• สัตยาเคราะห์ : Satyagraha

    เขาเดินไปข้างหน้า แม้ไร้โล่ไร้ดาบ แค่เพียงใจที่กร้าวแกร่ง แรงศรัทธาที่ไม่ดับ เผชิญหน้าความมืดมน ด้วยมือเปล่าอันอ่อนโยน แต่พลังที่ซ่อนในใจ ยิ่งใหญ่เกินจะโค่น

    เสียงภาวนาดังก้องกลางลาน ท่ามกลางความร้าวราน เขายังยืนหยัดมั่นค' แม้กระสุนสามนัดนั้น พรากลมหายใจ แต่แนวคิดของเขา จะไม่มีวันจมหาย

    สัตยาเคราะห์ คือแสงที่ไม่อาจดับ เปลวไฟในหัวใจที่ไม่มีวันหลับ รักและสันติ คือเกราะอันแข็งแรง โค่นเผด็จการ โดยไม่ต้องใช้แรง

    จากอินเดียก้องสู่โลกหล้า เสียงของเขายังกังวาน ศรัทธาไม่เคยสูญ แม้ร่างจะลับจากดวงตา อหิงสาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือพลังอันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนโลกนี้ด้วยรัก แทนที่ความเกลียดชังในใจ

    แม้เธอยิงฉันให้ล้มลง แต่เธอไม่มีวันฆ่าความจริงไปได้ เพราะเมล็ดพันธุ์แห่งเสรีภาพ จะเติบโตอยู่กลางหัวใจคน

    สัตยาเคราะห์ ยังเป็นตำนาน ก้องกังวาน ไม่มีวันเลือนหาย มหาตมา คานธu จากไปด้วยร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเขา ยังอยู่ตลอดไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300859 ม.ค. 2568

    #สัตยาเคราะห์ #มหาตมะคานธี #อหิงสา #พลังแห่งรัก #ต่อต้านความอยุติธรรม #เสรีภาพ #สันติวิธี #อินเดีย #ประวัติศาสตร์ #เสียงของความจริง
    สัตยาเคราะห์ : Satyagraha เขาเดินไปข้างหน้า แม้ไร้โล่ไร้ดาบ แค่เพียงใจที่กร้าวแกร่ง แรงศรัทธาที่ไม่ดับ เผชิญหน้าความมืดมน ด้วยมือเปล่าอันอ่อนโยน แต่พลังที่ซ่อนในใจ ยิ่งใหญ่เกินจะโค่น เสียงภาวนาดังก้องกลางลาน ท่ามกลางความร้าวราน เขายังยืนหยัดมั่นค' แม้กระสุนสามนัดนั้น พรากลมหายใจ แต่แนวคิดของเขา จะไม่มีวันจมหาย สัตยาเคราะห์ คือแสงที่ไม่อาจดับ เปลวไฟในหัวใจที่ไม่มีวันหลับ รักและสันติ คือเกราะอันแข็งแรง โค่นเผด็จการ โดยไม่ต้องใช้แรง จากอินเดียก้องสู่โลกหล้า เสียงของเขายังกังวาน ศรัทธาไม่เคยสูญ แม้ร่างจะลับจากดวงตา อหิงสาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือพลังอันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนโลกนี้ด้วยรัก แทนที่ความเกลียดชังในใจ แม้เธอยิงฉันให้ล้มลง แต่เธอไม่มีวันฆ่าความจริงไปได้ เพราะเมล็ดพันธุ์แห่งเสรีภาพ จะเติบโตอยู่กลางหัวใจคน สัตยาเคราะห์ ยังเป็นตำนาน ก้องกังวาน ไม่มีวันเลือนหาย มหาตมา คานธu จากไปด้วยร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเขา ยังอยู่ตลอดไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300859 ม.ค. 2568 #สัตยาเคราะห์ #มหาตมะคานธี #อหิงสา #พลังแห่งรัก #ต่อต้านความอยุติธรรม #เสรีภาพ #สันติวิธี #อินเดีย #ประวัติศาสตร์ #เสียงของความจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • Part 1 : The Beats and William S. Burroughs

    บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก



    นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา



    แจ็ค คูโรแวค

    แอลลัน กินเบิร์ค

    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์



    สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น



    วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง”

    .

    .

    วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง

    .

    ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945

    .

    หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา

    .

    บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์
    .
    "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..."
    .
    หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค)
    .
    คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ
    .
    โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา
    .
    เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด
    .
    ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก
    .
    .
    to be continued...
    Part 1 : The Beats and William S. Burroughs บีทเจนเนอเรชั่น คือ กลุ่มคนหนุ่ม-สาว ในยุคต้น 1960s ที่เกี่ยวข้องแวะกันด้วยอิทธิพลทางความคิดต้านกระแสสังคม พวกเขายืนอยู่บนเส้นแบ่งของแนวคิดแบบองค์รวมของสังคมอเมริกันอุดมคติแบบ แฟร้งคลิน ดีลาโน่ รูทส์เวลท์ และ สังคมที่นิยมความเป็นปัจเจกบุคคลแบบสุดโต่งในช่วงเวลานั้น ตัวตนขวกเขาถูกแสดงผ่านผลงานการเขียน หลากหลายรูปแบบ เซ็กซ์ ดนตรี และ ศิลปะ พวกเขาเชื่อกันเองว่าในกลุ่มพวกเขามีอยู่เพียงหลักร้อยคน ซึ่งอันที่จริง จำนวนที่แท้จริงของกลุ่ม บีทส์ นั้นไม่ปรากฏเป็นตัวเลขที่ชัดเจนนัก นอแมน เมลเลอร์ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ความมีตัวตนของ บีทส์ กล่าวไว้อย่างสวยงามมากว่า บีทส์นั้นคือผู้กล้าหาญที่จะแสดงถึงความเป็นตัวของตัวเอง ในยุคที่ทุกกระแสสังคมถูกจับจ้องโดยรัฐบาลสหรัฐ พวกเขาคือคนที่อยู่นอกกฏระเบียบของสังคม งานเขียนของพวกเขาสะท้อนสิ่งที่ประชาชนยุคนั้นมองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็น ซึ่งครอบคลุมเรื่องการเมือง วัฒนธรรม และ การแสวงหาทางจิตวิญญาณ โดยที่พวกเขานั้นไม่อิงแอบกับตรรกะภายนอก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทุนนิยมเรื่องสังคมนิยม แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง ผลงานของพวกเขาจึงเป็นดั่งการเบิกทางให้กับผู้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆในยุคต่อๆมา แจ็ค คูโรแวค แอลลัน กินเบิร์ค วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ สามศาสดาแถวหน้า บีทเจนเนอเรชั่น วิลเลี่ยม เอส. เบอร์โรส์ “อัจฉริยะ รุนแรง บ้าคลั่ง” . . วิลเลี่ยม “บิล” เอส. เบอร์โรส์ อายุมากกว่าเพื่อนอีกสองคน และ ผลงานของเขาประสบความสำเร็จช้ากว่าอีกสองคนมาก แต่เป็นการประสบความสำเร็จที่ยาวนานและยั่งยืนที่สุด บิล เกิดในปี ค.ศ. 1914 ในเซนหลุยส์ มิสซูรี่ ปู่ของเขาร่ำรวยจากกว่าเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบวกเลขเครื่องแรกของโลก แม้ครอบครัวของบิลจะไม่รวยเท่ากับรุ่นปู่แต่บอกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมากๆครอบครัวหนึ่งในเวลานั้น เมื่ออายุได้ 15 ปี ตามกระแสในยุคนั้น ครอบครัวส่งบิลได้เรียนในโรงเรียน “บ้านไร่” โรงเรียนประจำที่อยู่ในรัฐตะวันตกอเมริกา ซึ่งเขาถูกส่งไปอยู่ถึงรัฐนิวแม็กซิโก - โรงเรียนประจำลอสอลาโมสแรนช์สกูล เนื่องจากบิลเป็นคนที่เกลียดกิจกรรมภายนอกห้องเรียนอยู่เป็นทุนเดิน เขาแทบจะเข้ากับที่นั่นไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่กีฬาชนิดหนึ่งของโรงเรียนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือ กีฬายิงปืนนั่นเอง . ที่นั่นบิลได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสารเสพติดเป็นครั้งแรกนั่นก็คือ คลอรอลไฮเดรต ยาระงับประสาท และเป็นที่รู้กันว่า บิลเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการเสพเกินขนาด พอเรียนต่อไม่ได้จึงต้องย้ายไปเข้าโรงเรียนเอกชนเพื่อเก็บเกรดไว้ไปต่อที่ฮาร์วาร์ด ซึ่งก็ทันตอนอายุ 18 พอดี พอเข้าไปได้ บิลก็ไม่ได้สนใจเล่าเรียนเท่าไหร่ แต่มักพบว่าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเขาได้อ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างจุใจ พอเรียนจบตอนอายุ 21 ปีพอดี บิลขอพ่อแม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วยุโรป และ ก็ได้เมียเป็นแม่หม้าย ชาวยิวอายุ 35 ปี จาก ยูโกสลาเวีย นัยว่าตัวเขานั้นอยากเป็นฮีโร่ ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งจากลัทธิเผด็จการที่เริ่มก่อตัวในยุโรปในขณะนั้น ซึ่งก็อยู่กินกับเขาเกือบ 9 ปีในนิวยอร์ค กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945 . หลังจากกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บิลเลือกจะที่กลับไปสู่แวดวงการศึกษาโดยเข้าเรียนในระดับปริญญาโทอีกครั้งที่ ฮาร์วาร์ด โดยแรงจูงใจในครั้งนี้คือการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชายของเขา เคลส์ แอลวินส์ ที่นั่นเอง ทั้งสองคนได้ร่วมกันผลิตงานเขียนเสียดสี เกี่้ยวกับการจมลงของเรือไททานิคโดยใช้ชื่อว่า "แสงสะท้อนสุดท้ายของยามพลบค่ำ" ซึ่งพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการหาสำนักพิมพ์ที่จะรับซื้องานเขียนดังกล่าวได้ โดยนิตยสาร Esquire ตอบกลับมาว่า มันไม่มีเนื้อหาอะไรลึกซึ้งพอที่จะให้พวกเขานำไปตีพิมพ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม งานเขียนนี้กลับมาปรากฏในนิยายเรื่อง "โนวา เอ็กซ์เพรส"ของบิลในเวลาต่อมา . บิลเลือกที่จะทิ้งการเรียนปริญญาโทไปแบบครึ่งๆกลางๆ และ กลับไปอยู่ที่ เซนหลุยส์ มิสซูรี่ เพื่อจะไปเป็นลูกศิษย์ของ อัลเฟรด คอซิบสกี้ นักอรรถศาสตร์ ผู้เสนอแนวคิดว่า "คำพูดต่างๆนั้นสูญเสียความหมายที่แท้จริง" และ จากนี้ต่อไปตลอดชีวิต บิลก็ทุ่มเทความคิดให้กับการค้นหาความหมายที่แท้จริงของคำศัพท์แต่ละคำที่เขาเล็งเห็นว่าถูกใช้อย่างผิดๆโดยมนุษย์ . "ผมขอเสนอทฤษฎีอย่างกว้างๆว่า คำศัพท์ของมนุษย์เราจริงๆแล้วคือ ไวรัส แต่มนุษย์เราจะไม่ได้ทราบว่ามันเป็นไวรัส ก็เพราะว่าเราเป็นพาหะที่ค่อนข้างเสถียร ซึ่ง ไอ้ไวรัสนี่ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจาก ทำสำเนาให้ตัวเอง และส่งต่อจากมนุษย์คนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งหรือหลายๆคน..." . หลังเหตุการณ์ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ บิลถูกหมายเกณฑ์ให้เป็นทหาร แต่แม่ของบิลช่วยเขาหลีกเลี่ยงการเป็นทหารโดยการส่งเขาเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช และให้การรับรองว่าเขาป่วยทางจิตและไม่เหมาะสมกับการรับใช้ชาติ ช่วงเวลาดังกล่าว บิลเดินทางออกจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ สู่เมืองชิคาโก้ และหาเลี้ยงชีพโดยการรับจ้างกำจัดสัตว์ไม่พึงประสงค์ (อาชีพนี้ทำให้เขาได้เข้าไปสัมผัสมุมมืดในสังคมเมืองใหญ่ ที่เขาเคยแต่เพียงอ่านจากในหนังสือเท่านั้น พอเป็นแบบนี้มันทำให้บิลมีความรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพบเจอนั้นคือของแท้) นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากทางบ้านเป็นค่ากินอยู่อีกเดือนละ 200 เหรียญ เป็นอยู่อย่างนี้อีกประมาณแปดเดือนเศษ กระทั่งเขาได้เจอเพื่อนเก่าจาก เซนหลุยส์ มิสซูรี่ นั่นก็คือ ลูเชี่ยน คารร์ และ เดวิท แคมเมอเรอร์ ที่ชิคาโก้ (ในเวลาต่อมา คารร์ก็ปลิดชีพ แคมเมอเรอร์ ที่นิวยอร์ค) . คารร์ มาแวะเพียงชั่วคราว และ มุ่งหน้าสู่นิวยอร์คเพื่อจะกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ บิล กับ แคมเมอเรอร์ก็ตามไปสมทบในที่สุด ซึ่งที่นี่เองเป็นที่ ที่ บิลได้พบกับเพื่อนที่จะข้องเกี่ยวกับตัวเขาเองไปอีกครึ่งศตวรรษ เขาคนนั้นคือ แอลลัน กินเบิร์ค - และ แอลลันก็แนะนำพวกเขาให้รู้จักกับ แจ็ค คูโรแวค , อีดี้ ปาร์คเกอร์ (แฟนสาวของแจ็ค) และ โจแอน โวมเมอร์ (ภรรยาของบิลในเวลาต่อมา) แอลลัน กับ แจ็ค ร่วมกันผลิตงานเขียนด้วยกันเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า "และฮิปโปโดนต้มในบ่อของมันเอง" ซึ่งก็ไม่ได้ถูกสำนักพิมพ์ใดๆนำไปตีพิมพ์ ขณะเดียวกัน บิลก็เริ่มเบนเข็มสู่อีกช่าวของชีวิต เขาเริ่มเป็นแมงดาข้างถนนย่านไทม์สแควร์ ขายของอีหยิบ ขายมอร์ฟีนแบบเข็มฉีดเข้าเส้น และ ปล้นจี้คนด้วยปืนพกในสถานีรถไฟใต้ดินในยามค่ำคืน คนที่เป็นผู้ชักชวนบิลสู่เส้นทางสายนี้คือ เฮอเบิร์ท ฮังค์คี ซึ่งอยู่ในสายอาชีพ ปล้นชิงทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย มาแต่เดิม อีกด้านหนึ่ง บิลก็แนะนำ เฮอเบิร์ทให้รู้กจักกับพวกกลุ่มเพื่อนของเขาใน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ รวมกลุ่มกันอยู่แบบชุมชนเล็กในอพาร์ทเม็นท์ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย นั่นแหละ . โจแอน โวมเมอร์ นักศึกษาสาวคณะวารสารศาสตร์ เริ่มคบหาเชิงชู้สาวกับ บิล ทั้งๆที่ใครๆในกลุ่มก็ทราบดีว่าบิลมีรสนิยมทางเพศแบบโฮโมเซ็กซ์ชั่ล แต่เธอให้เห็นผลว่า "บิลเก่งเรื่องบนเตียง แบบที่แมงดาควรเป็น" - สองคนนี้อยู่กินกันแบบสามีภรรยา และเสพยาหนักทั้งคู่ กระทั่งวันหนึ่งก็ถูกตำรวจบุกจับถึงอพาร์ทเม็นท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สองคนยังหาเวลาไปเขียนบทละครสั้น เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศ อยู่ด้วยกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งในเวลาต่อมา บิลก็เอาไปยัดใส่ในวรรณกรรมของเขาทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ไม่นานหลังจากห้วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัย โวมเมอร์กับบิล ร่วมกันซื้อไร่ขนาด 99 เอเคอร์ ในเมือง นิวเวเวอรี่ รัฐเท็กซัส และ โวมเมอร์ก็ให้กำเนิดลูกชายของบิลหนึ่งคน สองผัวเมียมองหาธุรกิจทำและในที่สุดก็ชักชวน ฮังค์คี ให้มาอยู่ด้วยกันที่ไร่ และไม่นานเกินรอผลผลิตหลักจากไร่ของสองผัวเมีย คือ กัญชา . เพื่อนที่เริ่มมีชื่อเสียงมาก ก็ได้แวะเวียนมาเยี่ยมสองผัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น อัลแลน รวมไปถึง นีล แคซซิดี้ (คู่ขาเพศชายของอัลแลน) นีลทำหน้าที่หลักคือขนกัญชาของบิลไปขายในนิวยอร์ค ส่วน อัลแลนส่งกัญชาของสองผัวเมียไปขายผ่านเส้นสายของเหล่าพาณิชย์นาวี ที่เขามีแต่เดิม เป็นแผนธุรกิจฟังดูดีใช่ไหม? แต่เอาจริง แม่งเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะค่าใช้จ่ายของแต่ละคนมันสูงมาก เนื่องจาก สองผัวเมียนักเสพ ต้องคอยส่งส่วยให้ตำรวจท้องถิ่นตลอด ราคาขายส่งที่ควรจะเป็นมันถีบสูงไปถึงร้อยเหรียญ ในที่สุดสองผัวเมียและอีกหนึ่งนักปลูกเพื่อนผัว ก็ต้องระเห็ดไปอยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ แต่แค่พักเดียวยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงจัง ตำรวจก็เข้าจับกุมพวกเขาถึงบ้าน ซ้ำร้ายนอกจากกัญชาที่ปลูกไว้เสพด้วย ขายด้วยแล้ว ก็เจอยาเสพติดอีกหลายประเภทในบ้านของสองผัวเมีย แต่โชคดีพวกนี้รู้จักทนายเก่ง ทนายก็ทำให้คดีหลุดด้วยช่องโหว่ทางกฏหมาย แต่ก็แนะนำว่า สองผัวเมียควรออกไปอยู่นอกประเทศสักพักจะเป็นการดีที่สุด . ในปี 1950 บิลเขียนจดหมายหาอัลแลน จากที่ประเทศแม็กซิโก แจ้งว่าเขาเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ใกล้เสร็จแล้ว หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ไอ้ขี้ยา" - Junkie. ในวันที่ 6 กันยายน ปีเดียวกันนั้นเอง เล่ากันว่า บิลและโวมเมอร์กำลังเมากันได้ที่ จากการเสพและดื่ม โวมเมอร์เริ่มต้นก่อนด้วยการท้าทายฝีมือการแม่นปืนของบิล ซึ่งเธอเอาแก้วน้ำวางไว้เหนือหัว และ บิลก็ชักปืนสั้นขึ้นยิงแก้วนั้น แต่เล็งพลาด กระสุนเลยพุ่งเข้ากลางหน้าผากโวมเมอร์ ปลิดชีพภรรยาคู่เสพทันที และ ปิดบทบาทสามี ที่ บิลไม่ค่อยเต็มใจนัก . . to be continued...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอร่วมแสดงความยินดีกับการประกาศใช้ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ด้วยครับ 💜💙💚💛🧡❤️💖

    ผมขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเลยว่า ตัวเองเป็นคนหนึ่งที่เกลียดพวก Woke สุดโต่งและนโยบาย DEI ของอเมริกาในสมัยของไบเดนมาก ๆ จากการรณรงค์ให้สิทธิ์ให้เสียงให้พื้นที่กับชนชายขอบและผู้มีความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติและเพศวิถี กลับกลายเป็นความเละเทะในรูปการกดหัว "ชายแทร่" และการยัดเยียดความแตกต่างหลากหลายแบบกระแทกหน้าในสื่อบันเทิงกระแสหลัก (Star Wars กูป่นปี้หมดละอิh่า) จน ฯพณฯ ทรัมป์กลับมาเป็น ปธน. USA อีกรอบแล้วประกาศยกเลิกนโยบาย DEI ทั้งหมดนี่แหละ ผมนี่น้ำตาไหลพราก ๆ แทนอเมริกันชนเลย

    แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังเคารพในสิทธิแห่งการแสดงตัวตนของผู้มีความแตกต่างหลากหลายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะทางเพศวิถี การจะนิยามตัวคุณเองว่าเป็นเพศอะไร หรือจะรักจะชอบกับเพศอะไร เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับและควรจะแสดงออกได้โดยไม่ต้องอับอายหรือเกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่แน่ละว่าตราบใดที่มันไม่ผิดกฎหมาย (เช่น เพโดฯ) หรือไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แบบที่พวก Woke สุดโต่งทำ อะไรที่สุดโต่ง ตึงไป หย่อนไป ไม่เคยนำไปสู่ความดีงาม ทุกอย่างควรอยู่ในความพอดี แบบไพ่ Temperance แหละครับ

    อนึ่ง ไพ่ในภาพประกอบ ผมหยิบยืมมาจากชุด 'Sakura Oracle' ในสังกัด สนพ.คชานันท์ ทาโรต์ เป็นใบที่ผมมองว่าเหมาะสมสำหรับวาระอันน่ายินดีนี้อย่างยิ่ง
    ขอร่วมแสดงความยินดีกับการประกาศใช้ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ด้วยครับ 💜💙💚💛🧡❤️💖 ผมขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเลยว่า ตัวเองเป็นคนหนึ่งที่เกลียดพวก Woke สุดโต่งและนโยบาย DEI ของอเมริกาในสมัยของไบเดนมาก ๆ จากการรณรงค์ให้สิทธิ์ให้เสียงให้พื้นที่กับชนชายขอบและผู้มีความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติและเพศวิถี กลับกลายเป็นความเละเทะในรูปการกดหัว "ชายแทร่" และการยัดเยียดความแตกต่างหลากหลายแบบกระแทกหน้าในสื่อบันเทิงกระแสหลัก (Star Wars กูป่นปี้หมดละอิh่า) จน ฯพณฯ ทรัมป์กลับมาเป็น ปธน. USA อีกรอบแล้วประกาศยกเลิกนโยบาย DEI ทั้งหมดนี่แหละ ผมนี่น้ำตาไหลพราก ๆ แทนอเมริกันชนเลย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังเคารพในสิทธิแห่งการแสดงตัวตนของผู้มีความแตกต่างหลากหลายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะทางเพศวิถี การจะนิยามตัวคุณเองว่าเป็นเพศอะไร หรือจะรักจะชอบกับเพศอะไร เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับและควรจะแสดงออกได้โดยไม่ต้องอับอายหรือเกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่แน่ละว่าตราบใดที่มันไม่ผิดกฎหมาย (เช่น เพโดฯ) หรือไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แบบที่พวก Woke สุดโต่งทำ อะไรที่สุดโต่ง ตึงไป หย่อนไป ไม่เคยนำไปสู่ความดีงาม ทุกอย่างควรอยู่ในความพอดี แบบไพ่ Temperance แหละครับ อนึ่ง ไพ่ในภาพประกอบ ผมหยิบยืมมาจากชุด 'Sakura Oracle' ในสังกัด สนพ.คชานันท์ ทาโรต์ เป็นใบที่ผมมองว่าเหมาะสมสำหรับวาระอันน่ายินดีนี้อย่างยิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในงานประชุมทางเศรษฐกิจ World Economic Forum (WEF) "เปโดร ซานเชซ" นายกรัฐมนตรีสเปนเรียกร้องให้ทุกคนควรเปิดใช้โปรไฟล์ตัวตนจริงบนโซเชียลมีเดีย


    “ผมเรียกร้องให้ยกเลิกการไม่เปิดเผยตัวตนบนโซเชียลมีเดีย ตอนนี้เราปล่อยให้ผู้คนสามารถท่องไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างอิสระโดยไม่ได้ใช้โปรไฟล์จริงของพวกเขา การกระทำเช่นนี้จะนำไปสู่ข้อมูลเท็จ คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง และการคุกคามทางไซเบอร์”
    ในงานประชุมทางเศรษฐกิจ World Economic Forum (WEF) "เปโดร ซานเชซ" นายกรัฐมนตรีสเปนเรียกร้องให้ทุกคนควรเปิดใช้โปรไฟล์ตัวตนจริงบนโซเชียลมีเดีย “ผมเรียกร้องให้ยกเลิกการไม่เปิดเผยตัวตนบนโซเชียลมีเดีย ตอนนี้เราปล่อยให้ผู้คนสามารถท่องไปบนโซเชียลเน็ตเวิร์กได้อย่างอิสระโดยไม่ได้ใช้โปรไฟล์จริงของพวกเขา การกระทำเช่นนี้จะนำไปสู่ข้อมูลเท็จ คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง และการคุกคามทางไซเบอร์”
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 29 0 รีวิว
  • คำถามนี้ชี้ให้เห็นว่า การแผ่เมตตาอย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบและเป็นสุขก่อน และไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นสุขหรือเมตตาได้ทันทีหากยังมีโทสะหรือความเกลียดชังตกค้างอยู่ในใจ คุณอาจลองพิจารณาและปรับกระบวนการแผ่เมตตาให้ถูกต้องดังนี้:


    ---

    1. เริ่มต้นจากการ "รู้ตัวเอง"

    ก่อนจะแผ่เมตตา ให้ถามตัวเองก่อนว่า ใจเราสงบและเป็นสุขหรือยัง?

    หากใจยังร้อน ยังโกรธ หรือยังมีความไม่พอใจอยู่ อย่าเพิ่งพยายามแผ่เมตตา เพราะนั่นอาจกลายเป็นการ "แผ่ความร้อน" หรือ "แผ่ความทุกข์" ออกไปโดยไม่รู้ตัว


    แทนที่จะแผ่เมตตา ให้เริ่มด้วยการพิจารณา ความรู้สึกของตัวเอง ก่อน เช่น:

    ทำไมเราถึงโกรธหรือเกลียด?

    เรารู้สึกอย่างไรเมื่อโกรธ? ทุกข์ไหม?

    เมื่อเข้าใจว่าความโกรธทำให้เราทุกข์ เราจะเริ่มมีแรงจูงใจที่จะ "ปล่อยวาง" ความโกรธนั้น




    ---

    2. สร้างสุขในใจเป็นพื้นฐาน

    ก่อนแผ่เมตตา ให้ทำจิตใจตัวเองให้สงบและเป็นสุขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น:

    การนั่งสมาธิและกำหนดลมหายใจเข้า-ออก

    การนึกถึงสิ่งดีๆ หรือคนที่เรารักและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ

    การระลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้ใจสงบและมั่นคง


    เมื่อจิตใจเริ่มสงบและเป็นสุข คุณจะรู้สึก "พร้อมที่จะแผ่เมตตา" อย่างแท้จริง



    ---

    3. การแผ่เมตตาอย่างถูกต้อง

    การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การส่งความสุขในใจออกไป ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงการท่องบทสวดมนต์แบบกลไก

    หากยังมีความรู้สึกเกลียดชังอยู่ การแผ่เมตตาแบบเจาะจง (เช่น แผ่ให้คนที่เราเกลียด) อาจทำได้ยาก แนะนำให้เริ่มจาก:

    1. แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน:

    อธิษฐานขอให้ตัวเองมีความสุข ปราศจากทุกข์ และหลุดพ้นจากความโกรธ



    2. แผ่เมตตาให้คนที่เรารัก:

    นึกถึงคนที่เรารักและรู้สึกดีด้วย เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แล้วส่งความปรารถนาดีให้พวกเขา



    3. แผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดเป็นลำดับสุดท้าย:

    เมื่อใจเริ่มสงบและเบาลง ค่อยลองแผ่เมตตาให้คนที่เรามีปัญหาด้วย โดยไม่ต้องบังคับใจตัวเอง






    ---

    4. ฝึก "ปล่อยวาง" แทนการบังคับให้เมตตา

    หากยังแผ่เมตตาไม่ได้ ให้เริ่มด้วยการ "ไม่ยึดติด" กับความเกลียดก่อน

    แค่รู้ว่าเรายังเกลียดเขาอยู่ก็พอ ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้เมตตา

    ค่อยๆ ฝึกปล่อยวางความคิดลบ และบอกตัวเองว่า "การเกลียดเขาไม่ได้ทำให้เราเป็นสุข"




    ---

    5. สังเกตผลของการแผ่เมตตา

    การแผ่เมตตาที่ถูกต้องจะทำให้ ใจเราสงบและเบาสบายขึ้น

    หากแผ่เมตตาแล้วรู้สึกหนักใจหรือเกลียดมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะใจเรายังไม่พร้อม ให้กลับมาสงบจิตใจตัวเองก่อน


    เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ความโกรธหรือเกลียดที่มีต่อคนอื่นจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยไม่ต้องเร่งรัด



    ---

    สรุป: แผ่เมตตาอย่างมีสุขเป็นทุน

    การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การสร้างสุขในใจตัวเอง

    อย่าฝืนแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดในทันที แต่ให้เริ่มจากการทำใจสงบ และแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน

    เมื่อทำบ่อยๆ ใจจะเริ่มปล่อยวางและรู้สึกเมตตาต่อผู้อื่นได้เองตามธรรมชาติ.


    คำถามนี้ชี้ให้เห็นว่า การแผ่เมตตาอย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบและเป็นสุขก่อน และไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นสุขหรือเมตตาได้ทันทีหากยังมีโทสะหรือความเกลียดชังตกค้างอยู่ในใจ คุณอาจลองพิจารณาและปรับกระบวนการแผ่เมตตาให้ถูกต้องดังนี้: --- 1. เริ่มต้นจากการ "รู้ตัวเอง" ก่อนจะแผ่เมตตา ให้ถามตัวเองก่อนว่า ใจเราสงบและเป็นสุขหรือยัง? หากใจยังร้อน ยังโกรธ หรือยังมีความไม่พอใจอยู่ อย่าเพิ่งพยายามแผ่เมตตา เพราะนั่นอาจกลายเป็นการ "แผ่ความร้อน" หรือ "แผ่ความทุกข์" ออกไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะแผ่เมตตา ให้เริ่มด้วยการพิจารณา ความรู้สึกของตัวเอง ก่อน เช่น: ทำไมเราถึงโกรธหรือเกลียด? เรารู้สึกอย่างไรเมื่อโกรธ? ทุกข์ไหม? เมื่อเข้าใจว่าความโกรธทำให้เราทุกข์ เราจะเริ่มมีแรงจูงใจที่จะ "ปล่อยวาง" ความโกรธนั้น --- 2. สร้างสุขในใจเป็นพื้นฐาน ก่อนแผ่เมตตา ให้ทำจิตใจตัวเองให้สงบและเป็นสุขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น: การนั่งสมาธิและกำหนดลมหายใจเข้า-ออก การนึกถึงสิ่งดีๆ หรือคนที่เรารักและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ การระลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้ใจสงบและมั่นคง เมื่อจิตใจเริ่มสงบและเป็นสุข คุณจะรู้สึก "พร้อมที่จะแผ่เมตตา" อย่างแท้จริง --- 3. การแผ่เมตตาอย่างถูกต้อง การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การส่งความสุขในใจออกไป ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงการท่องบทสวดมนต์แบบกลไก หากยังมีความรู้สึกเกลียดชังอยู่ การแผ่เมตตาแบบเจาะจง (เช่น แผ่ให้คนที่เราเกลียด) อาจทำได้ยาก แนะนำให้เริ่มจาก: 1. แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน: อธิษฐานขอให้ตัวเองมีความสุข ปราศจากทุกข์ และหลุดพ้นจากความโกรธ 2. แผ่เมตตาให้คนที่เรารัก: นึกถึงคนที่เรารักและรู้สึกดีด้วย เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แล้วส่งความปรารถนาดีให้พวกเขา 3. แผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดเป็นลำดับสุดท้าย: เมื่อใจเริ่มสงบและเบาลง ค่อยลองแผ่เมตตาให้คนที่เรามีปัญหาด้วย โดยไม่ต้องบังคับใจตัวเอง --- 4. ฝึก "ปล่อยวาง" แทนการบังคับให้เมตตา หากยังแผ่เมตตาไม่ได้ ให้เริ่มด้วยการ "ไม่ยึดติด" กับความเกลียดก่อน แค่รู้ว่าเรายังเกลียดเขาอยู่ก็พอ ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้เมตตา ค่อยๆ ฝึกปล่อยวางความคิดลบ และบอกตัวเองว่า "การเกลียดเขาไม่ได้ทำให้เราเป็นสุข" --- 5. สังเกตผลของการแผ่เมตตา การแผ่เมตตาที่ถูกต้องจะทำให้ ใจเราสงบและเบาสบายขึ้น หากแผ่เมตตาแล้วรู้สึกหนักใจหรือเกลียดมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะใจเรายังไม่พร้อม ให้กลับมาสงบจิตใจตัวเองก่อน เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ความโกรธหรือเกลียดที่มีต่อคนอื่นจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยไม่ต้องเร่งรัด --- สรุป: แผ่เมตตาอย่างมีสุขเป็นทุน การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การสร้างสุขในใจตัวเอง อย่าฝืนแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดในทันที แต่ให้เริ่มจากการทำใจสงบ และแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน เมื่อทำบ่อยๆ ใจจะเริ่มปล่อยวางและรู้สึกเมตตาต่อผู้อื่นได้เองตามธรรมชาติ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 87
    จงรักคนที่เค้ารักเรา เห็นคุณค่าในตัวของเรา และจงอย่าได้สนใจใส่ใจในคนที่เค้าเกลียดเรา ด้อยค่าในตัวของเราเลย
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 87 จงรักคนที่เค้ารักเรา เห็นคุณค่าในตัวของเรา และจงอย่าได้สนใจใส่ใจในคนที่เค้าเกลียดเรา ด้อยค่าในตัวของเราเลย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทกลอนคนดี(ที่ไม่เคยได้ดี)ฉบับเฮฮา
    คนดี นั้นหายาก ต้องลำบาก พยายาม
    ต้องอดทน ฝืนกลั้นทน ทุกสิ่งอย่าง น่าสงสาร
    ถูกด่า โดนเกลียดชัง เพราะสังคม ไม่ต้องการ
    โอ้อนิจจา น่ารันทด เกิดใหม่อีก อย่าได้เป็น คนดีเลย

    คนดีแท้ อยู่ที่ไหน ที่ๆใจ เฝ้าตามหา
    ลำบาก และลำบน ดั้นด้นมา จากที่แสนไกล
    เพื่อที่จะ ได้ยลโฉม คนดีแท้ ไม่เฉไฉ
    นับนาที ที่ใจใฝ่หา โอ้คนดีแท้ ในโลกนี้ แทบที่จะ ไม่มีเลย

    เหมือนดั่งฝัน ลืมตาตื่น จากความจริง
    ทุกสิ่งอย่าง อนิจจัง ไม่ยั่งยืน
    โลกนี้ หรือโลกหน้า ไม่ว่าโลกไหน ก็ต้องกล้ำกลืน(ฝืนและทน)
    อยากได้ดี ต้องทนทำดี หมั่นทำดีไว้ ทุกวันทุกคืน

    สุดท้ายนี้ ขอฝากโลกไว้ ให้ได้จารึกชื่อ เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล เอย
    บทกลอนคนดี(ที่ไม่เคยได้ดี)ฉบับเฮฮา คนดี นั้นหายาก ต้องลำบาก พยายาม ต้องอดทน ฝืนกลั้นทน ทุกสิ่งอย่าง น่าสงสาร ถูกด่า โดนเกลียดชัง เพราะสังคม ไม่ต้องการ โอ้อนิจจา น่ารันทด เกิดใหม่อีก อย่าได้เป็น คนดีเลย คนดีแท้ อยู่ที่ไหน ที่ๆใจ เฝ้าตามหา ลำบาก และลำบน ดั้นด้นมา จากที่แสนไกล เพื่อที่จะ ได้ยลโฉม คนดีแท้ ไม่เฉไฉ นับนาที ที่ใจใฝ่หา โอ้คนดีแท้ ในโลกนี้ แทบที่จะ ไม่มีเลย เหมือนดั่งฝัน ลืมตาตื่น จากความจริง ทุกสิ่งอย่าง อนิจจัง ไม่ยั่งยืน โลกนี้ หรือโลกหน้า ไม่ว่าโลกไหน ก็ต้องกล้ำกลืน(ฝืนและทน) อยากได้ดี ต้องทนทำดี หมั่นทำดีไว้ ทุกวันทุกคืน สุดท้ายนี้ ขอฝากโลกไว้ ให้ได้จารึกชื่อ เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล เอย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 5
    อย่าไปให้ค่าคนที่มันไม่ให้ค่าเรา จำเอาไว้ อย่าไปให้ค่าคนที่มันไม่ให้ค่าเรา
    โลกนี้มันก็แค่มายา แต่โลกหน้าน่ะของจริง
    ผู้คนส่วนใหญ่มันเกลียดชังในตัวตนของฉัน แต่พวกมันกลับหารู้ไม่ว่าพวกมันนั้นเหี้ยชั่วเลวยิ่งกว่าฉัน
    ฉันนี่แหล่ะคือตราชั่งแห่งจิตวิญญาณของทุกดวงวิญญาณ
    ใครที่เกลียดฉันนั้น พวกมันเป็นคนชั่วทั้งนั้น
    ส่วนใครที่รักฉันเข้าใจฉัน ล้วนเป็นคนที่ดีทั้งนั้น
    นี่คือหนึ่งในความสามารถพิเศษของฉัน กระชากทุกหน้ากากดวงวิญญาณของทุกดวงวิญญาณ
    ทำดีย่อมต้องได้ดีสักวัน ทำชั่วมันต้องย่อมได้ชั่วอย่างแน่นอน
    ใครทำอย่างไรก็ย่อมได้อย่างนั้นอย่างแน่นอน
    ตัวตนที่แท้จริงของฉันนั้นแข็งแกร่ง ถ้าหากว่ามันไม่จริง พวกมันคงไม่กล้าที่จะทำลายฉันทางอ้อม ไม่กล้าทำลายฉันตรงๆ
    ใครที่มันกล้าหาเรื่องฉัน มันต้องตายลงนรกกันทุกดวงวิญญาณ
    ฉันเตือนมามากมายหลายครั้งแล้ว และมันถึงเวลาที่ฉันจะแก้แค้นลงทัณฑ์พวกมันกันเสียที เพราะว่าฉันเตือนมามากพอแล้ว
    สักวันมันจะได้ลงนรกกันทุกดวงวิญญาณกันอย่างแน่นอน
    คำไหนคำนั้น ฉันจะอาฆาตทุกดวงวิญญาณให้ถึงที่สุดแห่งจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
    สักวันมันคงจะล่มสลายลง โลกที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยเบื้องบนเพราะความชั่วของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ สักวันมนุษย์จักต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เพราะความโอหังของพวกมัน ที่ทำลายโลกใบนี้ สักวันคำทำนายจักเป็นจริงอย่างแน่นอน
    จากความเคียดแค้นสุดจิตวิญญาณของฉัน ที่อดทนมามากเกินพอกับสิ่งที่พวกมันได้ทำกับฉัน
    ตายลงนรกให้หมดทุกดวงวิญญาณ
    แดนเจอร์
    1 ใน 6 ผู้เสาหลักผู้พิทักษ์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    ป.ล.ในโลกเหี้ยๆใบนี้ สักวันมันจักล่มสลายลงอย่างแน่นอน
    ไอ้อีเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แสนโสมมจักสูญสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน
    นี่คือคำทำนายของฉัน...
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 5 อย่าไปให้ค่าคนที่มันไม่ให้ค่าเรา จำเอาไว้ อย่าไปให้ค่าคนที่มันไม่ให้ค่าเรา โลกนี้มันก็แค่มายา แต่โลกหน้าน่ะของจริง ผู้คนส่วนใหญ่มันเกลียดชังในตัวตนของฉัน แต่พวกมันกลับหารู้ไม่ว่าพวกมันนั้นเหี้ยชั่วเลวยิ่งกว่าฉัน ฉันนี่แหล่ะคือตราชั่งแห่งจิตวิญญาณของทุกดวงวิญญาณ ใครที่เกลียดฉันนั้น พวกมันเป็นคนชั่วทั้งนั้น ส่วนใครที่รักฉันเข้าใจฉัน ล้วนเป็นคนที่ดีทั้งนั้น นี่คือหนึ่งในความสามารถพิเศษของฉัน กระชากทุกหน้ากากดวงวิญญาณของทุกดวงวิญญาณ ทำดีย่อมต้องได้ดีสักวัน ทำชั่วมันต้องย่อมได้ชั่วอย่างแน่นอน ใครทำอย่างไรก็ย่อมได้อย่างนั้นอย่างแน่นอน ตัวตนที่แท้จริงของฉันนั้นแข็งแกร่ง ถ้าหากว่ามันไม่จริง พวกมันคงไม่กล้าที่จะทำลายฉันทางอ้อม ไม่กล้าทำลายฉันตรงๆ ใครที่มันกล้าหาเรื่องฉัน มันต้องตายลงนรกกันทุกดวงวิญญาณ ฉันเตือนมามากมายหลายครั้งแล้ว และมันถึงเวลาที่ฉันจะแก้แค้นลงทัณฑ์พวกมันกันเสียที เพราะว่าฉันเตือนมามากพอแล้ว สักวันมันจะได้ลงนรกกันทุกดวงวิญญาณกันอย่างแน่นอน คำไหนคำนั้น ฉันจะอาฆาตทุกดวงวิญญาณให้ถึงที่สุดแห่งจิตวิญญาณอย่างแน่นอน สักวันมันคงจะล่มสลายลง โลกที่ถูกลงทัณฑ์ด้วยเบื้องบนเพราะความชั่วของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ สักวันมนุษย์จักต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เพราะความโอหังของพวกมัน ที่ทำลายโลกใบนี้ สักวันคำทำนายจักเป็นจริงอย่างแน่นอน จากความเคียดแค้นสุดจิตวิญญาณของฉัน ที่อดทนมามากเกินพอกับสิ่งที่พวกมันได้ทำกับฉัน ตายลงนรกให้หมดทุกดวงวิญญาณ แดนเจอร์ 1 ใน 6 ผู้เสาหลักผู้พิทักษ์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ป.ล.ในโลกเหี้ยๆใบนี้ สักวันมันจักล่มสลายลงอย่างแน่นอน ไอ้อีเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แสนโสมมจักสูญสิ้นทั้งเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน นี่คือคำทำนายของฉัน...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 2
    ฉันเกลียดมนุษย์...เพราะมนุษย์มันชั่ว...
    ไม่เหมือนเทพมาร...พวกเค้าซื่อสัตย์...จริงใจ...
    คนที่มีจิตเป็นเทพมารนี้...มีน้อยมาก...ใกล้ที่จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ...
    คนดีหายาก...และก็ตายง่าย...
    ไม่เหมือนคนชั่ว...มีเกลื่อนกลาด...หาง่าย...ตายยาก...
    กรรมใดใครก่อ...กรรมนั้นคืนสนอง...ไม่มีผู้ใดหลีกหนีพ้นกรรมได้...ไม่มีเลย...
    ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย...แต่ทำไมถึงยังมีคนที่คิดว่าตนเองนั้นไม่มีวันตาย...อยู่ยงคงกระพัน...
    ก็เพราะว่ามันลืม...ลืมไปว่าสักวันตนเองก็ต้องตายสักวัน...เหมือนกันกับคนอื่นๆเช่นกัน...
    ทุกสรรพสิ่งเกิดมาแล้ว...ก็ย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา...
    สัจธรรมของโลกล้วนมีอยู่มาก่อนที่มนุษย์จะเกิดเสียอีก...
    ทำไม...ทำไมถึงไม่เร่งกันทำความดี...สั่งสมบุญกุศล...บุญบารมีกัน...
    จะได้ไม่ต้องมาลำบากลำบนกัน...เหมือนกับชาตินี้เล่า...
    ทำไม...ทำไมกัน...
    มนุษย์...หนอมนุษย์...
    ปล่อยให้มันเป็นไป...ขอให้พวกมันจงเป็นไป...
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 2 ฉันเกลียดมนุษย์...เพราะมนุษย์มันชั่ว... ไม่เหมือนเทพมาร...พวกเค้าซื่อสัตย์...จริงใจ... คนที่มีจิตเป็นเทพมารนี้...มีน้อยมาก...ใกล้ที่จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ... คนดีหายาก...และก็ตายง่าย... ไม่เหมือนคนชั่ว...มีเกลื่อนกลาด...หาง่าย...ตายยาก... กรรมใดใครก่อ...กรรมนั้นคืนสนอง...ไม่มีผู้ใดหลีกหนีพ้นกรรมได้...ไม่มีเลย... ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย...แต่ทำไมถึงยังมีคนที่คิดว่าตนเองนั้นไม่มีวันตาย...อยู่ยงคงกระพัน... ก็เพราะว่ามันลืม...ลืมไปว่าสักวันตนเองก็ต้องตายสักวัน...เหมือนกันกับคนอื่นๆเช่นกัน... ทุกสรรพสิ่งเกิดมาแล้ว...ก็ย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา... สัจธรรมของโลกล้วนมีอยู่มาก่อนที่มนุษย์จะเกิดเสียอีก... ทำไม...ทำไมถึงไม่เร่งกันทำความดี...สั่งสมบุญกุศล...บุญบารมีกัน... จะได้ไม่ต้องมาลำบากลำบนกัน...เหมือนกับชาตินี้เล่า... ทำไม...ทำไมกัน... มนุษย์...หนอมนุษย์... ปล่อยให้มันเป็นไป...ขอให้พวกมันจงเป็นไป...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหี้ยเหลือง,ควายแดง,แมลงสาบฟ้า,จิ้งจกกลางกลวง
    วันนี้เรามาเจาะลึกกันกับบุคคลที่มีพรรคพวกต่างๆกันนะครับ เอ้า มาเริ่มกันเลยเนาะ
    เหี้ยเหลือง-พวกนี้มักจะเป็นพวกหัวดื้อ รักความถูกต้องจนมากเกินไป ไม่ชอบประนีประนอมยอมความกับใครๆ อยู่กันเป็นกระจุก ถึงจะมีพวกน้อยแต่ก็ทรงพลานุภาพและประสิทธิภาพมาก พวกนี้สู้ไม่ถอย สู้ยิบตา และสู้จนตัวตาย แต่ก็รักพวกพ้อง รักกันอย่างเหนียวแน่นกลมกลืนกันเลยทีเดียว พวกนี้กินไก่เป็นอาหารเลยฉลาด แต่ไม่โกง และพวกนี้เคยล้มเสือมาแล้วนะ ระวังตัวกันให้ดีนะทุกคน แต่มีข้อเสียคือ พวกนี้ตายง่ายกันเกินไป แต่ๆละตัวที่ตายนั้นได้สร้างชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ไว้ลายทิ้งทวนกันทุกตัวนะจะบอกให้
    ควายแดง-พวกนี้นั้นโง่ ถูกชักจูงได้ง่าย ไม่สนในสิ่งใดนอกจากเศษกระดูกหรือเงินทองที่ผู้ชักจูงให้มา พวกนี้กินหญ้าเป็นอาหารนะ เป็นมังสวิรัตินะ พวกนี้ตายได้เพื่อผลประโยชน์แค่เพียงเล็กๆน้อยๆ แต่ส่วนใหญ่ที่ตายนั้นไม่ได้ตายเพราะจากฝ่ายศัตรูนะ ตายเพราะพวกเดียวกัน ขัดผลประโยชน์กันเอง แย่งอาหารกันจนฆ่ากันตายกันไปเองนะ พวกนี้นับถือเชื่อฟังและเคารพจ่าฝูงมาก และตอนนี้จ่าฝูงของพวกมันก็อยู่นอกบ้านนะ เข้าบ้านไม่ได้เพราะทำผิดใหญ่หลวงไว้นะ ตอนนี้พวกนี้รอวันที่จ่าฝูงของพวกมันจะกลับมาเข้าบ้านได้อีกครั้งนะ
    แมลงสาบฟ้า-พวกนี้เป็นพวกมีศักดินานะ มีตำแหน่งสูงส่งกว่าชาวบ้านชาวช่องเค้านะ พวกนี้เป็นพวกบ้าศักดินาบ้ายศบ้าตำแหน่ง พวกนี้ตอนนี้มีอิทธิพลมากในบ้าน เพราะได้ไล่รองจ่าฝูงของพวกควายแดงได้สำเร็จ และยังมีพรรคพวกที่มีอิทธิพลในบ้านอยู่เยอะ พวกนี้กินเศษอาหารเป็นปกติ แต่ถ้าขาดอาหารก็จะกินมูลสัตว์แทนนะ พวกนี้รักกันแบบลูบหน้าปาดจมูก รักกันแบบพอเป็นพิธีให้ชาวบ้านเค้าอิจฉากันนะ พวกนี้ไม่โง่นะ แต่ก็ไม่ได้ฉลาดนักนะ และพวกนี้ชอบใช้คำพูดที่ดูสวยหรูพูดคุยกันนะ และก็บ้าวิชาการมาก แต่ทำกันไม่เป็นนะ ดีแต่ชอบใช้ผู้อื่นทำงานให้นะ แบบรักสบายๆสไตล์ชิวๆนะ
    จิ้งจกกลางกลวง-พวกนี้เป็นพวกที่เปลี่ยนสีได้เก่ง ใครชนะก็ไปอยู่กับเค้า และเกลียดการพ่ายแพ้ พวกนี้มีความสามารถที่พิเศษปรับตัวได้เก่งนะ แต่พวกนี้ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งกันนะ ชอบการปรองดองกันกับทุกฝ่ายนะ และก็ไม่ฉลาดนักนะ แต่จะเรียกว่าโง่ก็ไม่ได้ เพราะฉลาดในการปรับตัวเอาชีวิตอยู่รอดได้เก่ง พวกนี้เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวที่สุด รักทุกคนแม้กระทั่งศัตรูจนกระทั่งตัวตายไปเพราะไปหลงรักศัตรูนะ พวกนี้กินขี้เถ้าธุลีเป็นอาหารนะ ขี้เถ้าธุลีของบรรพชนนะ ตอนนี้พวกนี้อาศัยอยู่เต็มบ้านเลยนะ ทุกที่ทุกหนทุกแห่งเต็มบ้านไปหมดเลย ไล่ออกนอกบ้านเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป และมักจะกลับมาเรื่อยๆ พร้อมกับพวกพ้องกลุ่มใหม่ที่มาจากนอกบ้านนะ
    จบสรุปโดยคร่าวๆของบุคลในสัตว์ในพรรคพวกประเภทต่างๆกันเท่านี้นะครับ แล้วคุณล่ะ เป็นพวกไหนกันล่ะ
    เหี้ยเหลือง,ควายแดง,แมลงสาบฟ้า,จิ้งจกกลางกลวง วันนี้เรามาเจาะลึกกันกับบุคคลที่มีพรรคพวกต่างๆกันนะครับ เอ้า มาเริ่มกันเลยเนาะ เหี้ยเหลือง-พวกนี้มักจะเป็นพวกหัวดื้อ รักความถูกต้องจนมากเกินไป ไม่ชอบประนีประนอมยอมความกับใครๆ อยู่กันเป็นกระจุก ถึงจะมีพวกน้อยแต่ก็ทรงพลานุภาพและประสิทธิภาพมาก พวกนี้สู้ไม่ถอย สู้ยิบตา และสู้จนตัวตาย แต่ก็รักพวกพ้อง รักกันอย่างเหนียวแน่นกลมกลืนกันเลยทีเดียว พวกนี้กินไก่เป็นอาหารเลยฉลาด แต่ไม่โกง และพวกนี้เคยล้มเสือมาแล้วนะ ระวังตัวกันให้ดีนะทุกคน แต่มีข้อเสียคือ พวกนี้ตายง่ายกันเกินไป แต่ๆละตัวที่ตายนั้นได้สร้างชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ไว้ลายทิ้งทวนกันทุกตัวนะจะบอกให้ ควายแดง-พวกนี้นั้นโง่ ถูกชักจูงได้ง่าย ไม่สนในสิ่งใดนอกจากเศษกระดูกหรือเงินทองที่ผู้ชักจูงให้มา พวกนี้กินหญ้าเป็นอาหารนะ เป็นมังสวิรัตินะ พวกนี้ตายได้เพื่อผลประโยชน์แค่เพียงเล็กๆน้อยๆ แต่ส่วนใหญ่ที่ตายนั้นไม่ได้ตายเพราะจากฝ่ายศัตรูนะ ตายเพราะพวกเดียวกัน ขัดผลประโยชน์กันเอง แย่งอาหารกันจนฆ่ากันตายกันไปเองนะ พวกนี้นับถือเชื่อฟังและเคารพจ่าฝูงมาก และตอนนี้จ่าฝูงของพวกมันก็อยู่นอกบ้านนะ เข้าบ้านไม่ได้เพราะทำผิดใหญ่หลวงไว้นะ ตอนนี้พวกนี้รอวันที่จ่าฝูงของพวกมันจะกลับมาเข้าบ้านได้อีกครั้งนะ แมลงสาบฟ้า-พวกนี้เป็นพวกมีศักดินานะ มีตำแหน่งสูงส่งกว่าชาวบ้านชาวช่องเค้านะ พวกนี้เป็นพวกบ้าศักดินาบ้ายศบ้าตำแหน่ง พวกนี้ตอนนี้มีอิทธิพลมากในบ้าน เพราะได้ไล่รองจ่าฝูงของพวกควายแดงได้สำเร็จ และยังมีพรรคพวกที่มีอิทธิพลในบ้านอยู่เยอะ พวกนี้กินเศษอาหารเป็นปกติ แต่ถ้าขาดอาหารก็จะกินมูลสัตว์แทนนะ พวกนี้รักกันแบบลูบหน้าปาดจมูก รักกันแบบพอเป็นพิธีให้ชาวบ้านเค้าอิจฉากันนะ พวกนี้ไม่โง่นะ แต่ก็ไม่ได้ฉลาดนักนะ และพวกนี้ชอบใช้คำพูดที่ดูสวยหรูพูดคุยกันนะ และก็บ้าวิชาการมาก แต่ทำกันไม่เป็นนะ ดีแต่ชอบใช้ผู้อื่นทำงานให้นะ แบบรักสบายๆสไตล์ชิวๆนะ จิ้งจกกลางกลวง-พวกนี้เป็นพวกที่เปลี่ยนสีได้เก่ง ใครชนะก็ไปอยู่กับเค้า และเกลียดการพ่ายแพ้ พวกนี้มีความสามารถที่พิเศษปรับตัวได้เก่งนะ แต่พวกนี้ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งกันนะ ชอบการปรองดองกันกับทุกฝ่ายนะ และก็ไม่ฉลาดนักนะ แต่จะเรียกว่าโง่ก็ไม่ได้ เพราะฉลาดในการปรับตัวเอาชีวิตอยู่รอดได้เก่ง พวกนี้เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวที่สุด รักทุกคนแม้กระทั่งศัตรูจนกระทั่งตัวตายไปเพราะไปหลงรักศัตรูนะ พวกนี้กินขี้เถ้าธุลีเป็นอาหารนะ ขี้เถ้าธุลีของบรรพชนนะ ตอนนี้พวกนี้อาศัยอยู่เต็มบ้านเลยนะ ทุกที่ทุกหนทุกแห่งเต็มบ้านไปหมดเลย ไล่ออกนอกบ้านเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป และมักจะกลับมาเรื่อยๆ พร้อมกับพวกพ้องกลุ่มใหม่ที่มาจากนอกบ้านนะ จบสรุปโดยคร่าวๆของบุคลในสัตว์ในพรรคพวกประเภทต่างๆกันเท่านี้นะครับ แล้วคุณล่ะ เป็นพวกไหนกันล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความในใจชีวิตบัดซบของฉัน
    ต่อไปนี้ฉันจะเล่าถึงความหลังในอดีตที่แสนขมขื่นและเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิตชาตินี้ของฉันให้กับทุกคนได้ฟังได้รับรู้กัน ประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดของฉันในชาตินี้ว่ามันโคตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายแค่ไหนเพียงใด เอ้าเมาเริ่มกันเลยโดยไม่ต้องลีลาชักช้าเยื่อนเยื้อนะ
    ฉันเกิดมาก็มีกายใจจิตที่อ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆในทุกๆด้าน ทั้งกายใจจิตทั้งหมดทุกอย่างเลย น่ารันทดชิบ
    ตั้งแต่เด็กๆมาฉันก็มักจะถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจากคนอื่นๆเสมอ เพราะว่าตัวเล็กและไม่แข็งแรง แต่เพราะอยากมีเพื่อนเลยทนเอา แต่พอเริ่มทนไม่ไหวเข้าก็ร้องไห้ วิ่งกลับบ้านไปหาแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่รักและเข้าใจฉันเสมอมา ถึงจะมีบ้างที่แม่ไม่เข้าใจในตัวฉันก็ตามที
    พอเริ่มโตมาหน่อยฉันก็เริ่มทำตัวแปลกแยกจากผู้คนทุกคนในโลกนี้ และไม่ยุ่งสุงสิงกับใครอีกต่อไป เพราะทนไม่ไหวกับการถูกกลั่นแกล้งชิงชังจากผู้อื่น และเริ่มมีประสบการณ์และเริ่มฝึกจิตมารสังหาร และเก็บกดกดดันตัวเองระงับความโกรธเกรี้ยวกราดในผู้คนที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้เรื่อยๆและเรื่อยมารอวันที่จะประทุระเบิดออกมาไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งเมื่อฉันพร้อมรบในสมรภูมิโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วร้ายที่แสนโสมมโสโครก เพื่อรอวันทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซากไป และให้เหลือเอาไว้เฉพาะแต่ผู้คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น
    พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอเริ่มเป็นวัยรุ่น จิตมารเริ่มพลุ่งพล่านควบคุมไม่อยู่ก็เลยระเบิดพลังอาฆาตที่ชั่วร้ายออกมา มันเริ่มออกมามากขึ้นๆเรื่อยๆจนทำให้ตัวฉันเองเริ่มเป็นบ้าในสังคมผู้คนทั่วไป ฉันอาละวาดพาลไปทั่วกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายกับฉัน พอทุกคนเห็นฉันทำอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจในตัวฉันหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำลงไปแถมไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อนเลย เป็นเพราะพวกมันมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายกับฉันทำให้ฉันไม่พอใจนั่นเอง ฉันเริ่มเรียนแย่ลงๆทุกทีเรื่อยๆ เพราะไม่มีอารมณ์กะจิตกะใจเรียนเลย เพราะว่ามีแต่ผู้คนเข้ามาวุ่นวายก่อกวนฉันอยู่เรื่อยๆที่โรงเรียน แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวฉันและสงสารฉัน ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่นั้นเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเพราะไม่เข้าใจในตัวฉันนั่นเอง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นประทับใจมากๆคือ คุณครูหลายๆท่านเค้าเข้าใจในตัวฉันและช่วยผลักดันช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถเพื่อให้ฉันนั้นได้เรียนจบในที่สุดในมัธยมปลาย และหลังจากนั้นฉันก็ได้พยายามที่จะเรียนต่อในอุดมศึกษาในหลายๆที่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถเรียนจบได้เลย เป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆผู้อื่นในชั้นเรียนได้เลย เพราะมีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวของฉันและไม่เข้าใจเข้าถึงฉันได้เลย เป็นเพราะว่าฉันมันไม่เหมือนใครไม่เหมือนคนอื่นนั่นเอง และก็ไม่มีเพื่อนเก่าๆที่เข้าใจฉันเลย แถมฉันก็พึ่งจะมารู้ตัวรู้สึกในตัวเองว่าเรามันไม่เหมือนกับคนอื่น เราเป็นเด็กพิเศษ หรือเป็นคนไม่ปกติในสังคมนั่นเอง คือเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองหรือเกี่ยวกับระบบประสาทในสมองนั่นเอง
    ฉันเริ่มไปหาหมอที่จะสามารถรักษาโรคของฉันได้ในหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาฉันได้เลย เพราะพวกเค้าไม่เข้าใจในตัวฉันและไม่สามารถเข้าถึงใจของฉันได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ฉันได้ไปพบหมอคนหนึ่งที่เป็นหมอที่มีความสามารถสูงมาก และเค้าก็เข้าใจในตัวของฉันและรักษาฉันให้ช่วยบรรเทาอาการลงได้ และเกือบจะหายเป็นปกติเหมือนกับคนผู้อื่นในสังคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันนั้นมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องฉันก่อน อาการก็ไม่กำเริบออกมาหรอก ซึ่งอาการของฉันมันก็มีอยู่สองอย่างคือ อาการที่หนึ่งคือ ไม่มีผู้คนเยอะแยะพลุกพล่านนั่นเอง ส่วนอาการที่สองคือ เสียงดังนั่นเอง โดยเฉพาะเสียงของผู้คนที่ชอบทำร้ายฉันโดยการนินทาว่าร้ายฉันต่างๆนาๆ ซึ่งฉันสามารถรับรู้และรู้สึกได้จากการที่มีวิชาจิตมารสังหารนั่นเอง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของพวกมัน
    ฉันเริ่มศึกษาในทางสายธรรมะหรือศึกษาศาสนามากขึ้นๆเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีและอิ่มเอิบในรสธรรม ซึ่งมันสามารถทำให้อาการโรคของฉันหายขาดได้ เพราะว่ามันคือตัวของฉันเองที่สามารถที่จะรักษาตัวเองได้นั่นเอง สาเหตุมันอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องแก้ด้วยตนเอง ซึ่งมันอยู่ที่พลัง ฉันปรารถนาพลัง พลังที่สามารถสร้างหรือทำลายได้ในทุกๆสิ่งนั่นเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งฉันมีวิชาจิตมารสังหารอยู่กับตัว มันควบคุมไม่ได้ ฉันเลยเป็นบ้า มันเป็นพลังที่ชั่วร้าย มีแต่จะทำลายทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าฉันควบคุมมันได้ มันก็จะเป็นพลังที่สามารถช่วยเหลือตัวของฉันเองได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งตอนนี้ฉันฝึกฝนวิชาจิตมารสังหารสำเร็จแล้ว และสามารถควบคุมมันได้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ค้นพบวิชาใหม่อีกหนึ่งวิชา มันตรงกันข้ามกับจิตมารสังหารนั่นเอง มันคือวิชาจิตเทพเมตตา ซึ่งฉันยังคงฝึกฝนอยู่ในขั้นต้น มันเป็นวิชาที่ระงับความโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาททำลายของจิตมารสังหาร เวลาที่ฉันควบคุมจิตของตนเองไม่ได้ก็จะพยายามใช้จิตในด้านบวกอีกวิชาหนึ่งช่วยบรรเทาผ่อนปรนพลังด้านลบให้ไม่ทำลายตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไปในสถานการณ์ที่คับขันนั่นเอง
    สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกก่อนจบก็คือ มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังไม่ชอบฉันและต้องการทำร้ายทำลายฉันในทุกๆด้าน เป็นเพราะพวกเค้าไม่เข้าใจเข้าถึงตัวฉันได้ พวกนี้มีอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็เจอพวกมัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า เวรกรรมมีจริง ใครคิดทำร้ายทำลายฉัน มันทุกผู้จักต้องได้รับคำสาปของฉันไป นั่นก็คือ ในชีวิตจะไม่มีวันมีความสุข เพราะเป็นบ้า จนกว่าจะตายไป ตายแล้วก็ยังไม่จบ จะต้องลงนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทุกคน ฉันขอสาปแช่งพวกมัน ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันเป็นสัจธรรม
    ความในใจชีวิตบัดซบของฉัน ต่อไปนี้ฉันจะเล่าถึงความหลังในอดีตที่แสนขมขื่นและเจ็บปวดแสนสาหัสในชีวิตชาตินี้ของฉันให้กับทุกคนได้ฟังได้รับรู้กัน ประวัติศาสตร์ที่แสนเจ็บปวดของฉันในชาตินี้ว่ามันโคตรทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากมายแค่ไหนเพียงใด เอ้าเมาเริ่มกันเลยโดยไม่ต้องลีลาชักช้าเยื่อนเยื้อนะ ฉันเกิดมาก็มีกายใจจิตที่อ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กๆในทุกๆด้าน ทั้งกายใจจิตทั้งหมดทุกอย่างเลย น่ารันทดชิบ ตั้งแต่เด็กๆมาฉันก็มักจะถูกกลั่นแกล้งมาโดยตลอดจากคนอื่นๆเสมอ เพราะว่าตัวเล็กและไม่แข็งแรง แต่เพราะอยากมีเพื่อนเลยทนเอา แต่พอเริ่มทนไม่ไหวเข้าก็ร้องไห้ วิ่งกลับบ้านไปหาแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้เท่านั้นที่รักและเข้าใจฉันเสมอมา ถึงจะมีบ้างที่แม่ไม่เข้าใจในตัวฉันก็ตามที พอเริ่มโตมาหน่อยฉันก็เริ่มทำตัวแปลกแยกจากผู้คนทุกคนในโลกนี้ และไม่ยุ่งสุงสิงกับใครอีกต่อไป เพราะทนไม่ไหวกับการถูกกลั่นแกล้งชิงชังจากผู้อื่น และเริ่มมีประสบการณ์และเริ่มฝึกจิตมารสังหาร และเก็บกดกดดันตัวเองระงับความโกรธเกรี้ยวกราดในผู้คนที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้เรื่อยๆและเรื่อยมารอวันที่จะประทุระเบิดออกมาไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งเมื่อฉันพร้อมรบในสมรภูมิโลกเผ่าพันธุ์มนุษย์ชั่วร้ายที่แสนโสมมโสโครก เพื่อรอวันทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซากไป และให้เหลือเอาไว้เฉพาะแต่ผู้คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น พอโตขึ้นมาอีกหน่อยพอเริ่มเป็นวัยรุ่น จิตมารเริ่มพลุ่งพล่านควบคุมไม่อยู่ก็เลยระเบิดพลังอาฆาตที่ชั่วร้ายออกมา มันเริ่มออกมามากขึ้นๆเรื่อยๆจนทำให้ตัวฉันเองเริ่มเป็นบ้าในสังคมผู้คนทั่วไป ฉันอาละวาดพาลไปทั่วกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องวุ่นวายกับฉัน พอทุกคนเห็นฉันทำอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจในตัวฉันหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นโรคจิตโรคประสาท ทั้งๆที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำลงไปแถมไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อนเลย เป็นเพราะพวกมันมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายกับฉันทำให้ฉันไม่พอใจนั่นเอง ฉันเริ่มเรียนแย่ลงๆทุกทีเรื่อยๆ เพราะไม่มีอารมณ์กะจิตกะใจเรียนเลย เพราะว่ามีแต่ผู้คนเข้ามาวุ่นวายก่อกวนฉันอยู่เรื่อยๆที่โรงเรียน แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจในตัวฉันและสงสารฉัน ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่นั้นเลิกเป็นเพื่อนกับฉันไปเพราะไม่เข้าใจในตัวฉันนั่นเอง แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นประทับใจมากๆคือ คุณครูหลายๆท่านเค้าเข้าใจในตัวฉันและช่วยผลักดันช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่สุดความสามารถเพื่อให้ฉันนั้นได้เรียนจบในที่สุดในมัธยมปลาย และหลังจากนั้นฉันก็ได้พยายามที่จะเรียนต่อในอุดมศึกษาในหลายๆที่ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถเรียนจบได้เลย เป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆผู้อื่นในชั้นเรียนได้เลย เพราะมีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวของฉันและไม่เข้าใจเข้าถึงฉันได้เลย เป็นเพราะว่าฉันมันไม่เหมือนใครไม่เหมือนคนอื่นนั่นเอง และก็ไม่มีเพื่อนเก่าๆที่เข้าใจฉันเลย แถมฉันก็พึ่งจะมารู้ตัวรู้สึกในตัวเองว่าเรามันไม่เหมือนกับคนอื่น เราเป็นเด็กพิเศษ หรือเป็นคนไม่ปกติในสังคมนั่นเอง คือเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองหรือเกี่ยวกับระบบประสาทในสมองนั่นเอง ฉันเริ่มไปหาหมอที่จะสามารถรักษาโรคของฉันได้ในหลายๆที่ แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถรักษาฉันได้เลย เพราะพวกเค้าไม่เข้าใจในตัวฉันและไม่สามารถเข้าถึงใจของฉันได้เลย แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่ฉันได้ไปพบหมอคนหนึ่งที่เป็นหมอที่มีความสามารถสูงมาก และเค้าก็เข้าใจในตัวของฉันและรักษาฉันให้ช่วยบรรเทาอาการลงได้ และเกือบจะหายเป็นปกติเหมือนกับคนผู้อื่นในสังคม ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันนั้นมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีใครมาหาเรื่องฉันก่อน อาการก็ไม่กำเริบออกมาหรอก ซึ่งอาการของฉันมันก็มีอยู่สองอย่างคือ อาการที่หนึ่งคือ ไม่มีผู้คนเยอะแยะพลุกพล่านนั่นเอง ส่วนอาการที่สองคือ เสียงดังนั่นเอง โดยเฉพาะเสียงของผู้คนที่ชอบทำร้ายฉันโดยการนินทาว่าร้ายฉันต่างๆนาๆ ซึ่งฉันสามารถรับรู้และรู้สึกได้จากการที่มีวิชาจิตมารสังหารนั่นเอง เพราะฉันสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของพวกมัน ฉันเริ่มศึกษาในทางสายธรรมะหรือศึกษาศาสนามากขึ้นๆเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีและอิ่มเอิบในรสธรรม ซึ่งมันสามารถทำให้อาการโรคของฉันหายขาดได้ เพราะว่ามันคือตัวของฉันเองที่สามารถที่จะรักษาตัวเองได้นั่นเอง สาเหตุมันอยู่ที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องแก้ด้วยตนเอง ซึ่งมันอยู่ที่พลัง ฉันปรารถนาพลัง พลังที่สามารถสร้างหรือทำลายได้ในทุกๆสิ่งนั่นเองมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งฉันมีวิชาจิตมารสังหารอยู่กับตัว มันควบคุมไม่ได้ ฉันเลยเป็นบ้า มันเป็นพลังที่ชั่วร้าย มีแต่จะทำลายทั้งกับตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าฉันควบคุมมันได้ มันก็จะเป็นพลังที่สามารถช่วยเหลือตัวของฉันเองได้อย่างยิ่งยวด ซึ่งตอนนี้ฉันฝึกฝนวิชาจิตมารสังหารสำเร็จแล้ว และสามารถควบคุมมันได้ด้วย และตอนนี้ฉันก็ค้นพบวิชาใหม่อีกหนึ่งวิชา มันตรงกันข้ามกับจิตมารสังหารนั่นเอง มันคือวิชาจิตเทพเมตตา ซึ่งฉันยังคงฝึกฝนอยู่ในขั้นต้น มันเป็นวิชาที่ระงับความโกรธเกรี้ยวอาฆาตพยาบาททำลายของจิตมารสังหาร เวลาที่ฉันควบคุมจิตของตนเองไม่ได้ก็จะพยายามใช้จิตในด้านบวกอีกวิชาหนึ่งช่วยบรรเทาผ่อนปรนพลังด้านลบให้ไม่ทำลายตัวเองและผู้อื่นอีกต่อไปในสถานการณ์ที่คับขันนั่นเอง สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะบอกก่อนจบก็คือ มีผู้คนมากมายที่เกลียดชังไม่ชอบฉันและต้องการทำร้ายทำลายฉันในทุกๆด้าน เป็นเพราะพวกเค้าไม่เข้าใจเข้าถึงตัวฉันได้ พวกนี้มีอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็เจอพวกมัน ฉันแค่อยากจะบอกว่า เวรกรรมมีจริง ใครคิดทำร้ายทำลายฉัน มันทุกผู้จักต้องได้รับคำสาปของฉันไป นั่นก็คือ ในชีวิตจะไม่มีวันมีความสุข เพราะเป็นบ้า จนกว่าจะตายไป ตายแล้วก็ยังไม่จบ จะต้องลงนรกหมกไหม้ไปด้วยกันทุกคน ฉันขอสาปแช่งพวกมัน ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันเป็นสัจธรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทบาทของผู้พิทักษ์เสาหลักแต่ละคน
    ความสัมพันธ์ของหกเสาหลักผู้พิทักษ์ที่มีความเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ
    ผู้พิทักษ์คนที่หนึ่งแห่งองค์กร ราชาแห่งผืนดิน เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่คอยปกป้องเพื่อนพ้องจากการโจมตีจู่โจมต่อต้านจากศัตรู ซึ่งคอยช่วยเหลือเพื่อนพ้องยามมีภัยอันตรายต่างๆรุกล้ำเข้ามาในองค์กร ซึ่งเค้าเชี่ยวชาญทางด้านการป้องกันปกป้องเพื่อนพ้องจากภัยอันตรายต่างๆที่รุกล้ำเข้ามาหาเพื่อนพ้องที่เค้ารักและต้องการจะปกป้องซึ่งพลังที่แท้จริงของเค้านั้นจะแสดงอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่ต้องคอยปกป้องอยู่ข้างหลัง และยิ่งมีผู้ที่ต้องคอยปกป้องมากเท่าไหร่พลังของเค้าก็จะยิ่งสำแดงเดชออกมามากยิ่งขึ้นเท่านั้น
    ผู้พิทักษ์คนที่สองแห่งองค์กร ราชินีแห่งสายน้ำ เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่คอยช่วยเหลือเยียวยารักษาบาดแผลให้กับเพื่อนพ้องยามเพื่อนพ้องได้รับบาดเจ็บได้รับอันตรายจากศัตรูภายนอก ซึ่งเธอเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาความบาดเจ็บทั้งทางกายและใจ และเธอก็มักจะอ่อนโยนต่อเพื่อนพ้องของเธอเป็นพิเศษอีกด้วย เธอเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดในองค์กร
    ผู้พิทักษ์คนที่สามแห่งองค์กร ราชินีแห่งสายลม เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่คอยประสานงานช่วยเหลือเพื่อนพ้องในทางด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านการติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนพ้องของเธอ โดยเฉพาะข้อมูลของศัตรู อาทิเช่น จุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู ซึ่งมีผลอย่างมากในการพิชิตศัตรูให้เพื่อนพ้องได้รับชัยชนะ ซึ่งเธอเชี่ยวชาญทางด้านข้อมูลข่าวสาร และเธอก็เป็นคนที่มีความคล่องตัวสูงอีกด้วย
    ผู้พิทักษ์คนที่สี่แห่งองค์กร ราชาแห่งเปลวเพลิง เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่เป็นกำลังรบหลักที่คอยทำให้เพื่อนพ้องได้รับชัยชนะ โดยการบุกทะลวงเข้าไปพิชิตศัตรูในค่ายต่างๆของศัตรู เค้าคือตัวแทนของหัวหมู่ทะลวงฟันผู้เป็นแม่ทัพขององค์กร ที่คอยทำหน้าที่ในทางด้านภาคปฏิบัติที่ทำให้แผนการรบประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะ เค้าเชี่ยวชาญทางด้านการรบและยุทธวิธีการรบต่างๆ เค้าเป็นผู้ที่มีพลังโจมตีสูงที่สุดในองค์กร และยังเป็นผู้ที่กล้าหาญมากอีกด้วย
    ผู้พิทักษ์คนที่ห้าแห่งองค์กร ราชินีแห่งแสงสว่าง เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนแห่งความถูกต้องดีงามและชอบธรรม เธอเป็นเสมือนพระแม่ผู้ให้ความรักและเมตตากับทุกคน เธอมักเป็นคนที่เปรียบเสมือนดั่งขวัญและกำลังใจหลักของทุกคนในองค์กร โดยปกติเธอจะเป็นมันสมองของทุกคนในองค์กร ซึ่งเธอเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมและรอบครอบ แถมยังใส่ใจในทุกรายละเอียดอีกด้วย เธอเชี่ยวชาญทางด้านการวางกำลังรบต่างๆและเป็นคนที่กำกับบัญชาการการรบในทุกสมรภูมิ เธอเป็นคนใจดีที่สุดในองค์กรและเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวมากอีกด้วย
    ผู้พิทักษ์คนที่หกแห่งองค์กร ราชาแห่งความมืด เปรียบเสมือนดั่งผู้ที่เป็นหัวใจของทุกคนในองค์กร เค้าเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนง่ายมาก มีความอ่อนโยนและอ่อนไหวง่าย เค้ามีสัมผัสพิเศษที่รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ซึ่งโดยปกติเค้ามักจะเป็นคนที่เงียบขรึมและดูดุดันน่ากลัว แต่แท้ที่จริงแล้วเค้ากลับไม่เคยที่จะคิดร้ายและอาฆาตมาดร้ายกับใครที่ไม่ใช่คนที่เค้าเกลียดชังโดยที่เป็นคู่อริศัตรูซึ่งได้ไปทำให้เค้าได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจมาก่อน เค้ามักจะให้อภัยศัตรูคู่อาฆาตโดยให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ที่ดีอยู่เสมอ แต่ก็มีในบางครั้งที่เค้าสุดแสนที่จะทนกับความชั่วช้าของศัตรูของเค้าที่ไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัวกลับใจที่จะเป็นคนดี ซึ่งเป็นกรณีที่น้อยมากที่ทำให้เค้าจำใจต้องเป็นดั่งมัจจุราชที่พิพากษาลงโทษทัณฑ์ตามความเหมาะสมที่ควรกับโทษทัณฑ์ที่ควรได้ก่อเอาไว้นั่นเอง
    ผู้พิทักษ์คนที่เจ็ดแห่งองค์กร ราชันแห่งการรู้แจ้งและว่างเปล่า เปรียบเสมือนอาจารย์ของผู้พิทักษ์เสาหลักทั้งหกคนนั่นเอง เค้าเป็นคนที่คอยอบรมสั่งสอนวิธีปลดปล่อยพลังภายในและพลังจักรวาลให้กับศิษย์รักทั้งหกคนให้นำพลังวิเศษที่ได้รับมาไปใช้ในทางที่ถูกต้องดีงามและชอบธรรมกับทุกสรรพสิ่งบนโลก ซึ่งโดยปกติแล้วเค้าเป็นคนที่เข้มงวดมากๆ ซึ่งความเข้มงวดนี้เองที่คอยส่งผลให้ลูกศิษย์ทั้งหกคนได้ดำเนินรอยตามในหนทางที่ถูกต้องและดีงาม เพื่อประโยชน์สุขของเหล่าหมู่มวลสัตว์โลกนั่นเอง เค้าเชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ทุกแขนงในจักรวาล เค้าเปรียบเสมือนดั่งพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งจุติขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อช่วยกอบกู้โลกที่แสนจะเสื่อมทรามและเน่าเฟะลงทุกทีๆ เค้าคือหนึ่งเดียว หรือ ผู้ปลดปล่อยนั่นเอง
    นี่คือบทบาทและภารกิจทั้งหมดอย่างคร่าวๆสำหรับผู้พิทักษ์เสาหลักในองค์กร ดิเอลเลเม้นท์ ซึ่งผู้ที่บรรลุธรรมเท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ในทุกรายละเอียดทั้งหมดนั่นเอง
    บทบาทของผู้พิทักษ์เสาหลักแต่ละคน ความสัมพันธ์ของหกเสาหลักผู้พิทักษ์ที่มีความเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ ผู้พิทักษ์คนที่หนึ่งแห่งองค์กร ราชาแห่งผืนดิน เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่คอยปกป้องเพื่อนพ้องจากการโจมตีจู่โจมต่อต้านจากศัตรู ซึ่งคอยช่วยเหลือเพื่อนพ้องยามมีภัยอันตรายต่างๆรุกล้ำเข้ามาในองค์กร ซึ่งเค้าเชี่ยวชาญทางด้านการป้องกันปกป้องเพื่อนพ้องจากภัยอันตรายต่างๆที่รุกล้ำเข้ามาหาเพื่อนพ้องที่เค้ารักและต้องการจะปกป้องซึ่งพลังที่แท้จริงของเค้านั้นจะแสดงอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่ต้องคอยปกป้องอยู่ข้างหลัง และยิ่งมีผู้ที่ต้องคอยปกป้องมากเท่าไหร่พลังของเค้าก็จะยิ่งสำแดงเดชออกมามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้พิทักษ์คนที่สองแห่งองค์กร ราชินีแห่งสายน้ำ เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่คอยช่วยเหลือเยียวยารักษาบาดแผลให้กับเพื่อนพ้องยามเพื่อนพ้องได้รับบาดเจ็บได้รับอันตรายจากศัตรูภายนอก ซึ่งเธอเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาความบาดเจ็บทั้งทางกายและใจ และเธอก็มักจะอ่อนโยนต่อเพื่อนพ้องของเธอเป็นพิเศษอีกด้วย เธอเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดในองค์กร ผู้พิทักษ์คนที่สามแห่งองค์กร ราชินีแห่งสายลม เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่คอยประสานงานช่วยเหลือเพื่อนพ้องในทางด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านการติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนพ้องของเธอ โดยเฉพาะข้อมูลของศัตรู อาทิเช่น จุดอ่อนจุดแข็งของศัตรู ซึ่งมีผลอย่างมากในการพิชิตศัตรูให้เพื่อนพ้องได้รับชัยชนะ ซึ่งเธอเชี่ยวชาญทางด้านข้อมูลข่าวสาร และเธอก็เป็นคนที่มีความคล่องตัวสูงอีกด้วย ผู้พิทักษ์คนที่สี่แห่งองค์กร ราชาแห่งเปลวเพลิง เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนของผู้ที่เป็นกำลังรบหลักที่คอยทำให้เพื่อนพ้องได้รับชัยชนะ โดยการบุกทะลวงเข้าไปพิชิตศัตรูในค่ายต่างๆของศัตรู เค้าคือตัวแทนของหัวหมู่ทะลวงฟันผู้เป็นแม่ทัพขององค์กร ที่คอยทำหน้าที่ในทางด้านภาคปฏิบัติที่ทำให้แผนการรบประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะ เค้าเชี่ยวชาญทางด้านการรบและยุทธวิธีการรบต่างๆ เค้าเป็นผู้ที่มีพลังโจมตีสูงที่สุดในองค์กร และยังเป็นผู้ที่กล้าหาญมากอีกด้วย ผู้พิทักษ์คนที่ห้าแห่งองค์กร ราชินีแห่งแสงสว่าง เปรียบเสมือนดั่งตัวแทนแห่งความถูกต้องดีงามและชอบธรรม เธอเป็นเสมือนพระแม่ผู้ให้ความรักและเมตตากับทุกคน เธอมักเป็นคนที่เปรียบเสมือนดั่งขวัญและกำลังใจหลักของทุกคนในองค์กร โดยปกติเธอจะเป็นมันสมองของทุกคนในองค์กร ซึ่งเธอเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมและรอบครอบ แถมยังใส่ใจในทุกรายละเอียดอีกด้วย เธอเชี่ยวชาญทางด้านการวางกำลังรบต่างๆและเป็นคนที่กำกับบัญชาการการรบในทุกสมรภูมิ เธอเป็นคนใจดีที่สุดในองค์กรและเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวมากอีกด้วย ผู้พิทักษ์คนที่หกแห่งองค์กร ราชาแห่งความมืด เปรียบเสมือนดั่งผู้ที่เป็นหัวใจของทุกคนในองค์กร เค้าเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนง่ายมาก มีความอ่อนโยนและอ่อนไหวง่าย เค้ามีสัมผัสพิเศษที่รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ซึ่งโดยปกติเค้ามักจะเป็นคนที่เงียบขรึมและดูดุดันน่ากลัว แต่แท้ที่จริงแล้วเค้ากลับไม่เคยที่จะคิดร้ายและอาฆาตมาดร้ายกับใครที่ไม่ใช่คนที่เค้าเกลียดชังโดยที่เป็นคู่อริศัตรูซึ่งได้ไปทำให้เค้าได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจมาก่อน เค้ามักจะให้อภัยศัตรูคู่อาฆาตโดยให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ที่ดีอยู่เสมอ แต่ก็มีในบางครั้งที่เค้าสุดแสนที่จะทนกับความชั่วช้าของศัตรูของเค้าที่ไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัวกลับใจที่จะเป็นคนดี ซึ่งเป็นกรณีที่น้อยมากที่ทำให้เค้าจำใจต้องเป็นดั่งมัจจุราชที่พิพากษาลงโทษทัณฑ์ตามความเหมาะสมที่ควรกับโทษทัณฑ์ที่ควรได้ก่อเอาไว้นั่นเอง ผู้พิทักษ์คนที่เจ็ดแห่งองค์กร ราชันแห่งการรู้แจ้งและว่างเปล่า เปรียบเสมือนอาจารย์ของผู้พิทักษ์เสาหลักทั้งหกคนนั่นเอง เค้าเป็นคนที่คอยอบรมสั่งสอนวิธีปลดปล่อยพลังภายในและพลังจักรวาลให้กับศิษย์รักทั้งหกคนให้นำพลังวิเศษที่ได้รับมาไปใช้ในทางที่ถูกต้องดีงามและชอบธรรมกับทุกสรรพสิ่งบนโลก ซึ่งโดยปกติแล้วเค้าเป็นคนที่เข้มงวดมากๆ ซึ่งความเข้มงวดนี้เองที่คอยส่งผลให้ลูกศิษย์ทั้งหกคนได้ดำเนินรอยตามในหนทางที่ถูกต้องและดีงาม เพื่อประโยชน์สุขของเหล่าหมู่มวลสัตว์โลกนั่นเอง เค้าเชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ทุกแขนงในจักรวาล เค้าเปรียบเสมือนดั่งพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งจุติขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อช่วยกอบกู้โลกที่แสนจะเสื่อมทรามและเน่าเฟะลงทุกทีๆ เค้าคือหนึ่งเดียว หรือ ผู้ปลดปล่อยนั่นเอง นี่คือบทบาทและภารกิจทั้งหมดอย่างคร่าวๆสำหรับผู้พิทักษ์เสาหลักในองค์กร ดิเอลเลเม้นท์ ซึ่งผู้ที่บรรลุธรรมเท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ในทุกรายละเอียดทั้งหมดนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิถีชีวิตของคนเราเกี่ยวกับเรื่องของความตาย
    วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน
    บางคนก็มีชีวิตที่แสนสุขสบาย บางคนก็มีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และบางคนก็มีชีวิตที่แสนขมขื่นและน่าอดสู ซึ่งขึ้นอยู่กับ "ดวงชะตา" หรือ "โชคชะตา" ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
    เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถเลือกที่จะตายได้
    ซึ่งการตายของคนเรานั้นมี 2 แบบด้วยกันคือ
    แบบที่ 1 คือการตายอย่างมีค่า
    ซึ่งหมายถึงการตายโดยที่ตนเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น
    ซึ่งการตายแบบนี้นั้น อย่างน้อยที่สุดเขาหรือเธอคนนั้นก็สามารถทำให้ผู้อื่นได้ชื่นชมยกย่องในคุณงามความดีของเขาหรือเธอคนนั้นที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในอดีต ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้คน และทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังให้ได้กระทำตามแบบอย่างที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย
    ส่วนแบบที่ 2 นั้น คือการตายอย่างไร้ค่า
    ซึ่งหมายถึงการตายที่ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
    ซึ่งการตายแบบนี้นั้น เป็นการตายที่ไม่น่ากระทำเป็นเยี่ยงอย่างเอาเสียเลย กล่าวคือ มันเป็นการตายที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุนค่า และบางคนหนักยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลย และพอตนเองได้ตายไปแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อื่นต้องเป็นธุระลำบากในเรื่องต่างๆอีกด้วย ส่วนบางคนนั้นกลับแย่ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองได้แต่กระทำบาป ครั้นพอตนเองได้ตายลงไปแล้ว ก็ทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นธุระจัดการในเรื่องต่างๆแล้วยังไม่พอ ยังทำให้วงศ์ตระกูลพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซ้ำยังถูกก่นด่าจากผู้คนอีก ด้วยความไม่พอใจในตนเอง ว่าตนเองได้เคยทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อน และก็ถูกผู้อื่นเกลียดชัง ซึ่งส่งผลให้คนในตระกูลของตนต้องรับกรรรมที่ตนเองได้เคยก่อเอาไว้ในอดีต ซึ่งคนในตระกุลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของตนเองเลย แต่กลับต้องมารับกรรมแทนตนเองอีก ซึ่งคนแบบนี้นั้น ตายไปคงต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน
    สุดท้ายนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความตายนั้น "ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรม" สุดแท้แต่ใครจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน
    ผมขอให้ข้อคิดคุณ
    ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว แล้วคุณจะเลือกที่จะตายในแบบไหนกัน?
    ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกนะครับ
    วิถีชีวิตของคนเราเกี่ยวกับเรื่องของความตาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน บางคนก็มีชีวิตที่แสนสุขสบาย บางคนก็มีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และบางคนก็มีชีวิตที่แสนขมขื่นและน่าอดสู ซึ่งขึ้นอยู่กับ "ดวงชะตา" หรือ "โชคชะตา" ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถเลือกที่จะตายได้ ซึ่งการตายของคนเรานั้นมี 2 แบบด้วยกันคือ แบบที่ 1 คือการตายอย่างมีค่า ซึ่งหมายถึงการตายโดยที่ตนเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ซึ่งการตายแบบนี้นั้น อย่างน้อยที่สุดเขาหรือเธอคนนั้นก็สามารถทำให้ผู้อื่นได้ชื่นชมยกย่องในคุณงามความดีของเขาหรือเธอคนนั้นที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในอดีต ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้คน และทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังให้ได้กระทำตามแบบอย่างที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย ส่วนแบบที่ 2 นั้น คือการตายอย่างไร้ค่า ซึ่งหมายถึงการตายที่ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ซึ่งการตายแบบนี้นั้น เป็นการตายที่ไม่น่ากระทำเป็นเยี่ยงอย่างเอาเสียเลย กล่าวคือ มันเป็นการตายที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุนค่า และบางคนหนักยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลย และพอตนเองได้ตายไปแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อื่นต้องเป็นธุระลำบากในเรื่องต่างๆอีกด้วย ส่วนบางคนนั้นกลับแย่ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองได้แต่กระทำบาป ครั้นพอตนเองได้ตายลงไปแล้ว ก็ทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นธุระจัดการในเรื่องต่างๆแล้วยังไม่พอ ยังทำให้วงศ์ตระกูลพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซ้ำยังถูกก่นด่าจากผู้คนอีก ด้วยความไม่พอใจในตนเอง ว่าตนเองได้เคยทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อน และก็ถูกผู้อื่นเกลียดชัง ซึ่งส่งผลให้คนในตระกูลของตนต้องรับกรรรมที่ตนเองได้เคยก่อเอาไว้ในอดีต ซึ่งคนในตระกุลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของตนเองเลย แต่กลับต้องมารับกรรมแทนตนเองอีก ซึ่งคนแบบนี้นั้น ตายไปคงต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความตายนั้น "ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรม" สุดแท้แต่ใครจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน ผมขอให้ข้อคิดคุณ ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว แล้วคุณจะเลือกที่จะตายในแบบไหนกัน? ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • Facebook, X (หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ Twitter), YouTube และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ตกลงที่จะเข้มงวดมากขึ้นในการจัดการกับการพูดดูถูกเกลียดชังในออนไลน์! ภายใต้กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เรียกว่า Digital Services Act (DSA) บริษัทเหล่านี้ต้องเข้มงวดมากขึ้นเพื่อจัดการกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายบนแพลตฟอร์มของพวกเขา

    นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังได้ลงนามในข้อตกลงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่อัปเดตในเดือนพฤษภาคม 2016 ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้หน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรหรือหน่วยงานสาธารณะที่มีความเชี่ยวชาญในการพูดเกลียดชังออนไลน์ตรวจสอบวิธีการที่พวกเขาตรวจสอบการแจ้งเตือนการพูดเกลียดชัง และประเมินการแจ้งเตือนอย่างน้อยสองในสามภายใน 24 ชั่วโมง

    การใช้เครื่องมือการตรวจจับอัตโนมัติจะช่วยลดการพูดเกลียดชังบนแพลตฟอร์ม และบริษัทจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของระบบแนะนำเนื้อหาและการเข้าถึงเนื้อหาที่ผิดกฎหมายก่อนที่จะถูกลบออก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/20/facebook-x-youtube-to-do-more-against-online-hate-speech-eu-says
    Facebook, X (หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ Twitter), YouTube และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้ตกลงที่จะเข้มงวดมากขึ้นในการจัดการกับการพูดดูถูกเกลียดชังในออนไลน์! ภายใต้กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เรียกว่า Digital Services Act (DSA) บริษัทเหล่านี้ต้องเข้มงวดมากขึ้นเพื่อจัดการกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายบนแพลตฟอร์มของพวกเขา นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังได้ลงนามในข้อตกลงการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่อัปเดตในเดือนพฤษภาคม 2016 ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้หน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรหรือหน่วยงานสาธารณะที่มีความเชี่ยวชาญในการพูดเกลียดชังออนไลน์ตรวจสอบวิธีการที่พวกเขาตรวจสอบการแจ้งเตือนการพูดเกลียดชัง และประเมินการแจ้งเตือนอย่างน้อยสองในสามภายใน 24 ชั่วโมง การใช้เครื่องมือการตรวจจับอัตโนมัติจะช่วยลดการพูดเกลียดชังบนแพลตฟอร์ม และบริษัทจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของระบบแนะนำเนื้อหาและการเข้าถึงเนื้อหาที่ผิดกฎหมายก่อนที่จะถูกลบออก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/20/facebook-x-youtube-to-do-more-against-online-hate-speech-eu-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Facebook, X, YouTube to do more against online hate speech, EU says
    BRUSSELS (Reuters) - Meta's Facebook, Elon Musk's X, Google's YouTube and other tech companies have agreed to do more to tackle online hate speech under an updated code of conduct that will now be integrated into EU tech rules, the European Commission said on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ่อ-ลูกครู ตชด. เหยื่อผู้ก่อความไม่สงบ

    เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (รร.ตชด.) บ้านบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ บุตรชาย ที่บ้านเลขที่ 293 หมู่ 3 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของครู ตชด. ทั้ง 2 นายด้วย

    พ.ต.ท.สุวิทย์ ครูใหญ่ และลูกชาย ด.ต.โดม ครูวิชาเกษตรโรงเรียนเดียวกัน ถูกคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องซุกใต้ถนนดักถล่มแล้วยิงซ้ำ เสียชีวิต 2 ราย พร้อมขโมยปืนไป 2 กระบอก เหตุเกิดบนถนนศรีสาคร-ลูโบ๊ะยือริง ช่วงบ้านไอร์กือแด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568 สร้างความสะเทือนใจให้แก่วงการตำรวจ และแวดวงการศึกษา เนื่องจาก พ.ต.ท.สุวิทย์เป็นครูที่ทุ่มเทเสียสละสอนนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัยมานานกว่า 30 ปี และถือเป็นครูต้นแบบให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ทั้งหมด 12 แห่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

    นางสุปรีดา ช่วยเทวฤทธิ์ ภรรยา พ.ต.ท.สุวิทย์ กล่าวว่า “พี่แกไปดีแล้ว และสมความตั้งใจในหน้าที่การงาน แกไปไม่คิดขอย้ายจากที่นี่ ทั้งมีโอกาส แกบอกแกรักคนที่นี่ แต่สุดท้าย มีไม่กี่คนที่เกลียดแก แกไปดีแล้ว” สอดคล้องกับ จ.ส.ต.หญิง ฮานีบะห์ สานิ ครูโรงเรียน ตชด.บ้านตืองอฯ ตามรายงานข่าวของศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า ทั้งโรงเรียนมีครูผู้ชายอยู่ 2 คน คือครูใหญ่สุวิทย์และครูโดม ที่เหลือเป็นครูผู้หญิง 11 คน ต้องดูแลเด็กนักเรียน 120 ชีวิต เรานั่งเรือด้วยกัน แต่คนขับเรือไม่อยู่แล้ว แล้วใครจะขับต่อ แล้วจะไปต่ออย่างไร วันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเจออะไร อุปสรรคอะไร แล้วจะไปต่อถึงฝั่งได้อย่างไร

    เฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง กล่าวอ้างพระนามแห่งอัลเลาะห์ ระบุว่าทั้งสองคนเป็นพลรบสยามไทย นอกจากเป็นครูแล้วยังมีสถานะพลรบด้วย แม้จะเสียดายผู้มากด้วยฝีมือและประสบการณ์ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้และทำลายได้ ขณะที่ศาลจังหวัดนราธิวาส อนุมัติออกหมายจับนายอับดุลเลาะห์ สาเมาะ อายุ 30 ปี และนายอับดุลเลาะ บูละ อายุ 40 ปี มีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี รวม 14 หมายจับ มาจากหลักฐานดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุ

    #Newskit
    พ่อ-ลูกครู ตชด. เหยื่อผู้ก่อความไม่สงบ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (รร.ตชด.) บ้านบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ บุตรชาย ที่บ้านเลขที่ 293 หมู่ 3 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของครู ตชด. ทั้ง 2 นายด้วย พ.ต.ท.สุวิทย์ ครูใหญ่ และลูกชาย ด.ต.โดม ครูวิชาเกษตรโรงเรียนเดียวกัน ถูกคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องซุกใต้ถนนดักถล่มแล้วยิงซ้ำ เสียชีวิต 2 ราย พร้อมขโมยปืนไป 2 กระบอก เหตุเกิดบนถนนศรีสาคร-ลูโบ๊ะยือริง ช่วงบ้านไอร์กือแด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568 สร้างความสะเทือนใจให้แก่วงการตำรวจ และแวดวงการศึกษา เนื่องจาก พ.ต.ท.สุวิทย์เป็นครูที่ทุ่มเทเสียสละสอนนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัยมานานกว่า 30 ปี และถือเป็นครูต้นแบบให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ทั้งหมด 12 แห่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นางสุปรีดา ช่วยเทวฤทธิ์ ภรรยา พ.ต.ท.สุวิทย์ กล่าวว่า “พี่แกไปดีแล้ว และสมความตั้งใจในหน้าที่การงาน แกไปไม่คิดขอย้ายจากที่นี่ ทั้งมีโอกาส แกบอกแกรักคนที่นี่ แต่สุดท้าย มีไม่กี่คนที่เกลียดแก แกไปดีแล้ว” สอดคล้องกับ จ.ส.ต.หญิง ฮานีบะห์ สานิ ครูโรงเรียน ตชด.บ้านตืองอฯ ตามรายงานข่าวของศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา กล่าวว่า ทั้งโรงเรียนมีครูผู้ชายอยู่ 2 คน คือครูใหญ่สุวิทย์และครูโดม ที่เหลือเป็นครูผู้หญิง 11 คน ต้องดูแลเด็กนักเรียน 120 ชีวิต เรานั่งเรือด้วยกัน แต่คนขับเรือไม่อยู่แล้ว แล้วใครจะขับต่อ แล้วจะไปต่ออย่างไร วันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าจะเจออะไร อุปสรรคอะไร แล้วจะไปต่อถึงฝั่งได้อย่างไร เฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง กล่าวอ้างพระนามแห่งอัลเลาะห์ ระบุว่าทั้งสองคนเป็นพลรบสยามไทย นอกจากเป็นครูแล้วยังมีสถานะพลรบด้วย แม้จะเสียดายผู้มากด้วยฝีมือและประสบการณ์ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้และทำลายได้ ขณะที่ศาลจังหวัดนราธิวาส อนุมัติออกหมายจับนายอับดุลเลาะห์ สาเมาะ อายุ 30 ปี และนายอับดุลเลาะ บูละ อายุ 40 ปี มีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี รวม 14 หมายจับ มาจากหลักฐานดีเอ็นเอในที่เกิดเหตุ #Newskit
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • รหัสลับบทกวีจีนจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก>

    Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยาย/ซีรีส์จีนจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใครที่ดูซีรีส์เรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> แล้วรู้สึกสะดุดหูกับจังหวะจะโคนของรหัสลับที่องครักษ์ชุดแดงใช้ยืนยันตัวตนกันหรือไม่? สำหรับ Storyฯ แล้วมันเตะหูพอสมควร เพราะรหัสลับเหล่านี้ล้วนเป็นวลีจากบทกวีจีนโบราณ

    รหัสลับที่ยกตัวอย่างมาคุยกันวันนี้ คือตอนที่หรูอี้ให้คนปลอมตัวไปหาองครักษ์ชุดแดงเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าหลินหลงตาย รหัสลับถามตอบนี้คือ ‘ซานสือลิ่วกงถู่ฮวาปี้’ (三十六宫土花碧) และ ‘เทียนรั่วโหย่วฉิงเทียนอี้เหล่า’ (天若有情天亦老) Storyฯ ขอแปลว่า ‘สามสิบหกพระตำหนัก ตะไคร่คลุมธรณี / หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’

    ฟังแล้วคงไม่ได้ใจความนัก เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่วรรคที่ต่อเนื่องกัน แต่ทั้งสองวรรคนี้ปรากฏอยู่ในบทกวีเดียวกันที่มีชื่อว่า ‘จินถงเซียนเหรินฉือฮั่นเกอ’ (金铜仙人辞汉歌 แปลได้ประมาณว่า ลำนำเซียนจินถงลาจากแดนฮั่น) เป็นผลงานของหลี่เฮ่อ (ค.ศ. 790-816) สี่สุดยอดกวีแห่งสมัยถัง และนี่เป็นหนึ่งในบทกวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของเขา มันเป็นบทกวียาวที่กล่าวถึงการล่มสลายของอาณาจักรฮั่นที่ครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง แต่กลับเหลือเพียงพระตำหนักที่ว่างร้างจนตะไคร่ปกคลุม เทพเซียนร่ำไห้ลาจาก จนถึงขนาดว่าถ้าฟ้ามีจิตใจรักได้เหมือนคน ก็คงรู้สึกอนาจใจเศร้าจนแก่ชราไปเช่นคน บทกวีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าอาดูรและแค้นใจในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลี่เฮ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์ถังอ่อนแอ และเขาเองจำเป็นต้องลาออกจากราชการและเดินทางจากนครฉางอันไปด้วยอาการป่วย

    แต่ที่ Storyฯ รู้สึกว่าน่าสนใจมากก็คือ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นโจทย์ในการดวลบทกวีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับซีรีส์และนิยายจีนโบราณคงเคยผ่านตาว่า การดวลบทกวีนี้ เป็นการต่อกลอนคู่ โดยคนหนึ่งตั้งโจทย์วรรคแรก อีกคนมาแต่งวรรคต่อให้จบ ซึ่งวรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นวรรคแรกของกลอนคู่โดยไม่มีใครสามารถต่อวรรคท้ายได้อย่างสมบูรณ์มากว่าสองร้อยปี! ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับยุคสมัยที่มีนักอักษรและนักประพันธ์มากมายอย่างสมัยถัง

    อนึ่ง การต่อวรรคคู่ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีจำนวนอักษรเท่ากันและมีเสียงสูงเสียงต่ำคล้องจองกันเท่านั้น แต่ต้องมีความลงตัวในหลายด้าน เป็นต้นว่า 1) มีบริบทใกล้เคียง เช่น กล่าวถึงวัตถุที่จับต้องได้เหมือนกัน หรือจับต้องไม่ได้เหมือนกัน เป็นวัตถุที่สื่อความหมายในเชิงเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่วรรคแรกกล่าวถึงดอกไม้ วรรคหลังพูดถึงโต๊ะ อะไรอย่างนี้; 2) คุณศัพท์ที่ขยายนามหรืออารมณ์ที่สื่อต้องเหมือนกันหรือตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพื่อแสดงความขัดแย้งบางอย่าง เช่น ฝนตกหนักกับแดดแรงจ้า หรือ ฝนตกหนักกับหยดน้ำเล็ก; ฯลฯ

    วรรค ‘หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ นี้มีคนต่อวรรคหลังมากมาย แต่ไม่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์จวบจนสมัยราชวงศ์ซ่ง ผู้ที่ต่อวรรคหลังนี้คือสือเหยียนเหนียน (ค.ศ. 994-1041) นักอักษรและกวีสมัยซ่งเหนือ ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากดื่มสุราไปหลายกรึ๊บ ในยามกึ่งเมากึ่งมีสตินั้น เขาได้ยินคนรอบข้างต่อวรรค ‘หากฟ้ามีใจฯ’ นี้กันอยู่ จึงโพล่งวรรคต่อออกมาในทันใด ซึ่งก็คือ ‘หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง’ (月如无恨月长圆 / เยวี่ยหรูอู๋เฮิ่นเยวี่ยฉางเหยวียน) เป็นการต่อวรรคที่สมบูรณ์จนคนตะลึง เพราะไม่เพียงอักขระ คำบรรยายและบริบทลงตัว หากแต่ความหมายแฝงที่สื่อถึงสัจธรรมแห่งชีวิตยังสอดคล้องอีกด้วย

    ... หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน ...
    ... หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง ...

    วรรคต้นที่ไม่มีใครต่อวรรคได้มากว่าสองร้อยปี เกิดวรรคต่อที่สะเทือนวงการนักอักษรในสมัยนั้นจนถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพื่อนเพจอ่านและตีความแล้วได้ความรู้สึกอย่างไรคะ? เห็นความเป็น ‘กลอนคู่’ ของมันหรือไม่?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_25539972
    https://k.sina.cn/article_6502395912_18392b008001004rs9.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_33199885635a.aspx
    https://baike.baidu.com/金铜仙人辞汉歌/1659854
    https://www.sohu.com/a/484704098_100135144
    https://www.workercn.cn/c/2024-02-06/8143503.shtml

    #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #หลี่เฮ่อ #กวีถัง #หากฟ้ามีใจรัก #สือเหยียนเหนียน
    รหัสลับบทกวีจีนจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> Storyฯ รู้สึกว่า บทกวีจีนโบราณนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยาย/ซีรีส์จีนจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใครที่ดูซีรีส์เรื่อง <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> แล้วรู้สึกสะดุดหูกับจังหวะจะโคนของรหัสลับที่องครักษ์ชุดแดงใช้ยืนยันตัวตนกันหรือไม่? สำหรับ Storyฯ แล้วมันเตะหูพอสมควร เพราะรหัสลับเหล่านี้ล้วนเป็นวลีจากบทกวีจีนโบราณ รหัสลับที่ยกตัวอย่างมาคุยกันวันนี้ คือตอนที่หรูอี้ให้คนปลอมตัวไปหาองครักษ์ชุดแดงเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าหลินหลงตาย รหัสลับถามตอบนี้คือ ‘ซานสือลิ่วกงถู่ฮวาปี้’ (三十六宫土花碧) และ ‘เทียนรั่วโหย่วฉิงเทียนอี้เหล่า’ (天若有情天亦老) Storyฯ ขอแปลว่า ‘สามสิบหกพระตำหนัก ตะไคร่คลุมธรณี / หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ ฟังแล้วคงไม่ได้ใจความนัก เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่วรรคที่ต่อเนื่องกัน แต่ทั้งสองวรรคนี้ปรากฏอยู่ในบทกวีเดียวกันที่มีชื่อว่า ‘จินถงเซียนเหรินฉือฮั่นเกอ’ (金铜仙人辞汉歌 แปลได้ประมาณว่า ลำนำเซียนจินถงลาจากแดนฮั่น) เป็นผลงานของหลี่เฮ่อ (ค.ศ. 790-816) สี่สุดยอดกวีแห่งสมัยถัง และนี่เป็นหนึ่งในบทกวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของเขา มันเป็นบทกวียาวที่กล่าวถึงการล่มสลายของอาณาจักรฮั่นที่ครั้งหนึ่งเคยเรืองรอง แต่กลับเหลือเพียงพระตำหนักที่ว่างร้างจนตะไคร่ปกคลุม เทพเซียนร่ำไห้ลาจาก จนถึงขนาดว่าถ้าฟ้ามีจิตใจรักได้เหมือนคน ก็คงรู้สึกอนาจใจเศร้าจนแก่ชราไปเช่นคน บทกวีนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าอาดูรและแค้นใจในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงสภาพจิตใจของหลี่เฮ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์ถังอ่อนแอ และเขาเองจำเป็นต้องลาออกจากราชการและเดินทางจากนครฉางอันไปด้วยอาการป่วย แต่ที่ Storyฯ รู้สึกว่าน่าสนใจมากก็คือ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นโจทย์ในการดวลบทกวีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเพื่อนเพจที่คุ้นเคยกับซีรีส์และนิยายจีนโบราณคงเคยผ่านตาว่า การดวลบทกวีนี้ เป็นการต่อกลอนคู่ โดยคนหนึ่งตั้งโจทย์วรรคแรก อีกคนมาแต่งวรรคต่อให้จบ ซึ่งวรรค ‘หากฟ้ามีใจรักฯ’ นี้ ถูกนำมาใช้เป็นวรรคแรกของกลอนคู่โดยไม่มีใครสามารถต่อวรรคท้ายได้อย่างสมบูรณ์มากว่าสองร้อยปี! ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับยุคสมัยที่มีนักอักษรและนักประพันธ์มากมายอย่างสมัยถัง อนึ่ง การต่อวรรคคู่ที่ดีนั้น ไม่ใช่แค่มีจำนวนอักษรเท่ากันและมีเสียงสูงเสียงต่ำคล้องจองกันเท่านั้น แต่ต้องมีความลงตัวในหลายด้าน เป็นต้นว่า 1) มีบริบทใกล้เคียง เช่น กล่าวถึงวัตถุที่จับต้องได้เหมือนกัน หรือจับต้องไม่ได้เหมือนกัน เป็นวัตถุที่สื่อความหมายในเชิงเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่วรรคแรกกล่าวถึงดอกไม้ วรรคหลังพูดถึงโต๊ะ อะไรอย่างนี้; 2) คุณศัพท์ที่ขยายนามหรืออารมณ์ที่สื่อต้องเหมือนกันหรือตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเพื่อแสดงความขัดแย้งบางอย่าง เช่น ฝนตกหนักกับแดดแรงจ้า หรือ ฝนตกหนักกับหยดน้ำเล็ก; ฯลฯ วรรค ‘หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน’ นี้มีคนต่อวรรคหลังมากมาย แต่ไม่มีความลงตัวอย่างสมบูรณ์จวบจนสมัยราชวงศ์ซ่ง ผู้ที่ต่อวรรคหลังนี้คือสือเหยียนเหนียน (ค.ศ. 994-1041) นักอักษรและกวีสมัยซ่งเหนือ ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากดื่มสุราไปหลายกรึ๊บ ในยามกึ่งเมากึ่งมีสตินั้น เขาได้ยินคนรอบข้างต่อวรรค ‘หากฟ้ามีใจฯ’ นี้กันอยู่ จึงโพล่งวรรคต่อออกมาในทันใด ซึ่งก็คือ ‘หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง’ (月如无恨月长圆 / เยวี่ยหรูอู๋เฮิ่นเยวี่ยฉางเหยวียน) เป็นการต่อวรรคที่สมบูรณ์จนคนตะลึง เพราะไม่เพียงอักขระ คำบรรยายและบริบทลงตัว หากแต่ความหมายแฝงที่สื่อถึงสัจธรรมแห่งชีวิตยังสอดคล้องอีกด้วย ... หากฟ้ามีใจรัก ฟ้าย่อมชราลงเช่นกัน ... ... หากจันทร์ไร้ใจเกลียด จันทร์ย่อมเต็มดวงยืนยง ... วรรคต้นที่ไม่มีใครต่อวรรคได้มากว่าสองร้อยปี เกิดวรรคต่อที่สะเทือนวงการนักอักษรในสมัยนั้นจนถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว เพื่อนเพจอ่านและตีความแล้วได้ความรู้สึกอย่างไรคะ? เห็นความเป็น ‘กลอนคู่’ ของมันหรือไม่? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://m.thepaper.cn/newsDetail_forward_25539972 https://k.sina.cn/article_6502395912_18392b008001004rs9.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://so.gushiwen.cn/shiwenv_33199885635a.aspx https://baike.baidu.com/金铜仙人辞汉歌/1659854 https://www.sohu.com/a/484704098_100135144 https://www.workercn.cn/c/2024-02-06/8143503.shtml #ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก #หลี่เฮ่อ #กวีถัง #หากฟ้ามีใจรัก #สือเหยียนเหนียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจไซเบอร์บุกจับเจ้าของเพจ “ลมเปลี่ยนทิศ” ตัดต่อภาพล้อเลียน “ทักษิณ” โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เจตนาทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังและอับอาย

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000005167

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจไซเบอร์บุกจับเจ้าของเพจ “ลมเปลี่ยนทิศ” ตัดต่อภาพล้อเลียน “ทักษิณ” โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เจตนาทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังและอับอาย อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000005167 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว
  • 171/68

    วินทร์ เลียววาริณ
    15 มกราคม 2568

    ลูกค้าคนล่าสุดในคืนนี้เป็นฝรั่งผมสีทอง ร่างหนาใหญ่ หน้าตาคุ้นๆ

    หลายคนทักเขา "ท่านเอง"

    'ท่านเอง' วางก้นบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ บอกข้าพเจ้า "วันนี้อยากกินกรีนแลนด์"

    ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว ถาม "ท่านหมายถึง Greenland Cocktail?"

    "ผมหมายถึงกรีนแลนด์จริงๆ"

    "ท่านจะยึดเกรียนแลนด์?"

    "กรีนแลนด์ ไม่ใช่เกรียนแลนด์ เกรียนแลนด์ยึดไปให้ปวดหัวทำไม"

    "ขออภัย ยึดกรีนแลนด์ไปทำไมครับ มันเป็นดินแดนน้ำแข็ง ถ้าท่านชอบที่เย็นๆ มาเมืองไทยตอนนี้ดีที่สุด อุณหภูมิที่กรุงเทพฯ 18 องศา กำลังดี ยกเว้นฝุ่น 2.5 นิดหน่อย ผู้ว่าฯบอกว่าไม่เป็นไร แค่ work from home ก็จบ"

    "ผมต้องยึดเกรียนแลนด์ เอ๊ย! กรีนแลนด์ เพราะต้องขัดขวางพวกจีน สายลับของผมสืบมาว่าจีนจะสร้างเส้นทางค้าขายข้ามกรีนแลนด์ เรียกว่า Ice Silk Road"

    "แล้วพวกกรีนแลนด์จะยอมให้ท่านยึดหรือไฉน?"

    "เราเป็นพี่เบิ้ม ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด"

    "งั้นท่านก็ควรฉลองการยึดล่วงหน้า ด้วยค็อคเทล Greenland ดื่มให้สบายใจดีกว่า"

    "ค็อคเทลนี้ทำยังไง?"

    "Greenland Cocktail ทำมาจากน้ำส้มผสมว็อดกา เติม Amaretto almond liqueur กับ Blue Curacao liqueur และไข่ อ้อ! ใส่เชอร์รีและใบมินท์เข้าไปด้วยเพื่อให้สวย"

    'ท่านเอง' ดื่ม Greenland Cocktail จนหมดแก้ว แล้วเอ่ย "คราวนี้ผมอยากกินปานามา"

    "ท่านหมายถึงค็อคเทล Panama ที่ทำด้วย บรั่นดี Creme de Cacao น้ำแข็ง ครีม?"

    "ค็อคเทลที่คุณว่ามานี้ก็เอา แต่จะยึดปานามาด้วย"

    "ยึดไปทำไมครับ?"

    "พวกจีนไปคุมคลองปานามา เราต้องไปยึดคืนมา"

    "งั้นฉลองด้วยค็อคเทล Panama นะครับ"

    ค็อคเทล Panama หายลงท้อง 'ท่านเอง' กล่าว "คราวนี้ผมอยากกินรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ"

    "ท่านหมายถึงเบียร์ยี่ห้อ 51st State?"

    "เบียร์ก็เอา แต่เวลาพูดถึงรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ผมหมายถึงแคนาดา"

    "ท่านจะยึดแคนาดาไปทำไมครับ ในเมื่อผู้นำแคนาดาก็เป็นลูกน้องท่านอยู่แล้ว สั่งให้ทำอะไรก็ทำ"

    "ก็อยากยึด ยึดแล้วเท่ เข้าใจมั้ย? เราเป็นพี่เบิ้ม ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด"

    "จริงครับ งั้นดื่มรัฐที่ 51 เลยครับ"

    ข้าพเจ้าเสิร์ฟเบียร์ 51st State ให้ 'ท่านเอง' แล้วกล่าวว่า "เห็นท่านยึดประเทศนั้นประเทศนี้แล้วผมกลัวมากว่าท่านจะมายึดไทยแลนด์ด้วย"

    'ท่านเอง' สำลักเบียร์ สั่นหัว

    "โน! โน! โน! ไม่เอา ไม่ยึดไทยแลนด์ ยึดไปแล้วเหนื่อย ต้องแก้ปัญหามากมาย บ้านคุณมีปัญหาเยอะ นักโทษไม่ต้องเข้าคุก คิดอะไรไม่ออกก็แจกเงินช่วยคนจน กับสร้างบ่อนเพื่อชาติ แก้ฝุ่น 2.5 ไม่ได้ก็ work from home อ่านหนังสือแปดบรรทัดก็รู้หมดทุกอย่าง เรียนหนังสือก็จ่ายครบจบแน่ มาตรฐานการศึกษาแย่ก็แจกแท็บเล็ต แท็กซี่ตีหัวนักท่องเที่ยวกับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้าก็ไม่เห็น ไม่ขายผ้าขาวม้าก็ขาย soft power นี่นั่นโน่น พูดแล้วหมด'รมณ์ ผมไปก่อนละ"

    "เดี๋ยว! ท่านยังไม่จ่ายค่าเครื่องดื่ม"

    "ค่าเครื่องดื่มนี่ขอยึดนะ เราเป็นพี่เบิ้ม ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด"
    ..............................

    หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
    171/68 วินทร์ เลียววาริณ 15 มกราคม 2568 ลูกค้าคนล่าสุดในคืนนี้เป็นฝรั่งผมสีทอง ร่างหนาใหญ่ หน้าตาคุ้นๆ หลายคนทักเขา "ท่านเอง" 'ท่านเอง' วางก้นบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ บอกข้าพเจ้า "วันนี้อยากกินกรีนแลนด์" ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว ถาม "ท่านหมายถึง Greenland Cocktail?" "ผมหมายถึงกรีนแลนด์จริงๆ" "ท่านจะยึดเกรียนแลนด์?" "กรีนแลนด์ ไม่ใช่เกรียนแลนด์ เกรียนแลนด์ยึดไปให้ปวดหัวทำไม" "ขออภัย ยึดกรีนแลนด์ไปทำไมครับ มันเป็นดินแดนน้ำแข็ง ถ้าท่านชอบที่เย็นๆ มาเมืองไทยตอนนี้ดีที่สุด อุณหภูมิที่กรุงเทพฯ 18 องศา กำลังดี ยกเว้นฝุ่น 2.5 นิดหน่อย ผู้ว่าฯบอกว่าไม่เป็นไร แค่ work from home ก็จบ" "ผมต้องยึดเกรียนแลนด์ เอ๊ย! กรีนแลนด์ เพราะต้องขัดขวางพวกจีน สายลับของผมสืบมาว่าจีนจะสร้างเส้นทางค้าขายข้ามกรีนแลนด์ เรียกว่า Ice Silk Road" "แล้วพวกกรีนแลนด์จะยอมให้ท่านยึดหรือไฉน?" "เราเป็นพี่เบิ้ม ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด" "งั้นท่านก็ควรฉลองการยึดล่วงหน้า ด้วยค็อคเทล Greenland ดื่มให้สบายใจดีกว่า" "ค็อคเทลนี้ทำยังไง?" "Greenland Cocktail ทำมาจากน้ำส้มผสมว็อดกา เติม Amaretto almond liqueur กับ Blue Curacao liqueur และไข่ อ้อ! ใส่เชอร์รีและใบมินท์เข้าไปด้วยเพื่อให้สวย" 'ท่านเอง' ดื่ม Greenland Cocktail จนหมดแก้ว แล้วเอ่ย "คราวนี้ผมอยากกินปานามา" "ท่านหมายถึงค็อคเทล Panama ที่ทำด้วย บรั่นดี Creme de Cacao น้ำแข็ง ครีม?" "ค็อคเทลที่คุณว่ามานี้ก็เอา แต่จะยึดปานามาด้วย" "ยึดไปทำไมครับ?" "พวกจีนไปคุมคลองปานามา เราต้องไปยึดคืนมา" "งั้นฉลองด้วยค็อคเทล Panama นะครับ" ค็อคเทล Panama หายลงท้อง 'ท่านเอง' กล่าว "คราวนี้ผมอยากกินรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ" "ท่านหมายถึงเบียร์ยี่ห้อ 51st State?" "เบียร์ก็เอา แต่เวลาพูดถึงรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ผมหมายถึงแคนาดา" "ท่านจะยึดแคนาดาไปทำไมครับ ในเมื่อผู้นำแคนาดาก็เป็นลูกน้องท่านอยู่แล้ว สั่งให้ทำอะไรก็ทำ" "ก็อยากยึด ยึดแล้วเท่ เข้าใจมั้ย? เราเป็นพี่เบิ้ม ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด" "จริงครับ งั้นดื่มรัฐที่ 51 เลยครับ" ข้าพเจ้าเสิร์ฟเบียร์ 51st State ให้ 'ท่านเอง' แล้วกล่าวว่า "เห็นท่านยึดประเทศนั้นประเทศนี้แล้วผมกลัวมากว่าท่านจะมายึดไทยแลนด์ด้วย" 'ท่านเอง' สำลักเบียร์ สั่นหัว "โน! โน! โน! ไม่เอา ไม่ยึดไทยแลนด์ ยึดไปแล้วเหนื่อย ต้องแก้ปัญหามากมาย บ้านคุณมีปัญหาเยอะ นักโทษไม่ต้องเข้าคุก คิดอะไรไม่ออกก็แจกเงินช่วยคนจน กับสร้างบ่อนเพื่อชาติ แก้ฝุ่น 2.5 ไม่ได้ก็ work from home อ่านหนังสือแปดบรรทัดก็รู้หมดทุกอย่าง เรียนหนังสือก็จ่ายครบจบแน่ มาตรฐานการศึกษาแย่ก็แจกแท็บเล็ต แท็กซี่ตีหัวนักท่องเที่ยวกับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้าก็ไม่เห็น ไม่ขายผ้าขาวม้าก็ขาย soft power นี่นั่นโน่น พูดแล้วหมด'รมณ์ ผมไปก่อนละ" "เดี๋ยว! ท่านยังไม่จ่ายค่าเครื่องดื่ม" "ค่าเครื่องดื่มนี่ขอยึดนะ เราเป็นพี่เบิ้ม ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด" .............................. หมายเหตุ เหล้าทั้งหมดนี้มีจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ต่อย ดายศ” พี่ชาย “แตงโม” ไปดูจำลองเหตุการณ์ตกน้ำ ยังทำใจไม่ได้ ซัดแค้น โกรธ เกลียด พวกมันทุกตัว! ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้น้องสาวเสียชีวิตลง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004945

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes

    “ต่อย ดายศ” พี่ชาย “แตงโม” ไปดูจำลองเหตุการณ์ตกน้ำ ยังทำใจไม่ได้ ซัดแค้น โกรธ เกลียด พวกมันทุกตัว! ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้น้องสาวเสียชีวิตลง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004945 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    14
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1243 มุมมอง 0 รีวิว
  • 40 คำคมทรงพลังจากเพลโต ปราชญ์ผู้วางรากฐานปัญญาตะวันตก
    .
    กว่าสองพันสี่ร้อยปีผ่านไป เสียงกังวานแห่งปัญญาของเพลโต (Plato, 428-348 BC) ยังคงก้องกึกในโลกแห่งความคิด Plato เป็นหนึ่งในเป็นผู้วางรากฐานการคิดเชิงปรัชญาให้แก่อารยธรรมตะวันตก จนมีผู้กล่าวว่า "Western philosophy is but a series of footnotes to Plato" (ปรัชญาตะวันตกทั้งมวลเป็นเพียงเชิงอรรถของเพลโต)
    .
    ในฐานะผู้ก่อตั้ง Platonic Academy (สำนักปรัชญาอคาเดมี) สถาบันการศึกษาแห่งแรกของโลกตะวันตก เพลโตได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วโลก
    .
    ผลงานอมตะของเพลโตที่ยังคงทรงอิทธิพลจวบจนปัจจุบัน อาทิ "Allegory of the Cave" (อุปมาถ้ำ) ที่เปรียบเทียบมนุษย์ผู้ติดอยู่กับโลกแห่งเงา และ "Theory of Forms" (ทฤษฎีแบบ) ที่เสนอว่าทุกสิ่งในโลกวัตถุล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของแบบ หรือแม่แบบที่สมบูรณ์แบบในโลกแห่งความคิด
    .
    งานเขียนสำคัญของเขาอย่าง "The Republic" (รัฐ) วางรากฐานแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง ขณะที่ "Symposium" (งานเลี้ยงสนทนา) ถกประเด็นความรักและความงามอันเป็นนิรันดร์
    .
    แนวคิดของเพลโตได้หล่อหลอมวิธีคิดของโลกในทุกแขนง ทั้งปรัชญา ศาสนา การเมือง การศึกษา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ อิทธิพลของเขาแผ่ขยายจากกรีกโบราณ ผ่านจักรวรรดิโรมัน ผ่านยุคกลาง ผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงโลกสมัยใหม่ ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมโลก
    .
    40 คำคมของเพลโตที่รวบรวมมานี้สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางความคิดที่เชื่อมโยงสวรรค์กับโลก อุดมคติกับความเป็นจริง และชี้นำมนุษย์สู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุด
    .
    .
    1. "Music gives a soul to the universe, wings to the mind, flight to the imagination and life to everything."

    "ดนตรีมอบจิตวิญญาณให้จักรวาล มอบปีกให้ความคิด มอบการโบยบินให้จินตนาการ และมอบชีวิตให้ทุกสิ่ง"
    .
    .
    2. "Wise men speak because they have something to say; fools because they have to say something."

    "คนฉลาดพูดเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะบอก คนโง่พูดเพราะต้องพูดอะไรสักอย่าง"
    .
    .
    3. "The beginning is the most important part of the work."

    "จุดเริ่มต้นคือส่วนสำคัญที่สุดของงาน"
    .
    .
    4. "No one is more hated than he who speaks the truth."

    "ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง"
    .
    .
    5. "Necessity is the mother of invention."
    "ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์คิดค้น"
    .
    .
    6. "Human behavior flows from three main sources: desire, emotion, and knowledge."

    "พฤติกรรมมนุษย์หลั่งไหลมาจากสามแหล่งหลัก: ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้"
    .
    .
    7. "The measure of a man is what he does with power."

    "เครื่องวัดคุณค่าของมนุษย์คือสิ่งที่เขาทำเมื่อมีอำนาจ"
    .
    .
    8. "The first and best victory is to conquer self."

    "ชัยชนะแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะใจตนเอง"
    .
    .
    9. "The penalty that good men pay for not being interested in politics is to be governed by men worse than themselves."

    "บทลงโทษที่คนดีต้องจ่ายสำหรับการไม่สนใจการเมืองคือการถูกปกครองโดยคนที่เลวร้ายกว่าตน"
    .
    .
    10. "Those who tell the stories rule society."

    "ผู้ที่เล่าเรื่องราวคือผู้ปกครองสังคม"
    .
    .
    11. "No wealth can ever make a bad man at peace with himself."

    "ไม่มีความมั่งคั่งใดจะทำให้คนเลวอยู่อย่างสงบกับตัวเองได้"
    .
    .
    12. "Ignorance, the root and the stem of every evil."

    "ความโง่เขลาคือรากเหง้าและลำต้นของความชั่วร้ายทั้งปวง"
    .
    .
    13. "We can easily forgive a child who is afraid of the dark; the real tragedy of life is when men are afraid of the light."

    "เราให้อภัยเด็กที่กลัวความมืดได้ง่าย แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิตคือเมื่อผู้คนกลัวแสงสว่าง"
    .
    .
    14. "The worst form of injustice is pretended justice."

    "ความอยุติธรรมที่เลวร้ายที่สุดคือความยุติธรรมจอมปลอม"
    .
    .
    15. "Opinion is the medium between knowledge and ignorance."

    "ความคิดเห็นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความรู้และความโง่เขลา"
    .
    .
    16. "Geometry existed before creation."

    "เรขาคณิตมีอยู่ก่อนการสร้างสรรค์"
    .
    .
    17. "Writing is the geometry of the soul."
    "การเขียนคือเรขาคณิตของจิตวิญญาณ"
    .
    .
    18. "Courage is knowing what not to fear."

    "ความกล้าหาญคือการรู้ว่าอะไรไม่ควรกลัว"
    .
    .
    19. "An empty vessel makes the loudest sound, so they that have the least wit are the greatest babblers."

    "ภาชนะที่ว่างเปล่าส่งเสียงดังที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดมักเป็นผู้พูดมากที่สุด"
    .
    .
    20. "Education is teaching our children to desire the right things."

    "การศึกษาคือการสอนลูกหลานของเราให้ปรารถนาในสิ่งที่ถูกต้อง"
    .
    .
    21. "Philosophy is the highest music."

    "ปรัชญาคือดนตรีที่สูงส่งที่สุด"
    .
    .
    22. "There are three classes of men; lovers of wisdom, lovers of honor, and lovers of gain."

    "มนุษย์มีสามประเภท: ผู้รักปัญญา ผู้รักเกียรติยศ และผู้รักผลประโยชน์"
    .
    .
    23. "Do not train a child to learn by force or harshness; but direct them to it by what amuses their minds, so that you may be better able to discover with accuracy the peculiar bent of the genius of each."

    "อย่าฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยการบังคับหรือความรุนแรง แต่จงชี้นำพวกเขาด้วยสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้จิตใจ เพื่อที่คุณจะสามารถค้นพบความโน้มเอียงพิเศษของอัจฉริยภาพในตัวพวกเขาแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ"
    .
    .
    24. "You should not honor men more than truth."

    "อย่าให้เกียรติมนุษย์มากกว่าความจริง"
    .
    .
    25. "A hero is born among a hundred, a wise man is found among a thousand, but an accomplished one might not be found even among a hundred thousand men."

    "วีรบุรุษเกิดขึ้นในหนึ่งร้อย ปราชญ์พบได้ในหนึ่งพัน แต่ผู้ที่สมบูรณ์แบบอาจไม่พบแม้ในหนึ่งแสนคน"
    .
    .
    26. "At the touch of love everyone becomes a poet."

    "เมื่อสัมผัสความรัก ทุกคนกลายเป็นกวี"
    .
    .
    27. "There should exist among the citizens neither extreme poverty nor again excessive wealth, for both are productive of great evil."

    "ในหมู่พลเมืองไม่ควรมีทั้งความยากจนสุดขั้วหรือความมั่งคั่งล้นเหลือ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนก่อให้เกิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวง"
    .
    .
    28. "As the builders say, the larger stones do not lie well without the lesser."

    "ดังที่ช่างก่อสร้างว่า หินก้อนใหญ่ไม่อาจวางได้ดีหากปราศจากหินก้อนเล็ก"
    .
    .
    29. "The most virtuous are those who content themselves with being virtuous without seeking to appear so."

    "ผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดคือผู้ที่พอใจในการมีคุณธรรมโดยไม่พยายามทำให้ดูเหมือนว่ามี"
    .
    .
    30. "For this feeling of wonder shows that you are a philosopher, since wonder is the only beginning of philosophy."

    "ความรู้สึกประหลาดใจนี้แสดงว่าคุณเป็นนักปรัชญา เพราะความประหลาดใจคือจุดเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดียวของปรัชญา"
    .
    .
    31. "Courage is a kind of salvation."

    "ความกล้าหาญคือรูปแบบหนึ่งของการหลุดพ้น"
    .
    .
    32. "The highest reach of injustice is to be deemed just when you are not."

    "จุดสูงสุดของความอยุติธรรมคือการถูกมองว่ายุติธรรมทั้งที่ไม่ใช่"
    .
    .
    33. "No science or art considers or enjoins the interest of the stronger or superior, but only the interest of the subject and weaker."

    "ไม่มีวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดพิจารณาหรือบังคับผลประโยชน์ของผู้แข็งแกร่งหรือผู้เหนือกว่า แต่เพียงผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้อ่อนแอกว่า"
    .
    .
    34. "For the uneducated, when they engage in argument about anything, give no thought to the truth about the subject of discussion but are only eager that those present will accept the position they have set forth."

    "สำหรับผู้ไร้การศึกษา เมื่อพวกเขาโต้แย้งเรื่องใดก็ตาม พวกเขาไม่คิดถึงความจริงเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังอภิปราย แต่กระตือรือร้นเพียงให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นยอมรับจุดยืนที่พวกเขานำเสนอเท่านั้น"
    .
    .
    35. "Neither do the ignorant seek after wisdom. For herein is the evil of ignorance, that he who is neither good nor wise is nevertheless satisfied with himself: he has no desire for that of which he feels no want."

    "คนโง่เขลาไม่แสวงหาปัญญา เพราะนี่คือความชั่วร้ายของความโง่เขลา ที่ผู้ซึ่งไม่ดีและไม่ฉลาดกลับพอใจในตัวเอง: เขาไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ขาด"
    .
    .
    36. "The man who finds that in the course of his life he has done a lot of wrong often wakes up at night in terror, like a child with a nightmare, and his life is full of foreboding: but the man who is conscious of no wrongdoing is filled with cheerfulness and with the comfort of old age."

    "ผู้ที่พบว่าในช่วงชีวิตของเขาได้ทำผิดมากมักตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัว เหมือนเด็กที่ฝันร้าย และชีวิตของเขาเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดจะเต็มไปด้วยความร่าเริงและความสบายใจในวัยชรา"
    .
    .
    37. "Now early life is very impressible, and children ought not to learn what they will have to unlearn when they grow up; we must therefore have a censorship of nursery tales, banishing some and keeping others."

    "ชีวิตในวัยต้นนั้นรับอิทธิพลได้ง่าย และเด็กๆ ไม่ควรเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาจะต้องลืมเมื่อโตขึ้น เราจึงต้องมีการกลั่นกรองนิทานสำหรับเด็ก กำจัดบางเรื่องและเก็บบางเรื่องไว้"
    .
    .
    38. "There's no difficulty in choosing vice in abundance: the road is smooth and it's hardly any distance to where it lives. But the gods have put sweat in the way of goodness, and a long, rough, steep road."

    "ไม่มีความยากลำบากในการเลือกความชั่วที่มีอยู่มากมาย: ถนนราบเรียบและแทบไม่มีระยะทางไปถึงที่อยู่ของมัน แต่เทพเจ้าได้วางเหงื่อไว้ในเส้นทางแห่งความดี และเป็นถนนที่ยาว ขรุขระ และชัน"
    .
    .
    39. "It is not Love absolutely that is good or praiseworthy, but only that Love which impels meant to love aright."

    "ไม่ใช่ความรักทั้งหมดที่ดีหรือน่าสรรเสริญ แต่เป็นเพียงความรักที่ผลักดันให้รักอย่างถูกต้องเท่านั้น"
    .
    .
    40. "Both knowledge and truth are beautiful things, but the good is other and more beautiful than they."

    "ทั้งความรู้และความจริงเป็นสิ่งงดงาม แต่ความดีนั้นแตกต่างและงดงามยิ่งกว่า"
    .
    .
    .
    .
    #SuccessStrategies #Quotes #Plato #Mindset #Politic
    40 คำคมทรงพลังจากเพลโต ปราชญ์ผู้วางรากฐานปัญญาตะวันตก . กว่าสองพันสี่ร้อยปีผ่านไป เสียงกังวานแห่งปัญญาของเพลโต (Plato, 428-348 BC) ยังคงก้องกึกในโลกแห่งความคิด Plato เป็นหนึ่งในเป็นผู้วางรากฐานการคิดเชิงปรัชญาให้แก่อารยธรรมตะวันตก จนมีผู้กล่าวว่า "Western philosophy is but a series of footnotes to Plato" (ปรัชญาตะวันตกทั้งมวลเป็นเพียงเชิงอรรถของเพลโต) . ในฐานะผู้ก่อตั้ง Platonic Academy (สำนักปรัชญาอคาเดมี) สถาบันการศึกษาแห่งแรกของโลกตะวันตก เพลโตได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วโลก . ผลงานอมตะของเพลโตที่ยังคงทรงอิทธิพลจวบจนปัจจุบัน อาทิ "Allegory of the Cave" (อุปมาถ้ำ) ที่เปรียบเทียบมนุษย์ผู้ติดอยู่กับโลกแห่งเงา และ "Theory of Forms" (ทฤษฎีแบบ) ที่เสนอว่าทุกสิ่งในโลกวัตถุล้วนเป็นเพียงเงาสะท้อนของแบบ หรือแม่แบบที่สมบูรณ์แบบในโลกแห่งความคิด . งานเขียนสำคัญของเขาอย่าง "The Republic" (รัฐ) วางรากฐานแนวคิดทางการเมืองและการปกครอง ขณะที่ "Symposium" (งานเลี้ยงสนทนา) ถกประเด็นความรักและความงามอันเป็นนิรันดร์ . แนวคิดของเพลโตได้หล่อหลอมวิธีคิดของโลกในทุกแขนง ทั้งปรัชญา ศาสนา การเมือง การศึกษา วิทยาศาสตร์ และศิลปะ อิทธิพลของเขาแผ่ขยายจากกรีกโบราณ ผ่านจักรวรรดิโรมัน ผ่านยุคกลาง ผ่านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จนถึงโลกสมัยใหม่ ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมโลก . 40 คำคมของเพลโตที่รวบรวมมานี้สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางความคิดที่เชื่อมโยงสวรรค์กับโลก อุดมคติกับความเป็นจริง และชี้นำมนุษย์สู่การแสวงหาสัจธรรมอันสูงสุด . . 1. "Music gives a soul to the universe, wings to the mind, flight to the imagination and life to everything." "ดนตรีมอบจิตวิญญาณให้จักรวาล มอบปีกให้ความคิด มอบการโบยบินให้จินตนาการ และมอบชีวิตให้ทุกสิ่ง" . . 2. "Wise men speak because they have something to say; fools because they have to say something." "คนฉลาดพูดเพราะมีสิ่งที่ต้องการจะบอก คนโง่พูดเพราะต้องพูดอะไรสักอย่าง" . . 3. "The beginning is the most important part of the work." "จุดเริ่มต้นคือส่วนสำคัญที่สุดของงาน" . . 4. "No one is more hated than he who speaks the truth." "ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง" . . 5. "Necessity is the mother of invention." "ความจำเป็นคือบ่อเกิดแห่งการประดิษฐ์คิดค้น" . . 6. "Human behavior flows from three main sources: desire, emotion, and knowledge." "พฤติกรรมมนุษย์หลั่งไหลมาจากสามแหล่งหลัก: ความปรารถนา อารมณ์ และความรู้" . . 7. "The measure of a man is what he does with power." "เครื่องวัดคุณค่าของมนุษย์คือสิ่งที่เขาทำเมื่อมีอำนาจ" . . 8. "The first and best victory is to conquer self." "ชัยชนะแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดคือการชนะใจตนเอง" . . 9. "The penalty that good men pay for not being interested in politics is to be governed by men worse than themselves." "บทลงโทษที่คนดีต้องจ่ายสำหรับการไม่สนใจการเมืองคือการถูกปกครองโดยคนที่เลวร้ายกว่าตน" . . 10. "Those who tell the stories rule society." "ผู้ที่เล่าเรื่องราวคือผู้ปกครองสังคม" . . 11. "No wealth can ever make a bad man at peace with himself." "ไม่มีความมั่งคั่งใดจะทำให้คนเลวอยู่อย่างสงบกับตัวเองได้" . . 12. "Ignorance, the root and the stem of every evil." "ความโง่เขลาคือรากเหง้าและลำต้นของความชั่วร้ายทั้งปวง" . . 13. "We can easily forgive a child who is afraid of the dark; the real tragedy of life is when men are afraid of the light." "เราให้อภัยเด็กที่กลัวความมืดได้ง่าย แต่โศกนาฏกรรมที่แท้จริงของชีวิตคือเมื่อผู้คนกลัวแสงสว่าง" . . 14. "The worst form of injustice is pretended justice." "ความอยุติธรรมที่เลวร้ายที่สุดคือความยุติธรรมจอมปลอม" . . 15. "Opinion is the medium between knowledge and ignorance." "ความคิดเห็นคือสิ่งที่อยู่ระหว่างความรู้และความโง่เขลา" . . 16. "Geometry existed before creation." "เรขาคณิตมีอยู่ก่อนการสร้างสรรค์" . . 17. "Writing is the geometry of the soul." "การเขียนคือเรขาคณิตของจิตวิญญาณ" . . 18. "Courage is knowing what not to fear." "ความกล้าหาญคือการรู้ว่าอะไรไม่ควรกลัว" . . 19. "An empty vessel makes the loudest sound, so they that have the least wit are the greatest babblers." "ภาชนะที่ว่างเปล่าส่งเสียงดังที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่มีสติปัญญาน้อยที่สุดมักเป็นผู้พูดมากที่สุด" . . 20. "Education is teaching our children to desire the right things." "การศึกษาคือการสอนลูกหลานของเราให้ปรารถนาในสิ่งที่ถูกต้อง" . . 21. "Philosophy is the highest music." "ปรัชญาคือดนตรีที่สูงส่งที่สุด" . . 22. "There are three classes of men; lovers of wisdom, lovers of honor, and lovers of gain." "มนุษย์มีสามประเภท: ผู้รักปัญญา ผู้รักเกียรติยศ และผู้รักผลประโยชน์" . . 23. "Do not train a child to learn by force or harshness; but direct them to it by what amuses their minds, so that you may be better able to discover with accuracy the peculiar bent of the genius of each." "อย่าฝึกเด็กให้เรียนรู้ด้วยการบังคับหรือความรุนแรง แต่จงชี้นำพวกเขาด้วยสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินให้จิตใจ เพื่อที่คุณจะสามารถค้นพบความโน้มเอียงพิเศษของอัจฉริยภาพในตัวพวกเขาแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ" . . 24. "You should not honor men more than truth." "อย่าให้เกียรติมนุษย์มากกว่าความจริง" . . 25. "A hero is born among a hundred, a wise man is found among a thousand, but an accomplished one might not be found even among a hundred thousand men." "วีรบุรุษเกิดขึ้นในหนึ่งร้อย ปราชญ์พบได้ในหนึ่งพัน แต่ผู้ที่สมบูรณ์แบบอาจไม่พบแม้ในหนึ่งแสนคน" . . 26. "At the touch of love everyone becomes a poet." "เมื่อสัมผัสความรัก ทุกคนกลายเป็นกวี" . . 27. "There should exist among the citizens neither extreme poverty nor again excessive wealth, for both are productive of great evil." "ในหมู่พลเมืองไม่ควรมีทั้งความยากจนสุดขั้วหรือความมั่งคั่งล้นเหลือ เพราะทั้งสองสิ่งล้วนก่อให้เกิดความชั่วร้ายอันใหญ่หลวง" . . 28. "As the builders say, the larger stones do not lie well without the lesser." "ดังที่ช่างก่อสร้างว่า หินก้อนใหญ่ไม่อาจวางได้ดีหากปราศจากหินก้อนเล็ก" . . 29. "The most virtuous are those who content themselves with being virtuous without seeking to appear so." "ผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดคือผู้ที่พอใจในการมีคุณธรรมโดยไม่พยายามทำให้ดูเหมือนว่ามี" . . 30. "For this feeling of wonder shows that you are a philosopher, since wonder is the only beginning of philosophy." "ความรู้สึกประหลาดใจนี้แสดงว่าคุณเป็นนักปรัชญา เพราะความประหลาดใจคือจุดเริ่มต้นเพียงหนึ่งเดียวของปรัชญา" . . 31. "Courage is a kind of salvation." "ความกล้าหาญคือรูปแบบหนึ่งของการหลุดพ้น" . . 32. "The highest reach of injustice is to be deemed just when you are not." "จุดสูงสุดของความอยุติธรรมคือการถูกมองว่ายุติธรรมทั้งที่ไม่ใช่" . . 33. "No science or art considers or enjoins the interest of the stronger or superior, but only the interest of the subject and weaker." "ไม่มีวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดพิจารณาหรือบังคับผลประโยชน์ของผู้แข็งแกร่งหรือผู้เหนือกว่า แต่เพียงผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้อ่อนแอกว่า" . . 34. "For the uneducated, when they engage in argument about anything, give no thought to the truth about the subject of discussion but are only eager that those present will accept the position they have set forth." "สำหรับผู้ไร้การศึกษา เมื่อพวกเขาโต้แย้งเรื่องใดก็ตาม พวกเขาไม่คิดถึงความจริงเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังอภิปราย แต่กระตือรือร้นเพียงให้ผู้ที่อยู่ที่นั่นยอมรับจุดยืนที่พวกเขานำเสนอเท่านั้น" . . 35. "Neither do the ignorant seek after wisdom. For herein is the evil of ignorance, that he who is neither good nor wise is nevertheless satisfied with himself: he has no desire for that of which he feels no want." "คนโง่เขลาไม่แสวงหาปัญญา เพราะนี่คือความชั่วร้ายของความโง่เขลา ที่ผู้ซึ่งไม่ดีและไม่ฉลาดกลับพอใจในตัวเอง: เขาไม่มีความปรารถนาในสิ่งที่เขารู้สึกว่าไม่ขาด" . . 36. "The man who finds that in the course of his life he has done a lot of wrong often wakes up at night in terror, like a child with a nightmare, and his life is full of foreboding: but the man who is conscious of no wrongdoing is filled with cheerfulness and with the comfort of old age." "ผู้ที่พบว่าในช่วงชีวิตของเขาได้ทำผิดมากมักตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนด้วยความหวาดกลัว เหมือนเด็กที่ฝันร้าย และชีวิตของเขาเต็มไปด้วยลางร้าย แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกว่าได้ทำผิดจะเต็มไปด้วยความร่าเริงและความสบายใจในวัยชรา" . . 37. "Now early life is very impressible, and children ought not to learn what they will have to unlearn when they grow up; we must therefore have a censorship of nursery tales, banishing some and keeping others." "ชีวิตในวัยต้นนั้นรับอิทธิพลได้ง่าย และเด็กๆ ไม่ควรเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาจะต้องลืมเมื่อโตขึ้น เราจึงต้องมีการกลั่นกรองนิทานสำหรับเด็ก กำจัดบางเรื่องและเก็บบางเรื่องไว้" . . 38. "There's no difficulty in choosing vice in abundance: the road is smooth and it's hardly any distance to where it lives. But the gods have put sweat in the way of goodness, and a long, rough, steep road." "ไม่มีความยากลำบากในการเลือกความชั่วที่มีอยู่มากมาย: ถนนราบเรียบและแทบไม่มีระยะทางไปถึงที่อยู่ของมัน แต่เทพเจ้าได้วางเหงื่อไว้ในเส้นทางแห่งความดี และเป็นถนนที่ยาว ขรุขระ และชัน" . . 39. "It is not Love absolutely that is good or praiseworthy, but only that Love which impels meant to love aright." "ไม่ใช่ความรักทั้งหมดที่ดีหรือน่าสรรเสริญ แต่เป็นเพียงความรักที่ผลักดันให้รักอย่างถูกต้องเท่านั้น" . . 40. "Both knowledge and truth are beautiful things, but the good is other and more beautiful than they." "ทั้งความรู้และความจริงเป็นสิ่งงดงาม แต่ความดีนั้นแตกต่างและงดงามยิ่งกว่า" . . . . #SuccessStrategies #Quotes #Plato #Mindset #Politic
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 789 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    #เซลลูไลท์ คือการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวเเละสารพิษที่ติดค้างอยู่ในร่างกาย สะสมกันจนเป็นชั้นคลื่นอยู่ในเนื้อเยื่อที่เชื่อมต่ออยู่ใต้ผิวหนัง เซลลูไลท์จะเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังของคนที่มีการระบายน้ำเหลืองไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายไม่สามารถขับไขมันและของเสียออกไปได้จนเกิดการสะสมของไขมันที่เป็นของเหลวและสารพิษ กลายเป็นผิวเซลลูไลท์ที่ดูน่าเกลียด ใหญ่เทอะทะผิวไม่เรียบคล้ายผิวส้ม ไขมันนี้จะพบได้ทั้งในคนผอมและคนอ้วน ร่างกายจะสามารถสะสมได้ที่บริเวณ ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกและมันก็เป็นเรื่องของผู้หญิงซะมากกว่า สาเหตุ- ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้หมด- กรรมพันธ์ แตกต่างจากกรรมพันธ์ในเรื่องของเล็บหรือลักษณะของผม ตรงที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของเซลลูไลท์ได้- ดื่มน้ำน้อย เพราะน้ำช่วยในการทำงานของระบบขับของเสีย และช่วยขับพิษออกจากร่างกาย กำหนดว่าควรดื่มน้ำแปดแก้วต่อวันเป็นอย่างน้อย- แอลกอฮอล์ คาเฟอีน อาหารรสจัด ล้วนก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ทั้งสิ้น เพราะพิษที่สารดังกล่าวขับออกมาจะถูกกักอยู่ในเนื้อเยื่อไขมัน- การลดความอ้วนแบบเร่งด่วน จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเซลลูไลท์อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจาก ร่างกายเกิดการตอบรับว่า ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและต้องพยายามสะสมสารอาหารในร่างกายเพื่อความอยู่รอด- การสะสมอาหารและไขมัน ช่วยก่อเซลลูไลท์และกั้นเส้นเลือดจนติดหนึบอยู่ในเนื้อเยื่อ จึงทำให้ระบบกำจัดสารพิษและของเสียขาดประสิทธิภาพ- การสูบบุหรี่ ทำร้ายทั้งผิว ทั้งปอด ทำให้ผิวอ่อนแอ เส้นเลือดฝอยหดตัวและยังทำให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันถูกทำลายอันเป็นผลให้เกิดคลื่นเซลลูไลท์- ความเครียด เป็นผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวหนัก เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อก็ขมวดเกร็งตามไปด้วย ความตึงเครียดยังไปขวางเนื้อเยื่อไม่ให้กำจัดของเสียและล้างเลือดให้สะอาด- การใช้ยาลดความอ้วน ยานอนหลับ ยาขับปัสสาวะ จะเข้าไปรบกวนกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบชำระเลือดอันนำไปสู่ปัญหาเซลลูไลท์- ยาคุมกำเนิด ประเภทรับประทานซึ่งไปเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เซลล์ไขมันขยายตัวและเก็บน้ำจนบวม ร่างกายไม่มีน้ำพอที่จะขับของเสียออกจากร่างกาย สุดท้ายก็กลายเป็นเซลลูไลท์- เซลล์ของไขมันบวมเนื่องจากมีการสะสมไขมันไว้ในเซลล์เป็นปริมาณมาก- ผนังหลอดเลือดของเซลล์ไขมันรั่วทำให้มีน้ำซึมผ่านออกจากเซลล์ไขมันทำให้เกิดการคั่งของน้ำ- เซลล์ของไขมันจับกันเป็นกลุ่มโดยมี collagen ล้อมรอบซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนผิดปกติ- เนื้อเยื่อเกี่ยวพันดึงผิวหนังตำแหน่งที่ยึดกับผิวหนังทำให้ผิวหนังเป็นลอนคล้ายริ้วคลื่นห้ามคิดว่าไม่มีโทษนะ มันร้ายแรงไม่มากในช่วงต้นๆ แต่เมื่อปล่อยไว้ระยะยาวแล้วระบบคุณรวนแน่ ๆ:1.ส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง2.ส่งผลต่อระบบขับของเสียในร่างกายจนเกิดความผิดปกติการแก้ไข ต้องดูสาเหตุเป็นรายคนไปแต่การผ่าตัดหรือดูดออกเป็นเรื่องไร้สาระเพราะ ร้อยทั้งร้อยกลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุ โภชนาการเพื่อการป้องกันและแก้ไข- ทานให้ครบหมู่และหลากหลายเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไป เพียงแต่ลดสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันและพยายามเน้นหนักที่ผักให้มาก เพราะกากใยจะช่วยขับล้างสารพิษตกค้างในร่างกาย อีกทั้งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผิวหนังกระชับขึ้น - ควรเน้นอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืชที่ช่วยการไหลเวียนของโลหิตและกินอาหารโปรตีนไขมันต่ำเป็นประจำ เนื่องจากร่างกายใช้พลังงานในการย่อยอาหารพวกโปรตีนมากกว่าการย่อยไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตถึงสองเท่า เรียกว่าอิ่มเท่ากันแต่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญมากกว่า นอกจากนี้สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่ว ยังสามารถช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมในเซลล์ไขมันได้ ทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตกับน้ำเหลืองคล่องตัว และเพื่อให้ได้ผลควรลดอาหารเค็มควบคู่ไปด้วย- ลดการให้อาหารแก่เซลลูไลต์เพราะยิ่งกินเท่ากับสนับสนุนให้ร่างกายสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกิน อาหารกลุ่มนี้ได้แก่•อาหารทั้งมันและหวาน อาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะไปเพิ่มอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหนังหย่อนยานลง เกิดริ้วรอย และเพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกายด้วย ถ้ากินมากไปร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเกิดการสะสมเซลลูไลต์และไขมันส่วนเกินทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น•น้ำตาลแลคโตสในผลิตภัณฑ์นมวัว เพราะยิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการย่อยน้ำตาลชนิดนี้จะลดลง•กาเฟอีนจากชา กาแฟ เพราะจะไปกดสมดุลฮอร์โมน •อาหารที่ผ่านกระบวนการแปลงสภาพมากจนจำไม่ได้ว่าทำมาจากอะไร เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม หมูแผ่น หมูหย็อง ขนมปัง คุกกี้ เบเกอรี่ทุกชนิด เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเกตตี อาหารแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูป เพราะอาหารเหล่านี้มักมีสารปนเปื้อนและสารพิษที่จะไปตกค้างในร่างกายและเซลล์ไขมันได้•อาหารเค็มจัด เพราะจะยิ่งเพิ่มการคั่งของสารน้ำในเซลล์ไขมันมากขึ้น•แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในเบียร์และไวน์ เพราะหากดื่มมาก ๆ จะกลายเป็นสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายและเซลล์ไขมัน ซึ่งนั่นคือที่มาของเซลลูไลต์ กลุ่มนี้งดหรือเลิกขาดได้ก็เยี่ยมเลย- เน้นอาหารธรรมชาติปรุงแต่งให้น้อย แน่นอนว่าหลักการนี้จะคิดถึงอะไรไปไม่ได้ นอกจากผักสด ๆ โดยจะกินเป็นสลัด ตำ ยำ กับน้ำพริก ก็เลือกได้ตามชอบ หรือเมนูที่ผ่านความร้อนไม่เกิน 100 องศา ใช้เวลาปรุงไม่นาน ประโยชน์จากการกินอาหารแบบนี้คือ ช่วยฟื้นฟูพลังงานและผิวพรรณ ทั้งยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ แถมคุณค่ายังรับไปแบบเต็ม ๆ ตัดโอกาสการตกค้างของเสียได้อีกด้วย- ออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญและขับสารพิษออกทางเหงื่ออีกด้วย วิธีโดยรวมที่จะช่วยลดเซลลูไลท์- หมั่นขัดผิวขา การขัดผิวหรือ Exfoliating คือการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวลและไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหว ไม่สามารถทนแดดและจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไปการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อยๆ การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส " การขัดผิวควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง ควรทำการขัดเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แค่นี้ก็มีผิวขาที่ขาวใสนวลเนียน "- การนวดก็เป็นอีกวิธีสำหรับการลดเซลลูไลท์ โดยให้นวดเป็นวงเบาๆ ไปให้ทั่วบริเวณขาหรือใต้แขนของคุณเป็นเวลา 10-20 นาทีทุกวัน - กระโดดเชือก การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที เทียบเท่าได้กับการวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ดาราฮอลลีวูดทั้งหลาย ที่รีบฟิตหุ่นให้ทันเปิดกล้องหนังเรื่องต่อไปใช้การกระโดดเชือกทุกเช้าและเย็น เพื่อเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมันและกระชับสัดส่วนแขนขาให้แน่นสวยไม่หย่อนยานการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา การกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิดๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป - การย่อเข่าการออกกำลังกายโดยการย่อเข่าไปข้างหน้า วิธีนี้สามารถช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากคล้ายๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่งวิธีการคือ ยืนแยกขาออก ให้ระหว่างขากว้างระยะประมาณหัวไหล่ทั้งสองข้างของเรา แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าหนึ่งข้างแล้วโยกตัวย่อเข่าลงไปข้างหน้าประมาณ 90 องศา ย่อตัวลงให้หัวเข่าขาหลังอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 1 นิ้วพยายามให้หลังและคอเหยียดตรงตลอดเวลา ทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าไปที่ส้นเท้าและหัวเข่า อาจใช้วิธียกลูกเหล็กขนาด 5-10 ปอนด์ตรงด้านข้างลำตัว ระหว่างออกกำลังกายในท่านี้ไปด้วยก็ได้ บริหารต้นขาทั้งสองข้างด้วยท่านี้ประมาณข้างละ 30 ครั้ง พักแล้วเริ่มทำใหม่- การเดิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดต้นขาและเซลลูไลท์ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากการทำงานของกล้ามเนื้อจากการเดินนั้นทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจึงทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกเผาผลาญได้อย่างดี จึงทำให้ต้นขาของเราเล็กลงเซลลูไลท์ก็ลดและดูสวยงามยิ่งขึ้น - ขึ้น-ลงบันไดลองสวมรองเท้าส้นสูงแล้วเดินขึ้นลงบันได นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดน่องโต ทำขาเรียวสวยเซ็กซี่ได้การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาทีซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่ง เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบ aerobic หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ แถมอาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่ง ยังมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่าการเดินขึ้นลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้และนี่คือภาพรวม ส่วนใครทำตามนี้แล้วยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจก็ต้องวินิจฉัยเพิ่มเป็นราย ๆ ไปผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำPaa super h เพื่อเพิ่มไขมันดีGlube เพื่อเพิ่มความสามารถในการกำจัดของเสียPraow ใช้นวดเพื่อเร่งการกำจัดไขมันเลวPloy ใช้ทาผิวหลังจากการอาบน้ำด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr.Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts