• Wikipedia กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI โดย Wikimedia Foundation ได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ในการใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัครในการดูแลและปรับปรุงเนื้อหา แทนที่จะใช้ AI เพื่อแทนที่มนุษย์

    AI จะถูกนำมาใช้เพื่อ ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความ การแปลภาษา และการช่วยให้ข้อมูลสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ AI ยังจะช่วยในการฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่ผ่านระบบ mentorship อัตโนมัติ

    อย่างไรก็ตาม Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์ เนื่องจากชุมชนอาสาสมัครเป็นหัวใจสำคัญของ Wikipedia และการสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน

    ✅ การใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัคร
    - ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความและการแปลภาษา
    - ปรับปรุงการค้นหาข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ✅ การฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่
    - ใช้ AI เพื่อช่วยให้การ onboarding ของอาสาสมัครมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ระบบ mentorship อัตโนมัติช่วยให้ผู้ใช้ใหม่เข้าใจการทำงานของ Wikipedia

    ✅ การรักษาบทบาทของมนุษย์
    - Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์
    - การสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน

    ✅ แผนการดำเนินงาน
    - กลยุทธ์ AI จะถูกนำมาใช้ในช่วงสามปีข้างหน้า
    - มีการทบทวนแผนงานเป็นรายปีเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสม

    https://www.neowin.net/news/wikipedia-announces-new-ai-strategy-but-it-wont-sacrifice-human-editors/
    Wikipedia กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI โดย Wikimedia Foundation ได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ในการใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัครในการดูแลและปรับปรุงเนื้อหา แทนที่จะใช้ AI เพื่อแทนที่มนุษย์ AI จะถูกนำมาใช้เพื่อ ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความ การแปลภาษา และการช่วยให้ข้อมูลสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ AI ยังจะช่วยในการฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่ผ่านระบบ mentorship อัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์ เนื่องจากชุมชนอาสาสมัครเป็นหัวใจสำคัญของ Wikipedia และการสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน ✅ การใช้ AI เพื่อช่วยเหลืออาสาสมัคร - ลดภาระงานที่ซ้ำซาก เช่น การตรวจสอบบทความและการแปลภาษา - ปรับปรุงการค้นหาข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ การฝึกอบรมอาสาสมัครใหม่ - ใช้ AI เพื่อช่วยให้การ onboarding ของอาสาสมัครมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ระบบ mentorship อัตโนมัติช่วยให้ผู้ใช้ใหม่เข้าใจการทำงานของ Wikipedia ✅ การรักษาบทบาทของมนุษย์ - Wikimedia Foundation ยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่มนุษย์ - การสร้างเนื้อหาต้องอาศัยการพิจารณาและการตัดสินใจร่วมกัน ✅ แผนการดำเนินงาน - กลยุทธ์ AI จะถูกนำมาใช้ในช่วงสามปีข้างหน้า - มีการทบทวนแผนงานเป็นรายปีเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสม https://www.neowin.net/news/wikipedia-announces-new-ai-strategy-but-it-wont-sacrifice-human-editors/
    WWW.NEOWIN.NET
    Wikipedia announces new AI strategy but it won't sacrifice human editors
    Wikipedia is working on a new AI strategy, but it won't replace the humans who built the platform for over 25 years.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มุ่งสู่จังหวัดที่ 20 ของภาคอีสาน สร้างโอกาส สร้างชีวิต แก่ชาวยโสธร มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี
    .
    วันนี้ (วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดยโสธร (จังหวัดที่ 20 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 31 ครัวเรือน และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวยโสธรในครั้งนี้ทั้งสิ้น 802,240 บาท (แปดแสนสองพันสองร้อยสี่สิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายชาญชัย ศรศรีวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วย นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน ผู้แทนอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อดีตอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิรวมสามัคคียโสธร เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนพดล ทรงแสง (จิ้ม ชวนชื่น) นายสวิช เพชรวิเศษศิริ (บี๋) ร่วมในพิธี และสร้างสีสันภายในงาน โดยมี ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ หอประชุมจังหวัดยโสธร ศาลากลางจังหวัดยโสธร อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
    .
    โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มุ่งสู่จังหวัดที่ 20 ของภาคอีสาน สร้างโอกาส สร้างชีวิต แก่ชาวยโสธร มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี . วันนี้ (วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดยโสธร (จังหวัดที่ 20 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 31 ครัวเรือน และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวยโสธรในครั้งนี้ทั้งสิ้น 802,240 บาท (แปดแสนสองพันสองร้อยสี่สิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายชาญชัย ศรศรีวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วย นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน ผู้แทนอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อดีตอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิรวมสามัคคียโสธร เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนพดล ทรงแสง (จิ้ม ชวนชื่น) นายสวิช เพชรวิเศษศิริ (บี๋) ร่วมในพิธี และสร้างสีสันภายในงาน โดยมี ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ หอประชุมจังหวัดยโสธร ศาลากลางจังหวัดยโสธร อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร . โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • สายสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน สองราชวงศ์เชื่อมใจประชาชน

    การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย. 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน นับเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง รวมทั้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

    พระราชกรณียกิจที่น่าสนใจ อาทิ ทอดพระเนตรโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเกียลซุง (Gyalsung National Service) ให้เยาวชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปี เข้าร่วมการฝึกอบรมระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และมีทักษะประจำตัวในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ โครงการจิตอาสาเดซุง (De-suung) เพื่อส่งเสริมให้ชาวภูฏานมีบทบาทในการสร้างชาติและพัฒนาประเทศ มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ความสมานฉันท์ สามารถทำงานเป็นทีมและมีระเบียบวินัย

    การเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดอร์เดนมา เพื่อร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล โดยคณะสงฆ์ฝ่ายภูฏานและคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายละ 74 รูป การเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการหลวงเดเชนโชลิง ทอดพระเนตรนิทรรศการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวงของไทย กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภูฏาน ทอดพระเนตรโครงการเดชุง และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์

    การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน การยิงธนู และกีฬาพื้นบ้าน ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน การเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู ทอดพระเนตรโครงการพัฒนาทักษะอาสาสมัครในโครงการเดซุง ทอดพระเนตรร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร การเสด็จพระราชดำเนินไปยังป้อมดุงการ์ ทรงสักการะพระศากยมุนี ทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย และโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ

    นับเป็นพระราชไมตรีส่วนพระองค์ ที่มีค่านิยมร่วมกันในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุล บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและศรัทธา​ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) ที่มุ่งเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ

    #Newskit
    สายสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน สองราชวงศ์เชื่อมใจประชาชน การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย. 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน นับเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง รวมทั้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ พระราชกรณียกิจที่น่าสนใจ อาทิ ทอดพระเนตรโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเกียลซุง (Gyalsung National Service) ให้เยาวชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปี เข้าร่วมการฝึกอบรมระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และมีทักษะประจำตัวในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ โครงการจิตอาสาเดซุง (De-suung) เพื่อส่งเสริมให้ชาวภูฏานมีบทบาทในการสร้างชาติและพัฒนาประเทศ มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ความสมานฉันท์ สามารถทำงานเป็นทีมและมีระเบียบวินัย การเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดอร์เดนมา เพื่อร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล โดยคณะสงฆ์ฝ่ายภูฏานและคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายละ 74 รูป การเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการหลวงเดเชนโชลิง ทอดพระเนตรนิทรรศการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวงของไทย กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภูฏาน ทอดพระเนตรโครงการเดชุง และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน การยิงธนู และกีฬาพื้นบ้าน ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน การเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู ทอดพระเนตรโครงการพัฒนาทักษะอาสาสมัครในโครงการเดซุง ทอดพระเนตรร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร การเสด็จพระราชดำเนินไปยังป้อมดุงการ์ ทรงสักการะพระศากยมุนี ทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย และโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ นับเป็นพระราชไมตรีส่วนพระองค์ ที่มีค่านิยมร่วมกันในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุล บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและศรัทธา​ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) ที่มุ่งเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ #Newskit
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27 เม.ย.2568-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน   เป็นวันที่ 3 

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง  จากโรงแรมที่ประทับเพมาโกะ  ทิมพู    ไปยังพระราชวังลิงคานา (Lingkana Palace Ground)  เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน  ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน และสมเด็จพระราชินีแห่งภูฏาน  จัดถวาย  ได้แก่ การแสดงศิลปะการยิงธนู กีฬาพื้นบ้าน   ในการนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ทรงแนะนำวิธีการยิงธนูของภูฏานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงร่วมยิงธนูอันเป็นกีฬาประจำชาติของชาวภูฏาน สำหรับกีฬายิงธนูเป็นกีฬาประจำชาติอัตลักษณ์ของภูฏาน นิยมเล่นตลอดทั้งปี เป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สร้างความรักสามัคคีของชุมชน มักเป็นส่วนหนึ่งการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลสำคัญของประเทศ ชาวภูฏานเชื่อว่า กีฬานี้ช่วยสร้างสมาธิและการควบคุมอารมณ์ สะท้อนถึงปรัชญาในการใช้ชีวิตอย่างสมดุลและสุขุม ตลอดจนเป็นกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่สนใจ คันธนูและลูกธนูของภูฏานแตกต่างจากกีฬายิงธนูในการแข่งขันโอลิมปิก ภูฏานใช้ธนูทำจากไม้ไผ่ หรือในบางครั้งอาจใช้เส้นใยไฟเบอร์กลาส ส่วนลูกธนูทำจากต้นฮีมา (Hema) ซึ่งเป็นพืชที่พบในเชิงเขาของภูฏาน

    จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน  ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู  (Kaja Throm)  ทรงรับฟังการบรรยายสรุปและทอดพระเนตรนิทรรศการของโครงการอาสาสมัครเดซุง  และร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร  

    ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน และจะเสด็จพระราชดำเนินกลับในวันที่ 28 เมษายน 2568
    27 เม.ย.2568-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน   เป็นวันที่ 3  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง  จากโรงแรมที่ประทับเพมาโกะ  ทิมพู    ไปยังพระราชวังลิงคานา (Lingkana Palace Ground)  เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน  ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน และสมเด็จพระราชินีแห่งภูฏาน  จัดถวาย  ได้แก่ การแสดงศิลปะการยิงธนู กีฬาพื้นบ้าน   ในการนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ทรงแนะนำวิธีการยิงธนูของภูฏานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงร่วมยิงธนูอันเป็นกีฬาประจำชาติของชาวภูฏาน สำหรับกีฬายิงธนูเป็นกีฬาประจำชาติอัตลักษณ์ของภูฏาน นิยมเล่นตลอดทั้งปี เป็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สร้างความรักสามัคคีของชุมชน มักเป็นส่วนหนึ่งการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลสำคัญของประเทศ ชาวภูฏานเชื่อว่า กีฬานี้ช่วยสร้างสมาธิและการควบคุมอารมณ์ สะท้อนถึงปรัชญาในการใช้ชีวิตอย่างสมดุลและสุขุม ตลอดจนเป็นกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่สนใจ คันธนูและลูกธนูของภูฏานแตกต่างจากกีฬายิงธนูในการแข่งขันโอลิมปิก ภูฏานใช้ธนูทำจากไม้ไผ่ หรือในบางครั้งอาจใช้เส้นใยไฟเบอร์กลาส ส่วนลูกธนูทำจากต้นฮีมา (Hema) ซึ่งเป็นพืชที่พบในเชิงเขาของภูฏาน จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน  ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู  (Kaja Throm)  ทรงรับฟังการบรรยายสรุปและทอดพระเนตรนิทรรศการของโครงการอาสาสมัครเดซุง  และร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร   ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน และจะเสด็จพระราชดำเนินกลับในวันที่ 28 เมษายน 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลุยเดินสายซับน้ำตา บรรเทาทุกข์ - เยียวยาผู้ประสบภัยอัคคีภัย ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และ มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง
    .
    วันนี้ (วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ.2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่ซอยโรงธูป อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี รวมจำนวน 49 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค รวมจำนวน 17 ชุด รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยทั้งสิ้น 214,000 บาท โดยมี นายนรสิงห์ อรุณบรรเจิดกุล ปลัดเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองบ้านโป่ง พร้อมด้วย คณะมูลนิธิรวมใจการกุศลราชบุรี และ คณะอาสาสมัครเฉพาะกิจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ เทศบาลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี หลังจากนั้น นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว จำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 140,000 บาท
    .
    รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั้งสองเหตุเป็นเงินทั้งสิ้น 354,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้
    .
    เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ดำเนินการเชิงรุกอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งด้านงานบรรเทาสาธารณภัย และงานสังคมสงเคราะห์ ดังเช่น เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ได้จัดส่งทีมสาธารณภัย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้แก่โรงพยาบาลที่ทำการอพยพและเปิดรับบริจาคสิ่งของ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บ ทั้งชาวไทยและเมียนมา รวมมูลค่าการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวจนถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังคงติดตามและเข้ามอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้ประสบเหตุดังกล่าวต่อไป
    .
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป ท่านสามารถติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    กว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลุยเดินสายซับน้ำตา บรรเทาทุกข์ - เยียวยาผู้ประสบภัยอัคคีภัย ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และ มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง . วันนี้ (วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ.2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่ซอยโรงธูป อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี รวมจำนวน 49 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค รวมจำนวน 17 ชุด รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยทั้งสิ้น 214,000 บาท โดยมี นายนรสิงห์ อรุณบรรเจิดกุล ปลัดเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองบ้านโป่ง พร้อมด้วย คณะมูลนิธิรวมใจการกุศลราชบุรี และ คณะอาสาสมัครเฉพาะกิจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ เทศบาลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี หลังจากนั้น นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว จำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 140,000 บาท . รวมงบประมาณการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยทั้งสองเหตุเป็นเงินทั้งสิ้น 354,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้ . เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ดำเนินการเชิงรุกอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งด้านงานบรรเทาสาธารณภัย และงานสังคมสงเคราะห์ ดังเช่น เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ได้จัดส่งทีมสาธารณภัย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการมอบสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้แก่โรงพยาบาลที่ทำการอพยพและเปิดรับบริจาคสิ่งของ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บ ทั้งชาวไทยและเมียนมา รวมมูลค่าการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวจนถึงปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังคงติดตามและเข้ามอบเงินช่วยเหลือแก่ญาติผู้ประสบเหตุดังกล่าวต่อไป . มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคทรัพย์ เครื่องอุปโภคบริโภค สมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยต่าง ๆ ขอบุญบารมีหลวงปู่ไต้ฮง (ไต้ฮงกง) ส่งผลให้ท่านและครอบครัว มีความสุขความเจริญตลอดไป ท่านสามารถติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . กว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตตได้พัฒนา สติกเกอร์อัจฉริยะ ที่สามารถตรวจจับอารมณ์ที่แท้จริงของผู้ใช้ได้ โดยอุปกรณ์นี้สามารถวัดสัญญาณสำคัญของร่างกาย เช่น อุณหภูมิผิว ความชื้น อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือด (SpO₂) พร้อมทั้งใช้ AI วิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้าร่วมกับข้อมูลทางกายภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ

    ✅ สติกเกอร์สามารถตรวจจับอารมณ์ได้แบบเรียลไทม์
    - ใช้เซ็นเซอร์แยกส่วนและโมดูลไร้สายในการวัดข้อมูล
    - ออกแบบให้สวมใส่สบายและมีขนาดกะทัดรัด

    ✅ AI วิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้าร่วมกับข้อมูลทางกายภาพ
    - ทดสอบกับอาสาสมัครที่แสดงอารมณ์ 6 แบบ เช่น ความสุข ความกลัว และความโกรธ
    - AI สามารถระบุอารมณ์ที่แสดงออกได้ถูกต้องถึง 96.28% และอารมณ์ที่แท้จริง 88.83%

    ✅ ช่วยในการตรวจสอบสุขภาพจิตและการแพทย์ทางไกล
    - ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์มือถือและคลาวด์เพื่อการติดตามระยะไกล
    - มีศักยภาพในการตรวจจับความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าในระยะแรก

    ✅ การใช้งานที่หลากหลายนอกเหนือจากสุขภาพจิต
    - ช่วยผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารได้
    - ติดตามสัญญาณเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อม
    - ใช้ในกีฬาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    https://www.neowin.net/news/scientists-invent-sticker-said-to-reveal-your-true-emotions-no-matter-how-hard-you-hide-it/
    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนน์สเตตได้พัฒนา สติกเกอร์อัจฉริยะ ที่สามารถตรวจจับอารมณ์ที่แท้จริงของผู้ใช้ได้ โดยอุปกรณ์นี้สามารถวัดสัญญาณสำคัญของร่างกาย เช่น อุณหภูมิผิว ความชื้น อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนในเลือด (SpO₂) พร้อมทั้งใช้ AI วิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้าร่วมกับข้อมูลทางกายภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ✅ สติกเกอร์สามารถตรวจจับอารมณ์ได้แบบเรียลไทม์ - ใช้เซ็นเซอร์แยกส่วนและโมดูลไร้สายในการวัดข้อมูล - ออกแบบให้สวมใส่สบายและมีขนาดกะทัดรัด ✅ AI วิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้าร่วมกับข้อมูลทางกายภาพ - ทดสอบกับอาสาสมัครที่แสดงอารมณ์ 6 แบบ เช่น ความสุข ความกลัว และความโกรธ - AI สามารถระบุอารมณ์ที่แสดงออกได้ถูกต้องถึง 96.28% และอารมณ์ที่แท้จริง 88.83% ✅ ช่วยในการตรวจสอบสุขภาพจิตและการแพทย์ทางไกล - ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์มือถือและคลาวด์เพื่อการติดตามระยะไกล - มีศักยภาพในการตรวจจับความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าในระยะแรก ✅ การใช้งานที่หลากหลายนอกเหนือจากสุขภาพจิต - ช่วยผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารได้ - ติดตามสัญญาณเริ่มต้นของภาวะสมองเสื่อม - ใช้ในกีฬาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ https://www.neowin.net/news/scientists-invent-sticker-said-to-reveal-your-true-emotions-no-matter-how-hard-you-hide-it/
    WWW.NEOWIN.NET
    Scientists invent 'sticker' said to reveal your true emotions no matter how hard you hide it
    Reading the actual emotions of people can be a real hard task if not an impossible one, but not any more. Thanks to science, we now have a sticker that can identify real emotions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการด้อยโอกาส มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี
    .
    วันนี้ (วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ จำนวน 6 ราย พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการด้อยโอกาส จำนวน 10 ราย และมอบจักรยาน แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน พร้อมกระบอกน้ำขนาด 1 ลิตร รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวชลบุรีในครั้งนี้ทั้งสิ้น 184,072 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแปดพันห้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น ฯลฯ โดยมี นายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นายนัธทวัฒน์ ธนโชติชัยพัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จังหวัดชลบุรี และนางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จังหวัดชลบุรี
    .
    นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยเราได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก
    .
    ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
    .
    ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
    .
    ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
    #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการด้อยโอกาส มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี . วันนี้ (วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ จำนวน 6 ราย พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการด้อยโอกาส จำนวน 10 ราย และมอบจักรยาน แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน พร้อมกระบอกน้ำขนาด 1 ลิตร รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวชลบุรีในครั้งนี้ทั้งสิ้น 184,072 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแปดพันห้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น ฯลฯ โดยมี นายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นายนัธทวัฒน์ ธนโชติชัยพัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จังหวัดชลบุรี และนางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จังหวัดชลบุรี . นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยเราได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก . ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” . ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung . ## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## #แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • แสงไฟแห่งความหวัง มือยกหินเร่งช่วยชีวิต : [NEWS UPDATE]
    นายภคพล เมธีภักดี อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษม เผยนาทีเจอแสงไฟ เสียงโทรศัพท์ ใต้ซากตึก สตง. หลายวันที่ผ่านมาพยายามเจาะหาโพรง เพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัย วันนี้เข้าซ้ำจุดเดิม เมื่อเดินเข้าไปน้องฟี่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ที่เวลาเปิดเครื่องจะมีเสียงดัง เป็นเครื่องแอนดรอยด์ น้องก็หยุดฟังคิดว่าไม่น่ามาจากกู้ภัยด้วยกัน มั่นใจว่ามาจากโพรงด้านล่างความกว้างประมาณ 50 ซม. น้องก็ชะโงกหน้าดู บอกว่าเห็นแสงไฟสีขาวด้านล่าง จึงเรียกมูลนิธิปอเต็กตึงและทีมยูซา ซึ่งมีกล้องงูสอดลงไปเห็นแสงไฟสีขาวคาดมาจากสมาร์ทโฟน จึงพูดว่าถ้าเป็นคนอยู่ข้างล่างให้เปิดปิดไฟมือถือ พอสิ้นเสียงให้ปิดไฟแสงไฟสีขาวก็ดับลง แล้วก็บอกอีกครั้งว่าเปิดไฟปิดไฟสลับไปมา แสงไฟก็ดับๆ ปิดๆ ตามคำสั่งของทีมกู้ภัย มั่นใจอาจมีความหวัง โดยทีมยูซาเอากล้องเรดาร์เข้าไปส่องในโพรง แสดงภาพลักษณะร่างกายมนุษย์ ห่างจากพื้นดินลงไป 1 เมตรคนแรก ส่วนคนที่สองลึกลงไป 3 เมตร ยังไม่ฟันธงเป็นสัญญาณชีพของคนรอดชีวิต เร่งเติมอากาศให้เขาได้หายใจ หวังให้เป็นคนรอดชีวิต
    แสงไฟแห่งความหวัง มือยกหินเร่งช่วยชีวิต : [NEWS UPDATE] นายภคพล เมธีภักดี อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษม เผยนาทีเจอแสงไฟ เสียงโทรศัพท์ ใต้ซากตึก สตง. หลายวันที่ผ่านมาพยายามเจาะหาโพรง เพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัย วันนี้เข้าซ้ำจุดเดิม เมื่อเดินเข้าไปน้องฟี่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ที่เวลาเปิดเครื่องจะมีเสียงดัง เป็นเครื่องแอนดรอยด์ น้องก็หยุดฟังคิดว่าไม่น่ามาจากกู้ภัยด้วยกัน มั่นใจว่ามาจากโพรงด้านล่างความกว้างประมาณ 50 ซม. น้องก็ชะโงกหน้าดู บอกว่าเห็นแสงไฟสีขาวด้านล่าง จึงเรียกมูลนิธิปอเต็กตึงและทีมยูซา ซึ่งมีกล้องงูสอดลงไปเห็นแสงไฟสีขาวคาดมาจากสมาร์ทโฟน จึงพูดว่าถ้าเป็นคนอยู่ข้างล่างให้เปิดปิดไฟมือถือ พอสิ้นเสียงให้ปิดไฟแสงไฟสีขาวก็ดับลง แล้วก็บอกอีกครั้งว่าเปิดไฟปิดไฟสลับไปมา แสงไฟก็ดับๆ ปิดๆ ตามคำสั่งของทีมกู้ภัย มั่นใจอาจมีความหวัง โดยทีมยูซาเอากล้องเรดาร์เข้าไปส่องในโพรง แสดงภาพลักษณะร่างกายมนุษย์ ห่างจากพื้นดินลงไป 1 เมตรคนแรก ส่วนคนที่สองลึกลงไป 3 เมตร ยังไม่ฟันธงเป็นสัญญาณชีพของคนรอดชีวิต เร่งเติมอากาศให้เขาได้หายใจ หวังให้เป็นคนรอดชีวิต
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 712 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • นาทีกู้ภัยเจอแสงไฟ เสียงโทรศัพท์ใต้ซากตึก : [THE MESSAGE]
    นายภคพล เมธีภักดี อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษม เผยนาทีเจอแสงไฟ เสียงโทรศัพท์ ใต้ซากตึก สตง. หลายวันที่ผ่านมาพยายามเจาะหาโพรง เพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัย วันนี้เข้าซ้ำจุดเดิม เมื่อเดินเข้าไปน้องฟี่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ที่เวลาเปิดเครื่องจะมีเสียงดัง เป็นเครื่องแอนดรอยด์ น้องก็หยุดฟังคิดว่าไม่น่ามาจากกู้ภัยด้วยกัน มั่นใจว่ามาจากโพรงด้านล่างความกว้างประมาณ 50 ซม. น้องก็ชะโงกหน้าดู บอกว่าเห็นแสงไฟสีขาวด้านล่าง จึงเรียกมูลนิธิปอเต็กตึงและทีมยูซา ซึ่งมีกล้องงูสอดลงไปเห็นแสงไฟสีขาวคาดมาจากสมาร์ทโฟน จึงพูดว่าถ้าเป็นคนอยู่ข้างล่างให้เปิดปิดไฟมือถือ พอสิ้นเสียงให้ปิดไฟแสงไฟสีขาวก็ดับลง แล้วก็บอกอีกครั้งว่าเปิดไฟปิดไฟสลับไปมา แสงไฟก็ดับๆ ปิดๆ ตามคำสั่งของทีมกู้ภัย มั่นใจอาจมีความหวัง โดยทีมยูซาเอากล้องเรดาร์เข้าไปส่องในโพรง แสดงภาพลักษณะร่างกายมนุษย์ ห่างจากพื้นดินลงไป 1 เมตรคนแรก ส่วนคนที่สองลึกลงไป 3 เมตร ยังไม่ฟันธงเป็นสัญญาณชีพของคนรอดชีวิต เร่งเติมอากาศให้เขาได้หายใจ หวังให้เป็นคนรอดชีวิต
    นาทีกู้ภัยเจอแสงไฟ เสียงโทรศัพท์ใต้ซากตึก : [THE MESSAGE] นายภคพล เมธีภักดี อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิเพชรเกษม เผยนาทีเจอแสงไฟ เสียงโทรศัพท์ ใต้ซากตึก สตง. หลายวันที่ผ่านมาพยายามเจาะหาโพรง เพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัย วันนี้เข้าซ้ำจุดเดิม เมื่อเดินเข้าไปน้องฟี่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ที่เวลาเปิดเครื่องจะมีเสียงดัง เป็นเครื่องแอนดรอยด์ น้องก็หยุดฟังคิดว่าไม่น่ามาจากกู้ภัยด้วยกัน มั่นใจว่ามาจากโพรงด้านล่างความกว้างประมาณ 50 ซม. น้องก็ชะโงกหน้าดู บอกว่าเห็นแสงไฟสีขาวด้านล่าง จึงเรียกมูลนิธิปอเต็กตึงและทีมยูซา ซึ่งมีกล้องงูสอดลงไปเห็นแสงไฟสีขาวคาดมาจากสมาร์ทโฟน จึงพูดว่าถ้าเป็นคนอยู่ข้างล่างให้เปิดปิดไฟมือถือ พอสิ้นเสียงให้ปิดไฟแสงไฟสีขาวก็ดับลง แล้วก็บอกอีกครั้งว่าเปิดไฟปิดไฟสลับไปมา แสงไฟก็ดับๆ ปิดๆ ตามคำสั่งของทีมกู้ภัย มั่นใจอาจมีความหวัง โดยทีมยูซาเอากล้องเรดาร์เข้าไปส่องในโพรง แสดงภาพลักษณะร่างกายมนุษย์ ห่างจากพื้นดินลงไป 1 เมตรคนแรก ส่วนคนที่สองลึกลงไป 3 เมตร ยังไม่ฟันธงเป็นสัญญาณชีพของคนรอดชีวิต เร่งเติมอากาศให้เขาได้หายใจ หวังให้เป็นคนรอดชีวิต
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 628 มุมมอง 25 0 รีวิว
  • รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 6 การสอนเรื่องเงินแก่ลูกในเยาว์วัย
    .
    เรื่องเล่ามานานแล้วในสหรัฐอเมริกาว่า จอห์น ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีผู้พ่อเข้าไปพักในโรงแรม เขาขอห้องพักราคาถูกที่สุด ผู้จัดการโรงแรมก็ถามว่าทำไมเล่า เวลาลูกท่านมาพักที่นี่ยังขอห้องที่ดีที่สุดเลย เขาตอบว่า มันต่างกัน เขาเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนฉันเป็นลูกชาวนา
    .
    เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างการมองโลกของพ่อ และลูกผู้เติบโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึงเรื่องนี้เข้าลักษณะเดียวกันกับคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนลูกอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเงินในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเรื่องของบริโภคนิยม และการไม่ใส่ใจในจริยธรรมคุณธรรม ซึ่งแตกต่างไปจากยุคของพ่อแม่
    .
    การสอนเรื่องการเงินให้แก่ลูกมีหลายประเด็นที่ควรพิจารณา ดังต่อไปนี้
    เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนอยากได้ทุกอย่างที่เห็นในโทรทัศน์และโทรศัพท์ จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องอธิบายและสอนให้ลูกเข้าใจว่า ไม่มีใครที่ได้หรือมีทุกอย่างในโลก ทุกคนมีเงินจำกัดที่ต้องใช้จ่ายในสิ่งต่างๆมากมายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงต้องเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่คิดว่าจำเป็นและให้คุณค่า การโฆษณาทางสื่อต่างๆถือว่าเป็นการให้ข้อมูลของสินค้าที่ผู้ซื้อต้องใคร่ครวญให้ดี เพราะผู้ขายเป็นผู้ให้ข้อมูลและมีวัตถุประสงค์ในการชักชวนให้ซื้อสินค้านั้น
    .
    การทำงานหาเงินอย่างหนักจนมีเงินมากนับเป็นของดี แต่การมุ่งหาเงินอย่างปราศจากคุณค่าที่เหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เช่น หาเงินด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้ากล บ้าคลั่ง บริโภคนิยม สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่ดี พ่อแม่จะต้องพยายามสร้างคุณค่าที่เหมาะสม เช่น ความซื่อสัตย์ สุจริต ความสมถะ ความศรัทธาในความดีงาม ใส่เข้าไปในสมองลูกด้วยการกระทำสิ่งต่อไปนี้
    .
    พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่าง โดยแสดงพฤติกรรมที่มีความสมดุลในการใช้จ่ายเงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น ( Needs ) และสำหรับสิ่งที่ต้องการ ( Wants ) เช่น ไม่บ้าคลั่งซื้อของต่างๆอย่างไร้สาระจนทำให้ลูกสับสน หรือมองเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นไปหมด นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้ลูกคิดเป็น และมีวิจารณญานว่าอะไรเป็น needs อะไรเป็น wants ดดยเริ่มสอนไปทีละน้อย
    .
    ให้เงินลูกเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเริ่มใช้เงินเป็น เพื่อสอนให้ลูกรู้จักวางแผนการใช้เงินและรู้จักอยู่กิน ไม่เกินรายได้ที่ตนเองได้รับ เงินที่ให้นี้บอกลูกให้ชัดเจนว่าเป็นเงินสำหรับสิ่งใด เช่น กินขนม ดูหนัง ซื้อหนังสืออ่านเล่น หรืออะไรอื่นๆ แต่สำหรับสิ่งของบางอย่างเช่น เสื้อผ้า หนังสือเรียน รองเท้า นั้น พ่อแม่จัดหาให้ การกำหนดชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้ลูกสามารถจัดการเรื่องเงินได้อย่างมีประสิมธิภาพมากขึ้น
    .
    ส่งเสริมให้ลูกรู้จักการให้ การสอนลูกในยามเป็นเด็ก ที่ใจเปิดรับจะทำให้เกิดความคิดในการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรืองานอาสาสมัคร พ่อแม่อาจจัดหากระป๋องออมสินให้ 2 ใบ แต่ละใบใช้ใส่เงินสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ใบหนึ่งสำหรับการออม และอีกใบสำหรับการบริจาค การแบ่งเช่นนี้จะช่วยให้เด็กเห็นการออมและการให้ที่ชัดเจน และช่วยให้จัดการเรื่องเงินได้สะดวกขึ้น
    .
    พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ลูกมีอำนาจเหนือเงิน กล่าวคือ ให้เป็นคนที่มีความอดกลั้น สามารถบังคับความต้องการของตนเองได้ จนไม่เป็นทาสของบริโภคนิยมที่เห็นอะไรก็อยากซื้อไปหมด ซึ่งจะทำให้ตลอดชีวิตมีแต่การหาเงินมาใช้จ่ายอย่างไร้สาระ พ่อแม่ต้องเน้นเรื่องคุณค่าของการออม และการมีความมั่งคงในด้านการเงินตลอดชีวิต การออมจะเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอก็เพราะลูกมีความสามารถที่จะให้ตนมีอำนาจเหนือเงินเท่านั้น
    .
    พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน โดยแสดงให้เห็นว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มีความหมาย ไม่ดูถูกเงิน ไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยเพียงใด ลูกต้องรู้ว่า เงินได้มาจากการทำงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน เงินไม่ได้ลอยมาจากฟ้าหรืออยู่ๆก็มีใครให้ ทุกคนต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเองเข้าแลก จึงจะมีเงิน สิ่งที่จะทำให้ได้เงินมากกว่า ถึงแม้จะออกแรงทำงานเท่ากันก็คือ การศึกษา
    รู้จักใช้ เข้าใจเงิน ตอนที่ 6 การสอนเรื่องเงินแก่ลูกในเยาว์วัย . เรื่องเล่ามานานแล้วในสหรัฐอเมริกาว่า จอห์น ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีผู้พ่อเข้าไปพักในโรงแรม เขาขอห้องพักราคาถูกที่สุด ผู้จัดการโรงแรมก็ถามว่าทำไมเล่า เวลาลูกท่านมาพักที่นี่ยังขอห้องที่ดีที่สุดเลย เขาตอบว่า มันต่างกัน เขาเป็นลูกมหาเศรษฐี ส่วนฉันเป็นลูกชาวนา . เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างการมองโลกของพ่อ และลูกผู้เติบโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึงเรื่องนี้เข้าลักษณะเดียวกันกับคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสอนลูกอย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเงินในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเรื่องของบริโภคนิยม และการไม่ใส่ใจในจริยธรรมคุณธรรม ซึ่งแตกต่างไปจากยุคของพ่อแม่ . การสอนเรื่องการเงินให้แก่ลูกมีหลายประเด็นที่ควรพิจารณา ดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนอยากได้ทุกอย่างที่เห็นในโทรทัศน์และโทรศัพท์ จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องอธิบายและสอนให้ลูกเข้าใจว่า ไม่มีใครที่ได้หรือมีทุกอย่างในโลก ทุกคนมีเงินจำกัดที่ต้องใช้จ่ายในสิ่งต่างๆมากมายด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงต้องเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่คิดว่าจำเป็นและให้คุณค่า การโฆษณาทางสื่อต่างๆถือว่าเป็นการให้ข้อมูลของสินค้าที่ผู้ซื้อต้องใคร่ครวญให้ดี เพราะผู้ขายเป็นผู้ให้ข้อมูลและมีวัตถุประสงค์ในการชักชวนให้ซื้อสินค้านั้น . การทำงานหาเงินอย่างหนักจนมีเงินมากนับเป็นของดี แต่การมุ่งหาเงินอย่างปราศจากคุณค่าที่เหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เช่น หาเงินด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้ากล บ้าคลั่ง บริโภคนิยม สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่ดี พ่อแม่จะต้องพยายามสร้างคุณค่าที่เหมาะสม เช่น ความซื่อสัตย์ สุจริต ความสมถะ ความศรัทธาในความดีงาม ใส่เข้าไปในสมองลูกด้วยการกระทำสิ่งต่อไปนี้ . พ่อแม่ควรทำตัวให้เป็นตัวอย่าง โดยแสดงพฤติกรรมที่มีความสมดุลในการใช้จ่ายเงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น ( Needs ) และสำหรับสิ่งที่ต้องการ ( Wants ) เช่น ไม่บ้าคลั่งซื้อของต่างๆอย่างไร้สาระจนทำให้ลูกสับสน หรือมองเห็นว่าทุกสิ่งจำเป็นไปหมด นอกจากนี้ต้องส่งเสริมให้ลูกคิดเป็น และมีวิจารณญานว่าอะไรเป็น needs อะไรเป็น wants ดดยเริ่มสอนไปทีละน้อย . ให้เงินลูกเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือนตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเริ่มใช้เงินเป็น เพื่อสอนให้ลูกรู้จักวางแผนการใช้เงินและรู้จักอยู่กิน ไม่เกินรายได้ที่ตนเองได้รับ เงินที่ให้นี้บอกลูกให้ชัดเจนว่าเป็นเงินสำหรับสิ่งใด เช่น กินขนม ดูหนัง ซื้อหนังสืออ่านเล่น หรืออะไรอื่นๆ แต่สำหรับสิ่งของบางอย่างเช่น เสื้อผ้า หนังสือเรียน รองเท้า นั้น พ่อแม่จัดหาให้ การกำหนดชัดเจนเช่นนี้จะช่วยให้ลูกสามารถจัดการเรื่องเงินได้อย่างมีประสิมธิภาพมากขึ้น . ส่งเสริมให้ลูกรู้จักการให้ การสอนลูกในยามเป็นเด็ก ที่ใจเปิดรับจะทำให้เกิดความคิดในการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรืองานอาสาสมัคร พ่อแม่อาจจัดหากระป๋องออมสินให้ 2 ใบ แต่ละใบใช้ใส่เงินสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น ใบหนึ่งสำหรับการออม และอีกใบสำหรับการบริจาค การแบ่งเช่นนี้จะช่วยให้เด็กเห็นการออมและการให้ที่ชัดเจน และช่วยให้จัดการเรื่องเงินได้สะดวกขึ้น . พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ลูกมีอำนาจเหนือเงิน กล่าวคือ ให้เป็นคนที่มีความอดกลั้น สามารถบังคับความต้องการของตนเองได้ จนไม่เป็นทาสของบริโภคนิยมที่เห็นอะไรก็อยากซื้อไปหมด ซึ่งจะทำให้ตลอดชีวิตมีแต่การหาเงินมาใช้จ่ายอย่างไร้สาระ พ่อแม่ต้องเน้นเรื่องคุณค่าของการออม และการมีความมั่งคงในด้านการเงินตลอดชีวิต การออมจะเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอก็เพราะลูกมีความสามารถที่จะให้ตนมีอำนาจเหนือเงินเท่านั้น . พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน โดยแสดงให้เห็นว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มีความหมาย ไม่ดูถูกเงิน ไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยเพียงใด ลูกต้องรู้ว่า เงินได้มาจากการทำงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน เงินไม่ได้ลอยมาจากฟ้าหรืออยู่ๆก็มีใครให้ ทุกคนต้องใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเองเข้าแลก จึงจะมีเงิน สิ่งที่จะทำให้ได้เงินมากกว่า ถึงแม้จะออกแรงทำงานเท่ากันก็คือ การศึกษา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกันภัย 10 บาท ถูกสุดในไทยขายเฉพาะเทศกาล

    เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวร์รันส์) หรือ ประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 คุ้มครองอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุด 100,000 บาท และเพิ่มอีก 100,000 บาท หากเกิดอุบัติเหตุสาธารณะ รวมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5,000 บาท รับประกันภัยโดย เมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้จำกัด 300,000 สิทธิ์เท่านั้น ผู้ซื้อต้องมีอายุ 15-70 ปีบริบูรณ์ จำกัด 1 กรมธรรม์ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน

    โดยในปีนี้สมาชิก All Member ซื้อได้ผ่าน 7-App หรือเว็บไซต์ counterservice.co.th ชำระได้ทั้งบัตรเครดิต ทรูมันนี่วอลเล็ต และพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด หากซื้อประกันสำเร็จจะมี SMS และอีเมลแจ้งระยะความคุ้มครอง แต่ผู้ซื้อต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนซื้อ เช่น ไม่คุ้มครองขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) สารเสพติดหรือยาเสพติด การจบชีวิตตัวเอง การได้รับเชื้อโรค การแท้งลูก (ยกเว้นจากอุบัติเหตุ) สงคราม อาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย ก่ออาชญากรรม และเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครเข้าปฎิบัติสงครามหรือปราบปราม เป็นต้น

    นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่จำหน่ายประกันภัย 10 บาทแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ แจกประกันภัยฟรี โดยมีความคุ้มครองคล้ายกัน เช่น ร้านอินทนิลในปั๊มบางจากแจกประกันภัยเมื่อซื้อเครื่องดื่ม เลือกได้ระหว่างประกันอุบัติเหตุหรือประกันอัคคีภัย ส่วนโออาร์แจกประกันอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิก Blueplus+ ผ่านแอปพลิเคชัน xplORe เป็นต้น

    ประกันภัย 10 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน สมัยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อปี 2561 (ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์) เพื่อเพิ่มทางเลือกด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย 100 และประกันภัย 222 คุ้มครอง 1 ปี มีผู้ซื้อประกันหลักหมื่นราย

    กระทั่งออกประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน ในช่วงสงกรานต์ปี 2561 สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติศาสตร์ด้วยผู้ซื้อมากกว่า 1.32 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงอีกด้วย กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้ คปภ. และประกันภัย 10 บาทในช่วงเทศกาลยังคงมีขายถึงปัจจุบัน

    #Newskit
    ประกันภัย 10 บาท ถูกสุดในไทยขายเฉพาะเทศกาล เมื่อวันที่ 1 เม.ย. เคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยสุขใจสงกรานต์ (ไมโครอินชัวร์รันส์) หรือ ประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน รับเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 คุ้มครองอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุด 100,000 บาท และเพิ่มอีก 100,000 บาท หากเกิดอุบัติเหตุสาธารณะ รวมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุด 5,000 บาท รับประกันภัยโดย เมืองไทยประกันชีวิต ในครั้งนี้จำกัด 300,000 สิทธิ์เท่านั้น ผู้ซื้อต้องมีอายุ 15-70 ปีบริบูรณ์ จำกัด 1 กรมธรรม์ต่อ 1 หมายเลขบัตรประชาชน โดยในปีนี้สมาชิก All Member ซื้อได้ผ่าน 7-App หรือเว็บไซต์ counterservice.co.th ชำระได้ทั้งบัตรเครดิต ทรูมันนี่วอลเล็ต และพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ด หากซื้อประกันสำเร็จจะมี SMS และอีเมลแจ้งระยะความคุ้มครอง แต่ผู้ซื้อต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนซื้อ เช่น ไม่คุ้มครองขณะอยู่ภายใต้ฤทธิ์สุรา (150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป) สารเสพติดหรือยาเสพติด การจบชีวิตตัวเอง การได้รับเชื้อโรค การแท้งลูก (ยกเว้นจากอุบัติเหตุ) สงคราม อาวุธนิวเคลียร์ การก่อการร้าย ก่ออาชญากรรม และเป็นทหาร ตำรวจ หรืออาสาสมัครเข้าปฎิบัติสงครามหรือปราบปราม เป็นต้น นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่จำหน่ายประกันภัย 10 บาทแล้ว ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ แจกประกันภัยฟรี โดยมีความคุ้มครองคล้ายกัน เช่น ร้านอินทนิลในปั๊มบางจากแจกประกันภัยเมื่อซื้อเครื่องดื่ม เลือกได้ระหว่างประกันอุบัติเหตุหรือประกันอัคคีภัย ส่วนโออาร์แจกประกันอุบัติเหตุฟรีแก่สมาชิก Blueplus+ ผ่านแอปพลิเคชัน xplORe เป็นต้น ประกันภัย 10 บาท ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน สมัยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อปี 2561 (ปัจจุบันเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์) เพื่อเพิ่มทางเลือกด้วยเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย 100 และประกันภัย 222 คุ้มครอง 1 ปี มีผู้ซื้อประกันหลักหมื่นราย กระทั่งออกประกันภัย 10 บาท คุ้มครอง 30 วัน ในช่วงสงกรานต์ปี 2561 สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติศาสตร์ด้วยผู้ซื้อมากกว่า 1.32 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงเข้ากับสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองอย่างทั่วถึงอีกด้วย กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้ คปภ. และประกันภัย 10 บาทในช่วงเทศกาลยังคงมีขายถึงปัจจุบัน #Newskit
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 734 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กของ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ 29 มีนาคม 2568ปลารู้ไหมว่าแผ่นดินไหว ถ้ารู้แล้วทำไง ? เพื่อนธรณ์ไปดำน้ำที่สิมิลันช่วงนั้นพอดี จึงเจอปรากฏการณ์สุดแปลกที่แทบไม่มีรายงานมาก่อนในช่วงแผ่นดินไหว ปลาในแนวปะการังต่างพากันลงไปนอนนิ่งกับพื้น !ลองดูภาพนะครับ ถ้าเป็นปลาตัวเดียวทำอาจไม่แปลกอะไร แต่ที่เจอคือปลาหลายตัวล้วนทำเช่นนั้น ลงไปนอนแนบกับพื้นทันทีที่เห็นชัดคือฝูงปลา ปรกติตอนกลางวันจะว่ายอยู่ในมวลน้ำ จะไม่ลงไปนอนติดพื้นพร้อมกันทั้งฝูง ต่อให้เป็นกลางคืนปลานอน ปลาก็แยกกันนอน ไม่รวมฝูงนอนแบบนี้ปลารู้ว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น เพราะปลารับแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำได้ดีมาก จากนั้นคงเป็นสัญชาตญาณ ทำให้ปลาลงไปนอนแนบพื้น เพาาะอาจเกิดกระแสน้ำปั่นป่วนหรือแม้กระทั่งสึนามิตามมาการนอนแนบพื้นของปลาก็เหมือนเวลาเราหลบภัยต้องหมอบราบกับพื้น หากลอยอยู่กลางน้ำมีความเสี่ยงที่จะโดนกระแสน้ำหรือคลื่นพัดพาไปเพื่อนธรณ์ที่เป็นอาสาสมัครบินโดรนเฝ้าพะยูนก็รายงานว่า ช่วงแผ่นดินไหว พะยูนก็ตื่นตกใจเผ่นพรวดหนีไปจากที่ตื้น เพื่อว่ายหนีไปที่ลึกตามหลักการหลบสึนามิพะยูนไวมากครับ ตอนที่เกิดสึนามิ จึงไม่มีข่าวพะยูนโดนคลื่นพัดมาเกยฝั่ง (เท่าที่ทราบ) ทั้งที่บางแห่งเป็นบริเวณที่พะยูนอาศัย เช่น กระบี่ จะมีก็แค่โลมาที่เขาหลัก ลอยตามคลื่นมาติดค้างในอ่างเก็บน้ำแถวนั้น แต่คลื่นที่เขาหลักแรงมาก จนโลมาอาจไม่คาดคิดแม้แผ่นดินไหวเมื่อวานไม่ได้เกิดในทะเล ไม่เกิดสึนามิ แต่แรงสั่นสะเทือนก็เกิดในทะเลเช่นกัน เพราะพื้นท้องทะเลก็ไหวเหมือนแผ่นดินครับปลาหรือพะยูนคงบอกไม่ได้ว่า แผ่นดินไหวในทะเลหรือบนบก เมื่อรับรู้ว่ามีแผ่นดินไหว ปลาหลบไว้ก่อนแล้วปลารู้ล่วงหน้าได้ไหม ? พยากรณ์แผ่นดินไหวได้ไหม ?เมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้น จะเกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนหลายแบบ บางคลื่นเบาแต่เร็วกว่า ปลาอาจรับรู้คลื่นพวกนี้ขณะที่มนุษย์ไม่รู้สึกจากนั้นคลื่นแรงสั่นสะเทือนแบบแรงๆ จะตามมา คราวนี้เรารู้สึกแล้วครับทว่า ต่อให้รู้คลื่นล่วงหน้า ปลาก็ไม่มีทางบอกก่อนได้เป็นชั่วโมงๆ เพราะปลารู้ก่อนแป๊บเดียวเท่านั้น ที่บอกกันว่าสัตว์เตือนภัยได้ ก็คือสัตว์รู้ก่อนคน แต่ไม่ใช่นานๆขอบคุณเพื่อนธรณ์ที่ส่งภาพมาให้ ถือเป็นหนแรกของไทยที่มีหลักฐานให้ดูกันชัดๆ ว่าปลาทำยังไงเมื่อแผ่นดินไหว อันที่จริง ในต่างประเทศก็แทบไม่มีภาพชัดเจนแบบนี้ครับ🌏🐟อยากรู้เรื่องปลาให้มากกว่านี้ มาเรียนที่ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นะฮะ 😁
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กของ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ 29 มีนาคม 2568ปลารู้ไหมว่าแผ่นดินไหว ถ้ารู้แล้วทำไง ? เพื่อนธรณ์ไปดำน้ำที่สิมิลันช่วงนั้นพอดี จึงเจอปรากฏการณ์สุดแปลกที่แทบไม่มีรายงานมาก่อนในช่วงแผ่นดินไหว ปลาในแนวปะการังต่างพากันลงไปนอนนิ่งกับพื้น !ลองดูภาพนะครับ ถ้าเป็นปลาตัวเดียวทำอาจไม่แปลกอะไร แต่ที่เจอคือปลาหลายตัวล้วนทำเช่นนั้น ลงไปนอนแนบกับพื้นทันทีที่เห็นชัดคือฝูงปลา ปรกติตอนกลางวันจะว่ายอยู่ในมวลน้ำ จะไม่ลงไปนอนติดพื้นพร้อมกันทั้งฝูง ต่อให้เป็นกลางคืนปลานอน ปลาก็แยกกันนอน ไม่รวมฝูงนอนแบบนี้ปลารู้ว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น เพราะปลารับแรงสั่นสะเทือนใต้น้ำได้ดีมาก จากนั้นคงเป็นสัญชาตญาณ ทำให้ปลาลงไปนอนแนบพื้น เพาาะอาจเกิดกระแสน้ำปั่นป่วนหรือแม้กระทั่งสึนามิตามมาการนอนแนบพื้นของปลาก็เหมือนเวลาเราหลบภัยต้องหมอบราบกับพื้น หากลอยอยู่กลางน้ำมีความเสี่ยงที่จะโดนกระแสน้ำหรือคลื่นพัดพาไปเพื่อนธรณ์ที่เป็นอาสาสมัครบินโดรนเฝ้าพะยูนก็รายงานว่า ช่วงแผ่นดินไหว พะยูนก็ตื่นตกใจเผ่นพรวดหนีไปจากที่ตื้น เพื่อว่ายหนีไปที่ลึกตามหลักการหลบสึนามิพะยูนไวมากครับ ตอนที่เกิดสึนามิ จึงไม่มีข่าวพะยูนโดนคลื่นพัดมาเกยฝั่ง (เท่าที่ทราบ) ทั้งที่บางแห่งเป็นบริเวณที่พะยูนอาศัย เช่น กระบี่ จะมีก็แค่โลมาที่เขาหลัก ลอยตามคลื่นมาติดค้างในอ่างเก็บน้ำแถวนั้น แต่คลื่นที่เขาหลักแรงมาก จนโลมาอาจไม่คาดคิดแม้แผ่นดินไหวเมื่อวานไม่ได้เกิดในทะเล ไม่เกิดสึนามิ แต่แรงสั่นสะเทือนก็เกิดในทะเลเช่นกัน เพราะพื้นท้องทะเลก็ไหวเหมือนแผ่นดินครับปลาหรือพะยูนคงบอกไม่ได้ว่า แผ่นดินไหวในทะเลหรือบนบก เมื่อรับรู้ว่ามีแผ่นดินไหว ปลาหลบไว้ก่อนแล้วปลารู้ล่วงหน้าได้ไหม ? พยากรณ์แผ่นดินไหวได้ไหม ?เมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้น จะเกิดคลื่นแรงสั่นสะเทือนหลายแบบ บางคลื่นเบาแต่เร็วกว่า ปลาอาจรับรู้คลื่นพวกนี้ขณะที่มนุษย์ไม่รู้สึกจากนั้นคลื่นแรงสั่นสะเทือนแบบแรงๆ จะตามมา คราวนี้เรารู้สึกแล้วครับทว่า ต่อให้รู้คลื่นล่วงหน้า ปลาก็ไม่มีทางบอกก่อนได้เป็นชั่วโมงๆ เพราะปลารู้ก่อนแป๊บเดียวเท่านั้น ที่บอกกันว่าสัตว์เตือนภัยได้ ก็คือสัตว์รู้ก่อนคน แต่ไม่ใช่นานๆขอบคุณเพื่อนธรณ์ที่ส่งภาพมาให้ ถือเป็นหนแรกของไทยที่มีหลักฐานให้ดูกันชัดๆ ว่าปลาทำยังไงเมื่อแผ่นดินไหว อันที่จริง ในต่างประเทศก็แทบไม่มีภาพชัดเจนแบบนี้ครับ🌏🐟อยากรู้เรื่องปลาให้มากกว่านี้ มาเรียนที่ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นะฮะ 😁
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • โมฮัมหมัด มานซูร์ นักข่าวและผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ปาเลสไตน์ทูเดย์ เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลที่บ้านพนร้อมกับครอบครัวเขาในเมืองคาน ยูนิส ทางตอนใต้ของกาซา

    ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 นักข่าวมากกว่า 210 ราย ถูกอิสราเอลสังหารในกาซา ยังไม่นับรวมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครจากหน่วยงานสหประชาชาติ และองค์กรสากลอื่นๆอีกหลายสิบราย
    โมฮัมหมัด มานซูร์ นักข่าวและผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ปาเลสไตน์ทูเดย์ เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลที่บ้านพนร้อมกับครอบครัวเขาในเมืองคาน ยูนิส ทางตอนใต้ของกาซา ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 นักข่าวมากกว่า 210 ราย ถูกอิสราเอลสังหารในกาซา ยังไม่นับรวมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครจากหน่วยงานสหประชาชาติ และองค์กรสากลอื่นๆอีกหลายสิบราย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 430 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สื่อนอกตีแผ่ พบสลัมแรงงานพม่ากลางภูเก็ต? พร้อมเปิดโรงเรียนสอนพม่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ หลัง Youtuber ต่างชาตินำเสนอเรื่องนี้ ขณะที่ผู้ดูแลออกมายื่นยัน ว่า เป็นแค่ศูนย์เรียนรู้ เปิดมา 11 ปี ด้านจังหวัด ตร. ตื่นสอบ

    จากกรณีสื่อนอก สื่อไทยนำเสนอข้อมูล พบสลัมใหญ่ในพื้นที่กลางเมืองภูเก็ต แถมเปิดโรงเรียนสอนชาวพม่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ มีเด็กพม่าเข้าเรียนกว่า 300 คน โดยนำข้อมูลจาก Youtuber ต่างชาติ ช่อง Ride with Gabi ที่มีการเผยแพร่คลิปเปิดเผยการมีอยู่ของชุมชนแรงงานพม่าขนาดใหญ่ ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “สลัมต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต” โดยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นแรงงานชาวพม่า เด็กๆ ในชุมชนได้รับการศึกษาและอาหารจากมูลนิธิ ที่ใช้เงินทุนจากการบริจาคและอาสาสมัครต่างชาติ

    นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ภูเก็ต ของบริษัทด้านการตลาด Media Intelligence Group (MI GROUP) ที่ระบุว่า ในปี 2566 พบว่ามีแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม อาศัยอยู่ในไทยมากกว่า 10 ล้านคน โดยเฉพาะชาวพม่ามีจำนวนสูงถึง 6.8 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเข้าเมืองผิดกฎหมาย และแนวโน้มยังเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ส่งผลให้มีผู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทยมากขึ้น

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/south/detail/9680000025351

    #MGROnline #ภูเก็ต #โรงเรียนสอนพม่า #ศูนย์เรียนรู้
    ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สื่อนอกตีแผ่ พบสลัมแรงงานพม่ากลางภูเก็ต? พร้อมเปิดโรงเรียนสอนพม่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ หลัง Youtuber ต่างชาตินำเสนอเรื่องนี้ ขณะที่ผู้ดูแลออกมายื่นยัน ว่า เป็นแค่ศูนย์เรียนรู้ เปิดมา 11 ปี ด้านจังหวัด ตร. ตื่นสอบ • จากกรณีสื่อนอก สื่อไทยนำเสนอข้อมูล พบสลัมใหญ่ในพื้นที่กลางเมืองภูเก็ต แถมเปิดโรงเรียนสอนชาวพม่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ มีเด็กพม่าเข้าเรียนกว่า 300 คน โดยนำข้อมูลจาก Youtuber ต่างชาติ ช่อง Ride with Gabi ที่มีการเผยแพร่คลิปเปิดเผยการมีอยู่ของชุมชนแรงงานพม่าขนาดใหญ่ ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “สลัมต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต” โดยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นแรงงานชาวพม่า เด็กๆ ในชุมชนได้รับการศึกษาและอาหารจากมูลนิธิ ที่ใช้เงินทุนจากการบริจาคและอาสาสมัครต่างชาติ • นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ภูเก็ต ของบริษัทด้านการตลาด Media Intelligence Group (MI GROUP) ที่ระบุว่า ในปี 2566 พบว่ามีแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม อาศัยอยู่ในไทยมากกว่า 10 ล้านคน โดยเฉพาะชาวพม่ามีจำนวนสูงถึง 6.8 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเข้าเมืองผิดกฎหมาย และแนวโน้มยังเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ส่งผลให้มีผู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทยมากขึ้น • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/south/detail/9680000025351 • #MGROnline #ภูเก็ต #โรงเรียนสอนพม่า #ศูนย์เรียนรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 711 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1357 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการมาเลเซีย ออกคำเตือนถึงพลเรือน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนภาคใต้ของไทย ตามหลังเหตุระเบิดและยิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บ 13 คน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    รอยเตอร์รายงานว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในเหล่าจังหวัดทางใต้สุดของไทย บริเวณที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายมุสลิมมาเลย์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 7,300 ราย นับตั้งแต่การก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่าหลายทศวรรษ โหมกระพือขึ้นในปี 2004
    .
    กลุ่มมือปืนเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ว่าการอำเภอและจุดชนวนคาร์บอมบ์ ในอำเภอสุไหงโกลก ในจังหวัดนราธิวาส แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ปลิดชีพอาสามัครด้านความมั่นคงของไทยไป 2 ราย รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ส่วนในจังหวัดปัตตานีที่อยู่ติดกัน ระเบิดข้างทางสังหารอาสาสมัครทหารพราน 1 นายและเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน
    .
    กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(9มี.ค.) "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้"
    .
    จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้ มาเลเซีย เป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน
    .
    รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส บอกว่าได้ยกระดับคุมเข้มด้านความปลอดภัยในพื้นที่ "เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมา 4 ถึง 5 ปีแล้ว" พร้อมระบุยังคงมีชาวมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าในเบื้องต้น เหตุการณ์นี้คงจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023259
    ..............
    Sondhi X
    ทางการมาเลเซีย ออกคำเตือนถึงพลเรือน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนภาคใต้ของไทย ตามหลังเหตุระเบิดและยิงที่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บ 13 คน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา . รอยเตอร์รายงานว่าเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นในเหล่าจังหวัดทางใต้สุดของไทย บริเวณที่คนส่วนใหญ่มีเชื้อสายมุสลิมมาเลย์ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 7,300 ราย นับตั้งแต่การก่อกบฏแบ่งแยกดินแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่าหลายทศวรรษ โหมกระพือขึ้นในปี 2004 . กลุ่มมือปืนเปิดฉากยิงเข้าใส่ที่ว่าการอำเภอและจุดชนวนคาร์บอมบ์ ในอำเภอสุไหงโกลก ในจังหวัดนราธิวาส แหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ปลิดชีพอาสามัครด้านความมั่นคงของไทยไป 2 ราย รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ส่วนในจังหวัดปัตตานีที่อยู่ติดกัน ระเบิดข้างทางสังหารอาสาสมัครทหารพราน 1 นายและเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน . กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์(9มี.ค.) "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้น ในช่วงเวลานี้" . จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้ มาเลเซีย เป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน . รอยเตอร์อ้างคำสัมภาษณ์ของว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส บอกว่าได้ยกระดับคุมเข้มด้านความปลอดภัยในพื้นที่ "เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เกิดขึ้นมา 4 ถึง 5 ปีแล้ว" พร้อมระบุยังคงมีชาวมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าในเบื้องต้น เหตุการณ์นี้คงจะส่งผลกระทบอยู่บ้าง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000023259 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพทหารอาสาสมัครกลุ่มแรกที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี ถูกส่งไปประจำการในกองทหารราบของกองพลจู่โจมภูเขาที่ 10 "เอเดลไวส์" (The 10th Mountain Assault Brigade "Edelweiss" / 10-та окрема гірсько-штурмова бригада "Едельвейс")

    อาสาสมัครกลุ่มนี้ ได้เข้าพิธีสาบานตนและจะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาใหม่สำหรับกลุ่มอายุตามเงื่อนไข

    เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ คณะรัฐมนตรีของเซเลนสกี อนุมัติเงื่อนไขสัญญา 1 ปี สำหรับอาสาสมัครอายุ 18-24 ปี ซึ่งเป็นสัญญาจ้างจ่ายเงินครั้งเดียว 1 ล้าน UAH (ฮริฟเนียยูเครน) (หรือ 819,261 บาทไทย)
    จากรายงานของกลาโหมยูเครน ช่วง 6 วันแรก หลังจากเปิดตัวโครงการ มีผู้สมัครที่มีอายุ 18-24 ปีตามเงื่อนไขสัญญา 1 ปี มากกว่า 10,000 ราย
    ภาพทหารอาสาสมัครกลุ่มแรกที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี ถูกส่งไปประจำการในกองทหารราบของกองพลจู่โจมภูเขาที่ 10 "เอเดลไวส์" (The 10th Mountain Assault Brigade "Edelweiss" / 10-та окрема гірсько-штурмова бригада "Едельвейс") อาสาสมัครกลุ่มนี้ ได้เข้าพิธีสาบานตนและจะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาใหม่สำหรับกลุ่มอายุตามเงื่อนไข เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ คณะรัฐมนตรีของเซเลนสกี อนุมัติเงื่อนไขสัญญา 1 ปี สำหรับอาสาสมัครอายุ 18-24 ปี ซึ่งเป็นสัญญาจ้างจ่ายเงินครั้งเดียว 1 ล้าน UAH (ฮริฟเนียยูเครน) (หรือ 819,261 บาทไทย) จากรายงานของกลาโหมยูเครน ช่วง 6 วันแรก หลังจากเปิดตัวโครงการ มีผู้สมัครที่มีอายุ 18-24 ปีตามเงื่อนไขสัญญา 1 ปี มากกว่า 10,000 ราย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4/
    รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย

    มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ
    ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย


    ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    4/ รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 3/
    รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย

    มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ
    ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย


    ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    3/ รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 2/
    รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย

    มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ
    ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย


    ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    2/ รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 492 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • 1/
    รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย

    มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ
    ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย


    ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    1/ รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Iskander-M ติดหัวรบคลัสเตอร์ โจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในภูมิภาคครีววีรีห์ (Kryvyi Rih) ของยูเครน ส่งผลให้ทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย มีรายงานว่า โรงแรมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พักของทหารรับจ้างและที่ปรึกษาชาวต่างชาติ ข้อมูลล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บรวมกว่า 30 ราย ทางด้านเซเลนสกี ตีหน้าเศร้าเล่าว่าบุคคลที่สูญเสียในครั้งนี้ล้วนเป็น "อาสาสมัครจากองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งได้แก่ พลเมืองของยูเครน สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • น่าสนใจมากครับ

    Exo software ซึ่งเป็นโซลูชันปัญญาประดิษฐ์แบบกระจายที่สามารถทำงานได้แม้กระทั่งบนสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าๆ Exo ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการทำงานแบบ inference ของปัญญาประดิษฐ์

    โดยปกติแล้ว การรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (LLM) เช่น LLaMA, Mistral, LlaVA, Qwen และ DeepSeek ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีหน่วยความจำมาก แต่ Exo ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมพลังการประมวลผลของอุปกรณ์หลายๆ เครื่อง เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่ง Raspberry Pi เพื่อรันโมเดลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้มาก่อน

    การทำงานของ Exo คล้ายกับโครงการ SETI@home ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของอาสาสมัครในการกระจายภาระงานการคำนวณ โดย Exo ใช้เครือข่ายแบบ peer-to-peer (P2P) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงเครื่องเดียว แต่สามารถใช้เครื่องหลายๆ เครื่องร่วมกันในการทำงาน

    Alex Cheema, ผู้ร่วมก่อตั้ง EXO Labs กล่าวว่า "ข้อจำกัดพื้นฐานของปัญญาประดิษฐ์คือการคำนวณ ถ้าคุณไม่มีการคำนวณที่เพียงพอ คุณก็ไม่สามารถแข่งขันได้ แต่ถ้าคุณสร้างเครือข่ายกระจายนี้ เราอาจจะสามารถทำได้"

    Exo สามารถติดตั้งบนระบบปฏิบัติการ Linux, macOS, Android, และ iOS โดย Windows ยังไม่รองรับ การใช้งานต้องการ Python รุ่น 3.12.0 ขึ้นไป พร้อมกับส่วนเสริมเพิ่มเติมสำหรับระบบที่ใช้ Linux และมี GPU ของ NVIDIA

    หนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของ Exo คือการที่มันไม่จำเป็นต้องใช้ GPU ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น AI model ที่ต้องการ RAM 16GB สามารถรันบนแล็ปท็อปสองเครื่องที่มี RAM 8GB ได้ การใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าอาจทำให้การทำงานล่าช้าลง แต่ทางผู้พัฒนา Exo ยืนยันว่าผลรวมของการคำนวณจะดีขึ้นเมื่อเพิ่มอุปกรณ์ในเครือข่ายมากขึ้น

    การรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อมีการแบ่งภาระงานระหว่างเครื่องหลายๆ เครื่อง ดังนั้น Exo ต้องมีการป้องกันข้อมูลรั่วไหลและการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

    การใช้ Exo นี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่มีทรัพยากรจำกัดในการใช้ปัญญาประดิษฐ์

    https://www.techradar.com/computing/bittorrent-for-llm-exo-software-is-a-distributed-llm-solution-that-can-run-even-on-old-smartphones-and-computers
    น่าสนใจมากครับ Exo software ซึ่งเป็นโซลูชันปัญญาประดิษฐ์แบบกระจายที่สามารถทำงานได้แม้กระทั่งบนสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าๆ Exo ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการทำงานแบบ inference ของปัญญาประดิษฐ์ โดยปกติแล้ว การรันโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (LLM) เช่น LLaMA, Mistral, LlaVA, Qwen และ DeepSeek ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีหน่วยความจำมาก แต่ Exo ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวมพลังการประมวลผลของอุปกรณ์หลายๆ เครื่อง เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่ง Raspberry Pi เพื่อรันโมเดลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้มาก่อน การทำงานของ Exo คล้ายกับโครงการ SETI@home ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของอาสาสมัครในการกระจายภาระงานการคำนวณ โดย Exo ใช้เครือข่ายแบบ peer-to-peer (P2P) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ระบบที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงเครื่องเดียว แต่สามารถใช้เครื่องหลายๆ เครื่องร่วมกันในการทำงาน Alex Cheema, ผู้ร่วมก่อตั้ง EXO Labs กล่าวว่า "ข้อจำกัดพื้นฐานของปัญญาประดิษฐ์คือการคำนวณ ถ้าคุณไม่มีการคำนวณที่เพียงพอ คุณก็ไม่สามารถแข่งขันได้ แต่ถ้าคุณสร้างเครือข่ายกระจายนี้ เราอาจจะสามารถทำได้" Exo สามารถติดตั้งบนระบบปฏิบัติการ Linux, macOS, Android, และ iOS โดย Windows ยังไม่รองรับ การใช้งานต้องการ Python รุ่น 3.12.0 ขึ้นไป พร้อมกับส่วนเสริมเพิ่มเติมสำหรับระบบที่ใช้ Linux และมี GPU ของ NVIDIA หนึ่งในความสามารถที่โดดเด่นของ Exo คือการที่มันไม่จำเป็นต้องใช้ GPU ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น AI model ที่ต้องการ RAM 16GB สามารถรันบนแล็ปท็อปสองเครื่องที่มี RAM 8GB ได้ การใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าอาจทำให้การทำงานล่าช้าลง แต่ทางผู้พัฒนา Exo ยืนยันว่าผลรวมของการคำนวณจะดีขึ้นเมื่อเพิ่มอุปกรณ์ในเครือข่ายมากขึ้น การรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญเมื่อมีการแบ่งภาระงานระหว่างเครื่องหลายๆ เครื่อง ดังนั้น Exo ต้องมีการป้องกันข้อมูลรั่วไหลและการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต การใช้ Exo นี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรที่มีทรัพยากรจำกัดในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ https://www.techradar.com/computing/bittorrent-for-llm-exo-software-is-a-distributed-llm-solution-that-can-run-even-on-old-smartphones-and-computers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 597 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎁สูงวัยอย่างไรให้มีคุณค่า🎁

    🎁การเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถใช้ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้ การมีคุณค่าหมายถึงการยังคงมีบทบาท มีความหมาย และรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง

    👉เริ่มจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งกายและใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตโดยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ทำสวน หรือฝึกสมาธิ

    👉นอกจากนี้ การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมก็สำคัญ ลองเข้าร่วมชมรมหรือทำงานอาสาสมัครเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีหรือทักษะใหม่ จะช่วยให้สมองสดชื่นและรู้สึกทันสมัย
    👍สุดท้าย การมองชีวิตในแง่บวก ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย จะทำให้การเป็นผู้สูงวัยเต็มไปด้วยความสุขและความหมายที่แท้จริง
    🎁สูงวัยอย่างไรให้มีคุณค่า🎁 🎁การเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถใช้ประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้ การมีคุณค่าหมายถึงการยังคงมีบทบาท มีความหมาย และรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง 👉เริ่มจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งกายและใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตโดยการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ทำสวน หรือฝึกสมาธิ 👉นอกจากนี้ การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมก็สำคัญ ลองเข้าร่วมชมรมหรือทำงานอาสาสมัครเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีหรือทักษะใหม่ จะช่วยให้สมองสดชื่นและรู้สึกทันสมัย 👍สุดท้าย การมองชีวิตในแง่บวก ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย จะทำให้การเป็นผู้สูงวัยเต็มไปด้วยความสุขและความหมายที่แท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นอกเรื่อง
    #โครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสมุทรปราการ
    #วิทยากร

    เมื่อเร็วๆนี้ เราสองคนได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร โดยการแนะนำจากเพื่อน มีอยู่วันหนึ่ง แอน เพื่อนสมัยประถมที่เราติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ โทรหาส้มว่าจะเชิญไปเป็นวิทยากร 2 หัวข้อ คือ การประชาสัมพันธ์และการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬาในชุมชน และหัวข้อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี บอกกับแอนตรง ๆ ว่า แอนคิดว่าได้หรอ แอนบอกว่า ได้ ส้มกับโจ ทำจริง ๆ แต่ เอาก็เอา เพื่อนมั่นใจ ก็อย่าทำให้ผิดหวัง

    แล้ววันอบรมก็มาถึง เราสลับคิวพูดกัน โดยโจพูดเรื่อง การเป็นเจ้าบ้านที่ดีก่อน แล้วส้มค่อยพูดต่อเรื่อง แอพพลเคชั่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ปิดจบด้วยการทำเวิร์คชอป ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ จับกลุ่มตามอำเภอ แล้วส่งตัวแทนมานำเสนอว่า ของดีอะไรที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนอำเภอของพี่ โดยเราให้หลักในการแบ่งความน่าสนใจไปในส่วนต่าง ๆ ตอนบรรยาย

    บรรยากาศการจับกลุ่มทำงาน การออกมานำเสนอหน้าห้อง เริ่มด้วย บางเสาธง ที่มากลุ่มใหญ่ ต่อมา จนถึงบางบ่อ ทุกคนเริ่มเห็นภาพ วันนี้เลยขอนำภาพบางส่วนมาลง ขอบคุณคุณกฤษณ์ และน้องเมษ์ ที่ดูแลเราอย่างดีรวมถึงผู้บริหารหลาย ๆ ท่าน

    ท้ายสุดขอบคุณเพื่อนแอน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสตรงนี้ ส้มมีบอกบางท่านไปว่า ส้มคิดจะทำอะไรกับสมุทรปราการอยู่แล้วในปีนี้ ไม่ว่าจะประเพณีรับบัว หรือพาไปกราบสักการะที่วัดอโศกราม ไปพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น หวังว่าพวกเราจะได้ไปพบพี่ ๆ ในปีนี้นะคะ

    #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    #นอกเรื่อง #โครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสมุทรปราการ #วิทยากร เมื่อเร็วๆนี้ เราสองคนได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร โดยการแนะนำจากเพื่อน มีอยู่วันหนึ่ง แอน เพื่อนสมัยประถมที่เราติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ โทรหาส้มว่าจะเชิญไปเป็นวิทยากร 2 หัวข้อ คือ การประชาสัมพันธ์และการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬาในชุมชน และหัวข้อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี บอกกับแอนตรง ๆ ว่า แอนคิดว่าได้หรอ แอนบอกว่า ได้ ส้มกับโจ ทำจริง ๆ แต่ เอาก็เอา เพื่อนมั่นใจ ก็อย่าทำให้ผิดหวัง แล้ววันอบรมก็มาถึง เราสลับคิวพูดกัน โดยโจพูดเรื่อง การเป็นเจ้าบ้านที่ดีก่อน แล้วส้มค่อยพูดต่อเรื่อง แอพพลเคชั่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ปิดจบด้วยการทำเวิร์คชอป ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ จับกลุ่มตามอำเภอ แล้วส่งตัวแทนมานำเสนอว่า ของดีอะไรที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนอำเภอของพี่ โดยเราให้หลักในการแบ่งความน่าสนใจไปในส่วนต่าง ๆ ตอนบรรยาย บรรยากาศการจับกลุ่มทำงาน การออกมานำเสนอหน้าห้อง เริ่มด้วย บางเสาธง ที่มากลุ่มใหญ่ ต่อมา จนถึงบางบ่อ ทุกคนเริ่มเห็นภาพ วันนี้เลยขอนำภาพบางส่วนมาลง ขอบคุณคุณกฤษณ์ และน้องเมษ์ ที่ดูแลเราอย่างดีรวมถึงผู้บริหารหลาย ๆ ท่าน ท้ายสุดขอบคุณเพื่อนแอน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสตรงนี้ ส้มมีบอกบางท่านไปว่า ส้มคิดจะทำอะไรกับสมุทรปราการอยู่แล้วในปีนี้ ไม่ว่าจะประเพณีรับบัว หรือพาไปกราบสักการะที่วัดอโศกราม ไปพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น หวังว่าพวกเราจะได้ไปพบพี่ ๆ ในปีนี้นะคะ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1025 มุมมอง 0 รีวิว
  • 16/2/68

    คนญี่ปุ่นนิยมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน ทั้ง 4 ฤดู

    หมอณี่ปุ่นวิจัยแล้วพบว่าการใส่ถุงเท้านอน

    1.ช่วยให้เท้าอบอุ่นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น

    2.ช่วยให้หลับง่ายขึ้นกว่าคนที่ไม่สวมถุงเท้านอน

    จากการวิจัยของหมออเมริกาก็พบว่า อาสาสมัครสองกลุ่มใส่กับไมใส่ถุงเท้านอน ผลปรากฏว่า กลุ่มใส่ถุงเท้านอนหลับได้ง่ายกว่ากลุ่มไม่ใส่ถุงเท้า

    3.การใส่ถุงเท้านอนยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้เจ็บได้ ดีจากการหลับลึก

    ด้วยการสวมถุงเท้านอนส าเหตุนี้เองคนญี่ปุ่นจึงมีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก คนที่อายุมากกว่า 100ปี มี86,000คน จากประชากร 120 ล้านคน อายุยืนเฉลี่ย 83 ปี นอนวันละ 8ชม. ฉะนั้นจึงแนะนำให้ใส่ถุงเท้านอนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    16/2/68 คนญี่ปุ่นนิยมใส่ถุงเท้าก่อนเข้านอน ทั้ง 4 ฤดู หมอณี่ปุ่นวิจัยแล้วพบว่าการใส่ถุงเท้านอน 1.ช่วยให้เท้าอบอุ่นทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายดีขึ้น 2.ช่วยให้หลับง่ายขึ้นกว่าคนที่ไม่สวมถุงเท้านอน จากการวิจัยของหมออเมริกาก็พบว่า อาสาสมัครสองกลุ่มใส่กับไมใส่ถุงเท้านอน ผลปรากฏว่า กลุ่มใส่ถุงเท้านอนหลับได้ง่ายกว่ากลุ่มไม่ใส่ถุงเท้า 3.การใส่ถุงเท้านอนยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้เจ็บได้ ดีจากการหลับลึก ด้วยการสวมถุงเท้านอนส าเหตุนี้เองคนญี่ปุ่นจึงมีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก คนที่อายุมากกว่า 100ปี มี86,000คน จากประชากร 120 ล้านคน อายุยืนเฉลี่ย 83 ปี นอนวันละ 8ชม. ฉะนั้นจึงแนะนำให้ใส่ถุงเท้านอนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts