่หนึ่งของกรีซนั่นแหละ แค่เสียหน้า แต่ระบบแบงค์ยังปลอดภัย ที่สำคัญ ทางภูมิศาสตร์การเมือง ปิดทางเข้าอียูของรัสเซียผ่านกรีซ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แผ่นดินไหวไม่มี ซึนามิการเมืองไม่เกิดขึ้น แต่รายการนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้ข้างเดียว ต้องถามใจกรีซด้วย ทางเลือกที่สอง : เจ้าหนี้ไม่ขยับ ไม่ปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ให้ ไม่ผ่อนเวลาให้ ยึดแน่นกับเงื่อนไขโหด แถมจะเพิ่ม ให้โซ่คล้องคอกรีซรัดแน่นกว่าเดิม ทำไมหรือ ก็ยังกินไม่อิ่ม ไม่มีอะไรมาก ยิ่งท่อแก๊สรัสเซียจะมา ยิ่งอร่อย ยึดมาใช้หนี้เสียเลยดีไหม และเชื่อว่ารัสเซียไม่มีปัญญา ที่จะเข้ามาชำระหนี้ก้อนใหญ่ให้กรีซ ถ้าเจ้าหนี้เลือกทางนี้ ไม่ต้องวิเคราะห์มากครับ รับรอง มีทั้งแผ่นดินไหว อาฟเตอร์ช็อก ซึนามิทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมืองครบถ้วน อาจจะเลยเป็นชนวนสงครามโลกแทนยูเครน ที่นางเหยี่ยวรับหน้าที่มาจุดให้ไอ้นักล่าใบตองแห้งด้วยก็ได้ ใครมันจะยอมให้หยามหน้า รังแกกันมากขนาดนั้น แล้วกลับบ้านนอนสบาย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิ.ย. 2558 หมายเหตุ: เขียนนิทานจบไปแล้ว ต้ังเวลาโพสต์ล่วงหน้า เตรียมเข้านอน เช็คข่าวล่าสุด ทำเอานอนไม่ได้ ต้องกลับมานั่งเขียนต่อ ล่าสุด วันที่ 27 มิถุนายน มีข่าวออกมาตอนค่ำบ้านเรา บอกว่า นายกรัฐมนตรีกรีซ พูดว่า เราคงเดินหน้าโดยมีโซ่คล้องคอแบบนี้ไม่ไหว เขาจึงออกทีวี ประกาศว่า เขาจะจัดให้มีการทำประชามติ ในวันที่ 5 กรกฏาคม นี้ ว่า ประะชาชนจะเอายังไง yes หรือ no กับ การกู้เงินต่อไป คำพูดของนายกรัฐมนตรีกรีซ อาจเป็นประโยคประวัติศาสตร์ ที่ต้องจดจำ หรือมีการอ้างถึงต่อไป ” กระผมขอให้ท่านตัดสินใจ ด้วยสำนึกในประวัติศาสตร์ แห่งความเป็นประเทศเอกราชและมีศักดิ์ศรีของกรีซ ว่าเราจำเป็นหรือไม่ ที่ต้องรับการยื่นคำขาด ที่เสมือนเป็นการเหยียดหยามเรา ที่บีบคั้นเราอย่างรุนแรงและไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีแนวทางให้เราเห็นแม้แต่น้อย ว่าเรา จะมีโอกาสยืนด้วยสองเท้าของเราเองได้อีกหรือไม่ ทั้งในด้านสังคมและทางด้านการเงิน ประชาชนจะต้องตัดสินใจ โดยปราศจากความกดดัน จากการยื่นคำขาดดังกล่าว” “I call uopn you to decide – with sovereignty and dignity as Greek history demands- whether we should accept the extortionate ultimatum that calls for strict and humiliating austerity without end, and without the prospect of ever standing on our own two feet, socially and financially. The people must decide free of any blackmail..” เป็นคำประกาศของคนหนุ่ม ที่ “แรง” เกือบจะเป็นการประกาศสงครามเชียวนะ ขณะเดียวกัน ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยนายเจริญ Jeroen Dijsselbloem รัฐมนตรีคลังของดัชท์ ที่เป็นประธานที่ประชุมเจ้าหนี้ เมื่อได้รับถุงมือขาวของหนุ่มกรีก ก็รีบออกข่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีกรีซประกาศเช่นนี้ ก็ น่าจะแปลว่ากรีซ ไม่รับข้อเสนอของฝ่ายเจ้าหนี้ และการเจรจาก็น่าจะสดุดหยุดลง เมื่อไม่มีข้อตกลง กรีก ก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ จำนวน 1.6 พันล้านยูโร ให้กับ IMF ทีจะถึงชำระในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ก่อนหน้านั้น เล็กน้อย คุณน้องยานิสของผม ก็แจ้งในที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของอียู ว่า กรีซ ขอ เลื่อนกำหนด วันตัดสินประหารขีวิตออกไปสัก 2 สัปดาห์ได้ไหม เพราะ เขาจะทำประชามติ กัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตพวกเขา ให้พวกเขามีสิทธิมีเสียงตามประชาธิปไตยบ้าง ที่ประชุมอียู ตอบสั้นๆ ว่าไม่ได้ คุณน้องยานิส ก็เก็บของ เดินออกจากห้องประชุม ฝ่ายเจ้าหนี้ โดยรัฐมนตรีคลังของฟินแลนด์ ออกมาบอกว่า ตอนนี้ แปลว่า ต้องเปลี่ยนเอา แผนสำรอง มาเป็นแผนจริงแล้ว แปลว่าอะไรครับ ช่วยกลับไปอ่านนิทานข้างต้นอีกที แปลว่า แผ่นดินเริ่มไหว จะขนาดไหน วันจันทร์ก็คงรู้ ที่กุมๆกันไว้ในกระเป๋า ก็คงเริ่มทยอยเอาออกมาใช้กัน แต่เกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ ดูกันต่อครับ จะกินบ้าน กู้เมืองกัน มันไม่ใช่เล่นเกมกด เกมชิงเมืองนี้ อาจลามไปไกล…จะกลายเป็นเกทับบลั้ฟแหลกกันขนาดไหน หรือ ของจริงแอบแจม ได้ทั้งสิ้น แต่อย่างน้อย วันนี้ ผมขอคารวะหนุ่มกรีก สำหรับประโยคเดินนำออกจากคอก ที่ คนรักบ้านรักเมือง รักศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ก็ต้องซึ้งใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 มิ.ย 58
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก”
    ตอน 3
    เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…”
    ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย
    นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย)
    นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน
    แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย
    จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ
    ###############
    ตอน 4 (จบ)

    พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว…
    นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน
    ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย
    นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า
    นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง
    ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ
    เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง
    อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย
    ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง
    สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา
    อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย)
    นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics
    ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว
    เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ
    และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน
    แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 มิ.ย. 2558
    เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก” ตอน 3 เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…” ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย) นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ ############### ตอน 4 (จบ) พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว… นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย) นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 362 Views 0 Reviews
  • Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 15 ปี

    Canonical ผู้พัฒนา Ubuntu ได้เปิดตัวการขยายระยะเวลาการสนับสนุนใหม่สำหรับ Ubuntu Long-Term Support (LTS) โดยเพิ่มการดูแลความปลอดภัยและการบำรุงรักษาเป็น 15 ปีเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับระบบปฏิบัติการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีทั่วโลก

    ก่อนหน้านี้ Ubuntu LTS มีการสนับสนุนมาตรฐาน 5 ปี และสามารถขยายได้อีก 5 ปีผ่านบริการ Expanded Security Maintenance (ESM) รวมเป็น 10 ปี แต่ในปี 2024 Canonical ได้เปิดตัว Legacy add-on ที่เพิ่มการสนับสนุนอีก 2 ปี รวมเป็น 12 ปี และล่าสุดได้ขยายเพิ่มอีก 3 ปี ทำให้รวมทั้งหมดเป็น 15 ปี

    การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นกับ Ubuntu 14.04 LTS ซึ่งจะได้รับการดูแลต่อเนื่องจนถึง เมษายน 2029 โดยองค์กรที่ต้องการใช้ Legacy add-on จะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้น 50% จาก Ubuntu Pro ปกติ และสามารถติดต่อทีมขายของ Canonical เพื่อเปิดใช้งานได้

    นโยบายใหม่นี้สะท้อนถึงความต้องการขององค์กรที่ใช้ระบบระยะยาว เช่น ภาคการเงิน, การผลิต, และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ที่ไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้บ่อย การสนับสนุน 15 ปีจึงช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนในการอัปเกรดระบบบ่อยครั้ง พร้อมสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพของแพลตฟอร์ม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุน 15 ปี
    5 ปีมาตรฐาน + 5 ปี ESM + 5 ปี Legacy add-on
    เริ่มใช้กับ Ubuntu 14.04 LTS และรุ่นถัดไปทั้งหมด

    รายละเอียดการใช้งาน Legacy add-on
    มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 50% จาก Ubuntu Pro
    ต้องติดต่อทีมขายหรือ Account Manager ของ Canonical

    ผลกระทบต่อองค์กร
    ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนระบบบ่อย
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาว เช่น ภาคการเงินและพลังงาน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    หากไม่ต่ออายุ Legacy add-on ระบบจะหมดการสนับสนุนหลัง 10 ปี
    การละเลยการอัปเดตอาจทำให้เสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบที่ยังใช้งานอยู่

    https://itsfoss.com/news/ubuntu-15-year-support-commitment/
    🐧 Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 15 ปี Canonical ผู้พัฒนา Ubuntu ได้เปิดตัวการขยายระยะเวลาการสนับสนุนใหม่สำหรับ Ubuntu Long-Term Support (LTS) โดยเพิ่มการดูแลความปลอดภัยและการบำรุงรักษาเป็น 15 ปีเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับระบบปฏิบัติการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีทั่วโลก ก่อนหน้านี้ Ubuntu LTS มีการสนับสนุนมาตรฐาน 5 ปี และสามารถขยายได้อีก 5 ปีผ่านบริการ Expanded Security Maintenance (ESM) รวมเป็น 10 ปี แต่ในปี 2024 Canonical ได้เปิดตัว Legacy add-on ที่เพิ่มการสนับสนุนอีก 2 ปี รวมเป็น 12 ปี และล่าสุดได้ขยายเพิ่มอีก 3 ปี ทำให้รวมทั้งหมดเป็น 15 ปี การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มต้นกับ Ubuntu 14.04 LTS ซึ่งจะได้รับการดูแลต่อเนื่องจนถึง เมษายน 2029 โดยองค์กรที่ต้องการใช้ Legacy add-on จะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้น 50% จาก Ubuntu Pro ปกติ และสามารถติดต่อทีมขายของ Canonical เพื่อเปิดใช้งานได้ นโยบายใหม่นี้สะท้อนถึงความต้องการขององค์กรที่ใช้ระบบระยะยาว เช่น ภาคการเงิน, การผลิต, และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ที่ไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้บ่อย การสนับสนุน 15 ปีจึงช่วยลดความเสี่ยงและต้นทุนในการอัปเกรดระบบบ่อยครั้ง พร้อมสร้างความมั่นใจในเสถียรภาพของแพลตฟอร์ม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Ubuntu LTS ได้รับการสนับสนุน 15 ปี ➡️ 5 ปีมาตรฐาน + 5 ปี ESM + 5 ปี Legacy add-on ➡️ เริ่มใช้กับ Ubuntu 14.04 LTS และรุ่นถัดไปทั้งหมด ✅ รายละเอียดการใช้งาน Legacy add-on ➡️ มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 50% จาก Ubuntu Pro ➡️ ต้องติดต่อทีมขายหรือ Account Manager ของ Canonical ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนระบบบ่อย ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเสถียรภาพระยะยาว เช่น ภาคการเงินและพลังงาน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ หากไม่ต่ออายุ Legacy add-on ระบบจะหมดการสนับสนุนหลัง 10 ปี ⛔ การละเลยการอัปเดตอาจทำให้เสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบที่ยังใช้งานอยู่ https://itsfoss.com/news/ubuntu-15-year-support-commitment/
    ITSFOSS.COM
    Ubuntu's New 15-Year Commitment Targets Long-Lived Enterprise Systems
    Legacy add-on extended to five years, starting with Ubuntu 14.04 LTS.
    0 Comments 0 Shares 146 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (5)

    นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน

    พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้

    – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft
    – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ
    – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC
    – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย
    – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ
    – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง
    – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว
    – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย
    – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น
    – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์

    นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย

    พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ

    Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์

    ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร

    มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co
    Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง

    แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม

    ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้:

    ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง”
    ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา

    ####################
    “ฤทธิ์ยิว”

    (6)

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่

    แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ
    อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone

    แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่

    วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง …

    อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป

    แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (5) นี่เล่ามา เป็นการเจริญเติบโตของอิทธิพลยิว ก่อนอเมริกาจะมีประธานาธิบดี ชื่อ Woodlow Wilson ที่ได้รับสมญาว่า “สุดยอดตัวสำรอง” รองจากประธานาธิบดี Franklin D Roosevelt ที่ได้รับขนานนามว่า “เป็นสุดยอดขวัญใจ” ของอเมริกันยิว Wilson นั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาใกล้ชิดกับพวกยิว และรัฐบาลของเขาอยู่ในมือพวกยิว Wilson รู้สึกจะเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนแรก ที่ยิวให้การสนับสนุนเต็มที่ ดันเต็มหลัง ทั้งด้านการเงิน และการอื่น นับเป็นม้าแข่ง ที่พวกยิวบอกว่า นำถ้วยรางวัลมาให้พวกเขาอย่างคุ้มการลงทุน พวกยิวมีจำนวนไม่กี่หยิบมือ แต่ไม่กี่หยิบมือนี้ ได้หยิบชิ้นปลามัน สร้างฐานอำนาจในปี 1912 เรียบร้อย Herzl อายุสั้น เลยไม่ได้นั่งบัลลังก์ใด แต่ผู้ที่เดินตามเจตนารมย์ของเขาดูเหมือนจะดำเนินการไม่พลาดเป้าหมาย ที่ Herzl กำหนดไว้ – Oscar Straus ยิวเยอรมัน เป็นยิวคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในอเมริกา เขาได้ในสมัยประธานาธิบดี Roosevelt และต่อมาได้ไปเป็นทูต ประจำออตโตมาน ในสมัยของ Taft – Jacob Schiff หัวหน้าใหญ่ ของบริษัทการเงิน Kuhn, Loeb รายนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ – Louis Marshall ไซออนนิสต์ ผู้ก่อตั้ง AJC – พี่น้องตระกูล Warburg: Paul, Felix และ Max ตระกูลนี้ก็คงไม่ต้องบรรยาย – Henry Morgenthau, Sr. ทนายความ พ่อของ Henry ซึ่งต่อมามีอิทธิพลมากกว่าพ่อ – Louis Brandeis ทนายความ ไซออนนิสต์ชนิดเข้ม ซึ่งต่อมามีอิทธิพลสูงยิ่ง – Samuel Untermyer ทนายความเขี้ยวยาว – Bernard Baruch นักการเงินจาก วอลสตรีท สุดยอดนักชักใย – Stephen Wise นักบวชยิวออสเตรียนและ ไซออนนิสต์อย่างเข้มข้น – Richard Gottheil นักบวชยิวอังกฤษ และ ไซออนนิสต์ นี่เป็นตาข่ายยิวตัวสำคัญ เฉพาะฝั่งอเมริกาเท่านั้น ยังมีทางฝั่งอังกฤษ และยุโรปที่ทำงานกันเป็นเครือข่ายอีกไม่น้อย พวกที่ใช้อำนาจอันร้ายกาจของก ระเป๋าเงิน รายใหญ่ที่สำแดงเดชช่วย Wilson คือ Henry Morgenthau, Jacob Schiff, Samuel Untermyer และหน้าใหม่แต่มาแรง คือ Bernard Baruch ส่วนบทบาทของ Warburg นั้นน่าสนใจ เขาน่าจะเป็นมันสมองให้ยิว ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมัน และ Federal Reserve System ของอเมริกา เป็นผลงานของ Paul Warburg ล้วนๆ Morgenthau สนับสนุน ม้าชื่อ Wilson ตั้งแต่ Wilson ยังเป็นผู้ว่าการนิวเจอร์ซี เขาจ่ายเงินดูแล Wilson เป็นรายเดือน เป็นที่รู้กันว่า Morgenthau สนับสนุน Wilson แบบไม่มีอั้น และเมื่อ Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี 1912 เขาก็ตอบแทน Morgenthau แบบไม่อั้นเช่นเดียวกัน Morgenthau ได้ไปเป็นทูตอเมริกา ประจำที่ออตโตมานตามคาด เพื่อดูแลปาเลสไตน์ ส่วน Louise Brandis ได้รับเสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูง เป็นยิวคนแรกในวงการยุติธรรม เขาเป็นอยู่ 23 ปีและมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง แต่ที่มาของการได้ตำแหน่งของเขา ค่อนข้างพิเศษกว่าใคร มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อ Wilson ได้นั่งเก้าอี้ตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 1914 ไม่กี่วัน เขามียิวรุ่นใหญ่ ที่อยู่ในกลุ่มเจ้าของกระเป๋าที่ สนับสนุน Wilson มาขอพบ คือ Samuel Untermeyer ซึ่งเป็นทนาย ของสำนักงาน Guggemheim, Untermeyer & Marshall ที่ดูแลด้านกฏหมายให้แก่ Kuhn, Loeb & Co Untermeyer บอกกับ Wilson ว่า เขามีลูกความที่เป็นภรรยา ของอาจารย์ ที่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Princton ช่วงเดียวกับที่ Wilson สอน และลูกความของเขาขอให้แจ้งกับ Wilson ว่า เธอยินดีที่จะรับเงิน 40,000 เหรียญ แทนการฟ้องร้อง Wilson เรื่องการผิดสัญญา แล้ว Untermeyer ก็ควักจดหมายมัดใหญ่ ยื่นให้ Wilson มันเป็นจดหมายที่ Wilson เขียนถึงเมียของเพื่อนร่วมงาน Wilson จำลายมือตัวเองได้ แต่เขาบอกว่า เขาไม่มีเงิน 40,000 เหรียญที่จะจ่ายให้กับคนที่แบล๊กเมล์เขา Untermeyer บอกไม่เป็นไรหรอก ท่านประธานาธิบดี เรื่องเงินจำนวนนี้ ผมจะเป็นคนจัดการแทนท่านเอง แต่ผมขอให้ท่านรับปากว่า เมื่อมีตำแหน่งในศาลสูงว่างเมื่อ ไหร่ ขอให้แต่งตั้ง ไซออนนิสต์ ยิวเคร่ง ชื่อ Louise Dembitz Brandeis ก็แล้วกัน Wilson ก็รับปาก หลังจากนั้น ไม่ถึงปี วันที่ 5 มิถุนายน 1915 Louise Brandeis ก็ได้รับเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลสูง แต่คนที่ได้ตำแหน่ง และมีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ Bernard Baruch ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 Baruch โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ อยู่ดีๆ ก็หยิบชิ้นปลามัน ในปี คศ 1915 อังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว แต่อเมริกายังเป็นกลาง Baruch เตือนให้อเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับเข้าสงคราม เขาหงุดหงิดว่า อเมริกาไม่เตรียมอะไรเลย เขาเชื่อว่าอเมริกาต้องถูกลากเข้าไปทำสงครามแน่นอน และจะมาเร็วกว่าที่คิด และคงเป็นเรื่องของนางฟ้าเศก Baruch ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า สภากลาโหม Council of National Defense ในต้นปี คศ 1916 เขาเข้าไปควบคุม หน่วยงานน่าสนใจคือ คณกรรมการสำหรับกิจการสงคราม War Industries Board (WIB) ซึ่งในเวลาสงคราม หน่วยงานนี้จะมีอำนาจล้นฟ้า และ Baruch คนเดียวโดดๆ เป็นคนคุม และกุมแน่นหน่วยงานนี้ตลอดช่วงเวลาสงคราม ในคำให้การของ Baruch ต่อวุฒิสมาชิก Albert Jefferies เขาสรุป บทบาทของเขาดังนี้: ” ผมเป็นคนดูแลตัดสินใจ ว่า จะให้ใคร หน่วยงานไหน ได้อะไร การตัดสินใจอยู่ที่ผม ท่านประธานาธิบดี มอบหมายให้ผมเป็นคนตัดสินใจ ว่า กองทัพบก หรือ กองทัพเรือ ควรจะได้อะไร หรือ การรถไฟ ควรมีอะไร หรือ ฝ่ายสัมพันธมิตร หรือ ท่านนายพล Allenby ควรมีรถไฟหรือไม่ หรือควรเอาไปใช้ที่รัสเซีย หรือใช้ที่ฝรั่งเศส ใช่ ผมมีอำนาจมาก ผมอาจมีอำนาจมากกว่าที่ใครๆเคยมีในสงคราม มันน่าสงสัย แต่มันเป็นเรื่องจริง” ก็น่าสงสัยจริงอยู่หรอก ว่า คนหนุ่มชาวยิว ที่ไม่เคยได้ลงเลือกตั้งอะไรเลย ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองแม้แต่น้อย แต่ในยามวิกฤติ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในรัฐบาล รองมาจากประธานาธิบดี บทบาทของเขาตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่าใหญ่แล้ว แต่นั่นมันเป็นแค่การซ้อมใหญ่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Franklin D Roosevelt เป็นประธานาธิบดี Baruch ในฐานะ หัวหน้า สำนักงาน War Mobilization ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่า และในฐานะที่เขาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลอด Winston Churchill ของอังกฤษด้วย “Barney” ก็กลายเป็นชื่อ ที่ใครๆ ก็ต้องเรียกหา #################### “ฤทธิ์ยิว” (6) สงครามโลกครั้งที่ 1 ตีระฆังเริ่ม ในเดือนสิงหาคม 1914 เมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลผ่านเข้าไปในเขตแดนของเบลเยี่ยม ที่ประกาศตัวเป็นกลาง โดยมีเป้าหมายปลายทางคือฝรั่งเศส หลังจากนั้นหลายประเทศก็ทยอยกันเข้าสู่สงคราม ถึงปลายปี 1914 ประมาณ 10 ประเทศ ก็อยู่ในสภาวะสงคราม แต่อเมริกา ยังใช้ยโนบายเป็นกลางอยู่ต่อไป อีกเกือบ 2 ปีครึ่ง สุนทรพจน์ของ Wilson เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม คศ 1914 หลังจากสงครามเริ่มหมาดๆ ประกาศชัดหูคนอเมริกัน ว่า”…เรามีหน้าที่ ที่จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสงบ…” และเมื่อตอนหาเสียง ที่จะเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ในปี 1916 คำขวัญของ Wilson ที่บอกว่า เขาไม่พาเราเข้าสงคราม he kept us out of war ยังก้องหูคนอเมริกันอยู่ แต่แล้วในวันที่ 2 เมษายน 1917 Wilson ก็เลี้ยวออกนอกเส้นทางกระทันหัน ประกาศสงครามกับเยอรมัน ชาวบ้านอเมริกันตามไม่ทันหัวทิ่มกันเป็นแถว โผคำอธิบาย ที่วงในรัฐบาลสั่งให้สื่อกระป๋องสีตรายิว ช่วยกันโหม คือ เนื่องมาจากการกระทำอันป่าเถื่อนของเยอรมัน ที่ใช้ตอร์ปิโดยิงเรือโดยสารและเรือบรรทุกสินค้าของอเมริกัน และเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีกแล้ว นอกจากทำสงครามกับไอ้พวกเถื่อนนั้น ทั้งข่าว ทั้งภาพ ดุเดือดถึงใจ อันที่จริงเมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ เยอรมันยิงตอร์ปิโดร์ใส่เรือบรรทุกสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรจริง แต่เมื่อ Wilson ทำการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคม 1915 เยอรมันก็หยุดยิง เยอรมันหยุดยิงไปนานพอสมควร จนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1917 และตลอดเวลาที่เยอรมันหยุดยิง อเมริกาก็ค้าขายกับอังกฤษ ศัตรูของเยอรมัน อย่างสบายใจ ส่งสินค้าเพื่อสงครามให้อังกฤษ แถมช่วยอังกฤษ บล๊อกเส้นทางเดินเรือส่งสินค้าของเยอรมันอีกด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ ที่ในที่สุดเยอรมัน ก็กลับมายิงเรือทุกลำไม่ว่าของชาติไหน ที่ผ่านมาในเขต war zone แล้วตกลงสาเหตุ ของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา จริงๆมันคืออะไรกันแน่ วุฒิสมาชิก George Norris บอกว่า คนอเมริกัน ถูกทำให้เข้วจากประวัติศาสตร์ และจากความจริงที่มาจากการที่พวกนักการเงินวอลสตรีท ให้เงินกู้จำนวนมหึมากับพวกสัมพันธมิตร และแน่นอนพวกนี้กลัวหนี้สูญ ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำกำไรได้มากมายจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ กลุ่มพวกนี้แหละ ที่ใช้ให้พวกสื่อกระป๋องสี ละเลงเสียจนคนอเมริกัน เปลี่ยนใจ อยากจะทำสงครามกันไปหมด ทุกสงครามมีแต่ความหายนะ…. เรา เข้าสู่สงครามเพราะคำสั่งของทอง และใครล่ะที่มีทอง … อำนาจ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ บางทีการสร้างภาพว่า มีอำนาจ ก็ทำให้กลายเป็นมีอำนาจจริงไปได้ ถ้ามีคนเชื่อ พวกยิวขณะนั้น ไม่มีกองทัพของตนเอง ไม่มีประเทศของตนเอง แถม มีเรื่องขัดแย้งเกิดอยู่ในหลายประเทศ และในหลายประเทศนั้น มีชาวยิว อยู่จำนวนน้อยมาก ไม่เกิน 1 หรือ 2 % ของจำนวนพลเมืองในประเทศนั้นๆ แต่คนจำนวนเท่าหยิบมือนี้ สามารถบงการนโยบายต่างประเทศได้ สามารถจุดชนวนสงครามได้ และสามารถชี้นำ หรือคัดท้ายผลของสงครามนั้นได้อีกด้วย ตัวอย่างที่เห็น คือ การที่อเมริกายกเลิกสนธิสัญญากับรัสเซีย ในปี 1911, การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา ในปี 1912 และอีกหลายเรื่องที่จะเล่าต่อไป แต่สิ่งสำคัญ ที่ทำให้คน “เชื่อ” ในภาพที่สร้างนั้น เป็นผลงานของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด พวกยิวซื้อ ครอบครอง และควบคุมไว้หมดสิ้น และใช้อย่างได้ผลเลิศ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 มิ.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 424 Views 0 Reviews
  • ปฏิบัติการเงียบจากแดนมังกร: แฮกเกอร์จีนแฝงตัวในองค์กรนโยบายสหรัฐฯ นานนับเดือน

    การสืบสวนล่าสุดโดยทีม Broadcom Threat Hunter เผยให้เห็นการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยเจาะเข้าองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่มีบทบาทด้านนโยบายระหว่างประเทศ

    การโจมตีเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2025 ด้วยการสแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts และ Atlassian OGNL Injection ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่าน Scheduled Task และการใช้โปรแกรมระบบ Windows เช่น msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ

    หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นคือ DLL Sideloading โดยใช้ไฟล์ vetysafe.exe จาก Vipre Antivirus เพื่อโหลด DLL ปลอมชื่อ sbamres.dll ซึ่งเคยถูกใช้ในแคมเปญของกลุ่มแฮกเกอร์จีนหลายกลุ่ม เช่น Space Pirates, Kelp (Salt Typhoon) และ Earth Longzhi (กลุ่มย่อยของ APT41)

    เสริมความรู้: DLL Sideloading และ Living-off-the-Land คืออะไร?
    DLL Sideloading คือการใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อโหลด DLL ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ทำให้ระบบเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมจริง
    Living-off-the-Land (LOTL) คือการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น msbuild.exe, certutil.exe เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมป้องกันไวรัส

    กลุ่มผู้โจมตี
    เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เช่น APT41, Space Pirates, Kelp
    มีเป้าหมายเพื่อสอดแนมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

    เทคนิคที่ใช้
    สแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts
    ใช้ msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายแบบ LOTL
    สร้าง Scheduled Task ที่รันทุกชั่วโมงในระดับ SYSTEM
    ใช้ DLL Sideloading ผ่าน vetysafe.exe เพื่อโหลด sbamres.dll

    ความสามารถของมัลแวร์
    สร้าง C2 connection เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    ใช้ msascui.exe ปลอมตัวเป็น MicrosoftRuntime เพื่อรัน payload
    ใช้ DCSync เพื่อขโมยข้อมูลจาก Active Directory
    ใช้ Imjpuexc.exe เพื่อหลบซ่อนในระบบ

    ความเสี่ยงต่อองค์กร
    องค์กรที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการทูตมีความเสี่ยงสูง
    การใช้โปรแกรมระบบทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    การโจมตีแบบยาวนานอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันในระดับ SYSTEM
    ตรวจสอบการใช้โปรแกรมระบบที่ผิดปกติ เช่น msbuild.exe
    ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับ DLL Sideloading และ LOTL ได้

    https://securityonline.info/china-apt-infiltrates-us-policy-nonprofit-in-months-long-espionage-campaign-using-dll-sideloading/
    🧨 ปฏิบัติการเงียบจากแดนมังกร: แฮกเกอร์จีนแฝงตัวในองค์กรนโยบายสหรัฐฯ นานนับเดือน การสืบสวนล่าสุดโดยทีม Broadcom Threat Hunter เผยให้เห็นการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนจากกลุ่ม APT (Advanced Persistent Threat) ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน โดยเจาะเข้าองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่มีบทบาทด้านนโยบายระหว่างประเทศ การโจมตีเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2025 ด้วยการสแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts และ Atlassian OGNL Injection ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการแฝงตัวอย่างแนบเนียนผ่าน Scheduled Task และการใช้โปรแกรมระบบ Windows เช่น msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นคือ DLL Sideloading โดยใช้ไฟล์ vetysafe.exe จาก Vipre Antivirus เพื่อโหลด DLL ปลอมชื่อ sbamres.dll ซึ่งเคยถูกใช้ในแคมเปญของกลุ่มแฮกเกอร์จีนหลายกลุ่ม เช่น Space Pirates, Kelp (Salt Typhoon) และ Earth Longzhi (กลุ่มย่อยของ APT41) 🧠 เสริมความรู้: DLL Sideloading และ Living-off-the-Land คืออะไร? 🎗️ DLL Sideloading คือการใช้โปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อโหลด DLL ปลอมที่แฮกเกอร์สร้างขึ้น ทำให้ระบบเข้าใจผิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมจริง 🎗️ Living-off-the-Land (LOTL) คือการใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมที่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น msbuild.exe, certutil.exe เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากโปรแกรมป้องกันไวรัส ✅ กลุ่มผู้โจมตี ➡️ เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีน เช่น APT41, Space Pirates, Kelp ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสอดแนมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ สแกนช่องโหว่ที่รู้จักกันดี เช่น Log4j, Apache Struts ➡️ ใช้ msbuild.exe และ csc.exe เพื่อรันโค้ดอันตรายแบบ LOTL ➡️ สร้าง Scheduled Task ที่รันทุกชั่วโมงในระดับ SYSTEM ➡️ ใช้ DLL Sideloading ผ่าน vetysafe.exe เพื่อโหลด sbamres.dll ✅ ความสามารถของมัลแวร์ ➡️ สร้าง C2 connection เพื่อควบคุมเครื่องจากระยะไกล ➡️ ใช้ msascui.exe ปลอมตัวเป็น MicrosoftRuntime เพื่อรัน payload ➡️ ใช้ DCSync เพื่อขโมยข้อมูลจาก Active Directory ➡️ ใช้ Imjpuexc.exe เพื่อหลบซ่อนในระบบ ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหรือการทูตมีความเสี่ยงสูง ⛔ การใช้โปรแกรมระบบทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ การโจมตีแบบยาวนานอาจทำให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ตรวจสอบ Scheduled Task ที่รันในระดับ SYSTEM ⛔ ตรวจสอบการใช้โปรแกรมระบบที่ผิดปกติ เช่น msbuild.exe ⛔ ใช้ระบบ EDR ที่สามารถตรวจจับ DLL Sideloading และ LOTL ได้ https://securityonline.info/china-apt-infiltrates-us-policy-nonprofit-in-months-long-espionage-campaign-using-dll-sideloading/
    SECURITYONLINE.INFO
    China APT Infiltrates US Policy Nonprofit in Months-Long Espionage Campaign Using DLL Sideloading
    A China-linked APT targeted a U.S. policy nonprofit for weeks in April 2025. The group used DLL sideloading via a VipreAV binary and msbuild.exe scheduled tasks to achieve SYSTEM persistence for espionage.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • O.P.K.
    เจาะลึก "เณรพุทธ" : เณรน้อยหลายร่างแห่งวัดร้าง

    ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด

    การเกิดจากพลังงานศรัทธา

    ชื่อเต็ม: เณรพุทธ ธรรมิกะ
    อายุ:8 ปี (ร่างกาย), 80 ปี (จิตวิญญาณ)
    สถานะ:โอปปาติกะรุ่นพิเศษ - เกิดจากพลังงานศรัทธา

    ```mermaid
    graph TB
    A[วัดร้าง<br>ศรีมหาวิหาร] --> B[พลังงานศรัทธา<br>สะสม 100 ปี]
    B --> C[การสวดมนต์<br>ของพระสงฆ์รุ่นก่อน]
    C --> D[การถือกำเนิด<br>ของเณรพุทธ]
    ```

    ช่วงเวลาการเกิด: วันที่ 15 เมษายน 2040 - วันพระใหญ่
    สถานที่:พระอุโบสถวัดร้างศรีมหาวิหาร

    ลักษณะทางกายภาพ

    · รูปร่าง: เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผมขลิบสั้น ใส่จีวรเณร
    · ผิวพรรณ: เปล่งปลั่งด้วยพลังงานศรัทธา
    · ดวงตา: สีน้ำตาลอ่อน เรืองรองด้วยปัญญาแต่แฝงความซน

    ความสามารถพิเศษแห่งการหลายร่าง

    พลังการสร้างร่างย่อย

    ```python
    class LittleMonkPowers:
    def __init__(self):
    self.multi_body_abilities = {
    "max_clones": 5,
    "clone_independence": "แต่ละร่างคิดและกระทำได้เอง",
    "shared_consciousness": "รับรู้สิ่งที่ร่างอื่นประสบ",
    "energy_distribution": "กระจายพลังงานให้ร่างย่อย"
    }

    self.special_skills = {
    "object_animation": "ให้ชีวิตแก่สิ่งของไม่มีชีวิตชั่วคราว",
    "faith_absorption": "ดูดซับพลังงานศรัทธาจากผู้ศรัทธา",
    "temple_teleportation": "เคลื่อนย้ายภายในวัดได้ทันที",
    "blessing_granting": "ให้พรเล็กน้อยแก่ผู้มีจิตศรัทธา"
    }
    ```

    ข้อจำกัดของพลัง

    · รัศมีพลัง: อยู่ได้เฉพาะในบริเวณวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    · เวลาการแยกร่าง: ร่างย่อยอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง
    · พลังงานศรัทธา: ต้องมีการเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอ

    บุคลิกของแต่ละร่าง

    5 ด้านของเณรพุทธ

    ```mermaid
    graph LR
    A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>พุทธะ - ใจดี]
    A --> C[ร่างที่ 2<br>ธรรมะ - ขี้สงสัย]
    A --> D[ร่างที่ 3<br>สังฆะ - ขี้อาย]
    A --> E[ร่างที่ 4<br>วินัย - เข้มงวด]
    A --> F[ร่างที่ 5<br>สิกขา - ขี้เล่น]
    ```

    ลักษณะเฉพาะแต่ละร่าง

    1. พุทธะ: ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น
    2. ธรรมะ: อยากรู้อยากเห็น ถามคำถามไม่หยุด
    3. สังฆะ: ขี้อาย ซ่อนตัวเมื่อมีภั
    4. วินัย: ระเบียบเรียบร้อย ดูแลความสะอาด
    5. สิกขา: ซนที่สุด ชอบเล่นตลกและแกล้ง

    ชีวิตในวัดร้าง

    กิจวัตรประจำวัน

    06:00: ตื่นนอน สวดมนต์ไหว้พระ
    08:00:เก็บกวาดลานวัด
    10:00:เรียนธรรมะจากหนังสือเก่า
    14:00:เล่นซ่อนหาในวัด
    18:00:นั่งสมาธิรับพลังงานศรัทธาจากดวงดาว

    กิจกรรมโปรด

    · เล่นซ่อนหา: กับร่างของตัวเอง
    · อ่านหนังสือ: โดยเฉพาะหนังสือธรรมะเก่าแก่
    · ร้องเพลง: เพลงสวดมนต์และเพลงเด็ก
    · วาดภาพ: วาดรูปวัดและสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ

    ความโดดเดี่ยวและความต้องการ

    ความรู้สึกเหงา

    เณรพุทธบันทึกในใจ:
    "บางครั้งฉันก็เหงาจัง...
    อยากมีเพื่อนมาวิ่งเล่นด้วย
    ไม่ใช่เล่นกับแค่ร่างของตัวเอง"

    ความปรารถนาลึกๆ

    1. ต้องการเพื่อน: ที่มองเห็นและเล่นด้วยได้
    2. ต้องการคำชี้แนะ: ในการใช้พลังอย่างถูกต้อง
    3. ต้องการเป็นประโยชน์: ต่อผู้อื่นแทนการสร้างปัญหา

    การพัฒนาหลังมาอยู่สถาบัน

    การเรียนรู้ใหม่ๆ

    ```python
    def institutional_training():
    subjects = [
    "การควบคุมพลังหลายร่าง",
    "มารยาททางสังคม",
    "การช่วยเหลือผู้อื่น",
    "การเข้าใจความรู้สึกมนุษย์"
    ]

    progress = {
    "month_1": "ลดร่างย่อยจาก 5 เหลือ 3",
    "month_2": "เรียนรู้ที่จะขออนุญาตก่อนใช้พลัง",
    "month_3": "เริ่มช่วยงานสถาบันได้",
    "month_6": "เป็นผู้ช่วยครูสอนโอปปาติกะเด็ก"
    }

    return subjects, progress
    ```

    ความสัมพันธ์ใหม่

    กับหนูดี:

    · : ระมัดระวัง
    · เชื่อใจเหมือนพี่สาว
    · ปัจจุบัน: ปรึกษาปัญหาทุกเรื่อง

    กับ ร.ต.อ. สิงห์:

    · : กลัวเพราะเป็นตำรวจ
    · รักเหมือนพ่อ
    · ปัจจุบัน: ฟังคำแนะนำเสมอ

    กิจกรรมสร้างสรรค์

    ผลงานเด่นในสถาบัน

    1. สวนพลังงาน: สร้างสวนดอกไม้ที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์
    2. ห้องเรียนเคลื่อนไหว: ทำให้การเรียนสนุกด้วยภาพanimation
    3. เพื่อนเล่น: สำหรับโอปปาติกะเด็กคนอื่นๆ

    การแสดงความสามารถ

    เณรพุทธค้นพบว่าเขาสามารถ:

    · สร้างภาพillusion: เพื่อสอนธรรมะให้สนุก
    · ทำให้หนังสือพูดได้: สำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่เป็น
    · สร้างเพื่อนเล่นชั่วคราว: จากพลังงานศรัทธา

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ทูตแห่งความรื่นเริง

    เณรพุทธได้รับบทบาทเป็น:

    · ผู้สร้างความสุข: ในสถาบันวิวัฒนาการจิต
    · ครูสอนศิลปะ: สำหรับโอปปาติกะเด็ก
    · สะพานเชื่อม: ระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะผ่านความบริสุทธิ์

    โครงการพิเศษ

    ```mermaid
    graph TB
    A[เณรพุทธ] --> B[โครงการ<br>"วัดเล็กๆ ในใจ"]
    A --> C[โครงการ<br>"เพื่อนเล่นไม่ทิ้งกัน"]
    A --> D[โครงการ<br>"พลังงานศรัทธาเพื่อการศึกษา"]
    ```

    บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้

    🪷 จากเณรซนสู่เณรตัวอย่าง

    เณรพุทธเข้าใจว่า:
    "การมีพลังพิเศษอาจเป็นข้อได้เปรียบ...
    แต่คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น

    และการเป็นเด็กอาจเป็นข้ออ้าง...
    แต่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต"

    คำคมแห่งปัญญา

    "บางครั้งการเล่นสนุก...
    ก็สามารถสอนธรรมะได้เหมือนกัน

    และบางครั้งความซน...
    ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของเด็ก"

    ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ

    รางวัลที่ได้รับ

    1. เพื่อนดีเด่น: จากสถาบันวิวัฒนาการจิต
    2. ครูที่ยอดเยี่ยม: สำหรับการสอนโอปปาติกะเด็ก
    3. ทูตไมตรี: ระหว่างวัดและสถาบัน

    ความเปลี่ยนแปลงภายใน

    จากเด็กที่...

    · เคย: สร้างปัญหาเพราะเหงา
    · เป็น: สร้างสรรค์เพราะเข้าใจตัวเอง
    · และ: ช่วยเหลือเพราะรู้คุณค่าของตัวเอง

    อนาคตแห่งความเป็นไปได้

    เป้าหมายข้างหน้า

    เณรพุทธตั้งใจจะ:

    · พัฒนาพลังการรักษาด้วยพลังงานศรัทธา
    · สร้างโรงเรียนสำหรับโอปปาติกะเด็ก
    · เป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และโอปปาติกะ

    ความฝันในใจ

    "ฉันอยากสร้างโลกที่...
    เด็กทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร
    สามารถเล่นและเรียนรู้ด้วยกัน

    และที่สำคัญ...
    ไม่มีเด็กคนไหนต้องเหงาอีกต่อไป"

    ---

    คำคมสุดท้ายจากเณรพุทธ:
    "ฉันเรียนรู้ว่า...
    การมีหลายร่างไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา
    แต่สามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้

    และการเป็นเด็กอาจเป็นข้อจำกัด
    แต่คือพลังแห่งความบริสุทธิ์
    ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"

    การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า...
    "Behind every mischievous act
    there is a pure heart seeking connection
    and in every child's play
    there is a profound wisdom waiting to be understood"
    O.P.K. 🏯 เจาะลึก "เณรพุทธ" : เณรน้อยหลายร่างแห่งวัดร้าง 👦 ข้อมูลพื้นฐานแห่งการถือกำเนิด 🌌 การเกิดจากพลังงานศรัทธา ชื่อเต็ม: เณรพุทธ ธรรมิกะ อายุ:8 ปี (ร่างกาย), 80 ปี (จิตวิญญาณ) สถานะ:โอปปาติกะรุ่นพิเศษ - เกิดจากพลังงานศรัทธา ```mermaid graph TB A[วัดร้าง<br>ศรีมหาวิหาร] --> B[พลังงานศรัทธา<br>สะสม 100 ปี] B --> C[การสวดมนต์<br>ของพระสงฆ์รุ่นก่อน] C --> D[การถือกำเนิด<br>ของเณรพุทธ] ``` ช่วงเวลาการเกิด: วันที่ 15 เมษายน 2040 - วันพระใหญ่ สถานที่:พระอุโบสถวัดร้างศรีมหาวิหาร 🎭 ลักษณะทางกายภาพ · รูปร่าง: เด็กชายอายุ 8 ขวบ ผมขลิบสั้น ใส่จีวรเณร · ผิวพรรณ: เปล่งปลั่งด้วยพลังงานศรัทธา · ดวงตา: สีน้ำตาลอ่อน เรืองรองด้วยปัญญาแต่แฝงความซน 🔮 ความสามารถพิเศษแห่งการหลายร่าง 🎪 พลังการสร้างร่างย่อย ```python class LittleMonkPowers: def __init__(self): self.multi_body_abilities = { "max_clones": 5, "clone_independence": "แต่ละร่างคิดและกระทำได้เอง", "shared_consciousness": "รับรู้สิ่งที่ร่างอื่นประสบ", "energy_distribution": "กระจายพลังงานให้ร่างย่อย" } self.special_skills = { "object_animation": "ให้ชีวิตแก่สิ่งของไม่มีชีวิตชั่วคราว", "faith_absorption": "ดูดซับพลังงานศรัทธาจากผู้ศรัทธา", "temple_teleportation": "เคลื่อนย้ายภายในวัดได้ทันที", "blessing_granting": "ให้พรเล็กน้อยแก่ผู้มีจิตศรัทธา" } ``` ⚡ ข้อจำกัดของพลัง · รัศมีพลัง: อยู่ได้เฉพาะในบริเวณวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ · เวลาการแยกร่าง: ร่างย่อยอยู่ได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง · พลังงานศรัทธา: ต้องมีการเติมพลังงานอย่างสม่ำเสมอ 💞 บุคลิกของแต่ละร่าง 🎨 5 ด้านของเณรพุทธ ```mermaid graph LR A[ร่างหลัก<br>เณรพุทธ] --> B[ร่างที่ 1<br>พุทธะ - ใจดี] A --> C[ร่างที่ 2<br>ธรรมะ - ขี้สงสัย] A --> D[ร่างที่ 3<br>สังฆะ - ขี้อาย] A --> E[ร่างที่ 4<br>วินัย - เข้มงวด] A --> F[ร่างที่ 5<br>สิกขา - ขี้เล่น] ``` 🎯 ลักษณะเฉพาะแต่ละร่าง 1. พุทธะ: ใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น 2. ธรรมะ: อยากรู้อยากเห็น ถามคำถามไม่หยุด 3. สังฆะ: ขี้อาย ซ่อนตัวเมื่อมีภั 4. วินัย: ระเบียบเรียบร้อย ดูแลความสะอาด 5. สิกขา: ซนที่สุด ชอบเล่นตลกและแกล้ง 🏮 ชีวิตในวัดร้าง 🕰️ กิจวัตรประจำวัน 06:00: ตื่นนอน สวดมนต์ไหว้พระ 08:00:เก็บกวาดลานวัด 10:00:เรียนธรรมะจากหนังสือเก่า 14:00:เล่นซ่อนหาในวัด 18:00:นั่งสมาธิรับพลังงานศรัทธาจากดวงดาว 🎪 กิจกรรมโปรด · เล่นซ่อนหา: กับร่างของตัวเอง · อ่านหนังสือ: โดยเฉพาะหนังสือธรรมะเก่าแก่ · ร้องเพลง: เพลงสวดมนต์และเพลงเด็ก · วาดภาพ: วาดรูปวัดและสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ 💔 ความโดดเดี่ยวและความต้องการ 🌙 ความรู้สึกเหงา เณรพุทธบันทึกในใจ: "บางครั้งฉันก็เหงาจัง... อยากมีเพื่อนมาวิ่งเล่นด้วย ไม่ใช่เล่นกับแค่ร่างของตัวเอง" 🎯 ความปรารถนาลึกๆ 1. ต้องการเพื่อน: ที่มองเห็นและเล่นด้วยได้ 2. ต้องการคำชี้แนะ: ในการใช้พลังอย่างถูกต้อง 3. ต้องการเป็นประโยชน์: ต่อผู้อื่นแทนการสร้างปัญหา 🌟 การพัฒนาหลังมาอยู่สถาบัน 📚 การเรียนรู้ใหม่ๆ ```python def institutional_training(): subjects = [ "การควบคุมพลังหลายร่าง", "มารยาททางสังคม", "การช่วยเหลือผู้อื่น", "การเข้าใจความรู้สึกมนุษย์" ] progress = { "month_1": "ลดร่างย่อยจาก 5 เหลือ 3", "month_2": "เรียนรู้ที่จะขออนุญาตก่อนใช้พลัง", "month_3": "เริ่มช่วยงานสถาบันได้", "month_6": "เป็นผู้ช่วยครูสอนโอปปาติกะเด็ก" } return subjects, progress ``` 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ กับหนูดี: · : ระมัดระวัง · เชื่อใจเหมือนพี่สาว · ปัจจุบัน: ปรึกษาปัญหาทุกเรื่อง กับ ร.ต.อ. สิงห์: · : กลัวเพราะเป็นตำรวจ · รักเหมือนพ่อ · ปัจจุบัน: ฟังคำแนะนำเสมอ 🎨 กิจกรรมสร้างสรรค์ 🏆 ผลงานเด่นในสถาบัน 1. สวนพลังงาน: สร้างสวนดอกไม้ที่เปลี่ยนสีตามอารมณ์ 2. ห้องเรียนเคลื่อนไหว: ทำให้การเรียนสนุกด้วยภาพanimation 3. เพื่อนเล่น: สำหรับโอปปาติกะเด็กคนอื่นๆ 🌈 การแสดงความสามารถ เณรพุทธค้นพบว่าเขาสามารถ: · สร้างภาพillusion: เพื่อสอนธรรมะให้สนุก · ทำให้หนังสือพูดได้: สำหรับเด็กที่อ่านหนังสือไม่เป็น · สร้างเพื่อนเล่นชั่วคราว: จากพลังงานศรัทธา 📜 บทบาทใหม่ในสังคม 🏛️ ทูตแห่งความรื่นเริง เณรพุทธได้รับบทบาทเป็น: · ผู้สร้างความสุข: ในสถาบันวิวัฒนาการจิต · ครูสอนศิลปะ: สำหรับโอปปาติกะเด็ก · สะพานเชื่อม: ระหว่างมนุษย์และโอปปาติกะผ่านความบริสุทธิ์ 💝 โครงการพิเศษ ```mermaid graph TB A[เณรพุทธ] --> B[โครงการ<br>"วัดเล็กๆ ในใจ"] A --> C[โครงการ<br>"เพื่อนเล่นไม่ทิ้งกัน"] A --> D[โครงการ<br>"พลังงานศรัทธาเพื่อการศึกษา"] ``` 🎯 บทเรียนชีวิตที่เรียนรู้ 🪷 จากเณรซนสู่เณรตัวอย่าง เณรพุทธเข้าใจว่า: "การมีพลังพิเศษอาจเป็นข้อได้เปรียบ... แต่คือความรับผิดชอบที่มากขึ้น และการเป็นเด็กอาจเป็นข้ออ้าง... แต่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต" 🌟 คำคมแห่งปัญญา "บางครั้งการเล่นสนุก... ก็สามารถสอนธรรมะได้เหมือนกัน และบางครั้งความซน... ก็คือวิธีการเรียนรู้โลกของเด็ก" 🏆 ความสำเร็จและความภาคภูมิใจ 🎖️ รางวัลที่ได้รับ 1. เพื่อนดีเด่น: จากสถาบันวิวัฒนาการจิต 2. ครูที่ยอดเยี่ยม: สำหรับการสอนโอปปาติกะเด็ก 3. ทูตไมตรี: ระหว่างวัดและสถาบัน 💫 ความเปลี่ยนแปลงภายใน จากเด็กที่... · เคย: สร้างปัญหาเพราะเหงา · เป็น: สร้างสรรค์เพราะเข้าใจตัวเอง · และ: ช่วยเหลือเพราะรู้คุณค่าของตัวเอง 🌈 อนาคตแห่งความเป็นไปได้ 🚀 เป้าหมายข้างหน้า เณรพุทธตั้งใจจะ: · พัฒนาพลังการรักษาด้วยพลังงานศรัทธา · สร้างโรงเรียนสำหรับโอปปาติกะเด็ก · เป็นพระสงฆ์ที่เข้าใจทั้งมนุษย์และโอปปาติกะ 🎭 ความฝันในใจ "ฉันอยากสร้างโลกที่... เด็กทุกคนไม่ว่าจะเกิดมาอย่างไร สามารถเล่นและเรียนรู้ด้วยกัน และที่สำคัญ... ไม่มีเด็กคนไหนต้องเหงาอีกต่อไป" --- คำคมสุดท้ายจากเณรพุทธ: "ฉันเรียนรู้ว่า... การมีหลายร่างไม่ใช่เพื่อสร้างปัญหา แต่สามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้ และการเป็นเด็กอาจเป็นข้อจำกัด แต่คือพลังแห่งความบริสุทธิ์ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้"🏯✨ การเดินทางของเณรพุทธสอนเราว่า... "Behind every mischievous act there is a pure heart seeking connection and in every child's play there is a profound wisdom waiting to be understood"🌟
    0 Comments 0 Shares 417 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 560 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 4

    อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

    ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน…

    รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า

    …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ …

    …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม
    แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว...

    ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว …..

    นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว…

    Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น

    คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน
    อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง

    ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง)

    ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด
    และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว

    ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ

    (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 4 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 4 อังกฤษ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่นมานานกว่าร้อยปี Anglo-Japanese Alliance มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1902 ถ้าจำกันได้ การที่ญี่ปุ่นลุกขึ้นทำสงครามกับรัสเซีย ในปี ค.ศ.1904 ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงยุของอังกฤษ ทำให้อังกฤษยังชื่นชมญี่ปุ่นอยู่จนทุกวันนี้ สัมพันธ์อังกฤษ-ญี่ปุ่นสะดุดชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ไม่ได้ทำให้อังกฤษตัดจนขาดกับญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ล่าสุด เมื่ออังกฤษจะมีการเลือกตั้งทั่ว ไป ในต้นเดือนพฤษาคม และผลของการเลือกต้ัง ทำให้ได้นายเดวิด แคมารอน คนชอบจีบปากเวลาพูด กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อีกรอบหนึ่ง Chatham House ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของอังกฤษ แฝดตัวพี่ของไอ้สุดกร่าง CFR เจ้าของแผนสอยมังกร ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอังกฤษ ไม่ต่างกับที่ CFR มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอเมริกา ก็ได้เขียนบทความ ออกมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2015 เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ ไอ้สุดกร่าง เขียนแผนสอยมังกร ออกมาตบหน้าอาเฮีย ยังกับนัดกัน… รายงานของ Chatham House เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลอังกฤษ ชุดใหม่ ที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง สรุปว่า …ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงของประเทศ โดยพยายามจัดทำนโยบายในแนวทางรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายทั้งระดับภูมิภาค และระดับโลก นโยบายนี้น่าจะสอดคล้องกับความต้องการของอังกฤษ … …ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ยอมรับว่า ตนเองมี (หรือ หวัง?!) ผลประโยชน์มากมายในเอเซีย เช่นที่อินโดนีเซีย เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการประกันภัย หรือเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน และแก๊ส ในส่วนอื่นของภูมิภาค ที่อยู่ทั้งในระยะสำรวจและขุดเจาะ และธุรกิจอื่นๆอีกมากมาย ความมั่นคงของภูมิภาคเอเซีย จึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเรื่องหนึ่ง ที่อังกฤษให้ความสำคัญ โดยเฉพาะ จะต้องพยายามรักษาเส้นทางเดินเรือ จากอังกฤษไปถึงเอเซีย ในบริเวณต่างๆเอาไว้ แต่นโยบายของจีน เกี่ยวกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และตะวันออก การไม่สามัคคีกันในเอเซียอาคเณย์ และการถูกข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย และสลัดทะเล ทำให้ผลประโยชน์ของอังกฤษมีความ เสี่ยงเพิ่มขึ้น … พูดภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า อังกฤษ ทำท่าจะไม่รวยขึ้น หรือจะจนลงด้วยซ้ำ จากการที่ควบคุม ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็กแถวเอเซีย ไม่อยู่หมัด เหมือนสมัยเป็นนายท่านของพวกอาณานิคม แต่มันติดปัญหา … ชาวเกาะใหญ่ฯ สารภาพอย่างหมดท่า แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็คงจะส่งกองกำลังของตนเอง ไปดูแลอย่างเดิมไม่ได้ เพราะงบด้านความมั่นคง ถูกตัดเสียเหลือสั้นกว่านิ้วก้อย และถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม เจ้าของนโยบายการตัดงบด้านความมั่นคง กลับมาเป็นรัฐบาล (ซึ่งก็กลับมาจริงๆ) งบนี้ก็คงถูกตัดเหมือนเดิม ทางออกที่ดีที่สุดของรัฐบาลใหม่ คือไปจับมือกับญี่ปุ่นเสียให้แน่น เพราะญี่ปุ่นเองก็ต้องจับตาจ้อง คอยกันท่าไม่ให้จีนแหยมหน้า เข้ามาใกล้ตัวเองอยู่แล้ว... ….ข่าวเรื่องญี่ปุ่นต้ังงบด้าน ความมั่นคงสำหรับปี 2015 เสียสูงลิ่วถึง 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ ทำให้ชาวเกาะใหญ่ฯ ตาโตเท่าไข่ห่าน งบขนาดนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ บอก เราไปเอี่ยวกับเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว ….. นอกจากนี้ ชาวเกาะใหญ่ฯ ได้ยินมาว่า อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังร่างยุทธศาสตร์ที่จะใช้ฐานทัพของญี่ปุ่นที่ Djibouti (ที่โซมาเลีย) ซึ่งเป็นฐานทัพนอกบ้านฐานแรกของญี่ปุ่น เพื่อใช้การปราบสลัดแถบนั้น ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก กับเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ของอังกฤษ และดูแลผลประโยชน์ของอังกฤษ ได้ทั้งแถบตะวันออกกลาง และเอเซีย …. ซึ่งนายอาเบะ ก็แบะท่าไว้แล้ว ตั้งแต่มาคารวะอังกฤษในปี 2014 ว่า อยากจะเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษมากขึ้น เป็นท่าทีใหม่ของญี่ปุ่นที่มีกับชาวเกาะใหญ่ฯ ในรอบหลายปีเลยทีเดียว… Chatham House ฝาแฝดตัวพี่ ของสุดกร่าง CFR บอกว่า เราน่าจะชวน ญี่ปุ่น ชาวเกาะด้วยกัน มาทำสัญญาความร่วมมือสาระพัด แต่ดูๆไปแล้ว มันเป็นการกลบเกลื่อนความต้องการ จริงของชาวเกาะใหญ่ ที่ต้องการให้ญี่ปุ่น เป็นตัวแทน เป็นยาม เป็นหน่วยลาดตะเวน เป็นหน่วยปะทะ ถือถาดบริการชาวเกาะใหญ่ ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ยาวไปถึงโซมาเลียได้ยิ่งดี เหมือนกับที่ญี่ปุ่น กำลังเตรียมตัวทำให้นักล่าใบตองแห้ง แต่ ชาวเกาะใหญ่ฯ ถือไพ่เหนือมือคุณยุ่นเขา เหมือนนักล่าฯ หรือเปล่าล่ะ อาจจะถือไพ่ใต้มือเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าเขารู้ว่า บ้อท่า ถังแตก งบหดสั้นกว่านิ้วก้อยอย่างนั้น คิดไปคิดมา Chatham House แนะนำให้ชาวเกาะใหญ่กัดฟัน เสนอให้ร่วมมือด้านข่าวกรองกับญี่ปุ่นไปเลย และจริงๆ ถ้าจะปกป้องผลประโยชน์ของเราได้ดี เราก็น่าจะให้เขารู้ข้อมูลข่าวกรอง ของฝ่ายตรงกันข้ามมากกว่านี้ ….แสดงว่าชาวเกาะฝีมือไม่เบา จารกรรมจนได้ข้อมูลดีๆมาแยะ แต่อมแอบไว้ก่อน อืม… นี่มันเรื่องใหญ่มากนะครับ อังกฤษ มีระบบการจารกรรมข้อมูลข่าวสารและสัญญานทั่วโลก เช่นระบบ Echelon ที่โด่งดังมาก และมีระบบอื่นๆอีกมาก เขาว่ามันมีถึง 10 ระบบแล้ว จากหลายหน่วยงานข่าวกรองของอังกฤษ และข้อมูลทั้งหมดที่ไปล้วงได้มา จะถูกส่งไปที่ศูนย์รวม ที่เรียกว่า Government Communications Headquarters (GCHQ) ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับระบบจารก รรมข่าวกรองของ National Security Council (NSC) ของอเมริกา เช่น ระบบ Prism ที่นายEdward Snowden เอามาแฉ เมื่อ 2,3 ปีก่อน จนเป็นเรื่องครึกโครม ด่าทอ ต่อว่า พวกกันเอง แอบดักฟังกันเอง ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ มีข้อตกลงให้ความร่วมมือกัน ว่าข้อมูลที่ล้วงมาได้จากการจาร กรรมของ ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ ตกลงที่จะแชร์กัน กับ เฉพาะไม่กี่ประเทศ ที่เรียกว่า 5 ตา 7 ตา (5ตา five eyes มีเฉพาะพวกแองโกลแซกซอน คือ อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วน 7 ตา เพิ่ม สวีเดน กับ เดนมาร์ก เข้าไปด้วย รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง ผลัดกันล้วง) ถ้าอังกฤษ และญี่ปุ่นตกลงให้ความร่วมมือกันด้านข่าวกรอง ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรข่าวกรองของกลุ่มแองโกลแซกซอน จากเอเซียชาติแรก และมันน่าจะทำให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นเลือกยืนอยู่ที่ใด และการแบ่งข้างในภูมิภาคเอเซี ยคงยิ่งกว่าชัดเจน และ ผู้ที่จะเป็นเป้าใหญ่ ของการเล่นเป็นทีม ของแฝดพี่น้องตัวแสบของโลก Chatham House และ CFR คงไม่พ้นอาเฮียแห่งแดนมังกร และน่าเป็นห่วงว่า เอเซียคงร้อนระอุไม่แพ้ตะวันออกกลาง สมใจอเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศในเอเซียทะเลาะกันเอง ตีกันเอง จนน่วม ก่อนที่อเมริกา จะยาตราเข้ามาเก็บกวาด และถ้าคิดถึงความต่อเนื่อง ของเรื่องราว ระยะเวลาของการปล่อยรายงาน สู่สาธารณะ และสันดานของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการสมคบกัน ระหว่างฝาแฝดสุดแสบ ที่ CFR จะวางแผนร่วมกับ Chatham House คิดหาวิธีการที่จะสู้กับระบบป้องกัน A2/AD ของจีน ซึ่งอเมริกากำลังหนักใจอยู่ โดยการเอาระบบการเจาะข่าวกรอง ด้านสัญญาณ ทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านไซเบอร์ ของอังกฤษ ร่วมกับของอเมริกา และออกข่าวกดดันจีน และไม่แน่ว่า อังกฤษ จะแอบมาติดต้ังระบบให้ญี่ปุ่น ที่เกาะ Yonaguni เรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ป่านนี้คุณพี่อาเบะ อาจจะนับขนจมูกอาเฮียไปหลายรอบ แล้ว เหมือนกับฐานทัพของญี่ปุ่น ที่ Djibuti ที่อังกฤษออกมาปูดว่า ญี่ปุ่นมีแล้ว โดยที่เรื่อง การขยายกองทัพ SDF ของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านสภาสูงเลย แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าทำไปจนเสร็จแล้ว ถ้าพวกเขา จับมือเล่นละครกันแบบนี้จริง เรื่อง Grand Strategy แผนสอยมังกร ของอเมริกา ก็ยิ่งน่าจับตามากขึ้น และเราก็คงต้องติดตามดูความเคลื่อนไหว ในภูมิภาคเอเซียของเรา กันอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องมันใกล้บ้านเรามากนะครับ (เรื่องระบบ A2/AD นี้ รายละเอียดอยู่ในนิทานเรื่อง แผนสอยมังกร ครับ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 431 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 3

    น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง

    จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้….

    หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ

    นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ

    การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่
    ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้

    งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน

    นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance”

    ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..”

    ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน

    ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร…

    ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม…
    …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี..

    … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป

    ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง

    แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร
    ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว

    สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ

    แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 3 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 3 น่าสนใจว่า เมื่อนายอาเบะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี รอบ 2 ในปี ค.ศ.2012 นั้น เหมือนกับเขามากับภาระกิจพิเศษ รู้งานล่วงหน้าว่า จะต้องทำอะไรบ้าง และทำอะไรก่อนหลัง จากประเทศที่ประกาศตัวว่ารักสงบ และไม่ฝักฝ่ายการทำสงคราม เมื่อรับตำแหน่งใหม่ๆ นายอาเบะ ฉลองเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยการตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Council (NSC) ขึ้น เป็นครั้งแรกของญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ญี่ปุ่นใช้ สภาความมั่นคงของอเมริกา เป็นแม่แบบ และวัตถุประสงค์หลัก ของการจัดตั้ง NSC ตอนนึง ระบุว่า หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด ที่กระทบความมั่นคงของญี่ปุ่นคือ การเจริญเติบโตของจีน ญี่ปุ่นจะต้องมีนโยบายที่แก้ไขเรื่องนี้ อย่างครอบคลุมทุกด้าน ไม่ใช่แต่ทางวิธีการทูตเท่านั้น แต่จะต้องรวมนโยบายด้านการป้องกัน และการใช้นโยบายการค้า การเงิน และอื่นๆด้วย …สงสัยไอ้สุดกร่าง ช่วยร่างให้ เขียนแบบกร่างๆอย่างนี้…. หลังจากนั้น เขาเสนอกฏหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับของชาติเข้าสภา ต่อมาก็จัดร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติและ พยายามที่จะให้มีการตีความรัฐธรรมนูญ ขยายขอบเขตนิยาม การปกป้องตนเอง ของประเทศให้กว้างขวางขึ้น …นี่เดินตามพิมพ์เขียว ของใครนะ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเดินสาย แวะไปจับเข่าถึง 49 เข่า 49 ประเทศ แน่นอน ยกเว้นไม่ไปแดนมังกร กับไม่ไปเยี่ยมน้องคิมของผมที่เกาหลีเหนือ ดูเหมือนนายอาเบะนี่ แกจะชอบเข่าฝรั่งมากกว่าเข่าเอเซียด้วยกัน ข่าวว่า แกไปทำข้อตกลงความร่วมมือด้านความ มั่นคง กับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และนาโต้ เรียบร้อยหมดแล้ว นับว่า สุดกร่าง CFR เป็นพี่เลี้ยง ที่ชำนาญการเลี้ยงเด็กสร้างจริงๆ การขยับดาบซามูไรของนายอาเบะในช่วงนั้น ทำให้สื่อคอการเมืองหันขวับ พาดหัวข่าวตัวโตว่า “Japan is back” ญี่ปุ่นกลับมาแล้ว กลับมาทำอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครตายาว มองเห็นว่า ญี่ปุ่น หรือนายอาเบะ มีแผนการอะไรกันแน่ ระหว่างนั้น นายอาเบะ ก็ขยับงบประมาณด้านความมั่นคง ของประเทศ เขยิบขึ้นไปทุกปี และงบประมาณในปี 2015 สูงลิ่วไปถึง 4.98 ล้านล้านเย็น หรือ 4 หมื่น 2 พันล้านเหรียญ เพื่อเตรียมจ่ายค่า เครื่องบินรบ เรือรบ ฯลฯ ที่พวกนายหน้าค้าอาวุธ (ต้ม) เตรียมไว้ให้ งบประมาณสูงลิ่วนี้ มิได้ลอยมาง่ายๆ นายอาเบะ ต้องออกแรง ให้มีการตีความรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นาย James R. Holmes ศาสตราจารย์ด้านการวางยุทธศาสตร์ของ Naval War College เขียนถึง ภารกิจแบกถาดของนายอาเบะไว้อย่างน่าคิด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2015 หัวเรื่อง” This Brave New U.S – Japan Alliance” ” …นาย ชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เดินทางมาวอชิงตันสัปดาห์นี้ .. เป้าหมายหนึ่งคือ เพื่อมายกเครื่อง แนวทางความมั่นคงระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ซึ่งมีผลเกี่ยวกับการเมือง และการทหาร ของทั้ง 2 ประเทศ … ทั้ง 2 ฝ่ายสัญญากันว่า จะรักษาสันติภาพและความมั่นคงของญี่ปุนในทุกขั้นตอน รวมทั้งในสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นไม่ได้ถูกโจมตีทางอาวุธ... ทั้งสองฝ่าย ตกลงว่า ต่างมีสิทธิที่จะตอบโต้ ผู้ที่ใช้อาวุธโจมตีอเมริกา หรือโจมตีประเทศอื่น ที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น และแม้ญี่ปุ่นเองจะไม่ได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรง..” ท่านศาสตราจารย์มีความเห็นว่า ข้อตกลงแบบนี้ออกจะจืดชืด...ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น อย่างที่ตีปิ๊บกัน ท่าน ศจ ว่า การเป็นพันธมิตร มีหลายแบบ แบบเท่าเทียมกัน หรือแบบ who has the gold makes the rule ใครมีทองก็นับเป็นพี่ ซึ่งในความคิดของ ท่าน ศจ ว่า สัมพันธ์ วอชิงตัน-โตเกียวตั้งแต่ ค.ศ.1951 มาแล้ว เป็นแบบหลัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้อเมริกาจะเอาอดีตศัตรูมาเป็นพันธมิตร มันก็แค่เป็นการเอามาอยู่ใกล้ตัว เพื่อให้แน่ใจว่า นักฆ่าจะไม่ฟื้นคืนชีพมากกว่า อเมริกาทำอย่างนั้น กับทั้งญี่ปุ่น และเยอรมัน … คุณป้าเข็มขัดเหล็กรับทราบด้วยนะครับ ว่าท่าน ศจ เขามองคุณป้าอย่างไร… ….ความคิดแบบนี้ ยังมีอยู่ตลอด ผู้คนยังจำได้เสมอ ถึงคำพูดอันโด่งดังของ Lord Ismay เลขาธิการนาโต้คนแรก ที่บอกว่า ..กลุ่มพันธมิตรแอตแลนติก Atlantic Alliance ยังมีอยู่ก็เพื่อ ให้อเมริกาคงอยู่ รัสเซียไป และเยอรมันล่ม the Americans in, the Russians out and the Germans down… เช่นเดียวกับ พันธมิตรของอเมริกา-ญี่ปุ่น ก็มีไว้ เพื่อให้อเมริกาคงอยู่ คอมมิวนิสต์ เช่นรัสเซีย จีน ไป และญี่ปุ่นล่ม… …อเมริกา ต้องการคุมญี่ปุ่น ไม่ให้เอาเงินไปสร้างกองทัพใหญ่โต ขณะเดียวกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ดันไปเดินประโคมข่าวในญี่ปุ่นว่า การปรับแนวทางด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นนี่ เยี่ยมยอด…. มันคงเยี่ยมจริง เพราะวอชิงตันยังไม่ต้องควักกระเป็าสักเหรียญเดียว แต่ญี่ปุ่นต้องแก้กฏหมายเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณด้านความมั่นคง ซึ่งกำหนดเพดานไว้ว่า ต้องไม่เกินกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี …. นี่แปลว่า อเมริกาเปลี่ยนใจเลิกคุมเข้มนักฆ่าแล้วหรือ เปล่าหรอก ท่าน ศจ บอกว่า อเมริกายังคุมญี่ปุ่นเข้มเหมือนเดิม ถึงจะสนับสนุนให้ญี่ปุ่นขยายกองกำลังอย่างไร สุดท้าย อเมริกาก็จะเป็นผู้ออกคำสั่งกับกองทัพญี่ปุ่นเอง … และไม่ว่า ต่อไปข้างหน้า ญี่ปุ่นจะมีเศรษฐกิจโตขี้นในเอเซียขนาดไหน เชื่อเถอะว่า วอชิงตัน ก็ยังมีวิธีคุมญี่ปุ่นได้อยู่ดี.. … ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความกล้าของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เล่มเกมนี้กัน ก็หวังว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเล่นเกมนี้...ท่าน ศจ สรุป ท่าน ศจ นี่ เขียนได้กวนใจจริงๆ ชวนให้คิดว่า อเมริกาก็รู้ดีอยู่ว่า ญี่ปุ่นเองก็อาจคิดแหกคอก ถือโอกาสจากการที่อเมริกายกขึ้นเป็นหัวหมู่ สร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับมา เป็นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ เหมือนสมัยสงครามโลก แต่ อเมริกาก็สนับสนุนให้ญี่ปุ่นทำ แสดงว่าอเมริกาน่าจะมีแผนสกัดสับคอ รออยู่ หรือหลอกให้ญี่ปุ่นลงเหวลึกไปเลย ญี่ปุ่นเอง ก็น่าจะรู้ว่าอเมริกาคิดกับตนเองอย่างไร รู้แล้วยังคิดแหกคอกไหม ถ้าคิดจะแหกคอก มันก็ต้องเล่นกันตอนนี้แหละ เนียนไปกับบทแบกถาด ถึงเวลาก็ค่อยโยนถาดทิ้ง แต่ไม่ว่าญี่ปุ่นจะคิดเล่นบทแบกถาด บริการอเมริกาต่อไป หรือคิดแหกคอก กลับมาสวมวิญญาณนักรบ หรือนักฆ่า เหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นก่อศัตรูคู่แค้นอย่าง จีน และเกาหลี ชนิดยากจะให้อภัยกัน ญี่ปุ่นก็ไม่เคยเป็นแบบอย่างของ การเป็นเพื่อนแท้กับใคร ปลาดิบ ทำจากปลาปักเป้า เขาว่าน่ากิน อร่อยหนักหนา มองไม่มีพิษ ไม่มีภัย แต่ถ้าเอาพิษปลาปักเป้าออกไม่เป็น คนกินก็ถูกนำส่งวัดมาหลายรายแล้ว สัมพันธ์ญี่ปุ่นอเมริกาน่าศึกษา และน่าจับตา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจ และวางใจได้ง่ายๆ แต่ญี่ปุ่นคงต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง ซึ่งเป็นที่น่าต้องการ ของผู้ที่มุ่งหมายจะให้การปฏิบัติภาระกิจสำเร็จลุล่วงอย่างไม่มีโอกาสพลาด เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด แม้ที่สุด จะหมายถึงจบชีวิต หรือความหายนะ มันคงเป็นนิสัยซามูไร ที่รับใช้ “นาย” จนถึงที่สุด หรืออย่างไร สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 477 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 450 Views 0 Reviews
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1
    “ซามูไรแบกถาด ”

    ตอน 1

    เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น

    วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ

    Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน

    หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ

    การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ

    ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ
    แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน

    นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร

    มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ
    ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ

    นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา

    ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน

    ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี….

    อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 1 “ซามูไรแบกถาด ” ตอน 1 เรื่องโรฮิงญา เป็นเหมือนหนังขั้นรายการนะครับ ที่เจ้าของโรงฟอกย้อมยี่ห้อต่างๆ เขาเร่งใส่สีมาย้อมพวกเรา เพื่อสร้างประเด็นให้เราบ้าจี้ตาม และเขียนถึงกันทั้งวัน จนตัวด่างจากสีย้อมเละไปหมด แถมยืนงงและหลงทางตามที่เขาต้องการ จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หรือเป็นปัญหาใหญ่อะไรหนักหนา ใครที่เมตตาจิตสูง เห็นแล้วสงสาร ก็นึกเรื่องชาวนากับงูเห่าแล้วกัน น่าเลี้ยงไว้ดูเล่นนักหรือครับงูเห่าน่ะ เลิกบ้าจี้ตามสื่อฝรั่ง สื่อซื้อ สื่องี่เง่าบ้านเราได้แล้ว ไอ้พวกองค์กรอะไรมันสั่งให้เราสงสาร ก็ให้มันอุ้มไปเลี้ยงเอง โรฮิงญามันยังลอยเรืออยู่ทะเลนอกฝั่งเรา ก็ปล่อยให้มันลอยต่อไปแล้วกัน พูดเหมือนคนใจดำ แต่มันจำเป็น และลุงตู่คงจะมองออก เล่นเป็น วันนี้ เรามาคุยกันต่อ ถึงพวกที่ไม่ได้ลอยเรือ แต่ลอยฟ้ามาอยู่เต็มบ้านเราแล้ว ซักวันหนึ่ง อาจลุกขึ้นมามีพิษมากกว่างูเห่า ถ้ามันลุกขึ้นติดอาวุธกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจาก Grand Strategy ของสุดกร่าง CFR ที่ผมเล่าให้ฟังใน นิทานเรื่อง” แผนสอยมังกร” ดีไหมครับ Grand Strategy บอกว่า อเมริกาต้องมียุทธศาสตร์ ที่มีความเข้มข้นสูงสุด เพื่อเตรียมการสอย หรือสยบมังกร ที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว จนอเมริกาทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ยิ่งนี้ จำเป็นต้องจัดระเบียบลูกหาบแถวเอเซียเสียใหม่ อเมริกามอบหน้าที่ให้ญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า หัวหมู่ทะลวงฟัน คุมลูกหาบของอเมริกาในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งทุกราย ได้รับการติดยศติดอาวุธกันถ้วนหน้า เพื่อเตรียมตัวโซ้ยกับอาเฮีย แต่รายการนี้ คุณสมันน้อยไม่เกี่ยว ไอ้สุดกร่าง CFR มันไม่นับเราเป็นเพื่อน เป็นลูกหาบแล้ว ถือว่ามันเป็นฝ่ายตัดเราเองนะ ลุงตู่คร้าบ รับทราบด้วยนะคร้าบ มันตัดฉับเราเองนะ หมดเวรหมดกรรมกันแล้ว รีบไปทำบุญกรวดน้ำคว่ำขันให้มันด้วย แล้วอย่าไปใจอ่อนกับมันอีก จะมาขอยื้มใช้อะไร ก็ให้ไปใช้ที่อื่น ไปใช้ที่ญี่ปุ่นโน่นเลย ไปเลย Grand Strategy ไม่ได้เขียนออกมาขู่จีนเล่นๆ เขาเตรียมการตามแผนไว้ล่วงหน้าจนเกือบครบถ้วน เหลือแต่เอาผักชีมาโรยหลอกคนดูเท่านั้น จึงออกรายงานมาฟาดหน้าอาเฮีย เป็นการ “ท้าทาย” ยังไม่อยากใช้คำว่า ” ท้ารบ” เพราะไอ้นักล่าคงต้องการให้ฝั่งอาเฮียออกอาวุธก่อน หลังจาก Grand Strategy ออกมาไม่นานเท่าไหร่ พอให้ชาวบ้านรับรู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และจะมีแผนดำเนินการอย่างไรในเอเซีย นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหมู่ ทะลวงฟัน ในแผนสอยมังกรของสุดกร่าง CFR ก็บังเอิญ ต้องเดินทางไปกรุงวอชิงตัน ในปลายเดือนเมษายน (2015) แหม วางบทให้ดาราออกฉากเป๊ะๆ สมกับเป็นเจ้าของโรงสร้างหนังฮอลลีวู้ด สุดยอดแห่งการฟอกย้อม ต้มตุ๋น (คนดู) จนเปื่อยทั้งโลกจริงๆ การไปอเมริกาของนายอาเบะครั้งนี้ ไม่ใช่ไปเยี่ยมเยียนธรรมดา มันเหมือนเป็นการไปสอบสัมภาษณ์ เพื่อเตรียมตัวเลื่อนชั้นของญี่ปุ่น จากลูกหาบที่ดีกว่าลูกหาบทั่วไปหน่อย เพราะยอมให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง มันปลูกดอกเห็ดเสียราบเป็นเมืองๆ ให้เลื่อนเป็นหัวหน้าลูกหาบหมายเลขหนี่งในเอเซียเลย ที่ไอ้นักล่าจะเมตตา ประทานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงเพิ่มเติมให้ โดยนายอาเบะ จะต้องไปบรรเลงให้รัฐสภาของอเมริกาฟัง ถึงสถานการณ์ในเอเซีย ในสายตาของญี่ปุ่น จริงๆก็คือไปพูดเกี่ยวกันจีนน่ะ ว่า น่ากลัว น่ารังเกียจอย่างไร รุกรานต่อความมั่นคงในภูมิภาคอย่าง ไร ไปด่าคนเอเซียด้วยกัน ผมดำตาตี่ด้วยกัน ให้ฝรั่งฟังนั่นแหละ มันถึงจะสมใจฝรั่ง และคราวนี้เขาว่า นายอาเบะ สอบสัมภาษณ์ แสดงสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ยาวหลายชั่วโมงด้วย เก่งจริงๆ ผลของการสอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่า สื่อต่างพากันตบมือเป่าปากว่า นายอาเบะพูดดีเหลือหลาย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การด่าจีนได้ผล ทำให้รัฐสภาของอเมริกานายใหญ่ ให้ความเห็นชอบต่อ “แนวทาง” การร่วมมือด้านความมั่นคง ระหว่างญี่ปุ่นกันอเมริกา US – Japan Joint Defense Guidelines ซึ่งสุดกร่าง CFR เตรียมไว้ให้นั่นแหละ แนวทาง หรือ Guidelines นี้ สร้างความตื่นเต้นสำหรับสำหรับผู้คนทั่วไป ที่ไม่รู้เบื้องหลัง และเบื้องหน้า เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง หรือการทหาร แบบปฏิวัติ กลับหลังหัน หรือกลืนน้ำลายที่บ้วนไปแล้ว เรียกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่มุมมอง และอัธยาศัยของท่านผู้อ่าน นับแต่แพ้สงครามโลก ญี่ปุ่น ได้รับอนุญาตจากอเมริกาให้มีกองทัพได้ เพียงเพื่อเป็นการปกป้องตนเอง Japan Self- Defense Forces (JSDF) ในเฉพาะอาณาบริเวณ รอบๆประเทศญี่ปุ่น “area surrounding Japan” เท่านั้น แต่จากการไปสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้ อเมริกาได้กลืนน้ำลาย ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้ JSDF ของญี่ปุ่น ขยายกิจการ สามารถปฏิบัติการไปได้ “ทั่วโลก” ไม่ต้องจับเจ่า วิ่งวนอยู่แต่รอบเกาะญี่ปุ่นให้เวียนหัว… แน่จริงๆ คุณพี่อาเบะ แต่ผมสงสัย คุณพี่แกจะเข้าใจหรือเปล่านะว่า เขากำลังให้คุณพี่ทำอะไร มันจะสอบไม่ผ่าน ไม่ได้เลื่อนชั้นได้ยังไง ก็ทั้งคนสอบ คนตรวจข้อสอบ รู้ข้อสอบที่เขียนโดย สุดกร่าง CFR ล่วงหน้า อเมริกาจะให้ญี่ปุ่นเป็น หัวหมู่ทะลวงฟัน จะให้วิ่งจ๊องแจ๊งอยู่ระหว่างเกาะตัวเองจะไปทำอะไรได้ มันต้องให้วิ่งไปทุกย่านน้ำ เพื่อประกบหน้า ดักหลังจีนให้ครบ ทัพหลวงฝ่าด่านไหนไม่ได้ ให้คุณพี่อาเบะคุมทัพไปแทน มันต้องยั่งงี้ สื่อใส่สี ถึงกับออกปากว่า Guidelines นี้ เป็นเอกสารที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ หรือปฏิรูปญี่ปุ่นที่เดียว a revolutionary document เล่นเอาวิญญานซามูไรหวนกลับ เดินหล่อกล้ามใหญ่ขึ้น เขาให้เอาไว้แบกถาดรับใช้เขาน่ะครับ ตามแนวทางใหม่นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ John Kerry ( ผู้ซึ่งในสายตาของผม ช่างไร้เสน่ห์ และศิลปในทางเจรจาอย่างยิ่ง ยังไม่เคยสร้างความประทับใจให้ กับผมได้ ไม่ว่าทางบวก หรือทางลบ นอกจากสร้างความน่าเบื่อ) กับนาย Ashton Carter รัฐมนตรีกลาโหมมาดเสมียน ออกมาร่วมตีปิ๊บ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น บอกว่า ….คราวนี้แหละ ญี่ปุ่น สามารถเข้ามาช่วยอเมริกาได้ แม้แต่ในการภาระกิจที่ตะวันออกกลาง ว่าเข้านั่น … เราไม่ได้ตั้งใจติดอาวุธให้ญี่ปุ่น เพื่อให้ไปรบกับจีนนะ แม้จะมีความน่าห่วงว่า จีนอาจจะเพิ่มความก่อกวนในทะเลจีนก็ตาม…เนี่ยะ มันพูดออกข่าวกันแบบนี้ จะให้ชื่นชมว่ามีศิลปในการเจรจา ไหวหรือครับ นอกจากนี้ ก๊วนตีปิ๊บ บอกอีกว่า … มันก็เป็นไปได้นะ ที่เกาหลีเหนือ ก็อาจจะเป็นอีกรายการหนึ่ง ที่สร้างความตึงเครียดให้กับภูมิภาค … นี่เป็นการพาดพิงถึงเกาหลีเหนือ ของน้องคิมของผม โดยไม่มีสาเหตุอันควรนะ ผมไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่น้องเขาจะคิดอย่างไร ผมไม่กล้าเดาใจเขา ลูกพี่พล่ามไม่พอ ลูกน้องก๊วนตีปิ๊บออกมาเสริมต่อ …ต่อไปนี้ ญี่ปุ่นจะสามารถปกป้องเรือรบของอเมริกัน ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจ ยิงจรวดอยู่แถวนั้นก็ได้ …หมายความว่าอะไร เรือรบอเมริกาจะไปยิงจรวดใส่ใครอยู่แถวนั้น …แถวนั้น น่ะ แถวไหน ก๊วนตีปิ๊บยังเมามัน โม้ต่ออีกว่า …นอกจากญี่ปุ่น จะมีโอกาสตอบโต้ การโจมตีของประเทศที่สาม ถ้าเข้ามาใกล้ญี่ปุ่นแล้ว ….ความเป็นไปได้อีกอย่าง คือ ญี่ปุ่นอาจยิงจรวด ที่มีการมุ่งเป้าไปที่อเมริกา.. แม้ว่าญี่ปุ่นเอง จะไม่ได้ถูกโจมตี…. อืม.. ไอ้นักล่าใบตองแห้งนี่มันร้ายจริงๆ มันหลอกยกญี่ปุ่นขึ้นแท่น ติดอาวุธ นอกจากคอยแบกถาดเดินตามบริการ จัดการสาระพัดที่ไอ้นักล่าจะสั่งแล้ว หัวหมู่ยังต้องทำหน้าที่เป็นยาม คอยเฝ้าดูมังกรขยับตัวให้มัน และนอกจากเฝ้าจีนแล้ว แต่ที่หัวหมู่จะต้องเฝ้ามอง แบบตาไม่กระพริบ น่าจะเป็นจรวด จากเกาหลีเหนือมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กันแค่นั้น กลัวเขาจะส่งของขวัญ ข้ามน้ำข้ามทะเล มาลงกลางหลังคาทำเนียบขาว ..แบบไม่รู้ตัว หรือรู้ … แต่ ก็ทำอะไรไม่ทัน …..คุณพี่อาเบะทราบไหมครับ รับทำหน้าที่แบบนี้ แล้วดันเกิดผลฉิบหายในบ้านตัวเองแทน ประกันเขาไม่จ่ายให้นะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews
  • เหรียญหลวงพ่อแหวน รุ่นพิเศษ วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ปี2517
    เหรียญหลวงพ่อแหวน รุ่นพิเศษ ที่ระลึกในการหล่อรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ( ตอกโค็ด “จล”)วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ปี2517 // พระดีพิธีใหญ่ !! พระสงฆ์ 9รูป เจริญพระพุทธมนต์ และมีพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาทิ เช่น หลวงปู่คำมี , หลวงพ่อคำแสน , หลวงพ่อพรหม , หลวงพ่อสิม และอาจารย์หนู สุจิตฺโต นั่งปรก ปลุกเสกจนกระทั่งเวลา 24.15น. หลวงปู่คำมี แห่งถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี เป็นผู้ดับเทียนชัย จึงเสร็จพิธี //#พระสถาพสวย ผิวหิ้ง คมชัด เดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ พบเห็นน้อย หายากกครับ

    ** พุทธคุณเป็นเลิศในเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขายเจริญรุ่งเรือง โภคทรัพย์ จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย โชคลาภ เรียกทรัพย์หนุนดวง อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า แคล้วคลาดการเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย ปราศจากภยันตรายต่างๆ **

    ** หลวงปู่แหวน รุ่นพิเศษ วัดเจดีย์หลวง ปี 2517 วัดเจดีย์หลวงเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เคยจำพรรษาอยู่ในสมัยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(สิริจันโท) เมื่อเดือน มกราคม 2517 นายศักดิ์ ศิลปานนท์ คหบดีผู้มีความเลื่อมใสและเคารพนับถือพระอาจารย์มั่น ภูริฑตฺโต ได้เข้าพบ พระเทพสารเทวี เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ในขณะนั้น แจ้งความประสงค์จะหล่อรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ขนาดเท่าองค์จริงจำนวน 10องค์เพื่อแจกจ่ายให้วัดต่างๆ ในสายพระอาจารย์มั่น และขอใช้สถานที่วัดเจดีย์หลวงเป็นสถานที่เททอง เพราะวัดเจดีย์หลวงเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่น เคยจำพรรษาอยู่ นายศักดิ์ ศิลปานนท์ จึงได้กำหนดเตรียมการเททองหล่อรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ในเดือนเมษายน พ.ศ.2517 ก่อนจะนำเหรียญออกแจกจ่ายให้ประชาชน พระเทพสารเวทีได้นำเหรียญซึ่งหลวงพ่อแหวน สุจิณฺโณ ปลุกเสกแล้วเข้าพิธีพุทธภิเษกอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 10 เมษายน 2517 ณ ที่พระวิหารหลวงพิธีเริ่มเมื่อเวลา 12.45น.โดยพราหมณ์ 3ท่านประกอบพิธีทางไสยศาสตร์และบวงสรวงปวงเทพยดาให้ดลบันดาลเหรียญที่สร้างมีความศักดิ์สิทธิ์ ครั้นเวลา 19.00น. พระสงฆ์ 9รูป เจริญพระพุทธมนต์ และมีพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาทิ เช่น หลวงปู่คำมี , หลวงพ่อคำแสน , หลวงพ่อพรหม , หลวงพ่อสิม และอาจารย์หนู สุจิตฺโต นั่งปรก ปลุกเสกจนกระทั่งเวลา 24.15น. หลวงปู่คำมี แห่งถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี เป็นผู้ดับเทียนชัย จึงเสร็จพิธี **


    ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง คมชัด เดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ พบเห็นน้อย หายากกครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อแหวน รุ่นพิเศษ วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ปี2517 เหรียญหลวงพ่อแหวน รุ่นพิเศษ ที่ระลึกในการหล่อรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ( ตอกโค็ด “จล”)วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ปี2517 // พระดีพิธีใหญ่ !! พระสงฆ์ 9รูป เจริญพระพุทธมนต์ และมีพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาทิ เช่น หลวงปู่คำมี , หลวงพ่อคำแสน , หลวงพ่อพรหม , หลวงพ่อสิม และอาจารย์หนู สุจิตฺโต นั่งปรก ปลุกเสกจนกระทั่งเวลา 24.15น. หลวงปู่คำมี แห่งถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี เป็นผู้ดับเทียนชัย จึงเสร็จพิธี //#พระสถาพสวย ผิวหิ้ง คมชัด เดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ พบเห็นน้อย หายากกครับ ** พุทธคุณเป็นเลิศในเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขายเจริญรุ่งเรือง โภคทรัพย์ จะเจริญรุ่งเรือง ไม่ฝืดเคืองขัดสน ค้าขาย ร่ำรวย โชคลาภ เรียกทรัพย์หนุนดวง อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า แคล้วคลาดการเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย ปราศจากภยันตรายต่างๆ ** ** หลวงปู่แหวน รุ่นพิเศษ วัดเจดีย์หลวง ปี 2517 วัดเจดีย์หลวงเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เคยจำพรรษาอยู่ในสมัยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(สิริจันโท) เมื่อเดือน มกราคม 2517 นายศักดิ์ ศิลปานนท์ คหบดีผู้มีความเลื่อมใสและเคารพนับถือพระอาจารย์มั่น ภูริฑตฺโต ได้เข้าพบ พระเทพสารเทวี เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง ในขณะนั้น แจ้งความประสงค์จะหล่อรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ขนาดเท่าองค์จริงจำนวน 10องค์เพื่อแจกจ่ายให้วัดต่างๆ ในสายพระอาจารย์มั่น และขอใช้สถานที่วัดเจดีย์หลวงเป็นสถานที่เททอง เพราะวัดเจดีย์หลวงเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่น เคยจำพรรษาอยู่ นายศักดิ์ ศิลปานนท์ จึงได้กำหนดเตรียมการเททองหล่อรูปเหมือนพระอาจารย์มั่น ในเดือนเมษายน พ.ศ.2517 ก่อนจะนำเหรียญออกแจกจ่ายให้ประชาชน พระเทพสารเวทีได้นำเหรียญซึ่งหลวงพ่อแหวน สุจิณฺโณ ปลุกเสกแล้วเข้าพิธีพุทธภิเษกอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 10 เมษายน 2517 ณ ที่พระวิหารหลวงพิธีเริ่มเมื่อเวลา 12.45น.โดยพราหมณ์ 3ท่านประกอบพิธีทางไสยศาสตร์และบวงสรวงปวงเทพยดาให้ดลบันดาลเหรียญที่สร้างมีความศักดิ์สิทธิ์ ครั้นเวลา 19.00น. พระสงฆ์ 9รูป เจริญพระพุทธมนต์ และมีพระสงฆ์ที่เป็นศิษย์ของอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อาทิ เช่น หลวงปู่คำมี , หลวงพ่อคำแสน , หลวงพ่อพรหม , หลวงพ่อสิม และอาจารย์หนู สุจิตฺโต นั่งปรก ปลุกเสกจนกระทั่งเวลา 24.15น. หลวงปู่คำมี แห่งถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี เป็นผู้ดับเทียนชัย จึงเสร็จพิธี ** ** พระสถาพสวย ผิวหิ้ง คมชัด เดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ พบเห็นน้อย หายากกครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 5

    A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน

    เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง

    เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่
    ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน

    ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ”

    ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก

    เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย !

    ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง
    อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้

    แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน

    สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้

    สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
    แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย

    #####
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 6 (จบ)
    (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)

    ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy

    แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy

    อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ

    ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน

    อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น

    อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร

    และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ

    นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม

    สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ

    อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร

    Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
    จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว

    ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ)

    ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ

    อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว

    ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร

    Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้
    และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก

    แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น

    อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้

    อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ
    ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ

    แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่
    หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน

    ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 5 A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่ ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ” ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย ! ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้ แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้ สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ##### นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 6 (จบ) (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน) ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ) ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้ และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้ อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่ หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 629 Views 0 Reviews
  • “สงครามเบราว์เซอร์ AI ปะทุ! Amazon สั่ง Perplexity หยุดใช้ Comet ซื้อของอัตโนมัติ”

    ลองนึกภาพว่าเบราว์เซอร์ของคุณสามารถซื้อของแทนคุณได้โดยอัตโนมัติ…แต่ Amazon ไม่เห็นด้วย! ล่าสุด Amazon ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังสตาร์ทอัพ AI อย่าง Perplexity ให้หยุดใช้ฟีเจอร์ซื้อของอัตโนมัติผ่านเบราว์เซอร์ Comet โดยทันที

    Amazon อ้างว่า Comet ละเมิดข้อตกลงการใช้งาน โดยใช้ “หุ่นยนต์หรือเครื่องมือเก็บข้อมูล” เพื่อเข้าถึงข้อมูลบัญชีและดำเนินการซื้อสินค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้

    แต่ Perplexity ไม่ยอมง่าย ๆ พวกเขาโต้กลับว่า Comet เป็น “user agent” ที่ทำงานแทนผู้ใช้โดยได้รับความยินยอม ไม่ใช่บอทหรือเครื่องมือเก็บข้อมูลแบบผิดกฎหมาย และกล่าวหาว่า Amazon กำลัง “รังแก” และพยายามควบคุมเสรีภาพของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

    เบื้องหลังของเรื่องนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก เช่น การที่ Perplexity เคยแอบปลอมตัว Comet ให้เหมือน Chrome เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และยังมีกรณีที่ Cloudflare และ Reddit เคยกล่าวหาว่า Perplexityใช้บอทเพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในยุคของ “AI Shopping Agent” ซึ่ง Amazon ก็เพิ่งเปิดตัวตัวช่วยซื้อของของตัวเองชื่อว่า “Buy for Me” เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

    Amazon ส่งคำสั่งให้ Perplexity หยุดใช้ Comet ซื้อของอัตโนมัติ
    อ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน โดยใช้บอทเก็บข้อมูล
    กังวลเรื่องความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้

    Perplexity โต้กลับว่า Comet เป็นตัวแทนผู้ใช้ ไม่ใช่บอท
    ทำงานตามคำสั่งและความยินยอมของผู้ใช้
    กล่าวหาว่า Amazon พยายามควบคุมเสรีภาพของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

    มีประวัติการหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    เคยปลอมตัว Comet ให้เหมือน Chrome เพื่อหลบการบล็อก
    Cloudflare และ Reddit เคยกล่าวหาว่าใช้บอทเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    Amazon เปิดตัว “Buy for Me” แข่งกับ Comet
    เป็น AI agent ที่ช่วยซื้อของแทนผู้ใช้
    เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “User agent” เป็นคำที่ใช้ในโปรโตคอล HTTP เพื่อระบุเบราว์เซอร์หรือแอปที่ผู้ใช้ใช้งาน
    การใช้บอทเพื่อซื้อของอัตโนมัติเริ่มแพร่หลายในวงการ e-commerce โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและนักช้อปสายเทค
    หลายแพลตฟอร์มเริ่มตั้งข้อจำกัดเพื่อป้องกันการใช้บอท เช่น CAPTCHA และระบบตรวจจับพฤติกรรม

    https://securityonline.info/ai-browser-war-amazon-demands-perplexitys-comet-ai-stop-automated-purchasing/
    🤖 “สงครามเบราว์เซอร์ AI ปะทุ! Amazon สั่ง Perplexity หยุดใช้ Comet ซื้อของอัตโนมัติ” ลองนึกภาพว่าเบราว์เซอร์ของคุณสามารถซื้อของแทนคุณได้โดยอัตโนมัติ…แต่ Amazon ไม่เห็นด้วย! ล่าสุด Amazon ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังสตาร์ทอัพ AI อย่าง Perplexity ให้หยุดใช้ฟีเจอร์ซื้อของอัตโนมัติผ่านเบราว์เซอร์ Comet โดยทันที Amazon อ้างว่า Comet ละเมิดข้อตกลงการใช้งาน โดยใช้ “หุ่นยนต์หรือเครื่องมือเก็บข้อมูล” เพื่อเข้าถึงข้อมูลบัญชีและดำเนินการซื้อสินค้า ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้ แต่ Perplexity ไม่ยอมง่าย ๆ พวกเขาโต้กลับว่า Comet เป็น “user agent” ที่ทำงานแทนผู้ใช้โดยได้รับความยินยอม ไม่ใช่บอทหรือเครื่องมือเก็บข้อมูลแบบผิดกฎหมาย และกล่าวหาว่า Amazon กำลัง “รังแก” และพยายามควบคุมเสรีภาพของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เบื้องหลังของเรื่องนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก เช่น การที่ Perplexity เคยแอบปลอมตัว Comet ให้เหมือน Chrome เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ และยังมีกรณีที่ Cloudflare และ Reddit เคยกล่าวหาว่า Perplexityใช้บอทเพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในยุคของ “AI Shopping Agent” ซึ่ง Amazon ก็เพิ่งเปิดตัวตัวช่วยซื้อของของตัวเองชื่อว่า “Buy for Me” เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ✅ Amazon ส่งคำสั่งให้ Perplexity หยุดใช้ Comet ซื้อของอัตโนมัติ ➡️ อ้างว่าละเมิดข้อตกลงการใช้งาน โดยใช้บอทเก็บข้อมูล ➡️ กังวลเรื่องความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้ ✅ Perplexity โต้กลับว่า Comet เป็นตัวแทนผู้ใช้ ไม่ใช่บอท ➡️ ทำงานตามคำสั่งและความยินยอมของผู้ใช้ ➡️ กล่าวหาว่า Amazon พยายามควบคุมเสรีภาพของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ✅ มีประวัติการหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ เคยปลอมตัว Comet ให้เหมือน Chrome เพื่อหลบการบล็อก ➡️ Cloudflare และ Reddit เคยกล่าวหาว่าใช้บอทเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ Amazon เปิดตัว “Buy for Me” แข่งกับ Comet ➡️ เป็น AI agent ที่ช่วยซื้อของแทนผู้ใช้ ➡️ เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “User agent” เป็นคำที่ใช้ในโปรโตคอล HTTP เพื่อระบุเบราว์เซอร์หรือแอปที่ผู้ใช้ใช้งาน ➡️ การใช้บอทเพื่อซื้อของอัตโนมัติเริ่มแพร่หลายในวงการ e-commerce โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาและนักช้อปสายเทค ➡️ หลายแพลตฟอร์มเริ่มตั้งข้อจำกัดเพื่อป้องกันการใช้บอท เช่น CAPTCHA และระบบตรวจจับพฤติกรรม https://securityonline.info/ai-browser-war-amazon-demands-perplexitys-comet-ai-stop-automated-purchasing/
    SECURITYONLINE.INFO
    AI Browser War: Amazon Demands Perplexity's Comet AI Stop Automated Purchasing
    Amazon issued a cease-and-desist to Perplexity's Comet AI browser, demanding it stop automated purchasing. Amazon calls it a bot; Perplexity calls it a user agent.
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 636 Views 0 Reviews
  • Ubuntu 26.04 LTS มาแล้ว! พร้อมแผนสนับสนุนยาว 5 ปี และฟีเจอร์ใหม่เพียบ

    วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายลินุกซ์โดยเฉพาะสาวก Ubuntu เพราะ Canonical ได้ประกาศแผนการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมรายละเอียดวันสำคัญและฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเวอร์ชันนี้จะได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 5 ปีเต็มไปจนถึงปี 2031 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของรุ่น LTS (Long-Term Support) ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

    Ubuntu 26.04 LTS จะเริ่มเข้าสู่ช่วง “Feature Freeze” หรือหยุดเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2026 และจะปล่อยเวอร์ชันเสถียรในวันที่ 23 เมษายน 2026 ส่วนผู้ใช้ Ubuntu 25.10 จะสามารถอัปเกรดได้ทันทีหลังจากปล่อย แต่ผู้ใช้ Ubuntu 24.04 LTS ต้องรอจนถึง Ubuntu 26.04.1 LTS ในเดือนสิงหาคมถึงจะอัปเกรดได้ เพื่อความมั่นคงของระบบ

    เวอร์ชันใหม่นี้จะมาพร้อมกับ GNOME 50, เคอร์เนลใหม่, ไดรเวอร์กราฟิกที่อัปเดต, ส่วนประกอบหลักที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust, การเข้ารหัสแบบ TPM ที่ปลอดภัยขึ้น และวอลเปเปอร์ใหม่ให้เลือกใช้

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    GNOME 50 คาดว่าจะมีการปรับปรุง UI ครั้งใหญ่ โดยเน้นความลื่นไหลและการใช้งานที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น
    การใช้ภาษา Rust ในส่วนประกอบหลักช่วยลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เพราะ Rust ป้องกันข้อผิดพลาดหน่วยความจำได้ดี
    TPM (Trusted Platform Module) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเข้ารหัสข้อมูลในเครื่องมีความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์
    การรออัปเดตผ่านเวอร์ชัน .1 (เช่น 26.04.1) เป็นแนวทางที่ Canonical ใช้เพื่อให้มั่นใจว่าเวอร์ชันใหม่มีความเสถียรจริงก่อนให้ผู้ใช้ LTS อัปเกรด

    กำหนดการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS
    19 ก.พ. 2026: Feature Freeze
    12 มี.ค. 2026: UI Freeze
    19 มี.ค. 2026: Kernel Feature Freeze
    23 มี.ค. 2026: Beta Freeze
    26 มี.ค. 2026: Beta Release
    9 เม.ย. 2026: Kernel Freeze
    16 เม.ย. 2026: Final Freeze & RC
    23 เม.ย. 2026: Stable Release
    6 ส.ค. 2026: Ubuntu 26.04.1 LTS

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าจับตามอง
    GNOME 50 ที่ปรับปรุง UI
    เคอร์เนลและไดรเวอร์กราฟิกใหม่
    ส่วนประกอบหลักเขียนด้วย Rust
    รองรับ TPM-based encryption
    วอลเปเปอร์ใหม่หลากหลาย

    การสนับสนุนระยะยาว
    Ubuntu 26.04 LTS จะได้รับการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยจนถึงปี 2031
    เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย

    https://securityonline.info/five-year-support-ubuntu-unveils-final-release-schedule-for-26-04-lts-edition/
    🧭 Ubuntu 26.04 LTS มาแล้ว! พร้อมแผนสนับสนุนยาว 5 ปี และฟีเจอร์ใหม่เพียบ วันนี้มีข่าวดีสำหรับสายลินุกซ์โดยเฉพาะสาวก Ubuntu เพราะ Canonical ได้ประกาศแผนการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมรายละเอียดวันสำคัญและฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเวอร์ชันนี้จะได้รับการสนับสนุนยาวนานถึง 5 ปีเต็มไปจนถึงปี 2031 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานของรุ่น LTS (Long-Term Support) ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป Ubuntu 26.04 LTS จะเริ่มเข้าสู่ช่วง “Feature Freeze” หรือหยุดเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2026 และจะปล่อยเวอร์ชันเสถียรในวันที่ 23 เมษายน 2026 ส่วนผู้ใช้ Ubuntu 25.10 จะสามารถอัปเกรดได้ทันทีหลังจากปล่อย แต่ผู้ใช้ Ubuntu 24.04 LTS ต้องรอจนถึง Ubuntu 26.04.1 LTS ในเดือนสิงหาคมถึงจะอัปเกรดได้ เพื่อความมั่นคงของระบบ เวอร์ชันใหม่นี้จะมาพร้อมกับ GNOME 50, เคอร์เนลใหม่, ไดรเวอร์กราฟิกที่อัปเดต, ส่วนประกอบหลักที่เขียนใหม่ด้วยภาษา Rust, การเข้ารหัสแบบ TPM ที่ปลอดภัยขึ้น และวอลเปเปอร์ใหม่ให้เลือกใช้ 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 💠 GNOME 50 คาดว่าจะมีการปรับปรุง UI ครั้งใหญ่ โดยเน้นความลื่นไหลและการใช้งานที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น 💠 การใช้ภาษา Rust ในส่วนประกอบหลักช่วยลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เพราะ Rust ป้องกันข้อผิดพลาดหน่วยความจำได้ดี 💠 TPM (Trusted Platform Module) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้การเข้ารหัสข้อมูลในเครื่องมีความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์ 💠 การรออัปเดตผ่านเวอร์ชัน .1 (เช่น 26.04.1) เป็นแนวทางที่ Canonical ใช้เพื่อให้มั่นใจว่าเวอร์ชันใหม่มีความเสถียรจริงก่อนให้ผู้ใช้ LTS อัปเกรด ✅ กำหนดการปล่อย Ubuntu 26.04 LTS ➡️ 19 ก.พ. 2026: Feature Freeze ➡️ 12 มี.ค. 2026: UI Freeze ➡️ 19 มี.ค. 2026: Kernel Feature Freeze ➡️ 23 มี.ค. 2026: Beta Freeze ➡️ 26 มี.ค. 2026: Beta Release ➡️ 9 เม.ย. 2026: Kernel Freeze ➡️ 16 เม.ย. 2026: Final Freeze & RC ➡️ 23 เม.ย. 2026: Stable Release ➡️ 6 ส.ค. 2026: Ubuntu 26.04.1 LTS ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าจับตามอง ➡️ GNOME 50 ที่ปรับปรุง UI ➡️ เคอร์เนลและไดรเวอร์กราฟิกใหม่ ➡️ ส่วนประกอบหลักเขียนด้วย Rust ➡️ รองรับ TPM-based encryption ➡️ วอลเปเปอร์ใหม่หลากหลาย ✅ การสนับสนุนระยะยาว ➡️ Ubuntu 26.04 LTS จะได้รับการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยจนถึงปี 2031 ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบเสถียรและปลอดภัย https://securityonline.info/five-year-support-ubuntu-unveils-final-release-schedule-for-26-04-lts-edition/
    SECURITYONLINE.INFO
    Five-Year Support: Ubuntu Unveils Final Release Schedule for 26.04 LTS Edition
    Ubuntu 26.04 LTS release schedule finalized: Feature freeze Feb 19, 2026; final stable release April 23, 2026. LTS users must wait until Aug 6, 2026, to upgrade.
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • โขนพระราชทาน สนองพระราชเสาวนีย์ พระพันปีหลวง : คนเคาะข่าว 5-11-68

    ร่วมสนทนา
    -รศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้กำกับการแสดงโขนมูลนิธิศิลปาชีพฯ
    -คุณประเมษฐ์ บุณยะชัย (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
    -คุณรัจนา พวงประยงค์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (ละครนาง)
    -คุณวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (โขนลิง)
    และ นักแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี”

    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=eBcQHlxzmuE
    โขนพระราชทาน สนองพระราชเสาวนีย์ พระพันปีหลวง : คนเคาะข่าว 5-11-68 ร่วมสนทนา -รศ.ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้กำกับการแสดงโขนมูลนิธิศิลปาชีพฯ -คุณประเมษฐ์ บุณยะชัย (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ -คุณรัจนา พวงประยงค์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (ละครนาง) -คุณวิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ (ศิลปินแห่งชาติ)ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ (โขนลิง) และ นักแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ https://www.youtube.com/watch?v=eBcQHlxzmuE
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 192 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 1

    ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว

    เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า

    อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน

    ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้
    นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม

    Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน

    เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม

    Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู

    เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น

    ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 2

    ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ
    Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 %

    เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก

    J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน

    มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน

    เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia

    ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ
    จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง….

    แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที

    ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์”

    สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 3

    นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ
    บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม !

    Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย
    นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson

    ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…”

    4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก

    Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน

    กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น

    สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ
    จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 1 ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้ นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 2 ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 % เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง…. แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์” สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 3 นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ! Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…” 4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 554 Views 0 Reviews
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 586 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 3

    นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร

    แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร

    ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้

    ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้
    ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง

    ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน !

    หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง

    แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ :

    “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย”
    หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต

    สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก”

    ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank

    แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต

    ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 3 “หัวโจก”

    ตอน 4

    นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ
    แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้

    ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin

    รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน

    เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ

    – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน

    Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน
    – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ

    – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ

    เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก

    Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้”

    Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ

    Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ

    เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หัวโจก 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 3 นาย Olof Aschberg หรือ ที่พวกสื่อเรียกเขาว่า “Bolsheviks Banker” นายธนาคารของพวก Bolsheviks เป็นชาวสวีเดน และเป็นเจ้าของธนาคาร “Nya Banken ” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1912 ที่เมือง Stockholm บรรดากรรมการของ Nya Banken เป็นพวกไฮโซ ในวงการธุรกิจและสังคมในสวีเดนทั้งนั้น แต่ในปี 1918 Nya Banken ก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร ขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมีข้อกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เยอรมัน คู่ต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่นาย Olof Aschberg ไม่เดือดร้อน เขาเลี่ยงบัญชีดำ โดยเปลี่ยนชื่อ Nya Banken เป็น Svensk Ekonomiebolaget (ชื่อยาวชมัด) แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการอยู่เหมือนเดิม ธนาคารตัวแทนของ Nya Bank ที่ลอนดอน คือ British Bank of North Commerce ซึ่งประธานคือ Lord Earl Grey ซึ่งเป็นเพื่อนของนาย Cecil Rholds แห่งสมาคม Round Table ที่มีอิทธิพลสูงในอังกฤษ ที่เกือบจะเหมือนเป็นรัฐบาลเงาของอังกฤษอยู่แล้ว แบบนี้ Olof Aschberg คงไม่ต้องเกรงใจใคร ทำท่าจะเป็นเรื่องเล่นกันรอบวง ไม่มีใครตกหล่น ลงแขก หมาหมู่ รุมกันตื๊บ ร่วมกันโกง แย่งกันกิน สันดานแบบนี้ บางที ร้อยปีก็แก้ไม่หาย เผลอๆ หมาไน และอีแร้ง ยอมถอยให้ ส่วนแวดวงธุรกิจของ Olof Aschberg ก็ไม่ใช่ธรรมดา ผู้ที่เขาคบค้า เป็นพวกหัวแถวมีอิทธิพลในสมัยนั้นทั้งนั้น เช่น นาย Krassin ซึ่งเป็นผู้จัดการของ Siemens ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมของเยอรมันที่เมืองPetrograd นาย Carl Furstenberg รัฐมนตรีคลังของรัฐบาล Bolsheviks ชุดแรก และนาย Max May ชาวเยอรมันรองประธานฝ่ายต่างประเทศของ Guaranty Trust of New York ซึ่ง Olof Aschberg ประจบประแจง ชนิดแทบจะเอาลิ้นเช็ดรองเท้าให้ ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1916 Olof Aschberg เดินทางไปนิวยอร์คในฐานะ เจ้าของ Nya Banken และในฐานะตัวแทน ของนาย Pierre Bark รัฐมนตรีคลัง ของซาร์นิโคลัส เรียกว่า ไปแบบฟอร์มใหญ่ หนังสือพิมพ์ New York Time ฉบับวันที่ 4 สิงหาคม 1916 ลงข่าวว่า Aschberg มานิวยอร์ค เพื่อเจรจาเงินกู้ 50 ล้านเหรียญให้แก่ซาร์ของรัสเซีย กับกลุ่มธนาคารอเมริกัน ซึ่งนำโดย National City Bank ซึ่งใช้วิธีออกพันธบัตร ให้ผู้กู้ 50 ล้านเหรียญ กินดอกเบี้ย จากผู้กู้ และเอาพันธบัตรนั้นมาขายต่อในตลาดทุนของอเมริกา ทำกำไรอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เงินกู้ของรัสเซีย ภายใต้การปกครองของซาร์ กำลังขายว่อนกันอยู่ในตลาดทุนนิวยอร์ค Nya Banken และ Olof Aschberg ก็ส่งเงินอีกจำนวนที่รับมาจากรัฐบาลเยอรมัน ไปให้นักปฏิวัติชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งจะไปล้มคณะผู้บริหารชุด Kerensky และเอาพวก Bolsheviks เข้ามาแทน ! หลักฐานที่แสดงว่า Olof Aschberg เป็นเครือข่ายใกล้ชิด ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ Bolsheviks Revolution มาจากหลายแหล่ง แต่เอกสารที่แสดงให้เห็นชัดถึง ความเกี่ยวข้องของ Nya Banken คือในเอกสารชื่อ “The Charges Against the Bolsheviks” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นในสมัยของ Kerensky โดยเฉพาะเอกสารชิ้นหนึ่ง ที่ลงชื่อโดย นาย Gregory Alexinsky อดีตสมาชิกรัฐสภา ซึ่งระบุถึงการโอนเงิน บางส่วนไว้ดังนี้ : “เกี่ยวกับเรื่องข้อมูล ที่เพิ่งจะได้รับเดี๋ยวนี้ ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องการให้เงินใน Stockholm คือ : Bolsheviks Jacob Furstenberg หรือที่รู้จักกันดี ในนาม “Hanecki” และ Parvus (Dr. Helphand) ใน Petrograd : ทนายของ Bolsheviks, M.U. Kozlovsky.. … Kozlovsky เป็นหัวหน้า ในการรับเงินของพวกเยอรมัน และโอนจากเบอร์ลินผ่าน Disconto Gesellschaft มาที่ Stockholm ผ่านมาเข้าที่ Siberian Bank ใน Petrograd ซึ่งขณะนี้เงินในบัญชีดังกล่าว มีเกินกว่า 2 ล้านรูเบิล เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ได้ตรวจสอบ พบว่ามีโทรเลขติดต่อกัน ระหว่างตัวแทนเยอรมันและหัวหน้า Bolsheviks เกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองและการสนับสนุนทางการเงินด้วย” หลายปีต่อมา ประมาณปี ค.ศ.1922 โซเวียตได้ตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ Ruskombank (Foreign Commercial Bank หรือ Bank of Foreign Commerce) ผู้ร่วมทุนของธนาคารนี้ มี เยอรมัน สวีเดน อเมริกา และอังกฤษ และมีนาย Olof Aschberg เป็นประธาน ส่วนกรรมการอื่นๆ มีทั้งตัวแทนธนาคารตั้งแต่สมัยซาร์ยังมีอำนาจ ตัวแทนจากเยอรมัน ตัวแทนจากสวีเดน ตัวแทนของธนาคารอเมริกัน และตัวแทนของสหภาพโซเวียต สถานฑูตอเมริกาใน Stockholm รายงานไปทางวอซิงตันในเรื่องนี้ และขอให้ตรวจสอบเครดิตของ Aschberg ซึ่งมีข่าวว่า “แย่มาก” ต้นเดือนตุลาคม 1922 มีการพบกันที่ Berlin ระหว่าง Olof Aschberg กับ Emil Wittenberg กรรมการของ Nationalbank fur Deutschland และ Scheinmann ประธาน Russian State Bank เพื่อหารือ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเยอ รมันใน Ruskombank หลังจากนั้นทั้ง 3 คน ก็เดินทางไป Stockholm และพบกับนาย Max May รองประธานของ Guaranty Trust และมีการตกลงกันให้ Max May มาเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของ Ruskombank แน่นอนตัวแทนของ Ruskombank ในอเมริกาคือ Guaranty Trust แต่แล้วในต้นปี 1924 เกิดการงัดข้อกัน ระหว่าง Ruskombank กับสำนักงานตัวแทนการค้าของโซเวียต (Soviet Foreign-Trade Commissariat) และ Olof Aschberg ก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ที่ Ruskombank โดยถูกกล่าวหาว่าใช้เงินของธนาคารอย่างไม่สุจริต ภายหลัง Ruskombank เปลี่ยนชื่อเป็น Vneshtorg และใช้อยู่จนปัจจุบันนี้ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 3 “หัวโจก” ตอน 4 นอกจากจะเลี่ยงกฏหมาย ให้เงินกู้ แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อเข้าทำสงครามสู้กับเยอรมันแล้ว กลุ่มการเงินของอเมริกา ยังให้เงินกู้กับรัสเซียตั้งแต่สมัยซาร์นิโคลัส เพื่อเข้าร่วมกลุ่มกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ทำสงคราม กับ ฝ่ายเยอรมันด้วย และเมื่อซาร์ถูกปฏิวัติโค่นล้ม เงินทุนที่ใช้ในการปฏิวัติโค่นซาร์ ก็มารู้กันภายหลังอีกว่า มาจากเงินทุน ของกลุ่มนักการเงินของอเมริกา กลุ่มเดิมนั่นแหละ ชั่วได้ใจจริงๆ แต่อย่าเพิ่งนึกว่า อเมริกาทำชั่วได้เพียงเท่านี้ ระหว่างที่กำลังทำสงครามโลกนั้น เยอรมันก็พยายามหาเงินกู้ เพื่อเอามาใช้ปฏิบัติงานด้านข่าวกรอง และจารกรรมทั้งในอเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แต่เราคงจะนึกไม่ถึงว่า เงินกู้ที่เยอรมันได้มานั้น ก็มาจากแหล่งเงินกู้กลุ่มเดิม คือ Guaranty Trust และ American International Corporation ซึ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการ ก่อนและหลังการปฏิวัติของพวก Bolsheviks และรัฐบาลเยอรมัน ก็มีส่วนสนับสนุนการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ผ่านนักปฏิวัติกลุ่ม Lenin รายงานการให้เงินกู้แก่พวกเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ของกลุ่มธนาคารอเมริกัน ได้ถูกส่งไปให้คณะกรรมาธิการ 1919 Overman Committee ของวุฒิสมาชิกอเมริกา มันเป็นรายงาน ที่ฝ่ายข่าวกรองของอเมริกา สรุปมาจากคำให้การของนาย Karl Heynen ซึ่งเดินทางเข้ามาในอเมริกาในเดือนเมษายน 1915 โดยอ้างว่า เพื่อมาช่วย Dr. Albert เกี่ยวกับธุรกิจและการเงินของรัฐบาลเยอรมัน หน้าที่ ที่เขาแจ้งกับทางการไว้คือ ดูแลการขนส่งสินค้าจากอเมริกา ผ่านสวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และฮอลแลนด์ ไปให้เยอรมัน เงินกู้รายใหญ่ๆ ของเยอรมัน ที่มาจากแหล่งเงินกู้ในอเมริกาช่วงปี 1915 ถึง 1918 ตามคำให้การของ Heynen คือ – เงินกู้จำนวนแรก 4 แสนเหรียญ ทำการกู้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1914 ให้กู้โดย Kuhn, Loeb & Co มีหลักประกันเป็นเงินฝาก จำนวนเงิน 25 ล้านมาร์ค ฝากอยู่ที่ Max M. Warburg ในเมือง Hamburg ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kuhn, Loeb & Co ที่เยอรมัน Caption George B Lester ของฝ่ายข่าวกรองอเมริกัน แจ้งต่อวุฒิสภาว่า เมื่อถาม Heynen ว่า ทำไมกู้เงินจาก Kuhn, Loeb & Co คำตอบคือ “เราเห็นว่า Kuhn, Loeb & Co เป็นธนาคารของรัฐบาลเยอรมัน – เงินกู้จำนวนที่สาม มาจาก Chase National Bank (ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Morgan) จำนวน 3 ล้านเหรียญ – เงินกู้จำนวนที่สี่ มาจาก Mechanics and Metal National Bank จำนวน 1 ล้านเหรียญ เงินกู้เหล่านี้นำไปใช้ในงานจารกรรมในอเมริกาและเม็กซิโก Count Von Bernstorff ฑูตเยอรมัน ที่ประจำอยู่ที่อเมริกาขณะนั้น เล่าว่า เขาสนิทกับ Adolph Von Pavenstedt มาก จริงๆแล้ว Von Pavenstedt ก็สนิทกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตเยอรมันทุกคนแหละ “Von Pavenstedt เป็นคนที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากผู้คนทั่วไป เขาอาจเป็นคนเยอรมัน ที่ได้รับการเคารพสูงสุดในนิวยอร์ค ก็ว่าได้” Von Pavenstedt เป็นหุ้นส่วนอาวุโสของ Armsinck & Co ซึ่งเป็นบริษัท ที่อยู่ภายใต้การบริหาร และการถือหุ้นของ American International Corporation (AIC) ที่มีคณะกรรมการ เป็นระดับเจ้าพ่อของวอลสตรีททั้งนั้น เช่น Rockefeller, Kahn, Stillman, Du Pont, Winthrop ฯลฯ Von Pavenstedt ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นส่วนอาวุโส ของ Armsinck &Co อย่างเดียว แต่เขายังเป็นเฟืองตัวสำคัญของเครือข่ายสายลับเยอรมันในอเมริกาอีกด้วย เขาเป็นหัวหน้า ผู้ดูแล และทำหน้าที่จ่ายเงิน ให้แก่บรรดาสายลับเยอรมันในอเมริกา ตกลง Armsinck & Co ของ American International Corporation (AIC) ก็เป็นผู้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ในการให้ความสนับสนุนแก่สายลับเยอรมัน ทำจารกรรมในอเมริกาเอง ในช่วงที่กำลังมีสงครามนั่นแหละ เป็นไงครับ ชั่วถึงใจไหม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 481 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 6

    เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน

    การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย

    ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย

    นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks”

    ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ

    นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917
    ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง
    ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin

    จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน

    จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..”

    Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน

    วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน
    (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง )

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 6 เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks” ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917 ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..” Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 438 Views 0 Reviews
More Results