• #สำลักน้ำลาย #อันตราย #เสียชีวิต #ผู้สูงอายุ #ผู้สูงวัย #สุขภาพ
    https://youtu.be/P5_XrRn7mNc
    #สำลักน้ำลาย #อันตราย #เสียชีวิต #ผู้สูงอายุ #ผู้สูงวัย #สุขภาพ https://youtu.be/P5_XrRn7mNc
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กฤษณาคลินิกการแพทย์แผนไทย #แพทย์แผนไทย #ยาสมุนไพร #ยาอายุวัฒนะ #พุทธวจน #สุขภาพ #ล้างพิษ #กระทุ้งพิษ #เลือดลม #น้ำเหลืองเสีย #ฟอกเลือด #บำรุงเลือด #ชะลอวัย #เวชศาสตร์ชะลอวัย #ผู้สูงวัย #ผู้สูงอายุ
    #กฤษณาคลินิกการแพทย์แผนไทย #แพทย์แผนไทย #ยาสมุนไพร #ยาอายุวัฒนะ #พุทธวจน #สุขภาพ #ล้างพิษ #กระทุ้งพิษ #เลือดลม #น้ำเหลืองเสีย #ฟอกเลือด #บำรุงเลือด #ชะลอวัย #เวชศาสตร์ชะลอวัย #ผู้สูงวัย #ผู้สูงอายุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ
    อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด
    ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร
    ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม
    ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้
    ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง
    ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้
    ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย
    📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve
    📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ
    ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้
    📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron
    ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ)
    ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด
    ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้
    📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน
    ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells
    ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon
    📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป
    ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว
    📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม
    ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต
    📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ
    ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve
    📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น
    📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา
    😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก
    ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ
    📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น
    📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง
    ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น
    📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย
    ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic
    📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก
    ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น
    📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง
    ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว
    ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง
    📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้
    📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง
    📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น
    📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน
    📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05)
    ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%.
    📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า
    การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ
    📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย
    📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที
    📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ
    ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท
    เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021
    Cr : Ramone Jira
    คนที่ชอบ swab บ่อยๆ อดทนอ่านสักนิดนะ อันนี้เค้าแปลไทยมาให้แล้ว บรรทัดต่อบรรทัด ว่ามันอันตรายยังไง แบบไหน เพราะอะไร ⏩เหตุใดหน่วยงานภาครัฐจึงยังดึงดันที่จะบังคับใช้ TR-PCT test เป็น Gold Standard ในการวินิจฉัยผู้ติดเชื้อโkวิdให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และบ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ในบุคคลเดิม ⏩ทั้งที่เทคนิคนี้ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวางโดยนักวิทยาศาตร์และบุคลากรทางการแพทย์กว่าห้าหมื่นคนทั่วโลกแล้วว่าเป็นวิธีที่เชื่อถือไม่ได้ ⏩ให้ผลบวกลวง หรือ False Positive มหาศาลกว่า 90% และแม้แต่ Dr. Kary Mullis ผู้คิดค้นเทคนิคนี้เอง ยังยืนกรานออกสื่อหลายครั้งว่ามันไม่เที่ยงตรงและนำไปสู่การแปลผลผิดพลาดได้ ❓เหตุใดจึงเลือกวิธีล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะของพวกเราอย่างมากทั้งที่สามารถทำได้ง่ายจากการตรวจวิเคราะห์น้ำลาย 📌การสอดไม้ Swab เข้าไปกว้านลึกถึงเพดานจมูกสามารถสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve 📌ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและอายุขัยของมนุษย์ เนื่องจาก olfactory nerve เป็นปราการด่านหนึ่งในสองของกะโหลกศรีษะ ⏩ซึ่งเชื่อมระหว่างโพรงจมูกกับสมอง ที่ไวรัสและแบคทีเรียสามารถเดินทางข้าม blood-brain barrier เข้าสู่สมองได้ 📌นอกจากนี้ olfactory nerve ยังเป็นเซลล์ชนิดเดียวในกะโหลกศรีษะที่มี stem cells เรียกว่า olfactory ensheathing cells ที่ล้อมรอบเซลล์รับกลิ่น olfactory sensory axons ส่วนที่ยื่นออกมาจากเซลล์ประสาท neuron ⏩ทำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทจากเซลล์ร่างกาย พวกมันทำหน้าที่ปกป้อง olfactory nerve และช่วยการสร้างเซลล์ใหม่เมื่อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย (สเต็มเซลล์ชนิดนี้มีความพิเศษมากจนถูกนำไปใช้ในการซ่อมแซมไขสันหลังบาดเจ็บและรักษาโรคทางสมองหลายชนิดในการแพทย์ปัจจุบันอย่างประสบความสำเร็จ) ⏩นอกจากนี้ olfactory ensheathing cells ยังช่วยเป็นภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด ✅เนื่องจากมันประพฤติตัวเป็น phagocytic กล่าวคือ จับกินและย่อยสลายเชื้อโรคได้ 📌ดังนั้น มันจึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันสมองโดยระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกาย โดยเซลล์ประสาท Olfactory และ neuron bulb มีอายุขัย 4-8 เดือน ก่อนจะถูกแทนที่อย่างต่อเนื่องด้วย neuron stem cell อย่าง olfactory ensheathing cells ⏩มันช่วยส่งเสริมการอยู่รอดของเซลล์ประสาทและช่วยในการขยายตัวของ axon 📌จากงานวิจัยล่าสุด แสดงให้เห็นว่า หาก olfactory ensheathing cells สูญเสียความสามารถในการสร้างใหม่หรือซ่อมแซมตัวเองไป ‼️จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตภายใน 5 ปี ในผู้ใหญ่วัย 57 – 85 ปี เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าตัว 📌การทำงานของ olfactory จึงเสมือนเป็นเครื่องทำนายความสามารถในการดำรงชีวิตภายใน 5 ปี เป็นสัญญาณเตือนเมื่อการสร้างใหม่ของเซลล์ช้าลง และใช้เป็นเครื่องบ่งชี้เมื่อมีการสะสมสารพิษที่สัมผัสจากสิ่งแวดล้อม ‼️ Olfactory nerve ที่เสียหายเสมือนป้อมปราการสู่สมองถูกทำลาย ทำให้ง่ายต่อการถูกโจมตีด้วยสิ่งแปลกปลอมและส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิต 📌การ swab PCR เป็นระยะ จนทำลายความสามารถในการสร้างใหม่ต่อ Olfactory nerve ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่อายุ 57 – 85 ปี ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มผู้สูงอายุ ‼️การทดสอบ PCR test มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าต่อ Olfactory nerve 📌ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ⏩ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อนี้ได้ถูกนำไปสนับสนุนให้รัฐบาลยกระดับมาตรการต่อโรคระบาดยิ่งขึ้น 📌เมื่อมีผู้ถูกทดสอบโดย PCR เพิ่มขึ้น เซลล์ป้องกันจึงถูกทำลายมากขึ้นและมีผู้ติดเชื้อหลากหลายชนิดเพิ่มขึ้นในครั้งต่อมา 😔โดยจะถูกตีความต่อไปว่า เกิดการติดเชื้อจากไวรัสโkวิdด้วยการเพิ่มจำนวน Cycle ใน thermal cycler จนกว่าเปอร์เซ็นต์จะเพิ่มจนให้ผลเป็นบวก ⏩เพื่อสรุปว่าเป็นโkวิdตามต้องการ 📌อาจมีการโต้แย้งว่า การทดสอบ swab ช่องจมูกที่ถูกต้อง ควรกวาดเป็นมุมสูงไม่เกิน 30 องศา จากแนวระนาบเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นประสาทรับกลิ่น 📌แต่ในตำแหน่งดังกล่าวนี้ ไม้ Swab จะไปไปสัมผัสเส้นประสาท Trigeminal แทน ซึ่งเป็น blood-brain barrier เข้าสู่สมองปราการที่สอง ‼️ส่งผลต่อการรับรสและการมองเห็น 📌นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทำลายประสาทรับกลิ่นและรส ไม้ swab ไม่จำเป็นต้องไปสัมผัสโดนจนก่ออันตรายต่อเซลล์ประสาท Trigeminal หรือ Olfactory โดยตรงเลย ⁉️แค่ลำพังการสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อเมือกในโพรงจมูก ก็สามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั้งระบบ Limbic 📌เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ‼️สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดผู้ป่วยโควิดจึงสูญเสียการตอบสนองทางพฤติกรรมที่ควบคุมโดยระบบ Limbic เช่น การนอนหลับ ความเหนื่อยล้า การรับรู้ การปรับตัว การเคลื่อนไหว ความจำ เป็นต้น 📌นอกจากปลายของไม้ swab มีเขี้ยวขรุขระ ประกอบกับวิธีการสอดที่ลึกและการหมุนที่กว้างอย่างรุนแรง ⏩ถูกออกแบบมาเพื่อขีดข่วนสร้างความเสียหายให้เยื่อยุผิวมากที่สุดแล้ว ‼️ยังพบว่ามีการใช้สารเคมี ethylene oxide ที่รู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง 📌ถูกนำมาใช้ในการฆ่าเชื้อใน PCR swab test ก่ออันตรายกับเยื่อเมือกโพรงจมูกซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความไวต่อการแพ้ 📌ร่วมกับมาตรการบังคับใช้ให้สวมหน้ากากอนามัยทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง 📌จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียและไวรัสให้เข้าสู่สมองผ่าน Olfactory nerve และ Trigeminal neve ที่เสียหายให้มากยิ่งขึ้น 📌จากผลการศึกษาหลายร้อยชิ้น แสดงให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากอนามัยเป็นแหล่งปนเปื้อนแบคทีเรียและเชื้อราจำนวนมาก เมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน 📌และหลายงานวิจัยยืนยันว่าการใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินหายใจสั้นลง และความเหนื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05) ⏩ในหน้ากาก N95 ออกซิเจนลดลง 72%, คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 82%, อาการปวดหัว 60%, ความบกพร่องของการหายในอุณหภูมิและความชื้นที่เพิ่มขึ้น 100%. 📌นอกจากนี้ หลายการศึกษาพบว่า การใส่หน้ากากอนามัย ไม่สามารถปิดกั้นการแพร่กระจายของละอองไวรัสได้อย่างสมบูรณ์แม้ขณะปิดสนิท จึงไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ 📌ในปี 2020 เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่รอดพ้นการการทดสอบ PCR มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีอาการแสดงการติดเชื้อโควิดเลย 📌กระทั่งปี 2021 เมื่อมีการทดสอบเชิงรุก พวกเขาก็เริ่มแสดงอาการ ที่เกิดจากโkวิdทันที 📌ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการสร้างความเสียหายต่อสมองโดยจงใจ ‼️ความบกพร่องในการทำงานของศูนย์กลางการหายใจในสมอง Medula oblongata ก่อให้เกิดภาวะหายใจลำบาก Dyspnoea โดยที่ไม่มีการติดเชื้อหรือรอยโรคใดที่ปอด แต่เป็นความเสียหายทางสมองและระบบประสาท เราเรียบเรียงใหม่จากส่วนหนึ่งในบทความ PCR Tests and the Depopulation Program by Kevin Galalae, 10 October 2021 Cr : Ramone Jira
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกันบำนาญ หลายๆคนไม่สนใจ และให้ความสำคัญท้ายๆ
    แต่… จริงๆควรต้องรีบทำเพราะยิ่งทำเร็วยิ่งได้ประโยชน์สูงสุด
    หลังเกษียณควรจะมีรายได้ที่แน่นอน นิ่งๆ ซึ่งประกันบำนาญช่วยเรื่องนี้ได้ 😎😎

    #ประกันชีวิต #AIA #แผนเกษียณ #วางแผนการเงินด้วยประกัน #ประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี #เงินเลี้ยงดูผู้สูงอายุ #ประกันบำนาญ #ประกันบํานาญ
    ประกันบำนาญ หลายๆคนไม่สนใจ และให้ความสำคัญท้ายๆ แต่… จริงๆควรต้องรีบทำเพราะยิ่งทำเร็วยิ่งได้ประโยชน์สูงสุด หลังเกษียณควรจะมีรายได้ที่แน่นอน นิ่งๆ ซึ่งประกันบำนาญช่วยเรื่องนี้ได้ 😎😎 #ประกันชีวิต #AIA #แผนเกษียณ #วางแผนการเงินด้วยประกัน #ประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี #เงินเลี้ยงดูผู้สูงอายุ #ประกันบำนาญ #ประกันบํานาญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดรายงาน สตง.สอบปัญหาเงินขาดบัญชี 15 หน่วยงาน พบพฤติการณ์ทุจริตเพียบ จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเจอชื่อคนตาย จัดเก็บค่าน้ำ-ขยะมูลฝอย มีหมุนเงินไปใช้ส่วนตัว ระบบ KTB Corporate Online เข้าไปทำรายการโอนเงินผ่านเมนูชำระค่าสินค้าเข้าบัญชีเงินฝากตนเอง ส่งเรื่อง ป.ป.ช. หน่วยงานเกี่ยวข้อง แจ้งสอบสวนลงโทษตามขั้นตอนกม.แล้ว

    https://isranews.org/article/isranews-news/133068-invesssasasassasad.html

    #Thaitimes
    เปิดรายงาน สตง.สอบปัญหาเงินขาดบัญชี 15 หน่วยงาน พบพฤติการณ์ทุจริตเพียบ จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเจอชื่อคนตาย จัดเก็บค่าน้ำ-ขยะมูลฝอย มีหมุนเงินไปใช้ส่วนตัว ระบบ KTB Corporate Online เข้าไปทำรายการโอนเงินผ่านเมนูชำระค่าสินค้าเข้าบัญชีเงินฝากตนเอง ส่งเรื่อง ป.ป.ช. หน่วยงานเกี่ยวข้อง แจ้งสอบสวนลงโทษตามขั้นตอนกม.แล้ว https://isranews.org/article/isranews-news/133068-invesssasasassasad.html #Thaitimes
    ISRANEWS.ORG
    พบทุจริตเพียบ! สตง.สอบปัญหาเงินขาดบัญชี 15 หน่วยงาน-เจอชื่อคนตายรับเบี้ยยังชีพคนชรา
    เปิดรายงาน สตง.สอบปัญหาเงินขาดบัญชี 15 หน่วยงาน พบพฤติการณ์ทุจริตเพียบ จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเจอชื่อคนตาย จัดเก็บค่าน้ำ-ขยะมูลฝอย มีหมุนเงินไปใช้ส่วนตัว ระบบ KTB Corporate Online เข้าไปทำรายการโอนเงินผ่านเมนูชำระค่าสินค้าเข้าบัญชีเงินฝากตนเอง ส่งเรื่อง ป.ป.ช. หน่วยงานเกี่ยวข้อง แจ้งสอบสวนลงโทษตามขั้นตอนกม.แล้ว
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแสดงบาสโลปของกลุ่มคนรักสุขภาพเตาปูนแสดงในกิจกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุเตาปูน
    การแสดงบาสโลปของกลุ่มคนรักสุขภาพเตาปูนแสดงในกิจกรรมโรงเรียนผู้สูงอายุเตาปูน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 105 0 รีวิว
  • ## นับถอยหลัง "กองทุนประกันสังคม" เหลือเงิน 0 บาทปี 97 ##
    ..
    ..
    เพราะงั้น การเก็บเงินจาก ผู้ประกันตน 1,000 บาท ที่ง้างกันมานับ 10 ปี อาจหวนกลับมาหนาหูอีกครั้ง หล่ะมั้ง...???
    .
    ไม่รู้ว่าบริหารอย่างไร จึงกลายมาเป็นลักษณะเช่นนี้ได้...
    .
    แต่...!!!
    .
    จะว่าไปสังคมผู้สูงอายุนี่ ปัญหาใหญ่จริงๆนั่นแหล่ะ เพราะคนส่วนใหญ่ สูงอายุ รายได้ที่เคยมีหดตัวลง หรือ หายไป
    .
    ส่วน ผู้ที่อายุน้อยรายได้อาจยังไม่เยอะมากเท่าไหร่...
    .
    ดังนั้น เท่ากับ ผู้ที่รายได้ไม่มาก จำนวนน้อย แบก สภาวะสังคมผู้สูงอายุ แบบนี้ไว้...
    .
    หวังว่าวันนึง ประเทศไทย จะเจอนักการเมืองที่ดี มีสติปัญญา หาทางแก้ไขได้ ด้วยปัญญา
    .
    ไม่รู้ผมแก่ตัวไปจะยังทันได้เห็นมั้ย...???
    .
    🤣🤣🤣🤣



    https://www.thansettakij.com/business/economy/610249
    .
    ## นับถอยหลัง "กองทุนประกันสังคม" เหลือเงิน 0 บาทปี 97 ## .. .. เพราะงั้น การเก็บเงินจาก ผู้ประกันตน 1,000 บาท ที่ง้างกันมานับ 10 ปี อาจหวนกลับมาหนาหูอีกครั้ง หล่ะมั้ง...??? . ไม่รู้ว่าบริหารอย่างไร จึงกลายมาเป็นลักษณะเช่นนี้ได้... . แต่...!!! . จะว่าไปสังคมผู้สูงอายุนี่ ปัญหาใหญ่จริงๆนั่นแหล่ะ เพราะคนส่วนใหญ่ สูงอายุ รายได้ที่เคยมีหดตัวลง หรือ หายไป . ส่วน ผู้ที่อายุน้อยรายได้อาจยังไม่เยอะมากเท่าไหร่... . ดังนั้น เท่ากับ ผู้ที่รายได้ไม่มาก จำนวนน้อย แบก สภาวะสังคมผู้สูงอายุ แบบนี้ไว้... . หวังว่าวันนึง ประเทศไทย จะเจอนักการเมืองที่ดี มีสติปัญญา หาทางแก้ไขได้ ด้วยปัญญา . ไม่รู้ผมแก่ตัวไปจะยังทันได้เห็นมั้ย...??? . 🤣🤣🤣🤣 https://www.thansettakij.com/business/economy/610249 .
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    นับถอยหลัง "กองทุนประกันสังคม" เหลือเงิน 0 บาทปี 97
    พิพัฒน์ รมว.แรงงาน เปิดตัวเลขเงินกองทุนประกันสังคม เผย พุ่งสูงสุดที่ 6 ล้านล้านบาทในปี 2585 ก่อนดิ่งเหวลดลงเหลือ "ศูนย์" บาทในปี 2597 เร่งระดมมาตรการแก้ไขด่วน
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ?

    #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009).

    ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

    1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013).

    2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019).

    ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ

    แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้

    กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998).

    -------------

    เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น

    นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015).

    การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้

    -------------

    ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? **

    เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011).

    การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014).

    การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020).

    -------------

    ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? **

    ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011).

    การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006).

    การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006).

    -------------

    ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? **

    เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ

    การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008).

    เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013).

    นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008).

    นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    --------

    การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ

    ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ? #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009). ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013). 2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019). ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้ กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998). ------------- เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015). การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้ ------------- ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? ** เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011). การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014). การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020). ------------- ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? ** ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011). การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006). การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006). ------------- ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? ** เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008). เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008). นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง -------- การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้ เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ?

    #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009).

    ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

    1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013).

    2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019).

    ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ

    แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้

    กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998).

    -------------

    เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น

    นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015).

    การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้

    -------------

    ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? **

    เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011).

    การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014).

    การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020).

    -------------

    ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? **

    ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011).

    การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006).

    การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006).

    -------------

    ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? **

    เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ

    การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008).

    เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013).

    นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008).

    นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    --------

    การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ

    ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    ทำไมกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ "ในวัย เกษียณ" ? #การดูแลสุขภาพ ในวัย #เกษียณ ต้องการการวางแผนและวิธีการที่รอบคอบมากขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเสื่อมถ่อยและภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ (Dorshkind et al., 2009). ซึ่ง การเสื่อมถอยของร่างกายนั้น จัดกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. "เสื่อม ตามอายุ " ที่เกิดจากเซลล์ ที่ค่อยๆ กลายเป็นเซลล์เสื่อมจากการใช้งาน ตามอายุของร่างกาย (López-Otín et al., 2013). 2. "เสื่อม เกินอายุ" ที่เกิดจากเซลล์ เสื่อมจาก ผลกระทบของ "สิ่งพิษ" ที่ค่อยๆ เข้ามาฝังอยู่ในร่างกาย แล้วขับออกไม่ได้ ตลอดการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ที่คอยรบกวนการทำงานของเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์เสื่อม โดยที่ไม่ได้เสื่อมจากอายุงานปกติของเซลล์ (Wang et al., 2019). ดังนั้น #การเสื่อมตามอายุ เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นกฏของธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน #การเสื่อมเกินอายุ เป็นสิ่งที่เราควรเข้ามาทำงาน เพื่อป้องกันการเสื่อมเพิ่มเติม รวมถึง ลดทอนความเสื่อมที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้ กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นกรอบคิดที่สำคัญ ในการป้องกัน และ ลดทอนผลกระทบของ "การเสื่อม เกินอายุ" จากการสะสมสิ่งพิษ ที่คอยรบกวน ทำให้เซลล์ของเราทำงานผิดปกติ จนกลายเป็น "เซลล์เสื่อม" ก่อนอายุงาน (Klaassen & Liu, 1998). ------------- เมื่อรวมผลลัพธ์จากการเสื่อมทั้ง 2 สาเหตุ ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ผู้สูงอายุหลายคนจึงพบว่า ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว และดูเหมือนจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อายุมากขึ้น นั่นเพราะ ในขณะที่ร่างกายเสื่อมตามอายุ ก็จะมีผลจากความเสื่อมเกินอายุของร่างกายจากการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาว ออกมาชัดเจนมากขึ้น จนบางคนมีผลออกมาในรูป โรคเรื้อรัง รวมถึง อาการเจ็บป่วยที่เป็นผลจากการสะสมสิ่งพิษในร่างกาย (Cosselman et al., 2015). การใช้กรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" จึงเป็นแนวทางที่แม่นตรงที่สุด ให้ผู้สูงอายุสามารถกำจัดเหตุที่ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเกินอายุ รวมถึงส่งผลในการ รักษาร่างกายไม่ให้เสื่อมเกินอายุไปมากขึ้นกว่านี้ ------------- ** ทำไมการ "สะสาง" จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน ในวัยเกษียณ? ** เมื่อเรามองในแง่ของการดูแลสุขภาพ "การสะสาง" นั้นหมายถึง "การกำจัดสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายออกไป" เช่น การกำจัดสิ่งพิษ เคมีที่สะสมในร่างกาย และที่สำคัญคือ "โลหะหนักที่ร่างกายเรารับมาจากสิ่งแวดล้อม ที่เราสัมผัสทุกวันในช่วงชีวิตที่ผ่านมา" ที่ ร่างกายของเรา ไม่มีกลไกการขับออกโดยเฉพาะ (Ghezzi & Sido, 2011). การสะสมของสิ่งพิษเหล่านี้ทำให้เซลล์เสื่อมเร็วกว่าอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ในวัยเกษียณ ที่ระบบกำจัดของเสียของร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีดังเดิม" ทำให้ "ยิ่งยาก" ที่จะสะสางสิ่งพิษ ที่ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ ที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Jaishankar et al., 2014). การสะสางด้วยตัวช่วย อย่างเช่น #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับและขับพิษโลหะหนัก รวมถึงสิ่งพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย จึงเป็น ทางเลือกที่ "มีโอกาสสะสางสิงพิษที่ฝังอยู่ในร่างกายได้จริง" (Queiroz et al., 2020). ------------- ** ทำไม การสะสาง จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยง จากโรคเรื้อรังได้? ** ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย 3 โรค ของวัยเกษียณ ที่พบในไทย ซึ่งคือ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน มักเกิดจากการสะสมของสิ่งพิษ ที่นำไปสู่การสะสมของไขมันในหลอดเลือดเป็นเวลานาน (Sharma et al., 2011). การสะสางพิษโลหะหนักและสิ่งพิษอื่นๆ จึงมีส่วนโดยตรง ในการอักเสบ ซึ่งจะส่งผลให้ การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย อย่างเช่น การทำงานของหัวใจ ดีขึ้น จึงส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ (Vaziri & Rodríguez-Iturbe, 2006). การสะสางสิ่งพิษออกจากร่างกาย ยังพบว่า ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่ง จะลดโอกาสในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิต (Patel & Celermajer, 2006). ------------- ** การ "สะสาง" ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการ "สะสม" อย่างไร ? ** เมื่อร่างกายสะอาด ได้รับการสะสางสิ่งพิษแล้ว "การสะสมสิ่งดีๆ" คือขั้นตอนถัดไปที่สำคัญ การสะสมนี้ หมายถึงการให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกาย ป้องกันและฟื้นฟูตัวเองจากการสึกหรอจากการใช้ชีวิตประจำวันได้ (Bermejo et al., 2008). เช่น สารอาหารระดับเซลล์ ที่พบใน #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ส่งผลให้ DNA ของเซลล์เสียหาย จากการเผาผลาญของเซลล์เอง และ มีโปรตีนคุณภาพสูง ที่สามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ยังถูกพบว่า ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย และให้พลังงานที่จำเป็นในแต่ละวันสำหรับผู้สูงอายุ (Bermejo et al., 2008). นั่นจึงเป็นเหตุให้ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง -------- การใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ให้มีความสุขและสุขภาพดี จึงไม่ได้ซับซ้อน แต่ต้องมีกรอบคิดที่ถูกต้อง และ การปฏิบัติตามกรอบคิดได้ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยกรอบคิด "สะสาง ก่อน สะสม" ผู้สูงอายุสามารถลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรัง จึงทำให้มีโอกาส ฟื้นฟูร่างกายให้ยังแข็งแรงได้ เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล
    ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ
    อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย

    นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก
    เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน
    คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม
    ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ
    ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม
    ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท
    และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา

    SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก
    จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย
    ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก
    ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก
    ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน

    ปัจจัยภายในประเทศ :

    1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก :
    ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ
    ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป
    เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด
    ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต
    กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD)
    ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี
    เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD
    ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ
    และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์
    และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย
    จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า
    การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก
    ไทยทั้งหมดในปี 2566

    2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า :
    ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก
    ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า
    ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย
    ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ
    ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้
    อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก
    ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
    จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์
    สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก)

    ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก
    ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23%
    ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
    ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38%
    เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า
    ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
    มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้
    ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง
    และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า
    แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
    ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน

    3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง :
    การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ
    ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น
    ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน
    ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย
    สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
    และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้

    จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก
    ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์
    สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
    ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้?

    SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน
    จากต่างชาติที่ลดลง :

    1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ
    22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม
    เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ
    ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า
    และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ
    เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า
    เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

    2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง :
    FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย
    เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก
    รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
    การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง
    ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ
    อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3,
    และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank)

    สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก

    (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย
    ยังมีมากที่สุดในอาเซียน

    (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
    กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง
    เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป
    และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น

    (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง

    (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง
    นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน
    วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง
    และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ

    (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน
    ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง
    และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า

    ปัจจัยภายนอก :

    การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ

    ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ
    ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
    กับสินค้าจีน

    2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี
    สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม

    3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว
    ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ
    ต่อการค้าโลก

    4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง
    สำคัญทั่วโลก

    (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย
    และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์


    ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย
    อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน
    ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้
    ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ
    ที่เปราะบาง

    อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว
    หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน
    โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน
    ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น
    และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว
    เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ
    ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย
    แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย
    ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง
    การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ

    การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า
    ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์
    ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง
    แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า
    ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า
    ไปคันแล้วคันเล่า

    ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    💥💥ศูนย์วิจัยธนาคารไทยพาณิชย์ SCB EIC เผยแพร่ข้อมูล ภาพรวมการส่งออกของไทยในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะ อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ทำอะไรเลย นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 การส่งออก เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-65% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (จีดีพี) การส่งออกมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างรายได้จากต่างประเทศ การจ้างงาน และเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยได้สูญเสียบทบาท และความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเช่นที่เคยเป็นมา SCB EIC มองว่า เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังอ่อนแรงลงมาก จากปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งมีส่วนทำให้การส่งออกไทย ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ได้เหมือนในอดีต และไม่สามารถปรับตัวตามกระแสโลก ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทัน ปัจจัยภายในประเทศ : 1) สินค้าส่งออกไทยไม่ค่อยสอดคล้องกับความต้องการของโลก : ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนไป เช่น สมาร์ตโฟน แผงวงจรไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ขณะที่สินค้าหมวดเครื่องจักรและเครื่องใช้เครื่องกลที่ไทยผลิต กลับเป็นสินค้าที่โลกต้องการซื้อน้อยลงเช่น Hard Disk Drives (HDD) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย แต่เมื่อเทคโนโลยี เปลี่ยนไปสู่ Solid State Drives (SSD) ความต้องการ HDD ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสินค้าหมวดยานพาหนะ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เสริม ที่ไทยเคยส่งออกดีมาก จากการส่งออกยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาป แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทาย จากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของผู้ซื้อ ซึ่งรวมมูลค่า การส่งออก 2 หมวดใหญ่นี้คิดเป็น 27% ของมูลค่าการส่งออก ไทยทั้งหมดในปี 2566 2) โครงสร้างการผลิตเพื่อส่งออกไทยเปลี่ยนแปลงช้า : ภาคการผลิตของไทยยังผูกโยงกับห่วงโซ่อุปทานเก่าอยู่มาก ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า ขณะที่โครงสร้างการผลิตของประเทศคู่แข่งหลายราย ที่เคยผลิตสินค้าล้าสมัยกว่าไทยในอดีต กลับสามารถ ปรับตามกระแสความต้องการในตลาดโลกที่เปลี่ยนไปได้ อย่างรวดเร็วจากการหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ สะท้อนจาก ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าไทยในตลาดโลก ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง จาก 10 ปีก่อนมากนัก เช่น รถยนต์ EV แผงวงจรไฟฟ้า/เซมิคอนดักเตอร์ สมาร์ตโฟน แผงโซลาร์เซลล์ (เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก) ทั้งนี้ถึงแม้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ของไทยจะมีสัดส่วนต่อมูลค่าการส่งออก ทั้งหมดสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 17% ในปี 2556-2560 เป็น 23% ในปี 2561-2565 ซึ่งแตกต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนการส่งออกกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมาก จาก 16% เป็น 32%, 38% เป็น 44% และ 40% เป็น 48% ตามลำดับ โดยสาเหตุเป็นเพราะว่า ประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง มีขั้นตอนการผลิตซับซ้อนกว่า และสร้างมูลค่าเพิ่มสูงกว่าได้ ในขณะที่ไทยส่วนใหญ่แล้วยังคงผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง และมีความซับซ้อนน้อยกว่า สะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่าไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ในปัจจุบันได้มากเท่าประเทศเพื่อนบ้าน 3) ความสามารถในการกระจายตลาดใหม่ไม่ค่อยสูง : การส่งออกของไทยกว่า 75% ยังคงกระจุกตัวในบางตลาดหลัก เช่น จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เช่นในอดีต ซึ่งหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็อาจสร้างความเสี่ยงสูงต่อไทยตามมา เช่น เศรษฐกิจจีน ชะลอตัว ในช่วงที่ผ่านมา จะกระทบการส่งออกไทยไปตลาดจีนตามไปด้วย สะท้อนความจำเป็นในการขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้ จากการวิเคราะห์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของการส่งออกไทยมาจาก ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่ไม่ค่อยตอบโจทย์ สินค้าใหม่ ๆ คำถามสำคัญคือ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภาคการผลิตของไทยมาถึงจุดนี้? SCB EIC มองว่าสาเหตุหลักมาจากทักษะแรงงานไทยและการลงทุน จากต่างชาติที่ลดลง : 1) แรงงานสูงวัยและทักษะต่ำ : ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ 22.7% จากประชากรทั้งหมดในปี 2566 (อายุ 60 ปีขึ้นไป) และมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงปัญหาแรงงานขาดทักษะ ที่จำเป็น โดยเฉพาะทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตสินค้า และการแข่งขันในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ทำให้การผลิตสินค้าเทคโนโลยีของไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ เทคโนโลยีขั้นกลาง และการพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างช้า เนื่องจากเพิ่มศักยภาพแรงงานไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 2) สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง : FDI เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยได้รับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทันสมัย เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในไทยลดลงมาก จากที่เคยเป็นหนึ่ง ในจุดหมายปลายทางหลักในอาเซียน ไทยกลับตกอันดับมาเรื่อย ๆ อยู่อันดับ 7 ในปี 2566 แย่กว่าในปี 2543 2553 และ 2562 ที่อันดับ 3, 3, และ 6 ตามลำดับ เสียอีก (ข้อมูลจาก World Bank) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก (1) ทักษะแรงงานไทยไม่สูงและสัดส่วนแรงงานสูงวัย ยังมีมากที่สุดในอาเซียน (2) ไทยขาดการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศสำคัญ ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ได้เปรียบจากการมีข้อตกลง FTA กับสหภาพยุโรป และการเข้าร่วม CPTPP ทำให้เข้าถึงตลาดสำคัญในโลกได้ง่ายขึ้น (3) การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง (4) นโยบายเศรษฐกิจระยะยาวขาดความชัดเจนและความต่อเนื่อง นักลงทุนไทยและต่างประเทศขาดความมั่นใจที่จะลงทุน วิจัยและพัฒนา (R&D) ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เนื่องจากเป็นการลงทุนสูง และใช้เวลากว่าจะเห็นผล และ (5) กฎระเบียบภาครัฐซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้นักลงทุน ต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนดีกว่า ปัจจัยภายนอก : การส่งออกของไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกหลายประการ ได้แก่ 1) China over-capacity ที่อาจซ้ำเติมปัญหาความสามารถ ในการแข่งขันของไทย โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันด้านราคา กับสินค้าจีน 2) ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจสร้างความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี สินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติม 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามยืดเยื้อ การแบ่งขั้ว ทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น หรือมาตรการกีดกันการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบ ต่อการค้าโลก 4) การผันผวนของค่าเงินบาท จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สำคัญทั่วโลก (5) ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่อาจจะกลับมาสูงขึ้น จากสงครามที่เกิดขึ้นบ่อย และรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ ปัจจัยภายในและนอกประเทศเหล่านี้กดดันให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทย อ่อนแอลง และเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการบริโภคและการลงทุน ในประเทศก็กำลังอ่อนแรงเช่นกัน โดยการบริโภคถูกจำกัดจากภาระหนี้ ครัวเรือนสูง และการลงทุนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ในประเทศ ที่เปราะบาง อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังไม่ไร้ความหวังเสียทีเดียว หากรัฐบาลสามารถจัดการ 3 ปัจจัยหลักได้ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน โดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยุทธศาสตร์นโยบายอุปทานที่ชัดเจน ประเทศไทยจะสามารถปรับโครงสร้างการผลิตให้แข็งแกร่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้บนข้อได้เปรียบที่ไทยมีอยู่แล้ว เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ทังนี้ปัจจัยกดดันจากภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าหากโครงสร้างการผลิตของไทย แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ได้ และอาจทำให้ไทย ได้รับประโยชน์จากบางปัจจัย เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำมาซึ่ง การย้ายฐานการผลิตและการลงทุนใหม่ ๆ การส่งออกไทยในปัจจุบันเปรียบเหมือนรถที่กำลังวิ่งอย่างเชื่องช้า ที่ต้องเลือกว่าจะเริ่มซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างเครื่องยนต์ ให้ทันสมัยจุดไหนบ้าง เพื่อให้รถคันนี้กลับมาวิ่งเร็วได้อีกครั้ง แต่หากไม่เริ่มทำอะไรวันนี้ เครื่องยนต์เก่านี้อาจพังในไม่ช้า ทำให้รถเราค่อยๆ หยุดวิ่ง และปล่อยให้รถคันอื่นแซงหน้า ไปคันแล้วคันเล่า ที่มา : SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การส่งออกไทย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ

    เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012).

    เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้

    1. #ปรับโภชนาการ

    "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013).

    ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006).

    บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999).

    อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013).

    การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003).

    2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

    การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011).

    การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012).

    การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003).

    3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ

    ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008).

    โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005).

    โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007).

    การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008).

    --------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016).

    สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012). เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้ 1. #ปรับโภชนาการ "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013). ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006). บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999). อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013). การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003). 2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011). การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012). การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003). 3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008). โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005). โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007). การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008). -------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016). สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ

    เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012).

    เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้

    1. #ปรับโภชนาการ

    "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013).

    ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006).

    บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999).

    อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013).

    การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003).

    2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

    การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011).

    การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012).

    การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003).

    3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ

    ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008).

    โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005).

    โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007).

    การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008).

    --------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016).

    สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 วิธี ดูแล #ระบบหัวใจและหลอดเลือด ใน #วัยเกษียณ เมื่อเข้าสู่วัย #เกษียณ "การดูแล ระบบหัวใจและหลอดเลือด" กลายเป็นเรื่องที่ "ต้องให้ความสำคัญ" เนื่องจากอายุที่มากขึ้น รวมถึงความเสื่อมจากการใช้งานร่างกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึง หัวใจและหลอดเลือดทำงาน ได้น้อยลงกว่า ตอนเป็นวัยหนุ่มสาว (North & Sinclair, 2012). เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพและลดความเสี่ยง จากโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดของตนเองได้ ด้วย 3 วิธีหลักนี้ 1. #ปรับโภชนาการ "การปรับลดพฤติกรรม การรับประทานอาหาร ที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย" มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณ (Estruch et al., 2013). ลดการบริโภค ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: ไขมันเหล่านี้ทำให้หลอดเลือดอุดตันและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (Mozaffarian et al., 2006). บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลและทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (Brown et al., 1999). อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: ช่วยป้องกันการอักเสบในระบบหลอดเลือด เช่น สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย ผลไม้เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วเปลือกแข็ง (Vazquez et al., 2013). การรับประทานอาหารแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคความดันโลหิตสูงในวัยเกษียณ (Mensink et al., 2003). 2. #ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การเดินเร็ว หรือ ปั่นจักรยาน: เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจและเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 30 นาทีต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและลดระดับคอเลสเตอรอล (Garber et al., 2011). การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Strength Training): เช่น ยกน้ำหนัก หรือทำโยคะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (Westcott, 2012). การออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียด: เช่น ไทเก๊ก หรือการฝึกสมาธิ สามารถลดความเครียดและปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง (Lee et al., 2003). 3. เสริม #สารอาหารจากธรรมชาติ ในบางกรณี การเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ สามารถช่วยเสริมการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย: สารอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการสะสางสิ่งพิษ ลดการอักเสบในหลอดเลือด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด (Queiroz et al., 2020). คลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีโปรตีนที่สามารถจับโลหะหนักได้ ที่ช่วยขับสิ่งพิษโลหะหนักที่อาจส่งผลต่อสุขภาพหลอดเลือด (Shim et al., 2008). ในขณะที่สไปรูลิน่าที่ปลอดภัยมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Bermejo et al., 2008). โอเมก้า 3: เป็นสารอาหารที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดและป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด (Schmidt et al., 2005). โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10): เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวาย (Rosenfeldt et al., 2007). การดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือดในวัยเกษียณนั้น ต้องอาศัยทั้งการปรับวิถีชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทานอาหารที่เหมาะสม รวมถึงการเสริมสารอาหารจากธรรมชาติ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างสุขภาพหัวใจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Mozaffarian et al., 2008). -------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นสารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการจับและขับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสะสมในร่างกายและส่งผลต่อหลอดเลือด (Shim et al., 2008). การกำจัดสารพิษเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบและเสื่อมสภาพของหลอดเลือด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง (Merchant, 2001). คลอเรลล่ายังเสริมภูมิคุ้มกัน ปรับสมดุลระบบประสาท และลดความเครียด ซึ่งช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานดีขึ้น (Jeon et al., 2016). สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์หลอดเลือด (Bermejo et al., 2008). สไปรูลิน่าช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Vazquez et al., 2013). นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายและปัญหาหลอดเลือดอื่นๆ (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ

    **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด**

    เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย

    เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด

    3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ :

    1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล

    การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013)

    2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค

    งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019)

    3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

    การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน

    การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009)

    ---------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้

    "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน"

    โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001).

    ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013)

    ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด** เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด 3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ : 1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013) 2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019) 3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009) --------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้ "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน" โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001). ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013) ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ

    **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด**

    เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย

    เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด

    3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ :

    1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล

    การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013)

    2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค

    งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019)

    3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

    การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน

    การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009)

    ---------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้

    "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน"

    โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001).

    ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013)

    ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 อย่างที่ควรทำ เพื่อให้ "ภูมิคุ้มกัน ยังแข็งแรง" ไม่ป่วยง่าย ในวัยเกษียณ **บทความนี้ เกิดจากการนำกรอบคิด "ป้องกัน ก่อนปัญหาเกิด" มาใช้กับเรื่องสุขภาพ เพราะหากปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะระดับวิกฤติ เราจะยอมจ่ายเท่าไรก็ได้ เพื่อรักษาสุขภาพและชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักไว้ แต่หาก เราเลือกป้องกัน เราจะสามารถวางแผนป้องกันปัญหา โดยจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด** เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นที่ทราบกันว่า ระบบภูมิคุ้มกัน ย่อมไม่แข็งแรงเท่าวัยหนุ่มสาว จึงทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ต้องระวังป้องกันสุขภาพของตนเองอย่างมาก ไม่ให้ป่วย เพราะ "การป่วย" ในแต่ละครั้ง อาจนำไปสู่ อาการแทรกซ้อน ที่มีโอกาสพัฒนากลายเป็น โรคเรื้อรัง ที่ทำให้ใช้ชีวิตไม่ได้ปกติ และหมดความสุขในชีวิต ในวัยเกษียณ ในที่สุด 3 ข้อด้านล่างนี้ จึงเป็นแนวทางการปฏิบัติ เพื่อ "รักษา ระบบภูมิคุ้มกัน ให้ยังแข็งแรง" สำหรับคนวัยเกษียณ : 1. #การรับประทานอาหารที่สมดุล การรับประทานอาหารที่สมดุลและครบถ้วนตามหลักโภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี, วิตามินดี, สังกะสี และธาตุเหล็ก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน #วิตามินซี พบในผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว และบรอกโคลี ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ (Carr & Maggini, 2017) #วิตามินดี ซึ่งได้รับจากแสงแดดและอาหาร เช่น ปลาแซลมอนและนม เสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง (Martineau et al., 2017) #สังกะสี ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพบได้ในถั่ว เมล็ดธัญพืช และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน (Prasad, 2013) 2. #การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน วิ่งเบาๆ หรือโยคะ จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้การต่อสู้กับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (Nieman & Wentz, 2019) 3. #การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การขาดการนอนหลับสามารถทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง และทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับไม่เพียงพอมีโอกาสติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด มากขึ้นถึง 4 เท่า (Besedovsky et al., 2012; Cohen et al., 2009) --------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย เป็นคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้ "การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อของคุณ ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น กว่าไม่ได้ทาน" โดย คลอเรลล่าที่ปลอดภัย มีความสามารถในการสะสางสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งช่วยให้ลำไส้สะอาดและสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกขัดขวางจากสารพิษตกค้าง (Shim et al., 2008). การสะสางนี้ยังช่วยลดการกระตุ้นของระบบประสาทที่อาจทำให้นอนหลับยาก ทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการพักผ่อน (Jeon et al., 2016). อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า คลอเรลล่าที่ปลอดภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ (Merchant, 2001). ในส่วนของ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบระดับเซลล์ ซึ่งส่งผลให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายหลังจากการออกกำลังกาย (Vazquez et al., 2013) ซึ่ง ทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ การปฏิบัติทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ของคุณ ได้ผลลัพธ์ มากขึ้น กว่า ไม่ได้ทาน โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเราตกอยู่ในความทุกข์เพราะความรักที่เจือด้วยราคะ ความยึดมั่นของจิตใจจะทำให้เกิดทุกข์และความเสียใจอย่างหนักหน่วง การปรับจิตใจจากรักที่เต็มไปด้วยการยึดติด มาเป็นรักที่เมตตา ปราศจากการยึด จะช่วยให้เราปล่อยวางและคลายทุกข์ได้

    การเปลี่ยนอาการอกหักให้กลายเป็นโอกาสในการเจริญสตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วิธีที่คุณสามารถใช้ได้ตามแนวทางพุทธศาสนามีดังนี้:

    1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกุศลจิต: การสวดมนต์เป็นการเชื่อมต่อกับความดีและความเป็นสิริมงคล การเริ่มต้นวันด้วยบทสวด เช่น อิติปิโส จะช่วยปรับจิตใจให้อยู่ในทางกุศล และช่วยให้เกิดความรู้สึกเบาสบายมากขึ้น


    2. หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับความทุกข์: เมื่อมีอารมณ์เศร้าเข้ามา อย่าปล่อยตัวให้จมอยู่กับความเศร้านั้นนาน รีบหาทางทำสิ่งที่กระตุ้นความกระตือรือร้นทันที การเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังและสมาธิ จะช่วยลดความเศร้าและเพิ่มความสดชื่นได้


    3. เฝ้าสังเกตใจตัวเอง: เมื่อเกิดความถวิลหาหรือคิดถึงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด ให้สำรวจดูว่าอารมณ์นั้นรุนแรงเพียงใด การเห็นความรุนแรงนั้นจะทำให้คุณรู้ว่ามันค่อยๆ เลือนลง และจะไม่ดึงดูดจิตใจเท่าเดิม


    4. หากิจกรรมที่ทำให้มีความสุข: หลีกเลี่ยงการเลี้ยงอารมณ์เศร้าด้วยการฟังเพลงเศร้า ควรหากิจกรรมที่ใช้พลังงานและสมาธิ เช่น การออกกำลังกาย หรือกีฬาที่ต้องโต้ตอบรวดเร็ว จะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขออกมาแทน


    5. ช่วยเหลือผู้อื่น: การหันมาช่วยเหลือผู้อื่น เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุ จะช่วยให้คุณรู้สึกอบอุ่นใจ และลดความรู้สึกเหงาได้ การมองเห็นความต้องการของผู้อื่นจะทำให้คุณรู้สึกมีคุณค่าและเติมเต็มในทางจิตใจ


    6. เจริญสติ: เมื่อรู้สึกดีขึ้น อย่าหยุดที่แค่ความรู้สึกดีนั้น แต่ใช้โอกาสนี้ในการเจริญสติ เห็นว่าจิตใจไม่เที่ยงแท้ มีขึ้นมีลง เมื่อรู้ทันความไม่เที่ยงของจิตใจ ก็จะลดความยึดติดกับความรัก และมุ่งเน้นไปที่ความวิเวกทางใจที่สงบและเป็นอิสระมากขึ้น



    ทุกวิธีการนี้จะช่วยให้คุณผ่านพ้นความทุกข์และมุ่งสู่ความสงบภายในอย่างยั่งยืน

    เมื่อเราตกอยู่ในความทุกข์เพราะความรักที่เจือด้วยราคะ ความยึดมั่นของจิตใจจะทำให้เกิดทุกข์และความเสียใจอย่างหนักหน่วง การปรับจิตใจจากรักที่เต็มไปด้วยการยึดติด มาเป็นรักที่เมตตา ปราศจากการยึด จะช่วยให้เราปล่อยวางและคลายทุกข์ได้ การเปลี่ยนอาการอกหักให้กลายเป็นโอกาสในการเจริญสตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วิธีที่คุณสามารถใช้ได้ตามแนวทางพุทธศาสนามีดังนี้: 1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกุศลจิต: การสวดมนต์เป็นการเชื่อมต่อกับความดีและความเป็นสิริมงคล การเริ่มต้นวันด้วยบทสวด เช่น อิติปิโส จะช่วยปรับจิตใจให้อยู่ในทางกุศล และช่วยให้เกิดความรู้สึกเบาสบายมากขึ้น 2. หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับความทุกข์: เมื่อมีอารมณ์เศร้าเข้ามา อย่าปล่อยตัวให้จมอยู่กับความเศร้านั้นนาน รีบหาทางทำสิ่งที่กระตุ้นความกระตือรือร้นทันที การเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังและสมาธิ จะช่วยลดความเศร้าและเพิ่มความสดชื่นได้ 3. เฝ้าสังเกตใจตัวเอง: เมื่อเกิดความถวิลหาหรือคิดถึงสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด ให้สำรวจดูว่าอารมณ์นั้นรุนแรงเพียงใด การเห็นความรุนแรงนั้นจะทำให้คุณรู้ว่ามันค่อยๆ เลือนลง และจะไม่ดึงดูดจิตใจเท่าเดิม 4. หากิจกรรมที่ทำให้มีความสุข: หลีกเลี่ยงการเลี้ยงอารมณ์เศร้าด้วยการฟังเพลงเศร้า ควรหากิจกรรมที่ใช้พลังงานและสมาธิ เช่น การออกกำลังกาย หรือกีฬาที่ต้องโต้ตอบรวดเร็ว จะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขออกมาแทน 5. ช่วยเหลือผู้อื่น: การหันมาช่วยเหลือผู้อื่น เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุ จะช่วยให้คุณรู้สึกอบอุ่นใจ และลดความรู้สึกเหงาได้ การมองเห็นความต้องการของผู้อื่นจะทำให้คุณรู้สึกมีคุณค่าและเติมเต็มในทางจิตใจ 6. เจริญสติ: เมื่อรู้สึกดีขึ้น อย่าหยุดที่แค่ความรู้สึกดีนั้น แต่ใช้โอกาสนี้ในการเจริญสติ เห็นว่าจิตใจไม่เที่ยงแท้ มีขึ้นมีลง เมื่อรู้ทันความไม่เที่ยงของจิตใจ ก็จะลดความยึดติดกับความรัก และมุ่งเน้นไปที่ความวิเวกทางใจที่สงบและเป็นอิสระมากขึ้น ทุกวิธีการนี้จะช่วยให้คุณผ่านพ้นความทุกข์และมุ่งสู่ความสงบภายในอย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว

  • ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ?

    มติชน ทอล์คออฟเดอะทาวน์ฉบับพิมพ์ วันอาทิตย์ 20 ตค 2024

    ยิ่งฉีด ยิ่งทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทั้งหมดรวนเร และคำประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางต้องฉีดซ้ำอีก เป็นเรื่องที่ควรกระทำหรือไม่?
     
    IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ
    ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA
    ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing14 กันยายน 2024
    ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด
    แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement
    ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน
    ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality.
    ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น
    อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี
    นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน
    และเมื่อฉีดมากเข็ม ตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์
    และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว
    (รายงานในวารสารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว)

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000100995

    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ? มติชน ทอล์คออฟเดอะทาวน์ฉบับพิมพ์ วันอาทิตย์ 20 ตค 2024 ยิ่งฉีด ยิ่งทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทั้งหมดรวนเร และคำประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางต้องฉีดซ้ำอีก เป็นเรื่องที่ควรกระทำหรือไม่?   IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำให้ระบบต่อสู้เชื้อโรคของมนุษย์ ที่เป็นระบบนักฆ่าอ่อนแอ ในเวลาที่ผ่านมาพบว่าปริมาณ IgG4 ทั้งหมด รวมทั้ง ที่เจาะจงที่ส่วนของโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด S1 เพิ่มขึ้นจากสามถึง 4% ตามปกติ เป็น 10 เป็น 25 และมากกว่า 50 ถึง 60% หลังจากที่ฉีดไปหนึ่ง สอง และสามเข็มของ mRNA ทั้งนี้ เป็นที่มาจากการศึกษาหลายชิ้นรวมทั้งรายงานนี้ในวารสาร BMC Immunity&Ageing14 กันยายน 2024 ทั้งนี้โดยตั้งคำถามสำคัญว่า คนที่สูงวัย อายุ มากกว่า 65 ปี จนถึง 84 ปี ที่ถูกจัดเป็นประเภทกลุ่มเปราะบาง และต้องได้วัคซีนโควิดครบ และต้องมีการฉีดกระตุ้น อยู่ตลอด แท้จริงแล้ว จะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ และจะมีผลในทางลบนั่นก็คือทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคแย่ลงหรือไม่ ทั้งนี้โดยการวัดระดับของ IgG ทุกชนิด 1-4 และ IgG จำเพาะ ต่อ โควิด และจากการที่ IgG4 มีอิทธิพลต่อ ระบบนักฆ่า ทั้ง NK และ เซลล์อื่นๆที่สามารถกลืนกัดกิน ย่อย เชื้อโรค รวมระบบ complement ผลปรากฏว่า ในกลุ่มสูงอายุขึ้นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุต่างๆตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เมื่อฉีดไปตั้งแต่เข็มที่หนึ่งจนกระทั่งหลังเข็มที่สาม ระบบป้องกันภัย innate ที่เป็นตัวสำคัญแนวหน้าป้องกันการรุกรานโดยสามารถทำงานได้ทันทีในระยะเวลา เป็นชั่วโมงและไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นเชื้อไหน ทั้งหมดของระบบดังกล่าวอ่อนแอมากกว่าก่อนฉีด และแปรตาม IgG4 ที่เพิ่มขึ้น โดย กระทบ Fc-mediated antibody effector functionality. ข้อมูลของการศึกษานี้มีผลเช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้านั้น ในคนอายุน้อย และผู้รายงานเหล่านี้สรุปในทิศทางเดียวกันว่าวัคซีนจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าและไม่ด้อยค่าระบบป้องกันภัยของร่างกายโดยจะกลายเป็นภาวะเกี่ยวพันลูกโซ่ที่ทำให้ติดโรคง่ายหรือทำให้เชื้อดั้งเดิมเช่นเริม งูสวัด(คือไข้อีสุกอีใสเดิมที่หายแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่) กลับปะทุขึ้น อนี่ง เราได้เคยรายงานก่อนหน้านี้ ในคนที่ติดโควิดและยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใด ในผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด และมีการกระตุ้นระบบนักฆ่า complement ตั้งแต่ต้น (s C5b-9) พบว่าไม่มีผู้ใดเสียชีวิต ทั้งนี้ระบบนักฆ่า ที่ทำให้มีการอักเสบถูกที่ ถูกเวลาตั้งแต่ต้นเป็นผลดี นอกจากนั้นยังมีกลไกอีกมากมายที่พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนโควิดแม้ว่าจะปรับแต่งให้เป็นต่อสายพันธุ์ล่าสุดก็ตาม แต่ระบบภูมิคุ้มกันในมนุษย์กลับตอบสนองต่อต้นสายกำเนิดอู่ฮั่นทำให้ภูมิแทบจะไม่มี (hybrid immune damping) และยังทำให้ไม่เกิดมี long lived plasma cell ที่ทำให้ยังมีภูมิอยู่นาน เลยบริษัทต้องให้มนุษย์ต้องฉีดทุกสามเดือน และเมื่อฉีดมากเข็ม ตัวโครงสร้างของวัคซีนเอง การแปลรหัสการสร้างโปรตีน การคงอยู่ในมนุษย์ได้นานกว่าตัวไวรัส จากอนุภาคนาโนไขมันเอง และมีการบงการให้สร้างสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆเลยทำให้เกิดภาวะแปรปรวนทางระบบภูมิคุ้มกัน มากไป น้อยไป การอักเสบในตัวเซลล์และเนื้อเยื่ออวัยวะเฉพาะที่ เช่นในหัวใจ ตายกระทันหันเฉียบพลันในคนอายุน้อย โรคสมองเสื่อม สมองอักเสบ ภาวะแปรปรวนทางจิตอารมณ์ และรายงานการตรวจชันสูตรศพจากการ ฉีดวัคซีน ระบุขั้นตอนกลไกเหล่านี้อย่างละเอียดแล้ว (รายงานในวารสารการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ ได้ระบุสิ่งเหล่านี้แล้ว) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า https://mgronline.com/qol/detail/9670000100995
    MGRONLINE.COM
    ฉีดทำไม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ยิ่งฉีด ยิ่งทำให้ระบบป้องกันเชื้อโรคทั้งหมดรวนเร และคำประกาศเชิญชวนให้ผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางต้องฉีดซ้ำอีก เป็นเรื่องที่ควรกระทำหรือไม่? IgG4 เป็นชนิดหนึ่งของอิมมูโนกลอบูลิน ที่มีจำนวนน้อย และถ้ามีจำนวนมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น จะทำ
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง"

    การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล

    ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา

    ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น

    จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้

    1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง
    สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน

    **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้**

    2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม
    สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว

    **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง**

    3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่
    ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้

    **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่**

    (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic)

    -----------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020).

    สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง" การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้ 1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้** 2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง** 3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้ **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่** (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic) ----------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020). สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง"

    การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล

    ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา

    ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น

    จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้

    1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง
    สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน

    **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้**

    2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม
    สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว

    **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง**

    3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่
    ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้

    **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่**

    (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic)

    -----------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ

    คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020).

    สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993).

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 สัญญาณสำคัญ ที่เตือนว่า มีโอกาส "ติดเตียง" การ #ติดเตียง สำหรับผู้สูงอายุนั้น ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านร่างกาย ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องมีคนช่วยดูแล ...แต่ยัง อาจก่อให้เกิดปัญหาหนักในทางจิตใจ เพราะอาจทำให้รู้สึกได้ว่า ตนเองไม่มีค่า ต้องเป็นภาระของลูกหลานที่ตนรัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา ดังนั้น ภาวะ "ติดเตียง" จึงเป็นภาวะ "ที่ต้องระวังป้องกัน ปล่อยให้เกิดไม่ได้" เพราะจะบั่นทอน "ความสุข ในวัยเกษียณ" ของคุณจนหมดสิ้น จึงควรต้องจับตาดู 3 สัญญาณ ของร่างกาย เพื่อระวังป้องกัน ดังนี้ 1. ความอ่อนแรงและการเคลื่อนไหวที่ลดลง สัญญาณแรกที่ผู้สูงอายุต้องระวังคือการเคลื่อนไหวที่ลดลง ความอ่อนแรงในกล้ามเนื้อทำให้ผู้สูงอายุเริ่มมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การลุกจากเตียง การเดิน หรือแม้กระทั่งการนั่งเป็นเวลานาน **การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมักมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อไปตามอายุ นอกจากนี้ การไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ การขาดโปรตีน และโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคเบาหวาน ก็สามารถเป็นปัจจัยสำคัญได้** 2. ปัญหาการทรงตัวและการล้ม สัญญาณเตือนที่สองคือปัญหาการทรงตัว ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะล้ม การล้มอาจส่งผลให้เกิดกระดูกหัก หรือบาดเจ็บรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยติดเตียงในระยะยาว **ปัญหานี้เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวกับความเสื่อมของกระดูกและข้อต่อ เช่น โรคกระดูกพรุน ซึ่งทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่ายขึ้น การทรงตัวที่ไม่ดีสามารถเกิดจากภาวะหลอดเลือดตีบตันในสมอง หรือภาวะขาดสมดุลในระดับสมองส่วนกลาง** 3. การกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่อยู่ ปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของระบบประสาทและกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเตียงได้ **สาเหตุของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มักเกิดจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อในระบบขับถ่ายได้อย่างเต็มที่** (ข้อมูลอ้างอิงจาก World Health Organization, National Institutes of Health, และ Mayo Clinic) ----------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน สาเหตุที่ก่อให้เกิดสัญญาณ ทั้ง 3 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพ คลอเรลล่าที่ปลอดภัย เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการช่วยกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะโลหะหนักจากร่างกาย งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าคลอเรลล่าที่ปลอดภัยมีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและปรับปรุงการทำงานของตับและไตได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสื่อมถอยของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Merchant, 2001), (Jeon et al., 2016). นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยในการลดความเสี่ยงของปัญหาการทรงตัวและการล้มที่มักเกิดจากการสะสมของสารพิษในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Queiroz et al., 2020). สำหรับ สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย งานวิจัยชี้ว่ามีสาร Phycocyanin ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สารนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและปัญหาการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการป้องกันภาวะติดเตียง (Bermejo et al., 2008), (Mao et al., 2005). นอกจากนี้ การบริโภคสไปรูลิน่าที่ปลอดภัยยังช่วยส่งเสริมระบบประสาท และป้องกันปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมถอยของระบบประสาท (Belay et al., 1993). โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประโยชน์ของเทมเป้ต่อสุขภาพ
    ข้อมูลจาก

    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภญ.จิราพร เลื่อนผลเจริญชัย

    ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด

    1. อุดมไปด้วยโปรตีน

    ปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคต่อวันคือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรได้รับโปรตีนจากถั่วเหลืองในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อทดแทนการได้รับโปรตีนไม่เพียงพอจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ โดยเทมเป้ให้โปรตีนสูงกว่าอาหารที่ทำจากถั่วชนิดอื่น เช่น เต้าหู้ปริมาณ 84 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม ขณะที่เทมเป้ที่มีปริมาณเท่ากันให้โปรตีนสูงถึง 15 กรัม จึงเหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่ออกกำลังกายเพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยเสริมมวลกล้ามเนื้อที่เสียไปจากการออกกำลังกาย นอกจากนี้ เทมเป้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง และจะได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอเท่านั้น ซึ่งอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองจะให้ครบทั้ง 9 ชนิด ได้แก่ ฮิสติดีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน ไลซีน เมไทโอนีน ฟีนิลอะลานีน และทริปโตเฟน ต่างจากธัญพืชอื่นๆ ที่อาจให้กรดอะมิโนจำเป็นได้ไม่ครบ

    2. ดีต่อหัวใจและช่วยควบคุมน้ำหนัก

    เทมเป้ 1 ถ้วย (166 กรัม) ประกอบด้วยไขมัน 18 กรัม โดยไขมันส่วนใหญ่ในเทมเป้จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อันมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ เทมเป้ 1 ถ้วยประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเพียง 13 กรัม และมีโปรตีนสูงที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องและยับยั้งความรู้สึกอยากอาหาร ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

    3. แหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ

    การรับประทานเทมเป้ให้สารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี 2 ที่มีส่วนช่วยในการสร้างพลังงาน การมองเห็น และบำรุงผิวพรรณ วิตามินบี 3 ที่ช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เสริมการทำงานของสมอง ระบบย่อยอาหาร และผิวพรรณ และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์และนม จึงเป็นทางเลือกของคนที่รับประทานมังสวิรัติ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงจึงเป็นแหล่งของแคลเซียมที่เหมาะกับคนที่ไม่ดื่มนมวัว และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง เหล็ก แมงกานีส และฟอสฟอรัส ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย

    4. แหล่งของสารไอโซฟลาโวน

    เทมเป้ประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวน ซึ่งพบมากในถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง โดยปกติบนห่อผลิตภัณฑ์เทมเป้จะระบุปริมาณไอโซฟลาโวนให้เห็นโดยมีปริมาณอยู่ที่ 40-50 กรัมต่อ 1 ชิ้น โดยไอโซฟลาโวนมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (low density lipoprotein หรือ LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งไขมันชนิดไม่ดีเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ ไอโซฟลาโวนจัดเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช (phytoestrogen) ที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ ลดอาการวัยทองในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น

    5. เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของร่างกาย

    การรับประทานถั่วและธัญพืชบางชนิดอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและมีอาการท้องอืด แต่การรับประทานเทมเป้มักไม่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น นอกจากนี้เทมเป้ได้จากการหมักถั่วกับเชื้อรา จึงมีโพรไบโอติกส์ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และมีพรีไบโอติกส์ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดหนึ่งและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโพรไบโอติกส์ โดยเทมเป้ 85 กรัม มีใยอาหารสูงถึง 7 กรัม จึงมีส่วนช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ

    6. บำรุงสมองและระบบประสาท

    เทมเป้ประกอบด้วยสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นของการสร้างสารสื่อประสาทในสมองคือ acetylcholine หากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้

    7. บำรุงตับ ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

    สารเลซิตินในเทมเป้ยังช่วยบำรุงตับได้ดี เนื่องจากประกอบด้วยกรดไขมันคือฟอสเฟตและโคลีน ซึ่งโคลีนมีส่วนช่วยให้เซลล์ตับมีการเผาผลาญไขมันได้อย่างปกติ ลดการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบและตับแข็ง นอกจากนี้ เลซิตินยังมีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลายของน้ำดี ช่วยให้น้ำดีไม่จับตัวจนเป็นก้อนนิ่ว ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

    8. เสริมสร้างการเจริญเติบโตและสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ

    วิตามินบี 12 ถือว่าเป็นวิตามินที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในวัยเด็ก เนื่องจากช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารได้มาก ในขณะที่ผู้สูงอายุการได้รับวิตามินบี 12 จะช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ลดอาการอ่อนแรง ซึ่งปกติแล้ว วิตามินบี 12 จะพบได้ในเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หากทานเทมเป้เข้าไปก็จะได้รับวิตามินชนิดนี้เช่นกัน

    ข้อควรระวังในการรับประทานเทมเป้
    คนทั่วไปสามารถรับประทานเทมเป้ได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่คนที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างไม่ควรรับประทานเทมเป้ เช่น (1) แพ้ถั่วเหลือง เนื่องจากเทมเป้มีส่วนประกอบหลักคือถั่วเหลือง การรับประทานเทมเป้อาจทำให้คนที่แพ้ถั่วเหลืองมีอาการคัน เกิดผื่นลมพิษ ใบหน้าและลำคอบวม หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และบางคนอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (2) ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เพราะเทมเป้มีสารกอยโตรเจน (goitrogen) ที่อาจยับยั้งการสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน และลดประสิทธิภาพการดูดซึมยารักษาไทรอยด์

    แหล่งอ้างอิง/ที่มา
    U.S. Department of Agriculture. 2023. FoodData Central: Foundation foods (April).
    Teoh SQ, Chin NL, Chong CW, Ripen AM, How S, Lim JJL. A review on health benefits and processing of tempeh with outlines on its functional microbes. Future Foods. 2024; 9: 100330.
    Pobpad. เทมเป้ อาหารเพื่อสุขภาพและวิธีรับประทานให้ได้ประโยชน์.
    #tempeh #เทมเป้ #เทมเป้โปรตีน
    #โปรตีนจากพืช
    ประโยชน์ของเทมเป้ต่อสุขภาพ ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภญ.จิราพร เลื่อนผลเจริญชัย ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด 1. อุดมไปด้วยโปรตีน ปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคต่อวันคือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรได้รับโปรตีนจากถั่วเหลืองในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อทดแทนการได้รับโปรตีนไม่เพียงพอจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ โดยเทมเป้ให้โปรตีนสูงกว่าอาหารที่ทำจากถั่วชนิดอื่น เช่น เต้าหู้ปริมาณ 84 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม ขณะที่เทมเป้ที่มีปริมาณเท่ากันให้โปรตีนสูงถึง 15 กรัม จึงเหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่ออกกำลังกายเพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยเสริมมวลกล้ามเนื้อที่เสียไปจากการออกกำลังกาย นอกจากนี้ เทมเป้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง และจะได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอเท่านั้น ซึ่งอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองจะให้ครบทั้ง 9 ชนิด ได้แก่ ฮิสติดีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน ไลซีน เมไทโอนีน ฟีนิลอะลานีน และทริปโตเฟน ต่างจากธัญพืชอื่นๆ ที่อาจให้กรดอะมิโนจำเป็นได้ไม่ครบ 2. ดีต่อหัวใจและช่วยควบคุมน้ำหนัก เทมเป้ 1 ถ้วย (166 กรัม) ประกอบด้วยไขมัน 18 กรัม โดยไขมันส่วนใหญ่ในเทมเป้จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อันมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ เทมเป้ 1 ถ้วยประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเพียง 13 กรัม และมีโปรตีนสูงที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องและยับยั้งความรู้สึกอยากอาหาร ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย 3. แหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ การรับประทานเทมเป้ให้สารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี 2 ที่มีส่วนช่วยในการสร้างพลังงาน การมองเห็น และบำรุงผิวพรรณ วิตามินบี 3 ที่ช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เสริมการทำงานของสมอง ระบบย่อยอาหาร และผิวพรรณ และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์และนม จึงเป็นทางเลือกของคนที่รับประทานมังสวิรัติ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงจึงเป็นแหล่งของแคลเซียมที่เหมาะกับคนที่ไม่ดื่มนมวัว และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง เหล็ก แมงกานีส และฟอสฟอรัส ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย 4. แหล่งของสารไอโซฟลาโวน เทมเป้ประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวน ซึ่งพบมากในถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง โดยปกติบนห่อผลิตภัณฑ์เทมเป้จะระบุปริมาณไอโซฟลาโวนให้เห็นโดยมีปริมาณอยู่ที่ 40-50 กรัมต่อ 1 ชิ้น โดยไอโซฟลาโวนมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (low density lipoprotein หรือ LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งไขมันชนิดไม่ดีเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ ไอโซฟลาโวนจัดเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช (phytoestrogen) ที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ ลดอาการวัยทองในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น 5. เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของร่างกาย การรับประทานถั่วและธัญพืชบางชนิดอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและมีอาการท้องอืด แต่การรับประทานเทมเป้มักไม่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น นอกจากนี้เทมเป้ได้จากการหมักถั่วกับเชื้อรา จึงมีโพรไบโอติกส์ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และมีพรีไบโอติกส์ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดหนึ่งและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโพรไบโอติกส์ โดยเทมเป้ 85 กรัม มีใยอาหารสูงถึง 7 กรัม จึงมีส่วนช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ 6. บำรุงสมองและระบบประสาท เทมเป้ประกอบด้วยสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นของการสร้างสารสื่อประสาทในสมองคือ acetylcholine หากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้ 7. บำรุงตับ ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี สารเลซิตินในเทมเป้ยังช่วยบำรุงตับได้ดี เนื่องจากประกอบด้วยกรดไขมันคือฟอสเฟตและโคลีน ซึ่งโคลีนมีส่วนช่วยให้เซลล์ตับมีการเผาผลาญไขมันได้อย่างปกติ ลดการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบและตับแข็ง นอกจากนี้ เลซิตินยังมีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลายของน้ำดี ช่วยให้น้ำดีไม่จับตัวจนเป็นก้อนนิ่ว ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 8. เสริมสร้างการเจริญเติบโตและสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ วิตามินบี 12 ถือว่าเป็นวิตามินที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในวัยเด็ก เนื่องจากช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารได้มาก ในขณะที่ผู้สูงอายุการได้รับวิตามินบี 12 จะช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ลดอาการอ่อนแรง ซึ่งปกติแล้ว วิตามินบี 12 จะพบได้ในเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หากทานเทมเป้เข้าไปก็จะได้รับวิตามินชนิดนี้เช่นกัน ข้อควรระวังในการรับประทานเทมเป้ คนทั่วไปสามารถรับประทานเทมเป้ได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่คนที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างไม่ควรรับประทานเทมเป้ เช่น (1) แพ้ถั่วเหลือง เนื่องจากเทมเป้มีส่วนประกอบหลักคือถั่วเหลือง การรับประทานเทมเป้อาจทำให้คนที่แพ้ถั่วเหลืองมีอาการคัน เกิดผื่นลมพิษ ใบหน้าและลำคอบวม หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และบางคนอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (2) ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เพราะเทมเป้มีสารกอยโตรเจน (goitrogen) ที่อาจยับยั้งการสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน และลดประสิทธิภาพการดูดซึมยารักษาไทรอยด์ แหล่งอ้างอิง/ที่มา U.S. Department of Agriculture. 2023. FoodData Central: Foundation foods (April). Teoh SQ, Chin NL, Chong CW, Ripen AM, How S, Lim JJL. A review on health benefits and processing of tempeh with outlines on its functional microbes. Future Foods. 2024; 9: 100330. Pobpad. เทมเป้ อาหารเพื่อสุขภาพและวิธีรับประทานให้ได้ประโยชน์. #tempeh #เทมเป้ #เทมเป้โปรตีน #โปรตีนจากพืช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 โรคพบบ่อยในไทย ที่อาจทำให้ชีวิตเกษียณของคุณ *หมดความสุข*

    เมื่อถึงวัยเกษียณ หลายคนมองไปถึงการใช้ชีวิตที่ปกติ สงบสุข ได้ไปเที่ยว ออกไปเรียนรู้กับคนที่รัก

    ... แต่ในความเป็นจริง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกายก่อนแล้ว แต่มาแสดงอาการในวัยสูงอายุ! สามารถทำให้ชีวิตที่เราอยากได้นั้น หายไปทันที และ กลับกลายเป็น #ภาระ ให้กับคนที่อยู่ด้วย ให้กับคนรักแทน

    สามโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุหลังเกษียณในประเทศไทย ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต มีดังนี้

    1. #โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease)
    โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้สูงอายุในประเทศไทย และมักเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้เกิดการตีบตัน

    **โรคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนล้าและหายใจลำบากเท่านั้น แต่ยังทำให้ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันลดลงอีกด้วย**

    2. #โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
    โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ, โรคไต และปัญหาเส้นประสาท

    **โรคนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมพลังงานและการใช้ชีวิตได้ตามปกติ**

    3. #โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
    ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมองได้

    **ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมักรู้สึกเหนื่อยง่าย และอาจไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานได้ตามปกติ**

    (ข้อมูลอ้างอิงจาก WHO Extranet ,BioMed Central, World Bank)

    -------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน โรคหัวใจ, เบาหวานชนิดที่ 2, และความดันโลหิตสูงได้อย่าง มีประสิทธิภาพ

    เนื่องจาก คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ทำหน้าที่สะสางสารพิษโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและอินซูลิน การกำจัดสารพิษนี้ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและควบคุมความดันโลหิต (Shim et al., 2008)

    ส่วน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสาร Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบระดับเซลล์และป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Puyfoulhoux et al., 2001; Vazquez et al., 2013)

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 โรคพบบ่อยในไทย ที่อาจทำให้ชีวิตเกษียณของคุณ *หมดความสุข* เมื่อถึงวัยเกษียณ หลายคนมองไปถึงการใช้ชีวิตที่ปกติ สงบสุข ได้ไปเที่ยว ออกไปเรียนรู้กับคนที่รัก ... แต่ในความเป็นจริง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกายก่อนแล้ว แต่มาแสดงอาการในวัยสูงอายุ! สามารถทำให้ชีวิตที่เราอยากได้นั้น หายไปทันที และ กลับกลายเป็น #ภาระ ให้กับคนที่อยู่ด้วย ให้กับคนรักแทน สามโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุหลังเกษียณในประเทศไทย ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต มีดังนี้ 1. #โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้สูงอายุในประเทศไทย และมักเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้เกิดการตีบตัน **โรคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนล้าและหายใจลำบากเท่านั้น แต่ยังทำให้ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันลดลงอีกด้วย** 2. #โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ, โรคไต และปัญหาเส้นประสาท **โรคนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมพลังงานและการใช้ชีวิตได้ตามปกติ** 3. #โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมองได้ **ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมักรู้สึกเหนื่อยง่าย และอาจไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานได้ตามปกติ** (ข้อมูลอ้างอิงจาก WHO Extranet ,BioMed Central, World Bank) ------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน โรคหัวใจ, เบาหวานชนิดที่ 2, และความดันโลหิตสูงได้อย่าง มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ทำหน้าที่สะสางสารพิษโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและอินซูลิน การกำจัดสารพิษนี้ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและควบคุมความดันโลหิต (Shim et al., 2008) ส่วน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสาร Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบระดับเซลล์และป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Puyfoulhoux et al., 2001; Vazquez et al., 2013) โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 โรคพบบ่อยในไทย ที่อาจทำให้ชีวิตเกษียณของคุณ *หมดความสุข*

    เมื่อถึงวัยเกษียณ หลายคนมองไปถึงการใช้ชีวิตที่ปกติ สงบสุข ได้ไปเที่ยว ออกไปเรียนรู้กับคนที่รัก

    ... แต่ในความเป็นจริง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกายก่อนแล้ว แต่มาแสดงอาการในวัยสูงอายุ! สามารถทำให้ชีวิตที่เราอยากได้นั้น หายไปทันที และ กลับกลายเป็น #ภาระ ให้กับคนที่อยู่ด้วย ให้กับคนรักแทน

    สามโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุหลังเกษียณในประเทศไทย ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต มีดังนี้

    1. #โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease)
    โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้สูงอายุในประเทศไทย และมักเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้เกิดการตีบตัน

    **โรคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนล้าและหายใจลำบากเท่านั้น แต่ยังทำให้ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันลดลงอีกด้วย**

    2. #โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
    โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ, โรคไต และปัญหาเส้นประสาท

    **โรคนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมพลังงานและการใช้ชีวิตได้ตามปกติ**

    3. #โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
    ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมองได้

    **ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมักรู้สึกเหนื่อยง่าย และอาจไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานได้ตามปกติ**

    (ข้อมูลอ้างอิงจาก WHO Extranet ,BioMed Central, World Bank)

    -------

    #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน โรคหัวใจ, เบาหวานชนิดที่ 2, และความดันโลหิตสูงได้อย่าง มีประสิทธิภาพ

    เนื่องจาก คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ทำหน้าที่สะสางสารพิษโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและอินซูลิน การกำจัดสารพิษนี้ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและควบคุมความดันโลหิต (Shim et al., 2008)

    ส่วน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสาร Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบระดับเซลล์และป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Puyfoulhoux et al., 2001; Vazquez et al., 2013)

    โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง

    เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ

    #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    3 โรคพบบ่อยในไทย ที่อาจทำให้ชีวิตเกษียณของคุณ *หมดความสุข* เมื่อถึงวัยเกษียณ หลายคนมองไปถึงการใช้ชีวิตที่ปกติ สงบสุข ได้ไปเที่ยว ออกไปเรียนรู้กับคนที่รัก ... แต่ในความเป็นจริง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมที่สะสมอยู่ในร่างกายก่อนแล้ว แต่มาแสดงอาการในวัยสูงอายุ! สามารถทำให้ชีวิตที่เราอยากได้นั้น หายไปทันที และ กลับกลายเป็น #ภาระ ให้กับคนที่อยู่ด้วย ให้กับคนรักแทน สามโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุหลังเกษียณในประเทศไทย ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต มีดังนี้ 1. #โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของผู้สูงอายุในประเทศไทย และมักเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้เกิดการตีบตัน **โรคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนล้าและหายใจลำบากเท่านั้น แต่ยังทำให้ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันลดลงอีกด้วย** 2. #โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ, โรคไต และปัญหาเส้นประสาท **โรคนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมพลังงานและการใช้ชีวิตได้ตามปกติ** 3. #โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมองได้ **ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมักรู้สึกเหนื่อยง่าย และอาจไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานได้ตามปกติ** (ข้อมูลอ้างอิงจาก WHO Extranet ,BioMed Central, World Bank) ------- #คลอเรลล่าที่ปลอดภัย และ #สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย คือคู่สารอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกัน โรคหัวใจ, เบาหวานชนิดที่ 2, และความดันโลหิตสูงได้อย่าง มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก คลอเรลล่าที่ปลอดภัย ทำหน้าที่สะสางสารพิษโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและอินซูลิน การกำจัดสารพิษนี้ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและควบคุมความดันโลหิต (Shim et al., 2008) ส่วน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย มีสาร Phycocyanin ที่ช่วยลดการอักเสบระดับเซลล์และป้องกันการสะสมไขมันในหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Puyfoulhoux et al., 2001; Vazquez et al., 2013) โดยที่ การ "ทาน สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" ให้ได้ผล จำเป็นต้อง "สะสางสิ่งพิษในร่างกายให้สะอาดก่อน" โดยการทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่ง 6 เดือนที่ทาน "คลอเรลล่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ทานก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพมากมาย จากการสะสางสิ่งพิษโดยเฉพาะโลหะหนัก ที่สะสมอยู่ในร่างกาย และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอีกมากมายอีกครั้ง หลังจากสามารถเริ่มทาน "สไปรูลิน่าที่ปลอดภัย" อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ท่ามกลางคนที่รัก และอยู่ในสุขภาพที่ดีในช่วงปลายของชีวิต ให้ FEBICO Organic Chlorella และ FEBICO Organic Spirulina ที่ผ่านการรับรองออร์แกนิคจาก USDA Organic ของแท้ ไม่ได้แปะเอง จึงมั่นใจได้ในความ "ปลอดภัย" เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อให้คุณได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่คุณรักได้อย่างมีความสุขในช่วงเกษียณอายุของคุณ #สะสางก่อนสะสม #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥💥งบประมาณขาดดุลของสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง
    1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2567
    หรือประมาณ 60 ล้านล้านบาท
    สูงสุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์

    กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า
    ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแตะ
    1.833 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณ 2567
    ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนอกยุคโควิด-19

    โดยเป็นผลจากดอกเบี้ยหนี้ของรัฐบาลกลางที่สูงเกิน
    1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก และรายจ่ายก็เพิ่มขึ้น
    สำหรับโครงการเกษียณอายุของประกันสังคม
    การดูแลสุขภาพ และกองทัพ

    ตัวเลขขาดดุลประจำปีที่สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เพิ่มขึ้น 8%
    หรือ 138,000 ล้านดอลลาร์ จาก 1.695 ล้านล้านดอลลาร์
    ที่บันทึกไว้ในปีงบประมาณ 2566 นับเป็นตัวเลขขาดดุล
    ของรัฐบาลกลาง ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
    รองจากตัวเลขขาดดุลจากการบรรเทาทุกข์จากโรคระบาดที่
    3.132 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2563 และ
    2.772 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2564

    🚩ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการขาดดุลในปีนี้คือ
    ต้นทุนดอกเบี้ยของหนี้กระทรวงการคลังที่เพิ่มขึ้น 29%
    เป็น 1.133 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจาก
    อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและหนี้ที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น
    ซึ่งยอดรวมนี้เกินกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรม
    ดูแลสุขภาพของเมดิแคร์สำหรับผู้สูงอายุและ
    ค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม

    🚩ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ
    ได้แก่ เงินประกันสังคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เป็น
    1.520 ล้านล้านดอลลาร์ เงินประกันสุขภาพเมดิแคร์
    เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เป็น 1.050 ล้านล้านดอลลาร์
    และโครงการทางทหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 6
    เป็น 826 พันล้านดอลลาร์

    ที่มา : Reuters

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #งบประมาณสหรัฐ
    #thaitimes
    💥💥งบประมาณขาดดุลของสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2567 หรือประมาณ 60 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแตะ 1.833 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับปีงบประมาณ 2567 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนอกยุคโควิด-19 โดยเป็นผลจากดอกเบี้ยหนี้ของรัฐบาลกลางที่สูงเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก และรายจ่ายก็เพิ่มขึ้น สำหรับโครงการเกษียณอายุของประกันสังคม การดูแลสุขภาพ และกองทัพ ตัวเลขขาดดุลประจำปีที่สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เพิ่มขึ้น 8% หรือ 138,000 ล้านดอลลาร์ จาก 1.695 ล้านล้านดอลลาร์ ที่บันทึกไว้ในปีงบประมาณ 2566 นับเป็นตัวเลขขาดดุล ของรัฐบาลกลาง ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ รองจากตัวเลขขาดดุลจากการบรรเทาทุกข์จากโรคระบาดที่ 3.132 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2563 และ 2.772 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2564 🚩ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการขาดดุลในปีนี้คือ ต้นทุนดอกเบี้ยของหนี้กระทรวงการคลังที่เพิ่มขึ้น 29% เป็น 1.133 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจาก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและหนี้ที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น ซึ่งยอดรวมนี้เกินกว่าค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรม ดูแลสุขภาพของเมดิแคร์สำหรับผู้สูงอายุและ ค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม 🚩ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ ได้แก่ เงินประกันสังคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เป็น 1.520 ล้านล้านดอลลาร์ เงินประกันสุขภาพเมดิแคร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เป็น 1.050 ล้านล้านดอลลาร์ และโครงการทางทหาร เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เป็น 826 พันล้านดอลลาร์ ที่มา : Reuters #หุ้นติดดอย #การลงทุน #งบประมาณสหรัฐ #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣️ เป็นรัฐมนตรีได้ยังไงก่อน โชว์ไอเดียวิบัติ สร้างความบรรลัย คิดใช้เงินฟาด หัวให้คนผลิตลูก เพิ่มภาระกองทุนประกันสังคม เพิ่มภาระผู้สูงอายุต้องมาเลี้ยงหลาน เพิ่มปัญหาสังคมในอนาคต และกว่าจะเพิ่มจำนวนแรงงาน ต้องรอเกือบ20ปี โลกคงใช้หุ่นยนต์ - แอปพลิเคชั่น ทำงานแทนมนุษย์เกือบหมดแล้ว
    #7ดอกจิก
    ♣️ เป็นรัฐมนตรีได้ยังไงก่อน โชว์ไอเดียวิบัติ สร้างความบรรลัย คิดใช้เงินฟาด หัวให้คนผลิตลูก เพิ่มภาระกองทุนประกันสังคม เพิ่มภาระผู้สูงอายุต้องมาเลี้ยงหลาน เพิ่มปัญหาสังคมในอนาคต และกว่าจะเพิ่มจำนวนแรงงาน ต้องรอเกือบ20ปี โลกคงใช้หุ่นยนต์ - แอปพลิเคชั่น ทำงานแทนมนุษย์เกือบหมดแล้ว #7ดอกจิก
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีรับมือความดันโลหิตสูงเฉียบพลันเฉพาะหน้า ต้องทำอย่างไร และป้องกันอย่างไร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ #Newsstory #News1 #ความดันโลหิตสูง #ผู้สูงอายุ #แทนไร้เทียมทาน #โสภณองค์การณ์
    วิธีรับมือความดันโลหิตสูงเฉียบพลันเฉพาะหน้า ต้องทำอย่างไร และป้องกันอย่างไร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ #Newsstory #News1 #ความดันโลหิตสูง #ผู้สูงอายุ #แทนไร้เทียมทาน #โสภณองค์การณ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • เงินบำนาญชราภาพประกันสังคม ที่หลายๆคน อาจไม่รู้เหมือนแอดมิน😅😅
    #ประกันสังคม #ประกันชราภาพ #เงินเลี้ยงดูผู้สูงอายุ #ประกันชีวิตAIA #แผนเกษียณ #ประกันชีวิต #AIA #แผนป้องกันความเสี่ยง
    เงินบำนาญชราภาพประกันสังคม ที่หลายๆคน อาจไม่รู้เหมือนแอดมิน😅😅 #ประกันสังคม #ประกันชราภาพ #เงินเลี้ยงดูผู้สูงอายุ #ประกันชีวิตAIA #แผนเกษียณ #ประกันชีวิต #AIA #แผนป้องกันความเสี่ยง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts