• 77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์”

    “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี

    ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก

    โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี
    ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน

    เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์...
    "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด

    เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี?
    "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน

    เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น

    หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492

    บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่
    "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย

    ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้
    ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง

    คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก

    สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ
    สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่

    1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง
    คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

    2. สัจจะ (Satya) ความจริง
    เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ

    3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ
    คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา

    ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์
    เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473
    คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด

    ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485
    คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

    ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่

    มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก
    แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น

    ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา
    ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้
    ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต

    คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ
    การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก

    🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก
    🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย
    💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม

    77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568

    #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    77 ปี ลอบสังหาร “มหาตมา คานธี” นักต่อสู้ผู้ไร้อาวุธ ผู้บุกเบิกแนวคิด “สัตยาเคราะห์” “ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะทำให้ทั้งโลกมืดบอด” มหาตมา คานธี ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 นับเป็นวันที่โลกต้องจารึก เมื่อ "มหาตมา คานธี" ผู้นำทางจิตวิญญาณ และนักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย ถูกลอบสังหารขณะอายุ 78 ปี ภายในบริเวณบ้านพิรลา ในกรุงนิวเดลี เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต บุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของประวัติศาสตร์อินเดีย และขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิพลเมืองทั่วโลก โศกนาฏกรรมแห่งสันติ วันสุดท้ายของมหาตมา คานธี ช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม 2491 "มหาตมา คานธี" เดินไปยังสวนหลังบ้านพิรลา ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาใช้จัดการสวดภาวนา เป็นประจำทุกเย็น ท่ามกลางฝูงชน ที่มารอฟังคำสอนของเขา "นถูราม โคฑเส" ชายวัย 30 ปี ผู้เป็นสมาชิกกลุ่มชาตินิยมฮินดู ได้แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน และเมื่อคานธี เดินลงจากปะรำพิธี โคฑเสก็ฉวยโอกาส ก้าวออกมากั้นทาง แล้วลั่นไกปืน สามนัดยิงเข้าที่อก และท้องของคานธีระยะเผาขน เสียงปืนนั้น เปรียบเสมือนเสียงสะเทือน แห่งประวัติศาสตร์... "มหาตมา คานธี" ทรุดลงกับพื้น และกล่าวเพียงว่า "เฮ ราม" (โอ้ พระเจ้า!) ก่อนหมดสติ และจากไปในที่สุด เหตุใดโคฑเส จึงลอบสังหารคานธี? "นถูราม โคฑเส" เป็นนักชาตินิยมฮินดู และเป็นสมาชิกของ ราษฏรียสวยัมเสวักสงฆ์ (RSS) กลุ่มขวาจัด ที่สนับสนุนการปกครองโดยชาวฮินดู โคฑเสเชื่อว่า คานธีให้ความช่วยเหลือชาวมุสลิม มากเกินไป และมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุน การแยกดินแดนอินเดีย และปากีสถาน เขาเห็นว่าคานธีเป็นอุปสรรค ต่อความเป็นเอกภาพ ของชาวฮินดูในอินเดีย และการที่คานธี เรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียส่งเงิน 550 ล้านรูปี ให้กับปากีสถาน ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น หลังการสังหาร โคฑเสถูกจับกุมทันที และถูกนำตัวขึ้นศาล พร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคน ในที่สุด เขาถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกแขวนคอ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2492 บุรุษผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยสันติวิธี ต้นกำเนิดของนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ "มหาตมา คานธี" หรือ "โมหนทาส กรมจันท์ คานธี" เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เติบโตมาในครอบครัวชาวฮินดู และเดินทางไปศึกษากฎหมายที่ อินเนอร์เทมเพิล ลอนดอน ก่อนกลับมาอินเดีย ค้นพบ “สัตยาเคราะห์” บนแผ่นดินแอฟริกาใต้ ขณะที่คานธีทำงานเป็นทนาย ในแอฟริกาใต้ เขาประสบเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติ เมื่อเขาถูกไล่ออกจากตู้รถไฟชั้นหนึ่ง เพียงเพราะเป็นชาวอินเดีย เหตุการณ์นี้ ทำให้คานธี ตระหนักถึงความอยุติธรรม และจุดประกายให้เขาต่อสู้ เพื่อสิทธิพลเมือง คานธีพัฒนาแนวคิด “สัตยาเคราะห์” (Satyagraha) ซึ่งหมายถึง “การยึดมั่นในสัจจะ” หรือ “การต่อต้านโดยสันติวิธี” โดยมุ่งเน้นการใช้ความจริง ความรัก และความไม่รุนแรง เป็นอาวุธหลัก สัตยาเคราะห์ พลังแห่งสัจจะและสันติ สัตยาเคราะห์เป็นหัวใจสำคัญ ในการต่อสู้ของคานธี เพื่อปลดแอกอินเดียจากอังกฤษ โดยมีหลักการสำคัญ ได้แก่ 1. อหิงสา (Ahimsa) การไม่ใช้ความรุนแรง คานธีเชื่อว่า ความรุนแรงก่อให้เกิดความเกลียดชัง และการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2. สัจจะ (Satya) ความจริง เขาเชื่อว่าความจริงคือสิ่งสูงสุด และคนที่ยึดมั่นในความจริง จะได้รับชัยชนะเสมอ 3. ตบะ (Tapasya) ความอดทนและเสียสละ คานธีอดอาหารประท้วงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับคนทุกศาสนา ขบวนการอิสระของอินเดีย จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เดินขบวนเกลือ (Salt March) ปี 2473 คานธีนำประชาชนเดินเท้า เป็นระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อประท้วงกฎหมายภาษีเกลือ ของอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้าน ที่ทรงพลังที่สุด ขบวนการ “ออกจากอินเดีย” (Quit India Movement) ปี 2485 คานธีเรียกร้องให้อังกฤษ ถอนตัวจากอินเดีย โดยไม่มีเงื่อนไข ทำให้อังกฤษจับกุมเขา และผู้สนับสนุนจำนวนมาก ในที่สุด วันที่ 15 สิงหาคม 2490 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ต้องแลกมา ด้วยการแบ่งประเทศเป็นอินเดีย และปากีสถาน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้ง และการอพยพครั้งใหญ่ มรดกของมหาตมา คานธี อิทธิพลต่อโลก แม้จะถูกลอบสังหาร แต่แนวคิดของคานธี ได้เป็นแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง ทั่วโลก เช่น ✅ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ขบวนการสิทธิพลเมือง ของคนผิวดำในอเมริกา ✅ เนลสัน แมนเดลา การต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ ✅ ดาไลลามะ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ของทิเบต คานธี กับบทเรียนแห่งสันติ การลอบสังหารมหาตมา คานธี เป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดของเขายังคงอยู่ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนทั่วโลก 🌏 ความจริงและสันติวิธี เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการเปลี่ยนแปลงโลก 🙏 อหิงสา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญ ในการให้อภัย 💡 สัตยาเคราะห์ เป็นเครื่องมือแห่งการต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม 77 ปี ผ่านไป... ชื่อของคานธี ยังคงเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติภาพ 🕊️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 300857 ม.ค. 2568 #MahatmaGandhi #Gandhi77Years #Satyagraha #อหิงสา #สันติวิธี #IndiaIndependence #PeaceMovement #QuitIndia #GandhiPhilosophy #GandhiLegacy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ และข้อควรระวัง

    1. ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ (เมื่อรู้ด้วยวิชชาแท้จริง)

    เป็นวิชชาแรกที่ช่วยชำแรกอวิชชา
    การระลึกชาติได้จริง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) เป็นหนึ่งในวิชชาสามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า "การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง" และมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในแต่ละภพภูมิ

    ช่วยให้เข้าใจเหตุของปัจจุบัน
    บางคนสงสัยว่าทำไมตนเองเกิดมาในครอบครัวนี้ หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น การระลึกชาติได้เองโดยการฝึกสมาธิถึงระดับลึก จะช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่เกิดจากกรรมเก่า และสามารถแก้ไขปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง

    ลดความหลงในตัวตน
    เมื่อเห็นว่าตัวเองเคยเกิดมาในหลายรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน ชายหญิง หลากหลายชาติพันธุ์ ก็จะคลายความยึดติดว่าชีวิตชาตินี้เป็น "ตัวกู ของกู" ไปเอง

    2. ข้อควรระวังของการอยากรู้อดีตชาติ

    หากเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น อาจพอกพูนอุปาทาน
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "การไปนึกถึงอดีตชาติโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จะทำให้ยึดติดและเสริมอัตตาทิฏฐิ" เช่น ถ้ารู้ว่าเคยเป็นกษัตริย์ อาจเกิดทิฏฐิว่าตัวเองสูงส่ง หรือหากเคยเป็นคนจน อาจเศร้าหมองติดอยู่กับความรู้สึกต่ำต้อย

    หากไปรับฟังจากผู้อื่น อาจถูกชี้นำผิดพลาด
    บางคนไปให้หมอดู หรือนักจิตสัมผัสบอกอดีตชาติ อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจทำให้เกิดการคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรือยึดติดกับอดีตจนละเลยปัจจุบัน

    อาจเป็นเหตุให้หมกมุ่น จนหลงลืมปัจจุบัน
    การใช้ชีวิตที่ดีอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงตนเองในชาตินี้

    3. วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากอดีตชาติ

    แทนที่จะพยายามไปรู้อดีตชาติ ให้สังเกต "ปัจจุบันกรรม" เพราะปัจจุบันคือผลของอดีต และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันก็คือการสร้างอนาคต

    เจริญสติ รู้กายใจตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับอดีต จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าการระลึกชาติ

    ถ้าระลึกอดีตชาติได้จริง (ผ่านสมาธิระดับสูง) ให้ใช้เพื่อการเข้าใจกรรม ไม่ใช่เพื่อสร้างอัตตาทิฏฐิ

    สรุป:
    ถ้าการรู้อดีตชาติช่วยให้เข้าใจกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์
    แต่ถ้าหมกมุ่นกับอดีตโดยไม่มีสติ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราปรับแก้ได้ และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
    ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ และข้อควรระวัง 1. ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ (เมื่อรู้ด้วยวิชชาแท้จริง) เป็นวิชชาแรกที่ช่วยชำแรกอวิชชา การระลึกชาติได้จริง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) เป็นหนึ่งในวิชชาสามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า "การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง" และมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในแต่ละภพภูมิ ช่วยให้เข้าใจเหตุของปัจจุบัน บางคนสงสัยว่าทำไมตนเองเกิดมาในครอบครัวนี้ หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น การระลึกชาติได้เองโดยการฝึกสมาธิถึงระดับลึก จะช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่เกิดจากกรรมเก่า และสามารถแก้ไขปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง ลดความหลงในตัวตน เมื่อเห็นว่าตัวเองเคยเกิดมาในหลายรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน ชายหญิง หลากหลายชาติพันธุ์ ก็จะคลายความยึดติดว่าชีวิตชาตินี้เป็น "ตัวกู ของกู" ไปเอง 2. ข้อควรระวังของการอยากรู้อดีตชาติ หากเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น อาจพอกพูนอุปาทาน พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "การไปนึกถึงอดีตชาติโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จะทำให้ยึดติดและเสริมอัตตาทิฏฐิ" เช่น ถ้ารู้ว่าเคยเป็นกษัตริย์ อาจเกิดทิฏฐิว่าตัวเองสูงส่ง หรือหากเคยเป็นคนจน อาจเศร้าหมองติดอยู่กับความรู้สึกต่ำต้อย หากไปรับฟังจากผู้อื่น อาจถูกชี้นำผิดพลาด บางคนไปให้หมอดู หรือนักจิตสัมผัสบอกอดีตชาติ อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจทำให้เกิดการคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรือยึดติดกับอดีตจนละเลยปัจจุบัน อาจเป็นเหตุให้หมกมุ่น จนหลงลืมปัจจุบัน การใช้ชีวิตที่ดีอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงตนเองในชาตินี้ 3. วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากอดีตชาติ แทนที่จะพยายามไปรู้อดีตชาติ ให้สังเกต "ปัจจุบันกรรม" เพราะปัจจุบันคือผลของอดีต และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันก็คือการสร้างอนาคต เจริญสติ รู้กายใจตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับอดีต จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าการระลึกชาติ ถ้าระลึกอดีตชาติได้จริง (ผ่านสมาธิระดับสูง) ให้ใช้เพื่อการเข้าใจกรรม ไม่ใช่เพื่อสร้างอัตตาทิฏฐิ สรุป: ถ้าการรู้อดีตชาติช่วยให้เข้าใจกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหมกมุ่นกับอดีตโดยไม่มีสติ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราปรับแก้ได้ และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    .
    ทุกวันนี้พี่ไม่ค้านอะไรเลย...!!!
    .
    เรื่อง เทวดาชั้น 14 พี่ก็ไม่ตี...!!!
    .
    หลอกใคร...???
    .
    จับมือกันนานแล้ว...!!!
    .
    และยังจับอยู่...!!!
    .
    แค่...นานๆครั้ง ก็ผลัดกันเอามีดเสียบสีข้างเพื่อน แผลเล็กๆ เพื่อ สร้างซีน เรียกคะแนนให้ตัวเอง
    .
    ของตกปลาในบ่อเพื่อน โดยที่เพื่อนไม่ถึงกับเสียเลือดจนต้องเข้า ICU
    .
    วันนั้น ต๋อม ช่อ และ พลพรรค ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ซูเนโอะ ไม่ได้บินไปฮ่องกง เพื่อเจรจากับ โทนี่ สแควร์รูท...!!!
    .
    เสียหมารึยัง...???
    .
    พบพรรค สาวก ยังคงเชื่อถือ บรรดาวาทะกรรมที่พ่นออกจากปากอยู่หรือ...???
    .
    ถ้าใครไม่ได้ทันตามการเมืองมาตั้งแต่สมัย ทรท. เขาคือสีเดียวกันมาแต่ต้น เพิ่งมา แบ่งตัวตอนหาพรรคเล็ก เพราะ รัฐธรรมนูญ คสช. นะครับ
    .
    ตอนชุมนุมเสื้อแดง พวกนี้เนี่ยแหล่ะ ที่ชอบเอาสติ๊กเกอร์ไปแปะว่าอยากได้ สาธารณะรัฐ...!!!
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . ทุกวันนี้พี่ไม่ค้านอะไรเลย...!!! . เรื่อง เทวดาชั้น 14 พี่ก็ไม่ตี...!!! . หลอกใคร...??? . จับมือกันนานแล้ว...!!! . และยังจับอยู่...!!! . แค่...นานๆครั้ง ก็ผลัดกันเอามีดเสียบสีข้างเพื่อน แผลเล็กๆ เพื่อ สร้างซีน เรียกคะแนนให้ตัวเอง . ของตกปลาในบ่อเพื่อน โดยที่เพื่อนไม่ถึงกับเสียเลือดจนต้องเข้า ICU . วันนั้น ต๋อม ช่อ และ พลพรรค ออกมายืนยันหนักแน่นว่า ซูเนโอะ ไม่ได้บินไปฮ่องกง เพื่อเจรจากับ โทนี่ สแควร์รูท...!!! . เสียหมารึยัง...??? . พบพรรค สาวก ยังคงเชื่อถือ บรรดาวาทะกรรมที่พ่นออกจากปากอยู่หรือ...??? . ถ้าใครไม่ได้ทันตามการเมืองมาตั้งแต่สมัย ทรท. เขาคือสีเดียวกันมาแต่ต้น เพิ่งมา แบ่งตัวตอนหาพรรคเล็ก เพราะ รัฐธรรมนูญ คสช. นะครับ . ตอนชุมนุมเสื้อแดง พวกนี้เนี่ยแหล่ะ ที่ชอบเอาสติ๊กเกอร์ไปแปะว่าอยากได้ สาธารณะรัฐ...!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • 8 เรื่องราวแห่งพระพุทธประวัติที่สำคัญ สลักขึ้นจากหินอันดากูเพียงก้อนเดียว เป็นงานอัศจรรย์ ที่ช่างสลักจะผิดพลาดไม่ได้เลย ช่างต้องใช้เวลาสลักเป็นอกาลิโก ด้วยมหาสติปัฏฐาน 4 อันมี กาย (กายานุปัสสนา) ความรู้สึก (เวทนานุปัสสนา) การรับรู้ (จิตตานุปัสสนา) สิ่งที่อยู่ในจิต (ธัมมานุปัสสนา)

    Pagan,Pala arts,11-13th century AD.
    8 เรื่องราวแห่งพระพุทธประวัติที่สำคัญ สลักขึ้นจากหินอันดากูเพียงก้อนเดียว เป็นงานอัศจรรย์ ที่ช่างสลักจะผิดพลาดไม่ได้เลย ช่างต้องใช้เวลาสลักเป็นอกาลิโก ด้วยมหาสติปัฏฐาน 4 อันมี กาย (กายานุปัสสนา) ความรู้สึก (เวทนานุปัสสนา) การรับรู้ (จิตตานุปัสสนา) สิ่งที่อยู่ในจิต (ธัมมานุปัสสนา) Pagan,Pala arts,11-13th century AD.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories)

    อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย

    สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่

    แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี

    ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี

    แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน

    แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน

    ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่:

    • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง

    • อาหารขยะและอาหารจานด่วน

    • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว

    • เค้กและโดนัท

    ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี

    เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้

    ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น
    สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง

    เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    แคลอรี่ว่างเปล่า (Empty Calories) อาหารทุกชนิดมีแคลอรี และร่างกายจะใช้แคลอรีทั้งหมดเป็นพลังงานทันที และอาจเก็บไว้เป็นไกลโคเจนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน ขึ้นอยู่กับจำนวนแคลอรีที่คุณกินในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาหารบางชนิดอาจมีแคลอรีต่ำมาก เช่น ผักและผลไม้บางชนิด แต่นอกจากน้ำและสารให้ความหวานเทียมแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณกินได้โดยไม่มีแคลอรีเลย สิ่งที่เรากินควรมีมากกว่าแค่แคลอรี่ แน่นอนว่าเราต้องการแคลอรีเพื่อการดำรงชีวิต แต่ร่างกายต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และไขมันดี ผักมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานได้อย่างปกติ เนื้อไม่ติดมันและปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซม การเจริญเติบโต และพัฒนาการของร่างกาย ไฟเบอร์ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้รู้สึกอิ่ม เป็นแหล่งที่อยู่ของจุลชีพฝั่งดีในลำไส้และกระตุ้นการขับถ่ายให้เป็นปกติ ส่วนไขมันดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดี แคลอรีว่างเปล่าก็คืออาหารที่มีแต่แคลอรี ซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายไม่ครบถ้วน แคลอรี่ว่างเปล่าสามารถให้พลังงานได้ทันที ส่งเสริมความอิ่ม แต่ไม่สามารถใช้สร้างกล้ามเนื้อ ไม่ให้วิตามินหรือให้ประโยชน์ทางโภชนาการอื่นๆ ได้ นอกจากนี้แคลอรี่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้เป็นพลังงานจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของ ไขมัน ตามหลักการทั่วไป หากอาหารไม่มีสารอาหารหรือมีแคลอรีจากน้ำตาลและไขมันมากกว่าสารอาหาร ก็ถือว่าเป็นแหล่งแคลอรีว่างเปล่า หลักๆได้แก่: • เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา ชาหวาน น้ำมะนาว และเครื่องดื่มชูกำลัง • อาหารขยะและอาหารจานด่วน • ลูกอม รวมทั้งลูกอมแข็งและลูกอมเคี้ยวหวานหรือเปรี้ยว • เค้กและโดนัท ทำไมแคลอรี่ว่างเปล่าถึงไม่ดี เมื่อคุณกินแคลอรีว่างเปล่า คุณมักจะกินเข้าไปเมื่อพิจารณาถึง ความเร่งรีบ ความอิ่มและการลดน้ำหนัก การรับประทานแคลอรี่ว่างเปล่ามากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงและเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ ร่างกายต้องการอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละมื้อ แคลอรีจำเป็นเพื่อให้พลังงานเท่านั้น สิ่งที่น่าห่วงใยที่สุด ก็คือสมอง เมื่อสมองขาดสารอาหารที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ธาตุ ต่อมาคุณก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ การคิดอย่างมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และความสามารถในการควบคุมอวัยวะอื่นๆ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวทางที่ถูกต้องในการรับรู้ความคิดขณะนั่งสมาธิ

    เมื่อคุณนั่งสมาธิและเกิดความคิดแทรกขึ้นมา มี 2 วิธีที่ใช้ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับสมาธิของคุณและเป้าหมายในการปฏิบัติ

    1. ถ้าคุณเป็นมือใหม่หรือฝึกสมาธิในช่วงแรก

    ให้ "รับรู้" ว่ากำลังคิด แต่ไม่ต้องตามความคิดนั้นไป

    เมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิด ให้ใช้สติ "รู้ว่ากำลังคิด" แล้วค่อยๆ ดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ

    ไม่ต้องกังวลว่าคิดเรื่องอะไร เพราะถ้าตามความคิดไป จะยิ่งฟุ้งซ่าน

    ใช้วิธีสังเกตว่า "ตอนนี้รู้สึกยังไง?" – ถ้ารู้สึกเครียดหรือฟุ้งซ่าน ให้ปรับลมหายใจให้ผ่อนคลาย


    ตัวอย่าง:

    เผลอคิดเรื่องงาน → รู้ทันว่า "คิดเรื่องงาน" → กลับมาที่ลมหายใจ

    เผลอคิดเรื่องอดีต → รู้ทันว่า "คิดถึงอดีต" → กลับมาที่ลมหายใจ


    2. ถ้าคุณมีสติและสมาธิมากขึ้นแล้ว

    สามารถ ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อศึกษาว่าความคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร

    ไม่ใช่การ "คิดต่อ" แต่เป็นการ "สังเกต" ความคิด เหมือนเป็นคนนอกที่ดูความคิดเคลื่อนไหว

    ดูว่า ความคิดไม่เที่ยง มันมาแล้วก็ไปเอง

    ถ้าเห็นว่าความคิดนั้นเกี่ยวกับอารมณ์สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ให้สังเกตต่อว่าอารมณ์นั้นก็เปลี่ยนไป


    ตัวอย่าง:

    นึกถึงอดีตที่ทำให้ทุกข์ → สังเกตว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร → เห็นว่ามันอยู่ไม่นานและจางไปเอง

    คิดเรื่องอนาคตแล้วตื่นเต้น → สังเกตว่าความตื่นเต้นมาแล้วหายไปเอง



    ---

    สรุปแนวปฏิบัติที่เหมาะสม:

    ✔ มือใหม่: เมื่อรู้ว่าคิด ให้รับรู้ แล้วกลับมาที่ลมหายใจทันที
    ✔ ระดับกลางขึ้นไป: ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อเห็นว่ามันเกิดขึ้นและดับไปเอง
    ✔ ถ้าเริ่มฟุ้งมาก: ให้กลับมาสังเกตลมหายใจและความรู้สึก (สุข/ทุกข์)

    เป้าหมายสูงสุด:
    เห็นความคิดเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา แล้วจิตจะปล่อยวางได้ง่ายขึ้นเอง

    แนวทางที่ถูกต้องในการรับรู้ความคิดขณะนั่งสมาธิ เมื่อคุณนั่งสมาธิและเกิดความคิดแทรกขึ้นมา มี 2 วิธีที่ใช้ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับสมาธิของคุณและเป้าหมายในการปฏิบัติ 1. ถ้าคุณเป็นมือใหม่หรือฝึกสมาธิในช่วงแรก ให้ "รับรู้" ว่ากำลังคิด แต่ไม่ต้องตามความคิดนั้นไป เมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิด ให้ใช้สติ "รู้ว่ากำลังคิด" แล้วค่อยๆ ดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องกังวลว่าคิดเรื่องอะไร เพราะถ้าตามความคิดไป จะยิ่งฟุ้งซ่าน ใช้วิธีสังเกตว่า "ตอนนี้รู้สึกยังไง?" – ถ้ารู้สึกเครียดหรือฟุ้งซ่าน ให้ปรับลมหายใจให้ผ่อนคลาย ตัวอย่าง: เผลอคิดเรื่องงาน → รู้ทันว่า "คิดเรื่องงาน" → กลับมาที่ลมหายใจ เผลอคิดเรื่องอดีต → รู้ทันว่า "คิดถึงอดีต" → กลับมาที่ลมหายใจ 2. ถ้าคุณมีสติและสมาธิมากขึ้นแล้ว สามารถ ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อศึกษาว่าความคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ไม่ใช่การ "คิดต่อ" แต่เป็นการ "สังเกต" ความคิด เหมือนเป็นคนนอกที่ดูความคิดเคลื่อนไหว ดูว่า ความคิดไม่เที่ยง มันมาแล้วก็ไปเอง ถ้าเห็นว่าความคิดนั้นเกี่ยวกับอารมณ์สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ให้สังเกตต่อว่าอารมณ์นั้นก็เปลี่ยนไป ตัวอย่าง: นึกถึงอดีตที่ทำให้ทุกข์ → สังเกตว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร → เห็นว่ามันอยู่ไม่นานและจางไปเอง คิดเรื่องอนาคตแล้วตื่นเต้น → สังเกตว่าความตื่นเต้นมาแล้วหายไปเอง --- สรุปแนวปฏิบัติที่เหมาะสม: ✔ มือใหม่: เมื่อรู้ว่าคิด ให้รับรู้ แล้วกลับมาที่ลมหายใจทันที ✔ ระดับกลางขึ้นไป: ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อเห็นว่ามันเกิดขึ้นและดับไปเอง ✔ ถ้าเริ่มฟุ้งมาก: ให้กลับมาสังเกตลมหายใจและความรู้สึก (สุข/ทุกข์) เป้าหมายสูงสุด: เห็นความคิดเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา แล้วจิตจะปล่อยวางได้ง่ายขึ้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29/1/68

    จาก เฟสบุ๊คของ Akhom Makaranond (อาคม มกรานนท์)
    ..
    เพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักครับ

    เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังเจอกับฝุ่นพิษ พี.เอ็ม.๒.๕ อย่างหนัก การเดินทางไปไหนมาไหน ก็เหมือนเดินทางฝ่าหมอก รถราติดกันยาวเหยียด ชาวบ้านเจอพิษร้ายคราวนี้ เล่นเอาแย่ไปตามๆกัน หายใจหายคอลำบาก บางรายถึงกับเลือดกำเดาไหล

    รัฐบาลประกาศให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ๗ วัน ที่จริงไม่ได้ฟรีตามที่รัฐบาลบอกหรอกนะ เพราะเอางบประมาณมาใช้ชดเชยงานนี้ถึง ๑๔๐ ล้านบาท จะเรียกว่าฟรีได้ยังไง มันเป็นเงินของประชาชนนั่นเอง แถมยังมีคำกล่าวของนายกฯแถมมาให้อีกด้วย
    "เราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้"
    เป็นคำกล่าวที่น่ารักมากของนายกฯหญิงคนนี้

    เลยขอฝากถึงนายกฯด้วยว่า"เราก็ไม่สามารถเอานิ้วไปดีดปากที่ท่านพูดออกมาได้ แต่เราขอใช้ปากเชิญท่านและพ่องท่านได้ ใช่ไหม? ส่วนจะเชิญไปไหนคิดเอาเอง ไม่ใช่ให้ไปสวรรค์ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าแช่งกัน

    ถ้าความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่ คนชั่วอย่างคนๆนี้ จะมีทางเลือกแค่"หนีคดีความ และ เข้าไปอยู่ในคุก"เท่านั้น คนชั่วไม่มีสิทธิ์มาลอยนวลอยู่อย่างนี้หรอก

    ว่าแต่ไปทำอะไรเข้า สส.เขียงใหม่ พรรคของตัวเอง "จักรพล ตั้งสุทธิธรรม" ถึงออกมาเล่นงานหัวหน้าพรรคฯตัวเอง ในฐานะนายกฯ หนีการตอบกระทู้ในสภาฯ ทุกวันพฤหัศบดี แม้แต่กระทู้เรื่องฝุ่นพิษที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ ก็เลี่ยงไม่มาตอบ

    ท่าน สส.เชียงใหม่ นายกฯจะไปทำไม? ไม่มีอะไรจะตอบ เพราะตอบไม่ได้ ไงล่ะ!

    เรื่องนี้สำคัญกว่า อยานึกว่าเขาไม่รู้ ทางการจีนเขามีคนของเขา ส่งข่าวไปให้รัฐบาลของเขาทราบ เขารู้มานานแล้วว่า ข้าราชการไทย และนักการเมืองพรรคใหญ่ มีเอี่ยวกับพวกจีนเทา

    ข่าวดังกล่าวบ่งชี้ว่า รัฐบาลและข้าราชการไทย เจ้าหน้าที่รัฐ บกพร่อง อ่อนแอ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับขบวนการสีเทา ยิ่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า พวกว้าแดงที่เป็นชนกลุ่มน้อย กองกำลังติดอาวุธ ขบวนการผลิตยาเสพติด มันไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย เพราะนายกฯและ รมต.กลาโหมไทย มันอ่อนเสียจนเขาไม่เกรงกลัวเลย น่าอายจัง

    ถึงเวลาหรือยัง? หยุดตระกูลโกงชาติ ก่อนที่บ้านเมืองจะพังพินาศจนไม่เหลืออะไรเลย

    นี่ก็อีกคน ไม่ทราบว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด "แก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการแจกมุ้งสู้ฝุ่น ๓ หมื่นกว่าหลัง สู้ฝุ่นหรือสู้ยุง

    รัฐบาลชุดนี้ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ อย่างเรื่องพม่าตัดสินจำคุกลูกเรือประมงไทยที่เกาะสอง

    สื่อเราถามนายกฯว่าจะมีมาตรการอะไรตอบโต้พม่าบ้าง มาตรการตอบโต้ของนายกฯไทย
    ๑. จับพม่าเถื่อนมาขึ้นทะเบียน โดยไม่มีการสอบประวัติอาชญากรรม
    ๒. ให้อยู่ในไทยไม่จำกัดเวลา จะอยู่นานเท่าไรก็ได้
    ๓. ลูกหลานพม่าเรียนฟรี เจ็บป่วยรักษาฟรี
    ส่วนลูกเรือประมงไทย แล้วแต่เวรแต่กรรม พวกพม่าได้ฟังแล้ว พากันกลัวเสียจนเยี่ยวราดกันเป็นแถว

    ประเทศเรา สมรสเท่าเทียมก็มีแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะติดคุกเท่าเทียมคนอื่นเขาเสียที รัฐบาลช่วยคิดด้วยสิ

    เวลานี้รัฐบาลจีนกำลังไล่กำจัดพวกคอลเซนเตอร์ เพื่อปกป้องประเทศของเขา

    สหรัฐอเมริกากำลังขับพวกอพยพออกนอกประเทศ

    ประเทศไทย ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนไทย แต่ทำเพื่อคนพม่า

    มันผู้ใดที่ทำร้ายบ้านเมือง ขอให้มันจงฉิบหายทั้งตระกูล สาธุ

    เราจะช่วยกันด่าหรือจะช่วยกันชม ฟังนะ

    นางหนึ่งบอก เรื่องฝุ่น พี.เอ็ม.๒.๕ นี่นะ คิดมาตั้งแต่วันแรกที่มาเป็นนายกฯ และตามที่หาเสียงไว้"เพื่อไทยแก้ฝุ่นที่ต้นตอ"
    นายหนึ่ง (ที่จริงก็พวกเดียวกันนั่นแหละ)บอกว่า"ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่าฯ ผมศึกษามานานถึง ๒ ปี
    พ่อของพรรคก็จ้อหลอกชาวบ้านว่า"ถ้าเพื่อไทยทำไม่ได้ ให้ชี้หน้าด่าได้เลย"

    รัฐบาลประยุทธ์ฯพยายามแก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน
    รัฐบาลเพื่อไทยแก้ปัญหาด้วยการ นั่งรถ ขสมก.- รถไฟฟ้าฟรี(ใช้งบ ๑๔๐ ล้านบาท)

    เห็นไหม"สติปัญญาของคนมันต่างกัน"เชื่อหรือยังล่ะ?

    วันนี้จบแค่นี้ก่อน เช่นเคย ขอฝากข้อคิดให้ไปคิดกัน การที่จะให้คนชั่วสูญพันธ์ ต้องใช้แบบนี้
    "คนที่ลืมรากเหง้าของ ตนเอง ทรยศต่อมาตุภูมิ และทำให้ชาติต้องแตกแยก มักจะเจอจุดจบที่ไม่ดี"

    อย่าลืมกันเสียล่ะ ช่วยดูๆกันด้วยนะ ถ้าหน้าแล้งปีนี้ ไม่มีน้ำ "ฝนหลวง"มีงบไม่พอ พี่น้องที่เลือก ๑๐ ล้านเสียง อย่าร้องเอะอะโวยวายนะ "ไอโอดิน" กินแล้วไม่โง่ สิบอกให้

    ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เลือกพรรคนี้มาเป็นรัฐบาล แทนที่จะได้ฝน กลับได้ฝุ่นมาแทน

    ใครบอก คนตกงานต้องเดินเตะฝุ่น ตอนนี้คนมีงานก็ต้องเดินเตะฝุ่นกันเพียบเลย

    สวัสดี.
    29/1/68 จาก เฟสบุ๊คของ Akhom Makaranond (อาคม มกรานนท์) .. เพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักครับ เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังเจอกับฝุ่นพิษ พี.เอ็ม.๒.๕ อย่างหนัก การเดินทางไปไหนมาไหน ก็เหมือนเดินทางฝ่าหมอก รถราติดกันยาวเหยียด ชาวบ้านเจอพิษร้ายคราวนี้ เล่นเอาแย่ไปตามๆกัน หายใจหายคอลำบาก บางรายถึงกับเลือดกำเดาไหล รัฐบาลประกาศให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ๗ วัน ที่จริงไม่ได้ฟรีตามที่รัฐบาลบอกหรอกนะ เพราะเอางบประมาณมาใช้ชดเชยงานนี้ถึง ๑๔๐ ล้านบาท จะเรียกว่าฟรีได้ยังไง มันเป็นเงินของประชาชนนั่นเอง แถมยังมีคำกล่าวของนายกฯแถมมาให้อีกด้วย "เราไม่สามารถดีดนิ้วให้ฝุ่นหายไปได้" เป็นคำกล่าวที่น่ารักมากของนายกฯหญิงคนนี้ เลยขอฝากถึงนายกฯด้วยว่า"เราก็ไม่สามารถเอานิ้วไปดีดปากที่ท่านพูดออกมาได้ แต่เราขอใช้ปากเชิญท่านและพ่องท่านได้ ใช่ไหม? ส่วนจะเชิญไปไหนคิดเอาเอง ไม่ใช่ให้ไปสวรรค์ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าแช่งกัน ถ้าความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่ คนชั่วอย่างคนๆนี้ จะมีทางเลือกแค่"หนีคดีความ และ เข้าไปอยู่ในคุก"เท่านั้น คนชั่วไม่มีสิทธิ์มาลอยนวลอยู่อย่างนี้หรอก ว่าแต่ไปทำอะไรเข้า สส.เขียงใหม่ พรรคของตัวเอง "จักรพล ตั้งสุทธิธรรม" ถึงออกมาเล่นงานหัวหน้าพรรคฯตัวเอง ในฐานะนายกฯ หนีการตอบกระทู้ในสภาฯ ทุกวันพฤหัศบดี แม้แต่กระทู้เรื่องฝุ่นพิษที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ ก็เลี่ยงไม่มาตอบ ท่าน สส.เชียงใหม่ นายกฯจะไปทำไม? ไม่มีอะไรจะตอบ เพราะตอบไม่ได้ ไงล่ะ! เรื่องนี้สำคัญกว่า อยานึกว่าเขาไม่รู้ ทางการจีนเขามีคนของเขา ส่งข่าวไปให้รัฐบาลของเขาทราบ เขารู้มานานแล้วว่า ข้าราชการไทย และนักการเมืองพรรคใหญ่ มีเอี่ยวกับพวกจีนเทา ข่าวดังกล่าวบ่งชี้ว่า รัฐบาลและข้าราชการไทย เจ้าหน้าที่รัฐ บกพร่อง อ่อนแอ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับขบวนการสีเทา ยิ่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า พวกว้าแดงที่เป็นชนกลุ่มน้อย กองกำลังติดอาวุธ ขบวนการผลิตยาเสพติด มันไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย เพราะนายกฯและ รมต.กลาโหมไทย มันอ่อนเสียจนเขาไม่เกรงกลัวเลย น่าอายจัง ถึงเวลาหรือยัง? หยุดตระกูลโกงชาติ ก่อนที่บ้านเมืองจะพังพินาศจนไม่เหลืออะไรเลย นี่ก็อีกคน ไม่ทราบว่าเอาสมองส่วนไหนมาคิด "แก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการแจกมุ้งสู้ฝุ่น ๓ หมื่นกว่าหลัง สู้ฝุ่นหรือสู้ยุง รัฐบาลชุดนี้ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ อย่างเรื่องพม่าตัดสินจำคุกลูกเรือประมงไทยที่เกาะสอง สื่อเราถามนายกฯว่าจะมีมาตรการอะไรตอบโต้พม่าบ้าง มาตรการตอบโต้ของนายกฯไทย ๑. จับพม่าเถื่อนมาขึ้นทะเบียน โดยไม่มีการสอบประวัติอาชญากรรม ๒. ให้อยู่ในไทยไม่จำกัดเวลา จะอยู่นานเท่าไรก็ได้ ๓. ลูกหลานพม่าเรียนฟรี เจ็บป่วยรักษาฟรี ส่วนลูกเรือประมงไทย แล้วแต่เวรแต่กรรม พวกพม่าได้ฟังแล้ว พากันกลัวเสียจนเยี่ยวราดกันเป็นแถว ประเทศเรา สมรสเท่าเทียมก็มีแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะติดคุกเท่าเทียมคนอื่นเขาเสียที รัฐบาลช่วยคิดด้วยสิ เวลานี้รัฐบาลจีนกำลังไล่กำจัดพวกคอลเซนเตอร์ เพื่อปกป้องประเทศของเขา สหรัฐอเมริกากำลังขับพวกอพยพออกนอกประเทศ ประเทศไทย ไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนไทย แต่ทำเพื่อคนพม่า มันผู้ใดที่ทำร้ายบ้านเมือง ขอให้มันจงฉิบหายทั้งตระกูล สาธุ เราจะช่วยกันด่าหรือจะช่วยกันชม ฟังนะ นางหนึ่งบอก เรื่องฝุ่น พี.เอ็ม.๒.๕ นี่นะ คิดมาตั้งแต่วันแรกที่มาเป็นนายกฯ และตามที่หาเสียงไว้"เพื่อไทยแก้ฝุ่นที่ต้นตอ" นายหนึ่ง (ที่จริงก็พวกเดียวกันนั่นแหละ)บอกว่า"ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่าฯ ผมศึกษามานานถึง ๒ ปี พ่อของพรรคก็จ้อหลอกชาวบ้านว่า"ถ้าเพื่อไทยทำไม่ได้ ให้ชี้หน้าด่าได้เลย" รัฐบาลประยุทธ์ฯพยายามแก้ปัญหา พี.เอ็ม.๒.๕ ด้วยการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเพื่อไทยแก้ปัญหาด้วยการ นั่งรถ ขสมก.- รถไฟฟ้าฟรี(ใช้งบ ๑๔๐ ล้านบาท) เห็นไหม"สติปัญญาของคนมันต่างกัน"เชื่อหรือยังล่ะ? วันนี้จบแค่นี้ก่อน เช่นเคย ขอฝากข้อคิดให้ไปคิดกัน การที่จะให้คนชั่วสูญพันธ์ ต้องใช้แบบนี้ "คนที่ลืมรากเหง้าของ ตนเอง ทรยศต่อมาตุภูมิ และทำให้ชาติต้องแตกแยก มักจะเจอจุดจบที่ไม่ดี" อย่าลืมกันเสียล่ะ ช่วยดูๆกันด้วยนะ ถ้าหน้าแล้งปีนี้ ไม่มีน้ำ "ฝนหลวง"มีงบไม่พอ พี่น้องที่เลือก ๑๐ ล้านเสียง อย่าร้องเอะอะโวยวายนะ "ไอโอดิน" กินแล้วไม่โง่ สิบอกให้ ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เลือกพรรคนี้มาเป็นรัฐบาล แทนที่จะได้ฝน กลับได้ฝุ่นมาแทน ใครบอก คนตกงานต้องเดินเตะฝุ่น ตอนนี้คนมีงานก็ต้องเดินเตะฝุ่นกันเพียบเลย สวัสดี.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • รบเถิดอรชุน

    นั่งดูข่าวสารบ้านเมืองแล้ว อยู่ๆผมก็นึกถึงเนื้อหาเล็กๆในตอนหนึ่งของ “ภควัทคีตา” ในมหากาพย์มหาภารตะครับ

    สำหรับท่านที่ไม่รู้จักภควัทคีตา ก็ขออธิบายสั้นๆว่าเป็นบทคำพูดโต้ตอบระหว่างเจ้าชายอรชุนกับกฤษณะในสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร อันเป็นสงครามใหญ่ระหว่างกองทัพสองฝ่ายคือฝ่ายเการพและฝ่ายปาณฑพ

    และผู้นำนักรบของทั้งสองฝ่ายนั้นล้วนเป็นพี่น้องเครือญาติกันทั้งสิ้น

    เจ้าชายอรชุนนั้นเป็นนักรบที่มีฝีมือยิงธนูเป็นเลิศของฝ่ายปาณฑพ (อ่านว่า ปาน-ดบ)

    ส่วนกฤษณะนั้น คือ สารถีคนขับรถม้าให้อรชุนในสนามรบ ซึ่งอันที่จริงกฤษณะนั้นคือพระนารายณ์อวตารลงมาบนโลกมนุษย์อีกทีครับ

    เหตุที่สองคนนี้เขาต้องโต้เถียงพูดคุยกันยาวเหยียดนั้น ก็เพราะเจ้าชายอรชุนเกิดความเวทนาและหดหู่ใจที่เห็นญาติพี่น้องทั้งกษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายยกทัพมาเข่นฆ่ากันเองจนเลือดนองแผ่นดินเพื่อแย่งชิงอำนาจ

    อรชุนตัดสินใจผละออกจากการรบ กฤษณะจึงได้เข้าทัดทาน พร้อมกับยกหลักเหตุผลต่างๆนานาเพื่อให้อรชุนกลับเข้าสู่สนามรบ

    กฤษณะได้สอนอรชุนว่า “การหลีกเลี่ยงหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เกิดในวรรณะกษัตริย์และนักรบเช่นอรชุน“

    ”หากท่านละทิ้งการรบแล้ว นอกจากจะเสียชื่อเสื่อมเกียรติแล้ว ยังถือเป็นการทำผิดต่อหน้าที่ของตนเอง“

    ”เมื่อท่านกลับเข้าสนามรบ ก็ขอให้ทำหน้าที่นักรบโดยไม่ยึดติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว จะแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญ เพราะเมื่อท่านได้ทำหน้าที่นักรบของตนเองอย่างเต็มที่และไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนแล้ว นั่นแหละคือหนทางสู่ความสงบอย่างแท้จริง“

    ผมชอบตรงที่พระกฤษณะบอกว่า ”ชนะก็ได้เป็นใหญ่ในปฐพี แต่ถ้าแพ้ก็ได้ขึ้นสวรรค์เพราะได้ทำหน้าที่ของตนแล้ว“

    ด้วยคำว่า “ธรรมะ” ของพระกฤษณะคือ “หน้าที่”

    เช่นเดียวกับหลักการบูชิโดของซามูไร ที่ยึดถือในคุณธรรมสองประการ คือ จิริกิ (ความยุติธรรม) และกิริ (ความรับผิดชอบในหน้าที่)

    คนเราต้องรู้จักหน้าที่

    เมื่อเกิดมาชาติหนึ่งแล้ว เมื่อได้อยู่ฐานะหรือตำแหน่งอะไร ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้สุดความสามารถ

    เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

    เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ต้องทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัด

    อะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ เช่น จัดสัมมนาหรือไปออกงานอีเว้นท์น่ะ ไม่ต้องไปทำ

    หวังว่าคงจะเตือนสติใครได้บ้าง เพราะถ้าท่านทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ชาวบ้านเขาจะรู้เองแหละ

    …รบเถิดอรชุน…


    นัทแนะ
    รบเถิดอรชุน นั่งดูข่าวสารบ้านเมืองแล้ว อยู่ๆผมก็นึกถึงเนื้อหาเล็กๆในตอนหนึ่งของ “ภควัทคีตา” ในมหากาพย์มหาภารตะครับ สำหรับท่านที่ไม่รู้จักภควัทคีตา ก็ขออธิบายสั้นๆว่าเป็นบทคำพูดโต้ตอบระหว่างเจ้าชายอรชุนกับกฤษณะในสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร อันเป็นสงครามใหญ่ระหว่างกองทัพสองฝ่ายคือฝ่ายเการพและฝ่ายปาณฑพ และผู้นำนักรบของทั้งสองฝ่ายนั้นล้วนเป็นพี่น้องเครือญาติกันทั้งสิ้น เจ้าชายอรชุนนั้นเป็นนักรบที่มีฝีมือยิงธนูเป็นเลิศของฝ่ายปาณฑพ (อ่านว่า ปาน-ดบ) ส่วนกฤษณะนั้น คือ สารถีคนขับรถม้าให้อรชุนในสนามรบ ซึ่งอันที่จริงกฤษณะนั้นคือพระนารายณ์อวตารลงมาบนโลกมนุษย์อีกทีครับ เหตุที่สองคนนี้เขาต้องโต้เถียงพูดคุยกันยาวเหยียดนั้น ก็เพราะเจ้าชายอรชุนเกิดความเวทนาและหดหู่ใจที่เห็นญาติพี่น้องทั้งกษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายยกทัพมาเข่นฆ่ากันเองจนเลือดนองแผ่นดินเพื่อแย่งชิงอำนาจ อรชุนตัดสินใจผละออกจากการรบ กฤษณะจึงได้เข้าทัดทาน พร้อมกับยกหลักเหตุผลต่างๆนานาเพื่อให้อรชุนกลับเข้าสู่สนามรบ กฤษณะได้สอนอรชุนว่า “การหลีกเลี่ยงหน้าที่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เกิดในวรรณะกษัตริย์และนักรบเช่นอรชุน“ ”หากท่านละทิ้งการรบแล้ว นอกจากจะเสียชื่อเสื่อมเกียรติแล้ว ยังถือเป็นการทำผิดต่อหน้าที่ของตนเอง“ ”เมื่อท่านกลับเข้าสนามรบ ก็ขอให้ทำหน้าที่นักรบโดยไม่ยึดติดกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว จะแพ้หรือชนะนั้นไม่สำคัญ เพราะเมื่อท่านได้ทำหน้าที่นักรบของตนเองอย่างเต็มที่และไม่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนแล้ว นั่นแหละคือหนทางสู่ความสงบอย่างแท้จริง“ ผมชอบตรงที่พระกฤษณะบอกว่า ”ชนะก็ได้เป็นใหญ่ในปฐพี แต่ถ้าแพ้ก็ได้ขึ้นสวรรค์เพราะได้ทำหน้าที่ของตนแล้ว“ ด้วยคำว่า “ธรรมะ” ของพระกฤษณะคือ “หน้าที่” เช่นเดียวกับหลักการบูชิโดของซามูไร ที่ยึดถือในคุณธรรมสองประการ คือ จิริกิ (ความยุติธรรม) และกิริ (ความรับผิดชอบในหน้าที่) คนเราต้องรู้จักหน้าที่ เมื่อเกิดมาชาติหนึ่งแล้ว เมื่อได้อยู่ฐานะหรือตำแหน่งอะไร ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้สุดความสามารถ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ต้องทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัด อะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ เช่น จัดสัมมนาหรือไปออกงานอีเว้นท์น่ะ ไม่ต้องไปทำ หวังว่าคงจะเตือนสติใครได้บ้าง เพราะถ้าท่านทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ชาวบ้านเขาจะรู้เองแหละ …รบเถิดอรชุน… นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪷 วันพระ อังคาร ๒๘ มกราคม พ.ศ ๒๕๖๘ . นักปราชญ์ ฉลาด โง่ . ท่าน ว. วชิรเมธี . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย https://youtu.be/wrjaK_feAe4?si=TawtfpYBCknLtbMq
    🪷 วันพระ อังคาร ๒๘ มกราคม พ.ศ ๒๕๖๘ . นักปราชญ์ ฉลาด โง่ . ท่าน ว. วชิรเมธี . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย https://youtu.be/wrjaK_feAe4?si=TawtfpYBCknLtbMq
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีฉลู

    เพื่อเป็นการสยบพลังมืดของดาวร้ายและเสริมกระแสน้อมรับพลังมงคล จึงควรน้อมจิตน้อมใจไปกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและการเรียนรู้ ทรงบารมีในเรื่อง ความฉลาดหลักแหลมด้วยแสงแห่งปัญญา หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทุกศาลที่มีรูปปั้นจำลองขององค์เทพท่านสถิตอยู่ เพื่อรับพรพระเมตตารับฟังต่อทุกคำอธิษฐานพร้อมน้อมฝากดวงชะตาขอบารมีต่อพระองค์ท่านได้โปรดเมตตาประทานแสงสว่างที่จะขจัดออกซึ่งความมืดของปัญหาความวุ่นวายหม่นทึบให้พินาศ และเปิดดวงตารับรู้ให้เห็นช่องทางแก้ไขสถานการณ์นั้นก้าวข้ามผ่านพ้นอุปสรรคความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด ด้วยพร บารมีแห่งแสงของสติปัญญาที่พระองค์เทพท่านเมตตาดลบันดาลประทานให้ตลอดทั้งปี 2568 นี้

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” มาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อรำลึกถึงพลังแห่งปัญญาที่ส่งเสริมพลังเทพที่เมตตาบารมีจากพระองค์ท่านได้สถิตคุ้มครองให้พบกับทางออกของทุกๆปัญหา โดยการตัดสินใจที่พร้อมด้วยปัญญาอันชาญฉลาดอย่างแหลมคม พร้อมรับตำแหน่งหน้าที่การงานด้วยความเจริญก้าวหน้า ตลอดทั้งปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีฉลู เพื่อเป็นการสยบพลังมืดของดาวร้ายและเสริมกระแสน้อมรับพลังมงคล จึงควรน้อมจิตน้อมใจไปกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและการเรียนรู้ ทรงบารมีในเรื่อง ความฉลาดหลักแหลมด้วยแสงแห่งปัญญา หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ทุกศาลที่มีรูปปั้นจำลองขององค์เทพท่านสถิตอยู่ เพื่อรับพรพระเมตตารับฟังต่อทุกคำอธิษฐานพร้อมน้อมฝากดวงชะตาขอบารมีต่อพระองค์ท่านได้โปรดเมตตาประทานแสงสว่างที่จะขจัดออกซึ่งความมืดของปัญหาความวุ่นวายหม่นทึบให้พินาศ และเปิดดวงตารับรู้ให้เห็นช่องทางแก้ไขสถานการณ์นั้นก้าวข้ามผ่านพ้นอุปสรรคความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด ด้วยพร บารมีแห่งแสงของสติปัญญาที่พระองค์เทพท่านเมตตาดลบันดาลประทานให้ตลอดทั้งปี 2568 นี้ อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์เทพบัณฑิต “文昌帝君(บุ่งเชียงตี่กุง)” มาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อรำลึกถึงพลังแห่งปัญญาที่ส่งเสริมพลังเทพที่เมตตาบารมีจากพระองค์ท่านได้สถิตคุ้มครองให้พบกับทางออกของทุกๆปัญหา โดยการตัดสินใจที่พร้อมด้วยปัญญาอันชาญฉลาดอย่างแหลมคม พร้อมรับตำแหน่งหน้าที่การงานด้วยความเจริญก้าวหน้า ตลอดทั้งปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัยที่ผมยังเด็ก...

    ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว...
    ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน

    เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป
    งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง..

    งานบุญออกพรรษา...

    สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ
    งานบุญแข่งเรือ

    ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน...
    ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า
    เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม

    หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว

    ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง

    คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน

    ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น...

    จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง....

    ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น...
    นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน
    เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น

    วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 .....

    ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร
    จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม

    ตั้งแต่เช้า....
    ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน

    แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น
    แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย
    สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้

    หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด...

    เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ

    ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น

    และที่ลืมไม่ได้...
    ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว..
    ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี
    ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น
    เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน
    แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง

    แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป...
    .
    .
    .
    ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน...
    แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น...

    มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า
    แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้
    .
    .
    พอตกบ่าย...
    หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป
    มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง
    หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ
    สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก
    .
    .
    ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว
    การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย
    บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน
    ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป
    บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น
    .
    .
    งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน

    ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน

    รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง
    ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
    จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง

    รถเข็นขายซาละเปา
    ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ

    และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม

    มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด

    งานดำเนินไปค่อนคืน...
    งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา...
    .
    .
    .
    หลายสิบปีผ่านไป...
    งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว...

    ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่

    ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

    ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม

    ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา

    พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว...
    ก็หายไปจากท้องนํ้า....
    .
    .
    .
    มีเพียงความทรงจำสีจางๆ...
    ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง...

    ก็ทำให้ ใครบางคน...
    สถานที่บางสถานที่...
    ที่เคยสลายไปแล้วนั้น
    กลับมามีชีวิตอีกครั้ง...
    แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม....
    .
    .
    .
    ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ

    ***ออกพรรษา
    เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    สมัยที่ผมยังเด็ก... ลมหนาวจางๆ เริ่มพัดมาแล้ว... ระดับนํ้าในแม่นํ้าโขงเริ่มลดลง พอให้ชาวบ้านที่อยู่ติดริมนํ้าได้เริ่มลงมือปลูกผักสวนครัวไว้ใช้ในบ้าน เมื่อลมหนาว เริ่มพัดมา ก็หมายความว่า ฤดูฝนกำลังจะหมดไป งานบุญเดือน 11 กำลังมาถึง.. งานบุญออกพรรษา... สิ่งที่มีมาคู่กับงานออกพรรษาคือ งานบุญแข่งเรือ ช่วงก่อนจะใกล้งานบุญแข่งเรือสักหนึ่งเดือน... ช่วงเย็นๆ ที่ลำนํ้าโขงจะปรากฎเสียงกระตุ้นเร้าเป็นระยะๆ ดังพร้อมๆ กับเสียงนกหวีด ให้ออกแรง พายจํ้า เรือแข่งหลายสิบฝีพาย หลายๆลำมักจะใช้แม่นํ้าโขงเป็นสนามฝึกซ้อม หน้าต่างฝั่งนํ้าโขงของบ้านผมนั้น เป็นที่ที่ผมปีนขึ้นไปนั่งได้อย่างสะดวก แค่เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป ก็นั่งขอบหน้าต่างได้แล้ว ปกติแล้วผมมักจะชอบนั่งดูแม่นํ้าอยู่ริมหน้าต่างที่บ้านเก่า และบ่อยครั้งก็อุตริขึ้นไปนั่งอ่านนิยายที่ขอบหน้าต่าง คราวที่ กำลังง่วนกับการละเล่น พอได้ยินเสียงนกหวีดให้จังหวะฝีพาย ผมจะทิ้งทุกอย่างวิ่งมาเกาะหน้าต่างดู ฝีพายที่ขะมักเขม้น จ้วงพายลงในนํ้า ในจังหวะที่พร้อมเพรียงกัน ฝีพายทั้งหลายต่างพร้อมใจกันมาซ้อมทุกเช้าเย็น... จวบจนวันบุญแข่งเรือ และงานวันออกพรรษา มาถึง.... ถนนสุนทรวิจิตร หน้าบ้านผมในสมัย40กว่าปีก่อนนั้น... นับได้ว่าเป็นถนนเศรษฐกิจเลยทีเดียว ทั้งรถราวิ่งกันขวักไขว่ ร้านอาหาร บาร์ ก็ผุดเป็นดอกเห็ดยามหน้าฝน เวลามีงานบุญต่างๆ ขบวนแห่ทั้งหลาย ก็ต้องผ่านเส้นนี้ทั้งนั้น วันออกพรรษา ที่เป็นวันเต็ง คือวันขึ้น15 คํ่าเดือน11 ..... ลานหญ้าริมเขื่อนฝั่งโขง หน้าบ้านพักผู้พิพากษา ยาวไปถึงสถานีตำรวจ และเลยไปถึงโรงเรียนสุนทรวิจิตร จะเต็มไปด้วยซุ้มต่างๆของแต่ละอำเภอ แต่ละท้องถิ่น พากันมาออกร้าน ทั้งไม้ไผ่ ทางมะพร้าว ไพหญ้า ต่างถูกใช้เป็นวัสดุหลักในการทำโครงสร้างรวมทั้งการตกแต่ง ที่เรียบง่าย แต่น่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กในวัย6-7ขวบอย่างผม ตั้งแต่เช้า.... ผู้คนเริ่มทะยอยกัน ออกมาเดินเท้าบนถนน ถนนหน้าบ้านผมคราครํ่าไปด้วยผู้คน แม่บ้านที่เลี้ยงผมในยามนั้น แกชอบออกมานั่งดู ผู้คนเดินไปมา ผมซึ่งยังเป็นเด็กมากในขณะนั้นกลับรู้สึกว่า ไม่เห็นจะน่าสนใจอะไรเลย สู้ลูกโป่งสีสวยในมือพ่อค้าไม่ได้ หรือเสาไม้ไผ่ที่พ่อค้าแบกพาดไว้บนไหล่ถูกเจาะรู รอบๆเป็นระยะๆ เอาไว้เสียบเครื่องเล่น ของเล่น นานาชนิด... เครื่องบินที่แพนหางเป็นกระดาษ ส่วนหัว มีเชือกป่านผูกกับปลายไม้ที่เป็นก้านจับ พอแกว่งให้ปะทะอากาศก็จะมีเสียงดังวี้ด ๆ ยังมี "จั๊กจั่น" ที่เป็นกล่องกระดาษทรงกระบอกเล็กๆ ฝั่งหนึ่งเจาะรูมีเชือกร้อยห้อยติดกับไม้ พอเหวี่ยงกล่องกระดาษที่ปลายมันจะเกิดเสียงแหลมๆคล้ายจั๊กจั่น และที่ลืมไม่ได้... ป๋องแป๋งกระดาษแก้ว.. ที่หน้าของตัวป๋องแป๋งขึงด้วยการะดาษแก้วหลากสี ตัวป๋องแป๋งมีลักษณะคล้ายกลองขนาดเล็ก ขึงหน้าด้วยกระดาษแก้วสี ด้านข้างมีเชือกป่านร้อยไว้ทั้ง2ด้านปลายด้านหนึ่ง มีดินเหนียวแห้งเป็นตุ้มถ่วง พอแกว่งป๋องแป๋ง ดินเหนียวนี้ก็จะไปปะทะหน้าป๋องแป๋ง เกิดเสียงกังวานขึ้น เตี่ยผมเคย ช่วยซ่อมป๋องแป๋งนี้ในยามที่หน้ากระดาษแก้วมันหย่อน แกเอาผ้าชุบนํ้าพอหมาดๆ แล้วเช็ดหน้ากระดาษแก้วไวๆ น่าประหลาดที่มันกลับมาตึงและดังกังวานได้อีกครั้ง แกบอกว่า กระดาษแก้วพอถูกนํ้าจะตึงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ทำบ่อยๆก็ไม่ไหว มันจะหมดสภาพไป... . . . ฝูงชนยังคงคราครํ่า บนถนน... แม่บ้านผมก็ยังคงนั่งมองผู้คนอยู่อย่างนั้น... มาบัดนี้ ด้วยที่ผ่านวัยนั้นมา ผมเข้าใจแล้วว่า แกคงมองดูหนุ่มสาวที่มาด้วยกัน บางครั้งคงแอบมองหนุ่มๆที่มาคนเดียว หรือมาร่วมกลุ่มกัน นั่นก็คงทำให้แกมีความสุขเล็กๆได้ . . พอตกบ่าย... หลังจากการแข่งเรือในท้องนํ้าที่กว้างใหญ่ผ่านไป มักจะมีเรือเล็กติดเครื่องยนต์ วิ่งไปมาใกล้ตลิ่ง หนุ่มๆบนเรือ บ้างก็เปลื้องผ้าท่อนบน บ้างก็มีสภาพมึนเมา บ่อยครั้งที่จะมีคำร้องกลอนพื้นบ้าน พร้อมเสียงกลองเสียงเคาะขวด ลอยตามเรือมาเป็นระยะๆ สาวบ้านไหนอยู่ในระยะสายตา มักจะโดนหนุ่มๆขี้เมาทั้งหลายในเรือลำจิ๋ว แซวไปซะทุกครั้ง และแน่นอน คำร้องแซว นั้น อยู่ในระดับ หยาบถึงหยาบมาก . . ขบวนแห่ปราสาทผึ้งเริ่มแล้ว การตกแต่ง ริ้วขบวนเป็นไปด้วยความเรียบง่าย ทั้งดนตรีปี่กลอง ผู้ร่วมขบวนนั้นมีมากมาย และมีทุกวัย บางคราวก็จะเห็น ตา หรือ ยายแก่ๆ ฟ้อนเข้าจังหวะ แต่จังหวะสับขานั้นเต็มไปด้วยควมสับสนอาจจะเพราะฤทธิ์ 40 ดีกรี ที่ดวดเข้าไปเต็มคราบ ถึงกับถอยหน้าถอยหลัง ไปไม่ถึงไหน ร้อนถึงเพื่อน ในขบวนต้องช่วยกันรุนหลังให้ตามขบวนไป บ้างก็หมดสภาพขนาดเพื่อนๆ ต้องหิ้วปีกตามขบวนกันเลย ก็ยังเคยมีให้เห็น . . งานบุญแบบนี้ สิ่งที่เด็กๆอย่างผมตั้งตารอ ก็คงจะหนีไม่พ้น ขนม นม เนย ที่วางขายกัน ของกิน ของซื้อมากมายเหลือเกินในงานออกร้าน รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง ซึ่งผมและเด็กอีกหลายๆคนมักจะทำคล้ายๆกัน คือ ใช้ไม้ที่มีลูกชิ้นนั้น จิ้มนํ้าจิ้ม และดูดกินนํ้าจิ้มนั้น เรื่อยๆก่อน เหมือนกลัวว่า ถ้ารีบกินลูกชิ้นนั้น จะหมดลงไวเกินไป อีกมือที่ว่างก็ล้วงไปที่ถุงพลาสติกที่มีกระหลํ่าปลีหั่น เอาออกมาจิ้มนํ้าจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย จนควรแก่เวลา ถึงได้บรรเลงลูกชิ้นที่เหลือไว้ ลงท้อง รถเข็นขายซาละเปา ซาละเปาร้อนๆ หอมฉุยทุกครั้งที่เปิดฝาซึ้งที่ใช้นึ่งซาละเปา ยังมีขนมปังที่กินกับไอศครีมตัก พ่อค้านำมาประยุกต์ ใส่ไส้สังขยาลงไป แล้วเอามานึ่งพร้อมซาละเปา ก็อร่อยไปอีกแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานออกพรรษาสมัยนั้น คือ ลูกเดือยต้ม มันจะถูกแบ่งเป็นกำๆ กำหนึ่งมีหลายก้าน ปลายก้านจะมีลูกเดือยอยู่แต่มันถูกหุ้มด้วยเปลือกแข็งๆ ต้องแทะเปลือกออกถึงจะได้ลิ้มรส ไอ้ลูกเดือยนี่แหละทำให้คนกวาดถนนออกมาบ่นทุกครั้งที่จบงาน เพราะมันถูกทิ้งเกลื่อนและเปลือกมีขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการเก็บกวาด งานดำเนินไปค่อนคืน... งานเลี้ยงก็ถึงเวลาต้องเลิกรา... . . . หลายสิบปีผ่านไป... งานออกพรรษา เปลี่ยนไปแล้ว... ความเรียบง่ายแฝงเสน่ห์บ้านๆถูกแทนที่ด้วยความยิ่งใหญ่ จ้าแจ่ม ของความทันสมัยที่ถูกใส่เข้ามาแทนที่ ของเล่นในวัยเด็กที่พ่อค้าแบกท่อนไม้ไผ่เจาะรู ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ของกินที่แสนอร่อยในวัยเด็กถูกแทนที่ด้วยของกินหน้าตาแปลกใหม่ และอาจจะอร่อยกว่าของเดิม ลูกเดือยต้ม แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในงานบุญออกพรรษา พร้อมๆกับที่ หนุ่มวัยรุ่นขี้เมาล่องเรือแซวสาว... ก็หายไปจากท้องนํ้า.... . . . มีเพียงความทรงจำสีจางๆ... ภาพเก่าๆ ให้ระลึกถึง... ก็ทำให้ ใครบางคน... สถานที่บางสถานที่... ที่เคยสลายไปแล้วนั้น กลับมามีชีวิตอีกครั้ง... แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม.... . . . ***ปล. ขอบคุณท่านเจ้าของภาพที่ผมนำมาใช้ประกอบบทความครับ ***ออกพรรษา เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 7 ตุลาคม 2560 ที่เพจ ล ม ห ว น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังข่าวเมื่อวาน จากจุดเดียวกันกับที่เคยมีตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนหมอกระต่ายที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายจนลอยกระเด็นไปไกลและเสียชีวิต

    ไรเดอร์หนุ่มซิ่งมอเตอร์ไซค์ชนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีขณะกำลังข้ามถนน เคราะห์ดียังไม่ถึงตาย

    ฟังคำอ้างของไรเดอร์แล้วได้แต่อนาถใจ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามองไม่เห็นสัญญาณไฟคนข้าม

    หากให้พูดสำนวนนักเลงหน่อยคงต้องใช้ประโยคประมาณว่า

    "อะไรของมึง ตอบมาได้อย่างไร ใบขับขี่ซื้อมาเหรอ กฎหมายจราจรชัดเจนมีมานานตั้งแต่ไรเดอร์ยังไม่เกิดเลย"

    ข้อหนึ่งใจความประมาณว่าเมื่อผู้ขับขี่ขับมาถึงบริเวณที่มีทางข้ามอย่างทางม้าลาย ให้ระมัดระวัง เตรียมชะลอ หากมีคนรอข้าม ให้จอดรถสนิทห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าดูดีแล้วว่าไม่มีคนจึงค่อยออกรถวิ่งต่อได้ ฝ่าฝืนคือผิดกฎหมาย

    ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าไรเดอร์ทำผิดกฎแล้ว 100% มันน่าอับอายคนทั่วโลกเหลือเกิน ที่คนขับขี่รถในประเทศนี้ คุณภาพโดยรวมต่ำย่ำแย่ติดลบสุด ๆ

    ใน 100 คน หาสักคนที่จะชะลอจอดยังหาไม่ได้เลยมั้ง คนเหล่านี้ไม่สำนึก ผ่านวันนี้ไปก็คงลืมแล้ว วันต่อไปก็เป็นเช่นเดิม การบังคับใช้กฎหมายของ จนท.ก็ย่ำแย่พอกับคุณภาพคนขับขี่ ไม่ควรให้ออกมาขี่รถตลอดชีวิตด้วยซ้ำ มีโอกาสสูงมากที่สักวันต้องทำคนตายบนถนนแน่

    คิดถึงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขอรีโพสต์อีกครั้งแล้วกัน ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้

    ...........

    #ทางม้าลายหรือทางตายแน่

    ทางม้าลายในไทยนี้มีก็ไม่แตกต่างจากไม่มีจริงนะ เคยพูดเรื่องนี้หลายหน ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กที่ต้องกลับบ้านเอง และการข้ามถนนในกรุงเทพสำหรับเด็กแล้ว มันคือการเสี่ยงดวงทุกครั้ง

    ถ้ามีสะพานลอย นั่นคือทางเลือกแรก แต่ในหลายที่ไม่มี ก็ต้องมองหาทางม้าลายแทน แต่แม้นจะหาเจอ บอกได้เลยว่าเจ้าลายขาวดำบนพื้นนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าพื้นถนนที่ไม่มีลายแม้แต่นิดเดียว สำหรับในเมืองไทยนี้

    หลายครั้งก็หวุดหวิดเกือบโดนเฉี่ยวชน แต่ยังบุญรักษาที่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน

    ข้ามมาไม่รู้กี่พันครั้งในชีวิตนี้ เชื่อไหมว่าที่มีคนขับมีน้ำใจ มีมารยาทตามกฎจราจร หยุดจอดให้โดยดีก่อนถึงเส้นขาวดำนั้นมีไม่น่าจะถึง 10 ครั้ง

    เกือบทั้งหมดคือไม่สนเลยว่าใครจะข้าม จะมีคนแก่ คนท้อง เด็ก ผู้หญิง คนพิการ หรือแค่คนปกติธรรมดาที่เขายืนรอจังหวะหวังว่าจะพอมีช่วงที่รถชะลอให้พอข้ามได้

    ล้วนแล้วแต่อยากจะรีบไปของตัวเองกันแทบทั้งนั้น อย่าว่าแต่หยุดรถให้เลย แค่ลดความเร็วยังหายากมากถึงมากที่สุด จะข้ามได้คือต้องช่วงที่รถอยู่ห่างจากตัวหลายสิบเมตร แล้วกะจังหวะเวลาให้ดี ใหม่ๆก็วิ่งหน้าตั้ง หลังๆประสบการณ์พอตัว ก็ไม่วิ่ง ก้าวเร็วๆเอา

    แต่บางถนนที่มีการจราจรแน่นหนาคับคั่ง การข้ามทางม้าลายนี่ยังกับปีนไต่ต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า โอกาสร่วงลงมาตายสูง เผลอๆมีสิ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นด้วย

    อาทิเรากะว่าน่าจะวิ่งข้ามทัน แต่รถดันมาไวมาก ถึงจวนตัวกระชั้นชิด ก็จะโดนบีบแตรไล่ยาว พอเราตกใจหยุดกะทันหันคนขับจะหัวเสียที่ต้องเบรกเอี๊ยด ทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าโบกเหมือนไล่ให้รีบไปเร็วๆ อย่ามาเกะกะกู ครั้นพอเราได้สติ จะรีบข้ามต่อ แต่รถคันที่มาเลนกลางดันไม่สนใจว่าคันทางซ้ายนั้นจำใจจอดแล้ว ตัวเองควรต้องจอดด้วยเพื่อให้คนข้าม

    เขากลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ คือยิ่งเร่งความเร็วจะผ่านตรงม้าลายนี้ไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่ตาไวและระวังเพียงพอ ก็มีสิทธิถูกเสยกระเด็นไปเหมือนว่าวขาดลอย

    นี่คือจุดตายของคนข้ามทางม้าลายมานักต่อนัก อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดที่คิดว่าคันแรกจอดให้เราข้าม แล้วคันอื่นๆที่วิ่งตามมาเลนอื่นจะจอดให้เราไปง่ายๆ

    น้ำใจบนท้องถนนของคนขับรถในบ้านเมืองนี้ ต้องบอกว่าแห้งแล้งยิ่งกว่าแผ่นดินอีสานเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นเช่นนั้นจริงๆ และนับวันจะเป็นมากขึ้น

    ที่จอดให้นั้น จำใจจอดซะเป็นส่วนใหญ่ ที่จะตั้งใจจอดให้เองอย่างยินดีตั้งแต่รถยังไม่ทันทับเส้นขาวดำนี่น่าจะเหมือนฝัน หากใครพบเจอในไทยนะ ขอแนะนำให้หันไปยิ้มให้และไหว้ขอบคุณคนขับอย่างงามๆเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำสักหน่อยเถิด

    คนมีรถยนต์ส่วนตัวนั้น ที่จะขับขี่โดยไม่เห็นแก่ตัว และมองเห็นหัวคนเดินถนนบ้างนั้น หาได้น้อยแสนน้อยยิ่งนัก

    เอาง่ายๆ ใครมีรถ ลองถามใจตัวเอง ทุกครั้งที่วิ่งผ่านทางม้าลาย ต่อให้ไม่มีคนรอข้ามเลย เคยไหมที่จะชะลอลดความเร็วลง หรือว่าห้อตะบึงไปอย่างไม่ไยดี

    หรือหากมีคน แล้วกี่ครั้งกันที่คุณหยุดรถให้เขาเหล่านั้นได้เดินข้ามอย่างไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือก

    หรือมีแต่บีบแตรกันไม่ให้เขาข้ามมา ทั้งที่ตัวเองก็ยังอยู่ห่างจากทางม้าลายพอสมควร แต่ไม่คิดจะหยุด จึงต้องบีบแตรไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฉันจะไปยาวนะ ไม่จอด อย่าสะเออะข้ามมา

    ชนตายไม่รู้นะมึง

    ใช่เป็นแบบนั้นหรือไม่?

    น่าเศร้าใจนะไทยแลนด์

    ทำไมคนขับรถถึงใจดำได้เพียงนี้

    ช่วงหน้าฝนชัดเจนที่สุด คนยืนรอข้ามถนน รอขึ้นรถเมล์ หรือกำลังเดินริมถนน รถแต่ละคันวิ่งฝ่าน้ำบนพื้น กระฉูดใส่คนบนทางเท้าราวกับคลื่นทะเลที่มาเป็นอุโมงค์น้ำ

    คนเหล่านั้นเขาน่าสงสาร น่าเห็นใจขนาดไหน เด็กเล็กๆกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไปรับกลับบ้าน หรือมาโรงเรียน คนทำงานที่เหน็ดเหนื่อยรอที่จะกลับบ้านหรือกำลังจะไปที่ทำงาน ฝนตกยืนกางร่มก็ลำบากไม่น้อยแล้ว ยังต้องมาถูกซัดโครมเดียวด้วยน้ำสกปรกสีขุ่นและตะกอนฝุ่นผงดินโคลนทั้งหลายก็กระเด็น กระจัดกระจาย สร้างลวดลายไปบนชุดและร่างกายของเขาทั่วหัวยันตีน เข้าตา เข้าจมูก เข้าหู เข้าปากด้วยก็ไม่แน่

    เขาต้องทนไปจนกว่าจะกลับถึงบ้านจึงได้อาบน้ำ ถ้ากำลังไปเรียน ไปทำงาน ไปสอบ จะทำอย่างไร แต่คนขับที่ทำอุโมงค์น้ำซัดใส่นั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้

    แล้วรู้อะไรไหม คนขับพวกนี้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำร้ายใครไปแล้วบ้างกี่คน กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตัวเอง

    จากประสบการณ์จริงที่เคยเจอมาทั้งกับตัวเอง และเห็นคนที่โดนกระทำในขณะที่เราเป็นผู้โดยสารอยู่บนรถคันที่ก่อเหตุ

    เพราะเราเป็นคนเดินดินริมถนน เหมือนกันกับเขา จึงเข้าใจ แต่หลายคนที่เคยเป็นคนเดินถนน พอเริ่มมีรถเป็นของตนเองแล้วเมื่อไร ก็เหมือนโดนคำสาปสิงสู่ใจ ทำให้ลืมไปหมดในเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมา แล้วก็กลายร่างเป็นคนชนิดเดียวกันกับคนที่เคยเบียดเบียนตนเองมาก่อนเช่นกัน

    อย่าลืมว่าเขาที่เดินเท้าบนถนนก็คือคนที่มีศักดิ์ มีศรี ควรต่อการให้ความใส่ใจ และปฏิบัติต่อกันเฉกเช่นคนในครอบครัวของเรา หาใช่ก้อนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ไร้ชีวิต

    ขอบคุณภาพฟรีจาก pixabay.com

    #บทความ
    #thaitimes
    #แง่คิด
    #รถชนนักท่องเที่ยว
    #ข้ามทางม้าลาย
    ฟังข่าวเมื่อวาน จากจุดเดียวกันกับที่เคยมีตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ชนหมอกระต่ายที่กำลังเดินข้ามทางม้าลายจนลอยกระเด็นไปไกลและเสียชีวิต ไรเดอร์หนุ่มซิ่งมอเตอร์ไซค์ชนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีขณะกำลังข้ามถนน เคราะห์ดียังไม่ถึงตาย ฟังคำอ้างของไรเดอร์แล้วได้แต่อนาถใจ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามองไม่เห็นสัญญาณไฟคนข้าม หากให้พูดสำนวนนักเลงหน่อยคงต้องใช้ประโยคประมาณว่า "อะไรของมึง ตอบมาได้อย่างไร ใบขับขี่ซื้อมาเหรอ กฎหมายจราจรชัดเจนมีมานานตั้งแต่ไรเดอร์ยังไม่เกิดเลย" ข้อหนึ่งใจความประมาณว่าเมื่อผู้ขับขี่ขับมาถึงบริเวณที่มีทางข้ามอย่างทางม้าลาย ให้ระมัดระวัง เตรียมชะลอ หากมีคนรอข้าม ให้จอดรถสนิทห่างจากทางม้าลายอย่างน้อย 3 เมตร แต่ถ้าดูดีแล้วว่าไม่มีคนจึงค่อยออกรถวิ่งต่อได้ ฝ่าฝืนคือผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าไรเดอร์ทำผิดกฎแล้ว 100% มันน่าอับอายคนทั่วโลกเหลือเกิน ที่คนขับขี่รถในประเทศนี้ คุณภาพโดยรวมต่ำย่ำแย่ติดลบสุด ๆ ใน 100 คน หาสักคนที่จะชะลอจอดยังหาไม่ได้เลยมั้ง คนเหล่านี้ไม่สำนึก ผ่านวันนี้ไปก็คงลืมแล้ว วันต่อไปก็เป็นเช่นเดิม การบังคับใช้กฎหมายของ จนท.ก็ย่ำแย่พอกับคุณภาพคนขับขี่ ไม่ควรให้ออกมาขี่รถตลอดชีวิตด้วยซ้ำ มีโอกาสสูงมากที่สักวันต้องทำคนตายบนถนนแน่ คิดถึงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขอรีโพสต์อีกครั้งแล้วกัน ดังมีเนื้อหาต่อไปนี้ ........... #ทางม้าลายหรือทางตายแน่ ทางม้าลายในไทยนี้มีก็ไม่แตกต่างจากไม่มีจริงนะ เคยพูดเรื่องนี้หลายหน ข้าพเจ้าเดินข้ามถนนมาตั้งแต่เด็กที่ต้องกลับบ้านเอง และการข้ามถนนในกรุงเทพสำหรับเด็กแล้ว มันคือการเสี่ยงดวงทุกครั้ง ถ้ามีสะพานลอย นั่นคือทางเลือกแรก แต่ในหลายที่ไม่มี ก็ต้องมองหาทางม้าลายแทน แต่แม้นจะหาเจอ บอกได้เลยว่าเจ้าลายขาวดำบนพื้นนั้น ไม่ได้ช่วยให้คนข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยเพิ่มขึ้นกว่าพื้นถนนที่ไม่มีลายแม้แต่นิดเดียว สำหรับในเมืองไทยนี้ หลายครั้งก็หวุดหวิดเกือบโดนเฉี่ยวชน แต่ยังบุญรักษาที่รอดมาได้ถึงปัจจุบัน ข้ามมาไม่รู้กี่พันครั้งในชีวิตนี้ เชื่อไหมว่าที่มีคนขับมีน้ำใจ มีมารยาทตามกฎจราจร หยุดจอดให้โดยดีก่อนถึงเส้นขาวดำนั้นมีไม่น่าจะถึง 10 ครั้ง เกือบทั้งหมดคือไม่สนเลยว่าใครจะข้าม จะมีคนแก่ คนท้อง เด็ก ผู้หญิง คนพิการ หรือแค่คนปกติธรรมดาที่เขายืนรอจังหวะหวังว่าจะพอมีช่วงที่รถชะลอให้พอข้ามได้ ล้วนแล้วแต่อยากจะรีบไปของตัวเองกันแทบทั้งนั้น อย่าว่าแต่หยุดรถให้เลย แค่ลดความเร็วยังหายากมากถึงมากที่สุด จะข้ามได้คือต้องช่วงที่รถอยู่ห่างจากตัวหลายสิบเมตร แล้วกะจังหวะเวลาให้ดี ใหม่ๆก็วิ่งหน้าตั้ง หลังๆประสบการณ์พอตัว ก็ไม่วิ่ง ก้าวเร็วๆเอา แต่บางถนนที่มีการจราจรแน่นหนาคับคั่ง การข้ามทางม้าลายนี่ยังกับปีนไต่ต้นถั่วขึ้นไปบนฟ้า โอกาสร่วงลงมาตายสูง เผลอๆมีสิ่งคาดไม่ถึงเกิดขึ้นด้วย อาทิเรากะว่าน่าจะวิ่งข้ามทัน แต่รถดันมาไวมาก ถึงจวนตัวกระชั้นชิด ก็จะโดนบีบแตรไล่ยาว พอเราตกใจหยุดกะทันหันคนขับจะหัวเสียที่ต้องเบรกเอี๊ยด ทำหน้ายักษ์ใส่ แล้วยกมือขึ้นมาทำท่าโบกเหมือนไล่ให้รีบไปเร็วๆ อย่ามาเกะกะกู ครั้นพอเราได้สติ จะรีบข้ามต่อ แต่รถคันที่มาเลนกลางดันไม่สนใจว่าคันทางซ้ายนั้นจำใจจอดแล้ว ตัวเองควรต้องจอดด้วยเพื่อให้คนข้าม เขากลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ คือยิ่งเร่งความเร็วจะผ่านตรงม้าลายนี้ไป ดังนั้นถ้าหากเราไม่ตาไวและระวังเพียงพอ ก็มีสิทธิถูกเสยกระเด็นไปเหมือนว่าวขาดลอย นี่คือจุดตายของคนข้ามทางม้าลายมานักต่อนัก อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดที่คิดว่าคันแรกจอดให้เราข้าม แล้วคันอื่นๆที่วิ่งตามมาเลนอื่นจะจอดให้เราไปง่ายๆ น้ำใจบนท้องถนนของคนขับรถในบ้านเมืองนี้ ต้องบอกว่าแห้งแล้งยิ่งกว่าแผ่นดินอีสานเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นเช่นนั้นจริงๆ และนับวันจะเป็นมากขึ้น ที่จอดให้นั้น จำใจจอดซะเป็นส่วนใหญ่ ที่จะตั้งใจจอดให้เองอย่างยินดีตั้งแต่รถยังไม่ทันทับเส้นขาวดำนี่น่าจะเหมือนฝัน หากใครพบเจอในไทยนะ ขอแนะนำให้หันไปยิ้มให้และไหว้ขอบคุณคนขับอย่างงามๆเป็นการให้กำลังใจในสิ่งที่เขาทำสักหน่อยเถิด คนมีรถยนต์ส่วนตัวนั้น ที่จะขับขี่โดยไม่เห็นแก่ตัว และมองเห็นหัวคนเดินถนนบ้างนั้น หาได้น้อยแสนน้อยยิ่งนัก เอาง่ายๆ ใครมีรถ ลองถามใจตัวเอง ทุกครั้งที่วิ่งผ่านทางม้าลาย ต่อให้ไม่มีคนรอข้ามเลย เคยไหมที่จะชะลอลดความเร็วลง หรือว่าห้อตะบึงไปอย่างไม่ไยดี หรือหากมีคน แล้วกี่ครั้งกันที่คุณหยุดรถให้เขาเหล่านั้นได้เดินข้ามอย่างไม่ต้องวิ่งตาลีตาเหลือก หรือมีแต่บีบแตรกันไม่ให้เขาข้ามมา ทั้งที่ตัวเองก็ยังอยู่ห่างจากทางม้าลายพอสมควร แต่ไม่คิดจะหยุด จึงต้องบีบแตรไว้ก่อน เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าฉันจะไปยาวนะ ไม่จอด อย่าสะเออะข้ามมา ชนตายไม่รู้นะมึง ใช่เป็นแบบนั้นหรือไม่? น่าเศร้าใจนะไทยแลนด์ ทำไมคนขับรถถึงใจดำได้เพียงนี้ ช่วงหน้าฝนชัดเจนที่สุด คนยืนรอข้ามถนน รอขึ้นรถเมล์ หรือกำลังเดินริมถนน รถแต่ละคันวิ่งฝ่าน้ำบนพื้น กระฉูดใส่คนบนทางเท้าราวกับคลื่นทะเลที่มาเป็นอุโมงค์น้ำ คนเหล่านั้นเขาน่าสงสาร น่าเห็นใจขนาดไหน เด็กเล็กๆกับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไปรับกลับบ้าน หรือมาโรงเรียน คนทำงานที่เหน็ดเหนื่อยรอที่จะกลับบ้านหรือกำลังจะไปที่ทำงาน ฝนตกยืนกางร่มก็ลำบากไม่น้อยแล้ว ยังต้องมาถูกซัดโครมเดียวด้วยน้ำสกปรกสีขุ่นและตะกอนฝุ่นผงดินโคลนทั้งหลายก็กระเด็น กระจัดกระจาย สร้างลวดลายไปบนชุดและร่างกายของเขาทั่วหัวยันตีน เข้าตา เข้าจมูก เข้าหู เข้าปากด้วยก็ไม่แน่ เขาต้องทนไปจนกว่าจะกลับถึงบ้านจึงได้อาบน้ำ ถ้ากำลังไปเรียน ไปทำงาน ไปสอบ จะทำอย่างไร แต่คนขับที่ทำอุโมงค์น้ำซัดใส่นั้น หายไปไหนแล้วไม่รู้ แล้วรู้อะไรไหม คนขับพวกนี้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำร้ายใครไปแล้วบ้างกี่คน กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตัวเอง จากประสบการณ์จริงที่เคยเจอมาทั้งกับตัวเอง และเห็นคนที่โดนกระทำในขณะที่เราเป็นผู้โดยสารอยู่บนรถคันที่ก่อเหตุ เพราะเราเป็นคนเดินดินริมถนน เหมือนกันกับเขา จึงเข้าใจ แต่หลายคนที่เคยเป็นคนเดินถนน พอเริ่มมีรถเป็นของตนเองแล้วเมื่อไร ก็เหมือนโดนคำสาปสิงสู่ใจ ทำให้ลืมไปหมดในเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมา แล้วก็กลายร่างเป็นคนชนิดเดียวกันกับคนที่เคยเบียดเบียนตนเองมาก่อนเช่นกัน อย่าลืมว่าเขาที่เดินเท้าบนถนนก็คือคนที่มีศักดิ์ มีศรี ควรต่อการให้ความใส่ใจ และปฏิบัติต่อกันเฉกเช่นคนในครอบครัวของเรา หาใช่ก้อนอิฐ หิน ดิน ทราย ที่ไร้ชีวิต ขอบคุณภาพฟรีจาก pixabay.com #บทความ #thaitimes #แง่คิด #รถชนนักท่องเที่ยว #ข้ามทางม้าลาย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💖 เปิดดวงความรัก ต้อนรับเดือนแห่งความรัก ด้วยไพ่พรหมญาณ 💖
    ✨ กุมภาพันธ์นี้… ความรักของคุณจะเป็นอย่างไร?
    💘 คนโสดจะได้พบรักแท้หรือไม่?
    💍 ความสัมพันธ์ที่คบอยู่ จะไปต่อหรือพอแค่นี้?
    🔮 ไพ่พรหมญาณช่วยเปิดเส้นทางรัก ให้คำตอบที่คุณกำลังมองหา!
    .
    📌 โปรโมชั่นพิเศษต้อนรับเดือนแห่งความรัก
    💖 แพ็กเกจดูดวงเต็มรูปแบบ (60 นาที)
    ✔️ วิเคราะห์ดวงชะตา เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณต้องการรู้
    ✔️ เปิดไพ่พรหมญาณ 12 ใบ เช็คพื้นฐานดวงในรอบ 1-3 เดือน
    ✔️ พ่วงด้วย การวิเคราะห์กราฟชีวิต เลข 7 ตัว ในรอบ 1-3 เดือน
    ✔️ เจาะคำถามค้างคาใจ ด้วยไพ่ 3 ใบ ไ่ม่จำกัดคำถาม
    ✔️ ดูแนวทางความรัก การงาน การเงิน เสริมโชคลาภ
    .
    💬 ให้ไพ่พรหมญาณนำทางหัวใจ และชีวิตคุณ 💖
    .
    การดูไพ่จึงเป็นเสมือนแนวทางในการพิจารณา ให้เรารู้เท่าทันทุกการดำเนินชีวิต ไม่ปล่อยให้ความประมาททำให้เราเสียโอกาส หรือผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว ขอให้ทุกคนมีสติ และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่สุด ในทุกช่วงเวลา
    .
    📲 สนใจทักมาได้เลย! 🔮✨
    มาพูดคุย แลกเปลี่ยนบทสนทนา ผ่านสื่อกลางด้วยไพ่พรหมญาณ สามารถติดต่อ สอบถาม ได้ที่
    FB: Nataphat Jacky Promayarn
    FB Fanpage: พรหมอ่านไพ่
    หรือ
    Line OA: 874idjbu
    คลิ๊ก 👉 https://lin.ee/Te57Hii
    .
    #ใดใดในโลกล้วนสายมู #พรหมอ่านไพ่ #พรหมญาณพยากรณ์ #พรหมญาณ๗๔ #ไพ่พรหมญาณ #เคียงข้างทุกปัญหาให้คุณค่าทุกการตัดสินใจ
    💖 เปิดดวงความรัก ต้อนรับเดือนแห่งความรัก ด้วยไพ่พรหมญาณ 💖 ✨ กุมภาพันธ์นี้… ความรักของคุณจะเป็นอย่างไร? 💘 คนโสดจะได้พบรักแท้หรือไม่? 💍 ความสัมพันธ์ที่คบอยู่ จะไปต่อหรือพอแค่นี้? 🔮 ไพ่พรหมญาณช่วยเปิดเส้นทางรัก ให้คำตอบที่คุณกำลังมองหา! . 📌 โปรโมชั่นพิเศษต้อนรับเดือนแห่งความรัก 💖 แพ็กเกจดูดวงเต็มรูปแบบ (60 นาที) ✔️ วิเคราะห์ดวงชะตา เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณต้องการรู้ ✔️ เปิดไพ่พรหมญาณ 12 ใบ เช็คพื้นฐานดวงในรอบ 1-3 เดือน ✔️ พ่วงด้วย การวิเคราะห์กราฟชีวิต เลข 7 ตัว ในรอบ 1-3 เดือน ✔️ เจาะคำถามค้างคาใจ ด้วยไพ่ 3 ใบ ไ่ม่จำกัดคำถาม ✔️ ดูแนวทางความรัก การงาน การเงิน เสริมโชคลาภ . 💬 ให้ไพ่พรหมญาณนำทางหัวใจ และชีวิตคุณ 💖 . การดูไพ่จึงเป็นเสมือนแนวทางในการพิจารณา ให้เรารู้เท่าทันทุกการดำเนินชีวิต ไม่ปล่อยให้ความประมาททำให้เราเสียโอกาส หรือผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว ขอให้ทุกคนมีสติ และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่สุด ในทุกช่วงเวลา . 📲 สนใจทักมาได้เลย! 🔮✨ มาพูดคุย แลกเปลี่ยนบทสนทนา ผ่านสื่อกลางด้วยไพ่พรหมญาณ สามารถติดต่อ สอบถาม ได้ที่ FB: Nataphat Jacky Promayarn FB Fanpage: พรหมอ่านไพ่ หรือ Line OA: 874idjbu คลิ๊ก 👉 https://lin.ee/Te57Hii . #ใดใดในโลกล้วนสายมู #พรหมอ่านไพ่ #พรหมญาณพยากรณ์ #พรหมญาณ๗๔ #ไพ่พรหมญาณ #เคียงข้างทุกปัญหาให้คุณค่าทุกการตัดสินใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💖 เปิดดวงความรัก ต้อนรับเดือนแห่งความรัก ด้วยไพ่พรหมญาณ 💖
    ✨ กุมภาพันธ์นี้… ความรักของคุณจะเป็นอย่างไร?
    💘 คนโสดจะได้พบรักแท้หรือไม่?
    💍 ความสัมพันธ์ที่คบอยู่ จะไปต่อหรือพอแค่นี้?
    🔮 ไพ่พรหมญาณช่วยเปิดเส้นทางรัก ให้คำตอบที่คุณกำลังมองหา!
    .
    📌 โปรโมชั่นพิเศษต้อนรับเดือนแห่งความรัก
    💖 แพ็กเกจดูดวงเต็มรูปแบบ (60 นาที)
    ✔️ วิเคราะห์ดวงชะตา เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณต้องการรู้
    ✔️ เปิดไพ่พรหมญาณ 12 ใบ เช็คพื้นฐานดวงในรอบ 1-3 เดือน
    ✔️ พ่วงด้วย การวิเคราะห์กราฟชีวิต เลข 7 ตัว ในรอบ 1-3 เดือน
    ✔️ เจาะคำถามค้างคาใจ ด้วยไพ่ 3 ใบ ไ่ม่จำกัดคำถาม
    ✔️ ดูแนวทางความรัก การงาน การเงิน เสริมโชคลาภ
    .
    💬 ให้ไพ่พรหมญาณนำทางหัวใจ และชีวิตคุณ 💖
    .
    การดูไพ่จึงเป็นเสมือนแนวทางในการพิจารณา ให้เรารู้เท่าทันทุกการดำเนินชีวิต ไม่ปล่อยให้ความประมาททำให้เราเสียโอกาส หรือผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว ขอให้ทุกคนมีสติ และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่สุด ในทุกช่วงเวลา
    .
    📲 สนใจทักมาได้เลย! 🔮✨
    มาพูดคุย แลกเปลี่ยนบทสนทนา ผ่านสื่อกลางด้วยไพ่พรหมญาณ สามารถติดต่อ สอบถาม ได้ที่
    FB: Nataphat Jacky Promayarn
    FB Fanpage: พรหมอ่านไพ่
    หรือ
    Line OA: 874idjbu
    คลิ๊ก 👉 https://lin.ee/Te57Hii
    .
    #ใดใดในโลกล้วนสายมู #พรหมอ่านไพ่ #พรหมญาณพยากรณ์ #พรหมญาณ๗๔ #ไพ่พรหมญาณ #เคียงข้างทุกปัญหาให้คุณค่าทุกการตัดสินใจ
    💖 เปิดดวงความรัก ต้อนรับเดือนแห่งความรัก ด้วยไพ่พรหมญาณ 💖 ✨ กุมภาพันธ์นี้… ความรักของคุณจะเป็นอย่างไร? 💘 คนโสดจะได้พบรักแท้หรือไม่? 💍 ความสัมพันธ์ที่คบอยู่ จะไปต่อหรือพอแค่นี้? 🔮 ไพ่พรหมญาณช่วยเปิดเส้นทางรัก ให้คำตอบที่คุณกำลังมองหา! . 📌 โปรโมชั่นพิเศษต้อนรับเดือนแห่งความรัก 💖 แพ็กเกจดูดวงเต็มรูปแบบ (60 นาที) ✔️ วิเคราะห์ดวงชะตา เจาะลึกทุกเรื่องที่คุณต้องการรู้ ✔️ เปิดไพ่พรหมญาณ 12 ใบ เช็คพื้นฐานดวงในรอบ 1-3 เดือน ✔️ พ่วงด้วย การวิเคราะห์กราฟชีวิต เลข 7 ตัว ในรอบ 1-3 เดือน ✔️ เจาะคำถามค้างคาใจ ด้วยไพ่ 3 ใบ ไ่ม่จำกัดคำถาม ✔️ ดูแนวทางความรัก การงาน การเงิน เสริมโชคลาภ . 💬 ให้ไพ่พรหมญาณนำทางหัวใจ และชีวิตคุณ 💖 . การดูไพ่จึงเป็นเสมือนแนวทางในการพิจารณา ให้เรารู้เท่าทันทุกการดำเนินชีวิต ไม่ปล่อยให้ความประมาททำให้เราเสียโอกาส หรือผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว ขอให้ทุกคนมีสติ และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่สุด ในทุกช่วงเวลา . 📲 สนใจทักมาได้เลย! 🔮✨ มาพูดคุย แลกเปลี่ยนบทสนทนา ผ่านสื่อกลางด้วยไพ่พรหมญาณ สามารถติดต่อ สอบถาม ได้ที่ FB: Nataphat Jacky Promayarn FB Fanpage: พรหมอ่านไพ่ หรือ Line OA: 874idjbu คลิ๊ก 👉 https://lin.ee/Te57Hii . #ใดใดในโลกล้วนสายมู #พรหมอ่านไพ่ #พรหมญาณพยากรณ์ #พรหมญาณ๗๔ #ไพ่พรหมญาณ #เคียงข้างทุกปัญหาให้คุณค่าทุกการตัดสินใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์
    อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส

    เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้

    #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
    #ท่องเที่ยว
    วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว – เพชรบูรณ์ อีกหนึ่งวัดสวยงามอลังการตา ที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ ต้องยกให้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือ วัดพระธาตุผาแก้ว หนึ่งใน เพชรบูรณ์ที่เที่ยว ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาของหมู่บ้านทางแดง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส เจดีย์พระธาตุผาแก้ว สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติและคนรุ่นหลัง ได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป บนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่าง ๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป การเดินทาง : เดินทางมาได้ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว - จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี และใช้เส้นทางหมายเลข 21 สระบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อ ผ่านตัวเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์มาสักระยะ จนใกล้หลักกิโลเมตรที่ 260 ให้สังเกตอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมืองทางซ้ายมือ และเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก พิษณุโลก ขับต่อไปยัง ทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณ 30 นาที หลักกิโลเมตรที่ 103 มีจุดสังเกตคือ อบต.แคมป์สนอยู่ทางขวามือ และธนาคารกสิกรไทย เยื้องขึ้นไปทางซ้ายมือ ตรงไปกลับรถ และจะเห็นป้าย พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว อยู่ปากซอยทางเข้า หมู่บ้านทางแดง ซึ่งอยู่ด้านข้าง อบต.แคมป์สน เลี้ยวซ้ายเข้าไป ตรงตลอดจนเห็นสะพานทางเข้าวัด เลี้ยวขวาข้ามสะพานและจอดรถ ณ บริเวณที่จัดไว้ #วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว #ท่องเที่ยว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ep 18.3 ) จุดเริ่มต้นของสมาธิ . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Ep 18.3 ) จุดเริ่มต้นของสมาธิ . สนธิทอล์คธรรม . ฝึกเจริญสติให้เป็นนิสัย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.90 : สมองสองส่วน

    วันนี้ผมอยากจะเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ “สมอง” ของเราครับ

    ในการทำงานสมองมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์เขาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วน A กับส่วน B

    ส่วน A คือ ส่วนที่ทำงานอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา เราไม่ต้องคิดอะไรมาก สมองจะสั่งร่างกายให้ทำไปเองตามความเคยชิน เช่น การถูตัวขยี้สระผมตอนอาบน้ำ การกลัดกระดุมเสื้อ หรือกระทั่งการถีบจักรยาน

    นักกีฬากับนักดนตรีเขาเรียกสิ่งนี้ว่า Muscle memory คือ สิ่งที่เราทำซ้ำๆบ่อยๆหลายสิบหลายร้อยครั้งจนร่างกายสามารถจดจำการเคลื่อนไหว และทำได้อัตโนมัติโดยชำนาญ

    รวมถึงความทรงจำจากการอ่านด้วย เช่น เมื่อเราเห็นตัวเลข 2022 ก็จะรู้สึกว่านี่คือ ปีค.ศ. หรือ ตัวอักษรเรียงกันว่า Hello ก็จะรู้ว่านี่คือ ”คำ“

    สมองส่วน A นี้ทำงานอยู่ตลอดเวลาโดยเราไม่รู้ตัวครับ

    จะเรียกสมองส่วน A ว่าระบบออโต้ของเราก็ได้
    .
    .
    .
    ทีนี้มาถึงสมองส่วน B บ้าง

    สมองส่วน B นี้เป็นส่วนที่คิดวิเคราะห์ครับ มนุษย์เราจะรู้ตัวว่าต้องทำงานหนักขึ้นในเวลาที่เราใช้สมองส่วนนี้

    เช่น เมื่อเราถูกถามว่า 19x17 เท่ากับเท่าไร หรือ เมื่อเรามานั่งคิดว่าสิ้นปีจะเหลือเงินเก็บเท่าไร เป็นต้น

    ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เรามักจะหาคำตอบที่ง่ายให้กับตัวเราก่อนเสมอ นั่นหมายถึงว่า เรามักจะใช้ความเคยชิน ความสะดวก ความคุ้นเคย ซึ่งมาจากสมองส่วน A

    ดังที่เรามักจะตั้งรหัสผ่านเป็นตัวเลขที่เราคุ้นเคย เช่น ปีเกิด หรือ เลขทะเบียนรถ หรือ เลขเรียงกัน 1234 เป็นต้น

    หรือ เมื่อเราเจอคำถามเช่น “คุณไปตลาดซื้อไก่กับไข่มาราคารวมกัน 110 บาท ไก่แพงกว่าไข่ 100 บาท ถามว่าไข่ราคาเท่าไร?”

    คนส่วนใหญ่จะตอบทันทีว่า “10 บาท” ซึ่งผิด

    นั่นเพราะสมองเราจำได้ว่า 100+10=110 อันมาจากสมองส่วน A เราจะรู้สึกว่าเป็นคำตอบนี้ผุดขึ้นมาในหัวเองโดยไม่ต้องคิด

    ซึ่งก็จริงที่เราไม่ได้คิด มันมาจากความทรงจำครับ

    ถ้าเราตั้งสติและใช้เวลาคิดสักนิดจะรู้ว่า คำตอบคือ “ไข่ราคา 5 บาท”

    เป็นการใช้สมองส่วน B ซึ่งละเอียดรอบคอบกว่าแต่คนเราไม่ชอบ เพราะมันเหนื่อยสมอง
    .
    .
    .
    ในอเมริกามีการทำการทดลองครับ เขาทดลองเปรียบเทียบว่า ในชุดข้อสอบเนื้อหาอันเดียวกัน ถ้าคุณครูใช้ฟ้อนท์พิมพ์แบบอ่านยาก (เช่น ตัวเขียนหางยาว หรือ ตัวเอียง และฟ้อนท์ที่ไม่คุ้นเคย) กับ ฟ้อนท์แบบอ่านง่าย

    แบบไหนนักเรียนจะตอบผิดมากกว่ากัน

    ผลคือ ฟ้อนท์แบบอ่านง่าย นักเรียนตอบผิด 80% ส่วนฟ้อนท์แบบอ่านยาก นักเรียนตอบผิดแค่ 36%

    นั่นเพราะเมื่อนักเรียนค่อยๆอ่าน สมองเราจะคิดวิเคราะห์มากกว่า ทำให้คำตอบไม่ค่อยผิด

    เพราะใช้สมองส่วน B มากกว่าส่วน A
    .
    .
    .
    เรื่องของสมองนี้สอนว่า มนุษย์เราควรจะรู้ว่าเมื่อไรควรใช้ส่วน A เมื่อไรควรใช้ส่วน B

    เมื่อมีโอกาสสำคัญเข้ามาในชีวิต จงใช้สมองส่วน B เพราะ Chance moment can change the course of your life (ขออภัยที่ใช้ภาษาอังกฤษครับ เพราะผมชอบประโยคนี้)

    ถ้าเราตัดสินใจทุกเรื่องโดยใช้ความง่าย ความสะดวกสบาย ความเคยชิน เราอาจจะได้คำตอบผิดหรือพลาดโอกาสสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว

    ทีนี้ถ้าถามว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านี่คือเรื่องสำคัญ ต้องใช้สมองส่วน B แล้ว

    คำตอบคือ “สัญชาตญาณ”

    แล้วเราจะฝึกสัญชาตญาณเราให้เฉียบคมขึ้นได้ยังไง?

    คำตอบคือ เรียนให้เยอะ อ่านให้มาก ออกไปทำงานพบผู้คนให้เยอะ สร้างประสบการณ์ตัวเอง ของพวกนี้นะหล่อหลอมสัญชาตญาณขึ้นมาเอง

    ภาษาวัยรุ่นเขาเรียกว่า เราต้องพัฒนา “ต่อมเอ๊ะ“ ครับ

    ”เอ๊ะ เรื่องนี้มันแปลกๆนะ มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า“ หรือ ”เอ๊ะ นี่มันเป็นโอกาสทองของเรานี่ รีบคว้าไว้ดีกว่า”

    เอามาเล่าสู่กันฟังครับ


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.90 : สมองสองส่วน วันนี้ผมอยากจะเล่าเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ “สมอง” ของเราครับ ในการทำงานสมองมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์เขาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วน A กับส่วน B ส่วน A คือ ส่วนที่ทำงานอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา เราไม่ต้องคิดอะไรมาก สมองจะสั่งร่างกายให้ทำไปเองตามความเคยชิน เช่น การถูตัวขยี้สระผมตอนอาบน้ำ การกลัดกระดุมเสื้อ หรือกระทั่งการถีบจักรยาน นักกีฬากับนักดนตรีเขาเรียกสิ่งนี้ว่า Muscle memory คือ สิ่งที่เราทำซ้ำๆบ่อยๆหลายสิบหลายร้อยครั้งจนร่างกายสามารถจดจำการเคลื่อนไหว และทำได้อัตโนมัติโดยชำนาญ รวมถึงความทรงจำจากการอ่านด้วย เช่น เมื่อเราเห็นตัวเลข 2022 ก็จะรู้สึกว่านี่คือ ปีค.ศ. หรือ ตัวอักษรเรียงกันว่า Hello ก็จะรู้ว่านี่คือ ”คำ“ สมองส่วน A นี้ทำงานอยู่ตลอดเวลาโดยเราไม่รู้ตัวครับ จะเรียกสมองส่วน A ว่าระบบออโต้ของเราก็ได้ . . . ทีนี้มาถึงสมองส่วน B บ้าง สมองส่วน B นี้เป็นส่วนที่คิดวิเคราะห์ครับ มนุษย์เราจะรู้ตัวว่าต้องทำงานหนักขึ้นในเวลาที่เราใช้สมองส่วนนี้ เช่น เมื่อเราถูกถามว่า 19x17 เท่ากับเท่าไร หรือ เมื่อเรามานั่งคิดว่าสิ้นปีจะเหลือเงินเก็บเท่าไร เป็นต้น ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เรามักจะหาคำตอบที่ง่ายให้กับตัวเราก่อนเสมอ นั่นหมายถึงว่า เรามักจะใช้ความเคยชิน ความสะดวก ความคุ้นเคย ซึ่งมาจากสมองส่วน A ดังที่เรามักจะตั้งรหัสผ่านเป็นตัวเลขที่เราคุ้นเคย เช่น ปีเกิด หรือ เลขทะเบียนรถ หรือ เลขเรียงกัน 1234 เป็นต้น หรือ เมื่อเราเจอคำถามเช่น “คุณไปตลาดซื้อไก่กับไข่มาราคารวมกัน 110 บาท ไก่แพงกว่าไข่ 100 บาท ถามว่าไข่ราคาเท่าไร?” คนส่วนใหญ่จะตอบทันทีว่า “10 บาท” ซึ่งผิด นั่นเพราะสมองเราจำได้ว่า 100+10=110 อันมาจากสมองส่วน A เราจะรู้สึกว่าเป็นคำตอบนี้ผุดขึ้นมาในหัวเองโดยไม่ต้องคิด ซึ่งก็จริงที่เราไม่ได้คิด มันมาจากความทรงจำครับ ถ้าเราตั้งสติและใช้เวลาคิดสักนิดจะรู้ว่า คำตอบคือ “ไข่ราคา 5 บาท” เป็นการใช้สมองส่วน B ซึ่งละเอียดรอบคอบกว่าแต่คนเราไม่ชอบ เพราะมันเหนื่อยสมอง . . . ในอเมริกามีการทำการทดลองครับ เขาทดลองเปรียบเทียบว่า ในชุดข้อสอบเนื้อหาอันเดียวกัน ถ้าคุณครูใช้ฟ้อนท์พิมพ์แบบอ่านยาก (เช่น ตัวเขียนหางยาว หรือ ตัวเอียง และฟ้อนท์ที่ไม่คุ้นเคย) กับ ฟ้อนท์แบบอ่านง่าย แบบไหนนักเรียนจะตอบผิดมากกว่ากัน ผลคือ ฟ้อนท์แบบอ่านง่าย นักเรียนตอบผิด 80% ส่วนฟ้อนท์แบบอ่านยาก นักเรียนตอบผิดแค่ 36% นั่นเพราะเมื่อนักเรียนค่อยๆอ่าน สมองเราจะคิดวิเคราะห์มากกว่า ทำให้คำตอบไม่ค่อยผิด เพราะใช้สมองส่วน B มากกว่าส่วน A . . . เรื่องของสมองนี้สอนว่า มนุษย์เราควรจะรู้ว่าเมื่อไรควรใช้ส่วน A เมื่อไรควรใช้ส่วน B เมื่อมีโอกาสสำคัญเข้ามาในชีวิต จงใช้สมองส่วน B เพราะ Chance moment can change the course of your life (ขออภัยที่ใช้ภาษาอังกฤษครับ เพราะผมชอบประโยคนี้) ถ้าเราตัดสินใจทุกเรื่องโดยใช้ความง่าย ความสะดวกสบาย ความเคยชิน เราอาจจะได้คำตอบผิดหรือพลาดโอกาสสำคัญไปโดยไม่รู้ตัว ทีนี้ถ้าถามว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านี่คือเรื่องสำคัญ ต้องใช้สมองส่วน B แล้ว คำตอบคือ “สัญชาตญาณ” แล้วเราจะฝึกสัญชาตญาณเราให้เฉียบคมขึ้นได้ยังไง? คำตอบคือ เรียนให้เยอะ อ่านให้มาก ออกไปทำงานพบผู้คนให้เยอะ สร้างประสบการณ์ตัวเอง ของพวกนี้นะหล่อหลอมสัญชาตญาณขึ้นมาเอง ภาษาวัยรุ่นเขาเรียกว่า เราต้องพัฒนา “ต่อมเอ๊ะ“ ครับ ”เอ๊ะ เรื่องนี้มันแปลกๆนะ มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า“ หรือ ”เอ๊ะ นี่มันเป็นโอกาสทองของเรานี่ รีบคว้าไว้ดีกว่า” เอามาเล่าสู่กันฟังครับ นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศีลธรรมกรรมดี
    มีอยู่อาศัย
    กิเลสเลวร้าย
    ไม่พาอาศัย

    กิเลสซ่อนแอบ
    แว๊บมาแว๊บไป
    เป็นแขกโจรร้าย
    หมายฉกชิงชัย

    มักมากมูมมาม
    หามทุกข์มาให้
    เวรกรรมมากมาย
    ไม่รู้หลงเชื่อ

    สติหวั่นไหว
    ได้ตกเป็นเหยื่อ
    กิเลสพาเชื่อ
    เพื่อก่อเวรภัย

    รู้ตื่นตื่นรู้
    ดูตามจริงได้
    ธรรมล้วนทั้งหลาย
    ไม่ใช่ตัวตน

    หากเห็นว่าใช่
    หมายยึดดั้นด้น
    ก่อเกิดตัวตน
    พ้นทุกข์ไม่ได้

    ยิ่งยึดยิ่งทุกข์
    รุกโหมดั่งไฟ
    ระบายกระจาย
    ไหม้ลามไปทั่ว

    ศีลพาล้อมกรอบ
    รอบคอบพันพัว
    น้ำธรรมรดทั่ว
    พัวพันดับไฟ

    ตื่นรู้ฉลาด
    สาดธรรมกระจาย
    กิเลสสิ้นลาย
    ไกลทุกข์เบิกบาน
    ศีลธรรมกรรมดี มีอยู่อาศัย กิเลสเลวร้าย ไม่พาอาศัย กิเลสซ่อนแอบ แว๊บมาแว๊บไป เป็นแขกโจรร้าย หมายฉกชิงชัย มักมากมูมมาม หามทุกข์มาให้ เวรกรรมมากมาย ไม่รู้หลงเชื่อ สติหวั่นไหว ได้ตกเป็นเหยื่อ กิเลสพาเชื่อ เพื่อก่อเวรภัย รู้ตื่นตื่นรู้ ดูตามจริงได้ ธรรมล้วนทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน หากเห็นว่าใช่ หมายยึดดั้นด้น ก่อเกิดตัวตน พ้นทุกข์ไม่ได้ ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ รุกโหมดั่งไฟ ระบายกระจาย ไหม้ลามไปทั่ว ศีลพาล้อมกรอบ รอบคอบพันพัว น้ำธรรมรดทั่ว พัวพันดับไฟ ตื่นรู้ฉลาด สาดธรรมกระจาย กิเลสสิ้นลาย ไกลทุกข์เบิกบาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..."

    ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ

    เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า

    "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว

    ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ

    ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง

    ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..."

    สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน

    ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ

    อ้างอิง:

    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html

    อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/

    คลิปรายการของไทยโพสต์:
    https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    อาจารย์ชิดตะวันพูดอยู่ตอนหนึ่งว่า "...คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือว่าประเทศไทย มันคือตัวคนคนนั้นเป็นคนเช่นไร คือต้องมีทั้งความรอบรู้ และก็ต้องเป็นคนดี..." ผมก็เลยขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อยครับ เพราะว่าพออาจารย์พูดขึ้นมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 ความสำคัญตอนหนึ่งว่า "...ถ้านับดูปีนี้ที่น่าจะมีความเสียหายหมื่นล้าน ไม่ต้องเสีย ที่ไม่ต้องเสียนี้ก็ทำให้เกิดมีผลผลิต โดยเฉพาะอย่างเกษตร เขามีผลผลิตได้ แม้จะปีนี้ ซึ่งเขื่อนยังไม่ได้ทำงานในด้านชลประทาน ก็ทำให้ป้องกันไม่ให้มีน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรเพาะปลูกได้ ก็เป็นเงินหลายพันล้าน ฉะนั้นในปีเดียวเขื่อนป่าสักนี้ได้คุ้มแล้ว ...หมายความว่ากิจการเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ก็พอเพียงเพราะว่าถ้าทำแล้ว คนอาจจะเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย ทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ ...ไม่ใช่เป็นแต่เหมือนทฤษฎีใหม่ 15 ไร่ แล้วก็สามารถจะปลูกข้าวพอกิน นี่ใหญ่กว่า แต่อันนี้ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสัก คนนึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง ...ในเมืองไทยนี้ถ้าทำกิจการ หมายความว่าปกครอง หรือดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการเมือง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ทั้งในด้านธุรกิจ ในด้านอาชีพ มีทุจริต เมืองไทยพัง ของเรา เมืองไทยที่ยังไม่พังแท้ ก็เพราะว่าเมืองไทยนี้นับว่าแข็งมาก..." สรุปก็คือ ต่อให้เป็นการทำโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีกระแสหลักของ Harrod-Domar [deltaY/Y = s/k โดยที่ S=I]) ถ้าทำโดยมี "ประโยชน์สุข" ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีความ "คุ้มค่า" เมื่อเทียบต้นทุนกับผลได้ และ "ปราศจากการทุจริต" ก็ถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน ฉะนั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (โดยเฉพาะ Harrod-Domar model ซึ่งเก่ามากแล้ว - ตั้งแต่ปี 2482) แม้จะมี "จุดอ่อน" แต่ถ้าเอามาใช้ โดยกำกับด้วย "สติปัญญา" และ "คุณธรรม" (2 เงื่อนไขในแผนภาพปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง) ก็ถือว่าใช้ได้แล้วครับ อ้างอิง: พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับไม่เป็นทางการ). (2555). เครือข่ายกาญจนาภิเษก. http://kanchanapisek.or.th/speeches/1999/1223.th.html อภิชัย พันธเสน. (2560). เศรษฐกิจพอเพียง : พระอัจฉริยภาพ และพระกรุณาธิคุณของในหลวง รัชกาลที่ ๙. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต. https://anyflip.com/tocrx/skhf/ คลิปรายการของไทยโพสต์: https://www.youtube.com/watch?v=lQfWzMHWRWs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ayaneo ได้เปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพารุ่นใหม่ที่ชื่อว่า Ayaneo 3 ซึ่งมีการออกแบบคอนโทรลเลอร์แบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 56 รูปแบบ! คุณสามารถเลือกใช้โมดูลต่างๆ เช่น โมดูลมาตรฐานที่มีจอยสติ๊กและปุ่ม ABXY, โมดูลทัชแพดที่แทนที่จอยสติ๊กด้วยทัชแพด, และโมดูลต่อสู้ที่แทนที่ปุ่ม ABXY และจอยสติ๊กด้วยปุ่มหกปุ่ม

    นอกจากนี้ Ayaneo 3 ยังใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI 9 HX 370 ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นเกมพกพาแรกที่ใช้โปรเซสเซอร์นี้ คุณยังสามารถเลือกใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 7 8840U ถ้าคุณไม่ต้องการพลังงานมากนัก หน้าจอมีให้เลือกทั้งแบบ OLED 144 Hz และ LCD 120 Hz โดยมีความสว่างสูงสุดถึง 800 nits สำหรับหน้าจอ OLED

    เครื่องเล่นเกมนี้มีหลายรุ่นให้เลือก โดยเริ่มต้นที่ราคา $699 สำหรับรุ่นพื้นฐาน และสูงสุดถึง $2,099 สำหรับรุ่นที่มีสเปคสูงสุด Ayaneo ยังมีส่วนลดระหว่าง $200 ถึง $300 ถ้าคุณซื้อในช่วงแคมเปญ

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/zen-5-powered-gaming-handheld-launches-with-modular-controller-design-ayaneo-3-starts-at-usd699
    Ayaneo ได้เปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพารุ่นใหม่ที่ชื่อว่า Ayaneo 3 ซึ่งมีการออกแบบคอนโทรลเลอร์แบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 56 รูปแบบ! คุณสามารถเลือกใช้โมดูลต่างๆ เช่น โมดูลมาตรฐานที่มีจอยสติ๊กและปุ่ม ABXY, โมดูลทัชแพดที่แทนที่จอยสติ๊กด้วยทัชแพด, และโมดูลต่อสู้ที่แทนที่ปุ่ม ABXY และจอยสติ๊กด้วยปุ่มหกปุ่ม นอกจากนี้ Ayaneo 3 ยังใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI 9 HX 370 ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นเกมพกพาแรกที่ใช้โปรเซสเซอร์นี้ คุณยังสามารถเลือกใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen 7 8840U ถ้าคุณไม่ต้องการพลังงานมากนัก หน้าจอมีให้เลือกทั้งแบบ OLED 144 Hz และ LCD 120 Hz โดยมีความสว่างสูงสุดถึง 800 nits สำหรับหน้าจอ OLED เครื่องเล่นเกมนี้มีหลายรุ่นให้เลือก โดยเริ่มต้นที่ราคา $699 สำหรับรุ่นพื้นฐาน และสูงสุดถึง $2,099 สำหรับรุ่นที่มีสเปคสูงสุด Ayaneo ยังมีส่วนลดระหว่าง $200 ถึง $300 ถ้าคุณซื้อในช่วงแคมเปญ https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/zen-5-powered-gaming-handheld-launches-with-modular-controller-design-ayaneo-3-starts-at-usd699
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Zen 5-powered gaming handheld launches with modular controller design — Ayaneo 3 starts at $699
    This one handheld console could give you as many as 56 different controller layouts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณงามความดี
    มีอยู่เชื่อมั่น
    เพียรพาบากบั่น
    หมั่นเพียรขวนขวาย

    สติให้มี
    ดีงามมุ่งหมาย
    สมาธิได้
    ให้ปัญญาธรรม

    ระวังกายใจ
    ไม่ให้บาปกรรม
    ดีงามศีลธรรม
    นำดับทุกข์ภัย
    คุณงามความดี มีอยู่เชื่อมั่น เพียรพาบากบั่น หมั่นเพียรขวนขวาย สติให้มี ดีงามมุ่งหมาย สมาธิได้ ให้ปัญญาธรรม ระวังกายใจ ไม่ให้บาปกรรม ดีงามศีลธรรม นำดับทุกข์ภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยาตะวันตก กับ ยาแผนโบราณ
    News Punch
    How Rockefeller Founded Big Pharma And Waged War On Natural Cures
    March 27, 2018. Baxter Dmitry

    ผลิตภัณท์ยาของโลกตะวันตกมีส่วนที่ดีอยู่ที่ มันสามารถจัดการกับสถานการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้ ..(มันเป็นการรักษาโดยใช้สารออกฤทธิ์ตรงข้ามกับกลุ่มอาการของโรค (allopathy) ตรงข้ามกับการรักษาแบบธรรมชาติ ..homeopathy..ผู้แปล)

    ตอนนี้มันน่าจะถึงเวลาที่เราๆควรรู้ว่าการแพทย์ตะวันตกที่มันโฟกัสไปที่ ..ยา ..การฉายรังสี ..ผ่าตัด ..และยาเท่านั้น ....มาจากการหาเงินของนายทุน Rockefeller ล้วนๆ

    ผู้คนทุกวันนี้จะมองว่าคุณเป็นมนุษย์ประหลาด ถ้าคุณจะพูดถึงการแพทย์แผนโบราณที่ใช้แต่พืชสมุนไพร ..มันก็ถูกต้องแล้ว เพราะเงินถูกใช้ไปมากในการล้างสมองผู้คนเหล่านั้นที่จะให้ชื่นชอบกับแนวทางที่เข้าทางพวกนายทุน

    เรื่องเริ่มต้นเมื่อ John D. Rockefeller (1839 – 1937) ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีระดับ billionaire จากธุรกิจน้ำมัน จอมเขมือบคนแรกในอเมริกา ..เป็นนักผูกขาดโดยสายเลือด

    ตอนต้นศตวรรษที่ 20 โรงกลั่นน้ำมันถึง 90% ทั่วสหรัฐเป็นของ Standard Oil ของเขา และต่อมามีการแตกออกเป็น Chevron, Exxon, Mobil etc.

    จากรายงานของ World Affairs : ช่วงปี 1900 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เปโตรเคมี ซึ่งทำให้ผลิตสารเคมีได้นานาชนิดจากน้ำมัน เช่นผลิตภัณท์พลาสติก ที่เรียกกันยุคนั้นว่า Bakelite (ตอนผมเป็นเด็กก็เรียกอย่างนั้น) ผลิตในปี 1907 ..และยังมีการค้นพบวิตามินหลายชนิด จึงมีการคาดกันในตอนนั้นว่าน่าจะสามารถผลิตยารักษาโรคจากน้ำมันปิโตรเลียมได้...

    ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มันจึงเป็นโอกาศอันดีสำหรับร้อคกี้เฟลเลอร์ ที่จะได้ผูกขาดธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน เคมีภัณท์และยารักษาโรค พร้อมๆกันไปเลย ..เปโตรเคมีนี่มันยอดเยี่ยมมาก ทุกๆอย่างในนั้นมันเอามาจดสิทธิบัตรผลิตขายสร้างกำไรมหาศาลแน่ๆ..

    แต่มันยังมีปัญหาเล็กๆ ที่มาขวางทางแผนผลิตยาของร้อคกี้เฟลเลอร์อยู่ นั่นคือการแพทย์แผนธรรมชาติและสมุนไพรซึ่งตอนนั้นป้อปปูล่ามากในอเมริกา ครึ่งหนึ่งของบรรดาแพทย์ยุคนั้นเรียนรู้การใช้ยาแผนโบราณโดยใช้ความรู้จากยุโรปและชนพื้นเมืองอเมริกัน

    จอมผูกขาดต้องหาทางกำจัดคู่แข่งรายนี้ให้ได้ ...มันมีเทคนิคแบบคลาสสิคอยู่อย่างหนึ่งคือการสร้าง "ปัญหา-ผลกระทบ-ทางแก้".....นั่นคือสร้างปัญหาขึ้น ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แล้วจึงเสนอทางแก้ให้ ......(เหมือนมีโรคระบาด..มีตัวเลขผู้ติดเชื้อฟังดูน่ากลัว..แล้วเสนอทางแก้คือวัคซีนเทพ)

    เขาจึงขอให้เพื่อน Andrew Carnegie เศรษฐีนักผูกขาดอีกคนหนึ่งจากอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มาช่วยในการสร้างแผนให้ .....เขาใช้มูลนิธิ Carnegie Foundation ส่งนาย
    Abraham Flexner ตระเวณล้างสมองผู้คนในมหาวิทยาลัยการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ ...

    จนเกิด Flexner Report ที่เป็นจุดเริ่มของการแพทย์สมัยปัจจุบัน ..ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องโจมตีการแพทย์โบราณจนเละ ..จนในที่สุดเกินครึ่งของวิทยาลัยการแพทย์แบบเดิมๆถึงคราวต้องยุติ ....แพทย์แผนโบราณกลายเป็นตัวตลก แพทย์บางคนถึงกับต้องถูกจำคุก

    การเปลี่ยนผ่านจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแนวคิดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ จึงมีการให้ทุน $100 ล้านแก่วิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ...มีการก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษา
    “General Education Board” (GEB) ..นับเป็นการใช้วิธี ทั้งล่อทั้งชน

    ในไม่ช้า วิทยาลัยการแพทย์ต่างๆก็เข้ารูปเข้ารอย เดินในแนวทางเดียวกัน ..นักศึกษาแพทย์เรียนรู้เรื่องเดียวกัน การใช้เวชภัณท์ก็แน่นอน ต้องเป็นยาที่มี "สิทธิบัตร"

    เข้าสู่ยุคโมเดอร์น ที่ยาเม็ดเล็กๆแค่หนึ่งเม็ดก็เอาอยู่

    แล้ว 100 ปีต่อมา สุขภาพของพวกเราก็เข้าสู่ยุคที่ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทยาใหญ่ๆ

    อเมริกาใช้เงินถึง 15% ของ GDP ไปในการรักษาทางการแพทย์ ..ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าการพยุงอาการของโรคไว้น่าจะถูกกว่า และนั่นทำให้เราต้องเป็นคนไข้ หรือเรียกอีกอย่างว่าลูกค้าประจำ...

    เพราะหลายโรค เช่น มะเร็ง ..เบาหวาน ..ออติสม์ ..หอบหืด ..หรือแม้แต่ไข้หวัดใหญ่ ไม่มีการพยายามหาวิธีรักษาให้หายขาด ทำไมน่ะหรือ ..ก็เพราะระบบนี้ไม่ได้เริ่มก่อตั้งจากเหล่านายแพทย์จริงๆ ....แต่เป็นนายทุนที่ต้องการกำไร

    สถาบันมะเร็ง American Cancer Society น่ะหรือ ..ก่อตั้งเมื่อปี 1913 โดย Rockefeller นั่นเอง....
    ยาตะวันตก กับ ยาแผนโบราณ News Punch How Rockefeller Founded Big Pharma And Waged War On Natural Cures March 27, 2018. Baxter Dmitry ผลิตภัณท์ยาของโลกตะวันตกมีส่วนที่ดีอยู่ที่ มันสามารถจัดการกับสถานการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินได้ ..(มันเป็นการรักษาโดยใช้สารออกฤทธิ์ตรงข้ามกับกลุ่มอาการของโรค (allopathy) ตรงข้ามกับการรักษาแบบธรรมชาติ ..homeopathy..ผู้แปล) ตอนนี้มันน่าจะถึงเวลาที่เราๆควรรู้ว่าการแพทย์ตะวันตกที่มันโฟกัสไปที่ ..ยา ..การฉายรังสี ..ผ่าตัด ..และยาเท่านั้น ....มาจากการหาเงินของนายทุน Rockefeller ล้วนๆ ผู้คนทุกวันนี้จะมองว่าคุณเป็นมนุษย์ประหลาด ถ้าคุณจะพูดถึงการแพทย์แผนโบราณที่ใช้แต่พืชสมุนไพร ..มันก็ถูกต้องแล้ว เพราะเงินถูกใช้ไปมากในการล้างสมองผู้คนเหล่านั้นที่จะให้ชื่นชอบกับแนวทางที่เข้าทางพวกนายทุน เรื่องเริ่มต้นเมื่อ John D. Rockefeller (1839 – 1937) ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีระดับ billionaire จากธุรกิจน้ำมัน จอมเขมือบคนแรกในอเมริกา ..เป็นนักผูกขาดโดยสายเลือด ตอนต้นศตวรรษที่ 20 โรงกลั่นน้ำมันถึง 90% ทั่วสหรัฐเป็นของ Standard Oil ของเขา และต่อมามีการแตกออกเป็น Chevron, Exxon, Mobil etc. จากรายงานของ World Affairs : ช่วงปี 1900 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เปโตรเคมี ซึ่งทำให้ผลิตสารเคมีได้นานาชนิดจากน้ำมัน เช่นผลิตภัณท์พลาสติก ที่เรียกกันยุคนั้นว่า Bakelite (ตอนผมเป็นเด็กก็เรียกอย่างนั้น) ผลิตในปี 1907 ..และยังมีการค้นพบวิตามินหลายชนิด จึงมีการคาดกันในตอนนั้นว่าน่าจะสามารถผลิตยารักษาโรคจากน้ำมันปิโตรเลียมได้... ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้มันจึงเป็นโอกาศอันดีสำหรับร้อคกี้เฟลเลอร์ ที่จะได้ผูกขาดธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน เคมีภัณท์และยารักษาโรค พร้อมๆกันไปเลย ..เปโตรเคมีนี่มันยอดเยี่ยมมาก ทุกๆอย่างในนั้นมันเอามาจดสิทธิบัตรผลิตขายสร้างกำไรมหาศาลแน่ๆ.. แต่มันยังมีปัญหาเล็กๆ ที่มาขวางทางแผนผลิตยาของร้อคกี้เฟลเลอร์อยู่ นั่นคือการแพทย์แผนธรรมชาติและสมุนไพรซึ่งตอนนั้นป้อปปูล่ามากในอเมริกา ครึ่งหนึ่งของบรรดาแพทย์ยุคนั้นเรียนรู้การใช้ยาแผนโบราณโดยใช้ความรู้จากยุโรปและชนพื้นเมืองอเมริกัน จอมผูกขาดต้องหาทางกำจัดคู่แข่งรายนี้ให้ได้ ...มันมีเทคนิคแบบคลาสสิคอยู่อย่างหนึ่งคือการสร้าง "ปัญหา-ผลกระทบ-ทางแก้".....นั่นคือสร้างปัญหาขึ้น ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แล้วจึงเสนอทางแก้ให้ ......(เหมือนมีโรคระบาด..มีตัวเลขผู้ติดเชื้อฟังดูน่ากลัว..แล้วเสนอทางแก้คือวัคซีนเทพ) เขาจึงขอให้เพื่อน Andrew Carnegie เศรษฐีนักผูกขาดอีกคนหนึ่งจากอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มาช่วยในการสร้างแผนให้ .....เขาใช้มูลนิธิ Carnegie Foundation ส่งนาย Abraham Flexner ตระเวณล้างสมองผู้คนในมหาวิทยาลัยการแพทย์และโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ ... จนเกิด Flexner Report ที่เป็นจุดเริ่มของการแพทย์สมัยปัจจุบัน ..ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องโจมตีการแพทย์โบราณจนเละ ..จนในที่สุดเกินครึ่งของวิทยาลัยการแพทย์แบบเดิมๆถึงคราวต้องยุติ ....แพทย์แผนโบราณกลายเป็นตัวตลก แพทย์บางคนถึงกับต้องถูกจำคุก การเปลี่ยนผ่านจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแนวคิดของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ จึงมีการให้ทุน $100 ล้านแก่วิทยาลัยและโรงพยาบาลต่างๆ ...มีการก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษา “General Education Board” (GEB) ..นับเป็นการใช้วิธี ทั้งล่อทั้งชน ในไม่ช้า วิทยาลัยการแพทย์ต่างๆก็เข้ารูปเข้ารอย เดินในแนวทางเดียวกัน ..นักศึกษาแพทย์เรียนรู้เรื่องเดียวกัน การใช้เวชภัณท์ก็แน่นอน ต้องเป็นยาที่มี "สิทธิบัตร" เข้าสู่ยุคโมเดอร์น ที่ยาเม็ดเล็กๆแค่หนึ่งเม็ดก็เอาอยู่ แล้ว 100 ปีต่อมา สุขภาพของพวกเราก็เข้าสู่ยุคที่ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทยาใหญ่ๆ อเมริกาใช้เงินถึง 15% ของ GDP ไปในการรักษาทางการแพทย์ ..ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าการพยุงอาการของโรคไว้น่าจะถูกกว่า และนั่นทำให้เราต้องเป็นคนไข้ หรือเรียกอีกอย่างว่าลูกค้าประจำ... เพราะหลายโรค เช่น มะเร็ง ..เบาหวาน ..ออติสม์ ..หอบหืด ..หรือแม้แต่ไข้หวัดใหญ่ ไม่มีการพยายามหาวิธีรักษาให้หายขาด ทำไมน่ะหรือ ..ก็เพราะระบบนี้ไม่ได้เริ่มก่อตั้งจากเหล่านายแพทย์จริงๆ ....แต่เป็นนายทุนที่ต้องการกำไร สถาบันมะเร็ง American Cancer Society น่ะหรือ ..ก่อตั้งเมื่อปี 1913 โดย Rockefeller นั่นเอง....
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 1 รีวิว
  • สติดำเนิน
    เกินขาดระวัง
    มีความผิดหวัง
    ยังต้องขวนขวาย

    มีกรรมเครื่องอยู่
    รู้ยับยั้งได้
    คุมตัณหาไว้
    ให้เมตตาธรรม

    เมตตาตนเอง
    เกรงกลัวบาปกรรม
    ละอายอย่าทำ
    สำนึกให้ดี

    ดีชั่วถลำ
    กรรมล้วนคลุกคลี
    ปัญญาให้มี
    ดีคัดกรองใช้

    ถูกการเวลา
    พาถูกที่หมาย
    เป็นธรรมอำไพ
    ให้ดีเจริญ

    อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ
    ท่านทั้งหลายจงยังไว้ซึ่งความไม่ประมาทเถิด

    สาธุ! พุทธัง ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    สติดำเนิน เกินขาดระวัง มีความผิดหวัง ยังต้องขวนขวาย มีกรรมเครื่องอยู่ รู้ยับยั้งได้ คุมตัณหาไว้ ให้เมตตาธรรม เมตตาตนเอง เกรงกลัวบาปกรรม ละอายอย่าทำ สำนึกให้ดี ดีชั่วถลำ กรรมล้วนคลุกคลี ปัญญาให้มี ดีคัดกรองใช้ ถูกการเวลา พาถูกที่หมาย เป็นธรรมอำไพ ให้ดีเจริญ อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงยังไว้ซึ่งความไม่ประมาทเถิด สาธุ! พุทธัง ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ฝ้า

    เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง

    ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ

    ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว

    1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก

    2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย

    3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว

    การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp

    ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า)

    1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

    การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น

    Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง
    Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ
    Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม
    Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก

    2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า

    ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ

    -ยาคุมกำเนิดบางชนิด
    -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines)
    -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ
    -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ
    -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน
    -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด
    -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย

    3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้

    ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

    กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน)

    กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น

    4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ

    -การตั้งครรภ์
    โรคกรดไหลย้อน
    โรคลำไส้แปรปรวน
    โรคแพ้ภูมิตัวเอง
    -โรคตับ
    -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ)
    -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ
    -เนื้องอกใต้สมอง

    5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ

    6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์

    ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน

    การปลดฝ้า

    เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง

    วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด

    สารอาหาร

    Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย

    อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น

    Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย

    อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ

    อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol)

    ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง

    ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด

    ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า

    อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก.

    สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น

    อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก.

    Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา

    อาหารดีๆ

    1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย

    2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

    3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย

    4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย

    5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่

    ผลิตภัณฑ์แนะนำ

    สบู่สมุนไพร
    Pun c
    Prink
    Alovi
    Praow
    Praew

    Cr. Santi Manadee
    #ฝ้า เป็นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสี UVA และ UVB จากการกระทำของตัวเราเอง ฝ้า คือการที่สีของผิวหนังผิดปกติไปในบางตำแหน่ง สีของผิวเกิดจากสารหรือเม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งถูกสร้างมาจากเซลล์ผิวหนัง (เมลาโนไซต์ - melanocyte) ซึ่งเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท โดยแฝงตัวอยู่ที่ด้านล่างสุดของชั้นหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวหนังหนึ่งเซลล์จะมีแขนงไปแตะจับกับเซลล์ผิวหนังอีกราวๆ 30-40 เซลล์ เมื่อเกิดเหตุใดๆ ก็ตามที่ทำให้เม็ดสีเหล่านี้ผิดปกติไป ก็จะทำให้สีของผิวบริเวณนั้นผิดปกติไป ถ้ามีลักษณะเป็นแผ่นปื้น ก็จะเรียกว่า "เป็นฝ้า" นั่นเอง และนั่นหมายถึง ร่างกายผลิตขึ้นได้ ร่างกายก็สามารถเอามันออกไปได้ด้วยระบบที่ซับซ้อนของร่างกายเอง เพราะ มนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อซ่อมแซมตัวเอง แต่มันช้า ไม่ได้ดั่งใจ ฝ้ามี 3 ชนิดโดยแบ่งตามความลึกของ melanin ที่ไปฝังตัว 1. เม็ดสี melanin ไปฝังตัวที่หนังกำพร้าเราเรียก Epidermal type melisma หรือ ฝ้าเมลานิน เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทำลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม มักมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด เกิดได้ง่าย ชนิดนี้รักษาไม่ยาก 2. เม็ดสีฝังตัวที่หนังแท้เราเรียก dermal type melasma หรือฝ้าเส้นเลือด มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ชนิดนี้ นานหน่อยกว่าจะหาย 3. ชนิดผสมจาก 2 แบบดังกล่าว การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ความผิดปกติที่เกิดกับเม็ดสีของผิว (โดยเฉพาะที่บริเวณใบหน้า) 1. เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด การอักเสบเป็นเวลานานๆ สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งในการเกิดรอยด่างดำบนผิวหน้าได้ ซึ่งหลังจากการอักเสบหายไป ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ การติดเชื้อบางอย่างเช่นสิวอักเสบแล้วเป็นอยู่เวลานานๆ นอกจากนั้นก็ยังมีโรคผิวหนังบางอย่างอีกเช่น Riehl's melanosis โรคปื้นร่างแหสีน้ำตาล มักเห็นชัดที่บริเวณหน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม คาง และ คอ อาจจะเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง Poikiloderma of Civatte โรคเส้นเลือดฝอยแตกขยายผิดปกติที่บริเวณคอ Erythromelanosis follicularis โรคที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงตามโหนกแก้ม Linear Fusca เป็นภาวะที่มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้มที่พาดบริเวณหน้าผาก 2. ยาบางชนิดทำให้เกิดฝ้า ยาบางชนิดสามารถไปกระตุ้นผิวหนังให้ไวต่อแสงแดด ในขณะที่ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดฝ้าได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องได้รับการช่วยกระตุ้นจากแสงแดดเลย ยาที่มักจะพบว่ามีผลต่อการเกิดฝ้าคือ -ยาคุมกำเนิดบางชนิด -ยาแก้อักเสบ เช่น เตตร้าไซคลิน (tetracyclines) -อะมิโอดาโรน (Amiodarone) ซึ่งเป็นยาที่มีผลกับการทำงานของหัวใจ -ฟินนีโทอีน (Phenytoin) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักชนิดต่างๆ -ฟิโนเธียซีน (Phenothiazines) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีผลทำให้ง่วงนอน -ซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamides) ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด -ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวโดยมีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี ของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน โดย ไม่ทาครีมกันแดดร่วมด้วย 3. เกิดจากแสงแดด (รังสีอุลต้าไวโอเล็ต - UV, Ultraviolet) สามารถทำให้เกิดฝ้าบางชนิดได้ ฝ้า (Melasma) มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาล เกิดบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก โดยเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้จากภายนอก เม็ดสีเมลานินนี้มีหน้าที่พิเศษคือกรองรังสีเหนือม่วง หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต (UV - Ultraviolet) ดังนั้นยิ่งเราตากแดดมากขึ้น ร่างกายก็จะสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยที่รังสี UVA (รังสี UV ชนิด A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว พลังงานต่ำ) จะกระตุ้นให้เซลล์ melanocytes สร้างเม็ดสีเมลานินได้โดยตรง กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ให้ทำงานได้มากขึ้นและทำให้เซลล์ผิวหนัง (keratinocyte) รับสารเมลานินได้มากขึ้นส่งผลให้สีผิวเข้มขึ้น จึงทำให้เกิดผิวสีคล้ำ เกิดฝ้า หรือ กระ และรังสี UVB (รังสี UV ชนิด B มีช่วงคลื่นสั้น พลังงานสูง) จะทำให้การทำงานประสานกันของเซลล์ melinocyte และเซลล์ keratinocytes ได้ดีขึ้นในการรับส่งเม็ดสีเมลานิน ถ้าได้รับมากๆ สามารถทำให้เกิดผิวไหม้ บวมแดง และหากได้รับรังสีเป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ กระแดด (Solar lentigines) มักจะเกิดในคนที่อายุมากและมีประวัติการถูกแสงแดด อาจจะเริ่มจากจุดเล็กแล้วอาจขยายใหญ่ได้มาก (ถ้า lentigines จะหมายถึงขี้แมลงวัน) กระ (ephelides) หมายถึงจุดสีน้ำตาลที่มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. เกิดจากการมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ พบที่บริเวณใบหน้าและบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ และมักมีสีเข้มขึ้นในฤดูร้อนและจางลงในฤดูหนาว เพราะแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV-B เป็นตัวกระตุ้นให้กระเข้มขึ้น 4. สาเหตุอื่นๆ ของการเป็นฝ้า นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีโรคหรือภาวะบางอย่างที่สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกันก็คือ -การตั้งครรภ์ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน โรคแพ้ภูมิตัวเอง -โรคตับ -โรคแอดดิสัน (พบได้น้อยมาก เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตอรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ) -อีโมโครมาโทซิส (Hemochromatosis) เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในกระแสเลือด จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับ -เนื้องอกใต้สมอง 5.ขาดสารอาหารที่เซลล์ผิวหนังต้องการ 6. ระบบการย่อยและระบบการดูดซึมของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ ฝ้าสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทำให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือดสามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์โดยในตอนเช้าสีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัดสีจะคล้ำจนเป็นสีดำ นอกจากนี้ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติหรือแตกตัวผิดปกติ หรือทานยาแอสไพรินมายาวนาน การปลดฝ้า เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส และป้องกันการกลับมาเยือนของฝ้า อย่างแรกคือ ต้องทราบสาเหตุของการเกิดฝ้า เพราะแต่ละคนมีสาเหตุต่างกัน การรักษาที่ถูกวิธีต้องรักษาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ไปเน้นที่การยับยั้ง หรือกดเซลล์ กล่าวคือ การใช้ยาเพื่อไปยับยั้งการทำงานของเมลานิน ซึ่งถ้าหยุดใช้ยา ฝ้าก็สามารถกลับมาเยือนได้อีก และท่านก็ต้องใช้ยาอีก จึงดูเหมือนเป็นการพายเรือวนในอ่าง วิธีการที่ถูกต้องคือให้สารอาหารที่สามารถหยุดหรือระงับการสร้างเมลานิลโดยไม่ทำให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทำลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดกำลังสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากแสงแดด สารอาหาร Vitamin C เป็นสาร Antioxidantsที่พบมากที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ใช้ป้องกันและรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกระหล่ำเป็นต้น Vitamin E เป็นสาร Antioxidants ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกเอนไซม์ทำลาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด และลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ลดความเสื่อมของผิวหนังที่ทำให้เกิดริ้วรอย อาหารที่มีวิตามินอีสูง ได้แก่ น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา น้ำมันสลัด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว Vitamin A โดยใช้สารตั้งต้นที่ชื่อ เบต้าแคโรทีนและสารแคโรทีนอยด์ แล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มเรตินอล (Retinol) ซึ่งปัจจุบันได้มีการคิดค้นเกี่ยวกับสารสังเคราะห์สำหรับผิวพรรณที่เรียกว่า กลุ่มเรตินอยด์ ทั้งในรูปของครีมทา และยารับประทาน ( ซึ่งนำมารักษาสิวและริ้วรอย) ใช้คำว่าเลียนแบบวิตามินเอ ( เรตินอล) มีรายงานมากมายที่สนับสนุนว่า วิตามินเอ ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอผิวเสื่อม ริ้วรอยย่นก่อนวัยครับ อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ อาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ ตับ น้ำมันตับปลา ไข่ ผักเช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง เป็นต้น ร่างกายปกติ ต้องการวิตามินเอ ประมาณ 1000 ไมโครกรัมต่อวัน ( ในรูปของ Retinol) ซีลีเนียม ( Selenium) ถือเป็นสารที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินอี ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ผิวหนังจากแสงแดด การทาครีมที่ผสมซิลีเนียม จะทำให้ลดอาการแดดเผา ผิวหนังอักเสบได้และป้องกันมะเร็ง ยังไม่มีรายงานการขาดสารซิลีเนียมในคนแล้วเกิดโรคต่างๆ เพราะอาหารที่มีซิลีเนียม ส่วนใหญ่ร่างกายจะได้รับเพียงพอ เพราะต้องการเพียงปริมาณไม่มากนัก อาหารเหล่านี้ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ เมล็ดพืชต่างๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นอาหารเสริม เพราะอาจจะมีปริมาณสูงเกินไป ส่วนใหญ่จะนำมาผสมในครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี เป็นสารที่มีประโยชน์ในเรื่องการเผาผลาญ และปรับสมดุลของการไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต การขาดวิตามินนี้ จะทำให้ผิวแห้ง เบื่ออาหาร เส้นผมและเล็บเปราะหักง่าย ผมงอกช้า อาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่ ธัญพืชไม่ขัดสีต่างๆ อาหารโปรตีนสูง ไข่แดง ตับ ข้าวกล้อง ถั่วชนิดต่างๆ ปกติร่างกายของเราจะได้รับสาร ไบโอติน ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ภายในร่างกายมี แบคทีเรียที่ชื่อ Lactobacillin ในลำไส้ ที่สามารถผลิตสารไบโอตินได้ แต่ถ้าต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม ปริมาณที่เหมาะสมคือ วันละ 600-1,200 มก. สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์กว่า 70 ชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการดูดซึมของกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินเอได้ดีขึ้น อาหารที่มีสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล ตับ ชีส เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ รวมทั้งธัญพืชที่ไม่ได้ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง และถั่วเปลือกแข็ง ร่างกายต้องการสังกะสี ในปริมาณที่แตกต่างกันในแต่ละเพศ วัย และภาวะของร่างกาย แต่โดยเฉลี่ยไม่ควรเกินวันละ 15-30 มก. Co enyme Q10 ( Uniquinone) เป็นสารAntioxidants ที่ค้นพบมานานแล้ว โดยพบมากที่อวัยวะที่มีการ metabolism สูง เช่น หัวใจ ไต และตับ โดยทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังงาน สำหรับผิวหนัง CoQ10 จะพบมากในชั้น epidermis มากกว่า dermis มีสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ( free radicles) จึงเชื่อว่า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ ปัจจุบัน ได้นำมาทำเป็นครีมทาเฉพาะที่ เพื่อลดริ้วรอย โดยเฉพาะรอยดวงตา อาหารดีๆ 1.ปลา : เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แนะนำ ปลาโอ ปลาอินทรีย์สด ปลาแซลม่อน ปลาสวาย 2.น้ำมันมะกอก : เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงแต่ข้อดีคือ มีกรดไขมันจำเป็นและเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม 3.น้ำดื่มสะอาด : หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้และยังป้องกันเซลลูไลต์อีกด้วย 4.มะเขือเทศ : ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย 5.บร็อกโคลี : ผักสีเขียวที่เป็นแหล่งของวิตามินเอและซี โดยที่วิตามินเอมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุของผิวหนัง ซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป และยังมีความสำคัญต่อกระบวนการเติบโตของผิวหนังให้มีการทำงานอย่างปกติ ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระบบการย่อยและการดูดซึม เพราะเป็นตัวกำหนดปริมาณสารอาหารที่ได้รับว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ผลิตภัณฑ์แนะนำ สบู่สมุนไพร Pun c Prink Alovi Praow Praew Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความรักในสังสารวัฏ

    ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

    แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย


    ---

    อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก"

    1. ทุกข์
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
    ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป


    2. สมุทัย
    เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
    เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง


    3. นิโรธ
    ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ


    4. มรรค
    ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ

    พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง

    ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง

    ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว





    ---

    วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก

    1. ดูใจตนเอง
    เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป


    2. เห็นอารมณ์ตามจริง
    มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น


    3. พิจารณาอนิจจัง
    ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง


    4. ฝึกปล่อยวาง

    ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา

    เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์





    ---

    จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ

    เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด

    จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป
    จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน

    "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"

    ความรักในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย --- อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก" 1. ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป 2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 3. นิโรธ ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ 4. มรรค ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว --- วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก 1. ดูใจตนเอง เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป 2. เห็นอารมณ์ตามจริง มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น 3. พิจารณาอนิจจัง ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง 4. ฝึกปล่อยวาง ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ --- จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts