• 📌 ความจริงของชีวิต : เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่?

    (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และการเจริญสติ)


    ---

    🔍 1️⃣ ตั้งแต่เกิดมา เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่?

    🌱 ความรู้สึกว่า "เราได้อะไร" หรือ "เรามีอะไร"

    เป็นเพียง "กระบวนการของจิต"

    ไม่ใช่ของที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเสมอไป


    📌 ตั้งแต่เกิดมา จิตของเราถูกฝึกให้ยึดมั่นถือมั่น
    ✅ เด็กแรกเกิด = หิวนม → ได้กิน → รู้สึกมีความสุข
    ✅ โตขึ้น = ได้ของเล่น → เล่นจนเบื่อ → เปลี่ยนของเล่นใหม่
    ✅ เป็นวัยรุ่น = มีมือถือ → พอเก่าแล้วต้องซื้อใหม่
    ✅ เป็นผู้ใหญ่ = มีแฟน → เปลี่ยนแฟน → แต่งงาน → เลิกกัน
    ✅ มีงาน มีธุรกิจ → สูญเสีย → เริ่มใหม่

    💡 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

    ความรู้สึกว่า "มี" → เป็นเพียงภาพลวงของจิต

    ความจริงคือ "ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป"



    ---

    🔍 2️⃣ ทำไมเราถึงคิดว่า "ตัวเรา" มีอยู่จริง?

    📌 พระพุทธเจ้าสอนว่า "เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง"
    สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เกิดจาก
    ✅ กาย (ร่างกาย) → มีความเสื่อมไปเรื่อยๆ
    ✅ เวทนา (ความรู้สึก) → มีสุข ทุกข์ และเฉยๆ ไม่คงที่
    ✅ สัญญา (ความจำได้หมายรู้) → ลืมแล้วลืมอีก
    ✅ สังขาร (การปรุงแต่งทางจิต) → คิดเปลี่ยนไปตลอด
    ✅ วิญญาณ (ความรับรู้) → รับรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงเสมอ

    💡 สรุป : "ตัวตนของเรา" = เป็นเพียงการปรุงแต่งชั่วคราว

    ไม่มีอะไรในชีวิตที่ "ของเรา" จริงๆ

    แม้แต่ร่างกาย ยังต้องคืนให้ธรรมชาติ



    ---

    🔍 3️⃣ เราจะเข้าใจ "ความว่าง" ของชีวิตได้อย่างไร?

    📌 "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ไม่ใช่แค่แนวคิด
    แต่คือ ความจริงที่เห็นได้จากการเจริญสติ

    📌 วิธีฝึกให้เห็นความว่างจริงๆ
    ✅ หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกต → ลมหายใจไม่เที่ยง
    ✅ พิจารณาร่างกาย → เคยเด็ก เคยหนุ่มสาว แล้วก็เปลี่ยนไป
    ✅ พิจารณาอารมณ์ → เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ไม่แน่นอน
    ✅ พิจารณาความคิด → คิดเรื่องหนึ่งแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน

    💡 สุดท้ายจะเห็นว่า

    ทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น → ล้วนเปลี่ยนแปลงหมด

    ไม่มีอะไรที่ "ของเรา" ตลอดไป



    ---

    🔍 4️⃣ เมื่อเข้าใจ "ความไม่มีอะไรเป็นของเรา" แล้วควรทำอย่างไร?

    🌿 "ชีวิตเป็นเพียงการยืมใช้ชั่วคราว"
    📌 ดังนั้น เราควร…
    ✅ ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น
    ✅ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเกินไป
    ✅ ฝึกให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์

    📌 สิ่งที่ควรฝึกในชีวิตประจำวัน
    ✅ เจริญสติ : อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมกับอดีต ไม่หลงอนาคต
    ✅ ฝึกปล่อยวาง : อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็คืนให้ธรรมชาติ
    ✅ ทำบุญ ทำทาน : ให้สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ใช่เพื่อยึดถือ แต่เพื่อช่วยผู้อื่น

    💡 "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
    ไม่ใช่เพื่อสะสมสิ่งของ
    ไม่ใช่เพื่อยึดติดกับความสัมพันธ์
    แต่เพื่อ เรียนรู้ และปล่อยวาง


    ---

    ✅ สรุป : ความจริงของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ

    📌 1. ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ
    📌 2. "ตัวเรา" เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต
    📌 3. ความว่าง ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่เป็นอิสระจากการยึดติด
    📌 4. ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แต่ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใด

    🌿 "สุดท้ายแล้ว แม้แต่ร่างกายเราก็ต้องคืนให้โลก"
    🌿 "อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งดี แล้วปล่อยวาง"

    💙 นี่คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง 💙

    📌 ความจริงของชีวิต : เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่? (วิเคราะห์จากหลักพุทธศาสนา และการเจริญสติ) --- 🔍 1️⃣ ตั้งแต่เกิดมา เรามีอะไรอยู่จริงหรือไม่? 🌱 ความรู้สึกว่า "เราได้อะไร" หรือ "เรามีอะไร" เป็นเพียง "กระบวนการของจิต" ไม่ใช่ของที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของเราเสมอไป 📌 ตั้งแต่เกิดมา จิตของเราถูกฝึกให้ยึดมั่นถือมั่น ✅ เด็กแรกเกิด = หิวนม → ได้กิน → รู้สึกมีความสุข ✅ โตขึ้น = ได้ของเล่น → เล่นจนเบื่อ → เปลี่ยนของเล่นใหม่ ✅ เป็นวัยรุ่น = มีมือถือ → พอเก่าแล้วต้องซื้อใหม่ ✅ เป็นผู้ใหญ่ = มีแฟน → เปลี่ยนแฟน → แต่งงาน → เลิกกัน ✅ มีงาน มีธุรกิจ → สูญเสีย → เริ่มใหม่ 💡 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกว่า "มี" → เป็นเพียงภาพลวงของจิต ความจริงคือ "ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป" --- 🔍 2️⃣ ทำไมเราถึงคิดว่า "ตัวเรา" มีอยู่จริง? 📌 พระพุทธเจ้าสอนว่า "เราไม่มีตัวตนที่แท้จริง" สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เกิดจาก ✅ กาย (ร่างกาย) → มีความเสื่อมไปเรื่อยๆ ✅ เวทนา (ความรู้สึก) → มีสุข ทุกข์ และเฉยๆ ไม่คงที่ ✅ สัญญา (ความจำได้หมายรู้) → ลืมแล้วลืมอีก ✅ สังขาร (การปรุงแต่งทางจิต) → คิดเปลี่ยนไปตลอด ✅ วิญญาณ (ความรับรู้) → รับรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลงเสมอ 💡 สรุป : "ตัวตนของเรา" = เป็นเพียงการปรุงแต่งชั่วคราว ไม่มีอะไรในชีวิตที่ "ของเรา" จริงๆ แม้แต่ร่างกาย ยังต้องคืนให้ธรรมชาติ --- 🔍 3️⃣ เราจะเข้าใจ "ความว่าง" ของชีวิตได้อย่างไร? 📌 "ความไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่คือ ความจริงที่เห็นได้จากการเจริญสติ 📌 วิธีฝึกให้เห็นความว่างจริงๆ ✅ หายใจเข้า-ออก แล้วสังเกต → ลมหายใจไม่เที่ยง ✅ พิจารณาร่างกาย → เคยเด็ก เคยหนุ่มสาว แล้วก็เปลี่ยนไป ✅ พิจารณาอารมณ์ → เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย ไม่แน่นอน ✅ พิจารณาความคิด → คิดเรื่องหนึ่งแค่แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน 💡 สุดท้ายจะเห็นว่า ทุกอย่างที่เราเคยยึดมั่น → ล้วนเปลี่ยนแปลงหมด ไม่มีอะไรที่ "ของเรา" ตลอดไป --- 🔍 4️⃣ เมื่อเข้าใจ "ความไม่มีอะไรเป็นของเรา" แล้วควรทำอย่างไร? 🌿 "ชีวิตเป็นเพียงการยืมใช้ชั่วคราว" 📌 ดังนั้น เราควร… ✅ ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่น ✅ ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเกินไป ✅ ฝึกให้จิตใจเป็นอิสระจากความทุกข์ 📌 สิ่งที่ควรฝึกในชีวิตประจำวัน ✅ เจริญสติ : อยู่กับปัจจุบัน ไม่จมกับอดีต ไม่หลงอนาคต ✅ ฝึกปล่อยวาง : อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก็คืนให้ธรรมชาติ ✅ ทำบุญ ทำทาน : ให้สิ่งดีๆ ออกไป ไม่ใช่เพื่อยึดถือ แต่เพื่อช่วยผู้อื่น 💡 "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?" ไม่ใช่เพื่อสะสมสิ่งของ ไม่ใช่เพื่อยึดติดกับความสัมพันธ์ แต่เพื่อ เรียนรู้ และปล่อยวาง --- ✅ สรุป : ความจริงของชีวิตที่เราต้องเข้าใจ 📌 1. ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ 📌 2. "ตัวเรา" เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต 📌 3. ความว่าง ไม่ใช่ความสูญเปล่า แต่เป็นอิสระจากการยึดติด 📌 4. ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แต่ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งใด 🌿 "สุดท้ายแล้ว แม้แต่ร่างกายเราก็ต้องคืนให้โลก" 🌿 "อยู่กับปัจจุบัน ทำสิ่งดี แล้วปล่อยวาง" 💙 นี่คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง 💙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ Kursk
    เมืองซูดจา (Sudzha) ได้รับการปลดปล่อยแล้ว!!

    นักข่าวสามารถเข้าไปถ่ายทำได้อย่างอิสระและปลอดภัย ชาวบ้านแสดงความโล่งใจอย่างแท้จริง ผู้หญิงรายหนึ่งกล่าวว่าเธอเฝ้ารอให้ผู้ยึดครองถูกขับไล่ออกโดยเร็ว ส่วนชายอีกคนกล่าวว่านี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
    สถานการณ์ Kursk เมืองซูดจา (Sudzha) ได้รับการปลดปล่อยแล้ว!! นักข่าวสามารถเข้าไปถ่ายทำได้อย่างอิสระและปลอดภัย ชาวบ้านแสดงความโล่งใจอย่างแท้จริง ผู้หญิงรายหนึ่งกล่าวว่าเธอเฝ้ารอให้ผู้ยึดครองถูกขับไล่ออกโดยเร็ว ส่วนชายอีกคนกล่าวว่านี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เริ่มทดสอบชิปรุ่นแรกที่ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V สำหรับการฝึกปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชิปใหม่นี้ถูกพัฒนาร่วมกับ Broadcom และผลิตตัวอย่างแรกโดย TSMC ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ Meta ลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia เช่น H100 และ B100 ในการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่

    ชิปนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบ systolic array ที่มีการจัดเรียงหน่วยประมวลผลเป็นเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณ โดยคาดว่าจะมีหน่วยความจำ HBM3 หรือ HBM3E ซึ่งเหมาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ Meta หวังว่าชิปนี้จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่า GPU AI ของ Nvidia ทั้งในด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน

    แม้ในอดีต Meta เคยหยุดการพัฒนาชิปประเภทนี้เนื่องจากไม่สามารถทำตามเป้าหมายด้านพลังงานและประสิทธิภาพได้ แต่ Meta ยังคงผลักดันโปรแกรม MTIA (Meta Training and Inference Accelerator) และตั้งเป้าเริ่มใช้งานชิปใหม่สำหรับการฝึก AI ภายในปี 2026

    ความน่าสนใจของชิปนี้คือการใช้สถาปัตยกรรมแบบโอเพ่นซอร์ส RISC-V ทำให้ Meta สามารถปรับแต่งชุดคำสั่งได้ตามต้องการโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ใด ๆ ถือเป็นการพัฒนาที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการ AI และความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/meta-is-reportedly-testing-its-first-rsic-v-based-ai-chip-for-ai-training
    Meta เริ่มทดสอบชิปรุ่นแรกที่ออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V สำหรับการฝึกปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชิปใหม่นี้ถูกพัฒนาร่วมกับ Broadcom และผลิตตัวอย่างแรกโดย TSMC ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ Meta ลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia เช่น H100 และ B100 ในการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบ systolic array ที่มีการจัดเรียงหน่วยประมวลผลเป็นเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณ โดยคาดว่าจะมีหน่วยความจำ HBM3 หรือ HBM3E ซึ่งเหมาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ Meta หวังว่าชิปนี้จะมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่า GPU AI ของ Nvidia ทั้งในด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน แม้ในอดีต Meta เคยหยุดการพัฒนาชิปประเภทนี้เนื่องจากไม่สามารถทำตามเป้าหมายด้านพลังงานและประสิทธิภาพได้ แต่ Meta ยังคงผลักดันโปรแกรม MTIA (Meta Training and Inference Accelerator) และตั้งเป้าเริ่มใช้งานชิปใหม่สำหรับการฝึก AI ภายในปี 2026 ความน่าสนใจของชิปนี้คือการใช้สถาปัตยกรรมแบบโอเพ่นซอร์ส RISC-V ทำให้ Meta สามารถปรับแต่งชุดคำสั่งได้ตามต้องการโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ใด ๆ ถือเป็นการพัฒนาที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการ AI และความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/meta-is-reportedly-testing-its-first-rsic-v-based-ai-chip-for-ai-training
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Meta is reportedly testing its first RISC-V based AI chip for AI training
    Could be one of the industry's first RISC-V-based accelerator for AI training.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ฉัตรวรรษ" เตรียมขนทัพ 30 สว.บุก ป.ป.ช.ยื่นสอบ "ทวี-ยุทธนา" ขาดจริยธรรม จงใจกลั่นแกล้ง บอกใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ถาม DSI มีหลักฐานฮั้ว สว.ทำไมไม่ส่งให้ กกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำ จ่อเชิญมาแจงกมธ.องค์กรอิสระฯเร็วๆ นี้

    วันนี้(11 มี.ค.) พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. กล่าวถึงกรณี 30 สว.จะเดินทางยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อเอาผิด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ว่า ในฐานะเป็นผู้ยื่นญัตติเรื่องนี้ตนก็จะไปเอง ทั้งนี้หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วสว.ข้อหาฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ ก็มีประเด็นเกิดขึ้นมาอีกว่าการดำเนินการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

    “ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่เป็นคนละเรื่องกับจริยธรรม ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา การที่พยายามจะเอาเรื่องเข้าบอร์ด และสุดท้ายมีการเลื่อนพิจารณา แสดงว่าขณะนั้นมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้ทุกอย่างแล้ว”

    พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่าอำนาจหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอ ก็สามารถรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่แล้ว และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ โดยไม่ต้องทำเอง แต่ดีเอสไอพยายามที่จะเก็บไว้ทำอะไร และไปกล่าวหาว่า กกต.ล่าช้า ตัวเองได้รับเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่กันยายน ตุลาคม รวบรวมพยานหลักฐานได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถามว่าทำไมไม่ส่งกกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำอยู่ถึงไม่ส่ง กกต. พอเข้าบอร์ดแล้วบอร์ดไม่รับแสดงว่าความผิดยังไม่สำเร็จ แสดงว่าขาดจริยธรรมจงใจกลั่นแกล้ง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023343

    #MGROnline #DSI #ฉัตรวรรษ
    "ฉัตรวรรษ" เตรียมขนทัพ 30 สว.บุก ป.ป.ช.ยื่นสอบ "ทวี-ยุทธนา" ขาดจริยธรรม จงใจกลั่นแกล้ง บอกใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ถาม DSI มีหลักฐานฮั้ว สว.ทำไมไม่ส่งให้ กกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำ จ่อเชิญมาแจงกมธ.องค์กรอิสระฯเร็วๆ นี้ • วันนี้(11 มี.ค.) พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. กล่าวถึงกรณี 30 สว.จะเดินทางยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อเอาผิด พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ว่า ในฐานะเป็นผู้ยื่นญัตติเรื่องนี้ตนก็จะไปเอง ทั้งนี้หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วสว.ข้อหาฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ ก็มีประเด็นเกิดขึ้นมาอีกว่าการดำเนินการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ • “ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย แต่เป็นคนละเรื่องกับจริยธรรม ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา การที่พยายามจะเอาเรื่องเข้าบอร์ด และสุดท้ายมีการเลื่อนพิจารณา แสดงว่าขณะนั้นมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้ทุกอย่างแล้ว” • พล.ต.ต.ฉัตรวรรษกล่าวว่าอำนาจหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอ ก็สามารถรวบรวมหลักฐานที่มีอยู่แล้ว และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ โดยไม่ต้องทำเอง แต่ดีเอสไอพยายามที่จะเก็บไว้ทำอะไร และไปกล่าวหาว่า กกต.ล่าช้า ตัวเองได้รับเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่กันยายน ตุลาคม รวบรวมพยานหลักฐานได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถามว่าทำไมไม่ส่งกกต. ถูกอำนาจอะไรครอบงำอยู่ถึงไม่ส่ง กกต. พอเข้าบอร์ดแล้วบอร์ดไม่รับแสดงว่าความผิดยังไม่สำเร็จ แสดงว่าขาดจริยธรรมจงใจกลั่นแกล้ง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023343 • #MGROnline #DSI #ฉัตรวรรษ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • จูลานี ผู้นำซีเรียประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ 'อิสระ' เพื่อสืบสวนการสังหารพลเรือนนับพันคนในเขตลาตาเกีย เมืองชายฝั่งตะวันตกของซีเรีย

    คณะกรรมการจะประกอบด้วยบุคลากร 7 คน ได้แก่ ผู้พิพากษา ทนายความ และบุคลากรทางทหาร ซึ่งมีหน้าที่สืบสวนหา “สาเหตุและสถานการณ์” ของการกวาดล้างชาติพันธุ์เมื่อวันที่ 5 และ 6 มีนาคม และนำตัวผู้ที่ทรมานและสังหารพลเรือนอย่างโหดร้ายมาลงโทษ

    ทางด้านสำนักข่าว AP รายงานโดยอ้างตัวเลขจากกลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คน แยกเป็นพลเรือน 830 คน

    ขณะที่สำนักข่าว BBC ของอังกฤษรายงานตัวเลขที่อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,400 คน เบื้องต้นเป็นพลเรือน 973 คน

    ส่วนสำนักข่าว AFP ให้รายงานตัวเลขมากกว่า 1,300 คน
    จูลานี ผู้นำซีเรียประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ 'อิสระ' เพื่อสืบสวนการสังหารพลเรือนนับพันคนในเขตลาตาเกีย เมืองชายฝั่งตะวันตกของซีเรีย คณะกรรมการจะประกอบด้วยบุคลากร 7 คน ได้แก่ ผู้พิพากษา ทนายความ และบุคลากรทางทหาร ซึ่งมีหน้าที่สืบสวนหา “สาเหตุและสถานการณ์” ของการกวาดล้างชาติพันธุ์เมื่อวันที่ 5 และ 6 มีนาคม และนำตัวผู้ที่ทรมานและสังหารพลเรือนอย่างโหดร้ายมาลงโทษ ทางด้านสำนักข่าว AP รายงานโดยอ้างตัวเลขจากกลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คน แยกเป็นพลเรือน 830 คน ขณะที่สำนักข่าว BBC ของอังกฤษรายงานตัวเลขที่อาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,400 คน เบื้องต้นเป็นพลเรือน 973 คน ส่วนสำนักข่าว AFP ให้รายงานตัวเลขมากกว่า 1,300 คน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR แถลงยอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,130 คน ตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6 มี.ค)หลังปะทะระหว่างกองกำลังกบฏซีเรียของดามัสกัสและกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสสาด ตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ดามัสกัสว่าจะปกครองประเทศได้หรือไม่ ด้านอิหร่านรีบออกตัวไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วน
    .
    เอพีรายงานวันนี้(10 มี.ค)ว่า กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คนรวมพลเรือน 830 คน เอพีไม่สามารถยืนตัวเลขนี้ได้ เกิดขึ้นในขณะที่บีบีซีของอังกฤษให้ตัวเลขที่กว่า 1,400 คน และพลเรือน 973 คน ส่วนเอเอฟพีให้ตัวเลขกว่า 1,300 คน
    .
    รัฐบาลรักษาการซีเรียของประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะรา( Ahmed al-Sharaa) กล่าวผ่านแถลงการณ์วันจันทร์(10)ว่า ปฎิบัติการทหารที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6)ต่อกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาห์ อัล-อัสสาดและครอบครัวของเขาในการต่อสู้ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรีย 13 ปีสิ้นสุดลงในธันวาคมปีที่แล้ว
    .
    ซึ่งประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันนั้นเป็นผู้นำกบฎซีเรียที่มีนามแฝงคือ อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al-Jolani) โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดสำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.คปีที่แล้ว เขาประกาศที่จะตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการสังหารครั้งนี้พร้อมยืนยันว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบ
    .
    แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซีเรียออกมาหลังการโจมตีไม่คาดฝันจากกลุ่มมือปืนจากชุมชน Alawite ต่อการตรวจการของตำรวจซีเรียใกล้เมืองลัตตาเกีย (Lattakia) ซึ่งเป็นเมืองท่าในวันพฤหัสบดี(6)ก่อนที่จะขยายไปสู่ความรุนแรงมีการปะทะเป็นวงกว้างทั่วเขตภูมิภาคชายฝั่งของซีเรียที่กลุ่มสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 1 กลุ่มยืนยันตัวเลขพลเรือนหลายร้อยโดนสังหาร
    .
    ฮัสซาน อับเดล-กานี (Hassan Abdel Ghani)โฆษกกระทรวงกลาโหมซีเรียแถลงว่า กองกำลังความมั่นคงซีเรียจะยังคงค้นหาเซลล์นอนหลับฝังตัวและที่ยังคงหลงเหลือของกลุ่มจงรักภักดีต่อรัฐบาลซีเรียชุดเดิม
    .
    เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า อิหร่านในวันจันทร์(10)ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนในซีเรีย
    .
    การต่อสู้ทำให้กองกำลังความมั่นคงซีเรียและกลุ่มติดอาวุธสนับสนุนอัสสาดเสียชีวิตหลายร้อยคน อ้างอิงจากกลุ่มสังเกตการณ์ที่รายงานว่ายอดเสียชีวิตทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 1,300 คน เอเอฟพีรายงาน
    .
    โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน อิสมาอิล บาคาอี (Esmaeil Baqaei) ปฎิเสธโดยสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาในการแถลงวันจันทร์(10)
    .
    ข้อกล่าวหาเป็นสิ่งที่น่าขบขันโดยสิ้นเชิงและเป็นการปฎิเสธ พร้อมกล่าวว่า การชี้นิ้วขอมาที่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านเป็นการตอบที่ผิดพลาด และเป็นเทรนด์ที่เบี่ยงเบนรวมไปถึงเป็นการทำให้สำคัญผิด 100%
    .
    เอเอฟพีชี้ว่า การปะทะที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 1,000 คนส่งผลทำให้เกิดความสงสัยต่อความสามารถในการปกครองซีเรียของรัฐบาลกลุ่มกบฎรักษาการในสายตาต่างประเทศ
    .
    ไฮโก วิมเมน (Heiko Wimmen ) จากองค์กรธิงแทงก์ International Crisis Group แสดงความเห็นว่า ความรุนแรงล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่ไม่มีความสามารถในการจัดการกับความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023234
    ..............
    Sondhi X
    กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR แถลงยอดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1,130 คน ตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6 มี.ค)หลังปะทะระหว่างกองกำลังกบฏซีเรียของดามัสกัสและกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสสาด ตั้งคำถามถึงรัฐบาลใหม่ดามัสกัสว่าจะปกครองประเทศได้หรือไม่ ด้านอิหร่านรีบออกตัวไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วน . เอพีรายงานวันนี้(10 มี.ค)ว่า กลุ่มสังเกตการซีเรียเพื่อมนุษยธรรม SOHR ที่มีฐานในอังกฤษรายงานยอดเสียชีวิตในการปะทะอยู่ที่ 1,130 คนรวมพลเรือน 830 คน เอพีไม่สามารถยืนตัวเลขนี้ได้ เกิดขึ้นในขณะที่บีบีซีของอังกฤษให้ตัวเลขที่กว่า 1,400 คน และพลเรือน 973 คน ส่วนเอเอฟพีให้ตัวเลขกว่า 1,300 คน . รัฐบาลรักษาการซีเรียของประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะรา( Ahmed al-Sharaa) กล่าวผ่านแถลงการณ์วันจันทร์(10)ว่า ปฎิบัติการทหารที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี(6)ต่อกองกำลังจงรักภักดีอดีตประธานาธิบดีซีเรีย บาชาห์ อัล-อัสสาดและครอบครัวของเขาในการต่อสู้ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรีย 13 ปีสิ้นสุดลงในธันวาคมปีที่แล้ว . ซึ่งประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันนั้นเป็นผู้นำกบฎซีเรียที่มีนามแฝงคือ อาบู โมฮัมหมัด อัล-โจลานี (Abu Mohammed al-Jolani) โค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสสาดสำเร็จเมื่อวันที่ 8 ธ.คปีที่แล้ว เขาประกาศที่จะตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการสังหารครั้งนี้พร้อมยืนยันว่าผู้อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบ . แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซีเรียออกมาหลังการโจมตีไม่คาดฝันจากกลุ่มมือปืนจากชุมชน Alawite ต่อการตรวจการของตำรวจซีเรียใกล้เมืองลัตตาเกีย (Lattakia) ซึ่งเป็นเมืองท่าในวันพฤหัสบดี(6)ก่อนที่จะขยายไปสู่ความรุนแรงมีการปะทะเป็นวงกว้างทั่วเขตภูมิภาคชายฝั่งของซีเรียที่กลุ่มสังเกตการณ์ไม่ต่ำกว่า 1 กลุ่มยืนยันตัวเลขพลเรือนหลายร้อยโดนสังหาร . ฮัสซาน อับเดล-กานี (Hassan Abdel Ghani)โฆษกกระทรวงกลาโหมซีเรียแถลงว่า กองกำลังความมั่นคงซีเรียจะยังคงค้นหาเซลล์นอนหลับฝังตัวและที่ยังคงหลงเหลือของกลุ่มจงรักภักดีต่อรัฐบาลซีเรียชุดเดิม . เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า อิหร่านในวันจันทร์(10)ออกมาปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนในซีเรีย . การต่อสู้ทำให้กองกำลังความมั่นคงซีเรียและกลุ่มติดอาวุธสนับสนุนอัสสาดเสียชีวิตหลายร้อยคน อ้างอิงจากกลุ่มสังเกตการณ์ที่รายงานว่ายอดเสียชีวิตทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 1,300 คน เอเอฟพีรายงาน . โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่าน อิสมาอิล บาคาอี (Esmaeil Baqaei) ปฎิเสธโดยสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาในการแถลงวันจันทร์(10) . ข้อกล่าวหาเป็นสิ่งที่น่าขบขันโดยสิ้นเชิงและเป็นการปฎิเสธ พร้อมกล่าวว่า การชี้นิ้วขอมาที่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านเป็นการตอบที่ผิดพลาด และเป็นเทรนด์ที่เบี่ยงเบนรวมไปถึงเป็นการทำให้สำคัญผิด 100% . เอเอฟพีชี้ว่า การปะทะที่นำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 1,000 คนส่งผลทำให้เกิดความสงสัยต่อความสามารถในการปกครองซีเรียของรัฐบาลกลุ่มกบฎรักษาการในสายตาต่างประเทศ . ไฮโก วิมเมน (Heiko Wimmen ) จากองค์กรธิงแทงก์ International Crisis Group แสดงความเห็นว่า ความรุนแรงล่าสุดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่ไม่มีความสามารถในการจัดการกับความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023234 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 806 มุมมอง 0 รีวิว
  • กกต.โต้ไม่จริง ปมสำนวนฮั้วเลือก สว.ได้ไปต่อหรือไม่อยู่ที่ "แสวง" ชี้ทุกขั้นตอนพิจารณายึดความเป็นอิสระ-ไม่แทรกแซง-เป็นธรรม ยันทุกสำนวนมอบรองเลขาฯ มีความเห็นสั่งรับ-ไม่รับก็ต้องเสนอ กกต.พิจารณาทุกกรณี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023157

    #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กกต.โต้ไม่จริง ปมสำนวนฮั้วเลือก สว.ได้ไปต่อหรือไม่อยู่ที่ "แสวง" ชี้ทุกขั้นตอนพิจารณายึดความเป็นอิสระ-ไม่แทรกแซง-เป็นธรรม ยันทุกสำนวนมอบรองเลขาฯ มีความเห็นสั่งรับ-ไม่รับก็ต้องเสนอ กกต.พิจารณาทุกกรณี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000023157 #News1live #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 621 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ในกรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการออกมาชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียได้สั่งห้ามคาลิน จอร์เจสกู ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

    ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จอร์เจสคู ลงสมัครในนามผู้สมัครอิสระ ซึ่งถือเป็นม้านอกสายตาของยุโรป และเป็นโปรรัสเซียเต็มตัว แต่กลับชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย แต่ถูกศาลตัดสินผลการเลือกตั้งให้เป็นโมฆะ ก่อนการเลือกตั้งรอบที่สองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ซึ่งคาดว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งรอบที่สองเช่นกัน

    ในระหว่างนั้น จอร์เจสคู ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาจากรัฐบาลมากมาย เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ จอร์เจสคู ยังคงดึงดันลงสมัครอีกครั้ง และจำไปสู่การสั่งห้ามของคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียในที่สุด

    สหภาพยุโรปซึ่งมักจะเทศนาเกี่ยวกับ "ค่านิยมประชาธิปไตย" ยังคงหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรมาเนีย เพราะการตัดสินใจสั่งห้ามครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา

    สหภาพยุโรปคงทนไม่ได้ หากปล่อยให้ จอร์เจสคู ชนะการเลือกตั้ง เพราะนั่นอาจหมายถึง พวกเขาเสียบริวารที่แสนดีไปให้กับรัสเซียอีกครั้ง

    นอกจากนี้ นาโต้ได้วางตำแหน่งของโรมาเนียให้เป็นฐานทัพใหญ่ของนาโต้เพื่อสร้างภัยคุกคามต่อรัสเซียในทิศทางนี้อีกด้วย

    ทั้งหมดนี้บ่งบอกได้อย่างดีว่า "ประชาธิปไตย" ที่ชาติตะวันตกป้อนใส่หัวประชาชนเป็นได้แค่เพียงผลประโยชน์บนดินแดนที่พวกเขาต้องการเท่านั้น
    สถานการณ์ในกรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการออกมาชุมนุมประท้วงของประชาชน หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียได้สั่งห้ามคาลิน จอร์เจสกู ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ในการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา จอร์เจสคู ลงสมัครในนามผู้สมัครอิสระ ซึ่งถือเป็นม้านอกสายตาของยุโรป และเป็นโปรรัสเซียเต็มตัว แต่กลับชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลาย แต่ถูกศาลตัดสินผลการเลือกตั้งให้เป็นโมฆะ ก่อนการเลือกตั้งรอบที่สองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ซึ่งคาดว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งรอบที่สองเช่นกัน ในระหว่างนั้น จอร์เจสคู ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาจากรัฐบาลมากมาย เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ จอร์เจสคู ยังคงดึงดันลงสมัครอีกครั้ง และจำไปสู่การสั่งห้ามของคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของโรมาเนียในที่สุด สหภาพยุโรปซึ่งมักจะเทศนาเกี่ยวกับ "ค่านิยมประชาธิปไตย" ยังคงหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรมาเนีย เพราะการตัดสินใจสั่งห้ามครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา สหภาพยุโรปคงทนไม่ได้ หากปล่อยให้ จอร์เจสคู ชนะการเลือกตั้ง เพราะนั่นอาจหมายถึง พวกเขาเสียบริวารที่แสนดีไปให้กับรัสเซียอีกครั้ง นอกจากนี้ นาโต้ได้วางตำแหน่งของโรมาเนียให้เป็นฐานทัพใหญ่ของนาโต้เพื่อสร้างภัยคุกคามต่อรัสเซียในทิศทางนี้อีกด้วย ทั้งหมดนี้บ่งบอกได้อย่างดีว่า "ประชาธิปไตย" ที่ชาติตะวันตกป้อนใส่หัวประชาชนเป็นได้แค่เพียงผลประโยชน์บนดินแดนที่พวกเขาต้องการเท่านั้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรียนจบครูมา เลือกสอบอะไรดี? สพฐ. หรือ อปท. 🤔 ท่ามกลางความเหมือนที่แตกต่าง – สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง แต่ อปท. เบิกค่าบ้านได้

    🌟 เมื่อต้องเลือกเส้นทางข้าราชการครู เข้าสู่ฤดูกาลสมัครสอบ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประจำปี 2568 บัณฑิตสายครูหลายคนอาจลังเลใจ ว่าควรเลือกสอบครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือจะไปครูผู้ช่วย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดี?

    🔹 สพฐ. ดูมั่นคง มีเส้นทางก้าวหน้าสู่กระทรวง
    🔹 อปท. ได้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้าน เงินเดือนอาจคล่องตัว

    แต่ทั้งสองเส้นทางนี้มีความเหมือน และแตกต่างในหลายมิติ 🎯

    👩‍🏫 ครูผู้ช่วย อปท. กับครูผู้ช่วย สพฐ. เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
    🏛️ สถานะทางกฎหมาย
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. เป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ปี 2547
    - ส่วนครูผู้ช่วย อปท. เป็นพนักงานครู หรือก็คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ปี 2542

    แม้กฎหมายจะต่างกัน แต่โดยหลักการแล้ว ศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์แทบไม่ต่างกัน

    💰 เงินเดือนและสวัสดิการ
    - ครูผู้ช่วย อปท. ไม่ต้องหัก 3% เข้า กบข. แต่จะมีเงินสมทบ เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญท้องถิ่น (กบท.)
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ต้องหักเงินเดือน 3% เข้า กบข. ตามระเบียบ

    ✅ ข้อได้เปรียบของ อปท. คือได้เงินเดือนเต็มกว่าเล็กน้อย

    📌 ครูผู้ช่วย อปท. เบิกค่าเช่าบ้านได้! 🏠 สูงสุด 6,000 บาท ต่อเดือน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอแค่ย้ายออกจากพื้นที่บรรจุครั้งแรก และไม่มีบ้านพักของหน่วยงาน

    ❌ ส่วนครูผู้ช่วย สพฐ. เบิกไม่ได้! ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน ถ้าย้ายเองเท่ากับ “ร้องขอ” → หมดสิทธิ์

    📌 ทั้งนี้ อปท. บางแห่ง ก็ไม่อนุญาตให้เบิกค่าเช่าบ้าน เพราะอาจมีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ อปท.

    🏥 สิทธิ์รักษาพยาบาล ใครดีกว่า?
    ✅ ครอบคลุมเหมือนกัน ทั้งบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร
    ✅ เบิกจ่ายตรงได้ เหมือนกัน

    🔹 ต่างกันที่แหล่งเงิน
    - ครูผู้ช่วย อปท. ใช้งบของ สปสช.
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ใช้งบของกรมบัญชีกลาง

    🚑 เรื่องนี้แทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้รับสิทธิ์

    📈 การเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะ
    - ครูผู้ช่วย สพฐ. ทำตามกฎของ ก.ค.ศ.
    - ครูผู้ช่วย อปท. ทำตามมาตรฐานของ ก.กลาง และ ก.จังหวัด ซึ่งเนื้อหาแทบไม่ต่างกัน

    📌 ข้อแตกต่าง เกณฑ์ใหม่ของ สพฐ. จะถูกนำมาปรับใช้กับ อปท. ตามหลัง 6 เดือน - 1 ปี อปท.บางแห่งให้โบนัส เช่น อบจ.ชลบุรี

    🎯 ถ้าสอบ อปท. ควรเช็กว่า อปท. ที่เลือกบรรจุนั้น มีโบนัสไหม!

    📌 ความคล่องตัวในการย้าย
    - สพฐ. มีโรงเรียนเยอะ ย้ายง่าย
    - อปท. มีโรงเรียนน้อย โอกาสย้ายกลับบ้านน้อยกว่า

    📍 การโอนข้ามสังกัด
    🔹 สพฐ. โอนไป อปท. ได้ง่ายกว่า
    🔹 อปท. โอนไป สพฐ. ยากมาก!

    🚨 ถ้าคิดจะโอนข้ามสังกัด ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ดี

    🎯 เส้นทางความก้าวหน้า
    🏛️ ครูผู้ช่วย สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง! สามารถไต่เต้าไปได้ถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รองเลขาธิการ สพฐ. กระทั่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

    🏙️ ส่วนครูผู้ช่วย อปท. มักไปสุดแค่ ผอ.โรงเรียน อาจเป็น ผอ.กองการศึกษา ได้ แต่ต้องแข่งกับข้าราชการสายอำนวยการ

    🏆 ถ้าอยากเติบโตในสายงานการศึกษา สพฐ. มีทางเลือกมากกว่า

    📚 ระบบงานและระเบียบ
    📌 ระบบของ สพฐ.
    ✔️ โรงเรียนเป็น นิติบุคคลมหาชน
    ✔️ ต้องทำเรื่องเบิกจ่ายผ่าน เขตพื้นที่การศึกษา
    ✔️ ระบบระเบียบยังคลุมเครือ

    📌 ระบบของ อปท.
    ✔️ โรงเรียนเป็น หน่วยงานของ อปท.
    ✔️ วางฎีกาและเบิกจ่ายที่โรงเรียนได้เอง
    ✔️ ระเบียบเยอะ ต้องทำงานเอกสารมาก

    🎯 ถ้าชอบระบบงานที่ชัดเจน อปท. อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าอยากทำงานแบบอิสระ สพฐ. อาจตอบโจทย์กว่า

    🏫 งบประมาณโรงเรียน
    🔹 รร. สพฐ. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยตรง
    🔹 รร. อปท. ได้รับงบจาก อปท. ต้นสังกัด ซึ่งส่วนใหญ่ เงินไม่ขาดแน่นอน แต่ใช้งานยาก เพราะระเบียบเยอะ

    📌 ข้อได้เปรียบของ อปท.
    ✔️ เงินเหลือใช้ได้ต่อปี ไม่ต้องคืนรัฐ
    ✔️ ซื้อครุภัณฑ์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่านระบบ CIO

    🏛️ การเมืองมีผลต่อการทำงานหรือไม่?
    รร. อปท. อยู่ภายใต้การดูแลของ นายก อปท.
    รร. สพฐ. อยู่ภายใต้ เขตพื้นที่การศึกษา และกระทรวง

    📌 ความจริง ทั้งสองสังกัด มีการเมืองในองค์กรเหมือนกัน

    🔥 แต่ถ้าอยู่ อปท. มักเจอ "การเมืองท้องถิ่น" มากกว่า

    🎯 เลือกสอบอะไรดี?
    ✅ ถ้าต้องการความมั่นคง และเส้นทางก้าวหน้าระดับกระทรวง → เลือก สพฐ.
    ✅ ถ้าต้องการเงินเดือนเต็ม เบิกค่าเช่าบ้านได้ และมีงบประมาณคล่องตัว → เลือก อปท.

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091524 มี.ค. 2568

    📌 #สอบครู #ครูผู้ช่วย #สพฐ #อปท #สอบราชการ #ครูไทย #ข้าราชการครู #เลือกสังกัดไหนดี #ครูบ้านนอก #สอบบรรจุ
    เรียนจบครูมา เลือกสอบอะไรดี? สพฐ. หรือ อปท. 🤔 ท่ามกลางความเหมือนที่แตกต่าง – สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง แต่ อปท. เบิกค่าบ้านได้ 🌟 เมื่อต้องเลือกเส้นทางข้าราชการครู เข้าสู่ฤดูกาลสมัครสอบ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นประจำปี 2568 บัณฑิตสายครูหลายคนอาจลังเลใจ ว่าควรเลือกสอบครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือจะไปครูผู้ช่วย สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดี? 🔹 สพฐ. ดูมั่นคง มีเส้นทางก้าวหน้าสู่กระทรวง 🔹 อปท. ได้สิทธิ์เบิกค่าเช่าบ้าน เงินเดือนอาจคล่องตัว แต่ทั้งสองเส้นทางนี้มีความเหมือน และแตกต่างในหลายมิติ 🎯 👩‍🏫 ครูผู้ช่วย อปท. กับครูผู้ช่วย สพฐ. เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? 🏛️ สถานะทางกฎหมาย - ครูผู้ช่วย สพฐ. เป็นข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ปี 2547 - ส่วนครูผู้ช่วย อปท. เป็นพนักงานครู หรือก็คือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ปี 2542 แม้กฎหมายจะต่างกัน แต่โดยหลักการแล้ว ศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์แทบไม่ต่างกัน 💰 เงินเดือนและสวัสดิการ - ครูผู้ช่วย อปท. ไม่ต้องหัก 3% เข้า กบข. แต่จะมีเงินสมทบ เข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญท้องถิ่น (กบท.) - ครูผู้ช่วย สพฐ. ต้องหักเงินเดือน 3% เข้า กบข. ตามระเบียบ ✅ ข้อได้เปรียบของ อปท. คือได้เงินเดือนเต็มกว่าเล็กน้อย 📌 ครูผู้ช่วย อปท. เบิกค่าเช่าบ้านได้! 🏠 สูงสุด 6,000 บาท ต่อเดือน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอแค่ย้ายออกจากพื้นที่บรรจุครั้งแรก และไม่มีบ้านพักของหน่วยงาน ❌ ส่วนครูผู้ช่วย สพฐ. เบิกไม่ได้! ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน ถ้าย้ายเองเท่ากับ “ร้องขอ” → หมดสิทธิ์ 📌 ทั้งนี้ อปท. บางแห่ง ก็ไม่อนุญาตให้เบิกค่าเช่าบ้าน เพราะอาจมีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ อปท. 🏥 สิทธิ์รักษาพยาบาล ใครดีกว่า? ✅ ครอบคลุมเหมือนกัน ทั้งบิดา มารดา คู่สมรส และบุตร ✅ เบิกจ่ายตรงได้ เหมือนกัน 🔹 ต่างกันที่แหล่งเงิน - ครูผู้ช่วย อปท. ใช้งบของ สปสช. - ครูผู้ช่วย สพฐ. ใช้งบของกรมบัญชีกลาง 🚑 เรื่องนี้แทบไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้รับสิทธิ์ 📈 การเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะ - ครูผู้ช่วย สพฐ. ทำตามกฎของ ก.ค.ศ. - ครูผู้ช่วย อปท. ทำตามมาตรฐานของ ก.กลาง และ ก.จังหวัด ซึ่งเนื้อหาแทบไม่ต่างกัน 📌 ข้อแตกต่าง เกณฑ์ใหม่ของ สพฐ. จะถูกนำมาปรับใช้กับ อปท. ตามหลัง 6 เดือน - 1 ปี อปท.บางแห่งให้โบนัส เช่น อบจ.ชลบุรี 🎯 ถ้าสอบ อปท. ควรเช็กว่า อปท. ที่เลือกบรรจุนั้น มีโบนัสไหม! 📌 ความคล่องตัวในการย้าย - สพฐ. มีโรงเรียนเยอะ ย้ายง่าย - อปท. มีโรงเรียนน้อย โอกาสย้ายกลับบ้านน้อยกว่า 📍 การโอนข้ามสังกัด 🔹 สพฐ. โอนไป อปท. ได้ง่ายกว่า 🔹 อปท. โอนไป สพฐ. ยากมาก! 🚨 ถ้าคิดจะโอนข้ามสังกัด ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ดี 🎯 เส้นทางความก้าวหน้า 🏛️ ครูผู้ช่วย สพฐ. ก้าวไกลถึงกระทรวง! สามารถไต่เต้าไปได้ถึง ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา รองเลขาธิการ สพฐ. กระทั่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 🏙️ ส่วนครูผู้ช่วย อปท. มักไปสุดแค่ ผอ.โรงเรียน อาจเป็น ผอ.กองการศึกษา ได้ แต่ต้องแข่งกับข้าราชการสายอำนวยการ 🏆 ถ้าอยากเติบโตในสายงานการศึกษา สพฐ. มีทางเลือกมากกว่า 📚 ระบบงานและระเบียบ 📌 ระบบของ สพฐ. ✔️ โรงเรียนเป็น นิติบุคคลมหาชน ✔️ ต้องทำเรื่องเบิกจ่ายผ่าน เขตพื้นที่การศึกษา ✔️ ระบบระเบียบยังคลุมเครือ 📌 ระบบของ อปท. ✔️ โรงเรียนเป็น หน่วยงานของ อปท. ✔️ วางฎีกาและเบิกจ่ายที่โรงเรียนได้เอง ✔️ ระเบียบเยอะ ต้องทำงานเอกสารมาก 🎯 ถ้าชอบระบบงานที่ชัดเจน อปท. อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าอยากทำงานแบบอิสระ สพฐ. อาจตอบโจทย์กว่า 🏫 งบประมาณโรงเรียน 🔹 รร. สพฐ. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยตรง 🔹 รร. อปท. ได้รับงบจาก อปท. ต้นสังกัด ซึ่งส่วนใหญ่ เงินไม่ขาดแน่นอน แต่ใช้งานยาก เพราะระเบียบเยอะ 📌 ข้อได้เปรียบของ อปท. ✔️ เงินเหลือใช้ได้ต่อปี ไม่ต้องคืนรัฐ ✔️ ซื้อครุภัณฑ์ได้ง่ายกว่า ไม่ต้องผ่านระบบ CIO 🏛️ การเมืองมีผลต่อการทำงานหรือไม่? รร. อปท. อยู่ภายใต้การดูแลของ นายก อปท. รร. สพฐ. อยู่ภายใต้ เขตพื้นที่การศึกษา และกระทรวง 📌 ความจริง ทั้งสองสังกัด มีการเมืองในองค์กรเหมือนกัน 🔥 แต่ถ้าอยู่ อปท. มักเจอ "การเมืองท้องถิ่น" มากกว่า 🎯 เลือกสอบอะไรดี? ✅ ถ้าต้องการความมั่นคง และเส้นทางก้าวหน้าระดับกระทรวง → เลือก สพฐ. ✅ ถ้าต้องการเงินเดือนเต็ม เบิกค่าเช่าบ้านได้ และมีงบประมาณคล่องตัว → เลือก อปท. ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091524 มี.ค. 2568 📌 #สอบครู #ครูผู้ช่วย #สพฐ #อปท #สอบราชการ #ครูไทย #ข้าราชการครู #เลือกสังกัดไหนดี #ครูบ้านนอก #สอบบรรจุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลิตภัณฑ์ใหม่รับหน้าร้อนครับ !!!

    เมื่อไม่นานมานี้ Shark ได้เปิดตัวพัดลมรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า TurboBlade ซึ่งมีดีไซน์และการทำงานที่ไม่เหมือนใคร ทำให้คุณรู้สึกเย็นสบายในหน้าร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    TurboBlade เป็นพัดลมไร้ใบพัดที่ประกอบด้วยแขนสองข้างที่สามารถส่งลมได้เข้มข้น แขนเหล่านี้สามารถปรับมุมขึ้นและลง และยังสามารถหมุนได้ ทำให้คุณสามารถกำหนดทิศทางลมได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแนวนอนหรือแนวตั้ง มีโหมดการทำงานถึง 10 รูปแบบ เช่น โหมดนอนหลับที่ทำให้เสียงเงียบและแสงหรี่ลง และโหมด AirBlanket ที่ส่งลมกว้างแนวนอนและทำงานอย่างเงียบ ๆ พัดลมสามารถหมุนได้ 180 องศาในโหมดทาวเวอร์ (Tower Mode) เพื่อขยายสนามการระบายความเย็นได้กว้างขึ้น

    TurboBlade สามารถปรับระดับความสูงได้ และสามารถปรับแขนทั้งสองข้างได้อย่างอิสระ เช่น ให้หนึ่งข้างส่งลมสูงและอีกข้างส่งลมต่ำ นอกจากนี้ พัดลมยังมีขนาดที่กะทัดรัดและสามารถปรับให้เป็นแนวตั้งเพื่อประหยัดพื้นที่เมื่อไม่ได้ใช้งาน

    พัดลมรุ่นนี้มาพร้อมกับโหมด Natural Breeze ที่จะสุ่มการไหลของลมให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนภูเขาลมแรง ซึ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน

    พัดลม Shark TurboBlade เป็นการออกแบบที่น่าทึ่งและน่าสนใจ มันช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายในหน้าร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย หากคุณมองหาพัดลมที่ไม่เพียงแค่ให้ลมเย็น แต่ยังมีความสามารถในการปรับทิศทางลมได้อย่างหลากหลาย TurboBlade น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ

    https://www.techradar.com/home/air-quality/the-new-shark-fan-can-blast-blades-of-air-in-any-direction-and-its-set-to-make-summer-far-more-bearable
    ผลิตภัณฑ์ใหม่รับหน้าร้อนครับ !!! เมื่อไม่นานมานี้ Shark ได้เปิดตัวพัดลมรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า TurboBlade ซึ่งมีดีไซน์และการทำงานที่ไม่เหมือนใคร ทำให้คุณรู้สึกเย็นสบายในหน้าร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ TurboBlade เป็นพัดลมไร้ใบพัดที่ประกอบด้วยแขนสองข้างที่สามารถส่งลมได้เข้มข้น แขนเหล่านี้สามารถปรับมุมขึ้นและลง และยังสามารถหมุนได้ ทำให้คุณสามารถกำหนดทิศทางลมได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแนวนอนหรือแนวตั้ง มีโหมดการทำงานถึง 10 รูปแบบ เช่น โหมดนอนหลับที่ทำให้เสียงเงียบและแสงหรี่ลง และโหมด AirBlanket ที่ส่งลมกว้างแนวนอนและทำงานอย่างเงียบ ๆ พัดลมสามารถหมุนได้ 180 องศาในโหมดทาวเวอร์ (Tower Mode) เพื่อขยายสนามการระบายความเย็นได้กว้างขึ้น TurboBlade สามารถปรับระดับความสูงได้ และสามารถปรับแขนทั้งสองข้างได้อย่างอิสระ เช่น ให้หนึ่งข้างส่งลมสูงและอีกข้างส่งลมต่ำ นอกจากนี้ พัดลมยังมีขนาดที่กะทัดรัดและสามารถปรับให้เป็นแนวตั้งเพื่อประหยัดพื้นที่เมื่อไม่ได้ใช้งาน พัดลมรุ่นนี้มาพร้อมกับโหมด Natural Breeze ที่จะสุ่มการไหลของลมให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนภูเขาลมแรง ซึ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน พัดลม Shark TurboBlade เป็นการออกแบบที่น่าทึ่งและน่าสนใจ มันช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายในหน้าร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย หากคุณมองหาพัดลมที่ไม่เพียงแค่ให้ลมเย็น แต่ยังมีความสามารถในการปรับทิศทางลมได้อย่างหลากหลาย TurboBlade น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ https://www.techradar.com/home/air-quality/the-new-shark-fan-can-blast-blades-of-air-in-any-direction-and-its-set-to-make-summer-far-more-bearable
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • Doug Ford นายกรัฐมนตรีประจำจังหวัดออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เพิ่งประกาศยกเลิกสัญญา มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ กับ Starlink ของ SpaceX การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดี Trump ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากแคนาดาถึง 25% นอกจากนี้ Ford ยังตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีไฟฟ้าที่ส่งออกไปยังรัฐนิวยอร์ก มิชิแกน และมินนิโซตาอีกด้วย

    แม้ว่าจะมีการขู่ยกเลิกในอดีต แต่ Ford ได้ตัดสินใจเดินหน้าสัญญาในครั้งแรกหลัง Trump ชะลอการเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ Ford ยืนยันชัดเจนว่าการยกเลิกเป็นการตัดสินใจถาวร ไม่ว่าภาษีจะถูกยกเลิกหรือไม่ก็ตาม

    นอกจากออนแทรีโอแล้ว อิตาลีเองก็มีแนวโน้มที่จะยกเลิกดีลกับ Starlink เช่นกัน อิตาลีเคยพิจารณาใช้เครือข่ายดาวเทียมของ Starlink มูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริการด้านการสื่อสารทางทหารและสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับ NATO และความมั่นคงในยุโรป ทำให้อิตาลีพิจารณาเลือกทางเลือกอื่น เช่น Eutelsat จากฝรั่งเศส ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและมีเครือข่ายดาวเทียมเป็นอันดับสองรองจาก SpaceX

    นายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni ของอิตาลีกล่าวว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทำเนียบขาวเกี่ยวกับการสนับสนุนยูเครนส่งผลให้รัฐบาลต้องการแผนสำรองที่มั่นคงกว่าเดิม

    แม้ว่า SpaceX อาจเสียรายได้จากอิตาลีและออนแทรีโอ แต่ Elon Musk ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างไม่กังวล โดยโพสต์ข้อความว่า "Oh well" ลงใน X (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเอง) แสดงถึงความมั่นใจในสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีดาวเทียมจำนวนมหาศาลที่ระดับวงโคจรต่ำกว่า 550 กิโลเมตร

    การยกเลิกดีลนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การตัดสินใจของอิตาลีที่จะพิจารณา Eutelsat อาจทำให้ยุโรปเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีในอนาคต และลดการพึ่งพาบริษัทอเมริกันที่ไม่แน่นอนในด้านการสนับสนุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/ontario-cancels-starlink-deal-over-us-tariffs-italy-may-follow-due-to-us-pullback-from-europe
    Doug Ford นายกรัฐมนตรีประจำจังหวัดออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เพิ่งประกาศยกเลิกสัญญา มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ กับ Starlink ของ SpaceX การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดี Trump ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากแคนาดาถึง 25% นอกจากนี้ Ford ยังตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีไฟฟ้าที่ส่งออกไปยังรัฐนิวยอร์ก มิชิแกน และมินนิโซตาอีกด้วย แม้ว่าจะมีการขู่ยกเลิกในอดีต แต่ Ford ได้ตัดสินใจเดินหน้าสัญญาในครั้งแรกหลัง Trump ชะลอการเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ Ford ยืนยันชัดเจนว่าการยกเลิกเป็นการตัดสินใจถาวร ไม่ว่าภาษีจะถูกยกเลิกหรือไม่ก็ตาม นอกจากออนแทรีโอแล้ว อิตาลีเองก็มีแนวโน้มที่จะยกเลิกดีลกับ Starlink เช่นกัน อิตาลีเคยพิจารณาใช้เครือข่ายดาวเทียมของ Starlink มูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริการด้านการสื่อสารทางทหารและสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของสหรัฐฯ เกี่ยวกับ NATO และความมั่นคงในยุโรป ทำให้อิตาลีพิจารณาเลือกทางเลือกอื่น เช่น Eutelsat จากฝรั่งเศส ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและมีเครือข่ายดาวเทียมเป็นอันดับสองรองจาก SpaceX นายกรัฐมนตรี Giorgia Meloni ของอิตาลีกล่าวว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทำเนียบขาวเกี่ยวกับการสนับสนุนยูเครนส่งผลให้รัฐบาลต้องการแผนสำรองที่มั่นคงกว่าเดิม แม้ว่า SpaceX อาจเสียรายได้จากอิตาลีและออนแทรีโอ แต่ Elon Musk ได้แสดงปฏิกิริยาอย่างไม่กังวล โดยโพสต์ข้อความว่า "Oh well" ลงใน X (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเอง) แสดงถึงความมั่นใจในสถานะทางการเงินของบริษัทที่มีดาวเทียมจำนวนมหาศาลที่ระดับวงโคจรต่ำกว่า 550 กิโลเมตร การยกเลิกดีลนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ การตัดสินใจของอิตาลีที่จะพิจารณา Eutelsat อาจทำให้ยุโรปเสริมความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยีในอนาคต และลดการพึ่งพาบริษัทอเมริกันที่ไม่แน่นอนในด้านการสนับสนุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/ontario-cancels-starlink-deal-over-us-tariffs-italy-may-follow-due-to-us-pullback-from-europe
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Ontario cancels Starlink deal over US tariffs — Italy may follow due to US pullback from Europe
    Trump policies are causing some countries to second-guess their Starlink contracts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • 5 ปี สิ้นผู้พิพากษา "คณากร" เสียงสะท้อนการแทรกแซงศาล คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรม 5 ปี "คณากร เพียรชนะ" ผู้พิพากษาที่มุ่งมั่นเรียกร้องความยุติธรรม แต่กลับจบชีวิต ด้วยปลายกระบอกปืนของตนเอง

    🔍 คดีที่สะเทือนศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมไทย เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2563 นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ได้ลั่นไกปืนปลิดชีพตนเอง ที่บ้านพักในอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในวัยเพียง 50 ปี การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของผู้พิพากษาคณากรไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรมของชีวิต แต่ยังเป็นเสียงสะท้อนถึงปัญหา การแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

    ก่อนหน้านี้ ผู้พิพากษาคณากร เคยพยายามยิงตัวเองในห้องพิจารณาคดีที่ 4 ศาลจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562 หลังจากอ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในคดีความมั่นคง และเปิดเผยว่าถูก "แทรกแซงให้เปลี่ยนคำพิพากษา" โดยฝ่ายบริหารศาล

    🛑 "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน"

    วลีนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรมของตุลาการ ซึ่งยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะล่วงเลยมา 5 ปี

    ⚖️ จากห้องพิจารณาคดี สู่การสูญเสีย
    📅 4 ตุลาคม 2562 ผู้พิพากษาคณากร ยิงตัวเองครั้งแรกในห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดยะลา
    📌 ผู้พิพากษาคณากร พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 3428/2561 ซึ่งจำเลย 5 คน ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ
    📌 พยานหลักฐานอ่อน ไม่มีน้ำหนักพอจะลงโทษ จึงมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด
    📌 แต่ก่อนจะอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาคณากรได้รับคำสั่งลับ ให้แก้ไขคำพิพากษา ตัดสินลงโทษจำเลย 3 คนให้ประหารชีวิต และอีก 2 คนให้จำคุกตลอดชีวิต
    📌 ผู้พิพากษาคณากรปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง และเผยแพร่คำแถลงการณ์ 25 หน้า ผ่านโซเชียลมีเดีย
    📌 หลังอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาคณากรยิงตัวเองบริเวณหัวใจ ต่อหน้าผู้เข้าฟังในห้องพิจารณาคดี แต่โชคดีรอดชีวิต

    🗣 "หากยอมแก้คำพิพากษา ก็เท่ากับว่า ผมไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอีกต่อไป" คณากร เพียรชนะ จากคำแถลงการณ์ก่อนยิงตัวเอง

    📅 7 มีนาคม 2563 ผู้พิพากษาคณากรปลิดชีพตนเองที่บ้านพัก
    📌 ผู้พิพากษาคณากรถูกสั่งย้ายไปช่วยราชการ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เชียงใหม่ และอยู่ระหว่างการสอบสวนวินัยร้ายแรง
    📌 เช้าวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2563 เวลา 08.00 น. ผู้พิพากษาคณากรเขียนจดหมายลา 2 หน้า และตัดสินใจ ยิงตัวเองเป็นครั้งที่สอง
    📌 ภรรยากลับบ้านมาประสบเหตุ จึงเเจ้งรถพยาบาลนำส่งโรงพยาบาลดอยสะเก็ด เเต่เมื่อพบว่าอาการหนัก จึงทำการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแมคคอร์มิค กระทั่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา
    📌 งานศพจัดขึ้นที่สุสานสันกู่เหล็ก เชียงใหม่ ท่ามกลางผู้พิพากษา และประชาชนร่วมไว้อาลัย

    😔 เหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำ ถึงความสิ้นหวังของผู้พิพากษา ในระบบศาลไทย

    🔍 การแทรกแซงตุลาการ ปัญหาที่ผู้พิพากษาคณากรต่อสู้ หนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญ คือ
    📌 การตรวจร่างคำพิพากษา ก่อนอ่านให้คู่ความฟัง
    📌 การแทรกแซงคำพิพากษา โดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค
    📌 ความไม่เป็นธรรมทางการเงิน แก่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น

    📢 "ศาลต้องเป็นอิสระจากอำนาจทางการเมือง และอำนาจบริหารภายในองค์กร" นี่คือสิ่งที่ผู้พิพากษาคณากร พยายามต่อสู้มาตลอดชีวิต

    📌 กรณีคดี 3428/2561 ที่ศาลจังหวัดยะลา ในคำแถลงการณ์ ผู้พิพากษาคณากรอ้างว่า อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 ได้สั่งให้เปลี่ยนคำพิพากษา โดยระบุว่า "หากยืนยันจะยกฟ้อง ก็ให้ขังจำเลยระหว่างอุทธรณ์"

    📌 พยานหลักฐานทั้งหมดเกิดขึ้น ระหว่างที่จำเลยถูกควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรม

    5 ปีผ่านไป คำถามยังคงอยู่ กระบวนการยุติธรรมของไทย มีอิสระจริงหรือไม่?

    📜 คำแถลงการณ์สุดท้ายของผู้พิพากษาคณากร ก่อนตัดสินใจจบชีวิต ได้เขียนจดหมายลาฉบับสุดท้าย ซึ่งมีใจความว่า

    📝 "ผมทำเพื่อความยุติธรรม ไม่เสียใจที่ได้กระทำ"
    📝 "ขอให้ประชาชนเข้าใจว่า ผู้พิพากษาที่ดี ต้องมีอิสระในการตัดสิน"
    📝 "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน"

    📊 เสียงสะท้อนจากสังคมและผลกระทบ
    📌 การประท้วงทั่วประเทศ
    📌 การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบศาล
    📌 การตื่นตัวของประชาชน เรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

    ⏳ 5 ปีต่อมา ระบบศาลไทยเปลี่ยนไปหรือยัง?
    📌 การตรวจร่างคำพิพากษายังคงมีอยู่
    📌 ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นยังคงเผชิญแรงกดดัน ในการพิจารณาคดี
    📌 กระบวนการยุติธรรมของไทย ยังคงถูกตั้งคำถาม

    😔 5 ปีผ่านไป ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข

    📌 ชื่อของผู้พิพากษาคณากร ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
    📌 เรื่องราวของผู้พิพากษาคณากร สะท้อนถึงปัญหาในกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    📌 "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน" จะยังคงเป็นวลีที่สังคมต้องจดจำ

    📢 "5 ปีผ่านไป อย่าให้เสียงของผู้พิพากษาคณากรถูกลืม"

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 070830 มี.ค. 2568

    #️⃣ #คณากรเพียรชนะ #คืนความยุติธรรมให้ประชาชน #ผู้พิพากษา #ปฏิรูประบบศาล #แทรกแซงตุลาการ #ความยุติธรรม #ศาลไทย #สิทธิมนุษยชน #ThailandJustice #FreeJudiciary
    5 ปี สิ้นผู้พิพากษา "คณากร" เสียงสะท้อนการแทรกแซงศาล คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรม 5 ปี "คณากร เพียรชนะ" ผู้พิพากษาที่มุ่งมั่นเรียกร้องความยุติธรรม แต่กลับจบชีวิต ด้วยปลายกระบอกปืนของตนเอง 🔍 คดีที่สะเทือนศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมไทย เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2563 นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ได้ลั่นไกปืนปลิดชีพตนเอง ที่บ้านพักในอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ในวัยเพียง 50 ปี การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของผู้พิพากษาคณากรไม่เพียงเป็นโศกนาฏกรรมของชีวิต แต่ยังเป็นเสียงสะท้อนถึงปัญหา การแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก่อนหน้านี้ ผู้พิพากษาคณากร เคยพยายามยิงตัวเองในห้องพิจารณาคดีที่ 4 ศาลจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562 หลังจากอ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในคดีความมั่นคง และเปิดเผยว่าถูก "แทรกแซงให้เปลี่ยนคำพิพากษา" โดยฝ่ายบริหารศาล 🛑 "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน" วลีนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรมของตุลาการ ซึ่งยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะล่วงเลยมา 5 ปี ⚖️ จากห้องพิจารณาคดี สู่การสูญเสีย 📅 4 ตุลาคม 2562 ผู้พิพากษาคณากร ยิงตัวเองครั้งแรกในห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดยะลา 📌 ผู้พิพากษาคณากร พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 3428/2561 ซึ่งจำเลย 5 คน ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ 📌 พยานหลักฐานอ่อน ไม่มีน้ำหนักพอจะลงโทษ จึงมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด 📌 แต่ก่อนจะอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาคณากรได้รับคำสั่งลับ ให้แก้ไขคำพิพากษา ตัดสินลงโทษจำเลย 3 คนให้ประหารชีวิต และอีก 2 คนให้จำคุกตลอดชีวิต 📌 ผู้พิพากษาคณากรปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง และเผยแพร่คำแถลงการณ์ 25 หน้า ผ่านโซเชียลมีเดีย 📌 หลังอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาคณากรยิงตัวเองบริเวณหัวใจ ต่อหน้าผู้เข้าฟังในห้องพิจารณาคดี แต่โชคดีรอดชีวิต 🗣 "หากยอมแก้คำพิพากษา ก็เท่ากับว่า ผมไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอีกต่อไป" คณากร เพียรชนะ จากคำแถลงการณ์ก่อนยิงตัวเอง 📅 7 มีนาคม 2563 ผู้พิพากษาคณากรปลิดชีพตนเองที่บ้านพัก 📌 ผู้พิพากษาคณากรถูกสั่งย้ายไปช่วยราชการ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เชียงใหม่ และอยู่ระหว่างการสอบสวนวินัยร้ายแรง 📌 เช้าวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2563 เวลา 08.00 น. ผู้พิพากษาคณากรเขียนจดหมายลา 2 หน้า และตัดสินใจ ยิงตัวเองเป็นครั้งที่สอง 📌 ภรรยากลับบ้านมาประสบเหตุ จึงเเจ้งรถพยาบาลนำส่งโรงพยาบาลดอยสะเก็ด เเต่เมื่อพบว่าอาการหนัก จึงทำการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแมคคอร์มิค กระทั่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา 📌 งานศพจัดขึ้นที่สุสานสันกู่เหล็ก เชียงใหม่ ท่ามกลางผู้พิพากษา และประชาชนร่วมไว้อาลัย 😔 เหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำ ถึงความสิ้นหวังของผู้พิพากษา ในระบบศาลไทย 🔍 การแทรกแซงตุลาการ ปัญหาที่ผู้พิพากษาคณากรต่อสู้ หนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญ คือ 📌 การตรวจร่างคำพิพากษา ก่อนอ่านให้คู่ความฟัง 📌 การแทรกแซงคำพิพากษา โดยอธิบดีผู้พิพากษาภาค 📌 ความไม่เป็นธรรมทางการเงิน แก่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น 📢 "ศาลต้องเป็นอิสระจากอำนาจทางการเมือง และอำนาจบริหารภายในองค์กร" นี่คือสิ่งที่ผู้พิพากษาคณากร พยายามต่อสู้มาตลอดชีวิต 📌 กรณีคดี 3428/2561 ที่ศาลจังหวัดยะลา ในคำแถลงการณ์ ผู้พิพากษาคณากรอ้างว่า อธิบดีผู้พิพากษาภาค 9 ได้สั่งให้เปลี่ยนคำพิพากษา โดยระบุว่า "หากยืนยันจะยกฟ้อง ก็ให้ขังจำเลยระหว่างอุทธรณ์" 📌 พยานหลักฐานทั้งหมดเกิดขึ้น ระหว่างที่จำเลยถูกควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรม 5 ปีผ่านไป คำถามยังคงอยู่ กระบวนการยุติธรรมของไทย มีอิสระจริงหรือไม่? 📜 คำแถลงการณ์สุดท้ายของผู้พิพากษาคณากร ก่อนตัดสินใจจบชีวิต ได้เขียนจดหมายลาฉบับสุดท้าย ซึ่งมีใจความว่า 📝 "ผมทำเพื่อความยุติธรรม ไม่เสียใจที่ได้กระทำ" 📝 "ขอให้ประชาชนเข้าใจว่า ผู้พิพากษาที่ดี ต้องมีอิสระในการตัดสิน" 📝 "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน" 📊 เสียงสะท้อนจากสังคมและผลกระทบ 📌 การประท้วงทั่วประเทศ 📌 การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบศาล 📌 การตื่นตัวของประชาชน เรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ⏳ 5 ปีต่อมา ระบบศาลไทยเปลี่ยนไปหรือยัง? 📌 การตรวจร่างคำพิพากษายังคงมีอยู่ 📌 ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นยังคงเผชิญแรงกดดัน ในการพิจารณาคดี 📌 กระบวนการยุติธรรมของไทย ยังคงถูกตั้งคำถาม 😔 5 ปีผ่านไป ปัญหายังไม่ถูกแก้ไข 📌 ชื่อของผู้พิพากษาคณากร ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม 📌 เรื่องราวของผู้พิพากษาคณากร สะท้อนถึงปัญหาในกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข 📌 "คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน" จะยังคงเป็นวลีที่สังคมต้องจดจำ 📢 "5 ปีผ่านไป อย่าให้เสียงของผู้พิพากษาคณากรถูกลืม" ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 070830 มี.ค. 2568 #️⃣ #คณากรเพียรชนะ #คืนความยุติธรรมให้ประชาชน #ผู้พิพากษา #ปฏิรูประบบศาล #แทรกแซงตุลาการ #ความยุติธรรม #ศาลไทย #สิทธิมนุษยชน #ThailandJustice #FreeJudiciary
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 เจริญสติแล้วหยุดกรรมร้ายได้ไหม

    ---

    🔍 1️⃣ วิบากร้ายทำงานเมื่อเราไม่พร้อมที่สุด

    ☸ วิบากกรรมดำ (ผลของกรรมไม่ดี) จะให้ผลแรงที่สุด
    ในช่วงที่เรา โลภที่สุด โกรธที่สุด และหลงที่สุด

    🧩 พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า:

    > "เมื่อวิบากดำให้ผล โมหะก็เข้าครอบ แม้บัณฑิตก็ทำเรื่องโง่ได้ คนรอบคอบก็ประมาทได้"

    📌 แปลว่า:

    แม้เป็นคนดี มีปัญญา หากยังมี โลภะ โทสะ โมหะ แรงๆ ก็ยังพลาดได้

    วิบากดำรอให้เรา "เผลอ" แล้วจึงให้ผลแรงที่สุด

    การฝึก "เจริญสติ" เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เผลอ

    ---

    🧘‍♂️ 2️⃣ เจริญสติช่วยลดกรรมร้ายได้อย่างไร?

    💡 สติช่วยให้:
    ✅ ผ่อนหนักเป็นเบา
    ✅ ลดโอกาสสร้างกรรมดำใหม่
    ✅ เพิ่มพลังกรรมขาวให้ช่วยแทรกแซง

    🎯 หลักการง่ายๆ:

    ลดโลภะ → ทุกข์เรื่องเงินลดลง

    ลดโทสะ → คนร้ายก็เบียดเบียนเราน้อยลง

    ลดโมหะ → ไม่ตัดสินใจพลาดเพราะความเขลา

    ⚡ ผลของการฝึกสติอย่างสม่ำเสมอ:

    วิบากขาว (ผลของกรรมดี) จะเกิดขึ้นเร็ว

    กรรมขาว "ลัดคิว" มาแทรกแซงกรรมดำได้

    ชีวิตมีเสถียรภาพ ไม่เป๋ไปตามกระแสของกรรมดำง่ายๆ

    ---

    ⚠️ 3️⃣ สติปัฏฐาน "ไม่ได้" แก้กรรมโดยตรง

    🚫 ไม่ใช่การลบล้างกรรมเหมือนยางลบลบรอยดินสอ
    🚫 ไม่ได้ทำให้กรรมดำหายไปแบบทันตา
    🚫 ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย

    ☸ แต่สติปัฏฐานช่วยให้:
    ✅ ไม่เผลอสร้าง "กรรมดำใหม่" ให้เพิ่มขึ้น
    ✅ มีจิตหนักแน่น รับมือกับสถานการณ์ร้ายได้ดีขึ้น
    ✅ ลดความทุกข์ใจ แม้วิบากร้ายยังให้ผลอยู่

    📌 แม้พระอรหันต์ก็ยังต้องเสวยวิบากเก่า

    ท่านยังต้องรับทุกข์ทางกาย (เช่น พระโมคคัลลานะถูกโจรทำร้าย)

    แต่ท่านไม่ทุกข์ทางใจอีกแล้ว

    🧘‍♀️ สำหรับผู้เริ่มเจริญสติ

    แม้จะยังมีทุกข์ทางใจอยู่

    แต่จะลดการคร่ำครวญ และเข้าใจทุกข์ได้มากขึ้น

    ---

    🎯 4️⃣ สรุป: เจริญสติช่วยอะไร?

    ✅ ทำให้ "ทุกข์ใจ" ลดลงได้แน่นอน
    ✅ ช่วยให้ "กรรมขาว" แทรกแซงกรรมดำได้
    ✅ ช่วยให้ตั้งรับวิบากร้ายได้ดีขึ้น
    ✅ ทำให้จิตเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ลบ
    ✅ แม้วิบากร้ายจะยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป

    ---

    🌿 5️⃣ ข้อคิดส่งท้าย: ชาติเดียวก็หมดทุกข์ได้

    ☸ "อานิสงส์ของการเจริญสติถูกทาง อยู่เหนือทุกสิ่ง บุญทุกชนิด"

    📌 แม้กรรมดำจะยังมีอยู่
    แต่ ถ้าเจริญสติถึงที่สุด → ก็สามารถพ้นทุกข์หมดโศกได้ในชาตินี้!

    💡 ขอเป็นกำลังใจให้เพียรต่อบนวิถีทางอันประเสริฐนี้
    🕉️ สติคือเกราะป้องกันกรรมร้ายที่ดีที่สุด 🕉️
    📌 เจริญสติแล้วหยุดกรรมร้ายได้ไหม --- 🔍 1️⃣ วิบากร้ายทำงานเมื่อเราไม่พร้อมที่สุด ☸ วิบากกรรมดำ (ผลของกรรมไม่ดี) จะให้ผลแรงที่สุด ในช่วงที่เรา โลภที่สุด โกรธที่สุด และหลงที่สุด 🧩 พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า: > "เมื่อวิบากดำให้ผล โมหะก็เข้าครอบ แม้บัณฑิตก็ทำเรื่องโง่ได้ คนรอบคอบก็ประมาทได้" 📌 แปลว่า: แม้เป็นคนดี มีปัญญา หากยังมี โลภะ โทสะ โมหะ แรงๆ ก็ยังพลาดได้ วิบากดำรอให้เรา "เผลอ" แล้วจึงให้ผลแรงที่สุด การฝึก "เจริญสติ" เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เผลอ --- 🧘‍♂️ 2️⃣ เจริญสติช่วยลดกรรมร้ายได้อย่างไร? 💡 สติช่วยให้: ✅ ผ่อนหนักเป็นเบา ✅ ลดโอกาสสร้างกรรมดำใหม่ ✅ เพิ่มพลังกรรมขาวให้ช่วยแทรกแซง 🎯 หลักการง่ายๆ: ลดโลภะ → ทุกข์เรื่องเงินลดลง ลดโทสะ → คนร้ายก็เบียดเบียนเราน้อยลง ลดโมหะ → ไม่ตัดสินใจพลาดเพราะความเขลา ⚡ ผลของการฝึกสติอย่างสม่ำเสมอ: วิบากขาว (ผลของกรรมดี) จะเกิดขึ้นเร็ว กรรมขาว "ลัดคิว" มาแทรกแซงกรรมดำได้ ชีวิตมีเสถียรภาพ ไม่เป๋ไปตามกระแสของกรรมดำง่ายๆ --- ⚠️ 3️⃣ สติปัฏฐาน "ไม่ได้" แก้กรรมโดยตรง 🚫 ไม่ใช่การลบล้างกรรมเหมือนยางลบลบรอยดินสอ 🚫 ไม่ได้ทำให้กรรมดำหายไปแบบทันตา 🚫 ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย ☸ แต่สติปัฏฐานช่วยให้: ✅ ไม่เผลอสร้าง "กรรมดำใหม่" ให้เพิ่มขึ้น ✅ มีจิตหนักแน่น รับมือกับสถานการณ์ร้ายได้ดีขึ้น ✅ ลดความทุกข์ใจ แม้วิบากร้ายยังให้ผลอยู่ 📌 แม้พระอรหันต์ก็ยังต้องเสวยวิบากเก่า ท่านยังต้องรับทุกข์ทางกาย (เช่น พระโมคคัลลานะถูกโจรทำร้าย) แต่ท่านไม่ทุกข์ทางใจอีกแล้ว 🧘‍♀️ สำหรับผู้เริ่มเจริญสติ แม้จะยังมีทุกข์ทางใจอยู่ แต่จะลดการคร่ำครวญ และเข้าใจทุกข์ได้มากขึ้น --- 🎯 4️⃣ สรุป: เจริญสติช่วยอะไร? ✅ ทำให้ "ทุกข์ใจ" ลดลงได้แน่นอน ✅ ช่วยให้ "กรรมขาว" แทรกแซงกรรมดำได้ ✅ ช่วยให้ตั้งรับวิบากร้ายได้ดีขึ้น ✅ ทำให้จิตเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ลบ ✅ แม้วิบากร้ายจะยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป --- 🌿 5️⃣ ข้อคิดส่งท้าย: ชาติเดียวก็หมดทุกข์ได้ ☸ "อานิสงส์ของการเจริญสติถูกทาง อยู่เหนือทุกสิ่ง บุญทุกชนิด" 📌 แม้กรรมดำจะยังมีอยู่ แต่ ถ้าเจริญสติถึงที่สุด → ก็สามารถพ้นทุกข์หมดโศกได้ในชาตินี้! 💡 ขอเป็นกำลังใจให้เพียรต่อบนวิถีทางอันประเสริฐนี้ 🕉️ สติคือเกราะป้องกันกรรมร้ายที่ดีที่สุด 🕉️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกชัย หงส์กังวาน อดีตสามกีบอิสระ จากเคยเฟื่องฟูด้วยเงินบริจาค มาวันนี้ตกอับถึงขั้นเอาพัดลมเก่ามาประมูลขาย แต่เสือกโลภเปิดราคาไว้ 1 พัน ทั้งๆ ที่พัดลมใหม่แค่ 1,200 บาท สุดท้ายไร้คนสนใจ สภาพไร้คนเหลียวแลแม้แต่พวกเดียวกัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    เอกชัย หงส์กังวาน อดีตสามกีบอิสระ จากเคยเฟื่องฟูด้วยเงินบริจาค มาวันนี้ตกอับถึงขั้นเอาพัดลมเก่ามาประมูลขาย แต่เสือกโลภเปิดราคาไว้ 1 พัน ทั้งๆ ที่พัดลมใหม่แค่ 1,200 บาท สุดท้ายไร้คนสนใจ สภาพไร้คนเหลียวแลแม้แต่พวกเดียวกัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • Alexsandr  Duginที่ปรึกษาคนแรกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพิ่งให้สัมภาษณ์ BOMBSHELL โดยนักข่าวฝ่ายค้านชาวอูเครน Diana Panchenko นี่คือประเด็นที่สำคัญ1.ยูเครนพลาดโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการแยกตัวเป็นเอกราช"ยูเครนหมดแรงและพลาดโอกาสทางประวัติศาสตร์ในการดำรงอยู่ทางการเมืองระดับชาติที่เป็นอิสระ"2.ยูเครนปฏิเสธโอกาสสร้างอาณาจักรรัสเซีย-ยูเครนที่ยิ่งใหญ่ ดูจินบอกกับชาวอูเครนว่า "แทนที่จะต่อสู้กันเอง เราควรจะร่วมกันต่อสู้กับผู้ที่โจมตีจักรวรรดิแห่งนี้ แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม"3.ชาตินิยมยูเครนทำลายยูเครนเองดูจินกล่าวว่าชาตินิยมที่แท้จริงจะต้องปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน:"แต่ชาตินิยมยูเครนเป็นผู้ที่ […] ทำให้ [ยูเครน] อ่อนแอลง และลากเข้าสู่ความขัดแย้งที่สิ้นหวัง ซึ่งเป็นหายนะสำหรับยูเครนในฐานะรัฐที่มีอำนาจอธิปไตย"4.ชาติตะวันตกเสรีนิยมพยายามทำลายความร่วมมือของดูจินกับปูติน"การดำเนินการทั้งหมดนี้ Jeeranan Watteerachot ไม่เพียงแต่เป็นการต่อต้านปูตินเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อต้านรัสเซียด้วย เพราะเมื่อผู้รักชาติมารวมตัวกัน […] สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มศักยภาพให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มทวีคูณอีกด้วย"5.ทรัมป์พลิกเปลี่ยนทัศนคติชนิด 180° ต่ออุดมการณ์สหรัฐฯ"เขายกเลิกนโยบายเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ขับไล่บุคคลข้ามเพศออกจากกองทัพ […] มันเป็นการตบหน้าการเคลื่อนไหวที่มุ่งสู่เสรีนิยม ลัทธิซาตาน และลัทธิหลังสมัยใหม่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา"
    Alexsandr  Duginที่ปรึกษาคนแรกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพิ่งให้สัมภาษณ์ BOMBSHELL โดยนักข่าวฝ่ายค้านชาวอูเครน Diana Panchenko นี่คือประเด็นที่สำคัญ1.ยูเครนพลาดโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการแยกตัวเป็นเอกราช"ยูเครนหมดแรงและพลาดโอกาสทางประวัติศาสตร์ในการดำรงอยู่ทางการเมืองระดับชาติที่เป็นอิสระ"2.ยูเครนปฏิเสธโอกาสสร้างอาณาจักรรัสเซีย-ยูเครนที่ยิ่งใหญ่ ดูจินบอกกับชาวอูเครนว่า "แทนที่จะต่อสู้กันเอง เราควรจะร่วมกันต่อสู้กับผู้ที่โจมตีจักรวรรดิแห่งนี้ แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม"3.ชาตินิยมยูเครนทำลายยูเครนเองดูจินกล่าวว่าชาตินิยมที่แท้จริงจะต้องปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน:"แต่ชาตินิยมยูเครนเป็นผู้ที่ […] ทำให้ [ยูเครน] อ่อนแอลง และลากเข้าสู่ความขัดแย้งที่สิ้นหวัง ซึ่งเป็นหายนะสำหรับยูเครนในฐานะรัฐที่มีอำนาจอธิปไตย"4.ชาติตะวันตกเสรีนิยมพยายามทำลายความร่วมมือของดูจินกับปูติน"การดำเนินการทั้งหมดนี้ [...] ไม่เพียงแต่เป็นการต่อต้านปูตินเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อต้านรัสเซียด้วย เพราะเมื่อผู้รักชาติมารวมตัวกัน […] สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มศักยภาพให้กับเขาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มทวีคูณอีกด้วย"5.ทรัมป์พลิกเปลี่ยนทัศนคติชนิด 180° ต่ออุดมการณ์สหรัฐฯ"เขายกเลิกนโยบายเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ ขับไล่บุคคลข้ามเพศออกจากกองทัพ […] มันเป็นการตบหน้าการเคลื่อนไหวที่มุ่งสู่เสรีนิยม ลัทธิซาตาน และลัทธิหลังสมัยใหม่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพื่อชาว 'อุยกูร์'!!! 'กัณวีร์' ลั่น เราจะไม่ยอมทนให้การเมืองมานำมนุษยธรรมอีกต่อไป ซัดภาครัฐขาดอิสระ ถูกกดทับด้วยความสัมพันธ์บางอย่าง
    https://www.thai-tai.tv/news/17495/
    เพื่อชาว 'อุยกูร์'!!! 'กัณวีร์' ลั่น เราจะไม่ยอมทนให้การเมืองมานำมนุษยธรรมอีกต่อไป ซัดภาครัฐขาดอิสระ ถูกกดทับด้วยความสัมพันธ์บางอย่าง https://www.thai-tai.tv/news/17495/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งหมาลัยทำสัส โดนเบี้ยวไม่จ่ายค่าจ้างล้อการเมืองในงานฟุตบอล เพราะล้อได้โคตรห่วย จึงต้องแต่งเรื่องว่าโดนเจ้าหน้าที่คุกคามตามาถ่ายรูป บ่ายวันนี้จะไปร้องที่รัฐสภา โดยหวังให้เป็นข่าวใหญ่ใช้เก็บงานวางบิลให้ได้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    กลุ่มอิสระล้อการเมืองแห่งหมาลัยทำสัส โดนเบี้ยวไม่จ่ายค่าจ้างล้อการเมืองในงานฟุตบอล เพราะล้อได้โคตรห่วย จึงต้องแต่งเรื่องว่าโดนเจ้าหน้าที่คุกคามตามาถ่ายรูป บ่ายวันนี้จะไปร้องที่รัฐสภา โดยหวังให้เป็นข่าวใหญ่ใช้เก็บงานวางบิลให้ได้ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • .......📌#ว่าด้วยเรื่องหัวไชเท้า.........
    .........................................
    ใครที่ชอบ ทาน หัวไชเท้า เป็นชีวิตจิตใจ ได้โปรดอ่านให้ละเอียดเลย

    เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง

    สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย

    หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ

    หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี

    หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี

    ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว

    ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

    ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง

    จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี

    ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง

    Cr: Boos Day ❤️
    ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อรวรรณ
    .......📌#ว่าด้วยเรื่องหัวไชเท้า......... ......................................... ใครที่ชอบ ทาน หัวไชเท้า เป็นชีวิตจิตใจ ได้โปรดอ่านให้ละเอียดเลย เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง Cr: Boos Day ❤️ ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อรวรรณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/3/68

    กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย!

    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง?

    3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร!

    1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ
    คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน

    ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้

    นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม

    2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น
    ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

    ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
    โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก
    มะเร็งปอด
    และมะเร็งกระเพาะอาหาร,
    ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย

    ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า

    3.กล้วยที่มีจุดดำ:
    ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน
    ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ

    จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง

    ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น,
    มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก
    ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ,
    ช่วยในการย่อยอาหาร
    ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า

    ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง!
    cr:sanook
    2/3/68 กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย! จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง? 3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร! 1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้ นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม 2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร, ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า 3.กล้วยที่มีจุดดำ: ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น, มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ, ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง! cr:sanook
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวอุยกูร์ได้กลับบ้านเกิด พบหน้าครอบครัวอบอุ่น จากที่พวกสิทธิมนุษยชนไปหลอกมา อ้างจะมีเสรีภาพ อิสระเสรี ร่ำรวย อยู่ดีกินดีใน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส (สามประเทศไม่เอามุสลิม)
    บ้านเรามี อีกุย ออกมาหาแสงหาเงิน จะเอาเขามากักขัง !!??
    ชาวอุยกูร์ได้กลับบ้านเกิด พบหน้าครอบครัวอบอุ่น จากที่พวกสิทธิมนุษยชนไปหลอกมา อ้างจะมีเสรีภาพ อิสระเสรี ร่ำรวย อยู่ดีกินดีใน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส (สามประเทศไม่เอามุสลิม) บ้านเรามี อีกุย ออกมาหาแสงหาเงิน จะเอาเขามากักขัง !!??
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • 39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี

    🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543

    นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน

    🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP)

    📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
    - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519
    - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529

    นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก

    🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่
    ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา
    ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
    ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
    ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม"

    📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด

    🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃

    📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม

    🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ

    🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้

    💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️

    🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน

    👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน"
    ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม

    ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก
    1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน
    2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ
    3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน

    เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

    🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"?
    🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า

    👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก

    👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา

    💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

    📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ"

    🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ
    ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร?
    ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่?
    ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
    ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้?

    แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

    🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก
    📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน
    📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529
    📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน
    📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568

    #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี 🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน 🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP) 📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519 - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529 นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก 🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่ ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม" 📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด 🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃 📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม 🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ 🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้ 💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️ 🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน 👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก 1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน 2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ 3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง 🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"? 🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า 👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก 👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา 💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ 📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ" 🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่? ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้? แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน 🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก 📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน 📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529 📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน 📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568 #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร

    จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก

    เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ

    WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง

    การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ)

    การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่"

    คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง

    ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ
    คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์

    นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย
    ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ

    เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา

    ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี"

    การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง?

    เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน
    ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล

    USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ
    เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย

    Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/

    ตอนที่.3
    https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    ตอนที่.1 #USAID #ทุ่มเงินหลายล้านเพื่อซื้อนักข่าวและกลุ่มสื่ออย่างไร จากการเปิดเผยที่น่าตกตะลึง USAID ถูกพบว่าได้ให้เงินทุนสนับสนุนองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งและนักข่าวหลายพันคนทั่วโลกเพื่อขยายเรื่องราวที่อวยสนับสนุนไอ้กุ้ยโลก เมื่อต้นเดือนนี้ WikiLeaks ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกตะลึงว่า สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรสื่อหลายร้อยแห่งทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสื่อที่เสรีและเป็นอิสระ WikiLeaks แฉว่า USAID ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 6,200 รายในสื่อ 707 สำนัก รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้าน "สื่อ" จำนวน 279 แห่ง การเปิดเผยข้อมูลอันสะเทือนโลกครั้งนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันทันทีว่าความเกี่ยวข้องทางการเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความซื่อสัตย์สุจริตของการสื่อสารมวลชนและความน่าเชื่อถือของสำนักข่าวที่ได้รับเงินทุนหรือไม่ (จริงๆไม่สื่อพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย ทั้งสื่อตะวันตก สื่อตะวันออกกลางบางสื่อ ยิ่งสื่อในประเทศสารขัณฑ์นี่แทบทุกสื่อ) การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันภายหลังที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคมเกี่ยวกับการระงับการช่วยเหลือต่างประเทศผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีชื่อว่า "การประเมินใหม่และการจัดแนวความช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐฯ ใหม่" คำสั่งดังกล่าวแช่แข็งการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์สามารถประเมินประสิทธิผลและแนวทางของแผนงานเหล่านี้ให้สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" อีกครั้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 ทรัมป์ได้อธิบายว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางทรัพยากรไปที่ประเด็นสำคัญในประเทศ คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งอ้างว่าโครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางส่วนไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกาและในบางกรณีขัดต่อค่านิยมของอเมริกาได้รับการมองในมุมมองใหม่หลังจากการเปิดเผยของ WikiLeaks เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ นักวิเคราะห์สื่อระบุว่าเงินทุนของ USAID อาจใช้เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนสื่อในองค์กรข่าวที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ มานานหลายปีหรือหลายทศวรรษได้อย่างง่ายดาย ตามรายงานของ WikiLeaks องค์กร USAID ได้ให้การสนับสนุนสื่อมวลชนในมากกว่า 30 ประเทศ เอกสารข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่ถูกลบไปแล้วเผยให้เห็นว่าตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา USAID ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับการฝึกอบรมและทรัพยากรให้กับนักข่าวประมาณ 6,200 คน สนับสนุนองค์กรข่าวที่ไม่ใช่ของรัฐ 707 แห่ง และสนับสนุนกลุ่มประชาสังคม 279 กลุ่ม ซึ่งเผยให้เห็นถึงอิทธิพลโดยตรงอันกว้างขวางของสหรัฐฯ ในระบบสื่อทั่วโลกในช่วง2 ทศวรรษที่ผ่านมา ขนาดของการมีส่วนร่วมนี้สะท้อนให้เห็นเพิ่มเติมในงบประมาณความช่วยเหลือต่างประเทศปี 2025 ซึ่งรวมถึงการจัดสรร 268.4 ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯ โดยเฉพาะสำหรับแผนริเริ่มที่มุ่งส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "สื่ออิสระและการไหลเวียนของข้อมูลอย่างเสรี" การเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งจากรายงานของแพลตฟอร์ม Exposé เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่แสวงหากำไร Internews Network (IN) ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าได้จัดสรรเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ "โครงการสื่อ" ทั่วโลก สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมาว่า ความเป็นอิสระของสื่อสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับใด เมื่อเส้นชีวิตทางการเงินผูกติดอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศที่มีวาระอันชั่วร้ายของตนเอง? เอกสารที่รั่วไหลยังระบุเพิ่มเติมว่า Internews ร่วมมือกับสื่อ 4,291 แห่ง ผลิตรายการ 4,799 ชั่วโมงในหนึ่งปีและเข้าถึงผู้ชมประมาณ 778 ล้านคน ในขณะที่ Internews อ้างว่าภารกิจของตนคือการสนับสนุน "การสื่อสารมวลชนอิสระและขยายการเข้าถึงข้อมูล USAID ได้จัดสรรเงิน 472.6 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าองค์กรจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้บริจาคเอกชน เช่น มูลนิธิ AOL-Time Warner มูลนิธิ Bill & Melinda Gates และอื่นๆ เงินช่วยเหลือเฉพาะเจาะจงเน้นย้ำถึงขอบเขตของความคิดริเริ่มเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น USAID มอบเงิน 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Internews เพื่อสนับสนุน “การสื่อสารมวลชนที่มีคุณภาพสูงและมีความรับผิดชอบ” ในไลบีเรีย และอีก 11 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เรียกว่า “สื่อที่ส่งเสริมประชาธิปไตย” ในมอลโดวา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้สนับสนุนเงิน 1.48 ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง “บริการข้อมูลที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และช่วยชีวิต” ในซูดานใต้ ตามเอกสารที่เปิดเผย ในประเทศจอร์แดน USAID ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 19.5 ล้านดอลลาร์ให้แก่ Internews เพื่อช่วยวางตำแหน่งสังคมจอร์แดนให้สามารถสนับสนุนผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ Internews ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนียและดำเนินการในกว่า 30 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ลอนดอน และปารีส รวมถึงมีศูนย์กลางระดับภูมิภาคในเคียฟ กรุงเทพมหานคร และไนโรบี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Internews ได้ขยายขอบข่ายการเข้าถึงไปทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในการพัฒนาสื่อระดับโลก อย่างไรก็ตามองค์กรนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับบทบาทของตนในการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย Internews นำโดย Jeanne Bourgault ซึ่งรายงานระบุว่าเธอได้รับเงินเดือนประจำปี 451,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งเธอบริหารจัดการงบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/15xvCUsuuQ/ ตอนที่.3 https://www.facebook.com/share/p/1B7tKhDFKa/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 360 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบมาดามบอสเต๋ ปิดตำนานซิมเคโฟร์

    การจับกุม น.ส.เริงฤดี ลักษณะหุต หรือบอสเต๋ อายุ 45 ปี กรรมการบริษัท ปันสุข 555 จำกัด และ น.ส.พรพิมล สีลาดเลา อายุ 30 ปี กรรมการบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หลานสาว น.ส.เริงฤดี ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 24 ก.พ. 2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 413 รายการ มีทั้งตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข 258 ตู้ รถยนต์ 11 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ที่ดินปราจีนบุรี 4 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ถือเป็นการปิดฉากอีกหนึ่งธุรกิจเครือข่ายต่อจากดิไอคอนกรุ๊ป

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ และนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร นำผู้เสียหาย 8 คน แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปคบ. ว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนซิมการ์ดและตู้เติมเงิน 5,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 3 เท่าภายใน 500 วัน และอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ปรากฎว่าไม่ได้รับผลตอบแทนมา 2 เดือน เมื่อทวงถามก็ถูกข่มขู่ว่าจะแจ้งความกลับ ต่อมามีผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. รวม 61 ราย มูลค่าความเสียหาย 27,557,701 บาท

    สืบสวนพบว่าผู้ต้องหาชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซิมเคโฟร์ ซึ่งเช่าโครงข่ายเสมือน (MVNO) จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข เสนอแพ็คเกจลงทุน 50,000 บาท รับผลตอบแทนสูงสุด 150,000 บาท ภายใน 500 วัน และขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังจังหวัดต่างๆ จัดการอบรมสัมมนาชักชวนร่วมลงทุน โดยจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร อีกทั้งธุรกิจตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทกว่า 400 ล้านบาท และมีการยักย้ายถ่ายโอนแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    ด้านสำนักงาน กสทช. เตรียมนำเรื่องนี้ไปหารือเพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมหารือกับ NT ให้ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานซิมเคโฟร์ 40,000 รายอีกด้วย

    สำหรับซิมเคโฟร์เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ก่อนเปิดตัวตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขเมื่อต้นปี 2567 ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนว่ามีการชักชวนลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อ้างว่าได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. จึงสั่งยุติการขายหรือแจกซิมมือถือ นอกจากนี้ยังพบว่าได้รับการจัดสรรเลขหมาย 331,000 เลขหมาย แต่ใช้งานจริงเพียง 46,000 เลขหมาย เติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาท สอดคล้องกับที่แจ้งว่ามีรายได้ประมาณปีละ 5 ล้านบาท และจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปีละ 7,000 บาท

    #Newskit
    รวบมาดามบอสเต๋ ปิดตำนานซิมเคโฟร์ การจับกุม น.ส.เริงฤดี ลักษณะหุต หรือบอสเต๋ อายุ 45 ปี กรรมการบริษัท ปันสุข 555 จำกัด และ น.ส.พรพิมล สีลาดเลา อายุ 30 ปี กรรมการบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หลานสาว น.ส.เริงฤดี ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 24 ก.พ. 2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 413 รายการ มีทั้งตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข 258 ตู้ รถยนต์ 11 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ที่ดินปราจีนบุรี 4 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ถือเป็นการปิดฉากอีกหนึ่งธุรกิจเครือข่ายต่อจากดิไอคอนกรุ๊ป ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ และนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร นำผู้เสียหาย 8 คน แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปคบ. ว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนซิมการ์ดและตู้เติมเงิน 5,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 3 เท่าภายใน 500 วัน และอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ปรากฎว่าไม่ได้รับผลตอบแทนมา 2 เดือน เมื่อทวงถามก็ถูกข่มขู่ว่าจะแจ้งความกลับ ต่อมามีผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. รวม 61 ราย มูลค่าความเสียหาย 27,557,701 บาท สืบสวนพบว่าผู้ต้องหาชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซิมเคโฟร์ ซึ่งเช่าโครงข่ายเสมือน (MVNO) จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข เสนอแพ็คเกจลงทุน 50,000 บาท รับผลตอบแทนสูงสุด 150,000 บาท ภายใน 500 วัน และขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังจังหวัดต่างๆ จัดการอบรมสัมมนาชักชวนร่วมลงทุน โดยจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร อีกทั้งธุรกิจตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทกว่า 400 ล้านบาท และมีการยักย้ายถ่ายโอนแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ด้านสำนักงาน กสทช. เตรียมนำเรื่องนี้ไปหารือเพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมหารือกับ NT ให้ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานซิมเคโฟร์ 40,000 รายอีกด้วย สำหรับซิมเคโฟร์เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ก่อนเปิดตัวตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขเมื่อต้นปี 2567 ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนว่ามีการชักชวนลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อ้างว่าได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. จึงสั่งยุติการขายหรือแจกซิมมือถือ นอกจากนี้ยังพบว่าได้รับการจัดสรรเลขหมาย 331,000 เลขหมาย แต่ใช้งานจริงเพียง 46,000 เลขหมาย เติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาท สอดคล้องกับที่แจ้งว่ามีรายได้ประมาณปีละ 5 ล้านบาท และจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปีละ 7,000 บาท #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกล่าวหาว่าไต้หวันกำลัง "ขาย" อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้กับสหรัฐฯ ซึ่งข่าวนี้เปิดเผยถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างสามประเทศนี้

    เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อ Zhu Fenglian โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน อ้างว่าไต้หวันกำลังพยายามขายบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญอย่าง TSMC ให้กับสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเมืองจากรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ข้อกล่าวหานี้มีขึ้นโดยที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน โดย Fenglian กล่าวหาว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของไต้หวัน (DPP) พยายามขอความช่วยเหลือจาก "พลังภายนอก" เพื่อให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีนอย่างสมบูรณ์

    Fenglian ยังคาดการณ์ว่า TSMC อาจอยู่ในการเจรจากับ Intel เพื่อเข้าซื้อหุ้นในบริษัท แต่ทั้ง TSMC และ Intel ไม่ได้ยืนยันข่าวนี้ และรัฐบาลไต้หวันก็ได้ระบุว่าไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศใหม่ของ TSMC

    TSMC เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งที่สามารถผลิตชิพไมโครที่ใช้งานในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จากสหรัฐฯ เช่น Apple, Nvidia, และ AMD ต่างพึ่งพาการผลิตชิพจาก TSMC

    รัฐบาลไต้หวันได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาจากปักกิ่ง โดยเน้นว่า TSMC เป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไต้หวัน และสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นพันธมิตรที่ไม่หวั่นไหวทางการเมืองเสมอไป ตรงกันข้ามกับที่กล่าวอ้าง

    แม้ว่าทรัมป์จะมีท่าทีที่รุนแรงในด้านธุรกิจ การเมือง และการทูต ไต้หวันยังคงต้องเผชิญกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวันยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีความละเอียดอ่อนในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/106947-china-accuses-taiwan-trying-sell-microchip-industry-us.html
    จีนกล่าวหาว่าไต้หวันกำลัง "ขาย" อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้กับสหรัฐฯ ซึ่งข่าวนี้เปิดเผยถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์ระหว่างสามประเทศนี้ เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อ Zhu Fenglian โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน อ้างว่าไต้หวันกำลังพยายามขายบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญอย่าง TSMC ให้กับสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางการเมืองจากรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ข้อกล่าวหานี้มีขึ้นโดยที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน โดย Fenglian กล่าวหาว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของไต้หวัน (DPP) พยายามขอความช่วยเหลือจาก "พลังภายนอก" เพื่อให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีนอย่างสมบูรณ์ Fenglian ยังคาดการณ์ว่า TSMC อาจอยู่ในการเจรจากับ Intel เพื่อเข้าซื้อหุ้นในบริษัท แต่ทั้ง TSMC และ Intel ไม่ได้ยืนยันข่าวนี้ และรัฐบาลไต้หวันก็ได้ระบุว่าไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศใหม่ของ TSMC TSMC เป็นหนึ่งในบริษัทไม่กี่แห่งที่สามารถผลิตชิพไมโครที่ใช้งานในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จากสหรัฐฯ เช่น Apple, Nvidia, และ AMD ต่างพึ่งพาการผลิตชิพจาก TSMC รัฐบาลไต้หวันได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาจากปักกิ่ง โดยเน้นว่า TSMC เป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไต้หวัน และสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นพันธมิตรที่ไม่หวั่นไหวทางการเมืองเสมอไป ตรงกันข้ามกับที่กล่าวอ้าง แม้ว่าทรัมป์จะมีท่าทีที่รุนแรงในด้านธุรกิจ การเมือง และการทูต ไต้หวันยังคงต้องเผชิญกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวันยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีความละเอียดอ่อนในอนาคต https://www.techspot.com/news/106947-china-accuses-taiwan-trying-sell-microchip-industry-us.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China accuses Taiwan of "selling out" its semiconductor industry to the US
    China has accused Taiwan of trying to sell off its thriving semiconductor industry to the United States, claiming that Taipei is essentially handing over control of TSMC...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts