• Sondhitalk EP 281 : ยิว จะยึดเมืองปาย? (Full)

    - “หลิว จงอี้”สุดซอย ล้างบาง “แม่สอด-เมียวดี”
    - ปัญหา เมืองปาย กับ ยิว
    - ทรัมป์ ชน Deep State
    - สหรัฐฯ ฉีกสัมพันธ์ยุโรป
    - “สี จิ้นผิง” ประชุมบิ๊กธุรกิจจีน

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitimes #ความจริงมีหนึ่งเดียว #แม่สอด #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #จีนเทา #ไทยเทา #หลิวจงอี้ #ยิวยึดปาย #deepstate #ทรัมป์ #อีลอนมัสก์ #สงครามเทคโนโลยี
    Sondhitalk EP 281 : ยิว จะยึดเมืองปาย? (Full) - “หลิว จงอี้”สุดซอย ล้างบาง “แม่สอด-เมียวดี” - ปัญหา เมืองปาย กับ ยิว - ทรัมป์ ชน Deep State - สหรัฐฯ ฉีกสัมพันธ์ยุโรป - “สี จิ้นผิง” ประชุมบิ๊กธุรกิจจีน #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitimes #ความจริงมีหนึ่งเดียว #แม่สอด #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #จีนเทา #ไทยเทา #หลิวจงอี้ #ยิวยึดปาย #deepstate #ทรัมป์ #อีลอนมัสก์ #สงครามเทคโนโลยี
    Like
    Love
    Haha
    64
    4 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 1153 มุมมอง 165 10 รีวิว
  • 6G ตัวเปลี่ยนเกมและวิถีสงครามโลกยุคใหม่
    .
    หัวเว่ยกำลังสร้างนวัตกรรม 6G และเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หลังจากต้องเผชิญกับความมืดมน ความไม่แน่นอน และความพ่ายแพ้นับไม่ถ้วน แต่ก็ได้พบกับปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นไปได้ ตามคำกล่าวของเมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง CEO ของหัวเว่ย ที่หลายปีก่อนเธอถูกจับเป็นตัวประกันที่แคนาดา ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา
    .
    หัวเว่ยจะเป็นบริษัทแรกในโลกนี้ที่นำ 6G มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ผมเคยพูดไว้แล้วในรายการตอน213เมื่อ29ตุลาคม2566 เกือบสองปีแล้วที่ผมวิเคราะห์ว่าเรื่อง Super Network 6G อนาคตโลกในมือจีน วันนี้หัวเว่ยประกาศว่าระบบการสื่อสารแบบ 6G จะมีการเปิดใช้เชิงพาณิชย์ ภายในปี 2573 อีกห้าปีข้างหน้า เร็วมาก ชีวิตประจำวันของคนเราจะเปลี่ยนไปโดย 6G ของหัวเว่ย ซึ่งได้รวมการสื่อสารภาคพื้นดิน อวกาศ ดาวเทียม และทะเล เข้าด้วยกัน นำไปใช้ในอุปกรณ์อย่างเช่น IoT: Internet of Things ใช้ในอุตสาหกรรมการขับขี่ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โรงงานที่เป็น Smart Factory และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    .
    ขณะนี้รัฐบาลจีนได้อนุมัติใช้คลื่นความถี่ 6 กิกะเฮิร์ตซ เพื่อรองรับไว้แล้ว และจะปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารไปอีกขั้น เพราะ 6G มีความเร็วกว่า 5G ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ถึง 100 เท่า ปานสายฟ้าแลบและใช้พลังงานน้อยกว่าแบตเตอรีน้อยกว่า 5G ถึง 10 เท่า ทำให้หัวเว่ยเป็นผู้นำการพัฒนา 6G ทิ้งห่างประเทศตะวันตกอย่างยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น
    .
    หัวเว่ยมีสิทธิบัตรทาง 6G มากที่สุดในโลกถึง 12,700 ฉบับหรือประมาณ 35% ของทั่วโลก พิสูจน์ให้เห็นถึงความรุนแรงของสงคราม 6G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ความสำเร็จของหัวเว่ยคือชัยชนะของนวัตกรรม หรือเป็นจุดเปลี่ยนในการต่อสู้กับมหาอำนาจอเมริกา และชาติตะวันตก ที่ตั้งใจจะบดขยี้หัวเว่ยให้จมดิน
    .
    ดังนั้น 6G กับแสนยานุภาพทางการทหารจีนที่จีนพุ่งเป้านำเทคโนโลยี 6G ไปใช้ในการทหารก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากสำหรับกองทัพแล้ว ประสิทธิภาพมีความสำคัญ และนี่คือสมรภูมิการแข่งขันที่มีความสำคัญ สมรภูมิการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาวุธและสนามรบด้านแสนยานุภาพของการทหารอีกด้วย
    .
    รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวซินหัว เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนตอนนี้มีสถานีฐาน 5G 4.1 ล้านแห่งแล้ว สถานี 5G 4 ล้านกว่าแห่ง เป้าหมายต่อไปใน 2 ปีข้างหน้า 2570 ผู้ใช้เครือข่ายไร้สายในประเทศจีน ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่า 85% จะต้องเข้าถึงโครงข่าย 5G อีกสามปีข้างหน้านั่นเองและก็ถึงเวลาที่จะต้องเปิด 6G
    .
    จาก 5G ไปถึง 6G เทคโนโลยีที่เปรียบเทียบได้กับการแข่งขันทางอวกาศระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต แต่เป้าหมายในการแข่งขันนั้นไม่ใช่เรื่องการลงจอดบนดวงจันทร์อีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องการสร้างรากฐานของการเชื่อมต่อสำหรับทศวรรษหน้าที่กำลังจะมาถึง
    .
    จะเห็นได้ว่าการแข่งขันเพื่อ 6G ของหัวเว่ยนั้น มีความหมายมากกว่าความเร็วของอินเทอร์เน็ต แต่ยังเกี่ยวกับการที่ประเทศจีนกำลังจะเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม และสารสนเทศในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งจีน อเมริกา และยุโรป กำลังแข่งขันกันเพื่อครองความได้เปรียบบนพื้นที่โลกดิจิทัลในอนาคต เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของเกมเทคโนโลยีอันเป็นกุญแจสำคัญที่สุดที่จะนำพาประเทศนั้นๆ สังคมนั้นๆ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองระยะยาว
    6G ตัวเปลี่ยนเกมและวิถีสงครามโลกยุคใหม่ . หัวเว่ยกำลังสร้างนวัตกรรม 6G และเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หลังจากต้องเผชิญกับความมืดมน ความไม่แน่นอน และความพ่ายแพ้นับไม่ถ้วน แต่ก็ได้พบกับปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กลายเป็นไปได้ ตามคำกล่าวของเมิ่ง หว่านโจว ลูกสาวของ เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง CEO ของหัวเว่ย ที่หลายปีก่อนเธอถูกจับเป็นตัวประกันที่แคนาดา ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับอเมริกา . หัวเว่ยจะเป็นบริษัทแรกในโลกนี้ที่นำ 6G มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ผมเคยพูดไว้แล้วในรายการตอน213เมื่อ29ตุลาคม2566 เกือบสองปีแล้วที่ผมวิเคราะห์ว่าเรื่อง Super Network 6G อนาคตโลกในมือจีน วันนี้หัวเว่ยประกาศว่าระบบการสื่อสารแบบ 6G จะมีการเปิดใช้เชิงพาณิชย์ ภายในปี 2573 อีกห้าปีข้างหน้า เร็วมาก ชีวิตประจำวันของคนเราจะเปลี่ยนไปโดย 6G ของหัวเว่ย ซึ่งได้รวมการสื่อสารภาคพื้นดิน อวกาศ ดาวเทียม และทะเล เข้าด้วยกัน นำไปใช้ในอุปกรณ์อย่างเช่น IoT: Internet of Things ใช้ในอุตสาหกรรมการขับขี่ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โรงงานที่เป็น Smart Factory และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง . ขณะนี้รัฐบาลจีนได้อนุมัติใช้คลื่นความถี่ 6 กิกะเฮิร์ตซ เพื่อรองรับไว้แล้ว และจะปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารไปอีกขั้น เพราะ 6G มีความเร็วกว่า 5G ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ถึง 100 เท่า ปานสายฟ้าแลบและใช้พลังงานน้อยกว่าแบตเตอรีน้อยกว่า 5G ถึง 10 เท่า ทำให้หัวเว่ยเป็นผู้นำการพัฒนา 6G ทิ้งห่างประเทศตะวันตกอย่างยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น . หัวเว่ยมีสิทธิบัตรทาง 6G มากที่สุดในโลกถึง 12,700 ฉบับหรือประมาณ 35% ของทั่วโลก พิสูจน์ให้เห็นถึงความรุนแรงของสงคราม 6G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ความสำเร็จของหัวเว่ยคือชัยชนะของนวัตกรรม หรือเป็นจุดเปลี่ยนในการต่อสู้กับมหาอำนาจอเมริกา และชาติตะวันตก ที่ตั้งใจจะบดขยี้หัวเว่ยให้จมดิน . ดังนั้น 6G กับแสนยานุภาพทางการทหารจีนที่จีนพุ่งเป้านำเทคโนโลยี 6G ไปใช้ในการทหารก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากสำหรับกองทัพแล้ว ประสิทธิภาพมีความสำคัญ และนี่คือสมรภูมิการแข่งขันที่มีความสำคัญ สมรภูมิการแข่งขันด้านเทคโนโลยีอาวุธและสนามรบด้านแสนยานุภาพของการทหารอีกด้วย . รายงานล่าสุดจากสำนักข่าวซินหัว เมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนตอนนี้มีสถานีฐาน 5G 4.1 ล้านแห่งแล้ว สถานี 5G 4 ล้านกว่าแห่ง เป้าหมายต่อไปใน 2 ปีข้างหน้า 2570 ผู้ใช้เครือข่ายไร้สายในประเทศจีน ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่า 85% จะต้องเข้าถึงโครงข่าย 5G อีกสามปีข้างหน้านั่นเองและก็ถึงเวลาที่จะต้องเปิด 6G . จาก 5G ไปถึง 6G เทคโนโลยีที่เปรียบเทียบได้กับการแข่งขันทางอวกาศระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียต แต่เป้าหมายในการแข่งขันนั้นไม่ใช่เรื่องการลงจอดบนดวงจันทร์อีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องการสร้างรากฐานของการเชื่อมต่อสำหรับทศวรรษหน้าที่กำลังจะมาถึง . จะเห็นได้ว่าการแข่งขันเพื่อ 6G ของหัวเว่ยนั้น มีความหมายมากกว่าความเร็วของอินเทอร์เน็ต แต่ยังเกี่ยวกับการที่ประเทศจีนกำลังจะเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม และสารสนเทศในอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งจีน อเมริกา และยุโรป กำลังแข่งขันกันเพื่อครองความได้เปรียบบนพื้นที่โลกดิจิทัลในอนาคต เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของเกมเทคโนโลยีอันเป็นกุญแจสำคัญที่สุดที่จะนำพาประเทศนั้นๆ สังคมนั้นๆ ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองระยะยาว
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่

    แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา

    ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ

    ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ

    การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก
    โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว

    นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก

    สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ 

    สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที

    อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

    ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6%

    ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
    สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้

    การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน

    อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

    คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง

    การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง

    ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ

    แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร

    ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่ แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ  สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6% ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้ การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกระพือสงครามการค้ารอบใหม่ ระบุจะ "ไม่มีผู้ชนะ" แม้ในขณะเดียวกันผู้นำรายนี้ประกาศกร้าวจะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
    .
    ประธานธิบดีสี แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ระหว่างพบปะกับเหล่าผู้นำสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หนึ่งวันหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีน แถลงสืบสวนบริษัทเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    .
    การตรวจสอบดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครองความเป็นเจ้าปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับปกป้องความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็ตาม
    .
    "สงครามรีดภาษี สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีล้วนแต่สวนทางกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์และกฎหมายทางเศรษฐกิจ และจะไม่มีผู้ชนะ" สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อมวลชนหแงรัฐของจีน รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสี
    .
    สี บอกต่อว่า "การปิดกั้นลานบ้านเล็กๆ ด้วยกำแพงสูงลิ่ว การแยกและทำลายห่วงโซ่อุปทาน จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่นๆ และไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง จีนเชื่อเสมอว่าถ้าจีนดีโลกก็ดีด้วย และเมื่อโลกดี จีนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก" เขากล่าว
    .
    เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เคยใช้คำพูดเกี่ยวกับ "ลานบ้านเล็กๆ และกำแพงสูง" จำกัดความยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะเปิดทางให้การค้าส่วนใหญ่กับจีนดำเนินไปตามปกติ แต่จะกำหนดข้อจำกัดกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ อย่างเช่นเซมิคอนดัคเตอร์ ที่เชื่อว่าอาจถูกนำไปใช้งานด้านการทหาร
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดน แถลงมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่ 3 ในรอบหลายปี จำกัดปักกิ่งจากการเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายสิบรุ่นและชิปความจำล้ำสมัย เช่นเดียวกับกำหนดมาตรการควบคุมบริษัทจีนมากกว่า 100 แห่ง
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จีนจะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีก 10% เพิ่มเติมจากระดับภาษีใดๆ ในปัจจุบัน จนกว่าปักกิ่งจะสกัดไม่ให้กระแสยาผิดกฎหมายไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ทรัมป์ บอกว่าเขาและสี "ได้พูดคุยสื่อสารกัน" ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีน ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสนทนาระหว่าง 2 ฝ่าย
    .
    จึง พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่อุปสงค์ภายในประเทศดำดิ่ง สืบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยข้อมูลของทางการที่เผยแพร่ออกมาในวันอังคาร (10 ธ.ค.) พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก ส่วนการนำเข้าก็หดตัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118740
    ..............
    Sondhi X
    สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ส่งเสียงเตือนไปยังสหรัฐฯ เกี่ยวกับการกระพือสงครามการค้ารอบใหม่ ระบุจะ "ไม่มีผู้ชนะ" แม้ในขณะเดียวกันผู้นำรายนี้ประกาศกร้าวจะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ . ประธานธิบดีสี แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ระหว่างพบปะกับเหล่าผู้นำสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หนึ่งวันหลังจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของจีน แถลงสืบสวนบริษัทเอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปสัญชาติสหรัฐฯ ฐานต้องสงสัยละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด . การตรวจสอบดังกล่าวถูกมองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญในการต่อสู้ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครองความเป็นเจ้าปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งทั้งวอชิงตันและปักกิ่งเชื่อว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับปกป้องความมั่นคงของชาติ แม้กระทั่งก่อนหน้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาวก็ตาม . "สงครามรีดภาษี สงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีล้วนแต่สวนทางกับแนวโน้มทางประวัติศาสตร์และกฎหมายทางเศรษฐกิจ และจะไม่มีผู้ชนะ" สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อมวลชนหแงรัฐของจีน รายงานโดยอ้างคำกล่าวของสี . สี บอกต่อว่า "การปิดกั้นลานบ้านเล็กๆ ด้วยกำแพงสูงลิ่ว การแยกและทำลายห่วงโซ่อุปทาน จะสร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่นๆ และไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง จีนเชื่อเสมอว่าถ้าจีนดีโลกก็ดีด้วย และเมื่อโลกดี จีนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก" เขากล่าว . เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เคยใช้คำพูดเกี่ยวกับ "ลานบ้านเล็กๆ และกำแพงสูง" จำกัดความยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะเปิดทางให้การค้าส่วนใหญ่กับจีนดำเนินไปตามปกติ แต่จะกำหนดข้อจำกัดกับสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ อย่างเช่นเซมิคอนดัคเตอร์ ที่เชื่อว่าอาจถูกนำไปใช้งานด้านการทหาร . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดน แถลงมาตรการควบคุมการส่งออกรอบที่ 3 ในรอบหลายปี จำกัดปักกิ่งจากการเข้าถึงเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายสิบรุ่นและชิปความจำล้ำสมัย เช่นเดียวกับกำหนดมาตรการควบคุมบริษัทจีนมากกว่า 100 แห่ง . ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนเมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จีนจะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีก 10% เพิ่มเติมจากระดับภาษีใดๆ ในปัจจุบัน จนกว่าปักกิ่งจะสกัดไม่ให้กระแสยาผิดกฎหมายไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ . ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซี ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ทรัมป์ บอกว่าเขาและสี "ได้พูดคุยสื่อสารกัน" ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ขณะที่โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีน ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการสนทนาระหว่าง 2 ฝ่าย . จึง พึ่งพิงการส่งออก โดยเฉพาะกับคู่ค้ารายใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ เป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในระหว่างที่อุปสงค์ภายในประเทศดำดิ่ง สืบเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยข้อมูลของทางการที่เผยแพร่ออกมาในวันอังคาร (10 ธ.ค.) พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก ส่วนการนำเข้าก็หดตัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเดือนที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118740 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 975 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘Chancay’ท่าเรือยักษ์เปรู จีนตีท้ายครัวมะกัน
    .
    ก่อนการประชุมAPEC Peru2024 จะเริ่มต้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ร่วมกับประธานาธิบดีดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต ผู้นำเปรู ได้ทำพิธีเปิดท่าเรือชานไค (Chancay) ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ที่จะเปลี่ยนให้เปรูเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอเมริกาใต้ และทำให้อเมริกาหวั่นไหวมากถึงอิทธิพลของจีน ซึ่งขยายอิทธิพลมาประชิดหลังบ้านของอเมริกา
    .
    ท่าเรือชานไค ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเปรู คือ กรุงลิมา ไปทางทิศเหนือราวๆ 80 กิโลเมตร มีมูลค่าลงทุนทั้งหมด 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 121,000 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Cosco Shipping รัฐวิสาหกิจของจีน ถือหุ้น 60% และบริษัท Volcan บริษัทเหมืองแร่ของเปรู ถือหุ้นอยู่ 40% โครงการนี้เริ่มสร้างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (ปี 2562)
    .
    ท่าเรือนี้ช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งจากอเมริกาใต้ไปยังเอเชีย เดิมใช้เวลา 30 วัน ให้เหลือแค่ 20 วัน เส้นทางเดินเรือจากเปรู ตรงไปยังนครเซี่ยงไฮ้ของจีน เป็นท่าเรือแห่งแรกทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของอเมริกาใต้ที่จะรองรับเรือขนาดใหญ่ 60 ฟุต ที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้ 24,000 ตู้ คาดว่าในอนาคตจะมีการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 100 ล้านตู้ต่อปี คาดว่าจะมีรายได้สูงถึงปีละ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นตั้ง 1.8% ของ GDP ของประเทศเปรู และสามารถสร้างงานได้ถึง 8 พันกว่าตำแหน่ง
    .
    ทีนี้คำถามมีอยู่ว่า ทำไมอเมริกาถึงมีความหวั่นไหวมากกับท่าเรือชานไค สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่าเรือชานไคไม่ใช่แค่ท่าเรือ แต่เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งแรกของจีนในลาตินอเมริกา เป็นฐานที่มั่นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ทำให้จีนสามารถควบคุมเส้นทางนำเข้า-ส่งออกในอเมริกาใต้ ในฝั่งแปซิฟิก จนอเมริกาถึงกับหวั่นไหวที่จีนได้ขยายอิทธิพลมายังลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นหลังบ้านของอเมริกานั่นเอง
    .
    ประเด็น ณ วันนี้ จีนไม่เพียงสามารถเข้าสู่แหล่งทรัพยากรและแร่ธาตุต่างๆ ในลาตินอเมริกาเท่านั้น จีนยังสามารถจะควบคุมเส้นทางคมนาคม โลจิสติกส์ ได้ด้วย ลึกซึ้งไหม แล้วถ้าเราต่อภาพกับเส้นทางในยุโรปที่บริษัทจีนได้ถือหุ้นใหญ่ในท่าเรือไพรีอัสในประเทศกรีก ท่าเรือวาเลนเซียในสเปน รวมทั้งท่าเรือในเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี และเมืองร็อตเตอร์ดัม ในเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งท่าเรือในศรีลังกา กัมพูชา รถไฟความเร็วสูงในลาว จะเห็นว่ายุทธศาสตร์แถบเส้นทางของจีนได้ครอบคลุมการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ได้มากกว่าครึ่งโลก เพราะทั่วโลกจีนเข้าไปเป็นหุ้นส่วนของท่าเรือสำคัญนี้ ทั่วโลกแล้วกว่า 160 แห่ง ยิ่งเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ทอดทิ้งพันธมิตรชาติต่างๆ ด้วยแล้ว บทบาทของจีนในสวนหลังบ้านของอเมริกาอย่างลาตินอเมริกายิ่งมากขึ้น
    .
    อเมริกาทุกวันนี้หวังว่าจะใช้สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ด้วยการขึ้นภาษี การแซงก์ชัน การกีดกันทางการค้าต่างๆ นานาเพื่อปิดล้อมจีน แต่เราต้องไม่ลืมมองด้วยว่า วันนี้แม้แต่หลังบ้านของตัวเอง ก็ยังถูกจีนปิดล้อมทั้งทางด้านทรัพยากรและเส้นทางคมนาคม และโลจิสติกส์ ไว้เกือบทั้งหมดด้วยแล้วครับ
    ‘Chancay’ท่าเรือยักษ์เปรู จีนตีท้ายครัวมะกัน . ก่อนการประชุมAPEC Peru2024 จะเริ่มต้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ร่วมกับประธานาธิบดีดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต ผู้นำเปรู ได้ทำพิธีเปิดท่าเรือชานไค (Chancay) ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ที่จะเปลี่ยนให้เปรูเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอเมริกาใต้ และทำให้อเมริกาหวั่นไหวมากถึงอิทธิพลของจีน ซึ่งขยายอิทธิพลมาประชิดหลังบ้านของอเมริกา . ท่าเรือชานไค ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเปรู คือ กรุงลิมา ไปทางทิศเหนือราวๆ 80 กิโลเมตร มีมูลค่าลงทุนทั้งหมด 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 121,000 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท Cosco Shipping รัฐวิสาหกิจของจีน ถือหุ้น 60% และบริษัท Volcan บริษัทเหมืองแร่ของเปรู ถือหุ้นอยู่ 40% โครงการนี้เริ่มสร้างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (ปี 2562) . ท่าเรือนี้ช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งจากอเมริกาใต้ไปยังเอเชีย เดิมใช้เวลา 30 วัน ให้เหลือแค่ 20 วัน เส้นทางเดินเรือจากเปรู ตรงไปยังนครเซี่ยงไฮ้ของจีน เป็นท่าเรือแห่งแรกทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของอเมริกาใต้ที่จะรองรับเรือขนาดใหญ่ 60 ฟุต ที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้ 24,000 ตู้ คาดว่าในอนาคตจะมีการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 100 ล้านตู้ต่อปี คาดว่าจะมีรายได้สูงถึงปีละ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นตั้ง 1.8% ของ GDP ของประเทศเปรู และสามารถสร้างงานได้ถึง 8 พันกว่าตำแหน่ง . ทีนี้คำถามมีอยู่ว่า ทำไมอเมริกาถึงมีความหวั่นไหวมากกับท่าเรือชานไค สิ่งที่น่าสนใจคือ ท่าเรือชานไคไม่ใช่แค่ท่าเรือ แต่เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งแรกของจีนในลาตินอเมริกา เป็นฐานที่มั่นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ทำให้จีนสามารถควบคุมเส้นทางนำเข้า-ส่งออกในอเมริกาใต้ ในฝั่งแปซิฟิก จนอเมริกาถึงกับหวั่นไหวที่จีนได้ขยายอิทธิพลมายังลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นหลังบ้านของอเมริกานั่นเอง . ประเด็น ณ วันนี้ จีนไม่เพียงสามารถเข้าสู่แหล่งทรัพยากรและแร่ธาตุต่างๆ ในลาตินอเมริกาเท่านั้น จีนยังสามารถจะควบคุมเส้นทางคมนาคม โลจิสติกส์ ได้ด้วย ลึกซึ้งไหม แล้วถ้าเราต่อภาพกับเส้นทางในยุโรปที่บริษัทจีนได้ถือหุ้นใหญ่ในท่าเรือไพรีอัสในประเทศกรีก ท่าเรือวาเลนเซียในสเปน รวมทั้งท่าเรือในเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี และเมืองร็อตเตอร์ดัม ในเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งท่าเรือในศรีลังกา กัมพูชา รถไฟความเร็วสูงในลาว จะเห็นว่ายุทธศาสตร์แถบเส้นทางของจีนได้ครอบคลุมการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ได้มากกว่าครึ่งโลก เพราะทั่วโลกจีนเข้าไปเป็นหุ้นส่วนของท่าเรือสำคัญนี้ ทั่วโลกแล้วกว่า 160 แห่ง ยิ่งเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ทอดทิ้งพันธมิตรชาติต่างๆ ด้วยแล้ว บทบาทของจีนในสวนหลังบ้านของอเมริกาอย่างลาตินอเมริกายิ่งมากขึ้น . อเมริกาทุกวันนี้หวังว่าจะใช้สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ด้วยการขึ้นภาษี การแซงก์ชัน การกีดกันทางการค้าต่างๆ นานาเพื่อปิดล้อมจีน แต่เราต้องไม่ลืมมองด้วยว่า วันนี้แม้แต่หลังบ้านของตัวเอง ก็ยังถูกจีนปิดล้อมทั้งทางด้านทรัพยากรและเส้นทางคมนาคม และโลจิสติกส์ ไว้เกือบทั้งหมดด้วยแล้วครับ
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1291 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกาพ่าย “สงครามเทคโนโลยี” จีนแซงหน้า.ประโยคติดปากกับสโลแกนของนายทรัมป์ คือ "ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง" หรือ Make America Great Again ผมไม่รู้ว่าลึกๆ นายทรัมป์ ให้ความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกายังถือว่าตัวเองยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 28.7 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเราวัดขนาดเศรษฐกิจเทียบกับอำนาจการซื้อ คือขนาดเศรษฐกิจ กับอำนาจการซื้อ PPP (Purchasing Power Priority)ถ้าวัดกันตรงนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าแซงหน้าอเมริกาเรื่องอำนาจในการซื้อข้าวซื้อของ .แต่สิ่งสำคัญกว่าขนาดหรือตัวเลขเศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกว่า "เทคโนโลยีที่มาชี้ขาด" (Critical Technology) มีคำเปรียบเปรยว่า รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้ จีนกลายเป็นศูนย์กลางการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21.เมื่อเดือนสิงหาคม หรือ2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย ที่เขาเรียกว่า Australian Politics Policy Institute ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง"เทคโนโลยีชี้ขาด"(Critical Technology Tracker)ว่า จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ พลังงาน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ของโลกเกือบ 90% หรือมีมากถึง 57 หมวดหมู่ จาก 64 หมวดหมู่เทคโนโลยี แต่ยังเหลืออยู่ 7 สาขา ที่อเมริกายังเป็นผู้นำเช่น สาขาประมวลผลภาษาธรรมชาติ สาขาพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ,เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีบำบัด,วัคซีน ,ดาวเทียมขนาดเล็ก,Quantum Computing และนาฬิกาอะตอม.สื่อThe Economist รายงานและ Voice of America รายงานเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ออกมายอมรับว่าจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำ เขาพบว่าอเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่งด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาดเรียบร้อยแล้ว .ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันชี้ให้เราเห็นว่าช่วงเวลาสำคัญที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง การกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21 การเติบโตของจีนเป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเป็นเรื่องราวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ นี่คือบทเรียนที่สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกต้องรีบทำความเข้าใจ.นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นนามธรรม เพราะธุรกิจอเมริกาที่ควบคุมทุกอย่างในการแข่งขัน ตอนนี้ต้องมาเผชิญความจริงที่ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่าตัวเอง อเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่ง.ทั้งนี้และทั้งนั้นอนาคตเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือแข่งขัน หรือสงครามแห่งความขัดแย้ง ความแข็งแกร่งและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมของจีนผลักดันให้จีนก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำยุคใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลก ท้าทายระเบียบโลกเก่าที่นำโดยสหรัฐฯ
    อเมริกาพ่าย “สงครามเทคโนโลยี” จีนแซงหน้า.ประโยคติดปากกับสโลแกนของนายทรัมป์ คือ "ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง" หรือ Make America Great Again ผมไม่รู้ว่าลึกๆ นายทรัมป์ ให้ความหมายของคำนี้ว่าอย่างไร ทุกวันนี้แม้ว่าอเมริกายังถือว่าตัวเองยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก 28.7 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีน ที่ 28.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเราวัดขนาดเศรษฐกิจเทียบกับอำนาจการซื้อ คือขนาดเศรษฐกิจ กับอำนาจการซื้อ PPP (Purchasing Power Priority)ถ้าวัดกันตรงนี้ เศรษฐกิจจีนถือว่าแซงหน้าอเมริกาเรื่องอำนาจในการซื้อข้าวซื้อของ .แต่สิ่งสำคัญกว่าขนาดหรือตัวเลขเศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะสิ่งที่เขาเรียกว่า "เทคโนโลยีที่มาชี้ขาด" (Critical Technology) มีคำเปรียบเปรยว่า รัฐใดสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ รัฐนั้นสามารถปกครองโลกได้ จีนกลายเป็นศูนย์กลางการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21.เมื่อเดือนสิงหาคม หรือ2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ มีสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย ที่เขาเรียกว่า Australian Politics Policy Institute ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากอเมริกา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง"เทคโนโลยีชี้ขาด"(Critical Technology Tracker)ว่า จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการวิจัยเทคโนโลยีที่สำคัญด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ พลังงาน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเกิดใหม่ของโลกเกือบ 90% หรือมีมากถึง 57 หมวดหมู่ จาก 64 หมวดหมู่เทคโนโลยี แต่ยังเหลืออยู่ 7 สาขา ที่อเมริกายังเป็นผู้นำเช่น สาขาประมวลผลภาษาธรรมชาติ สาขาพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ,เวชศาสตร์นิวเคลียร์และรังสีบำบัด,วัคซีน ,ดาวเทียมขนาดเล็ก,Quantum Computing และนาฬิกาอะตอม.สื่อThe Economist รายงานและ Voice of America รายงานเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ออกมายอมรับว่าจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำ เขาพบว่าอเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่งด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาดเรียบร้อยแล้ว .ข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันชี้ให้เราเห็นว่าช่วงเวลาสำคัญที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง การกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21 การเติบโตของจีนเป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเป็นเรื่องราวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ จีนกำลังผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ นี่คือบทเรียนที่สหรัฐฯ และประเทศทางตะวันตกต้องรีบทำความเข้าใจ.นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นนามธรรม เพราะธุรกิจอเมริกาที่ควบคุมทุกอย่างในการแข่งขัน ตอนนี้ต้องมาเผชิญความจริงที่ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางจีน ซึ่งมีเทคโนโลยีสูงกว่าตัวเอง อเมริกาตอนนี้กลายเป็นอันดับสองไปแล้ว ไม่ใช่อันดับหนึ่ง.ทั้งนี้และทั้งนั้นอนาคตเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือแข่งขัน หรือสงครามแห่งความขัดแย้ง ความแข็งแกร่งและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมของจีนผลักดันให้จีนก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำยุคใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลก ท้าทายระเบียบโลกเก่าที่นำโดยสหรัฐฯ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • Between The Line สี จิ้นผิงถึงโดนัลด์ ทรัมป์.สารที่สี จิ้นผิง ส่งให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น มีความสำคัญอยู่ 4 ข้อความ ผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีใครมานั่งวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่นั่งวิเคราะห์สารของสี จิ้นผิงที่มีนัยลึกซึ้งมาก และ สี จิ้นผิง พูดถึงสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ว่าควรมีลักษณะ 3 อย่าง เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และ ยั่งยืน นัยของคำพูดนี้คือการเตือนสตินายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ควรจะมีความสม่ำเสมอในนโยบาย ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานะอารมณ์ของผู้นำ พรรคการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์ .สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประวัติศาสตร์สอนว่าจีนและสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากความร่วมมือ และจะสูญเสียจากการเผชิญหน้า.ถ้าหากนายทรัมป์ ใช้นโยบาย 'Make America Great Again' คือทำให้อเมริกายิ่งใหญ่กลับมาเหมือนเดิม ด้วยการโดดเดี่ยวและทอดทิ้งชาติพันธมิตร ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้จีนหาเพื่อนเพิ่มได้มากขึ้น และจีนก็จะเป็นผู้นำในด้านที่นายทรัมป์ ทอดทิ้ง เช่น พลังงานใหม่ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือระดับพหุภาคี รวมทั้งการสร้างสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นในระดับอาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา อาจจะรวมถึงยุโรป เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย เสียด้วยซ้ำ.ข้อสุดท้ายคือการเตรียมทางหนีทีไล่ แม้ว่าจีนคาดหวังจะเจรจานายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่จีนก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการการขึ้นภาษี ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนจะทำอย่างไร ? ถ้าเป็นภาษาแถวบ้านผม วัยรุ่นสมัยนี้ ก็คือ แค่ยักไหล่แล้วก็เดินหน้าต่อ เพราะจีนเตรียมการย้ายการผลิตไปยังภูมิภาคอื่นไว้ล่วงหน้าแล้ว จีนไม่ได้แค่เตรียมจะทำ แต่ได้ทำแล้ว บริษัทต่างๆ ของประเทศจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมานานกว่า 8 ปี ไม่มีใครล้มหายตายจาก แต่กลับมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จนวันหนึ่งสามารถตัดขาดการใช้เทคโนโลยีต่างชาติได้ เหมือนกับที่หัวเว่ยประกาศ.จะเห็นได้ชัดว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคนายทรัมป์สมัยแรก มาถึงนายโจ ไบเดน เมื่ออเมริกาจุดประเด็นเรื่องสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี จีนก็เริ่มสร้างตลาดอันใหม่เพื่อมุ่งไปยังตลาดกลุ่มประเทศโลกใต้ที่สามารถทดแทน ชดเชยรายได้จากการส่งออกไปอเมริกาเป็นจำนวนมหาศาล.สรุป ถึงแม้ว่าที่ผ่านๆ มา นายทรัมป์ จะแสดงท่าทีต่อต้านจีนอย่างมาก แต่ว่าเมื่อพูดถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แล้ว นายทรัมป์ กลับมีความเคารพอยู่มาก เคยบอกว่า สี จิ้นผิง เป็นผู้นำที่ชาญฉลาด มีความสามารถในการปกครองประชาชน 1,400 ล้านคน .แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เพิ่งตระหนักว่า ในภาษาจีนยังมีภาษิตอีกสำนวนหนึ่ง ชื่อ เซี่ยนหลี่โฮ่วปิง มีความหมายว่า ใช้ความสุภาพก่อน หากไม่ได้ผลค่อยใช้ไม้แข็งหรือใช้กำลัง.นี่คือบทวิเคราะห์ของผม สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจ ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่กำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคต
    Between The Line สี จิ้นผิงถึงโดนัลด์ ทรัมป์.สารที่สี จิ้นผิง ส่งให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น มีความสำคัญอยู่ 4 ข้อความ ผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีใครมานั่งวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่นั่งวิเคราะห์สารของสี จิ้นผิงที่มีนัยลึกซึ้งมาก และ สี จิ้นผิง พูดถึงสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ว่าควรมีลักษณะ 3 อย่าง เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ และ ยั่งยืน นัยของคำพูดนี้คือการเตือนสตินายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ควรจะมีความสม่ำเสมอในนโยบาย ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานะอารมณ์ของผู้นำ พรรคการเมือง หรือกลุ่มผลประโยชน์ .สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประวัติศาสตร์สอนว่าจีนและสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากความร่วมมือ และจะสูญเสียจากการเผชิญหน้า.ถ้าหากนายทรัมป์ ใช้นโยบาย 'Make America Great Again' คือทำให้อเมริกายิ่งใหญ่กลับมาเหมือนเดิม ด้วยการโดดเดี่ยวและทอดทิ้งชาติพันธมิตร ก็ยิ่งเปิดโอกาสให้จีนหาเพื่อนเพิ่มได้มากขึ้น และจีนก็จะเป็นผู้นำในด้านที่นายทรัมป์ ทอดทิ้ง เช่น พลังงานใหม่ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือระดับพหุภาคี รวมทั้งการสร้างสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นในระดับอาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา อาจจะรวมถึงยุโรป เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย เสียด้วยซ้ำ.ข้อสุดท้ายคือการเตรียมทางหนีทีไล่ แม้ว่าจีนคาดหวังจะเจรจานายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่จีนก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน โดยเฉพาะมาตรการการขึ้นภาษี ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนจะทำอย่างไร ? ถ้าเป็นภาษาแถวบ้านผม วัยรุ่นสมัยนี้ ก็คือ แค่ยักไหล่แล้วก็เดินหน้าต่อ เพราะจีนเตรียมการย้ายการผลิตไปยังภูมิภาคอื่นไว้ล่วงหน้าแล้ว จีนไม่ได้แค่เตรียมจะทำ แต่ได้ทำแล้ว บริษัทต่างๆ ของประเทศจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมานานกว่า 8 ปี ไม่มีใครล้มหายตายจาก แต่กลับมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จนวันหนึ่งสามารถตัดขาดการใช้เทคโนโลยีต่างชาติได้ เหมือนกับที่หัวเว่ยประกาศ.จะเห็นได้ชัดว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคนายทรัมป์สมัยแรก มาถึงนายโจ ไบเดน เมื่ออเมริกาจุดประเด็นเรื่องสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี จีนก็เริ่มสร้างตลาดอันใหม่เพื่อมุ่งไปยังตลาดกลุ่มประเทศโลกใต้ที่สามารถทดแทน ชดเชยรายได้จากการส่งออกไปอเมริกาเป็นจำนวนมหาศาล.สรุป ถึงแม้ว่าที่ผ่านๆ มา นายทรัมป์ จะแสดงท่าทีต่อต้านจีนอย่างมาก แต่ว่าเมื่อพูดถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แล้ว นายทรัมป์ กลับมีความเคารพอยู่มาก เคยบอกว่า สี จิ้นผิง เป็นผู้นำที่ชาญฉลาด มีความสามารถในการปกครองประชาชน 1,400 ล้านคน .แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เพิ่งตระหนักว่า ในภาษาจีนยังมีภาษิตอีกสำนวนหนึ่ง ชื่อ เซี่ยนหลี่โฮ่วปิง มีความหมายว่า ใช้ความสุภาพก่อน หากไม่ได้ผลค่อยใช้ไม้แข็งหรือใช้กำลัง.นี่คือบทวิเคราะห์ของผม สนธิ ลิ้มทองกุล ถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจ ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่กำลังจะดำเนินต่อไปในอนาคต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 676 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sondhitalk EP 268 : ตั้มมันร้าย สุมหัวโกงอีก 39 ล้าน - 151167 (Full)

    - “ตั้ม-นุ-สา”สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน
    - "โจ๊ก”กินแห้ว ส่ออดกลับ ตร.
    - สารเปิดผนึก“สีจิ้นผิง” ถึง “ทรัมป์”
    - “อเมริกา” พ่าย “สงครามเทคโนโลยี”

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitime #ทนายตั้ม #จุดจบทนายตั้ม #โกงเป็นปกติธุระ #โจ๊กสุรเชชษฐ์ #แก๊ง999 #สีจิ้นผิง #ทรัมป์ #สงครามเทคโนโลยี
    Sondhitalk EP 268 : ตั้มมันร้าย สุมหัวโกงอีก 39 ล้าน - 151167 (Full) - “ตั้ม-นุ-สา”สุมหัวฉ้อโกง 39 ล้าน - "โจ๊ก”กินแห้ว ส่ออดกลับ ตร. - สารเปิดผนึก“สีจิ้นผิง” ถึง “ทรัมป์” - “อเมริกา” พ่าย “สงครามเทคโนโลยี” #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitime #ทนายตั้ม #จุดจบทนายตั้ม #โกงเป็นปกติธุระ #โจ๊กสุรเชชษฐ์ #แก๊ง999 #สีจิ้นผิง #ทรัมป์ #สงครามเทคโนโลยี
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    59
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6213 มุมมอง 608 5 รีวิว
  • ตั้มมันร้าย สุมหัวโกงอีก 39 ล้าน Ep268 (live)
    .
    จากเงินเสน่หา สู่ เงิน 39 ล้านจุดตาย “ตั้ม” โกงจนเป็นปกติธุระ โกงจนเป็นสันดาน
    1) คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด “ตั้ม-นุ-สา” สุมหัวฉ้อโกง “พี่อ้อย” 39 ล้านบาท
    2) หึ่ง "โจ๊ก" ส่อแววอดกลับ ตร. ลือศาลปกครองสูงสุดตีตกคำร้อง
    3) ถอดความระหว่างบรรทัด สารเปิดผนึก จาก “สี จิ้นผิง” ถึง “โดนัลด์ ทรัมป์”
    4) “อเมริกา” พ่ายราบคาบ “สงครามเทคโนโลยี” “จีน” แซงหน้า 57 ใน 64 หมวดเทคโนโลยียุคใหม่
    .
    คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=P-qnjrfFxEA
    ตั้มมันร้าย สุมหัวโกงอีก 39 ล้าน Ep268 (live) . จากเงินเสน่หา สู่ เงิน 39 ล้านจุดตาย “ตั้ม” โกงจนเป็นปกติธุระ โกงจนเป็นสันดาน 1) คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด “ตั้ม-นุ-สา” สุมหัวฉ้อโกง “พี่อ้อย” 39 ล้านบาท 2) หึ่ง "โจ๊ก" ส่อแววอดกลับ ตร. ลือศาลปกครองสูงสุดตีตกคำร้อง 3) ถอดความระหว่างบรรทัด สารเปิดผนึก จาก “สี จิ้นผิง” ถึง “โดนัลด์ ทรัมป์” 4) “อเมริกา” พ่ายราบคาบ “สงครามเทคโนโลยี” “จีน” แซงหน้า 57 ใน 64 หมวดเทคโนโลยียุคใหม่ . คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=P-qnjrfFxEA
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 755 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.94 : ไทยแลนด์ ในยุค “ทรัมป์ 2”
    .
    การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ ฝ่าย เพราะว่า ในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัยแรก ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้เปิดฉากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี และในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นายทรัมป์ก็ยังประกาศด้วยว่า เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะขึ้น “ภาษีนำเข้า” กับสินค้าจากทุกประเทศ และ “จัดการ” กับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ...
    .
    คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=Z_mTElGWr6Y

    #Thaitimes
    บูรพาไม่แพ้ Ep.94 : ไทยแลนด์ ในยุค “ทรัมป์ 2” . การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ ฝ่าย เพราะว่า ในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัยแรก ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้เปิดฉากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี และในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นายทรัมป์ก็ยังประกาศด้วยว่า เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะขึ้น “ภาษีนำเข้า” กับสินค้าจากทุกประเทศ และ “จัดการ” กับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ... . คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=Z_mTElGWr6Y #Thaitimes
    บูรพาไม่แพ้ Ep.94 : ไทยแลนด์ ในยุค “ทรัมป์ 2”
    .
    การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ ฝ่าย เพราะว่า ในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัยแรก ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้เปิดฉากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี และในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นายทรัมป์ก็ยังประกาศด้วยว่า เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะขึ้น “ภาษีนำเข้า” กับสินค้าจากทุกประเทศ และ “จัดการ” กับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ...
    .
    คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=Z_mTElGWr6Y
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 738 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.94 : ไทยแลนด์ ในยุค “ทรัมป์ 2”
    .
    การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ ฝ่าย เพราะว่า ในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัยแรก ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้เปิดฉากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี และในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นายทรัมป์ก็ยังประกาศด้วยว่า เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะขึ้น “ภาษีนำเข้า” กับสินค้าจากทุกประเทศ และ “จัดการ” กับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ...
    .
    คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=Z_mTElGWr6Y
    บูรพาไม่แพ้ Ep.94 : ไทยแลนด์ ในยุค “ทรัมป์ 2” . การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ ฝ่าย เพราะว่า ในการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัยแรก ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้เปิดฉากสงครามการค้า-สงครามเทคโนโลยี และในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นายทรัมป์ก็ยังประกาศด้วยว่า เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี จะขึ้น “ภาษีนำเข้า” กับสินค้าจากทุกประเทศ และ “จัดการ” กับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ... . คลิก >> https://www.youtube.com/watch?v=Z_mTElGWr6Y
    Like
    9
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 981 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์ vs.กมลา” ละครปาหี่เลือกตั้งอเมริกา
    .
    วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะมีการเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา การต่อสู้ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นางกมลา แฮร์ริส กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกานั้น สำคัญที่สุด จะส่งผลต่อโลกทั้งใบได้
    .
    ไม่ว่าใครจะชนะ นโยบายอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี แต่ถูกบงการโดยรัฐพันลึกที่เขาเรียกว่า Deep State คือกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน ล็อบบี้ยิสต์ ไปจนถึงเครือข่ายในองค์กรอย่าง CIA, FBI รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, CBS, CNN, New York Times ซึ่งล้วนแล้วแต่ถือหางเลือกสองข้างพรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นเอง
    .
    ทั้งพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ล้วนยึดนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนทั้งนั้น และนโยบายหลายเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ต่อต้านจีน บ่อนเซาะรัสเซีย และรักษาสถานภาพมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ สร้างข่าวปลอม การคว่ำบาตร การทำสงคราม ทั้งสงครามอาวุธและสงครามข้อมูลข่าวสาร
    .
    อำนาจของสหรัฐฯ เสื่อมโทรม ทรุดถอยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาในประเทศอย่างหนักหนาสาหัส เพราะเกิดจากระบบทุนนิยมสามัญของตัวเองที่รังแกประชาชนของตัวเอง และใช้วิธีโยนปัญหาให้ประเทศอื่น เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหลายครั้งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นปั่นป่วนไปด้วย แต่พอแข่งขันไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน ก่อสงครามเทคโนโลยี ส่งผลให้หคนอเมริกาเองต้องใช้สินค้าราคาแพงด้วย
    .
    นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลกจึงเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง นโยบายหลายๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนแต่รูปแบบเท่านั้น โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า นางกมลา แฮร์ริส จะใช้มีดผ่าตัด จัดการแบบเชือดนิ่มๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ ส่วนนายทรัมป์จะใช้ค้อนทุบประเทศคู่แข่งที่เขาบอกว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ
    .
    ในการประชุม BRICS ที่ประเทศรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ประธานาธิบดีเบลารุส ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นละครปาหี่ทางการเมืองที่ห่วยแตกและงี่เง่าที่สุด พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
    “ทรัมป์ vs.กมลา” ละครปาหี่เลือกตั้งอเมริกา . วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จะมีการเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา การต่อสู้ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และ นางกมลา แฮร์ริส กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ทั่วโลกกำลังจับตาดูอยู่มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศๆ หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอเมริกานั้น สำคัญที่สุด จะส่งผลต่อโลกทั้งใบได้ . ไม่ว่าใครจะชนะ นโยบายอเมริกาไม่เปลี่ยนแปลง เพราะการขับเคลื่อนประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดี แต่ถูกบงการโดยรัฐพันลึกที่เขาเรียกว่า Deep State คือกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมพลังงาน ล็อบบี้ยิสต์ ไปจนถึงเครือข่ายในองค์กรอย่าง CIA, FBI รวมทั้งสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็น CNBC, CBS, CNN, New York Times ซึ่งล้วนแล้วแต่ถือหางเลือกสองข้างพรรคการเมืองใหญ่เท่านั้นเอง . ทั้งพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ล้วนยึดนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนทั้งนั้น และนโยบายหลายเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สนับสนุนอิสราเอลให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป ต่อต้านจีน บ่อนเซาะรัสเซีย และรักษาสถานภาพมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเอาไว้ด้วยวิธีการต่างๆ สร้างข่าวปลอม การคว่ำบาตร การทำสงคราม ทั้งสงครามอาวุธและสงครามข้อมูลข่าวสาร . อำนาจของสหรัฐฯ เสื่อมโทรม ทรุดถอยลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาในประเทศอย่างหนักหนาสาหัส เพราะเกิดจากระบบทุนนิยมสามัญของตัวเองที่รังแกประชาชนของตัวเอง และใช้วิธีโยนปัญหาให้ประเทศอื่น เหมือนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยหลายครั้งจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศอื่นปั่นป่วนไปด้วย แต่พอแข่งขันไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้านำเข้าจากจีน ก่อสงครามเทคโนโลยี ส่งผลให้หคนอเมริกาเองต้องใช้สินค้าราคาแพงด้วย . นักวิเคราะห์การเมืองทั่วโลกจึงเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง นโยบายหลายๆ อย่างไม่เปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนแต่รูปแบบเท่านั้น โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่า นางกมลา แฮร์ริส จะใช้มีดผ่าตัด จัดการแบบเชือดนิ่มๆ กับประเทศที่ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ ส่วนนายทรัมป์จะใช้ค้อนทุบประเทศคู่แข่งที่เขาบอกว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ . ในการประชุม BRICS ที่ประเทศรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ประธานาธิบดีเบลารุส ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นละครปาหี่ทางการเมืองที่ห่วยแตกและงี่เง่าที่สุด พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ทุ่มเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่กลับไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1033 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ คุมเข้มการลงทุนในจีน ห้ามลงทุน AI-เซมิคอนดักเตอร์-คอมพิวเตอร์ควอนตัม หวั่นถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหารและไซเบอร์ ครอบคลุมถึงการช่วยเหลือด้านการจัดการและบุคลากร ด้านจีนโต้กลับทันที ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว

    31 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวIMCT News Thai Perspective ระบุว่า สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีนทวีความเข้มข้น เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการขั้นสุดท้ายจำกัดการลงทุนในภาคเทคโนโลยีสำคัญของจีน ซึ่งอาจมีการใช้เร็วๆ นี้

    โดยห้ามพลเมืองสหรัฐฯ ผู้พำนักถาวร และบริษัทสัญชาติอเมริกัน ลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัม พร้อมกำหนดให้นักลงทุนต้องรายงานการลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง มาตรการนี้ครอบคลุมถึงผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ อาทิ การช่วยเหลือด้านการจัดการ การเข้าถึงเครือข่ายการลงทุน และการใช้บุคลากรที่มีความสามารถ

    สืบเนื่องจากคำสั่งปีที่แล้วของประธานาธิบดีไบเดนที่วิตกว่าการลงทุนของสหรัฐฯ อาจถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหาร การข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศคู่แข่ง ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง กล่าวหาสหรัฐฯ พยายามต่อต้านโลกาภิวัตน์และกีดกันจีน พร้อมยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว

    ที่มา : imctnews
    https://www.facebook.com/share/p/15RRz3U8X9/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    สหรัฐฯ คุมเข้มการลงทุนในจีน ห้ามลงทุน AI-เซมิคอนดักเตอร์-คอมพิวเตอร์ควอนตัม หวั่นถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหารและไซเบอร์ ครอบคลุมถึงการช่วยเหลือด้านการจัดการและบุคลากร ด้านจีนโต้กลับทันที ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว 31 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวIMCT News Thai Perspective ระบุว่า สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีนทวีความเข้มข้น เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการขั้นสุดท้ายจำกัดการลงทุนในภาคเทคโนโลยีสำคัญของจีน ซึ่งอาจมีการใช้เร็วๆ นี้ โดยห้ามพลเมืองสหรัฐฯ ผู้พำนักถาวร และบริษัทสัญชาติอเมริกัน ลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ และคอมพิวเตอร์ควอนตัม พร้อมกำหนดให้นักลงทุนต้องรายงานการลงทุนในเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง มาตรการนี้ครอบคลุมถึงผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ อาทิ การช่วยเหลือด้านการจัดการ การเข้าถึงเครือข่ายการลงทุน และการใช้บุคลากรที่มีความสามารถ สืบเนื่องจากคำสั่งปีที่แล้วของประธานาธิบดีไบเดนที่วิตกว่าการลงทุนของสหรัฐฯ อาจถูกใช้พัฒนาศักยภาพทางทหาร การข่าวกรอง การเฝ้าระวัง และความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศคู่แข่ง ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง กล่าวหาสหรัฐฯ พยายามต่อต้านโลกาภิวัตน์และกีดกันจีน พร้อมยื่นคำประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว ที่มา : imctnews https://www.facebook.com/share/p/15RRz3U8X9/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 676 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงครามเทคโนโลยี(Tech War)ล่าสุดที่ใช้เครื่องเพจเจอร์สังหารคนเลบานอนและซีเรีย เป็นสัญญาณเตือนให้โลกทราบว่าห่วงโซ่อุปทานใดๆที่สหรัฐฯและอิสราเอลเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ถือว่าไม่ปลอดภัยเป็นอันตรายถึงตาย นี่คือสาเหตุที่อเมริกาและชาติตะวันตกกลัวบริษัทจีนอย่าง Huawei เนื่องจากHuaweiอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา

    #Thaitimes
    สงครามเทคโนโลยี(Tech War)ล่าสุดที่ใช้เครื่องเพจเจอร์สังหารคนเลบานอนและซีเรีย เป็นสัญญาณเตือนให้โลกทราบว่าห่วงโซ่อุปทานใดๆที่สหรัฐฯและอิสราเอลเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ถือว่าไม่ปลอดภัยเป็นอันตรายถึงตาย นี่คือสาเหตุที่อเมริกาและชาติตะวันตกกลัวบริษัทจีนอย่าง Huawei เนื่องจากHuaweiอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา #Thaitimes
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1208 มุมมอง 0 รีวิว