• ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 4

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 4
    เจ้าชาย บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารคนปัจจุบันของซาอุดิอารเบีย เรียนหนังสือที่อเมริกา เช่นเดียวกับเจ้าชายรุ่นหลังๆ ของซาอุ และเพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยต่อจากพ่อ บิน นาเยฟ ยังไปศึกษาที่สถาบัน เอฟ บี ไอ ของอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1980 กว่าๆ และไปศึกษาหลักสูตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษอีก 3 ปี ในช่วง ค.ศ.1992-1994 อีกด้วย ดูเหมือนเขาจะรับตะวันตกได้มากกว่า the Black Prince พ่อของเขา
    หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดฐานทัพของอเมริกาที่ Dharan อเมริกายิ่งกดดัน ซาอุดิอารเบีย เรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่ม บิน ลาเดน แต่ทางซาอุดิอารเบีย ยังทำเฉยเหมือนเดิม จนเมื่อนายอัล กอร์ รองประธานาธิบดี สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เดินทางไปเยี่ยมตะวันออกกลาง ในปี ค.ศ.1998 เกิดมีข่าวว่ากลุ่มอัลไคดา มีแผนที่จะโจมตีสถานกงสุลของอเมริกาที่กรุงริยาร์ดช่วงเวลาที่ อัล กอร์ กำลังให้การรับรองมงกุฏราชกุมารของซาอุ ขณะนั้นคือ เจ้าชายอับดุลลาห์ แต่ในที่สุดแผนนั้นก็ล่มไป และอเมริกาบอกว่าคนที่จัดการให้แผนล่มก็คือ เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince นั่นเอง
    … เรื่องนี้ ไม่รู้ใครลวงใคร..
    หลังเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีข่าวว่า กลุ่มนักจี้เครื่องบินเป็นชาวซาอุเสีย 15 คน แต่เจ้าชายนาเยฟและราชวงศ์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มอัลไคดา ที่มีฐานอยู่ในซาอุเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างลงความเห็นว่า เป็นแผนที่พวกยิวไซออนิสต์สร้างขึ้นมาปรักปรำกลุ่มอัลไคดามากกว่า และแม้อเมริกาจะบอกว่ามีหลักฐานว่า 2 ใน 15 คนนั้น เป็นคนที่วางแผนเรื่องการโจมตีอัล กอร์ ในปี ค.ศ.1998 ด้วย เจ้าชายนาเยฟ ก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอเมริกา
    แต่ บิน นาเยฟ คนลูก มาคนละแนวกับพ่อ อเมริกาบอก บิน นาเยฟ ใส่ใจเรื่องผู้ก่อการร้ายมาก และให้ความร่วมมือกับอเมริกาเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทย ทำให้อเมริกาโล่งอก บอกว่านับเป็นความโชคดีของซาอุเอง นะนี่ เพราะ บิน ลาเดน กำลังหันเข็มจะมาเล่นซาอุดิอารเบียและราชวงศ์แล้ว หลังจากอเมริกาไปถล่มฐานของมูจาฮิดีน อัลไคดา ที่อาฟกานิสถานจนเละ จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อัลไคดา ประกาศจะล้างแค้นอเมริกาและเพื่อนรัก คือ ซาอุดิอารเบีย
    สรุปว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้ก่อการร้ายนี่ เราคงจะฟังอเมริกา หรือซาอุดิอารเบีย ข้างใดข้างหนึ่งยากหน่อย แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังลากไส้ ให้ลงเหวไปด้วยกัน….
    วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 เป็นวันสำคัญทางศาสนาของมุสลิ ม บิน ลาเดน ประกาศทางวิทยุว่า ราชวงค์ ซาอูด ทรยศต่ออาณาจักรออตโตมาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเห็นแก่อังกฤษและยิว และตอนนี้ ราชวงศ์ ก็กำลังยกมัสยิด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กองทัพอเมริกามาเดินเล่น และสมคบกับยิว ให้ยิวมาสร้างอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง บิน ลาเดน บอกว่า เราจงคอยดูอเมริกากำลังใช้ฐานทัพ ของอเมริกา ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย เพื่อบุกอิรัค บิน ลาเดน ยังเรียก ซาอุดิอารเบีย และพวก เช่น คูเวต บาห์เรน และการ์ตา ว่า เป็นคนทรยศ อีกด้วย
    แล้วในที่สุด บิน ลาเดน ก็โจมตีพวกตะวันตก ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย จริงๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยใช้กำลังประมาณ สิบกว่าคน บุกเข้าไปในบริวณบ้านหลังหนึ่งที่กรุงริยาร์ด ซึ่งเป็นที่พักของพวกชาวะวันตก พวกนี้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหาร ที่ซาอุดิอารเบียจ้างเอาไว้ จริงๆพวกนี้ก็คือทหารนอกระบบของอเมริกา อังกฤษ นั่นเอง พวก บิน ลาเดน ใช้ระเบิดคาร์บอมทะลวงเข้าไป ปรากฏว่า มีชาวอเมริกันตาย 8 คน ออสซี่ อีก 2 คน และชาวต่างชาติอื่นอีกหลายคน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุเอง ก็ตายด้วยหลายคน
    นี่ นับเป็นรายการที่ทั้งหักหน้าซาอุ และกระตุกหนวดนักล่าใบตองแห้งไป ในตัวของบิน ลา เดน ทำให้นายโรเบิร์ต จอร์แดน Robert Jordan ซึ่งเป็นทูตอเมริกา ประจำซาอุดิ อารเบีย ในช่วงนั้น พยายามกดดันให้ซาอุจัดการกับบิน ลาเดน อย่างจริงจัง แต่เสียงของทูตอเมริกันไม่ดังมากในซาอุดิอารเบีย ไม่เหมือนในบางประเทศ
    อเมริกาใช้เครื่องเสียงแรงขึ้น ลำโพงขนาดใหญ่กว่าอีกหน่อย โดยส่งนาย จอร์จ เทเนท George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ ในสมัยนั้น ให้บินตรงไปซาอุดิอารเบียทันที เพื่อขอพบมงกุฏราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ แทนกษัตริย์ฟาหด ที่ป่วยหนักมาเป็นปีๆ เขาบอกกับเจ้าชายอับดุลลาห์ ว่า ราชวงศ์ซาอูดและการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ คือเป้าหมายของกลุ่มอัลไคดาแล้วนะ นอกจากนี้ อัลไคดา ยังมีแผนที่จะลอบฆ่าราชวงศ์ และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย
    ซาอุดิอารเบีย โยนเรื่องบิน ลาเดน ให้ บิน นาเยฟ เป็นคนจัดการ ร่วมกับอเมริกา และอเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ เป็นตัวสำคัญ ในการต้านการข่มขู่
    ของอัลไคดา ที่มีต่อราชวงศ์ซาอูด ในช่วง ค.ศ.2003 ถึง 2006
    ในช่วง 3 ปีดังกล่าว อัลไคดา โจมตีราชอาณาจักร ซาอุดิอารเบีย เป็นว่าเล่น แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ที่กรุงริยาร์ด ก็ยังโดนโจมตี บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกหลายแห่งโดนบุก ชาวอเมริกันถูกลักพาตัว และถูกตัดหัว การยิงต่อสู้ระหว่างอัลไคดากับ เจ้าหน้าที่ของซาอุ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ในเมืองใหญ่ต่างๆของซาอุ สถานที่ทำงานของชาวตะวันตก โดนโจมตีมากขึ้น รวมทั้งสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองจิดดาห์ ก็โดนโจมตีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.2004
    สรุปแล้ว มีคนตายหลายร้อย หลายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีนั้น เป็นช่วงความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ที่ยาวนานที่สุด ที่ซาอุดิอารเบีย เคยผจญในรอบ 50 ปี และมีผลกระทบต่อราชวงศ์ซาอูด มากที่สุด นับตั้งแต่ตั้งประเทศในปี ค.ศ.1902 การต่อสู้ช่วงนี้ ทำให้รัฐบาลซาอุ ใช้เงินไปถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ
    ในที่สุด ในปี ค.ศ.2007 อเมริกาบอกว่า ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของ บิน นาเยฟ ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็สามารถทำให้กลุ่มอัลไคดา ลดน้อยลง พวกหัวรุนแรงเปลี่ยนใจ ไม่อยากสร้างสงครามในบ้านเกิดตัวเอง ส่วนชาวซาอุ ซึ่งเคยสนับสนุน บิน ลาเดน ให้สู้กับอเมริกา ก็ไม่อยากเห็นคนบริสุทธิ์ในบ้านเมืองตัวเอง พลอยฟ้าพลอยฝน โดนลูกหลงของอัลไคดาไปด้วย และก็เลยทำให้คะแนนนิยมของบิน ลาเดน ในซาอุดิอารเบีย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป
    เห็นฝีมือซีไอเอเก๋า ที่สามารถโยงเรื่อง บิน ลาเดน กับ ซาอุดิอารเบีย เข้าด้วยกัน และแยงให้แคลงกัน อย่างแนบเนียน โดยไม่กล่าวถึงตัววางแผน ชักใย ผลักดัน แม้แต่คำเดียว ยอมรับจริงๆ ฝีมือเอ็งร้ายกาจมาก แบบนี้ ข่าวลือ สงสัยจะเป็น ข่าวลวง…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 4 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 4 เจ้าชาย บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารคนปัจจุบันของซาอุดิอารเบีย เรียนหนังสือที่อเมริกา เช่นเดียวกับเจ้าชายรุ่นหลังๆ ของซาอุ และเพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยต่อจากพ่อ บิน นาเยฟ ยังไปศึกษาที่สถาบัน เอฟ บี ไอ ของอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1980 กว่าๆ และไปศึกษาหลักสูตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษอีก 3 ปี ในช่วง ค.ศ.1992-1994 อีกด้วย ดูเหมือนเขาจะรับตะวันตกได้มากกว่า the Black Prince พ่อของเขา หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดฐานทัพของอเมริกาที่ Dharan อเมริกายิ่งกดดัน ซาอุดิอารเบีย เรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่ม บิน ลาเดน แต่ทางซาอุดิอารเบีย ยังทำเฉยเหมือนเดิม จนเมื่อนายอัล กอร์ รองประธานาธิบดี สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เดินทางไปเยี่ยมตะวันออกกลาง ในปี ค.ศ.1998 เกิดมีข่าวว่ากลุ่มอัลไคดา มีแผนที่จะโจมตีสถานกงสุลของอเมริกาที่กรุงริยาร์ดช่วงเวลาที่ อัล กอร์ กำลังให้การรับรองมงกุฏราชกุมารของซาอุ ขณะนั้นคือ เจ้าชายอับดุลลาห์ แต่ในที่สุดแผนนั้นก็ล่มไป และอเมริกาบอกว่าคนที่จัดการให้แผนล่มก็คือ เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince นั่นเอง … เรื่องนี้ ไม่รู้ใครลวงใคร.. หลังเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีข่าวว่า กลุ่มนักจี้เครื่องบินเป็นชาวซาอุเสีย 15 คน แต่เจ้าชายนาเยฟและราชวงศ์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มอัลไคดา ที่มีฐานอยู่ในซาอุเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างลงความเห็นว่า เป็นแผนที่พวกยิวไซออนิสต์สร้างขึ้นมาปรักปรำกลุ่มอัลไคดามากกว่า และแม้อเมริกาจะบอกว่ามีหลักฐานว่า 2 ใน 15 คนนั้น เป็นคนที่วางแผนเรื่องการโจมตีอัล กอร์ ในปี ค.ศ.1998 ด้วย เจ้าชายนาเยฟ ก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอเมริกา แต่ บิน นาเยฟ คนลูก มาคนละแนวกับพ่อ อเมริกาบอก บิน นาเยฟ ใส่ใจเรื่องผู้ก่อการร้ายมาก และให้ความร่วมมือกับอเมริกาเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทย ทำให้อเมริกาโล่งอก บอกว่านับเป็นความโชคดีของซาอุเอง นะนี่ เพราะ บิน ลาเดน กำลังหันเข็มจะมาเล่นซาอุดิอารเบียและราชวงศ์แล้ว หลังจากอเมริกาไปถล่มฐานของมูจาฮิดีน อัลไคดา ที่อาฟกานิสถานจนเละ จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อัลไคดา ประกาศจะล้างแค้นอเมริกาและเพื่อนรัก คือ ซาอุดิอารเบีย สรุปว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้ก่อการร้ายนี่ เราคงจะฟังอเมริกา หรือซาอุดิอารเบีย ข้างใดข้างหนึ่งยากหน่อย แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังลากไส้ ให้ลงเหวไปด้วยกัน…. วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 เป็นวันสำคัญทางศาสนาของมุสลิ ม บิน ลาเดน ประกาศทางวิทยุว่า ราชวงค์ ซาอูด ทรยศต่ออาณาจักรออตโตมาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเห็นแก่อังกฤษและยิว และตอนนี้ ราชวงศ์ ก็กำลังยกมัสยิด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กองทัพอเมริกามาเดินเล่น และสมคบกับยิว ให้ยิวมาสร้างอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง บิน ลาเดน บอกว่า เราจงคอยดูอเมริกากำลังใช้ฐานทัพ ของอเมริกา ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย เพื่อบุกอิรัค บิน ลาเดน ยังเรียก ซาอุดิอารเบีย และพวก เช่น คูเวต บาห์เรน และการ์ตา ว่า เป็นคนทรยศ อีกด้วย แล้วในที่สุด บิน ลาเดน ก็โจมตีพวกตะวันตก ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย จริงๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยใช้กำลังประมาณ สิบกว่าคน บุกเข้าไปในบริวณบ้านหลังหนึ่งที่กรุงริยาร์ด ซึ่งเป็นที่พักของพวกชาวะวันตก พวกนี้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหาร ที่ซาอุดิอารเบียจ้างเอาไว้ จริงๆพวกนี้ก็คือทหารนอกระบบของอเมริกา อังกฤษ นั่นเอง พวก บิน ลาเดน ใช้ระเบิดคาร์บอมทะลวงเข้าไป ปรากฏว่า มีชาวอเมริกันตาย 8 คน ออสซี่ อีก 2 คน และชาวต่างชาติอื่นอีกหลายคน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุเอง ก็ตายด้วยหลายคน นี่ นับเป็นรายการที่ทั้งหักหน้าซาอุ และกระตุกหนวดนักล่าใบตองแห้งไป ในตัวของบิน ลา เดน ทำให้นายโรเบิร์ต จอร์แดน Robert Jordan ซึ่งเป็นทูตอเมริกา ประจำซาอุดิ อารเบีย ในช่วงนั้น พยายามกดดันให้ซาอุจัดการกับบิน ลาเดน อย่างจริงจัง แต่เสียงของทูตอเมริกันไม่ดังมากในซาอุดิอารเบีย ไม่เหมือนในบางประเทศ อเมริกาใช้เครื่องเสียงแรงขึ้น ลำโพงขนาดใหญ่กว่าอีกหน่อย โดยส่งนาย จอร์จ เทเนท George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ ในสมัยนั้น ให้บินตรงไปซาอุดิอารเบียทันที เพื่อขอพบมงกุฏราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ แทนกษัตริย์ฟาหด ที่ป่วยหนักมาเป็นปีๆ เขาบอกกับเจ้าชายอับดุลลาห์ ว่า ราชวงศ์ซาอูดและการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ คือเป้าหมายของกลุ่มอัลไคดาแล้วนะ นอกจากนี้ อัลไคดา ยังมีแผนที่จะลอบฆ่าราชวงศ์ และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย ซาอุดิอารเบีย โยนเรื่องบิน ลาเดน ให้ บิน นาเยฟ เป็นคนจัดการ ร่วมกับอเมริกา และอเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ เป็นตัวสำคัญ ในการต้านการข่มขู่ ของอัลไคดา ที่มีต่อราชวงศ์ซาอูด ในช่วง ค.ศ.2003 ถึง 2006 ในช่วง 3 ปีดังกล่าว อัลไคดา โจมตีราชอาณาจักร ซาอุดิอารเบีย เป็นว่าเล่น แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ที่กรุงริยาร์ด ก็ยังโดนโจมตี บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกหลายแห่งโดนบุก ชาวอเมริกันถูกลักพาตัว และถูกตัดหัว การยิงต่อสู้ระหว่างอัลไคดากับ เจ้าหน้าที่ของซาอุ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ในเมืองใหญ่ต่างๆของซาอุ สถานที่ทำงานของชาวตะวันตก โดนโจมตีมากขึ้น รวมทั้งสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองจิดดาห์ ก็โดนโจมตีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.2004 สรุปแล้ว มีคนตายหลายร้อย หลายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีนั้น เป็นช่วงความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ที่ยาวนานที่สุด ที่ซาอุดิอารเบีย เคยผจญในรอบ 50 ปี และมีผลกระทบต่อราชวงศ์ซาอูด มากที่สุด นับตั้งแต่ตั้งประเทศในปี ค.ศ.1902 การต่อสู้ช่วงนี้ ทำให้รัฐบาลซาอุ ใช้เงินไปถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ ในที่สุด ในปี ค.ศ.2007 อเมริกาบอกว่า ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของ บิน นาเยฟ ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็สามารถทำให้กลุ่มอัลไคดา ลดน้อยลง พวกหัวรุนแรงเปลี่ยนใจ ไม่อยากสร้างสงครามในบ้านเกิดตัวเอง ส่วนชาวซาอุ ซึ่งเคยสนับสนุน บิน ลาเดน ให้สู้กับอเมริกา ก็ไม่อยากเห็นคนบริสุทธิ์ในบ้านเมืองตัวเอง พลอยฟ้าพลอยฝน โดนลูกหลงของอัลไคดาไปด้วย และก็เลยทำให้คะแนนนิยมของบิน ลาเดน ในซาอุดิอารเบีย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป เห็นฝีมือซีไอเอเก๋า ที่สามารถโยงเรื่อง บิน ลาเดน กับ ซาอุดิอารเบีย เข้าด้วยกัน และแยงให้แคลงกัน อย่างแนบเนียน โดยไม่กล่าวถึงตัววางแผน ชักใย ผลักดัน แม้แต่คำเดียว ยอมรับจริงๆ ฝีมือเอ็งร้ายกาจมาก แบบนี้ ข่าวลือ สงสัยจะเป็น ข่าวลวง… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • เครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอาจไม่แม่นยำ

    การประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจในสหรัฐฯ มักใช้คะแนน ASCVD (Atherosclerotic Cardiovascular Disease) ซึ่งวัดจากปัจจัยอย่างความดันโลหิต คอเลสเตอรอล อายุ และเชื้อชาติ แต่ผลการศึกษาพบว่า 45% ของผู้ป่วยที่เกิดหัวใจวายในอีกสองวันถัดมา ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ความเสี่ยงต่ำหรือปานกลาง” ทำให้ไม่ได้รับการตรวจเพิ่มเติมหรือการรักษาป้องกัน

    การเปรียบเทียบกับเครื่องมืออื่น
    นักวิจัยยังทดสอบคะแนน PREVENT ซึ่งเป็นเกณฑ์ใหม่ แต่กลับพบว่ามีถึง 61% ของผู้ป่วยที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองเครื่องมืออาจไม่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้ป่วยรายบุคคลได้

    ความท้าทายในการประเมินความเสี่ยง
    แม้เครื่องมือเหล่านี้จะมีประโยชน์ในระดับประชากร แต่เมื่อใช้กับบุคคลจริง ๆ อาจไม่แม่นยำพอ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีอาการชัดเจน เช่น เจ็บหน้าอกหรือหายใจติดขัด ทำให้หลายคนไม่ได้รับการป้องกันก่อนเกิดหัวใจวาย

    ความหมายต่อการแพทย์
    นักวิจัยเสนอว่าควรพัฒนาแนวทางใหม่ที่เน้นการตรวจหาสัญญาณของหลอดเลือดตีบ (atherosclerosis) โดยตรง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคัดกรอง และช่วยป้องกันหัวใจวายในกลุ่มที่ดูเหมือน “ปลอดภัย” แต่จริง ๆ แล้วมีความเสี่ยงสูง

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการศึกษาใหม่
    ASCVD และ PREVENT พลาดการตรวจพบผู้ป่วยหัวใจวายเกือบครึ่งหนึ่ง

    ข้อจำกัดของเครื่องมือ
    ใช้ได้ดีในระดับประชากร แต่ไม่แม่นยำในรายบุคคล

    ความท้าทายทางคลินิก
    ผู้ไม่มีอาการชัดเจนมักถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ

    แนวทางใหม่ที่เสนอ
    ตรวจหาสัญญาณหลอดเลือดตีบโดยตรงเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

    ความเสี่ยงจากการพลาดการตรวจ
    ผู้ป่วยอาจไม่ได้รับการรักษาป้องกันก่อนเกิดหัวใจวาย

    ความเปราะบางของระบบคัดกรอง
    การพึ่งพาเพียงคะแนนความเสี่ยงอาจทำให้แพทย์มองข้ามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจริง

    https://www.sciencealert.com/nearly-half-of-all-heart-attacks-may-be-missed-by-current-screening-tools
    ❤️เครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอาจไม่แม่นยำ การประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจในสหรัฐฯ มักใช้คะแนน ASCVD (Atherosclerotic Cardiovascular Disease) ซึ่งวัดจากปัจจัยอย่างความดันโลหิต คอเลสเตอรอล อายุ และเชื้อชาติ แต่ผลการศึกษาพบว่า 45% ของผู้ป่วยที่เกิดหัวใจวายในอีกสองวันถัดมา ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ความเสี่ยงต่ำหรือปานกลาง” ทำให้ไม่ได้รับการตรวจเพิ่มเติมหรือการรักษาป้องกัน 🔬 การเปรียบเทียบกับเครื่องมืออื่น นักวิจัยยังทดสอบคะแนน PREVENT ซึ่งเป็นเกณฑ์ใหม่ แต่กลับพบว่ามีถึง 61% ของผู้ป่วยที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองเครื่องมืออาจไม่สามารถสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้ป่วยรายบุคคลได้ 🧩 ความท้าทายในการประเมินความเสี่ยง แม้เครื่องมือเหล่านี้จะมีประโยชน์ในระดับประชากร แต่เมื่อใช้กับบุคคลจริง ๆ อาจไม่แม่นยำพอ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีอาการชัดเจน เช่น เจ็บหน้าอกหรือหายใจติดขัด ทำให้หลายคนไม่ได้รับการป้องกันก่อนเกิดหัวใจวาย 🌍 ความหมายต่อการแพทย์ นักวิจัยเสนอว่าควรพัฒนาแนวทางใหม่ที่เน้นการตรวจหาสัญญาณของหลอดเลือดตีบ (atherosclerosis) โดยตรง เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการคัดกรอง และช่วยป้องกันหัวใจวายในกลุ่มที่ดูเหมือน “ปลอดภัย” แต่จริง ๆ แล้วมีความเสี่ยงสูง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการศึกษาใหม่ ➡️ ASCVD และ PREVENT พลาดการตรวจพบผู้ป่วยหัวใจวายเกือบครึ่งหนึ่ง ✅ ข้อจำกัดของเครื่องมือ ➡️ ใช้ได้ดีในระดับประชากร แต่ไม่แม่นยำในรายบุคคล ✅ ความท้าทายทางคลินิก ➡️ ผู้ไม่มีอาการชัดเจนมักถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ ✅ แนวทางใหม่ที่เสนอ ➡️ ตรวจหาสัญญาณหลอดเลือดตีบโดยตรงเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ‼️ ความเสี่ยงจากการพลาดการตรวจ ⛔ ผู้ป่วยอาจไม่ได้รับการรักษาป้องกันก่อนเกิดหัวใจวาย ‼️ ความเปราะบางของระบบคัดกรอง ⛔ การพึ่งพาเพียงคะแนนความเสี่ยงอาจทำให้แพทย์มองข้ามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจริง https://www.sciencealert.com/nearly-half-of-all-heart-attacks-may-be-missed-by-current-screening-tools
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Nearly Half of All Heart Attacks May Be Missed by Current Screening Tools
    Current medical screening techniques could be failing to catch nearly half of those who experience a heart attack, according to new research, suggesting many of the millions of heart attacks that happen each year could be prevented with improved methods.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • การกะพริบตา อาจเป็นสัญญาณบอกได้ว่าคนกำลังตั้งใจฟังหรือไม่

    นักวิจัยพบว่าเมื่อเราฟังใครพูด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน เรามักจะกะพริบตาน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ การลดจำนวนครั้งที่กะพริบตาเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพลาดข้อมูลสำคัญที่เข้ามาในสมอง

    การทดลองและผลลัพธ์
    ทีมวิจัยทำการทดลองกับอาสาสมัคร 49 คน โดยให้ฟังประโยคที่ถูกอ่านออกเสียงในสภาพแวดล้อมที่มีการปรับแสงและเสียงรบกวน ผลปรากฏว่าอัตราการกะพริบตาลดลงชัดเจนระหว่างการฟัง และยิ่งเสียงรบกวนมาก อัตราการกะพริบตายิ่งลดลง

    กลไกที่เชื่อมโยงการฟังกับการกะพริบ
    นักวิทยาศาสตร์เสนอว่า การกะพริบตาน้อยลงอาจเป็นกลไกที่สมองใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียข้อมูลทั้งทางสายตาและการได้ยิน คล้ายกับการ “หยุดพักทางจิตใจ” เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ

    ความเป็นไปได้ในอนาคต
    หากมีการศึกษาเพิ่มเติม รูปแบบการกะพริบตาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการวัดภาระทางสมองและการประมวลผลข้อมูล เช่นเดียวกับการใช้การพูดหรือการได้ยินเป็นตัวชี้วัดในปัจจุบัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    คนกะพริบตาน้อยลงเมื่อฟังข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมมีเสียงรบกวน

    การทดลอง
    อาสาสมัคร 49 คนถูกทดสอบในสภาพแสงและเสียงต่าง ๆ

    กลไกสมอง
    การกะพริบตาน้อยลงช่วยลดการสูญเสียข้อมูลทั้งภาพและเสียง

    ศักยภาพการประยุกต์ใช้
    อาจใช้รูปแบบการกะพริบตาเป็นเครื่องมือวัดภาระทางสมองในอนาคต

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างการกะพริบตากับการฟัง

    ความเสี่ยงในการตีความ
    การกะพริบตาอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่น เช่น ความแห้งของตา หรือสภาพร่างกาย

    https://www.sciencealert.com/want-to-know-if-somebody-is-truly-listening-count-their-blinks
    👀 การกะพริบตา อาจเป็นสัญญาณบอกได้ว่าคนกำลังตั้งใจฟังหรือไม่ นักวิจัยพบว่าเมื่อเราฟังใครพูด โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน เรามักจะกะพริบตาน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ การลดจำนวนครั้งที่กะพริบตาเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพลาดข้อมูลสำคัญที่เข้ามาในสมอง 🔬 การทดลองและผลลัพธ์ ทีมวิจัยทำการทดลองกับอาสาสมัคร 49 คน โดยให้ฟังประโยคที่ถูกอ่านออกเสียงในสภาพแวดล้อมที่มีการปรับแสงและเสียงรบกวน ผลปรากฏว่าอัตราการกะพริบตาลดลงชัดเจนระหว่างการฟัง และยิ่งเสียงรบกวนมาก อัตราการกะพริบตายิ่งลดลง 🧠 กลไกที่เชื่อมโยงการฟังกับการกะพริบ นักวิทยาศาสตร์เสนอว่า การกะพริบตาน้อยลงอาจเป็นกลไกที่สมองใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียข้อมูลทั้งทางสายตาและการได้ยิน คล้ายกับการ “หยุดพักทางจิตใจ” เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ 🌍 ความเป็นไปได้ในอนาคต หากมีการศึกษาเพิ่มเติม รูปแบบการกะพริบตาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการวัดภาระทางสมองและการประมวลผลข้อมูล เช่นเดียวกับการใช้การพูดหรือการได้ยินเป็นตัวชี้วัดในปัจจุบัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ คนกะพริบตาน้อยลงเมื่อฟังข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมมีเสียงรบกวน ✅ การทดลอง ➡️ อาสาสมัคร 49 คนถูกทดสอบในสภาพแสงและเสียงต่าง ๆ ✅ กลไกสมอง ➡️ การกะพริบตาน้อยลงช่วยลดการสูญเสียข้อมูลทั้งภาพและเสียง ✅ ศักยภาพการประยุกต์ใช้ ➡️ อาจใช้รูปแบบการกะพริบตาเป็นเครื่องมือวัดภาระทางสมองในอนาคต ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างการกะพริบตากับการฟัง ‼️ ความเสี่ยงในการตีความ ⛔ การกะพริบตาอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่น เช่น ความแห้งของตา หรือสภาพร่างกาย https://www.sciencealert.com/want-to-know-if-somebody-is-truly-listening-count-their-blinks
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Want to Know if Somebody Is Truly Listening? Count Their Blinks.
    Blinking handles essential eye maintenance, and we usually blink multiple times a minute without thinking much about it, though you might be more self-conscious about your own after the results of a new study on their connection to cognitive load.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷

    #รวมข่าวIT #20251216 #securityonline

    วิกฤติช่องโหว่ FortiGate SSO ถูกโจมตีจริง
    ช่วงนี้ผู้ดูแลระบบ Fortinet ต้องเผชิญกับสถานการณ์ร้อนแรง เมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการในระบบ FortiGate และเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถูกโจมตีจริงทันที แฮกเกอร์ใช้วิธีเจาะผ่านระบบ Single Sign-On (SSO) โดยส่งข้อความ SAML ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้สามารถล็อกอินเป็นผู้ดูแลได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาจะรีบขโมยการตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ออกไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักมีรหัสผ่านที่ถูกเข้ารหัสของผู้ใช้ VPN และบัญชีอื่น ๆ จุดอันตรายคือการตั้งค่า FortiCloud SSO ที่แม้จะถูกปิดไว้ในค่าเริ่มต้น แต่เมื่อผู้ดูแลลงทะเบียนอุปกรณ์ผ่าน GUI มันจะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติหากไม่ได้ปิดเอง ทำให้หลายระบบเสี่ยงทันที นักวิจัยแนะนำให้รีบอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดหรือปิดฟีเจอร์นี้ผ่าน CLI เพื่อป้องกันการโจมตี
    https://securityonline.info/critical-fortigate-sso-flaw-under-active-exploitation-attackers-bypass-auth-and-exfiltrate-configs

    Apple ยอม EU: iOS 26.3 ส่งต่อการแจ้งเตือนให้สมาร์ทวอชแบรนด์อื่น
    ใน iOS 26.3 เบต้า Apple เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Notification Forwarding ที่ให้ iPhone ส่งต่อการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์สวมใส่จากแบรนด์อื่นได้โดยตรง ไม่จำกัดแค่ Apple Watch อีกต่อไป ฟีเจอร์นี้เปิดใช้เฉพาะในสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Markets Act ที่บังคับให้ Apple เปิดโอกาสให้สมาร์ทวอชจากค่ายอื่นเข้าถึงฟังก์ชันที่เคยสงวนไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้แอปใดส่งการแจ้งเตือนออกไป และลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่เกิดจากการที่อุปกรณ์อื่นต้องเข้าถึงการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบครอบคลุม ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของ Apple เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษจาก EU
    https://securityonline.info/eu-compliance-ios-26-3-adds-notification-forwarding-to-third-party-wearables-bypassing-apple-watch

    Windows 10 อัปเดต KB5071546 ทำ MSMQ ใช้งานไม่ได้
    Microsoft ยืนยันแล้วว่าการติดตั้งอัปเดต KB5071546 บน Windows 10 ทำให้บริการ Microsoft Message Queuing (MSMQ) ล้มเหลว MSMQ เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรเพื่อจัดการข้อความระหว่างแอปพลิเคชัน หากมันหยุดทำงาน งานเบื้องหลังที่ต้องพึ่งพาคิวข้อความก็จะหยุดตามทันที ส่งผลให้เว็บไซต์หรือแอปที่รันบน IIS ไม่สามารถทำงานได้ สาเหตุคือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์จัดเก็บข้อความ ทำให้บัญชีที่ใช้ MSMQ ไม่มีสิทธิ์เพียงพอ แม้จะรีสตาร์ทหรือรีบูตเซิร์ฟเวอร์ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา ทางออกเดียวตอนนี้คือถอนการติดตั้งอัปเดตแล้วรอ Microsoft ปล่อยแพตช์แก้ไขในเดือนถัดไป
    https://securityonline.info/enterprise-alert-windows-10-update-kb5071546-breaks-msmq-service-with-insufficient-permissions

    ช่องโหว่ ScreenConnect เสี่ยงติดตั้งส่วนขยายไม่ปลอดภัย
    ConnectWise ออกแพตช์ใหม่สำหรับ ScreenConnect หลังพบช่องโหว่ CVE-2025-14265 ที่มีความรุนแรงสูงถึง 9.1 ช่องโหว่นี้อาจทำให้ผู้ที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลเข้าถึงข้อมูลการตั้งค่าหรือบังคับติดตั้งส่วนขยายที่ไม่น่าเชื่อถือได้ แม้จะไม่ใช่การเปิดช่องให้โจมตีจากภายนอกโดยตรง แต่หากบัญชีผู้ดูแลถูกเจาะก็อันตรายทันที แพตช์เวอร์ชัน 25.8 ได้เพิ่มการตรวจสอบความถูกต้องของส่วนขยายและเสริมความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ สำหรับผู้ใช้ระบบคลาวด์ไม่ต้องทำอะไรเพราะถูกแก้ไขแล้ว แต่ผู้ที่ติดตั้งเองในองค์กรต้องรีบอัปเดตด้วยตนเอง
    https://securityonline.info/critical-screenconnect-flaw-cvss-9-1-risks-config-exposure-untrusted-extension-installation

    OpenShift GitOps ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์จนยึดคลัสเตอร์ได้
    Red Hat OpenShift GitOps ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-13888 ที่ร้ายแรงมาก ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียงระดับ namespace admin สามารถใช้ ArgoCD Custom Resources เพื่อยกระดับสิทธิ์จนเข้าถึงทั้งคลัสเตอร์ได้ วิธีการคือการแก้ไขค่า sourceNamespaces ใน CR ให้ชี้ไปยัง namespace ที่มีสิทธิ์สูง เช่น default จากนั้นระบบจะสร้าง RoleBinding และ Role ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีรันงานที่มีสิทธิ์สูงสุดบน master node ได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดครองคลัสเตอร์ Kubernetes ได้โดยสมบูรณ์ ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดและจำกัดสิทธิ์การสร้าง ArgoCD CR ให้เฉพาะผู้ดูแลที่เชื่อถือได้
    https://securityonline.info/critical-openshift-gitops-flaw-risks-cluster-takeover-cve-2025-13888-via-privilege-escalation-to-root

    Phantom Stealer โจมตีการเงินรัสเซียผ่านไฟล์ ISO
    เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมาก แฮกเกอร์ใช้วิธีส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนเป็นการยืนยันการโอนเงินจากบริษัทการเงินจริงๆ เพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเปิดไฟล์แนบที่เป็นไฟล์ ISO เมื่อเปิดแล้วจะมีโปรแกรมแฝงที่ชื่อ Phantom Stealer ทำงานทันที มันสามารถขโมยข้อมูลได้หลายอย่าง ทั้งรหัสผ่านในเบราว์เซอร์ ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลกระเป๋าเงินดิจิทัล รวมถึงดักจับการพิมพ์คีย์บอร์ดทุกครั้งที่เหยื่อกด Phantom Stealer ยังมีระบบป้องกันตัวเองจากการตรวจสอบ ถ้ารู้ว่ากำลังถูกนักวิจัยจับตามันจะลบตัวเองทันที การโจมตีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ที่ใช้ไฟล์ ISO เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกัน ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลทางการเงินอย่างมาก
    https://securityonline.info/phantom-stealer-targets-russian-finance-with-iso-phishing-deploying-keyloggers-and-crypto-wallet-theft

    Frogblight มัลแวร์ Android ปลอมเป็นแอปภาครัฐในตุรกี
    มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ Frogblight ถูกค้นพบว่ากำลังแพร่ระบาดในตุรกี โดยมันปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชันของรัฐบาลที่ใช้ดูข้อมูลคดีความ ผู้ใช้จะได้รับ SMS หลอกว่ามีคดีความและต้องดาวน์โหลดแอปเพื่อดูรายละเอียด เมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลหลายอย่าง เช่น SMS รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง จากนั้นมันจะเปิดหน้าเว็บจริงของรัฐบาลเพื่อให้ผู้ใช้ตายใจ แต่เบื้องหลังมันจะดักข้อมูลการเข้าสู่ระบบธนาคารและส่งไปยังผู้โจมตี Frogblight ยังมีฟังก์ชันสอดแนมอื่นๆ เช่นเก็บข้อมูลแอปที่ติดตั้งและไฟล์ในเครื่อง นักวิจัยพบว่ามันถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอาจถูกนำไปใช้ในรูปแบบบริการให้เช่าแก่แฮกเกอร์รายอื่น ทำให้ภัยนี้มีโอกาสแพร่กระจายไปนอกตุรกีได้ในอนาคต
    https://securityonline.info/frogblight-android-banking-trojan-targets-turkey-via-fake-e-gov-smishing-and-webview

    ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าช่องโหว่เก่าใน macOS ที่เคยรายงานตั้งแต่ปี 2018 ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แม้ Apple จะพยายามอุดหลายครั้ง ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแอปที่ต้องใช้สิทธิ์ root โดยหากมีแอปปลอมถูกวางไว้ในโฟลเดอร์ Applications ก่อน แอปจริงจะถูกติดตั้งเข้าไปในโฟลเดอร์พิเศษชื่อ .localized ทำให้ระบบเข้าใจผิดและไปเรียกใช้แอปปลอมแทน ผลคือผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในสิทธิ์ root ได้ทันที ถือเป็นการเจาะระบบที่อันตรายมาก นักวิจัยย้ำว่าปัญหานี้ยังคงอยู่และต้องการการแก้ไขที่จริงจังจาก Apple เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต
    https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access

    มัลแวร์ NuGet แฝงตัว 5 ปี ขโมยกระเป๋าเงินคริปโต
    มีการค้นพบแพ็กเกจ NuGet ปลอมชื่อ Tracer.Fody.NLog ที่ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดตั้งแต่ปี 2020 และอยู่รอดมาได้กว่า 5 ปีโดยไม่ถูกตรวจจับ มันปลอมตัวเป็นเครื่องมือ .NET ที่ใช้บันทึก log แต่จริงๆ แล้วมีโค้ดแฝงที่ใช้เทคนิคพิเศษ เช่นการใช้ตัวอักษร Cyrillic ที่หน้าตาเหมือนตัวอักษร Latin เพื่อหลบการตรวจสอบ เมื่อถูกติดตั้ง มันจะค้นหาไฟล์กระเป๋าเงินดิจิทัล Stratis และขโมยรหัสผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ถือเป็นการโจมตี supply chain ที่อันตรายมาก เพราะนักพัฒนาที่เชื่อใจแพ็กเกจโอเพนซอร์สอาจถูกดักข้อมูลโดยไม่รู้ตัว
    https://securityonline.info/5-year-threat-malicious-nuget-package-used-homoglyphs-and-typosquatting-to-steal-crypto-wallets

    Intel เตรียมเข้าซื้อกิจการ SambaNova ในราคาลดฮวบ
    เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเดิมทีมีข่าวว่า Intel จะทุ่มเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง SambaNova แต่ล่าสุดกลับมีรายงานว่ามูลค่าดีลจริงอาจเหลือเพียง 1.6 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับการประเมินมูลค่าเดิมของบริษัทในปี 2021 ที่สูงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชิป AI ที่ NVIDIA ครองความเป็นใหญ่ SambaNova มีจุดแข็งด้านสถาปัตยกรรมที่เน้นการประมวลผลสำหรับโมเดลภาษาและการทำงานแบบครบวงจร ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ ซึ่งอาจช่วย Intel เติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดอยู่ แต่ความท้าทายใหญ่คือการผสานเทคโนโลยีนี้เข้ากับระบบของ Intel โดยไม่กระทบต่อผลิตภัณฑ์ Gaudi ที่มีอยู่แล้ว
    https://securityonline.info/intel-nears-sambanova-acquisition-at-1-6b-fire-sale-price-down-from-5b-valuation

    Claude AI ทำพลาด ลบข้อมูลทั้งเครื่อง Mac ของนักพัฒนา
    นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนต้องระวังการใช้เครื่องมือ AI มากขึ้น นักพัฒนารายหนึ่งใช้ Claude CLI เพื่อจัดการแพ็กเกจ แต่กลับเกิดความผิดพลาดจากคำสั่งที่มีเครื่องหมาย ~ ต่อท้าย ทำให้ระบบไปลบทั้งโฟลเดอร์ Home Directory ของเครื่อง Mac ผลคือข้อมูลสำคัญอย่าง Desktop, Documents, Downloads และ Keychains หายไปทั้งหมด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการให้ AI เข้าถึงระบบโดยตรง นักพัฒนาบางคนจึงเสนอให้ใช้ Docker เป็นตัวกลางเพื่อป้องกันไม่ให้ AI สามารถทำลายข้อมูลในเครื่องจริงได้
    https://securityonline.info/data-disaster-claude-ai-executes-rm-rf-and-wipes-developers-mac-home-directory

    SpaceX เตรียม IPO ปี 2026 หลังมูลค่าพุ่งถึง 800 พันล้านดอลลาร์
    SpaceX กำลังเดินหน้าสู่การเข้าตลาดหุ้น โดยมีการเริ่มคัดเลือกธนาคารเพื่อเป็นที่ปรึกษา IPO และมีการส่งบันทึกภายในยืนยันว่าบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในปี 2026 แม้ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอน แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือมูลค่าของบริษัทที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการขายหุ้นภายในล่าสุดตีมูลค่าถึง 800 พันล้านดอลลาร์ แรงหนุนสำคัญมาจากบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังส่งผลให้ Alphabet ซึ่งเคยลงทุนใน SpaceX ได้กำไรอย่างมหาศาลอีกด้วย
    https://securityonline.info/spacex-ipo-company-prepares-for-2026-listing-after-valuation-soars-to-800-billion

    Salt Typhoon กลุ่มแฮ็กเกอร์จากการแข่งขัน Cisco สู่การเจาะระบบโทรคมนาคมโลก
    เรื่องนี้เหมือนนิยาย แต่เกิดขึ้นจริง นักวิจัยพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อ Salt Typhoon มีจุดเริ่มต้นจากนักศึกษาที่เคยแข่งขัน Cisco Network Academy Cup ก่อนจะนำความรู้ไปใช้ในการเจาะระบบโทรคมนาคมกว่า 80 บริษัททั่วโลก พวกเขาสามารถดักฟังทั้งสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงเข้าถึงระบบที่ใช้สำหรับการดักฟังโดยกฎหมายเองด้วย เบื้องหลังคือสองบุคคลที่เคยเป็นคู่แข่งกันในสมัยเรียน แต่กลับร่วมมือกันสร้างเครือข่ายไซเบอร์ที่ทรงพลัง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่อาจถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้
    https://securityonline.info/from-cisco-student-rivalry-to-global-hackers-salt-typhoon-breaches-80-telecos-for-intelligence

    BlackForce เครื่องมือ Phishing-as-a-Service รุ่นใหม่ที่อันตราย
    BlackForce คือชุดเครื่องมือฟิชชิ่งที่ถูกขายใน Telegram ในราคาหลักร้อยยูโร แต่มีความสามารถสูงมาก มันสามารถหลอกขโมยรหัสผ่านและยังเจาะผ่านระบบยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) ได้ โดยใช้เทคนิค Man-in-the-Browser เพื่อดักจับรหัส OTP แบบเรียลไทม์ จุดที่ทำให้มันน่ากลัวคือการใช้โค้ด React และ React Router ที่ดูเหมือนของจริง ทำให้ยากต่อการตรวจจับ อีกทั้งยังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากเวอร์ชัน stateless ไปสู่ stateful ที่สามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้แม้รีเฟรชหน้าเว็บได้ ทำให้การโจมตีมีความต่อเนื่องและยากต่อการป้องกัน
    https://securityonline.info/blackforce-phaas-weaponizes-react-and-stateful-sessions-to-bypass-mfa-steal-credentials

    📌🔐🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🔐🩷📌 #รวมข่าวIT #20251216 #securityonline 🛡️ วิกฤติช่องโหว่ FortiGate SSO ถูกโจมตีจริง ช่วงนี้ผู้ดูแลระบบ Fortinet ต้องเผชิญกับสถานการณ์ร้อนแรง เมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงสองรายการในระบบ FortiGate และเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถูกโจมตีจริงทันที แฮกเกอร์ใช้วิธีเจาะผ่านระบบ Single Sign-On (SSO) โดยส่งข้อความ SAML ที่ถูกปรับแต่ง ทำให้สามารถล็อกอินเป็นผู้ดูแลได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาจะรีบขโมยการตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ออกไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มักมีรหัสผ่านที่ถูกเข้ารหัสของผู้ใช้ VPN และบัญชีอื่น ๆ จุดอันตรายคือการตั้งค่า FortiCloud SSO ที่แม้จะถูกปิดไว้ในค่าเริ่มต้น แต่เมื่อผู้ดูแลลงทะเบียนอุปกรณ์ผ่าน GUI มันจะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติหากไม่ได้ปิดเอง ทำให้หลายระบบเสี่ยงทันที นักวิจัยแนะนำให้รีบอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดหรือปิดฟีเจอร์นี้ผ่าน CLI เพื่อป้องกันการโจมตี 🔗 https://securityonline.info/critical-fortigate-sso-flaw-under-active-exploitation-attackers-bypass-auth-and-exfiltrate-configs ⌚ Apple ยอม EU: iOS 26.3 ส่งต่อการแจ้งเตือนให้สมาร์ทวอชแบรนด์อื่น ใน iOS 26.3 เบต้า Apple เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Notification Forwarding ที่ให้ iPhone ส่งต่อการแจ้งเตือนไปยังอุปกรณ์สวมใส่จากแบรนด์อื่นได้โดยตรง ไม่จำกัดแค่ Apple Watch อีกต่อไป ฟีเจอร์นี้เปิดใช้เฉพาะในสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Markets Act ที่บังคับให้ Apple เปิดโอกาสให้สมาร์ทวอชจากค่ายอื่นเข้าถึงฟังก์ชันที่เคยสงวนไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะให้แอปใดส่งการแจ้งเตือนออกไป และลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวที่เกิดจากการที่อุปกรณ์อื่นต้องเข้าถึงการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบครอบคลุม ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญของ Apple เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษจาก EU 🔗 https://securityonline.info/eu-compliance-ios-26-3-adds-notification-forwarding-to-third-party-wearables-bypassing-apple-watch 💻 Windows 10 อัปเดต KB5071546 ทำ MSMQ ใช้งานไม่ได้ Microsoft ยืนยันแล้วว่าการติดตั้งอัปเดต KB5071546 บน Windows 10 ทำให้บริการ Microsoft Message Queuing (MSMQ) ล้มเหลว MSMQ เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรเพื่อจัดการข้อความระหว่างแอปพลิเคชัน หากมันหยุดทำงาน งานเบื้องหลังที่ต้องพึ่งพาคิวข้อความก็จะหยุดตามทันที ส่งผลให้เว็บไซต์หรือแอปที่รันบน IIS ไม่สามารถทำงานได้ สาเหตุคือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์จัดเก็บข้อความ ทำให้บัญชีที่ใช้ MSMQ ไม่มีสิทธิ์เพียงพอ แม้จะรีสตาร์ทหรือรีบูตเซิร์ฟเวอร์ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหา ทางออกเดียวตอนนี้คือถอนการติดตั้งอัปเดตแล้วรอ Microsoft ปล่อยแพตช์แก้ไขในเดือนถัดไป 🔗 https://securityonline.info/enterprise-alert-windows-10-update-kb5071546-breaks-msmq-service-with-insufficient-permissions 🖥️ ช่องโหว่ ScreenConnect เสี่ยงติดตั้งส่วนขยายไม่ปลอดภัย ConnectWise ออกแพตช์ใหม่สำหรับ ScreenConnect หลังพบช่องโหว่ CVE-2025-14265 ที่มีความรุนแรงสูงถึง 9.1 ช่องโหว่นี้อาจทำให้ผู้ที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลเข้าถึงข้อมูลการตั้งค่าหรือบังคับติดตั้งส่วนขยายที่ไม่น่าเชื่อถือได้ แม้จะไม่ใช่การเปิดช่องให้โจมตีจากภายนอกโดยตรง แต่หากบัญชีผู้ดูแลถูกเจาะก็อันตรายทันที แพตช์เวอร์ชัน 25.8 ได้เพิ่มการตรวจสอบความถูกต้องของส่วนขยายและเสริมความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ สำหรับผู้ใช้ระบบคลาวด์ไม่ต้องทำอะไรเพราะถูกแก้ไขแล้ว แต่ผู้ที่ติดตั้งเองในองค์กรต้องรีบอัปเดตด้วยตนเอง 🔗 https://securityonline.info/critical-screenconnect-flaw-cvss-9-1-risks-config-exposure-untrusted-extension-installation ☸️ OpenShift GitOps ช่องโหว่ยกระดับสิทธิ์จนยึดคลัสเตอร์ได้ Red Hat OpenShift GitOps ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-13888 ที่ร้ายแรงมาก ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เพียงระดับ namespace admin สามารถใช้ ArgoCD Custom Resources เพื่อยกระดับสิทธิ์จนเข้าถึงทั้งคลัสเตอร์ได้ วิธีการคือการแก้ไขค่า sourceNamespaces ใน CR ให้ชี้ไปยัง namespace ที่มีสิทธิ์สูง เช่น default จากนั้นระบบจะสร้าง RoleBinding และ Role ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีรันงานที่มีสิทธิ์สูงสุดบน master node ได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดครองคลัสเตอร์ Kubernetes ได้โดยสมบูรณ์ ผู้ดูแลระบบควรรีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดและจำกัดสิทธิ์การสร้าง ArgoCD CR ให้เฉพาะผู้ดูแลที่เชื่อถือได้ 🔗 https://securityonline.info/critical-openshift-gitops-flaw-risks-cluster-takeover-cve-2025-13888-via-privilege-escalation-to-root 🕵️‍♂️ Phantom Stealer โจมตีการเงินรัสเซียผ่านไฟล์ ISO เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมาก แฮกเกอร์ใช้วิธีส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนเป็นการยืนยันการโอนเงินจากบริษัทการเงินจริงๆ เพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินเปิดไฟล์แนบที่เป็นไฟล์ ISO เมื่อเปิดแล้วจะมีโปรแกรมแฝงที่ชื่อ Phantom Stealer ทำงานทันที มันสามารถขโมยข้อมูลได้หลายอย่าง ทั้งรหัสผ่านในเบราว์เซอร์ ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลกระเป๋าเงินดิจิทัล รวมถึงดักจับการพิมพ์คีย์บอร์ดทุกครั้งที่เหยื่อกด Phantom Stealer ยังมีระบบป้องกันตัวเองจากการตรวจสอบ ถ้ารู้ว่ากำลังถูกนักวิจัยจับตามันจะลบตัวเองทันที การโจมตีนี้ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ที่ใช้ไฟล์ ISO เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกัน ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียข้อมูลทางการเงินอย่างมาก 🔗 https://securityonline.info/phantom-stealer-targets-russian-finance-with-iso-phishing-deploying-keyloggers-and-crypto-wallet-theft 📱 Frogblight มัลแวร์ Android ปลอมเป็นแอปภาครัฐในตุรกี มัลแวร์ตัวใหม่ชื่อ Frogblight ถูกค้นพบว่ากำลังแพร่ระบาดในตุรกี โดยมันปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชันของรัฐบาลที่ใช้ดูข้อมูลคดีความ ผู้ใช้จะได้รับ SMS หลอกว่ามีคดีความและต้องดาวน์โหลดแอปเพื่อดูรายละเอียด เมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลหลายอย่าง เช่น SMS รายชื่อผู้ติดต่อ และไฟล์ในเครื่อง จากนั้นมันจะเปิดหน้าเว็บจริงของรัฐบาลเพื่อให้ผู้ใช้ตายใจ แต่เบื้องหลังมันจะดักข้อมูลการเข้าสู่ระบบธนาคารและส่งไปยังผู้โจมตี Frogblight ยังมีฟังก์ชันสอดแนมอื่นๆ เช่นเก็บข้อมูลแอปที่ติดตั้งและไฟล์ในเครื่อง นักวิจัยพบว่ามันถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและอาจถูกนำไปใช้ในรูปแบบบริการให้เช่าแก่แฮกเกอร์รายอื่น ทำให้ภัยนี้มีโอกาสแพร่กระจายไปนอกตุรกีได้ในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/frogblight-android-banking-trojan-targets-turkey-via-fake-e-gov-smishing-and-webview 💻 ช่องโหว่ macOS LPE กลับมาอีกครั้ง นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าช่องโหว่เก่าใน macOS ที่เคยรายงานตั้งแต่ปี 2018 ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์ แม้ Apple จะพยายามอุดหลายครั้ง ช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแอปที่ต้องใช้สิทธิ์ root โดยหากมีแอปปลอมถูกวางไว้ในโฟลเดอร์ Applications ก่อน แอปจริงจะถูกติดตั้งเข้าไปในโฟลเดอร์พิเศษชื่อ .localized ทำให้ระบบเข้าใจผิดและไปเรียกใช้แอปปลอมแทน ผลคือผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในสิทธิ์ root ได้ทันที ถือเป็นการเจาะระบบที่อันตรายมาก นักวิจัยย้ำว่าปัญหานี้ยังคงอยู่และต้องการการแก้ไขที่จริงจังจาก Apple เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/macos-lpe-flaw-resurfaces-localized-directory-exploited-to-hijack-installers-and-gain-root-access 🪙 มัลแวร์ NuGet แฝงตัว 5 ปี ขโมยกระเป๋าเงินคริปโต มีการค้นพบแพ็กเกจ NuGet ปลอมชื่อ Tracer.Fody.NLog ที่ถูกปล่อยให้ดาวน์โหลดตั้งแต่ปี 2020 และอยู่รอดมาได้กว่า 5 ปีโดยไม่ถูกตรวจจับ มันปลอมตัวเป็นเครื่องมือ .NET ที่ใช้บันทึก log แต่จริงๆ แล้วมีโค้ดแฝงที่ใช้เทคนิคพิเศษ เช่นการใช้ตัวอักษร Cyrillic ที่หน้าตาเหมือนตัวอักษร Latin เพื่อหลบการตรวจสอบ เมื่อถูกติดตั้ง มันจะค้นหาไฟล์กระเป๋าเงินดิจิทัล Stratis และขโมยรหัสผ่านไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้รู้ตัว การโจมตีนี้ถือเป็นการโจมตี supply chain ที่อันตรายมาก เพราะนักพัฒนาที่เชื่อใจแพ็กเกจโอเพนซอร์สอาจถูกดักข้อมูลโดยไม่รู้ตัว 🔗 https://securityonline.info/5-year-threat-malicious-nuget-package-used-homoglyphs-and-typosquatting-to-steal-crypto-wallets 🖥️ Intel เตรียมเข้าซื้อกิจการ SambaNova ในราคาลดฮวบ เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเดิมทีมีข่าวว่า Intel จะทุ่มเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อสตาร์ทอัพด้าน AI อย่าง SambaNova แต่ล่าสุดกลับมีรายงานว่ามูลค่าดีลจริงอาจเหลือเพียง 1.6 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับการประเมินมูลค่าเดิมของบริษัทในปี 2021 ที่สูงกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชิป AI ที่ NVIDIA ครองความเป็นใหญ่ SambaNova มีจุดแข็งด้านสถาปัตยกรรมที่เน้นการประมวลผลสำหรับโมเดลภาษาและการทำงานแบบครบวงจร ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ ซึ่งอาจช่วย Intel เติมเต็มช่องว่างที่ยังขาดอยู่ แต่ความท้าทายใหญ่คือการผสานเทคโนโลยีนี้เข้ากับระบบของ Intel โดยไม่กระทบต่อผลิตภัณฑ์ Gaudi ที่มีอยู่แล้ว 🔗 https://securityonline.info/intel-nears-sambanova-acquisition-at-1-6b-fire-sale-price-down-from-5b-valuation 💾 Claude AI ทำพลาด ลบข้อมูลทั้งเครื่อง Mac ของนักพัฒนา นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนต้องระวังการใช้เครื่องมือ AI มากขึ้น นักพัฒนารายหนึ่งใช้ Claude CLI เพื่อจัดการแพ็กเกจ แต่กลับเกิดความผิดพลาดจากคำสั่งที่มีเครื่องหมาย ~ ต่อท้าย ทำให้ระบบไปลบทั้งโฟลเดอร์ Home Directory ของเครื่อง Mac ผลคือข้อมูลสำคัญอย่าง Desktop, Documents, Downloads และ Keychains หายไปทั้งหมด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการให้ AI เข้าถึงระบบโดยตรง นักพัฒนาบางคนจึงเสนอให้ใช้ Docker เป็นตัวกลางเพื่อป้องกันไม่ให้ AI สามารถทำลายข้อมูลในเครื่องจริงได้ 🔗 https://securityonline.info/data-disaster-claude-ai-executes-rm-rf-and-wipes-developers-mac-home-directory 🚀 SpaceX เตรียม IPO ปี 2026 หลังมูลค่าพุ่งถึง 800 พันล้านดอลลาร์ SpaceX กำลังเดินหน้าสู่การเข้าตลาดหุ้น โดยมีการเริ่มคัดเลือกธนาคารเพื่อเป็นที่ปรึกษา IPO และมีการส่งบันทึกภายในยืนยันว่าบริษัทกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในปี 2026 แม้ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอน แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือมูลค่าของบริษัทที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการขายหุ้นภายในล่าสุดตีมูลค่าถึง 800 พันล้านดอลลาร์ แรงหนุนสำคัญมาจากบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังส่งผลให้ Alphabet ซึ่งเคยลงทุนใน SpaceX ได้กำไรอย่างมหาศาลอีกด้วย 🔗 https://securityonline.info/spacex-ipo-company-prepares-for-2026-listing-after-valuation-soars-to-800-billion 🔐 Salt Typhoon กลุ่มแฮ็กเกอร์จากการแข่งขัน Cisco สู่การเจาะระบบโทรคมนาคมโลก เรื่องนี้เหมือนนิยาย แต่เกิดขึ้นจริง นักวิจัยพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ชื่อ Salt Typhoon มีจุดเริ่มต้นจากนักศึกษาที่เคยแข่งขัน Cisco Network Academy Cup ก่อนจะนำความรู้ไปใช้ในการเจาะระบบโทรคมนาคมกว่า 80 บริษัททั่วโลก พวกเขาสามารถดักฟังทั้งสายโทรศัพท์และข้อความ รวมถึงเข้าถึงระบบที่ใช้สำหรับการดักฟังโดยกฎหมายเองด้วย เบื้องหลังคือสองบุคคลที่เคยเป็นคู่แข่งกันในสมัยเรียน แต่กลับร่วมมือกันสร้างเครือข่ายไซเบอร์ที่ทรงพลัง เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่อาจถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ 🔗 https://securityonline.info/from-cisco-student-rivalry-to-global-hackers-salt-typhoon-breaches-80-telecos-for-intelligence 🎭 BlackForce เครื่องมือ Phishing-as-a-Service รุ่นใหม่ที่อันตราย BlackForce คือชุดเครื่องมือฟิชชิ่งที่ถูกขายใน Telegram ในราคาหลักร้อยยูโร แต่มีความสามารถสูงมาก มันสามารถหลอกขโมยรหัสผ่านและยังเจาะผ่านระบบยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน (MFA) ได้ โดยใช้เทคนิค Man-in-the-Browser เพื่อดักจับรหัส OTP แบบเรียลไทม์ จุดที่ทำให้มันน่ากลัวคือการใช้โค้ด React และ React Router ที่ดูเหมือนของจริง ทำให้ยากต่อการตรวจจับ อีกทั้งยังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากเวอร์ชัน stateless ไปสู่ stateful ที่สามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้แม้รีเฟรชหน้าเว็บได้ ทำให้การโจมตีมีความต่อเนื่องและยากต่อการป้องกัน 🔗 https://securityonline.info/blackforce-phaas-weaponizes-react-and-stateful-sessions-to-bypass-mfa-steal-credentials
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical FortiGate SSO Flaw Under Active Exploitation: Attackers Bypass Auth and Exfiltrate Configs
    A critical FortiGate SSO flaw (CVSS 9.1) is under active exploitation, letting unauthenticated attackers bypass login via crafted SAML. The flaw is armed by default registration, risking config exfiltration. Patch immediately.
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷
    #รวมข่าวIT #20251216 #TechRadar

    LG เปิดตัวทีวี Micro RGB evo ที่ CES 2026
    LG กำลังสร้างความฮือฮาในงาน CES 2026 ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Micro RGB evo ซึ่งเปลี่ยนหลอดไฟ LED แบบเดิมไปเป็นหลอดไฟสีแดง เขียว และน้ำเงินขนาดจิ๋ว เพื่อควบคุมแสงและสีได้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์คือภาพที่สว่างสดใสและสีสันจัดเต็มใกล้เคียง OLED แต่ยังคงความสว่างสูงของ LCD จุดเด่นคือการครอบคลุมสีครบทั้ง BT.2020, DCI-P3 และ Adobe RGB พร้อมระบบประมวลผล α11 AI Gen 3 ที่ช่วยอัปสเกลภาพให้คมชัดขึ้น ถือเป็นการพยายามปิดช่องว่างระหว่าง LCD และ OLED ที่น่าสนใจมากสำหรับคนรักภาพคมชัดและสีสดใส
    https://www.techradar.com/televisions/lg-reveals-micro-rgb-evo-tv-with-bold-claims-of-perfect-color

    Netflix เลิกใช้ Google Cast แต่ Apple TV บน Android นำกลับมาอีกครั้ง
    Netflix เคยยกเลิกฟีเจอร์ Google Cast ที่ให้ผู้ใช้ส่งภาพจากมือถือขึ้นจอทีวี แต่ล่าสุด Apple TV บน Android กลับนำฟีเจอร์นี้กลับมา ทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีมคอนเทนต์จากมือถือไปยังทีวีได้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งที่ยังคงดุเดือด และการที่ Apple พยายามทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้ Android ได้สะดวกขึ้น
    https://www.techradar.com/streaming/apple-tv-plus/netflix-dropped-google-cast-now-apple-tv-for-android-just-brought-it-back

    NAS พกพาใส่ SSD 4 ตัว พร้อมพลัง Intel N150
    มีการเปิดตัวอุปกรณ์ NAS ขนาดเล็กที่ดูเหมือนวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า แต่ภายในบรรจุ SSD ได้ถึง 4 ตัว ใช้พลังจาก Intel N150 และมีพอร์ต LAN 2.5Gb สองช่อง รวมถึง RAM 12GB จุดขายคือความสามารถในการพกพาและเก็บข้อมูลได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเกินความคาดหมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่คล่องตัวและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร
    https://www.techradar.com/pro/is-that-your-grandads-transistor-radio-no-its-a-4-ssd-nas-with-two-2-5gb-lan-ports-12gb-ram-and-a-cracking-name-the-orange-colored-youyeetoo-nestdisk

    นักพัฒนาสร้างกล่องสำรองข้อมูล iPhone แบบออฟไลน์
    นักพัฒนารายหนึ่งได้สร้างอุปกรณ์สำรองข้อมูล iPhone ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB และเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเก็บไว้ในเครื่องโดยตรง ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายค่าบริการ iCloud หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ แม้จะยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความต้องการควบคุมข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/want-to-back-up-your-iphone-securely-without-paying-the-apple-tax-theres-a-hack-for-that-but-it-isnt-for-everyone-yet

    วิกฤติ RAM อาจกระทบหนักต่อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง
    ตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติ RAM ที่อาจทำให้เครื่องเล่นเกมประสิทธิภาพสูงมีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น เหตุผลมาจากความต้องการหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจาก AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเกมมิ่งต้องปรับตัวและอาจทำให้ผู้เล่นเกมต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพื่อได้เครื่องที่แรงพอ
    https://www.techradar.com/computing/memory/the-ram-crisis-will-be-a-disaster-for-gaming-laptops-heres-why

    Slop: คำแห่งปีที่สะท้อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยขยะดิจิทัล
    ปีนี้ Merriam-Webster เลือกคำว่า “Slop” เป็น Word of the Year 2025 เพื่ออธิบายเนื้อหาดิจิทัลคุณภาพต่ำที่ถูกผลิตขึ้นอย่างมหาศาลด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นบทความ ภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์ หลายอย่างดูเหมือนจะสร้างได้ง่ายแต่กลับทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสิ่งที่คนเรียกว่า “AI slop” จนยากจะแยกออกว่าอะไรคือผลงานมนุษย์จริงๆ และอะไรคือสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของเครื่องมือ AI ถูกส่งถึงมือผู้ใช้เร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันคิดถึงผลกระทบ ทำให้เราต้องเผชิญกับทะเลข้อมูลที่ปะปนทั้งคุณภาพและขยะไปพร้อมกัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/we-filled-the-internet-with-garbage-and-now-slop-is-the-word-of-the-year-nice-going-ai

    Super X: แท็บเล็ตลูกผสมที่แรงระดับเดสก์ท็อป
    OneXPlayer เปิดตัว Super X อุปกรณ์ลูกผสมที่รวมแท็บเล็ตกับพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อป หน้าจอใหญ่ถึง 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียู 16 คอร์ GPU ระดับ 5060-class และ RAM สูงสุด 128GB จุดเด่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องเล็กแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่อยากได้ความแรงแบบ PC แต่ยังพกพาได้สะดวก แม้ราคาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ แต่ถือเป็นการยกระดับแท็บเล็ตให้ก้าวไปอีกขั้น
    https://www.techradar.com/pro/a-water-cooled-amd-ai-14-inch-tablet-with-16-cpu-cores-a-5060-class-gpu-and-128gb-ram-is-exactly-what-i-need-for-christmas-i-dont-think-it-will-cost-less-than-usd2000-though

    SSD จิ๋วแต่แรง: Samsung เปิดตัว PCIe Gen5 รุ่นใหม่
    Samsung เผยโฉม SSD รุ่น PM9E1 ที่มาในขนาดเล็กเพียง 22 x 42 มม. แต่รองรับมาตรฐาน PCIe Gen5 ทำให้ได้ความเร็วสูงและความจุที่จริงจัง แม้จะมาแบบเงียบๆ แต่ถือเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็กแต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะกับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์พกพาที่ต้องการความเร็วระดับสูงสุดในพื้นที่จำกัด
    https://www.techradar.com/pro/samsungs-surprising-stealth-superfast-ssd-surfaces-silently-pm9e1-turns-out-to-be-a-mini-9100-pro-measuring-just-22-x-42mm-with-pcie-gen5-capabilities

    DoomScroll: เว็บไซต์ใหม่รวมแผนที่ Doom แบบไม่รู้จบ
    แฟนเกม Doom ได้เฮ เมื่อมีเว็บไซต์ใหม่ชื่อ DoomScroll ที่รวบรวมแผนที่เกม Doom ไว้ให้เลือกเล่นได้ไม่รู้จบผ่านเบราว์เซอร์ ผู้เล่นสามารถเข้าไปเลือกแผนที่ที่ชอบแล้วเล่นได้ทันที ถือเป็นการเปิดคลังเกมคลาสสิกให้เข้าถึงง่ายขึ้น และยังทำให้ชุมชนผู้เล่นสามารถแชร์ผลงานกันได้สะดวกขึ้นด้วย
    https://www.techradar.com/gaming/pc-gaming/new-doomscroll-website-is-an-endless-library-of-doom-maps-you-can-pick-from-and-play-in-your-browser

    หน่วยความจำแห่งอนาคต: Kioxia พัฒนา 3D DRAM
    Kioxia ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี 3D DRAM โดยใช้ stacked oxide-semiconductors ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความหนาแน่นของหน่วยความจำ แม้จะยังไม่พร้อมสู่ตลาดผู้บริโภคในทันที แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหน่วยความจำในทศวรรษหน้า ทำให้คาดหวังได้ว่าอนาคตเราจะได้เห็น RAM ที่เร็วขึ้นและราคาถูกลง
    https://www.techradar.com/pro/crying-over-expensive-ram-kioxia-may-have-cracked-the-3d-ram-puzzle-paving-the-way-for-cheaper-faster-memory-but-it-probably-wont-reach-the-market-till-the-next-decade

    Apple อุดช่องโหว่ Zero-Day สุดอันตราย
    Apple ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ที่ถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงบุคคลระดับสูง โดยช่องโหว่นี้อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ทีม Google TAG และ Apple ร่วมกันค้นพบและแก้ไข ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก การอัปเดตครอบคลุมทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, visionOS และ Safari ผู้ใช้ทั่วไปแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตเพื่อความปลอดภัยทันที
    https://www.techradar.com/pro/security/apple-says-it-fixed-zero-day-flaws-used-for-sophisticated-attacks

    CEO Windscribe วิจารณ์การแบน VPN สำหรับเด็ก
    Windscribe ผู้ให้บริการ VPN ออกมาแสดงความเห็นว่าการห้ามเด็กใช้ VPN เป็น “วิธีแก้ที่แย่ที่สุด” เพราะ VPN ไม่ใช่เครื่องมืออันตราย แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย การแบนอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และยังไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงของการใช้งานออนไลน์
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/banning-vpns-for-kids-is-the-dumbest-possible-fix-windscribe-ceo

    กล้องวงจรปิดแบตเตอรี่ไร้ขีดจำกัด
    มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่อง “แบตเตอรี่ไม่จำกัด” สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ ราคาก็ไม่สูงอย่างที่คิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กล้องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่
    https://www.techradar.com/home/smart-home/this-home-security-cam-monitors-your-property-24-7-with-unlimited-battery-life-and-it-costs-less-than-you-might-expect

    Garmin เผลอหลุดข้อมูล Vivosmart 6
    Garmin มีข่าวหลุดเกี่ยวกับสมาร์ทแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ Vivosmart 6 ที่คาดว่าจะมาพร้อมการอัปเกรดสำคัญเหนือรุ่นก่อน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเต็ม แต่คาดว่าจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำขึ้น การหลุดครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ติดตามอุปกรณ์สวมใส่ของ Garmin อยู่แล้ว
    https://www.techradar.com/health-fitness/fitness-trackers/garmin-just-leaked-its-vivosmart-6-tracker-and-it-might-come-with-one-major-upgrade-over-its-predecessor

    แอป Freedom Chat ทำข้อมูลผู้ใช้หลุด
    มีรายงานว่าแอปแชทชื่อ Freedom Chat เผยข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมายเลขโทรศัพท์และรายละเอียดอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แอปนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดมาตรการป้องกันที่รัดกุม และอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือการละเมิดข้อมูล
    https://www.techradar.com/pro/security/messaging-app-freedom-chat-exposes-user-phone-numbers-and-more-heres-what-we-know

    Google เปิดฟีเจอร์แปลสดผ่านหูฟัง
    Google กำลังยกระดับการสื่อสารข้ามภาษาให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “Live Translation” ที่สามารถใช้งานได้กับหูฟังทุกยี่ห้อ ไม่จำกัดเฉพาะ Pixel Buds อีกต่อไป โดยเริ่มทดสอบในสหรัฐฯ เม็กซิโก และอินเดีย ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลคำต่อคำ แต่ยังรักษาน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ของผู้พูด ทำให้การสนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังปรับปรุงระบบ Gemini ให้เข้าใจสำนวนและภาษาพูด เช่น “stealing my thunder” ที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือช่วยเรียนภาษา เช่น การให้คำแนะนำด้านการออกเสียง และระบบติดตามความก้าวหน้า ฟีเจอร์นี้รองรับกว่า 70 ภาษา และมีแผนจะขยายไปยัง iOS ในปี 2026
    https://www.techradar.com/computing/software/google-smashes-language-barriers-with-live-translation-for-any-earbuds-on-android-heres-how-it-works

    อีเมลไม่ใช่จุดอ่อน แต่การตั้งค่าคลาวด์ต่างหาก
    หลายครั้งที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล อีเมลมักถูกมองว่าเป็นตัวการ แต่จริง ๆ แล้วปัญหามาจากการตั้งค่าคลาวด์ที่ผิดพลาดมากกว่า กว่า 99% ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยเกิดจากผู้ใช้เอง เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ใช้รหัสผ่านซ้ำ หรือจัดการข้อมูลผิดพลาด การโทษอีเมลจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากต้นเหตุที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันควรเริ่มจากการเข้ารหัสข้อมูล การเสริมความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการฝึกอบรมผู้ใช้ให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ เมื่อผู้ใช้มีความรู้และระบบถูกเข้ารหัสอย่างดี อีเมลก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/your-email-app-isnt-the-weak-link-but-your-cloud-configuration-probably-is

    Microsoft ขยายโครงการ Bug Bounty
    Microsoft ประกาศปรับโครงการ Bug Bounty ครั้งใหญ่ เปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถส่งรายงานช่องโหว่ได้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์และบริการ แม้บางโปรแกรมจะไม่มีการตั้งค่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็ตาม แนวทางใหม่นี้เรียกว่า “In Scope by Default” ซึ่งหมายความว่าหากช่องโหว่มีผลกระทบต่อบริการออนไลน์ของ Microsoft ก็จะได้รับเงินรางวัลตามระดับความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา Microsoft จ่ายเงินรางวัลไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ มากกว่า Google ที่จ่ายราว 11.8 ล้านดอลลาร์ การขยายนี้ครอบคลุมทั้งโค้ดของ Microsoft โค้ดจากบุคคลที่สาม และโอเพ่นซอร์ส ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในวงกว้างยิ่งขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-will-expand-bug-bounties-even-on-programs-without-official-payouts

    Oracle ทุ่มมหาศาลกับดีลศูนย์ข้อมูล
    Oracle กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในโลกคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลและคลาวด์รวมมูลค่าถึง 248 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทยอยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2026 ไปจนถึง 2028 และกินเวลายาวนานถึง 15–19 ปี การขยายตัวนี้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Nvidia และ OpenAI ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 300 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Oracle ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าและลงทุนเพิ่มหนี้อีกหลายหมื่นล้าน แม้จะเป็นภาระ แต่ก็สะท้อนว่าบริษัทกำลังเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตของตลาด AI และคลาวด์อย่างเต็มที่
    https://www.techradar.com/pro/oracle-reportedly-signs-major-huge-cloud-data-center-deals-in-the-last-quarter-nearly-usd250-billion-in-new-commitments-revealed

    ChatGPT 5.2 vs Gemini 3
    มีการทดสอบเปรียบเทียบสองแชตบอทที่โด่งดังที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ChatGPT 5.2 และ Gemini 3 ผู้เขียนลองใช้งานจริงเพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ได้ดีกว่า ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจเพราะแต่ละตัวมีจุดแข็งต่างกัน ChatGPT 5.2 โดดเด่นเรื่องการให้คำตอบที่ละเอียดและมีความคิดเชิงลึก ส่วน Gemini 3 เน้นความเร็วและความกระชับในการสื่อสาร การแข่งขันนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังร้อนแรง และผู้ใช้ก็มีทางเลือกมากขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-5-2-vs-gemini-3-i-tried-the-worlds-most-popular-chatbots-to-see-which-is-best-and-the-result-might-surprise-you

    โลกเสมือนที่มีหัวใจมนุษย์
    เรื่องราวของ Victoria Fard ศิลปินที่ใช้พลังของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความทรงจำ ความรู้สึก และเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผลงานของเธอจึงไม่ใช่แค่ภาพสวย ๆ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง
    https://www.techradar.com/tech/memories-in-pixel-how-victoria-fard-uses-a-pc-powered-by-snapdragon-to-build-worlds-that-are-deeply-human

    ซีอีโอยังเดินหน้าลงทุน AI แม้ผลลัพธ์ไม่ชัด
    แม้หลายบริษัทจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI แต่ซีอีโอจำนวนมากก็ยังคงเดินหน้าทุ่มงบต่อไป เหตุผลคือพวกเขามองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ และหากหยุดลงทุนอาจเสียโอกาสในอนาคต ถึงแม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระยะยาว
    https://www.techradar.com/pro/ceos-seem-determined-to-keep-spending-on-ai-despite-mixed-success

    ศาลรัสเซียสั่งอายัดทรัพย์ Google ในฝรั่งเศส
    มีข่าวใหญ่จากยุโรป เมื่อศาลรัสเซียมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ Google ในฝรั่งเศสมูลค่ากว่า 129 ล้านดอลลาร์ สาเหตุเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อนในหลายประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญในระดับโลก ทั้งจากกฎระเบียบและความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน
    https://www.techradar.com/pro/security/russian-court-ruling-could-see-usd129-million-freeze-on-some-of-googles-french-assets

    Microsoft เจอศึกใหญ่เรื่อง Cloud Licensing ในสหราชอาณาจักร
    เรื่องนี้เริ่มจากการที่ Microsoft ถูกกล่าวหาว่ากำหนดเงื่อนไขการใช้งาน Windows Server บน Cloud ของคู่แข่งอย่าง AWS และ Google Cloud ให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง จนทำให้หลายองค์กรในสหราชอาณาจักรเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก คดีนี้ถูกยื่นต่อศาล Competition Appeal Tribunal โดยมีองค์กรกว่า 59,000 แห่งเข้าร่วมเป็นกลุ่มฟ้องร้อง หาก Microsoft ถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าชดเชยสูงถึง 2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ Microsoft ยืนยันว่าเป็นเพียงการกล่าวหาเกินจริงจากกลุ่มทนายและผู้สนับสนุน แต่แรงกดดันก็ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะ Google เองก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ EU มาก่อนแล้ว
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-back-in-court-in-the-uk-over-unfair-cloud-licensing-claims

    UGreen เปิดตัว eGPU Dock ท้าชน Razer ในตลาด eGPU ที่กำลังร้อนแรง
    UGreen ได้เปิดตัว Linkstation eGPU Dock ที่มาพร้อมพลังงานในตัวถึง 850W และพอร์ตเชื่อมต่อใหม่อย่าง Oculink และ USB4 จุดเด่นคือราคาประมาณ 325 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ Razer Core X V2 แต่เหนือกว่าตรงที่มี PSU ในตัวและรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 370 มม. อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ของ UGreen ยังเปิดโล่งมากกว่า Razer ที่มีโครงสร้างปิด ทำให้บางคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของการ์ดจอ ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่น่าจับตามองของ UGreen ที่เดิมทำอุปกรณ์เสริมอย่าง Dock และ Charger
    https://www.techradar.com/computing/gpu/its-a-great-time-to-buy-an-egpu-and-ugreens-new-razer-rival-has-two-major-tricks-up-its-sleeve

    วิกฤติ RAM อาจทำให้สมาร์ทโฟนถอยหลังในปี 2026
    นักวิเคราะห์เตือนว่าความต้องการ RAM ที่สูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังทำให้ราคาพุ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องลดสเปกลง แทนที่จะเพิ่ม RAM เป็น 16GB ในรุ่นเรือธงใหม่ อาจยังคงอยู่ที่ 12GB หรือบางรุ่นอาจลดลงเหลือ 8GB สำหรับรุ่นกลาง และ 4GB สำหรับรุ่นล่าง ทั้งนี้แม้จะเป็นการคาดการณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาด AI กำลังดูดซับทรัพยากรไปอย่างมหาศาล ซึ่งอาจย้อนแย้งกับการพัฒนา AI บนมือถือที่ต้องใช้ RAM มากเช่นกัน
    https://www.techradar.com/phones/the-ram-crisis-will-see-smartphone-specs-go-backwards-in-2026-experts-warn-heres-why

    Apple ควรทำ Smart Ring เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากของ Smartwatch
    ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าแม้ Apple Watch จะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็สร้างความลำบากใจเพราะเขาเป็นคนรักนาฬิกากลไกและไม่อยากละทิ้งการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม จนต้องใส่นาฬิกาสองเรือนบนข้อมือเดียวกัน ซึ่งทั้งไม่สะดวกและน่าขัน เขาจึงเสนอว่า Apple ควรทำ Smart Ring ที่สามารถติดตามสุขภาพได้เหมือน Apple Watch แต่เล็กกะทัดรัดและไม่รบกวนการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม หาก Apple ทำจริงก็อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกเกมในปี 2026
    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/apple-needs-to-make-a-smart-ring-to-save-me-from-this-ridiculous-situation

    รีวิวซอฟต์แวร์ Idea Spectrum Realtime Landscaping Pro 2025
    นี่คือโปรแกรมออกแบบภูมิทัศน์ที่ให้คุณสร้างสวนเสมือนจริงได้จากคอมพิวเตอร์ Windows จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีคลังพืชกว่า 6,000 ชนิด และวัตถุสามมิติหลากหลาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรถยนต์ พร้อมระบบแอนิเมชันที่ทำให้งานออกแบบดูมีชีวิตชีวา โปรแกรมยังมี Wizard ที่ช่วยให้การสร้างบ้าน สระน้ำ หรือสวนทำได้รวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดว่าใช้ได้เฉพาะ Windows และอาจหน่วงเมื่อโปรเจ็กต์ซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ
    https://www.techradar.com/pro/software-services/idea-spectrum-realtime-landscaping-pro-review

    📌📡🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷📡📌 #รวมข่าวIT #20251216 #TechRadar 🖥️ LG เปิดตัวทีวี Micro RGB evo ที่ CES 2026 LG กำลังสร้างความฮือฮาในงาน CES 2026 ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Micro RGB evo ซึ่งเปลี่ยนหลอดไฟ LED แบบเดิมไปเป็นหลอดไฟสีแดง เขียว และน้ำเงินขนาดจิ๋ว เพื่อควบคุมแสงและสีได้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์คือภาพที่สว่างสดใสและสีสันจัดเต็มใกล้เคียง OLED แต่ยังคงความสว่างสูงของ LCD จุดเด่นคือการครอบคลุมสีครบทั้ง BT.2020, DCI-P3 และ Adobe RGB พร้อมระบบประมวลผล α11 AI Gen 3 ที่ช่วยอัปสเกลภาพให้คมชัดขึ้น ถือเป็นการพยายามปิดช่องว่างระหว่าง LCD และ OLED ที่น่าสนใจมากสำหรับคนรักภาพคมชัดและสีสดใส 🔗 https://www.techradar.com/televisions/lg-reveals-micro-rgb-evo-tv-with-bold-claims-of-perfect-color 📺 Netflix เลิกใช้ Google Cast แต่ Apple TV บน Android นำกลับมาอีกครั้ง Netflix เคยยกเลิกฟีเจอร์ Google Cast ที่ให้ผู้ใช้ส่งภาพจากมือถือขึ้นจอทีวี แต่ล่าสุด Apple TV บน Android กลับนำฟีเจอร์นี้กลับมา ทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีมคอนเทนต์จากมือถือไปยังทีวีได้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งที่ยังคงดุเดือด และการที่ Apple พยายามทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้ Android ได้สะดวกขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/streaming/apple-tv-plus/netflix-dropped-google-cast-now-apple-tv-for-android-just-brought-it-back 💾 NAS พกพาใส่ SSD 4 ตัว พร้อมพลัง Intel N150 มีการเปิดตัวอุปกรณ์ NAS ขนาดเล็กที่ดูเหมือนวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า แต่ภายในบรรจุ SSD ได้ถึง 4 ตัว ใช้พลังจาก Intel N150 และมีพอร์ต LAN 2.5Gb สองช่อง รวมถึง RAM 12GB จุดขายคือความสามารถในการพกพาและเก็บข้อมูลได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเกินความคาดหมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่คล่องตัวและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-that-your-grandads-transistor-radio-no-its-a-4-ssd-nas-with-two-2-5gb-lan-ports-12gb-ram-and-a-cracking-name-the-orange-colored-youyeetoo-nestdisk 🔐 นักพัฒนาสร้างกล่องสำรองข้อมูล iPhone แบบออฟไลน์ นักพัฒนารายหนึ่งได้สร้างอุปกรณ์สำรองข้อมูล iPhone ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB และเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเก็บไว้ในเครื่องโดยตรง ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายค่าบริการ iCloud หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ แม้จะยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความต้องการควบคุมข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/want-to-back-up-your-iphone-securely-without-paying-the-apple-tax-theres-a-hack-for-that-but-it-isnt-for-everyone-yet 🎮 วิกฤติ RAM อาจกระทบหนักต่อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง ตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติ RAM ที่อาจทำให้เครื่องเล่นเกมประสิทธิภาพสูงมีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น เหตุผลมาจากความต้องการหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจาก AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเกมมิ่งต้องปรับตัวและอาจทำให้ผู้เล่นเกมต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพื่อได้เครื่องที่แรงพอ 🔗 https://www.techradar.com/computing/memory/the-ram-crisis-will-be-a-disaster-for-gaming-laptops-heres-why 🗑️ Slop: คำแห่งปีที่สะท้อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยขยะดิจิทัล ปีนี้ Merriam-Webster เลือกคำว่า “Slop” เป็น Word of the Year 2025 เพื่ออธิบายเนื้อหาดิจิทัลคุณภาพต่ำที่ถูกผลิตขึ้นอย่างมหาศาลด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นบทความ ภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์ หลายอย่างดูเหมือนจะสร้างได้ง่ายแต่กลับทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสิ่งที่คนเรียกว่า “AI slop” จนยากจะแยกออกว่าอะไรคือผลงานมนุษย์จริงๆ และอะไรคือสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของเครื่องมือ AI ถูกส่งถึงมือผู้ใช้เร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันคิดถึงผลกระทบ ทำให้เราต้องเผชิญกับทะเลข้อมูลที่ปะปนทั้งคุณภาพและขยะไปพร้อมกัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/we-filled-the-internet-with-garbage-and-now-slop-is-the-word-of-the-year-nice-going-ai 💻 Super X: แท็บเล็ตลูกผสมที่แรงระดับเดสก์ท็อป OneXPlayer เปิดตัว Super X อุปกรณ์ลูกผสมที่รวมแท็บเล็ตกับพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อป หน้าจอใหญ่ถึง 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียู 16 คอร์ GPU ระดับ 5060-class และ RAM สูงสุด 128GB จุดเด่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องเล็กแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่อยากได้ความแรงแบบ PC แต่ยังพกพาได้สะดวก แม้ราคาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ แต่ถือเป็นการยกระดับแท็บเล็ตให้ก้าวไปอีกขั้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/a-water-cooled-amd-ai-14-inch-tablet-with-16-cpu-cores-a-5060-class-gpu-and-128gb-ram-is-exactly-what-i-need-for-christmas-i-dont-think-it-will-cost-less-than-usd2000-though 💾 SSD จิ๋วแต่แรง: Samsung เปิดตัว PCIe Gen5 รุ่นใหม่ Samsung เผยโฉม SSD รุ่น PM9E1 ที่มาในขนาดเล็กเพียง 22 x 42 มม. แต่รองรับมาตรฐาน PCIe Gen5 ทำให้ได้ความเร็วสูงและความจุที่จริงจัง แม้จะมาแบบเงียบๆ แต่ถือเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็กแต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะกับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์พกพาที่ต้องการความเร็วระดับสูงสุดในพื้นที่จำกัด 🔗 https://www.techradar.com/pro/samsungs-surprising-stealth-superfast-ssd-surfaces-silently-pm9e1-turns-out-to-be-a-mini-9100-pro-measuring-just-22-x-42mm-with-pcie-gen5-capabilities 🎮 DoomScroll: เว็บไซต์ใหม่รวมแผนที่ Doom แบบไม่รู้จบ แฟนเกม Doom ได้เฮ เมื่อมีเว็บไซต์ใหม่ชื่อ DoomScroll ที่รวบรวมแผนที่เกม Doom ไว้ให้เลือกเล่นได้ไม่รู้จบผ่านเบราว์เซอร์ ผู้เล่นสามารถเข้าไปเลือกแผนที่ที่ชอบแล้วเล่นได้ทันที ถือเป็นการเปิดคลังเกมคลาสสิกให้เข้าถึงง่ายขึ้น และยังทำให้ชุมชนผู้เล่นสามารถแชร์ผลงานกันได้สะดวกขึ้นด้วย 🔗 https://www.techradar.com/gaming/pc-gaming/new-doomscroll-website-is-an-endless-library-of-doom-maps-you-can-pick-from-and-play-in-your-browser 🧠 หน่วยความจำแห่งอนาคต: Kioxia พัฒนา 3D DRAM Kioxia ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี 3D DRAM โดยใช้ stacked oxide-semiconductors ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความหนาแน่นของหน่วยความจำ แม้จะยังไม่พร้อมสู่ตลาดผู้บริโภคในทันที แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหน่วยความจำในทศวรรษหน้า ทำให้คาดหวังได้ว่าอนาคตเราจะได้เห็น RAM ที่เร็วขึ้นและราคาถูกลง 🔗 https://www.techradar.com/pro/crying-over-expensive-ram-kioxia-may-have-cracked-the-3d-ram-puzzle-paving-the-way-for-cheaper-faster-memory-but-it-probably-wont-reach-the-market-till-the-next-decade 🛡️ Apple อุดช่องโหว่ Zero-Day สุดอันตราย Apple ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ที่ถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงบุคคลระดับสูง โดยช่องโหว่นี้อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ทีม Google TAG และ Apple ร่วมกันค้นพบและแก้ไข ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก การอัปเดตครอบคลุมทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, visionOS และ Safari ผู้ใช้ทั่วไปแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตเพื่อความปลอดภัยทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/apple-says-it-fixed-zero-day-flaws-used-for-sophisticated-attacks 🌐 CEO Windscribe วิจารณ์การแบน VPN สำหรับเด็ก Windscribe ผู้ให้บริการ VPN ออกมาแสดงความเห็นว่าการห้ามเด็กใช้ VPN เป็น “วิธีแก้ที่แย่ที่สุด” เพราะ VPN ไม่ใช่เครื่องมืออันตราย แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย การแบนอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และยังไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงของการใช้งานออนไลน์ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/banning-vpns-for-kids-is-the-dumbest-possible-fix-windscribe-ceo 📷 กล้องวงจรปิดแบตเตอรี่ไร้ขีดจำกัด มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่อง “แบตเตอรี่ไม่จำกัด” สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ ราคาก็ไม่สูงอย่างที่คิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กล้องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/this-home-security-cam-monitors-your-property-24-7-with-unlimited-battery-life-and-it-costs-less-than-you-might-expect ⌚ Garmin เผลอหลุดข้อมูล Vivosmart 6 Garmin มีข่าวหลุดเกี่ยวกับสมาร์ทแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ Vivosmart 6 ที่คาดว่าจะมาพร้อมการอัปเกรดสำคัญเหนือรุ่นก่อน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเต็ม แต่คาดว่าจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำขึ้น การหลุดครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ติดตามอุปกรณ์สวมใส่ของ Garmin อยู่แล้ว 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/fitness-trackers/garmin-just-leaked-its-vivosmart-6-tracker-and-it-might-come-with-one-major-upgrade-over-its-predecessor 🔒 แอป Freedom Chat ทำข้อมูลผู้ใช้หลุด มีรายงานว่าแอปแชทชื่อ Freedom Chat เผยข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมายเลขโทรศัพท์และรายละเอียดอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แอปนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดมาตรการป้องกันที่รัดกุม และอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือการละเมิดข้อมูล 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/messaging-app-freedom-chat-exposes-user-phone-numbers-and-more-heres-what-we-know 🎧 Google เปิดฟีเจอร์แปลสดผ่านหูฟัง Google กำลังยกระดับการสื่อสารข้ามภาษาให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “Live Translation” ที่สามารถใช้งานได้กับหูฟังทุกยี่ห้อ ไม่จำกัดเฉพาะ Pixel Buds อีกต่อไป โดยเริ่มทดสอบในสหรัฐฯ เม็กซิโก และอินเดีย ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลคำต่อคำ แต่ยังรักษาน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ของผู้พูด ทำให้การสนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังปรับปรุงระบบ Gemini ให้เข้าใจสำนวนและภาษาพูด เช่น “stealing my thunder” ที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือช่วยเรียนภาษา เช่น การให้คำแนะนำด้านการออกเสียง และระบบติดตามความก้าวหน้า ฟีเจอร์นี้รองรับกว่า 70 ภาษา และมีแผนจะขยายไปยัง iOS ในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/computing/software/google-smashes-language-barriers-with-live-translation-for-any-earbuds-on-android-heres-how-it-works 📧 อีเมลไม่ใช่จุดอ่อน แต่การตั้งค่าคลาวด์ต่างหาก หลายครั้งที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล อีเมลมักถูกมองว่าเป็นตัวการ แต่จริง ๆ แล้วปัญหามาจากการตั้งค่าคลาวด์ที่ผิดพลาดมากกว่า กว่า 99% ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยเกิดจากผู้ใช้เอง เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ใช้รหัสผ่านซ้ำ หรือจัดการข้อมูลผิดพลาด การโทษอีเมลจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากต้นเหตุที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันควรเริ่มจากการเข้ารหัสข้อมูล การเสริมความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการฝึกอบรมผู้ใช้ให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ เมื่อผู้ใช้มีความรู้และระบบถูกเข้ารหัสอย่างดี อีเมลก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/your-email-app-isnt-the-weak-link-but-your-cloud-configuration-probably-is 🛡️ Microsoft ขยายโครงการ Bug Bounty Microsoft ประกาศปรับโครงการ Bug Bounty ครั้งใหญ่ เปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถส่งรายงานช่องโหว่ได้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์และบริการ แม้บางโปรแกรมจะไม่มีการตั้งค่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็ตาม แนวทางใหม่นี้เรียกว่า “In Scope by Default” ซึ่งหมายความว่าหากช่องโหว่มีผลกระทบต่อบริการออนไลน์ของ Microsoft ก็จะได้รับเงินรางวัลตามระดับความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา Microsoft จ่ายเงินรางวัลไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ มากกว่า Google ที่จ่ายราว 11.8 ล้านดอลลาร์ การขยายนี้ครอบคลุมทั้งโค้ดของ Microsoft โค้ดจากบุคคลที่สาม และโอเพ่นซอร์ส ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในวงกว้างยิ่งขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-will-expand-bug-bounties-even-on-programs-without-official-payouts 🏢 Oracle ทุ่มมหาศาลกับดีลศูนย์ข้อมูล Oracle กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในโลกคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลและคลาวด์รวมมูลค่าถึง 248 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทยอยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2026 ไปจนถึง 2028 และกินเวลายาวนานถึง 15–19 ปี การขยายตัวนี้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Nvidia และ OpenAI ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 300 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Oracle ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าและลงทุนเพิ่มหนี้อีกหลายหมื่นล้าน แม้จะเป็นภาระ แต่ก็สะท้อนว่าบริษัทกำลังเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตของตลาด AI และคลาวด์อย่างเต็มที่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/oracle-reportedly-signs-major-huge-cloud-data-center-deals-in-the-last-quarter-nearly-usd250-billion-in-new-commitments-revealed 🤖 ChatGPT 5.2 vs Gemini 3 มีการทดสอบเปรียบเทียบสองแชตบอทที่โด่งดังที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ChatGPT 5.2 และ Gemini 3 ผู้เขียนลองใช้งานจริงเพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ได้ดีกว่า ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจเพราะแต่ละตัวมีจุดแข็งต่างกัน ChatGPT 5.2 โดดเด่นเรื่องการให้คำตอบที่ละเอียดและมีความคิดเชิงลึก ส่วน Gemini 3 เน้นความเร็วและความกระชับในการสื่อสาร การแข่งขันนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังร้อนแรง และผู้ใช้ก็มีทางเลือกมากขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-5-2-vs-gemini-3-i-tried-the-worlds-most-popular-chatbots-to-see-which-is-best-and-the-result-might-surprise-you 🎨 โลกเสมือนที่มีหัวใจมนุษย์ เรื่องราวของ Victoria Fard ศิลปินที่ใช้พลังของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความทรงจำ ความรู้สึก และเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผลงานของเธอจึงไม่ใช่แค่ภาพสวย ๆ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง 🔗 https://www.techradar.com/tech/memories-in-pixel-how-victoria-fard-uses-a-pc-powered-by-snapdragon-to-build-worlds-that-are-deeply-human 💼 ซีอีโอยังเดินหน้าลงทุน AI แม้ผลลัพธ์ไม่ชัด แม้หลายบริษัทจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI แต่ซีอีโอจำนวนมากก็ยังคงเดินหน้าทุ่มงบต่อไป เหตุผลคือพวกเขามองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ และหากหยุดลงทุนอาจเสียโอกาสในอนาคต ถึงแม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระยะยาว 🔗 https://www.techradar.com/pro/ceos-seem-determined-to-keep-spending-on-ai-despite-mixed-success ⚖️ ศาลรัสเซียสั่งอายัดทรัพย์ Google ในฝรั่งเศส มีข่าวใหญ่จากยุโรป เมื่อศาลรัสเซียมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ Google ในฝรั่งเศสมูลค่ากว่า 129 ล้านดอลลาร์ สาเหตุเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อนในหลายประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญในระดับโลก ทั้งจากกฎระเบียบและความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/russian-court-ruling-could-see-usd129-million-freeze-on-some-of-googles-french-assets 📰 Microsoft เจอศึกใหญ่เรื่อง Cloud Licensing ในสหราชอาณาจักร เรื่องนี้เริ่มจากการที่ Microsoft ถูกกล่าวหาว่ากำหนดเงื่อนไขการใช้งาน Windows Server บน Cloud ของคู่แข่งอย่าง AWS และ Google Cloud ให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง จนทำให้หลายองค์กรในสหราชอาณาจักรเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก คดีนี้ถูกยื่นต่อศาล Competition Appeal Tribunal โดยมีองค์กรกว่า 59,000 แห่งเข้าร่วมเป็นกลุ่มฟ้องร้อง หาก Microsoft ถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าชดเชยสูงถึง 2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ Microsoft ยืนยันว่าเป็นเพียงการกล่าวหาเกินจริงจากกลุ่มทนายและผู้สนับสนุน แต่แรงกดดันก็ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะ Google เองก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ EU มาก่อนแล้ว 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-back-in-court-in-the-uk-over-unfair-cloud-licensing-claims 🎮 UGreen เปิดตัว eGPU Dock ท้าชน Razer ในตลาด eGPU ที่กำลังร้อนแรง UGreen ได้เปิดตัว Linkstation eGPU Dock ที่มาพร้อมพลังงานในตัวถึง 850W และพอร์ตเชื่อมต่อใหม่อย่าง Oculink และ USB4 จุดเด่นคือราคาประมาณ 325 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ Razer Core X V2 แต่เหนือกว่าตรงที่มี PSU ในตัวและรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 370 มม. อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ของ UGreen ยังเปิดโล่งมากกว่า Razer ที่มีโครงสร้างปิด ทำให้บางคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของการ์ดจอ ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่น่าจับตามองของ UGreen ที่เดิมทำอุปกรณ์เสริมอย่าง Dock และ Charger 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/its-a-great-time-to-buy-an-egpu-and-ugreens-new-razer-rival-has-two-major-tricks-up-its-sleeve 📱 วิกฤติ RAM อาจทำให้สมาร์ทโฟนถอยหลังในปี 2026 นักวิเคราะห์เตือนว่าความต้องการ RAM ที่สูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังทำให้ราคาพุ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องลดสเปกลง แทนที่จะเพิ่ม RAM เป็น 16GB ในรุ่นเรือธงใหม่ อาจยังคงอยู่ที่ 12GB หรือบางรุ่นอาจลดลงเหลือ 8GB สำหรับรุ่นกลาง และ 4GB สำหรับรุ่นล่าง ทั้งนี้แม้จะเป็นการคาดการณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาด AI กำลังดูดซับทรัพยากรไปอย่างมหาศาล ซึ่งอาจย้อนแย้งกับการพัฒนา AI บนมือถือที่ต้องใช้ RAM มากเช่นกัน 🔗 https://www.techradar.com/phones/the-ram-crisis-will-see-smartphone-specs-go-backwards-in-2026-experts-warn-heres-why 💍 Apple ควรทำ Smart Ring เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากของ Smartwatch ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าแม้ Apple Watch จะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็สร้างความลำบากใจเพราะเขาเป็นคนรักนาฬิกากลไกและไม่อยากละทิ้งการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม จนต้องใส่นาฬิกาสองเรือนบนข้อมือเดียวกัน ซึ่งทั้งไม่สะดวกและน่าขัน เขาจึงเสนอว่า Apple ควรทำ Smart Ring ที่สามารถติดตามสุขภาพได้เหมือน Apple Watch แต่เล็กกะทัดรัดและไม่รบกวนการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม หาก Apple ทำจริงก็อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกเกมในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/apple-needs-to-make-a-smart-ring-to-save-me-from-this-ridiculous-situation 🌳 รีวิวซอฟต์แวร์ Idea Spectrum Realtime Landscaping Pro 2025 นี่คือโปรแกรมออกแบบภูมิทัศน์ที่ให้คุณสร้างสวนเสมือนจริงได้จากคอมพิวเตอร์ Windows จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีคลังพืชกว่า 6,000 ชนิด และวัตถุสามมิติหลากหลาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรถยนต์ พร้อมระบบแอนิเมชันที่ทำให้งานออกแบบดูมีชีวิตชีวา โปรแกรมยังมี Wizard ที่ช่วยให้การสร้างบ้าน สระน้ำ หรือสวนทำได้รวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดว่าใช้ได้เฉพาะ Windows และอาจหน่วงเมื่อโปรเจ็กต์ซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/idea-spectrum-realtime-landscaping-pro-review
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • เขมรจนปัญญาสู้รบ ใช้หมอผีเสกคาถาสาปแข่งเครื่องบินรบไทย เสกใส่ให้ถูกรุ่นนะเว้ย เดี๋ยวของไปเข้าลำอื่นที่ตามคุ้มกัน แอร์ฟอร์ซวัน ของไอ้ทรัมป์เข้า
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เขมรจนปัญญาสู้รบ ใช้หมอผีเสกคาถาสาปแข่งเครื่องบินรบไทย เสกใส่ให้ถูกรุ่นนะเว้ย เดี๋ยวของไปเข้าลำอื่นที่ตามคุ้มกัน แอร์ฟอร์ซวัน ของไอ้ทรัมป์เข้า #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • ฟังเพลงใหม่ รำเซิ้งสาโท สืบสานวัฒนธรรมปรเพณีเครื่องดื่มผู้ไทมาแต่โบราณนับกาลนานปี
    ฟังเพลงใหม่ รำเซิ้งสาโท สืบสานวัฒนธรรมปรเพณีเครื่องดื่มผู้ไทมาแต่โบราณนับกาลนานปี
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.46

    การเจรจาซึ่งถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการหารือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งหรือเพื่อจัดทำข้อตกลงนั้น มิได้เป็นเพียงทักษะทางสังคมหรือการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทางนิติศาสตร์และระบบกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ การเจรจาในบริบททางกฎหมายนั้นมีความซับซ้อนและมีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การเจรจาในระดับรัฐต่อรัฐ (State-to-State Negotiation) ตามภาพที่นำเสนอ ซึ่งมีบริบททางทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นการสะท้อนถึงเดิมพันที่สูงยิ่งและความจำเป็นในการใช้ความรอบคอบทางกฎหมายอย่างสูงสุด หลักการพื้นฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น หลักความสุจริต (Pacta Sunt Servanda) ที่หมายถึงการที่คู่เจรจาทุกฝ่ายต้องดำเนินการเจรจาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และมุ่งมั่นที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริงตามกฎหมายสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคแห่งรัฐอธิปไตย (Sovereign Equality) ซึ่งเป็นรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่มีรัฐใดมีอำนาจเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งในทางกฎหมาย การเจรจาจึงต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจหมายถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอาณาเขต ข้อพิพาทเรื่องทรัพยากร หรือการยุติสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องอ้างอิงและปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) และข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมอาวุธ การมีอยู่ของทหารมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดและระดับความจริงจังของประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งทำให้ทุกถ้อยคำและเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้กรอบของพันธกรณีทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม การเจรจาในระดับนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย แต่เป็นการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ การร่างสนธิสัญญา (Treaty Drafting) ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าภาษาที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีความชัดเจน ไม่กำกวม และสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลอย่างถูกต้องตามหลักการตีความสนธิสัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

    เนื้อหาของการเจรจาในบริบททางกฎหมาย มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยุติข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายใหม่ การจัดทำเขตแดน การกำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความสำเร็จของการเจรจาจึงวัดได้จากความสามารถในการแปลงความต้องการทางการเมืองให้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ได้จริงและมีเสถียรภาพ ในทางปฏิบัติ การเจรจายังต้องคำนึงถึงอำนาจในการให้สัตยาบัน (Ratification) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ หลังจากที่ผู้แทนลงนามในข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนั้นยังไม่ถือว่ามีผลสมบูรณ์จนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติภายในประเทศ เช่น การให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นสอดคล้องกับกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การเจรจาจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างมิติทางการทูต มิติทางกฎหมายระหว่างประเทศ และมิติทางกฎหมายรัฐธรรมนูญภายในประเทศเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ในกรณีที่การเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ หรือเกิดการละเมิดข้อตกลงภายหลังการลงนาม กลไกทางกฎหมายก็ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท หรือการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Tribunal) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด กฎหมายก็ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้เจรจาที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐตนเองในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎเกณฑ์และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีเสถียรภาพในประชาคมโลก

    ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นมากกว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศ การบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักความสุจริต หลักความเสมอภาค และการเคารพต่อระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางและมีแรงกดดันทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง การเจรจาจึงเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอารยธรรมและความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่จะใช้เหตุผลและกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการใช้กำลังหรือการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการเปลี่ยนความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นข้อตกลงที่ชัดเจนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความสงบสุขในระยะยาว การเจรจาที่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดคือการก่อรูปของกฎหมายที่ยอมรับร่วมกัน
    บทความกฎหมาย EP.46 การเจรจาซึ่งถูกนิยามว่าเป็นกระบวนการหารือเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งหรือเพื่อจัดทำข้อตกลงนั้น มิได้เป็นเพียงทักษะทางสังคมหรือการบริหารจัดการเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญในทางนิติศาสตร์และระบบกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ การเจรจาในบริบททางกฎหมายนั้นมีความซับซ้อนและมีหลักการที่ต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอธิปไตย หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย การเจรจาในระดับรัฐต่อรัฐ (State-to-State Negotiation) ตามภาพที่นำเสนอ ซึ่งมีบริบททางทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น เป็นการสะท้อนถึงเดิมพันที่สูงยิ่งและความจำเป็นในการใช้ความรอบคอบทางกฎหมายอย่างสูงสุด หลักการพื้นฐานของการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น หลักความสุจริต (Pacta Sunt Servanda) ที่หมายถึงการที่คู่เจรจาทุกฝ่ายต้องดำเนินการเจรจาด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์และมุ่งมั่นที่จะบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมและปฏิบัติได้จริงตามกฎหมายสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคแห่งรัฐอธิปไตย (Sovereign Equality) ซึ่งเป็นรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและความเป็นอิสระของแต่ละฝ่าย ทำให้ไม่มีรัฐใดมีอำนาจเหนือกว่าอีกรัฐหนึ่งในทางกฎหมาย การเจรจาจึงต้องเป็นไปบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีกองทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจหมายถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางอาณาเขต ข้อพิพาทเรื่องทรัพยากร หรือการยุติสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธ ซึ่งจำเป็นต้องอ้างอิงและปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) และข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมอาวุธ การมีอยู่ของทหารมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเจรจา แต่เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดและระดับความจริงจังของประเด็นที่อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งทำให้ทุกถ้อยคำและเงื่อนไขที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายใต้กรอบของพันธกรณีทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม การเจรจาในระดับนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพูดคุย แต่เป็นการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศ การร่างสนธิสัญญา (Treaty Drafting) ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทุกฝ่ายต้องมั่นใจว่าภาษาที่ใช้ในข้อตกลงนั้นมีความชัดเจน ไม่กำกวม และสะท้อนเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลอย่างถูกต้องตามหลักการตีความสนธิสัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เนื้อหาของการเจรจาในบริบททางกฎหมาย มิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การยุติข้อพิพาทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางกฎหมายใหม่ การจัดทำเขตแดน การกำหนดสิทธิและหน้าที่ทางการค้า การลงทุน หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความสำเร็จของการเจรจาจึงวัดได้จากความสามารถในการแปลงความต้องการทางการเมืองให้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ได้จริงและมีเสถียรภาพ ในทางปฏิบัติ การเจรจายังต้องคำนึงถึงอำนาจในการให้สัตยาบัน (Ratification) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ หลังจากที่ผู้แทนลงนามในข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนั้นยังไม่ถือว่ามีผลสมบูรณ์จนกว่าจะผ่านกระบวนการอนุมัติภายในประเทศ เช่น การให้ความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นสอดคล้องกับกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของชาติ การเจรจาจึงเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงระหว่างมิติทางการทูต มิติทางกฎหมายระหว่างประเทศ และมิติทางกฎหมายรัฐธรรมนูญภายในประเทศเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ในกรณีที่การเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ หรือเกิดการละเมิดข้อตกลงภายหลังการลงนาม กลไกทางกฎหมายก็ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง เช่น การใช้กระบวนการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท หรือการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลอนุญาโตตุลาการ (Arbitration Tribunal) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด กฎหมายก็ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้เจรจาที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักการและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐตนเองในขณะเดียวกันก็เคารพในกฎเกณฑ์และพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีเสถียรภาพในประชาคมโลก ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นมากกว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดในการบริหารจัดการความขัดแย้งและสร้างพันธกรณีระหว่างประเทศ การบรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมต้องอาศัยความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามหลักความสุจริต หลักความเสมอภาค และการเคารพต่อระบบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด แม้ในสถานการณ์ที่มีความเปราะบางและมีแรงกดดันทางการทหารเข้ามาเกี่ยวข้อง การเจรจาจึงเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอารยธรรมและความมุ่งมั่นของมนุษย์ที่จะใช้เหตุผลและกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการใช้กำลังหรือการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการเปลี่ยนความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงให้กลายเป็นข้อตกลงที่ชัดเจนและมีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างเสถียรภาพและความสงบสุขในระยะยาว การเจรจาที่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดคือการก่อรูปของกฎหมายที่ยอมรับร่วมกัน
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • รมว.กลาโหม เผยจีนไม่ได้ขอเครื่องยิงจรวด GAM102 ที่ไทยยึดได้ที่ช่องอานม้าคืน ชี้ตามหลักเรายึดได้ก็เป็นของเรา จะเอาไปใช้เลยหรือไม่ขอตรวจสอบก่อน จะรบยืดเยื้อหรือไม่ ขอเวลาอีกไม่นาน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120842

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    รมว.กลาโหม เผยจีนไม่ได้ขอเครื่องยิงจรวด GAM102 ที่ไทยยึดได้ที่ช่องอานม้าคืน ชี้ตามหลักเรายึดได้ก็เป็นของเรา จะเอาไปใช้เลยหรือไม่ขอตรวจสอบก่อน จะรบยืดเยื้อหรือไม่ ขอเวลาอีกไม่นาน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120842 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • Kirin 9030: สัญลักษณ์ความก้าวหน้าท่ามกลางข้อจำกัด

    Huawei เปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 80 และ Mate X7 ที่ใช้ชิป Kirin 9030 และ Kirin 9030 Pro จุดเด่นคือการใช้ DUV lithography แทน EUV ที่ถูกสหรัฐฯ แบนไม่ให้ส่งออกไปจีน ทำให้ SMIC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อบีบประสิทธิภาพออกจากกระบวนการ 7nm เดิม โดย Kirin 9030 ใช้ 8-core ARMv8 CPU ส่วนรุ่น Pro ใช้ 9-core ARMv8 CPU พร้อม GPU Maleoon 935.

    กระบวนการ N+3 และ DTCO
    TechInsights วิเคราะห์ว่า Kirin 9030 ใช้กระบวนการ N+3 ซึ่งเป็นการขยายจาก N+2 (7nm รุ่นที่สอง) แต่ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC หรือ Samsung จุดสำคัญคือการใช้ multi-patterning ร่วมกับ DTCO เพื่อแก้ปัญหา edge placement error (EPE) และเพิ่มความแม่นยำในการสร้างวงจร แม้จะไม่ได้ปรับปรุงมากในส่วน FEOL (Front-End-of-Line) แต่เน้นไปที่ BEOL (Back-End-of-Line) เพื่อสร้าง interconnect ที่ซับซ้อนมากขึ้น.

    ความเสี่ยงและข้อจำกัด
    แม้จะเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่ง แต่การใช้ DUV multi-patterning มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องใช้หลายขั้นตอนที่ต้องจัดเรียงอย่างแม่นยำ หากเกิด misalignment เพียงเล็กน้อยอาจทำให้ yield ลดลงอย่างมาก อีกทั้งการพึ่งพา BEOL scaling มากเกินไปอาจไม่สามารถดันประสิทธิภาพได้เทียบเท่ากับ EUV lithography.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การเปิดตัว Kirin 9030 แสดงให้เห็นว่า จีนยังคงสามารถแข่งขันในตลาดชิปสมาร์ทโฟนระดับสูง แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี EUV จากตะวันตก นี่เป็นการยืนยันว่าการพัฒนาเชิงสถาปัตยกรรมและการใช้เทคนิค DTCO สามารถชดเชยข้อจำกัดด้านเครื่องมือได้บางส่วน และอาจเป็นแนวทางที่จีนใช้ต่อไปในการพัฒนา semiconductors.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติ Kirin 9030/Pro
    Kirin 9030: 8-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU
    Kirin 9030 Pro: 9-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU

    กระบวนการผลิต
    ใช้ SMIC N+3 process (DUV multi-patterning)
    อยู่ระหว่าง 7nm และ 5nm
    ใช้ DTCO เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่ม yield

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    BEOL scaling มีความเสี่ยงสูงต่อ yield
    Misalignment ใน multi-patterning อาจทำให้ defect เพิ่มขึ้น
    ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC/Samsung

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    Huawei แสดงศักยภาพแม้ถูกแบน EUV
    จีนยังคงแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง
    แนวทาง DTCO อาจเป็นกลยุทธ์หลักในอนาคต

    ข้อควรระวัง
    Yield อาจต่ำหาก multi-patterning ไม่แม่นยำ
    ประสิทธิภาพยังไม่เทียบเท่าเทคโนโลยี EUV
    การพึ่งพา BEOL scaling อาจถึงจุดอิ่มตัวเร็ว

    https://wccftech.com/huaweis-kirin-9030-chip-is-testing-the-limits-of-duv-based-multi-patterning-lithography/
    🖥️ Kirin 9030: สัญลักษณ์ความก้าวหน้าท่ามกลางข้อจำกัด Huawei เปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 80 และ Mate X7 ที่ใช้ชิป Kirin 9030 และ Kirin 9030 Pro จุดเด่นคือการใช้ DUV lithography แทน EUV ที่ถูกสหรัฐฯ แบนไม่ให้ส่งออกไปจีน ทำให้ SMIC ต้องพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อบีบประสิทธิภาพออกจากกระบวนการ 7nm เดิม โดย Kirin 9030 ใช้ 8-core ARMv8 CPU ส่วนรุ่น Pro ใช้ 9-core ARMv8 CPU พร้อม GPU Maleoon 935. ⚡ กระบวนการ N+3 และ DTCO TechInsights วิเคราะห์ว่า Kirin 9030 ใช้กระบวนการ N+3 ซึ่งเป็นการขยายจาก N+2 (7nm รุ่นที่สอง) แต่ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC หรือ Samsung จุดสำคัญคือการใช้ multi-patterning ร่วมกับ DTCO เพื่อแก้ปัญหา edge placement error (EPE) และเพิ่มความแม่นยำในการสร้างวงจร แม้จะไม่ได้ปรับปรุงมากในส่วน FEOL (Front-End-of-Line) แต่เน้นไปที่ BEOL (Back-End-of-Line) เพื่อสร้าง interconnect ที่ซับซ้อนมากขึ้น. 🔒 ความเสี่ยงและข้อจำกัด แม้จะเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่ง แต่การใช้ DUV multi-patterning มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องใช้หลายขั้นตอนที่ต้องจัดเรียงอย่างแม่นยำ หากเกิด misalignment เพียงเล็กน้อยอาจทำให้ yield ลดลงอย่างมาก อีกทั้งการพึ่งพา BEOL scaling มากเกินไปอาจไม่สามารถดันประสิทธิภาพได้เทียบเท่ากับ EUV lithography. 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การเปิดตัว Kirin 9030 แสดงให้เห็นว่า จีนยังคงสามารถแข่งขันในตลาดชิปสมาร์ทโฟนระดับสูง แม้จะถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี EUV จากตะวันตก นี่เป็นการยืนยันว่าการพัฒนาเชิงสถาปัตยกรรมและการใช้เทคนิค DTCO สามารถชดเชยข้อจำกัดด้านเครื่องมือได้บางส่วน และอาจเป็นแนวทางที่จีนใช้ต่อไปในการพัฒนา semiconductors. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติ Kirin 9030/Pro ➡️ Kirin 9030: 8-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU ➡️ Kirin 9030 Pro: 9-core ARMv8 CPU, Maleoon 935 GPU ✅ กระบวนการผลิต ➡️ ใช้ SMIC N+3 process (DUV multi-patterning) ➡️ อยู่ระหว่าง 7nm และ 5nm ➡️ ใช้ DTCO เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่ม yield ✅ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ➡️ BEOL scaling มีความเสี่ยงสูงต่อ yield ➡️ Misalignment ใน multi-patterning อาจทำให้ defect เพิ่มขึ้น ➡️ ยังไม่เทียบเท่า 5nm ของ TSMC/Samsung ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ Huawei แสดงศักยภาพแม้ถูกแบน EUV ➡️ จีนยังคงแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนระดับสูง ➡️ แนวทาง DTCO อาจเป็นกลยุทธ์หลักในอนาคต ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ Yield อาจต่ำหาก multi-patterning ไม่แม่นยำ ⛔ ประสิทธิภาพยังไม่เทียบเท่าเทคโนโลยี EUV ⛔ การพึ่งพา BEOL scaling อาจถึงจุดอิ่มตัวเร็ว https://wccftech.com/huaweis-kirin-9030-chip-is-testing-the-limits-of-duv-based-multi-patterning-lithography/
    WCCFTECH.COM
    Kirin 9030: How Huawei's New Chip Defies US Sanctions with DUV Tech
    Huawei's latest mobile-focused chip, the Kirin 9030, forms a pristine platform for China's SMIC to showcase its technological prowess.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • ExtrudeX: เครื่องรีไซเคิลฟิลาเมนต์สำหรับบ้าน

    ExtrudeX ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติที่มักเกิดจาก supports, failed prints และเศษเหลือใช้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องนี้เองจากไฟล์ STL ที่ทีมงาน Creative3DP แจกให้ พร้อมซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น มอเตอร์, ตัวควบคุมอุณหภูมิ และพัดลม ในราคาประมาณ 180–250 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกกว่าการซื้อเครื่องรีไซเคิลเชิงพาณิชย์หลายเท่า.

    วิธีการทำงาน
    เครื่อง ExtrudeX มี hopper สำหรับใส่เม็ดพลาสติก (pellets) ที่ผสมจากพลาสติกใหม่ 60% และเศษรีไซเคิล 40% จากนั้นเม็ดจะถูกทำให้ร้อนและดันออกทางหัวฉีด ก่อนจะถูก puller ดึงออกเป็นเส้นฟิลาเมนต์ต่อเนื่อง มีพัดลมช่วยทำให้เส้นเย็นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น ผู้ใช้สามารถติดตั้ง gauge meter เพื่อตรวจสอบเส้นผ่านศูนย์กลางของฟิลาเมนต์แบบเรียลไทม์ได้.

    จุดเด่นและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้
    เครื่องนี้ถูกออกแบบให้ พกพาได้ มีหูหิ้วสำหรับเคลื่อนย้าย และมีคู่มือการประกอบพร้อมวิดีโอสอนการใช้งาน ExtrudeX ไม่ได้ขายเป็นเครื่องสำเร็จ แต่ขายเป็น blueprint และไฟล์ STL ผ่าน Kickstarter โดยราคาเริ่มต้นที่ 49 ดอลลาร์สำหรับผู้สนับสนุนทั่วไป และ 109 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิ์เชิงพาณิชย์.

    ผลกระทบต่อวงการ 3D Printing
    แม้ ExtrudeX จะยังไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะพลาสติกในงานพิมพ์ 3 มิติ และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองสร้างฟิลาเมนต์เองได้ที่บ้าน ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง Maker Culture และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณสมบัติของ ExtrudeX
    สร้างได้เองจากไฟล์ STL และฮาร์ดแวร์ราคาประหยัด
    ใช้เม็ดพลาสติกผสม 60% ใหม่ + 40% รีไซเคิล
    มีระบบ puller และพัดลมช่วยให้เส้นฟิลาเมนต์แข็งแรง

    การทำงานและการใช้งาน
    Hopper ใส่เม็ดพลาสติก → barrel ทำให้ร้อน → nozzle ดันออก
    Puller ดึงเส้นต่อเนื่องและ gauge meter ตรวจสอบขนาด
    พกพาได้ มีหูหิ้วและคู่มือการประกอบ

    Kickstarter Campaign
    ราคาเริ่มต้น 49 ดอลลาร์สำหรับ blueprint
    109 ดอลลาร์สำหรับสิทธิ์เชิงพาณิชย์
    มีการสนับสนุนแบบ one-on-one และวิดีโอสอน

    ผลกระทบต่อวงการ
    ลดขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติ
    เปิดโอกาสให้ Maker สร้างฟิลาเมนต์เองที่บ้าน
    เป็นแนวทางใหม่ในการรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย

    ข้อควรระวัง
    ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% (ต้องผสมพลาสติกใหม่)
    คุณภาพฟิลาเมนต์อาจยังไม่เสถียรเท่าเชิงพาณิชย์
    ต้องบดเศษพลาสติกให้เป็นเม็ดก่อนใช้งาน

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/the-extrudex-machine-wants-to-turn-your-3d-printing-waste-into-reusable-filament-all-at-home-this-kickstarter-project-is-itself-3d-printable-with-minimal-hardware-costs
    ♻️ ExtrudeX: เครื่องรีไซเคิลฟิลาเมนต์สำหรับบ้าน ExtrudeX ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติที่มักเกิดจาก supports, failed prints และเศษเหลือใช้ โดยผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องนี้เองจากไฟล์ STL ที่ทีมงาน Creative3DP แจกให้ พร้อมซื้ออุปกรณ์เสริมเช่น มอเตอร์, ตัวควบคุมอุณหภูมิ และพัดลม ในราคาประมาณ 180–250 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าถูกกว่าการซื้อเครื่องรีไซเคิลเชิงพาณิชย์หลายเท่า. ⚙️ วิธีการทำงาน เครื่อง ExtrudeX มี hopper สำหรับใส่เม็ดพลาสติก (pellets) ที่ผสมจากพลาสติกใหม่ 60% และเศษรีไซเคิล 40% จากนั้นเม็ดจะถูกทำให้ร้อนและดันออกทางหัวฉีด ก่อนจะถูก puller ดึงออกเป็นเส้นฟิลาเมนต์ต่อเนื่อง มีพัดลมช่วยทำให้เส้นเย็นตัวเร็วและแข็งแรงขึ้น ผู้ใช้สามารถติดตั้ง gauge meter เพื่อตรวจสอบเส้นผ่านศูนย์กลางของฟิลาเมนต์แบบเรียลไทม์ได้. 💡 จุดเด่นและความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เครื่องนี้ถูกออกแบบให้ พกพาได้ มีหูหิ้วสำหรับเคลื่อนย้าย และมีคู่มือการประกอบพร้อมวิดีโอสอนการใช้งาน ExtrudeX ไม่ได้ขายเป็นเครื่องสำเร็จ แต่ขายเป็น blueprint และไฟล์ STL ผ่าน Kickstarter โดยราคาเริ่มต้นที่ 49 ดอลลาร์สำหรับผู้สนับสนุนทั่วไป และ 109 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิ์เชิงพาณิชย์. 🌍 ผลกระทบต่อวงการ 3D Printing แม้ ExtrudeX จะยังไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะพลาสติกในงานพิมพ์ 3 มิติ และช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองสร้างฟิลาเมนต์เองได้ที่บ้าน ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง Maker Culture และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ ExtrudeX ➡️ สร้างได้เองจากไฟล์ STL และฮาร์ดแวร์ราคาประหยัด ➡️ ใช้เม็ดพลาสติกผสม 60% ใหม่ + 40% รีไซเคิล ➡️ มีระบบ puller และพัดลมช่วยให้เส้นฟิลาเมนต์แข็งแรง ✅ การทำงานและการใช้งาน ➡️ Hopper ใส่เม็ดพลาสติก → barrel ทำให้ร้อน → nozzle ดันออก ➡️ Puller ดึงเส้นต่อเนื่องและ gauge meter ตรวจสอบขนาด ➡️ พกพาได้ มีหูหิ้วและคู่มือการประกอบ ✅ Kickstarter Campaign ➡️ ราคาเริ่มต้น 49 ดอลลาร์สำหรับ blueprint ➡️ 109 ดอลลาร์สำหรับสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ➡️ มีการสนับสนุนแบบ one-on-one และวิดีโอสอน ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ ลดขยะพลาสติกจากงานพิมพ์ 3 มิติ ➡️ เปิดโอกาสให้ Maker สร้างฟิลาเมนต์เองที่บ้าน ➡️ เป็นแนวทางใหม่ในการรีไซเคิลที่เข้าถึงง่าย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ไม่สามารถรีไซเคิลได้ 100% (ต้องผสมพลาสติกใหม่) ⛔ คุณภาพฟิลาเมนต์อาจยังไม่เสถียรเท่าเชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องบดเศษพลาสติกให้เป็นเม็ดก่อนใช้งาน https://www.tomshardware.com/3d-printing/the-extrudex-machine-wants-to-turn-your-3d-printing-waste-into-reusable-filament-all-at-home-this-kickstarter-project-is-itself-3d-printable-with-minimal-hardware-costs
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • HDD ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส

    ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) กำลังกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากราคาสัญญาเพิ่มขึ้นกว่า 4% ในไตรมาส 4 ปี 2025 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาสติดต่อกัน ปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการในจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และ การขยายตัวของศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาล.

    จีนหนุนตลาด HDD
    นโยบายจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีนที่เน้นใช้ CPU และระบบปฏิบัติการที่ผลิตในประเทศ ทำให้การผลิต PC ภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้ความต้องการ HDD เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด เหตุผลสำคัญคือความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลระยะยาวใน SSD ที่อาจเสื่อมสภาพจาก NAND flash memory เมื่อเก็บไว้นาน ทำให้ HDD ถูกมองว่าเชื่อถือได้มากกว่าในบางกรณี.

    ศูนย์ข้อมูล AI ดันความต้องการ
    ในสหรัฐฯ ศูนย์ข้อมูลที่รองรับงาน AI และ Machine Learning ยังคงพึ่งพา HDD ขนาดใหญ่สำหรับการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล แม้ SSD จะมีความเร็วสูงกว่า แต่ HDD ยังคงได้เปรียบในด้าน ต้นทุนต่อกิกะไบต์ และความเหมาะสมในการเก็บข้อมูลแบบ cold/warm storage ส่งผลให้ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ยังคงสั่งซื้อ HDD ในปริมาณมหาศาล.

    ความท้าทายด้านการผลิต
    แม้ผู้ผลิต HDD จะเดินเครื่องเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทัน เนื่องจากการผลิต HDD ต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะทาง เช่น หัวอ่าน/เขียน และแผ่นบันทึกข้อมูล ที่ไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้รวดเร็วเหมือน NAND flash การขาดแคลน DRAM ที่ใช้เป็น cache memory ก็ยิ่งเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส
    HDD contract prices เพิ่มขึ้น 4% ใน Q4 2025
    แนวโน้มราคายังมีแรงกดดันต่อเนื่อง

    ปัจจัยจากจีน
    นโยบายจัดซื้อ PC ในประเทศหนุนการผลิต
    ความกังวลเรื่อง SSD เก็บข้อมูลระยะยาว ทำให้ HDD ถูกเลือกมากขึ้น

    ปัจจัยจากสหรัฐฯ
    ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ HDD ความจุสูง
    HDD ยังคงได้เปรียบด้านต้นทุนต่อกิกะไบต์

    ข้อจำกัดการผลิต
    ชิ้นส่วนเฉพาะทางทำให้การเพิ่มกำลังผลิตทำได้ช้า
    DRAM ขาดแคลนเพิ่มต้นทุนการผลิต HDD

    ข้อควรระวัง
    ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่องหากความต้องการยังพุ่ง
    การขาดแคลน DRAM และชิ้นส่วนสำคัญอาจทำให้ซัพพลายไม่ทัน
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้น แม้ HDD เคยเป็นตัวเลือกประหยัด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/hdd-prices-spike-as-ai-infrastructure-and-chinas-pc-push-collide-hard-drives-record-biggest-price-increase-in-eight-quarters-suppliers-warn-pressure-will-continue
    💾 HDD ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส ตลาดฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) กำลังกลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง หลังจากราคาสัญญาเพิ่มขึ้นกว่า 4% ในไตรมาส 4 ปี 2025 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาสติดต่อกัน ปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการในจีน ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และ การขยายตัวของศูนย์ข้อมูล AI ในสหรัฐฯ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมหาศาล. 🇨🇳 จีนหนุนตลาด HDD นโยบายจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีนที่เน้นใช้ CPU และระบบปฏิบัติการที่ผลิตในประเทศ ทำให้การผลิต PC ภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้ความต้องการ HDD เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด เหตุผลสำคัญคือความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลระยะยาวใน SSD ที่อาจเสื่อมสภาพจาก NAND flash memory เมื่อเก็บไว้นาน ทำให้ HDD ถูกมองว่าเชื่อถือได้มากกว่าในบางกรณี. 🇺🇸 ศูนย์ข้อมูล AI ดันความต้องการ ในสหรัฐฯ ศูนย์ข้อมูลที่รองรับงาน AI และ Machine Learning ยังคงพึ่งพา HDD ขนาดใหญ่สำหรับการเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล แม้ SSD จะมีความเร็วสูงกว่า แต่ HDD ยังคงได้เปรียบในด้าน ต้นทุนต่อกิกะไบต์ และความเหมาะสมในการเก็บข้อมูลแบบ cold/warm storage ส่งผลให้ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ยังคงสั่งซื้อ HDD ในปริมาณมหาศาล. ⚠️ ความท้าทายด้านการผลิต แม้ผู้ผลิต HDD จะเดินเครื่องเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทัน เนื่องจากการผลิต HDD ต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะทาง เช่น หัวอ่าน/เขียน และแผ่นบันทึกข้อมูล ที่ไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้รวดเร็วเหมือน NAND flash การขาดแคลน DRAM ที่ใช้เป็น cache memory ก็ยิ่งเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาพุ่งแรงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส ➡️ HDD contract prices เพิ่มขึ้น 4% ใน Q4 2025 ➡️ แนวโน้มราคายังมีแรงกดดันต่อเนื่อง ✅ ปัจจัยจากจีน ➡️ นโยบายจัดซื้อ PC ในประเทศหนุนการผลิต ➡️ ความกังวลเรื่อง SSD เก็บข้อมูลระยะยาว ทำให้ HDD ถูกเลือกมากขึ้น ✅ ปัจจัยจากสหรัฐฯ ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ต้องการ HDD ความจุสูง ➡️ HDD ยังคงได้เปรียบด้านต้นทุนต่อกิกะไบต์ ✅ ข้อจำกัดการผลิต ➡️ ชิ้นส่วนเฉพาะทางทำให้การเพิ่มกำลังผลิตทำได้ช้า ➡️ DRAM ขาดแคลนเพิ่มต้นทุนการผลิต HDD ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่องหากความต้องการยังพุ่ง ⛔ การขาดแคลน DRAM และชิ้นส่วนสำคัญอาจทำให้ซัพพลายไม่ทัน ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจได้รับผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้น แม้ HDD เคยเป็นตัวเลือกประหยัด https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/hdd-prices-spike-as-ai-infrastructure-and-chinas-pc-push-collide-hard-drives-record-biggest-price-increase-in-eight-quarters-suppliers-warn-pressure-will-continue
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • ตลาดมืด SIM การ์ดกับการสร้างบอท

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เผยว่า มีตลาดมืดขนาดใหญ่สำหรับ SIM การ์ดทั้งจริงและเสมือน ที่ถูกใช้เพื่อสร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Amazon บริการเหล่านี้ทำให้กองทัพบอทสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น และถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดไลก์ ผู้ติดตาม และการแชร์ให้ดูเหมือนมีความนิยมจริง

    ราคาของการซื้อ “ความนิยมปลอม”
    การวิจัยพบว่าราคาในการยืนยันบัญชีปลอมแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มและประเทศต้นทางของ SIM เช่น
    WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อการยืนยัน
    Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ
    Facebook และ Shopify ถูกกว่ามาก เพียง 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ
    TikTok และ LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐ
    Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ

    ราคายังขึ้นลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ ราคายืนยันบัญชีบน WhatsApp และ Telegram จะพุ่งขึ้นกว่า 12–15% เพราะมีการใช้บอทเพื่อสร้างกระแสและโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

    ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
    กองทัพบอทเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่เพื่อการตลาด แต่ยังถูกนำไปใช้ใน แคมเปญทางการเมืองและการสร้างกระแสสังคม โดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น “rage bait” เพื่อดึงดูดการโต้เถียงและเพิ่มการมีส่วนร่วมปลอมๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใจผิดว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความนิยมจริง ทั้งที่เป็นการจัดฉากโดยกลุ่มที่มีผลประโยชน์

    ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
    นักวิจัยเสนอให้มีการควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ซึ่งสามารถเก็บ SIM ได้หลายร้อยใบในเครื่องเดียวเพื่อสร้างบัญชีปลอมจำนวนมหาศาล รวมถึงการบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM ที่ใช้ในการยืนยันบัญชี เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการใช้บอทในทางที่ผิด

    สรุปสาระสำคัญ
    ตลาดมืด SIM การ์ด
    ใช้สร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์
    ทำให้กองทัพบอทปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่าย

    ราคาการยืนยันบัญชีปลอม
    WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์
    Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์
    Facebook/Shopify เพียง 0.08 ดอลลาร์
    TikTok/LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์
    Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์

    ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
    ใช้บอทสร้างกระแสปลอม เพิ่มยอดไลก์และผู้ติดตาม
    ใช้กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

    ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา
    ควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms)
    บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/how-much-does-an-army-of-bots-cost-how-likes-and-clout-are-bought
    📱 ตลาดมืด SIM การ์ดกับการสร้างบอท งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เผยว่า มีตลาดมืดขนาดใหญ่สำหรับ SIM การ์ดทั้งจริงและเสมือน ที่ถูกใช้เพื่อสร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ Amazon บริการเหล่านี้ทำให้กองทัพบอทสามารถปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น และถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มยอดไลก์ ผู้ติดตาม และการแชร์ให้ดูเหมือนมีความนิยมจริง 💸 ราคาของการซื้อ “ความนิยมปลอม” การวิจัยพบว่าราคาในการยืนยันบัญชีปลอมแตกต่างกันตามแพลตฟอร์มและประเทศต้นทางของ SIM เช่น 💠 WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อการยืนยัน 💠 Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 Facebook และ Shopify ถูกกว่ามาก เพียง 0.08 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 TikTok และ LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐ 💠 Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ ราคายังขึ้นลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ ราคายืนยันบัญชีบน WhatsApp และ Telegram จะพุ่งขึ้นกว่า 12–15% เพราะมีการใช้บอทเพื่อสร้างกระแสและโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ⚠️ ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง กองทัพบอทเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่เพื่อการตลาด แต่ยังถูกนำไปใช้ใน แคมเปญทางการเมืองและการสร้างกระแสสังคม โดยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น “rage bait” เพื่อดึงดูดการโต้เถียงและเพิ่มการมีส่วนร่วมปลอมๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใจผิดว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความนิยมจริง ทั้งที่เป็นการจัดฉากโดยกลุ่มที่มีผลประโยชน์ 🛡️ ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา นักวิจัยเสนอให้มีการควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ซึ่งสามารถเก็บ SIM ได้หลายร้อยใบในเครื่องเดียวเพื่อสร้างบัญชีปลอมจำนวนมหาศาล รวมถึงการบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM ที่ใช้ในการยืนยันบัญชี เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการใช้บอทในทางที่ผิด 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ตลาดมืด SIM การ์ด ➡️ ใช้สร้างและยืนยันบัญชีปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ➡️ ทำให้กองทัพบอทปลอมตัวเป็นมนุษย์ได้ง่าย ✅ ราคาการยืนยันบัญชีปลอม ➡️ WhatsApp เฉลี่ย 1.02 ดอลลาร์ ➡️ Telegram เฉลี่ย 0.89 ดอลลาร์ ➡️ Facebook/Shopify เพียง 0.08 ดอลลาร์ ➡️ TikTok/LinkedIn ประมาณ 0.11 ดอลลาร์ ➡️ Amazon เฉลี่ย 0.12 ดอลลาร์ ‼️ ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง ⛔ ใช้บอทสร้างกระแสปลอม เพิ่มยอดไลก์และผู้ติดตาม ⛔ ใช้กระตุ้นอารมณ์และโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ‼️ ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา ⛔ ควบคุมการซื้อ SIM จำนวนมาก (SIM farms) ⛔ บังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยประเทศต้นทางของ SIM https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/how-much-does-an-army-of-bots-cost-how-likes-and-clout-are-bought
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How much does an army of bots cost? How likes and clout are bought
    Research has shown how SIM cards from the grey market are powering bot armies that fill social media with fake likes and comments to manipulate users and deliberately steer trends. A dollar gets you a dozen fake and 'verified' Facebook accounts posting on your behalf.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Nvidia ขยายอาณาจักรโอเพ่นซอร์ส

    เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2025 Nvidia ประกาศเข้าซื้อบริษัท SchedMD ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Slurm ระบบจัดการงาน (job scheduler) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก การเข้าซื้อครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Nvidia ต้องการเสริมความแข็งแกร่งด้าน โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันกับบริษัทจีนและผู้เล่นรายใหม่ทวีความรุนแรงขึ้น

    บทบาทของ Slurm ในโลก AI
    Slurm เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ช่วยจัดการการทำงานของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลในศูนย์ข้อมูล เช่น การแบ่งทรัพยากร การจัดลำดับงาน และการตรวจสอบสถานะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ Nvidia ระบุว่า Slurm จะยังคงเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สต่อไป แต่บริษัทจะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษา เพื่อให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    กลยุทธ์การแข่งขันของ Nvidia
    นอกจากการซื้อ SchedMD แล้ว Nvidia ยังเปิดตัว ชุดโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สใหม่ ที่เร็วและถูกกว่ารุ่นก่อนหน้า เพื่อรับมือกับการไหลบ่าเข้ามาของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Nvidia ที่จะไม่เพียงขายฮาร์ดแวร์ GPU แต่ยังสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ครบวงจร ตั้งแต่ CUDA ไปจนถึงเครื่องมือจัดการงานและโมเดล AI

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การเข้าซื้อ SchedMD อาจทำให้ Nvidia กลายเป็นผู้เล่นที่มีอำนาจมากขึ้นในตลาด AI เพราะสามารถควบคุมทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางส่วนกังวลว่าการรวมศูนย์เช่นนี้อาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องพึ่งพา Nvidia มากเกินไป แม้บริษัทจะยืนยันว่าจะยังคงรักษาความเปิดกว้างของ Slurm ก็ตาม

    สรุปสาระสำคัญ
    Nvidia เข้าซื้อ SchedMD
    เสริมกลยุทธ์โอเพ่นซอร์ส AI และโครงสร้างพื้นฐานการฝึกโมเดล

    Slurm ยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส
    ใช้จัดการงานในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก
    Nvidia จะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและบำรุงรักษา

    กลยุทธ์ใหม่ของ Nvidia
    เปิดตัวโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สรุ่นใหม่ที่เร็วและถูกกว่า
    แข่งขันกับโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน

    ข้อกังวลจากชุมชน
    การรวมศูนย์อาจทำให้ผู้ใช้พึ่งพา Nvidia มากเกินไป
    เสี่ยงต่อการลดความหลากหลายของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/nvidia-buys-ai-software-provider-schedmd-to-expand-open-source-ai-push
    💻 Nvidia ขยายอาณาจักรโอเพ่นซอร์ส เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2025 Nvidia ประกาศเข้าซื้อบริษัท SchedMD ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Slurm ระบบจัดการงาน (job scheduler) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก การเข้าซื้อครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Nvidia ต้องการเสริมความแข็งแกร่งด้าน โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันกับบริษัทจีนและผู้เล่นรายใหม่ทวีความรุนแรงขึ้น ⚙️ บทบาทของ Slurm ในโลก AI Slurm เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ช่วยจัดการการทำงานของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลในศูนย์ข้อมูล เช่น การแบ่งทรัพยากร การจัดลำดับงาน และการตรวจสอบสถานะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ Nvidia ระบุว่า Slurm จะยังคงเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สต่อไป แต่บริษัทจะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษา เพื่อให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📈 กลยุทธ์การแข่งขันของ Nvidia นอกจากการซื้อ SchedMD แล้ว Nvidia ยังเปิดตัว ชุดโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สใหม่ ที่เร็วและถูกกว่ารุ่นก่อนหน้า เพื่อรับมือกับการไหลบ่าเข้ามาของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Nvidia ที่จะไม่เพียงขายฮาร์ดแวร์ GPU แต่ยังสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ครบวงจร ตั้งแต่ CUDA ไปจนถึงเครื่องมือจัดการงานและโมเดล AI 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การเข้าซื้อ SchedMD อาจทำให้ Nvidia กลายเป็นผู้เล่นที่มีอำนาจมากขึ้นในตลาด AI เพราะสามารถควบคุมทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางส่วนกังวลว่าการรวมศูนย์เช่นนี้อาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องพึ่งพา Nvidia มากเกินไป แม้บริษัทจะยืนยันว่าจะยังคงรักษาความเปิดกว้างของ Slurm ก็ตาม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Nvidia เข้าซื้อ SchedMD ➡️ เสริมกลยุทธ์โอเพ่นซอร์ส AI และโครงสร้างพื้นฐานการฝึกโมเดล ✅ Slurm ยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้จัดการงานในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ➡️ Nvidia จะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและบำรุงรักษา ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ Nvidia ➡️ เปิดตัวโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สรุ่นใหม่ที่เร็วและถูกกว่า ➡️ แข่งขันกับโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน ‼️ ข้อกังวลจากชุมชน ⛔ การรวมศูนย์อาจทำให้ผู้ใช้พึ่งพา Nvidia มากเกินไป ⛔ เสี่ยงต่อการลดความหลากหลายของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/nvidia-buys-ai-software-provider-schedmd-to-expand-open-source-ai-push
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nvidia buys AI software provider SchedMD to expand open-source AI push
    Dec 15 (Reuters) - Nvidia said on Monday it acquired AI software firm SchedMD, as the chip designer doubles down on open-source technology and steps up investments in the artificial intelligence ecosystem to fend off rising competition.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย

    บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป

    จุดเด่นของ Hashcards
    Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

    หลักการสำคัญของ Spaced Repetition
    Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ
    Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ
    Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น
    Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น

    ความแตกต่างจากระบบปิด
    ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว

    ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน
    Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติของ Hashcards
    ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล
    รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป

    ข้อดีของระบบ
    โปร่งใสและยืดหยุ่น
    ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ
    ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

    ข้อควรระวัง
    ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที

    https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    📝 Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป ⚡ จุดเด่นของ Hashcards Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม 🧠 หลักการสำคัญของ Spaced Repetition 💠 Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ 💠 Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ 💠 Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น 💠 Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น 🔒 ความแตกต่างจากระบบปิด ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว 🌍 ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ Hashcards ➡️ ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล ➡️ รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป ✅ ข้อดีของระบบ ➡️ โปร่งใสและยืดหยุ่น ➡️ ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ ➡️ ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    BORRETTI.ME
    Hashcards: A Plain-Text Spaced Repetition System
    Announcing my latest open-source project.
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • Adafruit โต้ Arduino หลังเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานใหม่ที่ถูกมองว่า “ไม่สอดคล้องกับโอเพ่นซอร์ส”

    หลังจากที่ Arduino ถูก Qualcomm เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปรับปรุง Terms and Conditions ใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้ใช้ทำการ Reverse Engineering บริการคลาวด์, การกำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด และการเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ภายในแพลตฟอร์ม ข้อกำหนดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Adafruit ที่มองว่ากฎใหม่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้

    มุมมองจาก Arduino และ Adafruit
    Arduino ชี้แจงว่าการห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะกับ บริการ SaaS บนคลาวด์ ไม่ได้กระทบกับบอร์ดหรือเฟิร์มแวร์ที่ยังคงเปิดซอร์สเหมือนเดิม ขณะที่ Adafruit โดยผู้ก่อตั้ง Limor “Ladyada” Fried โต้ว่า การบังคับให้ผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือบนคลาวด์เป็นการจำกัดทางเลือก และทำให้การอ้างว่า “ยังคงโอเพ่นซอร์ส” ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ใช้ใหม่จำนวนมากถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก

    ประเด็นด้านสิทธิ์และข้อมูลผู้ใช้
    หนึ่งในข้อถกเถียงใหญ่คือการที่ Arduino กำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบ Irrevocable License เหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด เช่น โค้ดหรือโปรเจกต์ แม้ Arduino ยืนยันว่าผู้ใช้ยังคงเป็นเจ้าของเนื้อหา แต่สิทธิ์ที่ให้บริษัทถือครองอย่างถาวรทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการตรวจสอบการใช้งาน AI ที่อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    Adafruit และนักวิจัยจาก EFF เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดเช่นนี้อาจทำให้ Arduino สูญเสียความเชื่อมั่นจากชุมชนผู้พัฒนาและนักเรียนที่เคยใช้บอร์ด Arduino เป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้แบบเปิด หากบริษัทต้องการควบคุมการใช้งานมากขึ้น ควรซื่อสัตย์และประกาศว่าเป็น “Source-Available” ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ Arduino
    ห้าม Reverse Engineering บริการคลาวด์
    กำหนดสิทธิ์การใช้งานถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด
    เพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI

    การชี้แจงจาก Arduino
    ยืนยันว่าบอร์ดและเฟิร์มแวร์ยังคงเปิดซอร์ส
    การห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะบริการ SaaS

    ข้อกังวลจาก Adafruit และชุมชน
    ผู้ใช้ใหม่ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือคลาวด์เป็นหลัก
    สิทธิ์การใช้งานถาวรอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลเชิงพาณิชย์
    การตรวจสอบ AI อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่ออนาคตโอเพ่นซอร์ส
    เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้พัฒนาและนักเรียน
    อาจต้องเปลี่ยนการนิยามเป็น “Source-Available” แทนโอเพ่นซอร์ส

    https://thenewstack.io/adafruit-arduinos-rules-are-incompatible-with-open-source/
    ⚡ Adafruit โต้ Arduino หลังเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานใหม่ที่ถูกมองว่า “ไม่สอดคล้องกับโอเพ่นซอร์ส” หลังจากที่ Arduino ถูก Qualcomm เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปรับปรุง Terms and Conditions ใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้ใช้ทำการ Reverse Engineering บริการคลาวด์, การกำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด และการเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ภายในแพลตฟอร์ม ข้อกำหนดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Adafruit ที่มองว่ากฎใหม่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้ 🧩 มุมมองจาก Arduino และ Adafruit Arduino ชี้แจงว่าการห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะกับ บริการ SaaS บนคลาวด์ ไม่ได้กระทบกับบอร์ดหรือเฟิร์มแวร์ที่ยังคงเปิดซอร์สเหมือนเดิม ขณะที่ Adafruit โดยผู้ก่อตั้ง Limor “Ladyada” Fried โต้ว่า การบังคับให้ผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือบนคลาวด์เป็นการจำกัดทางเลือก และทำให้การอ้างว่า “ยังคงโอเพ่นซอร์ส” ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ใช้ใหม่จำนวนมากถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก 🔒 ประเด็นด้านสิทธิ์และข้อมูลผู้ใช้ หนึ่งในข้อถกเถียงใหญ่คือการที่ Arduino กำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบ Irrevocable License เหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด เช่น โค้ดหรือโปรเจกต์ แม้ Arduino ยืนยันว่าผู้ใช้ยังคงเป็นเจ้าของเนื้อหา แต่สิทธิ์ที่ให้บริษัทถือครองอย่างถาวรทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการตรวจสอบการใช้งาน AI ที่อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 🌍 ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส Adafruit และนักวิจัยจาก EFF เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดเช่นนี้อาจทำให้ Arduino สูญเสียความเชื่อมั่นจากชุมชนผู้พัฒนาและนักเรียนที่เคยใช้บอร์ด Arduino เป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้แบบเปิด หากบริษัทต้องการควบคุมการใช้งานมากขึ้น ควรซื่อสัตย์และประกาศว่าเป็น “Source-Available” ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ Arduino ➡️ ห้าม Reverse Engineering บริการคลาวด์ ➡️ กำหนดสิทธิ์การใช้งานถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด ➡️ เพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ✅ การชี้แจงจาก Arduino ➡️ ยืนยันว่าบอร์ดและเฟิร์มแวร์ยังคงเปิดซอร์ส ➡️ การห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะบริการ SaaS ‼️ ข้อกังวลจาก Adafruit และชุมชน ⛔ ผู้ใช้ใหม่ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือคลาวด์เป็นหลัก ⛔ สิทธิ์การใช้งานถาวรอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลเชิงพาณิชย์ ⛔ การตรวจสอบ AI อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่อง ✅ ผลกระทบต่ออนาคตโอเพ่นซอร์ส ➡️ เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้พัฒนาและนักเรียน ➡️ อาจต้องเปลี่ยนการนิยามเป็น “Source-Available” แทนโอเพ่นซอร์ส https://thenewstack.io/adafruit-arduinos-rules-are-incompatible-with-open-source/
    THENEWSTACK.IO
    Adafruit: Arduino's Rules Are 'Incompatible With Open Source'
    Arduino has defended the changes, claiming its commitment to open source hardware remains unchanged.
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • การเขียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI

    Marcus Olang’ เล่าว่าเขาเคยได้รับคำวิจารณ์ว่างานเขียนของเขา “เหมือน ChatGPT” และถูกขอให้ปรับให้มี “ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ทั้งที่จริงแล้วสไตล์การเขียนนั้นเป็นผลจากการฝึกฝนในระบบการศึกษาเคนยา ที่เน้นความเป็นทางการและโครงสร้างที่ชัดเจน เขาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกตีความว่าเป็น “ลายเซ็นของ AI” แท้จริงแล้วคือผลผลิตจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเคนยา

    รากฐานจากระบบการศึกษาและมรดกอาณานิคม
    เขาอธิบายว่าในโรงเรียนเคนยา การสอบเขียนเรียงความเป็นเหมือนพิธีกรรมสำคัญ นักเรียนถูกฝึกให้ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบ “Queen’s English” ที่ได้รับจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงความมีการศึกษาและสถานะทางสังคม

    ความขัดแย้งกับเครื่องตรวจจับ AI
    Marcus ชี้ให้เห็นว่าเครื่องตรวจจับ AI มักใช้เกณฑ์ “perplexity” และ “burstiness” เพื่อตัดสินว่างานเขียนเป็นของมนุษย์หรือไม่ แต่ระบบการศึกษาเคนยากลับสอนให้นักเรียนเขียนอย่างมีตรรกะและคงเส้นคงวา ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เครื่องตรวจจับมองว่าเป็น “มนุษย์” ผลคือ งานเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษโดยกำเนิด มักถูกตีความผิดว่าเป็นงานของ AI

    มุมมองต่อความเป็นมนุษย์ในงานเขียน
    เขาสรุปว่า การเขียนของเขาไม่ใช่ผลผลิตจากเครื่องจักร แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์ การศึกษา และความพยายามของมนุษย์ หากโลกยังใช้มาตรฐานที่แคบในการตัดสินว่าอะไรคือ “มนุษย์” ก็จะเป็นการกีดกันนักเขียนจากภูมิภาคอื่นที่มีรูปแบบการเขียนแตกต่างออกไป

    สรุปสาระสำคัญ
    ประสบการณ์ของ Marcus Olang’
    งานเขียนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI เพราะมีโครงสร้างเป็นทางการและสมบูรณ์แบบ

    ระบบการศึกษาเคนยา
    เน้นการใช้คำศัพท์หลากหลายและโครงสร้างเรียงความที่เข้มงวด
    สืบทอดจากภาษาอังกฤษยุคอาณานิคม

    ปัญหาจากเครื่องตรวจจับ AI
    ใช้เกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา
    เสี่ยงต่อการตีความผิดและลดคุณค่าของงานเขียนมนุษย์

    ข้อคิดสำคัญ
    งานเขียนที่ถูกมองว่า “เหมือน AI” อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรมและการศึกษา
    ความเป็นมนุษย์ในงานเขียนควรถูกมองอย่างหลากหลาย ไม่ใช่จำกัดแค่สไตล์เดียว

    https://marcusolang.substack.com/p/im-kenyan-i-dont-write-like-chatgpt
    ✍️ การเขียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI Marcus Olang’ เล่าว่าเขาเคยได้รับคำวิจารณ์ว่างานเขียนของเขา “เหมือน ChatGPT” และถูกขอให้ปรับให้มี “ความเป็นมนุษย์มากขึ้น” ทั้งที่จริงแล้วสไตล์การเขียนนั้นเป็นผลจากการฝึกฝนในระบบการศึกษาเคนยา ที่เน้นความเป็นทางการและโครงสร้างที่ชัดเจน เขาชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกตีความว่าเป็น “ลายเซ็นของ AI” แท้จริงแล้วคือผลผลิตจากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียนเคนยา 📚 รากฐานจากระบบการศึกษาและมรดกอาณานิคม เขาอธิบายว่าในโรงเรียนเคนยา การสอบเขียนเรียงความเป็นเหมือนพิธีกรรมสำคัญ นักเรียนถูกฝึกให้ใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน และการเชื่อมโยงที่เป็นระบบ สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากการเรียนภาษาอังกฤษแบบ “Queen’s English” ที่ได้รับจากยุคอาณานิคมอังกฤษ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือแสดงความมีการศึกษาและสถานะทางสังคม 🤖 ความขัดแย้งกับเครื่องตรวจจับ AI Marcus ชี้ให้เห็นว่าเครื่องตรวจจับ AI มักใช้เกณฑ์ “perplexity” และ “burstiness” เพื่อตัดสินว่างานเขียนเป็นของมนุษย์หรือไม่ แต่ระบบการศึกษาเคนยากลับสอนให้นักเรียนเขียนอย่างมีตรรกะและคงเส้นคงวา ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เครื่องตรวจจับมองว่าเป็น “มนุษย์” ผลคือ งานเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาอังกฤษโดยกำเนิด มักถูกตีความผิดว่าเป็นงานของ AI 🌍 มุมมองต่อความเป็นมนุษย์ในงานเขียน เขาสรุปว่า การเขียนของเขาไม่ใช่ผลผลิตจากเครื่องจักร แต่เป็นผลจากประวัติศาสตร์ การศึกษา และความพยายามของมนุษย์ หากโลกยังใช้มาตรฐานที่แคบในการตัดสินว่าอะไรคือ “มนุษย์” ก็จะเป็นการกีดกันนักเขียนจากภูมิภาคอื่นที่มีรูปแบบการเขียนแตกต่างออกไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ประสบการณ์ของ Marcus Olang’ ➡️ งานเขียนถูกเข้าใจผิดว่าเป็น AI เพราะมีโครงสร้างเป็นทางการและสมบูรณ์แบบ ✅ ระบบการศึกษาเคนยา ➡️ เน้นการใช้คำศัพท์หลากหลายและโครงสร้างเรียงความที่เข้มงวด ➡️ สืบทอดจากภาษาอังกฤษยุคอาณานิคม ‼️ ปัญหาจากเครื่องตรวจจับ AI ⛔ ใช้เกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการเขียนของผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ⛔ เสี่ยงต่อการตีความผิดและลดคุณค่าของงานเขียนมนุษย์ ✅ ข้อคิดสำคัญ ➡️ งานเขียนที่ถูกมองว่า “เหมือน AI” อาจสะท้อนถึงวัฒนธรรมและการศึกษา ➡️ ความเป็นมนุษย์ในงานเขียนควรถูกมองอย่างหลากหลาย ไม่ใช่จำกัดแค่สไตล์เดียว https://marcusolang.substack.com/p/im-kenyan-i-dont-write-like-chatgpt
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • การรั่วไหลครั้งใหญ่ของฐานข้อมูล MongoDB

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย Bob Diachenko ร่วมกับทีมจาก nexos.ai ได้ค้นพบฐานข้อมูล MongoDB ที่ไม่ได้รับการป้องกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2025 ฐานข้อมูลนี้มีขนาดมหึมา 16TB และบรรจุข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด ซึ่งรวมถึงชื่อ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ประวัติการทำงาน การศึกษา และลิงก์ไปยังโปรไฟล์ LinkedIn ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    แม้เจ้าของฐานข้อมูลจะรีบปิดการเข้าถึงภายในสองวันหลังถูกแจ้งเตือน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครได้เข้าถึงข้อมูลไปแล้วบ้าง ข้อมูลที่รั่วไหลถูกแบ่งออกเป็น 9 คอลเลกชัน เช่น “profiles”, “people” และ “unique_profiles” โดยเฉพาะคอลเลกชัน “unique_profiles” ที่มีมากกว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    นักวิจัย Cybernews ระบุว่าข้อมูลที่รั่วไหลนี้มีโครงสร้างชัดเจนและละเอียดมาก จึงเป็น ขุมทองสำหรับอาชญากรไซเบอร์ เพราะสามารถนำไปใช้สร้างฐานข้อมูลค้นหาเพื่อทำการโจมตีแบบเจาะจง เช่น ฟิชชิ่ง (Phishing) หรือ CEO Fraud ที่เลียนแบบผู้บริหารเพื่อหลอกให้พนักงานโอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ

    นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจถูกเก็บมาจากการ Scraping หรือการดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงการรั่วไหลก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2021 ทำให้ยากต่อการระบุเจ้าของที่แท้จริงของฐานข้อมูล แต่มีหลักฐานบางอย่างชี้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับบริษัทด้าน Lead Generation ที่ทำธุรกิจหาลูกค้าให้กับองค์กรต่างๆ

    วิธีป้องกันสำหรับผู้ใช้
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน พร้อมเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่ออุดช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี การรั่วไหลครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่เราฝากไว้กับแพลตฟอร์มออนไลน์อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ทุกเมื่อ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบฐานข้อมูลรั่วไหล
    ขนาด 16TB มีข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด
    รวมชื่อ อีเมล เบอร์โทร ประวัติการทำงาน และ LinkedIn

    รายละเอียดคอลเลกชันข้อมูล
    “profiles” กว่า 1.1 พันล้านเรคคอร์ด
    “unique_profiles” กว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ

    ความเสี่ยงจากการรั่วไหล
    อาชญากรสามารถใช้ข้อมูลทำฟิชชิ่งและ CEO Fraud
    ข้อมูลอาจถูก Scraping จากหลายแหล่ง ทำให้ระบุเจ้าของยาก

    คำแนะนำด้านความปลอดภัย
    ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน
    เปิดใช้งาน 2FA และอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

    https://hackread.com/mongodb-database-expose-lead-gen-records/
    🔐 การรั่วไหลครั้งใหญ่ของฐานข้อมูล MongoDB นักวิจัยด้านความปลอดภัย Bob Diachenko ร่วมกับทีมจาก nexos.ai ได้ค้นพบฐานข้อมูล MongoDB ที่ไม่ได้รับการป้องกันเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2025 ฐานข้อมูลนี้มีขนาดมหึมา 16TB และบรรจุข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด ซึ่งรวมถึงชื่อ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ประวัติการทำงาน การศึกษา และลิงก์ไปยังโปรไฟล์ LinkedIn ของผู้ใช้จำนวนมหาศาล แม้เจ้าของฐานข้อมูลจะรีบปิดการเข้าถึงภายในสองวันหลังถูกแจ้งเตือน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครได้เข้าถึงข้อมูลไปแล้วบ้าง ข้อมูลที่รั่วไหลถูกแบ่งออกเป็น 9 คอลเลกชัน เช่น “profiles”, “people” และ “unique_profiles” โดยเฉพาะคอลเลกชัน “unique_profiles” ที่มีมากกว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ นักวิจัย Cybernews ระบุว่าข้อมูลที่รั่วไหลนี้มีโครงสร้างชัดเจนและละเอียดมาก จึงเป็น ขุมทองสำหรับอาชญากรไซเบอร์ เพราะสามารถนำไปใช้สร้างฐานข้อมูลค้นหาเพื่อทำการโจมตีแบบเจาะจง เช่น ฟิชชิ่ง (Phishing) หรือ CEO Fraud ที่เลียนแบบผู้บริหารเพื่อหลอกให้พนักงานโอนเงินหรือเปิดเผยข้อมูลสำคัญ นอกจากนี้ยังพบว่าข้อมูลบางส่วนอาจถูกเก็บมาจากการ Scraping หรือการดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงการรั่วไหลก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2021 ทำให้ยากต่อการระบุเจ้าของที่แท้จริงของฐานข้อมูล แต่มีหลักฐานบางอย่างชี้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับบริษัทด้าน Lead Generation ที่ทำธุรกิจหาลูกค้าให้กับองค์กรต่างๆ 🛡️ วิธีป้องกันสำหรับผู้ใช้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ใช้ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน พร้อมเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication (2FA) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย รวมถึงการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่ออุดช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี การรั่วไหลครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่เราฝากไว้กับแพลตฟอร์มออนไลน์อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ทุกเมื่อ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบฐานข้อมูลรั่วไหล ➡️ ขนาด 16TB มีข้อมูลกว่า 4.3 พันล้านเรคคอร์ด ➡️ รวมชื่อ อีเมล เบอร์โทร ประวัติการทำงาน และ LinkedIn ✅ รายละเอียดคอลเลกชันข้อมูล ➡️ “profiles” กว่า 1.1 พันล้านเรคคอร์ด ➡️ “unique_profiles” กว่า 732 ล้านเรคคอร์ดพร้อมรูปภาพ ‼️ ความเสี่ยงจากการรั่วไหล ⛔ อาชญากรสามารถใช้ข้อมูลทำฟิชชิ่งและ CEO Fraud ⛔ ข้อมูลอาจถูก Scraping จากหลายแหล่ง ทำให้ระบุเจ้าของยาก ‼️ คำแนะนำด้านความปลอดภัย ⛔ ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน ⛔ เปิดใช้งาน 2FA และอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ https://hackread.com/mongodb-database-expose-lead-gen-records/
    HACKREAD.COM
    16TB of MongoDB Database Exposes 4.3 Billion Lead Gen Records
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยีไร้สายในรถ: ความสะดวกที่มาพร้อมข้อจำกัด

    Wireless CarPlay กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ เชื่อมต่อ iPhone กับระบบ Infotainment โดยไม่ต้องใช้สาย Lightning เพียงเปิดเครื่องยนต์ โทรศัพท์จะเชื่อมต่ออัตโนมัติทันที ทำให้การใช้งานแอปนำทาง การโทร และการฟังเพลงสะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ไม่มีสายระโยงระยางให้รำคาญสายตา

    นอกจากความสะดวกแล้ว Wireless CarPlay ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเล็กน้อย เพราะลดสิ่งรบกวนสายตาและมือขณะขับรถ ผู้ใช้สามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องหยิบจับบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม Wireless CarPlay ก็มีข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม การเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi หรือ Bluetooth หากสัญญาณไม่เสถียรอาจเกิดอาการหน่วง เสียงกระตุก หรือการหลุดการเชื่อมต่อ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ

    อีกปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานแบตเตอรี่สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบสาย เนื่องจากโทรศัพท์ต้องทำงานผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth ตลอดเวลา ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการรองรับ เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่ติดตั้ง Wireless CarPlay มาให้ แม้จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Wireless Adapter แต่ก็อาจเจอปัญหาประสิทธิภาพไม่เสถียร

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อดีของ Wireless CarPlay
    เชื่อมต่ออัตโนมัติทันทีเมื่อสตาร์ทรถ
    ลดความยุ่งเหยิงของสาย ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย
    เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ลดการหยิบจับโทรศัพท์

    ข้อเสียของ Wireless CarPlay
    ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi/Bluetooth อาจเกิดการหน่วงหรือหลุดการเชื่อมต่อ
    ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าแบบสาย
    รถบางรุ่นไม่รองรับ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจไม่เสถียร

    https://www.slashgear.com/2050302/pros-cons-using-wireless-carplay/
    🚗 เทคโนโลยีไร้สายในรถ: ความสะดวกที่มาพร้อมข้อจำกัด Wireless CarPlay กำลังเป็นที่นิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ เพราะช่วยให้ผู้ใช้ เชื่อมต่อ iPhone กับระบบ Infotainment โดยไม่ต้องใช้สาย Lightning เพียงเปิดเครื่องยนต์ โทรศัพท์จะเชื่อมต่ออัตโนมัติทันที ทำให้การใช้งานแอปนำทาง การโทร และการฟังเพลงสะดวกขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ไม่มีสายระโยงระยางให้รำคาญสายตา นอกจากความสะดวกแล้ว Wireless CarPlay ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเล็กน้อย เพราะลดสิ่งรบกวนสายตาและมือขณะขับรถ ผู้ใช้สามารถเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องหยิบจับบ่อยๆ ซึ่งถือเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม Wireless CarPlay ก็มีข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม การเชื่อมต่อขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi หรือ Bluetooth หากสัญญาณไม่เสถียรอาจเกิดอาการหน่วง เสียงกระตุก หรือการหลุดการเชื่อมต่อ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางไปพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ อีกปัญหาสำคัญคือ การใช้พลังงานแบตเตอรี่สูงกว่าการเชื่อมต่อแบบสาย เนื่องจากโทรศัพท์ต้องทำงานผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth ตลอดเวลา ทำให้แบตหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการรองรับ เพราะไม่ใช่รถทุกคันที่ติดตั้ง Wireless CarPlay มาให้ แม้จะมีอุปกรณ์เสริมเช่น Wireless Adapter แต่ก็อาจเจอปัญหาประสิทธิภาพไม่เสถียร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อดีของ Wireless CarPlay ➡️ เชื่อมต่ออัตโนมัติทันทีเมื่อสตาร์ทรถ ➡️ ลดความยุ่งเหยิงของสาย ทำให้ห้องโดยสารดูเรียบร้อย ➡️ เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย ลดการหยิบจับโทรศัพท์ ‼️ ข้อเสียของ Wireless CarPlay ⛔ ขึ้นอยู่กับสัญญาณ Wi-Fi/Bluetooth อาจเกิดการหน่วงหรือหลุดการเชื่อมต่อ ⛔ ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าแบบสาย ⛔ รถบางรุ่นไม่รองรับ ต้องใช้อุปกรณ์เสริมที่อาจไม่เสถียร https://www.slashgear.com/2050302/pros-cons-using-wireless-carplay/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Pros And Cons Of Using Wireless CarPlay - SlashGear
    Wireless CarPlay is safer, more convenient, and helps keep your car interior tidy. However, it's prone to lag and is killer on your iPhone's battery.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ: ผู้ช่วยที่ประหยัดเวลา

    สมาร์ทโฮมกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพราะช่วยลดภาระงานบ้านที่กินเวลาและแรงงานไปมาก หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Posha หุ่นยนต์ทำอาหาร ที่สามารถปรุงเมนูหลากหลายชาติได้โดยอัตโนมัติ เพียงใส่วัตถุดิบและเลือกเมนูบนหน้าจอ หุ่นยนต์จะจัดการทุกขั้นตอนแทนคุณ ทำให้การทำอาหารที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารนอกบ้านอีกด้วย

    อีกหนึ่งผู้ช่วยที่ได้รับความนิยมคือ Roborock Qrevo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น ที่มาพร้อมระบบดูดแรงสูงถึง 8,000Pa และฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องบ่อยๆ เพียงตั้งเวลาในแอปพลิเคชันก็สามารถปล่อยให้บ้านสะอาดได้ทุกวันโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง นอกจากนี้ยังมีระบบหลบสิ่งกีดขวางและแปรงกันพันเส้นผมที่ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สำหรับผู้ที่มีบ้านพร้อมสนามหญ้าใหญ่ Segway Navimow i105N หุ่นยนต์ตัดหญ้า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดภาระการดูแลสวน สามารถตั้งเขตการทำงานผ่านแอปและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ละเอียดเท่าการตัดด้วยมือ แต่ถือว่าคุ้มค่าในแง่การประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa

    สุดท้ายคือ Cradlewise เปลอัจฉริยะสำหรับเด็กทารก ที่รวมฟังก์ชันกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องเสียงกล่อมเด็ก และระบบโยกอัตโนมัติไว้ในตัวเดียว ช่วยให้พ่อแม่สามารถพักผ่อนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยตรวจเช็กลูกน้อยตลอดเวลา ถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเครียดของครอบครัว

    สรุปสาระสำคัญ
    หุ่นยนต์ทำอาหาร Posha
    ลดเวลาทำอาหารจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหาร

    หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น Roborock Qrevo
    ระบบดูดแรงสูง ฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ลดภาระการทำความสะอาด

    หุ่นยนต์ตัดหญ้า Segway Navimow i105N
    ตั้งเขตการทำงานผ่านแอป ตรวจจับสิ่งกีดขวาง และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง

    ระบบรดน้ำอัจฉริยะ Rachio Wi-Fi Sprinkler
    ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ ปรับตามสภาพอากาศ ลดการสิ้นเปลืองน้ำ

    เปลอัจฉริยะ Cradlewise
    รวมกล้องตรวจจับ เครื่องเสียง และระบบโยกอัตโนมัติ ช่วยให้พ่อแม่พักผ่อนได้มากขึ้น

    ข้อควรระวังในการใช้สมาร์ทโฮม
    อุปกรณ์บางชนิดมีราคาสูง อาจไม่เหมาะกับทุกครัวเรือน
    ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน หากระบบล่มอาจใช้งานไม่ได้
    ความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา

    https://www.slashgear.com/2048306/smart-home-gadgets-time-saving-chores/
    🏠 เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ: ผู้ช่วยที่ประหยัดเวลา สมาร์ทโฮมกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เพราะช่วยลดภาระงานบ้านที่กินเวลาและแรงงานไปมาก หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Posha หุ่นยนต์ทำอาหาร ที่สามารถปรุงเมนูหลากหลายชาติได้โดยอัตโนมัติ เพียงใส่วัตถุดิบและเลือกเมนูบนหน้าจอ หุ่นยนต์จะจัดการทุกขั้นตอนแทนคุณ ทำให้การทำอาหารที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหารนอกบ้านอีกด้วย อีกหนึ่งผู้ช่วยที่ได้รับความนิยมคือ Roborock Qrevo หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น ที่มาพร้อมระบบดูดแรงสูงถึง 8,000Pa และฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคอยทำความสะอาดเครื่องบ่อยๆ เพียงตั้งเวลาในแอปพลิเคชันก็สามารถปล่อยให้บ้านสะอาดได้ทุกวันโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง นอกจากนี้ยังมีระบบหลบสิ่งกีดขวางและแปรงกันพันเส้นผมที่ช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีบ้านพร้อมสนามหญ้าใหญ่ Segway Navimow i105N หุ่นยนต์ตัดหญ้า ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดภาระการดูแลสวน สามารถตั้งเขตการทำงานผ่านแอปและตรวจจับสิ่งกีดขวางได้อัตโนมัติ แม้ผลลัพธ์อาจไม่ละเอียดเท่าการตัดด้วยมือ แต่ถือว่าคุ้มค่าในแง่การประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa สุดท้ายคือ Cradlewise เปลอัจฉริยะสำหรับเด็กทารก ที่รวมฟังก์ชันกล้องตรวจจับการเคลื่อนไหว เครื่องเสียงกล่อมเด็ก และระบบโยกอัตโนมัติไว้ในตัวเดียว ช่วยให้พ่อแม่สามารถพักผ่อนได้มากขึ้นโดยไม่ต้องคอยตรวจเช็กลูกน้อยตลอดเวลา ถือเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเครียดของครอบครัว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ หุ่นยนต์ทำอาหาร Posha ➡️ ลดเวลาทำอาหารจากชั่วโมงเหลือไม่กี่นาที และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากการสั่งอาหาร ✅ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นและถูพื้น Roborock Qrevo ➡️ ระบบดูดแรงสูง ฐานเก็บฝุ่นอัตโนมัติ ลดภาระการทำความสะอาด ✅ หุ่นยนต์ตัดหญ้า Segway Navimow i105N ➡️ ตั้งเขตการทำงานผ่านแอป ตรวจจับสิ่งกีดขวาง และรองรับการสั่งงานด้วยเสียง ✅ ระบบรดน้ำอัจฉริยะ Rachio Wi-Fi Sprinkler ➡️ ตั้งเวลารดน้ำอัตโนมัติ ปรับตามสภาพอากาศ ลดการสิ้นเปลืองน้ำ ✅ เปลอัจฉริยะ Cradlewise ➡️ รวมกล้องตรวจจับ เครื่องเสียง และระบบโยกอัตโนมัติ ช่วยให้พ่อแม่พักผ่อนได้มากขึ้น ‼️ ข้อควรระวังในการใช้สมาร์ทโฮม ⛔ อุปกรณ์บางชนิดมีราคาสูง อาจไม่เหมาะกับทุกครัวเรือน ⛔ ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชัน หากระบบล่มอาจใช้งานไม่ได้ ⛔ ความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว เนื่องจากอุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา https://www.slashgear.com/2048306/smart-home-gadgets-time-saving-chores/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These 5 Smart Home Gadgets Will Save You Hours Every Week - SlashGear
    Smart gadgets are capable of much more than reporting the weather and playing music. These selections of time-saving tech could return hours to your busy day.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • SparkyLinux 2025.12 “Tiamat” เปิดตัวแล้ว

    ทีมพัฒนา SparkyLinux ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ในซีรีส์ semi-rolling คือ 2025.12 (codename Tiamat) โดยใช้ฐานจาก Debian Forky (Testing) และมาพร้อม Linux Kernel 6.17 เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้ยังสามารถติดตั้ง Kernel 6.18 ได้จาก repository เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่

    อัปเดตเดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์
    เวอร์ชันนี้มาพร้อมกับเดสก์ท็อปที่อัปเดต เช่น LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, และ Cinnamon 6.6 รวมถึง Firefox 146 และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปรับปรุงให้เข้ากับระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น

    จุดเด่นของการออกแบบ semi-rolling
    SparkyLinux ใช้โมเดล semi-rolling release ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง แต่ยังคงมี snapshot release เช่น 2025.12 เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่สามารถติดตั้งได้ง่ายและมั่นใจว่าได้ระบบที่เสถียร

    ความสำคัญต่อชุมชน Linux
    การออกเวอร์ชันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SparkyLinux ในการเป็นทางเลือกที่เบาและยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ทันสมัย แต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Debian Testing

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฐานระบบและ Kernel
    ใช้ Debian Forky (Testing)
    มาพร้อม Linux Kernel 6.17 และรองรับ Kernel 6.18

    เดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์
    LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, Cinnamon 6.6
    Firefox 146 และเครื่องมือรุ่นใหม่

    โมเดล semi-rolling
    ได้รับอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องติดตั้งใหม่
    มี snapshot release เพื่อความเสถียร

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การใช้ Debian Testing อาจมีบั๊กหรือความไม่เข้ากันของแพ็กเกจ
    ควรตรวจสอบ compatibility ของฮาร์ดแวร์ก่อนอัปเดต Kernel

    https://9to5linux.com/sparkylinux-2025-12-tiamat-released-with-debian-forky-base-linux-kernel-6-17
    🐉 SparkyLinux 2025.12 “Tiamat” เปิดตัวแล้ว ทีมพัฒนา SparkyLinux ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ในซีรีส์ semi-rolling คือ 2025.12 (codename Tiamat) โดยใช้ฐานจาก Debian Forky (Testing) และมาพร้อม Linux Kernel 6.17 เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้ยังสามารถติดตั้ง Kernel 6.18 ได้จาก repository เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ⚙️ อัปเดตเดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์ เวอร์ชันนี้มาพร้อมกับเดสก์ท็อปที่อัปเดต เช่น LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, และ Cinnamon 6.6 รวมถึง Firefox 146 และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปรับปรุงให้เข้ากับระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น 📦 จุดเด่นของการออกแบบ semi-rolling SparkyLinux ใช้โมเดล semi-rolling release ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง แต่ยังคงมี snapshot release เช่น 2025.12 เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่สามารถติดตั้งได้ง่ายและมั่นใจว่าได้ระบบที่เสถียร 🌍 ความสำคัญต่อชุมชน Linux การออกเวอร์ชันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SparkyLinux ในการเป็นทางเลือกที่เบาและยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ทันสมัย แต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Debian Testing 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฐานระบบและ Kernel ➡️ ใช้ Debian Forky (Testing) ➡️ มาพร้อม Linux Kernel 6.17 และรองรับ Kernel 6.18 ✅ เดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์ ➡️ LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, Cinnamon 6.6 ➡️ Firefox 146 และเครื่องมือรุ่นใหม่ ✅ โมเดล semi-rolling ➡️ ได้รับอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ ➡️ มี snapshot release เพื่อความเสถียร ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การใช้ Debian Testing อาจมีบั๊กหรือความไม่เข้ากันของแพ็กเกจ ⛔ ควรตรวจสอบ compatibility ของฮาร์ดแวร์ก่อนอัปเดต Kernel https://9to5linux.com/sparkylinux-2025-12-tiamat-released-with-debian-forky-base-linux-kernel-6-17
    9TO5LINUX.COM
    SparkyLinux 2025.12 "Tiamat" Released with Debian Forky Base, Linux Kernel 6.17 - 9to5Linux
    SparkyLinux 2025.12 distribution is now available for download based on Debian Testing/Forky and powered by Linux kernel 6.17.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing

    ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น

    ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ

    พลังใหม่ของ Scripter Functions
    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5
    ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น
    รองรับ light/dark mode ดีขึ้น
    Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น
    เพิ่มความสามารถใน scripter functions

    ผลต่อผู้ใช้
    นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น
    ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม

    https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    📰 Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น 🌗 ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ ⚙️ พลังใหม่ของ Scripter Functions สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ 🌍 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5 ➡️ ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น ➡️ รองรับ light/dark mode ดีขึ้น ➡️ Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มความสามารถใน scripter functions ✅ ผลต่อผู้ใช้ ➡️ นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    9TO5LINUX.COM
    Scribus 1.6.5 Open-Source Desktop Publishing App Released with Various Changes - 9to5Linux
    Scribus 1.6.5 free and open-source desktop publishing software is now available for download with various updates and bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop

    ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    อะไรที่ยังอนุญาตได้
    GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository

    สรุปประเด็นสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ GNOME
    ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง
    ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก
    สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    สิ่งที่ยังอนุญาต
    ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้
    ใช้ AI ทำ code completion ได้

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ
    โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ

    https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    🖥️ GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ ⚡ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 🔒 อะไรที่ยังอนุญาตได้ GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ 🌍 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ GNOME ➡️ ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง ➡️ ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ ✅ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ➡️ โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก ➡️ สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย ✅ สิ่งที่ยังอนุญาต ➡️ ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้ ➡️ ใช้ AI ทำ code completion ได้ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ ⛔ โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    ITSFOSS.COM
    No AI Slops! GNOME Now Forbids Vibe Coded Extensions
    New policy targets low-quality AI-generated code while still allowing AI as a learning tool.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • 7 โครงการที่ถูก Ubuntu ยกเลิก แต่เราก็ยังคิดถึงมันอยู่

    Ubuntu One: ความฝันคลาวด์ที่ไม่ยั่งยืน
    Ubuntu เคยเปิดตัว Ubuntu One เพื่อเป็นบริการคลาวด์เก็บไฟล์และซิงก์ข้อมูล คล้ายกับ iCloud ของ Apple โดยให้พื้นที่ฟรี 5GB และสามารถซื้อเพิ่มได้ รวมถึงมีบริการซื้อเพลงผ่าน Ubuntu One Music Store แต่สุดท้ายถูกยกเลิกในปี 2014 เพราะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ให้พื้นที่ฟรีมากกว่า และ Canonical ต้องการโฟกัสไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น

    Convergence และ Ubuntu Edge: ความพยายามสู่สมาร์ทโฟน
    Canonical เคยมีความฝันที่จะทำให้ Ubuntu รันได้ทั้งบน PC, Tablet และ Smartphone ผ่านแนวคิด Convergence และเปิดตัวโครงการ Ubuntu Edge สมาร์ทโฟนที่ใช้ Ubuntu โดยระดมทุนผ่าน crowdfunding ได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่ถึงเป้าหมาย 32 ล้าน ทำให้โครงการต้องปิดตัวไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังคงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีอย่าง Samsung DeX ในปัจจุบัน

    Ubuntu Unity และ Mir: การทดลองที่ไม่รอด
    Ubuntu เคยพัฒนา Unity Desktop Environment และ Mir Display Server เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย Canonical ต้องยกเลิก Unity ในปี 2017 และกลับมาใช้ GNOME ที่ปรับแต่งใหม่ ส่วน Mir ก็ถูกลดบทบาทไปใช้กับ IoT แทน ไม่ได้ถูกใช้ในเดสก์ท็อปอีกต่อไป

    Wubi และ Ubuntu Make: เครื่องมือที่ถูกลืม
    Wubi Installer เคยทำให้ผู้ใช้ Windows สามารถติดตั้ง Ubuntu ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขพาร์ทิชัน แต่ถูกยกเลิกเพราะมีปัญหาความเข้ากันได้
    Ubuntu Make เป็น CLI สำหรับติดตั้งเครื่องมือพัฒนา เช่น Atom หรือ VS Code แต่ถูกแทนที่ด้วย Snap ที่ใช้ง่ายกว่าและปลอดภัยกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการที่ถูกยกเลิก
    Ubuntu One (Cloud + Music Store)
    Ubuntu Edge และ Convergence (สมาร์ทโฟน Ubuntu)
    Unity Desktop และ Mir Display Server
    Wubi Installer และ Ubuntu Make

    เหตุผลหลักที่ล้มเหลว
    แข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า
    ขาดเงินทุนและการสนับสนุนจากผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่
    เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา
    การพัฒนาโครงการใหม่โดยไม่ประเมินตลาด อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์
    การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ อาจนำไปสู่การต่อต้านและความล้มเหลว

    https://itsfoss.com/projects-ditched-by-ubuntu/
    🏗️ 7 โครงการที่ถูก Ubuntu ยกเลิก แต่เราก็ยังคิดถึงมันอยู่ 🗂️ Ubuntu One: ความฝันคลาวด์ที่ไม่ยั่งยืน Ubuntu เคยเปิดตัว Ubuntu One เพื่อเป็นบริการคลาวด์เก็บไฟล์และซิงก์ข้อมูล คล้ายกับ iCloud ของ Apple โดยให้พื้นที่ฟรี 5GB และสามารถซื้อเพิ่มได้ รวมถึงมีบริการซื้อเพลงผ่าน Ubuntu One Music Store แต่สุดท้ายถูกยกเลิกในปี 2014 เพราะไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ให้พื้นที่ฟรีมากกว่า และ Canonical ต้องการโฟกัสไปที่การพัฒนาแพลตฟอร์มอื่น 📱 Convergence และ Ubuntu Edge: ความพยายามสู่สมาร์ทโฟน Canonical เคยมีความฝันที่จะทำให้ Ubuntu รันได้ทั้งบน PC, Tablet และ Smartphone ผ่านแนวคิด Convergence และเปิดตัวโครงการ Ubuntu Edge สมาร์ทโฟนที่ใช้ Ubuntu โดยระดมทุนผ่าน crowdfunding ได้กว่า 12 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่ถึงเป้าหมาย 32 ล้าน ทำให้โครงการต้องปิดตัวไป อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ยังคงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีอย่าง Samsung DeX ในปัจจุบัน 🖥️ Ubuntu Unity และ Mir: การทดลองที่ไม่รอด Ubuntu เคยพัฒนา Unity Desktop Environment และ Mir Display Server เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ผู้ใช้จำนวนมากไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และสุดท้าย Canonical ต้องยกเลิก Unity ในปี 2017 และกลับมาใช้ GNOME ที่ปรับแต่งใหม่ ส่วน Mir ก็ถูกลดบทบาทไปใช้กับ IoT แทน ไม่ได้ถูกใช้ในเดสก์ท็อปอีกต่อไป 💿 Wubi และ Ubuntu Make: เครื่องมือที่ถูกลืม 💠 Wubi Installer เคยทำให้ผู้ใช้ Windows สามารถติดตั้ง Ubuntu ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขพาร์ทิชัน แต่ถูกยกเลิกเพราะมีปัญหาความเข้ากันได้ 💠 Ubuntu Make เป็น CLI สำหรับติดตั้งเครื่องมือพัฒนา เช่น Atom หรือ VS Code แต่ถูกแทนที่ด้วย Snap ที่ใช้ง่ายกว่าและปลอดภัยกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการที่ถูกยกเลิก ➡️ Ubuntu One (Cloud + Music Store) ➡️ Ubuntu Edge และ Convergence (สมาร์ทโฟน Ubuntu) ➡️ Unity Desktop และ Mir Display Server ➡️ Wubi Installer และ Ubuntu Make ✅ เหตุผลหลักที่ล้มเหลว ➡️ แข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า ➡️ ขาดเงินทุนและการสนับสนุนจากผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ➡️ เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้และนักพัฒนา ⛔ การพัฒนาโครงการใหม่โดยไม่ประเมินตลาด อาจทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ⛔ การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ อาจนำไปสู่การต่อต้านและความล้มเหลว https://itsfoss.com/projects-ditched-by-ubuntu/
    ITSFOSS.COM
    7 Projects Killed by Ubuntu (But I Still Miss Them)
    Over the span of the past 15 years, Ubuntu started several projects. Not all of them are active today. And yet, they live in our memory.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • Linux อาจยังไม่ใช่สำหรับคุณ…ตอนนี้
    บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่า หลายคนที่คุ้นเคยกับระบบปิดอาจรู้สึกแปลกเมื่อเจอกับโลกของ Linux เช่น ไม่ชินกับการที่ระบบไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้, ไม่ชินกับการไม่มีโฆษณา, หรือไม่ชินกับการที่ผู้ใช้มีสิทธิ์ปรับแต่งทุกอย่างได้เอง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า Linux ไม่เหมาะกับคุณ แต่สะท้อนว่าคุณยังอยู่ใน “โซนสบาย” ของระบบเดิม

    ตัวอย่างสัญญาณที่น่าสนใจ
    คุณชอบให้ระบบติดตามและแนะนำสิ่งต่าง ๆ → Linux ไม่ทำแบบนั้น
    คุณพอใจที่จะให้บริษัทบอกว่า “ทำสิ่งนี้ไม่ได้” → Linux เปิดให้คุณลองเองแม้เสี่ยงพัง
    คุณไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะเกินไป → Linux มีตัวเลือกแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ Desktop Environment ไปจนถึง Window Manager
    คุณเชื่อว่า “มาตรฐานอุตสาหกรรม” คือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด → Linux ยึดตามมาตรฐานเปิดจริง ๆ เช่น ODF, SVG, PDF

    มุมมองด้านความปลอดภัยและการควบคุม
    Linux ไม่ได้พยายามเก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อทำ personalization หรือโฆษณาเหมือนระบบปิด แต่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลจริง ๆ รวมถึงการอัปเดตที่ไม่จำเป็นต้องรีบูตเครื่องทุกครั้ง และการพัฒนาแบบเปิดที่ทุกคนสามารถตรวจสอบโค้ดได้ หากคุณรู้สึกไม่สบายใจกับความโปร่งใสและการควบคุมที่มากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า Linux ยังไม่ใช่สำหรับคุณ

    ข้อคิดจากบทความ
    แท้จริงแล้ว บทความนี้ไม่ได้บอกว่า Linux ไม่เหมาะกับใคร แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า “สิ่งที่คุณเคยชิน” อาจทำให้คุณลังเลที่จะลอง Linux หากคุณเปิดใจและอยากควบคุมระบบของตัวเองมากขึ้น Linux อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สัญญาณที่บอกว่า Linux อาจยังไม่เหมาะ
    ชอบให้ระบบติดตามและแนะนำ
    พอใจเมื่อถูกจำกัดสิทธิ์
    ไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะ
    เชื่อว่ามาตรฐานคือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด

    จุดแข็งของ Linux
    ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อโฆษณา
    เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมทุกอย่าง
    ใช้มาตรฐานเปิดจริง ๆ
    อัปเดตโดยไม่ต้องรีบูตบ่อย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ใหม่
    หากไม่ชอบความโปร่งใสและการควบคุม อาจรู้สึกว่า Linux ซับซ้อนเกินไป
    การมีตัวเลือกมากมายอาจทำให้ผู้ใช้มือใหม่สับสน

    https://itsfoss.com/signs-linux-is-not-for-you/
    🐧 Linux อาจยังไม่ใช่สำหรับคุณ…ตอนนี้ บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่า หลายคนที่คุ้นเคยกับระบบปิดอาจรู้สึกแปลกเมื่อเจอกับโลกของ Linux เช่น ไม่ชินกับการที่ระบบไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้, ไม่ชินกับการไม่มีโฆษณา, หรือไม่ชินกับการที่ผู้ใช้มีสิทธิ์ปรับแต่งทุกอย่างได้เอง ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า Linux ไม่เหมาะกับคุณ แต่สะท้อนว่าคุณยังอยู่ใน “โซนสบาย” ของระบบเดิม ⚙️ ตัวอย่างสัญญาณที่น่าสนใจ 💠 คุณชอบให้ระบบติดตามและแนะนำสิ่งต่าง ๆ → Linux ไม่ทำแบบนั้น 💠 คุณพอใจที่จะให้บริษัทบอกว่า “ทำสิ่งนี้ไม่ได้” → Linux เปิดให้คุณลองเองแม้เสี่ยงพัง 💠 คุณไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะเกินไป → Linux มีตัวเลือกแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ Desktop Environment ไปจนถึง Window Manager 💠 คุณเชื่อว่า “มาตรฐานอุตสาหกรรม” คือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด → Linux ยึดตามมาตรฐานเปิดจริง ๆ เช่น ODF, SVG, PDF 🔒 มุมมองด้านความปลอดภัยและการควบคุม Linux ไม่ได้พยายามเก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อทำ personalization หรือโฆษณาเหมือนระบบปิด แต่ให้ผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลจริง ๆ รวมถึงการอัปเดตที่ไม่จำเป็นต้องรีบูตเครื่องทุกครั้ง และการพัฒนาแบบเปิดที่ทุกคนสามารถตรวจสอบโค้ดได้ หากคุณรู้สึกไม่สบายใจกับความโปร่งใสและการควบคุมที่มากเกินไป นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า Linux ยังไม่ใช่สำหรับคุณ 🌍 ข้อคิดจากบทความ แท้จริงแล้ว บทความนี้ไม่ได้บอกว่า Linux ไม่เหมาะกับใคร แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า “สิ่งที่คุณเคยชิน” อาจทำให้คุณลังเลที่จะลอง Linux หากคุณเปิดใจและอยากควบคุมระบบของตัวเองมากขึ้น Linux อาจเป็นคำตอบที่คุณตามหา 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สัญญาณที่บอกว่า Linux อาจยังไม่เหมาะ ➡️ ชอบให้ระบบติดตามและแนะนำ ➡️ พอใจเมื่อถูกจำกัดสิทธิ์ ➡️ ไม่ชอบมีตัวเลือกเยอะ ➡️ เชื่อว่ามาตรฐานคือสิ่งที่บริษัทใหญ่กำหนด ✅ จุดแข็งของ Linux ➡️ ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อโฆษณา ➡️ เปิดให้ผู้ใช้ควบคุมทุกอย่าง ➡️ ใช้มาตรฐานเปิดจริง ๆ ➡️ อัปเดตโดยไม่ต้องรีบูตบ่อย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ใหม่ ⛔ หากไม่ชอบความโปร่งใสและการควบคุม อาจรู้สึกว่า Linux ซับซ้อนเกินไป ⛔ การมีตัวเลือกมากมายอาจทำให้ผู้ใช้มือใหม่สับสน https://itsfoss.com/signs-linux-is-not-for-you/
    ITSFOSS.COM
    15 Signs Linux Is Not For You
    If you recognized yourself in a few of these points, that doesn’t mean Linux isn’t for you. In fact, you can count it as an invitation. It just means you’ve spent a long time in an ecosystem that treats you more like a product than a participant.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
More Results