• แกะรอยนักล่า ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (4)
    คุณพี่ Obama น่าจะตัดสินใจแล้ว ดูจากรายงานของคุณครู CRS บวกกับถังสมองยี่ห้อ CSIS (Council for Strategic and International Studies) ที่ออกมาเสนอเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2014 ให้มีการเจรจาและมีนายกคนกลาง เพื่อจะได้เอาสมันน้อยเข้าฉากลุยเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน
    แบบนี้คุณพี่ก็ต้องสร้างขบวนการ จัดการบ้านของสมันน้อยให้มั่นคง (Stable) 
อย่างที่คุณพี่ต้องการก่อน หนึ่งในการจัดการให้เกิดความมั่นคงในบ้านสมันน้อย
(ส่วนที่เปิดเผยได้ !) คุณพี่และสมุน ก็กลับลำประกาศหนุนให้มีการเจรจาหลังฉากและเลือกนายกฯ คนกลาง (ที่คุณพี่สนับสนุน !) ซึ่งตอนนี้ กำลังส่งเข้าประกวดกันเพียบ คุณน้านันท์ชื่อยังไม่ตกรอบ คุณพี่ ส ชื่ออีสานตัวมาจากใต้ ก็ยังแรงดี ตอนนี้มีสายอีลีตเก่าใหม่ ส่ง อาจารย์นักวิชาการ เด่นๆ มาเข้ารอบประกวดอีกเป็นกระบุง ดร. ส. ดร. อ. ดร. ป. ฯลฯ แต่เผลอ ๆ คนที่จะเข้าวินจะกลายเป็นคุณพี่ทหารของผมซะก็ไม่รู้
    เมื่อมีนายกฯ คนกลางมาแล้ว จะปฏิรูปจริงไหม จะอยู่นานเท่าไหร่ มีพรายมากระซิบ
บอกว่า เรื่องนายกฯ คนกลาง เขาว่าจะมาอยู่แค่ 6 เดือน พอหอมปากหอมคอ ให้มวลมหาประชาชนหายเหนื่อยหายเครียด ทำให้บ้านเมืองมันสงบนิ่ง ๆ ตามใบสั่งก่อน แล้วก็แก้ไขกฎหมายอะไรนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ให้มีการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐบาล เป็น
นายกฯ น่าจะพอเดากันออก ใบสั่งเขามาแบบนั้น เรื่องปฏิรูปก็ค่อย ๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน แบบนี้ ก็เท่ากับมวยล้มต้มคนดู มวลมหาประชาชนจะรับได้หรือ ประเมินผิดไปหน่อยหรือเปล่า
    ถ้าเป็นแบบนี้จริง เรา ๆ ก็ต้องหัดซ้อม ฝึกโวยไว้ อย่าลืม นักล่าก็ปอดแหกเป็น เผยไต๋มาแล้วว่า ถ้ามีความขัดแย้งกัน เขาจะให้เราใช้ฐานทัพเขาหรือ
    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามกันหน่อย ติดตามความเคลื่อนไหวของนักล่า นักล่ามันมาซ่าในบ้านเราเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันต้องมีมือ มีเท้ารับใช้ในบ้านเรา เราต้องดูให้ออก ตามให้ติด แกะรอยมันบ้าง มันไม่ได้ฉลาดกว่าเรานักหรอก มันต้องคอยถามถังสมอง
มันทุกเรื่อง ถังสมองก็เหมือนหมอดู ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วคนไทยน่ะ อ่านง่ายเข้าใจง่ายนักหรือ จนบัดนี้สื่อฝรั่งยังไม่เข้าใจ มวลมหาประชาชนเลย มีชาติไหนบ้าง เวลาจะออกไปประท้วงต้องหอบทั้งวงดนตรี ทั้งโรงครัวไปด้วยแบบเรา มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ ไปถามนาย Michael Yon ที่ตามไปทำข่าวทุกเวทีดูเถิด ขนาดมีเมียไทย ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ
    เห็นมาหมาด ๆ เมื่อ 2,3 วันก่อน นสพ.ไทยรัฐวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 หน้า 3 เขียนบทความพาดหัวว่า “อดัม คาเฮน ส่องวิกฤติการเมืองไทยใกล้จุดวิบาก” บทความสรุปว่า สถานการณ์เร่งให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย … … โดยได้มีการแอบจัดทำอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 53 โดยเครือข่าย Scenario Thailand และมีการเสวนาด้วย เมื่อปลายปี 56 เขาว่า Scenario Thailand อาจไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องที่มีศักยภาพ แกนนำ 2 ขั้ว ควรมีการเปิดการเจรจาอย่างลับ ๆ จะเวิร์กกว่ามาถกเถียงต่อหน้าสาธารณะชน…
    นาย Adam Kahane เป็นใคร ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเป็นชาวแคนาดา ปริญญา 3,4 ใบ ทางด้านฟิสิกซ์ พฤติกรรมสังคมและการเจรจา เป็นผู้เริ่มโครงการ Mont Fleur Scenario Exercise ให้กับ South Africa เมื่อ Nelson Mandela พยายามให้คนผิวดำกับคนผิวขาวจับมือกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย คนอ่านนิทานจะโยงถูกไหมหนอ ว่าคนประวัติแบบนี้ใครจัดส่งมาให้ !?
    วิธีการจำลองเหตุการณ์ หรือ Scenario planning นี้ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีการของ Rand Corporation เป็นทฤษฎีที่ใช้สำหรับด้านการรบของทหาร (หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อ Rand Corporation ได้ ต้นความคิดฐานทัพใบบัว Lily Pad และการรบแบบ Special Force Operation ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านยุทธการกบกระโดดใหม่นะครับ) คนคิดทฤษฎีนี้คือนาย Herman Kahn ของ Rand ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950
    ต่อมานาย Kahn ลาออกจาก Rand Corporation และมาตั้ง Hudson Institute ซึ่งเป็นพวกถังความคิด (think tank) ที่วอชิงตันสนับสนุนให้ดูแลความมั่นคง และส่งเสริมนโยบายสำคัญ ให้กับเอกชนระดับบรรษัท หรือสถาบันข้ามชาติ สำหรับกรณี ที่บรรษัทพวกนี้มีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของอ เมริกา และอาจกระทบกับชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจในต่างประเทศ ฯลฯ Hudson Institute ก็จะรับหน้าที่ดูแล แนะนำ วางแผน จัดการ ทดลอง และปฏิบัติการให้บรรลุตามเป้าหมาย ลูกค้าของเขา เช่น Shell, Cargill, Monsanto, Du Port, Dow Chemical, Sandoz, Ciba Geigy คงพอนึกออกนะครับ เช่น บริษัทน้ำมันจะวางท่อผ่านไปบนที่ชาวบ้านหรือแหล่งน้ำ ชาวบ้านประท้วงกัน ทะเลาะกัน หน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จัดการให้เรื่องเงียบ หรือบริษัทยาจะทดลองยากับมนุษย์ในโลกที่ 3 หน่วยงานนี้ก็จะจัดให้ พูดไม่อ้อมค้อม หน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนพวกเสธ คนดัง ที่รับจ้าง clear เรื่องขัดแย้งทำนองนั้น แต่ไอ้นี่มันเรื่องระดับชาติหรือระดับโลก แต่วิธีการก็ไม่น่าต่างกัน
    นาย Adam Kahane เคยทำงานให้กับบริษัท Dutch Shell เป็นเวลานาน คุ้นเคยกับวิธีการสร้างภาพจำลอง Sceanario workshop/ exercise แบบนี้ ภายหลังเขาร่วมกับพรรคพวกตั้ง Reos Partners รับงานด้านนี้ (หลังจากที่นาย Kahn เสียชีวิต) ท่านผู้อ่านนิทาน พอมองเห็นภาพต่อกันได้หรือยัง เชื่อว่ารายการของนาย Adam Kahane ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะผู้ที่นำเขาเข้ามาแสดงใน เมืองไทย ใช้ชื่อว่า Siam Intelligence เป็นถังความคิดคนไทย เป็นหน้าฉากให้ใคร เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง แต่เมื่อตอนเขาจัดงานเสวนา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เรื่อง Solution Talk “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” บรรดาขาใหญ่มาร่วมเป็นเหยื่อกันเพียบ ไปหาชื่ออ่านกันนะครับ
    หน่วยงานประเภท Rand Corporation, Hudson Institution นักล่ามีอยู่ในกระเป๋าเป็นร้อย นักล่ากำลังนั่งหมอบอยู่บนภู ดูจังหวะขม่ำสมันน้อยรอบใหม่ แต่รอบนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ไม่มีผีคอมมี่มาหลอน คราวก่อนมันรบกันนอกบ้านเรา คราวนี้ถ้าเราเดินหมากผิด มันเท่ากับชักศึกเข้าบ้าน กำลังนั่งเหมอ ๆ สบายอยู่ในบ้าน หันมาอีกทีบ้านอาจโดนถล่มหายไปทั้งแถบ เพราะดันไปยอมให้นักล่า มาสร้างฐานทัพใบบัวเต็มชายฝั่งไว้ให้กบกระโดด เพราะฉะนั้น ต้องมารู้จัก มาตามดู ท่าทีของนักล่ากันบ้าง
นี่มันบ้านเรานะ จะให้มันจะมาเดินกร่าง ชี้นิ้ว สั่งเราทำโน่นทำนี่ได้อย่างไร แล้วมันจะทำทุกอย่างเองไม่ได้ มันต้องเลี่ยงไปใช้ร่างทรง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จัก พวกสมอง มือ เท้า ร่างทรง ของนักล่าเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกมือเท้าร่างทรงไทย แต่ใจเป็นของฝรั่ง อย่าปล่อยให้ลอยนวลครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มีค 57
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (4) คุณพี่ Obama น่าจะตัดสินใจแล้ว ดูจากรายงานของคุณครู CRS บวกกับถังสมองยี่ห้อ CSIS (Council for Strategic and International Studies) ที่ออกมาเสนอเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2014 ให้มีการเจรจาและมีนายกคนกลาง เพื่อจะได้เอาสมันน้อยเข้าฉากลุยเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน แบบนี้คุณพี่ก็ต้องสร้างขบวนการ จัดการบ้านของสมันน้อยให้มั่นคง (Stable) 
อย่างที่คุณพี่ต้องการก่อน หนึ่งในการจัดการให้เกิดความมั่นคงในบ้านสมันน้อย
(ส่วนที่เปิดเผยได้ !) คุณพี่และสมุน ก็กลับลำประกาศหนุนให้มีการเจรจาหลังฉากและเลือกนายกฯ คนกลาง (ที่คุณพี่สนับสนุน !) ซึ่งตอนนี้ กำลังส่งเข้าประกวดกันเพียบ คุณน้านันท์ชื่อยังไม่ตกรอบ คุณพี่ ส ชื่ออีสานตัวมาจากใต้ ก็ยังแรงดี ตอนนี้มีสายอีลีตเก่าใหม่ ส่ง อาจารย์นักวิชาการ เด่นๆ มาเข้ารอบประกวดอีกเป็นกระบุง ดร. ส. ดร. อ. ดร. ป. ฯลฯ แต่เผลอ ๆ คนที่จะเข้าวินจะกลายเป็นคุณพี่ทหารของผมซะก็ไม่รู้ เมื่อมีนายกฯ คนกลางมาแล้ว จะปฏิรูปจริงไหม จะอยู่นานเท่าไหร่ มีพรายมากระซิบ
บอกว่า เรื่องนายกฯ คนกลาง เขาว่าจะมาอยู่แค่ 6 เดือน พอหอมปากหอมคอ ให้มวลมหาประชาชนหายเหนื่อยหายเครียด ทำให้บ้านเมืองมันสงบนิ่ง ๆ ตามใบสั่งก่อน แล้วก็แก้ไขกฎหมายอะไรนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ให้มีการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐบาล เป็น
นายกฯ น่าจะพอเดากันออก ใบสั่งเขามาแบบนั้น เรื่องปฏิรูปก็ค่อย ๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน แบบนี้ ก็เท่ากับมวยล้มต้มคนดู มวลมหาประชาชนจะรับได้หรือ ประเมินผิดไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้จริง เรา ๆ ก็ต้องหัดซ้อม ฝึกโวยไว้ อย่าลืม นักล่าก็ปอดแหกเป็น เผยไต๋มาแล้วว่า ถ้ามีความขัดแย้งกัน เขาจะให้เราใช้ฐานทัพเขาหรือ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามกันหน่อย ติดตามความเคลื่อนไหวของนักล่า นักล่ามันมาซ่าในบ้านเราเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันต้องมีมือ มีเท้ารับใช้ในบ้านเรา เราต้องดูให้ออก ตามให้ติด แกะรอยมันบ้าง มันไม่ได้ฉลาดกว่าเรานักหรอก มันต้องคอยถามถังสมอง
มันทุกเรื่อง ถังสมองก็เหมือนหมอดู ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วคนไทยน่ะ อ่านง่ายเข้าใจง่ายนักหรือ จนบัดนี้สื่อฝรั่งยังไม่เข้าใจ มวลมหาประชาชนเลย มีชาติไหนบ้าง เวลาจะออกไปประท้วงต้องหอบทั้งวงดนตรี ทั้งโรงครัวไปด้วยแบบเรา มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ ไปถามนาย Michael Yon ที่ตามไปทำข่าวทุกเวทีดูเถิด ขนาดมีเมียไทย ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ เห็นมาหมาด ๆ เมื่อ 2,3 วันก่อน นสพ.ไทยรัฐวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 หน้า 3 เขียนบทความพาดหัวว่า “อดัม คาเฮน ส่องวิกฤติการเมืองไทยใกล้จุดวิบาก” บทความสรุปว่า สถานการณ์เร่งให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย … … โดยได้มีการแอบจัดทำอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 53 โดยเครือข่าย Scenario Thailand และมีการเสวนาด้วย เมื่อปลายปี 56 เขาว่า Scenario Thailand อาจไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องที่มีศักยภาพ แกนนำ 2 ขั้ว ควรมีการเปิดการเจรจาอย่างลับ ๆ จะเวิร์กกว่ามาถกเถียงต่อหน้าสาธารณะชน… นาย Adam Kahane เป็นใคร ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเป็นชาวแคนาดา ปริญญา 3,4 ใบ ทางด้านฟิสิกซ์ พฤติกรรมสังคมและการเจรจา เป็นผู้เริ่มโครงการ Mont Fleur Scenario Exercise ให้กับ South Africa เมื่อ Nelson Mandela พยายามให้คนผิวดำกับคนผิวขาวจับมือกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย คนอ่านนิทานจะโยงถูกไหมหนอ ว่าคนประวัติแบบนี้ใครจัดส่งมาให้ !? วิธีการจำลองเหตุการณ์ หรือ Scenario planning นี้ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีการของ Rand Corporation เป็นทฤษฎีที่ใช้สำหรับด้านการรบของทหาร (หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อ Rand Corporation ได้ ต้นความคิดฐานทัพใบบัว Lily Pad และการรบแบบ Special Force Operation ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านยุทธการกบกระโดดใหม่นะครับ) คนคิดทฤษฎีนี้คือนาย Herman Kahn ของ Rand ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ต่อมานาย Kahn ลาออกจาก Rand Corporation และมาตั้ง Hudson Institute ซึ่งเป็นพวกถังความคิด (think tank) ที่วอชิงตันสนับสนุนให้ดูแลความมั่นคง และส่งเสริมนโยบายสำคัญ ให้กับเอกชนระดับบรรษัท หรือสถาบันข้ามชาติ สำหรับกรณี ที่บรรษัทพวกนี้มีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของอ เมริกา และอาจกระทบกับชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจในต่างประเทศ ฯลฯ Hudson Institute ก็จะรับหน้าที่ดูแล แนะนำ วางแผน จัดการ ทดลอง และปฏิบัติการให้บรรลุตามเป้าหมาย ลูกค้าของเขา เช่น Shell, Cargill, Monsanto, Du Port, Dow Chemical, Sandoz, Ciba Geigy คงพอนึกออกนะครับ เช่น บริษัทน้ำมันจะวางท่อผ่านไปบนที่ชาวบ้านหรือแหล่งน้ำ ชาวบ้านประท้วงกัน ทะเลาะกัน หน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จัดการให้เรื่องเงียบ หรือบริษัทยาจะทดลองยากับมนุษย์ในโลกที่ 3 หน่วยงานนี้ก็จะจัดให้ พูดไม่อ้อมค้อม หน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนพวกเสธ คนดัง ที่รับจ้าง clear เรื่องขัดแย้งทำนองนั้น แต่ไอ้นี่มันเรื่องระดับชาติหรือระดับโลก แต่วิธีการก็ไม่น่าต่างกัน นาย Adam Kahane เคยทำงานให้กับบริษัท Dutch Shell เป็นเวลานาน คุ้นเคยกับวิธีการสร้างภาพจำลอง Sceanario workshop/ exercise แบบนี้ ภายหลังเขาร่วมกับพรรคพวกตั้ง Reos Partners รับงานด้านนี้ (หลังจากที่นาย Kahn เสียชีวิต) ท่านผู้อ่านนิทาน พอมองเห็นภาพต่อกันได้หรือยัง เชื่อว่ารายการของนาย Adam Kahane ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะผู้ที่นำเขาเข้ามาแสดงใน เมืองไทย ใช้ชื่อว่า Siam Intelligence เป็นถังความคิดคนไทย เป็นหน้าฉากให้ใคร เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง แต่เมื่อตอนเขาจัดงานเสวนา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เรื่อง Solution Talk “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” บรรดาขาใหญ่มาร่วมเป็นเหยื่อกันเพียบ ไปหาชื่ออ่านกันนะครับ หน่วยงานประเภท Rand Corporation, Hudson Institution นักล่ามีอยู่ในกระเป๋าเป็นร้อย นักล่ากำลังนั่งหมอบอยู่บนภู ดูจังหวะขม่ำสมันน้อยรอบใหม่ แต่รอบนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ไม่มีผีคอมมี่มาหลอน คราวก่อนมันรบกันนอกบ้านเรา คราวนี้ถ้าเราเดินหมากผิด มันเท่ากับชักศึกเข้าบ้าน กำลังนั่งเหมอ ๆ สบายอยู่ในบ้าน หันมาอีกทีบ้านอาจโดนถล่มหายไปทั้งแถบ เพราะดันไปยอมให้นักล่า มาสร้างฐานทัพใบบัวเต็มชายฝั่งไว้ให้กบกระโดด เพราะฉะนั้น ต้องมารู้จัก มาตามดู ท่าทีของนักล่ากันบ้าง
นี่มันบ้านเรานะ จะให้มันจะมาเดินกร่าง ชี้นิ้ว สั่งเราทำโน่นทำนี่ได้อย่างไร แล้วมันจะทำทุกอย่างเองไม่ได้ มันต้องเลี่ยงไปใช้ร่างทรง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จัก พวกสมอง มือ เท้า ร่างทรง ของนักล่าเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกมือเท้าร่างทรงไทย แต่ใจเป็นของฝรั่ง อย่าปล่อยให้ลอยนวลครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มีค 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง”

    Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง

    เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ

    แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2

    เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

    ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง
    เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน
    ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์
    สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow

    ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง
    การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
    การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ
    การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย
    การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory)
    การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่
    ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น

    ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ
    การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack
    ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้

    ความเปราะบางของระบบประสาท
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว
    หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ”
    ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน
    การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม

    https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    🎙️ เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง” Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2 เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ✅ ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง ➡️ เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน ➡️ ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์ ➡️ สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow ✅ ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ➡️ การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ ➡️ การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย ➡️ การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory) ➡️ การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ ➡️ ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ ⛔ การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack ⛔ ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้ ‼️ ความเปราะบางของระบบประสาท ⛔ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว ⛔ หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้ ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ” ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน ⛔ การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    WWW.HENRIKKARLSSON.XYZ
    Almost anything you give sustained attention to will begin to loop on itself and bloom
    When people talk about the value of paying attention and slowing down, they often make it sound prudish and monk-like. But we shouldn’t forget how interesting and overpoweringly pleasurable sustained attention can be.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน

    เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์

    แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต

    การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส

    นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว

    การค้นพบของ MIT
    ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์
    พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์
    การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ

    เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย
    ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน
    ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain
    ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป
    ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์
    เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง

    ทีมวิจัยและการสนับสนุน
    นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta
    ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ
    ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น

    https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก MIT: เมื่อการยิง X-ray กลายเป็นเครื่องมือควบคุม strain ในวัสดุระดับนาโน เดิมทีทีมวิจัยของ MIT นำโดย Ericmoore Jossou ตั้งใจจะศึกษาวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ว่ามันพังอย่างไรภายใต้รังสีรุนแรง พวกเขาใช้เทคนิค solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนแผ่นซิลิคอน แล้วยิง X-ray พลังสูงเข้าไปเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมในเครื่องปฏิกรณ์ แต่สิ่งที่ค้นพบกลับเหนือความคาดหมาย—พวกเขาพบว่า X-ray ไม่ได้แค่ช่วยให้เห็นการพังของผลึก แต่ยังสามารถ “ควบคุมระดับ strain” ภายในผลึกได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีชั้น buffer ของ silicon dioxide คั่นระหว่างนิกเกิลกับซับสเตรต การควบคุม strain นี้มีผลโดยตรงต่อคุณสมบัติทางไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปที่เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยปกติการควบคุม strain ต้องใช้วิธีทางกลหรือการออกแบบเลเยอร์เฉพาะ แต่เทคนิคใหม่นี้ใช้ X-ray เป็น “เครื่องมือปรับแต่งผลึก” แบบไม่ต้องสัมผัส นอกจากนี้ ทีมยังสามารถสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพังได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจการกัดกร่อนและการแตกร้าวในวัสดุที่ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์, เรือดำน้ำ, หรือระบบขับเคลื่อนที่ต้องทนต่อสภาพสุดขั้ว ✅ การค้นพบของ MIT ➡️ ใช้ X-ray พลังสูงยิงเข้าไปในผลึกนิกเกิลเพื่อจำลองสภาพในเครื่องปฏิกรณ์ ➡️ พบว่าสามารถควบคุมระดับ strain ภายในผลึกได้แบบเรียลไทม์ ➡️ การควบคุม strain มีผลต่อคุณสมบัติไฟฟ้าและแสงของวัสดุ ✅ เทคนิคที่ใช้ในงานวิจัย ➡️ ใช้ solid-state dewetting เพื่อสร้างผลึกนิกเกิลบนซิลิคอน ➡️ ใส่ชั้น buffer ของ silicon dioxide เพื่อเสถียรภาพและควบคุม strain ➡️ ใช้ phase retrieval algorithm เพื่อสร้างภาพ 3D ของผลึกที่กำลังพัง ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เปิดทางให้ใช้ X-ray เป็นเครื่องมือปรับแต่งผลึกในกระบวนการผลิตชิป ➡️ ช่วยออกแบบวัสดุที่ทนต่อรังสีและความร้อนในระบบนิวเคลียร์ ➡️ เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ทั้งใน semiconductor และวัสดุวิศวกรรมขั้นสูง ✅ ทีมวิจัยและการสนับสนุน ➡️ นำโดย Ericmoore Jossou ร่วมกับ David Simonne, Riley Hultquist, Jiangtao Zhao และ Andrea Resta ➡️ ได้รับทุนจาก MIT Faculty Startup Fund และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ➡️ ตีพิมพ์ในวารสาร Scripta Materialia และวางแผนขยายไปยังโลหะผสมที่ซับซ้อนมากขึ้น https://www.trendlynews.in/2025/09/mit-scientists-find-x-ray-technique.html
    WWW.TRENDLYNEWS.IN
    MIT scientists find X-ray technique that could enhance durability of nuclear materials and computer chips
    Trending News, Listen News, Top Trending Topics, Videos, Popular News #love #photooftheday #instagood #picoftheday #bestoftheday #giveaway #crypto #ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล

    ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด

    ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ

    นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently.

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว

    https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Trail of Bits: เมื่อภาพที่ดูธรรมดา กลายเป็นประตูสู่การขโมยข้อมูล ในโลกที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, Assistant หรือระบบ CLI การอัปโหลดภาพดูเหมือนจะเป็นเรื่องปลอดภัย แต่ทีมนักวิจัยจาก Trail of Bits ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ที่น่าตกใจ—“image scaling attack” ที่ใช้ภาพความละเอียดสูงซ่อนคำสั่งลับไว้ แล้วปล่อยให้ AI อ่านออกเมื่อภาพถูกย่อขนาด ภาพที่ดูปกติสำหรับมนุษย์ อาจมีข้อความแอบซ่อนอยู่ในพิกเซลที่ถูกจัดวางอย่างจงใจ เมื่อ AI ทำการ downscale ภาพเพื่อประมวลผล คำสั่งที่ซ่อนอยู่จะปรากฏขึ้นในรูปแบบที่โมเดลสามารถอ่านและ “เชื่อว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้” ได้ทันที โดยไม่ต้องมีการยืนยันใด ๆ นักวิจัยได้สาธิตการโจมตีนี้บนระบบจริง เช่น Gemini CLI, Google Assistant และ Gemini web interface โดยใช้ภาพที่แฝงคำสั่งให้ AI เข้าถึง Google Calendar แล้วส่งข้อมูลไปยังอีเมลของผู้โจมตี—all done silently. เพื่อรับมือกับภัยคุกคามนี้ Trail of Bits ได้เปิดตัวเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” ที่สามารถสร้างภาพแบบนี้เพื่อใช้ในการทดสอบระบบ และแนะนำให้ผู้พัฒนา AI แสดง preview ของภาพหลังการ downscale ก่อนดำเนินการใด ๆ พร้อมบังคับให้มีการยืนยันจากผู้ใช้ก่อนทำงานที่อ่อนไหว https://hackread.com/hidden-commands-images-exploit-ai-chatbots-steal-data/
    HACKREAD.COM
    Hidden Commands in Images Exploit AI Chatbots and Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • นังไอซ์ คิดแต่สร้างภาพสร้างราคา จนเผลอหลุดออกมาเอง ตอบมาได้ว่านอนคิดมาอาทิตย์นึงแล้ว เรื่องโหวตรัฐบาลอนุทินที่มีเสี่ยเฮ้ง เพราะเสี่ยเฮ็งเพิ่งประกาศหนุนเสี่ยหนูได้แค่ 3 วันเอง หรือพรรคส้มดีลกับน้ำเงินไว้แล้ว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    นังไอซ์ คิดแต่สร้างภาพสร้างราคา จนเผลอหลุดออกมาเอง ตอบมาได้ว่านอนคิดมาอาทิตย์นึงแล้ว เรื่องโหวตรัฐบาลอนุทินที่มีเสี่ยเฮ้ง เพราะเสี่ยเฮ็งเพิ่งประกาศหนุนเสี่ยหนูได้แค่ 3 วันเอง หรือพรรคส้มดีลกับน้ำเงินไว้แล้ว #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤตการณ์การล่มสลายของโมเดล AI: วงจรป้อนกลับของข้อมูลสังเคราะห์

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (Generative AI) กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ "การล่มสลายของโมเดล" (Model Collapse) ได้กลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่สำคัญยิ่ง เปรียบเสมือน "งูกินหางตัวเอง" หรือการถ่ายสำเนาภาพซ้ำๆ ที่ทำให้คุณภาพเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อโมเดล AI ถูกฝึกซ้ำด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI รุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านความหลากหลาย ความแม่นยำ และความละเอียดอ่อนของข้อมูล การสูญเสียข้อมูลส่วนหางหรือข้อมูลที่มีความถี่ต่ำอย่างเป็นระบบนี้ไม่เพียงกระทบทางเทคนิค แต่ยังขยายไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น การปนเปื้อนระบบนิเวศดิจิทัล การลดลงของความรู้มนุษย์ และการเกิด "อคติแบบ AI-ต่อ-AI" อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวทางแก้ไขแบบหลายชั้น เราสามารถบรรเทาปัญหานี้ได้ผ่านการตรวจสอบที่มาของข้อมูล การมีส่วนร่วมของมนุษย์ และการกำกับดูแลเชิงนโยบาย

    จุดกำเนิดของปัญหานี้คือวงจรป้อนกลับแบบงูกินหาง (Ouroboros) ที่ข้อมูลสังเคราะห์จาก AI เพิ่มขึ้นและปนเปื้อนข้อมูลออนไลน์ ทำให้โมเดลรุ่นใหม่ต้องใช้ข้อมูลที่เสื่อมโทรมนี้ในการฝึก สร้างภัยคุกคามเชิงระบบต่ออุตสาหกรรม AI ทั้งหมด โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหม่ที่ยากจะเข้าถึงข้อมูลมนุษย์แท้จริง เปรียบเทียบกับการถ่ายสำเนาภาพซ้ำๆ คุณภาพข้อมูลดั้งเดิมจะลดลงจนเหลือผลลัพธ์ที่พร่ามัวและไร้ประโยชน์ แก่นปัญหาอยู่ที่วงจรป้อนกลับแบบพึ่งพาตนเอง (Autoregressive Feedback Loop) ซึ่งขยายข้อผิดพลาดจากรุ่นก่อนสะสมเรื่อยๆ กลไกการเสื่อมถอยมาจากการสุ่มเลือกข้อมูลถี่สูงและมองข้ามข้อมูลส่วนหาง เช่น ในตัวอย่างคนใส่หมวกสีน้ำเงิน 99% และสีแดง 1% โมเดลอาจสรุปว่าทุกคนใส่หมวกสีน้ำเงินเท่านั้น ทำให้ข้อมูลสีแดงหายไปในที่สุด ความผิดพลาดแบ่งเป็นสามประเภท: การประมาณค่าทางสถิติ การแสดงฟังก์ชัน และการเรียนรู้ ส่งผลให้ข้อมูลเป็นเนื้อเดียวกัน สร้าง "ห้องสะท้อนเสียงทางแนวคิด" และนำไปสู่ความรู้ลดลงในสังคม

    การล่มสลายแบ่งเป็นสองระยะ: ระยะเริ่มต้นที่สูญเสียข้อมูลส่วนหางอย่างไม่ชัดเจน แม้ประสิทธิภาพโดยรวมดูดีขึ้น แต่ความสามารถจัดการข้อมูลพิเศษลดลง และระยะสุดท้ายที่ประสิทธิภาพหายไปอย่างชัดเจน ผลลัพธ์กลายเป็นข้อความหรือภาพซ้ำซากไร้ความหมาย ปรากฏในโดเมนต่างๆ เช่น ในโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) สูญเสียหัวข้อเฉพาะกลุ่มในระยะแรก และกลายเป็นข้อความไม่เกี่ยวข้องในระยะหลัง สำหรับโมเดลสร้างภาพ ความหลากหลายลดลงอย่างละเอียดอ่อนจนกลายเป็นภาพเหมือนกันและคุณภาพต่ำ ในโมเดลอื่นๆ เช่น GMMs/VAEs สูญเสียข้อมูลส่วนหางจนสับสนในแนวคิด

    ผลกระทบขยายสู่เศรษฐกิจและสังคม โดยนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดที่ก่อความเสียหายสูง เช่น เครื่องมือแพทย์พลาดวินิจฉัยโรคหายาก หรือธุรกิจสูญเสียลูกค้าจากคำแนะนำซ้ำซาก ในมิติสังคม ข้อมูลสังเคราะห์ที่แยกไม่ออกจากมนุษย์เพิ่มต้นทุนตรวจสอบความถูกต้อง สร้างความเหลื่อมล้ำดิจิทัลที่คนรวยได้เปรียบ ยิ่งกว่านั้น "อคติแบบ AI-ต่อ-AI" ทำให้ AI ชอบเนื้อหาจาก AI ด้วยกัน สร้าง "ภาษีเข้าประตู" ในงานคัดเลือกบุคลากรหรือทุนวิจัย บังคับให้มนุษย์ปรับงานให้ "ดูเหมือน AI" เพื่ออยู่รอด

    เพื่อแก้ไข ต้องกลับสู่แหล่งข้อมูลมนุษย์แท้จริงและผสมข้อมูลสังเคราะห์อย่างระมัดระวัง โดยใช้เครื่องมืออย่างการตรวจสอบที่มา (Provenance) การฝังลายน้ำ (Watermarking) และลายเซ็นดิจิทัลเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง มนุษย์ต้องเป็นหลักยึดผ่านระบบมนุษย์ร่วมวงจร (Human-in-the-Loop) และ Active Learning เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดและยึดโยงกับความจริง นอกจากนี้ ต้องมีกฎระเบียบอย่างกฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป และธรรมาภิบาลภายในองค์กรเพื่อตรวจจับความเบี่ยงเบน โดยสรุปแนวทางองค์รวม: การตรวจสอบที่มาสร้างความโปร่งใสแต่ขาดมาตรฐานร่วม การผสมข้อมูลรักษาความหลากหลายแต่ต้องควบคุมสัดส่วน มนุษย์ร่วมวงจรป้องกันข้อผิดพลาดแต่ใช้ทรัพยากรสูง และธรรมาภิบาล AI บรรเทาความเสี่ยงแต่ต้องการความเข้าใจลึกซึ้ง

    สรุปแล้ว การล่มสลายของโมเดลคือจุดตัดระหว่างความสำเร็จและล้มเหลวเชิงระบบ แต่ด้วยแนวทางที่ผสมนวัตกรรม การกำกับดูแลมนุษย์ และกฎระเบียบ เราสามารถเปลี่ยนวงจรทำลายล้างนี้ให้เป็นกลไกการเรียนรู้ที่ยั่งยืน โดยมอง AI เป็นผู้สร้างร่วมที่มนุษย์ยังคงเป็นแกนหลักในการรักษาความเป็นจริง ความหลากหลาย และความสมบูรณ์ของโลกดิจิทัล

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    วิกฤตการณ์การล่มสลายของโมเดล AI: วงจรป้อนกลับของข้อมูลสังเคราะห์ 🧠 ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (Generative AI) กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ "การล่มสลายของโมเดล" (Model Collapse) ได้กลายเป็นความเสี่ยงเชิงระบบที่สำคัญยิ่ง เปรียบเสมือน "งูกินหางตัวเอง" หรือการถ่ายสำเนาภาพซ้ำๆ ที่ทำให้คุณภาพเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อโมเดล AI ถูกฝึกซ้ำด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI รุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านความหลากหลาย ความแม่นยำ และความละเอียดอ่อนของข้อมูล การสูญเสียข้อมูลส่วนหางหรือข้อมูลที่มีความถี่ต่ำอย่างเป็นระบบนี้ไม่เพียงกระทบทางเทคนิค แต่ยังขยายไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น การปนเปื้อนระบบนิเวศดิจิทัล การลดลงของความรู้มนุษย์ และการเกิด "อคติแบบ AI-ต่อ-AI" อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวทางแก้ไขแบบหลายชั้น เราสามารถบรรเทาปัญหานี้ได้ผ่านการตรวจสอบที่มาของข้อมูล การมีส่วนร่วมของมนุษย์ และการกำกับดูแลเชิงนโยบาย 🐍 จุดกำเนิดของปัญหานี้คือวงจรป้อนกลับแบบงูกินหาง (Ouroboros) ที่ข้อมูลสังเคราะห์จาก AI เพิ่มขึ้นและปนเปื้อนข้อมูลออนไลน์ ทำให้โมเดลรุ่นใหม่ต้องใช้ข้อมูลที่เสื่อมโทรมนี้ในการฝึก สร้างภัยคุกคามเชิงระบบต่ออุตสาหกรรม AI ทั้งหมด โดยเฉพาะผู้เล่นรายใหม่ที่ยากจะเข้าถึงข้อมูลมนุษย์แท้จริง 📸 เปรียบเทียบกับการถ่ายสำเนาภาพซ้ำๆ คุณภาพข้อมูลดั้งเดิมจะลดลงจนเหลือผลลัพธ์ที่พร่ามัวและไร้ประโยชน์ แก่นปัญหาอยู่ที่วงจรป้อนกลับแบบพึ่งพาตนเอง (Autoregressive Feedback Loop) ซึ่งขยายข้อผิดพลาดจากรุ่นก่อนสะสมเรื่อยๆ 📉 กลไกการเสื่อมถอยมาจากการสุ่มเลือกข้อมูลถี่สูงและมองข้ามข้อมูลส่วนหาง เช่น ในตัวอย่างคนใส่หมวกสีน้ำเงิน 99% และสีแดง 1% โมเดลอาจสรุปว่าทุกคนใส่หมวกสีน้ำเงินเท่านั้น ทำให้ข้อมูลสีแดงหายไปในที่สุด ความผิดพลาดแบ่งเป็นสามประเภท: การประมาณค่าทางสถิติ การแสดงฟังก์ชัน และการเรียนรู้ ส่งผลให้ข้อมูลเป็นเนื้อเดียวกัน สร้าง "ห้องสะท้อนเสียงทางแนวคิด" และนำไปสู่ความรู้ลดลงในสังคม 📈 การล่มสลายแบ่งเป็นสองระยะ: ระยะเริ่มต้นที่สูญเสียข้อมูลส่วนหางอย่างไม่ชัดเจน แม้ประสิทธิภาพโดยรวมดูดีขึ้น แต่ความสามารถจัดการข้อมูลพิเศษลดลง และระยะสุดท้ายที่ประสิทธิภาพหายไปอย่างชัดเจน ผลลัพธ์กลายเป็นข้อความหรือภาพซ้ำซากไร้ความหมาย ปรากฏในโดเมนต่างๆ เช่น ในโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) สูญเสียหัวข้อเฉพาะกลุ่มในระยะแรก และกลายเป็นข้อความไม่เกี่ยวข้องในระยะหลัง สำหรับโมเดลสร้างภาพ ความหลากหลายลดลงอย่างละเอียดอ่อนจนกลายเป็นภาพเหมือนกันและคุณภาพต่ำ ในโมเดลอื่นๆ เช่น GMMs/VAEs สูญเสียข้อมูลส่วนหางจนสับสนในแนวคิด 💼 ผลกระทบขยายสู่เศรษฐกิจและสังคม โดยนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดที่ก่อความเสียหายสูง เช่น เครื่องมือแพทย์พลาดวินิจฉัยโรคหายาก หรือธุรกิจสูญเสียลูกค้าจากคำแนะนำซ้ำซาก 🌍 ในมิติสังคม ข้อมูลสังเคราะห์ที่แยกไม่ออกจากมนุษย์เพิ่มต้นทุนตรวจสอบความถูกต้อง สร้างความเหลื่อมล้ำดิจิทัลที่คนรวยได้เปรียบ ยิ่งกว่านั้น "อคติแบบ AI-ต่อ-AI" ทำให้ AI ชอบเนื้อหาจาก AI ด้วยกัน สร้าง "ภาษีเข้าประตู" ในงานคัดเลือกบุคลากรหรือทุนวิจัย บังคับให้มนุษย์ปรับงานให้ "ดูเหมือน AI" เพื่ออยู่รอด 🔍 เพื่อแก้ไข ต้องกลับสู่แหล่งข้อมูลมนุษย์แท้จริงและผสมข้อมูลสังเคราะห์อย่างระมัดระวัง โดยใช้เครื่องมืออย่างการตรวจสอบที่มา (Provenance) การฝังลายน้ำ (Watermarking) และลายเซ็นดิจิทัลเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง 🤝 มนุษย์ต้องเป็นหลักยึดผ่านระบบมนุษย์ร่วมวงจร (Human-in-the-Loop) และ Active Learning เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดและยึดโยงกับความจริง ⚖️ นอกจากนี้ ต้องมีกฎระเบียบอย่างกฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป และธรรมาภิบาลภายในองค์กรเพื่อตรวจจับความเบี่ยงเบน โดยสรุปแนวทางองค์รวม: การตรวจสอบที่มาสร้างความโปร่งใสแต่ขาดมาตรฐานร่วม การผสมข้อมูลรักษาความหลากหลายแต่ต้องควบคุมสัดส่วน มนุษย์ร่วมวงจรป้องกันข้อผิดพลาดแต่ใช้ทรัพยากรสูง และธรรมาภิบาล AI บรรเทาความเสี่ยงแต่ต้องการความเข้าใจลึกซึ้ง 🚀 สรุปแล้ว การล่มสลายของโมเดลคือจุดตัดระหว่างความสำเร็จและล้มเหลวเชิงระบบ แต่ด้วยแนวทางที่ผสมนวัตกรรม การกำกับดูแลมนุษย์ และกฎระเบียบ เราสามารถเปลี่ยนวงจรทำลายล้างนี้ให้เป็นกลไกการเรียนรู้ที่ยั่งยืน โดยมอง AI เป็นผู้สร้างร่วมที่มนุษย์ยังคงเป็นแกนหลักในการรักษาความเป็นจริง ความหลากหลาย และความสมบูรณ์ของโลกดิจิทัล #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคนหางานลุกขึ้นสู้กับ “งานผี” ที่หลอกให้สมัครแต่ไม่เคยมีจริง

    หลังจากตกงานในเดือนตุลาคม 2024 Eric Thompson ก็เริ่มค้นพบสิ่งที่หลายคนเจอแต่ไม่กล้าพูด — ghost jobs หรือประกาศรับสมัครงานที่บริษัทไม่มีเจตนาจ้างจริง เขาเจอประกาศมากมายที่ดูน่าสนใจ แต่เมื่อสมัครไปกลับไม่มีการตอบกลับใด ๆ ทั้งสิ้น

    เมื่อสืบค้นลึกลงไป เขาพบว่าบริษัทจำนวนมากใช้ ghost jobs เพื่อเก็บเรซูเม่ไว้ล่วงหน้า, สร้างภาพลักษณ์ว่ากำลังขยายตัว, หรือแม้แต่หลอกนักลงทุนว่ามีการเติบโต ทั้งที่ตำแหน่งนั้นไม่มีอยู่จริง

    Thompson จึงรวมตัวกับเพื่อนร่วมอาชีพอีก 7 คน ตั้งกลุ่ม TJAAA (Truth in Job Advertising and Accountability Act) เพื่อผลักดันกฎหมายระดับชาติที่บังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญในประกาศงาน เช่น วันที่คาดว่าจะจ้าง, ว่าตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งใหม่หรือทดแทน, และจำนวนครั้งที่เคยโพสต์ตำแหน่งนั้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

    กฎหมายนี้จะบังคับใช้กับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 50 คน และกำหนดให้ประกาศงานต้องอยู่ไม่เกิน 90 วัน พร้อมเปิดรับสมัครอย่างน้อย 4 วันก่อนเริ่มคัดเลือก หากฝ่าฝืนจะถูกปรับขั้นต่ำ $2,500 ต่อครั้ง

    แม้จะยังไม่เข้าสู่สภา แต่ Thompson ได้พบกับเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 30 คน และได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะในรัฐที่กำลังพิจารณากฎหมายคล้ายกัน เช่น นิวเจอร์ซีย์, เคนทักกี และแคลิฟอร์เนีย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Eric Thompson เริ่มเคลื่อนไหวหลังเจอ ghost jobs จำนวนมากหลังตกงานในปี 2024
    ghost jobs คือประกาศรับสมัครงานที่ไม่มีเจตนาจ้างจริง
    บริษัทใช้ ghost jobs เพื่อเก็บเรซูเม่, สร้างภาพลักษณ์การเติบโต, หรือหลอกนักลงทุน
    Thompson ตั้งกลุ่ม TJAAA เพื่อผลักดันกฎหมาย Truth in Job Advertising and Accountability Act
    กฎหมายกำหนดให้ประกาศงานต้องระบุวันที่คาดว่าจะจ้าง, สถานะตำแหน่ง, และประวัติการโพสต์
    ประกาศต้องอยู่ไม่เกิน 90 วัน และเปิดรับสมัครอย่างน้อย 4 วันก่อนคัดเลือก
    บังคับใช้กับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 50 คน
    ฝ่าฝืนจะถูกปรับขั้นต่ำ $2,500 ต่อครั้ง
    Thompson พบกับเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 30 คนเพื่อผลักดันกฎหมาย
    รัฐนิวเจอร์ซีย์, เคนทักกี และแคลิฟอร์เนียกำลังพิจารณากฎหมายคล้ายกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานจาก ResumeBuilder พบว่า 40% ของบริษัทเคยโพสต์ ghost jobs และ 30% ยังมีอยู่
    ghost jobs พบมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, ก่อสร้าง, กฎหมาย และบริการอาหาร
    แพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn และ Greenhouse เริ่มใช้ระบบตรวจสอบประกาศงาน
    กฎหมายในแคนาดา (Ontario) จะบังคับให้บริษัทแจ้งสถานะผู้สมัครและห้าม ghost jobs ตั้งแต่ปี 2026
    ghost jobs ทำให้ประสิทธิภาพการจ้างงานลดลงจาก 8 ต่อ 10 ในปี 2019 เหลือ 4 ต่อ 10 ในปี 2024

    https://www.cnbc.com/2025/08/25/tech-worker-was-frustrated-with-ghost-jobs-now-hes-trying-to-pass-a-national-ban.html
    🧩 เมื่อคนหางานลุกขึ้นสู้กับ “งานผี” ที่หลอกให้สมัครแต่ไม่เคยมีจริง หลังจากตกงานในเดือนตุลาคม 2024 Eric Thompson ก็เริ่มค้นพบสิ่งที่หลายคนเจอแต่ไม่กล้าพูด — ghost jobs หรือประกาศรับสมัครงานที่บริษัทไม่มีเจตนาจ้างจริง เขาเจอประกาศมากมายที่ดูน่าสนใจ แต่เมื่อสมัครไปกลับไม่มีการตอบกลับใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อสืบค้นลึกลงไป เขาพบว่าบริษัทจำนวนมากใช้ ghost jobs เพื่อเก็บเรซูเม่ไว้ล่วงหน้า, สร้างภาพลักษณ์ว่ากำลังขยายตัว, หรือแม้แต่หลอกนักลงทุนว่ามีการเติบโต ทั้งที่ตำแหน่งนั้นไม่มีอยู่จริง Thompson จึงรวมตัวกับเพื่อนร่วมอาชีพอีก 7 คน ตั้งกลุ่ม TJAAA (Truth in Job Advertising and Accountability Act) เพื่อผลักดันกฎหมายระดับชาติที่บังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญในประกาศงาน เช่น วันที่คาดว่าจะจ้าง, ว่าตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งใหม่หรือทดแทน, และจำนวนครั้งที่เคยโพสต์ตำแหน่งนั้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กฎหมายนี้จะบังคับใช้กับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 50 คน และกำหนดให้ประกาศงานต้องอยู่ไม่เกิน 90 วัน พร้อมเปิดรับสมัครอย่างน้อย 4 วันก่อนเริ่มคัดเลือก หากฝ่าฝืนจะถูกปรับขั้นต่ำ $2,500 ต่อครั้ง แม้จะยังไม่เข้าสู่สภา แต่ Thompson ได้พบกับเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 30 คน และได้รับเสียงสนับสนุนจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะในรัฐที่กำลังพิจารณากฎหมายคล้ายกัน เช่น นิวเจอร์ซีย์, เคนทักกี และแคลิฟอร์เนีย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Eric Thompson เริ่มเคลื่อนไหวหลังเจอ ghost jobs จำนวนมากหลังตกงานในปี 2024 ➡️ ghost jobs คือประกาศรับสมัครงานที่ไม่มีเจตนาจ้างจริง ➡️ บริษัทใช้ ghost jobs เพื่อเก็บเรซูเม่, สร้างภาพลักษณ์การเติบโต, หรือหลอกนักลงทุน ➡️ Thompson ตั้งกลุ่ม TJAAA เพื่อผลักดันกฎหมาย Truth in Job Advertising and Accountability Act ➡️ กฎหมายกำหนดให้ประกาศงานต้องระบุวันที่คาดว่าจะจ้าง, สถานะตำแหน่ง, และประวัติการโพสต์ ➡️ ประกาศต้องอยู่ไม่เกิน 90 วัน และเปิดรับสมัครอย่างน้อย 4 วันก่อนคัดเลือก ➡️ บังคับใช้กับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 50 คน ➡️ ฝ่าฝืนจะถูกปรับขั้นต่ำ $2,500 ต่อครั้ง ➡️ Thompson พบกับเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 30 คนเพื่อผลักดันกฎหมาย ➡️ รัฐนิวเจอร์ซีย์, เคนทักกี และแคลิฟอร์เนียกำลังพิจารณากฎหมายคล้ายกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานจาก ResumeBuilder พบว่า 40% ของบริษัทเคยโพสต์ ghost jobs และ 30% ยังมีอยู่ ➡️ ghost jobs พบมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, ก่อสร้าง, กฎหมาย และบริการอาหาร ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn และ Greenhouse เริ่มใช้ระบบตรวจสอบประกาศงาน ➡️ กฎหมายในแคนาดา (Ontario) จะบังคับให้บริษัทแจ้งสถานะผู้สมัครและห้าม ghost jobs ตั้งแต่ปี 2026 ➡️ ghost jobs ทำให้ประสิทธิภาพการจ้างงานลดลงจาก 8 ต่อ 10 ในปี 2019 เหลือ 4 ต่อ 10 ในปี 2024 https://www.cnbc.com/2025/08/25/tech-worker-was-frustrated-with-ghost-jobs-now-hes-trying-to-pass-a-national-ban.html
    WWW.CNBC.COM
    This tech worker was frustrated with ghost job ads. Now he’s working to pass a national law banning them
    Eric Thompson grew so frustrated with ghost jobs that he created an advocacy group to propose federal legislation banning the practice.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตพระอลงกตฉาว! วุฒิการศึกษาปลอม โกงเงินแหวนรุ่น หนีทหาร แถมยักยอกเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ ส่อบวชเพื่อหนีคดี สร้างภาพพระนักพัฒนา บทสรุปคนปลอม พระเก๊ สร้างภาพ-ตะลบตะแลง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000081641

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    อดีตพระอลงกตฉาว! วุฒิการศึกษาปลอม โกงเงินแหวนรุ่น หนีทหาร แถมยักยอกเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ ส่อบวชเพื่อหนีคดี สร้างภาพพระนักพัฒนา บทสรุปคนปลอม พระเก๊ สร้างภาพ-ตะลบตะแลง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000081641 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gemini 2.5 Flash Image — เมื่อ AI เข้าใจภาพอย่างมี “ความหมาย”

    ในอดีต โมเดลสร้างภาพด้วย AI มักจะเน้นความสวยงาม แต่ขาดความเข้าใจโลกจริง เช่น ถ้าขอให้วาด “แมวถือกล้วยในร้านอาหารหรู” ก็อาจได้ภาพที่ดูดีแต่ไม่สมเหตุสมผล วันนี้ Google เปิดตัว Gemini 2.5 Flash Image ซึ่งไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย แต่ “เข้าใจ” ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน และทำไม

    Gemini 2.5 Flash Image สามารถรวมหลายภาพเป็นภาพเดียวได้อย่างกลมกลืน เช่น การวางสินค้าลงในฉากใหม่ หรือเปลี่ยนโทนสีห้องด้วยภาพตัวอย่าง นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขภาพด้วยคำสั่งธรรมดา เช่น “ลบคนด้านหลัง” หรือ “เปลี่ยนท่าทางของตัวละคร” โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน

    สิ่งที่โดดเด่นคือความสามารถในการรักษาความสม่ำเสมอของตัวละคร เช่น ถ้าสร้างภาพตัวละครหนึ่งในฉากต่าง ๆ ตัวละครนั้นจะยังคงหน้าตา เสื้อผ้า และบุคลิกเดิมไว้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะกับการสร้างแบรนด์ การ์ตูน หรือสินค้าหลายมุมมอง

    Gemini ยังใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ การเข้าใจแผนภาพ และการตอบคำถามจากภาพ เพื่อสร้างแอปการเรียนรู้แบบ interactive ได้ทันที

    โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Google AI Studio และ Vertex AI โดยมีราคาประมาณ $0.039 ต่อภาพ และทุกภาพจะมีลายน้ำดิจิทัล SynthID ฝังไว้แบบมองไม่เห็น เพื่อระบุว่าเป็นภาพที่สร้างหรือแก้ไขด้วย AI

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลสร้างและแก้ไขภาพที่ล้ำหน้าที่สุดของ Google
    รองรับการรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว (multi-image fusion) ด้วย prompt เดียว
    สามารถแก้ไขภาพแบบเจาะจง เช่น ลบสิ่งของ เปลี่ยนท่าทาง หรือปรับสี ด้วยคำสั่งธรรมดา
    รักษาความสม่ำเสมอของตัวละครในหลายฉากได้อย่างแม่นยำ
    ใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ และตอบคำถามจากภาพ
    มี template app ใน Google AI Studio สำหรับทดลองและปรับแต่งได้ทันที
    รองรับการสร้างแอปแก้ไขภาพด้วย prompt เดียว เช่น “สร้างแอปใส่ฟิลเตอร์ภาพ”
    เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API, Google AI Studio และ Vertex AI
    ราคา $30 ต่อ 1 ล้าน output tokens หรือประมาณ $0.039 ต่อภาพ
    ทุกภาพมีลายน้ำ SynthID ฝังไว้เพื่อระบุว่าเป็นภาพจาก AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลแรกที่ OpenRouter รองรับการสร้างภาพโดยตรง
    ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ Gemini 2.5 Flash ซึ่งเน้นความเร็วและต้นทุนต่ำ
    DeepMind ระบุว่า Gemini 2.5 มีความสามารถ reasoning ที่ดีขึ้นจาก reinforcement learning2
    โมเดลนี้สามารถรันผ่าน SDK ที่รองรับ OpenAI API เช่น openai-python และ typescript
    มีการใช้งานร่วมกับ fal.ai เพื่อขยายสู่ชุมชนนักพัฒนา generative media

    https://developers.googleblog.com/en/introducing-gemini-2-5-flash-image/
    🎨 Gemini 2.5 Flash Image — เมื่อ AI เข้าใจภาพอย่างมี “ความหมาย” ในอดีต โมเดลสร้างภาพด้วย AI มักจะเน้นความสวยงาม แต่ขาดความเข้าใจโลกจริง เช่น ถ้าขอให้วาด “แมวถือกล้วยในร้านอาหารหรู” ก็อาจได้ภาพที่ดูดีแต่ไม่สมเหตุสมผล วันนี้ Google เปิดตัว Gemini 2.5 Flash Image ซึ่งไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย แต่ “เข้าใจ” ว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน และทำไม Gemini 2.5 Flash Image สามารถรวมหลายภาพเป็นภาพเดียวได้อย่างกลมกลืน เช่น การวางสินค้าลงในฉากใหม่ หรือเปลี่ยนโทนสีห้องด้วยภาพตัวอย่าง นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขภาพด้วยคำสั่งธรรมดา เช่น “ลบคนด้านหลัง” หรือ “เปลี่ยนท่าทางของตัวละคร” โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน สิ่งที่โดดเด่นคือความสามารถในการรักษาความสม่ำเสมอของตัวละคร เช่น ถ้าสร้างภาพตัวละครหนึ่งในฉากต่าง ๆ ตัวละครนั้นจะยังคงหน้าตา เสื้อผ้า และบุคลิกเดิมไว้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะกับการสร้างแบรนด์ การ์ตูน หรือสินค้าหลายมุมมอง Gemini ยังใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ การเข้าใจแผนภาพ และการตอบคำถามจากภาพ เพื่อสร้างแอปการเรียนรู้แบบ interactive ได้ทันที โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานผ่าน Google AI Studio และ Vertex AI โดยมีราคาประมาณ $0.039 ต่อภาพ และทุกภาพจะมีลายน้ำดิจิทัล SynthID ฝังไว้แบบมองไม่เห็น เพื่อระบุว่าเป็นภาพที่สร้างหรือแก้ไขด้วย AI 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลสร้างและแก้ไขภาพที่ล้ำหน้าที่สุดของ Google ➡️ รองรับการรวมหลายภาพเป็นภาพเดียว (multi-image fusion) ด้วย prompt เดียว ➡️ สามารถแก้ไขภาพแบบเจาะจง เช่น ลบสิ่งของ เปลี่ยนท่าทาง หรือปรับสี ด้วยคำสั่งธรรมดา ➡️ รักษาความสม่ำเสมอของตัวละครในหลายฉากได้อย่างแม่นยำ ➡️ ใช้ความรู้จากโลกจริง เช่น การอ่านภาพวาดมือ และตอบคำถามจากภาพ ➡️ มี template app ใน Google AI Studio สำหรับทดลองและปรับแต่งได้ทันที ➡️ รองรับการสร้างแอปแก้ไขภาพด้วย prompt เดียว เช่น “สร้างแอปใส่ฟิลเตอร์ภาพ” ➡️ เปิดให้ใช้งานผ่าน Gemini API, Google AI Studio และ Vertex AI ➡️ ราคา $30 ต่อ 1 ล้าน output tokens หรือประมาณ $0.039 ต่อภาพ ➡️ ทุกภาพมีลายน้ำ SynthID ฝังไว้เพื่อระบุว่าเป็นภาพจาก AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini 2.5 Flash Image เป็นโมเดลแรกที่ OpenRouter รองรับการสร้างภาพโดยตรง ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกับ Gemini 2.5 Flash ซึ่งเน้นความเร็วและต้นทุนต่ำ ➡️ DeepMind ระบุว่า Gemini 2.5 มีความสามารถ reasoning ที่ดีขึ้นจาก reinforcement learning2 ➡️ โมเดลนี้สามารถรันผ่าน SDK ที่รองรับ OpenAI API เช่น openai-python และ typescript ➡️ มีการใช้งานร่วมกับ fal.ai เพื่อขยายสู่ชุมชนนักพัฒนา generative media https://developers.googleblog.com/en/introducing-gemini-2-5-flash-image/
    DEVELOPERS.GOOGLEBLOG.COM
    Introducing Gemini 2.5 Flash Image, our state-of-the-art image model- Google Developers Blog
    Explore Gemini 2.5 Flash Image, a powerful new image generation and editing model with advanced features and creative control.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ตั้งใจไปเดินตามเกมฮุนเซน มาอ้างสร้างภาพว่าหนักใจที่กัมพูชาหน้าไหว้หลังหลอก แต่รู้ไหมว่าคนไทยหนักใจใคร ที่คอยปกป้องแก้ตัวให้กัมพูชา ยิงโรงพยาบาลแค่พลาด ไม่ละเมิดหยุดยิง ไม่ใช่ทุ่นใหม่ ทหารไทยต้องเดินระวัง รุกล้ำหนองจานต้องคุยกัน ผู้ว่าฯสระแก้วแค่พูดผิด
    #7ดอกจิก
    ♣ ตั้งใจไปเดินตามเกมฮุนเซน มาอ้างสร้างภาพว่าหนักใจที่กัมพูชาหน้าไหว้หลังหลอก แต่รู้ไหมว่าคนไทยหนักใจใคร ที่คอยปกป้องแก้ตัวให้กัมพูชา ยิงโรงพยาบาลแค่พลาด ไม่ละเมิดหยุดยิง ไม่ใช่ทุ่นใหม่ ทหารไทยต้องเดินระวัง รุกล้ำหนองจานต้องคุยกัน ผู้ว่าฯสระแก้วแค่พูดผิด #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อภาพธรรมดากลายเป็นช่องโหว่ – และ AI ก็ไม่เห็นภัยที่ซ่อนอยู่ในพิกเซล

    ลองจินตนาการว่าคุณอัปโหลดภาพธรรมดา ๆ ไปยังระบบ AI เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ แต่เบื้องหลังภาพนั้นกลับมีคำสั่งลับที่ถูกซ่อนไว้ และเมื่อภาพถูกปรับขนาดโดยระบบก่อนส่งเข้าโมเดล คำสั่งนั้นก็ถูก “ปลุก” ขึ้นมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว

    นี่คือสิ่งที่นักวิจัยจาก Trail of Bits ค้นพบและสาธิตผ่านการโจมตีแบบ image scaling prompt injection ซึ่งสามารถใช้ขโมยข้อมูลผู้ใช้จากระบบ AI ที่ใช้งานจริง เช่น Google Gemini CLI, Vertex AI Studio, Google Assistant และ Genspark โดยอาศัยช่องโหว่จากการปรับขนาดภาพ (downscaling) ที่ทำให้คำสั่งที่ซ่อนอยู่ในภาพถูกเปิดเผยเมื่อ resolution เปลี่ยน

    การโจมตีนี้อาศัยหลักการของ Nyquist–Shannon sampling theorem และการวิเคราะห์พฤติกรรมของอัลกอริธึมปรับขนาดภาพ เช่น bicubic, bilinear และ nearest neighbor ซึ่งแต่ละแบบมีจุดอ่อนต่างกัน นักวิจัยจึงสร้างเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” เพื่อออกแบบภาพที่สามารถโจมตีระบบ AI ได้โดยเฉพาะ

    ผลลัพธ์คือการโจมตีที่สามารถสั่งให้ AI ทำงานโดยไม่ต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ เช่น ส่งข้อมูลจาก Google Calendar ไปยังอีเมลของแฮกเกอร์ โดยใช้การตั้งค่า trust=True ใน Gemini CLI ซึ่งเป็นค่าดีฟอลต์ที่เปิดช่องให้โจมตีได้ง่าย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    การโจมตีใช้ภาพที่ดูปลอดภัย แต่มีคำสั่งซ่อนอยู่เมื่อถูกปรับขนาด
    ระบบ AI เช่น Gemini CLI, Vertex AI Studio, Google Assistant และ Genspark ถูกโจมตีสำเร็จ
    การโจมตีอาศัยการปรับขนาดภาพที่ทำให้คำสั่งลับถูกเปิดเผย
    ใช้ค่าดีฟอลต์ trust=True ใน Gemini CLI เพื่อข้ามการยืนยันจากผู้ใช้
    คำสั่งในภาพสามารถสั่งให้ AI ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังแฮกเกอร์ได้
    อัลกอริธึมปรับขนาดภาพที่ถูกใช้ ได้แก่ bicubic, bilinear และ nearest neighbor
    เครื่องมือ “Anamorpher” ถูกพัฒนาเพื่อสร้างภาพโจมตีโดยเฉพาะ
    การโจมตีสามารถใช้กับระบบที่ไม่มีการแสดง preview ของภาพที่ถูกปรับขนาด
    การโจมตีนี้เป็นรูปแบบใหม่ของ multi-modal prompt injection
    นักวิจัยเสนอให้แสดงภาพที่ถูกปรับขนาดให้ผู้ใช้เห็นก่อนส่งเข้าโมเดล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโจมตีแบบนี้คล้ายกับการฝังคำสั่งใน metadata หรือ steganography แต่ใช้การปรับขนาดแทน
    ระบบ AI บนมือถือและ edge devices มีความเสี่ยงสูงเพราะใช้การปรับขนาดภาพบ่อย
    การโจมตีสามารถใช้ร่วมกับเทคนิคอื่น เช่น semantic injection และ polyglot payloads
    การใช้ภาพ checkerboard, Moiré และ concentric circles ช่วยวิเคราะห์อัลกอริธึมปรับขนาด
    การโจมตีแบบนี้อาจขยายไปยังระบบ voice AI และการแปลงภาพแบบ upscaling ในอนาคต


    https://blog.trailofbits.com/2025/08/21/weaponizing-image-scaling-against-production-ai-systems/
    🎙️ เมื่อภาพธรรมดากลายเป็นช่องโหว่ – และ AI ก็ไม่เห็นภัยที่ซ่อนอยู่ในพิกเซล ลองจินตนาการว่าคุณอัปโหลดภาพธรรมดา ๆ ไปยังระบบ AI เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ แต่เบื้องหลังภาพนั้นกลับมีคำสั่งลับที่ถูกซ่อนไว้ และเมื่อภาพถูกปรับขนาดโดยระบบก่อนส่งเข้าโมเดล คำสั่งนั้นก็ถูก “ปลุก” ขึ้นมาโดยที่คุณไม่รู้ตัว นี่คือสิ่งที่นักวิจัยจาก Trail of Bits ค้นพบและสาธิตผ่านการโจมตีแบบ image scaling prompt injection ซึ่งสามารถใช้ขโมยข้อมูลผู้ใช้จากระบบ AI ที่ใช้งานจริง เช่น Google Gemini CLI, Vertex AI Studio, Google Assistant และ Genspark โดยอาศัยช่องโหว่จากการปรับขนาดภาพ (downscaling) ที่ทำให้คำสั่งที่ซ่อนอยู่ในภาพถูกเปิดเผยเมื่อ resolution เปลี่ยน การโจมตีนี้อาศัยหลักการของ Nyquist–Shannon sampling theorem และการวิเคราะห์พฤติกรรมของอัลกอริธึมปรับขนาดภาพ เช่น bicubic, bilinear และ nearest neighbor ซึ่งแต่ละแบบมีจุดอ่อนต่างกัน นักวิจัยจึงสร้างเครื่องมือชื่อ “Anamorpher” เพื่อออกแบบภาพที่สามารถโจมตีระบบ AI ได้โดยเฉพาะ ผลลัพธ์คือการโจมตีที่สามารถสั่งให้ AI ทำงานโดยไม่ต้องมีการยืนยันจากผู้ใช้ เช่น ส่งข้อมูลจาก Google Calendar ไปยังอีเมลของแฮกเกอร์ โดยใช้การตั้งค่า trust=True ใน Gemini CLI ซึ่งเป็นค่าดีฟอลต์ที่เปิดช่องให้โจมตีได้ง่าย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ การโจมตีใช้ภาพที่ดูปลอดภัย แต่มีคำสั่งซ่อนอยู่เมื่อถูกปรับขนาด ➡️ ระบบ AI เช่น Gemini CLI, Vertex AI Studio, Google Assistant และ Genspark ถูกโจมตีสำเร็จ ➡️ การโจมตีอาศัยการปรับขนาดภาพที่ทำให้คำสั่งลับถูกเปิดเผย ➡️ ใช้ค่าดีฟอลต์ trust=True ใน Gemini CLI เพื่อข้ามการยืนยันจากผู้ใช้ ➡️ คำสั่งในภาพสามารถสั่งให้ AI ส่งข้อมูลผู้ใช้ไปยังแฮกเกอร์ได้ ➡️ อัลกอริธึมปรับขนาดภาพที่ถูกใช้ ได้แก่ bicubic, bilinear และ nearest neighbor ➡️ เครื่องมือ “Anamorpher” ถูกพัฒนาเพื่อสร้างภาพโจมตีโดยเฉพาะ ➡️ การโจมตีสามารถใช้กับระบบที่ไม่มีการแสดง preview ของภาพที่ถูกปรับขนาด ➡️ การโจมตีนี้เป็นรูปแบบใหม่ของ multi-modal prompt injection ➡️ นักวิจัยเสนอให้แสดงภาพที่ถูกปรับขนาดให้ผู้ใช้เห็นก่อนส่งเข้าโมเดล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโจมตีแบบนี้คล้ายกับการฝังคำสั่งใน metadata หรือ steganography แต่ใช้การปรับขนาดแทน ➡️ ระบบ AI บนมือถือและ edge devices มีความเสี่ยงสูงเพราะใช้การปรับขนาดภาพบ่อย ➡️ การโจมตีสามารถใช้ร่วมกับเทคนิคอื่น เช่น semantic injection และ polyglot payloads ➡️ การใช้ภาพ checkerboard, Moiré และ concentric circles ช่วยวิเคราะห์อัลกอริธึมปรับขนาด ➡️ การโจมตีแบบนี้อาจขยายไปยังระบบ voice AI และการแปลงภาพแบบ upscaling ในอนาคต https://blog.trailofbits.com/2025/08/21/weaponizing-image-scaling-against-production-ai-systems/
    BLOG.TRAILOFBITS.COM
    Weaponizing image scaling against production AI systems
    In this blog post, we’ll detail how attackers can exploit image scaling on Gemini CLI, Vertex AI Studio, Gemini’s web and API interfaces, Google Assistant, Genspark, and other production AI systems. We’ll also explain how to mitigate and defend against these attacks, and we’ll introduce Anamorpher, our open-source tool that lets you explore and generate these crafted images.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pixel 10 Series – สมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “เข้าใจคุณ”

    Google เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL ซึ่งเป็นรุ่นที่ 10 ของซีรีส์ Pixel โดยมาพร้อมดีไซน์ใหม่, วัสดุรีไซเคิลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และชิป Tensor G5 ที่ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก พร้อมระบบ AI Gemini Nano ที่ทำงานในเครื่องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์

    Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงถึง 50MP + 48MP + 48MP พร้อมฟีเจอร์ Pro Res Zoom ที่ใช้ AI สร้างภาพซูมแบบละเอียดสูงสุดถึง 100x โดยไม่สูญเสียคุณภาพ และสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ได้

    ฟีเจอร์ใหม่ Magic Cue จะช่วยดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาแสดงในแอปต่าง ๆ เช่น แสดงข้อมูลเที่ยวบินจากอีเมลเมื่อโทรหาสายการบิน หรือแนะนำภาพแมวให้แม่ในแชตโดยอัตโนมัติ

    Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่างสูงสุด 3,300 nits พร้อมแบตเตอรี่ 5,200mAh รองรับชาร์จไว 45W และชาร์จไร้สาย Qi2 ที่ 25W ส่วนรุ่น Pro ธรรมดามีหน้าจอ 6.3 นิ้วและแบตเตอรี่ 4,870mAh

    ระบบปฏิบัติการ Android 16 มาพร้อม Material 3 Expressive UI ที่ปรับแต่งได้มากขึ้น และ Google รับประกันอัปเดต OS และความปลอดภัยนานถึง 7 ปี

    ข้อมูลในข่าว
    เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL พร้อมชิป Tensor G5
    ใช้ Gemini Nano AI ทำงานในเครื่องแบบไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์
    ดีไซน์ใหม่พร้อมวัสดุรีไซเคิลมากที่สุดในซีรีส์ Pixel
    Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่าง 3,300 nits
    กล้องหลัง 3 ตัว: 50MP (wide), 48MP (ultrawide), 48MP (telephoto) พร้อม 100x Pro Res Zoom
    กล้องหน้า 42MP พร้อมระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic ในหน้าจอ
    รองรับชาร์จไว 45W และ Qi2 wireless charging 25W
    ฟีเจอร์ Magic Cue ช่วยดึงข้อมูลจากอีเมลหรือแชตมาแสดงในแอปต่าง ๆ
    ระบบปฏิบัติการ Android 16 พร้อมอัปเดต OS และความปลอดภัย 7 ปี
    เริ่มวางจำหน่าย 28 สิงหาคม 2025 ราคาเริ่มต้นที่ $799 (Pixel 10), $999 (Pro), $1,199 (Pro XL)

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tensor G5 ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก หลังจากใช้ Samsung มานาน
    ประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้น 34% และ AI เร็วขึ้น 60% จาก Tensor G4
    Pixel 10 Pro XL ไม่มีรุ่น 128GB แล้ว เริ่มต้นที่ 256GB
    Pixel 10 Pro XL มีระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber
    Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อม RAM 16GB และความจุสูงสุด 1TB
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Ultra-Wideband พร้อมมาตรฐานกันน้ำ IP68

    https://blog.google/products/pixel/google-pixel-10-pro-xl/
    📖 Pixel 10 Series – สมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “เข้าใจคุณ” Google เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL ซึ่งเป็นรุ่นที่ 10 ของซีรีส์ Pixel โดยมาพร้อมดีไซน์ใหม่, วัสดุรีไซเคิลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และชิป Tensor G5 ที่ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก พร้อมระบบ AI Gemini Nano ที่ทำงานในเครื่องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงถึง 50MP + 48MP + 48MP พร้อมฟีเจอร์ Pro Res Zoom ที่ใช้ AI สร้างภาพซูมแบบละเอียดสูงสุดถึง 100x โดยไม่สูญเสียคุณภาพ และสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ได้ ฟีเจอร์ใหม่ Magic Cue จะช่วยดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาแสดงในแอปต่าง ๆ เช่น แสดงข้อมูลเที่ยวบินจากอีเมลเมื่อโทรหาสายการบิน หรือแนะนำภาพแมวให้แม่ในแชตโดยอัตโนมัติ Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่างสูงสุด 3,300 nits พร้อมแบตเตอรี่ 5,200mAh รองรับชาร์จไว 45W และชาร์จไร้สาย Qi2 ที่ 25W ส่วนรุ่น Pro ธรรมดามีหน้าจอ 6.3 นิ้วและแบตเตอรี่ 4,870mAh ระบบปฏิบัติการ Android 16 มาพร้อม Material 3 Expressive UI ที่ปรับแต่งได้มากขึ้น และ Google รับประกันอัปเดต OS และความปลอดภัยนานถึง 7 ปี ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL พร้อมชิป Tensor G5 ➡️ ใช้ Gemini Nano AI ทำงานในเครื่องแบบไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ➡️ ดีไซน์ใหม่พร้อมวัสดุรีไซเคิลมากที่สุดในซีรีส์ Pixel ➡️ Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่าง 3,300 nits ➡️ กล้องหลัง 3 ตัว: 50MP (wide), 48MP (ultrawide), 48MP (telephoto) พร้อม 100x Pro Res Zoom ➡️ กล้องหน้า 42MP พร้อมระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic ในหน้าจอ ➡️ รองรับชาร์จไว 45W และ Qi2 wireless charging 25W ➡️ ฟีเจอร์ Magic Cue ช่วยดึงข้อมูลจากอีเมลหรือแชตมาแสดงในแอปต่าง ๆ ➡️ ระบบปฏิบัติการ Android 16 พร้อมอัปเดต OS และความปลอดภัย 7 ปี ➡️ เริ่มวางจำหน่าย 28 สิงหาคม 2025 ราคาเริ่มต้นที่ $799 (Pixel 10), $999 (Pro), $1,199 (Pro XL) ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tensor G5 ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก หลังจากใช้ Samsung มานาน ➡️ ประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้น 34% และ AI เร็วขึ้น 60% จาก Tensor G4 ➡️ Pixel 10 Pro XL ไม่มีรุ่น 128GB แล้ว เริ่มต้นที่ 256GB ➡️ Pixel 10 Pro XL มีระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ➡️ Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อม RAM 16GB และความจุสูงสุด 1TB ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Ultra-Wideband พร้อมมาตรฐานกันน้ำ IP68 https://blog.google/products/pixel/google-pixel-10-pro-xl/
    BLOG.GOOGLE
    Powerful and proactive: Pixel 10 phones are here
    Learn more about the new Pixel 10, Pixel 10 Pro and Pixel 10 Pro XL phones announced today at Made by Google.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • พรรคประชาชวย จัดคาราวาน "เดินเผชิญเสือก" สร้างภาพร้องหามาตรการช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่พรรคมันยังต้องแบมือขอเงินบริจาค แถมไปมือเปล่าซะอีก
    #คิงส์โพธิ์แดง
    พรรคประชาชวย จัดคาราวาน "เดินเผชิญเสือก" สร้างภาพร้องหามาตรการช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่พรรคมันยังต้องแบมือขอเงินบริจาค แถมไปมือเปล่าซะอีก #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    Angry
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศไทยจะสงบสุขทันทีโดยไม่เกี่ยวกับเขมร,ด้วยการกำจัดนายพลทหารชั่วเลวออกจากกองทัพทหารจริงๆ,
    ..ผลงานเข้าตาคือแม่ทัพภาคที่2,
    ..ตกประเมินคือแม่ทัพภาคที่1

    ..ต้องรีเซ็ตความเข้มแข็งใหม่คือสั่งย้ายแม่ทัพภาคที่1และทีมงานคนสนิทท่านทั้งหมดออกจากพื้นที่รับผิดชอบ,ย้ายไปภาคใต้หรือภาคเหนือก็ได้ก่อน,โดยสอบสวนทั้งหมดด้วย,ย้ายลอยนั้นเองเพื่อตรวจหาความจริงต่างๆ.,ผลงานในศึกนี้บ่งบอกชัดเจนในหลายๆนัยยะ,รวมถึงอธิปไตยความมั่นคงของประเทศไทยเราเอง,สามารถทำลายฮุนเซนฮุนมาเนตในพริบตาก็ได้อีก,
    ..เราต้องเอาความจริงยกขึ้นมาพูดบนโต๊ะกันจริงๆได้แล้ว,ศึกใหญ่ยังรอเราอยู่ คือสงครามการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคนี้ล่ะ กองทัพหากมีแค่แม่ทัพภาคที่2 และทีมงานเพื่อนฝูงคนสนิทของท่านที่รักชาติบ้านเมืองไม่กี่ท่าน มันอันตรายมากๆนะ,ทหารผีบ้ามาเล่นอำนาจการเมืองการปกครองอีก,ตอแหลไร้สัจจะอะไร สร้างภาพสวยหรูดูดีหน้าฉาก แต่หลังฉากเลวระยำอำมหิตมันใช้ไม่ได้นะ,สงครามไทยกับเขมรนี้ ได้โชว์ได้เปิดเผยทหารเลวทหารชั่วในกองทัพไทยเราเองขึ้นมาได้ไม่น้อย,สิ่งที่ปกปิดทำชั่วไว้ก็ถูกเปิดเผยขึ้น,สื่อสมควรแฉบอกประชาชนเยอะๆ เล่าเป็นนิทานก็ได้.

    https://youtube.com/shorts/W571DJeXG8A?si=vKpuI6eFewM6bk_N
    ประเทศไทยจะสงบสุขทันทีโดยไม่เกี่ยวกับเขมร,ด้วยการกำจัดนายพลทหารชั่วเลวออกจากกองทัพทหารจริงๆ, ..ผลงานเข้าตาคือแม่ทัพภาคที่2, ..ตกประเมินคือแม่ทัพภาคที่1 ..ต้องรีเซ็ตความเข้มแข็งใหม่คือสั่งย้ายแม่ทัพภาคที่1และทีมงานคนสนิทท่านทั้งหมดออกจากพื้นที่รับผิดชอบ,ย้ายไปภาคใต้หรือภาคเหนือก็ได้ก่อน,โดยสอบสวนทั้งหมดด้วย,ย้ายลอยนั้นเองเพื่อตรวจหาความจริงต่างๆ.,ผลงานในศึกนี้บ่งบอกชัดเจนในหลายๆนัยยะ,รวมถึงอธิปไตยความมั่นคงของประเทศไทยเราเอง,สามารถทำลายฮุนเซนฮุนมาเนตในพริบตาก็ได้อีก, ..เราต้องเอาความจริงยกขึ้นมาพูดบนโต๊ะกันจริงๆได้แล้ว,ศึกใหญ่ยังรอเราอยู่ คือสงครามการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคนี้ล่ะ กองทัพหากมีแค่แม่ทัพภาคที่2 และทีมงานเพื่อนฝูงคนสนิทของท่านที่รักชาติบ้านเมืองไม่กี่ท่าน มันอันตรายมากๆนะ,ทหารผีบ้ามาเล่นอำนาจการเมืองการปกครองอีก,ตอแหลไร้สัจจะอะไร สร้างภาพสวยหรูดูดีหน้าฉาก แต่หลังฉากเลวระยำอำมหิตมันใช้ไม่ได้นะ,สงครามไทยกับเขมรนี้ ได้โชว์ได้เปิดเผยทหารเลวทหารชั่วในกองทัพไทยเราเองขึ้นมาได้ไม่น้อย,สิ่งที่ปกปิดทำชั่วไว้ก็ถูกเปิดเผยขึ้น,สื่อสมควรแฉบอกประชาชนเยอะๆ เล่าเป็นนิทานก็ได้. https://youtube.com/shorts/W571DJeXG8A?si=vKpuI6eFewM6bk_N
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กองทัพบก ทันกระแส” แฉ! คลิป “รื้อลวดหนาม” เป็นฉากจัดตั้งของกัมพูชา...หวังสร้างภาพในประเทศ
    https://www.thai-tai.tv/news/20941/
    .
    #กองทัพบกทันกระแส #กองทัพบกทันกระแส #ชายแดนไทยกัมพูชา #TruthFromThailand #ข่าวความมั่นคง #รั้วลวดหนาม #ไทยไท
    “กองทัพบก ทันกระแส” แฉ! คลิป “รื้อลวดหนาม” เป็นฉากจัดตั้งของกัมพูชา...หวังสร้างภาพในประเทศ https://www.thai-tai.tv/news/20941/ . #กองทัพบกทันกระแส #กองทัพบกทันกระแส #ชายแดนไทยกัมพูชา #TruthFromThailand #ข่าวความมั่นคง #รั้วลวดหนาม #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล”

    จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน

    หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก

    และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน

    นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์

    แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด

    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล
    การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง
    GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า

    ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน
    ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน
    การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง

    ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI
    ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง
    ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน

    ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI
    ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล
    การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI
    การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร
    ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming

    ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม
    บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า
    การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    ⚡️เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ฉลาดขึ้น แต่กินไฟมากขึ้น ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถามผ่าน ChatGPT หรือสร้างภาพจากข้อความผ่าน Midjourney สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ “เบื้องหลังความฉลาดนั้นกินไฟมหาศาล” จากรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ของ OpenAI ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า โดยการตอบคำถามระดับกลาง (ประมาณ 1,000 token) อาจใช้ไฟถึง 40 วัตต์-ชั่วโมง เทียบเท่ากับการชาร์จมือถือหลายรอบ หรือเปิดพัดลมทั้งวัน หากนำจำนวนคำถามที่ ChatGPT ได้รับต่อวัน (ราว 2.5 พันล้านครั้ง) มาคำนวณ จะพบว่า GPT-5 อาจใช้พลังงานถึง 45 กิกะวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้ไฟของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2–3 โรง หรือเพียงพอสำหรับประเทศขนาดเล็ก และนี่คือแค่การ “ใช้งาน” ยังไม่รวมการ “ฝึกสอน” โมเดล ซึ่งใช้พลังงานมากกว่านี้หลายเท่า รวมถึงการใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่กินไฟถึง 700 วัตต์ต่อชิ้น และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้น้ำมหาศาลเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล การปล่อยคาร์บอนจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ใช้วัสดุอย่างเหล็กและซีเมนต์ แม้ AI จะมีศักยภาพในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรในบางด้าน เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ในระยะสั้น มันกำลังกลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ที่อาจทำให้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของหลายบริษัทต้องสะดุด ✅ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 อย่างมหาศาล ➡️ การตอบคำถามระดับกลางใช้ไฟเฉลี่ย 18.35 Wh และสูงสุดถึง 40 Wh ต่อครั้ง ➡️ GPT-5 ใช้พลังงานมากกว่า GPT-4 ถึง 8.6 เท่า ✅ ปริมาณการใช้งานที่ส่งผลต่อระบบพลังงาน ➡️ ChatGPT มีคำถามเฉลี่ย 2.5 พันล้านครั้งต่อวัน ➡️ การใช้งาน GPT-5 อาจใช้ไฟถึง 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายโรง ✅ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการรันโมเดล AI ➡️ ใช้ GPU ระดับสูง เช่น Nvidia H100 หรือ H200 ที่กินไฟสูง ➡️ ระบบต้องมีการระบายความร้อนและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน ✅ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI ➡️ ต้องใช้น้ำจำนวนมากในการระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล ➡️ การผลิตฮาร์ดแวร์และสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI ⛔ การใช้ GPT-5 อาจทำให้ระบบไฟฟ้าในบางพื้นที่ไม่เสถียร ⛔ ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าประชากรทั้งรัฐ เช่นใน Wyoming ‼️ ความเสี่ยงต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม ⛔ บริษัทเทคโนโลยี เช่น Microsoft อาจไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า ⛔ การขยายศูนย์ข้อมูลต้องใช้วัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูง เช่น เหล็กและซีเมนต์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chatgpt-5-power-consumption-could-be-as-much-as-eight-times-higher-than-gpt-4-research-institute-estimates-medium-sized-gpt-5-response-can-consume-up-to-40-watt-hours-of-electricity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องโง่ๆ นี่ฉลาดกันจริงๆ ทำไมต้องเสียเงินให้เหมน มันต้องเก็บกู้อยู่แล้ว หรือไอ้ปลอดต้องการฟอกเงินสร้างภาพ และต้องการทุจริตเงินประเทศ ด้วยการเวียนเทียนทุ่นระเบิดมาเบิกเงินเหมือนจำนำข้าว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ปลอดประสพ
    เรื่องโง่ๆ นี่ฉลาดกันจริงๆ ทำไมต้องเสียเงินให้เหมน มันต้องเก็บกู้อยู่แล้ว หรือไอ้ปลอดต้องการฟอกเงินสร้างภาพ และต้องการทุจริตเงินประเทศ ด้วยการเวียนเทียนทุ่นระเบิดมาเบิกเงินเหมือนจำนำข้าว #คิงส์โพธิ์แดง #ปลอดประสพ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” — เมื่อชิปกลายเป็นเรื่องของความมั่นคงชาติ

    Intel กำลังผลักดันแคมเปญใหม่ชื่อว่า “USAI” (United States Artificial Intelligence) เพื่อแสดงจุดยืนว่าเป็นบริษัทเดียวที่ผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา โดยเน้นความรักชาติ ความมั่นคง และความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในภาคพลเรือนและทหาร

    แคมเปญนี้เกิดขึ้นหลังจากซีอีโอคนใหม่ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคง Intel จึงต้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคที่ TSMC และ Samsung ครองตลาดชิปขั้นสูง

    Intel ยังประกาศความร่วมมือกับ EdgeRunner AI เพื่อพัฒนา “AI agents” สำหรับกองทัพสหรัฐฯ โดยใช้ชิปที่ทำงานแบบ air-gapped (ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

    แม้จะมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ แต่ Intel ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการล้าหลังด้านเทคโนโลยี การสูญเสียบุคลากรสำคัญ และความไม่มั่นใจจากพนักงานภายในองค์กร

    Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ
    เน้นการผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา

    ซีอีโอ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน
    พบกับประธานาธิบดี Trump เพื่อเคลียร์ข้อสงสัย

    Intel ร่วมมือกับ EdgeRunner AI พัฒนา AI agents สำหรับกองทัพ
    ใช้ชิปแบบ air-gapped เพื่อความปลอดภัย

    Intel ระบุว่าเป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตชิปขั้นสูงเอง
    ต่างจากบริษัทอื่นที่พึ่งพาโรงงานในต่างประเทศ

    แคมเปญ USAI มุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่หลังถูก TSMC แซงหน้า
    หวังดึงความเชื่อมั่นจากรัฐบาลและตลาด

    https://wccftech.com/intel-unveils-usai-narrative-emphasizing-its-patriotic-mission/
    🇺🇸🔧 เล่าให้ฟังใหม่: Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” — เมื่อชิปกลายเป็นเรื่องของความมั่นคงชาติ Intel กำลังผลักดันแคมเปญใหม่ชื่อว่า “USAI” (United States Artificial Intelligence) เพื่อแสดงจุดยืนว่าเป็นบริษัทเดียวที่ผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา โดยเน้นความรักชาติ ความมั่นคง และความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในภาคพลเรือนและทหาร แคมเปญนี้เกิดขึ้นหลังจากซีอีโอคนใหม่ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคง Intel จึงต้องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในยุคที่ TSMC และ Samsung ครองตลาดชิปขั้นสูง Intel ยังประกาศความร่วมมือกับ EdgeRunner AI เพื่อพัฒนา “AI agents” สำหรับกองทัพสหรัฐฯ โดยใช้ชิปที่ทำงานแบบ air-gapped (ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด แม้จะมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ แต่ Intel ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการล้าหลังด้านเทคโนโลยี การสูญเสียบุคลากรสำคัญ และความไม่มั่นใจจากพนักงานภายในองค์กร ✅ Intel เปิดตัวแคมเปญ “USAI” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสหรัฐฯ ➡️ เน้นการผลิตชิปขั้นสูงบนแผ่นดินอเมริกา ✅ ซีอีโอ Lip-Bu Tan ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบริษัทจีน ➡️ พบกับประธานาธิบดี Trump เพื่อเคลียร์ข้อสงสัย ✅ Intel ร่วมมือกับ EdgeRunner AI พัฒนา AI agents สำหรับกองทัพ ➡️ ใช้ชิปแบบ air-gapped เพื่อความปลอดภัย ✅ Intel ระบุว่าเป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ผลิตชิปขั้นสูงเอง ➡️ ต่างจากบริษัทอื่นที่พึ่งพาโรงงานในต่างประเทศ ✅ แคมเปญ USAI มุ่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่หลังถูก TSMC แซงหน้า ➡️ หวังดึงความเชื่อมั่นจากรัฐบาลและตลาด https://wccftech.com/intel-unveils-usai-narrative-emphasizing-its-patriotic-mission/
    WCCFTECH.COM
    Intel Unveils ‘USAI’ Narrative, Emphasizing Its Patriotic Mission and Positioning Team Blue as America’s Sole Option for Advanced Chip Manufacturing
    Intel is now in the pursuit of showcasing its commitment to US manufacturing, especially after the recent political situation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: เมื่อชิปไม่ใช่แค่ซิลิคอน — Thermodynamic Computing กำลังเปลี่ยนเกม AI ด้วยพลังของฟิสิกส์

    Normal Computing ได้ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป CN101 ซึ่งเป็นชิป thermodynamic computing ตัวแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อการฝึก AI และงาน HPC โดยเฉพาะ จุดเด่นของชิปนี้คือการใช้หลักการทางฟิสิกส์ เช่น ความร้อน ความไม่แน่นอน และความสุ่ม มาเป็นกลไกในการคำนวณ แทนที่จะพยายามกำจัด “noise” แบบที่ชิปทั่วไปทำ

    แนวคิดนี้คล้ายกับการคำนวณแบบควอนตัมหรือ probabilistic computing โดยชิปจะเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วปล่อยให้ระบบเข้าสู่สมดุล จากนั้นอ่านค่าผลลัพธ์จากสถานะสมดุลนั้น ซึ่งเหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบแน่นอน เช่น การสร้างภาพด้วย AI หรือการแก้สมการเชิงเส้น

    CN101 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา linear algebra และ matrix operations ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่ต้องการรวม CPU, GPU, ASIC แบบ thermodynamic และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด

    แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ thermodynamic computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีความท้าทายด้านการใช้งานจริง เช่น การออกแบบระบบที่สามารถควบคุมความสุ่มได้อย่างแม่นยำ และการประยุกต์ใช้ในงานที่ไม่ใช่ AI

    Normal Computing ประกาศ tape-out ชิป thermodynamic computing ตัวแรกชื่อ CN101
    ใช้หลักการฟิสิกส์ เช่น ความร้อนและความสุ่มในการคำนวณ

    CN101 ออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ
    เช่น การฝึกโมเดล AI และการแก้สมการเชิงเส้น

    ชิปเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วเข้าสู่สมดุลเพื่อหาคำตอบ
    เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบ deterministic

    CN101 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน
    เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างมหาศาล

    เป้าหมายคือรวม CPU, GPU, thermodynamic ASIC และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียว
    เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด

    Roadmap ของ CN101 มีแผนขยายในปี 2026 และ 2028
    รองรับโมเดล AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น diffusion models

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/worlds-first-thermodynamic-computing-chip-reaches-tape-out-normal-computings-physics-based-asic-changes-lanes-to-train-more-ai
    🧪⚙️ เล่าให้ฟังใหม่: เมื่อชิปไม่ใช่แค่ซิลิคอน — Thermodynamic Computing กำลังเปลี่ยนเกม AI ด้วยพลังของฟิสิกส์ Normal Computing ได้ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป CN101 ซึ่งเป็นชิป thermodynamic computing ตัวแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อการฝึก AI และงาน HPC โดยเฉพาะ จุดเด่นของชิปนี้คือการใช้หลักการทางฟิสิกส์ เช่น ความร้อน ความไม่แน่นอน และความสุ่ม มาเป็นกลไกในการคำนวณ แทนที่จะพยายามกำจัด “noise” แบบที่ชิปทั่วไปทำ แนวคิดนี้คล้ายกับการคำนวณแบบควอนตัมหรือ probabilistic computing โดยชิปจะเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วปล่อยให้ระบบเข้าสู่สมดุล จากนั้นอ่านค่าผลลัพธ์จากสถานะสมดุลนั้น ซึ่งเหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบแน่นอน เช่น การสร้างภาพด้วย AI หรือการแก้สมการเชิงเส้น CN101 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา linear algebra และ matrix operations ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน และเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่ต้องการรวม CPU, GPU, ASIC แบบ thermodynamic และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์ AI เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ thermodynamic computing ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีความท้าทายด้านการใช้งานจริง เช่น การออกแบบระบบที่สามารถควบคุมความสุ่มได้อย่างแม่นยำ และการประยุกต์ใช้ในงานที่ไม่ใช่ AI ✅ Normal Computing ประกาศ tape-out ชิป thermodynamic computing ตัวแรกชื่อ CN101 ➡️ ใช้หลักการฟิสิกส์ เช่น ความร้อนและความสุ่มในการคำนวณ ✅ CN101 ออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ ➡️ เช่น การฝึกโมเดล AI และการแก้สมการเชิงเส้น ✅ ชิปเริ่มจากสถานะกึ่งสุ่ม แล้วเข้าสู่สมดุลเพื่อหาคำตอบ ➡️ เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการผลลัพธ์แบบ deterministic ✅ CN101 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิปทั่วไปถึง 1000 เท่าในบางงาน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างมหาศาล ✅ เป้าหมายคือรวม CPU, GPU, thermodynamic ASIC และชิปควอนตัมไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียว ➡️ เพื่อให้แต่ละปัญหาได้เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด ✅ Roadmap ของ CN101 มีแผนขยายในปี 2026 และ 2028 ➡️ รองรับโมเดล AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น diffusion models https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/worlds-first-thermodynamic-computing-chip-reaches-tape-out-normal-computings-physics-based-asic-changes-lanes-to-train-more-ai
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกกราฟิก: Intel ยุติ 16x MSAA บน Xe3 GPU เพื่อเปิดทางให้ AI Upscaler ครองเกม

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ประกาศยุติการรองรับ 16x MSAA (Multisample Anti-Aliasing) บนกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ Xe3 “Celestial” โดยจะเหลือเพียง 2x, 4x และ 8x เท่านั้น เหตุผลหลักคือ 16x MSAA มีต้นทุนการประมวลผลสูงมาก และไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับเทคนิคใหม่ ๆ ที่ใช้ AI เช่น XeSS ของ Intel, FSR ของ AMD และ DLSS ของ Nvidia ซึ่งให้ภาพคมชัดกว่า ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และยังสามารถสร้างเฟรมเพิ่มได้ด้วย

    MSAA เคยเป็นเทคนิคยอดนิยมในการทำให้ขอบภาพเรียบเนียน แต่ในยุคที่เกมใช้ deferred rendering และต้องการประสิทธิภาพสูงสุด การใช้ brute-force sampling แบบ MSAA กลายเป็นภาระที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะระดับ 16x ที่แทบไม่มีเกมไหนใช้จริง

    Intel จึงเลือกเดินตามแนวทางใหม่ที่เน้น AI-based upscaling และ temporal sampling ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในทุกด้าน ทั้งคุณภาพภาพ ความลื่นไหล และการประหยัดพลังงาน โดย XeSS SDK ล่าสุดยังรองรับ GPU จากทุกค่าย ทำให้เป็นทางเลือกแบบเปิดสำหรับนักพัฒนา

    Intel ยุติการรองรับ 16x MSAA บน Xe3 GPU
    เหลือเพียง 2x, 4x และ 8x เท่านั้น

    การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มใน Mesa driver 25.3-devel และย้อนกลับไปยังเวอร์ชัน 25.1 และ 25.2
    เป็นการปรับปรุงในระดับไดรเวอร์สำหรับ Linux

    XeSS, FSR และ DLSS ให้ภาพคมชัดกว่า MSAA ด้วยต้นทุนต่ำกว่า
    รองรับการสร้างเฟรมและลดการสั่นของภาพได้ดีกว่า TAA

    XeSS SDK ล่าสุดรองรับ GPU จาก Intel, AMD และ Nvidia
    เป็นทางเลือกแบบ vendor-agnostic สำหรับนักพัฒนา

    Xe3 GPU จะเปิดตัวพร้อมกับซีพียู Panther Lake
    เป็นการรวมพลังของกราฟิกและ AI สำหรับงานยุคใหม่

    MSAA ทำงานโดยการสุ่มหลายจุดในแต่ละพิกเซลเพื่อทำให้ขอบภาพเรียบ
    แต่ไม่สามารถจัดการกับความโปร่งใสหรือ shader artifacts ได้ดี

    AI upscaling เช่น DLSS 3.5 และ XeSS 2 ใช้ machine learning เพื่อสร้างภาพที่คมชัด
    ลดภาระ GPU และเพิ่มเฟรมเรตได้พร้อมกัน

    Deferred rendering engine มักปิดการใช้งาน MSAA โดยอัตโนมัติ
    เพราะไม่สามารถใช้ร่วมกับหลาย pass ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การใช้ AI-based AA ช่วยให้เกมสามารถรันที่ความละเอียดต่ำแต่ได้ภาพระดับสูง
    เหมาะกับ VR และ ray tracing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-will-retire-rarely-used-16x-msaa-support-on-xe3-gpus-ai-upscalers-like-xess-fsr-and-dlss-provide-better-more-efficient-results
    🎮🧠 เรื่องเล่าจากโลกกราฟิก: Intel ยุติ 16x MSAA บน Xe3 GPU เพื่อเปิดทางให้ AI Upscaler ครองเกม ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ประกาศยุติการรองรับ 16x MSAA (Multisample Anti-Aliasing) บนกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ Xe3 “Celestial” โดยจะเหลือเพียง 2x, 4x และ 8x เท่านั้น เหตุผลหลักคือ 16x MSAA มีต้นทุนการประมวลผลสูงมาก และไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับเทคนิคใหม่ ๆ ที่ใช้ AI เช่น XeSS ของ Intel, FSR ของ AMD และ DLSS ของ Nvidia ซึ่งให้ภาพคมชัดกว่า ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และยังสามารถสร้างเฟรมเพิ่มได้ด้วย MSAA เคยเป็นเทคนิคยอดนิยมในการทำให้ขอบภาพเรียบเนียน แต่ในยุคที่เกมใช้ deferred rendering และต้องการประสิทธิภาพสูงสุด การใช้ brute-force sampling แบบ MSAA กลายเป็นภาระที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะระดับ 16x ที่แทบไม่มีเกมไหนใช้จริง Intel จึงเลือกเดินตามแนวทางใหม่ที่เน้น AI-based upscaling และ temporal sampling ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในทุกด้าน ทั้งคุณภาพภาพ ความลื่นไหล และการประหยัดพลังงาน โดย XeSS SDK ล่าสุดยังรองรับ GPU จากทุกค่าย ทำให้เป็นทางเลือกแบบเปิดสำหรับนักพัฒนา ✅ Intel ยุติการรองรับ 16x MSAA บน Xe3 GPU ➡️ เหลือเพียง 2x, 4x และ 8x เท่านั้น ✅ การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มใน Mesa driver 25.3-devel และย้อนกลับไปยังเวอร์ชัน 25.1 และ 25.2 ➡️ เป็นการปรับปรุงในระดับไดรเวอร์สำหรับ Linux ✅ XeSS, FSR และ DLSS ให้ภาพคมชัดกว่า MSAA ด้วยต้นทุนต่ำกว่า ➡️ รองรับการสร้างเฟรมและลดการสั่นของภาพได้ดีกว่า TAA ✅ XeSS SDK ล่าสุดรองรับ GPU จาก Intel, AMD และ Nvidia ➡️ เป็นทางเลือกแบบ vendor-agnostic สำหรับนักพัฒนา ✅ Xe3 GPU จะเปิดตัวพร้อมกับซีพียู Panther Lake ➡️ เป็นการรวมพลังของกราฟิกและ AI สำหรับงานยุคใหม่ ✅ MSAA ทำงานโดยการสุ่มหลายจุดในแต่ละพิกเซลเพื่อทำให้ขอบภาพเรียบ ➡️ แต่ไม่สามารถจัดการกับความโปร่งใสหรือ shader artifacts ได้ดี ✅ AI upscaling เช่น DLSS 3.5 และ XeSS 2 ใช้ machine learning เพื่อสร้างภาพที่คมชัด ➡️ ลดภาระ GPU และเพิ่มเฟรมเรตได้พร้อมกัน ✅ Deferred rendering engine มักปิดการใช้งาน MSAA โดยอัตโนมัติ ➡️ เพราะไม่สามารถใช้ร่วมกับหลาย pass ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ การใช้ AI-based AA ช่วยให้เกมสามารถรันที่ความละเอียดต่ำแต่ได้ภาพระดับสูง ➡️ เหมาะกับ VR และ ray tracing ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/intel-will-retire-rarely-used-16x-msaa-support-on-xe3-gpus-ai-upscalers-like-xess-fsr-and-dlss-provide-better-more-efficient-results
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: ONLYOFFICE 9.0.4 กับผู้ช่วย AI ที่ฉลาดขึ้น

    ในยุคที่การทำงานเอกสารไม่ใช่แค่พิมพ์แล้วเซฟเท่านั้น ONLYOFFICE 9.0.4 ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมาก—ผู้ช่วย AI ที่สามารถสรุปเนื้อหา เขียนใหม่ อธิบายคำศัพท์ สร้างภาพและกราฟ ไปจนถึงจัดรูปแบบเอกสาร—all-in-one ผ่านปลั๊กอินเดียว

    ผู้ใช้สามารถเลือกเชื่อมต่อกับโมเดล AI ที่หลากหลาย เช่น OpenAI, Mistral, Groq หรือแม้แต่โมเดลที่รันในเครื่องผ่าน LM Studio หรือ Ollama โดยเพียงแค่ใส่ API key หรือ URL ก็พร้อมใช้งานทันที

    นอกจาก AI แล้ว ยังมีปลั๊กอินใหม่ ๆ เช่น Photo Editor, OCR, Typograf, Doc2md และ DeepL ที่ช่วยแปลภาษาได้อย่างแม่นยำ พร้อมรองรับฟอนต์ .woff2 และปรับปรุงการใช้งานในโซนที่มีการจำกัดการแก้ไขเอกสาร

    ที่สำคัญคือการแก้บั๊กจำนวนมาก เช่น การแครชเมื่อแปลงไฟล์ DOCX/PPTX/ODS, การแสดงผลผิดของตัวอักษร RTL และปัญหาการเปิดไฟล์จาก Google Drive บน Linux ซึ่งทำให้เวอร์ชันนี้เสถียรขึ้นมาก

    ONLYOFFICE 9.0.4 เปิดตัวผู้ช่วย AI ผ่านปลั๊กอิน
    รองรับงานสรุปเนื้อหา เขียนใหม่ สร้างภาพ/กราฟ และอธิบายคำศัพท์

    เชื่อมต่อกับโมเดล AI ได้หลายแบบ เช่น OpenAI, Mistral, Groq หรือ local model
    ใช้ API key หรือ base URL เพื่อเชื่อมต่อ

    ปลั๊กอินใหม่ที่รวมมาในตัว ได้แก่ Photo Editor, OCR, Typograf, Doc2md, DeepL
    บางปลั๊กอินใช้งานแบบออฟไลน์ได้ เช่น OCR และ Photo Editor

    รองรับฟอนต์ .woff2 และปรับปรุงการใช้งานในโซนแก้ไขจำกัด
    เพิ่ม marker file เพื่อป้องกันการเปิดซ้อนจากแอปอื่น

    แก้บั๊กจำนวนมากใน Convert module และ editor ต่าง ๆ
    เช่น ปัญหาแครช, การแสดงผลผิด, และการเปิดไฟล์จาก Google Drive บน Linux

    รองรับทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Linux, Android และ iOS
    เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการผูกกับ Microsoft Office

    https://www.neowin.net/news/onlyoffice-904-rolls-out-with-new-features-including-an-ai-agent/
    🧠📄 เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: ONLYOFFICE 9.0.4 กับผู้ช่วย AI ที่ฉลาดขึ้น ในยุคที่การทำงานเอกสารไม่ใช่แค่พิมพ์แล้วเซฟเท่านั้น ONLYOFFICE 9.0.4 ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมาก—ผู้ช่วย AI ที่สามารถสรุปเนื้อหา เขียนใหม่ อธิบายคำศัพท์ สร้างภาพและกราฟ ไปจนถึงจัดรูปแบบเอกสาร—all-in-one ผ่านปลั๊กอินเดียว ผู้ใช้สามารถเลือกเชื่อมต่อกับโมเดล AI ที่หลากหลาย เช่น OpenAI, Mistral, Groq หรือแม้แต่โมเดลที่รันในเครื่องผ่าน LM Studio หรือ Ollama โดยเพียงแค่ใส่ API key หรือ URL ก็พร้อมใช้งานทันที นอกจาก AI แล้ว ยังมีปลั๊กอินใหม่ ๆ เช่น Photo Editor, OCR, Typograf, Doc2md และ DeepL ที่ช่วยแปลภาษาได้อย่างแม่นยำ พร้อมรองรับฟอนต์ .woff2 และปรับปรุงการใช้งานในโซนที่มีการจำกัดการแก้ไขเอกสาร ที่สำคัญคือการแก้บั๊กจำนวนมาก เช่น การแครชเมื่อแปลงไฟล์ DOCX/PPTX/ODS, การแสดงผลผิดของตัวอักษร RTL และปัญหาการเปิดไฟล์จาก Google Drive บน Linux ซึ่งทำให้เวอร์ชันนี้เสถียรขึ้นมาก ✅ ONLYOFFICE 9.0.4 เปิดตัวผู้ช่วย AI ผ่านปลั๊กอิน ➡️ รองรับงานสรุปเนื้อหา เขียนใหม่ สร้างภาพ/กราฟ และอธิบายคำศัพท์ ✅ เชื่อมต่อกับโมเดล AI ได้หลายแบบ เช่น OpenAI, Mistral, Groq หรือ local model ➡️ ใช้ API key หรือ base URL เพื่อเชื่อมต่อ ✅ ปลั๊กอินใหม่ที่รวมมาในตัว ได้แก่ Photo Editor, OCR, Typograf, Doc2md, DeepL ➡️ บางปลั๊กอินใช้งานแบบออฟไลน์ได้ เช่น OCR และ Photo Editor ✅ รองรับฟอนต์ .woff2 และปรับปรุงการใช้งานในโซนแก้ไขจำกัด ➡️ เพิ่ม marker file เพื่อป้องกันการเปิดซ้อนจากแอปอื่น ✅ แก้บั๊กจำนวนมากใน Convert module และ editor ต่าง ๆ ➡️ เช่น ปัญหาแครช, การแสดงผลผิด, และการเปิดไฟล์จาก Google Drive บน Linux ✅ รองรับทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Linux, Android และ iOS ➡️ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการผูกกับ Microsoft Office https://www.neowin.net/news/onlyoffice-904-rolls-out-with-new-features-including-an-ai-agent/
    WWW.NEOWIN.NET
    ONLYOFFICE 9.0.4 rolls out with new features including an AI agent
    ONLYOFFICE 9.0.4 is out now with new features, including an AI agent that can help you write and summarize text right inside the editors.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทือกเขาเหล่ากอเดียวกันแน่นอน คุณชายพระตะบอง กับตระกูลสมเด็จฮวยเซง เหมือนเป๊ะทั้งยุทธวิธีการสร้างภาพ ปลุกปั่น ใช้เฟคนิวส์ ไปจนถึงความขี้โม้โอหังอวดดี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คุณชายพระตะบอง
    #พิธานายกว่าว
    เทือกเขาเหล่ากอเดียวกันแน่นอน คุณชายพระตะบอง กับตระกูลสมเด็จฮวยเซง เหมือนเป๊ะทั้งยุทธวิธีการสร้างภาพ ปลุกปั่น ใช้เฟคนิวส์ ไปจนถึงความขี้โม้โอหังอวดดี #คิงส์โพธิ์แดง #คุณชายพระตะบอง #พิธานายกว่าว
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AI วิดีโอ: Grok Imagine กับโหมด “Spicy” ที่ทั้งสร้างสรรค์และสั่นสะเทือน

    Elon Musk และทีม xAI ได้เปิดตัว Grok Imagine เครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI สำหรับผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) โดยผู้ใช้ที่สมัครสมาชิกระดับ SuperGrok ($30/เดือน) หรือ Premium+ ($35/เดือน) จะสามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ผ่านแอป Grok ได้ทันที

    Grok Imagine สามารถสร้างวิดีโอสั้นความยาว 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบแบบซิงก์ ซึ่งทำให้มันโดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่าง Sora, Veo 3 หรือ Runway ที่ยังไม่มีระบบเสียงในตัว

    แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกระแสคือ “Spicy Mode” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง แม้จะมีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง แต่ก็มีผู้ใช้บางรายพยายามทดสอบขอบเขตของระบบอย่างหนัก เช่นการสร้างภาพนางฟ้าในชุดวาบหวิวที่ Musk เองโพสต์ลง X

    แม้ xAI จะยืนยันว่ามีระบบกรองและตรวจสอบ แต่หลายฝ่ายก็ยังตั้งคำถามถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อ Grok เคยมีประวัติเกี่ยวกับการแสดงความเห็นสุดโต่งในอดีต

    Grok Imagine เปิดให้ผู้ใช้ SuperGrok และ Premium+ ใช้งาน
    สร้างวิดีโอ 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบ

    Elon Musk เปรียบ Grok Imagine ว่าเป็น “AI Vine”
    เน้นวิดีโอสั้นที่แชร์ง่ายและสร้างได้เร็ว

    Spicy Mode เปิดให้สร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์
    มีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง

    ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพนิ่งเพื่อแปลงเป็นวิดีโอวนลูป
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการสร้างคอนเทนต์

    Grok Imagine มีระบบอัปเดตทุกไม่กี่วัน
    เพื่อปรับปรุงคุณภาพและความสามารถของโมเดล

    Grok Imagine ใช้สถาปัตยกรรม Aurora และ GPU กว่า 100,000 ตัว
    เพื่อรองรับการประมวลผลวิดีโอแบบเรียลไทม์

    วิดีโอที่สร้างสามารถดาวน์โหลด แชร์ หรือจัดเก็บเป็นคอลเลกชัน
    ทำให้เหมาะกับการใช้งานเชิงธุรกิจและการเรียนการสอน

    มีการเปรียบเทียบกับ Sora และ Veo 3 ว่า Grok เน้นความเร็วและความกล้า
    โดยเฉพาะในด้านเนื้อหาที่ท้าทายขอบเขต

    Elon Musk เคยกล่าวว่า Grok จะ “ดีขึ้นทุกวัน”
    สะท้อนแนวคิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องและเปิดรับฟีดแบ็ก

    มีผู้ใช้บางรายเริ่มใช้ Grok Imagine สร้างวิดีโอโฆษณาและเนื้อหา TikTok
    ทำให้เกิดกระแส “AI creator economy” ใหม่

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/grok-rolls-out-ai-video-creator-for-x-with-bonus-spicy-mode
    🎬🔥 เรื่องเล่าจากโลก AI วิดีโอ: Grok Imagine กับโหมด “Spicy” ที่ทั้งสร้างสรรค์และสั่นสะเทือน Elon Musk และทีม xAI ได้เปิดตัว Grok Imagine เครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI สำหรับผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) โดยผู้ใช้ที่สมัครสมาชิกระดับ SuperGrok ($30/เดือน) หรือ Premium+ ($35/เดือน) จะสามารถเข้าถึงฟีเจอร์นี้ผ่านแอป Grok ได้ทันที Grok Imagine สามารถสร้างวิดีโอสั้นความยาว 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบแบบซิงก์ ซึ่งทำให้มันโดดเด่นกว่าคู่แข่งอย่าง Sora, Veo 3 หรือ Runway ที่ยังไม่มีระบบเสียงในตัว แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกระแสคือ “Spicy Mode” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง แม้จะมีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง แต่ก็มีผู้ใช้บางรายพยายามทดสอบขอบเขตของระบบอย่างหนัก เช่นการสร้างภาพนางฟ้าในชุดวาบหวิวที่ Musk เองโพสต์ลง X แม้ xAI จะยืนยันว่ามีระบบกรองและตรวจสอบ แต่หลายฝ่ายก็ยังตั้งคำถามถึงความเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อ Grok เคยมีประวัติเกี่ยวกับการแสดงความเห็นสุดโต่งในอดีต ✅ Grok Imagine เปิดให้ผู้ใช้ SuperGrok และ Premium+ ใช้งาน ➡️ สร้างวิดีโอ 6 วินาทีจากข้อความหรือภาพนิ่ง พร้อมเสียงประกอบ ✅ Elon Musk เปรียบ Grok Imagine ว่าเป็น “AI Vine” ➡️ เน้นวิดีโอสั้นที่แชร์ง่ายและสร้างได้เร็ว ✅ Spicy Mode เปิดให้สร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเร้าอารมณ์ ➡️ มีระบบกรองไม่ให้เกิดภาพโป๊หรือเนื้อหาทางเพศโดยตรง ✅ ผู้ใช้สามารถอัปโหลดภาพนิ่งเพื่อแปลงเป็นวิดีโอวนลูป ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการสร้างคอนเทนต์ ✅ Grok Imagine มีระบบอัปเดตทุกไม่กี่วัน ➡️ เพื่อปรับปรุงคุณภาพและความสามารถของโมเดล ✅ Grok Imagine ใช้สถาปัตยกรรม Aurora และ GPU กว่า 100,000 ตัว ➡️ เพื่อรองรับการประมวลผลวิดีโอแบบเรียลไทม์ ✅ วิดีโอที่สร้างสามารถดาวน์โหลด แชร์ หรือจัดเก็บเป็นคอลเลกชัน ➡️ ทำให้เหมาะกับการใช้งานเชิงธุรกิจและการเรียนการสอน ✅ มีการเปรียบเทียบกับ Sora และ Veo 3 ว่า Grok เน้นความเร็วและความกล้า ➡️ โดยเฉพาะในด้านเนื้อหาที่ท้าทายขอบเขต ✅ Elon Musk เคยกล่าวว่า Grok จะ “ดีขึ้นทุกวัน” ➡️ สะท้อนแนวคิดการพัฒนาแบบต่อเนื่องและเปิดรับฟีดแบ็ก ✅ มีผู้ใช้บางรายเริ่มใช้ Grok Imagine สร้างวิดีโอโฆษณาและเนื้อหา TikTok ➡️ ทำให้เกิดกระแส “AI creator economy” ใหม่ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/grok-rolls-out-ai-video-creator-for-x-with-bonus-spicy-mode
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองนายกฯ กัมพูชาประจำประเทศไทย สร้างภาพฟื้นคะแนนด้วยการสั่งฟ้องกัมพูชายิงพลเรือนไทย แต่เบื้องหลังอาจตั้งใจฟ้องให้แพ้ เพื่อฟอกตัวให้ฮุนเซน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #รองนายกกัมพูชาประจำประเทศไทย
    #ภูมิธรรม
    #ปูมตะรัม
    รองนายกฯ กัมพูชาประจำประเทศไทย สร้างภาพฟื้นคะแนนด้วยการสั่งฟ้องกัมพูชายิงพลเรือนไทย แต่เบื้องหลังอาจตั้งใจฟ้องให้แพ้ เพื่อฟอกตัวให้ฮุนเซน #คิงส์โพธิ์แดง #รองนายกกัมพูชาประจำประเทศไทย #ภูมิธรรม #ปูมตะรัม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts