• 'พรพรหม' สุดภูมิใจเผยภาพ Before-After 3 ปีผ่านมา จากกองขยะอ่อนนุช สู่ สวนป่า 60,000 ต้น กลายเป็นปอดใหญ่แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
    https://www.thai-tai.tv/news/21835/
    .
    #ไทยไท #สวนป่าอ่อนนุช #พื้นที่สีเขียว #ปอดกรุงเทพ #พลิกโฉม #สิ่งแวดล้อม
    'พรพรหม' สุดภูมิใจเผยภาพ Before-After 3 ปีผ่านมา จากกองขยะอ่อนนุช สู่ สวนป่า 60,000 ต้น กลายเป็นปอดใหญ่แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ https://www.thai-tai.tv/news/21835/ . #ไทยไท #สวนป่าอ่อนนุช #พื้นที่สีเขียว #ปอดกรุงเทพ #พลิกโฉม #สิ่งแวดล้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง...
    Cr.Wiwan Boonya
    สิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง... Cr.Wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Refurbished vs Used — มือถือมือสองแบบไหนคุ้มกว่า ปลอดภัยกว่า และเหมาะกับคุณที่สุด?”

    ในยุคที่สมาร์ตโฟนใหม่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาเลือกซื้อโทรศัพท์มือสองเพื่อประหยัดงบ ซึ่งมีสองทางเลือกหลักคือ “Refurbished” และ “Used” แม้ทั้งสองแบบจะเป็นเครื่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้มีผลต่อคุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในระยะยาว

    มือถือแบบ Refurbished คือเครื่องที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ผลิตโดยตรง เช่น Apple หรือ Samsung โดยมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด บางแบรนด์มีการตรวจสอบถึง 64 จุดก่อนนำกลับมาขายใหม่ พร้อมรับประกัน 90 วันถึง 1 ปี

    ในทางกลับกัน มือถือแบบ Used คือเครื่องที่เจ้าของเดิมขายต่อโดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซมใด ๆ สภาพของเครื่องขึ้นอยู่กับการใช้งานของเจ้าของเดิม ซึ่งอาจมีปัญหาซ่อนอยู่ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม หน้าจอมีรอย หรือระบบภายในไม่สมบูรณ์ และมักไม่มีการรับประกัน

    แม้มือถือ Used จะมีราคาถูกกว่ามาก บางครั้งลดจากราคาปกติถึง 40–60% แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะหากซื้อจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ เช่น Facebook Marketplace หรือ Craigslist

    ในแง่ของสิ่งแวดล้อม ทั้งสองแบบช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตเครื่องใหม่ โดยเฉพาะ Refurbished ที่ผ่านการฟื้นฟูอย่างมืออาชีพ ทำให้สามารถใช้งานได้อีกหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Refurbished คือมือถือที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญ
    มีการเปลี่ยนชิ้นส่วน อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด
    มักมีการรับประกัน 90 วันถึง 1 ปีจากผู้ผลิตหรือร้านค้า
    Used คือมือถือที่ขายต่อโดยเจ้าของเดิม โดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซม
    ราคาของ Used ถูกกว่ามาก แต่มีความเสี่ยงสูง
    Refurbished มีมาตรฐานแบตเตอรี่ เช่น ต้องมีความจุเกิน 85% หรือเปลี่ยนใหม่
    Refurbished ใช้ระบบ grading เพื่อบอกสภาพเครื่อง เช่น Fair, Good, Premium
    Refurbished ลดการปล่อยคาร์บอนถึง 92% เมื่อเทียบกับการผลิตเครื่องใหม่
    ผู้บริโภคในแคนาดานิยมซื้อ Refurbished มากขึ้น โดยตลาดรวมแตะ $69 พันล้านในปี 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple, Samsung, และ Google มีโปรแกรม Refurbished ที่รับประกันคุณภาพ
    Amazon Renewed ใช้ระบบตรวจสอบโดยช่างเทคนิค พร้อมอุปกรณ์เสริมที่เทียบเท่าเครื่องใหม่
    Refurbished iPhone สามารถตรวจสอบแบตเตอรี่ได้ผ่านเมนู Battery Health
    ร้านที่น่าเชื่อถือมักให้การรับประกันอย่างน้อย 90 วันสำหรับเครื่อง Refurbished
    Refurbished บางรุ่นมีการเปลี่ยนฝาหลังหรือหน้าจอใหม่เพื่อให้ดูเหมือนเครื่องใหม่

    https://securityonline.info/refurbished-vs-used-phones-whats-the-real-difference/
    📱 “Refurbished vs Used — มือถือมือสองแบบไหนคุ้มกว่า ปลอดภัยกว่า และเหมาะกับคุณที่สุด?” ในยุคที่สมาร์ตโฟนใหม่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาเลือกซื้อโทรศัพท์มือสองเพื่อประหยัดงบ ซึ่งมีสองทางเลือกหลักคือ “Refurbished” และ “Used” แม้ทั้งสองแบบจะเป็นเครื่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้มีผลต่อคุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในระยะยาว มือถือแบบ Refurbished คือเครื่องที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ผลิตโดยตรง เช่น Apple หรือ Samsung โดยมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด บางแบรนด์มีการตรวจสอบถึง 64 จุดก่อนนำกลับมาขายใหม่ พร้อมรับประกัน 90 วันถึง 1 ปี ในทางกลับกัน มือถือแบบ Used คือเครื่องที่เจ้าของเดิมขายต่อโดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซมใด ๆ สภาพของเครื่องขึ้นอยู่กับการใช้งานของเจ้าของเดิม ซึ่งอาจมีปัญหาซ่อนอยู่ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม หน้าจอมีรอย หรือระบบภายในไม่สมบูรณ์ และมักไม่มีการรับประกัน แม้มือถือ Used จะมีราคาถูกกว่ามาก บางครั้งลดจากราคาปกติถึง 40–60% แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะหากซื้อจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ เช่น Facebook Marketplace หรือ Craigslist ในแง่ของสิ่งแวดล้อม ทั้งสองแบบช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตเครื่องใหม่ โดยเฉพาะ Refurbished ที่ผ่านการฟื้นฟูอย่างมืออาชีพ ทำให้สามารถใช้งานได้อีกหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Refurbished คือมือถือที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญ ➡️ มีการเปลี่ยนชิ้นส่วน อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด ➡️ มักมีการรับประกัน 90 วันถึง 1 ปีจากผู้ผลิตหรือร้านค้า ➡️ Used คือมือถือที่ขายต่อโดยเจ้าของเดิม โดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซม ➡️ ราคาของ Used ถูกกว่ามาก แต่มีความเสี่ยงสูง ➡️ Refurbished มีมาตรฐานแบตเตอรี่ เช่น ต้องมีความจุเกิน 85% หรือเปลี่ยนใหม่ ➡️ Refurbished ใช้ระบบ grading เพื่อบอกสภาพเครื่อง เช่น Fair, Good, Premium ➡️ Refurbished ลดการปล่อยคาร์บอนถึง 92% เมื่อเทียบกับการผลิตเครื่องใหม่ ➡️ ผู้บริโภคในแคนาดานิยมซื้อ Refurbished มากขึ้น โดยตลาดรวมแตะ $69 พันล้านในปี 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple, Samsung, และ Google มีโปรแกรม Refurbished ที่รับประกันคุณภาพ ➡️ Amazon Renewed ใช้ระบบตรวจสอบโดยช่างเทคนิค พร้อมอุปกรณ์เสริมที่เทียบเท่าเครื่องใหม่ ➡️ Refurbished iPhone สามารถตรวจสอบแบตเตอรี่ได้ผ่านเมนู Battery Health ➡️ ร้านที่น่าเชื่อถือมักให้การรับประกันอย่างน้อย 90 วันสำหรับเครื่อง Refurbished ➡️ Refurbished บางรุ่นมีการเปลี่ยนฝาหลังหรือหน้าจอใหม่เพื่อให้ดูเหมือนเครื่องใหม่ https://securityonline.info/refurbished-vs-used-phones-whats-the-real-difference/
    SECURITYONLINE.INFO
    Refurbished vs used phones: what's the real difference?
    Shopping for a smartphone on a budget presents two main options: refurbished devices and used phones. While both
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุชาติลั่นรัฐบาลจริงจังแก้ Food Waste สั่ง อุทยานแห่งชาติ เป็นพื้นที่นำร่อง Zero Food Waste ภายใน 4 เดือน
    https://www.thai-tai.tv/news/21812/
    .
    #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #FoodWaste #ZeroFoodWaste #อุทยานแห่งชาติ #EIA #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

    สุชาติลั่นรัฐบาลจริงจังแก้ Food Waste สั่ง อุทยานแห่งชาติ เป็นพื้นที่นำร่อง Zero Food Waste ภายใน 4 เดือน https://www.thai-tai.tv/news/21812/ . #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #FoodWaste #ZeroFoodWaste #อุทยานแห่งชาติ #EIA #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อเถื่อนเผยข้อความจาก “Kaii Kpg” ตัวแทนเสียงชาวเกาะพะงัน เรียกร้องให้สังคมและหน่วยงานรัฐตระหนักถึงปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอิสราเอลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก กว้านซื้อที่ดิน-ตัดไม้สร้างสิ่งปลูกสร้างโดยมิชอบ จนกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งคำถาม "ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องลุกขึ้นมาปกป้องเกาะพะงันจากการถูกกลืนชาติ"

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095170

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    สื่อเถื่อนเผยข้อความจาก “Kaii Kpg” ตัวแทนเสียงชาวเกาะพะงัน เรียกร้องให้สังคมและหน่วยงานรัฐตระหนักถึงปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวอิสราเอลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก กว้านซื้อที่ดิน-ตัดไม้สร้างสิ่งปลูกสร้างโดยมิชอบ จนกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งคำถาม "ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องลุกขึ้นมาปกป้องเกาะพะงันจากการถูกกลืนชาติ" อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095170 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NISAR ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรก — ความร่วมมือ NASA-ISRO ที่อาจเปลี่ยนอนาคตการรับมือภัยพิบัติ”

    หลังจากใช้เวลากว่า 11 ปีในการพัฒนาและร่วมมือระหว่าง NASA กับ ISRO (องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย) ดาวเทียม NISAR (NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar) ก็ได้ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกชุดแรกกลับมายังโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของภารกิจด้านวิทยาศาสตร์และการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมระดับโลก

    ภาพที่ถูกส่งกลับมาจากรัฐ Maine และ North Dakota แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศอย่างชัดเจน เช่น ความแตกต่างระหว่างป่า ทะเลสาบ พื้นที่เกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยีเรดาร์แบบ L-band และ S-band ที่สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินได้ละเอียดถึงระดับเซนติเมตร

    NISAR ใช้ระบบเรดาร์แบบ “synthetic aperture” ที่สามารถสแกนพื้นผิวโลกได้แม้ในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เช่น เมฆหนา หรือเวลากลางคืน ซึ่งต่างจากภาพถ่ายดาวเทียมทั่วไปที่พึ่งพาแสงอาทิตย์ ภาพจาก NISAR จึงสามารถใช้ในการติดตามภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และไฟป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งและการทรุดตัวของแผ่นดิน

    ดาวเทียมนี้โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีภารกิจหลัก 3 ปี และอาจขยายออกไปหากผลลัพธ์ยังคงมีคุณค่า NASA และ ISRO ต่างมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี โดย NASA รับผิดชอบระบบ L-band และการสื่อสาร ขณะที่ ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง

    ความสำเร็จของ NISAR ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างประเทศในยุคที่การสำรวจอวกาศเริ่มเปลี่ยนจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NISAR เป็นดาวเทียมที่ร่วมพัฒนาโดย NASA และ ISRO
    ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรกจากรัฐ Maine และ North Dakota
    ใช้เรดาร์แบบ L-band และ S-band เพื่อแสดงรายละเอียดภูมิประเทศ
    สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินระดับเซนติเมตร
    โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และมีภารกิจหลัก 3 ปี
    ใช้เทคโนโลยี synthetic aperture radar ที่ทำงานได้แม้ในสภาพอากาศไม่ดี
    NASA พัฒนา L-band และระบบสื่อสาร ส่วน ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง
    ภาพจาก NISAR ใช้ในการติดตามภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    L-band มีความยาวคลื่นประมาณ 25 ซม. เหมาะกับการเจาะพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดิน
    S-band มีความยาวคลื่นประมาณ 10 ซม. เหมาะกับการตรวจสอบพืชพรรณขนาดเล็กและพื้นที่เกษตร
    Synthetic aperture radar ใช้หลักการรวมสัญญาณจากหลายตำแหน่งเพื่อสร้างภาพความละเอียดสูง
    ภาพจาก NISAR สามารถใช้ในการวางแผนเกษตรกรรมและการจัดการทรัพยากรน้ำ
    ความร่วมมือระหว่าง NASA และ ISRO เริ่มตั้งแต่ปี 2014 และใช้เวลาพัฒนานานกว่า 11 ปี

    https://www.slashgear.com/1983654/nasa-isro-satellite-first-radar-images-of-earth-surface/
    🛰️ “NISAR ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรก — ความร่วมมือ NASA-ISRO ที่อาจเปลี่ยนอนาคตการรับมือภัยพิบัติ” หลังจากใช้เวลากว่า 11 ปีในการพัฒนาและร่วมมือระหว่าง NASA กับ ISRO (องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย) ดาวเทียม NISAR (NASA-ISRO Synthetic Aperture Radar) ก็ได้ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกชุดแรกกลับมายังโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของภารกิจด้านวิทยาศาสตร์และการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมระดับโลก ภาพที่ถูกส่งกลับมาจากรัฐ Maine และ North Dakota แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศอย่างชัดเจน เช่น ความแตกต่างระหว่างป่า ทะเลสาบ พื้นที่เกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ โดยใช้เทคโนโลยีเรดาร์แบบ L-band และ S-band ที่สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินได้ละเอียดถึงระดับเซนติเมตร NISAR ใช้ระบบเรดาร์แบบ “synthetic aperture” ที่สามารถสแกนพื้นผิวโลกได้แม้ในสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย เช่น เมฆหนา หรือเวลากลางคืน ซึ่งต่างจากภาพถ่ายดาวเทียมทั่วไปที่พึ่งพาแสงอาทิตย์ ภาพจาก NISAR จึงสามารถใช้ในการติดตามภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และไฟป่า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของธารน้ำแข็งและการทรุดตัวของแผ่นดิน ดาวเทียมนี้โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีภารกิจหลัก 3 ปี และอาจขยายออกไปหากผลลัพธ์ยังคงมีคุณค่า NASA และ ISRO ต่างมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี โดย NASA รับผิดชอบระบบ L-band และการสื่อสาร ขณะที่ ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง ความสำเร็จของ NISAR ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างประเทศในยุคที่การสำรวจอวกาศเริ่มเปลี่ยนจากภาครัฐสู่ภาคเอกชนมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NISAR เป็นดาวเทียมที่ร่วมพัฒนาโดย NASA และ ISRO ➡️ ส่งภาพเรดาร์พื้นผิวโลกครั้งแรกจากรัฐ Maine และ North Dakota ➡️ ใช้เรดาร์แบบ L-band และ S-band เพื่อแสดงรายละเอียดภูมิประเทศ ➡️ สามารถเจาะผ่านพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดินระดับเซนติเมตร ➡️ โคจรรอบโลกทุก 12 วัน และมีภารกิจหลัก 3 ปี ➡️ ใช้เทคโนโลยี synthetic aperture radar ที่ทำงานได้แม้ในสภาพอากาศไม่ดี ➡️ NASA พัฒนา L-band และระบบสื่อสาร ส่วน ISRO พัฒนา S-band และระบบขนส่ง ➡️ ภาพจาก NISAR ใช้ในการติดตามภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ L-band มีความยาวคลื่นประมาณ 25 ซม. เหมาะกับการเจาะพืชพรรณและตรวจจับการเคลื่อนไหวของพื้นดิน ➡️ S-band มีความยาวคลื่นประมาณ 10 ซม. เหมาะกับการตรวจสอบพืชพรรณขนาดเล็กและพื้นที่เกษตร ➡️ Synthetic aperture radar ใช้หลักการรวมสัญญาณจากหลายตำแหน่งเพื่อสร้างภาพความละเอียดสูง ➡️ ภาพจาก NISAR สามารถใช้ในการวางแผนเกษตรกรรมและการจัดการทรัพยากรน้ำ ➡️ ความร่วมมือระหว่าง NASA และ ISRO เริ่มตั้งแต่ปี 2014 และใช้เวลาพัฒนานานกว่า 11 ปี https://www.slashgear.com/1983654/nasa-isro-satellite-first-radar-images-of-earth-surface/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This NASA Satellite Sent The First Radar Images Of Earth's Surface And The Results Are Very Clear - SlashGear
    The NASA-ISRO NISAR satellite has sent back ultra-detailed images of Maine and North Dakota that are clear enough to differentiate various types of terrain.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป”

    หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ

    เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039

    นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก

    แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014
    ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ
    มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน
    ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats
    PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
    Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
    มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า
    คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง
    photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง
    โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว

    https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    ☀️ “Ivanpah: โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ในแคลิฟอร์เนีย เตรียมปิดตัวในปี 2026 — บทเรียนจากเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเร็วเกินไป” หากคุณเคยขับรถผ่าน Interstate 15 ระหว่างลอสแอนเจลิสกับลาสเวกัส คุณอาจเคยเห็นแสงสะท้อนจากหอคอยสูง 459 ฟุต 3 ต้นกลางทะเลทรายโมฮาวี นั่นคือ Ivanpah Solar Electric Generating System — โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดมหึมาที่เคยเป็นความหวังของวงการพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ เปิดใช้งานในปี 2014 ด้วยงบประมาณกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ Ivanpah ใช้เทคโนโลยี “solar thermal” ที่แตกต่างจากแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป โดยใช้กระจกกว่า 173,500 แผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังหอคอยเพื่อสร้างไอน้ำหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า แม้จะเคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เทคโนโลยีนี้กลับกลายเป็น “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เมื่อแผงโซลาร์เซลล์แบบ photovoltaic มีราคาถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ PG&E ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าหลัก ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าก่อนกำหนดในปี 2025 ทั้งที่เดิมจะซื้อถึงปี 2039 นอกจากปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ Ivanpah ยังเผชิญกับข้อวิจารณ์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การฆ่านกกว่า 6,000 ตัวต่อปีจากความร้อนของแสงสะท้อน และการรบกวนสายตาผู้ขับขี่บนทางหลวงจากแสงสะท้อนของกระจก แม้ยังไม่มีแผนการใช้พื้นที่หลังการปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าของโครงการ NRG Energy เสนอว่าอาจเปลี่ยนมาใช้ระบบแผงโซลาร์เซลล์แทน ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ivanpah Solar Plant ตั้งอยู่ในทะเลทรายโมฮาวี เปิดใช้งานในปี 2014 ➡️ ใช้เทคโนโลยี solar thermal โดยสะท้อนแสงไปยังหอคอยเพื่อผลิตไอน้ำ ➡️ มีงบประมาณก่อสร้าง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินกู้จากรัฐบาล 1.6 พันล้าน ➡️ ใช้กระจกสะท้อนแสงกว่า 173,500 แผ่น เรียกว่า heliostats ➡️ PG&E ประกาศยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าในปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ➡️ Ivanpah เคยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ มีข้อเสนอให้เปลี่ยนมาใช้ระบบ photovoltaic ที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่า ➡️ คาดว่าจะปิดตัวในปี 2026 ก่อนกำหนดเดิมถึง 13 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยี solar thermal มีข้อดีด้านการผลิตพลังงานต่อเนื่อง แต่ต้นทุนสูง ➡️ photovoltaic panels มีราคาลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ ระบบ solar thermal ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเพื่อเริ่มต้นการทำงานในบางช่วง ➡️ โครงการ Project Nexus ในแคลิฟอร์เนียทดลองติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ Ivanpah เป็นตัวอย่างของความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนเร็ว https://www.slashgear.com/1986261/california-ivanpah-solar-plant-shut-down-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    $2B California Solar Plant To Shut Down After A Decade For The Most Frustrating Reason - SlashGear
    The Ivanpah facility's decommissioning comes from its use of a now-obsolete solar technology that's both more expensive and less efficient in generating energy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์”

    ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก

    เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก

    แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้
    กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี
    การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์
    Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี
    โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี
    Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025
    ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้
    Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014
    การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์
    การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก
    Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้

    https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    🖥️ “400 ล้านเครื่องกำลังถูกทิ้ง — ธุรกิจทั่วโลกร้องขอให้ Microsoft ยืดอายุ Windows 10 ฟรี เพื่อหยุดหายนะขยะอิเล็กทรอนิกส์” ใกล้ถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์, ห้องสมุด, โรงเรียน, นักการเมืองท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 500 แห่ง ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึง Microsoft เพื่อขอให้ขยายการสนับสนุนฟรีของ Windows 10 ออกไปอีก เหตุผลหลักคือมีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องทั่วโลกที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ เช่น TPM 2.0 หรือ CPU รุ่นเก่า ซึ่งทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกระหว่าง “ซื้อเครื่องใหม่” หรือ “ใช้งานระบบที่ไม่มีการอัปเดตความปลอดภัย” ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีต้นทุนสูงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย องค์กร PIRG (Public Interest Research Group) ซึ่งเป็นผู้จัดแคมเปญนี้ ระบุว่า การหยุดสนับสนุน Windows 10 จะทำให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ และยังเปิดช่องให้แฮกเกอร์โจมตีระบบที่ไม่ได้รับการอัปเดต โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดเล็ก โรงพยาบาล และหน่วยงานราชการที่ยังใช้ Windows 10 เป็นหลัก แม้ Microsoft จะเสนอทางเลือกให้ซื้อการสนับสนุนต่อในราคาประมาณ $30 ต่อปี หรือมีโปรแกรมราคาพิเศษสำหรับโรงเรียนในยุโรป แต่กลุ่มผู้เรียกร้องมองว่า “การคิดเงินเพื่อความปลอดภัยพื้นฐาน” เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล และขัดกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของ Microsoft เอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุนฟรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ มีคอมพิวเตอร์กว่า 400 ล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ ➡️ กลุ่ม PIRG และองค์กรกว่า 500 แห่งร่วมลงนามเรียกร้องให้ Microsoft ขยายการสนับสนุนฟรี ➡️ การหยุดสนับสนุนจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มากถึง 1.6 พันล้านปอนด์ ➡️ Microsoft เสนอการสนับสนุนแบบเสียเงินเริ่มต้นที่ $30 ต่อปี ➡️ โรงเรียนในยุโรปได้รับสิทธิ์สนับสนุนฟรีเพิ่มอีก 1 ปี ➡️ Windows 10 ยังมีส่วนแบ่งตลาดถึง 40.5% ณ เดือนกันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้งานหลายกลุ่มยังไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ Windows 11 ได้เพราะข้อจำกัดฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Windows 11 ต้องการ TPM 2.0 และ CPU รุ่นใหม่ ทำให้หลายเครื่องไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ Microsoft เคยสนับสนุน Windows XP นานถึง 13 ปี ก่อนจะหยุดในปี 2014 ➡️ การอัปเดตความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกัน ransomware และมัลแวร์ ➡️ การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในองค์กรขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก ➡️ Linux ถูกเสนอเป็นทางเลือกสำหรับเครื่องที่ไม่สามารถใช้ Windows 11 ได้ https://www.techradar.com/pro/hundreds-of-businesses-beg-microsoft-not-to-kill-off-free-windows-10-updates
    WWW.TECHRADAR.COM
    Hundreds of businesses beg Microsoft not to kill off free Windows 10 updates
    533 signatories ask Microsoft to reconsider Windows 10’s EOL
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รมว.สุชาติ” ร่วมยินดี 23 ปี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผล กำหนดแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
    https://www.thai-tai.tv/news/21724/
    .
    #กรมอุทยานแห่งชาติ #สุชาติชมกลิ่น #ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #รุกป่า #นายทุน #ผลงานจับต้องได้ #ไทยไท
    “รมว.สุชาติ” ร่วมยินดี 23 ปี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มุ่งเน้นการทำงานที่เห็นผล กำหนดแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว https://www.thai-tai.tv/news/21724/ . #กรมอุทยานแห่งชาติ #สุชาติชมกลิ่น #ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #รุกป่า #นายทุน #ผลงานจับต้องได้ #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

    บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย

    การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง”

    การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง

    บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้
    การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness
    การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
    การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น
    การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม
    การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2
    การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี
    การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน
    การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    🏛️ “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง” การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้ ➡️ การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ➡️ ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ➡️ การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น ➡️ การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ➡️ การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม ➡️ การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2 ➡️ การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี ➡️ การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน ➡️ การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    TERRIBLESOFTWARE.ORG
    Stop Avoiding Politics
    Most engineers think workplace politics is dirty. They’re wrong. Refusing to play politics doesn’t make you noble; it makes you ineffective.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Jane Goodall เสียชีวิตในวัย 91 — นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษย์ต่อสัตว์โลก”

    Jane Goodall นักธรรมชาติวิทยาและนักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ขณะอยู่ระหว่างการเดินสายบรรยายในสหรัฐฯ เธอจากไปในวัย 91 ปี โดยสถาบัน Jane Goodall Institute ได้ประกาศข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมยกย่องว่า “การค้นพบของเธอได้พลิกโฉมวิทยาศาสตร์ และการอุทิศตนเพื่อธรรมชาติคือแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก”

    Goodall เริ่มต้นเส้นทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความหลงใหลในสัตว์และธรรมชาติ เธอเดินทางไปเคนยาในปี 1957 และได้พบกับนักมานุษยวิทยาชื่อดัง Louis Leakey ซึ่งส่งเธอไปศึกษาชิมแปนซีในป่า Gombe ประเทศแทนซาเนีย

    ในปี 1960 เธอค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถใช้และสร้างเครื่องมือได้ เช่น การใช้ใบหญ้าเพื่อจับปลวก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เคยเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบนี้ทำให้โลกต้อง “นิยามมนุษย์ใหม่” และเปิดประตูสู่การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น

    Goodall ยังเป็นผู้บุกเบิกการตั้งชื่อให้กับชิมแปนซีแต่ละตัว เช่น David Greybeard, Flo และ Flint แทนการใช้หมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคนั้น แต่ต่อมากลับกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์สัตว์

    เธอพบว่าชิมแปนซีมีอารมณ์ ความรัก ความเศร้า และแม้แต่ความรุนแรงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “สงครามสี่ปี” ที่กลุ่มชิมแปนซี Kasakela โจมตีและทำลายกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของ Goodall ต่อธรรมชาติของสัตว์อย่างสิ้นเชิง

    นอกจากงานวิจัย เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิสัตว์ โดยก่อตั้ง Jane Goodall Institute ในปี 1977 และโครงการ Roots & Shoots เพื่อส่งเสริมเยาวชนในกว่า 130 ประเทศให้ร่วมอนุรักษ์โลก เธอได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากสหรัฐฯ และตำแหน่ง Messenger of Peace จากสหประชาชาติ

    https://www.latimes.com/obituaries/story/2025-10-01/jane-goodall-chimpanzees-dead
    🌿 “Jane Goodall เสียชีวิตในวัย 91 — นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษย์ต่อสัตว์โลก” Jane Goodall นักธรรมชาติวิทยาและนักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ขณะอยู่ระหว่างการเดินสายบรรยายในสหรัฐฯ เธอจากไปในวัย 91 ปี โดยสถาบัน Jane Goodall Institute ได้ประกาศข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมยกย่องว่า “การค้นพบของเธอได้พลิกโฉมวิทยาศาสตร์ และการอุทิศตนเพื่อธรรมชาติคือแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก” Goodall เริ่มต้นเส้นทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความหลงใหลในสัตว์และธรรมชาติ เธอเดินทางไปเคนยาในปี 1957 และได้พบกับนักมานุษยวิทยาชื่อดัง Louis Leakey ซึ่งส่งเธอไปศึกษาชิมแปนซีในป่า Gombe ประเทศแทนซาเนีย ในปี 1960 เธอค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถใช้และสร้างเครื่องมือได้ เช่น การใช้ใบหญ้าเพื่อจับปลวก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เคยเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบนี้ทำให้โลกต้อง “นิยามมนุษย์ใหม่” และเปิดประตูสู่การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น Goodall ยังเป็นผู้บุกเบิกการตั้งชื่อให้กับชิมแปนซีแต่ละตัว เช่น David Greybeard, Flo และ Flint แทนการใช้หมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคนั้น แต่ต่อมากลับกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์สัตว์ เธอพบว่าชิมแปนซีมีอารมณ์ ความรัก ความเศร้า และแม้แต่ความรุนแรงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “สงครามสี่ปี” ที่กลุ่มชิมแปนซี Kasakela โจมตีและทำลายกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของ Goodall ต่อธรรมชาติของสัตว์อย่างสิ้นเชิง นอกจากงานวิจัย เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิสัตว์ โดยก่อตั้ง Jane Goodall Institute ในปี 1977 และโครงการ Roots & Shoots เพื่อส่งเสริมเยาวชนในกว่า 130 ประเทศให้ร่วมอนุรักษ์โลก เธอได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากสหรัฐฯ และตำแหน่ง Messenger of Peace จากสหประชาชาติ https://www.latimes.com/obituaries/story/2025-10-01/jane-goodall-chimpanzees-dead
    WWW.LATIMES.COM
    Jane Goodall, trailblazing naturalist whose intimate observations of chimpanzees transformed our understanding of humankind, has died
    Jane Goodall, the trailblazing naturalist whose intimate observations of chimpanzees in the African wild produced powerful insights that transformed basic conceptions of humankind, has died. She was 91.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92%

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ

    แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical
    สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79%
    ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล
    ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง
    แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ
    ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9%
    ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
    กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก
    Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง
    ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่
    การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ
    การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain)

    https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    🔋 “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022 ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92% เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical ➡️ สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% ➡️ ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ➡️ ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ ➡️ ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% ➡️ ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ➡️ กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก ➡️ Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง ➡️ ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่ ➡️ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ ➡️ การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain) https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Recycling Method Helps Researchers Recover 99% Pure Lithium From Used EV Batteries - SlashGear
    Lithium-ion battery waste is a huge concern for the future, but researchers have found a recycling method capable of extracting 99% pure lithium.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • “VPS หรือ Dedicated Server? ผลสำรวจ 1,000 ผู้บริหาร IT ชี้ชัด ปี 2025 โครงสร้างโฮสติ้งไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือกลยุทธ์ธุรกิจ”

    ในยุคที่ AI และความเร็วของระบบกลายเป็นหัวใจของธุรกิจ ผลสำรวจจาก Liquid Web ที่สอบถามผู้บริหาร IT กว่า 1,000 คน เผยให้เห็นภาพชัดเจนว่า การเลือกใช้ VPS หรือ Dedicated Server ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยืดหยุ่นด้านต้นทุน การสนับสนุนทางเทคนิค และความยั่งยืนในระยะยาว

    ผลสำรวจพบว่า 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ “ประสิทธิภาพ” เป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในการเลือกโฮสติ้ง ขณะที่ 35% ให้ความสำคัญกับ “ต้นทุน” ซึ่งสะท้อนว่าทั้งสองปัจจัยมีน้ำหนักใกล้เคียงกันอย่างมาก

    VPS (Virtual Private Server) ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับทีมขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นและประหยัดงบประมาณ โดย 71% ของผู้ใช้ VPS คาดว่าจะต้องขยายระบบในอนาคต เทียบกับ 64% ของผู้ใช้ Dedicated Server ส่วน Dedicated Server ได้รับความนิยมในกลุ่มที่ต้องการความมั่นคง ความปลอดภัย และการควบคุมสูง เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “การสนับสนุนทางเทคนิค” กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ โดยเกือบ 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการมีทีมสนับสนุน 24/7 เป็นสิ่งจำเป็น และมากกว่าหนึ่งในสามเคยประสบปัญหาธุรกิจหยุดชะงักจากการสนับสนุนที่ล่าช้าหรือไม่เพียงพอ

    นอกจากนี้ ความยั่งยืนและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance) ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดย 39% ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 75% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บริการที่มีการรับรองว่าเป็น low-carbon hosting

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผลสำรวจจาก Liquid Web สอบถามผู้บริหาร IT 1,000 คนเกี่ยวกับการเลือก VPS และ Dedicated Server
    36% ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ขณะที่ 35% เน้นต้นทุน
    VPS เหมาะกับทีมขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นและประหยัดงบ
    71% ของผู้ใช้ VPS คาดว่าจะต้องขยายระบบ เทียบกับ 64% ของผู้ใช้ Dedicated Server
    Dedicated Server ได้รับความนิยมในงานที่ต้องการความมั่นคงและความปลอดภัย เช่น ฐานข้อมูลและอีคอมเมิร์ซ
    80% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการสนับสนุนทางเทคนิค 24/7
    มากกว่าหนึ่งในสามเคยประสบปัญหาธุรกิจหยุดชะงักจากการสนับสนุนที่ล่าช้า
    39% ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 75% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อ low-carbon hosting
    85% เห็นว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance) เป็นสิ่งจำเป็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    VPS ใช้เทคโนโลยี virtualization เพื่อแบ่งทรัพยากรจากเซิร์ฟเวอร์จริงให้หลายผู้ใช้
    Dedicated Server ให้ทรัพยากรทั้งหมดแก่ผู้ใช้คนเดียว ทำให้มีความเสถียรและปลอดภัยสูง
    VPS เหมาะกับงานที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น dev/test หรือเว็บแอป
    Dedicated Server เหมาะกับงานที่ต้องการ uptime สูงและการควบคุมระดับลึก
    การสนับสนุนแบบ live chat และโทรศัพท์ยังเป็นช่องทางที่ผู้ใช้ไว้วางใจมากกว่า AI chatbot

    https://www.techradar.com/pro/vps-vs-dedicated-hosting-in-2025-cost-performance-and-support-priorities-revealed
    🖥️ “VPS หรือ Dedicated Server? ผลสำรวจ 1,000 ผู้บริหาร IT ชี้ชัด ปี 2025 โครงสร้างโฮสติ้งไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือกลยุทธ์ธุรกิจ” ในยุคที่ AI และความเร็วของระบบกลายเป็นหัวใจของธุรกิจ ผลสำรวจจาก Liquid Web ที่สอบถามผู้บริหาร IT กว่า 1,000 คน เผยให้เห็นภาพชัดเจนว่า การเลือกใช้ VPS หรือ Dedicated Server ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยืดหยุ่นด้านต้นทุน การสนับสนุนทางเทคนิค และความยั่งยืนในระยะยาว ผลสำรวจพบว่า 36% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ “ประสิทธิภาพ” เป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในการเลือกโฮสติ้ง ขณะที่ 35% ให้ความสำคัญกับ “ต้นทุน” ซึ่งสะท้อนว่าทั้งสองปัจจัยมีน้ำหนักใกล้เคียงกันอย่างมาก VPS (Virtual Private Server) ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับทีมขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นและประหยัดงบประมาณ โดย 71% ของผู้ใช้ VPS คาดว่าจะต้องขยายระบบในอนาคต เทียบกับ 64% ของผู้ใช้ Dedicated Server ส่วน Dedicated Server ได้รับความนิยมในกลุ่มที่ต้องการความมั่นคง ความปลอดภัย และการควบคุมสูง เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สิ่งที่น่าสนใจคือ “การสนับสนุนทางเทคนิค” กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ โดยเกือบ 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการมีทีมสนับสนุน 24/7 เป็นสิ่งจำเป็น และมากกว่าหนึ่งในสามเคยประสบปัญหาธุรกิจหยุดชะงักจากการสนับสนุนที่ล่าช้าหรือไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ความยั่งยืนและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance) ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดย 39% ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 75% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อใช้บริการที่มีการรับรองว่าเป็น low-carbon hosting ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผลสำรวจจาก Liquid Web สอบถามผู้บริหาร IT 1,000 คนเกี่ยวกับการเลือก VPS และ Dedicated Server ➡️ 36% ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ ขณะที่ 35% เน้นต้นทุน ➡️ VPS เหมาะกับทีมขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นและประหยัดงบ ➡️ 71% ของผู้ใช้ VPS คาดว่าจะต้องขยายระบบ เทียบกับ 64% ของผู้ใช้ Dedicated Server ➡️ Dedicated Server ได้รับความนิยมในงานที่ต้องการความมั่นคงและความปลอดภัย เช่น ฐานข้อมูลและอีคอมเมิร์ซ ➡️ 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการสนับสนุนทางเทคนิค 24/7 ➡️ มากกว่าหนึ่งในสามเคยประสบปัญหาธุรกิจหยุดชะงักจากการสนับสนุนที่ล่าช้า ➡️ 39% ให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 75% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อ low-carbon hosting ➡️ 85% เห็นว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance) เป็นสิ่งจำเป็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ VPS ใช้เทคโนโลยี virtualization เพื่อแบ่งทรัพยากรจากเซิร์ฟเวอร์จริงให้หลายผู้ใช้ ➡️ Dedicated Server ให้ทรัพยากรทั้งหมดแก่ผู้ใช้คนเดียว ทำให้มีความเสถียรและปลอดภัยสูง ➡️ VPS เหมาะกับงานที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น dev/test หรือเว็บแอป ➡️ Dedicated Server เหมาะกับงานที่ต้องการ uptime สูงและการควบคุมระดับลึก ➡️ การสนับสนุนแบบ live chat และโทรศัพท์ยังเป็นช่องทางที่ผู้ใช้ไว้วางใจมากกว่า AI chatbot https://www.techradar.com/pro/vps-vs-dedicated-hosting-in-2025-cost-performance-and-support-priorities-revealed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ศูนย์ข้อมูล AI ดันราคาค่าไฟพุ่ง 267% ใน 5 ปี — เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก แต่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น”

    ในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อรองรับการประมวลผลโมเดล AI กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น OpenAI, Microsoft, Meta หรือ xAI แต่สิ่งที่ตามมาคือ “ผลกระทบต่อระบบพลังงาน” ที่เริ่มส่งผลต่อประชาชนทั่วไปอย่างชัดเจน

    รายงานจาก Bloomberg พบว่าในพื้นที่ที่มีการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ราคาค่าไฟแบบขายส่งพุ่งขึ้นสูงถึง 267% ภายในเวลาเพียง 5 ปี โดยเฉพาะในรัฐที่เป็น “ฮอตสปอต” ของการลงทุน เช่น เวอร์จิเนีย โอไฮโอ และเพนซิลเวเนีย ซึ่งประชาชนเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบโดยตรง เช่น ค่าไฟบ้านเพิ่มขึ้น 25–80% ในบางกรณี

    แม้ราคาขายส่งจะไม่จำเป็นต้องส่งผลถึงผู้บริโภคโดยตรง แต่ในหลายพื้นที่ ผู้ให้บริการไฟฟ้ากลับผลักภาระต้นทุนไปยังผู้ใช้ปลายทาง โดยเฉพาะในระบบ PJM Interconnection ซึ่งเป็นเครือข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มีการประมูลกำลังผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1000% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

    ศูนย์ข้อมูล AI ไม่ใช่แค่ใช้ไฟมาก — แต่ยังต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อน และในบางกรณี เช่น โครงการของ Meta ในหลุยเซียนา มีการใช้กังหันแก๊สหลายสิบตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ของตนเอง แม้จะช่วยลดผลกระทบต่อโครงข่ายไฟฟ้า แต่ก็สร้างคำถามใหม่เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    นักวิเคราะห์เตือนว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีการวางแผนระยะยาว ผู้บริโภคอาจต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นจากฝั่ง AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ราคาค่าไฟแบบขายส่งในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 267% ภายใน 5 ปี
    ศูนย์ข้อมูล AI เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ระบบ PJM Interconnection มีการประมูลกำลังผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1000% ในสองปี
    ประชาชนในพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูล เช่น เวอร์จิเนียและโอไฮโอ พบว่าค่าไฟบ้านเพิ่มขึ้น 25–80%
    โครงการของ Meta ในหลุยเซียนาใช้กังหันแก๊สหลายสิบตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่
    OpenAI เคยกล่าวถึง “อนาคตที่ทุกคนมี GPU ส่วนตัว” ซึ่งจะเพิ่มความต้องการไฟฟ้าอย่างมหาศาล
    คาดว่าภายในปี 2035 ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟฟ้าถึง 10% ของความต้องการทั้งหมดในสหรัฐฯ
    บางรัฐ เช่น เพนซิลเวเนีย ขู่จะถอนตัวจากระบบ PJM หากไม่มีการจัดการที่ดี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ (hyperscale) สามารถใช้ไฟฟ้าเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่ง
    การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ต้องใช้น้ำจำนวนมาก เช่น ระบบ evaporative cooling
    บริษัทอย่าง Microsoft เตรียมลงทุนกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI
    การเพิ่มโรงไฟฟ้าใหม่ต้องใช้เวลาหลายปี และเผชิญข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง
    การใช้พลังงานหมุนเวียนยังไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากฝั่ง AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/data-center-boom-sends-some-wholesale-electricity-prices-soaring-up-to-267-percent-in-five-years-says-report-as-global-rollout-of-ai-factories-continues-apace
    ⚡ “ศูนย์ข้อมูล AI ดันราคาค่าไฟพุ่ง 267% ใน 5 ปี — เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก แต่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น” ในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อรองรับการประมวลผลโมเดล AI กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น OpenAI, Microsoft, Meta หรือ xAI แต่สิ่งที่ตามมาคือ “ผลกระทบต่อระบบพลังงาน” ที่เริ่มส่งผลต่อประชาชนทั่วไปอย่างชัดเจน รายงานจาก Bloomberg พบว่าในพื้นที่ที่มีการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ราคาค่าไฟแบบขายส่งพุ่งขึ้นสูงถึง 267% ภายในเวลาเพียง 5 ปี โดยเฉพาะในรัฐที่เป็น “ฮอตสปอต” ของการลงทุน เช่น เวอร์จิเนีย โอไฮโอ และเพนซิลเวเนีย ซึ่งประชาชนเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบโดยตรง เช่น ค่าไฟบ้านเพิ่มขึ้น 25–80% ในบางกรณี แม้ราคาขายส่งจะไม่จำเป็นต้องส่งผลถึงผู้บริโภคโดยตรง แต่ในหลายพื้นที่ ผู้ให้บริการไฟฟ้ากลับผลักภาระต้นทุนไปยังผู้ใช้ปลายทาง โดยเฉพาะในระบบ PJM Interconnection ซึ่งเป็นเครือข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มีการประมูลกำลังผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1000% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ศูนย์ข้อมูล AI ไม่ใช่แค่ใช้ไฟมาก — แต่ยังต้องใช้น้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อน และในบางกรณี เช่น โครงการของ Meta ในหลุยเซียนา มีการใช้กังหันแก๊สหลายสิบตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ของตนเอง แม้จะช่วยลดผลกระทบต่อโครงข่ายไฟฟ้า แต่ก็สร้างคำถามใหม่เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักวิเคราะห์เตือนว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีการวางแผนระยะยาว ผู้บริโภคอาจต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นจากฝั่ง AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ราคาค่าไฟแบบขายส่งในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 267% ภายใน 5 ปี ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ ระบบ PJM Interconnection มีการประมูลกำลังผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 1000% ในสองปี ➡️ ประชาชนในพื้นที่ใกล้ศูนย์ข้อมูล เช่น เวอร์จิเนียและโอไฮโอ พบว่าค่าไฟบ้านเพิ่มขึ้น 25–80% ➡️ โครงการของ Meta ในหลุยเซียนาใช้กังหันแก๊สหลายสิบตัวเพื่อผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ ➡️ OpenAI เคยกล่าวถึง “อนาคตที่ทุกคนมี GPU ส่วนตัว” ซึ่งจะเพิ่มความต้องการไฟฟ้าอย่างมหาศาล ➡️ คาดว่าภายในปี 2035 ศูนย์ข้อมูลจะใช้ไฟฟ้าถึง 10% ของความต้องการทั้งหมดในสหรัฐฯ ➡️ บางรัฐ เช่น เพนซิลเวเนีย ขู่จะถอนตัวจากระบบ PJM หากไม่มีการจัดการที่ดี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ (hyperscale) สามารถใช้ไฟฟ้าเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่ง ➡️ การระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ต้องใช้น้ำจำนวนมาก เช่น ระบบ evaporative cooling ➡️ บริษัทอย่าง Microsoft เตรียมลงทุนกว่า 120 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI ➡️ การเพิ่มโรงไฟฟ้าใหม่ต้องใช้เวลาหลายปี และเผชิญข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนยังไม่ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากฝั่ง AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/data-center-boom-sends-some-wholesale-electricity-prices-soaring-up-to-267-percent-in-five-years-says-report-as-global-rollout-of-ai-factories-continues-apace
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Data center boom sends some wholesale electricity prices soaring up to 267% in five years, says report — as global rollout of AI factories continues apace
    Compounded with rising fuel and food costs, many households near these hotbeds of investment are struggling to stay afloat.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • กทม. รุกหนักโครงการ 'บ้านนี้ไม่เทรวม' ใช้กลไกลดค่าธรรมเนียมขยะ 40 บาท/เดือน หวังกระตุ้นคนกรุงแยกขยะ
    https://www.thai-tai.tv/news/21677/
    .
    #บ้านนี้ไม่เทรวม #แยกขยะ #BKKWASTEPAY #พรพรหมวิกิตเศรษฐ์ #ผู้ว่าฯกทม #ค่าธรรมเนียมขยะ #การจัดการสิ่งแวดล้อม #การเมืองท้องถิ่น
    กทม. รุกหนักโครงการ 'บ้านนี้ไม่เทรวม' ใช้กลไกลดค่าธรรมเนียมขยะ 40 บาท/เดือน หวังกระตุ้นคนกรุงแยกขยะ https://www.thai-tai.tv/news/21677/ . #บ้านนี้ไม่เทรวม #แยกขยะ #BKKWASTEPAY #พรพรหมวิกิตเศรษฐ์ #ผู้ว่าฯกทม #ค่าธรรมเนียมขยะ #การจัดการสิ่งแวดล้อม #การเมืองท้องถิ่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mon. Sep. 29, 2025

    เราแอบคิดในใจว่า บ่อนที่ตราด ทมอดาซิตี้ ที่จะทุบทิ้ง คอนโดหรู 1 หมื่นห้อง ถ้ายึดพื้นที่มา แล้วเปลี่ยนให้เป็นตึกที่อยู่อาศัยสำหรับชาวบ้านรายได้ต่ำมากเข้าไปอยู่ ก็ได้หลายพันครอบครัวนะคะ รอบๆก็ทำหนองน้ำ สอนปลูกผัก สอนเลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ดไก่ จะดีกว่าทุบทิ้งก็น่าเสียดาย เห็นสภาพบ้านคนชายแดนแล้ว มันเยินจริงๆ
    ชั้นล่าง ทำเป็นห้องเรียน online และ โรงยิมกีฬาไปเลย และคลีนิกรักษาพยาบาลเบื้องต้น
    ให้เยาวชนมีการศึกษา มีร่างกายแข็งแรง และโตมาในสิ่งแวดล้อมดีๆ
    อาจต้องมีการตรวจบัตรปชช หรือเอกสารยืนยันตัวตน ทุกการเข้าออก ว่าเป็นคนไทยถูกต้องตามกฎหมาย ยุ่งยากหน่อย แต่แลกกับคอนโดฟรี ก็น่าจะดีกว่าทุบทิ้งหรือทิ้งร้างไว้แบบสีหนุวิลล์นะคะ ควรเปลี่ยนจุดบอดให้เป็นจุดเด่นขึ้นมาดีกว่า

    แค่คิดเล่นๆนะคะ
    Mon. Sep. 29, 2025 เราแอบคิดในใจว่า บ่อนที่ตราด ทมอดาซิตี้ ที่จะทุบทิ้ง คอนโดหรู 1 หมื่นห้อง ถ้ายึดพื้นที่มา แล้วเปลี่ยนให้เป็นตึกที่อยู่อาศัยสำหรับชาวบ้านรายได้ต่ำมากเข้าไปอยู่ ก็ได้หลายพันครอบครัวนะคะ รอบๆก็ทำหนองน้ำ สอนปลูกผัก สอนเลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ดไก่ จะดีกว่าทุบทิ้งก็น่าเสียดาย เห็นสภาพบ้านคนชายแดนแล้ว มันเยินจริงๆ ชั้นล่าง ทำเป็นห้องเรียน online และ โรงยิมกีฬาไปเลย และคลีนิกรักษาพยาบาลเบื้องต้น ให้เยาวชนมีการศึกษา มีร่างกายแข็งแรง และโตมาในสิ่งแวดล้อมดีๆ อาจต้องมีการตรวจบัตรปชช หรือเอกสารยืนยันตัวตน ทุกการเข้าออก ว่าเป็นคนไทยถูกต้องตามกฎหมาย ยุ่งยากหน่อย แต่แลกกับคอนโดฟรี ก็น่าจะดีกว่าทุบทิ้งหรือทิ้งร้างไว้แบบสีหนุวิลล์นะคะ ควรเปลี่ยนจุดบอดให้เป็นจุดเด่นขึ้นมาดีกว่า แค่คิดเล่นๆนะคะ 😊
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สุชาติ' เข้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ย้ำใช้แนวพระราชดำริเป็นหลักทำงาน วางเป้า 4 เดือนเห็นผล ทุ่มเทบริหารเต็มความสามารถ
    https://www.thai-tai.tv/news/21629/
    .
    #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ทส #5แนวทาง #PM25 #บริหารจัดการทรัพยากร #รองนายกรัฐมนตรี #ไทยไท
    'สุชาติ' เข้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ย้ำใช้แนวพระราชดำริเป็นหลักทำงาน วางเป้า 4 เดือนเห็นผล ทุ่มเทบริหารเต็มความสามารถ https://www.thai-tai.tv/news/21629/ . #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ทส #5แนวทาง #PM25 #บริหารจัดการทรัพยากร #รองนายกรัฐมนตรี #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SpaceX ส่งดาวเทียม Nusantara Lima ขึ้นสู่วงโคจร — อินโดนีเซียเตรียมพลิกโฉมการเชื่อมต่อทั่วอาเซียน”

    วันที่ 11 กันยายน 2025 เวลา 21:56 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ Cape Canaveral รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima (SNL) ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสามครั้งเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การปล่อยครั้งนี้ถือเป็นภารกิจที่ 114 ของ Falcon 9 ในปีเดียว และเป็นการใช้งานบูสเตอร์ตัวเดิมเป็นครั้งที่ 23 ซึ่งสามารถลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    ดาวเทียม Nusantara Lima เป็นดาวเทียมสื่อสารความเร็วสูงที่สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP มีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ถือเป็นดาวเทียมที่มีความจุสูงที่สุดในเอเชีย ณ เวลานี้ โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารครอบคลุมทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย

    ดาวเทียมนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเคมีและไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับความสูง 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก โดยจะใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตำแหน่งและทดสอบระบบ ก่อนเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2026

    โครงการนี้ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะกว่า 17,000 แห่งของประเทศ และเสริมความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม การรับมือภัยพิบัติ และการป้องกันประเทศ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SpaceX ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025
    เป็นการใช้งานบูสเตอร์ครั้งที่ 23 และลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้สำเร็จ
    ดาวเทียมมีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps
    สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP ที่มีอายุการใช้งานกว่า 15 ปี
    ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (เคมี + ไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    เข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก
    ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์และมาเลเซีย
    ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) บริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย
    มีสถานีภาคพื้นดิน 8 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ
    คาดว่าจะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดาวเทียม geosynchronous จะหมุนตามโลก ทำให้สามารถ “ลอยนิ่ง” เหนือพื้นที่เป้าหมาย
    อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
    การใช้ Ka-band และ spot beams ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูง
    ดาวเทียม Nusantara Lima จะเสริมการทำงานของ SATRIA-1 ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2024
    โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    https://www.slashgear.com/1974684/spacex-launches-indonesia-nusantara-lima-mission-what-to-know/
    🚀 “SpaceX ส่งดาวเทียม Nusantara Lima ขึ้นสู่วงโคจร — อินโดนีเซียเตรียมพลิกโฉมการเชื่อมต่อทั่วอาเซียน” วันที่ 11 กันยายน 2025 เวลา 21:56 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ Cape Canaveral รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา SpaceX ได้ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima (SNL) ขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ หลังจากเลื่อนมาแล้วถึงสามครั้งเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย การปล่อยครั้งนี้ถือเป็นภารกิจที่ 114 ของ Falcon 9 ในปีเดียว และเป็นการใช้งานบูสเตอร์ตัวเดิมเป็นครั้งที่ 23 ซึ่งสามารถลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง ดาวเทียม Nusantara Lima เป็นดาวเทียมสื่อสารความเร็วสูงที่สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP มีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ถือเป็นดาวเทียมที่มีความจุสูงที่สุดในเอเชีย ณ เวลานี้ โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารครอบคลุมทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ดาวเทียมนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างเคมีและไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับความสูง 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก โดยจะใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตำแหน่งและทดสอบระบบ ก่อนเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงต้นปี 2026 โครงการนี้ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) ซึ่งเป็นบริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ครอบคลุมทั่วหมู่เกาะกว่า 17,000 แห่งของประเทศ และเสริมความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม การรับมือภัยพิบัติ และการป้องกันประเทศ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SpaceX ปล่อยจรวด Falcon 9 พร้อมดาวเทียม Nusantara Lima เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ เป็นการใช้งานบูสเตอร์ครั้งที่ 23 และลงจอดบนเรือโดรน “A Shortfall of Gravitas” ได้สำเร็จ ➡️ ดาวเทียมมีน้ำหนัก 7.8 ตัน และสามารถส่งข้อมูลได้สูงถึง 160 Gbps ➡️ สร้างโดย Boeing บนแพลตฟอร์ม 702MP ที่มีอายุการใช้งานกว่า 15 ปี ➡️ ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (เคมี + ไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เข้าสู่วงโคจร geosynchronous ที่ระดับ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก ➡️ ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ➡️ ดำเนินการโดย PT Pasifik Satelit Nusantara (PSN) บริษัทดาวเทียมเอกชนแห่งแรกของอินโดนีเซีย ➡️ มีสถานีภาคพื้นดิน 8 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมต่อ ➡️ คาดว่าจะเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดาวเทียม geosynchronous จะหมุนตามโลก ทำให้สามารถ “ลอยนิ่ง” เหนือพื้นที่เป้าหมาย ➡️ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ใช้ดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ➡️ การใช้ Ka-band และ spot beams ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังพื้นที่ที่มีความต้องการสูง ➡️ ดาวเทียม Nusantara Lima จะเสริมการทำงานของ SATRIA-1 ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2024 ➡️ โครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 7 ล้านล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ https://www.slashgear.com/1974684/spacex-launches-indonesia-nusantara-lima-mission-what-to-know/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Here's What To Know About The SpaceX Launch For Nusantara Lima Mission - SlashGear
    SpaceX's Nusantara Lima mission, which launched the Nusantara Lima satellite for Indonesia's PT Pasifik Satelit Nusantara, went off without a hitch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม”

    ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป

    กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

    การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม

    พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี
    เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก
    ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที
    ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล
    พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม
    ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด
    นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง
    การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
    EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส
    การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก
    การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    🌬️ “ลาก่อนกังหันลมรุ่นบุกเบิก — นิวยอร์กรื้อฟาร์มลมแห่งแรก หลังใช้งานกว่า 25 ปี เหตุค่าบำรุงรักษาแพงเกินคุ้ม” ฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของรัฐนิวยอร์กในเขต Madison County ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพลังงานสะอาด ถูกรื้อถอนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 หลังจากให้บริการมานานกว่า 25 ปี โดยไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาลกลางหรือข้อกังวลด้านสุขภาพ แต่เป็นเพราะต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงเกินไป และชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายากจนไม่สามารถซ่อมแซมได้อย่างคุ้มค่าอีกต่อไป กังหันลมทั้ง 7 ตัวในฟาร์มนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ติดตั้งตั้งแต่ปี 2000 โดยแต่ละตัวสูงกว่า 220 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้ 1.65 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกังหันลมรุ่นใหม่ที่สามารถผลิตได้ถึง 26 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า การรื้อถอนใช้วิธี “implosion” หรือการระเบิดฐานของแต่ละกังหันให้ล้มลงภายในเวลาเพียง 20–30 วินาที ซึ่งปลอดภัยและประหยัดกว่าการใช้เครนยกออกทีละชิ้น ทีมงานวางแผนอย่างละเอียดเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น โดยใบพัดจะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปพลังงานใน Niagara County ส่วนชิ้นส่วนอื่นจะถูกคัดแยกเพื่อนำไปรีไซเคิลหรือฝังกลบตามความเหมาะสม พื้นที่เดิมของฟาร์มลมจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรไม่ได้ผลผลิตให้กลายเป็นศูนย์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ฟาร์มลม Madison County ถูกรื้อถอนหลังใช้งานมากว่า 25 ปี ➡️ เหตุผลหลักคือค่าบำรุงรักษาสูงและอะไหล่หายาก ➡️ ใช้วิธีระเบิดฐานกังหัน (implosion) เพื่อรื้อถอนภายใน 30 วินาที ➡️ ใบพัดส่งไปแปรรูปพลังงาน ส่วนชิ้นส่วนอื่นคัดแยกเพื่อรีไซเคิล ➡️ พื้นที่ฟาร์มจะถูกปรับกลับไปใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ➡️ ฟาร์มนี้เคยผลิตไฟฟ้าได้ 11.5 เมกะวัตต์ แต่ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามในปีหลังสุด ➡️ นิวยอร์กยังมีโครงการฟาร์มลมนอกชายฝั่งและฟาร์มลมอื่น ๆ ที่ยังดำเนินการอยู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กังหันลมรุ่นใหม่มีความสูงเฉลี่ย 340 ฟุต และผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 3.4 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง ➡️ การรื้อถอนฟาร์มลมเก่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายรัฐเมื่อเทคโนโลยีใหม่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ➡️ EDP Global ผู้ดำเนินการฟาร์มลมนี้เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนจากโปรตุเกส ➡️ การใช้ implosion ลดต้นทุนและความเสี่ยงจากการใช้เครื่องจักรหนัก ➡️ การเปลี่ยนพื้นที่กลับสู่การเกษตรช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว https://www.slashgear.com/1975931/new-york-first-wind-farm-demolished-reason/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New York's First Wind Farm Has Been Torn Down, And It's Easy To Understand Why - SlashGear
    The seven wind turbines that made up New York's first wind farm were demolished because maintenance of those early units had become too costly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'สุชาติ' ลั่นไม่เคยรับผลประโยชน์! ยันไม่ยุ่งเกี่ยวการโยกย้าย ให้เป็นอำนาจของอธิบดี ขอแค่ถูกต้องตามกฎหมาย
    https://www.thai-tai.tv/news/21572/
    .
    #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ศศินเฉลิมลาภ
    'สุชาติ' ลั่นไม่เคยรับผลประโยชน์! ยันไม่ยุ่งเกี่ยวการโยกย้าย ให้เป็นอำนาจของอธิบดี ขอแค่ถูกต้องตามกฎหมาย https://www.thai-tai.tv/news/21572/ . #ไทยไท #สุชาติชมกลิ่น #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้ #ศศินเฉลิมลาภ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • xAI เร่งสร้างโรงงาน AI พลังงานก๊าซ — เดินหน้าสู่เป้าหมาย 1 กิกะวัตต์เพื่อรองรับ GPU กว่า 1 ล้านตัวใน Colossus Supercomputer

    บริษัท xAI ของ Elon Musk กำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็วในการสร้างโรงงาน AI ขนาดมหึมาที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ โดยล่าสุดมีการติดตั้งหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 460 เมกะวัตต์ ทั้งในเมือง Memphis รัฐเทนเนสซี และ Southaven รัฐมิสซิสซิปปี ซึ่งถือเป็นครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย 1 กิกะวัตต์ที่ Musk ตั้งไว้สำหรับ “AI factory”

    ในฝั่ง Memphis xAI ได้รับอนุญาตให้ติดตั้งกังหันก๊าซ 15 ตัวที่ไซต์ Paul R. Lowry Road หลังจากมีข้อถกเถียงกับกลุ่มสิ่งแวดล้อม ขณะที่ใน Southaven บริษัทได้ซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซเก่าจาก Duke Energy และได้รับอนุญาตให้ใช้งานชั่วคราวเป็นเวลา 12 เดือน โดยใช้กังหัน Titan 350 ที่ให้กำลังมากกว่า 35 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง

    เมื่อรวมกันแล้ว ระบบผลิตไฟฟ้าของ xAI สามารถรองรับ GPU ระดับ Nvidia GB200 NVL72 ได้มากถึง 200,000 ตัว ซึ่งเป็นหัวใจของ Colossus Supercomputer ที่ใช้ฝึกโมเดล Grok และระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยมีแผนจะขยายไปถึง 1 ล้าน GPU ภายในปี 2026

    การเลือกใช้กังหันแบบ containerized เช่น SMT-130 และ Titan 350 ช่วยให้ xAI สามารถติดตั้งได้รวดเร็วโดยไม่ต้องรอการเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าหลัก ซึ่งมักใช้เวลาหลายปี นี่จึงเป็นกลยุทธ์ที่แตกต่างจาก Microsoft และ Amazon ที่ยังทดลองระบบ onsite เพียง 100–200 เมกะวัตต์เท่านั้น

    xAI สร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าก๊าซเพื่อรองรับโรงงาน AI ขนาดใหญ่
    ติดตั้งแล้วหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างรวม 460 เมกะวัตต์
    ตั้งเป้า 1 กิกะวัตต์เพื่อรองรับ GPU กว่า 1 ล้านตัว

    ใช้กังหัน SMT-130 และ Titan 350 สำหรับการผลิตไฟฟ้า
    SMT-130 ให้กำลัง ~16MW / Titan 350 มากกว่า 35MW
    ติดตั้งแบบ containerized เพื่อความรวดเร็ว

    มีการติดตั้งในสองรัฐคือ Tennessee และ Mississippi
    Memphis: ได้รับอนุญาตติดตั้งกังหัน 15 ตัว
    Southaven: ซื้อโรงไฟฟ้าเก่าจาก Duke Energy พร้อมใบอนุญาตชั่วคราว

    รองรับการใช้งาน GPU Nvidia GB200 NVL72 ได้มากถึง 200,000 ตัว
    เทียบเท่ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับโลก
    ใช้ฝึกโมเดล Grok และระบบ AI ขนาดใหญ่

    กลยุทธ์พลังงานของ xAI แตกต่างจากบริษัทอื่น
    Microsoft และ Amazon ยังอยู่ที่ระดับ 100–200MW
    xAI เลือกใช้พลังงานก๊าซเพื่อหลีกเลี่ยงการรอเชื่อมต่อกับโครงข่าย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/xai-pushes-power-strategy-towards-1gw-ai-factory
    📰 xAI เร่งสร้างโรงงาน AI พลังงานก๊าซ — เดินหน้าสู่เป้าหมาย 1 กิกะวัตต์เพื่อรองรับ GPU กว่า 1 ล้านตัวใน Colossus Supercomputer บริษัท xAI ของ Elon Musk กำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็วในการสร้างโรงงาน AI ขนาดมหึมาที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ โดยล่าสุดมีการติดตั้งหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 460 เมกะวัตต์ ทั้งในเมือง Memphis รัฐเทนเนสซี และ Southaven รัฐมิสซิสซิปปี ซึ่งถือเป็นครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย 1 กิกะวัตต์ที่ Musk ตั้งไว้สำหรับ “AI factory” ในฝั่ง Memphis xAI ได้รับอนุญาตให้ติดตั้งกังหันก๊าซ 15 ตัวที่ไซต์ Paul R. Lowry Road หลังจากมีข้อถกเถียงกับกลุ่มสิ่งแวดล้อม ขณะที่ใน Southaven บริษัทได้ซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซเก่าจาก Duke Energy และได้รับอนุญาตให้ใช้งานชั่วคราวเป็นเวลา 12 เดือน โดยใช้กังหัน Titan 350 ที่ให้กำลังมากกว่า 35 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง เมื่อรวมกันแล้ว ระบบผลิตไฟฟ้าของ xAI สามารถรองรับ GPU ระดับ Nvidia GB200 NVL72 ได้มากถึง 200,000 ตัว ซึ่งเป็นหัวใจของ Colossus Supercomputer ที่ใช้ฝึกโมเดล Grok และระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยมีแผนจะขยายไปถึง 1 ล้าน GPU ภายในปี 2026 การเลือกใช้กังหันแบบ containerized เช่น SMT-130 และ Titan 350 ช่วยให้ xAI สามารถติดตั้งได้รวดเร็วโดยไม่ต้องรอการเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าหลัก ซึ่งมักใช้เวลาหลายปี นี่จึงเป็นกลยุทธ์ที่แตกต่างจาก Microsoft และ Amazon ที่ยังทดลองระบบ onsite เพียง 100–200 เมกะวัตต์เท่านั้น ✅ xAI สร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าก๊าซเพื่อรองรับโรงงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ ติดตั้งแล้วหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างรวม 460 เมกะวัตต์ ➡️ ตั้งเป้า 1 กิกะวัตต์เพื่อรองรับ GPU กว่า 1 ล้านตัว ✅ ใช้กังหัน SMT-130 และ Titan 350 สำหรับการผลิตไฟฟ้า ➡️ SMT-130 ให้กำลัง ~16MW / Titan 350 มากกว่า 35MW ➡️ ติดตั้งแบบ containerized เพื่อความรวดเร็ว ✅ มีการติดตั้งในสองรัฐคือ Tennessee และ Mississippi ➡️ Memphis: ได้รับอนุญาตติดตั้งกังหัน 15 ตัว ➡️ Southaven: ซื้อโรงไฟฟ้าเก่าจาก Duke Energy พร้อมใบอนุญาตชั่วคราว ✅ รองรับการใช้งาน GPU Nvidia GB200 NVL72 ได้มากถึง 200,000 ตัว ➡️ เทียบเท่ากับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับโลก ➡️ ใช้ฝึกโมเดล Grok และระบบ AI ขนาดใหญ่ ✅ กลยุทธ์พลังงานของ xAI แตกต่างจากบริษัทอื่น ➡️ Microsoft และ Amazon ยังอยู่ที่ระดับ 100–200MW ➡️ xAI เลือกใช้พลังงานก๊าซเพื่อหลีกเลี่ยงการรอเชื่อมต่อกับโครงข่าย https://www.tomshardware.com/tech-industry/xai-pushes-power-strategy-towards-1gw-ai-factory
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    xAI's new gas turbine facility gets halfway to Elon Musk's 1-gigawatt 'AI factory' goal
    Permits and turbine orders point to half a gigawatt of on-site generation as xAI accelerates its Mississippi build.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • ห้องน้ำสาธารณะในจีนบังคับดูโฆษณาก่อนรับกระดาษชำระ — เมื่อความสะอาดกลายเป็นสินค้าภายใต้ระบบเฝ้าระวัง

    ในภาพที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย Orwell อย่าง “1984” ประเทศจีนได้เริ่มทดลองระบบใหม่ในห้องน้ำสาธารณะบางแห่ง ที่ผู้ใช้ต้อง “สแกน QR code และดูโฆษณา” บนสมาร์ตโฟนก่อนจะได้รับกระดาษชำระเพียงเล็กน้อย หากไม่ต้องการดูโฆษณา ก็สามารถจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน (ราว 70 สตางค์) เพื่อข้ามขั้นตอนนี้ได้ทันที

    เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่านี่เป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินความจำเป็น และป้องกันการขโมยกระดาษชำระ ซึ่งเคยเกิดขึ้นบ่อยในสถานที่ท่องเที่ยว เช่น สวน Temple of Heaven ในปักกิ่ง ที่เคยติดตั้งเครื่องจ่ายกระดาษแบบ “จดจำใบหน้า” ตั้งแต่ปี 2017 โดยจำกัดความยาวกระดาษไว้ที่ 60 ซม. และต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับเพิ่มได้

    แม้จะมีเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและการควบคุมทรัพยากร แต่ระบบใหม่นี้ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่า หากไม่มีโทรศัพท์ หรือแบตหมด จะทำอย่างไร รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย และความเป็นส่วนตัวที่อาจถูกละเมิดจากการสแกนและติดตามพฤติกรรมผู้ใช้

    ห้องน้ำสาธารณะในจีนเริ่มใช้ระบบ “ดูโฆษณาแลกกระดาษชำระ”
    ต้องสแกน QR code และดูโฆษณาบนมือถือก่อนรับกระดาษ
    หากไม่ต้องการดูโฆษณา ต้องจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน

    เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่าเป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินจำเป็น
    ป้องกันการขโมยกระดาษชำระในสถานที่ท่องเที่ยว
    เคยมีกรณีผู้ใช้ห้องน้ำเอากระดาษกลับบ้านเป็นจำนวนมาก

    ระบบนี้เคยถูกทดลองในปี 2017 ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า
    เครื่องจ่ายกระดาษที่ Temple of Heaven จำกัดความยาวไว้ที่ 60 ซม.
    ต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับกระดาษเพิ่มได้

    โซเชียลมีเดียวิจารณ์ระบบนี้ว่า “ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน”
    ผู้ใช้ตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวและสุขอนามัย
    บางคนเสนอให้พกกระดาษเองแทนการพึ่งระบบที่ไม่แน่นอน

    https://wccftech.com/orwellian-nightmare-some-public-washrooms-in-china-wont-dispense-toilet-paper-unless-you-watch-an-ad/
    📰 ห้องน้ำสาธารณะในจีนบังคับดูโฆษณาก่อนรับกระดาษชำระ — เมื่อความสะอาดกลายเป็นสินค้าภายใต้ระบบเฝ้าระวัง ในภาพที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย Orwell อย่าง “1984” ประเทศจีนได้เริ่มทดลองระบบใหม่ในห้องน้ำสาธารณะบางแห่ง ที่ผู้ใช้ต้อง “สแกน QR code และดูโฆษณา” บนสมาร์ตโฟนก่อนจะได้รับกระดาษชำระเพียงเล็กน้อย หากไม่ต้องการดูโฆษณา ก็สามารถจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน (ราว 70 สตางค์) เพื่อข้ามขั้นตอนนี้ได้ทันที เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่านี่เป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินความจำเป็น และป้องกันการขโมยกระดาษชำระ ซึ่งเคยเกิดขึ้นบ่อยในสถานที่ท่องเที่ยว เช่น สวน Temple of Heaven ในปักกิ่ง ที่เคยติดตั้งเครื่องจ่ายกระดาษแบบ “จดจำใบหน้า” ตั้งแต่ปี 2017 โดยจำกัดความยาวกระดาษไว้ที่ 60 ซม. และต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับเพิ่มได้ แม้จะมีเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและการควบคุมทรัพยากร แต่ระบบใหม่นี้ก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้หลายคนตั้งคำถามว่า หากไม่มีโทรศัพท์ หรือแบตหมด จะทำอย่างไร รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขอนามัย และความเป็นส่วนตัวที่อาจถูกละเมิดจากการสแกนและติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ✅ ห้องน้ำสาธารณะในจีนเริ่มใช้ระบบ “ดูโฆษณาแลกกระดาษชำระ” ➡️ ต้องสแกน QR code และดูโฆษณาบนมือถือก่อนรับกระดาษ ➡️ หากไม่ต้องการดูโฆษณา ต้องจ่ายเงินประมาณ 0.5 หยวน ✅ เจ้าหน้าที่จีนอ้างว่าเป็นมาตรการลดการใช้กระดาษเกินจำเป็น ➡️ ป้องกันการขโมยกระดาษชำระในสถานที่ท่องเที่ยว ➡️ เคยมีกรณีผู้ใช้ห้องน้ำเอากระดาษกลับบ้านเป็นจำนวนมาก ✅ ระบบนี้เคยถูกทดลองในปี 2017 ด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ➡️ เครื่องจ่ายกระดาษที่ Temple of Heaven จำกัดความยาวไว้ที่ 60 ซม. ➡️ ต้องรอ 9 นาทีจึงจะรับกระดาษเพิ่มได้ ✅ โซเชียลมีเดียวิจารณ์ระบบนี้ว่า “ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน” ➡️ ผู้ใช้ตั้งคำถามเรื่องความเป็นส่วนตัวและสุขอนามัย ➡️ บางคนเสนอให้พกกระดาษเองแทนการพึ่งระบบที่ไม่แน่นอน https://wccftech.com/orwellian-nightmare-some-public-washrooms-in-china-wont-dispense-toilet-paper-unless-you-watch-an-ad/
    WCCFTECH.COM
    Orwellian Nightmare: Some Public Washrooms In China Won't Dispense Toilet Paper Unless You Watch An Ad
    People in some public washrooms in China now have to scan a QR code printed on toilet paper dispensers, and then watch an ad on their phones.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 299 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง”

    การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

    ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น

    ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด

    อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน
    มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032
    ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน
    ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก

    ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน
    ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน
    แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย
    เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
    เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ)
    ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย
    การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า
    การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง

    https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    🌞 “เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ — ประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟ แต่ต้องคิดให้รอบด้านก่อนติดตั้ง” การทำน้ำร้อนในบ้านถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วคิดเป็น 18% ของค่าไฟฟ้ารายเดือนในครัวเรือนสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Water Heater) จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนี้ใช้แผงรับแสงบนหลังคาเพื่อเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อเก็บไว้ในถังน้ำร้อน โดยมีทั้งแบบที่ให้ความร้อนโดยตรง และแบบใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ซึ่งสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ข้อดีที่โดดเด่นคือการประหยัดค่าไฟในระยะยาว โดยระบบสามารถให้ความร้อนแก่น้ำได้ถึง 80% ของความต้องการในบ้าน และเมื่อรวมกับเครดิตภาษีพลังงานสะอาดของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่คืนเงินได้ถึง 30% ของค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ก็ยิ่งทำให้คุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อม เพราะระบบนี้ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใด ๆ และใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ทั่วไป จึงเหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น ราคาติดตั้งที่สูงกว่าระบบทั่วไปหลายเท่า ความจำเป็นในการมีหลังคาที่รับแสงได้ดี และพื้นที่สำหรับติดตั้งถังน้ำร้อนที่อาจไม่เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก รวมถึงความเสี่ยงด้านการกัดกร่อนและการสะสมของแร่ธาตุในระบบที่อาจต้องดูแลในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 80% ของความต้องการน้ำร้อนในบ้าน ➡️ มีเครดิตภาษี 30% จากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สำหรับค่าติดตั้งจนถึงปี 2032 ➡️ ระบบสามารถทำงานได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ด้วยการใช้ของเหลวถ่ายเทความร้อน ➡️ ใช้พื้นที่หลังคาน้อยกว่าระบบโซลาร์เซลล์ — เหมาะกับบ้านขนาดเล็ก ✅ ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน ➡️ ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของครัวเรือน ➡️ แผงรับแสงมีอายุการใช้งานยาวนาน และต้องการการดูแลน้อย ➡️ เหมาะกับผู้ที่ต้องการพลังงานสะอาดและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ➡️ เห็นผลทันทีในการลดการใช้พลังงานจากการทำน้ำร้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบมีทั้งแบบ active (ใช้ปั๊ม) และ passive (ใช้การพาความร้อนตามธรรมชาติ) ➡️ ค่าใช้จ่ายติดตั้งเฉลี่ยอยู่ที่ $2,000–$4,000 สำหรับบ้านพักอาศัย ➡️ การติดตั้งในพื้นที่ที่มีแดดจัด เช่น แคลิฟอร์เนียหรือฟลอริดา จะคุ้มค่ากว่า ➡️ การบำรุงรักษาโดยทั่วไปมีแค่การเปลี่ยนสารกันแข็งและตรวจสอบระบบปีละครั้ง https://www.slashgear.com/1965062/solar-water-heater-in-your-home-pros-and-cons/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Solar Water Heater: The Pros And Cons Of Using One In Your Home - SlashGear
    Solar water heaters can provide up to 80% of your hot water needs, but installation costs, roof space, and sunlight exposure determine if it’s worth it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน”

    ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU

    หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ

    ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

    ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย
    ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี
    ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
    โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa
    แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร

    กระบวนการผลิตและทีมวิจัย
    สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂
    เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
    ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue
    ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ
    ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ
    เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป
    การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน

    https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    🍇 “จากเถาองุ่นสู่ฟิล์มชีวภาพ — นักวิจัย SDSU เปลี่ยนเศษไม้ไร้ค่าให้กลายเป็นวัสดุทดแทนพลาสติกที่ย่อยสลายได้ใน 17 วัน” ในยุคที่พลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก นักวิจัยจาก South Dakota State University (SDSU) ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการเปลี่ยนเศษไม้จากเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปีให้กลายเป็นฟิล์มชีวภาพที่โปร่งใส แข็งแรง และย่อยสลายได้ในเวลาเพียง 17 วันในดิน งานวิจัยนี้นำโดยศาสตราจารย์ Srinivas Janaswamy จากภาควิชาวิทยาศาสตร์นมและอาหาร ร่วมกับทีมวิจัยที่รวมถึงนักศึกษาระดับปริญญาเอกและผู้เชี่ยวชาญด้านองุ่นจาก SDSU หัวใจของนวัตกรรมนี้คือ “เซลลูโลส” — สารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในผนังเซลล์ของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะในเถาองุ่นที่มีความเข้มข้นของเซลลูโลสสูงและมีปริมาณน้ำต่ำ ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตฟิล์มชีวภาพ ทีมวิจัยใช้กระบวนการสกัดเซลลูโลสด้วยสารละลายด่างและสารฟอกขาว ก่อนนำไปละลายใน ZnCl₂ แล้วเติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อสร้างฟิล์มที่มีความโปร่งใสถึง 84% และความแข็งแรงมากกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยไม่ทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ฟิล์มจากเถาองุ่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุทางการเกษตรที่มักถูกเผาหรือทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัย ➡️ ฟิล์มชีวภาพผลิตจากเซลลูโลสในเถาองุ่นที่ถูกตัดทิ้งทุกปี ➡️ ย่อยสลายได้ภายใน 17 วันในดิน โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง ➡️ โปร่งใสระดับ 83.7–84.3% และมีแรงดึงสูงถึง 18.2 MPa ➡️ แข็งแรงกว่าถุงพลาสติกทั่วไป และเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ✅ กระบวนการผลิตและทีมวิจัย ➡️ สกัดเซลลูโลสด้วย KOH และ NaClO₂ ก่อนละลายใน ZnCl₂ ➡️ เติมแคลเซียมและกลีเซอรอลเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ➡️ ทีมวิจัยประกอบด้วย Srinivas Janaswamy, Anne Fennell และนักศึกษาจาก SDSU และ Purdue ➡️ ได้รับทุนสนับสนุนจาก USDA และ NSF เพื่อพัฒนาต่อยอด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบหลักของฝ้ายและไม้ — ใช้ในสิ่งทอและกระดาษ ➡️ ฟิล์มชีวภาพจากพืชสามารถลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันดิบ ➡️ เถาองุ่นมีเซลลูโลสสูงถึง 35% และมีน้ำต่ำ — เหมาะกับการแปรรูป ➡️ การใช้เศษพืชในการผลิตวัสดุช่วยลดการเผาและการปล่อยคาร์บอน https://www.sdstate.edu/news/2025/08/can-grapevines-help-slow-plastic-waste-problem
    WWW.SDSTATE.EDU
    Can grapevines help slow the plastic waste problem?
    A new study from South Dakota State University reveals how grapevine canes can be converted into plastic-like material that is stronger than traditional plastic and will decompose in the environment in a relatively short amount of time.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC เลี้ยงผึ้งผลิตน้ำผึ้ง ‘Ji Mi’ รอบโรงงาน — เมื่อเทคโนโลยีจับมือธรรมชาติ สร้างความยั่งยืนแบบหวานล้ำ”

    ใครจะคิดว่าโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะกลายเป็นแหล่งผลิตน้ำผึ้ง? แต่ TSMC บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่จากไต้หวันได้พิสูจน์แล้วว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ — และอร่อยด้วย

    ในงาน ‘2025 Asia Pacific Sustainability Expo’ TSMC ได้เปิดตัวน้ำผึ้งแบรนด์ “Ji Mi” ที่ผลิตจากรังผึ้งซึ่งตั้งอยู่รอบโรงงานของบริษัท โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Tunghai และกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งท้องถิ่น การกลับมาของผึ้งในพื้นที่โรงงานเกิดจากการฟื้นฟูพืชพรรณพื้นถิ่นที่เหมาะสมกับระบบนิเวศ ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียด

    น้ำผึ้ง Ji Mi มีหลายรสชาติ ขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบโรงงานแต่ละแห่ง นอกจากผึ้งแล้ว ยังมีสัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าธรรมชาติกำลังฟื้นตัว เช่น การกลับมาของปลาท้องถิ่นอย่าง silver goby และแม้แต่หิ่งห้อย ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความสะอาดของแหล่งน้ำในไต้หวันที่เข้มงวดมาก

    TSMC ยังเผยว่าการจัดการทรัพยากรน้ำในโรงงานใหม่สามารถรีไซเคิลได้มากกว่า 90% และมีอัตราการรีไซเคิลของเสียสูงถึง 97% โดยมีศูนย์ Zero Waste ในเมืองไถจงที่สามารถเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นวัตถุดิบอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกครั้ง ถือเป็นการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsm-bee-tsmc-gets-into-the-honey-business-after-working-with-local-beekeepers-to-establish-hives-around-its-fabs
    🍯 “TSMC เลี้ยงผึ้งผลิตน้ำผึ้ง ‘Ji Mi’ รอบโรงงาน — เมื่อเทคโนโลยีจับมือธรรมชาติ สร้างความยั่งยืนแบบหวานล้ำ” ใครจะคิดว่าโรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะกลายเป็นแหล่งผลิตน้ำผึ้ง? แต่ TSMC บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่จากไต้หวันได้พิสูจน์แล้วว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ — และอร่อยด้วย ในงาน ‘2025 Asia Pacific Sustainability Expo’ TSMC ได้เปิดตัวน้ำผึ้งแบรนด์ “Ji Mi” ที่ผลิตจากรังผึ้งซึ่งตั้งอยู่รอบโรงงานของบริษัท โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Tunghai และกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งท้องถิ่น การกลับมาของผึ้งในพื้นที่โรงงานเกิดจากการฟื้นฟูพืชพรรณพื้นถิ่นที่เหมาะสมกับระบบนิเวศ ซึ่งเป็นผลจากการสำรวจสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียด น้ำผึ้ง Ji Mi มีหลายรสชาติ ขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบโรงงานแต่ละแห่ง นอกจากผึ้งแล้ว ยังมีสัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าธรรมชาติกำลังฟื้นตัว เช่น การกลับมาของปลาท้องถิ่นอย่าง silver goby และแม้แต่หิ่งห้อย ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความสะอาดของแหล่งน้ำในไต้หวันที่เข้มงวดมาก TSMC ยังเผยว่าการจัดการทรัพยากรน้ำในโรงงานใหม่สามารถรีไซเคิลได้มากกว่า 90% และมีอัตราการรีไซเคิลของเสียสูงถึง 97% โดยมีศูนย์ Zero Waste ในเมืองไถจงที่สามารถเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นวัตถุดิบอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกครั้ง ถือเป็นการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tsm-bee-tsmc-gets-into-the-honey-business-after-working-with-local-beekeepers-to-establish-hives-around-its-fabs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    TSM-Bee? TSMC gets into the honey business after working with local beekeepers to establish hives around its fabs
    TSMC branded honey is available in several flavors, depending on the flora around a particular fab.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts