• เปิดประสบการณ์ "ล่องเรือสู่ขั้วโลกเหนือ 90° N" กับ PONANT ในปี 2027

    สำรวจอาร์กติกเหนือแบบลักซ์ชัวรี่ บนเรือ Le Commandant Charcot
    สายเรือหรู Ponant เปิดตัวโปรแกรม North Pole Expedition 12 คืน
    ออกเดินทางจาก เกาะสปีทส์เบอร์เกน Svalbard, นอร์เวย์
    → มุ่งหน้าสู่ Geographic North Pole — จุดเหนือสุดของโลกที่ละติจูด 90° N

    ล่องเรือผ่านแผ่นน้ำแข็ง
    กิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Zodiac, พายคายัค, เดินบนแผ่นน้ำแข็ง, polar plunge!
    ชมสัตว์หายากแห่งอาร์กติก เช่น หมีขาว, แมวน้ำ, วาฬ, หมาจิ้งจอกอาร์กติก
    ห้องพักหรู อาหารระดับพรีเมียม บริการ All-Inclusive

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #ponant #ponantexplorations #LeCommandantCharcot #NorthpoleExpedition #Arctic #updates #News #CruiseDomain #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ข่าวเรือสำราญ
    ❄️เปิดประสบการณ์ "ล่องเรือสู่ขั้วโลกเหนือ 90° N" กับ PONANT ในปี 2027 🌌🚢 สำรวจอาร์กติกเหนือแบบลักซ์ชัวรี่ บนเรือ Le Commandant Charcot สายเรือหรู Ponant เปิดตัวโปรแกรม North Pole Expedition 12 คืน ออกเดินทางจาก เกาะสปีทส์เบอร์เกน Svalbard, นอร์เวย์ → มุ่งหน้าสู่ Geographic North Pole — จุดเหนือสุดของโลกที่ละติจูด 90° N 🧊 ล่องเรือผ่านแผ่นน้ำแข็ง 🧊 กิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Zodiac, พายคายัค, เดินบนแผ่นน้ำแข็ง, polar plunge! 🧊 ชมสัตว์หายากแห่งอาร์กติก เช่น หมีขาว, แมวน้ำ, วาฬ, หมาจิ้งจอกอาร์กติก 🧊 ห้องพักหรู อาหารระดับพรีเมียม บริการ All-Inclusive ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #ponant #ponantexplorations #LeCommandantCharcot #NorthpoleExpedition #Arctic #updates #News #CruiseDomain #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ข่าวเรือสำราญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • การค้นพบหลุมศพไวกิ้งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    นักโบราณคดีในแคว้น Trøndelag ประเทศนอร์เวย์ ได้ค้นพบหลุมศพสมัยไวกิ้งที่มีลักษณะพิเศษไม่เคยพบมาก่อน โดยพบร่างหญิงสาวที่ถูกฝังพร้อม เปลือกหอยสแกลลอปสองชิ้นวางไว้ที่ปาก ซึ่งไม่เคยมีบันทึกในพิธีฝังศพไวกิ้งก่อนคริสต์ศาสนามาก่อน

    ความหมายเชิงสัญลักษณ์
    นักวิจัยยังไม่สามารถอธิบายความหมายของเปลือกหอยได้ชัดเจน แต่ในประวัติศาสตร์โลก หอยสแกลลอปเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเดินทางทางจิตวิญญาณในยุคกรีก–โรมัน และต่อมาในคริสต์ศาสนาเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงบุญ อย่างไรก็ตาม การฝังศพนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 9 ซึ่งก่อนที่ความหมายเหล่านั้นจะแพร่เข้ามาในสแกนดิเนเวีย

    หลักฐานอื่นในหลุมศพ
    นอกจากเปลือกหอยแล้ว ยังพบเครื่องประดับสตรี เช่น เข็มกลัดรูปวงรีสองชิ้น และ หัวเข็มขัดวงแหวน ซึ่งบ่งบอกว่าเธอเป็นหญิงอิสระและน่าจะเป็นเจ้าของฟาร์ม อีกทั้งยังพบกระดูกนกที่จัดเรียงอย่างระมัดระวัง ซึ่งอาจมีความหมายเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับการฝังศพโบราณในเดนมาร์กที่ใช้ปีกหงส์วางใต้ทารก

    ความสำคัญทางวิชาการ
    การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมฝังศพไวกิ้ง แต่ยังสะท้อนถึงการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ใช้เปลือกหอยในพิธีกรรม นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และทำการเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่นในพื้นที่เพื่อหาความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แท้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบหลุมศพไวกิ้ง
    พบหญิงสาวถูกฝังพร้อมเปลือกหอยสแกลลอปที่ปาก
    มีเครื่องประดับและหลักฐานว่าเป็นหญิงอิสระ

    ความหมายเชิงสัญลักษณ์
    หอยสแกลลอปเคยเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์และการแสวงบุญ
    กระดูกนกอาจสื่อถึงพิธีกรรมเชิงวิญญาณ

    ความสำคัญทางวิชาการ
    เพิ่มความเข้าใจพิธีฝังศพไวกิ้ง
    นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่น

    ข้อจำกัด
    ยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของเปลือกหอย
    ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม

    https://www.sciencealert.com/viking-age-grave-reveals-a-burial-unlike-anything-seen-before
    ⚔️ การค้นพบหลุมศพไวกิ้งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นักโบราณคดีในแคว้น Trøndelag ประเทศนอร์เวย์ ได้ค้นพบหลุมศพสมัยไวกิ้งที่มีลักษณะพิเศษไม่เคยพบมาก่อน โดยพบร่างหญิงสาวที่ถูกฝังพร้อม เปลือกหอยสแกลลอปสองชิ้นวางไว้ที่ปาก ซึ่งไม่เคยมีบันทึกในพิธีฝังศพไวกิ้งก่อนคริสต์ศาสนามาก่อน 🐚 ความหมายเชิงสัญลักษณ์ นักวิจัยยังไม่สามารถอธิบายความหมายของเปลือกหอยได้ชัดเจน แต่ในประวัติศาสตร์โลก หอยสแกลลอปเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และการเดินทางทางจิตวิญญาณในยุคกรีก–โรมัน และต่อมาในคริสต์ศาสนาเป็นสัญลักษณ์ของการแสวงบุญ อย่างไรก็ตาม การฝังศพนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 9 ซึ่งก่อนที่ความหมายเหล่านั้นจะแพร่เข้ามาในสแกนดิเนเวีย 🕊️ หลักฐานอื่นในหลุมศพ นอกจากเปลือกหอยแล้ว ยังพบเครื่องประดับสตรี เช่น เข็มกลัดรูปวงรีสองชิ้น และ หัวเข็มขัดวงแหวน ซึ่งบ่งบอกว่าเธอเป็นหญิงอิสระและน่าจะเป็นเจ้าของฟาร์ม อีกทั้งยังพบกระดูกนกที่จัดเรียงอย่างระมัดระวัง ซึ่งอาจมีความหมายเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับการฝังศพโบราณในเดนมาร์กที่ใช้ปีกหงส์วางใต้ทารก 🔬 ความสำคัญทางวิชาการ การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีกรรมฝังศพไวกิ้ง แต่ยังสะท้อนถึงการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ใช้เปลือกหอยในพิธีกรรม นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และทำการเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่นในพื้นที่เพื่อหาความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แท้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบหลุมศพไวกิ้ง ➡️ พบหญิงสาวถูกฝังพร้อมเปลือกหอยสแกลลอปที่ปาก ➡️ มีเครื่องประดับและหลักฐานว่าเป็นหญิงอิสระ ✅ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ ➡️ หอยสแกลลอปเคยเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์และการแสวงบุญ ➡️ กระดูกนกอาจสื่อถึงพิธีกรรมเชิงวิญญาณ ✅ ความสำคัญทางวิชาการ ➡️ เพิ่มความเข้าใจพิธีฝังศพไวกิ้ง ➡️ นักวิจัยกำลังวิเคราะห์ DNA และเปรียบเทียบกับหลุมศพอื่น ‼️ ข้อจำกัด ⛔ ยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของเปลือกหอย ⛔ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม https://www.sciencealert.com/viking-age-grave-reveals-a-burial-unlike-anything-seen-before
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Viking-Age Grave Reveals a Burial Unlike Anything Seen Before
    The discovery of a Viking-age burial in Trøndelag, Norway, has presented archaeologists with a historical mystery.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • การกลับมาของ Jolla Phone หลังทศวรรษ

    ข่าวนี้เล่าถึงการกลับมาของ Jolla Phone หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2013 โดยรุ่นใหม่ใช้ Sailfish OS 5 เน้นความเป็นส่วนตัว, รองรับ Android apps, มีแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ และเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้วในยุโรป

    Jolla ก่อตั้งโดยอดีตวิศวกร Nokia หลัง MeeGo ถูกยกเลิกในปี 2011 และเปิดตัว Jolla Phone รุ่นแรกในปี 2013 ผ่านการระดมทุนสำเร็จ ครั้งนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งด้วย Jolla Phone รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวผ่านแคมเปญ crowdfunding และมียอดจองเกิน 2,000 เครื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

    Sailfish OS 5: ระบบที่เคารพความเป็นส่วนตัว
    โทรศัพท์ใหม่นี้ใช้ Sailfish OS 5 ซึ่งแตกต่างจาก Android และ iOS โดยไม่ติดตามผู้ใช้หรือส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ระบบถูกออกแบบให้เคารพความเป็นส่วนตัวโดยค่าเริ่มต้น พร้อมสัญญาการสนับสนุนซอฟต์แวร์อย่างน้อย 5 ปีโดยไม่มีการบังคับให้อัปเกรดเครื่อง นอกจากนี้ยังรองรับ Android apps ผ่าน AppSupport ในสภาพแวดล้อม sandbox ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานแบบ “de-Googled” ได้เต็มที่

    สเปกและฟีเจอร์เด่น
    ชิปเซ็ต: Mediatek 5G platform
    RAM: 12 GB
    Storage: 256 GB + microSDXC
    หน้าจอ: 6.36″ Full-HD AMOLED ~390 ppi พร้อม Gorilla Glass
    กล้อง: 50MP Wide + 13MP Ultrawide, กล้องหน้า wide-lens
    แบตเตอรี่: ~5,500 mAh ถอดเปลี่ยนได้
    การเชื่อมต่อ: WiFi 6, BT 5.4, NFC, 4G + 5G dual SIM
    ฟีเจอร์พิเศษ: ปุ่ม Power รวม fingerprint, สวิตช์ privacy สำหรับปิดไมค์และ Bluetooth

    ราคาและการวางจำหน่าย
    Jolla Phone เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าด้วยเงินมัดจำ €99 (คืนได้) ราคาพิเศษสำหรับผู้สั่งจองคือ €499 รวม VAT และคาดว่าราคาขายจริงจะอยู่ระหว่าง €599–€699 โดยจะเริ่มส่งมอบในครึ่งแรกของปี 2026 รุ่นแรกจะวางจำหน่ายใน EU, UK, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ แต่รองรับการใช้งานทั่วโลกด้วยโมเด็ม roaming

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การกลับมาของ Jolla Phone
    เปิดตัวครั้งแรกปี 2013 และกลับมาอีกครั้งในปี 2025
    เปิดตัวผ่าน crowdfunding และมียอดจองเกิน 2,000 เครื่อง

    จุดเด่นของ Sailfish OS 5
    เคารพความเป็นส่วนตัว ไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์
    รองรับ Android apps ผ่าน sandbox

    สเปกหลักของเครื่อง
    RAM 12 GB, Storage 256 GB + microSDXC
    กล้องหลัก 50MP + 13MP Ultrawide
    แบตเตอรี่ 5,500 mAh ถอดเปลี่ยนได้

    ข้อควรระวัง
    ราคาขายจริงสูงกว่าราคา pre-order (คาด €599–€699)
    ยังจำกัดการวางจำหน่ายในยุโรปช่วงแรก

    https://itsfoss.com/news/jolla-phone-returns/
    📱 การกลับมาของ Jolla Phone หลังทศวรรษ ข่าวนี้เล่าถึงการกลับมาของ Jolla Phone หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2013 โดยรุ่นใหม่ใช้ Sailfish OS 5 เน้นความเป็นส่วนตัว, รองรับ Android apps, มีแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ และเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้วในยุโรป Jolla ก่อตั้งโดยอดีตวิศวกร Nokia หลัง MeeGo ถูกยกเลิกในปี 2011 และเปิดตัว Jolla Phone รุ่นแรกในปี 2013 ผ่านการระดมทุนสำเร็จ ครั้งนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งด้วย Jolla Phone รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวผ่านแคมเปญ crowdfunding และมียอดจองเกิน 2,000 เครื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 🔐 Sailfish OS 5: ระบบที่เคารพความเป็นส่วนตัว โทรศัพท์ใหม่นี้ใช้ Sailfish OS 5 ซึ่งแตกต่างจาก Android และ iOS โดยไม่ติดตามผู้ใช้หรือส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท ระบบถูกออกแบบให้เคารพความเป็นส่วนตัวโดยค่าเริ่มต้น พร้อมสัญญาการสนับสนุนซอฟต์แวร์อย่างน้อย 5 ปีโดยไม่มีการบังคับให้อัปเกรดเครื่อง นอกจากนี้ยังรองรับ Android apps ผ่าน AppSupport ในสภาพแวดล้อม sandbox ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานแบบ “de-Googled” ได้เต็มที่ ⚙️ สเปกและฟีเจอร์เด่น 💠 ชิปเซ็ต: Mediatek 5G platform 💠 RAM: 12 GB 💠 Storage: 256 GB + microSDXC 💠 หน้าจอ: 6.36″ Full-HD AMOLED ~390 ppi พร้อม Gorilla Glass 💠 กล้อง: 50MP Wide + 13MP Ultrawide, กล้องหน้า wide-lens 💠 แบตเตอรี่: ~5,500 mAh ถอดเปลี่ยนได้ 💠 การเชื่อมต่อ: WiFi 6, BT 5.4, NFC, 4G + 5G dual SIM 💠 ฟีเจอร์พิเศษ: ปุ่ม Power รวม fingerprint, สวิตช์ privacy สำหรับปิดไมค์และ Bluetooth 💶 ราคาและการวางจำหน่าย Jolla Phone เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าด้วยเงินมัดจำ €99 (คืนได้) ราคาพิเศษสำหรับผู้สั่งจองคือ €499 รวม VAT และคาดว่าราคาขายจริงจะอยู่ระหว่าง €599–€699 โดยจะเริ่มส่งมอบในครึ่งแรกของปี 2026 รุ่นแรกจะวางจำหน่ายใน EU, UK, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ แต่รองรับการใช้งานทั่วโลกด้วยโมเด็ม roaming 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การกลับมาของ Jolla Phone ➡️ เปิดตัวครั้งแรกปี 2013 และกลับมาอีกครั้งในปี 2025 ➡️ เปิดตัวผ่าน crowdfunding และมียอดจองเกิน 2,000 เครื่อง ✅ จุดเด่นของ Sailfish OS 5 ➡️ เคารพความเป็นส่วนตัว ไม่ส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ ➡️ รองรับ Android apps ผ่าน sandbox ✅ สเปกหลักของเครื่อง ➡️ RAM 12 GB, Storage 256 GB + microSDXC ➡️ กล้องหลัก 50MP + 13MP Ultrawide ➡️ แบตเตอรี่ 5,500 mAh ถอดเปลี่ยนได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาขายจริงสูงกว่าราคา pre-order (คาด €599–€699) ⛔ ยังจำกัดการวางจำหน่ายในยุโรปช่วงแรก https://itsfoss.com/news/jolla-phone-returns/
    ITSFOSS.COM
    This Could Be The Linux Phone We All Have Been Waiting For
    The Jolla Phone returns over a decade after the original 2013 launch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jolla Phone รุ่นใหม่ เปิดพรีออเดอร์แล้ว

    Jolla Phone รุ่นใหม่มาพร้อม Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, หน่วยความจำ 256 GB (ขยายได้ถึง 2 TB), หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว FullHD, และแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ 5,500 mAh ตัวเครื่องรองรับ 4G/5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.4, NFC และกล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP พร้อมกล้องหน้าเลนส์กว้าง

    ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว
    โทรศัพท์นี้มี Privacy Switch แบบกายภาพ ที่ผู้ใช้สามารถปิดไมโครโฟน, Bluetooth, หรือ Android apps ได้ตามต้องการ Sailfish OS ที่ติดตั้งมาเป็นระบบ Linux ทางเลือกจากยุโรป เน้นความปลอดภัย ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์

    การขับเคลื่อนโดยชุมชน
    สเปกและฟีเจอร์หลายอย่างถูกโหวตโดยชุมชนผู้ใช้ Sailfish OS ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา Jolla ย้ำว่าโทรศัพท์นี้เป็น “Do It Together (DIT)” phone ที่ออกแบบร่วมกันโดยผู้ใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เปิดพรีออเดอร์แล้วในราคา 99 ยูโร (มัดจำ) โดยจะผลิตก็ต่อเมื่อมีอย่างน้อย 2,000 เครื่องถูกสั่งภายในวันที่ 4 มกราคม 2026 ราคาจริงจะอยู่ที่ 499 ยูโร (รวม VAT) และจะเริ่มขายในยุโรป, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์

    สรุปสาระสำคัญ
    สเปกเครื่อง
    Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, SSD สูงสุด 2 TB
    กล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP, แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้

    ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว
    Privacy Switch ปิดไมโครโฟน, Bluetooth, Android apps
    Sailfish OS ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับ

    การขับเคลื่อนโดยชุมชน
    สเปกและฟีเจอร์โหวตโดยผู้ใช้
    แนวคิด “Do It Together” phone

    ราคาและการวางจำหน่าย
    มัดจำ 99 ยูโร, ราคาจริง 499 ยูโร
    จำเป็นต้องมีพรีออเดอร์ขั้นต่ำ 2,000 เครื่อง

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    หากไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำ โทรศัพท์อาจไม่ได้ผลิตจริง
    การวางจำหน่ายจำกัดเฉพาะตลาดยุโรปและบางประเทศเท่านั้น

    https://9to5linux.com/new-jolla-phone-now-available-for-pre-order-as-an-independent-linux-phone
    📰 Jolla Phone รุ่นใหม่ เปิดพรีออเดอร์แล้ว Jolla Phone รุ่นใหม่มาพร้อม Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, หน่วยความจำ 256 GB (ขยายได้ถึง 2 TB), หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว FullHD, และแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ 5,500 mAh ตัวเครื่องรองรับ 4G/5G, Wi-Fi 6, Bluetooth 5.4, NFC และกล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP พร้อมกล้องหน้าเลนส์กว้าง 🔒 ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว โทรศัพท์นี้มี Privacy Switch แบบกายภาพ ที่ผู้ใช้สามารถปิดไมโครโฟน, Bluetooth, หรือ Android apps ได้ตามต้องการ Sailfish OS ที่ติดตั้งมาเป็นระบบ Linux ทางเลือกจากยุโรป เน้นความปลอดภัย ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ 🌐 การขับเคลื่อนโดยชุมชน สเปกและฟีเจอร์หลายอย่างถูกโหวตโดยชุมชนผู้ใช้ Sailfish OS ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา Jolla ย้ำว่าโทรศัพท์นี้เป็น “Do It Together (DIT)” phone ที่ออกแบบร่วมกันโดยผู้ใช้ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยบริษัทใหญ่ 💵 ราคาและการวางจำหน่าย เปิดพรีออเดอร์แล้วในราคา 99 ยูโร (มัดจำ) โดยจะผลิตก็ต่อเมื่อมีอย่างน้อย 2,000 เครื่องถูกสั่งภายในวันที่ 4 มกราคม 2026 ราคาจริงจะอยู่ที่ 499 ยูโร (รวม VAT) และจะเริ่มขายในยุโรป, สหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สเปกเครื่อง ➡️ Mediatek 5G SoC, RAM 12 GB, SSD สูงสุด 2 TB ➡️ กล้องหลัก 50 MP + Ultrawide 13 MP, แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ ✅ ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว ➡️ Privacy Switch ปิดไมโครโฟน, Bluetooth, Android apps ➡️ Sailfish OS ไม่มีการติดตามหรือส่งข้อมูลกลับ ✅ การขับเคลื่อนโดยชุมชน ➡️ สเปกและฟีเจอร์โหวตโดยผู้ใช้ ➡️ แนวคิด “Do It Together” phone ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ มัดจำ 99 ยูโร, ราคาจริง 499 ยูโร ➡️ จำเป็นต้องมีพรีออเดอร์ขั้นต่ำ 2,000 เครื่อง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ หากไม่ถึงจำนวนขั้นต่ำ โทรศัพท์อาจไม่ได้ผลิตจริง ⛔ การวางจำหน่ายจำกัดเฉพาะตลาดยุโรปและบางประเทศเท่านั้น https://9to5linux.com/new-jolla-phone-now-available-for-pre-order-as-an-independent-linux-phone
    9TO5LINUX.COM
    New Jolla Phone Now Available for Pre-Order as an Independent Linux Phone - 9to5Linux
    Jolla kicked off a campaign for a new Jolla Phone as the independent European Do It Together Linux phone, shaped by the people who use it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 6

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 6
    ในที่สุด เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2007 CNPC หน่วยงานที่ดูแลด้านน้ำมัน ของรัฐบาลจีน ก็ตกลงทำสัญญากับรัฐบาลของชาด Chad ในการสร้างท่อส่งน้ำมัน หลังจากนั้น 2 ปี การก่อสร้างท่อส่งน้ำมันก็เริ่มดำเนินการ มันเป็นท่อส่งสำหรับน้ำมันบ่อใหม่ ที่จีน (แอบ) ไปลงทุนขุดใหม่ทางใต้ของชาด ห่างไปอีก 300 กิโลเมตร หลังจากนั้น กลุ่มเอ็นจีโอ ที่พวกตะวันตกสนับสนุน ก็ออกมาโว้ยว่า เป็นการทำลาย สิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ และเมื่อตอน Chevron ขุดน้ำมันแถวนั้น ในปี ค.ศ.2003 เอ็นจีโอกลุ่มเดียวกันนี้ ไม่ออกมาโวย ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเช่นเดียวกัน
    แล้วเดือนกรกฏาคม ค.ศ.2011 ชาดและจีน ก็ฉลองการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมัน ที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของชาด ที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมทุนกัน โรงกลั่นนี้ ว่าไปแล้ว ก็อยู่ไม่ไกลจากแหล่งสำรวจที่จีนไปลงทุนไว้ตอนแรก ในบริเวณดาร์ฟูที่ติดกับชาด และจีนถูกไม้กั้น ไม่เสี้ยม จนยังกินแห้วอยู่นั่นเอง แม้จะกินแห้วของดาร์ฟู แต่แหล่งที่จีนได้ใหม่ ที่ชาดก็น่าจะชดเชยของเดิม ที่ถูกถีบออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
    จากการประเมินทางภูมิศาสตร์ สายน้ำมันน่าจะไหลมาจากดาร์ฟู ผ่านมาที่ชาด และต่อไปถึงแคเมอรูน ขนาดของแหล่งน้ำมันนี้ประเมินกันว่า ใหญ่มหาศาลนัก อาจจะเท่ากับแหล่งน้ำมันที่ซาอุดิอารเบียเสียด้วยซ้ำ การควบคุมซูดานใต้ ชาดและแคเมอรูน จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญรายการใหม่ ของสภาความมั่นคงของอเมริกา คราวนี้เป็น “ยุทธศาสตร์ขวางจีน” เต็มรูปแบบ เพื่อไม่ให้จีน เข้าไปสู่แหล่งพลังงานทุกแห่งในโลก โดยเฉพาะที่อาฟริกา
    หมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ขวางจีนในอาฟริกา เป็นผลสำเร็จหรือไม่ คือ กัดดาฟี แห่งลิเบีย เป็นกัดดาฟีที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับตะวันตก และต่อสู้ทุกเม็ด ทุกหมากกับอเมริกา และอังกฤษ เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศตนและอาฟริกา รวมไปถีงประเทศในตะวันออกกลาง กัดดาฟี พยายามตั้งสถาบันการเงิน เหมือนธนาคารโลก เพื่อช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอาฟริกา จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของก๊วนหน้าเลือด ใจร้าย World Bank, IMF และที่สำคัญ กัดดาฟี ไม่ปฏิเสธ ที่จะคบ และค้าขายกับรัสเซียและจีน
    เขาจึงเป็นบุคคลที่อเมริกา และอังกฤษรังเกียจยิ่งนัก
    ลิเบีย เป็นประเทศในอาฟริกา ที่ด้านเหนือ ติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน ข้ามทะเลไปก็เป็นอิตาลี ซึ่งบริษัทน้ำมัน ENI ของอิตาลี เป็นผู้มาร่วมงานขุดเจาะน้ำมัน กับลิเบียอยู่นาน ตะวันตกของลิเบียติดกับ ตูนีเซีย และอัลจีเรีย ทางด้านใต้ ติดกับชาด ส่วนตะวันออกติดกับซูดาน ทั้งเหนือและใต้ และอียิปต์ ที่ตั้งของลิเบียจึงเหมือนอยู่กลางดงน้ำมัน คงมีใครมองว่า ลิเบียเหมาะที่จะใช้เป็นศูนย์กลาง ในการควบคุมดงน้ำมันอย่างยิ่ง
    ลิเบีย ไม่ให้ใครมาเป็นเจ้าของปั้มลิเบีย ลิเบียเป็นเจ้าของปั้มเอง ขายเอง ดูแลแหล่งน้ำมันที่มีคุณภาพสูงเอง ในปี ค.ศ.2006 ลิเบียเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมัน ที่ได้รับการสำรวจและพิสูจน์ว่า มีน้ำมันแล้วถึง 35% ของน้ำมันทั้งหมดในอาฟริกา มีมากกว่าไนจีเรีย ที่อเมริกาคว้าคออยู่หมัดเสียอีก
    นอกจากนี้ ลิเบียยังให้สัมปทานน้ำมัน แก่รัฐบาลจีนด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล กับ รัฐบาล
    แบบนี้ อเมริกาจะทนดู ลิเบีย ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ในกลางดงน้ำมัน (ที่อเมริกาอยากครอบครอง) ได้หรือ อเมริกามองว่า ตราบใดที่รัฐบาลกัดดาฟีเข้มแข็ง มีอำนาจอยู่ที่เมืองทริโปลี และควบคุมแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในอาฟริกา แผนการของอเมริกา ตามยุทธศาสตร์ขวางจีน คงสำเร็จยาก การแบ่งแยกซูดานเป็น 2 ประเทศ และการยุ การเสี้ยมให้เกิดการกบฏในลิเบียต้องทำพร้อมกัน จึงพอจะมีทางเอากัดดาฟี่มาขึงพืดได้
    นี่จึงเป็นภาระกิจสำคัญและเป็น “งาน” ของจริง สำหรับ AFRICOM ที่คงไม่ได้แถลงกันในรัฐสภาให้คนอเมริกันรู้
    AFRICOM รับหน้าที่เป็นกองกำลังหลัก ในปฏิบัติการทำลายกัดดาฟีและลิเบีย รวมทั้งในการสร้างกบฏ เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในตูนีเซีย อียิปต์ และสร้างรัฐซูดานใต้ทั้งหมด เพื่อให้แหล่งน้ำมันใหญ่ ในประเทศเหล่านี้ ไม่มีเจ้าของดูแลควบคุม อเมริกาและพวก จะได้เข้าไปควบคุมแทน
    มันเป็นปฏิบัติการเก็บเจ้าของปั้ม แล้วปล้นเอาปั้มเขามา นั่นเอง
    แต่อเมริกาไม่กล้ารบเดี่ยว อยากจะปล้น แต่ก็คงปอดแหกเหมือนกัน กัดดาฟีไม่ได้เคี้ยวง่ายเหมือนซูดาน กัดดาฟี มีทั้งเขี้ยวยาว และอาวุธทันสมัยที่ซื้อจากอเมริกาและรัสเซีย เก็บเงียบอยู่เต็มลิเบีย คราวนี้ อเมริกาจะใช้พระเอกหนังไปเดินทำหน้าเศร้า ก็คงไม่สำเร็จ อเมริกาจึงดึงนาโต้เข้ามาเล่นเต็มอัตรา
    ปี ค.ศ.2010 นาโต้ ไปกวาดต้อนเอาสาระพัดพันธ์ุ ตั้งแต่อดีตนักการเมืองที่เคยอยู่กับกัดดาฟี แต่บัดนี้ขัดใจกันแล้ว อดีตนักธุรกิจขี้โกงที่หนีคดี ไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนประกอบแบบนี้ คุ้นไหมครับ ส่วนประกอบที่สำคัญอีก 2 ส่วนคือ เด็กในกระเป๋า ซีไอเอ ที่ได้รับการฝึก รับเงินและก็ไปร่วมรบกับ ซีไอเอ หลายที่ เช่น อาฟกานิสถาน อิรัค เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งคือ ทหารรับจ้าง หรือที่สมัยใหม่นี้ เรียกว่า ผู้รับเหมา contractor รับเหมาทำอะไรบ้าง ก็คงพอเดากันออก มันเป็นการผสมพันธุ์โหด ที่เตรียมเอาไว้เชือดกัดดาฟี
    กลุ่มสาระพัดพันธ์ุนี่ เรียกตัวเองว่า กลุ่ม TNC Transitional Nation Council
    กลุ่ม TNC ออกมาด่าว่า กัดดาฟี่เป็นเผด็จการรวบอำนาจ กดขี่ ประชาชน ต้องการให้ กัดดาฟีลาออก มีการเลือกตั้งใหม่ และปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แหม โรเนียวนี้ใช้จนเก่าเน่าแล้ว ไม่เปลี่ยนเลยหรือพี่
    กัดดาฟี เป็นเผด็จการจริง มีทั้งพวกที่บอกว่า เขาทำประโยชน์ให้กับชาวลิเบีย และก็มีพวกที่บอกว่า เขาข่มขู่บังคับชาวลิเบีย จึงคงมีทั้งพวกที่รักเขา และพวกที่เกลียดเขา แต่ลองดูจากหลายสิ่งที่เขาทำให้กับชาวลิเบีย มันก็พอบอกได้ว่า เขาดี เลวอย่างไรกับลิเบีย
    – ชาวลิเบีย ได้รับการรักษาพยาบาล และเรียนหนังสือฟรี ( อย่าบอกนะว่า เหมือน 30 บาท รักษาทุกโรค)
    – ชาวลิเบียไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า
    – ชาวลิเบียกู้เงินไม่เสียดอกเบี้ยจากธนาคารของรัฐ ซึ่งใหญ่มาก และกัดดาฟีมีแผนจะสร้าง ให้มีเงินทุนมากกว่า World Bank เพื่อให้ ชาวอาฟริกันกู้ด้วย
    – รัฐบาลกัดดาฟี สร้างระบบชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยการสร้างแม่น้ำทั่วประเทศ ชาวลิเบีย ไม่มีการขาดน้ำตลอดปี
    – ถ้าชาวลิเบียต้องการทำฟาร์มเพาะ ปลูก และเลี้ยงสัตว์ รัฐจะยกที่ดินให้ฟรี แถมปลูกบ้านให้ พร้อมแจกพันธ์ุพืชและสัตว์ ฟรีหมด เพราะรัฐสนับสนุนให้สร้าง “อาหาร” จะได้ไม่อดตาย
    – เมื่อหญิงชาวลิเบียคลอดลูก จะได้รับเงินช่วยจากรัฐ จำนวน 5 พันเหรียญ เขาสนับสนุนให้มีชาวลิเบียอยู่ในโลก ไม่ใช่ถูกตอนพันธ์
    – รัฐบาลกัดดาฟี ยืนราคาน้ำมันขายในลิเบีย ที่ลิตรละ 14 เซ็นต์ (ประมาณ 5 บาท)
    – รัฐบาลกัดดาฟีส่งเสริมการศึกษา ก่อนเขาปกครอง มีคนอ่านหนังสือออกเพียง 25% ช่วง 40 ปี ที่กัดดาฟี ปกครองลิเบีย จำนวนคนอ่านหนังสือออก เพิ่มเป็นเกือบ 90% และมีคนศึกษาจบระดับปริญญา 25%
    TNC เป็นแนวหน้าที่นาโต้เตรียมไว้ให้ไปสู้ และตายแทนกองกำลังนาโต้ ส่วนทหารนาโต้ นั่งคอยดูผลงาน TNC ไปก่อน นี่เป็นเพียงก๊อก 1
    ก๊อก 1 เริ่มงานด้วยการ ออกมาประท้วงกัดดาฟีตามเมืองต่างๆว่า เป็นเผด็จการ พวกเขาต้องการประชาธิปไตย และการประท้วงครั้งแรกในลืเบีย ก็เกิดขึ้นที่เมือง Cyrenaica เมืองที่เป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ ทางตะวันออกของลิเบีย หลังจากนั้น การประท้วงก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวออกไป และในที่สุดก็ยึดเมืองสำคัญอย่าง เบงกาซี Benghazi ได้
    หลังจากนั้น กระป๋องสีย้อมข่าวใบใหญ่ ซีเอนเอน ก็รับช่วงรายงานข่าวทุกวันว่า กัดดาฟี ชั่วช้า กระทำรุนแรง ตั้งใจฆ่าประชาชน ด้วยการเอาเครื่องบินมาถล่มพวกกบฏมือเปล่า แบบนี้นานาชาติใจบุญ จะทนดูชาวลิเบียโดนระเบิดทุกวันไหวยังไง
    อังกฤษกับฝรั่งเศส รีบถลาไปเอาหน้าเกือบไม่ทัน บอกว่าไม่ได้นะ แบบนี่มันละเมิดกฏ “No Fly Zone” ของสหประชาชาติ ว่าเข้าไปโน่น สหประชาชาติ เลยมีมติกำหนดเขตห้ามบิน No Fly Zone ตามเมืองต่างๆในลิเบีย เครื่องบินของฝ่ายรัฐบาลหรือกัดดาฟี บินไม่ได้ แต่ของกองกำลังผสมของนานาชาติบินได้ ทิ้งระเบิดได้ มีปัญหาไหม ไม่มีคร้าบ… พวกเอ็งมันใหญ่ค้ำโลกแล้ว ใครจะกล้ามีปัญหาด้วย
    ก๊อก 2 คือ กองกำลังผสมของนานาชาติ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันเชือด กัดดาฟี ทรัพยากรลิเบียแยะนัก กองกำลังร่วมเชือด เลยแยะตามไปด้วย หวังได้แบ่งส่วนบุญ กองกำลังผสม นำโดยอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา และลูกกระเป๋ง อย่าง กาต้าร์ สหรัฐเอมิเรต เบลเยี่ยม อิตาลี เดนมาร์ค นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์และสเปญ เอาชื่อมาโชว์ให้ดูหมด จะได้รู้ว่าใคร อยู่ตรงไหน… โถ นึกว่ารวยแล้วไม่ตะกระ …แถวบ้านผมเคยมี ที่รวยแล้ว ทั้งตะกระ ทั้งโกง….
    ช่วงแรก กองกำลังผสมบัญชาการโดยอเมริกา ช่วงหลัง บัญชาการโดยนาโต้ ไม่รู้จะดัดจริต เปลี่ยนทำไม ยังไงอเมริกาก็คุมนาโต้อยู่แล้ว
    จริงๆ ช่วงแรก อเมริกานำ ก็เพราะต้องการจะเข้าลิเบียไปก่อนใคร เพื่อค้นหาสมบัติของกัดดาฟี โดยเฉพาะ พวกอาวุธที่แอบเก็บตามโกดังนั่นแหละ ใครๆ ก็อยากงาบต่อทั้งนั้น
    แล้วกองกำลังผสมของชาติต่างๆ บวกกองกำลังของนาโต้เอง บวกกองกำลังฝ่ายกบฏ บวกกองกำลังของผู้รับเหมา บวกกองกำลังทหารของอเมริกา (เอะ นี่ผมตกกองอะไร ของใครอีกไหม มันแยะ เละไปหมด) ก็ไล่ล่ากัดดาฟีอยู่ 8 เดือน กัดดาฟีหนีไปเมืองไหน ยิงกันอย่างไร บ้านเรือนพังฉิบหายขนาดไหน คนเจ็บคนตายนอนน่าสมเพชเกลื่อน ถนนเท่าไหร่ ไอ้กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ซีเอนเอน รายงานข่าวละเอียดละออ ชาวบ้านได้ดูข่าวการไล่ล่า และไล่ฆ่า เป็นรายการสดทางทีวี ทุกวัน ทุกคืน
    เดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2011 นาโต้ประกาศว่า ได้ทิ้งระเบิด ที่บริเวณบ้านใหญ่ ของกัดดาฟี ที่ทริโปลีรอบใหญ่ บ้านพังฉิบหายยับ แต่ยังไม่เจอกัดดาฟี ไม่ว่าเป็นหรือตาย แต่มีคนอื่นตายแทน เป็นลูกชายคนเล็กของกัดดาฟี และหลานปู่เล็กๆ อีก 3 คน เวร…..
    แล้วในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2011 กัดดาฟี ก็ถูกฆ่าตายที่เมืองบ้านเกิดของเขา Sirte ขณะที่อยู่กับกองกำลังของตัว ที่ล้อมหน้า ล้อมหลัง แต่มันมาทางจากข้างบน เป็นจรวดไล่ยิง จะไปคุ้มกันยังไงไหว เล่นยิงใส่ขบวนรถของพวกกัดดาฟี ที่กำลังขับหนีออกจาก Sirte รถกระเด็นพลิกคว่ำ บ้านเรือนแถบนั้นพังเป็นแถบ คนจะรอดหรือ แล้วกัดดาฟีพร้อมลูกชาย 2 คน และลูกน้องคนสนิทหลายคน ก็ตายเรียบ
    หลังจากนั้น เขาว่าพวกกบฏก็บุกเขาไปเอาร่างกัดดาฟีออกมา ลากไปตามถนนโห่ร้องยินดี บางข่าว บอกว่าเขาตายตั้งแต่โดนจรวด บางข่าวบอก เขายังไม่ตาย แค่เกือบ เขาหลุดออกมาจากรถ ไปแอบซ่อนตัวอยู่ในท่อ แต่มาตายตอนที่พวกกบฏลากตัวขึ้น มาจากท่อ ไปตามถนน ก่อนลาก ทุบเสียละเอียด ก่อน ทุบ จับแก้ผ้า และชำเราทางทวารหนักก่อน บางสื่อลงภาพเขานอนตาย หัวเป็นรู จากรอยกระสุน
    2 วัน ก่อนที่กัดดาฟีจะถูกจับ คุณนายคลินตัน สตรีหน้าโหด ( ผมเห็นหน้าคุณนายในทีวีทีไร ฝันร้ายทุกที ผู้หญิงอะไร น่ากลัวชะมัด) ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางไปที่เมือง ทริโปลี Tripoli ด้วยเครื่องบินทหาร ที่มีการคุ้มกันหลายชั้น แม้แต่แมลงวันที่คุ้นเคยกัน ก็คงเข้าไปตอมคุณนายไม่ถึง คุณนายประกาศเสียงดังฟังชัดว่า เราจะต้องจับตัวกัดดาฟี มาให้ได้ ไม่ว่า จับตาย หรือจับเป็น “dead or alive”
    นี่! มันยิ่งกว่าบทพระเอก ไปทำหน้าเศร้าที่ซูดานอีกนะ บทนี้มันเป็นบทนางสิงห์สั่งฆ่าเลย
    กัดดาฟี จะอย่างไรก็เป็นประมุขประเทศ เป็นประเทศเอกราช ไม่ได้เป็นขี้ข้าใคร ทำดี ทำชั่ว ศาลระหว่างประเทศมี อเมริกา และรัฐมนตรีต่างประเทศของตน ใช้สิทธิอะไร เที่ยวประกาศ ตัดสินว่า ประเทศไหน ต้องมีนโยบายอย่างไร ประมุขประเทศ ต้องทำตัวอย่างไร ตามใจอเมริกาอย่างไร ถ้าไม่ถูกใจนี่ อเมริกา สั่งฆ่าได้เลยหรือ เรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ และสะอิดสะเอียนที่สุด
    เรื่องนี้ สำนักข่าว Associated Press รายงานข่าวว่า
    … นางคลินตันพูดแบบไม่อ้อมค้อมเป็นพิเศษว่า อเมริกา ต้องการเห็น อดีตเผด็จการ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ถึงแก่ความตาย….
    … เราหวังว่า เขาจะถูกจับ หรือถูก ฆ่า เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป
    .. Clinton declared in unusually blunt terms that the United States would like to see former dictator Muammar Gaddafi dead..
    …We hope he can be captured or killed soon so that you don’t have to fear him any longer…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 6 ในที่สุด เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2007 CNPC หน่วยงานที่ดูแลด้านน้ำมัน ของรัฐบาลจีน ก็ตกลงทำสัญญากับรัฐบาลของชาด Chad ในการสร้างท่อส่งน้ำมัน หลังจากนั้น 2 ปี การก่อสร้างท่อส่งน้ำมันก็เริ่มดำเนินการ มันเป็นท่อส่งสำหรับน้ำมันบ่อใหม่ ที่จีน (แอบ) ไปลงทุนขุดใหม่ทางใต้ของชาด ห่างไปอีก 300 กิโลเมตร หลังจากนั้น กลุ่มเอ็นจีโอ ที่พวกตะวันตกสนับสนุน ก็ออกมาโว้ยว่า เป็นการทำลาย สิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ และเมื่อตอน Chevron ขุดน้ำมันแถวนั้น ในปี ค.ศ.2003 เอ็นจีโอกลุ่มเดียวกันนี้ ไม่ออกมาโวย ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเช่นเดียวกัน แล้วเดือนกรกฏาคม ค.ศ.2011 ชาดและจีน ก็ฉลองการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมัน ที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงของชาด ที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมทุนกัน โรงกลั่นนี้ ว่าไปแล้ว ก็อยู่ไม่ไกลจากแหล่งสำรวจที่จีนไปลงทุนไว้ตอนแรก ในบริเวณดาร์ฟูที่ติดกับชาด และจีนถูกไม้กั้น ไม่เสี้ยม จนยังกินแห้วอยู่นั่นเอง แม้จะกินแห้วของดาร์ฟู แต่แหล่งที่จีนได้ใหม่ ที่ชาดก็น่าจะชดเชยของเดิม ที่ถูกถีบออกมาได้อย่างน่าทึ่ง จากการประเมินทางภูมิศาสตร์ สายน้ำมันน่าจะไหลมาจากดาร์ฟู ผ่านมาที่ชาด และต่อไปถึงแคเมอรูน ขนาดของแหล่งน้ำมันนี้ประเมินกันว่า ใหญ่มหาศาลนัก อาจจะเท่ากับแหล่งน้ำมันที่ซาอุดิอารเบียเสียด้วยซ้ำ การควบคุมซูดานใต้ ชาดและแคเมอรูน จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญรายการใหม่ ของสภาความมั่นคงของอเมริกา คราวนี้เป็น “ยุทธศาสตร์ขวางจีน” เต็มรูปแบบ เพื่อไม่ให้จีน เข้าไปสู่แหล่งพลังงานทุกแห่งในโลก โดยเฉพาะที่อาฟริกา หมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ขวางจีนในอาฟริกา เป็นผลสำเร็จหรือไม่ คือ กัดดาฟี แห่งลิเบีย เป็นกัดดาฟีที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับตะวันตก และต่อสู้ทุกเม็ด ทุกหมากกับอเมริกา และอังกฤษ เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศตนและอาฟริกา รวมไปถีงประเทศในตะวันออกกลาง กัดดาฟี พยายามตั้งสถาบันการเงิน เหมือนธนาคารโลก เพื่อช่วยเหลือประเทศในกลุ่มอาฟริกา จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของก๊วนหน้าเลือด ใจร้าย World Bank, IMF และที่สำคัญ กัดดาฟี ไม่ปฏิเสธ ที่จะคบ และค้าขายกับรัสเซียและจีน เขาจึงเป็นบุคคลที่อเมริกา และอังกฤษรังเกียจยิ่งนัก ลิเบีย เป็นประเทศในอาฟริกา ที่ด้านเหนือ ติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน ข้ามทะเลไปก็เป็นอิตาลี ซึ่งบริษัทน้ำมัน ENI ของอิตาลี เป็นผู้มาร่วมงานขุดเจาะน้ำมัน กับลิเบียอยู่นาน ตะวันตกของลิเบียติดกับ ตูนีเซีย และอัลจีเรีย ทางด้านใต้ ติดกับชาด ส่วนตะวันออกติดกับซูดาน ทั้งเหนือและใต้ และอียิปต์ ที่ตั้งของลิเบียจึงเหมือนอยู่กลางดงน้ำมัน คงมีใครมองว่า ลิเบียเหมาะที่จะใช้เป็นศูนย์กลาง ในการควบคุมดงน้ำมันอย่างยิ่ง ลิเบีย ไม่ให้ใครมาเป็นเจ้าของปั้มลิเบีย ลิเบียเป็นเจ้าของปั้มเอง ขายเอง ดูแลแหล่งน้ำมันที่มีคุณภาพสูงเอง ในปี ค.ศ.2006 ลิเบียเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมัน ที่ได้รับการสำรวจและพิสูจน์ว่า มีน้ำมันแล้วถึง 35% ของน้ำมันทั้งหมดในอาฟริกา มีมากกว่าไนจีเรีย ที่อเมริกาคว้าคออยู่หมัดเสียอีก นอกจากนี้ ลิเบียยังให้สัมปทานน้ำมัน แก่รัฐบาลจีนด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาล กับ รัฐบาล แบบนี้ อเมริกาจะทนดู ลิเบีย ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ในกลางดงน้ำมัน (ที่อเมริกาอยากครอบครอง) ได้หรือ อเมริกามองว่า ตราบใดที่รัฐบาลกัดดาฟีเข้มแข็ง มีอำนาจอยู่ที่เมืองทริโปลี และควบคุมแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดในอาฟริกา แผนการของอเมริกา ตามยุทธศาสตร์ขวางจีน คงสำเร็จยาก การแบ่งแยกซูดานเป็น 2 ประเทศ และการยุ การเสี้ยมให้เกิดการกบฏในลิเบียต้องทำพร้อมกัน จึงพอจะมีทางเอากัดดาฟี่มาขึงพืดได้ นี่จึงเป็นภาระกิจสำคัญและเป็น “งาน” ของจริง สำหรับ AFRICOM ที่คงไม่ได้แถลงกันในรัฐสภาให้คนอเมริกันรู้ AFRICOM รับหน้าที่เป็นกองกำลังหลัก ในปฏิบัติการทำลายกัดดาฟีและลิเบีย รวมทั้งในการสร้างกบฏ เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในตูนีเซีย อียิปต์ และสร้างรัฐซูดานใต้ทั้งหมด เพื่อให้แหล่งน้ำมันใหญ่ ในประเทศเหล่านี้ ไม่มีเจ้าของดูแลควบคุม อเมริกาและพวก จะได้เข้าไปควบคุมแทน มันเป็นปฏิบัติการเก็บเจ้าของปั้ม แล้วปล้นเอาปั้มเขามา นั่นเอง แต่อเมริกาไม่กล้ารบเดี่ยว อยากจะปล้น แต่ก็คงปอดแหกเหมือนกัน กัดดาฟีไม่ได้เคี้ยวง่ายเหมือนซูดาน กัดดาฟี มีทั้งเขี้ยวยาว และอาวุธทันสมัยที่ซื้อจากอเมริกาและรัสเซีย เก็บเงียบอยู่เต็มลิเบีย คราวนี้ อเมริกาจะใช้พระเอกหนังไปเดินทำหน้าเศร้า ก็คงไม่สำเร็จ อเมริกาจึงดึงนาโต้เข้ามาเล่นเต็มอัตรา ปี ค.ศ.2010 นาโต้ ไปกวาดต้อนเอาสาระพัดพันธ์ุ ตั้งแต่อดีตนักการเมืองที่เคยอยู่กับกัดดาฟี แต่บัดนี้ขัดใจกันแล้ว อดีตนักธุรกิจขี้โกงที่หนีคดี ไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนประกอบแบบนี้ คุ้นไหมครับ ส่วนประกอบที่สำคัญอีก 2 ส่วนคือ เด็กในกระเป๋า ซีไอเอ ที่ได้รับการฝึก รับเงินและก็ไปร่วมรบกับ ซีไอเอ หลายที่ เช่น อาฟกานิสถาน อิรัค เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งคือ ทหารรับจ้าง หรือที่สมัยใหม่นี้ เรียกว่า ผู้รับเหมา contractor รับเหมาทำอะไรบ้าง ก็คงพอเดากันออก มันเป็นการผสมพันธุ์โหด ที่เตรียมเอาไว้เชือดกัดดาฟี กลุ่มสาระพัดพันธ์ุนี่ เรียกตัวเองว่า กลุ่ม TNC Transitional Nation Council กลุ่ม TNC ออกมาด่าว่า กัดดาฟี่เป็นเผด็จการรวบอำนาจ กดขี่ ประชาชน ต้องการให้ กัดดาฟีลาออก มีการเลือกตั้งใหม่ และปกครองตามระบอบประชาธิปไตย แหม โรเนียวนี้ใช้จนเก่าเน่าแล้ว ไม่เปลี่ยนเลยหรือพี่ กัดดาฟี เป็นเผด็จการจริง มีทั้งพวกที่บอกว่า เขาทำประโยชน์ให้กับชาวลิเบีย และก็มีพวกที่บอกว่า เขาข่มขู่บังคับชาวลิเบีย จึงคงมีทั้งพวกที่รักเขา และพวกที่เกลียดเขา แต่ลองดูจากหลายสิ่งที่เขาทำให้กับชาวลิเบีย มันก็พอบอกได้ว่า เขาดี เลวอย่างไรกับลิเบีย – ชาวลิเบีย ได้รับการรักษาพยาบาล และเรียนหนังสือฟรี ( อย่าบอกนะว่า เหมือน 30 บาท รักษาทุกโรค) – ชาวลิเบียไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า – ชาวลิเบียกู้เงินไม่เสียดอกเบี้ยจากธนาคารของรัฐ ซึ่งใหญ่มาก และกัดดาฟีมีแผนจะสร้าง ให้มีเงินทุนมากกว่า World Bank เพื่อให้ ชาวอาฟริกันกู้ด้วย – รัฐบาลกัดดาฟี สร้างระบบชลประทานที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยการสร้างแม่น้ำทั่วประเทศ ชาวลิเบีย ไม่มีการขาดน้ำตลอดปี – ถ้าชาวลิเบียต้องการทำฟาร์มเพาะ ปลูก และเลี้ยงสัตว์ รัฐจะยกที่ดินให้ฟรี แถมปลูกบ้านให้ พร้อมแจกพันธ์ุพืชและสัตว์ ฟรีหมด เพราะรัฐสนับสนุนให้สร้าง “อาหาร” จะได้ไม่อดตาย – เมื่อหญิงชาวลิเบียคลอดลูก จะได้รับเงินช่วยจากรัฐ จำนวน 5 พันเหรียญ เขาสนับสนุนให้มีชาวลิเบียอยู่ในโลก ไม่ใช่ถูกตอนพันธ์ – รัฐบาลกัดดาฟี ยืนราคาน้ำมันขายในลิเบีย ที่ลิตรละ 14 เซ็นต์ (ประมาณ 5 บาท) – รัฐบาลกัดดาฟีส่งเสริมการศึกษา ก่อนเขาปกครอง มีคนอ่านหนังสือออกเพียง 25% ช่วง 40 ปี ที่กัดดาฟี ปกครองลิเบีย จำนวนคนอ่านหนังสือออก เพิ่มเป็นเกือบ 90% และมีคนศึกษาจบระดับปริญญา 25% TNC เป็นแนวหน้าที่นาโต้เตรียมไว้ให้ไปสู้ และตายแทนกองกำลังนาโต้ ส่วนทหารนาโต้ นั่งคอยดูผลงาน TNC ไปก่อน นี่เป็นเพียงก๊อก 1 ก๊อก 1 เริ่มงานด้วยการ ออกมาประท้วงกัดดาฟีตามเมืองต่างๆว่า เป็นเผด็จการ พวกเขาต้องการประชาธิปไตย และการประท้วงครั้งแรกในลืเบีย ก็เกิดขึ้นที่เมือง Cyrenaica เมืองที่เป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ ทางตะวันออกของลิเบีย หลังจากนั้น การประท้วงก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวออกไป และในที่สุดก็ยึดเมืองสำคัญอย่าง เบงกาซี Benghazi ได้ หลังจากนั้น กระป๋องสีย้อมข่าวใบใหญ่ ซีเอนเอน ก็รับช่วงรายงานข่าวทุกวันว่า กัดดาฟี ชั่วช้า กระทำรุนแรง ตั้งใจฆ่าประชาชน ด้วยการเอาเครื่องบินมาถล่มพวกกบฏมือเปล่า แบบนี้นานาชาติใจบุญ จะทนดูชาวลิเบียโดนระเบิดทุกวันไหวยังไง อังกฤษกับฝรั่งเศส รีบถลาไปเอาหน้าเกือบไม่ทัน บอกว่าไม่ได้นะ แบบนี่มันละเมิดกฏ “No Fly Zone” ของสหประชาชาติ ว่าเข้าไปโน่น สหประชาชาติ เลยมีมติกำหนดเขตห้ามบิน No Fly Zone ตามเมืองต่างๆในลิเบีย เครื่องบินของฝ่ายรัฐบาลหรือกัดดาฟี บินไม่ได้ แต่ของกองกำลังผสมของนานาชาติบินได้ ทิ้งระเบิดได้ มีปัญหาไหม ไม่มีคร้าบ… พวกเอ็งมันใหญ่ค้ำโลกแล้ว ใครจะกล้ามีปัญหาด้วย ก๊อก 2 คือ กองกำลังผสมของนานาชาติ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันเชือด กัดดาฟี ทรัพยากรลิเบียแยะนัก กองกำลังร่วมเชือด เลยแยะตามไปด้วย หวังได้แบ่งส่วนบุญ กองกำลังผสม นำโดยอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา และลูกกระเป๋ง อย่าง กาต้าร์ สหรัฐเอมิเรต เบลเยี่ยม อิตาลี เดนมาร์ค นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์และสเปญ เอาชื่อมาโชว์ให้ดูหมด จะได้รู้ว่าใคร อยู่ตรงไหน… โถ นึกว่ารวยแล้วไม่ตะกระ …แถวบ้านผมเคยมี ที่รวยแล้ว ทั้งตะกระ ทั้งโกง…. ช่วงแรก กองกำลังผสมบัญชาการโดยอเมริกา ช่วงหลัง บัญชาการโดยนาโต้ ไม่รู้จะดัดจริต เปลี่ยนทำไม ยังไงอเมริกาก็คุมนาโต้อยู่แล้ว จริงๆ ช่วงแรก อเมริกานำ ก็เพราะต้องการจะเข้าลิเบียไปก่อนใคร เพื่อค้นหาสมบัติของกัดดาฟี โดยเฉพาะ พวกอาวุธที่แอบเก็บตามโกดังนั่นแหละ ใครๆ ก็อยากงาบต่อทั้งนั้น แล้วกองกำลังผสมของชาติต่างๆ บวกกองกำลังของนาโต้เอง บวกกองกำลังฝ่ายกบฏ บวกกองกำลังของผู้รับเหมา บวกกองกำลังทหารของอเมริกา (เอะ นี่ผมตกกองอะไร ของใครอีกไหม มันแยะ เละไปหมด) ก็ไล่ล่ากัดดาฟีอยู่ 8 เดือน กัดดาฟีหนีไปเมืองไหน ยิงกันอย่างไร บ้านเรือนพังฉิบหายขนาดไหน คนเจ็บคนตายนอนน่าสมเพชเกลื่อน ถนนเท่าไหร่ ไอ้กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ซีเอนเอน รายงานข่าวละเอียดละออ ชาวบ้านได้ดูข่าวการไล่ล่า และไล่ฆ่า เป็นรายการสดทางทีวี ทุกวัน ทุกคืน เดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2011 นาโต้ประกาศว่า ได้ทิ้งระเบิด ที่บริเวณบ้านใหญ่ ของกัดดาฟี ที่ทริโปลีรอบใหญ่ บ้านพังฉิบหายยับ แต่ยังไม่เจอกัดดาฟี ไม่ว่าเป็นหรือตาย แต่มีคนอื่นตายแทน เป็นลูกชายคนเล็กของกัดดาฟี และหลานปู่เล็กๆ อีก 3 คน เวร….. แล้วในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.2011 กัดดาฟี ก็ถูกฆ่าตายที่เมืองบ้านเกิดของเขา Sirte ขณะที่อยู่กับกองกำลังของตัว ที่ล้อมหน้า ล้อมหลัง แต่มันมาทางจากข้างบน เป็นจรวดไล่ยิง จะไปคุ้มกันยังไงไหว เล่นยิงใส่ขบวนรถของพวกกัดดาฟี ที่กำลังขับหนีออกจาก Sirte รถกระเด็นพลิกคว่ำ บ้านเรือนแถบนั้นพังเป็นแถบ คนจะรอดหรือ แล้วกัดดาฟีพร้อมลูกชาย 2 คน และลูกน้องคนสนิทหลายคน ก็ตายเรียบ หลังจากนั้น เขาว่าพวกกบฏก็บุกเขาไปเอาร่างกัดดาฟีออกมา ลากไปตามถนนโห่ร้องยินดี บางข่าว บอกว่าเขาตายตั้งแต่โดนจรวด บางข่าวบอก เขายังไม่ตาย แค่เกือบ เขาหลุดออกมาจากรถ ไปแอบซ่อนตัวอยู่ในท่อ แต่มาตายตอนที่พวกกบฏลากตัวขึ้น มาจากท่อ ไปตามถนน ก่อนลาก ทุบเสียละเอียด ก่อน ทุบ จับแก้ผ้า และชำเราทางทวารหนักก่อน บางสื่อลงภาพเขานอนตาย หัวเป็นรู จากรอยกระสุน 2 วัน ก่อนที่กัดดาฟีจะถูกจับ คุณนายคลินตัน สตรีหน้าโหด ( ผมเห็นหน้าคุณนายในทีวีทีไร ฝันร้ายทุกที ผู้หญิงอะไร น่ากลัวชะมัด) ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางไปที่เมือง ทริโปลี Tripoli ด้วยเครื่องบินทหาร ที่มีการคุ้มกันหลายชั้น แม้แต่แมลงวันที่คุ้นเคยกัน ก็คงเข้าไปตอมคุณนายไม่ถึง คุณนายประกาศเสียงดังฟังชัดว่า เราจะต้องจับตัวกัดดาฟี มาให้ได้ ไม่ว่า จับตาย หรือจับเป็น “dead or alive” นี่! มันยิ่งกว่าบทพระเอก ไปทำหน้าเศร้าที่ซูดานอีกนะ บทนี้มันเป็นบทนางสิงห์สั่งฆ่าเลย กัดดาฟี จะอย่างไรก็เป็นประมุขประเทศ เป็นประเทศเอกราช ไม่ได้เป็นขี้ข้าใคร ทำดี ทำชั่ว ศาลระหว่างประเทศมี อเมริกา และรัฐมนตรีต่างประเทศของตน ใช้สิทธิอะไร เที่ยวประกาศ ตัดสินว่า ประเทศไหน ต้องมีนโยบายอย่างไร ประมุขประเทศ ต้องทำตัวอย่างไร ตามใจอเมริกาอย่างไร ถ้าไม่ถูกใจนี่ อเมริกา สั่งฆ่าได้เลยหรือ เรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ และสะอิดสะเอียนที่สุด เรื่องนี้ สำนักข่าว Associated Press รายงานข่าวว่า … นางคลินตันพูดแบบไม่อ้อมค้อมเป็นพิเศษว่า อเมริกา ต้องการเห็น อดีตเผด็จการ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ถึงแก่ความตาย…. … เราหวังว่า เขาจะถูกจับ หรือถูก ฆ่า เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป .. Clinton declared in unusually blunt terms that the United States would like to see former dictator Muammar Gaddafi dead.. …We hope he can be captured or killed soon so that you don’t have to fear him any longer… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 ก.ย. 2558
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 674 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ: ไอเดียที่แย่ที่สุดของยุค AI

    บทความนี้เขียนโดยอดีตวิศวกร/นักวิทยาศาสตร์ NASA ที่มีปริญญาเอกด้านอิเล็กทรอนิกส์อวกาศ และเคยทำงานที่ Google มา 10 ปี รวมถึงส่วนของ Cloud ที่รับผิดชอบการติดตั้ง AI capacity ท่านได้ออกมาเตือนว่าแนวคิดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศที่บริษัท AI หลายแห่งกำลังพิจารณาร่วมกับบริษัทดาวเทียม เป็นไอเดียที่แย่มากๆ และไม่สมเหตุสมผลเลย

    สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การระบายความร้อน ความทนทานต่อรังสี และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ GPU และ TPU สำหรับ AI นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ทำงานได้ดีในอวกาศโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศ (ของสถานีอวกาศนานาชาติ ISS) ที่มีขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอเมริกัน สามารถจ่ายไฟได้เพียง 200kW ซึ่งเพียงพอสำหรับ GPU ประมาณ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ของ OpenAI ในนอร์เวย์วางแผนจะติดตั้ง GPU ถึง 100,000 ตัว

    นอกจากนี้ การระบายความร้อนในอวกาศเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีอากาศให้ระบายความร้อนแบบ convection ได้ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดมหึมา ซึ่งระบบระบายความร้อนของ ISS ที่สามารถระบายความร้อนได้ 16kW (เพียงพอสำหรับ GPU 16 ตัว) ต้องใช้แผง radiator ขนาดถึง 42.5 ตารางเมตร ปัญหารังสีในอวกาศยังทำให้ชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเสียหายได้ง่าย โดย GPU และ TPU ที่ใช้ transistor ขนาดเล็กเป็นพิเศษนั้นเสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสีมากที่สุด ชิปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จากปี 2005 เท่านั้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อจำกัดด้านพลังงาน
    แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเท่า ISS (2,500 ตร.ม.) ให้พลังงานเพียง 200kW หรือพอสำหรับ GPU 200 ตัว
    ต้องใช้ดาวเทียมขนาด ISS ถึง 500 ดวง เพื่อเทียบเท่าดาต้าเซ็นเตอร์ 100,000 GPU ของ OpenAI
    เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากกัมมันตรังสี (RTG) ให้พลังงานเพียง 50-150W ไม่พอสำหรับ GPU แม้แต่ตัวเดียว

    ปัญหาการระบายความร้อน
    ไม่มีอากาศในอวกาศ ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนแบบ convection ได้
    ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดใหญ่มาก - ระบบของ ISS ที่ระบายได้ 16kW ต้องใช้พื้นที่ 42.5 ตร.ม.
    สำหรับ GPU 200 ตัว (200kW) ต้องใช้แผง radiator ประมาณ 531 ตร.ม. หรือใหญ่กว่าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 2.6 เท่า

    ความเสี่ยงจากรังสีอวกาศ
    GPU/TPU ใช้ transistor ขนาดเล็กมาก ทำให้เสี่ยงต่อ Single-Event Upset (SEU) และ latch-up สูงมาก
    รังสีสามารถทำให้บิตข้อมูลเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ชิปเสียหายถาวรได้
    ชิปที่ออกแบบสำหรับอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จาก 20 ปีก่อนเท่านั้น
    Total dose effects ทำให้ประสิทธิภาพชิปลดลงเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน

    ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร
    ดาวเทียมส่วนใหญ่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุได้ไม่เกิน 1Gbps
    เทียบกับ server rack บนโลกที่ใช้ interconnect 100Gbps ขึ้นไป ช้ากว่ามาก
    การใช้เลเซอร์สื่อสารต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่ดี

    ข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญ
    ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศขนาดเท่าดาวเทียม ISS จะเทียบเท่า server rack เพียง 3 ชุดบนโลกเท่านั้น
    ต้นทุนสูงมหาศาล ประสิทธิภาพต่ำ และยากต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง
    เป็นไอเดียที่แย่มากในทางเศรษฐศาสตร์และเทคนิค

    https://taranis.ie/datacenters-in-space-are-a-terrible-horrible-no-good-idea/
    🚀 ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ: ไอเดียที่แย่ที่สุดของยุค AI บทความนี้เขียนโดยอดีตวิศวกร/นักวิทยาศาสตร์ NASA ที่มีปริญญาเอกด้านอิเล็กทรอนิกส์อวกาศ และเคยทำงานที่ Google มา 10 ปี รวมถึงส่วนของ Cloud ที่รับผิดชอบการติดตั้ง AI capacity ท่านได้ออกมาเตือนว่าแนวคิดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศที่บริษัท AI หลายแห่งกำลังพิจารณาร่วมกับบริษัทดาวเทียม เป็นไอเดียที่แย่มากๆ และไม่สมเหตุสมผลเลย สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การระบายความร้อน ความทนทานต่อรังสี และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ GPU และ TPU สำหรับ AI นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ทำงานได้ดีในอวกาศโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศ (ของสถานีอวกาศนานาชาติ ISS) ที่มีขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอเมริกัน สามารถจ่ายไฟได้เพียง 200kW ซึ่งเพียงพอสำหรับ GPU ประมาณ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ของ OpenAI ในนอร์เวย์วางแผนจะติดตั้ง GPU ถึง 100,000 ตัว นอกจากนี้ การระบายความร้อนในอวกาศเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีอากาศให้ระบายความร้อนแบบ convection ได้ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดมหึมา ซึ่งระบบระบายความร้อนของ ISS ที่สามารถระบายความร้อนได้ 16kW (เพียงพอสำหรับ GPU 16 ตัว) ต้องใช้แผง radiator ขนาดถึง 42.5 ตารางเมตร ปัญหารังสีในอวกาศยังทำให้ชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเสียหายได้ง่าย โดย GPU และ TPU ที่ใช้ transistor ขนาดเล็กเป็นพิเศษนั้นเสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสีมากที่สุด ชิปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จากปี 2005 เท่านั้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อจำกัดด้านพลังงาน ➡️ แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเท่า ISS (2,500 ตร.ม.) ให้พลังงานเพียง 200kW หรือพอสำหรับ GPU 200 ตัว ➡️ ต้องใช้ดาวเทียมขนาด ISS ถึง 500 ดวง เพื่อเทียบเท่าดาต้าเซ็นเตอร์ 100,000 GPU ของ OpenAI ➡️ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากกัมมันตรังสี (RTG) ให้พลังงานเพียง 50-150W ไม่พอสำหรับ GPU แม้แต่ตัวเดียว ✅ ปัญหาการระบายความร้อน ➡️ ไม่มีอากาศในอวกาศ ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนแบบ convection ได้ ➡️ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดใหญ่มาก - ระบบของ ISS ที่ระบายได้ 16kW ต้องใช้พื้นที่ 42.5 ตร.ม. ➡️ สำหรับ GPU 200 ตัว (200kW) ต้องใช้แผง radiator ประมาณ 531 ตร.ม. หรือใหญ่กว่าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 2.6 เท่า ‼️ ความเสี่ยงจากรังสีอวกาศ ⛔ GPU/TPU ใช้ transistor ขนาดเล็กมาก ทำให้เสี่ยงต่อ Single-Event Upset (SEU) และ latch-up สูงมาก ⛔ รังสีสามารถทำให้บิตข้อมูลเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ชิปเสียหายถาวรได้ ⛔ ชิปที่ออกแบบสำหรับอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จาก 20 ปีก่อนเท่านั้น ⛔ Total dose effects ทำให้ประสิทธิภาพชิปลดลงเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน ‼️ ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร ⛔ ดาวเทียมส่วนใหญ่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุได้ไม่เกิน 1Gbps ⛔ เทียบกับ server rack บนโลกที่ใช้ interconnect 100Gbps ขึ้นไป ช้ากว่ามาก ⛔ การใช้เลเซอร์สื่อสารต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่ดี ✅ ข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศขนาดเท่าดาวเทียม ISS จะเทียบเท่า server rack เพียง 3 ชุดบนโลกเท่านั้น ➡️ ต้นทุนสูงมหาศาล ประสิทธิภาพต่ำ และยากต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง ➡️ เป็นไอเดียที่แย่มากในทางเศรษฐศาสตร์และเทคนิค https://taranis.ie/datacenters-in-space-are-a-terrible-horrible-no-good-idea/
    TARANIS.IE
    Datacenters in space are a terrible, horrible, no good idea.
    There is a rush for AI companies to team up with space launch/satellite companies to build datacenters in space. TL;DR: It's not going to work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 วัน 6 คืนแห่งความประทับใจ! ชมอุทยานฟยอร์ดสุดยิ่งใหญ่ สะพานมหัศจรรย์ เมืองสีสันของนอร์เวย์ และลุ้นชมแสงเหนือ บนเรือสำราญ Havila พร้อมที่พักและอาหารครบทุกมื้อ

    🛳 แพ็คเกจล่องเรือ Havila – Adventure in Norway

    เดินทาง ต.ค. 2568 – ธ.ค. 2569

    เส้นทางสแกนดิเนเวีย เบอร์เกน → เคิร์กเคเนส • แวะจอดกว่า 34 พอร์ต ตลอดเส้นทาง

    ราคาเริ่มต้นเพียง EUR 815

    ✔ ห้องพักบนเรือ 6 คืน (พักคู่)
    ✔ อาหารทุกมื้อบนเรือ (ยกเว้นห้องอาหารพิเศษ)
    ✔ การแสดง & กิจกรรมสันทนาการ (บางรายการ)
    ✔ รวมภาษีท่าเรือ

    รหัสโปรแกรม : HAVP-7D6N-BGO-KKN-2612291
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e51c

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #HavilaAdventure #Norway #Scandinavia #Trondheim #Havoysund #Tromso #แสงเหนือ #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    💥 7 วัน 6 คืนแห่งความประทับใจ! ชมอุทยานฟยอร์ดสุดยิ่งใหญ่ สะพานมหัศจรรย์ เมืองสีสันของนอร์เวย์ และลุ้นชมแสงเหนือ บนเรือสำราญ Havila พร้อมที่พักและอาหารครบทุกมื้อ ✨❄️ 🛳 แพ็คเกจล่องเรือ Havila – Adventure in Norway 📅 เดินทาง ต.ค. 2568 – ธ.ค. 2569 📍 เส้นทางสแกนดิเนเวีย เบอร์เกน → เคิร์กเคเนส • แวะจอดกว่า 34 พอร์ต ตลอดเส้นทาง 🚢 💳 ราคาเริ่มต้นเพียง EUR 815 ✔ ห้องพักบนเรือ 6 คืน (พักคู่) ✔ อาหารทุกมื้อบนเรือ (ยกเว้นห้องอาหารพิเศษ) ✔ การแสดง & กิจกรรมสันทนาการ (บางรายการ) ✔ รวมภาษีท่าเรือ 🅿️ รหัสโปรแกรม : HAVP-7D6N-BGO-KKN-2612291 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e51c 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #HavilaAdventure #Norway #Scandinavia #Trondheim #Havoysund #Tromso #แสงเหนือ #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 960 มุมมอง 0 รีวิว
  • Geiranger Cruise Port — ประตูสู่ฟยอร์ดที่สวยที่สุดในโลก!
    สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเล็กกลางหุบเขาใหญ่ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติสุดอลังการแห่งนอร์เวย์

    Dalsnibba Viewpoint ยอดเขาดาลสนิบบา
    จุดชมวิวที่โดดเด่นที่สุดของ Geirangerfjord ซึ่งเป็นฟยอร์ดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO สร้างขึ้นในปี 1939 โดยเป็นโครงการพัฒนาถนนเพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และยอดเขา Dalsnibba

    Seven Sisters Waterfall น้ำตกเจ็ดสาวน้อย
    น้ำตก Seven Sisters เป็นหนึ่งในน้ำตกที่โด่งดังที่สุดของประเทศนอร์เวย์ อยู่ฝั่งหนึ่งของ Geirangerfjord และฝั่งตรงข้ามเป็น The Suitor Waterfall

    The Waterfall Walk เส้นทางเดินเลียบน้ำตก
    เส้นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสามารถสัมผัสน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ได้รับการออกแบบโดยวิศวกรเพื่อให้สามารถเดินเลียบ Storfossen Waterfall

    Eagle Road ถนนอินทรีย์
    ถนนที่สร้างขึ้นในปี 1955 เพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และเมือง Eidsdal ได้รับชื่อว่า "Eagle Road" เพราะเป็นจุดที่อินทรีมักบินโฉบเหนือภูเขา และเป็นเส้นทางที่สูงชันจนเหมือนกำลังบินขึ้นฟ้า

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #GeirangerCruisePort #Norway #DalsnibbaViewpoint #SevenSistersWaterfall #TheWaterfallWalk #EagleRoad #port #แพ็เกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    Geiranger Cruise Port — ประตูสู่ฟยอร์ดที่สวยที่สุดในโลก! 🌊 สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเล็กกลางหุบเขาใหญ่ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติสุดอลังการแห่งนอร์เวย์ 💮 ✅ Dalsnibba Viewpoint ➡️ ยอดเขาดาลสนิบบา จุดชมวิวที่โดดเด่นที่สุดของ Geirangerfjord ซึ่งเป็นฟยอร์ดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO สร้างขึ้นในปี 1939 โดยเป็นโครงการพัฒนาถนนเพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และยอดเขา Dalsnibba ✅ Seven Sisters Waterfall ➡️ น้ำตกเจ็ดสาวน้อย น้ำตก Seven Sisters เป็นหนึ่งในน้ำตกที่โด่งดังที่สุดของประเทศนอร์เวย์ อยู่ฝั่งหนึ่งของ Geirangerfjord และฝั่งตรงข้ามเป็น The Suitor Waterfall ✅ The Waterfall Walk ➡️ เส้นทางเดินเลียบน้ำตก เส้นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสามารถสัมผัสน้ำตกได้อย่างใกล้ชิด ได้รับการออกแบบโดยวิศวกรเพื่อให้สามารถเดินเลียบ Storfossen Waterfall ✅ Eagle Road ➡️ ถนนอินทรีย์ ถนนที่สร้างขึ้นในปี 1955 เพื่อเชื่อมระหว่าง Geiranger และเมือง Eidsdal ได้รับชื่อว่า "Eagle Road" เพราะเป็นจุดที่อินทรีมักบินโฉบเหนือภูเขา และเป็นเส้นทางที่สูงชันจนเหมือนกำลังบินขึ้นฟ้า 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #GeirangerCruisePort #Norway #DalsnibbaViewpoint #SevenSistersWaterfall #TheWaterfallWalk #EagleRoad #port #แพ็เกจล่องเรือสำราญ #cruisedomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 636 มุมมอง 0 รีวิว
  • “BluSmart ล่มสลายสะท้อนวิกฤต EV มือสอง — เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคาเร็วที่สุดในโลก” — จากความหวังสู่ความเสี่ยง: ตลาด EV มือสองกำลังสั่นคลอนทั่วโลก

    บทความจาก Rest of World เปิดเผยว่า BluSmart บริษัทเรียกรถไฟฟ้าชั้นนำของอินเดียล้มละลายกลางปี 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาทางการเงิน และทิ้งไว้เบื้องหลังคือรถ EV หลายพันคันที่เคยมีมูลค่ากว่า $12,000 แต่กลับถูกขายทอดตลาดในราคาเพียง $3,000

    เหตุการณ์นี้สะท้อนวิกฤตที่ใหญ่กว่าคือ “การเสื่อมราคาของรถ EV มือสอง” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มรถเช่า, รถโลจิสติกส์ และฟลีทรถบริษัท ที่ต้องคำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ การเสื่อมราคาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของธุรกิจ

    ตัวอย่างเช่น Hertz บริษัทเช่ารถในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ Tesla 100,000 คันในปี 2021 ต้องขาดทุนกว่า $2.9 พันล้านในปี 2024 และขายรถ EV ที่ซื้อมาในราคาต่ำกว่าครึ่ง

    ปัญหาหลักคือ “ไม่มีใครรู้ว่ารถ EV มือสองควรมีมูลค่าเท่าไร” เพราะมูลค่าของรถผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานไม่แน่นอน ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมินจากระยะทางและการซ่อมบำรุง

    แม้ Tesla จะยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีนอย่าง BYD, Nio หรือ XPeng แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดที่ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่และการชาร์จ

    ในบางประเทศ เช่น จีน, นอร์เวย์ และคอสตาริกา ตลาด EV มือสองยังแข็งแรง เพราะผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากกว่า แต่ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ความสงสัยยังสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องขับรถไกลหรือมีสภาพอากาศสุดขั้ว

    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่จากบริษัท Recurrent พบว่าแบตเตอรี่ EV เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี และรถที่ผลิตหลังปี 2016 มีอัตราการเปลี่ยนแบตต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อมือสอง

    BluSmart ล้มละลายกลางปี 2025 และขายรถ EV ในราคาต่ำกว่าทุน
    จาก $12,000 เหลือเพียง $3,000 ต่อคัน

    รถ EV มือสองเสื่อมราคามากกว่ารถน้ำมัน
    เช่น Tesla Model Y ปี 2023 เสื่อมถึง 42% ใน 2 ปี

    Hertz ขาดทุน $2.9 พันล้านจากการลงทุนในรถ EV
    ขายรถที่ซื้อมา $40,000 ในราคาต่ำกว่า $20,000

    มูลค่ารถ EV ผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่แน่นอน
    ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมิน

    Tesla ยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีน
    เช่น BYD, Nio, XPeng และ Omoda

    ตลาด EV มือสองแข็งแรงในประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี
    เช่น จีน, นอร์เวย์, คอสตาริกา

    ข้อมูลจาก Recurrent ชี้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี
    รถหลังปี 2016 มีอัตราเปลี่ยนแบตต่ำมาก

    โมเดล Battery-as-a-Service ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน
    ให้ผู้ประกอบการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น

    https://restofworld.org/2025/ev-depreciation-blusmart-collapse/
    🚗 “BluSmart ล่มสลายสะท้อนวิกฤต EV มือสอง — เมื่อรถไฟฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์เสื่อมราคาเร็วที่สุดในโลก” — จากความหวังสู่ความเสี่ยง: ตลาด EV มือสองกำลังสั่นคลอนทั่วโลก บทความจาก Rest of World เปิดเผยว่า BluSmart บริษัทเรียกรถไฟฟ้าชั้นนำของอินเดียล้มละลายกลางปี 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาทางการเงิน และทิ้งไว้เบื้องหลังคือรถ EV หลายพันคันที่เคยมีมูลค่ากว่า $12,000 แต่กลับถูกขายทอดตลาดในราคาเพียง $3,000 เหตุการณ์นี้สะท้อนวิกฤตที่ใหญ่กว่าคือ “การเสื่อมราคาของรถ EV มือสอง” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มรถเช่า, รถโลจิสติกส์ และฟลีทรถบริษัท ที่ต้องคำนวณต้นทุนอย่างแม่นยำ การเสื่อมราคาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Hertz บริษัทเช่ารถในสหรัฐฯ ที่เคยซื้อ Tesla 100,000 คันในปี 2021 ต้องขาดทุนกว่า $2.9 พันล้านในปี 2024 และขายรถ EV ที่ซื้อมาในราคาต่ำกว่าครึ่ง ปัญหาหลักคือ “ไม่มีใครรู้ว่ารถ EV มือสองควรมีมูลค่าเท่าไร” เพราะมูลค่าของรถผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานไม่แน่นอน ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมินจากระยะทางและการซ่อมบำรุง แม้ Tesla จะยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีนอย่าง BYD, Nio หรือ XPeng แต่ก็ยังเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดที่ไม่มั่นใจในแบตเตอรี่และการชาร์จ ในบางประเทศ เช่น จีน, นอร์เวย์ และคอสตาริกา ตลาด EV มือสองยังแข็งแรง เพราะผู้บริโภคเปิดรับเทคโนโลยีใหม่มากกว่า แต่ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ความสงสัยยังสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องขับรถไกลหรือมีสภาพอากาศสุดขั้ว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่จากบริษัท Recurrent พบว่าแบตเตอรี่ EV เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี และรถที่ผลิตหลังปี 2016 มีอัตราการเปลี่ยนแบตต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อมือสอง ✅ BluSmart ล้มละลายกลางปี 2025 และขายรถ EV ในราคาต่ำกว่าทุน ➡️ จาก $12,000 เหลือเพียง $3,000 ต่อคัน ✅ รถ EV มือสองเสื่อมราคามากกว่ารถน้ำมัน ➡️ เช่น Tesla Model Y ปี 2023 เสื่อมถึง 42% ใน 2 ปี ✅ Hertz ขาดทุน $2.9 พันล้านจากการลงทุนในรถ EV ➡️ ขายรถที่ซื้อมา $40,000 ในราคาต่ำกว่า $20,000 ✅ มูลค่ารถ EV ผูกกับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่แน่นอน ➡️ ต่างจากรถน้ำมันที่มีมาตรฐานการประเมิน ✅ Tesla ยังรักษามูลค่าได้ดีกว่าคู่แข่งจีน ➡️ เช่น BYD, Nio, XPeng และ Omoda ✅ ตลาด EV มือสองแข็งแรงในประเทศที่เปิดรับเทคโนโลยี ➡️ เช่น จีน, นอร์เวย์, คอสตาริกา ✅ ข้อมูลจาก Recurrent ชี้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมแค่ 1–2% ต่อปี ➡️ รถหลังปี 2016 มีอัตราเปลี่ยนแบตต่ำมาก ✅ โมเดล Battery-as-a-Service ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุน ➡️ ให้ผู้ประกอบการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น https://restofworld.org/2025/ev-depreciation-blusmart-collapse/
    RESTOFWORLD.ORG
    EVs are depreciating much faster than gas-powered cars
    Plummeting resale values are threatening to derail the world's transition to electric transportation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 1

    เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2014 Deutsche Welle (DW) สื่อดังเยอรมัน และสื่อต่างชาติอีกหลายสำนักล งข่าวพร้อมเพียงกัน เหมือนข่าวแจกว่า ทางการทหารสวีเดน แจ้งเมื่อวันเสาร์ (ที่13) ว่า เครื่องบินรบของรัสเซีย เกือบชนกับเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ ซึ่งขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงโคเปนฮาเกนของ Denmark ข่าวอ้างว่า นาย Peter Hultqvist รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน พูดทางสถานีวิทยุสวีเดน ว่ามันเป็นเครื่องบินจารกรรมของรัสเซีย !

    ส่วนนายพลตรี Michael Byden Airforce Chief ของสวีเดน แจงเพิ่มว่า ” เครื่องบินรบรัสเซียปิดเครื่องเรดาร์ (transpondor) ทำให้ไม่มีสัญญานขึ้นบนจอของเครื่องบินพาณิชย์ นี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และเป็นเรื่องอันตราย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ เมื่อเดือนมีนาคมยิ่งกว่านี้อีก ระยะห่างกันแค่ 100 เมตร (300 ฟิต) เอง ระหว่างเครื่องบินรบของรัสเซีย กับเครื่องบินพาณิชย์ Scandinavian Airlines (SAS) ซึ่งเพิ่งบินขึ้นจากสนามบินโคเปนฮาเกน รัสเซียปิดเครื่อง transpondor อีกแหล่ะ ดีว่า นักบินที่ขับเครื่องพาณิชย์ เขาสายตาดี ( good visibility) และมีความตื่นตัว ”

    ( SAS เป็นสายการบินระหว่างชาติ โดยการร่วมทุนระหว่าง นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก)

    นอกจากนี้ Dagens Nyheter (DN) สื่อใหญ่ของสวีเดน ซึ่งวิเคราะห์จากการติดต่อทางวิทยุระหว่าง ศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศของฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนของสวีเดนกับนักบินบอกว่า เครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งกำลังบินขึ้นจากสนามบิน Castrup ใน กรุงโคเปนฮาเกน ได้รับอนุญาตให้บินไต่ระดับสูงที่ 25,000 ฟิต แต่ 3 นาทีหลังจากนั้น ถูกสั่งให้คงระดับที่ 22,000 ฟิต เนื่องจากศูนย์ควบคุมฝ่ายทหาร ติดต่อไปทางศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนว่า มีเครื่องบินที่ไม่เปิดเผยตัวตน กำลังบินในเส้นทางที่จะทำให้เกิดการชนกันได้ ให้ศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนรีบแจ้งทางเครื่องบินพาณิชย์ให้ดำเนินการแก้ไขด่วน จึงสั่งให้เครื่องบินพาณิชย์ เลี้ยวออกจากเส้นทางเดิม
    ฝ่าย SAS เอง ตอนแรกปฏิเสธ ว่า SAS ไม่เกี่ยวด้วย แต่คงถูกใครถีบให้ออกมา นาย Knut Morton Johansen ผู้จัดการชาวนอร์เวย์ การด้านการสื่อสาร เลยออกมาให้ข่าวมั่งว่า สำหรับกรณีที่กำลังเป็นข่าวนั้น….ไม่มีการทำผิดกฎด้านความมั่นคงเกิดขึ้นแต่อย่างใด และที่สำคัญ สำหรับ SAS ไม่มีใครตกอยู่ในอันตราย ฝ่ายนักบิน และฝ่ายควบคุม traffic ของเรา ควบคุมสถานะการณ์ได้ ส่วนเรื่องระยะความใกล้ระหว่าง 2 เครื่องนั้น นาย Johansen บอกว่า พวกเขาไม่เคยเข้ามาใกล้กว่า 900 เมตร (3,000 ฟิต) เลยนะ SAS มีความเห็นว่า เครื่องบินรัสเซียได้บินรักษาระยะความห่างอย่างปลอดภัยแล้ว (พวกคุณ สื่อ) อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เกินจริงกันนัก!

    อ้าว พวกกันเอง ทำไมให้ข่าวแบบแตกลาย แถมฝ่ายที่น่าจะเป็นผู้เสียหาย คือ SAS

    ทำไมพูดไม่เต็มปาก ไม่เต็มเสียง ไม่หนักแน่นเหมือนลูกพี่เลย ที่น่างง คือ ตัวเลขระยะห่างระหว่าง 2 เครื่องบิน ลูกพี่บอก 300 ฟิต ลูกน้องบอก ไม่เคยใกล้กว่า 3,000 ฟิตเลย สงสัย ลูกพี่คงจะลืมแว่นตาไว้ที่บ้าน ตอนออกสื่อ เลยอ่านตัวเลข เกินไปหนึ่งศูนย์ ฮาจริง

    แล้วรัสเซียว่าอย่างไร กะบินเฉี่ยวหัวเขาจริงหรือเปล่า หรือถูกพวกจัดฉากร้องเพลงประสานเสียงตามใบสั่ง

    รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ออกมาชี้แจงวันรุ่งขึ้นบอกว่า เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่สวีเดนออกข่าวเลย เขายืนยันว่า เครื่องบินทั้ง 2 ลำ บินห่างกันไม่เคยน้อยกว่าระยะ 70 กิโลเมตร (42 ไมล์) ทั้ง 2 ครั้ง และเครื่องบินของรัสเซีย ก็ปฏิบัติตามกฏของการบินนานาชาติอย่างถูกต้อง และทำการบินในระยะที่ปลอดภัยกับเครื่องบินพลเรือนเสมอ นี่ก็ตัวเลขคนละทางเหมือนกัน คนเขียนนิทานก็ชักจะมึน อย่าเว่อกันนักนะครับ เดี๋ยวเขาจะว่าผมเข้าเต็มตัว ไม่ใช่แค่เข้าข้าง!

    แต่ดูเหมือนคำชี้ แจงของทั้งรัสเซียและ ของ SAS เอง จะไม่มีน้ำหนักพอ เขาว่าวันต่อมาทูตรัสเซีย ประจำเดนมาร์กและสวีเดน ถูกเรียกเรียกไปฟังเทศน์ต่อเรื่องความไม่ปลอดภัย ที่เกือบจะเกิดขึ้น ก็เทปม้วนเดิมนั่นแหละ

    หลังจากนั้นก็เป็นคิวของเดนมาร์กและนอร์เวย์ แถมด้วยลูกหาบเช่น ลัตเวีย ต่างออกมาส่งเสียงด้วยประโยคเดิม เครื่องเล่นเทปร้อนจัด เดี๋ยวจะน้อยหน้าสวีเดน แบบนี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง รายการคิดบัญชีกันหรือไง !?

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ธค. 2557
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 1 เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม 2014 Deutsche Welle (DW) สื่อดังเยอรมัน และสื่อต่างชาติอีกหลายสำนักล งข่าวพร้อมเพียงกัน เหมือนข่าวแจกว่า ทางการทหารสวีเดน แจ้งเมื่อวันเสาร์ (ที่13) ว่า เครื่องบินรบของรัสเซีย เกือบชนกับเครื่องบินโดยสารพาณิชย์ ซึ่งขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงโคเปนฮาเกนของ Denmark ข่าวอ้างว่า นาย Peter Hultqvist รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน พูดทางสถานีวิทยุสวีเดน ว่ามันเป็นเครื่องบินจารกรรมของรัสเซีย ! ส่วนนายพลตรี Michael Byden Airforce Chief ของสวีเดน แจงเพิ่มว่า ” เครื่องบินรบรัสเซียปิดเครื่องเรดาร์ (transpondor) ทำให้ไม่มีสัญญานขึ้นบนจอของเครื่องบินพาณิชย์ นี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และเป็นเรื่องอันตราย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ เมื่อเดือนมีนาคมยิ่งกว่านี้อีก ระยะห่างกันแค่ 100 เมตร (300 ฟิต) เอง ระหว่างเครื่องบินรบของรัสเซีย กับเครื่องบินพาณิชย์ Scandinavian Airlines (SAS) ซึ่งเพิ่งบินขึ้นจากสนามบินโคเปนฮาเกน รัสเซียปิดเครื่อง transpondor อีกแหล่ะ ดีว่า นักบินที่ขับเครื่องพาณิชย์ เขาสายตาดี ( good visibility) และมีความตื่นตัว ” ( SAS เป็นสายการบินระหว่างชาติ โดยการร่วมทุนระหว่าง นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก) นอกจากนี้ Dagens Nyheter (DN) สื่อใหญ่ของสวีเดน ซึ่งวิเคราะห์จากการติดต่อทางวิทยุระหว่าง ศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศของฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนของสวีเดนกับนักบินบอกว่า เครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งกำลังบินขึ้นจากสนามบิน Castrup ใน กรุงโคเปนฮาเกน ได้รับอนุญาตให้บินไต่ระดับสูงที่ 25,000 ฟิต แต่ 3 นาทีหลังจากนั้น ถูกสั่งให้คงระดับที่ 22,000 ฟิต เนื่องจากศูนย์ควบคุมฝ่ายทหาร ติดต่อไปทางศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนว่า มีเครื่องบินที่ไม่เปิดเผยตัวตน กำลังบินในเส้นทางที่จะทำให้เกิดการชนกันได้ ให้ศูนย์ควบคุมฝ่ายพลเรือนรีบแจ้งทางเครื่องบินพาณิชย์ให้ดำเนินการแก้ไขด่วน จึงสั่งให้เครื่องบินพาณิชย์ เลี้ยวออกจากเส้นทางเดิม ฝ่าย SAS เอง ตอนแรกปฏิเสธ ว่า SAS ไม่เกี่ยวด้วย แต่คงถูกใครถีบให้ออกมา นาย Knut Morton Johansen ผู้จัดการชาวนอร์เวย์ การด้านการสื่อสาร เลยออกมาให้ข่าวมั่งว่า สำหรับกรณีที่กำลังเป็นข่าวนั้น….ไม่มีการทำผิดกฎด้านความมั่นคงเกิดขึ้นแต่อย่างใด และที่สำคัญ สำหรับ SAS ไม่มีใครตกอยู่ในอันตราย ฝ่ายนักบิน และฝ่ายควบคุม traffic ของเรา ควบคุมสถานะการณ์ได้ ส่วนเรื่องระยะความใกล้ระหว่าง 2 เครื่องนั้น นาย Johansen บอกว่า พวกเขาไม่เคยเข้ามาใกล้กว่า 900 เมตร (3,000 ฟิต) เลยนะ SAS มีความเห็นว่า เครื่องบินรัสเซียได้บินรักษาระยะความห่างอย่างปลอดภัยแล้ว (พวกคุณ สื่อ) อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เกินจริงกันนัก! อ้าว พวกกันเอง ทำไมให้ข่าวแบบแตกลาย แถมฝ่ายที่น่าจะเป็นผู้เสียหาย คือ SAS ทำไมพูดไม่เต็มปาก ไม่เต็มเสียง ไม่หนักแน่นเหมือนลูกพี่เลย ที่น่างง คือ ตัวเลขระยะห่างระหว่าง 2 เครื่องบิน ลูกพี่บอก 300 ฟิต ลูกน้องบอก ไม่เคยใกล้กว่า 3,000 ฟิตเลย สงสัย ลูกพี่คงจะลืมแว่นตาไว้ที่บ้าน ตอนออกสื่อ เลยอ่านตัวเลข เกินไปหนึ่งศูนย์ ฮาจริง แล้วรัสเซียว่าอย่างไร กะบินเฉี่ยวหัวเขาจริงหรือเปล่า หรือถูกพวกจัดฉากร้องเพลงประสานเสียงตามใบสั่ง รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ออกมาชี้แจงวันรุ่งขึ้นบอกว่า เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่สวีเดนออกข่าวเลย เขายืนยันว่า เครื่องบินทั้ง 2 ลำ บินห่างกันไม่เคยน้อยกว่าระยะ 70 กิโลเมตร (42 ไมล์) ทั้ง 2 ครั้ง และเครื่องบินของรัสเซีย ก็ปฏิบัติตามกฏของการบินนานาชาติอย่างถูกต้อง และทำการบินในระยะที่ปลอดภัยกับเครื่องบินพลเรือนเสมอ นี่ก็ตัวเลขคนละทางเหมือนกัน คนเขียนนิทานก็ชักจะมึน อย่าเว่อกันนักนะครับ เดี๋ยวเขาจะว่าผมเข้าเต็มตัว ไม่ใช่แค่เข้าข้าง! แต่ดูเหมือนคำชี้ แจงของทั้งรัสเซียและ ของ SAS เอง จะไม่มีน้ำหนักพอ เขาว่าวันต่อมาทูตรัสเซีย ประจำเดนมาร์กและสวีเดน ถูกเรียกเรียกไปฟังเทศน์ต่อเรื่องความไม่ปลอดภัย ที่เกือบจะเกิดขึ้น ก็เทปม้วนเดิมนั่นแหละ หลังจากนั้นก็เป็นคิวของเดนมาร์กและนอร์เวย์ แถมด้วยลูกหาบเช่น ลัตเวีย ต่างออกมาส่งเสียงด้วยประโยคเดิม เครื่องเล่นเทปร้อนจัด เดี๋ยวจะน้อยหน้าสวีเดน แบบนี้เรื่องคงไม่จบง่ายๆ มีเบื้องหน้า เบื้องหลัง รายการคิดบัญชีกันหรือไง !? สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 671 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 6

    ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป

    Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ

    – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป

    – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017

    – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย

    สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ

    – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ !

    – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา
    นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan

    ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

    – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว

    เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน

    เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย

    แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช
    ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา

    เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน

    สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า

    ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง !

    Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด

    สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย
    ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2
    แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร

    ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย

    มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO

    รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว

    เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน

    ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 6 ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ ! – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง ! Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2 แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 996 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 วัน 6 คืนแห่งความประทับใจ! ชมอุทยานฟยอร์ด สะพานมหัศจรรย์ แสงเหนือ และเมืองสีสันนอร์เวย์ บนเรือ Havila พร้อมที่พัก และอาหารบนเรือทุกมื้อ

    🛳 แพ็คเกจล่องเรือสำราญ Havila Adventure in Norway 7 วัน 6 คืน

    เดินทาง ต.ค. 68 - ธ.ค. 69

    เส้นทางสแกนดิเนเวีย เบอร์เกน - เคิร์กเคเนส แวะจอด 34 ports

    ราคาเริ่มต้น : EUR 815

    ห้องพักบนเรือ พักคู่ รวม 6คืน (พักสองท่านต่อห้อง)
    อาหารทุกมื้อบนเรือ(ยกเว้นห้องอาหารพิเศษ)
    การแสดง และกิจกรรมสันทนาการ (บางรายการ)
    ภาษีท่าเรือ

    รหัสโปรแกรม : HAVP-7D6N-BGO-KKN-2612291
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e51c

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #HavilaAdventure #Norway #Scandinavia #Trondheim #Havoysund #Tromso #แสงเหนือ #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    💥 7 วัน 6 คืนแห่งความประทับใจ! ชมอุทยานฟยอร์ด สะพานมหัศจรรย์ แสงเหนือ และเมืองสีสันนอร์เวย์ บนเรือ Havila พร้อมที่พัก และอาหารบนเรือทุกมื้อ ✨ 🛳 แพ็คเกจล่องเรือสำราญ Havila Adventure in Norway 7 วัน 6 คืน 📅 เดินทาง ต.ค. 68 - ธ.ค. 69 📍 เส้นทางสแกนดิเนเวีย เบอร์เกน - เคิร์กเคเนส แวะจอด 34 ports 💳 ราคาเริ่มต้น : EUR 815 ✅ ห้องพักบนเรือ พักคู่ รวม 6คืน (พักสองท่านต่อห้อง) ✅ อาหารทุกมื้อบนเรือ(ยกเว้นห้องอาหารพิเศษ) ✅ การแสดง และกิจกรรมสันทนาการ (บางรายการ) ✅ ภาษีท่าเรือ 🅿️ รหัสโปรแกรม : HAVP-7D6N-BGO-KKN-2612291 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e3e51c 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #HavilaAdventure #Norway #Scandinavia #Trondheim #Havoysund #Tromso #แสงเหนือ #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 787 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Yantar: เรือสอดแนมรัสเซียที่กำลัง ‘เดินสาย’ ใต้ทะเลยุโรป — เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของสงครามเงียบ”

    รายงานล่าสุดจาก Financial Times และหน่วยงานความมั่นคงยุโรปเปิดเผยว่า เรือ Yantar ของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “เรือสอดแนมทางทหาร” ได้ถูกติดตามขณะเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมโยงประเทศ NATO ทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ทำแผนที่” และอาจ “สกัดกั้น” การสื่อสารที่สำคัญของพันธมิตร NATO

    Yantar ถูกระบุว่าออกเดินทางจากคาบสมุทร Kola ของรัสเซียตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยปลอมตัวเป็นเรือพลเรือน แต่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น ระบบเรดาร์, แขนกลใต้น้ำ, และยานดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งสามารถเข้าถึงสายเคเบิลที่อยู่ลึกถึง 6,000 เมตร

    เรือถูกพบในหลายจุดสำคัญ เช่น ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับหมู่เกาะ Svalbard ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอาร์กติก โดยมีการเคลื่อนไหวที่พยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ส่งสัญญาณตำแหน่ง และเคลื่อนที่ช้าเหนือสายเคเบิลโดยตรง

    ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA แสดงให้เห็นว่า Yantar เคลื่อนตัวอย่างมีเป้าหมาย และมีการหยุดตามจุดที่ตรงกับตำแหน่งสายเคเบิลพลังงาน, อินเทอร์เน็ต, และระบบสื่อสารทางทหาร เช่น Integrated Undersea Surveillance System ที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากรัสเซียต้องการโจมตีแบบ “สงครามลูกผสม” การตัดสายเคเบิลเหล่านี้อาจทำให้ประเทศตะวันตก “มืดสนิท” ทั้งในด้านพลังงาน, การเงิน, และการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดกับยูเครนและ NATO ยังคงสูงขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เรือ Yantar ของรัสเซียถูกติดตามขณะเคลื่อนที่ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำของ NATO
    เรือถูกระบุว่าเป็นเรือสอดแนมทางทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ
    จุดที่พบเรือ ได้แก่ ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับ Svalbard
    ใช้ดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA ในการติดตามตำแหน่งเรือ
    เรือสามารถปล่อยยานใต้น้ำและแขนกลเพื่อเข้าถึงสายเคเบิลลึกถึง 6,000 เมตร
    เป้าหมายคือการทำแผนที่และอาจสกัดกั้นการสื่อสารของ NATO
    สายเคเบิลที่ถูกติดตามรวมถึงระบบติดตามเรือดำน้ำ Integrated Undersea Surveillance System
    รัฐบาลอังกฤษและ NATO เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีป้องกัน เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำและโดรนตรวจการณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของการสื่อสารทั่วโลก และรองรับธุรกรรมการเงินกว่า $10 ล้านล้านต่อวัน
    รัสเซียมีหน่วยงานลับชื่อ GUGI ที่ดูแลเรือ Yantar และยานใต้น้ำกว่า 50 ลำ
    การตัดสายเคเบิลเคยเกิดขึ้นจริง เช่น กรณีสายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และสวีเดนถูกตัดในปี 2024
    สายเคเบิลบางเส้นมีความลับสูง เช่น เส้นที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู
    ประเทศในยุโรปเริ่มใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบและป้องกันการโจมตีใต้น้ำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/moscow-military-spy-ship-tracked-mapping-and-surveilling-nato-undersea-cables-shes-following-cable-lines-and-pipelines-making-stops-we-are-monitoring-her-very-closely
    🌊 “Yantar: เรือสอดแนมรัสเซียที่กำลัง ‘เดินสาย’ ใต้ทะเลยุโรป — เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของสงครามเงียบ” รายงานล่าสุดจาก Financial Times และหน่วยงานความมั่นคงยุโรปเปิดเผยว่า เรือ Yantar ของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “เรือสอดแนมทางทหาร” ได้ถูกติดตามขณะเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมโยงประเทศ NATO ทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ทำแผนที่” และอาจ “สกัดกั้น” การสื่อสารที่สำคัญของพันธมิตร NATO Yantar ถูกระบุว่าออกเดินทางจากคาบสมุทร Kola ของรัสเซียตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยปลอมตัวเป็นเรือพลเรือน แต่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น ระบบเรดาร์, แขนกลใต้น้ำ, และยานดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งสามารถเข้าถึงสายเคเบิลที่อยู่ลึกถึง 6,000 เมตร เรือถูกพบในหลายจุดสำคัญ เช่น ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับหมู่เกาะ Svalbard ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอาร์กติก โดยมีการเคลื่อนไหวที่พยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ส่งสัญญาณตำแหน่ง และเคลื่อนที่ช้าเหนือสายเคเบิลโดยตรง ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA แสดงให้เห็นว่า Yantar เคลื่อนตัวอย่างมีเป้าหมาย และมีการหยุดตามจุดที่ตรงกับตำแหน่งสายเคเบิลพลังงาน, อินเทอร์เน็ต, และระบบสื่อสารทางทหาร เช่น Integrated Undersea Surveillance System ที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากรัสเซียต้องการโจมตีแบบ “สงครามลูกผสม” การตัดสายเคเบิลเหล่านี้อาจทำให้ประเทศตะวันตก “มืดสนิท” ทั้งในด้านพลังงาน, การเงิน, และการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดกับยูเครนและ NATO ยังคงสูงขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เรือ Yantar ของรัสเซียถูกติดตามขณะเคลื่อนที่ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำของ NATO ➡️ เรือถูกระบุว่าเป็นเรือสอดแนมทางทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ ➡️ จุดที่พบเรือ ได้แก่ ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับ Svalbard ➡️ ใช้ดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA ในการติดตามตำแหน่งเรือ ➡️ เรือสามารถปล่อยยานใต้น้ำและแขนกลเพื่อเข้าถึงสายเคเบิลลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ เป้าหมายคือการทำแผนที่และอาจสกัดกั้นการสื่อสารของ NATO ➡️ สายเคเบิลที่ถูกติดตามรวมถึงระบบติดตามเรือดำน้ำ Integrated Undersea Surveillance System ➡️ รัฐบาลอังกฤษและ NATO เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีป้องกัน เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำและโดรนตรวจการณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของการสื่อสารทั่วโลก และรองรับธุรกรรมการเงินกว่า $10 ล้านล้านต่อวัน ➡️ รัสเซียมีหน่วยงานลับชื่อ GUGI ที่ดูแลเรือ Yantar และยานใต้น้ำกว่า 50 ลำ ➡️ การตัดสายเคเบิลเคยเกิดขึ้นจริง เช่น กรณีสายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และสวีเดนถูกตัดในปี 2024 ➡️ สายเคเบิลบางเส้นมีความลับสูง เช่น เส้นที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู ➡️ ประเทศในยุโรปเริ่มใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบและป้องกันการโจมตีใต้น้ำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/moscow-military-spy-ship-tracked-mapping-and-surveilling-nato-undersea-cables-shes-following-cable-lines-and-pipelines-making-stops-we-are-monitoring-her-very-closely
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TradingView Premium ปลอมระบาดผ่าน Google Ads และ YouTube — แฝงโทรจันขโมยข้อมูลและควบคุมเครื่องเหยื่อ”

    Bitdefender Labs ได้เปิดเผยแคมเปญโฆษณาอันตรายที่กำลังระบาดหนักในปี 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้ชื่อ “TradingView Premium” เป็นเหยื่อล่อผ่าน Google Ads และ YouTube เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์โทรจันชื่อว่า Trojan.Agent.GOSL ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล ขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที2

    แคมเปญนี้เริ่มจากการยึดบัญชีโฆษณาของบริษัทดีไซน์ในนอร์เวย์ และช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน (verified) จากนั้นแฮกเกอร์ลบเนื้อหาเดิมทั้งหมด แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนช่องทางการของ TradingView ทั้งโลโก้ แบนเนอร์ และเพลย์ลิสต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือสูงสุด

    วิดีโอที่ใช้หลอกลวงจะถูกตั้งเป็น “unlisted” เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube และจะถูกโปรโมตผ่านโฆษณาเท่านั้น เช่นคลิปชื่อ “Free TradingView Premium – Secret Method They Don’t Want You to Know” ที่มียอดวิวทะลุ 182,000 ภายในไม่กี่วัน แม้จะไม่มีเนื้อหาจริงจาก TradingView เลย

    เมื่อเหยื่อคลิกดาวน์โหลดจากลิงก์ใต้คลิป จะได้ไฟล์ .exe ที่เป็นมัลแวร์เต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ โปรแกรมเทรด และกระเป๋าคริปโต รวมถึงควบคุมเครื่องเพื่อขุดเหรียญโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แฮกเกอร์ใช้ชื่อ TradingView Premium หลอกผู้ใช้ผ่าน Google Ads และ YouTube
    ยึดบัญชีโฆษณาและช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนของจริง
    ใช้วิดีโอแบบ unlisted เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube
    วิดีโอปลอมมีชื่อเช่น “Free TradingView Premium – Secret Method…” และมียอดวิวสูงผิดปกติ
    ลิงก์ใต้คลิปนำไปสู่ไฟล์มัลแวร์ Trojan.Agent.GOSL ที่สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อได้
    มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที
    Bitdefender ติดตามแคมเปญนี้มานานกว่า 1 ปี และพบว่ามีการใช้โดเมนปลอมกว่า 500 แห่ง
    แคมเปญนี้เคยระบาดผ่าน Facebook Ads มาก่อน และขยายมาสู่ Google และ YouTube1

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TradingView Premium เป็นบริการวิเคราะห์กราฟเทรดที่มีค่าใช้จ่ายจริง ไม่แจกฟรี
    การใช้ช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยันเป็นช่องทางหลอกลวงกำลังเพิ่มขึ้น
    วิดีโอแบบ unlisted มักใช้ในแคมเปญหลอกลวง เพราะไม่ถูกค้นเจอหรือรายงานง่าย
    Trojan.Agent.GOSL เป็นมัลแวร์ที่สามารถฝังตัวในระบบโดยไม่ทิ้งไฟล์ให้ตรวจจับ
    การขุดคริปโตแบบลับ ๆ ทำให้เครื่องช้า ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

    คำเตือนและข้อจำกัด
    วิดีโอที่มีคำว่า “ฟรี” หรือ “วิธีลับ” มักเป็นกลลวงที่แฝงมัลแวร์
    ช่อง YouTube ที่ดูเหมือนของจริง อาจถูกยึดและใช้หลอกลวงโดยแฮกเกอร์
    การดาวน์โหลดไฟล์จากลิงก์ใต้คลิปที่ไม่ใช่ช่องทางทางการมีความเสี่ยงสูง
    Trojan.Agent.GOSL สามารถควบคุมเครื่องและขโมยข้อมูลโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว
    การคลิกโฆษณาโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา อาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ทันที

    https://hackread.com/tradingview-scam-expands-to-google-youtube/
    🛑 “TradingView Premium ปลอมระบาดผ่าน Google Ads และ YouTube — แฝงโทรจันขโมยข้อมูลและควบคุมเครื่องเหยื่อ” Bitdefender Labs ได้เปิดเผยแคมเปญโฆษณาอันตรายที่กำลังระบาดหนักในปี 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้ชื่อ “TradingView Premium” เป็นเหยื่อล่อผ่าน Google Ads และ YouTube เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์โทรจันชื่อว่า Trojan.Agent.GOSL ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องจากระยะไกล ขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที2 แคมเปญนี้เริ่มจากการยึดบัญชีโฆษณาของบริษัทดีไซน์ในนอร์เวย์ และช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน (verified) จากนั้นแฮกเกอร์ลบเนื้อหาเดิมทั้งหมด แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนช่องทางการของ TradingView ทั้งโลโก้ แบนเนอร์ และเพลย์ลิสต์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือสูงสุด วิดีโอที่ใช้หลอกลวงจะถูกตั้งเป็น “unlisted” เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube และจะถูกโปรโมตผ่านโฆษณาเท่านั้น เช่นคลิปชื่อ “Free TradingView Premium – Secret Method They Don’t Want You to Know” ที่มียอดวิวทะลุ 182,000 ภายในไม่กี่วัน แม้จะไม่มีเนื้อหาจริงจาก TradingView เลย เมื่อเหยื่อคลิกดาวน์โหลดจากลิงก์ใต้คลิป จะได้ไฟล์ .exe ที่เป็นมัลแวร์เต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ โปรแกรมเทรด และกระเป๋าคริปโต รวมถึงควบคุมเครื่องเพื่อขุดเหรียญโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แฮกเกอร์ใช้ชื่อ TradingView Premium หลอกผู้ใช้ผ่าน Google Ads และ YouTube ➡️ ยึดบัญชีโฆษณาและช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยัน แล้วรีแบรนด์ให้เหมือนของจริง ➡️ ใช้วิดีโอแบบ unlisted เพื่อหลบการตรวจสอบจากระบบของ YouTube ➡️ วิดีโอปลอมมีชื่อเช่น “Free TradingView Premium – Secret Method…” และมียอดวิวสูงผิดปกติ ➡️ ลิงก์ใต้คลิปนำไปสู่ไฟล์มัลแวร์ Trojan.Agent.GOSL ที่สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อได้ ➡️ มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว และกระเป๋าคริปโตได้ทันที ➡️ Bitdefender ติดตามแคมเปญนี้มานานกว่า 1 ปี และพบว่ามีการใช้โดเมนปลอมกว่า 500 แห่ง ➡️ แคมเปญนี้เคยระบาดผ่าน Facebook Ads มาก่อน และขยายมาสู่ Google และ YouTube1 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TradingView Premium เป็นบริการวิเคราะห์กราฟเทรดที่มีค่าใช้จ่ายจริง ไม่แจกฟรี ➡️ การใช้ช่อง YouTube ที่ได้รับเครื่องหมายยืนยันเป็นช่องทางหลอกลวงกำลังเพิ่มขึ้น ➡️ วิดีโอแบบ unlisted มักใช้ในแคมเปญหลอกลวง เพราะไม่ถูกค้นเจอหรือรายงานง่าย ➡️ Trojan.Agent.GOSL เป็นมัลแวร์ที่สามารถฝังตัวในระบบโดยไม่ทิ้งไฟล์ให้ตรวจจับ ➡️ การขุดคริปโตแบบลับ ๆ ทำให้เครื่องช้า ร้อน และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ วิดีโอที่มีคำว่า “ฟรี” หรือ “วิธีลับ” มักเป็นกลลวงที่แฝงมัลแวร์ ⛔ ช่อง YouTube ที่ดูเหมือนของจริง อาจถูกยึดและใช้หลอกลวงโดยแฮกเกอร์ ⛔ การดาวน์โหลดไฟล์จากลิงก์ใต้คลิปที่ไม่ใช่ช่องทางทางการมีความเสี่ยงสูง ⛔ Trojan.Agent.GOSL สามารถควบคุมเครื่องและขโมยข้อมูลโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว ⛔ การคลิกโฆษณาโดยไม่ตรวจสอบแหล่งที่มา อาจนำไปสู่การติดมัลแวร์ทันที https://hackread.com/tradingview-scam-expands-to-google-youtube/
    HACKREAD.COM
    Google Ads Used to Spread Trojan Disguised as TradingView Premium
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามชาติใดก็สามารถฟ้องดำเนินคดีมันได้จึงสมควรที่สุด.

    ..ศาลอาญาระหว่างประเทศ

    ศาลซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 เพื่อดำเนินคดีบุคคลในข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มีประเทศสมาชิก 125 ประเทศที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568

    ศาลอาญาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Criminal Court; ย่อ: ICC) เป็นศาลระหว่างประเทศซึ่งมีที่ทำการอยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีเขตอำนาจดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐาน คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน ก่อตั้งขึ้นโดยประสงค์จะให้เป็นส่วนเสริมของระบบยุติธรรมที่แต่ละประเทศมีอยู่ จึงมีเขตอำนาจเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้น เช่น เมื่อศาลระดับประเทศไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแล้ว หรือเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือรัฐหนึ่ง ๆ เสนอคดีมาให้พิจารณา ศาลนี้เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมเริ่มใช้บังคับ ธรรมนูญดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีซึ่งวางรากฐานและกำหนดการบริหารจัดการของศาล รัฐที่เข้าเป็นภาคีแห่งธรรมนูญจะนับเป็นรัฐสมาชิกของศาล ปัจจุบันมีรัฐภาคี 125 รัฐ

    องค์กรหลักของศาลมี 4 องค์กร คือ คณะประธาน แผนกตุลาการ สำนักงานอัยการ และสำนักงานทะเบียน ประธานศาลเป็นตุลาการที่ได้รับเลือกมาจากตุลาการคนอื่นในแผนกตุลาการ สำนักงานอัยการมีอัยการเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่สืบสวนคดีและส่งฟ้องต่อแผนกตุลาการ ส่วนสำนักงานทะเบียนมีนายทะเบียนเป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานธุรการทั้งปวงของศาล ซึ่งรวมถึงการบริหารสำนักงานใหญ่ของศาล หน่วยขัง และสำนักงานทนายจำเลย


    ประเทศที่เป็นสมาชิกของ ICC

    ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีประเทศต่างๆ 137 ประเทศลงนามในธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วม ในขณะที่ 125 ประเทศได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นรัฐสมาชิกเต็มตัวของ ICC

    ประเทศต่างๆ ที่ได้ลงนามหรือให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมแสดงอยู่ในแผนที่ด้านล่าง


    ปี1999
    ฟิจิ กานา อิตาลี ซานมารีโน เซเนกัล ตรินิแดดและโตเบโก

    2000
    ออสเตรีย เบลเยียม บอตสวานา แคนาดา ฝรั่งเศส กาบอง เยอรมนี ไอซ์แลนด์ เลโซโท ลักเซมเบิร์ก มาลี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เซียร์ราลีโอน แอฟริกาใต้ สเปน ทาจิกิสถาน เวเนซุเอลา

    2001
    อันดอร์รา แอนติกาและบาร์บูดา อาร์เจนตินา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คอสตาริกา โครเอเชีย เดนมาร์ก โดมินิกา ฮังการี ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย เปรู โปแลนด์ เซอร์เบีย สโลวีเนีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร

    2002
    บาร์เบโดส, เบนิน, โบลิเวีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บราซิล, บัลแกเรีย, กัมพูชา, โคลอมเบีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, จิบูตี, เอกวาดอร์, เอสโตเนีย, แกมเบีย, กรีซ, ฮอนดูรัส, ไอร์แลนด์, จอร์แดน, ลัตเวีย, มาลาวี, มอลตา, มอริเชียส, มองโกเลีย, นามิเบีย, ไนเจอร์, มาซิโดเนียเหนือ, ปานามา, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเกาหลี, โรมาเนีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, ซามัว, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แทนซาเนีย, ติมอร์-เลสเต, ยูกันดา, อุรุกวัย, แซมเบีย

    2003
    อัฟกานิสถาน, แอลเบเนีย, จอร์เจีย, กินี, ลิทัวเนีย

    2004
    บูร์กินาฟาโซ กายอานา ไลบีเรีย สาธารณรัฐคองโก

    2005
    สาธารณรัฐโดมินิกัน เคนยา เม็กซิโก

    ปี 2549
    คอโมโรส มอนเตเนโกร เซนต์คิตส์และเนวิส

    2007
    ชาด ประเทศญี่ปุ่น

    2008
    หมู่เกาะคุก มาดากัสการ์ ซูรินาม

    ปี 2009
    ชิลี สาธารณรัฐเช็ก

    2010
    บังกลาเทศ มอลโดวา เซนต์ลูเซีย เซเชลส์

    ปี 2011
    กาบูเวร์ดี, เกรเนดา, มัลดีฟส์, ตูนิเซีย

    2012
    กัวเตมาลา วานูอาตู

    ปี 2013
    ไอวอรีโคสต์

    ปี 2558
    ปาเลสไตน์

    ปี 2559
    เอลซัลวาดอร์

    ปี 2019
    คิริบาติ

    2023
    อาร์เมเนีย

    2024
    ยูเครน




    #ฮุนเซนฮุนมาเนตคืออาชญากรสงครามชาติใดก็สามารถฟ้องดำเนินคดีมันได้จึงสมควรที่สุด. ..ศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2545 เพื่อดำเนินคดีบุคคลในข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้ธรรมนูญกรุงโรม มีประเทศสมาชิก 125 ประเทศที่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ศาลอาญาระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Criminal Court; ย่อ: ICC) เป็นศาลระหว่างประเทศซึ่งมีที่ทำการอยู่ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีเขตอำนาจดำเนินคดีผู้กระทำความผิดอาญาระหว่างประเทศ 4 ฐาน คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน ก่อตั้งขึ้นโดยประสงค์จะให้เป็นส่วนเสริมของระบบยุติธรรมที่แต่ละประเทศมีอยู่ จึงมีเขตอำนาจเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขเท่านั้น เช่น เมื่อศาลระดับประเทศไม่สามารถหรือไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแล้ว หรือเมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือรัฐหนึ่ง ๆ เสนอคดีมาให้พิจารณา ศาลนี้เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 อันเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมเริ่มใช้บังคับ ธรรมนูญดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีซึ่งวางรากฐานและกำหนดการบริหารจัดการของศาล รัฐที่เข้าเป็นภาคีแห่งธรรมนูญจะนับเป็นรัฐสมาชิกของศาล ปัจจุบันมีรัฐภาคี 125 รัฐ องค์กรหลักของศาลมี 4 องค์กร คือ คณะประธาน แผนกตุลาการ สำนักงานอัยการ และสำนักงานทะเบียน ประธานศาลเป็นตุลาการที่ได้รับเลือกมาจากตุลาการคนอื่นในแผนกตุลาการ สำนักงานอัยการมีอัยการเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่สืบสวนคดีและส่งฟ้องต่อแผนกตุลาการ ส่วนสำนักงานทะเบียนมีนายทะเบียนเป็นหัวหน้า รับผิดชอบงานธุรการทั้งปวงของศาล ซึ่งรวมถึงการบริหารสำนักงานใหญ่ของศาล หน่วยขัง และสำนักงานทนายจำเลย ประเทศที่เป็นสมาชิกของ ICC ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีประเทศต่างๆ 137 ประเทศลงนามในธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าร่วม ในขณะที่ 125 ประเทศได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นรัฐสมาชิกเต็มตัวของ ICC ประเทศต่างๆ ที่ได้ลงนามหรือให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมแสดงอยู่ในแผนที่ด้านล่าง ปี1999 ฟิจิ กานา อิตาลี ซานมารีโน เซเนกัล ตรินิแดดและโตเบโก 2000 ออสเตรีย เบลเยียม บอตสวานา แคนาดา ฝรั่งเศส กาบอง เยอรมนี ไอซ์แลนด์ เลโซโท ลักเซมเบิร์ก มาลี หมู่เกาะมาร์แชลล์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เซียร์ราลีโอน แอฟริกาใต้ สเปน ทาจิกิสถาน เวเนซุเอลา 2001 อันดอร์รา แอนติกาและบาร์บูดา อาร์เจนตินา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คอสตาริกา โครเอเชีย เดนมาร์ก โดมินิกา ฮังการี ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย ปารากวัย เปรู โปแลนด์ เซอร์เบีย สโลวีเนีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร 2002 บาร์เบโดส, เบนิน, โบลิเวีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บราซิล, บัลแกเรีย, กัมพูชา, โคลอมเบีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, จิบูตี, เอกวาดอร์, เอสโตเนีย, แกมเบีย, กรีซ, ฮอนดูรัส, ไอร์แลนด์, จอร์แดน, ลัตเวีย, มาลาวี, มอลตา, มอริเชียส, มองโกเลีย, นามิเบีย, ไนเจอร์, มาซิโดเนียเหนือ, ปานามา, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเกาหลี, โรมาเนีย, เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์, ซามัว, สโลวาเกีย, สโลวีเนีย, แทนซาเนีย, ติมอร์-เลสเต, ยูกันดา, อุรุกวัย, แซมเบีย 2003 อัฟกานิสถาน, แอลเบเนีย, จอร์เจีย, กินี, ลิทัวเนีย 2004 บูร์กินาฟาโซ กายอานา ไลบีเรีย สาธารณรัฐคองโก 2005 สาธารณรัฐโดมินิกัน เคนยา เม็กซิโก ปี 2549 คอโมโรส มอนเตเนโกร เซนต์คิตส์และเนวิส 2007 ชาด ประเทศญี่ปุ่น 2008 หมู่เกาะคุก มาดากัสการ์ ซูรินาม ปี 2009 ชิลี สาธารณรัฐเช็ก 2010 บังกลาเทศ มอลโดวา เซนต์ลูเซีย เซเชลส์ ปี 2011 กาบูเวร์ดี, เกรเนดา, มัลดีฟส์, ตูนิเซีย 2012 กัวเตมาลา วานูอาตู ปี 2013 ไอวอรีโคสต์ ปี 2558 ปาเลสไตน์ ปี 2559 เอลซัลวาดอร์ ปี 2019 คิริบาติ 2023 อาร์เมเนีย 2024 ยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1062 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์

    Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia
    เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร
    ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน

    สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton
    เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027
    รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW

    เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads
    OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว
    ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร
    สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell
    เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก

    ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
    สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง
    สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ

    https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    📰 Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์ ✅ Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia ➡️ เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ➡️ ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน ✅ สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton ➡️ เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 ➡️ รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW ✅ เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads ➡️ OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ ✅ Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร ➡️ สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell ➡️ เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก ✅ ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ➡️ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง ➡️ สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ญี่ปุ่นอุดหนุนเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC — ป้องกันความมั่นคงจากภัยไซเบอร์และการก่อวินาศกรรมในทะเลลึก”

    รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศอุดหนุนเงินสูงสุดถึงครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้กับบริษัท NEC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ หลังเกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้งทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา

    NEC เคยติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำมากกว่า 400,000 กิโลเมตรทั่วโลก แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และบริษัทญี่ปุ่น เช่น NTT และ KDDI ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะในน่านน้ำภูมิภาค ไม่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า

    การอุดหนุนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลายครั้ง เช่น สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์–สวีเดนถูกตัดในเดือนพฤศจิกายน 2024 และสายเคเบิลระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันถูกสงสัยว่าถูกเรือจีนทำให้เสียหายในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างรุนแรง

    รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการไม่มีเรือเป็นของตัวเองคือ “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” และการพึ่งพาบริษัทต่างชาติอาจเปิดช่องให้เกิดการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ซึ่งการทำลายไม่ถือเป็นการประกาศสงครามโดยตรง

    แม้ NEC จะยอมรับว่าการมีเรือเป็นของตัวเองคือ “ต้นทุนคงที่มหาศาล” แต่ในช่วงที่ตลาดเคเบิลใต้น้ำกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนนี้อาจคุ้มค่าในระยะยาว และช่วยให้ญี่ปุ่นมีความสามารถในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนสูงสุดครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC
    เรือแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์
    NEC เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง
    ปัจจุบัน NEC เช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และญี่ปุ่น ซึ่งจำกัดการใช้งานเฉพาะในภูมิภาค

    เหตุผลด้านความมั่นคง
    เกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์–สวีเดน และสหรัฐฯ–ไต้หวัน
    สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ทำให้การทำลายไม่ถือเป็นสงคราม
    การไม่มีเรือเป็นของตัวเองทำให้ NEC ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า
    รัฐบาลมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับชาติ”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คู่แข่งของ NEC เช่น SubCom (สหรัฐฯ), Alcatel Submarine Networks (ฝรั่งเศส), และ HMN Tech (จีน) ต่างมีเรือเป็นของตัวเอง
    จีนวางสายเคเบิลใต้น้ำหลายหมื่นกิโลเมตรทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    NEC เชี่ยวชาญด้านสายเคเบิลหุ้มเกราะที่ทนต่อการก่อวินาศกรรม
    ตลาดเคเบิลใต้น้ำในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/networking/japan-to-subsidize-undersea-cable-vessels-over-very-serious-national-security-concerns-will-front-up-to-half-the-cost-for-usd300-million-vessels-bought-by-nec
    🌊 “ญี่ปุ่นอุดหนุนเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC — ป้องกันความมั่นคงจากภัยไซเบอร์และการก่อวินาศกรรมในทะเลลึก” รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศอุดหนุนเงินสูงสุดถึงครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้กับบริษัท NEC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ หลังเกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้งทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา NEC เคยติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำมากกว่า 400,000 กิโลเมตรทั่วโลก แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และบริษัทญี่ปุ่น เช่น NTT และ KDDI ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะในน่านน้ำภูมิภาค ไม่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า การอุดหนุนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลายครั้ง เช่น สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์–สวีเดนถูกตัดในเดือนพฤศจิกายน 2024 และสายเคเบิลระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันถูกสงสัยว่าถูกเรือจีนทำให้เสียหายในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างรุนแรง รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการไม่มีเรือเป็นของตัวเองคือ “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” และการพึ่งพาบริษัทต่างชาติอาจเปิดช่องให้เกิดการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ซึ่งการทำลายไม่ถือเป็นการประกาศสงครามโดยตรง แม้ NEC จะยอมรับว่าการมีเรือเป็นของตัวเองคือ “ต้นทุนคงที่มหาศาล” แต่ในช่วงที่ตลาดเคเบิลใต้น้ำกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนนี้อาจคุ้มค่าในระยะยาว และช่วยให้ญี่ปุ่นมีความสามารถในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนสูงสุดครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC ➡️ เรือแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ ➡️ NEC เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ➡️ ปัจจุบัน NEC เช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และญี่ปุ่น ซึ่งจำกัดการใช้งานเฉพาะในภูมิภาค ✅ เหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ เกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์–สวีเดน และสหรัฐฯ–ไต้หวัน ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ทำให้การทำลายไม่ถือเป็นสงคราม ➡️ การไม่มีเรือเป็นของตัวเองทำให้ NEC ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า ➡️ รัฐบาลมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับชาติ” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คู่แข่งของ NEC เช่น SubCom (สหรัฐฯ), Alcatel Submarine Networks (ฝรั่งเศส), และ HMN Tech (จีน) ต่างมีเรือเป็นของตัวเอง ➡️ จีนวางสายเคเบิลใต้น้ำหลายหมื่นกิโลเมตรทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ NEC เชี่ยวชาญด้านสายเคเบิลหุ้มเกราะที่ทนต่อการก่อวินาศกรรม ➡️ ตลาดเคเบิลใต้น้ำในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/networking/japan-to-subsidize-undersea-cable-vessels-over-very-serious-national-security-concerns-will-front-up-to-half-the-cost-for-usd300-million-vessels-bought-by-nec
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 512 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์

    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน

    เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม

    หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025
    DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์
    เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim
    เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก

    รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ
    ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง
    ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน
    เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์
    เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
    MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่
    Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ
    การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก

    https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    🕵️‍♂️ “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025 ➡️ DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ ➡️ เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ➡️ เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก ✅ รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ ➡️ ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง ➡️ ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน ➡️ เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ ➡️ เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ ➡️ การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    HACKREAD.COM
    Ukrainian Fugitive Added to EU Most Wanted List for LockerGoga Ransomware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 440 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน

    หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware

    หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ

    ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

    ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว
    สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk
    ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim
    สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก
    หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์

    รายละเอียดการโจมตี
    MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ
    LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก
    Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น
    ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork”
    Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป
    การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง
    คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม
    การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก
    บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่
    การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน
    การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    🕵️‍♂️ “สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน ล่าตัวแฮกเกอร์ยูเครน Volodymyr Tymoshchuk — ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีไซเบอร์มูลค่า $18 พันล้านทั่วโลก” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี กลายเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ของหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าทีมแฮกเกอร์ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด้วย ransomware ชุดใหญ่ ได้แก่ MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายร้อยแห่งทั่วโลก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า $18 พันล้าน หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือการโจมตีบริษัทพลังงานหมุนเวียน Norsk Hydro ในปี 2019 ซึ่งทำให้ระบบของบริษัทกว่า 170 แห่งทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายกว่า $81 ล้าน. Tymoshchuk ถูกกล่าวหาว่าใช้เครื่องมือเจาะระบบอย่าง Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่ายของเหยื่อเป็นเวลาหลายเดือนก่อนปล่อย ransomware หลังจาก LockerGoga และ MegaCortex ถูกถอดรหัสโดยหน่วยงานความมั่นคง Tymoshchuk ก็หันไปพัฒนา Nefilim ซึ่งเน้นโจมตีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน โดยขายสิทธิ์การเข้าถึงให้กับแฮกเกอร์รายอื่น แลกกับส่วนแบ่ง 20% จากเงินค่าไถ่ที่ได้รับ ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk และเปิดเผยรายชื่อเหยื่อบางส่วนในคำฟ้องที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 โดยเขาถูกตั้งข้อหาทั้งหมด 7 กระทง รวมถึงการทำลายข้อมูลโดยเจตนา การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และการข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ✅ ข้อมูลจากข่าวการตั้งค่าหัว ➡️ สหรัฐฯ ตั้งค่าหัว $11 ล้าน สำหรับข้อมูลนำไปสู่การจับกุม Tymoshchuk ➡️ ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ransomware MegaCortex, LockerGoga และ Nefilim ➡️ สร้างความเสียหายรวมกว่า $18 พันล้านทั่วโลก ➡️ หน่วยงานที่ร่วมมือ ได้แก่ FBI, DOJ, Europol และรัฐบาลฝรั่งเศส, เยอรมนี, นอร์เวย์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ MegaCortex เปลี่ยนรหัสผ่าน Windows และเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ ➡️ LockerGoga โจมตี Norsk Hydro ทำให้ระบบกว่า 170 แห่งหยุดชะงัก ➡️ Nefilim เน้นโจมตีบริษัทมูลค่ามากกว่า $100 ล้าน และขายสิทธิ์ให้แฮกเกอร์อื่น ➡️ ใช้เครื่องมือเจาะระบบ เช่น Metasploit และ Cobalt Strike เพื่อแฝงตัวในเครือข่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น “deadforz”, “Boba”, “msfv”, “farnetwork” ➡️ Europol จัดให้เขาอยู่ในรายชื่อ “Most Wanted” ของยุโรป ➡️ การโจมตีบางครั้งทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าไถ่เกิน $1 ล้านต่อครั้ง ➡️ คำฟ้องระบุว่าเขาอาจถูกลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต หากถูกจับและตัดสินว่าผิด ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Tymoshchuk ยังไม่ถูกจับ — ยังคงหลบหนีและอาจมีการโจมตีเพิ่มเติม ⛔ การโจมตีแบบแฝงตัวหลายเดือนทำให้ตรวจจับได้ยาก ⛔ บริษัทที่ถูกโจมตีมักไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ่ายค่าไถ่ ⛔ การใช้เครื่องมือเจาะระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายในทางผิด ทำให้การป้องกันซับซ้อน ⛔ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/u-s-places-usd11-million-bounty-on-ukrainian-ransomware-mastermind-tymoshchuk-allegedly-stole-usd18-billion-from-large-companies-over-3-years
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    U.S. places $11 million bounty on Ukrainian ransomware mastermind — Tymoshchuk allegedly stole $18 billion from large companies over 3 years
    Volodymyr Tymoshchuk is accused of masterminding ransomware that disrupted 250 companies in the United States alone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท

    แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย

    Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC

    แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel
    หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด
    มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี
    Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ
    ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น
    Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์
    ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน
    Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง
    Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    🎙️ Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel ➡️ หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด ➡️ มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี ➡️ Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ ➡️ ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น ➡️ Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน ➡️ Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง ➡️ Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์ ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    WCCFTECH.COM
    Hassett Thinks Intel Will "Get Its Act Together" With Cash Inflow, But Morgan Stanley Contends There's No "Quick Fix"
    Morgan Stanley's Joseph Moore believes that Intel's turnaround would be a lengthy affair, with no simple remedies available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยเรียกร้องนอร์เวย์ ให้ประเมินใหม่ต่อกรณีมอบเงินสนับสนุนแก่โครงการกำจัดกับระเบิดของกัมพูชา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการลักลอบวางกับระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทบ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวสแกนด์เอเชีย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000080784

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ไทยเรียกร้องนอร์เวย์ ให้ประเมินใหม่ต่อกรณีมอบเงินสนับสนุนแก่โครงการกำจัดกับระเบิดของกัมพูชา ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการลักลอบวางกับระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทบ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวสแกนด์เอเชีย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000080784 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • Yesterday Once More: เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา

    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข

    วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane

    จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

    แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี

    ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต

    แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา

    ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    Yesterday Once More: 🎵 เสียงเพลงที่พาย้อนเวลา ⌛ 🎵 ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม ช่วงเวลาที่บ้านเต็มไปด้วยเสียงดนตรีจากชุดเครื่องเสียงสุดหรูของพ่อ เขามักจะเปิดเพลงเพื่อโชว์ลำโพงที่ให้เสียงใสกิ๊งราวกับคริสตัล แม้ว่าตอนนั้นจะเล่นจากเทปคาสเซ็ทเก่าๆ แต่สุนทรียภาพของดนตรีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการเล่นแผ่นเสียงไวนิลหรือซีดีสมัยนี้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่นและความทรงจำดีๆ โดยเฉพาะเพลงหนึ่งที่พ่อชอบเปิดบ่อยๆ นั่นคือ "Yesterday Once More" ของ The Carpenters เพลงนี้ไม่ใช่แค่เสียงเพลงธรรมดา แต่เป็นเหมือนประตูเวลาที่พาผมย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความสุข 📻 วง The Carpenters เกิดจากสองพี่น้องคู่บุญอย่าง Karen และ Richard Carpenter ที่เติบโตมาในเมือง New Haven รัฐ Connecticut สหรัฐอเมริกา ก่อนจะย้ายมาอยู่ Downey ใน California เมื่อปี 1963 เพื่อไล่ตามความฝันทางดนตรี Richard ผู้พี่ชายเกิดปี 1946 เป็นนักเปียโนตัวฉกาจและชอบจัดเรียงเสียงประสาน เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและต่อมาเข้าเรียนที่ California State University, Long Beach ส่วน Karen น้องสาวเกิดปี 1950 เดิมทีเล่นกลองก่อนจะค้นพบพรสวรรค์ในเสียงร้องคอนทราลโตที่อบอุ่นและนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ 🎹🥁 พวกเขาเริ่มเล่นดนตรีด้วยกันตั้งแต่ปี 1965 ในรูปแบบวงแจ๊สชื่อ Richard Carpenter Trio ร่วมกับเพื่อน Wesley Jacobs จากนั้นพัฒนามาเป็นวง Spectrum ที่เล่นเพลงแนว middle-of-the-road แต่ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งปี 1969 พวกเขาตัดสินใจเป็นดูโอ้อย่างเป็นทางการและเซ็นสัญญากับค่าย A&M Records โดยใช้ชื่อ "Carpenters" แบบไม่มี "The" นำหน้า เพื่อให้ดูทันสมัยเหมือนวงร็อกดังๆ อย่าง Buffalo Springfield หรือ Jefferson Airplane จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก The Carpenters ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงด้วยสไตล์ซอฟต์ร็อกที่ผสมผสานฮาร์โมนีใกล้ชิดและเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Karen เพลงฮิตแรกๆ อย่าง "(They Long to Be) Close to You" และ "We've Only Just Begun" ในปี 1970 ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นชาร์ต Billboard Hot 100 อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเพลงดังอีกเพียบ เช่น "Superstar", "Rainy Days and Mondays" และ "Top of the World" ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 3 ตัว รวมถึง Best New Artist และ Best Contemporary Performance by a Duo, Group or Chorus 🌟 ตลอดช่วงทศวรรษ 1970 พวกเขาออกอัลบั้มถึง 10 ชุด โดยแต่ละชุดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น โดยเฉพาะอัลบั้มรวบฮิต "The Singles: 1969-1973" ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Top 200 พวกเขาทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ออกทีวีสเปเชียล และกลายเป็นศิลปินขายดีที่สุดในแนว easy listening และ adult contemporary ด้วยยอดขายแผ่นเสียงรวมกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายดีที่สุดตลอดกาล แต่เพลงที่ทำให้ผมหลงรักวงนี้อย่างหัวปักหัวปำคือ "Yesterday Once More" ที่ออกมาในปี 1973 จากอัลบั้ม "Now & Then" เพลงนี้เขียนโดย Richard ร่วมกับ John Bettis เพื่อเล่าเรื่องความคิดถึงเพลงเก่าๆ ที่เคยฟังในวัยเยาว์ เหมือนกับที่ผมฟังจากเครื่องเสียงของพ่อ มันเริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนนุ่มๆ ตามด้วยเสียงร้องของ Karen ที่ชวนให้หวนนึกถึงวันเก่าๆ และยังมีเซกเวย์เชื่อมไปยังเมดเลย์เพลงคลาสสิกยุค 60s ที่ทำเหมือนรายการวิทยุเก่าๆ บนข้าง B ของอัลบั้ม 🎸 เพลงนี้ถูกบันทึกที่ A&M Studios ใน Los Angeles และปล่อยซิงเกิลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1973 ด้วยความยาว 3:56 นาที มันเดบิวต์บนชาร์ต Cash Box ที่อันดับ 71 ก่อนพุ่งขึ้นสู่อันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม และติดอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 (ถูก "Bad, Bad Leroy Brown" ของ Jim Croce เบียดตก) แต่ครองอันดับ 1 บน Adult Contemporary Chart ซึ่งเป็นเพลงที่ 8 ของพวกเขาที่ทำได้ในรอบ 4 ปี ความดังของ "Yesterday Once More" ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา มันขึ้นอันดับ 2 ใน UK ซึ่งเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดของพวกเขาในเกาะอังกฤษ ขายได้กว่า 250,000 แผ่น และได้รับการรับรอง Silver จาก BPI ในญี่ปุ่นเพลงนี้ฮิตระเบิด ขายได้กว่า 600,000 แผ่นภายในกลางปี 1974 และกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของ The Carpenters ในประเทศนั้น ตามด้วยอันดับ 1 ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแคนาดา รวมถึงอันดับสูงๆ ในออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และนิวซีแลนด์ 📈 มันได้รับการรับรอง Gold จาก RIAA ในอเมริกาด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านแผ่น Richard เองเคยบอกในสารคดีญี่ปุ่นว่านี่คือเพลงโปรดที่เขาแต่ง และเขายังเล่นเวอร์ชันบรรเลงในคอนเสิร์ตหลายครั้ง เพลงนี้ถูกคัฟเวอร์โดยศิลปินมากมาย เช่น วง Candies ในญี่ปุ่นปี 1974, Redd Kross ในเวอร์ชันร็อก และ Priscilla Chan ในคอนเสิร์ต farewell ปี 1989 มันยังถูกใช้ในสื่อต่างๆ เพื่อถ่ายทอดความคิดถึง เช่น ในภาพยนตร์หรือโฆษณาที่ชวนนึกถึงอดีต แม้ The Carpenters จะดังเปรี้ยงปร้าง แต่ชีวิตของพวกเขาก็มีด้านมืด Richard เคยติด Quaalude ในช่วงปลาย 1970s จนต้องหยุดทัวร์และเข้ารับการบำบัด ส่วน Karen ต่อสู้กับโรค anorexia nervosa ที่ทำให้เธอผอมแห้งและสุขภาพทรุดโทรม จนเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ขณะอายุเพียง 32 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้โลกช็อกและจุดประกายให้คนหันมาสนใจโรคการกินผิดปกติมากขึ้น 💔 หลังจากนั้น Richard ยังคงทำงานเดี่ยวและออกอัลบั้ม posthumous เช่น "Voice of the Heart" ในปี 1983 แต่ไม่มีอะไรแทนที่เสียงร้องของ Karen ได้ มรดกของ The Carpenters ยังคงอยู่ พวกเขาอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังอย่าง Michael Jackson, Scott Weiland และศิลปินญี่ปุ่นหลายคน Rolling Stone จัดให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน 20 Greatest Duos of All Time และ Karen เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงยอดเยี่ยม เพลงของพวกเขามักถูกใช้ในงานแต่งงานหรือเพลงประกอบชีวิต เพราะความงดงามและความโรแมนติกที่เหนือกาลเวลา ทุกครั้งที่ผมได้ยิน "Yesterday Once More" มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นเรื่องราวของความทรงจำ ของพี่น้องคู่นี้ที่สร้างเสียงเพลงอมตะ และของช่วงเวลาที่ผมใช้กับพ่อ มันทำให้ผมรู้สึกว่า อดีตยังคงกลับมาอีกครั้ง เหมือนชื่อเพลง.. Yesterday Once More 🌹 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/ywB8vjMnoEw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1006 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำที่ไม่ปลอดภัย – เมื่อไซเบอร์สงครามเริ่มจากก๊อกน้ำ

    ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดเหตุการณ์สองครั้งที่สะท้อนถึงภัยคุกคามไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในยุโรป ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนรัสเซีย

    เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ เมื่อมีผู้เจาะระบบควบคุมและเปิดวาล์วปล่อยน้ำเป็นเวลาราว 4 ชั่วโมง แม้จะไม่มีความเสียหาย แต่แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบจริงได้ โดยมีวิดีโอเผยแพร่บน Telegram ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่ม Z-Pentest Alliance ที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัสเซีย

    เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในโปแลนด์ เมื่อรองนายกรัฐมนตรี Krzysztof Gawkowski เปิดเผยว่ามีความพยายามโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ถูกสกัดไว้ได้ทันเวลา เขาเปรียบเทียบว่า “รัสเซียอาจไม่ส่งรถถัง แต่ส่งมัลแวร์แทน”

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การโจมตีลักษณะนี้เป็น “การหยั่งเชิง” ที่อาจนำไปสู่การโจมตีขนาดใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะระบบน้ำที่มักขาดงบประมาณและบุคลากรด้านไซเบอร์

    แม้ผู้โจมตีจะดูเหมือนมือสมัครเล่น แต่การควบคุมระบบจริงได้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก และการใช้ช่องโหว่ เช่น รหัสผ่านอ่อนแอ หรือ HMI ที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นจุดอ่อนที่พบได้ทั่วไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เกิดเหตุโจมตีไซเบอร์ที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ โดยเปิดวาล์วปล่อยน้ำ 4 ชั่วโมง
    โปแลนด์สกัดการโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่ได้ทันเวลา
    กลุ่ม Z-Pentest Alliance ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีในนอร์เวย์
    วิดีโอการโจมตีถูกเผยแพร่บน Telegram พร้อมเพลงรัสเซีย
    ผู้โจมตีใช้ HMI ที่เปิดผ่านอินเทอร์เน็ตและรหัสผ่านอ่อนแอ
    ไม่มีความเสียหายทางกายภาพ แต่มีการควบคุมระบบจริง
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป็นการ “หยั่งเชิง” ก่อนการโจมตีใหญ่
    ระบบน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญแต่ขาดการป้องกัน
    สหรัฐฯ และยุโรปควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือน
    โครงการ Cyber Peace Initiative และ DEF CON Franklin เสนอความช่วยเหลือฟรีแก่ระบบน้ำ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โปแลนด์เผชิญการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียวันละ 300 ครั้ง
    ในปี 2024 รัสเซียเคยโจมตีระบบน้ำในเท็กซัสจนถังน้ำล้น
    ระบบน้ำในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจสอบไซเบอร์เต็มรูปแบบ
    การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) มักใช้กลุ่มแฮกเกอร์มือสมัครเล่นเป็นตัวแทน
    การโจมตีระบบน้ำสามารถสร้างความหวาดกลัวและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน
    การควบคุมวาล์วแบบเรียลไทม์แสดงถึงความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการที่ร้ายแรง

    https://www.csoonline.com/article/4042449/russia-linked-european-attacks-renew-concerns-over-water-cybersecurity.html
    🕵️‍♂️ น้ำที่ไม่ปลอดภัย – เมื่อไซเบอร์สงครามเริ่มจากก๊อกน้ำ ในเดือนสิงหาคม 2025 เกิดเหตุการณ์สองครั้งที่สะท้อนถึงภัยคุกคามไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในยุโรป ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์ที่สนับสนุนรัสเซีย เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ เมื่อมีผู้เจาะระบบควบคุมและเปิดวาล์วปล่อยน้ำเป็นเวลาราว 4 ชั่วโมง แม้จะไม่มีความเสียหาย แต่แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีสามารถควบคุมระบบจริงได้ โดยมีวิดีโอเผยแพร่บน Telegram ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่ม Z-Pentest Alliance ที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัสเซีย เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในโปแลนด์ เมื่อรองนายกรัฐมนตรี Krzysztof Gawkowski เปิดเผยว่ามีความพยายามโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ถูกสกัดไว้ได้ทันเวลา เขาเปรียบเทียบว่า “รัสเซียอาจไม่ส่งรถถัง แต่ส่งมัลแวร์แทน” ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การโจมตีลักษณะนี้เป็น “การหยั่งเชิง” ที่อาจนำไปสู่การโจมตีขนาดใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะระบบน้ำที่มักขาดงบประมาณและบุคลากรด้านไซเบอร์ แม้ผู้โจมตีจะดูเหมือนมือสมัครเล่น แต่การควบคุมระบบจริงได้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก และการใช้ช่องโหว่ เช่น รหัสผ่านอ่อนแอ หรือ HMI ที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นจุดอ่อนที่พบได้ทั่วไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เกิดเหตุโจมตีไซเบอร์ที่เขื่อน Bremanger ในนอร์เวย์ โดยเปิดวาล์วปล่อยน้ำ 4 ชั่วโมง ➡️ โปแลนด์สกัดการโจมตีระบบน้ำของเมืองใหญ่ได้ทันเวลา ➡️ กลุ่ม Z-Pentest Alliance ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีในนอร์เวย์ ➡️ วิดีโอการโจมตีถูกเผยแพร่บน Telegram พร้อมเพลงรัสเซีย ➡️ ผู้โจมตีใช้ HMI ที่เปิดผ่านอินเทอร์เน็ตและรหัสผ่านอ่อนแอ ➡️ ไม่มีความเสียหายทางกายภาพ แต่มีการควบคุมระบบจริง ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเป็นการ “หยั่งเชิง” ก่อนการโจมตีใหญ่ ➡️ ระบบน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญแต่ขาดการป้องกัน ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปควรใช้เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือน ➡️ โครงการ Cyber Peace Initiative และ DEF CON Franklin เสนอความช่วยเหลือฟรีแก่ระบบน้ำ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โปแลนด์เผชิญการโจมตีไซเบอร์จากรัสเซียวันละ 300 ครั้ง ➡️ ในปี 2024 รัสเซียเคยโจมตีระบบน้ำในเท็กซัสจนถังน้ำล้น ➡️ ระบบน้ำในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจสอบไซเบอร์เต็มรูปแบบ ➡️ การโจมตีระบบ OT (Operational Technology) มักใช้กลุ่มแฮกเกอร์มือสมัครเล่นเป็นตัวแทน ➡️ การโจมตีระบบน้ำสามารถสร้างความหวาดกลัวและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ➡️ การควบคุมวาล์วแบบเรียลไทม์แสดงถึงความเสี่ยงเชิงปฏิบัติการที่ร้ายแรง https://www.csoonline.com/article/4042449/russia-linked-european-attacks-renew-concerns-over-water-cybersecurity.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Russia-linked European attacks renew concerns over water cybersecurity
    Suspected sabotage in Norway and a foiled cyberattack in Poland highlight the growing risk to under-protected water utilities, experts warn.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาวไทยในนอร์เวย์ เปิดคลิปเขมรป่วน ยืนประท้วงอย่างไร้ค่าในญี่ปุ่น (7/8/68)
    Thai woman in Norway exposes Khmer chaos—shows their meaningless protest in Japan.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #Hunsenfiredfirst
    #ไทยในนอร์เวย์
    #เขมรป่วน
    #ประท้วงญี่ปุ่น
    #ข่าวต่างประเทศ
    #ข่าววันนี้
    #shorts
    #news1
    #thaitimes
    #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    สาวไทยในนอร์เวย์ เปิดคลิปเขมรป่วน ยืนประท้วงอย่างไร้ค่าในญี่ปุ่น (7/8/68) Thai woman in Norway exposes Khmer chaos—shows their meaningless protest in Japan. #TruthFromThailand #scambodia #Hunsenfiredfirst #ไทยในนอร์เวย์ #เขมรป่วน #ประท้วงญี่ปุ่น #ข่าวต่างประเทศ #ข่าววันนี้ #shorts #news1 #thaitimes #ไทยรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 631 มุมมอง 0 0 รีวิว
Pages Boosts