• Kyocera พัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารใต้น้ำด้วยเลเซอร์

    บริษัท Kyocera จากญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยี Underwater Optical Communications (UWOC) ที่ใช้เลเซอร์ในการส่งข้อมูลใต้น้ำ ความเร็วสูงสุดถึง 5.2 Gbps ซึ่งเร็วกว่าระบบสื่อสารใต้น้ำแบบเสียงที่ทำได้เพียงไม่กี่ Mbps เท่านั้น จุดเด่นคือสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์จากโดรนใต้น้ำ เช่น ภาพถ่ายความละเอียดสูง วิดีโอสด และข้อมูลจากเซ็นเซอร์

    เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างใต้น้ำ เช่น ท่อส่งน้ำมัน สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือแม้แต่การติดตามสัตว์ทะเลที่ติดแท็กไว้ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร เช่น การสื่อสารกับโดรนใต้น้ำจากเรือดำน้ำหรือเรือรบ

    อย่างไรก็ตาม UWOC มีข้อจำกัดคือระยะทางสั้น (ประมาณ 100 เมตร) และต้องใช้การมองเห็นตรง ๆ ระหว่างตัวส่งและตัวรับ หากมีสิ่งกีดขวาง เช่น ปลา หรือความขุ่นของน้ำ ก็อาจทำให้สัญญาณขาดหายได้ แต่ข้อดีคือยากต่อการดักฟังเมื่อเทียบกับสัญญาณเสียงที่กระจายไปทุกทิศทาง

    Kyocera พัฒนา UWOC ด้วยเลเซอร์ความเร็ว 5.2 Gbps
    เหมาะสำหรับโดรนใต้น้ำและการตรวจสอบโครงสร้าง

    มีศักยภาพใช้ในงานทหารและติดตามสัตว์ทะเล
    สามารถสื่อสารกับหลายเซ็นเซอร์พร้อมกัน

    ระยะทางจำกัดและต้องใช้ line-of-sight
    สิ่งกีดขวางหรือความขุ่นของน้ำอาจทำให้สัญญาณขาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/kyocera-develops-wireless-underwater-optical-communications-technology-uses-lasers-to-achieve-5-2-gbps-at-short-distances
    🌊 Kyocera พัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารใต้น้ำด้วยเลเซอร์ บริษัท Kyocera จากญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยี Underwater Optical Communications (UWOC) ที่ใช้เลเซอร์ในการส่งข้อมูลใต้น้ำ ความเร็วสูงสุดถึง 5.2 Gbps ซึ่งเร็วกว่าระบบสื่อสารใต้น้ำแบบเสียงที่ทำได้เพียงไม่กี่ Mbps เท่านั้น จุดเด่นคือสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์จากโดรนใต้น้ำ เช่น ภาพถ่ายความละเอียดสูง วิดีโอสด และข้อมูลจากเซ็นเซอร์ เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างใต้น้ำ เช่น ท่อส่งน้ำมัน สายเคเบิลใยแก้วนำแสง หรือแม้แต่การติดตามสัตว์ทะเลที่ติดแท็กไว้ นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการใช้งานทางทหาร เช่น การสื่อสารกับโดรนใต้น้ำจากเรือดำน้ำหรือเรือรบ อย่างไรก็ตาม UWOC มีข้อจำกัดคือระยะทางสั้น (ประมาณ 100 เมตร) และต้องใช้การมองเห็นตรง ๆ ระหว่างตัวส่งและตัวรับ หากมีสิ่งกีดขวาง เช่น ปลา หรือความขุ่นของน้ำ ก็อาจทำให้สัญญาณขาดหายได้ แต่ข้อดีคือยากต่อการดักฟังเมื่อเทียบกับสัญญาณเสียงที่กระจายไปทุกทิศทาง ✅ Kyocera พัฒนา UWOC ด้วยเลเซอร์ความเร็ว 5.2 Gbps ➡️ เหมาะสำหรับโดรนใต้น้ำและการตรวจสอบโครงสร้าง ✅ มีศักยภาพใช้ในงานทหารและติดตามสัตว์ทะเล ➡️ สามารถสื่อสารกับหลายเซ็นเซอร์พร้อมกัน ‼️ ระยะทางจำกัดและต้องใช้ line-of-sight ⛔ สิ่งกีดขวางหรือความขุ่นของน้ำอาจทำให้สัญญาณขาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/kyocera-develops-wireless-underwater-optical-communications-technology-uses-lasers-to-achieve-5-2-gbps-at-short-distances
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทแถม
    “ฤทธิ์ยิว”

    (7)

    ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ

    บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น

    หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์
    หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก

    ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน

    Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว

    ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร

    เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก
    ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที

    Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที

    Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด

    ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม

    เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย

    ####################
    ” ฤทธิ์ยิว”

    (8 จบ)
    เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ

    สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ

    เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา

    เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก

    เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร
    เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน

    เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย

    หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น

    ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน

    ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา

    อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด
    ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ

    อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย
    มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น

    และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย

    ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ

    ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 มิ.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ บทแถม ตอน ฤทธิ์ยิว 7 – 8 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทแถม “ฤทธิ์ยิว” (7) ปี คศ 1917 เป็นปีแรก ของการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Woodlow Wilson ตอนนั้นยุโรปทำสงครามกันไป 3 ปีแล้ว และทำท่าว่าจะค้างเติ่ง ไม่เห็นทางแพ้ทางชนะของฝ่ายใดชัดเจน เยอรมันยังเดินหน้าใช้เรือดำน้ำยิงกองเรือของอังกฤษ แต่แล้วอเมริกา เป็นกลางต่อไปไม่ไหว ประกาศร่วมสงครามโลก เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการปฏิวัติในรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก เพื่อโค่นล้มซาร์ ครั้งที่สองเพื่อเอาพวกบอลเชวิก นักปฏิวัติชาวยิว เข้ามาอยู่ในอำนาจ บทบาทของชาวยิวในการปฏิวัติรัสเซีย เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจ และส่วนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ ขบวนการของบอลเชวิกนั้น มีชาวยิวเป็นหัวหน้า จำนวนมากถึง 3 ใน 4 ขณะที่ เมื่อปี คศ 1907 ในการประชุมพรรคสังคมนิยม มีชาวยิวเป็นสมาชิก ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่านั้น น่าจะแสดงให้เห็นว่า ทฤษฏี internal/external นั้นพวกยิวเอาจริง โดยฉเพาะในการโค่นล้มซาร์ มีบันทึกของของพวกไซออนนิสต์ เขียนไว้ว่า เรากำลังก่อตั้งและผูกสัมพันธ์ ระหว่างชาวยิวในอเมริกา กับ ยิวในยุโรปตะวันออก เพื่อจะได้ร่วมประสานกันในการโค่นล้มซาร์ของรัสเซีย และเสริมสร้างให้การปกครองตนเองของชาวยิวเข้มแข็งขี้น หลอด Winston Churchill ของอังกฤษ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า... อิทธิพลของพวกยิวในรัสเซียมีมากจริงๆ และมีบทบาทสูงในการปฏิวัติ...และ ในปี คศ 1920 Churchill ยังเขียนบทความอธิบายถึงความต่างระหว่าง ไซออนนิสต์ที่ดี กับบอลเชวิกที่เลวร้าย เขาบอกว่า ไซออนนิสต์ต้องการแค่จะมีประเทศของตนเอง ขณะที่พวกบอลเชวิก เป็นพวกยิวที่ไม่มีสัญชาติ ต้องการแต่จะก่อเรื่องวุ่นวาย และหวังไปถึงจะครองโลก Churchill บอกว่า มันเป็นการสมคบคิดของพวกคนบาป.. อืม… สมเป็นความเห็นของท่านหลอด แห่งเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่ตวัดลิ้น และปากกาไปมาได้ตามประโยชน์ หลอด Winston ลุ้นให้พวกไซออนนิสต์มานานไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะเดียวกัน พวกยิวก็สนับสนุนท่านหลอดด้านการเมือง จนมีข่าวลือว่า ท่านหลอดก็มีชื่ออยู่ในบัญชีรายจ่ายของพวกไซออนนิสต์กระเป๋าหนัก ปฏิวัติรัสเซียเป็นเรื่องมีความสำคัญ แต่เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติ Balfour Declarationในวันที่ 2 ธันวาคม อาจมีความสำคัญไม่แพ้กันและเกี่ยวโยงกัน Balfour Declaration เป็นจดหมายจาก Arthur James Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่เขียนไปถึง Baron Rothschild (แปลกดีไหมครับ) สัญญาว่าจะยกดินแดนเนื้อที่เล็กกระจ้อยคือ ปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ไช่เป็นของอังกฤษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน ให้เป็นดินแดนเพื่อชาวยิวไปตั้งบ้านตั้งเมือง ต้องยอมรับว่า ชาวเกาะแน่จริงๆ ทำสัญญายกที่ของคนอื่นให้ คนอื่นอีกคนนี่ มันต้องคารวะในความกลมกลิ้งของคนทำสัญญา แล้วคนรับสัญญาจะเอาที่ของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของล่ะ ตกหลุม หรือลุ่มลึก ในตอนนั้น อังกฤษหลอกให้คนทั่วไปเข้าใจว่า อังกฤษต้องการปาเลสไตน์เอง เพราะอยู่ใกล้กับคลองซุเอซ ที่อังกฤษต้องการคุม แต่จริงๆแล้ว อังกฤษต้องการฉกปาเลสไตน์มาจากออตโตมาน เพื่อเอามาให้พวกยิว ระหว่างอังกฤษกับยิว ใครกำลังต้มใคร เริ่มตั้งแต่ต้นปี คศ 1916 อังกฤษ รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ยิวเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะในความเห็นของหลอด Churchill ซึ่งบอกว่า ถ้าเราเอาพวกยิวมาอยู่ในมือได้ โอกาสชนะสงครามของอังกฤษก็มีสูงขึ้น อังกฤษพยายามหา “อะไร” ที่จะมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพวกยิว เพื่อให้พวกยิวสนับสนุนอังกฤษอย่างเต็มที่ ยิวมีอยู่ในทุกประเทศโดยฉเพาะเยอรมัน และยุโรปตะวันออก ปลายปี คศ 1916 James Malcolm ที่ปรึกษาของรัฐบาลอังกฤษ แนะนำว่า อังกฤษน่าจะเอาเรื่องปาเลสไตน์ไปต่อรองกับยิว สัญญาว่าจะยกปาเลสไตน์ให้พวกไซออนนิสต์ไงล่ะ แล้วพวกยิวก็จะไปใช้อิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกาทำประโยชน์ให้อังกฤษเอง อังกฤษไม่เล่นตัวนาน เมื่อ David Lloyd George ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ในเดือนธันวาคม 1916 เขาสั่งการทันที Lloyd George เป็นขวัญใจพวกไซออนนิสต์อยู่แล้ว คงไม่ลืมกันว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เขาอ่อนอยู่ในมือใคร เขาสั่งให้ลูกน้องซ้ายขวา Sir Mark Sykes และหลอด Arthur Balfour ไปคุยกับพวกยิวทันที Sykes หลบไปจับเข่า Weizmann และไซออนนิสต์อีกหลายคน พวกยิวบอก ไม่มีปัญหา ถ้าเราทำให้ตามสัญญาแล้ว อย่าเบี้ยวเราก็แล้วกัน ขณะเดียวกัน พวกยิวก็ปล่อยข่าว ว่า เยอรมันก็คุยทำนองเดียวกันกับพวกเขาอย่างนี้แหละ ดูเหมือนพวกยิวพยายามจะไล่ราคาหุ้นให้ถึงเพดาน เมื่อข่าวไล่ราคาหุ้นลือกระฉ่อนในลอนดอน รัฐบาลอังกฤษถึงกับนั่งไม่ติด ในที่สุด ร่างแรก ของ Balfour Declaration ของอังกฤษก็ออกมาในเดือนกรกฎาคม 1917 แต่เป็นฝีมือร่างของ Brandeis ชาวยิวที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูง คนแรกของอเมริกา ฝีมือมั่วขั้นสูงจริงๆ และร่างที่ 2 ก็ออกมากลางเดือนตุลาคม รัฐบาลอังกฤษพร้อมที่จะแถลงอย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม เวลาการปฏิวัติรัสเซียของบอลเชวิก การประการคำสัญญาของอังกฤษเกี่ยวกับปาเลสไตน์ การประกาศเข้าสงครามโลกของอเมริกา ดูแบบประชาชนคนซื่อ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวพันกันเลย #################### ” ฤทธิ์ยิว” (8 จบ) เมื่อพูดถึงการทำสงคราม สำหรับคนส่วนใหญ่ มันหมายถึงการสู้รบ การทำลาย การบาดเจ็บล้มตาย แต่สำหรับคนบางพวก สงครามไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น สำหรับพวกเขา สงครามหมายถึง โอกาสทอง สำหรับสร้างกำไรมหาศาล และเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนมือ หรือทิศทางของฐานอำนาจในโลก และสำหรับผู้ที่ไปอยู่ถูกตำแหน่ง ถูกที่ สงครามอาจสร้างทั้งความร่ำรวย และอำนาจให้กับผู้นั้น อย่างเหลือเชื่อ และเหลือประมาณ สงครามโลกครั้งที่ 1 นับเป็นโอกาสทอง ที่สร้างผลกำไรให้แก่ชาวยิว ในหลายๆเรื่องอย่างเหลือเชื่อ เรื่องแรก : ตำแหน่งใหญ่ๆรอบตัว Taft และ Wilson ดูเหมือนจะถูกครอบ และครองโดยชาวยิว โดยฉเพาะ เรื่องการอนุญาตให้ชาวยิวอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา ซึ่งมีชาวยิวเป็นผู้ดูแลในตำแหน่งใหญ่สุด และทำให้จำนวนชาวยิวที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็น 4 ล้านกว่าคน นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา เรื่องที่สอง : Balfour Declaration ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะเอาปาเลสไตน์มาให้ยิว แม้จะยังมาไม่ถึง แต่เป็นถึงเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ตกปากตกคำเป็นหนังสือให้เขา ถ้าทำไม่ได้ ยิวก็คงเอาไว้บีบให้หาอย่างอื่นมาทดแทน เอาไว้ใช้ทวงไปได้อีกนานแสนนาน ถึงหากจะไม่ได้อะไรมาทดแทน เอาไว้ด่าลำเลิก ก็พอแก้เหงาปาก เรื่องที่สาม : โลกนี้เปลี่ยนไปแยะสำหรับยิว รัสเซีย ที่มีชาวยิวอยู่มากมาย และปกครองโดยซาร์ ที่เกลียดยิว และยิวก็เกลียดซาร์ เปลี่ยนเป็นปกครองโดยพวกยิวบอลเชวิก ที่พวกยิวไปจัดการเอามานั่งแท่น มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งของพวกยิวเลยล่ะ ส่วนเยอรมัน ซึ่งปกครองโดย Kaiser Wilhelm ที่ 2 ที่ไม่ชอบยิวเช่นกัน เปลี่ยนเป็นรัฐบาล Weimar นี่ก็รางวัลใหญ่ไม่น้อย นอกจากนี้ ยิวยังได้ถือเชือก ชักใยรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษ และอำนาจใหม่อย่างอเมริกา ที่หวังจะครองโลก ไม่เรียกว่าสงครามโลก สร้างโอกาสทองให้ยิว แล้วจะเรียกว่าอะไร เรื่องสุดท้าย : หันไปทางไหนก็มีแต่เงินหล่นใส่ การได้คุม War Industry Board ในรัฐบาล Wilson ของ Bernard Baruch ซึ่งเป็นการควบคุมจ่ายเงินของกองทัพยามสงคราม คงไม่ต้องอธิบายมากว่า เงินงอกในกระเป๋าพวกยิวอย่างไร และขนาดไหน เล่าเลยไปถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สักนิด จะได้เห็นฤทธิ์ยิวชัดขึ้นอีกหน่อย หลังจากสงครามโลกจบลง บรรดาผู้ชนะสงครามก็จัดประชุมที่ปารีส ในเดือนมกราคม คศ 1919 เพื่อแบ่งสมบัติ ที่ได้มาจากการต้ม และการปล้น ทีมยิวของ Wilson คิดว่าพวกตัวน่าจะเป็นผู้กำกับการประชุม เพราะถ้าไม่มีอเมริกามาเข้าฉากรบ อังกฤษ ก็อาจต้องไปนั่งรอ อยู่ที่นอกประตูตึกประชุมด้วยซ้ำ แล้วใครล่ะที่เอาอเมริกาใส่ถาดมาให้อังกฤษ ไม่ใช่ยิวหรือไง ยิวคนไหน นู่น ยิว Brandies ไง ที่ไปจูง Wilson ออกมาจากการนั่งเขียนจดหมายถึงเมียใครอยู่อย่างเหงาๆ ในทำเนียบขาว ให้มายืนหน้าเครียด บัญชาการรบแทน ไม่ใช่แค่ทีมยิวของ Wilson เท่านั้น ที่นั่งหน้าสลอน อยู่แถวหน้าของการประชุมที่ปารีส ดูเหมือนทุกประเทศที่ชนะสงคราม จะมีตัวแทนชาวยิวมานั่งกำกับในที่ประชุมด้วย มีทั้งยิวจากโปแลนด์ ยิวจากฮอลแลนด์ ยิวจากเบลเยี่ยม และมากที่สุด คือ ยิวจากอเมริกา อังกฤษชักหงุดหงิด เราต่างหาก เป็นคนเสียสละเริ่มทำสงคราม เป็นคนวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งบี้เยอรมัน ทั้งต้มรัสเซีย ทั้งหลอกฝรั่งเศส มาถึงวันนี้ วันที่ทุกฝ่าย(ที่ชนะ) ได้อย่างที่ต้องการกันหมด ก็เพราะเรา เอะ แต่อังกฤษจ่ายค่าแบกถาดใส่อเมริกา ให้พวกยิวหรือยังครับท่าน งั้นตกลงเป็นเพียงกระดาษ แผ่นเดียวที่อังกฤษลงทุนใช้ต้มยิว ให้ไปแบกอเมริกามาซินะ อเมริกา อมยิ้มในหน้า เออ ดูมันกัดกัน แย่งกัน ว่า ใครที่สร้างสงครามสำเร็จ และใครไปอุ้ม ไปแบกอเมริกามาเข้าสงคราม สำหรับหลายคนในอเมริกา ใครสร้างสงครามอย่างไร ไม่สำคัญ และใครที่คิดว่าอุ้มอเมริกามาได้ ถ้าอเมริกาไม่พร้อมใจ หรือวางแผนให้ถูกอุ้ม จะอุ้มอเมริกามาได้แน่หรือ อเมริกาทำตัวเหมือนไอ้โง่ถูกหลอก แต่จริงๆแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อเมริกาได้โอกาสทองมากกว่าใครๆ มากขนาดเดินเบียดอังกฤษ ตกจากเส้นทางสู่การเป็น หมายเลขหนึ่งของโลกไปเรียบร้อย มันเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ทุกฝ่ายต่างคิดว่า ตนเองได้กำไร และหลอกใช้ฝ่ายอื่นสำเร็จทั้งสิ้น และถ้าสังเกตกันอีกนิด จะเห็นว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ นอกจากจะมีอาณาจักร หรือจักรวรรดิ์เก่าแก่ล่มสล่าย ไป 3 รายแล้ว ทุกประเทศมีค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะต้นทุน ที่เป็นชีวิต ของพลเมืองและทหารนับล้าน บ้านเมืองที่พังทลายเหลือแต่ซาก ผู้ชนะอย่างอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าคุ้มทุนที่ลงไป อเมริกาแน่นอนกำไรมหาศาล แต่ก็ต้องลงทุนไม่น้อย โดยเฉพาะชีวิตทหารอเมริกันที่ไปรบ ดูเหมือนจะมีแต่ชาวยิวเท่านั้น ที่ไม่มีต้นทุนที่ต้องเสีย ด้านชีวิตพลเมือง ทหาร และบ้านเมืองเลย ยิวแค่ลงทุนด้วยปาก กับใช้เล่ห์เหลี่ยม และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ายิวมีอำนาจ ที่สร้างจากสื่อกระป๋องสียี่ห้อยิวเท่านั้นเอง แต่ยิวก็ทำสำเร็จ แต่การวิธีลงทุนแบบนี้ของยิว มีเส้นทางต่อมาอย่างไร มีผลในสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบไหน และจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ น่าติดตามนะครับ ไม่มีใครหนีกรรมของตนเองพ้นอย่างแน่นอน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 2

    หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ

    กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ

    ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม”
    (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”)

    “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก

    เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม

    แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้
    ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน…

    ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย

    ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ

    อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น

    กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น
    แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ

    เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ

    ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว!

    MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์

    ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 2 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 2 หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จเมื่อปลายเดือนเมษายน คุณพี่อาเบะ ก็รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น แกต้องมาจัดการเแก้ไข เรื่องภายในของญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง เพื่อให้บทบาทของหัวหมู่ทะลวงฟัน ดำเนินการได้ครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ใน Grand Strategy อย่างเรียบร้อยโดยไม่มีอุปสรรค รัฐบาลของคุณพี่อาเบะ ต้องเสนอร่างกฏหมาย 2 ฉบับเข้าสภา มันเป็นกฏหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศทั้ง 2 ฉบับ กฏหมายฉบับหนึ่ง จะเป็นการแก้ไข กฏหมายอีก 10 ฉบับ ที่เกี่ยวโยงกัน เพื่อยกเลิกข้อจำกัด เกี่ยวกับการปกป้องตนเองของญี่ปุ่น Self Defence Forces (SDF) และ สิทธิที่จะใช้กองกำลังของประเทศ ช่วยเหลือประเทศ “อื่น” ที่ถูกโจมตี “ใน” อาณาเขตของญี่ปุ่น ส่วนกฏหมายอีกฉบับ เป็นการสร้างอำนาจให้กับรัฐบาล ที่จะเอากองกำลังของประเทศ ไปใช้ต่อสู้ “นอก” อาณาเขตของญี่ปุ่นได้ มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นก็ทำตามใบสั่งโดยไม่เกี่ยง ไม่งอน น่ารักซะไม่มีล่ะ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพของญี่ปุ่นทั้งหมด ถูกให้ยกเลิก และอเมริกา โดยนายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรภาคพื้นแปซิฟิก ก็จัดการให้ญี่ปุ่น จัดทำรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1947 และมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้อย่างสวยหรู ตามถ้อยคำ ที่กำกับโดยท่านนายพล อ่านกันให้ซึ้งนะครับ ” ด้วยความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะให้เกิดสันติภาพที่มีแบบแผนขึ้นในสากล เราประชาชนชาวญี่ปุ่น จึงขอปฏิเสธตลอดกาล ต่อการใช้อำนาจโดยชาติใดและการข่มขู่ใด หรือการใช้กำลังใด เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ดังกล่าวข้างต้น เราจะไม่ดำรงกองกำลัง ไม่ว่า ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ รวมทั้งไม่สร้างสงครามใด และจะไม่ถือสิทธิใดของรัฐ ที่จะก่อสงคราม” (“Aspiring sincerely to an international peace based on order, the Japanese people forever renounce war as a sovereign right of the nation and the threat or use of force as means of settling international disputes. In order to accomplish the aim of the preceding paragraph, land, sea and airforces, as well as other war potential, will never be maintained. The right of belligerency of the state will not be recognized.”) “ตลอดกาล” หรือ forever ของญี่ปุ่น ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก เมื่อเกิดสงครามเย็น และสงครามเกาหลี ญี่ปุ่นก็ชักหน้าจ๋อย ขอผมมีกองกำลังไว้ป้องกันประเทศสักหน่อย ได้ไหมครับท่านนายพล การแสดงความปรารถนา อย่างตลอดกาลของญี่ปุ่น ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการออกกฏหมายใน ปี ค.ศ.1954 ให้ญี่ปุ่นสามารถมีกองกำลังเพียงพอ ที่จะดูแลปกป้องตัวเองได้ Self Defence Forces (SDF) หลังจากนั้น ญี่ปุ่นพยายามแก้รัฐธรรมนูญ มาตรานี้มาหลายครั้ง เพื่อขยายกองกำลังขึ้นอีก แต่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำสำเร็จ เพราะประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน ชาวญี่ปุ่นยังเข็ดขยาดกับสงคราม แต่ครั้งนี้ นายอาเบะไม่รู้ไปกินอะไรมา กำลังภายในสูงส่งมาก กฏหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่จะนำทางไปสู่การแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นด้วยนั้น สภาผู้แทนของญี่ปุ่น ว่าง่ายผ่านร่างกฏหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนี้เอง กฏหมายนี้ยังจะต้องส่งเข้าสภาสูงเพื่อพิจารณาด้วย โดยมีกำหนดการพิจารณาในฤดูร้อนของญี่ปุ่น (ประมาณเดือนกรกฏาคม) ข่าวว่า เดิมสภาสูงของญี่ปุ่น จะปิดสมัยประชุม สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ แต่เนื่องจากจะต้องผ่านกฏหมายสำคัญนี้ จึงจะมีการยืดสมัยประชุมออกไป เพื่อรอพิจารณากฏหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น เพื่อให้กองทัพของญี่ปุ่นร่อนไปทำทั่วโลกได้ ทั้งหมดนี้ ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณพี่อาเบะ ทุกอย่างเดินหน้าตามใบสั่ง สภาจะปิด ก็เปิดได้ แหม… ทำไมมันว่าง่ายกันยังนี้หนอ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักจำมั่งหรือไร เขาทิ้งบอมบ์จนประชาชนคนชาติเดียวกันตายหมู่ที่ละเป็นแสนๆ นี่เขาหลอกเอาขึ้นแท่นเป็นหัวหมู่ ให้ไปตายแทน ไม่ใช่แต่ในเอเซีย ในตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องไปล้างปั้ม ชิงปั้ม ให้เขา ก็ยังรีบร้อนเดินหน้าทำให้เขาอีก เออ ผมละงงจริงๆ บุญหนักหนา ที่มันตัดขาดเรา ไม่ต้องเป็นขี้ข้า หัวซุกหัวซุนวิ่งรับใช้มัน ทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ รวมทั้งไปตายแทนมัน… ผมเป็นอเมริกา ผมต้องตกรางวัลนายอาเบะเต็มอัตราเลย เพราะก่อนหน้าจะเอาร่างกฏหมายทั้งหลายนี่เข้าสภา นายอาเบะ ลงทุนเชิญนายทหารระดับสูงจากอเมริกา และยุโรปมาชมแสนยานุภาพของญี่ปุ่น อาวุธสุดทันสมัย ที่กองทัพเรือญี่ปุ่น “เตรียมพร้อม” ที่จะซื้อ ทันทีที่รัฐสภาญี่ปุ่นอนุมัติ ทำงานล่วงหน้าแบบนี่ ไม่ให้โบนัส ก็ใจจืดไปหน่อย ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านี้ นายอาเบะ ได้ขอให้สภาอนุมัติเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ เพื่อตั้งฐานทัพติดตั้งเรดาร์ที่เกาะ Yonaguni ซึ่งเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจีน และตั้งหน่วยสะเทื้อนน้ำสะเทื้อนบก ตามรูปแบบของอังกฤษ ตามยุทธศาสตร์เอาติดแดนที่ถูกศัตรูยึดไปกลับคืน นี่กะดูถึงขนจมูกอาเฮียเลยซินะ อังกฤษ และญี่ปุ่น มีสภาพเป็นเกาะเหมือนกัน ท่านนายพล Richard Spencer อดีตผู้บัญชาการ กองทัพเรือของสหภาพยุโรป แต่ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ Self Defense Force (SDF) ของญี่ปุ่น ยุทธศาสตร์ที่เราแนะนำ เหมาะสมแล้ว …อ้อ นี่ เขาจัดส่งเป็นแพ๊กเกจเลยนะ เพื่อปั้นกองทัพเดนตายให้ญี่ปุ่น กองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ยิงกระสุนอีกเลย แม้แต่นัดเดียว นับตั้งแต่ถูกอเมริกายึดครองในปี ค.ศ.1945 บริษัทผลิตอาวุธของญี่ปุ่นเอง หลายบริษัท ผันตัวเองไปผลิตสินค้า เพื่อความสดวกสบายของชีวิต แทนการผลิตอาวุธ และการผลิตอาวุธเพื่อส่งออกของญี่ปุ่น ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และเปลี่ยนเป็นการผลิต รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำน้ำ เฉพาะตามโครงการ SDF เท่านั้น แต่ในปีที่แล้ว นายอาเบะ ก็ปรับนโยบายด้านความมั่นคงของญี่ปุ่นใหม่ ด้วยการเริ่มติดต่อกับผู้ผลิตอาวุธต่างประเทศ รวมทั้ง เครื่องบินรบ และเรือรบ เขาบอกว่า ยุทธศาสตร์การสร้างสันติภาพของญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้ร่วมกับการป้องกันด้วยอาวุธทางทหาร… ยุทธศาสตร์เดียวกับลูกพี่เป๊ะเลย รักษาสันติภาพในตะวันออกกลาง เสียจนทะลายราบเกือบหมดประเทศ เมื่อต้นปี ญี่ปุ่นเปิดตัวเรือรบลำใหม่ ชื่อ Izumo เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มีรันเวย์ยาวถึง 250 เมตร บรรทุกเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เต็มอัตรา Izumo ยังมีพี่เลี้ยงประกบข้างอีก 2 ลำ เป็นเรือรบชนิดบรรทุกเครื่องบิน รายงานข่าวอ้างว่า ขณะนี้ กองทัพเรือของญี่ปุ่น ใหญ่กว่ากองทัพเรือของฝรั่งเศสบวกกับอังกฤษเสียด้วยซ้ำ …น่าสนใจ ไม่รู้ข่าวนี้ใส่สีเข้มหรือเปล่า ต้องกรองหน่อยนะครับ ถนนทุกสายกำลังมุ่งไปสู่โตเกียว! MAST บริษัทนายหน้าค้าอาวุธใหญ่ของอังกฤษ ตีปีกฉีกยิ้ม กับนโยบายใหม่ของนาย อาเบะ หรือ ของ ไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ MAST รับหน้าที่ จัดรายการเชิญพ่อค้าขายอาวุธ มาแลกเปลียนความคิด ว่าจะ (ต้ม) ขายอาวุธให้ญี่ปุ่นอย่างไรดี ส่วนใหญ่ เห็นพ้องกันว่า ญี่ปุ่นเรื้อเวทีมานาน 70 ปี เราต้องใช้ นโยบายว่า อาวุธที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาตอนหลัง ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในการรบจริงเลยนะ ว่ามันจะใช้การได้ขนาดไหน นอกจากนี้พวกเขายังเล็งเหยื่อ ไปทั้งแถบ ตั้งแต่ เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ….อ้อ ไม่มีชื่อ ไทยแลนด์ ท่านที่ปรึกษาใหญ่ นายพล Spencer บอกว่า การเปลี่ยนนโยบายของญี่ปุ่นด้านความมั่นคงนี้ อย่ามองว่าเป็นแค่การเปิดประตู ให้พวกนักค้าอาวุธเข้ามานะ มันเป็นการเปิดประตูของญี่ปุ่น ที่พาตัวเองออกไปสู่บทบาท ด้านการทหารระดับโลกต่างหาก… เยี่ยมครับ สมเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เขาส่งคน(ต้ม) มาถูกงานจริงๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 5

    A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน

    เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง

    เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่
    ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน

    ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ”

    ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก

    เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง

    อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย !

    ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง
    อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้

    แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน

    สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้

    สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
    แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย

    #####
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร”

    ตอน 6 (จบ)
    (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)

    ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy

    แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy

    อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ

    ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน

    อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น

    อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ
    Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร

    และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ

    นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม

    สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2

    สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ

    อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร

    Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
    จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว

    ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ)

    ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ

    อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว

    ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร

    Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้
    และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก

    แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น

    อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้

    อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ
    ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ

    แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่
    หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน

    ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 5 A2/AD หรือ anti access/area-denial เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ในป้องกันประเทศจาก การรุกราน หรือรุกล้ำของศัตรู หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา โดยการกำหนดเขต หรือบริเวณหวงห้าม ที่ต้องได้รับอนุญาต และแสดงตนก่อนเข้าเขต มิฉะนั้น เจ้าของเขตหวงห้ามหรือบริเวณ สามารถระงับการผ่านเข้าเขตได้ ด้วยกำลังอาวุธ ที่มีทั้งแบบใช้เดี่ยว และใช้เป็นระบบหลายประเภทร่วมกัน เมื่อมีข่าวออกมาประมาณปี ค.ศ.2012 ว่า จีนคิดใช้ยุทธศาสตร์นี้ แทบไม่มีใครสนใจไม่มีใครให้ราคา โดยเฉพาะอเมริกา เพราะการจะใช้ระบบ A2/AD ให้ได้ผลจริงๆ ต้องมีระบบ(อาวุธ)ป้องกันการละเมิด การรุกราน ครบชุด ทั้งใต้ดิน บนดิน บนฟ้า และต้องมีระบบนี้จำนวนมากพอ ถึงจะป้องกันได้จริงจัง ซึ่งอเมริกาคิดว่า จีนไม่มีทางทำได้สำเร็จ ไม่ว่าด้านความสามารถในการคิดค้นระบบ ความสามารถทางทหาร และความสามารถในงบประมาณ เพราะอเมริกา ประกาศเสมอว่า งบประมาณด้านความมั่นคงของอเมริกานั้น ก้อนใหญ่กว่าจีนหลายเท่านัก ขนาดนั้นยังไม่แน่ว่า อเมริกาจะมีระบบนี้ใช้ได้ครบเครื่อง เมื่อตอนที่อเมริกาและนาโต้ ขนโขยงทั้งทหารจริงและทหารรับจ้าง ไปบดขยี้กัดดาฟี่ที่ลิเบีย ในปี ค.ศ. 2011 นั้น ยังไม่มีใครใช้ระบบ A2/AD อย่างน้อย แถวนั้นก็ยังไม่มีใครใช้ ทำให้การขนพลขยี้โดยเรือรบ และเรือดำน้ำ ผ่านเข้าไปในลิเบีย จากฝั่งทะเลด้านเหนือของอาฟริกา รอดพ้นจากการต้อนรับ ด้วยเครื่องบินรบหรือจรวด ซึ่งจะมีพร้อมในระบบป้องกันของ A2/AD แต่วันฤกษ์สะดวกของเพชรฆาตเช่นวันนั้น สำหรับอเมริกา อาจจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ อย่างนั้นอีกแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ง่าย ถ้าอเมริกาคิดจะยกพลไปขยี้จีน เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติการกับกัดดาฟี่ ประมาณ 15 ปีมาแล้ว เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีคลินตัน ขวัญใจเด็กฝึกงาน สั่งให้เรือรบ USS Independence กับเรือรบ USS Nimitz ขนกำลังทหาร ไปที่ช่องแคบไต้หวัน จ่อตรงหน้าประตูบ้านอาเฮีย เพื่อขู่ไม่ให้จีนมายุ่งกับไต้หวัน เรื่องแบบนี้คงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะนับแต่วันที่จีนถูกอเมริกามาหยามถึงหน้าประตูบ้านเช่นนั้น จีนก็คร่ำเคร่ง ปรับปรุงระบบ A2/AD ของตนให้สมบูรณ์ขึ้นทุกวัน ข่าวว่า ขณะนี้ระบบ A2/AD ของจีน เมื่อใช้ร่วมกับระบบดาวเทียม ความแม่นยำในการสกัด สิ่งเล็ก สิ่งใหญ่ ที่จะเล็ดลอดผ่านเข้ามาในเขตแดนของจีน ไม่ว่าจะเป็นธิเบต ซินเจียง ช่องแคบไต้หวัน และบริเวณทะเลจีน ฯลฯ จีนบอกว่า “น่าจะใช้การได้นะ” ใช้ได้จริงหรือเปล่า และเชื่อได้แค่ไหน ผมคงตอบไม่ได้ แต่คนที่ดูเหมือนจะตอบได้ น่าจะเป็นไอ้สุดกร่าง CFR นั่นแหละ ที่เป็นคนประทับตรารับรองให้จีน ไม่งั้นคงไม่ออก ใบประกาศ ให้ไว้ในรายงาน Grand Strategy นั้นหรอก เรากลับไปดู Grand Strategy ของสุดกร่างกันอีกที เพื่อจะตรวจสอบ “อาการ” จริงของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อย่างน้อยเกือบ 3 ปีมาแล้ว ที่มีข่าวในปี 2012 ว่าจีนใช้ระบบ A2/AD และนับตั้งแต่นั้น ยังไม่มีข่าวออกมาว่า อเมริกาจัดการถล่มระบบนี้ของจีนได้ ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่า รัสเซีย และ จีน ได้ทดสอบการสยบการเคลื่อนไหว เครื่องบินรบ และเรือรบของอเมริกา ในน่านน้ำ และน่านฟ้า เขตของจีนและบริเวณรัสเซียอยู่หลายครั้ง และทุกครั้ง ฝ่ายอเมริกาจะออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องการปล่อยโคมลอยเสมอ แต่คราวนี้ สุดกร่างรับรองให้จีนเอง ในรายงาน Grand Strategy เตรียมพร้อมทั้งตัวเอง และลูกหาบให้รับมือกับระบบ A2/AD ของอาเฮีย ! ตกลง Grand Strategy นี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ มัน Grand ตรงไหนนะ นอกจากหลอกด่าจีนและพวก จนหมดสีหมดไข่ไปแยะ อวดใหญ่คุยโว ว่ามีเด็กอยู่เต็มในกระเป๋า เดี๋ยวจะเอาของขวัญวันเด็ก แจกให้เด็กๆเอาไปเล่นกะอาเฮีย แต่ขณะเดียวกัน ก็บ่นว่ารัฐสภาต้องเพิ่มงบด้านความมั่นคงให้ อ้าว แล้วงี้จะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อของขวัญแจกเด็ก สงสัยเด็กๆ มีหวังได้ของขวัญ ประเภทเขาตัดค่าเสื่อมหมดแล้ว ถึงเอามาแจก มันดูเหมือนจะบรรยายความขัดกันเอง อเมริกาคิดอะไร จึงปล่อยให้ CFR ออกรายงานนี้ เนื้อความแบบนี้ มาในจังหวะช่วงเดือนกว่ามานี้ แถมในตอนสรุป สุดกร่างบอกว่า เชื่อว่าผู้อ่านรายงานนี้ คงมีปฏิกิริยาต่างๆกัน หลายคนคงบอกว่า รายงานนี้จะเป็นการยั่วยุจีน สุดกร่างบอก จีนคงมีปฏกิริยาแน่ แต่ถึงมี ก็ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนแปลงรายงาน หรือเปลี่ยนใจอะไร เพราะยังไงเราก็ต้องทำรายงานแบบนี้ และแนะนำให้ดำเนินการตามที่เราเสนออยู่ดี บางคนว่า เรามองจีนในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ไม่เลย เราแน่ใจว่า เรามองอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จากพฤติกรรมของจีนเอง นี่เรายังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ว่าถ้าจีนเกิดเลียนแบบ พฤติกรรมของสหภาพโซเวียต ซึ่งเราคาดว่า จีนอาจจะทำ เรายิ่งต้องมองไปถึงเรื่องการปิดล้อมจีนเสียด้วยซ้ำ (containment) อย่านึกว่า ถ้าเราคิดปิดล้อมจีน จะไม่มีชาติเอเซียไม่เอาด้วยนะ และบางคนถามว่า รายงานนี้จะทำให้เกิดผลที่มีความหมายอะไรไหม (meaningful result) สุดกร่างบอก อย่าไปคิดเล้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ตราบใดที่จีนคิดอยากเป็นขั้วอำนาจในเอเซียแทนที่อเมริกาอย่างนี้ มันจะมีผลมีดอกอะไรกัน สุดกร่างชักเบื่อ ถามทำไม คำถามพวกนี้ สิ่งที่สำคัญคือ จีนจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับ Grand Strategy ของเรา อย่างไรมากกว่า … ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เอ็งเลย ไอ้กร่าง ผมก็อยากรู้ สุดกร่าง ยังกร่างไม่หยุด ผมต้องยอมมัน มันขอแถมท้ายว่า เรื่องทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับท่านประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละครับ ท่านโอ ท่านดำเนินนโยบายแบบเมตตาต่อจีน มาตลอด เพราะท่านโอ รวมทั้งรัฐบาลก่อนๆ วิเคราะห์จีนผิดหมด ไปมองว่าจีนคิดแต่ค้าขาย ไม่ได้เฉลียวฉลาดมองว่า ที่แท้จีนกำลังวัดรอยเท้าท่านอย่างใกล้ชิด กะจะใส่รองเท้าเบอร์เดียว แบบเดียวกะท่านเลย แล้วทีมงานของท่านโอ ก็ดีแต่คิดนโยบายที่จะร่วมมือกับจีน แทนที่จะคิดนโยบายขวางกั้น มาถึงตอนนี้ ก็ต้องวัดขนาดของหัวใจของท่านโอแล้วละครับว่า อเมริกาคิดจะเล่นการเมืองระดับโลกกับจีนแบบไหน มีความกล้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน แม่จ้าวโว้ย ต้องยอมรับว่า สุดกร่างมันใหญ่จริง มันคือตัวจริงเสียงจริง ของไอ้นักล่าใบตองแห้งเลย ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ##### นิทานเรื่องจริง เรื่อง”แผนสอยมังกร” ตอน 6 (จบ) (โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน) ลองไล่เรียงดูไทม์ไลน์ รายงาน Grand Strategy เขียนเสร็จ เมื่อปลายเดือนมีนาคม กลางเดือนเมษายน ปล่อยเอกสารออกมาให้อ่าน เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน Wall Sreet Journal ลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า นาย Ash Carter รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ของนักล่าใบตองแห้ง แต่มาดออกไปทางเสมียน เตรียมเสนอให้กองทัพของอเมริกาใช้เรือรบ และเครื่องบินรบ ไปสำแดงแสนยานุภาพ ในแถบทะเลจีนที่มีข้อพิพาท เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ต้องมีเสรีภาพในการเดินเรือในแถบนั้น ข้อเสนอ ของพณท่านรัฐมนตรีมาดเสมียน เป็นไปตามข้อเสนอ 1 ใน 8 ข้อ ของ Grand Strategy แปลว่า อเมริกาน่าจะเห็นด้วย และเอาจริงกับแผนตาม Grand Strategy อเมริกาเอาจริงขนาดไหนล่ะ ตอนนี้ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากแล้วใช่ไหม ถ้าคิดแบบนั้นแปลว่าไม่รู้จักอเมริกาจริง ขนาดหัวใจของนายโอบามาใหญ่กว่าปากมาตั้งแต่ต้น อาจจะตั้งแต่วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก มันถึงเล่นบทได้เนียน อเมริกา “พร้อมรบ ” จีนและพวก แน่นอนครับ เพียงแต่จะรบอย่างไร และเมื่อไหร่เท่านั้น อเมริกาจะไม่มีวันยอมเสียตำแหน่งมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลกให้แก่จีนอย่างเด็ดขาด ความคิดของอเมริกาวันนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับความคิดของอังกฤษเมื่อ 100 ปีก่อน ที่อังกฤษกลัวเยอรมันโตแซงหน้า และขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแทน แม้ตอนนั้นอังกฤษจะกระเป๋าแห้ง ซึ่งก็ไม่ต่างกับอเมริกาตอนนี้ ที่เศรษฐกิจก็กำลังถลาลง ถูกคู่แข่ง ไล่ตี ไล่ต้อนดอลล่าร์สาระพัดรูปแบบ Grand Strategy ไม่ได้เขียนให้นายโอบามาอ่าน Grand Strategy เขียนให้จีน พวกจีน และชาวโลกอย่างเราๆอ่าน ให้รู้ว่า อเมริกาคิดอย่างไรกับจีน และคิดจะจัดการอย่างไรกับจีน อเมริการังเกียจ อิจฉา ดูถูกจีน เหมือนกับอังกฤษมองเยอรมันและรัสเซียเมื่อ 100 ปีก่อนยังไง (และตอนนี้ก็ยังมองอย่างนั้นอยู่ ) ก็เช่นเดียวกันกับที่อเมริกามองจีนตอนนี้ และอีก 100 ปีข้างหน้า อเมริกา ก็คงไม่เปลี่ยนการมองจีน อเมริกามองจีนว่า ไม่เท่าเทียมกับอเมริกาเสียด้วยซ้ำ แล้วจะยอมให้จีนเป็นมังกรลอยละล่องอยู่บนฟ้า เหนือกว่าอินทรีย์ได้อย่างไร และอย่าลืมว่า Grand Strategy เขียนโดยถังขยะความคิด CFR ซึ่งเป็นผลผลิต ของกลุ่มผู้สร้างละครลวงโลก ต้มข้ามศตวรรษ นายโอบามา ก็ไม่ต่างกับประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1917 ที่เล่นบทเป็นผู้รักสันติภาพ ไม่พาประเทศเข้าสู่สงคราม ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกา ก็พร้อมที่จะประกาศสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้าย อเมริกาเป็นพระเอก ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซีย ออตโตมานเป็นเหยื่ออันดับ 1 ยุโรปเป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษเป็นผู้นำ เยอรมันเป็นผู้ร้ายอันดับ 1 ญี่ปุ่น(พร้อมใจรับบท) เป็นผู้ร้ายอันดับ 2 อเมริกาเป็นพระเอกตลอดกาล ยิวเป็นตัวกระตุ้น รัสเซียเป็นเหยื่อตลอดกาลอันดับ 1 ยุโรป เป็นเหยื่ออันดับ 2 สงครามโลกครั้งที่ 3 !?! จะหน้าตาเป็นอย่างไร ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ร้าย ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นเหยื่อ อเมริกา “พร้อมรบ” กับจีน แต่อเมริกาจะรบกับจีนอย่างไร Major Christopher J McCarthy แห่งกองทัพอากาศ ได้เขียนบทความเรื่อง Anti-Acess/Area Denial : The Evolution of Modern Warfare ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า จีนวางยุทธศาสตร์ A2/AD ได้เข้าท่ามาก ด้วยการดักทางอเมริกา ตั้งแต่โอกินาวาถึงกวม จีนมีจรวดพิสัยใกล้ และกลาง สำหรับระงับการยกพลมาจากโอกินาวา และจากการศึกษาของฝ่ายอเมริกา ล่าสุดบอกว่า จรวดสกัดสำหรับระยะทางยาวถึงกวม ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับจีนเช่นกัน แต่สำหรับอเมริกา ซึ่งถนัดในการใช้ยุทธศาสตร์ Air Sea Battle เคลื่อนกำลังทางเรือและโจมตีทางเครื่องบิน ถ้าอเมริกา ไม่สามารถใช้ฐานทัพที่โอกินาวา การเคลื่อนพลจากกวม ซึ่งเป็นฐานใหญ่ที่สุดของอเมริกาในแปซิฟิก เพื่อมาต่อสู้กับจีน ก็น่าจะมีปัญหาเช่นกัน เนื่องจากกวมต้องได้รับกำลังสนับสนุนจากโอกินาวาด้วย แปลว่าระบบ A2/AD ในปัจจุบันของจีน น่าจะสามารถสะกัดการเคลื่อนพลของอเมริกามาสู่จีน ทางแปซิฟิกได้เรียบร้อยแล้ว ตัวช่วยที่อเมริกาเคยเลือกไว้ และแน่ใจว่าอยู่ในกระเป๋าอเมริกามาตลอดเวลา คือ ไทยแลนด์ นี่แหละ ที่อเมริกาจะใช้เป็นฐานส่งกำลังพล และกำลังบำรุง ที่อเมริกาจะเคลื่อนมาไม่ว่าจากด้านแปซิฟิก หรือจากด้านมหาสมุทรอินเดีย อเมริกาจึงต้องจับมืออินเดียไว้ให้แน่นเช่นกัน แต่วันนี้ สัมพันธ์ไทย-อเมริกาไม่เหมือนเดิม แผนอเมริกาที่จะใช้ไทย จะเหมือนเดิมหรือไม่ และถ้าใช้ไม่ได้อเมริกาจะ “จัดการ” กับไทยอย่างไร (ไทยจะอยู่ในสถานะลำบาก ยอมอเมริกา ก็เจอ A2/AD จากจีน ไม่ยอมอเมริกา ก็คงจะได้รับของขวัญบ่อยๆ) ถ้าเป็นเช่นนั้น อเมริกา จะ “พร้อมรบ” จีนได้อย่างไร ถ้าเคลื่อนพลมาจากแปซิฟิกไม่สำเร็จ อเมริกาก็คงใช้ยุทธศาสตร์ หรือน่าจะเรียกว่า อุบาย หรือนิสัยเดิมๆ คือ ไม่มีตอนไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ ได้ดีกว่า ตอนที่คู่ต่อสู่น่วม ใกล้เละแล้ว ขนาดจะเคลื่อนพลไปชิดจีน อเมริกายังทำยากเลย แล้วจะทำให้จีนน่วมได้อย่างไร Grand Strategy บอกใบ้ไว้แล้ว อเมริกาคงพยายามทำให้เอเซียวุ่นวาย และฉิบหายในที่สุด เพื่อสร้างความปั่นป่วนต่อจีนจากด้านนอก จีนใหญ่เกินไปและเข้าไปข้างในจีนยาก แต่ไม่ได้หมายความว่า สร้างความปั่นป่วนจากข้างนอกไม่ได้ และแน่นอน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม คงจะรับบทนักป่วนแถวทะเลจีน ส่วนเด็กๆ ที่เหลือ ก็ป่วนมันรอบเอเซีย จากของขวัญวันเด็ก ที่อเมริกาจะทุ่มให้ และจะต้องจับตา ออสเตรเลีย มาเลเซีย และทางทางภาคใต้ของเราเป็นพิเศษ ถ้าอเมริกาใช้เส้นทางแปซิฟิกไม่ได้ เส้นทางมหาสมุทรอินเดีย ก็เป็นทางเลือก และอเมริกาคงพยายามคุมช่องแคบมะละกา เพื่อใช้คุมเส้นทางเดินเรือของจีน และใช้เป็นเส้นทางของตนเอง แม้มาเลเซียจะไม่รักกับอเมริกานัก แต่มาเลเซียก็คงถูกนายท่านสั่งให้อยู่ในแถว และภาคใต้ของเราก็คงน่าเป็นห่วงตามไปด้วย ข่าวเรือรบของอเมริกาเคลื่อนตัวแถวแปซิฟิก ตั้งแต่เหนือลงใต้ ในทะเลจีน และทางมหาสมุทรอินเดีย จะเป็นข่าวที่เราจะได้ยินเกือบทุกวันจากนี้ไป และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่า อเมริกา “ยกระดับ” ความพร้อมรบกับจีนขึ้นอีก แต่ทั้งนี้ รายการป่วนเอเซียของอเมริกา จะออกหัว ออกก้อย ก็ขึ้นกับจีนและพวกว่า จีนจะใช้ยุทธศาสตร์ใดรับมือ ซึ่งมีทั้งยุทธศาสตร์ที่ระงับความร้อนแรง และยุทธศาสตร์ที่เร่งความร้อน จนกลายเป็นสงครามโลก เห็นได้จาก Grand Strategy ว่า อเมริกาพยายามยั่วยุจีน เพื่อให้ฝ่ายจีนเป็นผู้เริ่มออกอาการ ออกอาวุธ และอเมริกาจะได้เล่นบทพระเอก ไม่ต่างกับบทการเล่นสงครามของอเมริกา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การเตรียมรบของอเมริกา มิได้มีเพียงเท่านี้ นี่เป็นการโหมโรงเท่านั้น อเมริกาเชื่อว่า จีนไม่รบเดี่ยวแน่นอน จีนก็มีเพื่อน และเพื่อนจีนไม่ใช่ระดับลูกหาบ หรือเด็กถือกระเป๋า เพื่อนของจีนระดับรุ่นใหญ่พิษลึกอย่างรัสเซีย หรือระดับพิษร้ายอิหร่าน หรือรุ่นเล็กแต่พิษแรง ชนิดอเมริกาก็แหยงอย่างเกาหลีเหนือ และตุรกีที่เลิกเล่นไต่ลวดแล้ว น่าจะทำให้อเมริกาสะเทือนได้เมื่อมีความพร้อม ถ้าเพื่อนของจีนพร้อมจะยืนเรียงแถวไล่ไปเป็นเส้นยาว ตั้งแต่เอเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้อเมริกาก็ต้องคิดหนัก จะเลือกยุทธศาสตร์ไหนมาใช้ อเมริกาอาจจะใช้แยกส่วน แยกซอย ใช้ยุทธศาสตร์ป่วน เล่นเกมยาว เช่นเดียวกันกับเอเซีย เป็นการซื้อเวลา และดูรูปมวยไปก่อน สำหรับรัสเซีย ก็ยกให้นาโต้กับประเทศที่อเมริกาบีบไข่ได้ ไปแหย่รัสเซียให้คุณพี่ปูเหนื่อ ยเหงื่อตก ทั้งที่หิมะยังขาวโพลน ตะวันออกกลางง่ายมาก ยุให้เจ้าของปั้มตีกันเอง อิหร่าน และตรุกี จะได้ไม่มีเวลาหันไปทางจีน ส่วนเกาหลีเหนือ อเมริกามอบแล้วให้เป็นภาระของเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ระหว่างนี้ก็ใช้สีเทใส่ สร้างข่าวให้เป็นตัวร้ายไปเรื่อยๆ ถ้าอเมริกาเลือกยุทธศาสตร์ป่วน ก็เหนื่อยกันไปทั้งโลก ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะอึดกว่ากัน ฝ่ายไหนออกอาการอึดไม่อยู่ การส่งเห็ดพิษให้กินก็คงเกิดขึ้น แล้วก็ฉิบหายกันเป็นแถบๆ แต่แผนทำให้จีนน่วมของอเมริกา คงไม่มีแค่การป่วน บอกแล้วว่าอเมริกาใกล้จะเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว สั่งให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม ทำได้หมด การทำให้จีนน่วมแบบนั้นแหละ คือ fundermental collapse อย่างแท้จริง จีนจะรับมือกับการรบนอกรูปแบบเช่นนี้ได้หรือไม่ หรือไม่แน่ว่า จีนก็สั่งให้ภูเขาเคลื่อนที่ ไฟปะทุได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้น บุญกุศลเท่านั้นกระมังที่จะคุ้มโลกและเราได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 4

    ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน

    พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน

    สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย

    Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย

    ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน

    ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม?
    Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ
    Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ

    หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า

    ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน

    เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno

    แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ

    ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน
    Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania

    ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…”

    ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..”

    เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…”

    4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    9 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 4 ระหว่างที่ ประธานาธิบดี Wilson ยังแต่งบทหลอกคนอเมริกันไม่ได้ว่า ทำไมเขาซึ่งหาเสียงในตอนสมัครเลือกตั้งว่า ” He kept us out of war ” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม แต่ตอนนี้ มันถึงเวลา ถึงบท ที่จะต้องพากันเข้าสงครามหมดแล้ว เขาจะต้มประชาชนของเขาอย่างไรดี ให้พร้อมใจสนับสนุน พวกวอลสตรีท และพรรคพวกที่ส่วนใหญ่เป็นนายทุนชาวยิว ที่กุมสื่อเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ ต่างระดมเรียกสื่อในสังกัด ให้หิ้วกระป๋องสีมาหมดเมือง แล้วข่าวย้อมสี ที่มีภาพเยอรมันเป็นผู้ร้าย ผู้ทำลายสันติภาพของโลก ก็กระจายออกมาเต็มทุกพื้นที่ของอเมริกา ในรูปแบบต่างๆกัน สื่อย้อมไม่ทันใจ คนอเมริกันเฉื่อยเกินไป กับสงครามนอกบ้านตนเอง คงต้องมีเหตุการณ์มากระตุ้นต่อมให้ตื่นตระหนกกันหน่อย Morgan ไม่ได้เก่งด้านการเงินอย่างเดียว หรือลงทุนเรื่องรางรถไฟเพื่อไว้ใช้ต่อรองกับรัฐบาลในเวลาจำเป็น เขาพยายามซื้อบริษัทเดินเรือด้วย คือ The Cunard ของอังกฤษ แต่ยังไม่สำเร็จ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนซื้อสินค้าสงครามให้อังกฤษ ที่ต้องขนส่งทางเรือ เขาจึงมีสายใยกับอังกฤษในเรื่องการเดินเรือด้วย ” Lusitania” เป็นเรือโดยสารระดับหรูของ Cunard ที่แล่นข้ามไปมาระหว่าง ลิเวอร์พูลของอังกฤษกับนิวยอร์คของอเมริกา เมื่อ Lusitania แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1915 ไปได้ 6 วัน ก็ถูกเรือดำน้ำของเยอรมัน ยิงด้วยตอร์ปิโดจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารตาย 1,195 คน เป็นคนอเมริกัน 195 คน ทำไมเยอรมันถึงโหดเหี้ยม ยิงเรือโดยสาร ละเมิดกฏการเดินเรือระหว่างประเทศในยามสงคราม? Lusitania ได้ถูกนำมาเข้าอู่ในเดือนพฤษภาคม 1913 เพื่อติดตั้งเกราะหุ้มเรือเพิ่ม พร้อมติดตั้งปืนกล รวมทั้งรางกระสุน ที่ดาดฟ้าของเรือ ปืนใหญ่ชนิดกำลังแรง 12 กระบอก ถูกชักรอกขึ้นไปติดตั้ง แม้หน้าตาจะบอกว่าเป็นเรือโดยสาร แต่สรีระ กลับกลายเป็นเรือรบ รายการทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลสาธารณะ ที่เปิดเผยอยู่ที่พิพิธภัณท์ด้านการเดินเรือที่อังกฤษ Lusitania ออกจากอู่เข้าไปประจำการณ์ ในฐานะกองเรือรบ เพื่อทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งอาวุธระหว่างอเมริกากับอังกฤษ หลังจากสอบสวนอยู่หลายปี จึงได้มีรายงานออกมาว่า สินค้าที่ Lusitania บรรทุกในวันถูกตอร์ปิโดร์นั้น มี pyroxyline หรือ gun cotton (วัตถุระเบิดแรงสูง) 600 ตัน กระสุน 6 ล้านนัด กระสุนดาวกระจาย 1,248 หีบ และมีกระสุนปืนอีกไม่ทราบจำนวนอยู่ชั้นล่างสุดของเรือ นอกจากนี้ในรายการบอกว่ามีสินค้าประเภท เนยแข็ง น้ำมันหมู ขนสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งเข้าใจว่า เป็นการแสดงรายการสินค้าปลอมทั้งหมด มีชื่อ J P Mogan Company เป็นผู้ส่งสินค้า ระหว่างที่ Wilson และ Morgan กำลังแต่งบทฆาตกรรมหมู่ เพื่อนำอเมริกาเข้าสู่สงคราม ทางอังกฤษ โดยหลอด Churchill ก็รับหน้าที่เขียนบททางฝั่งอังกฤษให้สอดรับกัน เมื่อ Lusitania กำลังแล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์ค Juno เรือรบคุ้มกันของอังกฤษ ก็กำลังออกมาจากชายฝั่งของไอร์แลนด์ เพื่อมาคุ้มกัน Lusitania ในแถบน่านน้ำเปิด แต่เมื่อ Lusitania แล่นมาถึงจุดนัดพบ Juno ยังไม่มา กัปตัน Lusitania คิดว่า เพราะหมอกลงจัด จึงพลัดกับ Juno แต่ความจริง Juno ถูกสั่งให้ถอยกลับมาที่เมือง Queenstown เป็นคำสั่งที่ออกมา โดยที่รู้แน่ว่า Lusitania กำลังมาที่จุดนัดพบ และเป็นบริเวณที่รู้กันว่า เรือดำน้ำเยอรมันมักออกมาปฏิบัติการ ยิ่งไปกว่านั้น Lusitania ถูกสั่งให้ลดจำนวนถ่านหินที่ใช้เดินเครื่องไม่ใช่เพราะกำลังขาดแคลนถ่านหิน แต่เป้าที่เคลื่อนที่ช้า ย่อมง่ายต่อการถูกเป็นเป้า Lusitania จึงแล่นมาด้วยอัตราความเร็วเพียง 75% ของความเร็วปรกติ ระหว่างนั้น หลอด Churchill ยืนดูความเคลื่อนไหวของ Lusitania อย่างเงียบขรึม ผ่านจอเรดาร์ที่แสดงให้เห็น Lusitania กำลังแล่นเข้ามาในบริเวณ ที่วงแดงเอาไว้ว่า เป็นบริเวณ ที่เรือ 2 ลำ ถูกตอร์ปิโดร์ของเยอรมัน ยิงจมเมื่อวันก่อน Lusitania กำลังแล่นด้วยความเร็ว 19 น๊อตตรงเข้าไปในใจกลางของวงแดง โดยไม่มีใครแสดงอาการใด หรือส่งสัญญานใด กับ Lusitania ดูเหมือนจะมีเพียงคนเดียวคือ ผู้บังคับการ Joseph Kenworthy ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วันถูกหลอด Churchill เรียกไปพบ เพื่อให้เขียนคำตอบว่า จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างใดหรือไม่ ถ้าเรือโดยสาร ที่มีผู้โดยสารอเมริกันเดินทางมาด้วย แล้วถูกยิงจมดิ่งมหาสมุทร ผุ้บังคับการ Kenworthy เดินออกมาจากห้อง ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อผู้บังคับบัญชาของเขา ต่อมาในปี 1927 เขาเขียนหนังสือชื่อ The Freedom of Sea ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ” …Lusitania ถูกสั่งให้แล่นโดยลดความเร็ว เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่รู้อยู่ว่า จะมีเรือดำน้ำเยอรมันคอยอยู่ โดยเรือคุ้มกันภัยของ Lusitania ได้ถอนตัวไม่มาตามนัด…” ในวันที่ Lusitania กำลังจะชะตาขาด Col. House อยู่ที่อังกฤษ เขามีหมายกำหนดการที่จะต้องเข้า พบ กษัตริย์ George ที่ 5 (ปู่ของพระราชินี Elizabeth ที่2) โดย Sir Edward Grey เป็นคนนำเข้าพบ ระหว่างเดินทาง Sir Grey ถามเขาว่า อเมริกาจะทำอย่างไร ถ้าเยอรมันจมเรือโดยสารที่มีคนอเมริกันอยู่ด้วย คำตอบของ House ตามที่เขาเขียนไว้ในบันทึกของเขา คือ “… ผมบอกเขาว่า ถ้ามันเกิดเหตุเช่นนั้นจริง ไฟของความโกรธแค้นคงลุกโพลงขึ้นในอเมริกา และมันคงพาให้เราเข้าสู่สงคราม..” เมื่อถึงวัง Buckingham กษัตริย์ George ที่ 5 ก็ถามเรื่องเดียวกัน แต่กษัตริย์ไม่อ้อมค้อม ถาม House ตรงๆ ว่า “… ถ้าเขาจมเรือ Lusitania ที่มีคนอเมริกันโดยสารมาด้วย…” 4 ชั่วโมง หลังจากคำสนทนา กล้องส่องของเรือดำน้ำเยอรมัน ก็เห็นควันสีดำ พุ่งขึ้นมาจาก Lusitania ตอร์ปิโดลูกแรก ยิงถูกหัวเรือที่แล่นมาอย่างช้าๆ อย่างจัง ตอร์ปิโดลูกที่ 2 พร้อมยิง แต่อันที่จริงไม่จำเป็น เพราะหลังจากโดนลูกแรก Lusitania ซึ่งบรรทุกระเบิดมาเต็ม ก็มีการระเบิดอย่างแรง และจมหายไปทั้งลำ ในเวลาไม่เกิน 18 นาที สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 9 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 1

    ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว

    เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า

    อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน

    ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้
    นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม

    Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน

    เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม

    Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู

    เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น

    ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 2

    ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ
    Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 %

    เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก

    J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน

    มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน

    เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia

    ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ
    จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง….

    แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที

    ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์”

    สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 3

    นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ
    บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม !

    Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย
    นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson

    ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…”

    4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก

    Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน

    กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น

    สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ
    จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 1 ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้ นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 2 ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 % เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง…. แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์” สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 3 นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ! Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…” 4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวนาแดนมังกรสร้างเรือดำน้ำใช้งานได้จริงด้วยงบแค่ $5,570! ความฝันที่กลายเป็นจริงของ Zhang Shengwu

    เรื่องราวสุดเหลือเชื่อของ Zhang Shengwu ชาวนาจากมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำส่วนตัวชื่อ “Big Black Fish” ด้วยงบประมาณเพียงประมาณ 5,570 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกว่า “ความฝันไม่จำกัดด้วยอาชีพหรือเงินทุน”.

    Zhang เติบโตริมแม่น้ำแยงซี เคยทำงานเป็นชาวนา ช่างไม้ ช่างเชื่อม และในอุตสาหกรรมขนส่ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือดำน้ำเลย จนกระทั่งปี 2014 เขาเห็นเรือดำน้ำครั้งแรกจากรายการโทรทัศน์ และตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเองจากเศษเหล็ก แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์

    หลังจากต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่ว Zhang พัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ และเคยใช้เรือดำน้ำนี้ช่วยค้นหาอวนหายจนได้รับค่าจ้างถึง $417

    เรื่องราวของ Zhang ไม่ใช่แค่การสร้างเรือดำน้ำ แต่คือการพิสูจน์ว่า “ความฝันสามารถเป็นจริงได้” หากมีความมุ่งมั่นและความพยายาม

    Zhang Shengwu ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำเอง
    เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากรายการโทรทัศน์ในปี 2014

    งบประมาณทั้งหมดเพียงประมาณ $5,570
    ใช้กับวัสดุและการก่อสร้างทั้งหมด

    เรือดำน้ำชื่อ “Big Black Fish” มีขนาด 22 ฟุต ยาว 5.9 ฟุต สูง
    ดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน

    ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ
    เคยใช้ช่วยค้นหาอวนหายและได้รับค่าจ้าง $417

    เสริมความมั่นคงด้วยคอนกรีตเกือบ 2 ตันและถังถ่วงน้ำ
    ใช้ซิลิโคนเสริมรอยเชื่อม และมีแผงควบคุมเรืองแสงสีฟ้า

    ได้รับสิทธิบัตรระดับประเทศจากต้นแบบเรือดำน้ำ
    และอีกหนึ่งสิทธิบัตรจากเรือผิวน้ำที่สร้างคลื่นน้อย

    ต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่วเมื่ออยู่ใต้น้ำ
    ทำให้ต้องพัฒนาใหม่เป็นเรือผิวน้ำก่อนกลับมาสร้างเรือดำน้ำอีกครั้ง

    การสร้างเรือดำน้ำต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยสูง
    อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านช่างหรือการออกแบบโครงสร้าง

    https://www.slashgear.com/2010050/china-farmer-homemade-submarine-zhang-shengwu/
    🌊 ชาวนาแดนมังกรสร้างเรือดำน้ำใช้งานได้จริงด้วยงบแค่ $5,570! ความฝันที่กลายเป็นจริงของ Zhang Shengwu เรื่องราวสุดเหลือเชื่อของ Zhang Shengwu ชาวนาจากมณฑลอานฮุย ประเทศจีน ผู้ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำส่วนตัวชื่อ “Big Black Fish” ด้วยงบประมาณเพียงประมาณ 5,570 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกว่า “ความฝันไม่จำกัดด้วยอาชีพหรือเงินทุน”. Zhang เติบโตริมแม่น้ำแยงซี เคยทำงานเป็นชาวนา ช่างไม้ ช่างเชื่อม และในอุตสาหกรรมขนส่ง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรือดำน้ำเลย จนกระทั่งปี 2014 เขาเห็นเรือดำน้ำครั้งแรกจากรายการโทรทัศน์ และตัดสินใจสร้างมันขึ้นมาเองจากเศษเหล็ก แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์ หลังจากต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่ว Zhang พัฒนารุ่นใหม่ที่สามารถดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ และเคยใช้เรือดำน้ำนี้ช่วยค้นหาอวนหายจนได้รับค่าจ้างถึง $417 เรื่องราวของ Zhang ไม่ใช่แค่การสร้างเรือดำน้ำ แต่คือการพิสูจน์ว่า “ความฝันสามารถเป็นจริงได้” หากมีความมุ่งมั่นและความพยายาม 💪 ✅ Zhang Shengwu ใช้เวลากว่า 10 ปีสร้างเรือดำน้ำเอง ➡️ เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ได้จากรายการโทรทัศน์ในปี 2014 ✅ งบประมาณทั้งหมดเพียงประมาณ $5,570 ➡️ ใช้กับวัสดุและการก่อสร้างทั้งหมด ✅ เรือดำน้ำชื่อ “Big Black Fish” มีขนาด 22 ฟุต ยาว 5.9 ฟุต สูง ➡️ ดำน้ำได้ลึกถึง 26 ฟุต รองรับผู้โดยสาร 2 คน ✅ ใช้กล้องติดเสาเพื่อตรวจสอบพื้นแม่น้ำก่อนดำน้ำ ➡️ เคยใช้ช่วยค้นหาอวนหายและได้รับค่าจ้าง $417 ✅ เสริมความมั่นคงด้วยคอนกรีตเกือบ 2 ตันและถังถ่วงน้ำ ➡️ ใช้ซิลิโคนเสริมรอยเชื่อม และมีแผงควบคุมเรืองแสงสีฟ้า ✅ ได้รับสิทธิบัตรระดับประเทศจากต้นแบบเรือดำน้ำ ➡️ และอีกหนึ่งสิทธิบัตรจากเรือผิวน้ำที่สร้างคลื่นน้อย ‼️ ต้นแบบแรกมีปัญหาเรื่องการรั่วเมื่ออยู่ใต้น้ำ ⛔ ทำให้ต้องพัฒนาใหม่เป็นเรือผิวน้ำก่อนกลับมาสร้างเรือดำน้ำอีกครั้ง ‼️ การสร้างเรือดำน้ำต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและความปลอดภัยสูง ⛔ อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านช่างหรือการออกแบบโครงสร้าง https://www.slashgear.com/2010050/china-farmer-homemade-submarine-zhang-shengwu/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Chinese Farmer Has A Unique Hobby – He Built A Working Submarine - SlashGear
    A Chinese Farmer living near the Yangtze River in the Anhui province built a working submarine, investing a surprisingly low sum of around $5,570.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) เปิดเผยว่าเขาให้ไฟเขียวพันธมิตรอย่างเกาหลีใต้ สร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ หนึ่งวันหลังจาก 2 ประเทศ บรรลุข้อตกลงการค้าอย่างครอบคลุม
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000103525

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) เปิดเผยว่าเขาให้ไฟเขียวพันธมิตรอย่างเกาหลีใต้ สร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ หนึ่งวันหลังจาก 2 ประเทศ บรรลุข้อตกลงการค้าอย่างครอบคลุม . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000103525 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทรัมป์" ได้อ้างถึงกรณีที่เขาเองตัดสินใจเคลื่อนเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ 2 ลำ เข้าไปใกล้น่านน้ำของรัสเซีย โดยบอกว่า "เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในระยะ 8,000 ไมล์(ราว 12,800 กิโลเมตร)" ระยะทางที่มีรายงานข่าวขีปนาวุธของรัสเซียพุ่งไปได้ไกลระหว่างการทดสอบ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102692

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    "ทรัมป์" ได้อ้างถึงกรณีที่เขาเองตัดสินใจเคลื่อนเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ 2 ลำ เข้าไปใกล้น่านน้ำของรัสเซีย โดยบอกว่า "เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในระยะ 8,000 ไมล์(ราว 12,800 กิโลเมตร)" ระยะทางที่มีรายงานข่าวขีปนาวุธของรัสเซียพุ่งไปได้ไกลระหว่างการทดสอบ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102692 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง ปั่นหัวเสี่ยปั้ม
    “ปั่นหัวเสี่ยปั้ม”

    (1)

    ตะวันออกกลางร้อนระอุขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันซาอุ ดิ ทนร้อนไม่ไหว ลุกออกมาไล่ถล่มพวก Houthi ในเยเมน แหม เสี่ยก็ใจร้อนไปได้ ช่วงนี้ที่ไหนๆ ก็ร้อนทั้งนั้น อุณหภูมิบ้านสมันน้อย ยังพุ่งปรืดร้อนไปถึง 44 องศาเลยคร้าบ

    ทำไมเสี่ยซาอุต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ที่พวก Houthi เขาจะลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลมืออ่อนในบ้านของเขา

    Foreign Affairs นิตยสาร ของ Council on Foreign Relations (CFR) ถังขยะความคิดจอมจุ้น ลงบทความเรื่อง Houthi and the Blowback เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ 2015 นี้ บอกว่า ซาอุดิกำลังใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกหลายตัว ซาอุดิถือว่า การที่พวก Houthi กล้าลุกหือขึ้นมาสู้กับรัฐบาลตัวก็เพราะมีลูกพี่อิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ยุแยง ถ้าเสี่ยใหญ่ซาอุทำเฉย ก็เหมือนจะยอมให้อิหร่านขี่คอ แต่ถ้าปราบ Houthi ให้หมอบราบได้ บารมีของเสี่ยใหญ่ซาอุ ก็จะฉายแสงสำแดงรัศมี ให้ลูกกระเป๋งแถบอ่าว Gulf Cooperation Coucil (GCC) นับถือในความเป็นพี่ใหญ่ของเสี่ยซาอุ ที่สามารถจัดระเบียบในตะวันออกกลางได้ โดยไม่ต้องประสาทหลอนกันว่า เรื่องมันจะบานปลาย เพราะความไม่สมดุลยของอำนาจในตะวันออกกลาง ระหว่างซาอุดิอารเบียกับอิหร่าน หมายความว่าไม่ได้กลัวอิหร่านจนหดหมดอีกแล้ว

    ถังขยะความคิด CFR ซึ่งเหมือนเป็นผู้ออกใบสั่งนโยบาย ของไอ้นักล่า บอกว่า เสี่ยปั้มทำได้น่า ยิงมันแรงๆ นัดเดียว แล้วได้นกหลายตัวน่ะ ถ้าเล่นให้เป็น ยิงให้แม่น มันจะเป็นการช่วยไม่ให้สถานการณ์การเมืองในตะวันออกกลาง ร้อนฉ่าขึ้นไปอีก เพราะเสี่ยใหญ่ จะกลายเป็นผู้คุมตะวันออกกลาง

    นี่มันปั่นให้พวกเสี่ยตะวันออกกลางเขาขี่อูฐมาชนกันเองนี่หว่า ไอ้นักล่าใบตองแห้งสงสัยมีแผนชั่ว

    เยเมน เป็นหนามตำใจของซาอุดิ และกลุ่มประเทศที่อยู่ริมอ่าว รวมทั้งโอมาน มาตั้งแต่ เยเมนตั้งประเทศแล้ว เพราะรสนิยมเยเมน ออกไปทางชอบสีแดง ฝักฝ่ายในลัทธิมาร์กซ ฯลฯ แถมระยะหลัง ยังพ่วงเอาพวกกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง พวกอัลกออิดะ เข้าไปสามัคคีชุมนุมกันอีกด้วย ยิ่งทำให้ ซาอุดิอารเบียที่หลังบ้านติดกับเยเมน นอนหลับแบบผวา ไม่ว่านอนกลางวัน หรือนอนกลางคืน ยิ่งมาเห็น พวก Houthi ทำท่าจะชนะในการไล่รัฐบาลของตัว เสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน คนรวยแต่ขวัญอ่อน ก็ยิ่งผวาหนัก

    นี่ถ้า Houthi ซึ่งเป็นชีอ่ะ และมีอิหร่านหนุน ยึดเยเมนไปได้ พวกเรามิควันโขมงทั้งเมืองหรือ เสี่ยซาอุจึงต้องสั่งระดมพลพรรค ลูกกระเป๋ง ทั้งหลาย เช่น บาห์เรน อียิปต์ จอร์แดน คูเวต มอรอคโค ปากีสถาน กาต้าร์ ซูดาน เอมิเรต มาช่วยกันสำแดงเดช ไม่ให้พวก Houthi ยึดครองเยเมน และมาปิดอ่าวเอเดน Gulf of Aden ด้านเยเมน
    เสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันซาอุ โวยข้ามทะเลทรายให้เข้าหูท่านประธานาธิบดีนักล่าใบตองแห้งว่า การใช้กำลังทางอากาศของพวกเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน ไม่แน่ว่าจะสามารถจัดการให้เรื่องราวในเยเมนสงบราบเรียบได้หรอกนะ และถ้ามันไม่สงบ ผลกระทบของมันจะบานไปในหลายประเทศเลย และรัศมีอิทธิพลของเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน ก็จะแผ่วลงอย่างน่าใจหาย ไอ้ที่จะให้เสี่ยใหญ่ดูแลเด็กๆแถวอ่าว พวก GCC คงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ที่สำคัญ มันจะไปกระตุ้นต่อมฮึกเหิมของอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์อย่างช่วยไม่ได้ และแน่นอนเสี่ยนิวเคลียร์ก็คงแบ่งเอาความฮึกเหิมไปทิ้งใว้ใน อิรัค ซีเรีย เลบานอน เยเมน และที่อื่นๆ อีก คิดแล้วเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันก็รันทดใจ รวยซะเปล่า แต่หามีความสุขไม่ มันเป็นการรำพึงที่น่าสนใจ ว่านักล่าใบตองแห้งจะตอบรับอย่างไร

    ถังขยะความคิดรีบเติมเชื้อ กลัวเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันจะระทมไม่พอ บอกว่า อะไรกัน สัมพันธ์ระหว่าง ซาอุดิกับอเมริกาก็ยังแข็งแรง ไม่ได้สั่นคลอนเสียหน่อย ไม่ต้อง ป ส ด ไปก่อน และที่คนแถวนี้พูดกันลั่นไปหมดว่า อเมริกากำลังประะเคนข้อเสนอใส่ถาดทองให้อิหร่าน แลกกับข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ มันเป็นแค่ข่าวลือเข้าใจไหม คิดมากไปได้น่าเสี่ย

    แม้หลายคน ในรัฐบาลใบตองแห้ง อาจจะบอกว่า เสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน ทำเกินไป ไม่ควรจะต้องไปยกระดับ ยกกำลัง ไปให้ความสำคัญกับพวก Houthi ถึงขนาดนี้ ซึ่งจะทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ทั้งในบ้านตัวเองและในภูมิภาค แต่ในความเป็นจริงด้านยุทธศาสตร์แล้ว เสี่ยใหญ่ไม่ได้ทำพลาดเรื่องเยเมน มันสมควรแล้วที่เสี่ยใหญ่จะต้องประสาทรับประทาน สถานการณ์ในเยเมน เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของซาอุดิอารเบียทีเดียว

    อันที่จริงไม่ใช่เรื่องคอขาดของเสี่ยปั้มน้ำมันฝ่ายเดียว

    หากเยเมน ยอมให้อิหร่านมานั่งสบายใจอยู่ที่ Bab El Mandebของเยเมน ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือระหว่าง Red sea (ทะเลแดง) อ่าวเอเดน ( Gulf of Aden) และคลองสุเอซ ซึ่งอิหร่านได้พยายามที่จะควบคุมช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเกือบหนึ่งในสี่ ของน้ำมันโลก จะต้องผ่าน แทนที่จะกล่าวหาว่าเสี่ยใหญ่ซาอุ ป ส ด ทางวอชิงตันนั่นแหละ ควรทบทวนท่าทีของตนบ้าง หรือทางวอชิตันมีแผนอะไร ที่เสี่ยใหญ่ไม่รู้ ไม่เฉลียวใจ

    (2)

    ไปเอาแผนที่มาดูกันหน่อย จะได้เข้าใจหัวอกเสี่ยใหญ่ซาอุว่า ขวัญแข็ง หรือขวัญอ่อน ประสาทรับประทาน

    ด้านเหนือของซาอุดิอารเบียติดกับจอร์แดน ซี่งเป็นเด็กอยู่ในบัญชีรายจ่าย ของเสี่ยใหญ่ซาอุ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วง ตัดทิ้งไปได้ ถัดไปเป็น อิรัค และเหนืออิรัคเป็นเลบานอน ทั้ง 2 ประเทศ เสี่ยใหญ่ซาอุ กล่าวหา (หรือเป็นเรื่องจริง ! ) ว่า อยู่ในบัญชีรายจ่ายของอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ ถ้าเป็นเรื่องจริง และถ้าเยเมนตกไปอยู่ในมือ Houthi ซึ่งซาอุก็ว่าอิหร่านสนับสนุนด้วย เช่นกัน ถ้าเด็กในบัญชีอิหร่าน ทั้ง 3 รายการ จับมือกัน ซาอุดิ เท่ากับถูกล็อก ทั้งข้างบนข้างล่าง และประตูออกทะเลของ ซาอุดิอารเบียจะถูกบีบเหลือให้ออกด้านเดียว คือออกได้เฉพาะทางอ่าวเปอร์เซีย

    แปลว่าอะไรครับ แปลว่าซาอุดิอารเบียถูกบีบให้ไป เดินผ่านปากของอิหร่าน ไปสู่ทะเลที่ อ่าวโอมานเท่านั้น ผ่านกลุ่มประเทศแถบอ่าว เช่น บาห์เรน การ์ต้า อามิเรต โอมาน ฯลฯ แล้วไปออกอ่าว แถบนั้นเต็มไปด้วยฐานทัพอากาศ และฐานทัพเรือที่ประเทศเหล่านั้น ยอมให้อเมริกาขนกองกำลัง ขนอาวุธมาตั้งอยูเต็ม เพื่อเป็นการดักคออิหร่านไว้ และด้วยความพร้อมใจของพวกเสี่ยคนรวย แต่ขวัญอ่อนทั้งหลาย ที่อยากอุ่นอยู่ในเงื้อมมือของนักล่าใบตองแห้ง เออ แดดทะเลทรายมันคงแรงจริง พวกเสี่ยเขาถึงคิดได้เพี้ยนกันแบบนั้น
    ดูๆก็ ไม่น่าจะเป็นปัญหากับเสี่ยใหญ่ซาอุ ที่มีฐานทัพนักล่าใบตองแห้งอยู่เต็มแถบปากอ่าว แต่เมื่อมันเยื้องอยู่กับปากอิหร่าน ก็ต้องถามเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันซาอุว่า ด่าอิหร่านเอาไว้แยะ กล้าเดินผ่านปากเขาไหม หรือว่ากล้า เพราะมีฐานทัพของยอดรักนักล่าใบตองแห้ง ต้ังฐานกระจายไว้เต็มอยู่ตรงแถบนั้น

    เสี่ยก็คิดให้ดีแล้วกันว่า ยามนี้มีฐานทัพของไอ้นักล่าใบตองแห้งอยู่ใกล้ตัว มันเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เผลอๆจะเป็นตัวล่อเป้า ไม่ใช่เฉพาะแต่ตัวเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันเท่าน้ันนะ ที่ต้องระวัง ลูกกระเป๋งที่เอาใจเจ้านายให้เขามาตั้งฐานทัพน่ะอยู่ริมอ่าวน่ะ ระวังจะโดนทะลายหายไปพร้อมกับฐานทัพด้วย

    Duncan Campbell สื่อกัดติดเรื่องของนาย Edward Snowden จอมแฉ รายงานว่า จากข้อมูลที่จอมแฉทะยอยปล่อยออกมา เมือง Seeb ในรัฐโอมาน เป็นชุมสายใหญ่ของสายไยแก้ว fiber optic ชื่อรหัส CIRCUIT ที่โอมานยอมให้ GCHQ (Government Communication Headquarters) ของอังกฤษ มาติดตั้งระบบ CIRCUIT ของ ECHELON เครื่องดักสัญญานสุดยอดไว้ตั้งแต่ปี 2009 เพื่อเก็บข้อมูลทุกชิ้นที่ผ่าน ไปมาในแถบนั้น และแชร์ข้อมูลกับพวก 5 ตา the Five Eyes คือ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา หลังจากนั้นข้อมูลจะวิ่งขึ้นฝั่งไปถูกเก็บอยู่ที่ คอนวอล (Cornwall) ของอังกฤษ เหมือนกับที่ไปติดตั้งไว้ที่สวีเดน คอยดักข้อมูลของรัสเซีย

    คราวนี้ คงคอยดักข้อมูลของอิหร่านที่อยู่เยื้องกัน แถมเส้นทางเดินเรือแถบน้ัน อาเฮียของคุณพี่ปูตินเขาก็ชอบใช้ขนน้ำมันจากอาฟริกาไปจีน เรื่องดักฟังที่สวีเดน เขาว่าทำให้สวีเดนได้รับการเยี่ยมเยียน จากเรือดำน้ำรัสเซียถึงหน้ากรุงสต๊อกโฮม คราวนี้ ไม่รู้อาเฮียและอิหร่าน และ ฯลฯ จะส่งอะไรไปเยี่ยมโอมาน

    แค่มีฐานทัพของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อยู่แถบอ่าว ก็เป็นเป้าล่อพอแล้ว คราวนี้ยังมี ลูกปิงปอง ECHELON เครื่องดักสัญญานเป็นสายล่อฟ้า คอยอยู่ที่โอมาน ผมก็กลุ้มใจแทนเสี่ยใหญ่ปั้มนำ้มันซาอุจริงๆ ว่าจะตัดสินใจเดินทางไหน ที่จะทำให้ไม่ต้องทุกข์ระทม แต่ดูจากเรื่องราว และบทความของ Foreign Affairs แล้ว ผมคลับคล้าย คราวนี้ เสี่ยใหญ่ซาอุ จะถูกหลอกใช้ ให้เป็นเครื่องสังเวยยังไงไม่รู้ เขามีแผนอยากได้แต่ปั้มน้ำมัน ไม่อยากได้คนคุมปั้มติดไปด้วย เสี่ยพอนึกออกไหมครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 เม.ย. 2558
    เรื่อง ปั่นหัวเสี่ยปั้ม “ปั่นหัวเสี่ยปั้ม” (1) ตะวันออกกลางร้อนระอุขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันซาอุ ดิ ทนร้อนไม่ไหว ลุกออกมาไล่ถล่มพวก Houthi ในเยเมน แหม เสี่ยก็ใจร้อนไปได้ ช่วงนี้ที่ไหนๆ ก็ร้อนทั้งนั้น อุณหภูมิบ้านสมันน้อย ยังพุ่งปรืดร้อนไปถึง 44 องศาเลยคร้าบ ทำไมเสี่ยซาอุต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ที่พวก Houthi เขาจะลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลมืออ่อนในบ้านของเขา Foreign Affairs นิตยสาร ของ Council on Foreign Relations (CFR) ถังขยะความคิดจอมจุ้น ลงบทความเรื่อง Houthi and the Blowback เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ 2015 นี้ บอกว่า ซาอุดิกำลังใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกหลายตัว ซาอุดิถือว่า การที่พวก Houthi กล้าลุกหือขึ้นมาสู้กับรัฐบาลตัวก็เพราะมีลูกพี่อิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ยุแยง ถ้าเสี่ยใหญ่ซาอุทำเฉย ก็เหมือนจะยอมให้อิหร่านขี่คอ แต่ถ้าปราบ Houthi ให้หมอบราบได้ บารมีของเสี่ยใหญ่ซาอุ ก็จะฉายแสงสำแดงรัศมี ให้ลูกกระเป๋งแถบอ่าว Gulf Cooperation Coucil (GCC) นับถือในความเป็นพี่ใหญ่ของเสี่ยซาอุ ที่สามารถจัดระเบียบในตะวันออกกลางได้ โดยไม่ต้องประสาทหลอนกันว่า เรื่องมันจะบานปลาย เพราะความไม่สมดุลยของอำนาจในตะวันออกกลาง ระหว่างซาอุดิอารเบียกับอิหร่าน หมายความว่าไม่ได้กลัวอิหร่านจนหดหมดอีกแล้ว ถังขยะความคิด CFR ซึ่งเหมือนเป็นผู้ออกใบสั่งนโยบาย ของไอ้นักล่า บอกว่า เสี่ยปั้มทำได้น่า ยิงมันแรงๆ นัดเดียว แล้วได้นกหลายตัวน่ะ ถ้าเล่นให้เป็น ยิงให้แม่น มันจะเป็นการช่วยไม่ให้สถานการณ์การเมืองในตะวันออกกลาง ร้อนฉ่าขึ้นไปอีก เพราะเสี่ยใหญ่ จะกลายเป็นผู้คุมตะวันออกกลาง นี่มันปั่นให้พวกเสี่ยตะวันออกกลางเขาขี่อูฐมาชนกันเองนี่หว่า ไอ้นักล่าใบตองแห้งสงสัยมีแผนชั่ว เยเมน เป็นหนามตำใจของซาอุดิ และกลุ่มประเทศที่อยู่ริมอ่าว รวมทั้งโอมาน มาตั้งแต่ เยเมนตั้งประเทศแล้ว เพราะรสนิยมเยเมน ออกไปทางชอบสีแดง ฝักฝ่ายในลัทธิมาร์กซ ฯลฯ แถมระยะหลัง ยังพ่วงเอาพวกกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง พวกอัลกออิดะ เข้าไปสามัคคีชุมนุมกันอีกด้วย ยิ่งทำให้ ซาอุดิอารเบียที่หลังบ้านติดกับเยเมน นอนหลับแบบผวา ไม่ว่านอนกลางวัน หรือนอนกลางคืน ยิ่งมาเห็น พวก Houthi ทำท่าจะชนะในการไล่รัฐบาลของตัว เสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน คนรวยแต่ขวัญอ่อน ก็ยิ่งผวาหนัก นี่ถ้า Houthi ซึ่งเป็นชีอ่ะ และมีอิหร่านหนุน ยึดเยเมนไปได้ พวกเรามิควันโขมงทั้งเมืองหรือ เสี่ยซาอุจึงต้องสั่งระดมพลพรรค ลูกกระเป๋ง ทั้งหลาย เช่น บาห์เรน อียิปต์ จอร์แดน คูเวต มอรอคโค ปากีสถาน กาต้าร์ ซูดาน เอมิเรต มาช่วยกันสำแดงเดช ไม่ให้พวก Houthi ยึดครองเยเมน และมาปิดอ่าวเอเดน Gulf of Aden ด้านเยเมน เสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันซาอุ โวยข้ามทะเลทรายให้เข้าหูท่านประธานาธิบดีนักล่าใบตองแห้งว่า การใช้กำลังทางอากาศของพวกเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน ไม่แน่ว่าจะสามารถจัดการให้เรื่องราวในเยเมนสงบราบเรียบได้หรอกนะ และถ้ามันไม่สงบ ผลกระทบของมันจะบานไปในหลายประเทศเลย และรัศมีอิทธิพลของเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน ก็จะแผ่วลงอย่างน่าใจหาย ไอ้ที่จะให้เสี่ยใหญ่ดูแลเด็กๆแถวอ่าว พวก GCC คงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ที่สำคัญ มันจะไปกระตุ้นต่อมฮึกเหิมของอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์อย่างช่วยไม่ได้ และแน่นอนเสี่ยนิวเคลียร์ก็คงแบ่งเอาความฮึกเหิมไปทิ้งใว้ใน อิรัค ซีเรีย เลบานอน เยเมน และที่อื่นๆ อีก คิดแล้วเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันก็รันทดใจ รวยซะเปล่า แต่หามีความสุขไม่ มันเป็นการรำพึงที่น่าสนใจ ว่านักล่าใบตองแห้งจะตอบรับอย่างไร ถังขยะความคิดรีบเติมเชื้อ กลัวเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันจะระทมไม่พอ บอกว่า อะไรกัน สัมพันธ์ระหว่าง ซาอุดิกับอเมริกาก็ยังแข็งแรง ไม่ได้สั่นคลอนเสียหน่อย ไม่ต้อง ป ส ด ไปก่อน และที่คนแถวนี้พูดกันลั่นไปหมดว่า อเมริกากำลังประะเคนข้อเสนอใส่ถาดทองให้อิหร่าน แลกกับข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์ มันเป็นแค่ข่าวลือเข้าใจไหม คิดมากไปได้น่าเสี่ย แม้หลายคน ในรัฐบาลใบตองแห้ง อาจจะบอกว่า เสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมัน ทำเกินไป ไม่ควรจะต้องไปยกระดับ ยกกำลัง ไปให้ความสำคัญกับพวก Houthi ถึงขนาดนี้ ซึ่งจะทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ทั้งในบ้านตัวเองและในภูมิภาค แต่ในความเป็นจริงด้านยุทธศาสตร์แล้ว เสี่ยใหญ่ไม่ได้ทำพลาดเรื่องเยเมน มันสมควรแล้วที่เสี่ยใหญ่จะต้องประสาทรับประทาน สถานการณ์ในเยเมน เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของซาอุดิอารเบียทีเดียว อันที่จริงไม่ใช่เรื่องคอขาดของเสี่ยปั้มน้ำมันฝ่ายเดียว หากเยเมน ยอมให้อิหร่านมานั่งสบายใจอยู่ที่ Bab El Mandebของเยเมน ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือระหว่าง Red sea (ทะเลแดง) อ่าวเอเดน ( Gulf of Aden) และคลองสุเอซ ซึ่งอิหร่านได้พยายามที่จะควบคุมช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเกือบหนึ่งในสี่ ของน้ำมันโลก จะต้องผ่าน แทนที่จะกล่าวหาว่าเสี่ยใหญ่ซาอุ ป ส ด ทางวอชิงตันนั่นแหละ ควรทบทวนท่าทีของตนบ้าง หรือทางวอชิตันมีแผนอะไร ที่เสี่ยใหญ่ไม่รู้ ไม่เฉลียวใจ (2) ไปเอาแผนที่มาดูกันหน่อย จะได้เข้าใจหัวอกเสี่ยใหญ่ซาอุว่า ขวัญแข็ง หรือขวัญอ่อน ประสาทรับประทาน ด้านเหนือของซาอุดิอารเบียติดกับจอร์แดน ซี่งเป็นเด็กอยู่ในบัญชีรายจ่าย ของเสี่ยใหญ่ซาอุ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วง ตัดทิ้งไปได้ ถัดไปเป็น อิรัค และเหนืออิรัคเป็นเลบานอน ทั้ง 2 ประเทศ เสี่ยใหญ่ซาอุ กล่าวหา (หรือเป็นเรื่องจริง ! ) ว่า อยู่ในบัญชีรายจ่ายของอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ ถ้าเป็นเรื่องจริง และถ้าเยเมนตกไปอยู่ในมือ Houthi ซึ่งซาอุก็ว่าอิหร่านสนับสนุนด้วย เช่นกัน ถ้าเด็กในบัญชีอิหร่าน ทั้ง 3 รายการ จับมือกัน ซาอุดิ เท่ากับถูกล็อก ทั้งข้างบนข้างล่าง และประตูออกทะเลของ ซาอุดิอารเบียจะถูกบีบเหลือให้ออกด้านเดียว คือออกได้เฉพาะทางอ่าวเปอร์เซีย แปลว่าอะไรครับ แปลว่าซาอุดิอารเบียถูกบีบให้ไป เดินผ่านปากของอิหร่าน ไปสู่ทะเลที่ อ่าวโอมานเท่านั้น ผ่านกลุ่มประเทศแถบอ่าว เช่น บาห์เรน การ์ต้า อามิเรต โอมาน ฯลฯ แล้วไปออกอ่าว แถบนั้นเต็มไปด้วยฐานทัพอากาศ และฐานทัพเรือที่ประเทศเหล่านั้น ยอมให้อเมริกาขนกองกำลัง ขนอาวุธมาตั้งอยูเต็ม เพื่อเป็นการดักคออิหร่านไว้ และด้วยความพร้อมใจของพวกเสี่ยคนรวย แต่ขวัญอ่อนทั้งหลาย ที่อยากอุ่นอยู่ในเงื้อมมือของนักล่าใบตองแห้ง เออ แดดทะเลทรายมันคงแรงจริง พวกเสี่ยเขาถึงคิดได้เพี้ยนกันแบบนั้น ดูๆก็ ไม่น่าจะเป็นปัญหากับเสี่ยใหญ่ซาอุ ที่มีฐานทัพนักล่าใบตองแห้งอยู่เต็มแถบปากอ่าว แต่เมื่อมันเยื้องอยู่กับปากอิหร่าน ก็ต้องถามเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันซาอุว่า ด่าอิหร่านเอาไว้แยะ กล้าเดินผ่านปากเขาไหม หรือว่ากล้า เพราะมีฐานทัพของยอดรักนักล่าใบตองแห้ง ต้ังฐานกระจายไว้เต็มอยู่ตรงแถบนั้น เสี่ยก็คิดให้ดีแล้วกันว่า ยามนี้มีฐานทัพของไอ้นักล่าใบตองแห้งอยู่ใกล้ตัว มันเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เผลอๆจะเป็นตัวล่อเป้า ไม่ใช่เฉพาะแต่ตัวเสี่ยใหญ่ปั้มน้ำมันเท่าน้ันนะ ที่ต้องระวัง ลูกกระเป๋งที่เอาใจเจ้านายให้เขามาตั้งฐานทัพน่ะอยู่ริมอ่าวน่ะ ระวังจะโดนทะลายหายไปพร้อมกับฐานทัพด้วย Duncan Campbell สื่อกัดติดเรื่องของนาย Edward Snowden จอมแฉ รายงานว่า จากข้อมูลที่จอมแฉทะยอยปล่อยออกมา เมือง Seeb ในรัฐโอมาน เป็นชุมสายใหญ่ของสายไยแก้ว fiber optic ชื่อรหัส CIRCUIT ที่โอมานยอมให้ GCHQ (Government Communication Headquarters) ของอังกฤษ มาติดตั้งระบบ CIRCUIT ของ ECHELON เครื่องดักสัญญานสุดยอดไว้ตั้งแต่ปี 2009 เพื่อเก็บข้อมูลทุกชิ้นที่ผ่าน ไปมาในแถบนั้น และแชร์ข้อมูลกับพวก 5 ตา the Five Eyes คือ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา หลังจากนั้นข้อมูลจะวิ่งขึ้นฝั่งไปถูกเก็บอยู่ที่ คอนวอล (Cornwall) ของอังกฤษ เหมือนกับที่ไปติดตั้งไว้ที่สวีเดน คอยดักข้อมูลของรัสเซีย คราวนี้ คงคอยดักข้อมูลของอิหร่านที่อยู่เยื้องกัน แถมเส้นทางเดินเรือแถบน้ัน อาเฮียของคุณพี่ปูตินเขาก็ชอบใช้ขนน้ำมันจากอาฟริกาไปจีน เรื่องดักฟังที่สวีเดน เขาว่าทำให้สวีเดนได้รับการเยี่ยมเยียน จากเรือดำน้ำรัสเซียถึงหน้ากรุงสต๊อกโฮม คราวนี้ ไม่รู้อาเฮียและอิหร่าน และ ฯลฯ จะส่งอะไรไปเยี่ยมโอมาน แค่มีฐานทัพของไอ้นักล่าใบตองแห้ง อยู่แถบอ่าว ก็เป็นเป้าล่อพอแล้ว คราวนี้ยังมี ลูกปิงปอง ECHELON เครื่องดักสัญญานเป็นสายล่อฟ้า คอยอยู่ที่โอมาน ผมก็กลุ้มใจแทนเสี่ยใหญ่ปั้มนำ้มันซาอุจริงๆ ว่าจะตัดสินใจเดินทางไหน ที่จะทำให้ไม่ต้องทุกข์ระทม แต่ดูจากเรื่องราว และบทความของ Foreign Affairs แล้ว ผมคลับคล้าย คราวนี้ เสี่ยใหญ่ซาอุ จะถูกหลอกใช้ ให้เป็นเครื่องสังเวยยังไงไม่รู้ เขามีแผนอยากได้แต่ปั้มน้ำมัน ไม่อยากได้คนคุมปั้มติดไปด้วย เสี่ยพอนึกออกไหมครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ซากโลหะที่เคยเป็นสมองของ Titan: เบื้องหลังการพังทลายของระบบคอมพิวเตอร์ใต้น้ำลึก"

    หลังจากเหตุการณ์การระเบิดของเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ในปี 2023 ซึ่งคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งหมด การสืบสวนโดย NTSB (คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ) ได้เผยภาพและข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสภาพของระบบคอมพิวเตอร์ภายในเรือ—ซึ่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นกองโลหะบิดเบี้ยวที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

    ระบบคอมพิวเตอร์ของ Titan ประกอบด้วยพีซีแบบ fanless รุ่น Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่อง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองของเรือในการบันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก แต่หลังจากการระเบิด พีซีเหล่านี้กลายเป็นก้อนโลหะหนักกว่า 45 กิโลกรัมที่รวมเอาแผงวงจร โลหะ และพลาสติกอัดแน่นเข้าด้วยกัน

    แม้จะมีความหวังว่าจะสามารถกู้ข้อมูลจาก SSD ได้ แต่การสแกน CT ไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงชิปหน่วยความจำได้ และการใช้พลังงานสูงกว่านี้อาจทำลายข้อมูลที่เหลืออยู่ ทีมงานจึงส่งต่อซากไปยังห้องแล็บของ ATF ซึ่งสามารถแยกแผง SSD ออกมาได้ 2 แผง แต่พบว่าชิปหน่วยความจำเสียหายอย่างหนัก—บางชิปหายไป บางชิปแตกร้าว และไม่มีข้อมูลใดสามารถกู้คืนได้

    สภาพของระบบคอมพิวเตอร์หลังเหตุการณ์
    พีซี Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่องถูกบดขยี้รวมกันเป็นก้อนโลหะหนัก ~45 กิโลกรัม
    ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก
    กล้องและอุปกรณ์อื่น ๆ เสียหายเกือบทั้งหมด ยกเว้นการ์ด SD ที่รอดมาได้ในเหตุการณ์อื่น

    การสแกนและกู้ข้อมูล
    ใช้ CT scan เพื่อตรวจหาชิปหน่วยความจำที่อาจรอด
    ไม่พบช่องว่างที่ชิปอาจอยู่รอดได้
    หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานสูงในการสแกนเพื่อไม่ให้ข้อมูลเสียหาย

    การวิเคราะห์โดย ATF
    แยกแผง SSD ได้ 2 แผงจากซากโลหะ
    พบว่าชิปหน่วยความจำบางส่วนหายไป และบางส่วนแตกร้าว
    ไม่สามารถกู้ข้อมูลใด ๆ ได้จากแผงที่เหลือ

    คำเตือนจากการออกแบบระบบ
    การใช้พีซีแบบ fanless อาจไม่ทนต่อแรงดันและความร้อนจากการระเบิด
    ไม่มีระบบป้องกันข้อมูลในกรณีฉุกเฉินหรือการระเบิด
    การออกแบบระบบเก็บข้อมูลควรคำนึงถึงการกู้คืนหลังภัยพิบัติ

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความท้าทายในการกู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เสียหาย
    SSD มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและเปราะบางต่อแรงกระแทก
    การกู้ข้อมูลต้องใช้เทคนิคระดับสูง เช่น การสกัดชิปและอ่านข้อมูลโดยตรงจาก NAND

    บทเรียนจาก Titan สำหรับการออกแบบระบบใต้น้ำ
    ควรมีระบบบันทึกข้อมูลซ้ำในหลายตำแหน่ง
    ใช้วัสดุที่ทนแรงดันและความร้อนสูง
    ออกแบบให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้แม้ในกรณีที่โครงสร้างหลักเสียหาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/oceangate-titan-computers-crushed-into-twisted-mass-of-metal-and-electronics-during-catastrophic-implosion-investigators-find-signs-of-thermal-damage-too
    🥶 "ซากโลหะที่เคยเป็นสมองของ Titan: เบื้องหลังการพังทลายของระบบคอมพิวเตอร์ใต้น้ำลึก" หลังจากเหตุการณ์การระเบิดของเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ในปี 2023 ซึ่งคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งหมด การสืบสวนโดย NTSB (คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ) ได้เผยภาพและข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสภาพของระบบคอมพิวเตอร์ภายในเรือ—ซึ่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นกองโลหะบิดเบี้ยวที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ระบบคอมพิวเตอร์ของ Titan ประกอบด้วยพีซีแบบ fanless รุ่น Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่อง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองของเรือในการบันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก แต่หลังจากการระเบิด พีซีเหล่านี้กลายเป็นก้อนโลหะหนักกว่า 45 กิโลกรัมที่รวมเอาแผงวงจร โลหะ และพลาสติกอัดแน่นเข้าด้วยกัน แม้จะมีความหวังว่าจะสามารถกู้ข้อมูลจาก SSD ได้ แต่การสแกน CT ไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงชิปหน่วยความจำได้ และการใช้พลังงานสูงกว่านี้อาจทำลายข้อมูลที่เหลืออยู่ ทีมงานจึงส่งต่อซากไปยังห้องแล็บของ ATF ซึ่งสามารถแยกแผง SSD ออกมาได้ 2 แผง แต่พบว่าชิปหน่วยความจำเสียหายอย่างหนัก—บางชิปหายไป บางชิปแตกร้าว และไม่มีข้อมูลใดสามารถกู้คืนได้ ✅ สภาพของระบบคอมพิวเตอร์หลังเหตุการณ์ ➡️ พีซี Nuvo-5000LP จำนวน 3 เครื่องถูกบดขยี้รวมกันเป็นก้อนโลหะหนัก ~45 กิโลกรัม ➡️ ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลการทำงานและตรวจสอบโครงสร้างเรือแบบอะคูสติก ➡️ กล้องและอุปกรณ์อื่น ๆ เสียหายเกือบทั้งหมด ยกเว้นการ์ด SD ที่รอดมาได้ในเหตุการณ์อื่น ✅ การสแกนและกู้ข้อมูล ➡️ ใช้ CT scan เพื่อตรวจหาชิปหน่วยความจำที่อาจรอด ➡️ ไม่พบช่องว่างที่ชิปอาจอยู่รอดได้ ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานสูงในการสแกนเพื่อไม่ให้ข้อมูลเสียหาย ✅ การวิเคราะห์โดย ATF ➡️ แยกแผง SSD ได้ 2 แผงจากซากโลหะ ➡️ พบว่าชิปหน่วยความจำบางส่วนหายไป และบางส่วนแตกร้าว ➡️ ไม่สามารถกู้ข้อมูลใด ๆ ได้จากแผงที่เหลือ ‼️ คำเตือนจากการออกแบบระบบ ⛔ การใช้พีซีแบบ fanless อาจไม่ทนต่อแรงดันและความร้อนจากการระเบิด ⛔ ไม่มีระบบป้องกันข้อมูลในกรณีฉุกเฉินหรือการระเบิด ⛔ การออกแบบระบบเก็บข้อมูลควรคำนึงถึงการกู้คืนหลังภัยพิบัติ 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความท้าทายในการกู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เสียหาย ➡️ SSD มีโครงสร้างที่ซับซ้อนและเปราะบางต่อแรงกระแทก ➡️ การกู้ข้อมูลต้องใช้เทคนิคระดับสูง เช่น การสกัดชิปและอ่านข้อมูลโดยตรงจาก NAND ✅ บทเรียนจาก Titan สำหรับการออกแบบระบบใต้น้ำ ➡️ ควรมีระบบบันทึกข้อมูลซ้ำในหลายตำแหน่ง ➡️ ใช้วัสดุที่ทนแรงดันและความร้อนสูง ➡️ ออกแบบให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้แม้ในกรณีที่โครงสร้างหลักเสียหาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/oceangate-titan-computers-crushed-into-twisted-mass-of-metal-and-electronics-during-catastrophic-implosion-investigators-find-signs-of-thermal-damage-too
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 4 (ตอนจบ)

    “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ”

    โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ.

    นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้

    NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น

    นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย

    ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา
    ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย

    เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก

    สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ

    ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน

    Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน!

    ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม

    โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา”

    อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด
    Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น

    ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก

    เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก

    แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557

    ————————–———————–

    บทส่งท้าย

    เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ

    ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง

    แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า

    ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า

    ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ

    ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 4 (ตอนจบ) “สวีเดน ทำการจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับ รัสเซีย ให้อเมริกามานานแล้ว ” โทรทัศน์ สวีเดน Sveriges Television ( SVT ) ออกข่าวนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2013 บอกว่า เรื่องนี้อยู่ในเอกสาร ที่นาย Edward Snowden เอามาปูด จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปน่ะและตอนนี้ นาย Snowden ก็คงกำลังนั่งซุกหัว ซุกตัว อยู่ในที่หลบภัยอุ่นๆ ตรงไหนสักแห่งหนึ่งของรัสเซีย และเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติม ให้เจ้าของที่หลบภัยฟังต่อ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้สื่อข่าวสวีเดน นาย Martin Jonsson ได้พยายามขุดมา ตั้งแต่ปี 2005 เกี่ยวกับหน่วยงานข่าวกรองของสวีเดน ชื่อ Forsvarets Radioanstalt ( FRA ) แปลคร่าวๆ คือ National Defense Radio Establishment ซึ่งมีข่าวว่า ตั้งขึ้นมา เพื่อทำการจารกรรมข้อมูลจากสัญญาน ( wiretap ) ที่ผ่านไปมาอยู่แถบนั้น ให้กับ National Security Agency (NSA) ของอเมริกา โดยใช้ระบบที่รู้จักกันในชื่อ Echelon ที่โด่งดัง และประสิทธิภาพน่าขนลุก (ที่ใช้ลูกกลมเหมือนลูกปิงปองยักษ์) แต่ความเป็นจริง Echelon เป็นเพียงหนึ่งในระบบต่างๆที่ NSA ใช้ ยังมีระบบอื่นที่น่าตกใจกว่า อีกแยะ. นาย Jonsson บอกว่า NSA เป็นหน่วยงานข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา และเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดักฟัง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ FRA ก็เป็นส่วนหนึ่ง ของเครือข่ายนี้ NSA มีขนาด และเครือข่ายใหญ่กว่า CIA มาก โดย NSA เน้นการหาข่าวกรองจากคลื่นสัญญานต่างๆ ที่ส่งกันทั้ง บนดิน ใต้ดิน บนเรือ ใต้น้ำ บนท้องฟ้า ในเครื่องบิน จากดาวเทียม ฯลฯ โดยมีการทำสัญญาการให้ร่วมมือกัน ระหว่าง อเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย เรียกว่า กลุ่ม Five Eyes ตั้งแต่ ปี 1954 เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น นาย Jonssen เล่าว่า ตอนนั้น เราเพียงรู้ว่า เครือข่ายดักฟังข้อมูล มีเพียง 5 ประเทศ ดังกล่าว ต่อมาปี 2007 มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า สวีเดน อาจจะเป็น ประเทศที่ 6 ที่จะได้เข้าไปร่วมกับเครือข่ายนี้ด้วย โดยจะทำสัญญาเพิ่ม ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม สวีเดนก็ดำเนินการออกกฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อ FRA law ให้รัฐสามารถดักฟัง เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของสวีเดน ไม่ว่า จะเป็นทางโทรศัพท์ หรือทางเอกสาร ฯลฯได้ ซึ่งเดิมถือว่าเป็นการผิดกฏหมาย ในเรื่องการละเมิดสิทธิ โดยทาง NSA ส่งทีมมาช่วยร่างกฏหมาย เตี๊ยมคำถามคำตอบ ที่ทางรัฐจะต้องตอบกับสภาประชาชนและสื่อ เล่นกันแบบนั้นเลย นึกว่าจะมีแต่แถวบ้านสมันน้อย ชาวสวีเดน ต่างออกมาประท้วงร่างกฏหมายฉบับนี้ อย่างมากมาย แต่ในที่สุด ฝ่ายรัฐก็ชนะไปอย่างเฉียดฉิว วันที่ 13 เดือนเมษายน 2007 Odenberg รัฐมนตรีกลาโหมของสวีเดน กับ Chertoff หัวหน้า Homeland Security ของอเมริกา ก็ลงนามในสัญญาที่มีผลให้ สวีเดน รับหน้าที่ ทำการดักฟังการสื่อสารระหว่างประเทศทั้งหมดของรัสเซีย และแชร์ข้อมูลที่ได้รับกับอเมริกา หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับสัญญาล้วงตับนี้ก็หลุดออกมาถึงสื่อ รัฐบาลสวีเดนพยายามแก้ตัวว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ เป็นเรื่องธรรมดา หลายประเทศก็ทำสัญญาเช่นนี้กับอเมริกา ส่วน FRA law ฝีแตกที่หลัง ชาวสวีเดนเพิ่งรู้เรื่อง ต่างไม่พอใจการกระทำของรัฐบาล สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน พากันสอบถามรัฐบาล รัฐบาลแก้ตัวไม่หลุด แถไปเรื่อยๆ ข้อแก้ตัวอันหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งงงหนัก คือคำตอบที่บอกว่า การล้วงตับรัสเซีย เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันพวกทหารของเรา ที่ส่งไปรบที่อาฟกานิสถาน อืม เป็นการอ้างเหตุผลได้บัดซบ ไม่น้อยกว่านักการเมืองแถวบ้านสมันน้อย สวีเดนส่งกองทหารไปช่วยอเมริกาถล่มอาฟกานิสถาน และลิเบียในช่วงปี 2011 รวมทั้งส่งเครื่องบินรบ Saab Gripen ที่โด่งดัง ไปช่วยด้วย เป็นการดูแลความมั่นคงของสวีเดน ที่ใช้วิสัยทัศน์ ที่ยาว และระยะทางอ้อมไกลมาก สื่อสวีเดนไม่ยอมหยุด ช่วยกันขุดต่อ และนำมาเปิดเผยว่า ประมาณ 80% ของการใช้อินเตอร์เนทระหว่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านเส้นทางสวีเดน นับว่าอเมริกามีตาแหลมคม เลือกคนล้วงตับได้เก่งจริงๆ นอกจากนี้ TeliaSonera บริษัทร่วมทุนยักษ์ใหญ่ ของสวีเดนและฟินแลนด์ ซึ่งมีเครือข่ายใยแก้ว ( fiberoptic ) ใหญ่ที่สุดของโลกบริษัทหนึ่ง และได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรัสเซียรายหนึ่งนั้น ถ้าดูตามแผนที่ของบริษัท จะเห็นว่า ได้มีการวางแผน การวางเส้นทางสายใยแก้วของบริษัท ที่มีผลให้การสื่อสารของรัสเซีย ต้องทำผ่านสวีเดน การส่งเมล์ และโทรศัพท์ ไปต่างประเทศของรัสเซีย ต้องผ่านสต๊อกโฮมก่อน ไม่ว่าผู้รับจะอยูที่ใด เยี่ยมจริงๆ ความร่วม มือระหว่าง FRA กับ NSA ขยายตัวขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่ 2011 NSA สามารถดักฟัง การสื่อสารในประเทศแถบบอลติกได้หมด ผ่านเคเบิลของสวีเดน Duncan Campbell สื่อชาวอังกฤษ ประเภทเกาะติด ตามขุดลึกอย่างไม่เลิก ตามสืบเรื่อง การล้วงตับดักฟังข้อมูลต่อ ได้ข้อมูลลึกมาเพียบ เขาบอกว่า องค์กรที่มาร่วมเป็นตาที่ 6 กับกลุ่ม Five Eyes และถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ที่ ไม่ได้เป็นประเทศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง กับหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ UK’s Government Communications Head Quarters (GCHQ) คือสวีเดน! ตกลง สวีเดนเป็นนักล้วงตัวจริง ไม่ล้วงธรรมดา ล้วงแล้ว แล้วแหกปากบอกต่อไปทั่วอีกด้วย สวีเดนทำอย่างนี้ทำไม โฆษก ของ FRA ยอมรับว่า NSA ของอเมริกา มี full access ผ่านได้ทุกด่าน เข้าได้ตลอดเวลาถึงศูนย์ข้อมูล ที่ฝ่ายข่าวกรองของสวีเดนได้มา เขาให้เหตุผลว่า ” เราคงไม่ทำอะไร โดยไม่ได้อะไรกลับมาหรอกนะ เมื่อเราสามารถหาข้อมูลในส่วนนี้ของโลกได้ เราก็เอาข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับข้อมูลของส่วนอื่นของโลก ซึ่งยากสำหรับเราที่จะได้มา แต่มันเป็นข้อมูล ที่อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สำหรับนโยบายต่างประเทศของเรา” อย่างหนึ่งที่ สวีเดนได้รับมาจาก NSA ในการเป็นมิตรร่วมล้วง คือได้ โปรแกรมสุดยอดสำหรับการตามประกบเป้าหมาย ที่ต้องการจะล้วงลึกถึงสุดทางชื่อ Xkeyscore คือการตาม online ของทุกคนได้อย่างหมดจด อ้อ ไอ้เจ้านี่เอง ที่มันตาม ป่วนลุงนิทาน! โปรแกรมนี้ สามารถทำให้สวีเดน แฮ๊กเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสอดส่องดูกิจกรรมของประชาชน ของตนได้แบบไม่เหลือ อืม มันเลวได้เหมือนกันหมด นอกจากนี้ สวีเดนยังได้เข้าร่วม Project Quantum ที่ว่าเป็นการปฏิบัติการ hijacks ด้านคอมพิวเตอร์ที่สุดยอด Edward Snowden พูดถึงฤทธิ์เดช ของ Xkeyscore ไว้ว่า “ผมแค่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของ ผม ผมก็สามารถ wiretap ใครก็ได้ จากคุณ หรือบัญชีของคุณ ไปจนถึง ผู้พิพากษาศาลสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดี เพียงมีอีเมล์ ของคนนั้นเท่านั้น ส่วน Quantum เขาว่า เป็นการใช้คลื่นวิทยุ กับอุปกรณ์ ที่ NSA สร้างขึ้นพิเศษ มีชื่อเรียกกันวงในว่า Cottonmouth I ก็ดูดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ได้หมด แถมส่งต่อไปตามสถานีใหญ่ของ NSA หรือส่งไปสถานีย่อยแบบพกพา portable ได้อีก เรื่องการจารกรรมข้อมูลของรัสเซีย โดยสวีเดน เพื่ออเมริกาและพวก เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และค้านกับการที่สวีเดนประกาศตัวเสมอว่า ฉันเป็นชาติเป็นกลาง มันเป็นกลางแบบที่เราคงนึกกันไม่ถึง โลกนี้ยังมีอะไรอีกแยะที่เรายังไม่รู้ ตราบเท่าที่ยังไม่เอากระป๋องสี่เหลี่ยมที่เขาครอบหัวเราออก แล้วรัสเซียรู้เรื่องการล้วงตับ นี้ไหม รัสเซียคงยิ่งกว่ารู้ การเอาเครื่องบินรบ บินเฉี่ยวหัว และเอาเรือดำน้ำ โผล่ขึ้นไปตบหน้า แล้วหายตัวไป เบ็ดเสร็จประมาณ 40 ครั้ง ในรอบ 8 เดือน อย่างที่ครูอี ด่าหน้าเสาธงนั่นแหละ คงเป็นคำตอบของรัสเซียอย่างหนึ่ง ก็ไหนว่ามีมือยาวล้วงได้ล้ำลึกนัก ก็ผลัดกันล้วงบ้างแล้วกัน และเราก็ดูกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว ใครจะล้วงลึก หรือ ลวงลึก ได้กว่ากัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557 ————————–———————– บทส่งท้าย เขียนเรื่องเขา ผลัดกันล้วงแล้ว อดนึกถึงเรื่องของเรา สมันน้อยไม่ได้ สมันน้อยเคยถูกล้วงบ้างไหม โดยใคร แล้วยังล้วงกันอยู่หรือเปล่า เคยคิดกันบ้างไหมครับ ลองคิดเป็นตัวอย่างเล่นๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2533 แดนสมันน้อยประกาศเชิญชวนติดตั้ง โทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น กทม. 2 ล้านเลขหมาย ต่างจังหวัด 1 ล้านเลขหมาย ใครประมูลได้ ส่วนไหนบ้าง ใครเป็นคนได้งานวางไฟเบอร์ออพติก ใครรับช่วงต่อ ใครเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลต่อรองเงื่อนไข ไปลองหาอ่านกันบ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้หนา รู้บาง รู้ข้าง รู้ฝ่าย กันบ้าง แล้วลองนึกถึงอีกเรื่อง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2535 แดนสมันน้อยให้สัมปทานดาวเทียม ใครเป็นคนได้สัมปทาน ทำอยู่กี่ปีแล้วดันขายไปให้ใคร ผิดเงื่อนไขสัมปทาน ผิดกฏหมายไหม มีใครคิดดำเนินการอะไรกันบ้างหรือเปล่า ตอนนี้ ดาวเทียมของบริษัทที่ขายไป ก็ยังใช้ตำแหน่งวงโคจรประจำ ของสมันน้อยอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าของใหม่กลายเป็นลูกกระเป๋ง ของไอ้นักล่า ลองต่อจิ๊กซอว์ เรื่องดาวเทียม โทรศัพท์ และสายไฟเบอร์ออพติก ดูเล่นกันหน่อย เห็นภาพอะไรไหมครับ นี่ยังไม่ได้เอาเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่มารวมต่อเลยนะ ถ้าเห็นภาพแล้ว จะทำอะไรก็ให้มันมิดชิด ระวังกันหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้คนแอบอ่านแอบดูแอบฟังมันกุ้งยิงกินหมด ฮาออกไหมครับ ผมฮาไม่ออกหรอก ยิ่งเคยเห็นไอ้ลูกปิงปองยักษ์แว็บๆ ยิ่งคิดมาก ใครอยากเห็น นู่นครับ แถวเชียงใหม่ ออกนอกเมืองไปไม่ถึงชั่วโมงมีลูกเบ้อเริ่ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 562 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 3

    ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2014 สถาบัน European Leadership Network (ELN) ได้ออกรายงานยาวประมาณ 20 หน้า ชื่อ Dangerous Brinkmanship: Close Military Encounters Between Russia and the West in 2014 บรรยายอย่างละเอียดถึงความประพฤติของรัสเซีย ซึ่งถ้าเปรียบกับนักเรียน ก็เป็นประเภทนักเรียนเกเร ที่ถูกครูใหญ่ดุประจาน ต่อหน้านักเรียนทั้งโรงเรียน ตอนเคารพธงชาติน่ะครับ

    ครูอี (ELN) บอกว่า ตั้งแต่รัสเซียปฏิบัติการผนวกไครเมียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างตะวันตกกับรัสเซียเพิ่มจำนวน และเพิ่มความน่าระทึกใจขึ้นทุกที ครูอี นี่ท่าทางเข้มงวด แต่ขวัญอ่อนนะ ครูอีบอกว่า ผ่านมาแค่ 8 เดือน รัสเซียก่อเหตุ ประมาณ 40 ครั้ง มากกว่าปีที่แล้ว 3 เท่า แยกการก่อเหตุ เป็น 3 ประเภท คือ

    – กึ่งปฏิบัติการประจำ (near routine)
    – ปฏิบัติการยั่วยุ (provacative nature)
    – ปฏิบัติการสร้างความเสียว (serious with evident risk of escalation)

    ปฏิบัติการสร้างความเสียวมี 3 ครั้ง ( น้อยจังคุณพี่ พวกขวัญอ่อนนี่ น่าจะให้เสียวมากกว่านี้หน่อยนะ เป็นการฝึกหัดให้อดทน)

    ครั้งที่ 1 เมื่อ 3 มีนาคม 2014 รายการบินเฉี่ยวหัวครั้งแรก ผู้ถูกเฉี่ยวคือ เครื่อง SAS ขวัญใจคุณพี่ปูติน สงสัยจะแอบชอบแอร์สาวชาวสแกน (ฮา) บินขึ้นจาก กรุงโคเปนฮาเกน ก็เกือบจ้ะเอ๋กับเครื่องลาดตระเวนของรัสเซีย ที่ไม่เปิดเรดาร์ แหมเวลาแอบดูสาว ใครเขาเปิดไฟกันบ้างเนอะ

    ครั้งที่ 2 วันที่ 5 กันยายน 2014 นาย Eston Kohver เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติการด้านความมั่นคงของเอสโทเนียอยู่ดีๆ ก็ ถูกสายลับรัสเซียดอดเข้ามาอุ้มตัวไปมอสโคว์ เหตุเกิดที่หน่วยปฏิบัติการ ประจำเขตแดนเอสโทเนียนั่นเอง ซึ่ง ครูอี ถือว่าเป็นเขตแดนของนาโต้

    นาย Kohver ถูกรัสเซียกล่าวหาว่ากำลังทำการจารกรรม เหตุการณ์นี้ทำให้ระบบการติดต่อขัดข้องไปหมด ก็คือล่มนั่นแหละ (communication jamming) และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ นายโอบามา ไปเยี่ยมบริเวณดังกล่าว และให้ความยืนยันซ้ำถึงความปลอดภัยของบรรดารัฐ ที่อยู่ในบริเวณทะเลบอลติก เช่น เอสโทเนีย

    แปลว่าการอุ้มเกิดขึ้น หลังจากนายโอบามาเพิ่งลุกกลับไป กลิ่นยังไม่ทันจางเลย ฮาจริง ครูอี นี่ก็พาซื่อ เล่าหมด

    นี่มันรายงานเรื่องสำคัญ หรือบทตลกกันแน่ ผมชักงงว่า หยิบเอกสารผิดหรือเปล่า
    ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 17-27 ตุลาคม 2014 มีการตามล่าหาเรือดำน้ำ บริเวณเกาะเล็กเกาะน้อย ในน่านน้ำสวีเดน หน้ากรุงสต๊อกโฮมนั่นเอง สวีเดนยัวะจัด บอกพร้อมที่จะใช้อาวุธจัดการกับเรือดำน้ำ… ถ้าหาเจอ ….แต่ปรากฎว่าหาไม่เจอ แต่แน่ใจว่าเป็นเรือดำน้ำรัสเซีย เอะ ไม่เจอแล้วแน่ใจได้ยังไง แน่นอน เมื่อหาไม่เจอ จับไม่ได้คามือ รัสเซียก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ใครจะไปรับกันง่ายๆ

    สวีเดนบอกว่า ปฏิบัติการล่าเรือดำน้ำครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ รุนแรงที่สุดของสวีเดน นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เชียวนะ

    เอ! สงสัยมันเป็นรายงานคนขวัญอ่อนจริงๆ แหละ ผมอ่านตอนแรกๆก็นึกว่า มีเรื่องน่าระทึกใจ นี่ขนาด 3 รายการรุนแรง มันยังอ่อนยวบอย่างนี้ ไอ้ที่เหลืออีก 30 กว่ารายการ ผมไม่บรรยายดีกว่านะครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่อง เครืองบินรบของรัสเซีย บินเฉี่ยวไปโฉบมาไปทั่ว แถบบริเวณทะเลเหนือ ทะเลดำ ทะเลบอลติก ก็บ้านเขาอยู่ตรงนั้น ไม่บินแถวนั้นก็ประหลาดอยู่ ซึ่งพวกกินปลาดิบดองน้ำมันแถวนั้นคงขัดใจ ไม่ชอบให้เฉี่ยวหัว เฉี่ยวหู ผ้าเช็ด ตากยังไม่ทันแห้ง เฉี่ยวหัว ต้องเช็ดกันอีกแล้ว

    แล้วรัสเซียทำอย่างนี้ทำไม ชอบถูกด่าหน้าเสาธงนักหรือ

    ครูอี บอกว่า ด้านการทหารวิเคราะห์ว่า รัสเซียกำลังทดสอบสมรรถนะของนาโต้ ดูความพร้อม ระยะเวลาของปฏิกิริยา และอาวุธของกองกำลังนาโต้

    เอ ครูอีครับ แต่สวีเดน กับฟินแลนด์ไม่ได้อยู่ในนาโต้นะครับ

    ครูอีไม่ตอบ แต่แจงเพิ่มว่า น่าสังเกตว่า การยั่วยุของรัสเซียจะเกิดขึ้นสอดคล้องกับการแวะมาเยี่ยมของพวกลูกพี่เสมอเช่น เมื่อนายโอบามาแวะมาเยี่ยมยุโรปกลาง รัสเซียก็เฉียวหัวให้ดู พอนายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนไปเยี่ยมแคนาดา คุณพี่ปูตินก็ส่งเครื่องโฉบผ่านหัวที่แคนาดา ไปสวัสดีช๊อกโกแลต ส่วนกรณีเรือดำน้ำ ที่แวะไปประทับตราวีซ่าขาเข้าให้ตัวเองแถวสก๊อตแลนด์ ที่ชาวเกาะใหญ่เรียกระดมพล ก็เป็นช่วงประชุมสุดยอดของนาโต้ที่ Wales ผมว่า คุณพี่ปูติน เขาก็เลือกจังหวะทักทายได้เหมาะสม ตามมารยาทดีนี่นะ

    แต่ครูอีไม่เห็นด้วย บอกว่า ถ้ารัสเซียทำตัวท้าทายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหตุการณ์มันจะพัฒนาไปถึงจุดที่ เป็นการยากสำหรับแต่ละฝ่ายที่จะหยุด หรือควบคุม

    ฮั่นแน่ ครูอี ขู่เป็นเหมือนกัน แต่เป็นการขูฝ้อเล็กๆ น่าเอ็นดู

    แต่สุ้มเสียงของสวีเดนเอง ดูเหมือนจะคนละรสกับครูอี นาย Johan Wiktorin เจ้าหน้าที่ประจำ Swedish Royal Acadamy of War Science วิเคราะห์ว่า เรือดำน้ำรัสเซียน่า เข้ามา เพื่อมาสำรวจ และทำแผนที่บริเวณน่านน้ำแถวนั้น และเป็นไปได้ว่ารัสเซียเข้ามาติดตั้งเครื่องจารกรรมใว้ใต้ท้องน้ำด้วย และเป็นการทดสอบระบบการป้องกันความมั่นคงของสวีเดนด้วย เป็นการวิเคราะห์ที่ดูเหมือนสวีเดนกำลังคิด (หรือ รู้ ) ว่า รัสเซียน่าจะกำลังมีแผน คิดทำการใหญ่

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    22 ธค. 2557
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 3 ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2014 สถาบัน European Leadership Network (ELN) ได้ออกรายงานยาวประมาณ 20 หน้า ชื่อ Dangerous Brinkmanship: Close Military Encounters Between Russia and the West in 2014 บรรยายอย่างละเอียดถึงความประพฤติของรัสเซีย ซึ่งถ้าเปรียบกับนักเรียน ก็เป็นประเภทนักเรียนเกเร ที่ถูกครูใหญ่ดุประจาน ต่อหน้านักเรียนทั้งโรงเรียน ตอนเคารพธงชาติน่ะครับ ครูอี (ELN) บอกว่า ตั้งแต่รัสเซียปฏิบัติการผนวกไครเมียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างตะวันตกกับรัสเซียเพิ่มจำนวน และเพิ่มความน่าระทึกใจขึ้นทุกที ครูอี นี่ท่าทางเข้มงวด แต่ขวัญอ่อนนะ ครูอีบอกว่า ผ่านมาแค่ 8 เดือน รัสเซียก่อเหตุ ประมาณ 40 ครั้ง มากกว่าปีที่แล้ว 3 เท่า แยกการก่อเหตุ เป็น 3 ประเภท คือ – กึ่งปฏิบัติการประจำ (near routine) – ปฏิบัติการยั่วยุ (provacative nature) – ปฏิบัติการสร้างความเสียว (serious with evident risk of escalation) ปฏิบัติการสร้างความเสียวมี 3 ครั้ง ( น้อยจังคุณพี่ พวกขวัญอ่อนนี่ น่าจะให้เสียวมากกว่านี้หน่อยนะ เป็นการฝึกหัดให้อดทน) ครั้งที่ 1 เมื่อ 3 มีนาคม 2014 รายการบินเฉี่ยวหัวครั้งแรก ผู้ถูกเฉี่ยวคือ เครื่อง SAS ขวัญใจคุณพี่ปูติน สงสัยจะแอบชอบแอร์สาวชาวสแกน (ฮา) บินขึ้นจาก กรุงโคเปนฮาเกน ก็เกือบจ้ะเอ๋กับเครื่องลาดตระเวนของรัสเซีย ที่ไม่เปิดเรดาร์ แหมเวลาแอบดูสาว ใครเขาเปิดไฟกันบ้างเนอะ ครั้งที่ 2 วันที่ 5 กันยายน 2014 นาย Eston Kohver เจ้าหน้าที่กำลังปฏิบัติการด้านความมั่นคงของเอสโทเนียอยู่ดีๆ ก็ ถูกสายลับรัสเซียดอดเข้ามาอุ้มตัวไปมอสโคว์ เหตุเกิดที่หน่วยปฏิบัติการ ประจำเขตแดนเอสโทเนียนั่นเอง ซึ่ง ครูอี ถือว่าเป็นเขตแดนของนาโต้ นาย Kohver ถูกรัสเซียกล่าวหาว่ากำลังทำการจารกรรม เหตุการณ์นี้ทำให้ระบบการติดต่อขัดข้องไปหมด ก็คือล่มนั่นแหละ (communication jamming) และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ นายโอบามา ไปเยี่ยมบริเวณดังกล่าว และให้ความยืนยันซ้ำถึงความปลอดภัยของบรรดารัฐ ที่อยู่ในบริเวณทะเลบอลติก เช่น เอสโทเนีย แปลว่าการอุ้มเกิดขึ้น หลังจากนายโอบามาเพิ่งลุกกลับไป กลิ่นยังไม่ทันจางเลย ฮาจริง ครูอี นี่ก็พาซื่อ เล่าหมด นี่มันรายงานเรื่องสำคัญ หรือบทตลกกันแน่ ผมชักงงว่า หยิบเอกสารผิดหรือเปล่า ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 17-27 ตุลาคม 2014 มีการตามล่าหาเรือดำน้ำ บริเวณเกาะเล็กเกาะน้อย ในน่านน้ำสวีเดน หน้ากรุงสต๊อกโฮมนั่นเอง สวีเดนยัวะจัด บอกพร้อมที่จะใช้อาวุธจัดการกับเรือดำน้ำ… ถ้าหาเจอ ….แต่ปรากฎว่าหาไม่เจอ แต่แน่ใจว่าเป็นเรือดำน้ำรัสเซีย เอะ ไม่เจอแล้วแน่ใจได้ยังไง แน่นอน เมื่อหาไม่เจอ จับไม่ได้คามือ รัสเซียก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ใครจะไปรับกันง่ายๆ สวีเดนบอกว่า ปฏิบัติการล่าเรือดำน้ำครั้งนี้ เป็นเรื่องใหญ่ รุนแรงที่สุดของสวีเดน นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เชียวนะ เอ! สงสัยมันเป็นรายงานคนขวัญอ่อนจริงๆ แหละ ผมอ่านตอนแรกๆก็นึกว่า มีเรื่องน่าระทึกใจ นี่ขนาด 3 รายการรุนแรง มันยังอ่อนยวบอย่างนี้ ไอ้ที่เหลืออีก 30 กว่ารายการ ผมไม่บรรยายดีกว่านะครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่อง เครืองบินรบของรัสเซีย บินเฉี่ยวไปโฉบมาไปทั่ว แถบบริเวณทะเลเหนือ ทะเลดำ ทะเลบอลติก ก็บ้านเขาอยู่ตรงนั้น ไม่บินแถวนั้นก็ประหลาดอยู่ ซึ่งพวกกินปลาดิบดองน้ำมันแถวนั้นคงขัดใจ ไม่ชอบให้เฉี่ยวหัว เฉี่ยวหู ผ้าเช็ด ตากยังไม่ทันแห้ง เฉี่ยวหัว ต้องเช็ดกันอีกแล้ว แล้วรัสเซียทำอย่างนี้ทำไม ชอบถูกด่าหน้าเสาธงนักหรือ ครูอี บอกว่า ด้านการทหารวิเคราะห์ว่า รัสเซียกำลังทดสอบสมรรถนะของนาโต้ ดูความพร้อม ระยะเวลาของปฏิกิริยา และอาวุธของกองกำลังนาโต้ เอ ครูอีครับ แต่สวีเดน กับฟินแลนด์ไม่ได้อยู่ในนาโต้นะครับ ครูอีไม่ตอบ แต่แจงเพิ่มว่า น่าสังเกตว่า การยั่วยุของรัสเซียจะเกิดขึ้นสอดคล้องกับการแวะมาเยี่ยมของพวกลูกพี่เสมอเช่น เมื่อนายโอบามาแวะมาเยี่ยมยุโรปกลาง รัสเซียก็เฉียวหัวให้ดู พอนายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนไปเยี่ยมแคนาดา คุณพี่ปูตินก็ส่งเครื่องโฉบผ่านหัวที่แคนาดา ไปสวัสดีช๊อกโกแลต ส่วนกรณีเรือดำน้ำ ที่แวะไปประทับตราวีซ่าขาเข้าให้ตัวเองแถวสก๊อตแลนด์ ที่ชาวเกาะใหญ่เรียกระดมพล ก็เป็นช่วงประชุมสุดยอดของนาโต้ที่ Wales ผมว่า คุณพี่ปูติน เขาก็เลือกจังหวะทักทายได้เหมาะสม ตามมารยาทดีนี่นะ แต่ครูอีไม่เห็นด้วย บอกว่า ถ้ารัสเซียทำตัวท้าทายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหตุการณ์มันจะพัฒนาไปถึงจุดที่ เป็นการยากสำหรับแต่ละฝ่ายที่จะหยุด หรือควบคุม ฮั่นแน่ ครูอี ขู่เป็นเหมือนกัน แต่เป็นการขูฝ้อเล็กๆ น่าเอ็นดู แต่สุ้มเสียงของสวีเดนเอง ดูเหมือนจะคนละรสกับครูอี นาย Johan Wiktorin เจ้าหน้าที่ประจำ Swedish Royal Acadamy of War Science วิเคราะห์ว่า เรือดำน้ำรัสเซียน่า เข้ามา เพื่อมาสำรวจ และทำแผนที่บริเวณน่านน้ำแถวนั้น และเป็นไปได้ว่ารัสเซียเข้ามาติดตั้งเครื่องจารกรรมใว้ใต้ท้องน้ำด้วย และเป็นการทดสอบระบบการป้องกันความมั่นคงของสวีเดนด้วย เป็นการวิเคราะห์ที่ดูเหมือนสวีเดนกำลังคิด (หรือ รู้ ) ว่า รัสเซียน่าจะกำลังมีแผน คิดทำการใหญ่ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 22 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 498 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลัดกันล้วง ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง”
    ตอนที่ 2

    ก่อนหน้ารายการ บินเฉี่ยวหัว ไม่กี่วัน แถวๆเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็มีเหตุการณ์ตื่นตูมกัน

    The Telegraph สื่อเสียงดังของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ออกข่าวเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2014 สรุปว่า เครื่องบินลาดตระเวนจากฝรั่งเศส อเมริกา และแคนาดา ถูกเรียกให้มาร่วมด้วยช่วยกัน กับราชนาวีของชาวเกาะ ที่เคยโม้ไว้ว่าใหญ่คับฟ้า แต่คราวนี้โม้ไม่ออก ต้องส่งเสียงเรียกพวกให้มาช่วยกันตามล่า วัตถุที่ต้องสงสัยกันว่า เป็นเรือดำน้ำ แต่ดันไปโผล่พ้นน้ำ โชว์อยู่แถวตะวันตกของสก๊อตแลนด์ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

    เครืองบินลาดตะเวน ที่ถูกชาวเกาะจีบปากเรียกให้มา ใช้เวลาบินตรวจแถว Lossiemouth ของสก๊อตแลนด์อยู่หลายวัน ไม่พบอะไร แม้แต่ล๊อคเนส พญานาคสัญชาติสก๊อต ก็ไม่แวบมาให้ชม ข่าวบอกว่า วัตถุต้องสงสัยว่าเป็นเรือดำน้ำนั้น น่าจะเป็นของรัสเซีย ที่เพิ่งไปแวะเยี่ยมน่านน้ำสวีเดน ( ฮั่นแน่ เรื่องนี้เอง ) เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งสวีเดนเม้มปากแน่น ไม่ยอมแอะออกมา เพราะกลัวเสียหน้า ไม่เสียยังไง เขาว่า เรือดำน้ำโผล่หัวขึ้นมาสวัสดี ที่ทะเลหน้ากรุงสต๊อกโฮม เมืองหลวงเลยนะ นี่มันไม่ใช่แค่เฉี่ยวหัว แต่มันเปียกเต็มหน้า แล้วก็จับไม่ได้คาหนัง แบบนี้จะไม่ให้แค้นค้างบัญชีได้ยังไง

    ที่เสียหน้าไม่แพ้กัน ก็ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายนั่นแหละคุยดีนั กว่า กองทัพเรืออังกฤษ ใหญ่เป็นที่หนึ่งของโลก ปี 2010 ชาวเกาะถังแตก ไม่ต่างกับ นักล่าใบตองแห้ง ต้องตัตงบด้านความมั่นคง เอาอย่างกัน เลยต้องแบกหน้าอันยิ่งใหญ่ เรียกให้ลูกสมุนมาด่วน มาช่วยกันค้นหา ไอ้ตัวที่กำลังดำน้ำมาล้วงคอพวกเรา

    Nimrod เป็นเครื่องบินจารกรรมที่ชาวเกาะภาคภูมืใจมาก ใช้มาตั้งแต่สมัย 1960 กว่า มีเครื่องดักจับเรือดำน้ำ อย่างไม่มีหลุด กองทัพเรือมีแผนพัฒนาให้จับให้ แม่น ให้อยู่หมัดมากขึ้น เสียดาย การพัฒนาใช้เวลานานเกินไป 9 ปี งบบานเกินไป ประมาณ 1.25 พันล้านปอนด์ การพัฒนาก็เลยค้าง เป็นโอกาสให้ฝ่ายคุณพี่ปูตินขอ ทดลองดูว่า ไม่มี Nimrod มาคอยจับแล้ว เรือดำน้ำเราจะรอดไหม ก็รอดจริงๆ เพราะเอาเด็กๆ มาช่วยตระเวนหา มันยังละอ่อนทั้งนั้น แล้วเวลาทำสงครามจะทำไงนี่ แค่เรือดำน้ำลำเดียว ขนกันมา 4 ประเทศ ยังหาไม่เจอเลย ไหนว่าเทคโนโลยีฝั่งนักล่าเจ๋งกว่าไง
    เรื่องเรือดำน้ำหายตัวได้นี่ ปิดกันเงียบ เพราะมันเสียหน้ากันทั่ว นาย Matthew Barzen ทูตอเมริกัน ประจำอังกฤษ ถึงกับขอร้องอังกฤษว่า อย่าเพิ่งตัดงบด้านความมั่นคงตอนนี้ได้ไหม เพราะเรา 2 ประเทศ มีผลประโยชน์ร่วมกัน จะให้อเมริกาแบกน้ำหนักข้างเดียวเหรอ ข้างตูก็ถูกตัดนะเว้ย แบบนี้ ฝ่ายโน้นมันก็เห็นฟันหรอของเราหมดสิ

    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จับวัตถูต้องสงสัยคล้ายเรือดำน้ำ ในท้องทะเลของชาวเกาะได้หรือไม่อย่างไร ข่าวแจงเพิ่มว่า ฝ่ายอังกฤษ ใช้เรือรบหลายลำ รวมทั้งขนเอาเรือสำหรับลากเรือดำน้ำ พร้อมเครื่องตรวจจับไปด้วย เรียกว่าขนกันเต็มยศเต็มอัตรามา เลย ส่วนเครื่องบิน ของลูกสมุนที่มาช่วยกันล่า อเมริกาส่ง P-3 Orions 2 ลำ แคนาดา ส่ง CP-140 Aurora ส่วนฝรั่งเศส ส่ง Atlantique 2 รวมทั้งเครื่องบินจารกรรมของอังกฤษเองด้วย

    ขณะที่ ด้านนี้กำลังตามล่าเรือดำน้ำ กองทัพเรือของชาวเกาะ ก็ตรวจพบร่องรอย ของเรือรบรัสเซียอีก 4 ลำ แล่นผ่านทะเลเหนือและช่องแคบ …ในช่วงเวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่ อือหือ คุณพี่ปูตินเล่นเขาแรงนะ

    เมื่อโดนฉีกหน้ามากๆ ว่าต้องขอแรงลูกสมุนมาช่วย ชาวเกาะชักหน้าแเดงเป็นลูกมะอึก ให้โฆษกกลาโหมออกมาแถลงสั้นๆว่า ” สมาชิกนาโต้ได้ส่ง เครื่องบินลาดตระเวนมาช่วยราชนาวีของเรา ที่ Lossiemouth เป็นเวลาจำกัดระยะหนึ่ง เราขอไม่ลงในรายละเอียดของการปฏิบัติการ ”

    สงสัยเครื่องลาดตระเวน ที่มาช่วยตามล่า มันห่วยมากหรือไงครับ ถึงแถลงกันแบบไม่มีใยบัวกันเลย ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องบิน ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับว่า เครื่องล่ามันไม่เอาไหน หรือเรือดำน้ำของรัสเซียเขาเหนือกว่า

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 ธค. 2557
    ผลัดกันล้วง ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ผลัดกันล้วง” ตอนที่ 2 ก่อนหน้ารายการ บินเฉี่ยวหัว ไม่กี่วัน แถวๆเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็มีเหตุการณ์ตื่นตูมกัน The Telegraph สื่อเสียงดังของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ออกข่าวเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2014 สรุปว่า เครื่องบินลาดตระเวนจากฝรั่งเศส อเมริกา และแคนาดา ถูกเรียกให้มาร่วมด้วยช่วยกัน กับราชนาวีของชาวเกาะ ที่เคยโม้ไว้ว่าใหญ่คับฟ้า แต่คราวนี้โม้ไม่ออก ต้องส่งเสียงเรียกพวกให้มาช่วยกันตามล่า วัตถุที่ต้องสงสัยกันว่า เป็นเรือดำน้ำ แต่ดันไปโผล่พ้นน้ำ โชว์อยู่แถวตะวันตกของสก๊อตแลนด์ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน เครืองบินลาดตะเวน ที่ถูกชาวเกาะจีบปากเรียกให้มา ใช้เวลาบินตรวจแถว Lossiemouth ของสก๊อตแลนด์อยู่หลายวัน ไม่พบอะไร แม้แต่ล๊อคเนส พญานาคสัญชาติสก๊อต ก็ไม่แวบมาให้ชม ข่าวบอกว่า วัตถุต้องสงสัยว่าเป็นเรือดำน้ำนั้น น่าจะเป็นของรัสเซีย ที่เพิ่งไปแวะเยี่ยมน่านน้ำสวีเดน ( ฮั่นแน่ เรื่องนี้เอง ) เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งสวีเดนเม้มปากแน่น ไม่ยอมแอะออกมา เพราะกลัวเสียหน้า ไม่เสียยังไง เขาว่า เรือดำน้ำโผล่หัวขึ้นมาสวัสดี ที่ทะเลหน้ากรุงสต๊อกโฮม เมืองหลวงเลยนะ นี่มันไม่ใช่แค่เฉี่ยวหัว แต่มันเปียกเต็มหน้า แล้วก็จับไม่ได้คาหนัง แบบนี้จะไม่ให้แค้นค้างบัญชีได้ยังไง ที่เสียหน้าไม่แพ้กัน ก็ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายนั่นแหละคุยดีนั กว่า กองทัพเรืออังกฤษ ใหญ่เป็นที่หนึ่งของโลก ปี 2010 ชาวเกาะถังแตก ไม่ต่างกับ นักล่าใบตองแห้ง ต้องตัตงบด้านความมั่นคง เอาอย่างกัน เลยต้องแบกหน้าอันยิ่งใหญ่ เรียกให้ลูกสมุนมาด่วน มาช่วยกันค้นหา ไอ้ตัวที่กำลังดำน้ำมาล้วงคอพวกเรา Nimrod เป็นเครื่องบินจารกรรมที่ชาวเกาะภาคภูมืใจมาก ใช้มาตั้งแต่สมัย 1960 กว่า มีเครื่องดักจับเรือดำน้ำ อย่างไม่มีหลุด กองทัพเรือมีแผนพัฒนาให้จับให้ แม่น ให้อยู่หมัดมากขึ้น เสียดาย การพัฒนาใช้เวลานานเกินไป 9 ปี งบบานเกินไป ประมาณ 1.25 พันล้านปอนด์ การพัฒนาก็เลยค้าง เป็นโอกาสให้ฝ่ายคุณพี่ปูตินขอ ทดลองดูว่า ไม่มี Nimrod มาคอยจับแล้ว เรือดำน้ำเราจะรอดไหม ก็รอดจริงๆ เพราะเอาเด็กๆ มาช่วยตระเวนหา มันยังละอ่อนทั้งนั้น แล้วเวลาทำสงครามจะทำไงนี่ แค่เรือดำน้ำลำเดียว ขนกันมา 4 ประเทศ ยังหาไม่เจอเลย ไหนว่าเทคโนโลยีฝั่งนักล่าเจ๋งกว่าไง เรื่องเรือดำน้ำหายตัวได้นี่ ปิดกันเงียบ เพราะมันเสียหน้ากันทั่ว นาย Matthew Barzen ทูตอเมริกัน ประจำอังกฤษ ถึงกับขอร้องอังกฤษว่า อย่าเพิ่งตัดงบด้านความมั่นคงตอนนี้ได้ไหม เพราะเรา 2 ประเทศ มีผลประโยชน์ร่วมกัน จะให้อเมริกาแบกน้ำหนักข้างเดียวเหรอ ข้างตูก็ถูกตัดนะเว้ย แบบนี้ ฝ่ายโน้นมันก็เห็นฟันหรอของเราหมดสิ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า จับวัตถูต้องสงสัยคล้ายเรือดำน้ำ ในท้องทะเลของชาวเกาะได้หรือไม่อย่างไร ข่าวแจงเพิ่มว่า ฝ่ายอังกฤษ ใช้เรือรบหลายลำ รวมทั้งขนเอาเรือสำหรับลากเรือดำน้ำ พร้อมเครื่องตรวจจับไปด้วย เรียกว่าขนกันเต็มยศเต็มอัตรามา เลย ส่วนเครื่องบิน ของลูกสมุนที่มาช่วยกันล่า อเมริกาส่ง P-3 Orions 2 ลำ แคนาดา ส่ง CP-140 Aurora ส่วนฝรั่งเศส ส่ง Atlantique 2 รวมทั้งเครื่องบินจารกรรมของอังกฤษเองด้วย ขณะที่ ด้านนี้กำลังตามล่าเรือดำน้ำ กองทัพเรือของชาวเกาะ ก็ตรวจพบร่องรอย ของเรือรบรัสเซียอีก 4 ลำ แล่นผ่านทะเลเหนือและช่องแคบ …ในช่วงเวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่ อือหือ คุณพี่ปูตินเล่นเขาแรงนะ เมื่อโดนฉีกหน้ามากๆ ว่าต้องขอแรงลูกสมุนมาช่วย ชาวเกาะชักหน้าแเดงเป็นลูกมะอึก ให้โฆษกกลาโหมออกมาแถลงสั้นๆว่า ” สมาชิกนาโต้ได้ส่ง เครื่องบินลาดตระเวนมาช่วยราชนาวีของเรา ที่ Lossiemouth เป็นเวลาจำกัดระยะหนึ่ง เราขอไม่ลงในรายละเอียดของการปฏิบัติการ ” สงสัยเครื่องลาดตระเวน ที่มาช่วยตามล่า มันห่วยมากหรือไงครับ ถึงแถลงกันแบบไม่มีใยบัวกันเลย ท่านผู้อ่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องบิน ช่วยวิเคราะห์หน่อยครับว่า เครื่องล่ามันไม่เอาไหน หรือเรือดำน้ำของรัสเซียเขาเหนือกว่า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 ธค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด

    ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย

    กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card

    ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic

    สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง

    ข้อมูลในข่าว
    พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย
    กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร
    ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์
    การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62
    กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง
    พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD
    ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute
    ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic
    กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก



    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    🧠 “พบการ์ดความจำ SanDisk มูลค่า $62 ไม่เสียหายจากซากเรือ Titan” — กู้คืนภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิป แต่ไม่มีข้อมูลจากเหตุการณ์ระเบิด ทีมกู้ภัยที่ทำงานกับซากเรือดำน้ำ Titan ของ OceanGate ได้ค้นพบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ติดตั้งอยู่ภายในเรือ ซึ่งแม้ตัวกล้องจะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด แต่การ์ดความจำ SanDisk Extreme Pro ขนาด 512GB ที่อยู่ภายในกลับไม่เสียหายเลย กล้องรุ่นนี้ถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร โดยใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ทีมวิศวกรได้ทำการกู้ข้อมูลจากการ์ดโดยสร้าง binary image เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้นฉบับ และใช้บอร์ด SoM จำลองเพื่ออ่านข้อมูลจากชิป NVRAM และ SD card ผลการกู้คืนพบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่มีความละเอียดสูงถึง 4K UHD แต่ทั้งหมดเป็นภาพจากบริเวณ ROV shop ที่ Marine Institute ใน Newfoundland ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของภารกิจดำน้ำ ไม่ใช่ภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic สาเหตุที่ไม่มีข้อมูลจากการดำน้ำครั้งสุดท้าย เป็นเพราะกล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก และไม่ได้เก็บไว้ใน SD card ภายในตัวกล้อง ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ พบกล้อง SubC Rayfin Mk2 Benthic ที่ซากเรือ Titan พร้อม SD card ที่ไม่เสียหาย ➡️ กล้องถูกออกแบบให้ทนแรงดันน้ำลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ ใช้วัสดุไทเทเนียมและคริสตัลแซฟไฟร์ ➡️ การ์ดความจำเป็น SanDisk Extreme Pro 512GB มูลค่า $62 ➡️ กู้คืนข้อมูลโดยสร้าง binary image และใช้บอร์ด SoM จำลอง ➡️ พบภาพนิ่ง 12 ภาพและวิดีโอ 9 คลิปที่ความละเอียด 4K UHD ➡️ ภาพทั้งหมดเป็นภาพจาก ROV shop ที่ Marine Institute ➡️ ไม่มีภาพจากเหตุการณ์ระเบิดหรือบริเวณซากเรือ Titanic ➡️ กล้องถูกตั้งค่าให้บันทึกข้อมูลลงอุปกรณ์ภายนอก https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/tragic-oceangate-titan-submersibles-usd62-sandisk-memory-card-found-undamaged-at-wreckage-site-12-stills-and-nine-videos-have-been-recovered-but-none-from-the-fateful-implosion
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Yantar: เรือสอดแนมรัสเซียที่กำลัง ‘เดินสาย’ ใต้ทะเลยุโรป — เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของสงครามเงียบ”

    รายงานล่าสุดจาก Financial Times และหน่วยงานความมั่นคงยุโรปเปิดเผยว่า เรือ Yantar ของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “เรือสอดแนมทางทหาร” ได้ถูกติดตามขณะเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมโยงประเทศ NATO ทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ทำแผนที่” และอาจ “สกัดกั้น” การสื่อสารที่สำคัญของพันธมิตร NATO

    Yantar ถูกระบุว่าออกเดินทางจากคาบสมุทร Kola ของรัสเซียตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยปลอมตัวเป็นเรือพลเรือน แต่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น ระบบเรดาร์, แขนกลใต้น้ำ, และยานดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งสามารถเข้าถึงสายเคเบิลที่อยู่ลึกถึง 6,000 เมตร

    เรือถูกพบในหลายจุดสำคัญ เช่น ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับหมู่เกาะ Svalbard ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอาร์กติก โดยมีการเคลื่อนไหวที่พยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ส่งสัญญาณตำแหน่ง และเคลื่อนที่ช้าเหนือสายเคเบิลโดยตรง

    ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA แสดงให้เห็นว่า Yantar เคลื่อนตัวอย่างมีเป้าหมาย และมีการหยุดตามจุดที่ตรงกับตำแหน่งสายเคเบิลพลังงาน, อินเทอร์เน็ต, และระบบสื่อสารทางทหาร เช่น Integrated Undersea Surveillance System ที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากรัสเซียต้องการโจมตีแบบ “สงครามลูกผสม” การตัดสายเคเบิลเหล่านี้อาจทำให้ประเทศตะวันตก “มืดสนิท” ทั้งในด้านพลังงาน, การเงิน, และการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดกับยูเครนและ NATO ยังคงสูงขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เรือ Yantar ของรัสเซียถูกติดตามขณะเคลื่อนที่ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำของ NATO
    เรือถูกระบุว่าเป็นเรือสอดแนมทางทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ
    จุดที่พบเรือ ได้แก่ ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับ Svalbard
    ใช้ดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA ในการติดตามตำแหน่งเรือ
    เรือสามารถปล่อยยานใต้น้ำและแขนกลเพื่อเข้าถึงสายเคเบิลลึกถึง 6,000 เมตร
    เป้าหมายคือการทำแผนที่และอาจสกัดกั้นการสื่อสารของ NATO
    สายเคเบิลที่ถูกติดตามรวมถึงระบบติดตามเรือดำน้ำ Integrated Undersea Surveillance System
    รัฐบาลอังกฤษและ NATO เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีป้องกัน เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำและโดรนตรวจการณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของการสื่อสารทั่วโลก และรองรับธุรกรรมการเงินกว่า $10 ล้านล้านต่อวัน
    รัสเซียมีหน่วยงานลับชื่อ GUGI ที่ดูแลเรือ Yantar และยานใต้น้ำกว่า 50 ลำ
    การตัดสายเคเบิลเคยเกิดขึ้นจริง เช่น กรณีสายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และสวีเดนถูกตัดในปี 2024
    สายเคเบิลบางเส้นมีความลับสูง เช่น เส้นที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู
    ประเทศในยุโรปเริ่มใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบและป้องกันการโจมตีใต้น้ำ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/moscow-military-spy-ship-tracked-mapping-and-surveilling-nato-undersea-cables-shes-following-cable-lines-and-pipelines-making-stops-we-are-monitoring-her-very-closely
    🌊 “Yantar: เรือสอดแนมรัสเซียที่กำลัง ‘เดินสาย’ ใต้ทะเลยุโรป — เมื่อสายเคเบิลกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของสงครามเงียบ” รายงานล่าสุดจาก Financial Times และหน่วยงานความมั่นคงยุโรปเปิดเผยว่า เรือ Yantar ของรัสเซีย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “เรือสอดแนมทางทหาร” ได้ถูกติดตามขณะเคลื่อนที่อย่างลับ ๆ ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมโยงประเทศ NATO ทั่วชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ทำแผนที่” และอาจ “สกัดกั้น” การสื่อสารที่สำคัญของพันธมิตร NATO Yantar ถูกระบุว่าออกเดินทางจากคาบสมุทร Kola ของรัสเซียตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยปลอมตัวเป็นเรือพลเรือน แต่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ เช่น ระบบเรดาร์, แขนกลใต้น้ำ, และยานดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งสามารถเข้าถึงสายเคเบิลที่อยู่ลึกถึง 6,000 เมตร เรือถูกพบในหลายจุดสำคัญ เช่น ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับหมู่เกาะ Svalbard ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในอาร์กติก โดยมีการเคลื่อนไหวที่พยายามหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ไม่ส่งสัญญาณตำแหน่ง และเคลื่อนที่ช้าเหนือสายเคเบิลโดยตรง ข้อมูลจากดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA แสดงให้เห็นว่า Yantar เคลื่อนตัวอย่างมีเป้าหมาย และมีการหยุดตามจุดที่ตรงกับตำแหน่งสายเคเบิลพลังงาน, อินเทอร์เน็ต, และระบบสื่อสารทางทหาร เช่น Integrated Undersea Surveillance System ที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากรัสเซียต้องการโจมตีแบบ “สงครามลูกผสม” การตัดสายเคเบิลเหล่านี้อาจทำให้ประเทศตะวันตก “มืดสนิท” ทั้งในด้านพลังงาน, การเงิน, และการสื่อสาร โดยเฉพาะในช่วงที่ความตึงเครียดกับยูเครนและ NATO ยังคงสูงขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เรือ Yantar ของรัสเซียถูกติดตามขณะเคลื่อนที่ตามแนวสายเคเบิลใต้น้ำของ NATO ➡️ เรือถูกระบุว่าเป็นเรือสอดแนมทางทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบ ➡️ จุดที่พบเรือ ได้แก่ ทะเลไอริช, ช่องแคบอังกฤษ, และระหว่างนอร์เวย์กับ Svalbard ➡️ ใช้ดาวเทียม Sentinel-1 ของ ESA ในการติดตามตำแหน่งเรือ ➡️ เรือสามารถปล่อยยานใต้น้ำและแขนกลเพื่อเข้าถึงสายเคเบิลลึกถึง 6,000 เมตร ➡️ เป้าหมายคือการทำแผนที่และอาจสกัดกั้นการสื่อสารของ NATO ➡️ สายเคเบิลที่ถูกติดตามรวมถึงระบบติดตามเรือดำน้ำ Integrated Undersea Surveillance System ➡️ รัฐบาลอังกฤษและ NATO เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีป้องกัน เช่น หุ่นยนต์ใต้น้ำและโดรนตรวจการณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่งข้อมูลกว่า 95% ของการสื่อสารทั่วโลก และรองรับธุรกรรมการเงินกว่า $10 ล้านล้านต่อวัน ➡️ รัสเซียมีหน่วยงานลับชื่อ GUGI ที่ดูแลเรือ Yantar และยานใต้น้ำกว่า 50 ลำ ➡️ การตัดสายเคเบิลเคยเกิดขึ้นจริง เช่น กรณีสายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และสวีเดนถูกตัดในปี 2024 ➡️ สายเคเบิลบางเส้นมีความลับสูง เช่น เส้นที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของศัตรู ➡️ ประเทศในยุโรปเริ่มใช้โดรนอัตโนมัติเพื่อตรวจสอบและป้องกันการโจมตีใต้น้ำ https://www.tomshardware.com/tech-industry/moscow-military-spy-ship-tracked-mapping-and-surveilling-nato-undersea-cables-shes-following-cable-lines-and-pipelines-making-stops-we-are-monitoring-her-very-closely
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ”

    กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง

    Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก

    แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง

    โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า

    Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark
    Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries
    ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง
    เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้
    มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ
    อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice”
    ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน
    การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย
    Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต
    การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    🦈 “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ” กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark ➡️ Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries ➡️ ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง ➡️ เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้ ➡️ มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ ➡️ อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice” ➡️ ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ➡️ โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน ➡️ การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย ➡️ Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต ➡️ การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Royal Australian Navy Has A Billion-Dollar Ghost Shark Submarine Fleet On The Way - SlashGear
    The Australian government has signed a five-year contract with Anduril Industries worth $1.12 billion to build an undisclosed number of Ghost Shark XL-AUVs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือฟริเกต Admiral Golovko แห่งกองเรือทะเลเหนือ (Northern Fleet) ขณะกำลังปล่อยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon จากทะเลแบเรนตส์ เพื่อโจมตี "เป้าหมายลวง" ที่สนามฝึก Chizha ในภูมิภาค Arkhangelsk ระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมยุทธศาสตร์ร่วม Zapad 2025
    .
    เรือฟริเกต Admiral Golovko ออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับเรือดำน้ำ เรือรบ และต่อต้านภัยทางอากาศ ด้วยเทคโนโลยีการหลบหลีกเรดาร์ (stealth) และติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี Kalibr และมีศักยภาพในการติดตั้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon
    เรือฟริเกต Admiral Golovko แห่งกองเรือทะเลเหนือ (Northern Fleet) ขณะกำลังปล่อยขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon จากทะเลแบเรนตส์ เพื่อโจมตี "เป้าหมายลวง" ที่สนามฝึก Chizha ในภูมิภาค Arkhangelsk ระยะทางประมาณ 900 กิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมยุทธศาสตร์ร่วม Zapad 2025 . 👉เรือฟริเกต Admiral Golovko ออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับเรือดำน้ำ เรือรบ และต่อต้านภัยทางอากาศ ด้วยเทคโนโลยีการหลบหลีกเรดาร์ (stealth) และติดตั้งระบบอาวุธปล่อยนำวิถี Kalibr และมีศักยภาพในการติดตั้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Tsirkon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน

    เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์

    แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต

    การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส

    นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว

    การค้นพบของ MIT
    ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์
    พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์
    การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ

    เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย
    ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน
    ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain
    ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป
    ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์
    เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง

    ทีมวิจัยและการสนับสนุน
    นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta
    ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ
    ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์ แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว ✅ การค้นพบของ MIT ➡️ ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์ ➡️ พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์ ➡️ การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ✅ เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย ➡️ ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน ➡️ ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain ➡️ ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป ➡️ ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์ ➡️ เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง ✅ ทีมวิจัยและการสนับสนุน ➡️ นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta ➡️ ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ➡️ ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    WWW.TRENDLYNEWS.IN
    MIT scientists find X-ray technique that could enhance durability of nuclear materials and computer chips
    Trending News, Listen News, Top Trending Topics, Videos, Popular News #love #photooftheday #instagood #picoftheday #bestoftheday #giveaway #crypto #ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐมุ่งเป้า ล้มล้างการปกครองของมาดูโรในเวเนซูเอลา โดยใช้สงครามปราบยาเสพติดบังหน้า!

    รายงานล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ปราธานาธิบดีสหรัฐ มีคำสั่งส่งเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีขนาดใหญ่ของกองทัพเรือสหรัฐฯ จำนวน 3 ลำ (ประกอบไปด้วย USS Gravely, USS Jason Dunham and the USS Sampson อ้างอิงจากรอยเตอร์) และเรือดำน้ำ 1 ลำ ประจำการนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา โดยอ้างเหตุผลเพื่อปราบแก๊งค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ระบาดเข้าไปในสหรัฐ

    นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่า วอชิงตันวางแผนการจัดสรรกำลังทหารเพิ่มเติมอีก 4,000 นาย พร้อมด้วยเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ "P-8 Poseidons" เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก และแม้แต่เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ประจำการในภูมิภาคนี้

    แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวกับสื่อมวลชนล่าสุด โดยระบุว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์มีความชัดเจนและมั่นคงอย่างยิ่ง เขาพร้อมที่จะใช้อำนาจทุกด้านของอเมริกาเพื่อหยุดยั้งการหลั่งไหลของยาเสพติดเข้าสู่ประเทศของเรา และนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม

    ระบอบมาดูโรไม่ใช่รัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของเวเนซุเอลา แต่มันคือแก๊งค้ายาเสพติด เพราะฉะนั้นประธานาธิบดีเชื่อว่ามาดูโรไม่ใช่ผู้นำที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาเป็นหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดที่ถูกตั้งข้อหาในสหรัฐอเมริกาในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศ"



    ทางด้าน นิโคลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซูเอลา กำลังพิจารณาเรียกระดมกองกำลังกึ่งทหารโบลิวาร์ 4.5 ล้านนาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจาหสหรัฐ





    สหรัฐมุ่งเป้า ล้มล้างการปกครองของมาดูโรในเวเนซูเอลา โดยใช้สงครามปราบยาเสพติดบังหน้า! 👉รายงานล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ปราธานาธิบดีสหรัฐ มีคำสั่งส่งเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีขนาดใหญ่ของกองทัพเรือสหรัฐฯ จำนวน 3 ลำ (ประกอบไปด้วย USS Gravely, USS Jason Dunham and the USS Sampson อ้างอิงจากรอยเตอร์) และเรือดำน้ำ 1 ลำ ประจำการนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา โดยอ้างเหตุผลเพื่อปราบแก๊งค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ระบาดเข้าไปในสหรัฐ 👉นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่า วอชิงตันวางแผนการจัดสรรกำลังทหารเพิ่มเติมอีก 4,000 นาย พร้อมด้วยเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ "P-8 Poseidons" เรือโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก และแม้แต่เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ประจำการในภูมิภาคนี้ 👉แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวกับสื่อมวลชนล่าสุด โดยระบุว่า "ประธานาธิบดีทรัมป์มีความชัดเจนและมั่นคงอย่างยิ่ง เขาพร้อมที่จะใช้อำนาจทุกด้านของอเมริกาเพื่อหยุดยั้งการหลั่งไหลของยาเสพติดเข้าสู่ประเทศของเรา และนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม ระบอบมาดูโรไม่ใช่รัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของเวเนซุเอลา แต่มันคือแก๊งค้ายาเสพติด เพราะฉะนั้นประธานาธิบดีเชื่อว่ามาดูโรไม่ใช่ผู้นำที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาเป็นหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดที่ถูกตั้งข้อหาในสหรัฐอเมริกาในข้อหาลักลอบขนยาเสพติดเข้าประเทศ" 👉ทางด้าน นิโคลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซูเอลา กำลังพิจารณาเรียกระดมกองกำลังกึ่งทหารโบลิวาร์ 4.5 ล้านนาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจาหสหรัฐ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 509 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรือดำน้ำเราควรมี ทรัพยากรใต้ทะเลจำเป็นที่เราต้องไปดู ภัยเกิดได้ตลอดเวลา "ไอคนที่พูดว่าเขาไม่รบกันแล้วอยู่โลกไหน"โลกคู่ขนานหรือเปล่าเขารบกันทั่วโลกไม่เห็นหรือมีที่ไหนสงบบ้าง เราต้องมีเผื่อที่จะได้ไม่ต้องรบไง
    #เรือดำน้ำเราควรมี ทรัพยากรใต้ทะเลจำเป็นที่เราต้องไปดู ภัยเกิดได้ตลอดเวลา "ไอคนที่พูดว่าเขาไม่รบกันแล้วอยู่โลกไหน"โลกคู่ขนานหรือเปล่าเขารบกันทั่วโลกไม่เห็นหรือมีที่ไหนสงบบ้าง เราต้องมีเผื่อที่จะได้ไม่ต้องรบไง🙄
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Excalibur: โดรนดำน้ำอัจฉริยะที่ควบคุมจากอีกซีกโลก
    ในเดือนพฤษภาคม 2025 กองทัพเรืออังกฤษได้เปิดตัว “Excalibur” โดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Extra-Large Uncrewed Underwater Vehicle (XLUUV) และเป็นผลลัพธ์จากโครงการวิจัย Project CETUS ที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี

    Excalibur ถูกสร้างโดยบริษัท MSubs ในเมือง Plymouth และมีน้ำหนัก 19 ตัน กว้าง 2 เมตร โครงสร้างออกแบบให้สามารถทำงานใต้น้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม

    ในการทดสอบล่าสุด โดรนนี้ถูกควบคุมจากศูนย์ปฏิบัติการในออสเตรเลีย ขณะทำงานอยู่ในน่านน้ำอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ผ่านระบบสื่อสารขั้นสูง

    Excalibur จะถูกนำไปใช้ในภารกิจทดลองร่วมกับหน่วย Fleet Experimentation Squadron เพื่อทดสอบเทคโนโลยีใหม่ เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูลใต้ทะเล การติดตั้งเซ็นเซอร์ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และการปฏิบัติการร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ

    แม้จะยังไม่ถูกนำไปใช้ในภารกิจจริง แต่ Excalibur ถือเป็นก้าวสำคัญของกองทัพเรืออังกฤษในการเตรียมพร้อมรับมือสงครามใต้น้ำยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของความร่วมมือ AUKUS ระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย

    ข้อมูลหลักของ Excalibur
    เป็นโดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร กว้าง 2 เมตร หนัก 19 ตัน
    พัฒนาโดยบริษัท MSubs ภายใต้โครงการ Project CETUS
    เป็น XLUUV ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่กองทัพเรืออังกฤษเคยทดสอบ
    สามารถควบคุมจากระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ เช่นจากออสเตรเลีย
    ใช้ในภารกิจทดลอง เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูล และการติดตั้ง payload
    เข้าร่วมกับ Fleet Experimentation Squadron ภายใต้ Disruptive Capabilities Office
    มีดีไซน์ modular สำหรับติดตั้งเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์เฉพาะภารกิจ
    ใช้เป็น testbed สำหรับเทคโนโลยีใต้น้ำและการทำงานร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Excalibur ใช้ระบบสื่อสารความเร็วสูงเพื่อควบคุมจากต่างประเทศ
    มีความสามารถในการทำงานในพื้นที่ที่ถูกปฏิเสธการเข้าถึง (denied environments)
    โดรนนี้ไม่ใช่รุ่นปฏิบัติการจริง แต่เป็นต้นแบบสำหรับการเรียนรู้และพัฒนา
    การตั้งชื่อ “Excalibur” เป็นการรำลึกถึงเรือดำน้ำรุ่นเก่าของอังกฤษในปี 1947
    การทดลองนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือ AUKUS Pillar II
    มีการสังเกตการณ์จากประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uks-royal-navy-tests-40-foot-submarine-drone-which-can-be-operated-from-the-other-side-of-the-world
    ⚓ Excalibur: โดรนดำน้ำอัจฉริยะที่ควบคุมจากอีกซีกโลก ในเดือนพฤษภาคม 2025 กองทัพเรืออังกฤษได้เปิดตัว “Excalibur” โดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร ซึ่งจัดอยู่ในประเภท Extra-Large Uncrewed Underwater Vehicle (XLUUV) และเป็นผลลัพธ์จากโครงการวิจัย Project CETUS ที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี Excalibur ถูกสร้างโดยบริษัท MSubs ในเมือง Plymouth และมีน้ำหนัก 19 ตัน กว้าง 2 เมตร โครงสร้างออกแบบให้สามารถทำงานใต้น้ำได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม ในการทดสอบล่าสุด โดรนนี้ถูกควบคุมจากศูนย์ปฏิบัติการในออสเตรเลีย ขณะทำงานอยู่ในน่านน้ำอังกฤษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ผ่านระบบสื่อสารขั้นสูง Excalibur จะถูกนำไปใช้ในภารกิจทดลองร่วมกับหน่วย Fleet Experimentation Squadron เพื่อทดสอบเทคโนโลยีใหม่ เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูลใต้ทะเล การติดตั้งเซ็นเซอร์ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย และการปฏิบัติการร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ แม้จะยังไม่ถูกนำไปใช้ในภารกิจจริง แต่ Excalibur ถือเป็นก้าวสำคัญของกองทัพเรืออังกฤษในการเตรียมพร้อมรับมือสงครามใต้น้ำยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของความร่วมมือ AUKUS ระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ✅ ข้อมูลหลักของ Excalibur ➡️ เป็นโดรนดำน้ำไร้คนขับขนาด 12 เมตร กว้าง 2 เมตร หนัก 19 ตัน ➡️ พัฒนาโดยบริษัท MSubs ภายใต้โครงการ Project CETUS ➡️ เป็น XLUUV ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่กองทัพเรืออังกฤษเคยทดสอบ ➡️ สามารถควบคุมจากระยะไกลกว่า 10,000 ไมล์ เช่นจากออสเตรเลีย ➡️ ใช้ในภารกิจทดลอง เช่น การลาดตระเวน การเก็บข้อมูล และการติดตั้ง payload ➡️ เข้าร่วมกับ Fleet Experimentation Squadron ภายใต้ Disruptive Capabilities Office ➡️ มีดีไซน์ modular สำหรับติดตั้งเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์เฉพาะภารกิจ ➡️ ใช้เป็น testbed สำหรับเทคโนโลยีใต้น้ำและการทำงานร่วมกับเรือที่มีลูกเรือ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Excalibur ใช้ระบบสื่อสารความเร็วสูงเพื่อควบคุมจากต่างประเทศ ➡️ มีความสามารถในการทำงานในพื้นที่ที่ถูกปฏิเสธการเข้าถึง (denied environments) ➡️ โดรนนี้ไม่ใช่รุ่นปฏิบัติการจริง แต่เป็นต้นแบบสำหรับการเรียนรู้และพัฒนา ➡️ การตั้งชื่อ “Excalibur” เป็นการรำลึกถึงเรือดำน้ำรุ่นเก่าของอังกฤษในปี 1947 ➡️ การทดลองนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือ AUKUS Pillar II ➡️ มีการสังเกตการณ์จากประเทศอื่น เช่น ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/uks-royal-navy-tests-40-foot-submarine-drone-which-can-be-operated-from-the-other-side-of-the-world
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    UK’s Royal Navy tests 40-foot submarine drone which can be operated from ‘the other side of the world’
    Excalibur is classed as an XLUUV and will likely be used for long-endurance surveillance, seabed warfare, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ เรือดำน้ำนะ มิใช่ถุงแกงที่ลักแอบหยิบเอากลับบ้านได้ง่ายๆ คนพรรคนี้ถนัดพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤติ
    #7ดอกจิก
    #สสลักแกง
    ♣ เรือดำน้ำนะ มิใช่ถุงแกงที่ลักแอบหยิบเอากลับบ้านได้ง่ายๆ คนพรรคนี้ถนัดพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤติ #7ดอกจิก #สสลักแกง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ทอ.เตรียมลงนามในสัญญากับสวีเดน ซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F 4 ลำ ที่สวีเดนในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ด้านทร.เตรียมแจงเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ- อนุมัติโครงการซื้อเรือฟริเกต

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000074236

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ผบ.ทอ.เตรียมลงนามในสัญญากับสวีเดน ซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F 4 ลำ ที่สวีเดนในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ด้านทร.เตรียมแจงเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ- อนุมัติโครงการซื้อเรือฟริเกต อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000074236 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 595 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครม. ไฟเขียวแก้สัญญาเรือดำน้ำ! เปลี่ยนใช้ “เครื่องยนต์จีน” พร้อมขยายเวลาต่อเรืออีก 1,217 วัน
    https://www.thai-tai.tv/news/20772/
    .
    #เรือดำน้ำ #เครื่องยนต์เรือดำน้ำ #กองทัพเรือ #ครม #ความมั่นคง #ไทยไท

    ครม. ไฟเขียวแก้สัญญาเรือดำน้ำ! เปลี่ยนใช้ “เครื่องยนต์จีน” พร้อมขยายเวลาต่อเรืออีก 1,217 วัน https://www.thai-tai.tv/news/20772/ . #เรือดำน้ำ #เครื่องยนต์เรือดำน้ำ #กองทัพเรือ #ครม #ความมั่นคง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts