• อุทยานแห่งชาติ ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    ภาพของขุนเขาสูงตั้งตระหง่านเรียงสลับซับซ้อน ณ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 114 ของประเทศไทย คือสิ่งดึงดูดให้นักเดินทางหลายคนอยากมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง รวมถึงมีจุดชมวิวที่เมื่อมองไปด้านหนึ่งเห็นทิวทัศน์ของขุนเขามากมาย ส่วนอีกด้านมองเห็นทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ สลับกับทิวเขาแทรกเป็นฉากหน้าและฉากหลัง และยังมีจุดกางเต็นท์ในชัยภูมิดีเยี่ยม เพราะล้อมรอบไปด้วยร่มไม้เขียวครึ้ม อากาศเย็นสบาย เป็นที่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด วันนี้เราเลยจะพาไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้น

    อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก ครอบคลุมพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 700,000 ไร่ หรือ 1,120 ตารางกิโลเมตร โดยทิศเหนือจดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ทิศใต้จดอุทยานแห่งชาติไทรโยค ทิศตะวันออกจดอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ทิศตะวันตกจดเขตแดนไทย - เมียนมา
    พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในอุทยานแห่งชาติทองผาจะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี ความสูงของพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,249 เมตร มี "เขาช้างเผือก" เป็นยอดเขาสูงสุด สูง 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และด้วยเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถจำแนกประเภทแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่

    ป่าดิบชื้น มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ตะเคียน ยางขาว ยางยูง ไก่เขียว เคี่ยม กันเกรา จำปาป่า มะหาด เนียง พืชพื้นล่างมีพวก หวาย เฟิน เตย และปาล์ม

    ป่าดิบแล้ง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ยางขาว ยางแดง ตะเคียน ยมหอม จำปีป่า กระบาก มะม่วงป่า มะแฟน แดงดง มะไฟป่า สมพง พืชพื้นล่างมีพวกปาล์ม ข่า และเฟิร์นต่าง ๆ

    ป่าดิบเขา มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ก่อชนิดต่าง ๆ กำลังเสือโคร่ง มณฑาป่า พระเจ้าห้าพระองค์ กำยาน อบเชย ทะโล้ พืชพื้นล่าง ได้แก่ มอส เฟิร์นต่าง ๆ

    ป่าเบญจพรรณ (พบมากที่สุด) มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ประดู่ แดง ตะแบก เสลา ส้าน มะค่าโมง อินทนิล ตุ้มเต๋น ตะคร้อ ตะคร่ำ กระพี้เขาควาย ขะเจ๊าะ มะเกลือ กาสามปีก สมอพิเภก กระบก มะกอก พืชพื้นล่างมีพวกไผ่ไร่ ไผ่ซาง ไผ่บง ไผ่ข้าวหลาม ไผ่รวก และพืชพวกไม้หนาม เป็นต้น
    นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากป่าเป็นผืนเดียวกันกับประเทศเมียนมา จึงมีการย้ายถิ่นฐานไปมาอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากไม่มีราษฎรอยู่ในพื้นที่ป่ามากนัก ทำให้สัตว์ป่าไม่ถูกรบกวน
    อุทยานแห่งชาติ ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ภาพของขุนเขาสูงตั้งตระหง่านเรียงสลับซับซ้อน ณ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 114 ของประเทศไทย คือสิ่งดึงดูดให้นักเดินทางหลายคนอยากมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง รวมถึงมีจุดชมวิวที่เมื่อมองไปด้านหนึ่งเห็นทิวทัศน์ของขุนเขามากมาย ส่วนอีกด้านมองเห็นทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ สลับกับทิวเขาแทรกเป็นฉากหน้าและฉากหลัง และยังมีจุดกางเต็นท์ในชัยภูมิดีเยี่ยม เพราะล้อมรอบไปด้วยร่มไม้เขียวครึ้ม อากาศเย็นสบาย เป็นที่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด วันนี้เราเลยจะพาไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้น อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก ครอบคลุมพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 700,000 ไร่ หรือ 1,120 ตารางกิโลเมตร โดยทิศเหนือจดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ทิศใต้จดอุทยานแห่งชาติไทรโยค ทิศตะวันออกจดอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ทิศตะวันตกจดเขตแดนไทย - เมียนมา พื้นที่ส่วนใหญ่ภายในอุทยานแห่งชาติทองผาจะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน โดยเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี ความสูงของพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,249 เมตร มี "เขาช้างเผือก" เป็นยอดเขาสูงสุด สูง 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และด้วยเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของผืนป่าตะวันตกที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ทำให้สามารถจำแนกประเภทแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ป่าดิบชื้น มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ตะเคียน ยางขาว ยางยูง ไก่เขียว เคี่ยม กันเกรา จำปาป่า มะหาด เนียง พืชพื้นล่างมีพวก หวาย เฟิน เตย และปาล์ม ป่าดิบแล้ง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ยางขาว ยางแดง ตะเคียน ยมหอม จำปีป่า กระบาก มะม่วงป่า มะแฟน แดงดง มะไฟป่า สมพง พืชพื้นล่างมีพวกปาล์ม ข่า และเฟิร์นต่าง ๆ ป่าดิบเขา มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ก่อชนิดต่าง ๆ กำลังเสือโคร่ง มณฑาป่า พระเจ้าห้าพระองค์ กำยาน อบเชย ทะโล้ พืชพื้นล่าง ได้แก่ มอส เฟิร์นต่าง ๆ ป่าเบญจพรรณ (พบมากที่สุด) มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ประดู่ แดง ตะแบก เสลา ส้าน มะค่าโมง อินทนิล ตุ้มเต๋น ตะคร้อ ตะคร่ำ กระพี้เขาควาย ขะเจ๊าะ มะเกลือ กาสามปีก สมอพิเภก กระบก มะกอก พืชพื้นล่างมีพวกไผ่ไร่ ไผ่ซาง ไผ่บง ไผ่ข้าวหลาม ไผ่รวก และพืชพวกไม้หนาม เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากป่าเป็นผืนเดียวกันกับประเทศเมียนมา จึงมีการย้ายถิ่นฐานไปมาอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากไม่มีราษฎรอยู่ในพื้นที่ป่ามากนัก ทำให้สัตว์ป่าไม่ถูกรบกวน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥 ทัวร์เคนย่า แทนซาเนีย 11 วัน 8 คืน พักโรงแรม ⭐️⭐️⭐️⭐️

    ✈️ เดินทางโดย : KQ-เคนย่าแอร์เวย์

    🅿️ เดินทางช่วงธันวาคม - สิงหาคม 2568 💢 ท่านละ 259,900.-

    📍 ดินแดนแห่งฝูงสัตว์ป่านานาชนิด สนุกสนานกับการตามหา Big 5 :
    📍 อรูชา
    📍 ภูเขาไฟโกรงโกโร
    📍 อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ
    📍 ทะเลสาบมากาดิ
    📍 ทะเลสาบแมนยารา
    📍 ไนโรบี ทะเลสาบนากูรู
    📍 อุทยานแห่งชาติมาไซมารา

    📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับสูง
    📢 รหัสทัวร์ : Z11783
    🏢 โรงแรม : 4 ดาว

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e41361

    ดูทัวร์วันมาฆบูชาทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/eeb79c

    ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e1a231

    ดูทัวร์เคนยาทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e9b506

    ดูทัวร์วันปีใหม่ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e63281

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์เคนยา #ทัวร์วันปีใหม่ #ทัวร์วันมาฆบูชา #ทัวร์วันสงกรานต์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    💥 ทัวร์เคนย่า แทนซาเนีย 11 วัน 8 คืน พักโรงแรม ⭐️⭐️⭐️⭐️ ✈️ เดินทางโดย : KQ-เคนย่าแอร์เวย์ 🅿️ เดินทางช่วงธันวาคม - สิงหาคม 2568 💢 ท่านละ 259,900.- 📍 ดินแดนแห่งฝูงสัตว์ป่านานาชนิด สนุกสนานกับการตามหา Big 5 : 📍 อรูชา 📍 ภูเขาไฟโกรงโกโร 📍 อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ 📍 ทะเลสาบมากาดิ 📍 ทะเลสาบแมนยารา 📍 ไนโรบี ทะเลสาบนากูรู 📍 อุทยานแห่งชาติมาไซมารา 📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับสูง 📢 รหัสทัวร์ : Z11783 🏢 โรงแรม : 4 ดาว ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e41361 ดูทัวร์วันมาฆบูชาทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/eeb79c ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e1a231 ดูทัวร์เคนยาทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e9b506 ดูทัวร์วันปีใหม่ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e63281 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์เคนยา #ทัวร์วันปีใหม่ #ทัวร์วันมาฆบูชา #ทัวร์วันสงกรานต์ #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานอาสา เดรัจฉานโฟโต้
    ชวนมาเป็นอาสาถ่ายภาพสัตว์ในสวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉาน

    อาสาสมัคร ช่วยถ่ายภาพของน้องๆ ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของน้องๆ สัตว์ป่าที่เคยถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างทำให้เจ้าของไม่สามารถเลี้ยงและนำมาบริจาคให้ทางสวนสัตว์ได้ดูแลต่อ มาที่นี่อาสาสมัครจะได้พบกับนกหลากหลายสายพันธุ์ งู ลิงกระรอก เมียร์แคท และอื่นๆ

    โดยงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สวนสัตว์ เพื่อน เดรัจฉาน ร่วมกับ ธนาคารจิตอาสา JitArsa Bank และ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth เรียนรู้ชีวิตของน้องๆ ช่วยกันให้น้องๆ ได้มีภาพถ่ายที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกและความสวยงามในธรรมชาติ
    ณ สวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉาน รามอินทรา ซอย 5
    #งานอาสา #เกียรติบัตรอาสา #สวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉาน #thaitimes #สยามโสภา #thaitimesสยามโสภา #thaitimesอาสา
    งานอาสา เดรัจฉานโฟโต้ ชวนมาเป็นอาสาถ่ายภาพสัตว์ในสวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉาน อาสาสมัคร ช่วยถ่ายภาพของน้องๆ ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของน้องๆ สัตว์ป่าที่เคยถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างทำให้เจ้าของไม่สามารถเลี้ยงและนำมาบริจาคให้ทางสวนสัตว์ได้ดูแลต่อ มาที่นี่อาสาสมัครจะได้พบกับนกหลากหลายสายพันธุ์ งู ลิงกระรอก เมียร์แคท และอื่นๆ โดยงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สวนสัตว์ เพื่อน เดรัจฉาน ร่วมกับ ธนาคารจิตอาสา JitArsa Bank และ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth เรียนรู้ชีวิตของน้องๆ ช่วยกันให้น้องๆ ได้มีภาพถ่ายที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกและความสวยงามในธรรมชาติ ณ สวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉาน รามอินทรา ซอย 5 #งานอาสา #เกียรติบัตรอาสา #สวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉาน #thaitimes #สยามโสภา #thaitimesสยามโสภา #thaitimesอาสา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 57 0 รีวิว


  • 🎇 Phu Quoc Cruise Port! ท่าเรือบนเกาะเวียดนาม ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่หลากหลายบนเกาะฟูก๊วก หรือที่รู้จักกันว่า ไข่มุกแห่งเวียดนาม ชายหาดและธรรมชาติที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 🎠✨

    สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำใกล้ท่าเรือ!
    ✔️ แกรนด์เวิลด์ฟูก๊วก (Grand World Phu Quoc) :⚓️🛳️
    ศูนย์รวมความบันเทิงและการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ บนพื้นที่ขนาดใหญ่ 6,000 กว่าไร่ ภายในมีทั้งที่เที่ยว ที่ช้อปปิ้ง พิพิธภัณฑ์ รวมถึงรีสอร์ทสุดหรู ออกแบบและสร้างอาคารต่างๆ ด้วยการจำลองเมืองท่องเที่ยวชื่อดังจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่

    ✔️ สวนสนุกวินวันเดอร์ (VinWonders Phu Quoc) : 🎢
    สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนา Vinpearl ซึ่งเป็นเครือรีสอร์ตและสถานที่ท่องเที่ยวระดับหรูในเวียดนาม

    ✔️ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำวินเพิร์ล ซีเชลล์ (Vinpearl Sea Shell Aquarium) : 🐳
    พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกวัยสามารถเพลิดเพลินกับการชมสัตว์น้ำหลากหลายชนิด

    ✔️ สวนสัตว์วินเพิร์ลซาฟารี ฟูก๊วก (Vinpearl Safari Phu Quoc) : 🐨
    สวนสัตว์เปิดที่ให้คุณได้สัมผัสกับสัตว์ป่าในบรรยากาศที่ใกล้ชิด สถานที่ที่เหมาะสำหรับครอบครัวและผู้ที่รักสัตว์ นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ผ่านการจัดแสดงและกิจกรรมที่หลากหลาย


    ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620

    ☎️: 0 2116 9696 (Auto)
    #PhuQuocCruisePort #PhuQuoc #Vietnam #cruisedomain #port #GrandWorld #VinWonders #VinpearlSeaShellAquarium #VinpearlSafariPhuQuoc
    🎇 Phu Quoc Cruise Port! ท่าเรือบนเกาะเวียดนาม ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่หลากหลายบนเกาะฟูก๊วก หรือที่รู้จักกันว่า ไข่มุกแห่งเวียดนาม ชายหาดและธรรมชาติที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 🎠✨ สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำใกล้ท่าเรือ! ✔️ แกรนด์เวิลด์ฟูก๊วก (Grand World Phu Quoc) :⚓️🛳️ ศูนย์รวมความบันเทิงและการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ บนพื้นที่ขนาดใหญ่ 6,000 กว่าไร่ ภายในมีทั้งที่เที่ยว ที่ช้อปปิ้ง พิพิธภัณฑ์ รวมถึงรีสอร์ทสุดหรู ออกแบบและสร้างอาคารต่างๆ ด้วยการจำลองเมืองท่องเที่ยวชื่อดังจากทั่วโลกมาไว้ที่นี่ ✔️ สวนสนุกวินวันเดอร์ (VinWonders Phu Quoc) : 🎢 สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนา Vinpearl ซึ่งเป็นเครือรีสอร์ตและสถานที่ท่องเที่ยวระดับหรูในเวียดนาม ✔️ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำวินเพิร์ล ซีเชลล์ (Vinpearl Sea Shell Aquarium) : 🐳 พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกวัยสามารถเพลิดเพลินกับการชมสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ✔️ สวนสัตว์วินเพิร์ลซาฟารี ฟูก๊วก (Vinpearl Safari Phu Quoc) : 🐨 สวนสัตว์เปิดที่ให้คุณได้สัมผัสกับสัตว์ป่าในบรรยากาศที่ใกล้ชิด สถานที่ที่เหมาะสำหรับครอบครัวและผู้ที่รักสัตว์ นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ผ่านการจัดแสดงและกิจกรรมที่หลากหลาย ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #PhuQuocCruisePort #PhuQuoc #Vietnam #cruisedomain #port #GrandWorld #VinWonders #VinpearlSeaShellAquarium #VinpearlSafariPhuQuoc
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • โควิดตัวสมบูรณ์ หลุด จากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นจากการพัฒนาวัคซีนโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐ และ EcoHealth alliance
    หลักฐาน ความเกี่ยวพัน สถานที่ เวลาการเกิด ระยะเวลาแรกที่เกิด ลักษณะสมบูรณ์แบบ ของตัวไวรัส ที่เข้ามนุษย์และติดต่อคนสู่คนได้ตั้งแต่ต้น ไม่พบหลักฐานในสัตว์ และอื่นๆ

    ความเชื่อมโยง องค์กร EcoHealth alliance ในสหรัฐ ความพยายามกลบเกลื่อน ป้ายสี นักวิทยาศาสตร์ ที่พยายามให้ข้อมูลต่าง ที่ไม่สนับสนุนการเกิดตามธรรมชาติ

    รายงาน ฉบับเต็ม ทางweb link เดือน มกราคม 2023
    และอธิบายอย่างชัดเจนสรุป จาก YouTube
    ทำให้ต้องยุติการเอาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่ามาตัดต่อพันธุกรรมทำให้ติดมนุษย์ได้ง่ายขึ้นและเกิดโรค

    https://www.documentcloud.org/documents/23780776-mwg-fdr-document-04-16-23
    โควิดตัวสมบูรณ์ หลุด จากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นจากการพัฒนาวัคซีนโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐ และ EcoHealth alliance หลักฐาน ความเกี่ยวพัน สถานที่ เวลาการเกิด ระยะเวลาแรกที่เกิด ลักษณะสมบูรณ์แบบ ของตัวไวรัส ที่เข้ามนุษย์และติดต่อคนสู่คนได้ตั้งแต่ต้น ไม่พบหลักฐานในสัตว์ และอื่นๆ ความเชื่อมโยง องค์กร EcoHealth alliance ในสหรัฐ ความพยายามกลบเกลื่อน ป้ายสี นักวิทยาศาสตร์ ที่พยายามให้ข้อมูลต่าง ที่ไม่สนับสนุนการเกิดตามธรรมชาติ รายงาน ฉบับเต็ม ทางweb link เดือน มกราคม 2023 และอธิบายอย่างชัดเจนสรุป จาก YouTube ทำให้ต้องยุติการเอาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่ามาตัดต่อพันธุกรรมทำให้ติดมนุษย์ได้ง่ายขึ้นและเกิดโรค https://www.documentcloud.org/documents/23780776-mwg-fdr-document-04-16-23
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=FG9-8pqFqBY
    บทสนทนาของหมูเด้งกับครอบครัว
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาของหมูเด้งกับครอบครัวแนะนำตัวเอง
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #conversations #listeningtest #หมูเด้ง

    The conversations from the clip :

    Moo Deng: Hello everyone! My name is Moo Deng, and I’m the superstar of Khao Kheow Zoo! I was born on July 10, 2024. I have an older brother named Moo Toon; we share the same parents. I love sleeping and swimming in my pond. I have a playful personality and love nibbling on the zoo keeper's shoes!
    Jona (Mom): Hello! My name is Jona, Moo Deng’s mom. I’m 25 years old, and I’m a very loving hippo mom who always keeps Moo Deng safe and happy. I enjoy spending time with him and teaching him how to play in the water. It’s amazing to watch him grow and have fun!
    Tony (DaD): Hi there! My name is Tony, Moo Deng’s dad. I’m 24 years old, and I’m a strong hippo. I want to teach him about the world. I also enjoy relaxing by the pond and sunbathing. I hope to be playing with Moo Deng soon!
    Moo Deng: My parents are awesome! They always support me and help me become a great hippo. I love them both very much. We have so much fun together at the zoo, and I look forward to showing everyone my playful side!
    Jona: As a family, we promote awareness about the importance of wildlife conservation. We want people to understand that hippos are unique animals and that their natural habitats need protection.
    Tony: We’re proud to be part of Khao Kheow Zoo, where we get to interact with visitors and share our story. It’s wonderful to see so many people come here to learn about us!
    Moo Deng: So, come visit us at the zoo! I promise you’ll have a great time watching my playful antics and learning about hippos. Let’s have fun together at the zoo! Thank you for listening to our story!

    หมูเด้ง:สวัสดีทุกคน! ฉันชื่อหมูเด้ง และฉันเป็นซูเปอร์สตาร์ของสวนสัตว์เขาเขียว! ฉันเกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฏาคม 2024 ฉ้นมีพี่ชาย พ่อแม่เดียวกันชื่อหมูตุ๋น ฉันชอบนอนและว่ายน้ำในบ่อของฉัน ฉันมีบุคลิกที่ขี้เล่นและชอบกัดรองเท้าของผู้ดูแลสวนสัตว์!
    โจวน่า (แม่):สวัสดีค่ะ! ฉันชื่อโจวน่า แม่ของหมูเด้ง ฉันอายุ 25 ปี ฉันเป็นฮิปโปที่รักลูกมาก และมักจะทำให้หมูเด้งปลอดภัยและมีความสุข ฉันชอบใช้เวลาร่วมกับเขาและสอนเขาเล่นในน้ำ มันยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็นเขาเติบโตและสนุกสนาน!
    โทนี่ (พ่อ):สวัสดีครับ! ฉันชื่อโทนี่ พ่อของหมูเด้ง ฉันอายุ 24 ปี ฉันเป็นฮิปโปที่แข็งแรง ฉันอยากสอนเขาเกี่ยวกับโลก ฉันยังชอบนั่งพักผ่อนริมบ่อน้ำและอาบแดด ฉันหวังว่าจะได้เล่นกับหมูเด้งในไม่ช้า!
    หมูเด้ง:พ่อแม่ของฉันยอดเยี่ยมมาก! พวกเขาคอยสนับสนุนฉันและช่วยให้ฉันเป็นอิปโป
    ที่ดี ฉันรักพวกเขาทั้งคู่มาก เรามีความสนุกสนานมากมายที่สวนสัตว์ และฉันรอคอยที่จะแสดงด้านขี้เล่นของฉันให้ทุกคนเห็น!
    โจวน่า:ในฐานะครอบครัว เราส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า เราต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าฮิปโปเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและจำเป็นต้องปกป้องที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกเขา
    โทนี่:เราภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของสวนสัตว์เขาเขียว ที่เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชมและแบ่งปันเรื่องราวของเรา มันดีมากที่ได้เห็นผู้คนมากมายมาที่นี่เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเรา!
    หมูเด้ง:ดังนั้น มาที่สวนสัตว์และเยี่ยมชมเรานะ! ฉันสัญญาว่าคุณจะมีช่วงเวลาที่สนุกสนานในการดูความซุกซนของฉันและเรียนรู้เกี่ยวกับฮิปโป มาสนุกด้วยกันที่สวนสัตว์! ขอบคุณที่ฟังเรื่องราวของเราค่ะ!

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Superstar (ซู-เปอร์-สตาร์) n. แปลว่า ดารา/นักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก
    Zoo (ซู) n. แปลว่า สวนสัตว์
    Older (โอ-เดอร์) adj. แปลว่า ที่มีอายุมากกว่า
    Playful (เพล-ฟูล) adj. แปลว่า ขี้เล่น
    Personality (เพอร์-ซะ-แนล-ละ-ที) n. แปลว่า บุคลิกภาพ
    Nibble (นิบ-เบิล) v. แปลว่า กัดเล็กๆ น้อยๆ
    Keeper (คี-เพอร์) n. แปลว่า ผู้ดูแล
    Pond (พอนด์) n. แปลว่า บ่อน้ำ
    Amazing (อะ-เม-ซิง) adj. แปลว่า น่าทึ่ง
    Grow (โกรว) v. แปลว่า เติบโต
    Awareness (อะ-แวร์-เนส) n. แปลว่า การตระหนักรู้
    Conservation (คอน-เซอร์-เว-ชัน) n. แปลว่า การอนุรักษ์
    Unique (ยู-นีค) adj. แปลว่า พิเศษ/ไม่เหมือนใคร
    Habitat (แฮบ-บิ-แทท) n. แปลว่า ที่อยู่อาศัยของสัตว์
    Antics (แอน-ทิคส์) n. แปลว่า พฤติกรรม/การกระทำที่สนุกสนาน
    https://www.youtube.com/watch?v=FG9-8pqFqBY บทสนทนาของหมูเด้งกับครอบครัว (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาของหมูเด้งกับครอบครัวแนะนำตัวเอง มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #conversations #listeningtest #หมูเด้ง The conversations from the clip : Moo Deng: Hello everyone! My name is Moo Deng, and I’m the superstar of Khao Kheow Zoo! I was born on July 10, 2024. I have an older brother named Moo Toon; we share the same parents. I love sleeping and swimming in my pond. I have a playful personality and love nibbling on the zoo keeper's shoes! Jona (Mom): Hello! My name is Jona, Moo Deng’s mom. I’m 25 years old, and I’m a very loving hippo mom who always keeps Moo Deng safe and happy. I enjoy spending time with him and teaching him how to play in the water. It’s amazing to watch him grow and have fun! Tony (DaD): Hi there! My name is Tony, Moo Deng’s dad. I’m 24 years old, and I’m a strong hippo. I want to teach him about the world. I also enjoy relaxing by the pond and sunbathing. I hope to be playing with Moo Deng soon! Moo Deng: My parents are awesome! They always support me and help me become a great hippo. I love them both very much. We have so much fun together at the zoo, and I look forward to showing everyone my playful side! Jona: As a family, we promote awareness about the importance of wildlife conservation. We want people to understand that hippos are unique animals and that their natural habitats need protection. Tony: We’re proud to be part of Khao Kheow Zoo, where we get to interact with visitors and share our story. It’s wonderful to see so many people come here to learn about us! Moo Deng: So, come visit us at the zoo! I promise you’ll have a great time watching my playful antics and learning about hippos. Let’s have fun together at the zoo! Thank you for listening to our story! หมูเด้ง:สวัสดีทุกคน! ฉันชื่อหมูเด้ง และฉันเป็นซูเปอร์สตาร์ของสวนสัตว์เขาเขียว! ฉันเกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฏาคม 2024 ฉ้นมีพี่ชาย พ่อแม่เดียวกันชื่อหมูตุ๋น ฉันชอบนอนและว่ายน้ำในบ่อของฉัน ฉันมีบุคลิกที่ขี้เล่นและชอบกัดรองเท้าของผู้ดูแลสวนสัตว์! โจวน่า (แม่):สวัสดีค่ะ! ฉันชื่อโจวน่า แม่ของหมูเด้ง ฉันอายุ 25 ปี ฉันเป็นฮิปโปที่รักลูกมาก และมักจะทำให้หมูเด้งปลอดภัยและมีความสุข ฉันชอบใช้เวลาร่วมกับเขาและสอนเขาเล่นในน้ำ มันยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็นเขาเติบโตและสนุกสนาน! โทนี่ (พ่อ):สวัสดีครับ! ฉันชื่อโทนี่ พ่อของหมูเด้ง ฉันอายุ 24 ปี ฉันเป็นฮิปโปที่แข็งแรง ฉันอยากสอนเขาเกี่ยวกับโลก ฉันยังชอบนั่งพักผ่อนริมบ่อน้ำและอาบแดด ฉันหวังว่าจะได้เล่นกับหมูเด้งในไม่ช้า! หมูเด้ง:พ่อแม่ของฉันยอดเยี่ยมมาก! พวกเขาคอยสนับสนุนฉันและช่วยให้ฉันเป็นอิปโป ที่ดี ฉันรักพวกเขาทั้งคู่มาก เรามีความสนุกสนานมากมายที่สวนสัตว์ และฉันรอคอยที่จะแสดงด้านขี้เล่นของฉันให้ทุกคนเห็น! โจวน่า:ในฐานะครอบครัว เราส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า เราต้องการให้ผู้คนเข้าใจว่าฮิปโปเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษและจำเป็นต้องปกป้องที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกเขา โทนี่:เราภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของสวนสัตว์เขาเขียว ที่เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชมและแบ่งปันเรื่องราวของเรา มันดีมากที่ได้เห็นผู้คนมากมายมาที่นี่เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเรา! หมูเด้ง:ดังนั้น มาที่สวนสัตว์และเยี่ยมชมเรานะ! ฉันสัญญาว่าคุณจะมีช่วงเวลาที่สนุกสนานในการดูความซุกซนของฉันและเรียนรู้เกี่ยวกับฮิปโป มาสนุกด้วยกันที่สวนสัตว์! ขอบคุณที่ฟังเรื่องราวของเราค่ะ! Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Superstar (ซู-เปอร์-สตาร์) n. แปลว่า ดารา/นักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก Zoo (ซู) n. แปลว่า สวนสัตว์ Older (โอ-เดอร์) adj. แปลว่า ที่มีอายุมากกว่า Playful (เพล-ฟูล) adj. แปลว่า ขี้เล่น Personality (เพอร์-ซะ-แนล-ละ-ที) n. แปลว่า บุคลิกภาพ Nibble (นิบ-เบิล) v. แปลว่า กัดเล็กๆ น้อยๆ Keeper (คี-เพอร์) n. แปลว่า ผู้ดูแล Pond (พอนด์) n. แปลว่า บ่อน้ำ Amazing (อะ-เม-ซิง) adj. แปลว่า น่าทึ่ง Grow (โกรว) v. แปลว่า เติบโต Awareness (อะ-แวร์-เนส) n. แปลว่า การตระหนักรู้ Conservation (คอน-เซอร์-เว-ชัน) n. แปลว่า การอนุรักษ์ Unique (ยู-นีค) adj. แปลว่า พิเศษ/ไม่เหมือนใคร Habitat (แฮบ-บิ-แทท) n. แปลว่า ที่อยู่อาศัยของสัตว์ Antics (แอน-ทิคส์) n. แปลว่า พฤติกรรม/การกระทำที่สนุกสนาน
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าฮาลา – บาลา

    พื้นที่อนุรักษ์แห่งใหม่ของประเทศไทย ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2539 เป็นแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย มีพื้นที่ 270,725 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่เขาสันกาลาคีรี ป่าฮาลาและป่าบาลาเป็นผืนป่าดงดิบที่ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ได้รับประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเดียวกัน คือ ป่าฮาลา ในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส แต่ส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปศึกษาธรรมชาติจะเป็นพื้นที่ป่าบาลาที่ครอบคลุม อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส มีพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น ต้นยวน ต้นยูคาลิบตัส ต้นสยา เป็นไม้เด่นของป่าฮาลา-บาลา เพราะเป็นแหล่งทำรังที่สำคัญของนกเงือก ยังมีสัตว์ป่าหายากหลายชนิด เช่น ชะนีดำใหญ่ หรือ เซียมัง นอกจากนั้นยังมีกบทูด ซึ่งเป็นกบขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

    ผู้ที่มีความประสงค์เข้าพื้นที่เพื่อศึกษาธรรมชาติ ต้องทำหนังสือแจ้งความประสงค์ล่วงหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ตู้ ปณ. 3 อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส หรือฝ่ายกิจการเขตรักษาพันธุ์ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกรุงเทพฯ โทร 0-2561-0777 ต่อ 1615 ในวันเวลาราชการ หรือเข้าชมเว็บไซต์ที่ www.dnp.go.th

    การเดินทาง สามารถขับไปตามทางหลวงหมายเลข 4057 มุ่งหน้าไปอำเภอแว้ง จนถึงบ้านบูเก๊ะตา จะมีป้ายบอกทางให้ขับต่ไปทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา
    เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าฮาลา – บาลา พื้นที่อนุรักษ์แห่งใหม่ของประเทศไทย ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2539 เป็นแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย มีพื้นที่ 270,725 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่เขาสันกาลาคีรี ป่าฮาลาและป่าบาลาเป็นผืนป่าดงดิบที่ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ได้รับประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเดียวกัน คือ ป่าฮาลา ในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส แต่ส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปศึกษาธรรมชาติจะเป็นพื้นที่ป่าบาลาที่ครอบคลุม อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส มีพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น ต้นยวน ต้นยูคาลิบตัส ต้นสยา เป็นไม้เด่นของป่าฮาลา-บาลา เพราะเป็นแหล่งทำรังที่สำคัญของนกเงือก ยังมีสัตว์ป่าหายากหลายชนิด เช่น ชะนีดำใหญ่ หรือ เซียมัง นอกจากนั้นยังมีกบทูด ซึ่งเป็นกบขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผู้ที่มีความประสงค์เข้าพื้นที่เพื่อศึกษาธรรมชาติ ต้องทำหนังสือแจ้งความประสงค์ล่วงหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ตู้ ปณ. 3 อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส หรือฝ่ายกิจการเขตรักษาพันธุ์ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกรุงเทพฯ โทร 0-2561-0777 ต่อ 1615 ในวันเวลาราชการ หรือเข้าชมเว็บไซต์ที่ www.dnp.go.th การเดินทาง สามารถขับไปตามทางหลวงหมายเลข 4057 มุ่งหน้าไปอำเภอแว้ง จนถึงบ้านบูเก๊ะตา จะมีป้ายบอกทางให้ขับต่ไปทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรุโต๊ะแดง” มหัศจรรย์ป่าพรุใต้ร่มพระบารมี/ปิ่น บุตรี ผู้เขียน

    “พรุเราต้องเก็บไว้ เพราะมีความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ต้องห้ามไม่ให้บุกรุกเข้าไป คราวนี้เราทำโครงการที่โคกใน เขาจะบุกรุกเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะจำกัดบริเวณเขา ในพรุเราก็ส่งเสริมเอาไม้พรุเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างตามข้างทางนี้สวยมากเห็นไม้ต่างๆ ไม้หลาวชะโอนก็มี”

    “การกำหนดขอบเขตป่าพรุ ควรกำหนดขอบเขตป่าพรุให้แน่นอน เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ อันจะทำให้สภาพแวดล้อมเสียหมด”

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริไว้เมื่อ วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2535

    “ป่าพรุ” เป็นป่าลักษณะพิเศษ เป็นป่าไม้ทึบไม่ผลัดใบประเภทหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นปะปนกัน ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่ไม่ได้ขึ้นบน“ดินพรุ”ที่เกิดจากสะสมตัวของซากอินทรียวัตถุ

    ป่าพรุมีลักษณะเด่นที่สำคัญยิ่ง คือ เป็นป่าดงดิบที่มีน้ำท่วมขังอยู่ตลอด

    สำหรับหนึ่งในป่าพรุผืนสำคัญยิ่งของเมืองไทยก็คือ “ป่าพรุโต๊ะแดง” ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 120,000 ไร่ (มีส่วนที่สมบูรณ์จริงๆประมาณ 50,000 ไร่) ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอเมือง

    “มาเณศ บุณยานันต์” หัวหน้าศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร เล่าให้ผมฟังเมื่อครั้งไปเยือนศูนย์ฯแห่งนี้หนล่าสุดว่า ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นป่าผืนสำคัญของชาวนราธิวาสมาช้านาน มีทั้งตำนานเรื่องเล่าความเชื่อ เกี่ยวกับที่มาของผืนป่าแห่งนี้ ปัจจุบันแม้ชื่อจริงๆของป่าพรุแห่งนี้จะเรียกขานกันว่า “ป่าพรุโต๊ะแดง” แต่เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯมายังป่าพรุแห่งนี้หลายครั้ง หลายๆคนจึงยกให้เป็นดังป่าพรุของสมเด็จพระเทพฯ แล้วพากันนิยมเรียกขานป่าพรุแห่งนี้ว่า “ป่าพรุสิรินธร”

    ป่าพรุโต๊ะแดง หรือ ป่าพรุสิรินธร มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ปัจจุบันเป็นป่าพรุขนาดใหญ่ผืนสุดท้ายที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีคุณประโยชน์อันหลากหลายทั้งทางตรงทางอ้อมต่อสภาพแวดล้อมและมนุษย์เรา
    อย่างไรก็ดีในอดีตป่าพรุโต๊ะแดงและบริเวณใกล้เคียงได้ถูกทำลายลงจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งจากการบุกรุกแผ้วถางป่าพรุ การทำการเกษตรที่ผิดวิธี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าพรุอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงการเกิดไฟป่า(ที่มีทั้งเกิดจากธรรมชาติและฝีมือมนุษย์) ส่งผลให้ป่าพรุโต๊ะแดงและป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสถูกทำลายกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ใช้ประโยชน์ได้เพียงส่วนน้อย
    กระทั่งในปี พ.ศ. 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินแปพระราชฐานไปยัง พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ความทราบสู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่บริเวณป่าพรุ พระองค์ท่านจึงมีพระราชดำริเป็นแนวทางในการฟื้นฟูป่าพรุ

    หลังจากนั้นป่าพรุโต๊ะแดง และป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสก็ได้รับการฟื้นฟูเรื่อยมา โดยในแนวทางการฟื้นฟูป่าพรุนั้น ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าพรุและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ป่าพรุ เช่น การป้องกันไฟไหม้ป่าพรุ การบริหารจัดการน้ำในป่าพรุ การทำการเกษตรในพื้นที่ป่าพรุอย่างถูกวิธี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
    อ่านต่อ >>> https://mgronline.com/travel/detail/9590000110516 <<<<<

    #ป่าพุโต๊ะแดง

    พรุโต๊ะแดง” มหัศจรรย์ป่าพรุใต้ร่มพระบารมี/ปิ่น บุตรี ผู้เขียน “พรุเราต้องเก็บไว้ เพราะมีความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ต้องห้ามไม่ให้บุกรุกเข้าไป คราวนี้เราทำโครงการที่โคกใน เขาจะบุกรุกเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะจำกัดบริเวณเขา ในพรุเราก็ส่งเสริมเอาไม้พรุเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างตามข้างทางนี้สวยมากเห็นไม้ต่างๆ ไม้หลาวชะโอนก็มี” “การกำหนดขอบเขตป่าพรุ ควรกำหนดขอบเขตป่าพรุให้แน่นอน เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ อันจะทำให้สภาพแวดล้อมเสียหมด” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริไว้เมื่อ วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2535 “ป่าพรุ” เป็นป่าลักษณะพิเศษ เป็นป่าไม้ทึบไม่ผลัดใบประเภทหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นปะปนกัน ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ที่ไม่ได้ขึ้นบน“ดินพรุ”ที่เกิดจากสะสมตัวของซากอินทรียวัตถุ ป่าพรุมีลักษณะเด่นที่สำคัญยิ่ง คือ เป็นป่าดงดิบที่มีน้ำท่วมขังอยู่ตลอด สำหรับหนึ่งในป่าพรุผืนสำคัญยิ่งของเมืองไทยก็คือ “ป่าพรุโต๊ะแดง” ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันมีเนื้อที่กว่า 120,000 ไร่ (มีส่วนที่สมบูรณ์จริงๆประมาณ 50,000 ไร่) ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอในจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอเมือง “มาเณศ บุณยานันต์” หัวหน้าศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร เล่าให้ผมฟังเมื่อครั้งไปเยือนศูนย์ฯแห่งนี้หนล่าสุดว่า ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นป่าผืนสำคัญของชาวนราธิวาสมาช้านาน มีทั้งตำนานเรื่องเล่าความเชื่อ เกี่ยวกับที่มาของผืนป่าแห่งนี้ ปัจจุบันแม้ชื่อจริงๆของป่าพรุแห่งนี้จะเรียกขานกันว่า “ป่าพรุโต๊ะแดง” แต่เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯมายังป่าพรุแห่งนี้หลายครั้ง หลายๆคนจึงยกให้เป็นดังป่าพรุของสมเด็จพระเทพฯ แล้วพากันนิยมเรียกขานป่าพรุแห่งนี้ว่า “ป่าพรุสิรินธร” ป่าพรุโต๊ะแดง หรือ ป่าพรุสิรินธร มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ปัจจุบันเป็นป่าพรุขนาดใหญ่ผืนสุดท้ายที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีคุณประโยชน์อันหลากหลายทั้งทางตรงทางอ้อมต่อสภาพแวดล้อมและมนุษย์เรา อย่างไรก็ดีในอดีตป่าพรุโต๊ะแดงและบริเวณใกล้เคียงได้ถูกทำลายลงจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งจากการบุกรุกแผ้วถางป่าพรุ การทำการเกษตรที่ผิดวิธี การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าพรุอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงการเกิดไฟป่า(ที่มีทั้งเกิดจากธรรมชาติและฝีมือมนุษย์) ส่งผลให้ป่าพรุโต๊ะแดงและป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสถูกทำลายกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ใช้ประโยชน์ได้เพียงส่วนน้อย กระทั่งในปี พ.ศ. 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินแปพระราชฐานไปยัง พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ความทราบสู่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่บริเวณป่าพรุ พระองค์ท่านจึงมีพระราชดำริเป็นแนวทางในการฟื้นฟูป่าพรุ หลังจากนั้นป่าพรุโต๊ะแดง และป่าพรุอื่นๆในจังหวัดนราธิวาสก็ได้รับการฟื้นฟูเรื่อยมา โดยในแนวทางการฟื้นฟูป่าพรุนั้น ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าพรุและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ป่าพรุ เช่น การป้องกันไฟไหม้ป่าพรุ การบริหารจัดการน้ำในป่าพรุ การทำการเกษตรในพื้นที่ป่าพรุอย่างถูกวิธี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อ่านต่อ >>> https://mgronline.com/travel/detail/9590000110516 <<<<< #ป่าพุโต๊ะแดง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22/10/67

    ปรากฏการณ์หายาก เมื่อมวลดอกพลับพลึงน้ำ ดอกไม้หอมนับล้านดอกผลิบานในทะเลทรายนามิเบีย หลังฝนตกอย่างหนัก

    ฝนตกหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในทะเลทรายนามิบในแอฟริกา ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเบ่งบานของ Sandhof Lilies หรือ พลับพลึงน้ำดอกหอมนับล้านดอก เป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร ดินทรายที่ครั้งหนึ่งเคยแห้งแล้งในช่วงสามปีที่ผ่านมาได้กลายมาเป็นพรมดอกไม้ที่มีชีวิตชีวา

    เหตุการณ์ที่หายากนี้เรียกว่า "ซูเปอร์บลูม" นำสีสันและชีวิตมาสู่ทะเลทราย ไม่เพียงแต่ดึงดูดสัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักวิจัยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่มาร่วมเป็นสักขีพยานธรรมชาติที่สร้างแรงบันดาลใจและตื่นตาตื่นใจเพียงชั่วครู่นี้

    ทันโลก
    22/10/67 ปรากฏการณ์หายาก เมื่อมวลดอกพลับพลึงน้ำ ดอกไม้หอมนับล้านดอกผลิบานในทะเลทรายนามิเบีย หลังฝนตกอย่างหนัก ฝนตกหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในทะเลทรายนามิบในแอฟริกา ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเบ่งบานของ Sandhof Lilies หรือ พลับพลึงน้ำดอกหอมนับล้านดอก เป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร ดินทรายที่ครั้งหนึ่งเคยแห้งแล้งในช่วงสามปีที่ผ่านมาได้กลายมาเป็นพรมดอกไม้ที่มีชีวิตชีวา เหตุการณ์ที่หายากนี้เรียกว่า "ซูเปอร์บลูม" นำสีสันและชีวิตมาสู่ทะเลทราย ไม่เพียงแต่ดึงดูดสัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักวิจัยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่มาร่วมเป็นสักขีพยานธรรมชาติที่สร้างแรงบันดาลใจและตื่นตาตื่นใจเพียงชั่วครู่นี้ ทันโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุทยานอ่าวมะนาว -เขาตันหยง จ.นราธิวาส

    ตั้งอยู่หมู่ ๑ ตำบลกะลุวอเหนือ เป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่องจากชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจังหวัดปัตตานี เป็นโค้งอ่าวเชื่อมต่อกันยาว ๔ กิโลเมตร มีโขดหินคั่นสลับโค้งหาดเป็นระยะ ๆ ด้านหนึ่งติดพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
    หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติน่าเที่ยวแห่งจังหวัดนราธิวาส เพลิดเพลินกับการเที่ยวชมระบบนิเวศที่หลากหลาย ทั้งชายทะเล เนินเขาสูง พื้นที่ป่าสงวน ป่าพรุ และมีอาณาเขตพื้นที่ติดต่อกับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทำให้สภาพธรรมชาติมีความสมบูรณ์หลากหลาย มีการพบต้นมะนาวผี ที่มีขนาดใหญ่และสวยงามมาก รวมถึงสัตว์ป่าหายากหลากชนิด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ และรักธรรมชาติโดยแท้จริง

    อุทยานแห่งชาติแห่งนี้มาจากการที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาทรงเยี่ยมราษฎรในบริเวณพื้นที่บ้านบางมะนาว หมู่ที่ 1 ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เมื่อหลายปีก่อน ทรงมีพระราชดำริให้มีการปรับปรุงด้านต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรมและการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น สำนักงานป่าไม้ปัตตานีจึงได้สนองพระราชดำริดังกล่าว โดยทำการสำรวจพื้นที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติพิเศษ ป่าเขาตันหยง ในพื้นที่บริเวณนอกเขตพระราชฐานพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เพื่อจัดตั้งเป็นวนอุทยานก่อนในเริ่มแรก มีเนื้อที่ประมาณ 23,278.25 ไร่ แล้วตั้งชื่อว่า วนอุทยานอ่าวมะนาว โดยกรมป่าไม้ได้ขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2536

    การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข ๔๐๘๔ นราธิวาส-ตากใบ ๓ กิโลเมตร และมีทางแยกไปสู่หาดอีก ๓ กิโลเมตร
    พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบางนราจะมีทางเลี้ยวซ้าย เข้าไปเพียง 2.5 ม. ก็จะไปถึงแนวป่าสนร่มรื่นและชายทะเลยาวเหยียด พร้อมทั้งป้ายใหญ่โตชื่อ อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว-เขาตันหยง
    ท่านจะพบบริเวณริมหาดที่มีสวนรุกขชาติ และทิวสนร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายหาด (beach forest) ระยะทาง ๑ กิโลเมตร พันธุ์ไม้ที่พบจะเป็นไม้ที่ชอบความแห้งแล้ง เช่น จักทะเล มะนาวผี เตยทะเล (คล้ายสับปะรด) เป็นต้น และในบริเวณใกล้เคียงยังมีบ้านพักของเอกชนให้บริการ

    เขาตันหยงนั้นเป็นภูเขาเตี้ยๆ มียอดหลายยอดมีพื้นที่พอประมาณไม่สูงนัก ด้านตะวันออกของภูเขาติดชายทะเลอ่าวไทยติดชายหาด ส่วนด้านตะวันตกติดแนวถนนหมายเลข 4064 ด้านทิศใต้เป็นพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์และด้านทิศเหนือจึงเป็นที่ทำการของอุทยานแห่งชาติ อ่าวมะนาว-เขาตันหยงนี่เอง
    ช่วงหน้าน้ำช่วงที่ฝนตกมาหลายวันต่อเนื่องกัน จะมีลำธารน้ำเล็กๆ ตกลงมาจากเขาตันหยงลงสู่ทะเลสองสาย กลายเป็นน้ำตกชั้นเล็กๆ คือน้ำตกธาราสวรรค์ที่ไหลลงชายหาดอ่าวมะนาวแล้วลงสูทะเล กัยน้ำตกริมผา ที่ไหลตกลงจากหน้าผาเล็กๆ ก่อนไหลเข้าหมู่บ้านแล้วออกสู่ชายทะเลด้านทศเหนือ ห่างที่ทำการอุทยานฯไปไม่ไกล

    อุทยานแหงชาติอ่าวมะนาว-ขาตันหยง ยังคงสถานภาพเป็นอุทยานเตรียมการประกาศ แต่ก็ได้รักษาดูแลสถานที่ไว้จนสวยงาม สมกับเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใกล้กับตัวเมืองนราธิวาสที่สุด

    มานราคราววหน้า ลองมาเที่ยวเขาตันหยง-อ่าวมะนาว แล้วจะประทับใจเมืองนี้ไปอีกนาน....







    อุทยานอ่าวมะนาว -เขาตันหยง จ.นราธิวาส ตั้งอยู่หมู่ ๑ ตำบลกะลุวอเหนือ เป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่องจากชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจังหวัดปัตตานี เป็นโค้งอ่าวเชื่อมต่อกันยาว ๔ กิโลเมตร มีโขดหินคั่นสลับโค้งหาดเป็นระยะ ๆ ด้านหนึ่งติดพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติน่าเที่ยวแห่งจังหวัดนราธิวาส เพลิดเพลินกับการเที่ยวชมระบบนิเวศที่หลากหลาย ทั้งชายทะเล เนินเขาสูง พื้นที่ป่าสงวน ป่าพรุ และมีอาณาเขตพื้นที่ติดต่อกับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ ทำให้สภาพธรรมชาติมีความสมบูรณ์หลากหลาย มีการพบต้นมะนาวผี ที่มีขนาดใหญ่และสวยงามมาก รวมถึงสัตว์ป่าหายากหลากชนิด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติ และรักธรรมชาติโดยแท้จริง อุทยานแห่งชาติแห่งนี้มาจากการที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาทรงเยี่ยมราษฎรในบริเวณพื้นที่บ้านบางมะนาว หมู่ที่ 1 ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เมื่อหลายปีก่อน ทรงมีพระราชดำริให้มีการปรับปรุงด้านต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรมและการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น สำนักงานป่าไม้ปัตตานีจึงได้สนองพระราชดำริดังกล่าว โดยทำการสำรวจพื้นที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติพิเศษ ป่าเขาตันหยง ในพื้นที่บริเวณนอกเขตพระราชฐานพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ เพื่อจัดตั้งเป็นวนอุทยานก่อนในเริ่มแรก มีเนื้อที่ประมาณ 23,278.25 ไร่ แล้วตั้งชื่อว่า วนอุทยานอ่าวมะนาว โดยกรมป่าไม้ได้ขึ้นทะเบียนเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2536 การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข ๔๐๘๔ นราธิวาส-ตากใบ ๓ กิโลเมตร และมีทางแยกไปสู่หาดอีก ๓ กิโลเมตร พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบางนราจะมีทางเลี้ยวซ้าย เข้าไปเพียง 2.5 ม. ก็จะไปถึงแนวป่าสนร่มรื่นและชายทะเลยาวเหยียด พร้อมทั้งป้ายใหญ่โตชื่อ อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว-เขาตันหยง ท่านจะพบบริเวณริมหาดที่มีสวนรุกขชาติ และทิวสนร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายหาด (beach forest) ระยะทาง ๑ กิโลเมตร พันธุ์ไม้ที่พบจะเป็นไม้ที่ชอบความแห้งแล้ง เช่น จักทะเล มะนาวผี เตยทะเล (คล้ายสับปะรด) เป็นต้น และในบริเวณใกล้เคียงยังมีบ้านพักของเอกชนให้บริการ เขาตันหยงนั้นเป็นภูเขาเตี้ยๆ มียอดหลายยอดมีพื้นที่พอประมาณไม่สูงนัก ด้านตะวันออกของภูเขาติดชายทะเลอ่าวไทยติดชายหาด ส่วนด้านตะวันตกติดแนวถนนหมายเลข 4064 ด้านทิศใต้เป็นพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์และด้านทิศเหนือจึงเป็นที่ทำการของอุทยานแห่งชาติ อ่าวมะนาว-เขาตันหยงนี่เอง ช่วงหน้าน้ำช่วงที่ฝนตกมาหลายวันต่อเนื่องกัน จะมีลำธารน้ำเล็กๆ ตกลงมาจากเขาตันหยงลงสู่ทะเลสองสาย กลายเป็นน้ำตกชั้นเล็กๆ คือน้ำตกธาราสวรรค์ที่ไหลลงชายหาดอ่าวมะนาวแล้วลงสูทะเล กัยน้ำตกริมผา ที่ไหลตกลงจากหน้าผาเล็กๆ ก่อนไหลเข้าหมู่บ้านแล้วออกสู่ชายทะเลด้านทศเหนือ ห่างที่ทำการอุทยานฯไปไม่ไกล อุทยานแหงชาติอ่าวมะนาว-ขาตันหยง ยังคงสถานภาพเป็นอุทยานเตรียมการประกาศ แต่ก็ได้รักษาดูแลสถานที่ไว้จนสวยงาม สมกับเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใกล้กับตัวเมืองนราธิวาสที่สุด มานราคราววหน้า ลองมาเที่ยวเขาตันหยง-อ่าวมะนาว แล้วจะประทับใจเมืองนี้ไปอีกนาน....
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • Smith&Wesson Model 629 .44 Magnum

    โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง

    เมื่อ คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด (Clint Eastwood) ในบทของสารวัตรมือปราบ ฮาร์รี่ คาลาแฮน (Harry Callahan) พูดกับคนร้ายในฉากแรกของภาพยนต์เรื่อง “มือปราบปืนโหด” หรือ Dirty Harry ภาพยนต์ซีรี่ส์บู้แอ๊คชั่นที่ยิงกันสนั่นจอเรื่องที่โด่งดังที่สุดในโลกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

    ด้วยทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มือปราบปืนโหด(ภาคแรก-ปีค.ศ.1971)ทำรายได้สูงถึง 35 ล้านเหรียญ, ภาคที่สอง คือ Magnum Force (ปี 1973), ภาคที่สาม-The Enforcer (ปี 1976), ภาคที่สี่-Sudden Impact (ปี 1983), และภาคสุดท้าย คือ The Dead Pool (ปี 1988)

    ไม่ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะออกมากี่ภาคก็ตาม ผลตอบรับ ก็คือ ปลุกกระแสความนิยมปืน “สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม” จนตลาดปืนทั่วโลกยอดขายถล่มทลาย แม้ว่าบริษัทผลิตปืนสมิธฯกำลังจะขุดหลุมฝัง(เลิกผลิต)ปืนสั้นกระสุนโหดรุ่นนี้อยู่ก่อนหน้านั้นก็ตาม
    ................

    อเมริกัน ได้ชื่อว่าเก่งในเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธปืน เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน นับแต่ครั้งที่ต่อสู้แย่งผืนดินที่ทำกินกับอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ จนกระทั่งถึงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง-สอง และสงครามเวียดนาม

    อานุภาพกระสุนปืน(อำนาจหยุดยั้ง, ประหัตประหาร, และทะลุทะลวง)เป็นข้อสำคัญประการแรกสำหรับงานล่า ป้องกันตัว และจู่โจม ความแม่นยำเป็นอันดับที่สองโดยเฉพาะกรณีที่ระยะยิงตั้งแต่ 75 หลา(หรือ 68.6 เมตร)ขึ้นไป หรือในระยะที่ความหนาของใบศูนย์หน้าใหญ่ทับเป้าหรือตัวคน

    ดังที่ทราบกัน โดยหลักการ การเพิ่มอานุภาพกระสุนปืนมากขึ้นได้ก็ต้องอาศัย หนึ่ง-แรงดันในรังเพลิง(Chamber Pressure) ซึ่งจะให้ประโยชน์โดยปริยายในข้อที่สอง-คือ ความเร็วหัวกระสุน(Velocity), สาม-รูปแบบหัวกระสุน(Bullet type), ส่วนข้อที่สี่ คือ ขนาด-น้ำหนักหัวกระสุน(Bore & Weight) นั้น กลายเป็นเรื่องท้ายสุด หากว่าความเร็วกระสุนเกิน 3,000 ฟุตต่อวินาทีขึ้นไป ก็จะเกิดแรงปะทะคลื่นอากาศหรือ Shock Wave ทำให้บาดแผลแหกฉกรรจ์และกระเด็นล้มคว่ำได้ทันใด

    ยกตัวอย่าง กระสุนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนไรเฟิลล่าสัตว์ขนาด .223 หรือ 5.56x45 ม.ม.นาโต้(NATO) หัวกระสุนเล็กเท่ากับกระสุนลูกกรด คือ .22 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรนมากกว่ากระสุนลูกกรด(40 เกรน)นิดเดียว ความเร็วต้น 3,250 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,325 ฟุต-ปอนด์ ฯลฯ เป็นต้น

    “สี่สี่แม็กนั่ม” หรือในชื่อเป็นทางการว่า .44 Remington Magnum เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นกระสุนปืนสั้นที่อานุภาพเอกอุที่สุดในโลก(The Most Powerful Handgun in the World)

    ประดิษฐ์คิดค้นโดย เอลเม่อร์ คีธ (Elmer Keith) นักเขียนเรื่องปืนและนักผจญภัยกลางแจ้ง(Outdoor Adventurer)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับบริษัทผลิตปืน สมิธแอนด์เวสสัน(Smith&Wesson)และบริษัทปืนและกระสุนยี่ห้อเรมิงตัน(Remington) ผลิตจำหน่ายในปีค.ศ.1955 (ปีพ.ศ.2498) จนปัจจุบัน

    เอลเม่อร์ คีธ นำกระสุนขนาด “สี่สี่-สเปเชี่ยล” หรือ .44 S&W Special (ผลิตในปีค.ศ.1907 แรงดันรังเพลิง 15,500 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.16 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 246 เกรน ความเร็วต้น 755 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 310 ฟุต-ปอนด์) มาทดลองพัฒนาเพิ่มแรงดันในรังเพลิง ซึ่งก็หมายถึงกระสุนความเร็วสูงโดยปริยาย เพื่อให้เป็น “สี่สี่-แม็กนั่ม”

    โดยไม่คิดนำกระสุนหน้าตัดใหญ่ที่โด่งดังในยุคโคบาลตะวันตก(Wild Western) คือ “สี่ห้า-โค้ลท์” หรือ .45 Colt (ผลิตในปีค.ศ.1872 แรงดันรังเพลิง 14,000 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.285 นิ้วฟุต หัวกระสุนหนัก 250 เกรน ความเร็วต้น 929 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 479 ฟุต-ปอนด์ และแบบ Buffalo Bore หัวกระสุนหนัก 325 เกรน ความเร็วต้น 1,325 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,267 ฟุต-ปอนด์) มาพัฒนา

    หลักการง่ายๆ ก็คือ กระสุนหน้าตัดใหญ่(Big Bore), หัวกระสุนหนักอึ้ง(Heavy Bullet), และ กระสุนความเร็วสูง(Higher Velocity) เปรียบง่ายๆว่า ซุงหนึ่งต้นหนัก 500 กิโลกรัมวางไว้เฉยๆข้างถนน รถยนต์ที่พุ่งชนต้นซุงต้นนี้ย่อมเสียหายน้อยกว่าการที่ถูกต้นซุงพุ่งมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.ชนเข้ากับรถยนต์ที่จอดอยู่เฉยๆ (อ่านและคิดทบทวนอีกครั้งนะครับ)

    วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์คิดค้น ก็เพื่อล่าสัตว์เท้ากีบขนาดเขื่อง เช่น กวางเอ้ลค์(Elk) สูงถึงหัวไหล่ 1.50 เมตร หนักประมาณ 250-450 กิโลกรัม จนกระทั่งถึงควายป่าที่เรียกว่า Cape Buffalo ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่น้ำหนักไม่มากเท่ากระทิงในบ้านเรา โดยการยิงจากปืนสั้นลูกโม่ลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต

    จึงเป็นจุดกำเนิดปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น Smith&Wesson Model 29
    สมิธแอนด์เวสสัน “สี่สี่-แม็กนั่ม”

    56 ปีมาแล้วที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น(Double-Action Revolver) กระสุนสี่สี่แม็กนั่มผลิตจำหน่าย อันที่จริงก็ด้วยวัตถุประสงค์ของการล่าสัตว์ด้วยปืนสั้น ซึ่งเป็นความคลาสสิคและใช้ศิลปะการล่ามากกว่าปืนยาว ยิ่งปืนสั้นลูกโม่แม้จะลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต หากได้ติดศูนย์กล้องเล็งขยาย 4-8 เท่า ก็ยิ่งทวีความยากลำบากในการเล็งยิงมากขึ้น

    แม้ปืนโมเดลนี้(ซึ่งรวมทั้งกระสุนด้วย)จะขายดิบดีในช่วงต้นๆของการเปิดจำหน่ายก็ตาม แต่แล้วยอดขายก็ตกฮวบตามวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับรถ 4x4 Off-Road เพราะมนุษย์หันมาอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติ ออกกำลังกายในร่มมากกว่ากีฬากลางแจ้งเช่นก่อน

    จนกระทั่ง ในปีค.ศ.1971 ที่ภาพยนต์บู้แอ๊คชั่นเรื่อง “มือปราบปืนโหด” ออกฉาย ทำให้ปืนและกระสุนสี่สี่แม๊กนั่มกลับขายดีถล่มทลาย เพราะผู้ชายส่วนมากอย่างเก่งกล้าหรือมีอาวุธที่อานุภาพเอกอุเหมือนพระเอก คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด นั้น จะเป็นกลยุทธ์การตลาดเช่นเดียวกับที่ภาพยนต์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ปลุกกระแสความนิยมรถสปอร์ตอังกฤษยี่ห้อ แอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ

    สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29
    -ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นบรรจุกระสุน 6 นัด โครงปืนใหญ่(S&W N-Frame)
    -ลูกโม่หมุนทวนเข็มนาฬิกา(Anti-Clockwise)
    -กระสุนปืนสั้นลูกโม่ชนวนกลาง(Revolver/Center-Fire Cartridge)ขนาด .44 Remington Magnum
    -ตัวปืนเสนอตลาดด้วย 7 ขนาดความยาวลำกล้อง ได้แก่ 3, 4, 5, 6, 6 ½ , 8 3/8 และหลังสุด 10 5/8 นิ้วฟุต
    -เฉพาะลำกล้อง 5 นิ้วฟุตเท่านั้นที่ฟักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนยาวเต็มความยาวลำกล้องหรือ Full Barrel Length Underlug

    โมเดล 29 เสนออยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบรมดำผิวหนา(Highly Polished Blued Finish) กับแบบนิเกิ้ลโครเมี่ยม(Nickle-Plated Surface)

    ในปีค.ศ.1960 โมเดล 29-1 ผลิตสู่ตลาดภายใต้การปรับปรุงด้านเทคนิคเล็กน้อย อาทิ สกรูยึดก้านกระทุ้งปลอกกระสุน(Ejector Rod Screw) ให้หลังหนึ่งปี โมเดล 29-2 ก็ปรากฏสู่ตลาดโดยเพิ่มสกรูตัวขันยึดความแน่นหนาให้กับสปริงสลักล็อคลูกโม่(Cylinder Stop Spring) ในปีค.ศ. 1979 หั่นลำกล้องจาก 6 ½ เหลือแค่ 6 นิ้วฟุต

    ทั้งโมเดล 29-1 และ 29-2 เพิ่มเทคนิคพิเศษอีกนิดนึง คือ ตัวลำกล้องขันเกลียวยึดแน่นกับโครงปืนพร้อมหมุดตอกย้ำ ส่วนตัวลูกโม่เซาะร่องฝังจานคัดปลอกกระสุนให้เรียบหน้าโม่ เรียกเทคนิคนี้ว่า Pinned & Recessed Model

    ปีค.ศ.1967-1971 บริษัทสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์สหรัฐอเมริกา ชื่อ AAI Corporation (Aircraft Armaments, Inc.) สั่งผลิตปืนสมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 จำนวนหนึ่ง

    ลำกล้องสั้นแค่ 1.375 นิ้วฟุต ใช้ยิงกับกระสุน .40 หรือว่า 10 มอมอ และกระสุนลูกซองขนาด .410 เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า QAPR (Quiet Special Purpose Revolver) เพื่อให้ทหารอเมริกันบุกเข้าจู่โจมและตรวจค้น “ถ้ำรูหนู” หรือ Tunnel Rats ที่ทหารเวียดนามอาศัยเป็นช่องทางหลบหนีหลบซ่อน

    ในปีค.ศ. 1982 โมเดล 29-3 ยกเลิกเทคนิคพิเศษดังกล่าวเพิ่มลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต โดยหันมาใช้เทคนิค Crush-Fit Barrel หรือคล้ายๆกับ โคนลำกล้องตีปลอกฟิตแน่นกับโครงปืน ซึ่งได้ผลเท่าเทียมกันแต่ประหยัดต้นทุนและเวลาผลิตมากกว่า

    ในปีค.ศ.1988 (โมเดล 29-4) และปี 1990 (โมเดล 29-5) เสริมแรงให้กับชิ้นส่วนและโครงสร้างตัวปืนเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น โดยเฉพาะทนแรงดันรังเพลิงและแรงสะบัดสะท้อนจากกระสุนแรงสูงสมัยใหม่ ปีค.ศ.1994 โมเดล 29-6 ผลิตจำหน่ายพร้อมกับด้ามยาง Monogrip กระชับมือยี่ห้อ ฮ้อว์ก(Hogue) สันบนโครงปืนมีรูไว้สำหรับขันสกรูติดตั้งศูนย์กล้องล่าสัตว์

    ในปีค.ศ.1998 โมเดล 29-7 ออกตลาดภายใต้การปรับปรุงชิ้นส่วนลั่นไก เช่น เข็มแทงชนวน, นกปืน, ไกปืน, ฯลฯ ล้วนผลิตจากกรรมวิธีฉีดโลหะขึ้นรูป(Metal Injection Molding Process) เพื่อป้องกันปัญหาแตกหักขณะใช้งานหนัก

    สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ถูกยกเลิกการผลิตไปอย่างถาวรในปีค.ศ.1999 ด้วยเหตุผลของอายุสินค้า(Model Life)ในเชิงการตลาด ปัจจุบัน ทั้งตลาดนอกและตลาดไทย นักเล่นปืนต่างมองหาสี่สี่แม็กนั่มรุ่นนี้ไว้สะสม เพราะตัวปืนมีความสวยงามมากกว่าปืนรุ่นใหม่ของสมิธฯ

    โดยเฉพาะ โมเดล 29 ในรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Model 29) ที่ผลิตขึ้นจำกัดจำนวนเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2006 ลักษณะพิเศษ ได้แก่ ลูกโม่กลมกลึงไม่มีร่อง(Non-Fluted Cylinder), สลักลายทองด้วยแสงเลเซอร์บนตัวปืน, ระบบสลักนิรภัยภายใน(Interlock Mechanism), ฯลฯ

    วันที่ 1 มกราคมปี 2007 โมเดล 29 คลาสสิคไลน์ รุ่นพิเศษแกะลายสวยหรู(Engraved Model)

    สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629”
    ในยุคที่โลหะวิทยาหันมาสนใจเหล็กสแตนเลส(Stainless Steel)กันอย่างบ้าคลั่ง

    ด้วยคุณสมบัติบางประการที่ให้ประโยชน์ใช้งานเหนือกว่าเหล็ก(Steel) เช่น ไม่เป็นสนิมเหล็ก, ทนสภาวะกัดกร่อนได้สูง(Anti-Corrosion), เนื้อโลหะเหนียวแน่น(High-Density)จากการหล่อขึ้นรูปได้มากกว่า, เนื้อผิวสวยงามดูน่าใช้น่าจับต้องมากกว่า, ฯลฯ
    สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” จึงกำเนิดขึ้นมาด้วยเหล็กสแตนเลสแทนโมเดล 29 ที่เป็นเหล็ก ด้วยประการเช่นนี้

    โมเดล 629 สี่สี่แม็กนั่ม เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1978 ในขนาดลำกล้องยาว 6 นิ้วฟุต ส่วนลำกล้อง 4 และ 8 3/8 นิ้วฟุตออกสู่ตลาดในปีค.ศ.1980

    ในปีค.ศ.1982 โมเดล 629-1 ใช้เทคนิคพิเศษ Crush-Fit Barrel ตามอย่างโมเดล 29-3 ในปีค.ศ.1988 โมเดล 629-1 เพิ่มรุ่นพิเศษลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต ส้นด้ามมน(Round Butt) ชิ้นส่วนกลไกภายในเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโมเดล 29-4 กรณีที่ตัวปืนปั๊ม 629-2E นั่นหมายถึงว่า บานพับหน้าลูกโม่หรือ Cylinder Crane ปรับให้ผิวเนื้อมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

    ปีค.ศ.1990 โมเดล 629-3 มาในรูปแบบของด้ามยางฮ้อว์ก(Hogue), สันบนโครงปืนมีสกรูพร้อมติดตั้งศูนย์กล้องเล็ง, เปลี่ยนก้านกระทุ้งปลอกกระสุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดล 629-4 ที่เปิดตัวภายหลังในคุณสมบัติของปืนสั้นแข่งขันยิงเป้ามากขึ้น อาทิ นกปืน-ไกปืนใหญ่แบบปืนสั้นแข่งขันยิงเป้า, ศูนย์หน้ากระโดงปลาแถบแดง(Red Ramp Front Sight), ใบศูนย์หลังเส้นขาว(White Outline Rear Sight), ฯลฯ เป็นต้น

    ในปีเดียวกันนี้(1990) โมเดล 629 คลาสสิค(Classic) เสนอตลาดด้วยรูปแบบของ “ฝักเต็ม” หรือ Full Barrel Underlug หมายถึง มีแท่งตันถ่วงน้ำหนักต่อจากฝักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนใต้ลำกล้องยาวจรดปากกระบอกปืน

    ภายใต้รหัส 629-4s ลำกล้องยาว 5, 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต ปีค.ศ.1991 โมเดล 629 คลาสสิค ดีเอ๊กซ์ (629 Classic DX) ออกสู่ตลาดพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษเหนือใคร คือ เปลี่ยนใบศูนย์หน้าได้ 5 แบบ

    ปีค.ศ.1988 โมเดล 629-5 เปลี่ยนนกและไกปืน MIM และใช้เข็มแทงชนวนแบบฝังลอยในโครงปืน แทนเข็มแทงชนวนแบบนกสับเช่นก่อน

    โมเดล 629 คลาสสิค มิได้เป็นแค่สินค้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีมากกว่าโมเดล 29 และโมเดล 629 เท่านั้น

    ในเชิงการตลาดถือว่าเป็นการ “ยกระดับ” สินค้า(Product Repositioning)ให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง ราคาแพงขึ้นตามคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับชื่อยี่ห้อและตัวสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อตลาดระดับไฮเอ็น(High-end) คือ เศรษฐีและนักสะสมปืน

    ดังนี้ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 คลาสสิค ยุคหลังๆจึงมีสินค้ารุ่นพิเศษสู่ตลาด อาทิ แม๊กน่าคลาสสิค(MagnaClassic), วี-ค้อมพ์(V-Comp), สเต็ลท์ฮันเตอร์(Stealth Hunter), ฯลฯ เป็นต้น รวมทั้งความยาวลำกล้อง 7 ½ นิ้วฟุตที่มาคั่นกลางเป็นทางเลือกใหม่ ระหว่างลำกล้อง 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต อีกด้วย

    บทวิพากย์….
    ในแง่มุมของนักสะสมปืน(Gun Collectors) ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ไม่สามารถลงพิมพ์ในจำนวนหน้ากระดาษจำกัดนี้ได้หมด เช่น รุ่นลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต, เมาเท่นกันส์(Mountain Gun), และอื่นๆ

    แต่ในมุมของผู้ใช้ปืนทั่วไปก็พอที่จะใช้เนื้อที่หน้ากระดาษที่เหลือนั่งจับเข่าคุยกันได้ดังนี้ครับ

    คำถาม: “ใครบ้างที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม? และทำไมต้องเป็นสมิธแอนด์เวสสัน?”

    ตอบ: แม้กระสุนสี่สี่แม็กนั่มจะออกแบบมาแต่อ้อนออกให้ใช้กับปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น เพื่อกีฬาล่าสัตว์และป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายในงานสำรวจท่องเที่ยวป่า

    แต่กลุ่มผู้ซื้อปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้ส่วนมากกลับเป็นนักสะสมปืน นักเลงปืน และตำรวจทหารตามชายแดนหรือในท้องที่ทุรกันดาร ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมืองไทย

    ด้วยราคาตัวปืนและกระสุนที่แพงกว่าปืนอื่นในตลาด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม ก็คือ คนที่มีใจรักปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้จริงๆ

    ขณะที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม คลอดสู่ตลาดเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ก็มีบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ รูเก้อร์ (Ruger) สหรัฐอเมริกา ผลิตปืนสั้นที่ใช้กระสุนขนาดเดียวกันนี้ออกแข่งตลาด แต่เป็นปืนสั้นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น(Single Action Revolver)

    นัยว่า เป็นเพราะพนักงานของบริษัทผลิตกระสุนเรมิงตันนำปลอกกระสุนขนาดใหม่ล่านี้ไปให้รูเก้อร์

    ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีปืนสั้นหลายยี่ห้อที่แข่งค้ากับปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มของสมิธฯ เช่น โค้ลท์ อะนาคอนด้า(Colt Anaconda), รูเก้อร์ ซูเปอร์ เรดฮอว์ก(Ruger Super Redhawk)ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น, รูเก้อร์ ซูเปอร์ แบล็คฮอว์ก(Ruger Super Blackhawk)ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น, ฯลฯ

    ยังไม่นับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Automatic Pistol)ชื่อดังที่ใช้กระสุนสี่สี่แม๊กนั่มของปืนสั้นลูกโม่ เช่น เดสเสิร์ต อีเกิ้ล (IMI Desert Eagle), และอื่นๆ เป็นต้น

    แต่ที่เมืองนอกเมืองไทยพูดกันมากที่สุด ก็คือ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29, 629 และ 629 คลาสสิค ประณีตแม่นยำที่สุดในกระบวนปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มด้วยกัน

    ถาม: “ปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มใช้กระสุนอื่นยิงแทนได้ไหมในเมื่อไม่มีลูกซ้อมยิง?”

    ตอบ: ได้ คือ .44 สเปเชี่ยล(.44 S&W Special) ที่ปลอกหรือนัดกระสุนสั้นกว่าสี่สี่แม็กนั่มนิดเดียว (0.125 นิ้วฟุต)

    ทำนองเดียวกับที่เราใช้กระสุนสามแปดสเปฯ (.38 Special) ยิงซ้อมมือกับปืนสั้นลูกโม่สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum) เพราะขนาดหน้าตัดหัวกระสุนและความโตของปลอกกระสุนใกล้เคียงกันมาก แต่หลักการนี้ใช้ได้เฉพาะปืนสั้นลูกโม่เท่านั้น ปืนพกกึ่งอัตโนมัติหรือปืนสั้นออโตเมติคจะมีปัญหา

    ถาม: “สมมุติว่าขอใบอนุญาตและซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มมาได้แล้วจะไปยิงซ้อมที่สนามยิงปืนที่ไหน?”

    ตอบ: เดี๋ยวนี้ยากมากครับ สนามยิงปืนของราชการและเอกชนทั่วไปในบ้านเราไม่ค่อยอนุญาตให้ยิงปืนกระสุนสี่สี่แม็กนั่ม ซึ่งรวมทั้งปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ด้วย

    ปืนกระสุนดุที่อนุญาตให้ยิงซ้อมกันในสนาม อย่างมากก็แค่สิบเอ็ดมอมอ(.45 ACP), ลูกซองกระสุนลูกปราย, สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum)เป็นบางสนาม จริงๆจังๆก็คงเป็นสนามยิงปืนของทหารที่ Backstop (กำแพงหยุดกระสุนหลังเป้า) เตรียมไว้สำหรับเอ็ม 16 ก็พอจะพูดคุยขอกันได้บ้าง

    ถาม: “สี่สี่แม็กนั่มกระสุนนอกราคานัดละเท่าไร? กระสุนไทยมีผลิตไหม?”

    ตอบ: กระสุนสี่สี่แม็กนั่มที่พอจะหาซื้อได้ในตลาดปืนบ้านเรามีค่อนข้างน้อยมาก ถ้ามีก็ตกนัดละเกือบๆร้อยบาทหรือกว่านี้ เท่าที่ทราบ สี่สี่แม็กนั่มไม่มีผลิตขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะขาดวัสดุและดินปืนที่ต้องขออนุญาตกลาโหมเพื่อนำเข้า ยอดจำหน่ายมีแค่นิดเดียว จึงไม่คุ้มที่จะผลิตในประเทศไทย

    ถาม: “ที่ว่า ปืนสมิธฯสี่สี่แม็กนั่มแม่นยำกว่าปืนอื่นนั้นเป็นอย่างไร?”

    ตอบ: จากบทความต่างประเทศ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 แม็กน่าคลาสสิค ลำกล้องยาว 8 3/8 นิ้วฟุต ยิงด้วยกระสุน Garrett Cartridges หัวกระสุนหนัก 320 เกรน ความเร็วต้น 1,315 ฟุต/วินาที จากระยะยิง 25 หลา(ประมาณ 23 เมตร)จำนวน 6 นัดทำกลุ่มกระสุนได้ 1 นิ้วฟุต

    กระสุน Carbon Hunter หัวกระสุนหนัก 260 เกรน หัวรู(Hollow Point) ความเร็วต้น 1,450 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,214 ฟุต-ปอนด์ ระยะยิง 25 หลา จำนวน 6 นัดทำกลุ่มได้ 1x2 นิ้วฟุต

    ทั้งนี้ยังไม่มีการยิงพิสูจน์ความแม่นยำเทียบระหว่าง Smith&Wesson, Colt Anaconda, Ruger Super Redhawk ทั้งเมืองนอกและในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

    ถาม: “ถ้าจะซื้อปืนสั้นลูกโม่สี่สี่แม็กนั่มสักกระบอกในชีวิตจะเลือกอะไรดี?”

    ตอบ: ถ้าเลือกความประณีตแม่นยำ(Precision/Accuracy)ก็ต้องสมิธแอนด์เวสสัน ถ้าชอบความแข็งแรงบึกบึนทนทาน(Strong, Durability & Reliability)ก็ต้องฟันธงว่ารูเก้อร์ ส่วนอะนาคอนด้า(Anaconda)เป็นอะไรๆ ที่ต้องเป็นยี่ห้อโค้ลท์ไว้ก่อน

    ถาม: “ปืนสั้นลูกโม่เล่นกระสุนสี่สี่แม็กนั่มแบบไหนดี?”

    ตอบ: นักเลงสี่สี่แม็กนั่มตัวจริงจะเล่นกระสุน “หัวตัน-หัวหนัก” ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Jacketed Soft Point, Semi-Wadcutter, Flat/Leaded Nose, รวมทั้งกระสุนพิเศษซาบ้อต(Sabot)

    จากประสบการณ์ส่วนตัว สี่สี่แม็กนั่มหัวรู น้ำหนัก 240 เกรน แม้จะมีความเร็วสูงถึงขั้น 1,400 ฟุต/วินาที จะมีปัญหา “เหินลม” ทำให้วิถีกระสุน(Trajectory)ไม่ราบเรียบไม่แม่นยำเท่าควร

    ขณะที่กระสุนหัวตัน น้ำหนักหัวกระสุนมากๆ (หรือบางทีก็น้ำหนัก 240 เกรนเท่ากัน) แต่ปลอกกระสุนมีเข็มขัดรัดหรือรอยย้ำ 2 แถว แม้ความเร็วน้อยกว่าแต่ให้ความแม่นยำหนักแน่นสูงกว่ามาก เรียกว่าได้ใจทุกนัดไป ข้อเสีย คือ ยิงสะบัดกัดมือมากกว่ากระสุนรุ่นใหม่ๆ ประมาณ +15%-20%

    ถาม: “ปืนสี่สี่แม็กนั่มต้องระวังอะไรบ้าง? ติดศูนย์กล้องดีไหม?”

    ตอบ: ข้อหนึ่ง-ถ้าเป็นเหล็กสแตนเลส เช่น โมเดล 629 และ 629 คลาสสิค ควรใส่กล่องเก็บหรือไม่ก็ตัดซองหนังใส่ปืนเก็บรักษา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว ที่เกิดขึ้นเพราะผิวเหล็กสแตนเลสเนื้ออ่อนกว่าเหล็ก

    ข้อสอง-ไม่ควรใช้ยาขัดโลหะชนิดที่มีสารชะล้าง(Solven)ขัดถูกตัวปืน เพราะจะทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักด้วยเลเซอร์เคลือบสีทองไว้ลางเลือนจางหาย

    ข้อสาม-หมั่นตรวจขันหมุดสกรูที่ตัวปืนทั้งก่อนและหลังการยิง เนื่องจากแรงสะบัดสะท้อนรุนแรงทำให้หมุดสกรูคลายตัวและอาจหลุดกระเด็นหาย

    ข้อสี่-ถึงจะหาซื้อกระสุนได้มากก็ไม่ควรยิงเล่นบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตัวปืนทรุดโทรมเร็วกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย

    ข้อห้า-อย่านำมายิงแห้งหรือเหนี่ยวไกเล่น(โดยไม่บรรจุกระสุนในตัวปืน)บ่อยๆ กลไกปืนอาจชำรุดเสียหาย โดยเฉพาะเข็มแทงชนวนอาจหักโดยไม่รู้ตัว

    ข้อหก-ติดศูนย์กล้องเล็งได้ในกำลังขยายภาพไม่เกิน 4 เท่า สูงกว่านั้นจะเล็งยิงได้ลำบาก มือสั่นสายตาพร่ามัวเพราะไม่กล้าลั่นกระสุน(เพราะภาพมันฟ้องว่าศูนย์ปืนไม่เข้าเป้าเนื่องจากมือผู้ยิงสั่นไปมา) แต่สุดท้ายก็ต้องถอดศูนย์กล้องเล็งออกเพราะรู้สึกเกะกะหนักตัวปืนเปล่าๆ

    สรุปท้ายเรื่อง...

    สมิธแอนด์เวสสัน สี่สี่แม็กนั่ม เป็นทรัพย์สมบัติที่คู่ควรต่อผู้มีบารมีและนักสะสมปืนมากกว่าการมีใช้เพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตทรัพย์สิน ไม่ใช่ปืนสั้นประจำกายอย่างแน่นอน แต่จะเหมาะที่สุดในกรณีท่องไพรสำรวจป่าที่พกไว้ข้างเอวหรือข้างสีข้างลำตัวเพื่อป้องกันสัตว์เขี้ยวยาวดุร้ายต่างๆ

    แม้ปัจจุบัน ตลาดปืนโลกจะมี “ปืนโหดกระสุนดุ” รุ่นใหม่ๆที่มีอานุภาพสูงกว่าสี่สี่แม็กนั่ม ไม่ว่าจะเป็น .454 Casull, .460 S&W Magnum, .500 S&W Magnum, และอื่นๆ แต่

    “สี่สี่แม็กนั่มยังจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักเล่นปืนตลอดไป”
    ขอบคุณครับ...

    Smith&Wesson Model 629 .44 Magnum โดย. พีระพงษ์ กลั่นกรอง เมื่อ คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด (Clint Eastwood) ในบทของสารวัตรมือปราบ ฮาร์รี่ คาลาแฮน (Harry Callahan) พูดกับคนร้ายในฉากแรกของภาพยนต์เรื่อง “มือปราบปืนโหด” หรือ Dirty Harry ภาพยนต์ซีรี่ส์บู้แอ๊คชั่นที่ยิงกันสนั่นจอเรื่องที่โด่งดังที่สุดในโลกเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ด้วยทุนสร้าง 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มือปราบปืนโหด(ภาคแรก-ปีค.ศ.1971)ทำรายได้สูงถึง 35 ล้านเหรียญ, ภาคที่สอง คือ Magnum Force (ปี 1973), ภาคที่สาม-The Enforcer (ปี 1976), ภาคที่สี่-Sudden Impact (ปี 1983), และภาคสุดท้าย คือ The Dead Pool (ปี 1988) ไม่ว่าภาพยนต์เรื่องนี้จะออกมากี่ภาคก็ตาม ผลตอบรับ ก็คือ ปลุกกระแสความนิยมปืน “สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม” จนตลาดปืนทั่วโลกยอดขายถล่มทลาย แม้ว่าบริษัทผลิตปืนสมิธฯกำลังจะขุดหลุมฝัง(เลิกผลิต)ปืนสั้นกระสุนโหดรุ่นนี้อยู่ก่อนหน้านั้นก็ตาม ................ อเมริกัน ได้ชื่อว่าเก่งในเรื่องการต่อสู้ด้วยอาวุธปืน เรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน นับแต่ครั้งที่ต่อสู้แย่งผืนดินที่ทำกินกับอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ จนกระทั่งถึงสงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง-สอง และสงครามเวียดนาม อานุภาพกระสุนปืน(อำนาจหยุดยั้ง, ประหัตประหาร, และทะลุทะลวง)เป็นข้อสำคัญประการแรกสำหรับงานล่า ป้องกันตัว และจู่โจม ความแม่นยำเป็นอันดับที่สองโดยเฉพาะกรณีที่ระยะยิงตั้งแต่ 75 หลา(หรือ 68.6 เมตร)ขึ้นไป หรือในระยะที่ความหนาของใบศูนย์หน้าใหญ่ทับเป้าหรือตัวคน ดังที่ทราบกัน โดยหลักการ การเพิ่มอานุภาพกระสุนปืนมากขึ้นได้ก็ต้องอาศัย หนึ่ง-แรงดันในรังเพลิง(Chamber Pressure) ซึ่งจะให้ประโยชน์โดยปริยายในข้อที่สอง-คือ ความเร็วหัวกระสุน(Velocity), สาม-รูปแบบหัวกระสุน(Bullet type), ส่วนข้อที่สี่ คือ ขนาด-น้ำหนักหัวกระสุน(Bore & Weight) นั้น กลายเป็นเรื่องท้ายสุด หากว่าความเร็วกระสุนเกิน 3,000 ฟุตต่อวินาทีขึ้นไป ก็จะเกิดแรงปะทะคลื่นอากาศหรือ Shock Wave ทำให้บาดแผลแหกฉกรรจ์และกระเด็นล้มคว่ำได้ทันใด ยกตัวอย่าง กระสุนเอ็ม 16 หรือกระสุนปืนไรเฟิลล่าสัตว์ขนาด .223 หรือ 5.56x45 ม.ม.นาโต้(NATO) หัวกระสุนเล็กเท่ากับกระสุนลูกกรด คือ .22 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 55 เกรนมากกว่ากระสุนลูกกรด(40 เกรน)นิดเดียว ความเร็วต้น 3,250 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,325 ฟุต-ปอนด์ ฯลฯ เป็นต้น “สี่สี่แม็กนั่ม” หรือในชื่อเป็นทางการว่า .44 Remington Magnum เมื่อ 40 ปีที่แล้วเป็นกระสุนปืนสั้นที่อานุภาพเอกอุที่สุดในโลก(The Most Powerful Handgun in the World) ประดิษฐ์คิดค้นโดย เอลเม่อร์ คีธ (Elmer Keith) นักเขียนเรื่องปืนและนักผจญภัยกลางแจ้ง(Outdoor Adventurer)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกับบริษัทผลิตปืน สมิธแอนด์เวสสัน(Smith&Wesson)และบริษัทปืนและกระสุนยี่ห้อเรมิงตัน(Remington) ผลิตจำหน่ายในปีค.ศ.1955 (ปีพ.ศ.2498) จนปัจจุบัน เอลเม่อร์ คีธ นำกระสุนขนาด “สี่สี่-สเปเชี่ยล” หรือ .44 S&W Special (ผลิตในปีค.ศ.1907 แรงดันรังเพลิง 15,500 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.16 นิ้วฟุต น้ำหนักหัวกระสุน 246 เกรน ความเร็วต้น 755 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 310 ฟุต-ปอนด์) มาทดลองพัฒนาเพิ่มแรงดันในรังเพลิง ซึ่งก็หมายถึงกระสุนความเร็วสูงโดยปริยาย เพื่อให้เป็น “สี่สี่-แม็กนั่ม” โดยไม่คิดนำกระสุนหน้าตัดใหญ่ที่โด่งดังในยุคโคบาลตะวันตก(Wild Western) คือ “สี่ห้า-โค้ลท์” หรือ .45 Colt (ผลิตในปีค.ศ.1872 แรงดันรังเพลิง 14,000 ปอนด์/ตร.นิ้วฟุต ปลอกกระสุนยาว 1.285 นิ้วฟุต หัวกระสุนหนัก 250 เกรน ความเร็วต้น 929 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 479 ฟุต-ปอนด์ และแบบ Buffalo Bore หัวกระสุนหนัก 325 เกรน ความเร็วต้น 1,325 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,267 ฟุต-ปอนด์) มาพัฒนา หลักการง่ายๆ ก็คือ กระสุนหน้าตัดใหญ่(Big Bore), หัวกระสุนหนักอึ้ง(Heavy Bullet), และ กระสุนความเร็วสูง(Higher Velocity) เปรียบง่ายๆว่า ซุงหนึ่งต้นหนัก 500 กิโลกรัมวางไว้เฉยๆข้างถนน รถยนต์ที่พุ่งชนต้นซุงต้นนี้ย่อมเสียหายน้อยกว่าการที่ถูกต้นซุงพุ่งมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม.ชนเข้ากับรถยนต์ที่จอดอยู่เฉยๆ (อ่านและคิดทบทวนอีกครั้งนะครับ) วัตถุประสงค์หลักในการประดิษฐ์คิดค้น ก็เพื่อล่าสัตว์เท้ากีบขนาดเขื่อง เช่น กวางเอ้ลค์(Elk) สูงถึงหัวไหล่ 1.50 เมตร หนักประมาณ 250-450 กิโลกรัม จนกระทั่งถึงควายป่าที่เรียกว่า Cape Buffalo ที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่น้ำหนักไม่มากเท่ากระทิงในบ้านเรา โดยการยิงจากปืนสั้นลูกโม่ลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต จึงเป็นจุดกำเนิดปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น Smith&Wesson Model 29 สมิธแอนด์เวสสัน “สี่สี่-แม็กนั่ม” 56 ปีมาแล้วที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น(Double-Action Revolver) กระสุนสี่สี่แม็กนั่มผลิตจำหน่าย อันที่จริงก็ด้วยวัตถุประสงค์ของการล่าสัตว์ด้วยปืนสั้น ซึ่งเป็นความคลาสสิคและใช้ศิลปะการล่ามากกว่าปืนยาว ยิ่งปืนสั้นลูกโม่แม้จะลำกล้องยาว 7-8 นิ้วฟุต หากได้ติดศูนย์กล้องเล็งขยาย 4-8 เท่า ก็ยิ่งทวีความยากลำบากในการเล็งยิงมากขึ้น แม้ปืนโมเดลนี้(ซึ่งรวมทั้งกระสุนด้วย)จะขายดิบดีในช่วงต้นๆของการเปิดจำหน่ายก็ตาม แต่แล้วยอดขายก็ตกฮวบตามวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เช่นเดียวกับรถ 4x4 Off-Road เพราะมนุษย์หันมาอนุรักษ์สัตว์ป่าและธรรมชาติ ออกกำลังกายในร่มมากกว่ากีฬากลางแจ้งเช่นก่อน จนกระทั่ง ในปีค.ศ.1971 ที่ภาพยนต์บู้แอ๊คชั่นเรื่อง “มือปราบปืนโหด” ออกฉาย ทำให้ปืนและกระสุนสี่สี่แม๊กนั่มกลับขายดีถล่มทลาย เพราะผู้ชายส่วนมากอย่างเก่งกล้าหรือมีอาวุธที่อานุภาพเอกอุเหมือนพระเอก คลิ้นท์ อี้สต์วู้ด นั้น จะเป็นกลยุทธ์การตลาดเช่นเดียวกับที่ภาพยนต์เรื่อง เจมส์ บอนด์ ปลุกกระแสความนิยมรถสปอร์ตอังกฤษยี่ห้อ แอสตัน มาร์ติน(Aston Martin) เป็นเหตุผลอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 -ปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นบรรจุกระสุน 6 นัด โครงปืนใหญ่(S&W N-Frame) -ลูกโม่หมุนทวนเข็มนาฬิกา(Anti-Clockwise) -กระสุนปืนสั้นลูกโม่ชนวนกลาง(Revolver/Center-Fire Cartridge)ขนาด .44 Remington Magnum -ตัวปืนเสนอตลาดด้วย 7 ขนาดความยาวลำกล้อง ได้แก่ 3, 4, 5, 6, 6 ½ , 8 3/8 และหลังสุด 10 5/8 นิ้วฟุต -เฉพาะลำกล้อง 5 นิ้วฟุตเท่านั้นที่ฟักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนยาวเต็มความยาวลำกล้องหรือ Full Barrel Length Underlug โมเดล 29 เสนออยู่ 2 แบบ ได้แก่ แบบรมดำผิวหนา(Highly Polished Blued Finish) กับแบบนิเกิ้ลโครเมี่ยม(Nickle-Plated Surface) ในปีค.ศ.1960 โมเดล 29-1 ผลิตสู่ตลาดภายใต้การปรับปรุงด้านเทคนิคเล็กน้อย อาทิ สกรูยึดก้านกระทุ้งปลอกกระสุน(Ejector Rod Screw) ให้หลังหนึ่งปี โมเดล 29-2 ก็ปรากฏสู่ตลาดโดยเพิ่มสกรูตัวขันยึดความแน่นหนาให้กับสปริงสลักล็อคลูกโม่(Cylinder Stop Spring) ในปีค.ศ. 1979 หั่นลำกล้องจาก 6 ½ เหลือแค่ 6 นิ้วฟุต ทั้งโมเดล 29-1 และ 29-2 เพิ่มเทคนิคพิเศษอีกนิดนึง คือ ตัวลำกล้องขันเกลียวยึดแน่นกับโครงปืนพร้อมหมุดตอกย้ำ ส่วนตัวลูกโม่เซาะร่องฝังจานคัดปลอกกระสุนให้เรียบหน้าโม่ เรียกเทคนิคนี้ว่า Pinned & Recessed Model ปีค.ศ.1967-1971 บริษัทสนับสนุนทางยุทโธปกรณ์สหรัฐอเมริกา ชื่อ AAI Corporation (Aircraft Armaments, Inc.) สั่งผลิตปืนสมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 จำนวนหนึ่ง ลำกล้องสั้นแค่ 1.375 นิ้วฟุต ใช้ยิงกับกระสุน .40 หรือว่า 10 มอมอ และกระสุนลูกซองขนาด .410 เพื่อใช้ในปฏิบัติการพิเศษที่เรียกว่า QAPR (Quiet Special Purpose Revolver) เพื่อให้ทหารอเมริกันบุกเข้าจู่โจมและตรวจค้น “ถ้ำรูหนู” หรือ Tunnel Rats ที่ทหารเวียดนามอาศัยเป็นช่องทางหลบหนีหลบซ่อน ในปีค.ศ. 1982 โมเดล 29-3 ยกเลิกเทคนิคพิเศษดังกล่าวเพิ่มลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต โดยหันมาใช้เทคนิค Crush-Fit Barrel หรือคล้ายๆกับ โคนลำกล้องตีปลอกฟิตแน่นกับโครงปืน ซึ่งได้ผลเท่าเทียมกันแต่ประหยัดต้นทุนและเวลาผลิตมากกว่า ในปีค.ศ.1988 (โมเดล 29-4) และปี 1990 (โมเดล 29-5) เสริมแรงให้กับชิ้นส่วนและโครงสร้างตัวปืนเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น โดยเฉพาะทนแรงดันรังเพลิงและแรงสะบัดสะท้อนจากกระสุนแรงสูงสมัยใหม่ ปีค.ศ.1994 โมเดล 29-6 ผลิตจำหน่ายพร้อมกับด้ามยาง Monogrip กระชับมือยี่ห้อ ฮ้อว์ก(Hogue) สันบนโครงปืนมีรูไว้สำหรับขันสกรูติดตั้งศูนย์กล้องล่าสัตว์ ในปีค.ศ.1998 โมเดล 29-7 ออกตลาดภายใต้การปรับปรุงชิ้นส่วนลั่นไก เช่น เข็มแทงชนวน, นกปืน, ไกปืน, ฯลฯ ล้วนผลิตจากกรรมวิธีฉีดโลหะขึ้นรูป(Metal Injection Molding Process) เพื่อป้องกันปัญหาแตกหักขณะใช้งานหนัก สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 ถูกยกเลิกการผลิตไปอย่างถาวรในปีค.ศ.1999 ด้วยเหตุผลของอายุสินค้า(Model Life)ในเชิงการตลาด ปัจจุบัน ทั้งตลาดนอกและตลาดไทย นักเล่นปืนต่างมองหาสี่สี่แม็กนั่มรุ่นนี้ไว้สะสม เพราะตัวปืนมีความสวยงามมากกว่าปืนรุ่นใหม่ของสมิธฯ โดยเฉพาะ โมเดล 29 ในรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี (50th Anniversary Model 29) ที่ผลิตขึ้นจำกัดจำนวนเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2006 ลักษณะพิเศษ ได้แก่ ลูกโม่กลมกลึงไม่มีร่อง(Non-Fluted Cylinder), สลักลายทองด้วยแสงเลเซอร์บนตัวปืน, ระบบสลักนิรภัยภายใน(Interlock Mechanism), ฯลฯ วันที่ 1 มกราคมปี 2007 โมเดล 29 คลาสสิคไลน์ รุ่นพิเศษแกะลายสวยหรู(Engraved Model) สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” ในยุคที่โลหะวิทยาหันมาสนใจเหล็กสแตนเลส(Stainless Steel)กันอย่างบ้าคลั่ง ด้วยคุณสมบัติบางประการที่ให้ประโยชน์ใช้งานเหนือกว่าเหล็ก(Steel) เช่น ไม่เป็นสนิมเหล็ก, ทนสภาวะกัดกร่อนได้สูง(Anti-Corrosion), เนื้อโลหะเหนียวแน่น(High-Density)จากการหล่อขึ้นรูปได้มากกว่า, เนื้อผิวสวยงามดูน่าใช้น่าจับต้องมากกว่า, ฯลฯ สมิธแอนด์เวสสัน “โมเดล 629” จึงกำเนิดขึ้นมาด้วยเหล็กสแตนเลสแทนโมเดล 29 ที่เป็นเหล็ก ด้วยประการเช่นนี้ โมเดล 629 สี่สี่แม็กนั่ม เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ.1978 ในขนาดลำกล้องยาว 6 นิ้วฟุต ส่วนลำกล้อง 4 และ 8 3/8 นิ้วฟุตออกสู่ตลาดในปีค.ศ.1980 ในปีค.ศ.1982 โมเดล 629-1 ใช้เทคนิคพิเศษ Crush-Fit Barrel ตามอย่างโมเดล 29-3 ในปีค.ศ.1988 โมเดล 629-1 เพิ่มรุ่นพิเศษลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต ส้นด้ามมน(Round Butt) ชิ้นส่วนกลไกภายในเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับโมเดล 29-4 กรณีที่ตัวปืนปั๊ม 629-2E นั่นหมายถึงว่า บานพับหน้าลูกโม่หรือ Cylinder Crane ปรับให้ผิวเนื้อมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ปีค.ศ.1990 โมเดล 629-3 มาในรูปแบบของด้ามยางฮ้อว์ก(Hogue), สันบนโครงปืนมีสกรูพร้อมติดตั้งศูนย์กล้องเล็ง, เปลี่ยนก้านกระทุ้งปลอกกระสุน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโมเดล 629-4 ที่เปิดตัวภายหลังในคุณสมบัติของปืนสั้นแข่งขันยิงเป้ามากขึ้น อาทิ นกปืน-ไกปืนใหญ่แบบปืนสั้นแข่งขันยิงเป้า, ศูนย์หน้ากระโดงปลาแถบแดง(Red Ramp Front Sight), ใบศูนย์หลังเส้นขาว(White Outline Rear Sight), ฯลฯ เป็นต้น ในปีเดียวกันนี้(1990) โมเดล 629 คลาสสิค(Classic) เสนอตลาดด้วยรูปแบบของ “ฝักเต็ม” หรือ Full Barrel Underlug หมายถึง มีแท่งตันถ่วงน้ำหนักต่อจากฝักก้านกระทุ้งปลอกกระสุนใต้ลำกล้องยาวจรดปากกระบอกปืน ภายใต้รหัส 629-4s ลำกล้องยาว 5, 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต ปีค.ศ.1991 โมเดล 629 คลาสสิค ดีเอ๊กซ์ (629 Classic DX) ออกสู่ตลาดพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษเหนือใคร คือ เปลี่ยนใบศูนย์หน้าได้ 5 แบบ ปีค.ศ.1988 โมเดล 629-5 เปลี่ยนนกและไกปืน MIM และใช้เข็มแทงชนวนแบบฝังลอยในโครงปืน แทนเข็มแทงชนวนแบบนกสับเช่นก่อน โมเดล 629 คลาสสิค มิได้เป็นแค่สินค้ารุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีคุณภาพดีมากกว่าโมเดล 29 และโมเดล 629 เท่านั้น ในเชิงการตลาดถือว่าเป็นการ “ยกระดับ” สินค้า(Product Repositioning)ให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง ราคาแพงขึ้นตามคุณภาพสินค้า ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับชื่อยี่ห้อและตัวสินค้าให้สูงขึ้นเพื่อตลาดระดับไฮเอ็น(High-end) คือ เศรษฐีและนักสะสมปืน ดังนี้ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 คลาสสิค ยุคหลังๆจึงมีสินค้ารุ่นพิเศษสู่ตลาด อาทิ แม๊กน่าคลาสสิค(MagnaClassic), วี-ค้อมพ์(V-Comp), สเต็ลท์ฮันเตอร์(Stealth Hunter), ฯลฯ เป็นต้น รวมทั้งความยาวลำกล้อง 7 ½ นิ้วฟุตที่มาคั่นกลางเป็นทางเลือกใหม่ ระหว่างลำกล้อง 6 และ 8 3/8 นิ้วฟุต อีกด้วย บทวิพากย์…. ในแง่มุมของนักสะสมปืน(Gun Collectors) ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ไม่สามารถลงพิมพ์ในจำนวนหน้ากระดาษจำกัดนี้ได้หมด เช่น รุ่นลำกล้องสั้น 3 นิ้วฟุต, เมาเท่นกันส์(Mountain Gun), และอื่นๆ แต่ในมุมของผู้ใช้ปืนทั่วไปก็พอที่จะใช้เนื้อที่หน้ากระดาษที่เหลือนั่งจับเข่าคุยกันได้ดังนี้ครับ คำถาม: “ใครบ้างที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม? และทำไมต้องเป็นสมิธแอนด์เวสสัน?” ตอบ: แม้กระสุนสี่สี่แม็กนั่มจะออกแบบมาแต่อ้อนออกให้ใช้กับปืนสั้นลูกโม่ดับเบิ้ลแอ็คชั่น เพื่อกีฬาล่าสัตว์และป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายในงานสำรวจท่องเที่ยวป่า แต่กลุ่มผู้ซื้อปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้ส่วนมากกลับเป็นนักสะสมปืน นักเลงปืน และตำรวจทหารตามชายแดนหรือในท้องที่ทุรกันดาร ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเมืองไทย ด้วยราคาตัวปืนและกระสุนที่แพงกว่าปืนอื่นในตลาด ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่ม ก็คือ คนที่มีใจรักปืนสั้นกระสุนดุขนาดนี้จริงๆ ขณะที่ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29 สี่สี่แม็กนั่ม คลอดสู่ตลาดเมื่อ 56 ปีที่แล้ว ก็มีบริษัทผลิตปืนยี่ห้อ รูเก้อร์ (Ruger) สหรัฐอเมริกา ผลิตปืนสั้นที่ใช้กระสุนขนาดเดียวกันนี้ออกแข่งตลาด แต่เป็นปืนสั้นซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น(Single Action Revolver) นัยว่า เป็นเพราะพนักงานของบริษัทผลิตกระสุนเรมิงตันนำปลอกกระสุนขนาดใหม่ล่านี้ไปให้รูเก้อร์ ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีปืนสั้นหลายยี่ห้อที่แข่งค้ากับปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มของสมิธฯ เช่น โค้ลท์ อะนาคอนด้า(Colt Anaconda), รูเก้อร์ ซูเปอร์ เรดฮอว์ก(Ruger Super Redhawk)ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น, รูเก้อร์ ซูเปอร์ แบล็คฮอว์ก(Ruger Super Blackhawk)ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่น, ฯลฯ ยังไม่นับปืนพกกึ่งอัตโนมัติ(Semi-Automatic Pistol)ชื่อดังที่ใช้กระสุนสี่สี่แม๊กนั่มของปืนสั้นลูกโม่ เช่น เดสเสิร์ต อีเกิ้ล (IMI Desert Eagle), และอื่นๆ เป็นต้น แต่ที่เมืองนอกเมืองไทยพูดกันมากที่สุด ก็คือ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 29, 629 และ 629 คลาสสิค ประณีตแม่นยำที่สุดในกระบวนปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มด้วยกัน ถาม: “ปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มใช้กระสุนอื่นยิงแทนได้ไหมในเมื่อไม่มีลูกซ้อมยิง?” ตอบ: ได้ คือ .44 สเปเชี่ยล(.44 S&W Special) ที่ปลอกหรือนัดกระสุนสั้นกว่าสี่สี่แม็กนั่มนิดเดียว (0.125 นิ้วฟุต) ทำนองเดียวกับที่เราใช้กระสุนสามแปดสเปฯ (.38 Special) ยิงซ้อมมือกับปืนสั้นลูกโม่สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum) เพราะขนาดหน้าตัดหัวกระสุนและความโตของปลอกกระสุนใกล้เคียงกันมาก แต่หลักการนี้ใช้ได้เฉพาะปืนสั้นลูกโม่เท่านั้น ปืนพกกึ่งอัตโนมัติหรือปืนสั้นออโตเมติคจะมีปัญหา ถาม: “สมมุติว่าขอใบอนุญาตและซื้อปืนสั้นสี่สี่แม็กนั่มมาได้แล้วจะไปยิงซ้อมที่สนามยิงปืนที่ไหน?” ตอบ: เดี๋ยวนี้ยากมากครับ สนามยิงปืนของราชการและเอกชนทั่วไปในบ้านเราไม่ค่อยอนุญาตให้ยิงปืนกระสุนสี่สี่แม็กนั่ม ซึ่งรวมทั้งปืนไรเฟิลขนาดต่างๆ ด้วย ปืนกระสุนดุที่อนุญาตให้ยิงซ้อมกันในสนาม อย่างมากก็แค่สิบเอ็ดมอมอ(.45 ACP), ลูกซองกระสุนลูกปราย, สามห้าเจ็ดแม็กนั่ม(.357 Magnum)เป็นบางสนาม จริงๆจังๆก็คงเป็นสนามยิงปืนของทหารที่ Backstop (กำแพงหยุดกระสุนหลังเป้า) เตรียมไว้สำหรับเอ็ม 16 ก็พอจะพูดคุยขอกันได้บ้าง ถาม: “สี่สี่แม็กนั่มกระสุนนอกราคานัดละเท่าไร? กระสุนไทยมีผลิตไหม?” ตอบ: กระสุนสี่สี่แม็กนั่มที่พอจะหาซื้อได้ในตลาดปืนบ้านเรามีค่อนข้างน้อยมาก ถ้ามีก็ตกนัดละเกือบๆร้อยบาทหรือกว่านี้ เท่าที่ทราบ สี่สี่แม็กนั่มไม่มีผลิตขึ้นในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะขาดวัสดุและดินปืนที่ต้องขออนุญาตกลาโหมเพื่อนำเข้า ยอดจำหน่ายมีแค่นิดเดียว จึงไม่คุ้มที่จะผลิตในประเทศไทย ถาม: “ที่ว่า ปืนสมิธฯสี่สี่แม็กนั่มแม่นยำกว่าปืนอื่นนั้นเป็นอย่างไร?” ตอบ: จากบทความต่างประเทศ สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล 629 แม็กน่าคลาสสิค ลำกล้องยาว 8 3/8 นิ้วฟุต ยิงด้วยกระสุน Garrett Cartridges หัวกระสุนหนัก 320 เกรน ความเร็วต้น 1,315 ฟุต/วินาที จากระยะยิง 25 หลา(ประมาณ 23 เมตร)จำนวน 6 นัดทำกลุ่มกระสุนได้ 1 นิ้วฟุต กระสุน Carbon Hunter หัวกระสุนหนัก 260 เกรน หัวรู(Hollow Point) ความเร็วต้น 1,450 ฟุต/วินาที แรงปะทะต้น 1,214 ฟุต-ปอนด์ ระยะยิง 25 หลา จำนวน 6 นัดทำกลุ่มได้ 1x2 นิ้วฟุต ทั้งนี้ยังไม่มีการยิงพิสูจน์ความแม่นยำเทียบระหว่าง Smith&Wesson, Colt Anaconda, Ruger Super Redhawk ทั้งเมืองนอกและในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถาม: “ถ้าจะซื้อปืนสั้นลูกโม่สี่สี่แม็กนั่มสักกระบอกในชีวิตจะเลือกอะไรดี?” ตอบ: ถ้าเลือกความประณีตแม่นยำ(Precision/Accuracy)ก็ต้องสมิธแอนด์เวสสัน ถ้าชอบความแข็งแรงบึกบึนทนทาน(Strong, Durability & Reliability)ก็ต้องฟันธงว่ารูเก้อร์ ส่วนอะนาคอนด้า(Anaconda)เป็นอะไรๆ ที่ต้องเป็นยี่ห้อโค้ลท์ไว้ก่อน ถาม: “ปืนสั้นลูกโม่เล่นกระสุนสี่สี่แม็กนั่มแบบไหนดี?” ตอบ: นักเลงสี่สี่แม็กนั่มตัวจริงจะเล่นกระสุน “หัวตัน-หัวหนัก” ไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น Jacketed Soft Point, Semi-Wadcutter, Flat/Leaded Nose, รวมทั้งกระสุนพิเศษซาบ้อต(Sabot) จากประสบการณ์ส่วนตัว สี่สี่แม็กนั่มหัวรู น้ำหนัก 240 เกรน แม้จะมีความเร็วสูงถึงขั้น 1,400 ฟุต/วินาที จะมีปัญหา “เหินลม” ทำให้วิถีกระสุน(Trajectory)ไม่ราบเรียบไม่แม่นยำเท่าควร ขณะที่กระสุนหัวตัน น้ำหนักหัวกระสุนมากๆ (หรือบางทีก็น้ำหนัก 240 เกรนเท่ากัน) แต่ปลอกกระสุนมีเข็มขัดรัดหรือรอยย้ำ 2 แถว แม้ความเร็วน้อยกว่าแต่ให้ความแม่นยำหนักแน่นสูงกว่ามาก เรียกว่าได้ใจทุกนัดไป ข้อเสีย คือ ยิงสะบัดกัดมือมากกว่ากระสุนรุ่นใหม่ๆ ประมาณ +15%-20% ถาม: “ปืนสี่สี่แม็กนั่มต้องระวังอะไรบ้าง? ติดศูนย์กล้องดีไหม?” ตอบ: ข้อหนึ่ง-ถ้าเป็นเหล็กสแตนเลส เช่น โมเดล 629 และ 629 คลาสสิค ควรใส่กล่องเก็บหรือไม่ก็ตัดซองหนังใส่ปืนเก็บรักษา เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว ที่เกิดขึ้นเพราะผิวเหล็กสแตนเลสเนื้ออ่อนกว่าเหล็ก ข้อสอง-ไม่ควรใช้ยาขัดโลหะชนิดที่มีสารชะล้าง(Solven)ขัดถูกตัวปืน เพราะจะทำให้ตัวอักษรที่แกะสลักด้วยเลเซอร์เคลือบสีทองไว้ลางเลือนจางหาย ข้อสาม-หมั่นตรวจขันหมุดสกรูที่ตัวปืนทั้งก่อนและหลังการยิง เนื่องจากแรงสะบัดสะท้อนรุนแรงทำให้หมุดสกรูคลายตัวและอาจหลุดกระเด็นหาย ข้อสี่-ถึงจะหาซื้อกระสุนได้มากก็ไม่ควรยิงเล่นบ่อยๆ เพราะจะทำให้ตัวปืนทรุดโทรมเร็วกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย ข้อห้า-อย่านำมายิงแห้งหรือเหนี่ยวไกเล่น(โดยไม่บรรจุกระสุนในตัวปืน)บ่อยๆ กลไกปืนอาจชำรุดเสียหาย โดยเฉพาะเข็มแทงชนวนอาจหักโดยไม่รู้ตัว ข้อหก-ติดศูนย์กล้องเล็งได้ในกำลังขยายภาพไม่เกิน 4 เท่า สูงกว่านั้นจะเล็งยิงได้ลำบาก มือสั่นสายตาพร่ามัวเพราะไม่กล้าลั่นกระสุน(เพราะภาพมันฟ้องว่าศูนย์ปืนไม่เข้าเป้าเนื่องจากมือผู้ยิงสั่นไปมา) แต่สุดท้ายก็ต้องถอดศูนย์กล้องเล็งออกเพราะรู้สึกเกะกะหนักตัวปืนเปล่าๆ สรุปท้ายเรื่อง... สมิธแอนด์เวสสัน สี่สี่แม็กนั่ม เป็นทรัพย์สมบัติที่คู่ควรต่อผู้มีบารมีและนักสะสมปืนมากกว่าการมีใช้เพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตทรัพย์สิน ไม่ใช่ปืนสั้นประจำกายอย่างแน่นอน แต่จะเหมาะที่สุดในกรณีท่องไพรสำรวจป่าที่พกไว้ข้างเอวหรือข้างสีข้างลำตัวเพื่อป้องกันสัตว์เขี้ยวยาวดุร้ายต่างๆ แม้ปัจจุบัน ตลาดปืนโลกจะมี “ปืนโหดกระสุนดุ” รุ่นใหม่ๆที่มีอานุภาพสูงกว่าสี่สี่แม็กนั่ม ไม่ว่าจะเป็น .454 Casull, .460 S&W Magnum, .500 S&W Magnum, และอื่นๆ แต่ “สี่สี่แม็กนั่มยังจะเป็นเพื่อนที่ดีของนักเล่นปืนตลอดไป” ขอบคุณครับ...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไวรัลตามล่าลายเซ็นูปฉลามของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบนพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ

    3 ตุลาคม 2567-เพจประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เปิดที่มาลายเซ็นรูปฉลามสุดไวรัล ของ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน เจ้าหน้าที่เอราวัณสุดสร้างสรรค์ ที่หลายคนอยากมีไว้ในพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ

    กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ กับการตามล่าลายเซ็นเจ้าหน้าที่บนพาสปอร์ต ซึ่งเป็นลวดลายสุดครีเอทเป็นรูปฉลาม

    กระแสการออกตามล่าลายเซ็นสุดสร้างสรรค์ของเจ้าหน้าที่อุทยานนี้ กำลังได้รับความนิยมใน TikTok มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไปเที่ยวตามรอย ตามหาเจ้าหน้าที่ที่มีลายเซ็นเป็นรูปฉลาม

    สำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คนดังกล่าวประจำการอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ รับผิดชอบงานด้านการประชาพันธ์และเผยแพร่ ชื่อ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน

    โฟนได้ทำคลิปตอบคำถามถึงที่มาของลายเซ็นดังกล่าวว่า ไม่เคยคาดคิดว่าลายเซ็นที่ออกแบบไว้มันจะกลายเป็นไวรัลได้ ตอนแรกตั้งใจอยากจะมีลายเซ็นที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเอง เมื่อก่อนเคยเซ็นเป็นชื่อจริงของตัวเอง คือรชพล แต่เขียน ร.เรือเป็นหัวของฉลามออกมาไม่สวย ก็เลยลองเปลี่ยนเป็นนามสกุล ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัว S ซึ่งมันสามารถเขียนวาดเป็นหัวฉลามได้ เริ่มมีการออกแบบมาเรื่อย ๆ เซ็นหมดกระดาษไปหลายแผ่น ตั้งใจให้มันออกมาเป็นรูปฉลามเลย เพราะเป็นสัตว์ทะเลที่ตนเองชอบมากที่สุด

    ก่อนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวเองเคยเป็นนักดำน้ำมาก่อน ชื่นชอบทะเล มีความรู้สึกผูกพันกับทะเลด้วยความที่เราชอบฉลามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ก็เลยทำให้อยากออกแบบ Signature ของตัวเอง สิ่งที่มันบ่งบอกความเป็นตัวเรานั่นก็คือลายเซ็น และลายเซ็นที่เซ็นออกมามันจะต้องกลายเป็นรูปฉลามให้ได้ นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเซ็นให้เป็นรูปฉลาม

    ใครอยากได้ลายเซ็นเท่ๆแบบนี้ โฟนจึงเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวอุทยานแห่งชาติกันเยอะ ๆ สามารถซื้อพาสปอร์ต และนำมาให้เจ้าหน้าที่ประทับตราและเซ็นชื่อได้เลย เห็นโฉมหน้าหล่อๆ เจ้าของลายเซ็นฉลามแล้ว ไปปักหมุดเที่ยวน้ำตก พร้อมล่าลายเซ็นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี กัน”

    #Thaitimes
    ไวรัลตามล่าลายเซ็นูปฉลามของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบนพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ 3 ตุลาคม 2567-เพจประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เปิดที่มาลายเซ็นรูปฉลามสุดไวรัล ของ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน เจ้าหน้าที่เอราวัณสุดสร้างสรรค์ ที่หลายคนอยากมีไว้ในพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ กับการตามล่าลายเซ็นเจ้าหน้าที่บนพาสปอร์ต ซึ่งเป็นลวดลายสุดครีเอทเป็นรูปฉลาม กระแสการออกตามล่าลายเซ็นสุดสร้างสรรค์ของเจ้าหน้าที่อุทยานนี้ กำลังได้รับความนิยมใน TikTok มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไปเที่ยวตามรอย ตามหาเจ้าหน้าที่ที่มีลายเซ็นเป็นรูปฉลาม สำหรับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คนดังกล่าวประจำการอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ รับผิดชอบงานด้านการประชาพันธ์และเผยแพร่ ชื่อ นายรชพล เสถียรุจิกานนท์ หรือโฟน โฟนได้ทำคลิปตอบคำถามถึงที่มาของลายเซ็นดังกล่าวว่า ไม่เคยคาดคิดว่าลายเซ็นที่ออกแบบไว้มันจะกลายเป็นไวรัลได้ ตอนแรกตั้งใจอยากจะมีลายเซ็นที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเอง เมื่อก่อนเคยเซ็นเป็นชื่อจริงของตัวเอง คือรชพล แต่เขียน ร.เรือเป็นหัวของฉลามออกมาไม่สวย ก็เลยลองเปลี่ยนเป็นนามสกุล ซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษที่ขึ้นต้นด้วยตัว S ซึ่งมันสามารถเขียนวาดเป็นหัวฉลามได้ เริ่มมีการออกแบบมาเรื่อย ๆ เซ็นหมดกระดาษไปหลายแผ่น ตั้งใจให้มันออกมาเป็นรูปฉลามเลย เพราะเป็นสัตว์ทะเลที่ตนเองชอบมากที่สุด ก่อนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวเองเคยเป็นนักดำน้ำมาก่อน ชื่นชอบทะเล มีความรู้สึกผูกพันกับทะเลด้วยความที่เราชอบฉลามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ก็เลยทำให้อยากออกแบบ Signature ของตัวเอง สิ่งที่มันบ่งบอกความเป็นตัวเรานั่นก็คือลายเซ็น และลายเซ็นที่เซ็นออกมามันจะต้องกลายเป็นรูปฉลามให้ได้ นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเซ็นให้เป็นรูปฉลาม ใครอยากได้ลายเซ็นเท่ๆแบบนี้ โฟนจึงเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวอุทยานแห่งชาติกันเยอะ ๆ สามารถซื้อพาสปอร์ต และนำมาให้เจ้าหน้าที่ประทับตราและเซ็นชื่อได้เลย เห็นโฉมหน้าหล่อๆ เจ้าของลายเซ็นฉลามแล้ว ไปปักหมุดเที่ยวน้ำตก พร้อมล่าลายเซ็นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี กัน” #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 711 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาสาดูแลเพื่อนสัตว์เดรัจฉาน
    ช่วยจัดเตรียมอาหารและทำความสะอาดบ้านของน้องๆ ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของน้องๆ สัตว์ป่าที่เคยถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างทำให้เจ้าของไม่สามารถเลี้ยงและนำมาบริจาคให้ทางสวนสัตว์ได้ดูแลต่อ มาที่นี่อาสาสมัครจะได้พบกับนกหลากหลายสายพันธุ์ งู ลิงมาร์โมเสท ลิงกระรอก เมียร์แคท และอื่นๆ โดยงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉานร่วมกับธนาคารจิตอาสา มาร่วมกันมอบความอบอุ่น เรียนรู้ชีวิตของน้องๆ ช่วยกันให้น้องๆ ได้อิ่มและมีบ้านที่สะอาด

    #thaitimesอาสา #สัตว์ป่า #อาสา #สยามโสภา

    https://youtu.be/zi_erNbhXco?si=JBmk6pIyoVTjtebm
    อาสาดูแลเพื่อนสัตว์เดรัจฉาน ช่วยจัดเตรียมอาหารและทำความสะอาดบ้านของน้องๆ ที่นี่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของน้องๆ สัตว์ป่าที่เคยถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างทำให้เจ้าของไม่สามารถเลี้ยงและนำมาบริจาคให้ทางสวนสัตว์ได้ดูแลต่อ มาที่นี่อาสาสมัครจะได้พบกับนกหลากหลายสายพันธุ์ งู ลิงมาร์โมเสท ลิงกระรอก เมียร์แคท และอื่นๆ โดยงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสวนสัตว์เพื่อนเดรัจฉานร่วมกับธนาคารจิตอาสา มาร่วมกันมอบความอบอุ่น เรียนรู้ชีวิตของน้องๆ ช่วยกันให้น้องๆ ได้อิ่มและมีบ้านที่สะอาด #thaitimesอาสา #สัตว์ป่า #อาสา #สยามโสภา https://youtu.be/zi_erNbhXco?si=JBmk6pIyoVTjtebm
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 927 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทะเลน้อย” หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย หรืออุทยานนกน้ำทะเลน้อย เป็นแหล่งน้ำจืดพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีเนื้อที่เกือบแสนไร่ ตั้งอยู่ที่ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ครอบคลุมพื้นที่สามจังหวัด พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช ทะเลน้อยมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่ อยู่ตอนบนสุดของทะเลสาบสงขลา
    ☆จุดเด่นของทะเลน้อย คือ ล่องเรือชมทะเลบัวแดง
    ☆ค่าเรือ มารับ ตี5ครึ่ง ไปเช็คอิน ยกยอยามเช้า ชมวิถีชุมชน ล่องเรือชมทะเลน้อย ต่อด้วยไปชมควายน้ำ และ สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ
    ใช้เวลา 2-3 ช.ม นั่งได้ 4 ท่าน ราคา 1,200 บาท
    ■■■■■■■■■■
    #มะนาวก้าวเดิน #ทะเลน้อย #ที่เที่ยวพัทลุง #manowjourney
    #ทะเลบัวแดง #ล่องเรือชมทะเลน้อย
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    “ทะเลน้อย” หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย หรืออุทยานนกน้ำทะเลน้อย เป็นแหล่งน้ำจืดพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีเนื้อที่เกือบแสนไร่ ตั้งอยู่ที่ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ครอบคลุมพื้นที่สามจังหวัด พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช ทะเลน้อยมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่ อยู่ตอนบนสุดของทะเลสาบสงขลา ☆จุดเด่นของทะเลน้อย คือ ล่องเรือชมทะเลบัวแดง ☆ค่าเรือ มารับ ตี5ครึ่ง ไปเช็คอิน ยกยอยามเช้า ชมวิถีชุมชน ล่องเรือชมทะเลน้อย ต่อด้วยไปชมควายน้ำ และ สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ใช้เวลา 2-3 ช.ม นั่งได้ 4 ท่าน ราคา 1,200 บาท ■■■■■■■■■■ #มะนาวก้าวเดิน #ทะเลน้อย #ที่เที่ยวพัทลุง #manowjourney #ทะเลบัวแดง #ล่องเรือชมทะเลน้อย #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1463 มุมมอง 782 1 รีวิว
  • PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Sad
    Angry
    Haha
    15
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 801 มุมมอง 0 รีวิว
  • (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน)

    PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ

    People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!”

    ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย

    กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)

    #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    (ภาพปกอยู่บนโพสต์ด้านบน) PETA จากลิงเก็บมะพร้าว ถึงหมูเด้งฮิปโปแคระ People for the Ethical Treatment of Animal หรือ พีต้า (PETA) องค์กรพิทักษ์สัตว์ในสหรัฐอเมริกา ออกแคมเปญแบบโลกไม่ลืม ล่าสุดจากกระแสความฮิตของหมูเด้ง ฮิปโปแคระเพศเมียในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ที่โด่งดังไปทั่วโลก พีต้ากลับโพสต์รณรงค์ให้ช่วยกันบอยคอตสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน !!” ปรากฎว่าชาวเน็ตไทยต่างตอบโต้พีต้า ยืนยันว่าหมูเด้งไม่ได้ถูกทรมาน แต่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ยืนยันว่าการปกป้องสัตว์ป่าบางชนิดคือการเลี้ยงในสวนสัตว์ เพื่อความปลอดภัยจากการถูกล่าโดยมนุษย์ และยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน พร้อมถามกลับว่า การเอาสัตว์ในสวนสัตว์ไปปล่อยป่า จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสัตว์ป่าจะปลอดภัย ไม่นับรวมคอมเมนต์ในเชิงตลกขบขัน ทำนองว่าในประเทศไทยใช้กบเหลาดินสอ ใช้เป็ดล้างห้องน้ำ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าว ซึ่งเป็นชื่อเรียกสิ่งของบางชนิด แบบชนิดที่ว่าฝรั่งไม่เข้าใจแต่คนไทยเก็ต ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ กล่าวถึงประเทศไทยในทางเสื่อมเสีย ก่อนหน้านี้พีต้าเปิดประเด็นลิงเก็บมะพร้าวทางภาคใต้ของไทยทรมานสัตว์ ทั้งที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย และเป็นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิงที่มีความเมตตาและผูกพัน รักและเลี้ยงเหมือนลูกด้วยซ้ำ แต่พีต้ากลับเปิดเผยรายงานการสอบสวนทำนองว่า ลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัว ถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการจำหน่ายกะทิจากประเทศไทย กระทั่งสำนักข่าวไทยเอนไควเออร์ (Thai Enquirer) ตั้งข้อสังเกตว่า การสอบสวนของพีต้าในประเทศไทยมีข้อบกพร่องในระเบียบวิจัย เพราะส่งชาวต่างชาติ 2 คนเข้ามาในประเทศ จงใจที่จะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีการแสดงลิงเก็บมะพร้าว ทั้งที่ผู้ผลิตกะทิจากประเทศไทย และองค์กรต่างๆ ตรวจสอบแล้วไม่พบห่วงโซ่อุปทานใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสกับลิง ทำให้พีต้าใช้สำนักงานกฎหมาย TILLEKE & GIBBINS ยื่นโนติสให้ลบเนื้อหาออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งเป็นการฟ้องร้องเพื่อปิดปากเสรีภาพสื่อ โดยไม่คาดคิดว่าจะมาจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) #Newskit #PETA #หมูเด้ง
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 913 มุมมอง 0 รีวิว
  • แชมพูของเราทำจากสมุนไพรอินทรีย์และได้ช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านที่อยู่แนวกันชนที่ห้วยขาแข้งด้วยสมุนไพรหอมมากใหม่สดไม่เก่าเก็บ

    กลุ่ม วสช ที่อยู่ในแนวกันชน
    กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่เป็นมิตรกับสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
    ทำสมุนไพรอินทรีย์ค่ะ

    เราใช้สมุนไพรจากแหล่งห้วยขาแข้งทั้ง 10 ชนิด
    คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีดีมีคุณค่าทางจิตใจ
    #แชมพูสมุนไพร
    #Blackแชมพู
    แชมพูของเราทำจากสมุนไพรอินทรีย์และได้ช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านที่อยู่แนวกันชนที่ห้วยขาแข้งด้วยสมุนไพรหอมมากใหม่สดไม่เก่าเก็บ กลุ่ม วสช ที่อยู่ในแนวกันชน กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่เป็นมิตรกับสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ทำสมุนไพรอินทรีย์ค่ะ เราใช้สมุนไพรจากแหล่งห้วยขาแข้งทั้ง 10 ชนิด คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีดีมีคุณค่าทางจิตใจ #แชมพูสมุนไพร #Blackแชมพู
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • PETAเกาะกระแสหมูเด้ง ! ออกแถลงการณ์ประท้วง กรณีลูกฮิปโป”หมูเด้ง“และเรียกร้องบอยคอตให้ยุติวัฏจักรอันโหดทรมานสัตว์เพื่อความบันเทิง ขณะที่ ผอ.สวนสัตว์เขาเขียวโต้ว่าจัดการสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตสัตว์เป็นอย่างดี

    28 กันยายน 2567 -PETA เอเชียหรือ องค์กรพิทักษ์สัตว์ ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก PETA เนื้อหาระบุว่า

    การที่ลูกฮิปโปเกิดมาในกรงขังไม่ใช่เรื่องน่ารัก ฮิปโปเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่า แต่ หมูเด้ง ไม่มีวันได้อยู่นอกกรงได้ ต้องเผชิญกับการถูกจำกัดตลอดชีวิต ขาดอิสรภาพ และโอกาสที่จะได้สัมผัสกับแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและโครงสร้างทางสังคมของสายพันธุ์ของมัน

    สัตว์ไม่ได้มีไว้เพื่อความบันเทิงของเรา การเพาะพันธุ์สัตว์เพื่อแสดงต่อสาธารณะทำให้สัตว์ต้องทนทุกข์ทรมาน PETA เรียกร้องให้ยุติวัฏจักรอันโหดร้ายนี้ และให้สวนสัตว์ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สัตว์เป็นอันดับแรก

    พร้อมทั้งเสนอว่า PETA พร้อมเสมอและเต็มใจที่จะช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกในการขนย้ายสัตว์ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และขอเรียกร้องให้ทุกคนหลีกเลี่ยงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้มีชีวิตและรู้สึกเหมือนถูกกักขัง

    ขณะที่นายณรงค์วิทย์ ชดช้อย ผอ.สวนสัตว์เขาเขียว ระบุว่า มีการการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมีสัตว์ 2,000 ตัว ยืนยันมีการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตสัตว์เป็นอย่างดี

    ส่วนการจัดคิวเข้าชมหมูเด้ง ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ยังการจัดระเบียบเข้ามาชมรอบละ 5 นาที และไม่เกิน 30-50 คนเพื่อไม่ให้เกิดการแออัด โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนมีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากกว่า 11,000 คน/วัน และคาดว่าจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสฟีเวอร์ของหมูเด้ง

    ภาพจากผู้จัดการออนไลน์

    #Thaitimes
    PETAเกาะกระแสหมูเด้ง ! ออกแถลงการณ์ประท้วง กรณีลูกฮิปโป”หมูเด้ง“และเรียกร้องบอยคอตให้ยุติวัฏจักรอันโหดทรมานสัตว์เพื่อความบันเทิง ขณะที่ ผอ.สวนสัตว์เขาเขียวโต้ว่าจัดการสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตสัตว์เป็นอย่างดี 28 กันยายน 2567 -PETA เอเชียหรือ องค์กรพิทักษ์สัตว์ ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ก PETA เนื้อหาระบุว่า การที่ลูกฮิปโปเกิดมาในกรงขังไม่ใช่เรื่องน่ารัก ฮิปโปเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่า แต่ หมูเด้ง ไม่มีวันได้อยู่นอกกรงได้ ต้องเผชิญกับการถูกจำกัดตลอดชีวิต ขาดอิสรภาพ และโอกาสที่จะได้สัมผัสกับแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและโครงสร้างทางสังคมของสายพันธุ์ของมัน สัตว์ไม่ได้มีไว้เพื่อความบันเทิงของเรา การเพาะพันธุ์สัตว์เพื่อแสดงต่อสาธารณะทำให้สัตว์ต้องทนทุกข์ทรมาน PETA เรียกร้องให้ยุติวัฏจักรอันโหดร้ายนี้ และให้สวนสัตว์ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สัตว์เป็นอันดับแรก พร้อมทั้งเสนอว่า PETA พร้อมเสมอและเต็มใจที่จะช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกในการขนย้ายสัตว์ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และขอเรียกร้องให้ทุกคนหลีกเลี่ยงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทำให้มีชีวิตและรู้สึกเหมือนถูกกักขัง ขณะที่นายณรงค์วิทย์ ชดช้อย ผอ.สวนสัตว์เขาเขียว ระบุว่า มีการการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมีสัตว์ 2,000 ตัว ยืนยันมีการจัดการสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตสัตว์เป็นอย่างดี ส่วนการจัดคิวเข้าชมหมูเด้ง ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ยังการจัดระเบียบเข้ามาชมรอบละ 5 นาที และไม่เกิน 30-50 คนเพื่อไม่ให้เกิดการแออัด โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนมีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากกว่า 11,000 คน/วัน และคาดว่าจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากกระแสฟีเวอร์ของหมูเด้ง ภาพจากผู้จัดการออนไลน์ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 944 มุมมอง 0 รีวิว
  • แส่ทุกเรื่อง!!

    PETA ชวนบอยคอต ‘สวนสัตว์เขาเขียว’
    อ้างเอา “หมูเด้ง” มาหากิน
    ชาวเน็ตสวนกลับ อเมริกาไม่มีสวนสัตว์เหรอ ?
    .
    นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นเดือดที่ทำเอาคนไทยหัวร้อนมากทีเดียว หลัง PETA องค์กรพิทักษ์สัตว์ ไม่แสวงผลกำไรด้านสิทธิสัตว์ของสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาโพสต์ข้อความชวนผู้คนบอยคอต “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” หลังความน่ารักของ “น้องหมูเด้ง” ลูกฮิปโปแคระประจำสวนสัตว์กลายเป็นไวรัลดัง จนถึงขั้นที่ไม่ว่าจะสื่อเล็ก สื่อใหญ่ หรือสื่อระดับตำนาน ต่างก็หยิบยกเรื่องราวของน้องหมูเด้งไปนำเสนอจนเจ้าหมูเด้ง พี่เบนซ์ ผู้ทำหน้าที่ดูแลเจ้าหมูเด้ง และสวนสัตว์เขาเขียวของประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
    .
    โดย PETA ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้ง ๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน!!”
    .
    แน่นอนว่าหลังจากเรื่องนี้ไปเข้าหูเข้าตาชาวเน็ต หลายคนต่างก็มองว่า ประเทศไหน ๆ ก็มีสวนสัตว์ทั้งนั้น หรืออเมริกาไม่มีสวนสัตว์ ?
    .
    อีกทั้งต่างก็พูดถึงการทำงานของทาง PETA ที่ควรรีเสิร์ชข้อมูลให้มากกว่านี้ก่อนจะออกมาโจมตีหรือชวนคนบอยคอตทางสวนสัตว์ เพราะทาง Zookeeper ประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ไม่ได้เลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นเพราะเป็นแค่เพียงอาชีพหรือหน้าที่ แต่พวกเขาต่างก็เลี้ยงสัตว์เหล่านั้นด้วยความรัก ดูแลสัตว์ในความดูแลของตัวเองประดุจคนในครอบครัว ถึงขนาดที่ Zookeeper บางท่านแม้จะเกษียณอายุการทำงานไปแล้ว ก็ยังหาเวลากลับมาดูแลสัตว์ที่ตนเคยเลี้ยงและดูแล เพราะมันคือความผูกพันที่ดูแลกันมาหลายปี
    .
    @ThePublisher

    https://www.facebook.com/share/p/mPPuEJUAFPkyc9tF/?mibextid=oFDknk
    แส่ทุกเรื่อง!! PETA ชวนบอยคอต ‘สวนสัตว์เขาเขียว’ อ้างเอา “หมูเด้ง” มาหากิน ชาวเน็ตสวนกลับ อเมริกาไม่มีสวนสัตว์เหรอ ? . นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นเดือดที่ทำเอาคนไทยหัวร้อนมากทีเดียว หลัง PETA องค์กรพิทักษ์สัตว์ ไม่แสวงผลกำไรด้านสิทธิสัตว์ของสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาโพสต์ข้อความชวนผู้คนบอยคอต “สวนสัตว์เปิดเขาเขียว” หลังความน่ารักของ “น้องหมูเด้ง” ลูกฮิปโปแคระประจำสวนสัตว์กลายเป็นไวรัลดัง จนถึงขั้นที่ไม่ว่าจะสื่อเล็ก สื่อใหญ่ หรือสื่อระดับตำนาน ต่างก็หยิบยกเรื่องราวของน้องหมูเด้งไปนำเสนอจนเจ้าหมูเด้ง พี่เบนซ์ ผู้ทำหน้าที่ดูแลเจ้าหมูเด้ง และสวนสัตว์เขาเขียวของประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก . โดย PETA ระบุว่า “TikTok ทำให้หมูเด้งกลายเป็นเซเลปดัง แต่ความจริงกลับไม่ได้น่ารักแบบนั้น เพราะสวนสัตว์ในประเทศไทยกำลังหาประโยชน์จากหมูเด้ง เพื่อแสวงหากำไร โดยโชว์หมูเด้งราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทั้ง ๆ ที่บ้านของฮิปโป คือ ป่าในธรรมชาติ ขอชวนมาบอตคอต (Boycott) สวนสัตว์ที่กักขังสัตว์ป่ากัน!!” . แน่นอนว่าหลังจากเรื่องนี้ไปเข้าหูเข้าตาชาวเน็ต หลายคนต่างก็มองว่า ประเทศไหน ๆ ก็มีสวนสัตว์ทั้งนั้น หรืออเมริกาไม่มีสวนสัตว์ ? . อีกทั้งต่างก็พูดถึงการทำงานของทาง PETA ที่ควรรีเสิร์ชข้อมูลให้มากกว่านี้ก่อนจะออกมาโจมตีหรือชวนคนบอยคอตทางสวนสัตว์ เพราะทาง Zookeeper ประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ไม่ได้เลี้ยงดูสัตว์เหล่านั้นเพราะเป็นแค่เพียงอาชีพหรือหน้าที่ แต่พวกเขาต่างก็เลี้ยงสัตว์เหล่านั้นด้วยความรัก ดูแลสัตว์ในความดูแลของตัวเองประดุจคนในครอบครัว ถึงขนาดที่ Zookeeper บางท่านแม้จะเกษียณอายุการทำงานไปแล้ว ก็ยังหาเวลากลับมาดูแลสัตว์ที่ตนเคยเลี้ยงและดูแล เพราะมันคือความผูกพันที่ดูแลกันมาหลายปี . @ThePublisher https://www.facebook.com/share/p/mPPuEJUAFPkyc9tF/?mibextid=oFDknk
    Haha
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimesข่าวท่องเที่ยว
    ☆อุทยานแห่งชาติ ถ้ำ ปลา-น้ำตกผาเสื่อ
    》》
    https://www.facebook.com/share/f5NyWhXj8zSiYnPH/?mibextid=qi2Omg
    《《
    เตรียมตัวให้พร้อม‼️
    วันที่ 1 ตุลาคม 2567
    》》"ปางอุ๋ง" เปิดแล้ว《《
    สามารถจอง พื้นที่ลานกางเต็นท์ และ เต็นท์อุทยานฯตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

    https://nps.dnp.go.th

    ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ inbox เพจ หรือ โทร 082-191-1746
    ■■■■■■■■■
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    #thaitimesข่าวท่องเที่ยว ☆อุทยานแห่งชาติ ถ้ำ ปลา-น้ำตกผาเสื่อ 》》 https://www.facebook.com/share/f5NyWhXj8zSiYnPH/?mibextid=qi2Omg 《《 เตรียมตัวให้พร้อม‼️ วันที่ 1 ตุลาคม 2567 》》"ปางอุ๋ง" เปิดแล้ว《《 สามารถจอง พื้นที่ลานกางเต็นท์ และ เต็นท์อุทยานฯตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช https://nps.dnp.go.th ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ inbox เพจ หรือ โทร 082-191-1746 ■■■■■■■■■ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1348 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกาะพยาม มัลดีฟส์เมืองไทย แค่ไประนอง

    เจ้าของฉายามัลดีฟท์เมืองไทย ที่นักเดินทางจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันว่าต้องหาโอกาสมาเยือนกันสักครั้ง
    เกาะพยาม เป็นเกาะใหญ่อันดับสองของจังหวัดระนอง ตั้งอยู่ระหว่างเกาะช้างกับเกาะค้างคาว มีพื้นที่ประมาณ 35 กิโลเมตร และมีชาวบ้านในท้องถิ่น อาศัยอยู่ประมาณ 160 ครัวเรือน เสน่ห์ของเกาะแห่งนี้คือ ความสวยงามของธรรมชาติและบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหนีความวุ่นวายมาชาร์จแบต ชาร์จพลังชีวิตอย่างแท้จริง
    ลักษณะของเกาะพยายาม ตอนกลางเป็นพื้นที่ภูเขา ป่าไม้ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ และมีสัตว์ป่าหากยากให้ชมอย่าง ลิง หมูป่า และนกแก็ก รวมไปถึงเหยี่ยวแดง ที่ยังคงมักบินวนเวียนไปมาให้เห็นอยู่เสมอ..

    #ระนอง
    #ท่องเที่ยว
    #มัลดีฟเมืองไทย
    เกาะพยาม มัลดีฟส์เมืองไทย แค่ไประนอง เจ้าของฉายามัลดีฟท์เมืองไทย ที่นักเดินทางจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝันว่าต้องหาโอกาสมาเยือนกันสักครั้ง เกาะพยาม เป็นเกาะใหญ่อันดับสองของจังหวัดระนอง ตั้งอยู่ระหว่างเกาะช้างกับเกาะค้างคาว มีพื้นที่ประมาณ 35 กิโลเมตร และมีชาวบ้านในท้องถิ่น อาศัยอยู่ประมาณ 160 ครัวเรือน เสน่ห์ของเกาะแห่งนี้คือ ความสวยงามของธรรมชาติและบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหนีความวุ่นวายมาชาร์จแบต ชาร์จพลังชีวิตอย่างแท้จริง ลักษณะของเกาะพยายาม ตอนกลางเป็นพื้นที่ภูเขา ป่าไม้ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ และมีสัตว์ป่าหากยากให้ชมอย่าง ลิง หมูป่า และนกแก็ก รวมไปถึงเหยี่ยวแดง ที่ยังคงมักบินวนเวียนไปมาให้เห็นอยู่เสมอ.. #ระนอง #ท่องเที่ยว #มัลดีฟเมืองไทย
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimesข่าวท่องเที่ยว
    25 กันยายน 2567
    📢 ประกาศอุทยานแห่งชาติภูลังกา
    🟢 เปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา 🟢
    ตามประกาศอุทยานแห่งชาติภูลังกา ลงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2567 เรื่อง ปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา เป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีฝนตกหนักปริมาณมาก ส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่
    อุทยานแห่งชาติภูลังกาเพิ่มขึ้น เกิดน้ำเชี่ยว และดินสไลด์ในบางพื้นที่ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้ นั้น

    บัดนี้ สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว อุทยานแห่งชาติภูลังกา จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20
    แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 จึงประกาศเปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด และปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือข่าวสารเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติภูลังกาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 4253 0766 และเพจเฟซบุ๊ค “อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม – Phulangka National Park Thailand”

    จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

    ประกาศ ณ วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2567
    ■เพจ
    》》
    https://www.facebook.com/share/4cSoGfwqu9ZeoLyn/?mibextid=qi2Omg
    ■■■■■
    #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney #อุทยานแห่งชาติภูลังกา
    #thaitimesข่าวท่องเที่ยว 25 กันยายน 2567 📢 ประกาศอุทยานแห่งชาติภูลังกา 🟢 เปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา 🟢 ตามประกาศอุทยานแห่งชาติภูลังกา ลงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2567 เรื่อง ปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา เป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีฝนตกหนักปริมาณมาก ส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติภูลังกาเพิ่มขึ้น เกิดน้ำเชี่ยว และดินสไลด์ในบางพื้นที่ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้ นั้น บัดนี้ สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว อุทยานแห่งชาติภูลังกา จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 จึงประกาศเปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด และปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ติดต่อสอบถามข้อมูลหรือข่าวสารเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติภูลังกาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 4253 0766 และเพจเฟซบุ๊ค “อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม – Phulangka National Park Thailand” จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ประกาศ ณ วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2567 ■เพจ 》》 https://www.facebook.com/share/4cSoGfwqu9ZeoLyn/?mibextid=qi2Omg ■■■■■ #thaitimes #thaitimesเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney #อุทยานแห่งชาติภูลังกา
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1068 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ้นแล้ว! นายวิชัย แหลมวิไล อดีตอธิบดีกรมป่าไม้
    24 กันยายน 2567-เพจกรมมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้โพสต์แสดงความอาลัยต่อการสูญเสีย นายวิชัย แหลมวิไล อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ซึ่งถึงแก่กรรม ที่ประเทศนิวซีแลนด์ เนื่องจากล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดที่อาการกำเริบขึ้น ต่อเนื่องจากการติดเชื้อโควิดจนกระทั่งถึงแก่กรรม

    #Thaitimes
    สิ้นแล้ว! นายวิชัย แหลมวิไล อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ 24 กันยายน 2567-เพจกรมมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้โพสต์แสดงความอาลัยต่อการสูญเสีย นายวิชัย แหลมวิไล อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ซึ่งถึงแก่กรรม ที่ประเทศนิวซีแลนด์ เนื่องจากล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดที่อาการกำเริบขึ้น ต่อเนื่องจากการติดเชื้อโควิดจนกระทั่งถึงแก่กรรม #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 562 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศ ณ วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2567
    📢 ประกาศอุทยานแห่งชาติภูลังกา จ.นคพนม
    ❌ ปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา เป็นการชั่วคราว ❌

    ด้วยสถานการณ์ในช่วงปัจจุบันมีฝนตกหนักปริมาณมาก ส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่
    อุทยานแห่งชาติภูลังกาเพิ่มขึ้น เกิดน้ำเชี่ยว และดินสไลด์ในบางพื้นที่ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้

    อุทยานแห่งชาติภูลังกา พิจารณาแล้ว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20
    แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 จึงประกาศปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ

    ทั้งนี้ สามารถติดต่อราชการได้ตามปกติ และสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลหรือข่าวสารเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติภูลังกาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 4253 0766 และเพจเฟซบุ๊ค “อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม – Phulangka National Park Thailand”

    จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
    ■■■■■■■■■■■
    #thaitimes #thaitimesข่าวด่วนท่องเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney #ข่าวด่วน #อุทยานแห่งชาติภูลังกา #นครพนม
    ประกาศ ณ วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2567 📢 ประกาศอุทยานแห่งชาติภูลังกา จ.นคพนม ❌ ปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา เป็นการชั่วคราว ❌ ด้วยสถานการณ์ในช่วงปัจจุบันมีฝนตกหนักปริมาณมาก ส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติภูลังกาเพิ่มขึ้น เกิดน้ำเชี่ยว และดินสไลด์ในบางพื้นที่ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวได้ อุทยานแห่งชาติภูลังกา พิจารณาแล้ว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 จึงประกาศปิดการเข้าศึกษาธรรมชาติและการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ สามารถติดต่อราชการได้ตามปกติ และสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลหรือข่าวสารเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติภูลังกาได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 4253 0766 และเพจเฟซบุ๊ค “อุทยานแห่งชาติภูลังกา จังหวัดนครพนม – Phulangka National Park Thailand” จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ■■■■■■■■■■■ #thaitimes #thaitimesข่าวด่วนท่องเที่ยวไทย #thaitimesมะนาวก้าวเดิน #thaitimesmanowjourney #ข่าวด่วน #อุทยานแห่งชาติภูลังกา #นครพนม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1152 มุมมอง 0 รีวิว
  • บุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นฆราวาสตื่นธรรม ท่านถามว่าทำไมต้องสร้างวัตถุมงคลเพื่อหาเงินไปสร้างวัดด้วย ? ไปอยู่ป่าก็ได้..! รู้สึกว่าท่านจะตอบแบบมักง่าย และยกตนเองว่าเป็นผู้ใฝ่สันโดษ หรือว่าปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัยอยู่คนเดียว

    ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ประทานพระบรมพุทธานุญาตตามที่พระเทวทัตขอ ว่าให้พระภิกษุทั้งหมดอยู่ป่า ห้ามอยู่ในบ้านในเมือง โดยพระองค์ตรัสว่า ผู้ที่ใคร่จะอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า ผู้ที่ใคร่จะอยู่ในเมืองก็จงอยู่ในเมือง

    เนื่องเพราะพระองค์มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล หรือว่ามีพระสัพพัญญุตญาณที่รู้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รู้ดีว่าโลกภายภาคหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ทำให้พระภิกษุสงฆ์ถ้าหากว่าประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมด้วยการอยู่ป่าอย่างเดียว จะกลายเป็นไม่มีที่อยู่ก็ได้..!

    โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ผืนป่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ได้นั้นไม่มีเหลืออีกแล้ว ยกเว้นวัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาก่อน แล้วยังคงความเป็นวัดป่าอยู่ก็พอที่จะมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่บ้าง ไม่ต้องอื่นไกลที่ไหน แค่อำเภอทองผาภูมิที่กระผม/อาตมภาพอยู่นี่แหละ บรรดาพระภิกษุผู้อยู่ป่านับร้อย ๆ ราย โดนเจ้าหน้าที่นิมนต์ออกจากป่ามาทั้งหมด เนื่องเพราะว่าสถานที่เหล่านั้นเป็นอุทยานแห่งชาติบ้าง เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบ้าง แม้ว่าจะประกาศขึ้นทีหลัง โดยที่พระท่านไปอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็โดนนิมนต์ออกมาจนเกือบจะหมด ยกเว้นท่านที่ได้รับการตั้งขึ้นเป็นวัดหรือสำนักสงฆ์อย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น
    ดังนั้น..ท่านที่พูดชุ่ย ๆ ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างวัด ให้พระภิกษุไปอยู่ป่าอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่โบราณมา เราก็คงไม่มีพระคามวาสีคือฝ่ายที่อยู่วัด และอรัญวาสีคือฝ่ายที่อยู่ป่า ในเมื่อบ้านเรามีการแยกวัดบ้านและวัดป่าอย่างชัดเจนแบบนี้ แล้วท่านยังจะให้ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระเทวทัตอยู่อีกหรือ ?

    กระผม/อาตมภาพคาดว่าไม่มีใครอยากเป็นลูกศิษย์พระเทวทัต มีแต่อยากจะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้น..สิ่งที่ท่านได้กล่าวมาก็ขอให้กล่าวโดยรอบคอบกว่านี้ ดูบริบทของสังคมเราด้วยว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว

    สมัยพุทธกาลมีบรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์หรือว่ามหาเศรษฐี ท่านปวารณาสร้างวัดวาอารามให้ แม้แต่ในยุคสมัยต่อ ๆ มาในประเทศไทยของเราตั้งแต่ปรากฏประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นยุคกรุงสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยา ยุคกรุงธนบุรี มาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็มีการสร้างวัดเพื่อบุญกุศลในวิหารทาน ในขณะเดียวกันก็มีคำพูดประเภทว่า บรรดาเจ้าใหญ่นายโตนั้น "สร้างวัดเพื่อให้ลูกหลานได้มีที่สำหรับวิ่งเล่น..!"

    ในเมื่อยุคต่อ ๆ มา บริบทของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนได้เข้าสู่ส่วนของการใช้แรงงานต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งไม่มีเวลาที่จะไปช่วยเหลือวัด แม้กระทั่งผู้ที่ร่ำรวยด้วยเงินด้วยทองก็ติดหน้าที่การงานต่าง ๆ จนถึงขนาดไม่มีเวลาให้วัด ยกตัวอย่างบุคคลท่านหนึ่ง นามสกุลของท่านถ้าบอกไปแล้วต้องรู้จักกันทั้งประเทศไทย ท่านปวารณาเอาไว้ว่า กระผม/อาตมภาพจะสร้างหนี้เท่าไรก็ได้ ทุกสิ้นปีให้แจ้งไป ท่านจะจัดการ "เคลียร์หนี้" ให้ แต่เมื่อกระผม/อาตมภาพแจ้งไปแล้ว ปรากฏว่าท่านมักจะติดด้วยงานด้วยการ ไม่สามารถที่จะปลีกตัวได้

    ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังรับสังฆทานอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ท่านมีเวลาแค่โทรศัพท์มาว่าตอนนี้วิ่งมาใกล้จะถึงแล้ว ให้กระผม/อาตมภาพลงไปรอในบริเวณนั้นบริเวณนี้ เมื่อท่านมาถึงแล้วก็เปิดหน้าต่างรถ ส่งเงินให้แล้วก็วิ่งต่อไป กระผม/อาตมภาพเจอแบบนั้นเข้าสองครั้ง ก็ไม่กล้าที่จะรบกวนอีกเลย..!

    ดังนั้น..ต่อให้ปวารณาไว้โดยที่ท่านร่ำรวยขนาดไหนก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็แกล้งลืมเบอร์โทรศัพท์ไม่โทรไปหาอีก เนื่องเพราะเคยได้ยินมาว่าท่านเคยโทรสั่งโบรกเกอร์ช้าไปนาทีเดียว แล้วเสียหุ้นไป ๒๐ ล้านบาทโดยประมาณ..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครจะกล้าไปรบกวนเวลาของท่านอีก..!
    ในเมื่อบุคคลที่มีฐานะเพียงพอที่จะช่วยเหลือในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ส่วนใหญ่ก็ติดด้วยภาระหน้าที่ต่าง ๆ จึงมักจะนำเงินนำทองไปมอบให้กับพระภิกษุ โดยเฉพาะหลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเอง ตรงส่วนนี้จึงทำให้สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป วัดที่มีผู้ปวารณาไว้ก็ยังคงต้องทำงานด้วยตนเอง แต่วัดที่ไม่มีผู้ปวารณาไว้ ก็ต้องหาเงินหาทองมาเพื่อบูรณะก็คือทำของเก่าให้ดีขึ้น และปฏิสังขรณ์คือสร้างของใหม่ให้เพียงพอต่อการใช้งาน

    ไม่เช่นนั้นแล้วหลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นแหละ ที่ท่านเป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย จะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก็คือไม่ปกครองสอดส่องฆราวาสก็ยังพอทน แต่การไม่บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม เพื่อให้มั่นคงแข็งแรงสมกับเป็นอารามในพระพุทธศาสนา ให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าไปบำเพ็ญกุศลโดยสะดวก ก็กลายเป็นว่านอกจากจะผิดทางโลกแล้ว ยังผิดทางธรรมอีกด้วย

    ในทางโลกก็คือผิดกฎหมายในฐานะเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ในทางธรรมก็คือบุคคลที่เว้นจากหน้าที่ซึ่งตนรับผิดชอบนั้น ต้องบอกว่าเป็นผู้ที่ไม่มีหลักธรรมประจำใจ ก็คือขาดไปเสียทุกส่วน ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยก็ต้องทำความสะอาดวัดวาอารามให้น่าอยู่น่าอาศัย

    ประการต่อไปก็คือพุทธศาสนิกชนคนไทยของเรา ซึ่งมีอยู่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ท่านผู้กล่าวว่าให้พระภิกษุสงฆ์ไปอยู่ป่า แล้วจะให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเหล่านั้นตะเกียกตะกายเข้าป่าไปทำบุญกัน แล้วท่านคิดว่าจะใช่หรือไม่ ?
    ในเรื่องของธรรมะนั้น ไม่ใช่พูดชุ่ย ๆ แบบ "ตีหัวเข้าบ้าน" ปราศจากความรับผิดชอบ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน กำลังใจของคนแต่ละระดับไม่เท่ากัน ใครที่ชอบคำพูดดุเดือดหยาบคาย ไปฟังท่านแล้วชอบใจ ก็ถือว่ามีจริตนิสัยใกล้เคียงกัน ท่านสามารถสอนเขาให้ตื่นรู้ได้ก็สอนไปเถิด

    แต่ว่าบุคคลที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่แค่หยิบมือเดียวอย่างที่ท่านสอนอยู่ จะให้ทุกคนเป็นเหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้ ท่านทำอาหารรสชาติที่เผ็ดกระโดดจนกระทั่งคนกินไปร้องไห้ไป แล้วท่านจะไปยัดเยียดให้ทุกคนกินอาหารรสชาตินั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ดังนั้น..ในเรื่องของธรรมะ กระผม/อาตมภาพจึงได้กล่าวเอาไว้ว่า ไม่เคยให้ราคาสำหรับฆราวาสผู้สอนธรรม เนื่องเพราะว่าฆราวาสที่เก่งจริงนั้นตายไปหมดแล้ว..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าบุคคลที่เก่งจริง เข้าถึงธรรมจริง ๆ คุณงามความดีทั้งหลายเหล่านั้นมากเกินกว่าที่จะทรงอยู่ในร่างฆราวาสได้ เพราะว่าอาจจะเป็นทุกข์เป็นโทษให้กับผู้อื่น จึงต้องโดนตัดให้ตายลงไป ในเมื่อท่านยังทรงความเป็นฆราวาสอยู่ได้ ก็แปลว่ายังเข้าไม่ถึงธรรมอย่างแท้จริงนั่นเอง

    ถ้าหากว่าสิ่งที่ว่ากล่าวไปนี้ มีอะไรที่ทำให้ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องถูกใจ ก็สามารถที่จะโต้แย้งได้ แต่ให้โต้แย้งโดยหลักธรรม อย่าได้เอาทิฏฐิหรือว่าโทสะในส่วนความเห็นเฉพาะตนมาโต้แย้ง เพราะว่ามีแต่จะทำให้เสียเวล่ำเวลา ไปนั่งภาวนาเสียยังจะดีกว่า
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    __________________
    บุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นฆราวาสตื่นธรรม ท่านถามว่าทำไมต้องสร้างวัตถุมงคลเพื่อหาเงินไปสร้างวัดด้วย ? ไปอยู่ป่าก็ได้..! รู้สึกว่าท่านจะตอบแบบมักง่าย และยกตนเองว่าเป็นผู้ใฝ่สันโดษ หรือว่าปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัยอยู่คนเดียว ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ประทานพระบรมพุทธานุญาตตามที่พระเทวทัตขอ ว่าให้พระภิกษุทั้งหมดอยู่ป่า ห้ามอยู่ในบ้านในเมือง โดยพระองค์ตรัสว่า ผู้ที่ใคร่จะอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า ผู้ที่ใคร่จะอยู่ในเมืองก็จงอยู่ในเมือง เนื่องเพราะพระองค์มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล หรือว่ามีพระสัพพัญญุตญาณที่รู้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รู้ดีว่าโลกภายภาคหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ทำให้พระภิกษุสงฆ์ถ้าหากว่าประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมด้วยการอยู่ป่าอย่างเดียว จะกลายเป็นไม่มีที่อยู่ก็ได้..! โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ผืนป่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ได้นั้นไม่มีเหลืออีกแล้ว ยกเว้นวัดต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมาก่อน แล้วยังคงความเป็นวัดป่าอยู่ก็พอที่จะมีพื้นที่ป่าเหลืออยู่บ้าง ไม่ต้องอื่นไกลที่ไหน แค่อำเภอทองผาภูมิที่กระผม/อาตมภาพอยู่นี่แหละ บรรดาพระภิกษุผู้อยู่ป่านับร้อย ๆ ราย โดนเจ้าหน้าที่นิมนต์ออกจากป่ามาทั้งหมด เนื่องเพราะว่าสถานที่เหล่านั้นเป็นอุทยานแห่งชาติบ้าง เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบ้าง แม้ว่าจะประกาศขึ้นทีหลัง โดยที่พระท่านไปอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็โดนนิมนต์ออกมาจนเกือบจะหมด ยกเว้นท่านที่ได้รับการตั้งขึ้นเป็นวัดหรือสำนักสงฆ์อย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น ดังนั้น..ท่านที่พูดชุ่ย ๆ ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างวัด ให้พระภิกษุไปอยู่ป่าอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่โบราณมา เราก็คงไม่มีพระคามวาสีคือฝ่ายที่อยู่วัด และอรัญวาสีคือฝ่ายที่อยู่ป่า ในเมื่อบ้านเรามีการแยกวัดบ้านและวัดป่าอย่างชัดเจนแบบนี้ แล้วท่านยังจะให้ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระเทวทัตอยู่อีกหรือ ? กระผม/อาตมภาพคาดว่าไม่มีใครอยากเป็นลูกศิษย์พระเทวทัต มีแต่อยากจะเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเท่านั้น ดังนั้น..สิ่งที่ท่านได้กล่าวมาก็ขอให้กล่าวโดยรอบคอบกว่านี้ ดูบริบทของสังคมเราด้วยว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว สมัยพุทธกาลมีบรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์หรือว่ามหาเศรษฐี ท่านปวารณาสร้างวัดวาอารามให้ แม้แต่ในยุคสมัยต่อ ๆ มาในประเทศไทยของเราตั้งแต่ปรากฏประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นยุคกรุงสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยา ยุคกรุงธนบุรี มาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็มีการสร้างวัดเพื่อบุญกุศลในวิหารทาน ในขณะเดียวกันก็มีคำพูดประเภทว่า บรรดาเจ้าใหญ่นายโตนั้น "สร้างวัดเพื่อให้ลูกหลานได้มีที่สำหรับวิ่งเล่น..!" ในเมื่อยุคต่อ ๆ มา บริบทของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนได้เข้าสู่ส่วนของการใช้แรงงานต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งไม่มีเวลาที่จะไปช่วยเหลือวัด แม้กระทั่งผู้ที่ร่ำรวยด้วยเงินด้วยทองก็ติดหน้าที่การงานต่าง ๆ จนถึงขนาดไม่มีเวลาให้วัด ยกตัวอย่างบุคคลท่านหนึ่ง นามสกุลของท่านถ้าบอกไปแล้วต้องรู้จักกันทั้งประเทศไทย ท่านปวารณาเอาไว้ว่า กระผม/อาตมภาพจะสร้างหนี้เท่าไรก็ได้ ทุกสิ้นปีให้แจ้งไป ท่านจะจัดการ "เคลียร์หนี้" ให้ แต่เมื่อกระผม/อาตมภาพแจ้งไปแล้ว ปรากฏว่าท่านมักจะติดด้วยงานด้วยการ ไม่สามารถที่จะปลีกตัวได้ ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังรับสังฆทานอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ท่านมีเวลาแค่โทรศัพท์มาว่าตอนนี้วิ่งมาใกล้จะถึงแล้ว ให้กระผม/อาตมภาพลงไปรอในบริเวณนั้นบริเวณนี้ เมื่อท่านมาถึงแล้วก็เปิดหน้าต่างรถ ส่งเงินให้แล้วก็วิ่งต่อไป กระผม/อาตมภาพเจอแบบนั้นเข้าสองครั้ง ก็ไม่กล้าที่จะรบกวนอีกเลย..! ดังนั้น..ต่อให้ปวารณาไว้โดยที่ท่านร่ำรวยขนาดไหนก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็แกล้งลืมเบอร์โทรศัพท์ไม่โทรไปหาอีก เนื่องเพราะเคยได้ยินมาว่าท่านเคยโทรสั่งโบรกเกอร์ช้าไปนาทีเดียว แล้วเสียหุ้นไป ๒๐ ล้านบาทโดยประมาณ..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครจะกล้าไปรบกวนเวลาของท่านอีก..! ในเมื่อบุคคลที่มีฐานะเพียงพอที่จะช่วยเหลือในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ส่วนใหญ่ก็ติดด้วยภาระหน้าที่ต่าง ๆ จึงมักจะนำเงินนำทองไปมอบให้กับพระภิกษุ โดยเฉพาะหลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเอง ตรงส่วนนี้จึงทำให้สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป วัดที่มีผู้ปวารณาไว้ก็ยังคงต้องทำงานด้วยตนเอง แต่วัดที่ไม่มีผู้ปวารณาไว้ ก็ต้องหาเงินหาทองมาเพื่อบูรณะก็คือทำของเก่าให้ดีขึ้น และปฏิสังขรณ์คือสร้างของใหม่ให้เพียงพอต่อการใช้งาน ไม่เช่นนั้นแล้วหลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นแหละ ที่ท่านเป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย จะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก็คือไม่ปกครองสอดส่องฆราวาสก็ยังพอทน แต่การไม่บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม เพื่อให้มั่นคงแข็งแรงสมกับเป็นอารามในพระพุทธศาสนา ให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าไปบำเพ็ญกุศลโดยสะดวก ก็กลายเป็นว่านอกจากจะผิดทางโลกแล้ว ยังผิดทางธรรมอีกด้วย ในทางโลกก็คือผิดกฎหมายในฐานะเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ในทางธรรมก็คือบุคคลที่เว้นจากหน้าที่ซึ่งตนรับผิดชอบนั้น ต้องบอกว่าเป็นผู้ที่ไม่มีหลักธรรมประจำใจ ก็คือขาดไปเสียทุกส่วน ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยก็ต้องทำความสะอาดวัดวาอารามให้น่าอยู่น่าอาศัย ประการต่อไปก็คือพุทธศาสนิกชนคนไทยของเรา ซึ่งมีอยู่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ท่านผู้กล่าวว่าให้พระภิกษุสงฆ์ไปอยู่ป่า แล้วจะให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเหล่านั้นตะเกียกตะกายเข้าป่าไปทำบุญกัน แล้วท่านคิดว่าจะใช่หรือไม่ ? ในเรื่องของธรรมะนั้น ไม่ใช่พูดชุ่ย ๆ แบบ "ตีหัวเข้าบ้าน" ปราศจากความรับผิดชอบ เพราะว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน กำลังใจของคนแต่ละระดับไม่เท่ากัน ใครที่ชอบคำพูดดุเดือดหยาบคาย ไปฟังท่านแล้วชอบใจ ก็ถือว่ามีจริตนิสัยใกล้เคียงกัน ท่านสามารถสอนเขาให้ตื่นรู้ได้ก็สอนไปเถิด แต่ว่าบุคคลที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่แค่หยิบมือเดียวอย่างที่ท่านสอนอยู่ จะให้ทุกคนเป็นเหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้ ท่านทำอาหารรสชาติที่เผ็ดกระโดดจนกระทั่งคนกินไปร้องไห้ไป แล้วท่านจะไปยัดเยียดให้ทุกคนกินอาหารรสชาตินั้นก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น..ในเรื่องของธรรมะ กระผม/อาตมภาพจึงได้กล่าวเอาไว้ว่า ไม่เคยให้ราคาสำหรับฆราวาสผู้สอนธรรม เนื่องเพราะว่าฆราวาสที่เก่งจริงนั้นตายไปหมดแล้ว..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าบุคคลที่เก่งจริง เข้าถึงธรรมจริง ๆ คุณงามความดีทั้งหลายเหล่านั้นมากเกินกว่าที่จะทรงอยู่ในร่างฆราวาสได้ เพราะว่าอาจจะเป็นทุกข์เป็นโทษให้กับผู้อื่น จึงต้องโดนตัดให้ตายลงไป ในเมื่อท่านยังทรงความเป็นฆราวาสอยู่ได้ ก็แปลว่ายังเข้าไม่ถึงธรรมอย่างแท้จริงนั่นเอง ถ้าหากว่าสิ่งที่ว่ากล่าวไปนี้ มีอะไรที่ทำให้ท่านเห็นว่าไม่ถูกต้องถูกใจ ก็สามารถที่จะโต้แย้งได้ แต่ให้โต้แย้งโดยหลักธรรม อย่าได้เอาทิฏฐิหรือว่าโทสะในส่วนความเห็นเฉพาะตนมาโต้แย้ง เพราะว่ามีแต่จะทำให้เสียเวล่ำเวลา ไปนั่งภาวนาเสียยังจะดีกว่า พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) __________________
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts