• 19-09-67/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.40 ชื่อตอนว่า "FCUKING DAMN GOOD KILL(THEM ALL)" ดาหน้าตายห่ารายวัน แข่งทำยอดทะลุเป้า มรึงจะแข่งกันไปโอลิมปิคเหรอ? ระเบิดเพจเจอร์ แผนกิ๊กก๊อก! "สิ้นคิด" ที่เดรัจฉานมันจนตรอก ตั้งใจยั่วโมโหอิหร่าน เลบานอนโดยเฮซบอเลาะห์บอก "เดี๋ยวมรึงได้ตายห่าเป็นหมู่คณะแน่" แค่เพจเจอร์ ประปราย เจอพลีชีพไดนาไมค์อีกรอบ คราวนี้ เอาศูนย์การเยรูซาเล็มแม่งซะเลย! ชัดเจนแล้วว่า "อียิวสู้ตายถวายหัว แล้วจะได้ตายห่าสมใจนึกวังบูรพา" อย่าคิดว่าเหี้ยมะกันอยู่ไกลแล้วจะรอด มรึงรอดูระเบิดโผล่กลางเมืองให้ดีดี ทุกรัฐในอเมริกามีชุมชนมุสลิมหมดเกลี้ยง จะรัฐไหน ต้องไปเสี่ยงทายเอาเอง? เมื่อเกมส์มันเปลี่ยนจากสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ เพราะแพ้ยับ หันมาก่อการร้ายแทน ซึ่งเหี้ย C มันก็ทำประจำอยู่แล้ว เหี้ยมา เหี้ยกลับไม่มีโกง ทหารยิวตายห่าวันละ 1000 ยังไม่หนำใจมรึงอีกเหรอ? อยากได้วันละ 10000 ก็ไม่บอก? จะรีบชิงไปตายห่ากันไปถึงไหน? มรึงดูสิ่งที่เหี้ยมันทำ ใช้เพจเจอร์ ไม่สามารถบรรลุเป้าใหญ่ได้ เพจเจอร์ระเบิดไป 2800 เครื่อง ตายห่าแค่ 9 มันจะได้อะไร สู้ทหารไม่ได้ เก่งแต่ไล่ฆ่าประชาชน นี่คือ "อียิว" เป้าหมายคือ "ท้าชนอิหร่าน เลบานอน" ไอ้ที่มรึงโดนทุกวันเนี่ย ตายห่าในสมรภูมิรบยังไม่พอ จะลากความตายให้เข้าสู่ชุมชนเมือง หวังลากประชากรควายยิวให้เข้าสู่สงครามเต็มตัว ให้เห็นด้วยกับสงคราม ทั้งๆ ที่มรึงเป็นคนเริ่มก่อสงครามเอง นี่แหละ สูตรสำเร็จความใคร่อีเหี้ยตอแหลจัญไรโลก ไม่มีไอ้อีหน้าไหน ระยำสลัดหมาได้เท่า "อียิว" อีกแล้ว เรื่องเหี้ยๆ มันเอาหมด! สโนว์เดนแฉยับ แผนใช้ระเบิดเพจเจอร์ มีมานานแล้ว เหี้ย C คือตัวการ สั่งการระเบิดโดยผ่านแบตเตอรี่ ส่งสัญญานรบกวน SOFTWARE ในเครื่องให้ร้อนจัดกระทันหัน ฆ่าได้ไม่กี่คน? แต่สิ่งที่จะตามมาคือ "โลกอาหรับ มุสลิม จะไม่หันไปใช้อุปกรณ์สื่อสารของตะวันตกอีกตลอดไป" ใครเจ๊งล่ะ? แผนใช้ครั้งเดียว ฉิบหายทั้งอุตสาหกรรม มันไม่ใช่โง่ดอก แต่มันต้องการล่มสลายทั้งโลก ทำลายทุกอย่าง เศรษฐกิจ การค้า การคลัง การเงิน ตลาดหุ้น โลจิสติค เอาให้เจ๊งกันหมดทั้งโลก เพื่อเป้าหมายเดียว "มาฆ่ากันเหอะ" กูไม่ยอมตายเดี่ยวอยู่แล้ว ข้ามวิกแป๊บ : ยามเมื่อแสงสาดส่อง สิ่งโสมมก็อยู่ไม่ได้ หลังอสส.สั่งฟ้อง 8 เจ้าหน้าที่ขนย้ายผู้ชุมนุมหน้าสภ.ตากใบ ปกติอีอัยกวย ไม่ทำห่าอะไรดอก วันวันจ้องจะหาแดร๊ก แต่งานนี้ใบสั่ง เดินเช็คบิลของเก่าให้ราบคาบ คดีตากใบ ที่วิญญานเหล่าวีรชนรอคอยการพิพากษาจากสวรรค์ ดอกนี้ มันจะส่งไปถึงคำสั่งฆ่า วิสามัญโดยตั้งใจไว้ก่อนแล้ว ใครเป็นนายกฯ ยุคนั้นกันล่ะ? ทำไมเค้าจะสาวไส้ไม่ถึง หลักฐานคามือมานานแล้ว แค่รอเวลาเช็คบิล ยามขาลง หมาไม่แล ทุกอย่างจะถูกเรียกคืนทั้งหมด อีเหลี่ยมเหี้ยมันไม่ได้กลัวคุกดอก เพราะมันไม่คิดจะอยู่ชัวร์ เผ่นแน่นอน ไม่จ่ายก็ต้องเผ่น ไปคนเดียวก็ไม่ได้ ลูกหลานเป็นตัวประกัน ต้องเอาไปทั้งโคตรเดรัจฉานตระกูล เพื่อไม่ให้เอามาต่อรองได้ แล้วค่อยไปตายห่านอกแผ่นดินไทย คดีตากใบ ใครก็ไม่รู้ สั่งให้รื้อ สั่งให้เคลียร์ทุกอย่างชัดเจน ใครเอี่ยวไม่เอี่ยว ใครมีส่วนฆ่าคนใต้หัวใจรักชาติ มรึงไม่รอด ใครไม่ทำ ใครละเว้นปฎิบัติหน้าที่ สั่งเชือดทันที ที่มาอีอัยกวยถึงได้ดิ้นพล่านช่วงนี้ เปิดคดี รื้อคดีกันเป็นว่าเล่น คนที่คุณคิดว่าไม่น่าจะใช่ คือคนบีบเกมส์อัยกวยเอง "ทหารสั่ง" โดยเฉพาะทหารที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ อุ๊ปส์! วันนี้อารมณ์ดี จะเผยแผนสวรรค์ให้รู้ 1 ข้อ หลายคนนึกไม่ออก มองไม่ทะลุ ว่าจะจัดการนักการเมืองชั่วในแผ่นดินนี้ยังไง ทหารเค้าเดินหมากล้ำลึกกว่านั้นเยอะ มรึงมองว่ายาก แต่ทหารมองว่าง่ายนิดเดียว แค่โดนคดีติดตัว แค่ยึดทรัพย์ทั้งหมด มรึงคิดว่ามันจะอยู่ให้โง่เหรอ? เผ่นกันออกนอกหมดทั้งคอก พร้อมเงินบาปเท่าที่เก็บได้นั่นแหละ เสธ.แดง ถูกมอบหมายให้มากวาดล้างบางไอ้อีหนักแผ่นดิน และอีจัญไรขายชาติ อีเหลี่ยมชั่วทั้งตระกูล มือไม่ถึงทำไม่ได้ ใจไม่เด็ดเดี่ยว ทำไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์สินนักการเมืองที่โกงมา ที่ซื้อไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ดิน ใบตราสารหนี้ หุ้น สังหาริมทรัพย์ ทั้งหมด รัฐยึดคืนได้โดยถูกกฎหมาย หลักศาลไคฟงมอบตราประทับให้เบ็ดเสร็จ งานนี้ ศาล กองทัพ วัง เค้าคุมเกมส์เบ็ดเสร็จนานแล้ว มรึงคิดว่าการที่อีเหลี่ยมชั่วกลับมาได้ ลุงตู่ไปกวักมือเรียกเข้ามาเพื่ออะไรกันล่ะ? เป้าหมายคือยึดทรัพย์สินคืนแผ่นดิน นี่คือคีย์ของเรื่องราวทั้งหมด แหล่งฟอกเงินของนักการเมืองทั้งหมด มีเหรอ ทหารไม่รู้? เค้าจ้องกันมาหลายปีแล้ว อะไรที่เหี้ยมันหวงที่สุด นั่นคือ "ทรัพย์สิน" ไงล่ะ เด็ดหัวใจเหี้ยออกมา เดี๋ยวมันเผ่นไปเอง ไม่ต้องไล่? มรึงรู้มั้ยว่า ทำไมทหารถึงจ้องตรงนี้ เพราะเปิดโพยดู ไอ้สัส ทรัพย์สินนักการเมืองในไทย มีรวมกันมากกว่า 5 แสนล้านบาท เงินเอามาจากไหนกันล่ะ? ล้างบางประเทศ คือยึดทรัพย์ ไล่นักการเมืองเหี้ยออกไป กำจัดสายป่านขบวนการขายชาติ แยกดินแดน ทั้งหมด อยู่ในแผนนานแล้ว! แค่รอโอกาสที่ใช่ จังหวะที่เหมาะสม ก็เวลานี้แหละ! ดูกันต่อไป อสรพิษโผล่ชัวร์ เหี้ยหางโผล่หมดแล้ว เผยไต๋หมดสิ้น เกมส์นี้ มือต้องถึง ใจต้องหนักแน่น ไม่พูดเยอะ "ฆ่าอย่างเดียว"

    ปล.สัญญานชัด เหี้ยเข้าสู่วิกฤตแล้ว เล่นทุกดอก เอาทุกเม็ด ไม่สนวิธีการ เพราะภาพสวยงามที่โลกจดจำ มันไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้ว ขั้วใหม่เดินหมากชั้นสูง จะฆ่าอเมริกา ต้องล่ออียิว เพราะขี้ข้ายังไงก็ต้องช่วยนายใหญ่ พากันลงเหวดิ่งนรกทั้งหมู่คณะ ขั้วใหม่ ฆ่าอย่างเลือดเย็น ทำลายทุกอย่างที่อียิวสร้างเอาไว้ อาณาจักรมรึงล่มสลายชัวร์ ไปสร้างรัฐยิวใหม่ต่อน่ะ เดี๋ยวค่อยตามไปถล่มภายหลัง อีก 100 ปี แก้แค้นก็ยังไม่สาย? ล่าสุด อียิวขาดแคลนทุกอย่าง แม้แต่นายพล แม้แต่อังกฤษ อเมริกา นายพลระดับสั่งการก็ขาดแคลนหนัก เพราะไปติดอยู่ที่สวนสัตว์มอสโคว์ซะเยอะ เมื่อเดินเกมส์สงครามเต็มรูปแบบไม่ได้ ยิวก็ใช้วิธีที่มันถนัดคือก่อการร้ายไงล่ะ? ซึ่งมาทรงนี้ เข้าทางตรีน 3 ฮอ ทันที เหี้ยแค่ไหน ก็แค่ขี้ตรีน "ฮามาส ฮูตี เฮซบอเลาะห์" เพราะกูฆ่ามาเยอะแล้ว ตายห่าเป็นหมื่น โปรดดูวิธีการต่อสู้ รัสเซียใช้ทหารรับจ้าง WAGNER ภายใต้กองทัพ Z จัดการทหารนาโต้ ทหารรับจ้างเหี้ยมะกัน ด้านตะวันออกกลาง อิหร่านส่งเยเมนศิษย์หนองปลาไหล เลบานอนส่งเฮซบอเลาะห์ศิษย์ฉมวกขาว ปาเลสไตน์ส่งฮามาสศิษย์หนองปลาดู่ เข้าประกวด เหี้ยขี้ตรีนไอซิส ทหารอิสราเอล ทหารนาโต้ ตายห่าเกลื่อน ไม่ต้องนับศพ เพราะระเหยไปในอากาศ ครั้นพอจะหันมาล่อแปซิฟิค เจอทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน ร่วมซ้อมรบ 5 ทวีป มรึงยังต้องให้แปลต่อมุย? เหี้ยมันกระจอกกว่าที่มรึงคิด ทุกอย่างที่มันทำ ทำได้แต่เรื่องปาหี่ ฆ่าได้แต่พลเรือน เก่งแต่เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ คนท้อง หมายังอายแทน! อียิวมันจนตรอกขั้นสูงสุดแล้ว สันดานโผล่ เหี้ยสุดกระดาน ไอ้ที่ออกมาประท้วงขับไล่อีแพะเนรคุณทันยา มันแค่สตรอรี่เอาตัวรอด? พวกมรึงต่างรู้เห็นการล้มตายของชาวปาเลสไตน์ต่อหน้าต่อตาทุกวัน พอความตายมาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน เสือกจะล้างตัวเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น ไอ้สายพันธุ์ชาติชั่ว เลวระยำสลัดหมา อัปรีย์จัญไร ชิงหมามาเกิด? แม้แต่องค์กรเหี้ยสากลโลกยังอยู่ไม่ได้ มติอะไร เค้าก็ไม่สนแล้ว โลกเดินตามปูติน สีจิ้นผิงกันหมด แหกตาดูหน่อยน่ะ? อีเบียร์กระอักเลือด สั่งปิดพรมแดนเพื่อนบ้านแล้ว หนีปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง ตั้งแต่ยุคอีป้าแมร์เคิล นั่นคือเปิดศึกเข้าบ้านไงล่ะ ม้าไม้เมืองทรอย เข้ามาอยู่แล้วทำอะไรจ๊ะ? ก่อการร้ายไงจ๊ะ? ใครจ่ายจ๊ะ? ก็เหี้ยยิวไงจ๊ะ? บั่นทองความมั่นคงอีเบียร์เหรอจ๊ะ? ใช่ไงจ๊ะอีโง่! แล้วมรึงยังเสือกจะไปรับใช้อียิวอีกเหรอจ๊ะ? ใช่สิจ๊ะ เพราะผู้นำกูเป็นขี้ข้าใต้ตรีนยิวไงล่ะจ๊ะ? ประเทศมรึงก็จบแล้วสิจ๊ะ? จะไปเหลือเหรอจ๊ะ? ไปกันหมดทั้งยุโรปล่ะจ๊ะ? เพราะฉายา "อีโง่ยุโรป" ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยไงล่ะจ๊ะ? จับตาดูเกมส์ฆ่าล้างโคตรอียิว คนตายแค่ 9 คน หรือจะเป็นสิบก็ช่าง ระเบิดเพจเจอร์มันเก่าไปแล้ว งวดนี้ มรึงต้องได้แดร๊ก "มินิคุ๊กกี้รสปลาหมึกย่าง" เท่านั้น เฮซบอเลาะห์ล็อคเป้า 3 เมืองใหญ่ เยรูซาเล็ม ไฮฟา เทลอาวีฟ ระเบิดพลีชีพต้องมา ไฮเปอร์โซนิคต้องแรง มรึงฆ่าพลเรือนกูเท่าไหร่ เดี๋ยวกูจัดหนักให้ 10 เท่า เสี้ยนจัดซะขนาดนี้ ไม่ต้องถึงมือลวกเพ่กูดอก แค่กูก็กระทืบมรึงตายคาตรีนได้สบาย สหบาทามาเต็ม เยเมน เลบานอน ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ปาเลสไตน์ แม้แต่บางประเทศในแอฟริกาก็ประกาศท้ารบอียิวแล้ว มันส์ล่ะมรึง หากไม่มีรัสเซีย จีน เข้าร่วม มันก็แค่สงครามในภูมิภาค ยังไม่ใช่ WWIII อย่างที่อียิวต้องการ แก้เกมส์กันทันตาเห็น เพราะตอนนี้ ตะวันออกกลาง ไม่เหลือเป้าหมายให้ถล่มแล้ว พังราบคาบไปหมดเกลี้ยง ชุดใหญ่รัสเซีย จีน เค้าไปรวมตัวกันในแปซิฟิค เอเซียใต้หมดแล้ว เหี้ยดิ้นไม่หลุด ขั้วใหม่มีขุมกำลังมากกว่า และได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรบนานวัน BRICS ยิ่งโตจนห้ามไม่อยู่ สกัดไม่ได้! ด้านสงครามเศรษฐกิจ จีนเดินหน้าทุบอุตสาหกรรมตะวันตก และอีขี้ข้าทั้งหลาย เดินหน้าแผนเส้นทางสายไหม ตบหน้าอีแขกภาระตะ ไหนมรึงคิดจะวัดรอยตรีนกูไง? ตามมาเลยเพื่อน เดี๋ยวได้เห็น เส้นสายสายไหม กับเส้นทางโรตี ใครจะไปถึงฝั่งฝันก่อนกัน? แค่มรึงจับมือเหี้ยยิว ชีวิตก็เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว รอวัน BRICS ถีบออกอย่างเดียว อย่าซ่าส์ หากไม่แน่จริง อย่าคิดว่าแน่ หากยังต้องพึ่งพารัสเซีย จีน อยู่ บทเรียนไม่จำ

    ปล.2 COME ON.. คนระดับนี้ เป็นถึงเสธ.ทหาร ทหารราชองครักษ์ มีเหรอจะไม่รู้กฎระเบียบ วินัยมาเต็ม รู้ดีทุกอย่าง เคร่งครัดเสมอ แล้วทำไมถูกลงโทษ "ก็นายสั่งไงจ๊ะ" ทหารกล้าผู้เสียสละ ยอมเป็นแพะได้เสมอ เพื่อหมากที่วางไว้จะได้สมจริง รู้เท่านี้พอ.. ไอ้สัส!

    หมี CNN(ฆ่ากันทำไม? ได้อะไร? อะไรน่ะ อียิวมันเสี้ยนจัดขอมาเหรอ? แล้วไม่บอก จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เลย อยากตายเป็นหมู่คณะก็ไม่บอก NATO EU มันไปไม่รอดแล้ว หนาวนี้มาแล้ว มรึงเตรียมโดนศึกหนัก ทั้งในและนอก ปล่อยให้มันฆ่ากันเองก่อน แล้วค่อยปูพรมเข้าไปยึดโดยคุณยายละม่อม ไม่ต้องเสียกระสุนซักนัด ยุโรปตีกันเละเทะ สภาพอย่างงี้ ยังจะรบ)
    19 กย. 67
    10.40 น.

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    19-09-67/01 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.40 ชื่อตอนว่า "FCUKING DAMN GOOD KILL(THEM ALL)" ดาหน้าตายห่ารายวัน แข่งทำยอดทะลุเป้า มรึงจะแข่งกันไปโอลิมปิคเหรอ? ระเบิดเพจเจอร์ แผนกิ๊กก๊อก! "สิ้นคิด" ที่เดรัจฉานมันจนตรอก ตั้งใจยั่วโมโหอิหร่าน เลบานอนโดยเฮซบอเลาะห์บอก "เดี๋ยวมรึงได้ตายห่าเป็นหมู่คณะแน่" แค่เพจเจอร์ ประปราย เจอพลีชีพไดนาไมค์อีกรอบ คราวนี้ เอาศูนย์การเยรูซาเล็มแม่งซะเลย! ชัดเจนแล้วว่า "อียิวสู้ตายถวายหัว แล้วจะได้ตายห่าสมใจนึกวังบูรพา" อย่าคิดว่าเหี้ยมะกันอยู่ไกลแล้วจะรอด มรึงรอดูระเบิดโผล่กลางเมืองให้ดีดี ทุกรัฐในอเมริกามีชุมชนมุสลิมหมดเกลี้ยง จะรัฐไหน ต้องไปเสี่ยงทายเอาเอง? เมื่อเกมส์มันเปลี่ยนจากสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ เพราะแพ้ยับ หันมาก่อการร้ายแทน ซึ่งเหี้ย C มันก็ทำประจำอยู่แล้ว เหี้ยมา เหี้ยกลับไม่มีโกง ทหารยิวตายห่าวันละ 1000 ยังไม่หนำใจมรึงอีกเหรอ? อยากได้วันละ 10000 ก็ไม่บอก? จะรีบชิงไปตายห่ากันไปถึงไหน? มรึงดูสิ่งที่เหี้ยมันทำ ใช้เพจเจอร์ ไม่สามารถบรรลุเป้าใหญ่ได้ เพจเจอร์ระเบิดไป 2800 เครื่อง ตายห่าแค่ 9 มันจะได้อะไร สู้ทหารไม่ได้ เก่งแต่ไล่ฆ่าประชาชน นี่คือ "อียิว" เป้าหมายคือ "ท้าชนอิหร่าน เลบานอน" ไอ้ที่มรึงโดนทุกวันเนี่ย ตายห่าในสมรภูมิรบยังไม่พอ จะลากความตายให้เข้าสู่ชุมชนเมือง หวังลากประชากรควายยิวให้เข้าสู่สงครามเต็มตัว ให้เห็นด้วยกับสงคราม ทั้งๆ ที่มรึงเป็นคนเริ่มก่อสงครามเอง นี่แหละ สูตรสำเร็จความใคร่อีเหี้ยตอแหลจัญไรโลก ไม่มีไอ้อีหน้าไหน ระยำสลัดหมาได้เท่า "อียิว" อีกแล้ว เรื่องเหี้ยๆ มันเอาหมด! สโนว์เดนแฉยับ แผนใช้ระเบิดเพจเจอร์ มีมานานแล้ว เหี้ย C คือตัวการ สั่งการระเบิดโดยผ่านแบตเตอรี่ ส่งสัญญานรบกวน SOFTWARE ในเครื่องให้ร้อนจัดกระทันหัน ฆ่าได้ไม่กี่คน? แต่สิ่งที่จะตามมาคือ "โลกอาหรับ มุสลิม จะไม่หันไปใช้อุปกรณ์สื่อสารของตะวันตกอีกตลอดไป" ใครเจ๊งล่ะ? แผนใช้ครั้งเดียว ฉิบหายทั้งอุตสาหกรรม มันไม่ใช่โง่ดอก แต่มันต้องการล่มสลายทั้งโลก ทำลายทุกอย่าง เศรษฐกิจ การค้า การคลัง การเงิน ตลาดหุ้น โลจิสติค เอาให้เจ๊งกันหมดทั้งโลก เพื่อเป้าหมายเดียว "มาฆ่ากันเหอะ" กูไม่ยอมตายเดี่ยวอยู่แล้ว ข้ามวิกแป๊บ : ยามเมื่อแสงสาดส่อง สิ่งโสมมก็อยู่ไม่ได้ หลังอสส.สั่งฟ้อง 8 เจ้าหน้าที่ขนย้ายผู้ชุมนุมหน้าสภ.ตากใบ ปกติอีอัยกวย ไม่ทำห่าอะไรดอก วันวันจ้องจะหาแดร๊ก แต่งานนี้ใบสั่ง เดินเช็คบิลของเก่าให้ราบคาบ คดีตากใบ ที่วิญญานเหล่าวีรชนรอคอยการพิพากษาจากสวรรค์ ดอกนี้ มันจะส่งไปถึงคำสั่งฆ่า วิสามัญโดยตั้งใจไว้ก่อนแล้ว ใครเป็นนายกฯ ยุคนั้นกันล่ะ? ทำไมเค้าจะสาวไส้ไม่ถึง หลักฐานคามือมานานแล้ว แค่รอเวลาเช็คบิล ยามขาลง หมาไม่แล ทุกอย่างจะถูกเรียกคืนทั้งหมด อีเหลี่ยมเหี้ยมันไม่ได้กลัวคุกดอก เพราะมันไม่คิดจะอยู่ชัวร์ เผ่นแน่นอน ไม่จ่ายก็ต้องเผ่น ไปคนเดียวก็ไม่ได้ ลูกหลานเป็นตัวประกัน ต้องเอาไปทั้งโคตรเดรัจฉานตระกูล เพื่อไม่ให้เอามาต่อรองได้ แล้วค่อยไปตายห่านอกแผ่นดินไทย คดีตากใบ ใครก็ไม่รู้ สั่งให้รื้อ สั่งให้เคลียร์ทุกอย่างชัดเจน ใครเอี่ยวไม่เอี่ยว ใครมีส่วนฆ่าคนใต้หัวใจรักชาติ มรึงไม่รอด ใครไม่ทำ ใครละเว้นปฎิบัติหน้าที่ สั่งเชือดทันที ที่มาอีอัยกวยถึงได้ดิ้นพล่านช่วงนี้ เปิดคดี รื้อคดีกันเป็นว่าเล่น คนที่คุณคิดว่าไม่น่าจะใช่ คือคนบีบเกมส์อัยกวยเอง "ทหารสั่ง" โดยเฉพาะทหารที่เพิ่งจะตกงานมาหมาดๆ อุ๊ปส์! วันนี้อารมณ์ดี จะเผยแผนสวรรค์ให้รู้ 1 ข้อ หลายคนนึกไม่ออก มองไม่ทะลุ ว่าจะจัดการนักการเมืองชั่วในแผ่นดินนี้ยังไง ทหารเค้าเดินหมากล้ำลึกกว่านั้นเยอะ มรึงมองว่ายาก แต่ทหารมองว่าง่ายนิดเดียว แค่โดนคดีติดตัว แค่ยึดทรัพย์ทั้งหมด มรึงคิดว่ามันจะอยู่ให้โง่เหรอ? เผ่นกันออกนอกหมดทั้งคอก พร้อมเงินบาปเท่าที่เก็บได้นั่นแหละ เสธ.แดง ถูกมอบหมายให้มากวาดล้างบางไอ้อีหนักแผ่นดิน และอีจัญไรขายชาติ อีเหลี่ยมชั่วทั้งตระกูล มือไม่ถึงทำไม่ได้ ใจไม่เด็ดเดี่ยว ทำไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์สินนักการเมืองที่โกงมา ที่ซื้อไว้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่ดิน ใบตราสารหนี้ หุ้น สังหาริมทรัพย์ ทั้งหมด รัฐยึดคืนได้โดยถูกกฎหมาย หลักศาลไคฟงมอบตราประทับให้เบ็ดเสร็จ งานนี้ ศาล กองทัพ วัง เค้าคุมเกมส์เบ็ดเสร็จนานแล้ว มรึงคิดว่าการที่อีเหลี่ยมชั่วกลับมาได้ ลุงตู่ไปกวักมือเรียกเข้ามาเพื่ออะไรกันล่ะ? เป้าหมายคือยึดทรัพย์สินคืนแผ่นดิน นี่คือคีย์ของเรื่องราวทั้งหมด แหล่งฟอกเงินของนักการเมืองทั้งหมด มีเหรอ ทหารไม่รู้? เค้าจ้องกันมาหลายปีแล้ว อะไรที่เหี้ยมันหวงที่สุด นั่นคือ "ทรัพย์สิน" ไงล่ะ เด็ดหัวใจเหี้ยออกมา เดี๋ยวมันเผ่นไปเอง ไม่ต้องไล่? มรึงรู้มั้ยว่า ทำไมทหารถึงจ้องตรงนี้ เพราะเปิดโพยดู ไอ้สัส ทรัพย์สินนักการเมืองในไทย มีรวมกันมากกว่า 5 แสนล้านบาท เงินเอามาจากไหนกันล่ะ? ล้างบางประเทศ คือยึดทรัพย์ ไล่นักการเมืองเหี้ยออกไป กำจัดสายป่านขบวนการขายชาติ แยกดินแดน ทั้งหมด อยู่ในแผนนานแล้ว! แค่รอโอกาสที่ใช่ จังหวะที่เหมาะสม ก็เวลานี้แหละ! ดูกันต่อไป อสรพิษโผล่ชัวร์ เหี้ยหางโผล่หมดแล้ว เผยไต๋หมดสิ้น เกมส์นี้ มือต้องถึง ใจต้องหนักแน่น ไม่พูดเยอะ "ฆ่าอย่างเดียว" ปล.สัญญานชัด เหี้ยเข้าสู่วิกฤตแล้ว เล่นทุกดอก เอาทุกเม็ด ไม่สนวิธีการ เพราะภาพสวยงามที่โลกจดจำ มันไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้ว ขั้วใหม่เดินหมากชั้นสูง จะฆ่าอเมริกา ต้องล่ออียิว เพราะขี้ข้ายังไงก็ต้องช่วยนายใหญ่ พากันลงเหวดิ่งนรกทั้งหมู่คณะ ขั้วใหม่ ฆ่าอย่างเลือดเย็น ทำลายทุกอย่างที่อียิวสร้างเอาไว้ อาณาจักรมรึงล่มสลายชัวร์ ไปสร้างรัฐยิวใหม่ต่อน่ะ เดี๋ยวค่อยตามไปถล่มภายหลัง อีก 100 ปี แก้แค้นก็ยังไม่สาย? ล่าสุด อียิวขาดแคลนทุกอย่าง แม้แต่นายพล แม้แต่อังกฤษ อเมริกา นายพลระดับสั่งการก็ขาดแคลนหนัก เพราะไปติดอยู่ที่สวนสัตว์มอสโคว์ซะเยอะ เมื่อเดินเกมส์สงครามเต็มรูปแบบไม่ได้ ยิวก็ใช้วิธีที่มันถนัดคือก่อการร้ายไงล่ะ? ซึ่งมาทรงนี้ เข้าทางตรีน 3 ฮอ ทันที เหี้ยแค่ไหน ก็แค่ขี้ตรีน "ฮามาส ฮูตี เฮซบอเลาะห์" เพราะกูฆ่ามาเยอะแล้ว ตายห่าเป็นหมื่น โปรดดูวิธีการต่อสู้ รัสเซียใช้ทหารรับจ้าง WAGNER ภายใต้กองทัพ Z จัดการทหารนาโต้ ทหารรับจ้างเหี้ยมะกัน ด้านตะวันออกกลาง อิหร่านส่งเยเมนศิษย์หนองปลาไหล เลบานอนส่งเฮซบอเลาะห์ศิษย์ฉมวกขาว ปาเลสไตน์ส่งฮามาสศิษย์หนองปลาดู่ เข้าประกวด เหี้ยขี้ตรีนไอซิส ทหารอิสราเอล ทหารนาโต้ ตายห่าเกลื่อน ไม่ต้องนับศพ เพราะระเหยไปในอากาศ ครั้นพอจะหันมาล่อแปซิฟิค เจอทั้งจีน รัสเซีย อิหร่าน ร่วมซ้อมรบ 5 ทวีป มรึงยังต้องให้แปลต่อมุย? เหี้ยมันกระจอกกว่าที่มรึงคิด ทุกอย่างที่มันทำ ทำได้แต่เรื่องปาหี่ ฆ่าได้แต่พลเรือน เก่งแต่เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ คนท้อง หมายังอายแทน! อียิวมันจนตรอกขั้นสูงสุดแล้ว สันดานโผล่ เหี้ยสุดกระดาน ไอ้ที่ออกมาประท้วงขับไล่อีแพะเนรคุณทันยา มันแค่สตรอรี่เอาตัวรอด? พวกมรึงต่างรู้เห็นการล้มตายของชาวปาเลสไตน์ต่อหน้าต่อตาทุกวัน พอความตายมาเยือนถึงหน้าประตูบ้าน เสือกจะล้างตัวเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น ไอ้สายพันธุ์ชาติชั่ว เลวระยำสลัดหมา อัปรีย์จัญไร ชิงหมามาเกิด? แม้แต่องค์กรเหี้ยสากลโลกยังอยู่ไม่ได้ มติอะไร เค้าก็ไม่สนแล้ว โลกเดินตามปูติน สีจิ้นผิงกันหมด แหกตาดูหน่อยน่ะ? อีเบียร์กระอักเลือด สั่งปิดพรมแดนเพื่อนบ้านแล้ว หนีปัญหาผู้อพยพเข้าเมือง ตั้งแต่ยุคอีป้าแมร์เคิล นั่นคือเปิดศึกเข้าบ้านไงล่ะ ม้าไม้เมืองทรอย เข้ามาอยู่แล้วทำอะไรจ๊ะ? ก่อการร้ายไงจ๊ะ? ใครจ่ายจ๊ะ? ก็เหี้ยยิวไงจ๊ะ? บั่นทองความมั่นคงอีเบียร์เหรอจ๊ะ? ใช่ไงจ๊ะอีโง่! แล้วมรึงยังเสือกจะไปรับใช้อียิวอีกเหรอจ๊ะ? ใช่สิจ๊ะ เพราะผู้นำกูเป็นขี้ข้าใต้ตรีนยิวไงล่ะจ๊ะ? ประเทศมรึงก็จบแล้วสิจ๊ะ? จะไปเหลือเหรอจ๊ะ? ไปกันหมดทั้งยุโรปล่ะจ๊ะ? เพราะฉายา "อีโง่ยุโรป" ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยไงล่ะจ๊ะ? จับตาดูเกมส์ฆ่าล้างโคตรอียิว คนตายแค่ 9 คน หรือจะเป็นสิบก็ช่าง ระเบิดเพจเจอร์มันเก่าไปแล้ว งวดนี้ มรึงต้องได้แดร๊ก "มินิคุ๊กกี้รสปลาหมึกย่าง" เท่านั้น เฮซบอเลาะห์ล็อคเป้า 3 เมืองใหญ่ เยรูซาเล็ม ไฮฟา เทลอาวีฟ ระเบิดพลีชีพต้องมา ไฮเปอร์โซนิคต้องแรง มรึงฆ่าพลเรือนกูเท่าไหร่ เดี๋ยวกูจัดหนักให้ 10 เท่า เสี้ยนจัดซะขนาดนี้ ไม่ต้องถึงมือลวกเพ่กูดอก แค่กูก็กระทืบมรึงตายคาตรีนได้สบาย สหบาทามาเต็ม เยเมน เลบานอน ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ปาเลสไตน์ แม้แต่บางประเทศในแอฟริกาก็ประกาศท้ารบอียิวแล้ว มันส์ล่ะมรึง หากไม่มีรัสเซีย จีน เข้าร่วม มันก็แค่สงครามในภูมิภาค ยังไม่ใช่ WWIII อย่างที่อียิวต้องการ แก้เกมส์กันทันตาเห็น เพราะตอนนี้ ตะวันออกกลาง ไม่เหลือเป้าหมายให้ถล่มแล้ว พังราบคาบไปหมดเกลี้ยง ชุดใหญ่รัสเซีย จีน เค้าไปรวมตัวกันในแปซิฟิค เอเซียใต้หมดแล้ว เหี้ยดิ้นไม่หลุด ขั้วใหม่มีขุมกำลังมากกว่า และได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรบนานวัน BRICS ยิ่งโตจนห้ามไม่อยู่ สกัดไม่ได้! ด้านสงครามเศรษฐกิจ จีนเดินหน้าทุบอุตสาหกรรมตะวันตก และอีขี้ข้าทั้งหลาย เดินหน้าแผนเส้นทางสายไหม ตบหน้าอีแขกภาระตะ ไหนมรึงคิดจะวัดรอยตรีนกูไง? ตามมาเลยเพื่อน เดี๋ยวได้เห็น เส้นสายสายไหม กับเส้นทางโรตี ใครจะไปถึงฝั่งฝันก่อนกัน? แค่มรึงจับมือเหี้ยยิว ชีวิตก็เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว รอวัน BRICS ถีบออกอย่างเดียว อย่าซ่าส์ หากไม่แน่จริง อย่าคิดว่าแน่ หากยังต้องพึ่งพารัสเซีย จีน อยู่ บทเรียนไม่จำ ปล.2 COME ON.. คนระดับนี้ เป็นถึงเสธ.ทหาร ทหารราชองครักษ์ มีเหรอจะไม่รู้กฎระเบียบ วินัยมาเต็ม รู้ดีทุกอย่าง เคร่งครัดเสมอ แล้วทำไมถูกลงโทษ "ก็นายสั่งไงจ๊ะ" ทหารกล้าผู้เสียสละ ยอมเป็นแพะได้เสมอ เพื่อหมากที่วางไว้จะได้สมจริง รู้เท่านี้พอ.. ไอ้สัส! หมี CNN(ฆ่ากันทำไม? ได้อะไร? อะไรน่ะ อียิวมันเสี้ยนจัดขอมาเหรอ? แล้วไม่บอก จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้เลย อยากตายเป็นหมู่คณะก็ไม่บอก NATO EU มันไปไม่รอดแล้ว หนาวนี้มาแล้ว มรึงเตรียมโดนศึกหนัก ทั้งในและนอก ปล่อยให้มันฆ่ากันเองก่อน แล้วค่อยปูพรมเข้าไปยึดโดยคุณยายละม่อม ไม่ต้องเสียกระสุนซักนัด ยุโรปตีกันเละเทะ สภาพอย่างงี้ ยังจะรบ) 19 กย. 67 10.40 น. ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!!

    ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!!

    จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง
    และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB
    ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ
    ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น
    นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์
    แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา

    วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด
    โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
    การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ
    แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996
    ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ
    ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่
    เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม……
    จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ
    เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์
    ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน

    เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน
    เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย
    การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า
    “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……”
    ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่
    และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว
    เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย
    ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้
    ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน……

    ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว

    ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
    ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน
    หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม

    วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก
    ชายขอบกรุงมอสโคว์
    พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า
    “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…”
    ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส
    ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า
    เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov
    แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง
    จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ
    แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า
    “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…”

    เยลซินถามขึ้นมาว่า
    “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..”
    ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
    แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ”
    “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง”
    “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…”
    “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน”

    วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า
    “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย
    และมีความสามารถเหลือล้น”

    ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!!
    มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว
    อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว
    และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……”
    วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้

    ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko
    แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก
    และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด
    ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ …
    เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร
    ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง…
    และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!!

    ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม
    สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ

    ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ

    วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny
    ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว
    ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า
    “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?”
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า
    “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…”

    หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า..
    “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!”
    ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด……
    และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…”
    คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย

    วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า…
    วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน
    วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny
    ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก
    เขาให้สัมภาษณ์ว่า……
    เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้
    มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……”
    นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……”
    “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……”

    *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996
    ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000
    ที่รัสเซียได้ชัยชนะ……
    แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS
    บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร..

    NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน
    ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……???

    Wiwanda W. Vichit
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!! ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!! จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์ แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996 ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม…… จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์ ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……” ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่ และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้ ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน…… ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก ชายขอบกรุงมอสโคว์ พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…” ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…” เยลซินถามขึ้นมาว่า “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..” ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ” “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง” “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…” “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน” วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย และมีความสามารถเหลือล้น” ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!! มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……” วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้ ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ … เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง… และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!! ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…” หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า.. “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!” ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด…… และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…” คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า… วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก เขาให้สัมภาษณ์ว่า…… เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้ มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……” นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……” “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……” *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996 ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000 ที่รัสเซียได้ชัยชนะ…… แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร.. NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……??? Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 71 Views 0 Reviews

  • เขื่อนแห่งแรกในประเทศไทย

    มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบและอยากแนะนำให้มีคนรู้จักมากขึ้น เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่นักเขียนที่ชื่อคุ้นหูผู้อ่านนิยายทั่วไปที่เป็นแนวมีพระเอกนางเอกนัก คงจะมีคนได้อ่านผลงานเขียนชิ้นนี้ไม่มาก ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง

    เล่มที่พูดถึงนี้มีชื่อว่า "คนเหนือน้ำ" เป็นนวนิยายเขียนโดย คุณเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ซึ่งเป็นคนจังหวัดตาก และรับราชการมาทั้งชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นนายอำเภอสามเงา จ.ตาก ได้สัมผัสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนคนพื้นถิ่น รับรู้เรื่องราว ปัญหา การดำเนินชีวิตของชาวชุมชนที่นั่น จึงได้เก็บข้อมูลนำมาเขียนเป็นนิยายเรื่องนี้

    ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานประวัติของพระนางจามเทวี ผูกโยงกับหลักคิดทางพระพุทธศาสนา และการใช้ชีวิตอย่างสมถะของชาวเหนือเขื่อน รุ่นปู่ย่าตายาย กับแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย คือเขื่อนภูมิพล จากข้อมูลที่ผู้เขียนศึกษาเพิ่มเติม และประสบการณ์ในชีวิตทำงาน คำบอกเล่าของผู้คนในพื้นที่ ตำนานเรื่องเล่า ประวัติศาตร์เมืองตาก ได้ถูกผสมผสานอย่างกลมกลืน แล้วผนวกรวมเป็นเรื่องราวแนวจินตนิยาย ที่แฝงหลักคิดการดำเนินชีวิตอันล้ำค่าน่าสนใจ

    ภาษาที่ใช้เป็นภาษาง่าย ๆ แต่มีความสละสลวย อ่านแล้วมองเห็นภาพตามชัดเจน โดยเฉพาะบรรยากาศที่งดงาม หากลูกอีสาน คือ นวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนภาคอีสานได้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว ผมอยากจะกล่าวว่า "คนเหนือน้ำ" ก็สมควรเป็นตัวแทนของนวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนในเขตภาคตะวันตกติดเทือกเขาถนนธงชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ

    หนังสือ หนาถึง 412 หน้า จำนวน 36 บท
    พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2563 เดือน มกราคม
    จัดจำหน่ายโดย บ.เคล็ดไทย

    🔹️🔹️ในราคา 200 บาท 🔹️🔹️

    พิมพ์ขาวดำตลอดเล่ม ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงเลยสำหรับหนังสือที่มีความหนาของจำนวนหน้าขนาดนี้ ที่สำคัญอักษรตัวใหญ่อ่านง่าย สำหรับผู้ที่เริ่มมีอายุและปัญหาทางสายตา

    มีภาพประกอบบ้างในบางบท พอช่วยเสริมจินตนาการ

    อ่านแล้วเชื่อว่าทุกคนจะรักเมืองตากมากยิ่งกว่าเก่า

    ป.ล. หนังสือ อาจหายากหน่อย หากสนใจสามารถสั่งเข้ามาได้ครับ มีเหลืออยู่ไม่มาก ทุกเล่มเป็นมือหนึ่งสภาพใหม่จากโรงพิมพ์

    จัดส่งฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รายได้เข้าบัญชีมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน แจ้งมาได้ทางข้อความหรือใต้โพสต์นี้ครับ

    #thaitimes
    #แนะนำหนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยาย
    #เล่าเรื่องเมืองตาก
    #เขื่อนภูมิพล
    #พระนางจามเทวี
    #คนเหนือน้ำ
    เขื่อนแห่งแรกในประเทศไทย มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบและอยากแนะนำให้มีคนรู้จักมากขึ้น เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่นักเขียนที่ชื่อคุ้นหูผู้อ่านนิยายทั่วไปที่เป็นแนวมีพระเอกนางเอกนัก คงจะมีคนได้อ่านผลงานเขียนชิ้นนี้ไม่มาก ซึ่งน่าเสียดายอย่างยิ่ง เล่มที่พูดถึงนี้มีชื่อว่า "คนเหนือน้ำ" เป็นนวนิยายเขียนโดย คุณเฉลิมศักดิ์ แหงมงาม ซึ่งเป็นคนจังหวัดตาก และรับราชการมาทั้งชีวิต ครั้งหนึ่งได้เคยเป็นนายอำเภอสามเงา จ.ตาก ได้สัมผัสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนคนพื้นถิ่น รับรู้เรื่องราว ปัญหา การดำเนินชีวิตของชาวชุมชนที่นั่น จึงได้เก็บข้อมูลนำมาเขียนเป็นนิยายเรื่องนี้ ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับตำนานประวัติของพระนางจามเทวี ผูกโยงกับหลักคิดทางพระพุทธศาสนา และการใช้ชีวิตอย่างสมถะของชาวเหนือเขื่อน รุ่นปู่ย่าตายาย กับแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย คือเขื่อนภูมิพล จากข้อมูลที่ผู้เขียนศึกษาเพิ่มเติม และประสบการณ์ในชีวิตทำงาน คำบอกเล่าของผู้คนในพื้นที่ ตำนานเรื่องเล่า ประวัติศาตร์เมืองตาก ได้ถูกผสมผสานอย่างกลมกลืน แล้วผนวกรวมเป็นเรื่องราวแนวจินตนิยาย ที่แฝงหลักคิดการดำเนินชีวิตอันล้ำค่าน่าสนใจ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาง่าย ๆ แต่มีความสละสลวย อ่านแล้วมองเห็นภาพตามชัดเจน โดยเฉพาะบรรยากาศที่งดงาม หากลูกอีสาน คือ นวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนภาคอีสานได้อย่างดีที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว ผมอยากจะกล่าวว่า "คนเหนือน้ำ" ก็สมควรเป็นตัวแทนของนวนิยายที่แสดงถึงภาพชีวิตของคนในเขตภาคตะวันตกติดเทือกเขาถนนธงชัยได้อย่างเต็มภาคภูมิ หนังสือ หนาถึง 412 หน้า จำนวน 36 บท พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2563 เดือน มกราคม จัดจำหน่ายโดย บ.เคล็ดไทย 🔹️🔹️ในราคา 200 บาท 🔹️🔹️ พิมพ์ขาวดำตลอดเล่ม ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงเลยสำหรับหนังสือที่มีความหนาของจำนวนหน้าขนาดนี้ ที่สำคัญอักษรตัวใหญ่อ่านง่าย สำหรับผู้ที่เริ่มมีอายุและปัญหาทางสายตา มีภาพประกอบบ้างในบางบท พอช่วยเสริมจินตนาการ อ่านแล้วเชื่อว่าทุกคนจะรักเมืองตากมากยิ่งกว่าเก่า ป.ล. หนังสือ อาจหายากหน่อย หากสนใจสามารถสั่งเข้ามาได้ครับ มีเหลืออยู่ไม่มาก ทุกเล่มเป็นมือหนึ่งสภาพใหม่จากโรงพิมพ์ จัดส่งฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รายได้เข้าบัญชีมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน แจ้งมาได้ทางข้อความหรือใต้โพสต์นี้ครับ #thaitimes #แนะนำหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยาย #เล่าเรื่องเมืองตาก #เขื่อนภูมิพล #พระนางจามเทวี #คนเหนือน้ำ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 366 Views 0 Reviews
  • ☣ถอดรหัสชีวิต คิดผิดนิดเดียวก็หาทางเลี้ยวกลับไม่เจอ

    จำกันได้ไหมกับเหตุการณ์ความรุนแรงอันน่าสะเทือนใจเมื่อหลายปีก่อน กับชายคนหนึ่งถืออาวุธร้ายแรงเดินไล่ยิ่งประชาชนทั่วไปที่พบเจอในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ท่านได้อะไรจากเหตุการณ์ที่โคราช ที่จะมาเป็นข้อสังวรในการดำเนินชีวิตของตนในสังคมบ้าง

    ต่อไปนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึก

    ตั้งแต่แรกที่ได้ยินข่าวเมื่อช่วงเย็นย่ำใกล้ค่ำ สิ่งที่ผุดขึ้นในใจ คือสงสารคนก่อเหตุ จริงๆไม่ดัดจริต และคุณไม่ได้อ่านผิด ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พิมพ์ผิด มีสติสัมปชัญญะดี

    หลายคนคงนึกด่า ไม่ก็เกิดคำถามในใจ สำหรับใครที่นึกด่า หรือด่าแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าพเจ้าไม่ถือสาเลยและเข้าใจด้วย ส่วนคนที่เกิดคำถามขึ้น

    คงสงสัยว่าทำไมต้องไปสงสารคนอย่างนั้น คือคนที่ฆ่าคนตายมากมาย แล้วยังไม่หยุด ตั้งหน้าตั้งตาไล่ฆ่าคนรายต่อไปเรื่อยๆ แล้วคนที่ถูกยิงโดยไม่เกี่ยวข้องล่ะ ญาติของคนที่โดนยิงล่ะ ไม่สงสารหรือ

    สงสารครับ แต่ระดับความลึกมันต่างกัน

    แน่นอน ประชาชนเหล่านั้น ไม่ควรต้องมาประสบชะตากรรม เขาคือเหยื่อของคนร้าย

    แต่ข้าพเจ้ากลับนึกสงสารเห็นใจในตัวคนร้ายยิ่งกว่า เพราะอะไร?

    นายคนที่ก่อเหตุนั้น เขาเองก็เป็นเหยื่อเช่นกัน และเขาคือตัวแปรสำคัญ เหตุการณ์จะไม่เป็นไปเช่นนี้ ถ้าเขาเองไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ

    ถามว่าถูกกระทำจากใคร ?

    ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ เขาถูกกระทำจากน้ำมือของตัวเอง ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวบังคับให้เขาไปไล่ยิงคน ทุกการ กระทำเขาคิดและตัดสินใจแล้วลงมือเองทั้งหมดคนเดียว

    แต่ ...

    แท้จริงเขาก็เหมือนหุ่นเชิด ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นเล่นงาน บงการให้เป็นไปดังที่ปรากฏ อำนาจที่ว่ามาจากไหน ภูติผีปีศาจหรือ ถูกคาถามนต์ดำหรือ ไม่ใช่เลย อำนาจมืดที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาคือ โทสะและโมหะ แน่นอนว่าทุกคนล้วนเคยถูกอำนาจนี้เล่นงานมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่ยังไม่เป็นอะไร ไม่ถูกบงการให้ทำอะไรร้ายแรงลงไป ก็เพราะยังมีสติเป็นตัวคอยดึงรั้งไว้

    เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันหนึ่ง เราจะกลายเป็นแบบเขา ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วไล่ฆ่าคนด้วยความไม่สนใจอะไรอื่นแล้วในชีวิตนี้หรือไม่

    เพราะสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยคนอย่างเราท่านทั้งหลาย ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆขึ้นแต่ละหน ก็จะ

    เชียร์ให้ฆ่า เอาให้ตาย อย่าปล่อยมันไว้ ยิงตายง่ายไป ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ น่าจะให้ไปยิงคนนั้นก่อน ไปยิงคนนี้ก่อน ไปจัดการญาติหรือคนในครอบครัวเขา ด่าชนิดที่คิดว่าไม่น่าเป็นคำที่ออกมาจากปากมนุษย์ ทั้งหญิงชายไม่ดีไปกว่ากัน

    กับอีกกลุ่มที่จะสะใจ ยกคนร้ายกลายเป็นผู้กล้า ชื่นชม เชียร์ ให้ไปต่อให้สุดทาง ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ ตั้งตนเองเป็นสาวกแล้วเชิดชูคนทำผิดเป็นปูชนียบุรุษไปซะอย่างนั้น

    ในขณะที่สื่อสารมวลชนก็เมามันกับการปลุกปล้ำ สร้างกระแส ให้ข่าวโหมกระพือไม่มีหยุด ไฟที่กำลังไหม้แทนที่จะช่วยกันดับ กลับไปช่วยพัดโบก ใส่ฟืน เติมออกซิเจน ให้ลุกแรงลุกนาน จนสะเก็ดลูกไฟกระเด็น ปลิวไปตกบริเวณที่ยังไม่ไหม้ แล้วกระจายแผ่วงกว้างออกไปจนเจ้าหน้าที่ดับได้ยาก ใครเข้าใกล้ก็บาดเจ็บถูกลวกเป็นแผลผุพอง เสี่ยงตายมากกว่าเก่า

    เราอยู่กับสังคมที่คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนรัก คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่เคารพ ลูกจ้างนายจ้าง ลูกน้องเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่คนไม่รู้จัก ล้วนบ้าคลั่งอยู่ในกระแสลมพายุที่ถล่มเข้าใส่ไม่หยุดทุกคืนวัน ผ่านโลกเทียมที่ร่วมกันสร้างขึ้น นามว่า สังคมอินเตอร์เน็ต

    เราอยู่ท่ามกลางพายุที่หมุนรุนแรงมาก แต่เราก็ไม่สำนึกตัวมัวแต่ไปก่นด่าโทษว่าอย่างอื่น สิ่งอื่น คนอื่น หาว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตของตนยุ่งเหยิง แท้จริงไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่เราทุกคนที่อยู่ในสังคมอินเตอร์เน็ต มีส่วนในการสร้างพายุขึ้นมาทั้งสิ้น แล้วเราเองก็ยินดียอมรับที่จะกระโจนเข้ามาในพายุลูกนี้เอง จะมีใครบังคับก็หาไม่

    เราไม่เคยสนใจ ไม่เคยสำรวจตัวเอง ในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป เราเอาแต่สำรวจที่อื่นไปทั่ว เที่ยวถือตะเกียงไปส่องหาว่าที่ไหนบ้างเกิดพายุ แล้วก็เอาตะเกียงในมือตนที่คิดว่าสว่างหนักหนา ไปยื่นส่องหน้าใครต่อใคร ที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าพูดจากันสักครั้งเดียว แล้วก็ชี้นิ้วสั่งสอนเขาเหล่านั้นว่าเขาไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่รู้อะไรเลย

    ยิ่งมีคนที่เดินถือตะเกียงส่องตามหลังมา แล้วชอบอกชอบใจไปกับเราด้วย กลายเป็นทำให้เรายิ่งหลงลำพอง นึกว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้อง คนจำนวนมากอยู่ข้างเรา ดังนั้นสมควรจะไล่ต้อนหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ให้หายแค้นที่มันบังอาจก่อพายุขึ้นมาทำร้ายคนอื่น

    แล้วก็รวมพลังกัน มือหนึ่งถือตะเกียงแห่งแสงของผู้ปลดปล่อย อีกมือถือศาตราวุธคู่กายของผู้กล้า เพื่อใช้ฟาดฟันทำลายต่อกรมารร้ายทั่วโลก จะสำนึกสักนิดว่าตนเองนั้นใกล้กลายร่างเป็นปีศาจเสียเองอยู่รอมร่อก็หาไม่

    คนประเภทนี้จึงน่าสงสารที่สุด ดังนั้นโปรดระมัดระวังใจของเราให้ดีเถิด ดราม่าครั้งถัดไปไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไมก็แล้วแต่ ขออย่าได้ตกหลุมพรางของอำนาจความชั่ว จนพาตัวโดดเข้าสู่ใจกลางของวงพายุ ไปเป็นลูกข่างหมุนอยู่มิรู้แล้ว

    อย่าบ้าไปตามคนอื่นที่มันบ้าอยู่ก่อน ใครมันจะบ้าก็ปล่อยให้มันบ้าไป ขอให้เราไม่บ้าไปกับเขาสักคน

    พยายามเข้านะ..

    #ข้อคิด
    #แง่คิด
    #ข่าวดราม่า
    #สื่อเสี้ยม
    #ส่อสันดาน
    #คนไทย
    #สิ่งเสพติด
    #ความรุนแรง
    #บทความ
    #thaitimes
    #โคราช

    ☣ถอดรหัสชีวิต คิดผิดนิดเดียวก็หาทางเลี้ยวกลับไม่เจอ จำกันได้ไหมกับเหตุการณ์ความรุนแรงอันน่าสะเทือนใจเมื่อหลายปีก่อน กับชายคนหนึ่งถืออาวุธร้ายแรงเดินไล่ยิ่งประชาชนทั่วไปที่พบเจอในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ท่านได้อะไรจากเหตุการณ์ที่โคราช ที่จะมาเป็นข้อสังวรในการดำเนินชีวิตของตนในสังคมบ้าง ต่อไปนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึก ตั้งแต่แรกที่ได้ยินข่าวเมื่อช่วงเย็นย่ำใกล้ค่ำ สิ่งที่ผุดขึ้นในใจ คือสงสารคนก่อเหตุ จริงๆไม่ดัดจริต และคุณไม่ได้อ่านผิด ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พิมพ์ผิด มีสติสัมปชัญญะดี หลายคนคงนึกด่า ไม่ก็เกิดคำถามในใจ สำหรับใครที่นึกด่า หรือด่าแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าพเจ้าไม่ถือสาเลยและเข้าใจด้วย ส่วนคนที่เกิดคำถามขึ้น คงสงสัยว่าทำไมต้องไปสงสารคนอย่างนั้น คือคนที่ฆ่าคนตายมากมาย แล้วยังไม่หยุด ตั้งหน้าตั้งตาไล่ฆ่าคนรายต่อไปเรื่อยๆ แล้วคนที่ถูกยิงโดยไม่เกี่ยวข้องล่ะ ญาติของคนที่โดนยิงล่ะ ไม่สงสารหรือ สงสารครับ แต่ระดับความลึกมันต่างกัน แน่นอน ประชาชนเหล่านั้น ไม่ควรต้องมาประสบชะตากรรม เขาคือเหยื่อของคนร้าย แต่ข้าพเจ้ากลับนึกสงสารเห็นใจในตัวคนร้ายยิ่งกว่า เพราะอะไร? นายคนที่ก่อเหตุนั้น เขาเองก็เป็นเหยื่อเช่นกัน และเขาคือตัวแปรสำคัญ เหตุการณ์จะไม่เป็นไปเช่นนี้ ถ้าเขาเองไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ถามว่าถูกกระทำจากใคร ? ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือ เขาถูกกระทำจากน้ำมือของตัวเอง ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวบังคับให้เขาไปไล่ยิงคน ทุกการ กระทำเขาคิดและตัดสินใจแล้วลงมือเองทั้งหมดคนเดียว แต่ ... แท้จริงเขาก็เหมือนหุ่นเชิด ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นเล่นงาน บงการให้เป็นไปดังที่ปรากฏ อำนาจที่ว่ามาจากไหน ภูติผีปีศาจหรือ ถูกคาถามนต์ดำหรือ ไม่ใช่เลย อำนาจมืดที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาคือ โทสะและโมหะ แน่นอนว่าทุกคนล้วนเคยถูกอำนาจนี้เล่นงานมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่ยังไม่เป็นอะไร ไม่ถูกบงการให้ทำอะไรร้ายแรงลงไป ก็เพราะยังมีสติเป็นตัวคอยดึงรั้งไว้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า วันหนึ่ง เราจะกลายเป็นแบบเขา ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วไล่ฆ่าคนด้วยความไม่สนใจอะไรอื่นแล้วในชีวิตนี้หรือไม่ เพราะสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยคนอย่างเราท่านทั้งหลาย ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆขึ้นแต่ละหน ก็จะ เชียร์ให้ฆ่า เอาให้ตาย อย่าปล่อยมันไว้ ยิงตายง่ายไป ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ น่าจะให้ไปยิงคนนั้นก่อน ไปยิงคนนี้ก่อน ไปจัดการญาติหรือคนในครอบครัวเขา ด่าชนิดที่คิดว่าไม่น่าเป็นคำที่ออกมาจากปากมนุษย์ ทั้งหญิงชายไม่ดีไปกว่ากัน กับอีกกลุ่มที่จะสะใจ ยกคนร้ายกลายเป็นผู้กล้า ชื่นชม เชียร์ ให้ไปต่อให้สุดทาง ทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ ตั้งตนเองเป็นสาวกแล้วเชิดชูคนทำผิดเป็นปูชนียบุรุษไปซะอย่างนั้น ในขณะที่สื่อสารมวลชนก็เมามันกับการปลุกปล้ำ สร้างกระแส ให้ข่าวโหมกระพือไม่มีหยุด ไฟที่กำลังไหม้แทนที่จะช่วยกันดับ กลับไปช่วยพัดโบก ใส่ฟืน เติมออกซิเจน ให้ลุกแรงลุกนาน จนสะเก็ดลูกไฟกระเด็น ปลิวไปตกบริเวณที่ยังไม่ไหม้ แล้วกระจายแผ่วงกว้างออกไปจนเจ้าหน้าที่ดับได้ยาก ใครเข้าใกล้ก็บาดเจ็บถูกลวกเป็นแผลผุพอง เสี่ยงตายมากกว่าเก่า เราอยู่กับสังคมที่คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนรัก คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่ที่เคารพ ลูกจ้างนายจ้าง ลูกน้องเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา แม้แต่คนไม่รู้จัก ล้วนบ้าคลั่งอยู่ในกระแสลมพายุที่ถล่มเข้าใส่ไม่หยุดทุกคืนวัน ผ่านโลกเทียมที่ร่วมกันสร้างขึ้น นามว่า สังคมอินเตอร์เน็ต เราอยู่ท่ามกลางพายุที่หมุนรุนแรงมาก แต่เราก็ไม่สำนึกตัวมัวแต่ไปก่นด่าโทษว่าอย่างอื่น สิ่งอื่น คนอื่น หาว่าคือต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตของตนยุ่งเหยิง แท้จริงไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่เราทุกคนที่อยู่ในสังคมอินเตอร์เน็ต มีส่วนในการสร้างพายุขึ้นมาทั้งสิ้น แล้วเราเองก็ยินดียอมรับที่จะกระโจนเข้ามาในพายุลูกนี้เอง จะมีใครบังคับก็หาไม่ เราไม่เคยสนใจ ไม่เคยสำรวจตัวเอง ในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป เราเอาแต่สำรวจที่อื่นไปทั่ว เที่ยวถือตะเกียงไปส่องหาว่าที่ไหนบ้างเกิดพายุ แล้วก็เอาตะเกียงในมือตนที่คิดว่าสว่างหนักหนา ไปยื่นส่องหน้าใครต่อใคร ที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้าพูดจากันสักครั้งเดียว แล้วก็ชี้นิ้วสั่งสอนเขาเหล่านั้นว่าเขาไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่รู้อะไรเลย ยิ่งมีคนที่เดินถือตะเกียงส่องตามหลังมา แล้วชอบอกชอบใจไปกับเราด้วย กลายเป็นทำให้เรายิ่งหลงลำพอง นึกว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้อง คนจำนวนมากอยู่ข้างเรา ดังนั้นสมควรจะไล่ต้อนหาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ให้หายแค้นที่มันบังอาจก่อพายุขึ้นมาทำร้ายคนอื่น แล้วก็รวมพลังกัน มือหนึ่งถือตะเกียงแห่งแสงของผู้ปลดปล่อย อีกมือถือศาตราวุธคู่กายของผู้กล้า เพื่อใช้ฟาดฟันทำลายต่อกรมารร้ายทั่วโลก จะสำนึกสักนิดว่าตนเองนั้นใกล้กลายร่างเป็นปีศาจเสียเองอยู่รอมร่อก็หาไม่ คนประเภทนี้จึงน่าสงสารที่สุด ดังนั้นโปรดระมัดระวังใจของเราให้ดีเถิด ดราม่าครั้งถัดไปไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไมก็แล้วแต่ ขออย่าได้ตกหลุมพรางของอำนาจความชั่ว จนพาตัวโดดเข้าสู่ใจกลางของวงพายุ ไปเป็นลูกข่างหมุนอยู่มิรู้แล้ว อย่าบ้าไปตามคนอื่นที่มันบ้าอยู่ก่อน ใครมันจะบ้าก็ปล่อยให้มันบ้าไป ขอให้เราไม่บ้าไปกับเขาสักคน พยายามเข้านะ.. #ข้อคิด #แง่คิด #ข่าวดราม่า #สื่อเสี้ยม #ส่อสันดาน #คนไทย #สิ่งเสพติด #ความรุนแรง #บทความ #thaitimes #โคราช
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 551 Views 0 Reviews
  • #วิมานลอย

    วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง

    เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง

    และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก

    เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น

    เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์

    ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน

    ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

    เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน

    ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง

    ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน

    จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป

    ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้

    การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม

    สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม

    ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ

    นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน

    ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย
    สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า

    ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ

    #นิยายแปล
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    #วิมานลอย
    #gonewiththewind
    #หนังสือน่าอ่าน
    #สงครามกลางเมือง
    #สหรัฐอเมริกา
    #ชนชั้น
    #แรงงาน
    #บริวาร
    #ทาส
    #คนผิวดำ
    #thaitimes
    #นิยาย
    #หนังสือ
    #วิมานลอย วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์ ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้ การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ #นิยายแปล #วรรณกรรมคลาสสิก #วิมานลอย #gonewiththewind #หนังสือน่าอ่าน #สงครามกลางเมือง #สหรัฐอเมริกา #ชนชั้น #แรงงาน #บริวาร #ทาส #คนผิวดำ #thaitimes #นิยาย #หนังสือ
    0 Comments 0 Shares 695 Views 0 Reviews
  • การต่อสู้เพื่อปกป้องอารยธรรมโลก

    “จอร์จ ออร์เวลล์มีจินตนาการล้ำเลิศ แต่แม้แต่เขาเองก็ยังสามารถเข้าถึงความลึกซึ้งของระบอบเผด็จการที่เราเห็นในกรอบระเบียบโลกที่อิงกฎเกณฑ์ได้ในปัจจุบัน” — เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ

    “คุณคงทราบดีว่ามี 50 ประเทศกำลังต่อสู้กับรัสเซียในฐานะพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ประเทศเหล่านี้ทั้งหมด รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ไม่มีอำนาจอธิปไตย เนื่องจากถูกควบคุมจากศูนย์กลางเดียว ศูนย์กลางนี้มักเรียกว่าดีพสเตต ดังนั้น ดีพสเตตจึงไม่สนใจสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นใด พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะทำงานให้พวกเขาในประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นประชากรพื้นเมืองหรือผู้อพยพ พวกเขาสนใจแต่ผลกำไรและอำนาจเหนือโลกเท่านั้น ประเทศที่ไม่ต้องการยอมจำนนต่ออำนาจเหนือชาติเหล่านี้จะต้องต่อสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยของตน รัสเซียกำลังเป็นผู้นำการต่อสู้ครั้งนี้ นี่คือการต่อสู้เพื่ออนาคตไม่เพียงแต่ของรัสเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารยธรรมทั้งหมดด้วย”


    การต่อสู้เพื่อปกป้องอารยธรรมโลก “จอร์จ ออร์เวลล์มีจินตนาการล้ำเลิศ แต่แม้แต่เขาเองก็ยังสามารถเข้าถึงความลึกซึ้งของระบอบเผด็จการที่เราเห็นในกรอบระเบียบโลกที่อิงกฎเกณฑ์ได้ในปัจจุบัน” — เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ “คุณคงทราบดีว่ามี 50 ประเทศกำลังต่อสู้กับรัสเซียในฐานะพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ประเทศเหล่านี้ทั้งหมด รวมทั้งสหรัฐอเมริกา ไม่มีอำนาจอธิปไตย เนื่องจากถูกควบคุมจากศูนย์กลางเดียว ศูนย์กลางนี้มักเรียกว่าดีพสเตต ดังนั้น ดีพสเตตจึงไม่สนใจสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นใด พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะทำงานให้พวกเขาในประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นประชากรพื้นเมืองหรือผู้อพยพ พวกเขาสนใจแต่ผลกำไรและอำนาจเหนือโลกเท่านั้น ประเทศที่ไม่ต้องการยอมจำนนต่ออำนาจเหนือชาติเหล่านี้จะต้องต่อสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยของตน รัสเซียกำลังเป็นผู้นำการต่อสู้ครั้งนี้ นี่คือการต่อสู้เพื่ออนาคตไม่เพียงแต่ของรัสเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารยธรรมทั้งหมดด้วย”
    Like
    11
    0 Comments 0 Shares 285 Views 0 Reviews
  • ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!!

    ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ

    ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย
    แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง

    สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า
    วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้
    รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน

    นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน
    เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin***

    เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน
    ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน
    รวมทั้งที่ยูเครน

    เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด
    และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ
    ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน

    เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า
    หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล
    ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง

    แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น
    ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996)
    แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก
    งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน
    เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา
    หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา”
    กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น
    จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง

    การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ
    อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ
    งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน
    ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน

    แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น……
    ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ
    ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น
    โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
    ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง
    “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ
    ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว
    ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป”
    นักข่าวถามต่อว่า
    “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??”
    “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “

    นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน
    แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007)
    หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997)
    หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997)

    เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ
    เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น

    เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง

    และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์……
    หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง
    ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่
    เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute
    แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย
    และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย

    ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ
    ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย
    นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย
    เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง
    เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น

    และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน

    แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า
    เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน
    ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร
    ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม
    แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
    การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย
    เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO
    จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ
    จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล
    ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา

    ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม
    และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส
    โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน
    หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต
    ประทับตรา ผ่านศุลกากร

    การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย
    แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ
    เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน

    คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า
    ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!!

    ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin
    เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่
    ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก……

    เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
    แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย
    ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.…

    นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน
    เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก
    เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว

    ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ
    หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง
    บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่
    การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง
    และเศรษฐกิจ
    เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ……

    เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน
    ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้
    แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!!
    เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก”

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน
    ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล
    ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ”
    “ดีใจอะไรหรือครับ..?”
    “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ”

    ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย…
    สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน
    ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด
    ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ……
    “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..”
    ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ……
    เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป

    ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า
    “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!!

    ~~~ขยายความ

    Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB
    ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย

    Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft

    ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร
    เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ
    แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง

    Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom
    คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน

    ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น
    เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด………

    แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!! ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้ รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin*** เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน รวมทั้งที่ยูเครน เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996) แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา” กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น…… ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป” นักข่าวถามต่อว่า “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??” “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “ นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007) หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997) หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997) เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์…… หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่ เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต ประทับตรา ผ่านศุลกากร การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!! ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่ ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก…… เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.… นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง และเศรษฐกิจ เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ…… เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้ แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!! เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก” นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ” “ดีใจอะไรหรือครับ..?” “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ” ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย… สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ…… “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..” ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…… เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!! ~~~ขยายความ Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด……… แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 592 Views 0 Reviews
  • #ยิ่งล้วงยิ่งลึกยิ่งขุดยิ่งไม่ธรรมดา
    อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดงที่เคารพรัก
    เมื่อคืนพี่คิงส์ได้ตรวจสอบข้อมูล ยิ่งลึกยิ่งตกใจ
    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง ญ ช สองคนรักและเลิกอย่างที่
    มีกลุ่มปฏิบัติการโซเชียลปั้นแต่ง แต่มันเลยเถิดไปไกล
    ที่มีความเกี่ยวข้อง เชิง อ-า-ช-ญ-า-ก-รร-ม-ข้-า-ม-ช-า-ติ
    พี่คิงส์จะค่อยๆอธิบายสำหรับคนที่ติดตามข้อมูลจากคิงส์โพธิ์แดง
    และที่เพิ่งเข้ามาเห็นโพสนี้ครั้งแรก ให้กระจ่ายกันไปเลย
    มาทวนสิ่งที่พี่คิงส์ให้ข้อมูลไปก่อนหน้าโดยสังเขป
    ชุดข้อมูลแรก
    - แพลตฟอร์ม ตต. เปิดให้คนทั่วไป มีกิจกรรมที่เรียกว่า PK เพื่อให้มีการใช้เงินจริง เปลี่ยนเป็นเหรียญเข้าสู่ระบบของแพลตฟอร์ม และส่งเป็นติ๊กเกอร์ และสมารถนำออกเป็นเงินจริงได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อยให้แพลตฟอร์ม ส่วน ตต.เกอร์ เมื่อได้อิมคัมก็มีหน้าที่เสียแวทของแต่ละประเทศ ตังค์นั้นก็สามารถนำมาใช้ได้
    - ด้วยรูปแบบดังกล่าว กลุ่มเงินดาร์ค ที่ได้มาโดยไม่ถูกก-ฏ-ห-ม-า-ย จากทั่วโลก ได้มองเห็นช่องทาง จึงเริ่มมีคนคิดโมเดลขึ้นมา
    -กลุ่มเงินดาร์ค ได้จัดตั้งบ.เอเจน เพื่อเฝ้ามอง ตต.เกอร์ที่มีโอกาสดัง แต่ตอนนี้เริ่มช้อน ตต.เกอร์ที่ดังแล้ว เพื่อเข้าสู่โมงเดล การซักอบรีดเงินดาร์ค
    -โดยเบื้องหน้า บ.เจน ก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็น จากการได้ติ๊กเกอร์ จากการ PK ซึ่งก็ดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ
    -แต่ กลุ่มเงินดาร์ค จะอาศัยจังหวะ ในการ PK ในการเติมเงินดาร์คเข้าระบบตต. โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ยุซที่ส่งติ๊กเกอร์นั้น คือใคร เงินดาร์คถูกเปลี่ยนเป็นเหรียญและทำการส่งติ๊กเกอร์ ที่มีเรทสูง ให้ตต.เกอร์ แต่บชนั้น อยู่ในมือ บ.เอเจน ก็จะตัดให้เฉพาะเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากการรับตต.จริง ส่วนที่เป็นเงินดาร์ค อาจได้บางส่วนเป็นอินเทนซีฟไป ซึ่่งก็มหาศาล เพราะจำนวนเงินดาร์คที่ปั่นเข้าระบบจำนวนมันมหาศาล
    -แต่ประเด็นคือ การปั้นให้ตต.ดังและมีชื่อเสียง เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นจะมีความผิดปกติ ที่ตต.เกอร์โนเนม จะมีคนมายิงติ๊กเกอร์เรทสูงรัวๆ และนี่คือที่มาที่แฟนเพจต้องเข้าใจเป็นอันดับแรก
    -เมื่อกลุ่มเงินดาร์ค ต้องการให้เงินดาร์คกลายเป็นเงินขาว ก็เพียงแค่ เอาเหรียญเปลี่ยนเป็นเงินจริงผ่านบ.เอเจน และเสียภาษีให้ถูกต้อง ก็สะอาดกริ๊บ
    -โมงเดลนี้เริ่มสร้างประมาณ เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แพลตฟอร์มตต.เริ่มมีการ PK ให้ตต.เกอร์ได้ลองใช้งาน
    ----------------------------------------------
    -กามิน ได้ออกทีวีเกาหลี และไปพร้อมกับเอเจน ได้พูดถึงการทำงาน ว่าต้องอาศัยความอดทน ต้องทนกับความเบื่อให้ได้ และทำทุกวัน ก็จะสำเร็จแบบเธอได้
    -ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่กามินออกกล้อง สตอรี่ทั้งหมดนั้น คือส่วนหนึ่งของงาน ซึ่ง กามิน ได้รายได้เฉลี่ย ก่อนที่แน๊กเข้าไป ตกเฉลี่ยเดือนละ 8 หมื่น หรือวันละเฉลี่ย 2 พันกว่าบาท ซึ่งนั่นมาจากการทดสอบ ค่อยๆปล่อยติ๊กเกอร์ แบบที่ไม่ให้คนเกิดความสงสัย เพราะต้องไม่ลืมว่า แปดหมื่นที่ว่า ได้ถูกหักจากเอเจนไปแล้ว แล้วคนโนแนม แบบกามิน ที่ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ มีเพียงสตอรี่ที่สร้างความสงสารเห็นใจ ทำไมถึงมีคนเปย์ให้หลักแสนได้ ก่อนหักของเอเจน
    -แน๊กชาลี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็ได้เข้ามาเรียนรู้ เรื่องการ PK ด้วยความสนุกๆ ได้คุยกับแฟนคลับ เพราะแน๊กปกติ เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว อย่างที่แฟนคลับเข้าใจ ทำให้การ PK เป็นโลกใหม่ ที่ทำให้แน๊กได้พูด ได้คุย ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง จึงเป็นที่รักของแฟนคลับ และเข้าไปซัพพอตอยู่มากมายอยู่แล้ว
    -แน๊กชาลี พลาดที่ไปอินกับสตอรี่ ที่กามินและเอเจน สร้างสตอรี่เข้าใจว่าลำบากจริง จึงพาคนไทยไปติดตาม ด้วยเจตนาที่แท้จริง แว๊บแรกแน๊กเองก็ไม่ได้มองเรื่องรักๆใคร่ๆ คือตั้งใจช่วยด้วยความจริงใจ ให้ผู้หญิงที่ขาดโอกาส ได้รับโอกาส
    -แต่กามิน ก็แสดงท่าที ที่เราเห็นๆกัน การทอดสะพาน การตก และแสดงตัวถึงความเป็นเจ้าของ นั่นก็เพราะ ติ๊กเกอร์ที่เข้ามาอย่างมหาศาล ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปโมเดล ที่เงินดาร์ค และเอเจนวางไว้
    -เราจะเริ่มเห็น ยูนิ และติ๊กเกอร์ตัวแรงๆ ยิงให้กามิน รัวๆ อย่างไม่รู้ที่มา ว่าคนที่ยิงนั้น คือใคร นั่นคือการสอดแทรงติ๊กเกอร์จากกลุ่มเงินดาร์คเข้าระบบ ทำกัน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
    -เราจะเห็น เอเยนเกาหลี ไปกลับไทยเกาหลี และแน๊กเองก็แสดงท่าทีที่ไม่โอเคนัก ซึ่งคิงส์เองก็ไม่มั่นใจว่า แน๊ก เริ่มรู้เรื่องลึกๆอะไรหรือยัง
    -เมื่อกิจกรรมโมเดลซักอบรีดเงินดาร์คดำเนินไปอยู่ดีๆ แน๊กเริ่มมีการออกอาการขัดขา ออกมาเตือนลอยๆ อย่าอิน อย่าเปย์มาก อย่าตามใจ ซึ่งถือว่าเป็นการขัดลาภ ทั้งกามิน และเอเจน และลามไปถึงกลุ่มเงินดาร์คด้วย เพราะถ้ายอดคนเข้าไป PK ลดลง กามินจะไม่ใช่ตัวแสดงที่เหมาะสม ในการแทรกเงินดาร์คเข้าระบบ และแน๊ก ได้ออกตัวพูดรอบสุดท้ายว่า เรื่องนี้ มันน่ากลัวนะ ทำให้กลุ่มเงินดาร์คเอง เริ่มระแวงว่า เรื่องโมเดลนี้จะถูกเปิดเผย
    -จึงเกิดปฏิบัติการ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลิกรา ด้วยการหาคนไทย ที่แสดงตัวเป็นผู้นำทางความคิดของกลุ่มที่เป็นด้อม กามินและชาลี และเล็งเห็นแล้วว่า โจ มณฑานี คือผู้ที่เหมาะสม เพราะมีวาทะกรรม ที่ทำให้ด้อมเคลิบเคลิ้ม ความภักดีของสาวก ก็ถือว่ามีความจงรักภักดี เพราะบรรยากาศการพูดคุยของโจ มณฑานี ที่สร้างเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก ที่มีเจ้าหญิง เจ้าชาย การข้ามภพข้ามชาติมารักกัน ที่อิงส่วนหนึ่งมาจากนิยายที่ โจ มณฑานี เคยเขียนและตีพิมพ์
    -และโจ ก็ได้รับคำสั่ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันที่ชาลีขวางปฏิบัติการเงินดาร์คมากไปกว่านี้ ด้วยปฏิบัติการ "เล่นงานชาลี"
    -โดย ปฏิบัติการนี้ โจ ได้งบมาจัดการดูแล จัดตั้งทีมงาน ทั้งการคอมเม้น การสร้างตัวตน อ-ว-ต-า-ร ซึ่งก็ไม่ต่างจากการทำงานของมิจทางออนไลน์เลย และโจก็ไม่ติดเรื่องนี้ เพราะโจมี 3 ปัจจัยในการขับเคลื่อน
    1. โจ เปื่อยจิต มานาน การที่ตนเองได้หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการ ในตต. ในห้อง DC ทำให้โจรู้สึกตัวเองมีความสำคัญ ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ซึ่งเป็นการเยียยวยยาอาการของเธอเอง ซึ่งวิชาการ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง แต่มันจะยิ่งกลับทำให้อาการหนักจนหลุดไปเลยก็เป็นได้
    2. โจ อาศัยความภักดีของด้อมกามิน ในการแทรกอาชีพส่วนตัว ที่ก็ไม่ขาวนัก นั่นคือ การเปิดโรงเรียนที่ไม่ถูกต้อง สร้างหลักสูตรที่ม-อ-ม-เ-ม-ากับความเชื่อ และใส่จินตาการตามนิยายที่โจ มณฑนี ที่เคยเขียน เรื่องข้ามภพข้ามชาติมารักกัน อะไรแบบนี้ แฟนเพจสามารถสืบหาอ้างอิงได้ไม่ยาก
    3. คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่กลุ่มเงินดาร์คได้ส่งผ่านเอเจนมาให้
    -ตอนนี้ โจ มณฑานี มีกอง กำล-ัง ทางโซเชียลจำนวนหลายสิบคน โดยให้ค่าจ้าง เดือนละไม่ถึงหมื่น มาดำเนินการ
    1. มาสร้างยูซเทียม ทุกแพลตฟอร์ม
    2. สร้างเพจ เทียม หรือ ช็อปเพจที่พอมีคนติดตามแล้ว เช่น DiY v2 แฟนเพจสังเกตุได้ เพจที่ชื่อกับสิ่งที่โพสไปคนละเรื่อง พวกนี้เจ้าของปล่อย และคนที่มาช้อน ก็หวังแค่ผู้ติดตาม แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์ในการทำเพจในเนื้อหาเดิมของเจ้าของที่ตั้งใจ ตอนนี้ Diy v2 แทบไม่มีเรื่องการ Diy สิ่งของเลย มีแต่การพุ่งเป้าไปที่แน๊กชาลี จนล่าสุด ออกมาโพส ต้องการปิดหูปิดตาสมาชิกในเพจด้วยการ "ไม่ให้เข้ามาเพจคิงส์โพธิ์แดง" หรือหากไม่ได้ถูกช็อป ก็คือทุยที่ทำไปได้ความง่าววววว ก็เป็นได้ แต่เพจที่ถูกช็อป มีหลายเพจจริง
    3. ปั๊มยูซ จำนวนมากๆ ของทุกแพลตฟอร์ม เพื่อ
    3.1 กดไลค์ สร้างแอชเท็คสร้างเทรนทวิช หรือกดติ-ดต-า-ม หรือฟอลโล่วในทุกแพลตฟอร์ม
    (อันนี้มีหลักฐานชัด จากยอดฟอล ที่ขึ้นมาแบบผิดปกติ และเข้าไปตรวจสอบพบว่าไม่มีข้อมูลใดๆเรียกว่า สร้างมาสดๆ เอามาใช้สดๆ,และเทรนทวิตที่หลายคนไม่รู้ว่า เซฟกามิน ขึ้นอันดับหนึ่ง ทั้งๆที่คนไทยส่วนใหญ่ก็เลิกติดตามกันรัวๆ มันคือความผิดปกติ และเมื่อเข้าไปกดดูคนที่ใส่แอชเท็ค กลับเป็นยูซโบ๋ล้วนๆ เพื่อให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าใจว่า กามินสำคัญมากตามแผนที่โจวางไว้)
    3.2 หยิบแอค หรือยุซนั้นๆ มาเพื่อให้ลูกจ้างที่กล่าวไปแล้วนั้น ทำการพุ่งเป้าไปที่แน๊ก สร้างข่าวที่ให้ร้ายต่างๆ ในทุกแพลตฟอร์มอย่างเป็นระบบ สังเกตุไม่ยาก แทบทุกแพลตฟอร์ม จะมีตัวที่เข้ามาป่วนเพจ หรือช่องที่ตื่นรู้ จะเข้ามากดติดตาม และวางแปะข้อความซ้ำๆ เหมือนๆกัน บางทีแปะผิดแปะถูก พี่คิงส์ก็แซวจนเขินไปหลายรอบว่า "เอ้ย น้อง โพสนี้ไม่ได้พูดถึงกามินนะ แปะผิดโพสแล้ว" และพวกนี้ก็เช่นกัน มาเพื่อป่วน และเพื่อปล่อย ปล่อยคือ ปล่อยสิ่งที่โจอยากสื่อสาร ตามแผนที่สุมหัวไว้ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่โจพูด ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่คิงส์ได้เปิดลึกตั้งแต่แรกๆ สิ่งที่โจทำคือ การขู่ววว มีทั้งในคอมเม้น มีทั้งแชตเข้ามา ส่งเป็นคลิปบ้าง ส่งเป็นข้อความบ้าง มาแนวๆ ห่วงพี่คิงส์งั้นงี้ ส่งกำลังใจงั้นงี้ แต่ส่งข้อความขู่ววว จากโจ มณฑานี ล้วนๆ ซึ่งพวกนี้หงายกันไปหมด คงเดากันได้นะ ว่าพี่คิงส์ปากจัดแค่ไหน
    ผลพวงจากปฏิบัติการนี้ มันมีผลแย่ทางตรงและทางอ้อมเยอะมาก
    เพราะประเทศไทย มีทุยเยอะมาก ถึงแม้ว่าหลังจากคิงส์ฯได้เปิดเผยข้อเท็จจริง จนมีทุยเปลี่ยนกลับมาเป็นคนมหาศาลก็ตาม แต่ก็ยังมีคนกลุ่มเดียวที่มีชีวิตคล้ายโจ คือคนที่โลกแห่งความเป็นจริงเหงามาก รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า กลุ่มนี้ ดึงออกยากมาก เพราะเต็มไปด้วยอัตตา บางคนหลงกามินขนาดประกาศยอมตุยเพื่อกามิน ซึ่งมันเลยเถิด ไปกันใหญ่ และพวกนี้ไม่ต้องจ้าง ทำด้วยความค-ลั่-ง-ไ-ค-ล้ และสมานความเจ็บในชีวิตจริงในรูปแบบส่วนตัวก็พอ
    ตอนนี้ จากที่โจ มณฑานี ได้เริ่มปฏิบัติการมา จากการสนับสนุนของกลุ่มเงินดาร์ค มันเยอะมาก มาแบบไม่อั้น และวิธีการนั้นมันเริ่มแรงขึ้นหลังจากที่ชาลี ประกาศ เชิญกามินกลับประเทศ
    -โจ มณฑานี เริ่มคุยในกลุ่ม DC และไลฟ์ตามเพจที่ตัวเองจูงจมูกได้ แบบชัดมาก เริ่มหลุดเสียง หลุดภาพออกมา ว่าโจ ให้ร้ายน้องแน๊ก พูดสามสี่ชั่วโมง เพียงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า แน๊ก เปื่อยจิต ซึ่งความเชื่อนี้ได้ฝังหัวกลุ่มทุยทุกตัว
    -ความเลยเถิดคือ กลุ่มทุยจิตอ่อน เริ่มอิน และเริ่มมีการคุ-กคาม น้อง มีการแฮชเทคโพสห-ย-า-บ ถึงบ้านคู้บอน เริ่มมีการบริภาษหลานตัวน้อยของชาลี และที่สำคัญ ทุกคนฟังให้ดี กลุ่มทุยนี้ โจกล่อมสำเร็จถึงขนาด เป็นลัตติ๊ล่า แม่ -มด
    พี่คิงส์ฯจึงจำเป็นที่ต้องออกมาเปิดเผยความจริง และทุกข้อที่พิมพ์ไว้นี้ ทุกท่านสามารถสืบต่อได้ ว่าจริงหรือไม่ สังเกตุของปัจจุบันเลย พวกทุยที่มาป่วน ยูซแท้ไม่มีซักราย และข้อความก็เป็นข้อความที่ก็อปวางทั้งนั้น ยอดฟอล และเทรนทวิช แล้วท่านจะตาสว่าง
    น้องชาลี คือน้องชายที่เป็นคนไทย ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่กลับต้อนโดนคนไทยด้วยกัน จากการซัพพอตของกลุ่มทุนเงินดาร์คที่ต้องกอาศัยช่องทาง PK ในการซักอบรีดเงินให้ขาว มามุ่งเล่นงาน
    รวมถึงคนไทยที่จิตอ่อน ตามการจูงจมูกโดย โจมณฑานี ที่มาตรร้ายเหมือนคนเป็นจิตปsะสาด โดนสากดจิกทุกวัน นานหลายๆเดือน คิดว่า
    พวกนี้ คิดจะทำอะไรกับน้องแน๊ก และครอบครัวที่ไม่มีความผิดอะไรเลย
    จึงของให้พี่น้องชาวไทยผูัรักชาติทุกคน ร่วมกันปกป้องน้อง ให้พ้นจากปฏิบัติการเหล่านี้ด้วย น้องยอมตัดกามิน เพียงเพื่อปกป้องคนไทยไม่ให้โดนต้ม น้องไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้จริงๆ
    เดี๋ยวมีต่อ รอติดตาม
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ยิ่งล้วงยิ่งลึกยิ่งขุดยิ่งไม่ธรรมดา อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดงที่เคารพรัก เมื่อคืนพี่คิงส์ได้ตรวจสอบข้อมูล ยิ่งลึกยิ่งตกใจ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง ญ ช สองคนรักและเลิกอย่างที่ มีกลุ่มปฏิบัติการโซเชียลปั้นแต่ง แต่มันเลยเถิดไปไกล ที่มีความเกี่ยวข้อง เชิง อ-า-ช-ญ-า-ก-รร-ม-ข้-า-ม-ช-า-ติ พี่คิงส์จะค่อยๆอธิบายสำหรับคนที่ติดตามข้อมูลจากคิงส์โพธิ์แดง และที่เพิ่งเข้ามาเห็นโพสนี้ครั้งแรก ให้กระจ่ายกันไปเลย มาทวนสิ่งที่พี่คิงส์ให้ข้อมูลไปก่อนหน้าโดยสังเขป ชุดข้อมูลแรก - แพลตฟอร์ม ตต. เปิดให้คนทั่วไป มีกิจกรรมที่เรียกว่า PK เพื่อให้มีการใช้เงินจริง เปลี่ยนเป็นเหรียญเข้าสู่ระบบของแพลตฟอร์ม และส่งเป็นติ๊กเกอร์ และสมารถนำออกเป็นเงินจริงได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อยให้แพลตฟอร์ม ส่วน ตต.เกอร์ เมื่อได้อิมคัมก็มีหน้าที่เสียแวทของแต่ละประเทศ ตังค์นั้นก็สามารถนำมาใช้ได้ - ด้วยรูปแบบดังกล่าว กลุ่มเงินดาร์ค ที่ได้มาโดยไม่ถูกก-ฏ-ห-ม-า-ย จากทั่วโลก ได้มองเห็นช่องทาง จึงเริ่มมีคนคิดโมเดลขึ้นมา -กลุ่มเงินดาร์ค ได้จัดตั้งบ.เอเจน เพื่อเฝ้ามอง ตต.เกอร์ที่มีโอกาสดัง แต่ตอนนี้เริ่มช้อน ตต.เกอร์ที่ดังแล้ว เพื่อเข้าสู่โมงเดล การซักอบรีดเงินดาร์ค -โดยเบื้องหน้า บ.เจน ก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็น จากการได้ติ๊กเกอร์ จากการ PK ซึ่งก็ดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ -แต่ กลุ่มเงินดาร์ค จะอาศัยจังหวะ ในการ PK ในการเติมเงินดาร์คเข้าระบบตต. โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ยุซที่ส่งติ๊กเกอร์นั้น คือใคร เงินดาร์คถูกเปลี่ยนเป็นเหรียญและทำการส่งติ๊กเกอร์ ที่มีเรทสูง ให้ตต.เกอร์ แต่บชนั้น อยู่ในมือ บ.เอเจน ก็จะตัดให้เฉพาะเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากการรับตต.จริง ส่วนที่เป็นเงินดาร์ค อาจได้บางส่วนเป็นอินเทนซีฟไป ซึ่่งก็มหาศาล เพราะจำนวนเงินดาร์คที่ปั่นเข้าระบบจำนวนมันมหาศาล -แต่ประเด็นคือ การปั้นให้ตต.ดังและมีชื่อเสียง เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นจะมีความผิดปกติ ที่ตต.เกอร์โนเนม จะมีคนมายิงติ๊กเกอร์เรทสูงรัวๆ และนี่คือที่มาที่แฟนเพจต้องเข้าใจเป็นอันดับแรก -เมื่อกลุ่มเงินดาร์ค ต้องการให้เงินดาร์คกลายเป็นเงินขาว ก็เพียงแค่ เอาเหรียญเปลี่ยนเป็นเงินจริงผ่านบ.เอเจน และเสียภาษีให้ถูกต้อง ก็สะอาดกริ๊บ -โมงเดลนี้เริ่มสร้างประมาณ เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แพลตฟอร์มตต.เริ่มมีการ PK ให้ตต.เกอร์ได้ลองใช้งาน ---------------------------------------------- -กามิน ได้ออกทีวีเกาหลี และไปพร้อมกับเอเจน ได้พูดถึงการทำงาน ว่าต้องอาศัยความอดทน ต้องทนกับความเบื่อให้ได้ และทำทุกวัน ก็จะสำเร็จแบบเธอได้ -ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่กามินออกกล้อง สตอรี่ทั้งหมดนั้น คือส่วนหนึ่งของงาน ซึ่ง กามิน ได้รายได้เฉลี่ย ก่อนที่แน๊กเข้าไป ตกเฉลี่ยเดือนละ 8 หมื่น หรือวันละเฉลี่ย 2 พันกว่าบาท ซึ่งนั่นมาจากการทดสอบ ค่อยๆปล่อยติ๊กเกอร์ แบบที่ไม่ให้คนเกิดความสงสัย เพราะต้องไม่ลืมว่า แปดหมื่นที่ว่า ได้ถูกหักจากเอเจนไปแล้ว แล้วคนโนแนม แบบกามิน ที่ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ มีเพียงสตอรี่ที่สร้างความสงสารเห็นใจ ทำไมถึงมีคนเปย์ให้หลักแสนได้ ก่อนหักของเอเจน -แน๊กชาลี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็ได้เข้ามาเรียนรู้ เรื่องการ PK ด้วยความสนุกๆ ได้คุยกับแฟนคลับ เพราะแน๊กปกติ เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว อย่างที่แฟนคลับเข้าใจ ทำให้การ PK เป็นโลกใหม่ ที่ทำให้แน๊กได้พูด ได้คุย ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง จึงเป็นที่รักของแฟนคลับ และเข้าไปซัพพอตอยู่มากมายอยู่แล้ว -แน๊กชาลี พลาดที่ไปอินกับสตอรี่ ที่กามินและเอเจน สร้างสตอรี่เข้าใจว่าลำบากจริง จึงพาคนไทยไปติดตาม ด้วยเจตนาที่แท้จริง แว๊บแรกแน๊กเองก็ไม่ได้มองเรื่องรักๆใคร่ๆ คือตั้งใจช่วยด้วยความจริงใจ ให้ผู้หญิงที่ขาดโอกาส ได้รับโอกาส -แต่กามิน ก็แสดงท่าที ที่เราเห็นๆกัน การทอดสะพาน การตก และแสดงตัวถึงความเป็นเจ้าของ นั่นก็เพราะ ติ๊กเกอร์ที่เข้ามาอย่างมหาศาล ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปโมเดล ที่เงินดาร์ค และเอเจนวางไว้ -เราจะเริ่มเห็น ยูนิ และติ๊กเกอร์ตัวแรงๆ ยิงให้กามิน รัวๆ อย่างไม่รู้ที่มา ว่าคนที่ยิงนั้น คือใคร นั่นคือการสอดแทรงติ๊กเกอร์จากกลุ่มเงินดาร์คเข้าระบบ ทำกัน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน -เราจะเห็น เอเยนเกาหลี ไปกลับไทยเกาหลี และแน๊กเองก็แสดงท่าทีที่ไม่โอเคนัก ซึ่งคิงส์เองก็ไม่มั่นใจว่า แน๊ก เริ่มรู้เรื่องลึกๆอะไรหรือยัง -เมื่อกิจกรรมโมเดลซักอบรีดเงินดาร์คดำเนินไปอยู่ดีๆ แน๊กเริ่มมีการออกอาการขัดขา ออกมาเตือนลอยๆ อย่าอิน อย่าเปย์มาก อย่าตามใจ ซึ่งถือว่าเป็นการขัดลาภ ทั้งกามิน และเอเจน และลามไปถึงกลุ่มเงินดาร์คด้วย เพราะถ้ายอดคนเข้าไป PK ลดลง กามินจะไม่ใช่ตัวแสดงที่เหมาะสม ในการแทรกเงินดาร์คเข้าระบบ และแน๊ก ได้ออกตัวพูดรอบสุดท้ายว่า เรื่องนี้ มันน่ากลัวนะ ทำให้กลุ่มเงินดาร์คเอง เริ่มระแวงว่า เรื่องโมเดลนี้จะถูกเปิดเผย -จึงเกิดปฏิบัติการ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลิกรา ด้วยการหาคนไทย ที่แสดงตัวเป็นผู้นำทางความคิดของกลุ่มที่เป็นด้อม กามินและชาลี และเล็งเห็นแล้วว่า โจ มณฑานี คือผู้ที่เหมาะสม เพราะมีวาทะกรรม ที่ทำให้ด้อมเคลิบเคลิ้ม ความภักดีของสาวก ก็ถือว่ามีความจงรักภักดี เพราะบรรยากาศการพูดคุยของโจ มณฑานี ที่สร้างเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก ที่มีเจ้าหญิง เจ้าชาย การข้ามภพข้ามชาติมารักกัน ที่อิงส่วนหนึ่งมาจากนิยายที่ โจ มณฑานี เคยเขียนและตีพิมพ์ -และโจ ก็ได้รับคำสั่ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันที่ชาลีขวางปฏิบัติการเงินดาร์คมากไปกว่านี้ ด้วยปฏิบัติการ "เล่นงานชาลี" -โดย ปฏิบัติการนี้ โจ ได้งบมาจัดการดูแล จัดตั้งทีมงาน ทั้งการคอมเม้น การสร้างตัวตน อ-ว-ต-า-ร ซึ่งก็ไม่ต่างจากการทำงานของมิจทางออนไลน์เลย และโจก็ไม่ติดเรื่องนี้ เพราะโจมี 3 ปัจจัยในการขับเคลื่อน 1. โจ เปื่อยจิต มานาน การที่ตนเองได้หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการ ในตต. ในห้อง DC ทำให้โจรู้สึกตัวเองมีความสำคัญ ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ซึ่งเป็นการเยียยวยยาอาการของเธอเอง ซึ่งวิชาการ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง แต่มันจะยิ่งกลับทำให้อาการหนักจนหลุดไปเลยก็เป็นได้ 2. โจ อาศัยความภักดีของด้อมกามิน ในการแทรกอาชีพส่วนตัว ที่ก็ไม่ขาวนัก นั่นคือ การเปิดโรงเรียนที่ไม่ถูกต้อง สร้างหลักสูตรที่ม-อ-ม-เ-ม-ากับความเชื่อ และใส่จินตาการตามนิยายที่โจ มณฑนี ที่เคยเขียน เรื่องข้ามภพข้ามชาติมารักกัน อะไรแบบนี้ แฟนเพจสามารถสืบหาอ้างอิงได้ไม่ยาก 3. คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่กลุ่มเงินดาร์คได้ส่งผ่านเอเจนมาให้ -ตอนนี้ โจ มณฑานี มีกอง กำล-ัง ทางโซเชียลจำนวนหลายสิบคน โดยให้ค่าจ้าง เดือนละไม่ถึงหมื่น มาดำเนินการ 1. มาสร้างยูซเทียม ทุกแพลตฟอร์ม 2. สร้างเพจ เทียม หรือ ช็อปเพจที่พอมีคนติดตามแล้ว เช่น DiY v2 แฟนเพจสังเกตุได้ เพจที่ชื่อกับสิ่งที่โพสไปคนละเรื่อง พวกนี้เจ้าของปล่อย และคนที่มาช้อน ก็หวังแค่ผู้ติดตาม แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์ในการทำเพจในเนื้อหาเดิมของเจ้าของที่ตั้งใจ ตอนนี้ Diy v2 แทบไม่มีเรื่องการ Diy สิ่งของเลย มีแต่การพุ่งเป้าไปที่แน๊กชาลี จนล่าสุด ออกมาโพส ต้องการปิดหูปิดตาสมาชิกในเพจด้วยการ "ไม่ให้เข้ามาเพจคิงส์โพธิ์แดง" หรือหากไม่ได้ถูกช็อป ก็คือทุยที่ทำไปได้ความง่าววววว ก็เป็นได้ แต่เพจที่ถูกช็อป มีหลายเพจจริง 3. ปั๊มยูซ จำนวนมากๆ ของทุกแพลตฟอร์ม เพื่อ 3.1 กดไลค์ สร้างแอชเท็คสร้างเทรนทวิช หรือกดติ-ดต-า-ม หรือฟอลโล่วในทุกแพลตฟอร์ม (อันนี้มีหลักฐานชัด จากยอดฟอล ที่ขึ้นมาแบบผิดปกติ และเข้าไปตรวจสอบพบว่าไม่มีข้อมูลใดๆเรียกว่า สร้างมาสดๆ เอามาใช้สดๆ,และเทรนทวิตที่หลายคนไม่รู้ว่า เซฟกามิน ขึ้นอันดับหนึ่ง ทั้งๆที่คนไทยส่วนใหญ่ก็เลิกติดตามกันรัวๆ มันคือความผิดปกติ และเมื่อเข้าไปกดดูคนที่ใส่แอชเท็ค กลับเป็นยูซโบ๋ล้วนๆ เพื่อให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าใจว่า กามินสำคัญมากตามแผนที่โจวางไว้) 3.2 หยิบแอค หรือยุซนั้นๆ มาเพื่อให้ลูกจ้างที่กล่าวไปแล้วนั้น ทำการพุ่งเป้าไปที่แน๊ก สร้างข่าวที่ให้ร้ายต่างๆ ในทุกแพลตฟอร์มอย่างเป็นระบบ สังเกตุไม่ยาก แทบทุกแพลตฟอร์ม จะมีตัวที่เข้ามาป่วนเพจ หรือช่องที่ตื่นรู้ จะเข้ามากดติดตาม และวางแปะข้อความซ้ำๆ เหมือนๆกัน บางทีแปะผิดแปะถูก พี่คิงส์ก็แซวจนเขินไปหลายรอบว่า "เอ้ย น้อง โพสนี้ไม่ได้พูดถึงกามินนะ แปะผิดโพสแล้ว" และพวกนี้ก็เช่นกัน มาเพื่อป่วน และเพื่อปล่อย ปล่อยคือ ปล่อยสิ่งที่โจอยากสื่อสาร ตามแผนที่สุมหัวไว้ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่โจพูด ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่คิงส์ได้เปิดลึกตั้งแต่แรกๆ สิ่งที่โจทำคือ การขู่ววว มีทั้งในคอมเม้น มีทั้งแชตเข้ามา ส่งเป็นคลิปบ้าง ส่งเป็นข้อความบ้าง มาแนวๆ ห่วงพี่คิงส์งั้นงี้ ส่งกำลังใจงั้นงี้ แต่ส่งข้อความขู่ววว จากโจ มณฑานี ล้วนๆ ซึ่งพวกนี้หงายกันไปหมด คงเดากันได้นะ ว่าพี่คิงส์ปากจัดแค่ไหน ผลพวงจากปฏิบัติการนี้ มันมีผลแย่ทางตรงและทางอ้อมเยอะมาก เพราะประเทศไทย มีทุยเยอะมาก ถึงแม้ว่าหลังจากคิงส์ฯได้เปิดเผยข้อเท็จจริง จนมีทุยเปลี่ยนกลับมาเป็นคนมหาศาลก็ตาม แต่ก็ยังมีคนกลุ่มเดียวที่มีชีวิตคล้ายโจ คือคนที่โลกแห่งความเป็นจริงเหงามาก รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า กลุ่มนี้ ดึงออกยากมาก เพราะเต็มไปด้วยอัตตา บางคนหลงกามินขนาดประกาศยอมตุยเพื่อกามิน ซึ่งมันเลยเถิด ไปกันใหญ่ และพวกนี้ไม่ต้องจ้าง ทำด้วยความค-ลั่-ง-ไ-ค-ล้ และสมานความเจ็บในชีวิตจริงในรูปแบบส่วนตัวก็พอ ตอนนี้ จากที่โจ มณฑานี ได้เริ่มปฏิบัติการมา จากการสนับสนุนของกลุ่มเงินดาร์ค มันเยอะมาก มาแบบไม่อั้น และวิธีการนั้นมันเริ่มแรงขึ้นหลังจากที่ชาลี ประกาศ เชิญกามินกลับประเทศ -โจ มณฑานี เริ่มคุยในกลุ่ม DC และไลฟ์ตามเพจที่ตัวเองจูงจมูกได้ แบบชัดมาก เริ่มหลุดเสียง หลุดภาพออกมา ว่าโจ ให้ร้ายน้องแน๊ก พูดสามสี่ชั่วโมง เพียงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า แน๊ก เปื่อยจิต ซึ่งความเชื่อนี้ได้ฝังหัวกลุ่มทุยทุกตัว -ความเลยเถิดคือ กลุ่มทุยจิตอ่อน เริ่มอิน และเริ่มมีการคุ-กคาม น้อง มีการแฮชเทคโพสห-ย-า-บ ถึงบ้านคู้บอน เริ่มมีการบริภาษหลานตัวน้อยของชาลี และที่สำคัญ ทุกคนฟังให้ดี กลุ่มทุยนี้ โจกล่อมสำเร็จถึงขนาด เป็นลัตติ๊ล่า แม่ -มด พี่คิงส์ฯจึงจำเป็นที่ต้องออกมาเปิดเผยความจริง และทุกข้อที่พิมพ์ไว้นี้ ทุกท่านสามารถสืบต่อได้ ว่าจริงหรือไม่ สังเกตุของปัจจุบันเลย พวกทุยที่มาป่วน ยูซแท้ไม่มีซักราย และข้อความก็เป็นข้อความที่ก็อปวางทั้งนั้น ยอดฟอล และเทรนทวิช แล้วท่านจะตาสว่าง น้องชาลี คือน้องชายที่เป็นคนไทย ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่กลับต้อนโดนคนไทยด้วยกัน จากการซัพพอตของกลุ่มทุนเงินดาร์คที่ต้องกอาศัยช่องทาง PK ในการซักอบรีดเงินให้ขาว มามุ่งเล่นงาน รวมถึงคนไทยที่จิตอ่อน ตามการจูงจมูกโดย โจมณฑานี ที่มาตรร้ายเหมือนคนเป็นจิตปsะสาด โดนสากดจิกทุกวัน นานหลายๆเดือน คิดว่า พวกนี้ คิดจะทำอะไรกับน้องแน๊ก และครอบครัวที่ไม่มีความผิดอะไรเลย จึงของให้พี่น้องชาวไทยผูัรักชาติทุกคน ร่วมกันปกป้องน้อง ให้พ้นจากปฏิบัติการเหล่านี้ด้วย น้องยอมตัดกามิน เพียงเพื่อปกป้องคนไทยไม่ให้โดนต้ม น้องไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้จริงๆ เดี๋ยวมีต่อ รอติดตาม #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 834 Views 0 Reviews
  • #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง
    วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์
    ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด
    ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร
    น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู
    1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้
    2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง
    3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย
    4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน
    5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง
    6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง
    7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง
    8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ
    นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน
    จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ
    แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง
    แน๊ก ชาลี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์ ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู 1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้ 2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง 3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย 4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน 5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง 6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง 7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง 8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง แน๊ก ชาลี #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 658 Views 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 408 Views 0 Reviews
  • พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!!

    ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!!

    เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย
    ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว
    จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย
    ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา
    ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย
    ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง
    ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต
    รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย
    คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ
    ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก
    ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน……

    ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา
    ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง
    ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง
    แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า
    “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…”
    คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า
    “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล”

    ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush
    เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ
    เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา
    การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า
    “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน”
    หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย
    เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……”

    เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี)
    นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี
    อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา
    แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่
    ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน
    และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก……

    ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน
    ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย
    แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น

    เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์
    และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร…
    แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี
    ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น
    คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง
    จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง
    ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน

    วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด
    ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย
    ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน
    แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB
    และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก
    ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์
    อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน
    แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย

    ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน
    เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที…
    เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ

    เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม
    อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov

    เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา……

    ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์
    อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ
    ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน
    ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย……

    ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี
    ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย
    ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน
    แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา……
    ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?”
    สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..”
    ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?”
    สื่อ……”#%&฿$€€”

    หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป
    อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute
    คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ
    และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน……
    แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน
    จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี
    มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่

    ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี
    เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น
    แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้
    การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด
    ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน……
    ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน)
    หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน
    คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า
    “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น”

    ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!”

    **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน

    ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ
    อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย
    ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้
    และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน

    หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน
    เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง

    Wiwanda W. Vichit
    พากันจูงมือเข้าอ่านริ้วววว………พี่ปูเขากำลังจะรุ่งในสายการเมืองแล้ววว………!!!! ตอนห้า…..เมื่อราศีจับ……อะไรๆก็ฉุดไม่อยู่……!!! เท่ากับว่า ตอนนี้ปูตินมีสองร่างในบุคคลคนเดียวกัน เขาได้มาเป็นที่ปรึกษาให้กับอนาโตลี แต่ยังคงนั่งทำงานประจำที่มหาวิทยาลัย ส่วนที่สำนักงาน KGB. เขาจะแวะเข้าไปเป็นครั้งเป็นคราว จนวันหนึ่งในช่วงปลายปี 1990 ที่มีคณาจารย์จาก Saint Petersburg University จาก Florida, USA ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัย ในเลนินกราด ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และแบบแผนการศึกษา ตัวผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นอธิการบดี Dr. Carl M. Kuttler jr. ได้เดินทางมาด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับ คือ วลาดิเมียร์ ปูติน ที่เป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ตั้งแต่ชมมหาวิทยาลัย ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นภาวะที่น้ำมันขาดแคลนในโซเวียต รถลีมูซีนของท่านอธิการบดี เกิดน้ำมันหมด……ปูตินสามารถสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐนำน้ำมันมาเติมให้ถึงที่ได้ด้วย คาร์ลจึงแปลกใจมาก……เขาแทบไม่เชื่อว่าคณบดีธรรมดาๆ คนนี้ สามารถตอบคำถามได้หมด ตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ ซ้ำยังเรียกหน่วยงานมาจัดการเรื่องเส้นทางและน้ำมันให้ได้อีก ทุกอย่างได้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตลอดทั้งสิบวัน…… ในคืนเกือบสุดท้ายที่คณะจากอเมริกาจะจากไป มีการจัดเลี้ยงอำลา ปูตินจึงนำอนาโตลีไปแนะนำให้รู้จักในฐานะเจ้านาย และ ในฐานะของนายกเทศมนตรีของเมือง ระหว่างการสนทนา คาร์ลได้เชื้อเชิญให้อนาโตลีไปเยี่ยมเยียนที่อเมริกาบ้าง แต่อนาโตลี คือชาวรัสเชี่ยนแท้ๆ ที่ปากกับใจตรงกัน ได้ตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่มีทุนรอนขนาดนั้น มันไกลเกินฝัน…” คาร์ลก็เป็นอเมริกันสายป๋า……เขาตอบทันทีว่า “งั้นผมจะลองไปจัดการหาสปอนเซอร์ให้เอง……โปรดอย่าเป็นกังวล” ในที่สุด อนาโตลีและคณะก็ได้ไปเยือนอเมริกาสมใจ ด้วยทุนของ Procter & Gamble และได้เข้าพบกับประธานาธิบดี George H.W. Bush เขาได้ดูงานเทศบาลของเมือง Saint Petersburg, Florida **ที่มีนโยบายเข้มโดยไม่มีการอนุญาตให้ตัดต้นไม้ใดๆได้ จนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการ เมื่ออนาโตลีกลับมาถึงโซเวียต สิ่งแรกที่เขาทำคือ ทำการบรรจุปูตินในทีมงานอย่างเป็นทางการ จากความดีความชอบที่สามารถเชื่อมโยงจนได้ไปอเมริกา การทำงานกับอนาโตลี……ปูตินเริ่มมองเห็นอะไรอีกด้านหนึ่งที่เขาไม่ได้มองมาก่อน เช่น เรื่องความเสมอภาค ที่อนาโตลีมักพูดเสมอว่า “เราคุ้นเคยกับความรุนแรงมาตั้งแต่เกิด จนเห็นเป็นเรื่องปรกติ เราต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ระแวง กับการที่จะมีคนมาคอยจ้องจับ นั่นมันไม่ใช่วิสัยการเป็นอยู่ของมนุษยชน” หรือ “ เราไม่จำเป็นต้องไปฆ่าฟันผู้คนกลุ่มหนึ่งให้ตาย เพื่อสนองตัญหาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง……” เขาทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง อายุต่างกัน (12 ปี) นิสัยต่างกัน คนหนึ่งรื่นเริง หัวเราะง่าย อารมณ์ดี อีกคนหนึ่ง หน้าเครียด ยิ้มยาก ระวังตัวตลอดเวลา แต่อนาโตลี……พยายามผลักดันปูตินให้เข้ามาในวงจรของความคิดใหม่ ปูตินแยกแยะเรื่องงานได้ดี เขาไม่เคยเออออห่อหมกกับทัศนคติของอนาโตลีที่มีต่อโซเวียต เพราะเขายังเป็น KGB ที่ยังต้องซื่อสัตย์กับงาน และเขาได้เห็นว่า งานเทศมนตรีที่อนาโตลีทำอยู่นั้น เป็นการเล่นการเมืองเสียส่วนใหญ่ งานด้านทำนุบำรุงประชาชนในส่วนสาธารณูปโภคมีน้อยมาก…… ในปีนั้น ปี 1991 เศรษฐกิจของโซเวียตฝืดเคือง ข้าวของทุกอย่างหายไปตลาด ชั้นขายของว่างเปล่า อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การประท้วงได้เกิดขึ้นตามชายขอบของประเทศ กอร์บาเชฟสั่งให้หน่วยทหารและ KGB เตรียมกำลังให้พร้อม เพื่อที่จะไปปราบม็อบ ผลจากการปะทะ ผู้ต่อต้านเสียชีวิตไป 14 คน ลิธัวเนีย…ประกาศท้าทายโซเวียตด้วยการจัดการลงคะแนนเสียงเพื่อขอเป็นอิสระ กอร์บาเชฟไม่ยอมรับมติของการลงคะแนน โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย แต่กระแสเรียกร้อง เรียกหาความเป็นธรรมเริ่มหนาหูขึ้น เดือนเมยายน โซเวียต ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ที่มีทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ และฝ่ายสังคมนิยม ที่จะต้องชิงที่นั่งกัน ผลที่ได้คือ Boris Yelzin ได้ตำแหน่งประธานสภา อันเป็นที่ไม่พอใจกอร์บาเชฟเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนละวิสัยทัศน์ และ เขาไม่เข้าใจเลยว่า คนที่ดื่มสุราจัด พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ จะมาทำงานใหญ่ได้อย่างไร… แต่กระแสนิยมในตัวเยลซินกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จนบดบังรัศมี ของกอร์บาเชฟจนหมดสิ้น คอมมิวนิสต์อยู่ในกระแสขาลง ……ประชาชนฝ่ายใฝ่สังคมนิยมผสมประชาธิปไตยในสายงานของอนาโตลีทำการเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมือง จากเลนินกราด……ให้กลับไปเป็นเหมือนก่อนเก่า คือ St. Petersburg ซึ่งได้รับเสียงตอบรับในสภาเกินครึ่ง ปูติน……วางตัวเงียบสงบ ตั้งแต่เขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะนักการเมือง เขาได้ลาออกจากการเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัย คอยเฝ้าดูสถานะการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาเป็นที่ไว้วางใจของอนาโตลี ถึงขนาดที่เซ็นลงในกระดาษเปล่าให้ปูตินเอาไว้เขียนสั่งงานแทน วันที่ 17 สิงหาคม 1991 ปูตินได้พาครอบครัวไปเที่ยววันหยุด ที่ฝั่งทะเลบอลติค อนาโตลีไปพักผ่อนที่กึ่งประชุมงานที่ลิธัวเนีย ไม่มีใครรู้ว่า วันต่อมา คือวันที่ 18 เป็นวันที่ Gorbachev, Yeltzin และผู้นำจาก Kazakhstan มีการประชุมลับกันในการที่จะปรับเปลี่ยนทอนอำนาจในเครมลิน แต่ความลับรั่ว……เพราะการประชุมไม่ได้เกิดขึ้น กอร์บาเชฟได้ถูกควบคุมตัวไปขังในบ้านพักตากอากาศของเขาเอง (house arrest) แบบปฏิวัติเงียบจากกลุ่มต่อต้านภายใน หนึ่งในทีมหัวหน้าปฏิบัติการ คือ Vladimir Kryuchkov ผู้อำนวยการใหญ่ KGB และจากนั้น……ทั้งประเทศตกอยู่ในการคุมเข้มของกฏอัยการศึก ปูตินทราบข่าวจากการประกาศฉุกเฉินทางโทรทัศน์ อนาโตลี ทราบข่าวจากโทรศัพท์ที่ปลุกกลางดึก ทำให้เขาต้องรีบบินกลับพร้อมกับผู้ติดตามหนึ่งคน ซึ่งทางคณะประกอบการได้ส่งการ์ดพร้อมอาวุธไปเตรียมควบคุมตัวเขาถึงสามคน แต่เมื่อถึงสนามบิน การ์ดสามคนนั่น ไม่ได้ทำตามคำสั่ง แถมยังช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับอนาโตลีจนบินกลับถึงมอสโคว์ได้อย่างปลอดภัย ปูตินรีบกลับมา เพื่ออยู่ในทีมงานของอนาโตลี เพราะเขารู้สึกเอียนกับการยึดอำนาจแบบนี้ เพราะตลอดชีวิตของเขาก็เจอแต่เหตุการณ์แบบนี้ แล้วผลมันเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ว่าประเทศได้ย่ำเท้าถอยหลัง ทรุดโทรมลงไปทุกวัน เขาตัดสินใจเขียนใบลาออกจาก KGB หลังจากที่ 16 ปีที่ใช้ชีวิตในเส้นทางนั้น พอกันที… เป็นไปตามคาด……การปฏิวัติโดยฝ่ายทหารและ KGB ในครั้งนี้ ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาด เพราะประชาชนไม่ยอมรับ เพียงแค่สองวัน กอร์บาเขฟก็ได้รับอิสรภาพออกมาจากบ้านพัก Boris Yeltzin ได้รับความนิยม อนาโตลีก็เช่นกัน เขากลายเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยในเลนินกราด ปูตินก็ถือเป็นโชคที่เข้าข้าง เพราะเขาตัดสินในเลือกถูกฝั่ง……เพราะถ้าเขายังอยู่ในราชการ แน่นอนว่า……เขาคงจบชีวิตราชการที่ศาลทหารอย่างเดียวกับ Vladimir Kryuchkov เขาควรจะดีใจ……แต่ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ที่เห็นองค์กร KGB ที่เหมือนจิตวิญญาณศักดิศรีของลูกผู้ชายนั้นได้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา…… ตามคาดคือ Yeltzin ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซีย (ใหม่) เขาได้ทำการยุบกลุ่มพรรคที่นิยมคอมมิวนิสต์ อนาโตลี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลสำคัญแห่งเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และก็ได้ทำการอย่างเดียวกับเยลซิน คือ ไล่บี้กลุ่มคอมมิวนิสต์ เขาได้แต่งตั้งให้ปูตินเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยมีที่ทำการใหม่ที่หรูหราสมฐานะ ภาพของเลนินได้ถูกปลดออกจากทุกห้อง โดยนำภาพของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชขึ้นไปแขวนแทน ธงแดงที่มีตราฆ้อนเคียว ถูกปลดลงหมด แต่ยังหาธงอื่นแทนไม่ได้ (ผลิตใหม่ยังไม่ทัน เสร็จพร้อมเมื่อ 1 พฤศจิกายน) ปูตินได้สั่งให้ถอนเสาธงออกไปเลย…… ตอนนั้นเป็นยุคที่ต้องมีสื่อทีวีเพื่อการโปรประกันดา อนาโตลี ให้สัมภาษณ์จนแทบไม่มีเวลาหายใจ เขาจึงมอบหมาย ให้ปูตินรับช่วงต่อไปแทน ที่เป็นการสัมภาษณ์แบบสด ไม่มีสคริปต์ ที่เขาทำให้ทุกคนทึ่งในความสามารถ เพราะปูตินสามารถตอบทุกอย่างได้แบบมือโปร ด้วยท่าทางที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยพลังของการทำงาน แต่ในสุดท้ายของการสัมภาษณ์ สื่อได้ถามวนเวียนถึงเรื่องการเป็นสายลับของเขา…… ปูตินเริ่มรำคาญ ……”ดูคุณจะหาคำอธิบายให้ได้ใช่ไหม?” สื่อ “ ก็แน่ละซิ เพราะการที่ได้พบกับอดีต KGB ที่ไม่ได้ปกปิดตัวตนนั้น มันง่ายซะที่ไหน..” ปูติน……”คุณไม่มีทางรู้เลยว่า คุณอาจได้พบพวกเขาบ่อยๆแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัว………แต่เขาจะรู้เสมอว่าคุณเป็นใคร…แล้วคุณลองดูในอเมริกา นายจอร์จ บุช ก็คืออดีตซีไอเอ…แล้วไง?” สื่อ……”#%&฿$€€” หลังจากหมัดเด็ดในการสัมภาษณ์นั้นได้ออกทีวีไป อาคันตุกะคนแรกที่เข้ามาพบกับปูตินถึงที่ทำงาน ใน Smolny Institute คือ Igor Sechin ***เป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในภาษาโปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เคยเป็นล่ามให้กับกองทัพ และ…..เป็นอดีต KGB เช่นกัน…… แทบไม่ต้องเดา……อิกอร์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเป็นหูเป็นตาให้กับปูติน จากนั้น……พรรคพวกเดิมๆที่มีความสามารถอย่างอิกอร์ก็ตบเข้าเข้ามาเสริมกำลัง จนในที่สุด ทั้งออฟฟิศของอนาโตลี มีแต่เจ้าหน้าที่ที่เป็นอดีต KGB เป็นส่วนใหญ่ ปูตินพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดตั้งแต่เป็นสายลับ นักกฎหมาย ภาษาเยอรมัน การเมืองและเศรษฐศาสตร์ในการทำงาน เขาเชื่อเสมอว่า รัสเซียสามารถเป็นประเทศที่มีหลักการในการปกครองระบบสังคมนิยมผสมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อนที่ใกล้ชิด ที่รู้นิสัยกันดี เขาเอามาทำงานด้วยหมด และทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่.……นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีหุ้นอยู่ด้วย.……พร้อมเข้าตรวจสอบได้ การพัฒนาในเรื่องอุตสาหกรรมพลังงานจะต้องมาเป็นอันดับแรกที่ต้องพัฒนาให้ล้ำที่สุด ซึ่งเป็นความคิดที่สอดคล้องกับอนาโตลี ที่ตอนนั้นมีบารมีพอๆกันกับเยลซิน…… ปูตินกลายเป็นกลไกสำคัญของเหล่าอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเยือน และสร้างสัมพันธไมตรีต่างประเทศ ตั้งแต่ รมต. ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา James Baker,ไปอังกฤษเพื่อพบปะกับ John Major นายกรัฐมนตรี, ไปเยอรมันเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรี Helmut Kohl (และทำหน้าที่เป็นล่ำเป็นสัน) หรือเมื่อ Henry Kissinger ได้บินมาที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ปูตินไปรับที่สนามบิน และนำไปสู่ที่พัก ในการสนทนากัน คิสซิงเจอร์ได้บอกกับปูตินว่า “คนที่ทำงานเก่งๆเนี่ย เริ่มต้นมาจากหน่วยราชการลับกันทั้งนั้น” ปูตินยิ้มนิดๆ ตอบไปว่า “อย่างผมนี่ไง……..!!” **ที่ Florida, USA. มีเมืองที่ชื่อว่า Saint Petersburg เช่นกัน ***จำชื่อนี้ไว้นะคะ Igor Sechin เพราะต่อมาเขาคือกลไกสำคัญในการเป็นแขนขาในการทำงาน เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อปูตินเป็นนายกฯ อิกอร์ดูแลควบคุมการอุตสาหกรรมแร่ รวมไปถึงพลังงานและเป็น CEO บริษัท Rosneft ก๊าสและน้ำมัน ที่ใหญ่อันดับสามของรัสเซีย ตัวเขาเองที่เปรียบเสมือนมือขวาของปูตินจนถึงบัดนี้ และตะวันตก……ได้ให้สถานะเขาว่า เป็นผู้มีอำนาจที่สองรองลงไปจากปูติน หรือแม้แต่ Alexey Miller CEO ของ Gazprom บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียก็เป็นเด็กในคาถาของปูติน เพราะปั้นมากับมือตั้งแต่เขาเริ่มเลือกเส้นทางสายการเมือง Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 271 Views 0 Reviews
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 730 Views 0 Reviews
  • Sep. 13, 2024

    วันนี้เห็นคลิปทหารทุกหมู่เหล่า หน่วยกู้ภัย มูลนิธิต่างๆ และจิตอาสา ต่างระดมกำลังกัน ช่วยชาวบ้านออกจากพื้นที่อันตราย ส่งข้าว ส่งน้ำ และของประทังชีวิตให้ถึงมือทั้งทางเรือ และทางอากาศ
    https://youtu.be/-jaZXpfHsgo?si=YFcFCL5e6vndU-XQ

    มันช่างต่างกับคลิปบ่ายเบี่ยงของนายกคนลูก และออกไปสร้างภาพช่วยผู้ประสบภัยอีกครั้ง หลังจากนายกคนพ่อไปถ่ายรูปสร้างภาพที่สุโขทัยตอนน้ำสูงเท่าพื้นรองเท้า และจัดฉากให้คนนั่งในเรือยกมือไหว้มันซะด้วย ล่อลวงด้วยนโยบายแจกเงินสกุล digital หมื่นนึง ซึ่งบัดนี้กลายเป็นแจกเงินสดที่เลื่อนวันจ่ายออกไปเรื่อยๆ...มันช่างน่าทุเรศใจเหลือเกิน

    คิดย้อนไปถึงตอนก่อนเราจะกลับจาก New York ช่วงพฤศจิกายน 2022 ตอนนั้น Powerball Lotto คือ lottery game ของรัฐที่เข้าร่วมทั้งหมด 45 รัฐ รางวัลที่ฮือฮามากเมื่อก่อน covid คือเกือบ $700 ล้านเหรียญ ถ้าไม่มีใครถูก รางวัลก็จะทบไปเรื่อยๆ จน Jackpot แตกไปเมื่อวันที่ 7 พย. 2022 คือ $2040 ล้านเหรียญ ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา และที่สำคัญ Jackpot winner มีคนเดียวด้วย

    ติ๊ต่างว่าเราคือคนๆนั้นนะ และเราเลือกที่จะไม่รับเบี้ยหัวแตก 30 ปี แต่เราเลือกเอาก้อนเดียวเลย เงินรางวัลเราก็จะได้ครึ่งเดียว คือเหลือ $1020 ล้านเหรียญ จากนั้นก่อนจะอุ้มเงินหนีกลับบ้าน คุณจะโดนหัก state & federal tax อีก 37% ก็จะเหลือกลมๆประมาณ $640 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ตอนนั้น ฿35/$1 ก็คือ ฿22,400 ล้านบาทไทย...ก็เอาละวะ

    ตอนกลับมาไทย เราชอบชวน taxi และคนในพื้นที่ที่ภูเก็ตคุย เราก็จะเล่าเรื่องหวยฝรั่งรางวัลใหญ่ให้พี่ๆ taxi และหลายๆคนฟัง แล้วเราก็นึกสนุกขึ้นมา จึงตั้งคำถามกับ taxi และคนที่ภูเก็ตอีกหลายต่อหลายคนว่า...

    "ถ้าหนูมีเงิน $640 ล้านเหรียญ และในเมืองไทยมีคนอยู่ในประเทศ 70 ล้านคนนะ อ้ะๆ ให้ 80 ล้านคนเลย (เผื่อพม่า ลาว เขมรจะวิ่งเข้ามาด้วย) หนูแจกตังให้ฟรีๆคนละ $1 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยคือคนละ ฿35 ล้านบาท) หนูก็จะเหลือตังอีก $560 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยก็เหลืออีกตั้ง ฿19,600 ล้านบาทไทย) แจกแบบนับจำนวนหัว ไม่ดูอายุกันเลยนะ คุณยายจะตายพรุ่งนี้ก็แจก เด็กเกิดใหม่อายุ 1 วันก็ได้นะ แต่หนูไม่แจกคนที่ติดคุกอยู่ และพระสงฆ์ค่ะ...พี่ว่ามันจะดีมั้ยคะ คิดดีๆก่อนตอบนะ ไม่ต้องรีบ ถามคำถามก่อนตอบก็ได้นะ"

    80% เป็นการตอบแบบไม่หยุดคิดก่อนเลยซักวินาทีเดียว
    "ดีสิครับ" "ดีเด่ะพี่" "โห ผมให้เลขบัญชีคนทั้งครอบครัวพี่เดี๋ยวนี้เลย"
    15% มีการยิงคำถามบ้าง แล้วก็ตอบว่า "ดีครับ ควรแจกครับ"
    มีแค่ 5% ที่คิด-ถาม-คิดอีกที จึงตอบว่า
    "ประเทศเละแน่ๆครับ" "ผมว่าพี่อาจจะโดนยิงตายภายใน 3 วัน" "ผมว่าน่าจะมีหลายคนที่ไม่เคยมี และเขาสามารถทำให้เงินหมดได้ภายในเวลาแป๊บเดียวนะ"

    คราวนี้ตาเราถามพวก 80% แรกกลับบ้าง
    "คำถามแรก ทุกคนมีหนี้นอกระบบพะรุงพะรังถูกมั้ยคะ มีใครคิดจะใช้หนี้ให้หมดก่อนมั้ย หรือคิดว่า ก็เจ้าหนี้ ก็ได้ ฿35 ล้านบาทแล้วไง งั้นก็ไม่ต้องใช้คืนก็ได้
    แล้วหนูบอกว่าหนูแจกทุกคนเลยนะ นักโทษฆ่าข่มขืนเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาหนูก็แจกนะ คนค้ายาค้ามนุษย์ คนบ้าข้างถนน หนูก็แจกนะคะ ถ้าผัวเมียชาวนามีลูก 8 คน ครอบครัวนั้นจะได้เงิน ฿350 ล้านบาทนะคะ
    คำถามต่อไปคือ พี่ว่าชาวนาจะยังปลูกข้าวอยู่มั้ย พี่ว่าพระจะสึกออกมารับเงินกันกี่รูป พี่ว่าคุณลุงคุณป้าที่ทำร้านอาหารอยู่ แล้วอีกวันเขามีเงินรวมกัน ฿70 ล้านบาท เขาจะเปิดร้านต่อมั้ย พี่เข้าไปร้าน 7-11 แล้วจะมีใครทำงานมั้ย พี่ว่าข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร จะยังอยากรับใช้ประชาชนแบบเช้าชามเย็นชามเพื่อรอเงินบำนาญอยู่มั้ย พี่ว่ารปภ. คนส่ง Grab คนรับจ้างตัดหญ้า คนรับจ้างกรีดยาง คณะละครร้องรำตามงานวัด จะยังอยากทำงานต่อมั้ย งานวัดจะมีอีกมั้ยเพราะคนทำชิงช้าสวรรค์ ขายสายไหม ซุ้มปาเป้า อาจจะไปเที่ยวยุโรปกันหมดแล้ว ไม่มีใครทำงานแล้ว คนต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทย จะยังได้รับรอยยิ้มสยาม และการต้อนรับอย่างดีอยู่อีกมั้ย ทำไมต้องมานั่งนวดฝรั่งริมหาดร้อนๆด้วยเนอะ ชาวประมงใส่นาฬิกา 3 ล้านบาทได้เหมือนนักการเมืองแล้วนะ แถมเหลือตังอีกตั้งแยะ เขาจะยังออกไปจับปลามาขายมั้ย...ที่แย่ที่สุดคือ พี่ว่าคนในครอบครัวจะฆ่ากันเองเพราะโลภอยากได้เงินพี่น้องพ่อแม่หรือผัวเมียตัวเองมั้ย
    ...ตกลงพี่ว่าหนูยังควรแจกตังอยู่มั้ยคะ"
    นี่คือความคิดโง่ๆทุเรศๆของเราเล่นๆ แต่มีคนสนับสนุนความคิดบ้องตื้นของเราถึง 80% เพียงเพราะอยากได้เงินก้อนโต

    เวลาผ่านไป 2 ปี มีนักการเมืองเอาความคิดคล้ายๆกัน แต่จะไปกู้เงินมาหยิบยื่นให้ประชาชน แต่ให้แบบเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกคนเป็นหนี้ท่วมหัวชั่วลูกชั่วหลานหนักกว่าเดิม แต่คนส่วนนึงก็ยังสนับสนุนความคิดนี้อย่างแข็งขัน เพราะอยากได้เงินแค่หมื่นเดียว

    ตอนนี้ผู้ประสบภัยพิบัติมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีนักการเมืองแวะมาดูๆ ถ่ายรูปตอนมอบถุงยังชีพ 2-3 แชะ แล้วหนูน้อยก็บอกว่า "ตอนนี้น้ำแรงมาก เรือท้องแบนเข้าไปไม่ได้ เมื่อน้ำลดลง พวกเราพร้อมจะเข้าช่วยทันที" อ๋ออออ เรือท้องท้องแบนเข้าไปสู้กับน้ำเชี่ยวๆได้แหละเนอะ น้ำไม่ค่อยแรงหรอก ไว้เรือท้องแบนเข้าได้ แล้วค่อยไปก็ได้ คนไทยอดข้าวอดน้ำ 4-5 วันได้ อึฉี่บนหลังคาบ้านก็ได้ เก่งจะตาย ไม่รีบๆ
    https://x.com/Kawaaii13/status/1834174006418964973?t=Qgom67KE-O0gYasaeateSA&s=19

    ลองเข้าไปดู tiktok ของ @tiktok.thailand89 นะคะ ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ ขับ jet ski เก่งมากๆทุกคนเลยค่ะ
    https://www.tiktok.com/@tiktok.thailand89?_t=8pghh09pg0q&_r=1

    นายกหนูน้อยคะ นี่ไงคะ แพร่ลดแล้ว สุโขทัยลดแล้ว เมืองพังเละเทะ ที่ว่าพร้อมจะเข้าช่วยทันที ว้า..แย่จัง ตอนนี้ต้องไปช่วยเชียงรายก่อน ไหนจะต้องแอบเร่งทำเรื่องคาสิโนให้ผ่าน ช่วงที่กำลังอลหม่านเรื่องน้ำท่วมนี่แหละ แถมทีม IO ก็ค่อยๆทยอยลงคลิปเสียงคนโน้นคนนี้ ปล่อยข่าวดาราไทยที่โดนดาราชาติอื่นๆหลอก ฯลฯ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คนด่านายกหนูน้อยเยอะ มุขมันเก่าไปแล้วค่ะ รายการเจาะลึกทั่วไทย เอาคลิปลุงมาสร้างกระแส เอาจริงๆ ลุงหยุมแกก็อยากเป็นใหญ่ ใครๆก็รู้มาตั้งนานแล้วป่ะ คุณมดดำ ก็สร้างกระแส acting ทำเป็นโกรธดาราเกาหลีมากมาย ได้ตังกันไปเท่าไหร่จ๊ะ

    สังเกตุมั้ย ครอบครัวนี้ขึ้นมามีอำนาจทีไร น้ำท่วมใหญ่ทุกที โดนทั้งอา ทั้งหลานเลย มันคือสัญญาณอะไรเอ่ย คล้ายกับธรรมชาติไม่พอใจพฤติกรรมของมนุษย์ จึงส่งภัยพิบัติมาช่วยเบิกเนตรให้คนตาสว่าง งั้นเราขอถามคำถามตอนนี้ว่า

    ติ๊ต่างนะคะ ว่าตอนนี้มีเงินหมื่นบาทลอยเข้า app เป๋าตังเรียบร้อยแล้ว...แต่ไปซื้อของก็ไม่ได้ เพราะน้ำท่วมร้านค้ามิดหลังคาเลย ได้ข้าวสารมา แต่ไม่มีไฟฟ้าให้หุงข้าว จะหุงด้วยฟืน ฟืนก็เปียกน้ำหมด เหลือแต่ตัวกับเงินหมื่นบาทใน app

    ก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ ของวิญญูชนชัดเจนแล้วว่า การเอาเงินมาแจกให้คน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องค่ะ หากแต่การให้ความรู้แก่ผู้ใฝ่รู้ที่มีความพยายาม ความอดทน และความมุ่งมั่นต่างหาก ที่จะเป็นทางออกที่แท้จริงให้กับประชาชนและประเทศชาติ

    มีชายท่านนึง ท่านเคยศึกษา และทดลองทำอะไร หลายสิ่งหลายอย่าง มีโครงการมากมายที่ได้ผลสำเร็จ และนำเอาความรู้เหล่านั้นมาเผยแพร่ให้ฟรีๆ และยังเป็นศาสตร์ความรู้ที่นำมาใช้ต่อไปได้ไม่จำกัดกาล แต่คนส่วนใหญ่ กลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลมันนานเกินไป จนภัยมาถึงตัวในวันนี้

    และนี่อาจจะเป็นเหตุผลนึง ที่ทำให้คนที่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ยังเก็บเงินไว้กับตัว เพราะเขาอาจจะต้องการให้สังคมยังมีความเหลื่อมล้ำมากอยู่ตลอดไป ไม่งั้นจะไปหาคนรองมือรองตีนได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะหาลูกหนี้ได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะไปหาเหยื่อที่เห็นเงินตาโตแล้วร้อยไว้ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ

    ปล.
    ภูเก็ตก็หนักอยู่ เตรียมรับอีกลูกวันที่ 17 จ้ะ
    ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ
    https://www.facebook.com/share/v/YGS8GsJ3YXbtrxjK/?mibextid=D5vuiz
    Sep. 13, 2024 วันนี้เห็นคลิปทหารทุกหมู่เหล่า หน่วยกู้ภัย มูลนิธิต่างๆ และจิตอาสา ต่างระดมกำลังกัน ช่วยชาวบ้านออกจากพื้นที่อันตราย ส่งข้าว ส่งน้ำ และของประทังชีวิตให้ถึงมือทั้งทางเรือ และทางอากาศ https://youtu.be/-jaZXpfHsgo?si=YFcFCL5e6vndU-XQ มันช่างต่างกับคลิปบ่ายเบี่ยงของนายกคนลูก และออกไปสร้างภาพช่วยผู้ประสบภัยอีกครั้ง หลังจากนายกคนพ่อไปถ่ายรูปสร้างภาพที่สุโขทัยตอนน้ำสูงเท่าพื้นรองเท้า และจัดฉากให้คนนั่งในเรือยกมือไหว้มันซะด้วย ล่อลวงด้วยนโยบายแจกเงินสกุล digital หมื่นนึง ซึ่งบัดนี้กลายเป็นแจกเงินสดที่เลื่อนวันจ่ายออกไปเรื่อยๆ...มันช่างน่าทุเรศใจเหลือเกิน คิดย้อนไปถึงตอนก่อนเราจะกลับจาก New York ช่วงพฤศจิกายน 2022 ตอนนั้น Powerball Lotto คือ lottery game ของรัฐที่เข้าร่วมทั้งหมด 45 รัฐ รางวัลที่ฮือฮามากเมื่อก่อน covid คือเกือบ $700 ล้านเหรียญ ถ้าไม่มีใครถูก รางวัลก็จะทบไปเรื่อยๆ จน Jackpot แตกไปเมื่อวันที่ 7 พย. 2022 คือ $2040 ล้านเหรียญ ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา และที่สำคัญ Jackpot winner มีคนเดียวด้วย ติ๊ต่างว่าเราคือคนๆนั้นนะ และเราเลือกที่จะไม่รับเบี้ยหัวแตก 30 ปี แต่เราเลือกเอาก้อนเดียวเลย เงินรางวัลเราก็จะได้ครึ่งเดียว คือเหลือ $1020 ล้านเหรียญ จากนั้นก่อนจะอุ้มเงินหนีกลับบ้าน คุณจะโดนหัก state & federal tax อีก 37% ก็จะเหลือกลมๆประมาณ $640 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ตอนนั้น ฿35/$1 ก็คือ ฿22,400 ล้านบาทไทย...ก็เอาละวะ ตอนกลับมาไทย เราชอบชวน taxi และคนในพื้นที่ที่ภูเก็ตคุย เราก็จะเล่าเรื่องหวยฝรั่งรางวัลใหญ่ให้พี่ๆ taxi และหลายๆคนฟัง แล้วเราก็นึกสนุกขึ้นมา จึงตั้งคำถามกับ taxi และคนที่ภูเก็ตอีกหลายต่อหลายคนว่า... "ถ้าหนูมีเงิน $640 ล้านเหรียญ และในเมืองไทยมีคนอยู่ในประเทศ 70 ล้านคนนะ อ้ะๆ ให้ 80 ล้านคนเลย (เผื่อพม่า ลาว เขมรจะวิ่งเข้ามาด้วย) หนูแจกตังให้ฟรีๆคนละ $1 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยคือคนละ ฿35 ล้านบาท) หนูก็จะเหลือตังอีก $560 ล้านเหรียญ (เป็นเงินไทยก็เหลืออีกตั้ง ฿19,600 ล้านบาทไทย) แจกแบบนับจำนวนหัว ไม่ดูอายุกันเลยนะ คุณยายจะตายพรุ่งนี้ก็แจก เด็กเกิดใหม่อายุ 1 วันก็ได้นะ แต่หนูไม่แจกคนที่ติดคุกอยู่ และพระสงฆ์ค่ะ...พี่ว่ามันจะดีมั้ยคะ คิดดีๆก่อนตอบนะ ไม่ต้องรีบ ถามคำถามก่อนตอบก็ได้นะ" 80% เป็นการตอบแบบไม่หยุดคิดก่อนเลยซักวินาทีเดียว "ดีสิครับ" "ดีเด่ะพี่" "โห ผมให้เลขบัญชีคนทั้งครอบครัวพี่เดี๋ยวนี้เลย" 15% มีการยิงคำถามบ้าง แล้วก็ตอบว่า "ดีครับ ควรแจกครับ" มีแค่ 5% ที่คิด-ถาม-คิดอีกที จึงตอบว่า "ประเทศเละแน่ๆครับ" "ผมว่าพี่อาจจะโดนยิงตายภายใน 3 วัน" "ผมว่าน่าจะมีหลายคนที่ไม่เคยมี และเขาสามารถทำให้เงินหมดได้ภายในเวลาแป๊บเดียวนะ" คราวนี้ตาเราถามพวก 80% แรกกลับบ้าง "คำถามแรก ทุกคนมีหนี้นอกระบบพะรุงพะรังถูกมั้ยคะ มีใครคิดจะใช้หนี้ให้หมดก่อนมั้ย หรือคิดว่า ก็เจ้าหนี้ ก็ได้ ฿35 ล้านบาทแล้วไง งั้นก็ไม่ต้องใช้คืนก็ได้ แล้วหนูบอกว่าหนูแจกทุกคนเลยนะ นักโทษฆ่าข่มขืนเพิ่งพ้นโทษออกจากคุกมาหนูก็แจกนะ คนค้ายาค้ามนุษย์ คนบ้าข้างถนน หนูก็แจกนะคะ ถ้าผัวเมียชาวนามีลูก 8 คน ครอบครัวนั้นจะได้เงิน ฿350 ล้านบาทนะคะ คำถามต่อไปคือ พี่ว่าชาวนาจะยังปลูกข้าวอยู่มั้ย พี่ว่าพระจะสึกออกมารับเงินกันกี่รูป พี่ว่าคุณลุงคุณป้าที่ทำร้านอาหารอยู่ แล้วอีกวันเขามีเงินรวมกัน ฿70 ล้านบาท เขาจะเปิดร้านต่อมั้ย พี่เข้าไปร้าน 7-11 แล้วจะมีใครทำงานมั้ย พี่ว่าข้าราชการ ครู ตำรวจ ทหาร จะยังอยากรับใช้ประชาชนแบบเช้าชามเย็นชามเพื่อรอเงินบำนาญอยู่มั้ย พี่ว่ารปภ. คนส่ง Grab คนรับจ้างตัดหญ้า คนรับจ้างกรีดยาง คณะละครร้องรำตามงานวัด จะยังอยากทำงานต่อมั้ย งานวัดจะมีอีกมั้ยเพราะคนทำชิงช้าสวรรค์ ขายสายไหม ซุ้มปาเป้า อาจจะไปเที่ยวยุโรปกันหมดแล้ว ไม่มีใครทำงานแล้ว คนต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทย จะยังได้รับรอยยิ้มสยาม และการต้อนรับอย่างดีอยู่อีกมั้ย ทำไมต้องมานั่งนวดฝรั่งริมหาดร้อนๆด้วยเนอะ ชาวประมงใส่นาฬิกา 3 ล้านบาทได้เหมือนนักการเมืองแล้วนะ แถมเหลือตังอีกตั้งแยะ เขาจะยังออกไปจับปลามาขายมั้ย...ที่แย่ที่สุดคือ พี่ว่าคนในครอบครัวจะฆ่ากันเองเพราะโลภอยากได้เงินพี่น้องพ่อแม่หรือผัวเมียตัวเองมั้ย ...ตกลงพี่ว่าหนูยังควรแจกตังอยู่มั้ยคะ" นี่คือความคิดโง่ๆทุเรศๆของเราเล่นๆ แต่มีคนสนับสนุนความคิดบ้องตื้นของเราถึง 80% เพียงเพราะอยากได้เงินก้อนโต เวลาผ่านไป 2 ปี มีนักการเมืองเอาความคิดคล้ายๆกัน แต่จะไปกู้เงินมาหยิบยื่นให้ประชาชน แต่ให้แบบเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ ทุกคนเป็นหนี้ท่วมหัวชั่วลูกชั่วหลานหนักกว่าเดิม แต่คนส่วนนึงก็ยังสนับสนุนความคิดนี้อย่างแข็งขัน เพราะอยากได้เงินแค่หมื่นเดียว ตอนนี้ผู้ประสบภัยพิบัติมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีนักการเมืองแวะมาดูๆ ถ่ายรูปตอนมอบถุงยังชีพ 2-3 แชะ แล้วหนูน้อยก็บอกว่า "ตอนนี้น้ำแรงมาก เรือท้องแบนเข้าไปไม่ได้ เมื่อน้ำลดลง พวกเราพร้อมจะเข้าช่วยทันที" อ๋ออออ เรือท้องท้องแบนเข้าไปสู้กับน้ำเชี่ยวๆได้แหละเนอะ น้ำไม่ค่อยแรงหรอก ไว้เรือท้องแบนเข้าได้ แล้วค่อยไปก็ได้ คนไทยอดข้าวอดน้ำ 4-5 วันได้ อึฉี่บนหลังคาบ้านก็ได้ เก่งจะตาย ไม่รีบๆ https://x.com/Kawaaii13/status/1834174006418964973?t=Qgom67KE-O0gYasaeateSA&s=19 ลองเข้าไปดู tiktok ของ @tiktok.thailand89 นะคะ ยอดเยี่ยมมากๆเลยค่ะ ขับ jet ski เก่งมากๆทุกคนเลยค่ะ https://www.tiktok.com/@tiktok.thailand89?_t=8pghh09pg0q&_r=1 นายกหนูน้อยคะ นี่ไงคะ แพร่ลดแล้ว สุโขทัยลดแล้ว เมืองพังเละเทะ ที่ว่าพร้อมจะเข้าช่วยทันที ว้า..แย่จัง ตอนนี้ต้องไปช่วยเชียงรายก่อน ไหนจะต้องแอบเร่งทำเรื่องคาสิโนให้ผ่าน ช่วงที่กำลังอลหม่านเรื่องน้ำท่วมนี่แหละ แถมทีม IO ก็ค่อยๆทยอยลงคลิปเสียงคนโน้นคนนี้ ปล่อยข่าวดาราไทยที่โดนดาราชาติอื่นๆหลอก ฯลฯ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คนด่านายกหนูน้อยเยอะ มุขมันเก่าไปแล้วค่ะ รายการเจาะลึกทั่วไทย เอาคลิปลุงมาสร้างกระแส เอาจริงๆ ลุงหยุมแกก็อยากเป็นใหญ่ ใครๆก็รู้มาตั้งนานแล้วป่ะ คุณมดดำ ก็สร้างกระแส acting ทำเป็นโกรธดาราเกาหลีมากมาย ได้ตังกันไปเท่าไหร่จ๊ะ สังเกตุมั้ย ครอบครัวนี้ขึ้นมามีอำนาจทีไร น้ำท่วมใหญ่ทุกที โดนทั้งอา ทั้งหลานเลย มันคือสัญญาณอะไรเอ่ย คล้ายกับธรรมชาติไม่พอใจพฤติกรรมของมนุษย์ จึงส่งภัยพิบัติมาช่วยเบิกเนตรให้คนตาสว่าง งั้นเราขอถามคำถามตอนนี้ว่า ติ๊ต่างนะคะ ว่าตอนนี้มีเงินหมื่นบาทลอยเข้า app เป๋าตังเรียบร้อยแล้ว...แต่ไปซื้อของก็ไม่ได้ เพราะน้ำท่วมร้านค้ามิดหลังคาเลย ได้ข้าวสารมา แต่ไม่มีไฟฟ้าให้หุงข้าว จะหุงด้วยฟืน ฟืนก็เปียกน้ำหมด เหลือแต่ตัวกับเงินหมื่นบาทใน app ก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ ของวิญญูชนชัดเจนแล้วว่า การเอาเงินมาแจกให้คน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องค่ะ หากแต่การให้ความรู้แก่ผู้ใฝ่รู้ที่มีความพยายาม ความอดทน และความมุ่งมั่นต่างหาก ที่จะเป็นทางออกที่แท้จริงให้กับประชาชนและประเทศชาติ มีชายท่านนึง ท่านเคยศึกษา และทดลองทำอะไร หลายสิ่งหลายอย่าง มีโครงการมากมายที่ได้ผลสำเร็จ และนำเอาความรู้เหล่านั้นมาเผยแพร่ให้ฟรีๆ และยังเป็นศาสตร์ความรู้ที่นำมาใช้ต่อไปได้ไม่จำกัดกาล แต่คนส่วนใหญ่ กลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลมันนานเกินไป จนภัยมาถึงตัวในวันนี้ และนี่อาจจะเป็นเหตุผลนึง ที่ทำให้คนที่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ยังเก็บเงินไว้กับตัว เพราะเขาอาจจะต้องการให้สังคมยังมีความเหลื่อมล้ำมากอยู่ตลอดไป ไม่งั้นจะไปหาคนรองมือรองตีนได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะหาลูกหนี้ได้ที่ไหนล่ะ ไม่งั้นจะไปหาเหยื่อที่เห็นเงินตาโตแล้วร้อยไว้ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ ปล. ภูเก็ตก็หนักอยู่ เตรียมรับอีกลูกวันที่ 17 จ้ะ ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ https://www.facebook.com/share/v/YGS8GsJ3YXbtrxjK/?mibextid=D5vuiz
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • 13-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.7 ตอน "WORLD BALANCE REAL?" ตราชั่งมาแย้ว! กฎหมาหลบไป กฎหมายสนั่นโลก! JOHN KIM เซงเป็ด สัส! อาวุธกูมีเยอะเกิน ใช้ 10 ปี ยังไม่หมด ขนาดผลิตส่งทั่วโลก ยังเหลือบาน ยิงไฮเปอร์โซนิคโชว์เล่นซะงั้น อีโสมขาว อียุ่นปี่ ไบ้แดร๊ก มีเยอะแบ่งให้กูบ้างก็ได้? ปักกิ่งสั่งโชว์ เตรียมต้อนรับเหี้ยอาละวาด เรือรบมรึงน่ะ หายไปไหนหมด เอามาดิ กูกำลังหาเป้าซ้อมมือเล่นอยู่? ละครปาหี่ทำเนียบขาว อีทรัมปป์แรงเกินชิมิ? จับดีเบต เพื่อลดกระแส หายโง่ เพิ่งตาสว่าง อีกมลาแค่เล่นตามสคริปต์ ฉากนี้ ฮอลีวู๊ดจัดให้ หลอกไอ้ควายหน้าโง่มะกันทั้งแผ่นดิน โพลเหรอ? คะแนนนิยมเหรอ FAKE ทั้งนั้น แค่แผนเตรียมแตกอเมริกา จบน่ะ? ปูตินสั่งลุยจริง เคียฟแตก เรือรบเหี้ยมะกันหายวับ 8 ลำ ที่เหลือเผ่นหางจุกตูด กระจอกซะไม่มี ควายอับอายแทน! ของจริงไม่พูดเยอะ ไอ้ที่มรึงเข้ามาได้เนี่ย เค้าเปิดทางล่อให้มรึงเข้ามาตาย ไอ้ควาย! มรึงยิงใส่มอสโคว์ได้แค่ปาหี่ ผิวเผิน เพราะเค้าต้องการให้มรึงติดหล่มยาวไป เหี้ย C มีเหรอไม่รู้ แต่เพื่อรักษาหน้า ถึงแพ้ยับ ก็ต้องบุกต่อ เพราะดอลล่าร์ค้ำคอ หยุดสู้คือดอลล่าร์ตายทันที เกมส์มันมีแค่นี้แหละ ไม่ต้องคิดเยอะ? กลุ่ม BRICS ปักหลักสู้ กลัวที่ไหน? เหี้ยขี้ขลาด ตาขาว ไม่กล้าเข้าใกล้รัศมีขีปนาวุธ เรือบรรทุกเครื่องบินจากอดีตแม่ทัพแนวหน้าเหี้ย ตอนนี้ กลายเป็นขนมกรุบของขั้วใหม่ ยิงทิ้งกันเมามันส์ เป้าใหญ่ขนาดนี้ หลับตายิงยังโดน จะรอดยังไง? เมื่อเรือธงเข้าอู๋ซ่อมซะเยอะ มรึงยังจะเหลือเรือธงไหนมาสู้ได้อีก จะล่อขีปนาวุธแข่งกับเค้า มีเหลือกี่ลูก ลูกนึงราคาเท่าไหร่ ขั้วใหม่มีเป็น 1000000 ลูก ยิง 100 ลูก เท่ากับของมรึงลูกเดียว นี่คือความแตกต่าง สงครามคือใช้เงิน มรึงยิงได้เท่าไหร่กัน จ่ายพอมั้ย? ผลิตของห่วยแต่ตั้งราคาโคตรแพง ใช้งานจริงไม่ได้ นี่แหละ "กระจอกขั้นเทพของจริง" แปซิฟิค ไม่ใช่ของมรึงอีกต่อไป 5 ทวีปเดินตามขั้วใหม่หมดแล้ว มรึงเหลือใครกัน? อียิวคลั่งจัด ไม่เหลือชิ้นดีอะไรอีกแล้ว ความชั่วเด่นชัด ความระยำมาเต็ม แก้ผ้าล่อนจ้อน ถอดหมดเปลือก สันดานสัดเดรัจฉาน ใจหมา ไล่ยิงกราดไปทั่ว ไม่เว้นแม่แต่เจ้าหน้าที่ UN กูละชอบฉิงๆ บทจะเหี้ย เหี้ยได้ใจควายแท้ทรู! แล้วเป็นไง ถูกสอยร่วงระนาว ข่าวไม่เปิดเผย สื่อไม่รายงาน กูสรุปให้ฟังสั้นๆ ชัดๆ ไปเลย เหี้ยยิวและขี้ข้า ตายห่าวันละ 3000 ตัว ทั้งสมรภูมิเยรูซาเล็ม และยูเครน อีกไม่นาน สมรภูมิจะย้ายเข้าอีโปลเต็มตัวแล้ว เพราะนั่นคือเฟด 2 ดอกนี้แหละ คือประตูเปิดทางให้ปูตินเขมือบครึ่งยุโรป เชื่อมท่อแก็สอาร์คติคฉลุย ยูเครนแค่น้ำจิ้ม เนื้อชิ้นใหญ่อยู่ที่ตอนเหนือต่างหากล่ะ ที่มาว่าทำไม อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง อีลอนดอน ต้องไปพร้อมกันหมด ไม่ต้องมาหา เดี๋ยวกูไปหามรึงเอง? ดูข่าววันนี้ แล้วปอดตับ หากใช้สมองคิดซักกะหน่อย ควายคงจะมีน้อยกว่านี้ ถล่มค่ายทหาร ถล่มโรงไฟฟ้า ถล่มโครงสร้างพื้นฐาน ถล่มศูนย์บัญชาการ ถล่มคลังแสง ถล่มอีกมากมาย แต่ยังหน้าด้านบอก ตาย 6 ตาย 7 เจ็บ 10 กูเกิดมาก็เพิ่งรู้น่ะเนี่ย ค่ายทหาร คลังแสง ศูนย์บัญชาการรบ มีคนไม่ถึง 10 คน เอาที่มรึงสบายใจ สมองกลวงกันหมดทั้งโลกแล้วเน๊าะ! ยามนี้ ขั้วใหม่ปรับแผนใหม่แล้ว เดินเกมส์เร่ง เร็วขึ้น ขยายอิทธิพลแบบปูพรม ดาหน้าท้ารบแบบไม่มีกั๊ก กล้าก็ออกมา ดีออก? ขี้ข้าเงียบกริบ ช่วงแรกดีแต่เห่า แต่ช่วงนี้ เห่าไม่ออก? ของจริงไม่พูดเยอะ ขนกันออกมาโชว์ให้โลกรับรู้ ว่าอำนาจเปลี่ยนมือแล้ว แค่กองเรือรัสเซีย-จีน ออกมายืดเส้น ยืดสาย ไอ้สัส นี่มันท่วมมหาสมุทรเลยน่ะเนี่ย? มาเป็น 100 ลำ เหี้ยเห็นยังจุกอก แหม! เจ้ามือใหม่ เปิดตัวทั้งที มันต้องขยี้ของเก่าให้จมกองตรีนสิจ๊ะ? AI จีน แม่งสุดติ่ง แมลงหุ่นรบ AI ความสามารถเกินคาดเดา ถามแค่ว่า มรึงต้องใช้กระสุนกี่นัด ถึงจะยิงโดนหุ่นยนต์ AI แมลง 1 ตัว เท่าที่รู้ มันเข้าไปทำลายระบบสื่อสาร เชื่อมต่อ และชี้เป้า นำทาง นำร่องขีปนาวุธทุกชนิด รวมทั้งระเบิดตัวเองได้ กูเห็นแล้วยังรู้เลยว่า "กำจัดโคตรยาก" เหมือนในหนัง บัญญัติ 10 ประการ ฝูงตั๊กกะแตนยงโย่ มากันเป็นล้านตัว ทุกอย่างหายเรียบวุธ สยดสยองฉิบหาย? ยิ่งรัสเซีย ยิ่งแล้วใหญ่ หุ่นยนต์รบ AI อย่างกะในหนัง THE TERMINATOR ไอ้สัส ขนาด JOHN CONNOR ยังต้องเผ่น? อีกไม่นาน มรึงจะได้เห็นเข้าสู่สงคราม STAR WARS แน่นอน แฟนหนังไม่ต้องจินตนาการ ล่อของจริงกันไปเลย? เตรียมกูจะเตรียมดาบไลท์เซเบอร์เตรียมไปตัดหัวเหี้ยเล่น? AMAZING THAILAND ไทยรับมอบรถไฟเก่าอียุ่นปี่ 10 คัน เอามาปรับแต่งใหม่ หรูหราหมาเห่า อียุ่นปี่เห็นยังตาค้าง ไอ้สัส! นี่มันสวรรค์ชัดๆ ช่างไทยแม่งระดับจักรวาล คนไทยมีดีมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครบอกมรึง? อยากรู้ไปดูเอง คนไทยหากทำอะไรจริงจัง แม้แต่สวรรค์ ยังต้องหันมามอง? "SRT ROYAL BLOSSOM" งานฝีมือ ฝรั่งแค่ขี้ตรีนคนไทย แต่มันทำให้มรึงด้อยค่าตัวเอง ใครโง่กันล่ะ? ล่าสุด รัสเซียขอบคุณ เหี้ยไอ้อีหน้าโง่ทั้งหลาย ในที่สุด มรึงก็ให้ใบเสร็จกูได้ใช้นุ๊กรสชาเขียวได้ซักกะที หลังเหี้ยมะกัน เหี้ยสิงโตง้อย สั่งยูเครนให้ใช้ขีปนาวุธระยะไกลโจมตีรัสเซียได้ ถามจริง มรึงเหลือกี่ลูก มรึงยิงถึงป่ะ? และที่สำคัญ ปูตินไม่ได้สนยูเครน เพราะมันตายห่าไปนานแล้ว แต่ดีใจที่จะได้ถล่มวอชิงตัน ลอนดอน ให้ราบคาบซักกะที แค่ตอนนี้ แม่งก็จะแตกกันอยู่แล้ว ลงไปดอก รับรอง ถึงใจอีช้อยทั้งโลกชัวร์! ปูติน ไม่ใช่เพื่อนเล่นมรึง! พูดจริง ทำจริง เคยบอกไปแล้วว่า จะไม่มีเตือนครั้งที่ 3 ก่อนจะถึงนายใหญ่ อีโปล อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง ต้องไปหมดเกลี้ยงซะก่อน แล้วค่อยปิดฉาก ปิดเกมส์ที่ แผ่นดินแม่เหี้ยจ๊ะ สคริปเค้าจัดมาตามนี้ กูแอบไปเปิดโพยดูมาก่อนแล้ว?

    ปล.เผยวงใน เกจิดัง นักวิชาการ อดีตผู้พิพากษา รู้จุดจบของละครบ้านทรายทองกันหมดแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย เอาสั้นๆ "มอ 112" คือจุดตายอีเหลี่ยมชั่ว โอนที่ดินและคุณสมบัตินายกฯคือจุดตายอีลูกสาวร่าน ทำไมต้องรอ 6 เดือน คำตอบคือ "มันจะมาพร้อมกันหมดทุกคดีความขายชาติ" เค้าเรียกล้มกระดานทั้งแผง แฝงบีบจ่ายเงินคืนแผ่นดิน แล้วไสหัวไปซะ เจรจาใต้น้ำกันมันส์หยดติ๋งๆ ด้านขั้วใหม่หนุนหลังสุดตัว ที่มาเหี้ยยังไง ก็ไม่โง่พอที่จะไม่เอาตัวรอด ไม่อิงราคาน้ำมันตลาดโลก เพราะรัสเซีย จีน อิหร่าน พร้อมอุ้ม ถึงได้บอกไงล่ะว่า เหี้ยแค่ไหนก็เปลี่ยนได้ เพราะไม่มีทางเลือก กลียุค คือความไม่แน่นอน ใครที่ยังสงสัยว่าเหี้ยเกาะกินแผ่นดินนี้มายาวนาน มันจะสลัดออกยังไง? เตรียมตัวดู เตรียมใจชมได้เลย อย่าดูถูกพลังแห่งแสง เข้าที่ไหน สะอาดหมดเปลือก ไร้คราบเหี้ยทันที ศาลนำร่อง ทหารนำทาง วังนำหน้า ไม่มีแผ่นดินไหนจะอยู่รอดได้ หากไม่คงไว้ซึ่ง "คุณธรรม" ชี้เป้า 50 ปี เหี้ย เวลาล้างบางแค่ปีเดียว มันจะไปไวมาก โปรดเตรียมกล้องถ่ายสโลโมชั่นไว้ด้วย จะได้ย้อนมาดูรายละเอียดย้อนหลังได้ ภาพศรีธนญชัย 2024 มันเริ่มปรากฎเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ธุรกรรมต่างชาติขั้วใหม่ เข้ามามีบทบาทนำมากขึ้น ยิ่งเข้า BRICS ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็ว เงินบาทจะเป็นที่ต้องการของทั้งโลก! โรงงานผลิตโลก สาขาอาเซียน มันจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? เพราะทุกอย่างมันจะมารวมอยู่ที่นี่ "ประเทศไทย" ยามเมื่อสงครามใหญ่เปิดหน้าแลก อาเซียนจะจับมือกัน "เป็นกลาง" จะช่วยเฉพาะด้านมนุษยธรรม ยารักษา อาหาร เครื่องมือช่วยเหลือ แต่จะไม่กระโดดเข้าสงคราม แต่อาเซียนจะพร้อมรับมือ หากใครล้ำเส้น ทั้งหมดเป็นแผนที่รัสเซีย จีน วางตัวอาเซียนให้อยู่วงนอก แค่อย่าแตกแถว อย่าเสือกเข้ามาในเกมส์นี้พอ ที่มาว่าทำไม อีปินส์ อาจถูกอัปเปหิในไม่ช้า หากมรึงยังไม่เปลี่ยนหัวผู้นำใหม่ให้ทันก่อนจะสาย เพราะดูเตอร์เต้ สายเอียงจีนอยู่แล้ว รอเสียบ รอแยกดินแดน มรึงคิดจริงๆ เหรอว่า มีแต่เหี้ย C ที่แทรกแซงชาติขี้ข้าได้ ขั้วใหม่ไม่ได้โง่ มือตรีนมี เค้าก็มีคนที่ส่งไปเสี้ยมขี้ข้าให้หักหลังนายใหญ่อีกทีเช่นกัน ถามสั้นๆ มรึงพร้อมจะตายไปกับมันมั้ยล่ะ? จับตา อีป้อม เตรียมงัดไม้เด้ด เอาคืนอีเหลี่ยม อย่าลืมว่า รัฐบาลผสม มันไม่มีทางเสถียรดอก คดีความแต่ละพรรคที่จะโดน มันถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมือง อีส้มเน่าตายก่อน อีแดงตามมา แล้วจะเหลือใครจัดตั้งรัฐบาล หากไม่ใช่อดีตพรรคร่วม หมากเกมส์นี้ ปชป.พลาดอย่างแรง ที่กระโดดงับเหยื่อ แต่ใครจะไปรู้ เค้าอาจจะซ้อนแผนอีเหลี่ยมชั่วไว้อีกชั้น เมื่อร่วมรัฐบาลได้ ก็ถอนตัวออกได้เช่นกัน การเมืองมันไม่มีดอกสำเร็จรูป เขี้ยวตันทั้งนั้น ใครจะปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนมาแดร๊กงบแผ่นดินฟรีกันล่ะ? ทหารเค้าปล่อยให้พวกมรึงเข่นฆ่ากันเอง เอาให้สุด แล้วจบที่ "ปฎิวัติ" รัฐบาลแห่งชาติต้องมา รัฐธรรมนูญใหม่ต้องมี นักการเมืองเก่าจะตายห่ากันหมดยกคอก ม้วนเดียวจบ หลังเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้นตอของปัญหาคือฝ่ายการเมือง เมื่อปิดจุดตายได้ ทุกอย่างมันจะเดินหน้าของมันเอง งานนี้ "อีป้อม สู้สุดใจขาดดิ้น" เสือเฒ่าไม่ทิ้งลาย ยังไงหากกูไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ กูจะลากแม่งลงมาให้หมด ทั้งกระดาน!

    หมี CNN(ใกล้สิ้นปี ใกล้วันตัดสิน ใกล้จุดแตกหัก ใกล้ความเป็นจริง ผู้ที่จะอยู่รอดได้ หากไม่รักษามั่นในคุณงามความดี จะถูกแสงชำระล้างไปจนหมดสิ้น แสงไม่เลือกว่ามรึงเป็นใคร แสงเลือกที่มรึงทำอะไรเอาไว้? เหี้ยกลับใจ จะได้เห็น เหี้ยสุดติ่ง แต่ย้ายขั้วจะได้ชม ไม่มีทางรอดอื่น นอกจากย้ายขั้ว ไม่ว่าเกมส์ไทย เกมส์โลก คีย์เดียวกัน เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยนทันที วัดสิ)
    13 กย. 67
    11.48 น.

    https://linevoom.line.me/post/1172620400552978014

    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    13-09-67/01 : หมี CNN / "เล่าสู่กันฟัง" EP.7 ตอน "WORLD BALANCE REAL?" ตราชั่งมาแย้ว! กฎหมาหลบไป กฎหมายสนั่นโลก! JOHN KIM เซงเป็ด สัส! อาวุธกูมีเยอะเกิน ใช้ 10 ปี ยังไม่หมด ขนาดผลิตส่งทั่วโลก ยังเหลือบาน ยิงไฮเปอร์โซนิคโชว์เล่นซะงั้น อีโสมขาว อียุ่นปี่ ไบ้แดร๊ก มีเยอะแบ่งให้กูบ้างก็ได้? ปักกิ่งสั่งโชว์ เตรียมต้อนรับเหี้ยอาละวาด เรือรบมรึงน่ะ หายไปไหนหมด เอามาดิ กูกำลังหาเป้าซ้อมมือเล่นอยู่? ละครปาหี่ทำเนียบขาว อีทรัมปป์แรงเกินชิมิ? จับดีเบต เพื่อลดกระแส หายโง่ เพิ่งตาสว่าง อีกมลาแค่เล่นตามสคริปต์ ฉากนี้ ฮอลีวู๊ดจัดให้ หลอกไอ้ควายหน้าโง่มะกันทั้งแผ่นดิน โพลเหรอ? คะแนนนิยมเหรอ FAKE ทั้งนั้น แค่แผนเตรียมแตกอเมริกา จบน่ะ? ปูตินสั่งลุยจริง เคียฟแตก เรือรบเหี้ยมะกันหายวับ 8 ลำ ที่เหลือเผ่นหางจุกตูด กระจอกซะไม่มี ควายอับอายแทน! ของจริงไม่พูดเยอะ ไอ้ที่มรึงเข้ามาได้เนี่ย เค้าเปิดทางล่อให้มรึงเข้ามาตาย ไอ้ควาย! มรึงยิงใส่มอสโคว์ได้แค่ปาหี่ ผิวเผิน เพราะเค้าต้องการให้มรึงติดหล่มยาวไป เหี้ย C มีเหรอไม่รู้ แต่เพื่อรักษาหน้า ถึงแพ้ยับ ก็ต้องบุกต่อ เพราะดอลล่าร์ค้ำคอ หยุดสู้คือดอลล่าร์ตายทันที เกมส์มันมีแค่นี้แหละ ไม่ต้องคิดเยอะ? กลุ่ม BRICS ปักหลักสู้ กลัวที่ไหน? เหี้ยขี้ขลาด ตาขาว ไม่กล้าเข้าใกล้รัศมีขีปนาวุธ เรือบรรทุกเครื่องบินจากอดีตแม่ทัพแนวหน้าเหี้ย ตอนนี้ กลายเป็นขนมกรุบของขั้วใหม่ ยิงทิ้งกันเมามันส์ เป้าใหญ่ขนาดนี้ หลับตายิงยังโดน จะรอดยังไง? เมื่อเรือธงเข้าอู๋ซ่อมซะเยอะ มรึงยังจะเหลือเรือธงไหนมาสู้ได้อีก จะล่อขีปนาวุธแข่งกับเค้า มีเหลือกี่ลูก ลูกนึงราคาเท่าไหร่ ขั้วใหม่มีเป็น 1000000 ลูก ยิง 100 ลูก เท่ากับของมรึงลูกเดียว นี่คือความแตกต่าง สงครามคือใช้เงิน มรึงยิงได้เท่าไหร่กัน จ่ายพอมั้ย? ผลิตของห่วยแต่ตั้งราคาโคตรแพง ใช้งานจริงไม่ได้ นี่แหละ "กระจอกขั้นเทพของจริง" แปซิฟิค ไม่ใช่ของมรึงอีกต่อไป 5 ทวีปเดินตามขั้วใหม่หมดแล้ว มรึงเหลือใครกัน? อียิวคลั่งจัด ไม่เหลือชิ้นดีอะไรอีกแล้ว ความชั่วเด่นชัด ความระยำมาเต็ม แก้ผ้าล่อนจ้อน ถอดหมดเปลือก สันดานสัดเดรัจฉาน ใจหมา ไล่ยิงกราดไปทั่ว ไม่เว้นแม่แต่เจ้าหน้าที่ UN กูละชอบฉิงๆ บทจะเหี้ย เหี้ยได้ใจควายแท้ทรู! แล้วเป็นไง ถูกสอยร่วงระนาว ข่าวไม่เปิดเผย สื่อไม่รายงาน กูสรุปให้ฟังสั้นๆ ชัดๆ ไปเลย เหี้ยยิวและขี้ข้า ตายห่าวันละ 3000 ตัว ทั้งสมรภูมิเยรูซาเล็ม และยูเครน อีกไม่นาน สมรภูมิจะย้ายเข้าอีโปลเต็มตัวแล้ว เพราะนั่นคือเฟด 2 ดอกนี้แหละ คือประตูเปิดทางให้ปูตินเขมือบครึ่งยุโรป เชื่อมท่อแก็สอาร์คติคฉลุย ยูเครนแค่น้ำจิ้ม เนื้อชิ้นใหญ่อยู่ที่ตอนเหนือต่างหากล่ะ ที่มาว่าทำไม อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง อีลอนดอน ต้องไปพร้อมกันหมด ไม่ต้องมาหา เดี๋ยวกูไปหามรึงเอง? ดูข่าววันนี้ แล้วปอดตับ หากใช้สมองคิดซักกะหน่อย ควายคงจะมีน้อยกว่านี้ ถล่มค่ายทหาร ถล่มโรงไฟฟ้า ถล่มโครงสร้างพื้นฐาน ถล่มศูนย์บัญชาการ ถล่มคลังแสง ถล่มอีกมากมาย แต่ยังหน้าด้านบอก ตาย 6 ตาย 7 เจ็บ 10 กูเกิดมาก็เพิ่งรู้น่ะเนี่ย ค่ายทหาร คลังแสง ศูนย์บัญชาการรบ มีคนไม่ถึง 10 คน เอาที่มรึงสบายใจ สมองกลวงกันหมดทั้งโลกแล้วเน๊าะ! ยามนี้ ขั้วใหม่ปรับแผนใหม่แล้ว เดินเกมส์เร่ง เร็วขึ้น ขยายอิทธิพลแบบปูพรม ดาหน้าท้ารบแบบไม่มีกั๊ก กล้าก็ออกมา ดีออก? ขี้ข้าเงียบกริบ ช่วงแรกดีแต่เห่า แต่ช่วงนี้ เห่าไม่ออก? ของจริงไม่พูดเยอะ ขนกันออกมาโชว์ให้โลกรับรู้ ว่าอำนาจเปลี่ยนมือแล้ว แค่กองเรือรัสเซีย-จีน ออกมายืดเส้น ยืดสาย ไอ้สัส นี่มันท่วมมหาสมุทรเลยน่ะเนี่ย? มาเป็น 100 ลำ เหี้ยเห็นยังจุกอก แหม! เจ้ามือใหม่ เปิดตัวทั้งที มันต้องขยี้ของเก่าให้จมกองตรีนสิจ๊ะ? AI จีน แม่งสุดติ่ง แมลงหุ่นรบ AI ความสามารถเกินคาดเดา ถามแค่ว่า มรึงต้องใช้กระสุนกี่นัด ถึงจะยิงโดนหุ่นยนต์ AI แมลง 1 ตัว เท่าที่รู้ มันเข้าไปทำลายระบบสื่อสาร เชื่อมต่อ และชี้เป้า นำทาง นำร่องขีปนาวุธทุกชนิด รวมทั้งระเบิดตัวเองได้ กูเห็นแล้วยังรู้เลยว่า "กำจัดโคตรยาก" เหมือนในหนัง บัญญัติ 10 ประการ ฝูงตั๊กกะแตนยงโย่ มากันเป็นล้านตัว ทุกอย่างหายเรียบวุธ สยดสยองฉิบหาย? ยิ่งรัสเซีย ยิ่งแล้วใหญ่ หุ่นยนต์รบ AI อย่างกะในหนัง THE TERMINATOR ไอ้สัส ขนาด JOHN CONNOR ยังต้องเผ่น? อีกไม่นาน มรึงจะได้เห็นเข้าสู่สงคราม STAR WARS แน่นอน แฟนหนังไม่ต้องจินตนาการ ล่อของจริงกันไปเลย? เตรียมกูจะเตรียมดาบไลท์เซเบอร์เตรียมไปตัดหัวเหี้ยเล่น? AMAZING THAILAND ไทยรับมอบรถไฟเก่าอียุ่นปี่ 10 คัน เอามาปรับแต่งใหม่ หรูหราหมาเห่า อียุ่นปี่เห็นยังตาค้าง ไอ้สัส! นี่มันสวรรค์ชัดๆ ช่างไทยแม่งระดับจักรวาล คนไทยมีดีมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครบอกมรึง? อยากรู้ไปดูเอง คนไทยหากทำอะไรจริงจัง แม้แต่สวรรค์ ยังต้องหันมามอง? "SRT ROYAL BLOSSOM" งานฝีมือ ฝรั่งแค่ขี้ตรีนคนไทย แต่มันทำให้มรึงด้อยค่าตัวเอง ใครโง่กันล่ะ? ล่าสุด รัสเซียขอบคุณ เหี้ยไอ้อีหน้าโง่ทั้งหลาย ในที่สุด มรึงก็ให้ใบเสร็จกูได้ใช้นุ๊กรสชาเขียวได้ซักกะที หลังเหี้ยมะกัน เหี้ยสิงโตง้อย สั่งยูเครนให้ใช้ขีปนาวุธระยะไกลโจมตีรัสเซียได้ ถามจริง มรึงเหลือกี่ลูก มรึงยิงถึงป่ะ? และที่สำคัญ ปูตินไม่ได้สนยูเครน เพราะมันตายห่าไปนานแล้ว แต่ดีใจที่จะได้ถล่มวอชิงตัน ลอนดอน ให้ราบคาบซักกะที แค่ตอนนี้ แม่งก็จะแตกกันอยู่แล้ว ลงไปดอก รับรอง ถึงใจอีช้อยทั้งโลกชัวร์! ปูติน ไม่ใช่เพื่อนเล่นมรึง! พูดจริง ทำจริง เคยบอกไปแล้วว่า จะไม่มีเตือนครั้งที่ 3 ก่อนจะถึงนายใหญ่ อีโปล อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง ต้องไปหมดเกลี้ยงซะก่อน แล้วค่อยปิดฉาก ปิดเกมส์ที่ แผ่นดินแม่เหี้ยจ๊ะ สคริปเค้าจัดมาตามนี้ กูแอบไปเปิดโพยดูมาก่อนแล้ว? ปล.เผยวงใน เกจิดัง นักวิชาการ อดีตผู้พิพากษา รู้จุดจบของละครบ้านทรายทองกันหมดแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย เอาสั้นๆ "มอ 112" คือจุดตายอีเหลี่ยมชั่ว โอนที่ดินและคุณสมบัตินายกฯคือจุดตายอีลูกสาวร่าน ทำไมต้องรอ 6 เดือน คำตอบคือ "มันจะมาพร้อมกันหมดทุกคดีความขายชาติ" เค้าเรียกล้มกระดานทั้งแผง แฝงบีบจ่ายเงินคืนแผ่นดิน แล้วไสหัวไปซะ เจรจาใต้น้ำกันมันส์หยดติ๋งๆ ด้านขั้วใหม่หนุนหลังสุดตัว ที่มาเหี้ยยังไง ก็ไม่โง่พอที่จะไม่เอาตัวรอด ไม่อิงราคาน้ำมันตลาดโลก เพราะรัสเซีย จีน อิหร่าน พร้อมอุ้ม ถึงได้บอกไงล่ะว่า เหี้ยแค่ไหนก็เปลี่ยนได้ เพราะไม่มีทางเลือก กลียุค คือความไม่แน่นอน ใครที่ยังสงสัยว่าเหี้ยเกาะกินแผ่นดินนี้มายาวนาน มันจะสลัดออกยังไง? เตรียมตัวดู เตรียมใจชมได้เลย อย่าดูถูกพลังแห่งแสง เข้าที่ไหน สะอาดหมดเปลือก ไร้คราบเหี้ยทันที ศาลนำร่อง ทหารนำทาง วังนำหน้า ไม่มีแผ่นดินไหนจะอยู่รอดได้ หากไม่คงไว้ซึ่ง "คุณธรรม" ชี้เป้า 50 ปี เหี้ย เวลาล้างบางแค่ปีเดียว มันจะไปไวมาก โปรดเตรียมกล้องถ่ายสโลโมชั่นไว้ด้วย จะได้ย้อนมาดูรายละเอียดย้อนหลังได้ ภาพศรีธนญชัย 2024 มันเริ่มปรากฎเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ธุรกรรมต่างชาติขั้วใหม่ เข้ามามีบทบาทนำมากขึ้น ยิ่งเข้า BRICS ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็ว เงินบาทจะเป็นที่ต้องการของทั้งโลก! โรงงานผลิตโลก สาขาอาเซียน มันจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ? เพราะทุกอย่างมันจะมารวมอยู่ที่นี่ "ประเทศไทย" ยามเมื่อสงครามใหญ่เปิดหน้าแลก อาเซียนจะจับมือกัน "เป็นกลาง" จะช่วยเฉพาะด้านมนุษยธรรม ยารักษา อาหาร เครื่องมือช่วยเหลือ แต่จะไม่กระโดดเข้าสงคราม แต่อาเซียนจะพร้อมรับมือ หากใครล้ำเส้น ทั้งหมดเป็นแผนที่รัสเซีย จีน วางตัวอาเซียนให้อยู่วงนอก แค่อย่าแตกแถว อย่าเสือกเข้ามาในเกมส์นี้พอ ที่มาว่าทำไม อีปินส์ อาจถูกอัปเปหิในไม่ช้า หากมรึงยังไม่เปลี่ยนหัวผู้นำใหม่ให้ทันก่อนจะสาย เพราะดูเตอร์เต้ สายเอียงจีนอยู่แล้ว รอเสียบ รอแยกดินแดน มรึงคิดจริงๆ เหรอว่า มีแต่เหี้ย C ที่แทรกแซงชาติขี้ข้าได้ ขั้วใหม่ไม่ได้โง่ มือตรีนมี เค้าก็มีคนที่ส่งไปเสี้ยมขี้ข้าให้หักหลังนายใหญ่อีกทีเช่นกัน ถามสั้นๆ มรึงพร้อมจะตายไปกับมันมั้ยล่ะ? จับตา อีป้อม เตรียมงัดไม้เด้ด เอาคืนอีเหลี่ยม อย่าลืมว่า รัฐบาลผสม มันไม่มีทางเสถียรดอก คดีความแต่ละพรรคที่จะโดน มันถึงขั้นยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมือง อีส้มเน่าตายก่อน อีแดงตามมา แล้วจะเหลือใครจัดตั้งรัฐบาล หากไม่ใช่อดีตพรรคร่วม หมากเกมส์นี้ ปชป.พลาดอย่างแรง ที่กระโดดงับเหยื่อ แต่ใครจะไปรู้ เค้าอาจจะซ้อนแผนอีเหลี่ยมชั่วไว้อีกชั้น เมื่อร่วมรัฐบาลได้ ก็ถอนตัวออกได้เช่นกัน การเมืองมันไม่มีดอกสำเร็จรูป เขี้ยวตันทั้งนั้น ใครจะปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนมาแดร๊กงบแผ่นดินฟรีกันล่ะ? ทหารเค้าปล่อยให้พวกมรึงเข่นฆ่ากันเอง เอาให้สุด แล้วจบที่ "ปฎิวัติ" รัฐบาลแห่งชาติต้องมา รัฐธรรมนูญใหม่ต้องมี นักการเมืองเก่าจะตายห่ากันหมดยกคอก ม้วนเดียวจบ หลังเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ต้นตอของปัญหาคือฝ่ายการเมือง เมื่อปิดจุดตายได้ ทุกอย่างมันจะเดินหน้าของมันเอง งานนี้ "อีป้อม สู้สุดใจขาดดิ้น" เสือเฒ่าไม่ทิ้งลาย ยังไงหากกูไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ กูจะลากแม่งลงมาให้หมด ทั้งกระดาน! หมี CNN(ใกล้สิ้นปี ใกล้วันตัดสิน ใกล้จุดแตกหัก ใกล้ความเป็นจริง ผู้ที่จะอยู่รอดได้ หากไม่รักษามั่นในคุณงามความดี จะถูกแสงชำระล้างไปจนหมดสิ้น แสงไม่เลือกว่ามรึงเป็นใคร แสงเลือกที่มรึงทำอะไรเอาไว้? เหี้ยกลับใจ จะได้เห็น เหี้ยสุดติ่ง แต่ย้ายขั้วจะได้ชม ไม่มีทางรอดอื่น นอกจากย้ายขั้ว ไม่ว่าเกมส์ไทย เกมส์โลก คีย์เดียวกัน เลือกข้างผิด ชีวิตเปลี่ยนทันที วัดสิ) 13 กย. 67 11.48 น. https://linevoom.line.me/post/1172620400552978014 https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • 12-09-67/01 : หมี CNN / หมี CNN / "ตีแสกหน้า" EP.7

    01. เพิ่งคิดได้ไอ้สัส! ไทยเตรียมเลิกอิงราคาน้ำมันตลาดโลก อย่าเพิ่งรีบดีใจ แค่สลับร่าง สั่งของถูก มากินส่วนต่างอีกที ใครล่ะ ก็จีน รัสเซีย? แปลว่า?
    02. รัสเซีย จีน อิหร่าน ผนึกกำลังซ้อมรบ 5 ทวีป มรึงเห็นภาพชัดพอยังล่ะ?
    03. เป็นไปตามเนื้อผ้า รัสเซียไล่ยึดสบายตรีน อียูเครน หมอบแล้ว จะสู้เพื่อ?
    04. กูล่ะชอบ ตรรกะอีทรัมปป์ เก็บภาษีเพิ่ม 100% คือโดดเดี่ยวอเมริกา โง่ดี
    05. ฉิบหายแล้ว แม้แต่ชาติเล็กๆ ในตะวันออกกลางยังมีไฮเปอร์โซนิค ยิวอึ้ง
    06. EU ช่างหัวแม่งแล้ว ตัวใครตัวมัน แยกย้าย หนาวมา กอดรัสเซียแน่นขึ้น?
    07. จุดจบกาลกิณี อัยกวยช่วยไม่ไหว พ่อโดนมอ112 ยาวเป็นหางว่าว พ่วงทูลเท็จ ลูกโดนที่ดิน โกงสอบกับคุณสมบัติต่ำตมไม่ผ่าน ศาลสะสมแต้มอยู่
    08. ล่าสุดสนามบินโซล ร้างนักท่องเที่ยว บทเรียนราคาแพง อีกามินถูกถอด
    09. กูบอกแล้วไง เหี้ยมันเก่งแต่ฆ่าเด็ก สตรี คนชรา คนท้อง คนพิการ สู้กับทหารแพ้อย่างหมา ตามสูตร ถล่มโรงเรียน ทำได้แค่นี้ แต่เยเมนจัดหนักกว่า
    10. แบนมาแบนกลับไม่มีโกง อียุ่นปี่เสี้ยนแบนชิปจีน จีนสวนหมัดกลับทันที กูไม่ส่งแร่ให้มรึง เชิญไปหาเองนอกโลก ดีออก? ชะตาขาดยังไม่รู้ตัวอีก สัส
    11. อีแคนเสี้ยนต่อ ขึ้นภาษีรถ EV จีน จีนสั่งตัดนำเข้าคาโนลา รายได้หลักอีแคน วัตถุดิบผลิตน้ำมันพืชปรุงอาหาร ภาคเกษตรอีแคนดิ้น ใครจะสั่งกูเนี่ย?
    12. ไอ้สัส! เอากันให้ตายไปข้าง? BYD เตรียมนำแบตเจนใหม่ ฆ่าคู่แข่งตาย
    13. การละครเหี้ยมะกัน อีลา อีช้าง แค่ตัวหมาก แผนแตกอเมริกาเกิดภายใน
    14. น้ำท่วม นักการเมืองเคยช่วยมรึงได้จริงมุย? จ้องจะเบิกงบหาแดร๊ก ถึงปล่อยให้ท่วมไงล่ะ? มันรู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ แต่ปล่อย ประชาธิปไตยหอมหวล
    15. มรึงดู ข่าวเหี้ยปล่อย อีลอน มัสก์ จะรวยล้านล้าน แต่เทสล่ากำลังจะเจ๊ง
    16. ผบ.หน่วยตายเกลื่อน นายพลสิ้นชื่อ อียิว กำลังจนตรอก โดนทุกชั่วโมง
    17. ไอ้สัส! แค่ซ้อมรบ แคตตาล็อกมาเต็ม ทั้งโลกแห่จอง งวดนี้ ใหม่ ดุ เข้ม
    18. จริงดิ! จีนเตรียมกองทัพ AI ทั้งนักรบ และแมลงหลากสายพันธุ์ ล้ำเกิน
    19. หมายังดูออก แผนเสี้ยมไทยแตกขะแมร์ เหยียบธนบัตร ทหารรู้ทัน โดน
    20. 14 ล้านเสียงควายบัดซบ อับอายขายขี้หน้า อีส้มโชว์โง่ไม่เว้นวัน ควาย

    หมายเหตุ : โมเมตั่มมันนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ เจ้าเก่าไม่มีทางเลือก ตายคือตาย ไม่ตายก็แตกไม่ได้ ไม่ตายก็ปลดล็อคไม่ได้ สันติสุขคือเรื่องตอแหล จินตหราสิของจริง! เหี้ยยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ แพ้แต่ไม่ยอมตายฟรี ต้องสาหัสทั้งโลก นี่คือใบสั่งเยรูซาเล็ม เกมส์จะแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ขยายวงกว้างมากขึ้น เพื่อนำไปสู่จุดจบ นั่นคือ "มินิคุ๊กกี้รสชาเขียว" ทำไมรัสเซีย จีน อิหร่าน จะมองไม่ออก ว่าเหี้ยมันจ้องจะทำอะไร? อีทรัมปป์มาเพื่อโดดเดี่ยวอเมริกา มันถึงจะรอดจากอียิวได้แท้จริง คือแยกดินแดน แบ่งกันไปเลย ย่ออเมริกา อังกฤษ ให้เล็กลง เพื่อทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ ก่อนสิ้นชาติสูญพันธุ์ ด้านเอเซีย แปซิฟิคต้องระอุ จีนพร้อม แต่เหี้ยยังไม่พร้อม ยิ่งนานวัน จีนกลืนหมดทุกสรรพสิ่ง งานนี้ อีแพะบูชายันต์คงไม่รอด อีปินส์ อีลอดช่อง หาทางลงอยู่ ขืนเข้าเกมส์นี้ ตายสิ้นชาติชัวร์ อาเซียนคือเกราะกำบัง จำคีย์ตรงนี้เอาไว้ แหกด่าน แหกกลุ่มคือสิ้นชาติ! สุดท้าย ขั้วใหม่ได้ไปทั้งหมด

    หมี CNN(ละครบ้านทรายทองจะจบยังไง ขึ้นอยู่กับเกมส์โลกกำหนดบทบาท แสงส่องเข้ามาแล้ว อะไรก็หยุดไม่อยู่ การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกขั้วจะเกิดขึ้น เหี้ยจะหนีตาย เพราะแสงทำงานไวมาก ศาลไคฟงคือทางรอดของชาติ วังคือสิ่งยึดเหนี่ยว กองทัพคือหัวใจ ประชาชนและควาย คือตัวแปร แสงจะล้างสิ่งโสมมออกจนหมดเกลี้ยง ใครคิดว่าอะไรที่เป็นไปไม่ได้ จะเกิดขึ้น คอรัปชั่นจะกลายเป็นตราบาปคนชั่ว ยุคใหม่ เปลี่ยนแนวคิดใหม่หมด มันเริ่มขึ้นมาแล้ว มันจะเดินหน้าต่อไป ไม่มีหยุดยั้ง อำนาจคู่กับศรัทธา นี่คือคีย์)
    12 กันยายน 67
    09.50 น.
    https://linevoom.line.me/post/1172610929449175909
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    12-09-67/01 : หมี CNN / หมี CNN / "ตีแสกหน้า" EP.7 01. เพิ่งคิดได้ไอ้สัส! ไทยเตรียมเลิกอิงราคาน้ำมันตลาดโลก อย่าเพิ่งรีบดีใจ แค่สลับร่าง สั่งของถูก มากินส่วนต่างอีกที ใครล่ะ ก็จีน รัสเซีย? แปลว่า? 02. รัสเซีย จีน อิหร่าน ผนึกกำลังซ้อมรบ 5 ทวีป มรึงเห็นภาพชัดพอยังล่ะ? 03. เป็นไปตามเนื้อผ้า รัสเซียไล่ยึดสบายตรีน อียูเครน หมอบแล้ว จะสู้เพื่อ? 04. กูล่ะชอบ ตรรกะอีทรัมปป์ เก็บภาษีเพิ่ม 100% คือโดดเดี่ยวอเมริกา โง่ดี 05. ฉิบหายแล้ว แม้แต่ชาติเล็กๆ ในตะวันออกกลางยังมีไฮเปอร์โซนิค ยิวอึ้ง 06. EU ช่างหัวแม่งแล้ว ตัวใครตัวมัน แยกย้าย หนาวมา กอดรัสเซียแน่นขึ้น? 07. จุดจบกาลกิณี อัยกวยช่วยไม่ไหว พ่อโดนมอ112 ยาวเป็นหางว่าว พ่วงทูลเท็จ ลูกโดนที่ดิน โกงสอบกับคุณสมบัติต่ำตมไม่ผ่าน ศาลสะสมแต้มอยู่ 08. ล่าสุดสนามบินโซล ร้างนักท่องเที่ยว บทเรียนราคาแพง อีกามินถูกถอด 09. กูบอกแล้วไง เหี้ยมันเก่งแต่ฆ่าเด็ก สตรี คนชรา คนท้อง คนพิการ สู้กับทหารแพ้อย่างหมา ตามสูตร ถล่มโรงเรียน ทำได้แค่นี้ แต่เยเมนจัดหนักกว่า 10. แบนมาแบนกลับไม่มีโกง อียุ่นปี่เสี้ยนแบนชิปจีน จีนสวนหมัดกลับทันที กูไม่ส่งแร่ให้มรึง เชิญไปหาเองนอกโลก ดีออก? ชะตาขาดยังไม่รู้ตัวอีก สัส 11. อีแคนเสี้ยนต่อ ขึ้นภาษีรถ EV จีน จีนสั่งตัดนำเข้าคาโนลา รายได้หลักอีแคน วัตถุดิบผลิตน้ำมันพืชปรุงอาหาร ภาคเกษตรอีแคนดิ้น ใครจะสั่งกูเนี่ย? 12. ไอ้สัส! เอากันให้ตายไปข้าง? BYD เตรียมนำแบตเจนใหม่ ฆ่าคู่แข่งตาย 13. การละครเหี้ยมะกัน อีลา อีช้าง แค่ตัวหมาก แผนแตกอเมริกาเกิดภายใน 14. น้ำท่วม นักการเมืองเคยช่วยมรึงได้จริงมุย? จ้องจะเบิกงบหาแดร๊ก ถึงปล่อยให้ท่วมไงล่ะ? มันรู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ แต่ปล่อย ประชาธิปไตยหอมหวล 15. มรึงดู ข่าวเหี้ยปล่อย อีลอน มัสก์ จะรวยล้านล้าน แต่เทสล่ากำลังจะเจ๊ง 16. ผบ.หน่วยตายเกลื่อน นายพลสิ้นชื่อ อียิว กำลังจนตรอก โดนทุกชั่วโมง 17. ไอ้สัส! แค่ซ้อมรบ แคตตาล็อกมาเต็ม ทั้งโลกแห่จอง งวดนี้ ใหม่ ดุ เข้ม 18. จริงดิ! จีนเตรียมกองทัพ AI ทั้งนักรบ และแมลงหลากสายพันธุ์ ล้ำเกิน 19. หมายังดูออก แผนเสี้ยมไทยแตกขะแมร์ เหยียบธนบัตร ทหารรู้ทัน โดน 20. 14 ล้านเสียงควายบัดซบ อับอายขายขี้หน้า อีส้มโชว์โง่ไม่เว้นวัน ควาย หมายเหตุ : โมเมตั่มมันนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ เจ้าเก่าไม่มีทางเลือก ตายคือตาย ไม่ตายก็แตกไม่ได้ ไม่ตายก็ปลดล็อคไม่ได้ สันติสุขคือเรื่องตอแหล จินตหราสิของจริง! เหี้ยยังมีเขี้ยวเล็บอยู่ แพ้แต่ไม่ยอมตายฟรี ต้องสาหัสทั้งโลก นี่คือใบสั่งเยรูซาเล็ม เกมส์จะแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ขยายวงกว้างมากขึ้น เพื่อนำไปสู่จุดจบ นั่นคือ "มินิคุ๊กกี้รสชาเขียว" ทำไมรัสเซีย จีน อิหร่าน จะมองไม่ออก ว่าเหี้ยมันจ้องจะทำอะไร? อีทรัมปป์มาเพื่อโดดเดี่ยวอเมริกา มันถึงจะรอดจากอียิวได้แท้จริง คือแยกดินแดน แบ่งกันไปเลย ย่ออเมริกา อังกฤษ ให้เล็กลง เพื่อทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ ก่อนสิ้นชาติสูญพันธุ์ ด้านเอเซีย แปซิฟิคต้องระอุ จีนพร้อม แต่เหี้ยยังไม่พร้อม ยิ่งนานวัน จีนกลืนหมดทุกสรรพสิ่ง งานนี้ อีแพะบูชายันต์คงไม่รอด อีปินส์ อีลอดช่อง หาทางลงอยู่ ขืนเข้าเกมส์นี้ ตายสิ้นชาติชัวร์ อาเซียนคือเกราะกำบัง จำคีย์ตรงนี้เอาไว้ แหกด่าน แหกกลุ่มคือสิ้นชาติ! สุดท้าย ขั้วใหม่ได้ไปทั้งหมด หมี CNN(ละครบ้านทรายทองจะจบยังไง ขึ้นอยู่กับเกมส์โลกกำหนดบทบาท แสงส่องเข้ามาแล้ว อะไรก็หยุดไม่อยู่ การเปลี่ยนแปลงแบบพลิกขั้วจะเกิดขึ้น เหี้ยจะหนีตาย เพราะแสงทำงานไวมาก ศาลไคฟงคือทางรอดของชาติ วังคือสิ่งยึดเหนี่ยว กองทัพคือหัวใจ ประชาชนและควาย คือตัวแปร แสงจะล้างสิ่งโสมมออกจนหมดเกลี้ยง ใครคิดว่าอะไรที่เป็นไปไม่ได้ จะเกิดขึ้น คอรัปชั่นจะกลายเป็นตราบาปคนชั่ว ยุคใหม่ เปลี่ยนแนวคิดใหม่หมด มันเริ่มขึ้นมาแล้ว มันจะเดินหน้าต่อไป ไม่มีหยุดยั้ง อำนาจคู่กับศรัทธา นี่คือคีย์) 12 กันยายน 67 09.50 น. https://linevoom.line.me/post/1172610929449175909 https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews


  • ตอนหนึ่ง………จากเด็กหลังห้อง……สู่นักศึกษากฏหมายยูโดสายดำ……!!

    ก็จะเล่าเรื่องของท่านผู้นำ Vladimir Vladimirovich Putin ตามที่เคยเกริ่นไว้นานมาแล้วนะคะ

    วลาดิเมียร์ ปูติน ถือกำเนิดในวันที่ 7 ตุลาคม 1952
    ที่เลนินกราด (เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก) สหภาพโซเวียต


    เขาเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ทั้งบิดา มารดา (Vladimir และ Maria) ที่ค่อนข้างทนุถนอมปูตินน้อย ที่มีชื่อเล่นๆว่า Volodya
    (โวโลเดียร์)
    เพราะบุตรชายคนนี้ คือผู้ที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลเพียงคนเดียว
    หลังจากที่ได้สูญเสียบุตรชายไปสองคนก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง
    วลาดิเมียร์ผู้พ่อเคยรับราชการทหารเรือ ในหน่วยเรือดำน้ำ เมื่อถูกปลดประจำการ เขาและมาเรียก็ปักหลักลงฐานอยู่ในเลนินกราดเช่นเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน
    ทางรัฐบาลได้จัดที่อยู่อาศัยให้ในอาคารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เลขที่ 12 ถนน Baskov ที่เป็นอาคารเก่าๆ มีสี่ห้องนอน แต่เขาต้องแบ่งกันอยู่กันอีกครอบครัวหนึ่ง
    ทั้งหมดยังต้องใช้เตาผิงฟืนเพื่อความอบอุ่น
    มาเรีย……ไม่ได้มีความรู้มากมาย ทำงานสารพัด ตั้งแต่รับล้างหลอดแก้วในแล็บ……ส่งขนมปัง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ คือ ต้องมีเวลาดูแลบุตรชายให้ดีที่สุด
    คู่สามีภรรยาที่เป็นเพื่อนร่วมแฟลต เป็นชาวยิว (เคร่งปฏิบัติ)
    ปูตินน้อย จึงเป็นละอ่อนคนเดียวในหมู่เพื่อนบ้าน
    เมื่อเขามีอายุได้เจ็ดอาทิตย์ มาเรีย และ บาบาอันยา (เพื่อนบ้าน) ได้พากันแอบเอาเขาไปทำพิธีล้างบาปในพิธีของออโธดอกซ์ ซึ่งเป็นความลับ (เพราะในยุคของคอมมิวนิสต์ พิธีทางศาสนาต่างๆต้องแอบซ่อน)
    เรื่องนี้ แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่รู้ เป็นความลับดำมืด จนเมื่อสี่สิบปีต่อมา มาเรียได้นำกางเขนเล็กๆมาให้กับปูติน และเล่าเรื่องราวให้ฟัง ย้ำกับเขาว่า ถ้ามีโอกาสไปที่เยรูซาเล็ม ช่วยเอากางเขนนี้ ไปสวดที่ Church of the Holy Sepulcher ด้วย
    เลยพอเดาได้……ว่า มาเรียมีเชื้อสายเป็นยิวออโธดอกซ์ ที่ลบเลือนหายไปตามวิถีการเมืองและกาลเวลา
    นามสกุลเดิมของเธอ คือ Shelomova (ที่รากมาจาก Solomon
    ที่เป็นนามสกุลของยิว)

    ปูตินน้อยเป็นเด็กเฮี้ยวพอสมควร อายุเพียงเก้าขวบ เขาและเพื่อนพากันขึ้นรถไฟไปเที่ยวในชนบท กลับมาก็เจอกับพ่อที่ถือเข็มขัดรอไว้ในมือ……
    จากนั้นมา แม้แต่จะเดินไปหัวมุมถนน เขายังต้องขออนุญาต
    ความสัมพันธ์ในบ้าน ค่อนข้างที่จะเคร่งครัด ไม่มีการกอดจูบ
    หรือป้อนคำหวานใส่กัน
    วันเปิดเรียน……นักเรียนอื่นๆเขาจะนำช่อดอกไม้ไปให้ครู
    แต่ปูตินยกไปให้ครูทั้งกระถาง
    เขาเป็นที่ขำขันของเหล่าเพื่อนๆ เพราะตัวเล็ก แข้งขาลีบ
    เดินเป๋ๆ การเรียนไม่ค่อยดี
    จนครูต้องไปพบกับผู้ปกครอง เพื่อแนะนำว่า เด็กคนนี้หัวดีมาก แต่ไม่เอาใจใส่การเรียนเท่าที่ควร
    วลาดิเมียร์ผู้พ่อ ย้อนถามครูไปว่า
    “แล้วจะให้ผมทำยังไง……ฆ่ามันทิ้งงั้นเหรอ?”
    แต่ทั้งคู่ก็รับปากว่า จะเอาใจใส่ให้มากกว่านี้

    สิ่งแรกเลยที่ปูตินต้องพบ……คือ พ่อพาเขาไปเรียนชกมวย
    ที่ปูตินไม่สนใจในเรื่องชกๆต่อยๆ เขาไปสนใจใน sambo มากกว่า (แซมโบ คือ การผสมผสานระหว่างยูโด กับมวยปล้ำ)
    ซึ่งเขามาได้ถูกทาง เพราะโค้ชได้เข้าไปพบกับ วลาดิเมียร์ และ มาเรีย เพื่อรับรองว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ปูตินน้อยมีความสามารถพิเศษในศาสตร์ด้านนี้

    ปูตินน้อยเข้าสู่วัยสิบสาม อยู่ชั้นมัธยมที่หนึ่ง
    เขาเริ่มมีทีมกลุ่มนักกีฬายูโดที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน จากที่เดินติ๋มๆในละแวกที่อาศัยล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยอบายมุข เหล้า บุหรี่
    ปูตินน้อย……สามารถเดินสบตาได้ทุกคน
    การเรียนเขาดีขึ้นมาก เขาได้รับเลือกขึ้นเป็นหัวหน้านักเรียนในชั้นมัธยมปีที่สอง
    พอมัธยมแปด เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปเข้าในสมาคมยุวคอมมิวนิสต์ และนี่คือบันไดขั้นแรกสำหรับการก้าวเข้าสู่สังคมโลกภายนอกโรงเรียน

    สิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของปูตินน้อย คือ ภาพยนตร์เรื่อง “The Sword and the Shield “ ที่เป็นเริ่องเกี่ยวกับ Major Aleksandr Belov ที่เป็น KGB ที่ไปทำงานสืบราชการลับในหน่วย SS ของนาซี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นขาวดำ ยาวถึงห้าชั่วโมง แต่ปูตินน้อยสามารถดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย

    เขาบอกกับตัวเองว่า……สักวันหนึ่ง……เขาจะเป็นสายลับ KGB ให้ได้…!!!!

    เขาเริ่มดำเนินการตามฝัน เพราะ สำนักงานใหญ่ KGB ก็อยู่ในเลนินกราด ในตอนนั้นใครๆเรียกว่า The Big House
    เขาไปที่นั่น…ต้องใช้ความพยายามถึงสามครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ เพื่อที่จะขอใบสมัคร…
    เจ้าหน้าที่ที่มาคุยด้วย มองเขาด้วยความสมเพช ได้บอกกับเขาว่า……ที่นี่….ไม่รับหน่วยอาสา ถ้าจะมาสมัคร ต้องไปเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ เพราะเรารับคนที่เคยเป็นทหาร หรือจบจากมหาวิทยาลัย ……
    ปูตินน้อยไม่ละความพยายาม เขาถามไปว่า ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย ต้องเรียนสาขาไหน ถึงจะมีสิทธิ
    คนตอบตอบอย่างเสียไปที…ว่า……กฎหมายมั้ง……!!!

    กฎหมาย……คำนั้นคำเดียว…ที่เขาจำได้แม่น……ที่เหลือคือเขาต้องไปหว่านล้อมพ่อแม่ ที่ตั้งเป้าหมายให้เขาเรียนพวกการบิน หรือเทคนิคต่างๆ หรือแต่โค้ชยูโดที่พยายามหว่านล้อมให้ไปเป็นตำรวจ……ที่เขาไม่ชอบเลย……!!

    ตั้งแต่เขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็น KGB ให้ได้นั้น ปูตินน้อยเปลี่ยนไป เขาเริ่มสนใจข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง ฟังเพลง The Beatles ข้างเตียง
    แขวนภาพของ Jan Karlovich Berzin (ผอ. KGB คนแรกในยุคบอลเชวิค)

    ส่วนเรื่องสาวๆในวัยทีนก็ต้องมีบ้าง เขาและ Vera Brileva
    เพื่อนนักเรียนเคยมีการจูบกันตามเกมส์ที่เล่นหมุนปากขวด
    (แบบเด็กๆ) Vera เคยไปหาเขาที่บ้าน ในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือ ……เธอเริ่มต้นด้วยคำทักทายว่า…
    “เธอจำไม่ได้เหรอ…ว่า…..???
    แต่ปูตินลุกขึ้นยืน และตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใยว่า……
    “ชั้นจะจำในสิ่งที่ควรจำเท่านั้น………”

    ปูตินเรียนจบภาคการศึกษาที่เขาทำเกรดได้ดี ในวิชาภาษาเยอรมัน ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    จนได้รับเลือกเข้าไปเป็นนักศึกษาใน Leningrad State University ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโซเวียต ยูเนี่ยน
    เพราะการรับนักศึกษานั้น โอกาสคือ สี่สิบต่อหนึ่ง

    และ……สาขาที่เขาเลือก คือ นิติศาสตร์…………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ตอนหนึ่ง………จากเด็กหลังห้อง……สู่นักศึกษากฏหมายยูโดสายดำ……!! ก็จะเล่าเรื่องของท่านผู้นำ Vladimir Vladimirovich Putin ตามที่เคยเกริ่นไว้นานมาแล้วนะคะ วลาดิเมียร์ ปูติน ถือกำเนิดในวันที่ 7 ตุลาคม 1952 ที่เลนินกราด (เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก) สหภาพโซเวียต เขาเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ทั้งบิดา มารดา (Vladimir และ Maria) ที่ค่อนข้างทนุถนอมปูตินน้อย ที่มีชื่อเล่นๆว่า Volodya (โวโลเดียร์) เพราะบุตรชายคนนี้ คือผู้ที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลเพียงคนเดียว หลังจากที่ได้สูญเสียบุตรชายไปสองคนก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง วลาดิเมียร์ผู้พ่อเคยรับราชการทหารเรือ ในหน่วยเรือดำน้ำ เมื่อถูกปลดประจำการ เขาและมาเรียก็ปักหลักลงฐานอยู่ในเลนินกราดเช่นเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน ทางรัฐบาลได้จัดที่อยู่อาศัยให้ในอาคารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เลขที่ 12 ถนน Baskov ที่เป็นอาคารเก่าๆ มีสี่ห้องนอน แต่เขาต้องแบ่งกันอยู่กันอีกครอบครัวหนึ่ง ทั้งหมดยังต้องใช้เตาผิงฟืนเพื่อความอบอุ่น มาเรีย……ไม่ได้มีความรู้มากมาย ทำงานสารพัด ตั้งแต่รับล้างหลอดแก้วในแล็บ……ส่งขนมปัง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ คือ ต้องมีเวลาดูแลบุตรชายให้ดีที่สุด คู่สามีภรรยาที่เป็นเพื่อนร่วมแฟลต เป็นชาวยิว (เคร่งปฏิบัติ) ปูตินน้อย จึงเป็นละอ่อนคนเดียวในหมู่เพื่อนบ้าน เมื่อเขามีอายุได้เจ็ดอาทิตย์ มาเรีย และ บาบาอันยา (เพื่อนบ้าน) ได้พากันแอบเอาเขาไปทำพิธีล้างบาปในพิธีของออโธดอกซ์ ซึ่งเป็นความลับ (เพราะในยุคของคอมมิวนิสต์ พิธีทางศาสนาต่างๆต้องแอบซ่อน) เรื่องนี้ แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่รู้ เป็นความลับดำมืด จนเมื่อสี่สิบปีต่อมา มาเรียได้นำกางเขนเล็กๆมาให้กับปูติน และเล่าเรื่องราวให้ฟัง ย้ำกับเขาว่า ถ้ามีโอกาสไปที่เยรูซาเล็ม ช่วยเอากางเขนนี้ ไปสวดที่ Church of the Holy Sepulcher ด้วย เลยพอเดาได้……ว่า มาเรียมีเชื้อสายเป็นยิวออโธดอกซ์ ที่ลบเลือนหายไปตามวิถีการเมืองและกาลเวลา นามสกุลเดิมของเธอ คือ Shelomova (ที่รากมาจาก Solomon ที่เป็นนามสกุลของยิว) ปูตินน้อยเป็นเด็กเฮี้ยวพอสมควร อายุเพียงเก้าขวบ เขาและเพื่อนพากันขึ้นรถไฟไปเที่ยวในชนบท กลับมาก็เจอกับพ่อที่ถือเข็มขัดรอไว้ในมือ…… จากนั้นมา แม้แต่จะเดินไปหัวมุมถนน เขายังต้องขออนุญาต ความสัมพันธ์ในบ้าน ค่อนข้างที่จะเคร่งครัด ไม่มีการกอดจูบ หรือป้อนคำหวานใส่กัน วันเปิดเรียน……นักเรียนอื่นๆเขาจะนำช่อดอกไม้ไปให้ครู แต่ปูตินยกไปให้ครูทั้งกระถาง เขาเป็นที่ขำขันของเหล่าเพื่อนๆ เพราะตัวเล็ก แข้งขาลีบ เดินเป๋ๆ การเรียนไม่ค่อยดี จนครูต้องไปพบกับผู้ปกครอง เพื่อแนะนำว่า เด็กคนนี้หัวดีมาก แต่ไม่เอาใจใส่การเรียนเท่าที่ควร วลาดิเมียร์ผู้พ่อ ย้อนถามครูไปว่า “แล้วจะให้ผมทำยังไง……ฆ่ามันทิ้งงั้นเหรอ?” แต่ทั้งคู่ก็รับปากว่า จะเอาใจใส่ให้มากกว่านี้ สิ่งแรกเลยที่ปูตินต้องพบ……คือ พ่อพาเขาไปเรียนชกมวย ที่ปูตินไม่สนใจในเรื่องชกๆต่อยๆ เขาไปสนใจใน sambo มากกว่า (แซมโบ คือ การผสมผสานระหว่างยูโด กับมวยปล้ำ) ซึ่งเขามาได้ถูกทาง เพราะโค้ชได้เข้าไปพบกับ วลาดิเมียร์ และ มาเรีย เพื่อรับรองว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ปูตินน้อยมีความสามารถพิเศษในศาสตร์ด้านนี้ ปูตินน้อยเข้าสู่วัยสิบสาม อยู่ชั้นมัธยมที่หนึ่ง เขาเริ่มมีทีมกลุ่มนักกีฬายูโดที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน จากที่เดินติ๋มๆในละแวกที่อาศัยล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยอบายมุข เหล้า บุหรี่ ปูตินน้อย……สามารถเดินสบตาได้ทุกคน การเรียนเขาดีขึ้นมาก เขาได้รับเลือกขึ้นเป็นหัวหน้านักเรียนในชั้นมัธยมปีที่สอง พอมัธยมแปด เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปเข้าในสมาคมยุวคอมมิวนิสต์ และนี่คือบันไดขั้นแรกสำหรับการก้าวเข้าสู่สังคมโลกภายนอกโรงเรียน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของปูตินน้อย คือ ภาพยนตร์เรื่อง “The Sword and the Shield “ ที่เป็นเริ่องเกี่ยวกับ Major Aleksandr Belov ที่เป็น KGB ที่ไปทำงานสืบราชการลับในหน่วย SS ของนาซี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นขาวดำ ยาวถึงห้าชั่วโมง แต่ปูตินน้อยสามารถดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย เขาบอกกับตัวเองว่า……สักวันหนึ่ง……เขาจะเป็นสายลับ KGB ให้ได้…!!!! เขาเริ่มดำเนินการตามฝัน เพราะ สำนักงานใหญ่ KGB ก็อยู่ในเลนินกราด ในตอนนั้นใครๆเรียกว่า The Big House เขาไปที่นั่น…ต้องใช้ความพยายามถึงสามครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ เพื่อที่จะขอใบสมัคร… เจ้าหน้าที่ที่มาคุยด้วย มองเขาด้วยความสมเพช ได้บอกกับเขาว่า……ที่นี่….ไม่รับหน่วยอาสา ถ้าจะมาสมัคร ต้องไปเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ เพราะเรารับคนที่เคยเป็นทหาร หรือจบจากมหาวิทยาลัย …… ปูตินน้อยไม่ละความพยายาม เขาถามไปว่า ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย ต้องเรียนสาขาไหน ถึงจะมีสิทธิ คนตอบตอบอย่างเสียไปที…ว่า……กฎหมายมั้ง……!!! กฎหมาย……คำนั้นคำเดียว…ที่เขาจำได้แม่น……ที่เหลือคือเขาต้องไปหว่านล้อมพ่อแม่ ที่ตั้งเป้าหมายให้เขาเรียนพวกการบิน หรือเทคนิคต่างๆ หรือแต่โค้ชยูโดที่พยายามหว่านล้อมให้ไปเป็นตำรวจ……ที่เขาไม่ชอบเลย……!! ตั้งแต่เขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็น KGB ให้ได้นั้น ปูตินน้อยเปลี่ยนไป เขาเริ่มสนใจข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง ฟังเพลง The Beatles ข้างเตียง แขวนภาพของ Jan Karlovich Berzin (ผอ. KGB คนแรกในยุคบอลเชวิค) ส่วนเรื่องสาวๆในวัยทีนก็ต้องมีบ้าง เขาและ Vera Brileva เพื่อนนักเรียนเคยมีการจูบกันตามเกมส์ที่เล่นหมุนปากขวด (แบบเด็กๆ) Vera เคยไปหาเขาที่บ้าน ในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือ ……เธอเริ่มต้นด้วยคำทักทายว่า… “เธอจำไม่ได้เหรอ…ว่า…..??? แต่ปูตินลุกขึ้นยืน และตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใยว่า…… “ชั้นจะจำในสิ่งที่ควรจำเท่านั้น………” ปูตินเรียนจบภาคการศึกษาที่เขาทำเกรดได้ดี ในวิชาภาษาเยอรมัน ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จนได้รับเลือกเข้าไปเป็นนักศึกษาใน Leningrad State University ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโซเวียต ยูเนี่ยน เพราะการรับนักศึกษานั้น โอกาสคือ สี่สิบต่อหนึ่ง และ……สาขาที่เขาเลือก คือ นิติศาสตร์…………!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • ภูทับเบิก ที่เที่ยวสวยเพชรบูรณ์ ไปกอด ทะเลหมอก ฟอกปอด สูดอากาศดี

    ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีระดับความสูงถึง 1,768 จากระดับน้ำทะเลค่ะ ทำให้ที่นี่ค่อนข้างมอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี ทั้งภูเขาจะรายล้อมไปด้วยกะหล่ำปลีลูกกลม นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอดทะเลหมอกอย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวันนั่นเอง

    นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอด ทะเลหมอก อย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวัน ในบางวันก็อาจมีเซอร์ไพรส์ได้เจอกับทะเลหมอกที่สวยงามอยู่เหมือนกัน และอากาศข้างบนนี้ค่อนข้างเย็นตลอดวันค่ะ ถ้าใครขึ้นมาเที่ยวที่นี่แนะนำว่าให้พกเสื้อแขนยาวมากันอากาศเย็นสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวแล้วล่ะก็ พกเสื้อกันหนาวตัวหนามาได้เลย

    #ภูทับเบิก
    #ท่องเที่ยว


    ภูทับเบิก ที่เที่ยวสวยเพชรบูรณ์ ไปกอด ทะเลหมอก ฟอกปอด สูดอากาศดี😚 ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มีระดับความสูงถึง 1,768 จากระดับน้ำทะเลค่ะ ทำให้ที่นี่ค่อนข้างมอากาศที่เย็นตลอดทั้งปี ทั้งภูเขาจะรายล้อมไปด้วยกะหล่ำปลีลูกกลม นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอดทะเลหมอกอย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวันนั่นเอง นอกจากช่วงหน้าหนาวที่เราจะได้กอด ทะเลหมอก อย่างจุใจแล้ว ความอะเมซซิ่งของภูทับเบิกก็คือ หน้าฝนนั้นจะมีหมอกตลอดทั้งวัน ในบางวันก็อาจมีเซอร์ไพรส์ได้เจอกับทะเลหมอกที่สวยงามอยู่เหมือนกัน และอากาศข้างบนนี้ค่อนข้างเย็นตลอดวันค่ะ ถ้าใครขึ้นมาเที่ยวที่นี่แนะนำว่าให้พกเสื้อแขนยาวมากันอากาศเย็นสักหน่อยก็น่าจะดี แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวแล้วล่ะก็ พกเสื้อกันหนาวตัวหนามาได้เลย #ภูทับเบิก #ท่องเที่ยว
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 139 Views 0 Reviews
  • ดิ้นรนหนักมาก!
    เมื่อสหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก
    ชิปขั้นสูง และเทคโนโลยีควอนตัมใหม่
    กฎเกณฑ์มุ่งเป้าไปที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
    ที่ล้ำสมัยของจีน

    โดยสหรัฐฯ กำลังดำเนินการควบคุมการส่งออก
    อุปกรณ์การผลิตชิป และ เทคโนโลยีควอนตัมใหม่
    เนื่องจากยังคงมีความพยายามในการขัดขวางจีน
    ในทุกวิถีทาง ในความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าว
    ที่มา : Nikkeiasia
    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    🔥🔥ดิ้นรนหนักมาก! เมื่อสหรัฐฯ จะบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก ชิปขั้นสูง และเทคโนโลยีควอนตัมใหม่ กฎเกณฑ์มุ่งเป้าไปที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ล้ำสมัยของจีน 🚩โดยสหรัฐฯ กำลังดำเนินการควบคุมการส่งออก อุปกรณ์การผลิตชิป และ เทคโนโลยีควอนตัมใหม่ เนื่องจากยังคงมีความพยายามในการขัดขวางจีน ในทุกวิถีทาง ในความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าว ที่มา : Nikkeiasia #หุ้นติดดอย #การลงทุน #thaitimes
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 741 Views 0 Reviews
  • ตำรับยารักษา “โรคฝีดาษ” จากศิลาจารึก/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    สำหรับตำรับยาโรคระบาดในประเทศไทยนั้น ได้ยึดถึอเอาพระคัมภีร์ตักกะศิลาเป็นกระบวนการรักษาโรค โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน กล่าวคือ

    ขั้นตอนแรก ตำรับยาสำหรับกระทุ้งพิษไข้ โดยใช้ตำรับยาห้าราก

    ขั้นตอนที่สอง ตำรับยาสำหรับแปรไข้ภายในและรักษาผิวภายนอก มีตำรับยา 5 ขนาน คือ ตำรับยาประสระผิว ตำรับยาพ่นผิวภายนอก ตำรับยาพ่นและยากิน และตำรับยาแปรไข้จากร้ายให้เป็นดี และตำรับยาพ่นแปรผิวภายนอก

    ขั้นตอนสุดท้าย ตำรับยาครอบไข้[1]

    ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตำรายาหลวง ชื่อตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยในตำราดังกล่าวได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังเป็นตำราสำหรับการเรียนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์มาจนถึงปัจจุบัน

    ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีพระบรมราโชบายให้มีตำรายาจารึกเอาไว้ในแผ่นศิลาประดับอยู่ตามผนังและเสาของวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระราชทานเป็นมรดกให้กับประชาชนชาวสยามสืบไปตราบนานเท่านาน รวมถึงวิวัฒนาการที่ลดทอนยา 7 ขนาน 3 ขั้นตอน มาเหลือ “ตำรับยาเดียว” ในการรับมือโรคระบาดหลายชนิดด้วย ซึ่งปัจจุบันคนในวงการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ยาขาว”

    ตำรับยาขาวของวัดโพธิ์นี้ได้ระบุเอาไว้ในตำราว่าแผ่นศิลาแผ่นนี้ได้ถูกรื้อออกมาจากศาลาต่างๆ แต่โชคดีได้บันทึกตำรับยาสำคัญนี้เอาไว้ในตำรายาของวัดโพธิ์ จึงทำให้สามารถตกทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยตำรายาวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ฉบับเก่า 51 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2516 ได้บันทึกตำรับยานี้เอาไว้อยู่ที่หน้า 62-64[2]

    ตำรับยาขนานนี้ได้บรรยายสรรพคุณว่า เพียงตำรับยาเดียวสามารถ “แก้สรรพไข้จากโรคระบาด” โดยตำรายาศิลาจารึกบันทึกว่าตำรับยานี้ใช้สมุนไพร 15 ตัวและมีสรรพคุณแก้สรรพไข้จากโรคระบาดหลายชนิด โดยระบุในบันทึกของแผ่นศิลาความตอนนี้ว่า

    “ขนาน 1 เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากฟักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเปน มหาวิเศษนัก“[2]

    แม้ในความจริงแล้วจะมีขั้นตอนและวิวัฒนาการในการรักษาโรคระบาดหลายชนิดในภาพรวม แต่ภายใต้พระคัมภีร์ตักกะศิลา ได้วางหลักถึง “รสยา” สำหรับรับมือโรคระบาดว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรจะลองดูในเวลาติดเชื้ออันจากเกิดโรคระบาดเอาไว้ความว่า

    ห้ามใช้ยาหรือการกระทำที่มีรสกระตุ้นธาตุไฟหรือระบบความร้อน (ปิตตะ) แต่ให้ยาที่มีลดธาตุไฟหรือระบบความร้อน หากไม่ฟังตามนี้อาจจะถึงแก่ความตายได้ ความว่า

    “ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อนเผ็ดเปรี้ยว อย่าให้ประคบนวด อย่าปล่อยปลิง อย่าให้กอกเอาโลหิตออก อย่าให้ถูกน้ำมัน เหล้าก็อย่าให้ถูก น้ำร้อนก็อย่าให้อาบ อย่าให้กิน ส้มมีควันมีผิวกะทิน้ำมันห้ามิให้กิน ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”[3]

    ต่อมาเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ได้เรียบเรียงเอาไว้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเรื่อง “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ว่าช่วงเวลาที่มีกำเดาหรือเปลวแห่งความร้อนนี้ ไม่ว่าจะวัดว่ามีไข้จากภายนอก หรือรู้สึกครั่นเนื้อตัวอยู่ภายใน ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีผื่นขึ้น จะไม่ใช้ยารสร้อน ห้ามเหล้า น้ำมัน กอกเลือด นวด หรือปล่อยปลิงเพื่อเอาเลือดออก หากไม่ฟังให้ยาหรือการดำเนินการเช่นดังกล่าวนี้ อาจแก้กันไม่ทัน ความว่า

    “ถ้าแรกล้มไข้ ท่านมากล่าวไว้ ให้พิจารณา ภายนอกภายใน ให้ร้อนหนักหนา เมื่อยขบกายา ตาแดงเป็นสาย บ้างเย็นบ้างร้อน เปนบั้นเป็นท่อน ไปทั่วทั้งกาย ขึ้นมาให้เห็น เปนวงเปนสาย เปนริ้วยาวรี ลางบางไม่ขึ้น เปนวงฟกลื่น กายหมดดิบดี หมอมักว่าเปนสันนิบาติก็มี ให้ยาผิดที แก้กันไม่ทัน อย่าเพ่อกินยา ร้อนแรงแขงกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน เอาโลหิตออก กอกเลือดนวดฟั้น ปล่อยปลิงมิทัน แก้กันเลยนา” [4]

    ด้วยประสบการณ์ของเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบยอดสรุปถ่ายทอดมาเป็นความรู้ว่า ในยามที่ยังต้องถกเถียงกันว่าโรคระบาดที่ทำให้เกิดคนตายมากเป็นโรคประเภทใดกันแน่ ในยามที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จึงให้ใช้รสยาแรกไปในทางรสขม เย็นอย่างยิ่ง หรือฝาดจืด ซึ่งเป็นรสยาที่ไม่มีธาตุไฟมาปน ดังความว่า

    “ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน”[4]

    แต่ถึงแม้จะมีหลักการและขั้นตอนต่างๆในการวางรสยาเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่เนื่องจากโรคฝีดาษและไข้ทรพิษนั้น อาจมีลักษณะจำเพาะที่มีการระบาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกว่าจะได้หมดสิ้นจากประเทศไทยได้นั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2523

    การเอาชนะโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ นอกจากการรับมือกับโรคระบาดในเรื่องตำรับยาต่างๆแล้ว ความรู้เรื่องการปลูกฝีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง เพราะได้เป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคฝีดาษได้ด้วย

    โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีไข้ทรพิษ และพระราชบัญญัติระงับโรคระบาทว์ พ.ศ.​2456 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคแก่ประชาชน

    ต่อมาในปี 2504 กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกำจัดไข้ทรพิษครั้งแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ.2504-2506) คือคนไทยอย่างน้อย 80% ต้องได้รับการปลูกฝี ภายหลังขยายเวลาเป็น 5 ปี (พ.ศ.2504-2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาระดมการปลูกฝีทั่วประเทศไทย

    โดยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคฝีดาษรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2505 เป็นแขกชื่อ ยาริดาเนา ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร

    เมื่อสิ้นสุดโครงการการระดมปลูกฝี ถึงปี พ.ศ. 2508 ก็เป็นผลทำให้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษหายไปจากประเทศไทยติดต่อกันถึง 3 ปีติดต่อกันแล้ว จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรองว่าฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว[5]

    นี่คือเหตุผลว่าผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 หรืออายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่น่าจะได้รับการปลูกฝีแล้ว(โดยดูได้จากแผลเป็นบนหัวไหล่) แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 44 ปีติดโรคฝีดาษลิงได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เช่นผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นต้น

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝีดาษที่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2523 หรือเป็นเวลา 44 ปี ทำให้ภูมิปัญญาที่เคยรับมือในการรักษาโรคฝีดาษขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการรับมือด้วยสมุนไพร ตำรับยาไทย และกรรมวิธีต่างๆในการรักษา

    ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนไทยควรจะรับมือในการรักษาโรคฝีดาษลิงอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงไปตามพระคัมภีร์ตักกะศิลาในการใช้ยา 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน หรือยาขาวตามตำรับยาของวัดศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงโรคฝีดาษ หรือฝีดาษลิงเป็นการเฉพาะ

    ทำให้หลายคนสงสัยว่าในเมื่อโรคฝีดาษ เป็นโรคที่ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ในการเกิดโรคระบาดมาหลายร้อยปี ควรจะต้องมี “ตำรับยา“ สำหรับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะหรือไม่

    เมื่อทบทวนข้อมูลตามตำราและคัมภีร์ทั้งหมดพบ ”การรักษาโรคฝีดาษ“ เป็นการเฉพาะจารึกเป็นตำรายาที่ปรากฏในแผ่นศิลาของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

    โดย ศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญาของแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ที่จารึกยาขนานต่างๆ ลักษณะของแผ่นศิลาจารึกเป็นหินอ่อนสีเทา สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดในมุมแหลม จำนวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ 42 แผ่น และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร 8 แผ่น เชื่อว่าในอดีตมีแผ่นศิลาจารึก 92 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50 แผ่น

    และนับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะแผ่นศิลาที่กล่าวถึงการรักษาโรคฝีดาษ ยังไม่สูญหายและข้อความที่ปรากฏก็ยังไม่เลือนหายไปด้วย จึงนับว่าเป็นบุญของประเทศที่มีภูมิปัญญาและมีคุณค่ายิ่งในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาเริ่มระบาดในบางประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทย

    โดยแผ่นศิลาที่กล่าวถึงฝีดาษนั้น เป็นแผนที่ 18 ของศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ปรากฏข้อความดังนี้

    “๏ สิทธิการิยะ จะกล่าวฝีดาษเกิดในเดือน 11 เดือน 12 เดือน 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ เกิดเพื่ออาโปธาตุ มักให้เย็นในอกแลมักตกมูกตกเลือด ให้เสียแม่แสลงพ่อแสลง นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำบัตรไปส่งทิศอุดรแลอีสาร จึ่งจะดี๚

    ถ้าจะแก้ให้เอาใบมะอึก ใบผักบุ้งร้วม ใบผักบุ้งขัน ใบก้างปลาทั้งสอง ใบพุงดา ใบผักขวง ใบหมาก ใบทองพันชั่ง เอาเสมอภาคตำเอาน้ำพ่น ดับฝี เพื่อเสมหะหาย ๚

    ขนานหนึ่ง เอากะทิมะพร้าว น้ำคาวปลาไหล ไข่เป็ดลูกหนึ่ง มูลโคดำ แก่นประดู่ เอาเสมอภาคบด พ่นฝีเพื่อเสมหะที่ด้านอยู่นั้นขึ้นแลแปรฝีร้ายให้เป็นดี ๚

    ขนานหนึ่ง เอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำรากถั่วพู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสมหะให้ยอดขึ้น หนองงามดีนัก๚

    ขนานหนึ่ง เอาเห็ดมูลโค ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง สังกรณี ชะเอม ลูกประคำดีควาย หวายตะค้า เขากวางเผา กระดูกเสือเผา มะกล่ำเครือ ขันฑสกร มะขามเปียก เอาเสมอภาคบดทคำเป็นจุณ บดด้วยน้ำมะนาวทำแท่งไว้ละลายสุรา ดีงูเหลือม รำหัด กินแก้คอแหบแห้ง แก้คอเครือ หายดีนัก๚

    ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚[6]

    ในตำรับยาขนานต่างๆข้างต้นนั้น เป็นยาพ่นภายนอกเสียส่วนใหญ่ ตำรับยาเพื่อการรับประทานที่พอาจะหาได้โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์วัตถุคือตำรับยาขนานสุดท้ายที่น่าจะนำไปวิจัยต่อที่ว่า

    ”ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚“ [6]

    นอกจากนั้นจากจารึกวัดราชโอรสราชวรมหาวิหารยังปรากฏในแผ่นที่ 46 ทำให้เห็นว่ายังมีตำรับยาอีกขนานหนึ่งสำหรับโรคฝีดาษที่เป็นไข้หนักเข้าขั้นไข้สันนิบาตแล้วโดยใช้ ”ยาผายเลือด“ ความว่า

    “๏ สิทธิการิยะ ยาผายเลือดเอารากขี้กาแดง 1 เบญจาขี้เหล็ก ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไซ ลูกคัดเค้า ต้มให้งวดแล้วกรอง เอาน้ำขยำใส่ลงอีกเคี่ยวให้ข้น ปรุงยาดำ 1 สลึง 1 เฟื้อง ดีเกลือ 1 บาท กินประจุเลือดร้ายทั้งปวง แก้ไขสันนิบาตฝีดาษด้วย๚“[7]

    แต่สำหรับศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้กล่าวถึงโรคฝีดาษที่มีรายละเอียดในบางอาการเพิ่มเติมอีก เช่น อาการฝีดาษขึ้นตา ปรากฏในศิลาจารึกว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวงแผ่นที่ 22 ความว่า

    “ยาชื่อ สังขรัศมี เอาชะมดสด พิมเสน สิ่งละส่วน ลิ้นทะเลแช่น้ำมะนาวไว้ยังรุ่งแล้วล้างเสีย จึงเอามาแช่น้ำท่าไว้แต่เช้าถึงเที่ยง แล้วเอาตากให้แห้ง 3 ส่วน รากช้าแป้น ดินถนำสุทธิ สังข์สุทธิ สิ่งละ 4 ส่วน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ฝนป้ายจักษุแก้สรรพต้อให้ปวดเคืองต่างๆ แก้ฝีดาษขึ้นจักษุก็ได้หายวิเศษนักฯ”[8]

    อย่างไรก็ตามการบันทึกในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังให้เบาะแสเกี่ยวกับ “สมุนไพรเดี่ยว” ที่เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีสรรพคุณในการลดฝีดาษได้ ได้แก่ ข่าลิง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ฯลฯ[8]

    ดังปรากฏตัวอย่างในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศและสมุนไพรแผ่นที่ 7 ที่กล่าวถึง “ต้นข่าลิง”แก้พิษฝีดาษ ความว่า

    “อันว่าคุณแห่งข่าลิงนั้น ต้นรู้แก้พิษฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดเพื่อโลหิต รู้แก้ฝีกาฬ อันบังเกิดเพื่อฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษไข้เหนือสันนิบาตฯ”[9]

    นอกจากนั้นยังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 ซึ่งกล่าวถึง “บอระเพ็ด” และ “ชิงช้าชาลี” ความว่า

    “อันว่าคุณแห่งบอระเพ็ดและชิงช้าชาลีนั้นคุณดุจกัน ต้นรู้แก้ฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดโลหิต รู้แก้ฝีกาฬอันบังเกิดฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและในฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษเพื่อไข้สันนิบาตฯ”[10]

    นอกจากนั้นสมุนไพรที่มีการวิจัยที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ก็ควรจะนำมาสู่การวิจัยกับฝีดาษลิงต่อไป เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ใบสะเดา กัญชา กัญชง ฝีหมอบ เสลดพังพอนตัวเมีย ฯลฯ

    ดังนั้นการกลับมาของโรคฝีดาษลิง จึงควรให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาในการรักษาที่มีมาแต่ในอดีตรวมถึงความรู้จากการวิจัยในสมุนไพรต่างๆที่มีมากขึ้น ซึ่งควรจะนำมาวิจัยกับไวรัสฝีดาษลิงเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมประยุกต์ให้เหมาะสมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันและต่อไปในกาลข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    5 กันยายน 2567
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1045825823577784/?

    อ้างอิง
    [1] พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์ และ รัชฎาพร พิสัยพันธุ์, การวิเคราะห์องค์ความรู้ไข้ตามคัมภีร์ตักศิลา: คัมภีร์ว่าด้วยโรคระบาด, วารสารหมอยาไทยวิจัย, ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2566), หน้า 131-152
    https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/258845/180094

    [2] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [3] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 694

    [4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 37

    [5] เว็บไซต์กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค, การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จุดเริ่มงานควบคุมโรคติดต่อในประเทศไทย
    https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ.pdf

    [6] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/14798

    [7] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/16335

    [8] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [9] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [10] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723
    ตำรับยารักษา “โรคฝีดาษ” จากศิลาจารึก/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สำหรับตำรับยาโรคระบาดในประเทศไทยนั้น ได้ยึดถึอเอาพระคัมภีร์ตักกะศิลาเป็นกระบวนการรักษาโรค โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน กล่าวคือ ขั้นตอนแรก ตำรับยาสำหรับกระทุ้งพิษไข้ โดยใช้ตำรับยาห้าราก ขั้นตอนที่สอง ตำรับยาสำหรับแปรไข้ภายในและรักษาผิวภายนอก มีตำรับยา 5 ขนาน คือ ตำรับยาประสระผิว ตำรับยาพ่นผิวภายนอก ตำรับยาพ่นและยากิน และตำรับยาแปรไข้จากร้ายให้เป็นดี และตำรับยาพ่นแปรผิวภายนอก ขั้นตอนสุดท้าย ตำรับยาครอบไข้[1] ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตำรายาหลวง ชื่อตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยในตำราดังกล่าวได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังเป็นตำราสำหรับการเรียนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีพระบรมราโชบายให้มีตำรายาจารึกเอาไว้ในแผ่นศิลาประดับอยู่ตามผนังและเสาของวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระราชทานเป็นมรดกให้กับประชาชนชาวสยามสืบไปตราบนานเท่านาน รวมถึงวิวัฒนาการที่ลดทอนยา 7 ขนาน 3 ขั้นตอน มาเหลือ “ตำรับยาเดียว” ในการรับมือโรคระบาดหลายชนิดด้วย ซึ่งปัจจุบันคนในวงการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ยาขาว” ตำรับยาขาวของวัดโพธิ์นี้ได้ระบุเอาไว้ในตำราว่าแผ่นศิลาแผ่นนี้ได้ถูกรื้อออกมาจากศาลาต่างๆ แต่โชคดีได้บันทึกตำรับยาสำคัญนี้เอาไว้ในตำรายาของวัดโพธิ์ จึงทำให้สามารถตกทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยตำรายาวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ฉบับเก่า 51 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2516 ได้บันทึกตำรับยานี้เอาไว้อยู่ที่หน้า 62-64[2] ตำรับยาขนานนี้ได้บรรยายสรรพคุณว่า เพียงตำรับยาเดียวสามารถ “แก้สรรพไข้จากโรคระบาด” โดยตำรายาศิลาจารึกบันทึกว่าตำรับยานี้ใช้สมุนไพร 15 ตัวและมีสรรพคุณแก้สรรพไข้จากโรคระบาดหลายชนิด โดยระบุในบันทึกของแผ่นศิลาความตอนนี้ว่า “ขนาน 1 เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากฟักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเปน มหาวิเศษนัก“[2] แม้ในความจริงแล้วจะมีขั้นตอนและวิวัฒนาการในการรักษาโรคระบาดหลายชนิดในภาพรวม แต่ภายใต้พระคัมภีร์ตักกะศิลา ได้วางหลักถึง “รสยา” สำหรับรับมือโรคระบาดว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรจะลองดูในเวลาติดเชื้ออันจากเกิดโรคระบาดเอาไว้ความว่า ห้ามใช้ยาหรือการกระทำที่มีรสกระตุ้นธาตุไฟหรือระบบความร้อน (ปิตตะ) แต่ให้ยาที่มีลดธาตุไฟหรือระบบความร้อน หากไม่ฟังตามนี้อาจจะถึงแก่ความตายได้ ความว่า “ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อนเผ็ดเปรี้ยว อย่าให้ประคบนวด อย่าปล่อยปลิง อย่าให้กอกเอาโลหิตออก อย่าให้ถูกน้ำมัน เหล้าก็อย่าให้ถูก น้ำร้อนก็อย่าให้อาบ อย่าให้กิน ส้มมีควันมีผิวกะทิน้ำมันห้ามิให้กิน ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”[3] ต่อมาเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ได้เรียบเรียงเอาไว้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเรื่อง “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ว่าช่วงเวลาที่มีกำเดาหรือเปลวแห่งความร้อนนี้ ไม่ว่าจะวัดว่ามีไข้จากภายนอก หรือรู้สึกครั่นเนื้อตัวอยู่ภายใน ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีผื่นขึ้น จะไม่ใช้ยารสร้อน ห้ามเหล้า น้ำมัน กอกเลือด นวด หรือปล่อยปลิงเพื่อเอาเลือดออก หากไม่ฟังให้ยาหรือการดำเนินการเช่นดังกล่าวนี้ อาจแก้กันไม่ทัน ความว่า “ถ้าแรกล้มไข้ ท่านมากล่าวไว้ ให้พิจารณา ภายนอกภายใน ให้ร้อนหนักหนา เมื่อยขบกายา ตาแดงเป็นสาย บ้างเย็นบ้างร้อน เปนบั้นเป็นท่อน ไปทั่วทั้งกาย ขึ้นมาให้เห็น เปนวงเปนสาย เปนริ้วยาวรี ลางบางไม่ขึ้น เปนวงฟกลื่น กายหมดดิบดี หมอมักว่าเปนสันนิบาติก็มี ให้ยาผิดที แก้กันไม่ทัน อย่าเพ่อกินยา ร้อนแรงแขงกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน เอาโลหิตออก กอกเลือดนวดฟั้น ปล่อยปลิงมิทัน แก้กันเลยนา” [4] ด้วยประสบการณ์ของเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบยอดสรุปถ่ายทอดมาเป็นความรู้ว่า ในยามที่ยังต้องถกเถียงกันว่าโรคระบาดที่ทำให้เกิดคนตายมากเป็นโรคประเภทใดกันแน่ ในยามที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จึงให้ใช้รสยาแรกไปในทางรสขม เย็นอย่างยิ่ง หรือฝาดจืด ซึ่งเป็นรสยาที่ไม่มีธาตุไฟมาปน ดังความว่า “ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน”[4] แต่ถึงแม้จะมีหลักการและขั้นตอนต่างๆในการวางรสยาเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่เนื่องจากโรคฝีดาษและไข้ทรพิษนั้น อาจมีลักษณะจำเพาะที่มีการระบาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกว่าจะได้หมดสิ้นจากประเทศไทยได้นั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2523 การเอาชนะโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ นอกจากการรับมือกับโรคระบาดในเรื่องตำรับยาต่างๆแล้ว ความรู้เรื่องการปลูกฝีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง เพราะได้เป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคฝีดาษได้ด้วย โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีไข้ทรพิษ และพระราชบัญญัติระงับโรคระบาทว์ พ.ศ.​2456 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคแก่ประชาชน ต่อมาในปี 2504 กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกำจัดไข้ทรพิษครั้งแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ.2504-2506) คือคนไทยอย่างน้อย 80% ต้องได้รับการปลูกฝี ภายหลังขยายเวลาเป็น 5 ปี (พ.ศ.2504-2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาระดมการปลูกฝีทั่วประเทศไทย โดยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคฝีดาษรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2505 เป็นแขกชื่อ ยาริดาเนา ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร เมื่อสิ้นสุดโครงการการระดมปลูกฝี ถึงปี พ.ศ. 2508 ก็เป็นผลทำให้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษหายไปจากประเทศไทยติดต่อกันถึง 3 ปีติดต่อกันแล้ว จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรองว่าฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว[5] นี่คือเหตุผลว่าผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 หรืออายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่น่าจะได้รับการปลูกฝีแล้ว(โดยดูได้จากแผลเป็นบนหัวไหล่) แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 44 ปีติดโรคฝีดาษลิงได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เช่นผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นต้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝีดาษที่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2523 หรือเป็นเวลา 44 ปี ทำให้ภูมิปัญญาที่เคยรับมือในการรักษาโรคฝีดาษขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการรับมือด้วยสมุนไพร ตำรับยาไทย และกรรมวิธีต่างๆในการรักษา ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนไทยควรจะรับมือในการรักษาโรคฝีดาษลิงอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงไปตามพระคัมภีร์ตักกะศิลาในการใช้ยา 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน หรือยาขาวตามตำรับยาของวัดศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงโรคฝีดาษ หรือฝีดาษลิงเป็นการเฉพาะ ทำให้หลายคนสงสัยว่าในเมื่อโรคฝีดาษ เป็นโรคที่ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ในการเกิดโรคระบาดมาหลายร้อยปี ควรจะต้องมี “ตำรับยา“ สำหรับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะหรือไม่ เมื่อทบทวนข้อมูลตามตำราและคัมภีร์ทั้งหมดพบ ”การรักษาโรคฝีดาษ“ เป็นการเฉพาะจารึกเป็นตำรายาที่ปรากฏในแผ่นศิลาของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร โดย ศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญาของแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ที่จารึกยาขนานต่างๆ ลักษณะของแผ่นศิลาจารึกเป็นหินอ่อนสีเทา สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดในมุมแหลม จำนวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ 42 แผ่น และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร 8 แผ่น เชื่อว่าในอดีตมีแผ่นศิลาจารึก 92 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50 แผ่น และนับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะแผ่นศิลาที่กล่าวถึงการรักษาโรคฝีดาษ ยังไม่สูญหายและข้อความที่ปรากฏก็ยังไม่เลือนหายไปด้วย จึงนับว่าเป็นบุญของประเทศที่มีภูมิปัญญาและมีคุณค่ายิ่งในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาเริ่มระบาดในบางประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทย โดยแผ่นศิลาที่กล่าวถึงฝีดาษนั้น เป็นแผนที่ 18 ของศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ปรากฏข้อความดังนี้ “๏ สิทธิการิยะ จะกล่าวฝีดาษเกิดในเดือน 11 เดือน 12 เดือน 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ เกิดเพื่ออาโปธาตุ มักให้เย็นในอกแลมักตกมูกตกเลือด ให้เสียแม่แสลงพ่อแสลง นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำบัตรไปส่งทิศอุดรแลอีสาร จึ่งจะดี๚ ถ้าจะแก้ให้เอาใบมะอึก ใบผักบุ้งร้วม ใบผักบุ้งขัน ใบก้างปลาทั้งสอง ใบพุงดา ใบผักขวง ใบหมาก ใบทองพันชั่ง เอาเสมอภาคตำเอาน้ำพ่น ดับฝี เพื่อเสมหะหาย ๚ ขนานหนึ่ง เอากะทิมะพร้าว น้ำคาวปลาไหล ไข่เป็ดลูกหนึ่ง มูลโคดำ แก่นประดู่ เอาเสมอภาคบด พ่นฝีเพื่อเสมหะที่ด้านอยู่นั้นขึ้นแลแปรฝีร้ายให้เป็นดี ๚ ขนานหนึ่ง เอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำรากถั่วพู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสมหะให้ยอดขึ้น หนองงามดีนัก๚ ขนานหนึ่ง เอาเห็ดมูลโค ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง สังกรณี ชะเอม ลูกประคำดีควาย หวายตะค้า เขากวางเผา กระดูกเสือเผา มะกล่ำเครือ ขันฑสกร มะขามเปียก เอาเสมอภาคบดทคำเป็นจุณ บดด้วยน้ำมะนาวทำแท่งไว้ละลายสุรา ดีงูเหลือม รำหัด กินแก้คอแหบแห้ง แก้คอเครือ หายดีนัก๚ ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚[6] ในตำรับยาขนานต่างๆข้างต้นนั้น เป็นยาพ่นภายนอกเสียส่วนใหญ่ ตำรับยาเพื่อการรับประทานที่พอาจะหาได้โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์วัตถุคือตำรับยาขนานสุดท้ายที่น่าจะนำไปวิจัยต่อที่ว่า ”ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚“ [6] นอกจากนั้นจากจารึกวัดราชโอรสราชวรมหาวิหารยังปรากฏในแผ่นที่ 46 ทำให้เห็นว่ายังมีตำรับยาอีกขนานหนึ่งสำหรับโรคฝีดาษที่เป็นไข้หนักเข้าขั้นไข้สันนิบาตแล้วโดยใช้ ”ยาผายเลือด“ ความว่า “๏ สิทธิการิยะ ยาผายเลือดเอารากขี้กาแดง 1 เบญจาขี้เหล็ก ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไซ ลูกคัดเค้า ต้มให้งวดแล้วกรอง เอาน้ำขยำใส่ลงอีกเคี่ยวให้ข้น ปรุงยาดำ 1 สลึง 1 เฟื้อง ดีเกลือ 1 บาท กินประจุเลือดร้ายทั้งปวง แก้ไขสันนิบาตฝีดาษด้วย๚“[7] แต่สำหรับศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้กล่าวถึงโรคฝีดาษที่มีรายละเอียดในบางอาการเพิ่มเติมอีก เช่น อาการฝีดาษขึ้นตา ปรากฏในศิลาจารึกว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวงแผ่นที่ 22 ความว่า “ยาชื่อ สังขรัศมี เอาชะมดสด พิมเสน สิ่งละส่วน ลิ้นทะเลแช่น้ำมะนาวไว้ยังรุ่งแล้วล้างเสีย จึงเอามาแช่น้ำท่าไว้แต่เช้าถึงเที่ยง แล้วเอาตากให้แห้ง 3 ส่วน รากช้าแป้น ดินถนำสุทธิ สังข์สุทธิ สิ่งละ 4 ส่วน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ฝนป้ายจักษุแก้สรรพต้อให้ปวดเคืองต่างๆ แก้ฝีดาษขึ้นจักษุก็ได้หายวิเศษนักฯ”[8] อย่างไรก็ตามการบันทึกในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังให้เบาะแสเกี่ยวกับ “สมุนไพรเดี่ยว” ที่เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีสรรพคุณในการลดฝีดาษได้ ได้แก่ ข่าลิง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ฯลฯ[8] ดังปรากฏตัวอย่างในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศและสมุนไพรแผ่นที่ 7 ที่กล่าวถึง “ต้นข่าลิง”แก้พิษฝีดาษ ความว่า “อันว่าคุณแห่งข่าลิงนั้น ต้นรู้แก้พิษฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดเพื่อโลหิต รู้แก้ฝีกาฬ อันบังเกิดเพื่อฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษไข้เหนือสันนิบาตฯ”[9] นอกจากนั้นยังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 ซึ่งกล่าวถึง “บอระเพ็ด” และ “ชิงช้าชาลี” ความว่า “อันว่าคุณแห่งบอระเพ็ดและชิงช้าชาลีนั้นคุณดุจกัน ต้นรู้แก้ฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดโลหิต รู้แก้ฝีกาฬอันบังเกิดฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและในฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษเพื่อไข้สันนิบาตฯ”[10] นอกจากนั้นสมุนไพรที่มีการวิจัยที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ก็ควรจะนำมาสู่การวิจัยกับฝีดาษลิงต่อไป เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ใบสะเดา กัญชา กัญชง ฝีหมอบ เสลดพังพอนตัวเมีย ฯลฯ ดังนั้นการกลับมาของโรคฝีดาษลิง จึงควรให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาในการรักษาที่มีมาแต่ในอดีตรวมถึงความรู้จากการวิจัยในสมุนไพรต่างๆที่มีมากขึ้น ซึ่งควรจะนำมาวิจัยกับไวรัสฝีดาษลิงเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมประยุกต์ให้เหมาะสมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันและต่อไปในกาลข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 5 กันยายน 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1045825823577784/? อ้างอิง [1] พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์ และ รัชฎาพร พิสัยพันธุ์, การวิเคราะห์องค์ความรู้ไข้ตามคัมภีร์ตักศิลา: คัมภีร์ว่าด้วยโรคระบาด, วารสารหมอยาไทยวิจัย, ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2566), หน้า 131-152 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/258845/180094 [2] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [3] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 694 [4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 37 [5] เว็บไซต์กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค, การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จุดเริ่มงานควบคุมโรคติดต่อในประเทศไทย https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ.pdf [6] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/14798 [7] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/16335 [8] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [9] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [10] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723
    Like
    Love
    23
    0 Comments 0 Shares 849 Views 0 Reviews
  • "เราจะให้คำดูถูก กลบฝังเราจมดิน
    หรือเปลี่ยนคำดูถูกเหล่านั้น ให้เป็นพลัง
    ผลักดันให้เราก้าวไปจุดหมายปลายทางได้“

    ประโยคสร้างกำลังใจจากหนังสือเล่มนี้

    แต่ส่วนตัวแล้ว แอดมินอยากเพิ่มอีกเล็กน้อยว่า
    “หรือเราจะไม่สนใจ ไม่ให้ค่า แล้วใช้ชีวิตของเราต่อไปตามปกติก็ได้“


    โดยส่วนตัวแล้วแอดมินไม่อยากให้คุณผู้อ่าน เอาเวลาอันล้ำค่าของท่าน ไปมอบให้คนพวกนั้นนะคะ


    หากเค้าดูถูกมากๆ จนท่านจำเป็นต้องฮึดสู้
    แอดมินก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านทำสำเร็จราบรื่นดั่งใจหวัง

    หากเค้าเป็นคนที่ชอบดูถูกคนอื่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะเค้าไม่พอใจชีวิตตัวเอง แล้วต้องการให้ท่านรู้สึกแย่ไปด้วย

    ...ท่านก็ช่างเขาไป แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุขนะคะ


    ถอดบทเรียนจากหนังสือ |คิดมากไปหรือเปล่า

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #คิดมาก
    #Thaitimes
    "เราจะให้คำดูถูก กลบฝังเราจมดิน หรือเปลี่ยนคำดูถูกเหล่านั้น ให้เป็นพลัง ผลักดันให้เราก้าวไปจุดหมายปลายทางได้“ ประโยคสร้างกำลังใจจากหนังสือเล่มนี้ แต่ส่วนตัวแล้ว แอดมินอยากเพิ่มอีกเล็กน้อยว่า 📌“หรือเราจะไม่สนใจ ไม่ให้ค่า แล้วใช้ชีวิตของเราต่อไปตามปกติก็ได้“ โดยส่วนตัวแล้วแอดมินไม่อยากให้คุณผู้อ่าน เอาเวลาอันล้ำค่าของท่าน ไปมอบให้คนพวกนั้นนะคะ หากเค้าดูถูกมากๆ จนท่านจำเป็นต้องฮึดสู้ แอดมินก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านทำสำเร็จราบรื่นดั่งใจหวัง หากเค้าเป็นคนที่ชอบดูถูกคนอื่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะเค้าไม่พอใจชีวิตตัวเอง แล้วต้องการให้ท่านรู้สึกแย่ไปด้วย ...ท่านก็ช่างเขาไป แล้วใช้ชีวิตให้มีความสุขนะคะ ถอดบทเรียนจากหนังสือ |คิดมากไปหรือเปล่า #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #คิดมาก #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 695 Views 0 Reviews
  • ลัทธิ...สาวก..องค์กรลับ...เงินหนุน...ไม่ใช่มีแต่ในนิยาย..!!!

    เคยบอกกับท่านผู้ที่สนใจอ่านไว้แล้วว่า จะเล่าเรื่องของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินที่ทรงอิทธิพลของโลก..
    แต่เรื่องของเขานั้น ไม่ใช่แค่บอกว่าเขาเป็นใคร หรือประวัติมาจากไหน..
    หากินอะไร...แล้วท่านๆจะเข้าใจ....
    ไม่ใช่ค่ะ...

    ดิฉันอยากจะเล่าย้อนไปถึงระบบความคิด ความเชื่อ อุดมคติอันเป็นที่มาของการขยายปีกทุนออกไปได้อย่างไม่เสียดมเสียดาย เพื่อที่จะให้อุดมการณ์นั้นประสบความสำเร็จ
    อุดมการณ์...คือ การเข้าครอบงำโลก ทุกประเทศ ทุกรัฐบาล ให้เดินไปตามนโยบายของกลุ่มทุนที่อยู่บนยอดปิรามิด...ที่เขาใช้สโลแกนว่า
    “เพื่อมนุษยชาติ ความเท่าเทียม เสรีทางความคิดเห็นต่อการปกครอง”
    ที่มาในคำจำกัดความสั้นๆคือ... The New World Order หรรือย่อๆว่า...NWO

    แต่ก่อนที่จะพูดถึงโซรอส ดิฉันก็อยากจะเล่าถึงบรรบุรุษทางความคิดของ NWO ก่อนว่าเขามาจากไหน และ เป็นมาอย่างไร...
    โปรดอย่าคิดว่าเยิ่นเย้อ ยืดยาว...เพราะถ้าไม่เข้าใจในส่วนนี้แล้ว
    ก็ไม่มีวันเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

    บรรพบุรุษทางความคิดของ NWO คือ ขบวนการองค์กรลับ ที่มีเรียกว่า
    Bavarian Illuminati (บาวาเรียน อิลลูมินาติ)
    Bavaria คือสถานที่ที่ก่อตั้ง รัฐบาวาเรีย ในเยอรมันนี
    Illuminati มาจากภาษาละติน แปลว่า ผู้ตื่นรู้, ปราชญ์

    ผู้ที่เริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้คนแรก คือ ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมาย Adam Weishaupt (1748-1830) สอนใน University of Ingolstadt

    อดัม ไวซอปท์ เป็นชาวยิวที่เปลี่ยนมาเป็นคริสต์ (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยศตวรรษที่ 18 เพราะกระแสต่อต้านยิวที่กระจายในทั่วยุโรป)
    เขาเป็นลูกกำพร้า ที่อยู่ในการอุปถัมภ์ของปู่ผู้ซึ่งเป็นคนมีความรู้ และได้บ่มเพาะเขาให้เป็นหนอนหนังสือ เคร่งเรียน จนได้มาเป็นศาตราจารย์
    ที่ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า ภายใต้คราบของศาสตราจารย์นั้น เขาคือผู้ที่มีความคิดสวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ที่เต็มไปด้วยเจ้าขุนมูลนาย
    และความไม่เท่าเทียม มีช่องว่าทางสถานะภาพ และอาชีพ
    คนมีความรู้...ถ้าไม่ใช่สมาชิกในสกุลใหญ่โต ก็ไม่มีทางเกิด
    รวมทั้งความคิดที่ ระบบศาสนา พระ และ กิจกรรมของศาสนาที่มามีส่วน”ล้ำเส้น” จนเกินไปในสังคม ที่ทุกคนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติในกฏเกณฑ์

    เขาจึงคิดวางระบบขึ้นมาใหม่ จัดตั้งเป็นองค์กร (ลับ) สำหรับกลุ่มที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน และพยายาม(แอบ) สอน ชี้ทางให้กับพวกนักศึกษาเป็นการชักจูง เพื่อให้เกิดการ “ตื่นรู้” หรือ Illumination

    ซึ่งขบวนการแบบนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่เขาจะคิดแล้ว มีนโยบายคล้ายๆกันในนามว่า
    The Freemasonry หรือองค์กร Freemason ที่กระจายไปทั่วยุโรป ที่รวบรวมแต่พวกที่มีความคิดเหมือนกัน ใครก็ได้ ต่างสาขาอาชีพ
    อดัม ยังคิดว่ามันไม่ใช่เหมือนแนวความคิดของเขาเลยทีเดียว เขาต้องการ”กลุ่มชั้นมันสมองที่คัดกรองแล้ว” ที่มีความสามารถเผยแพร่ ชักจูงปัญญาชนอื่นๆให้คล้อยตามได้ เพื่อที่จะได้เข้าถึงจุดประสงค์คือ
    “เสรีภาพทางด้านความคิดและการแสดงออกที่เท่าเทียม ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าเจ้าหรือเศรษฐี”

    วันที่ 1 เมษายน 1776 คือการชุมนุมพบปะกันในป่า ภายใต้แสงจากคบไฟใกล้เมือง เอิงกอลสตัดท์ ที่มีสมาชิกเข้าร่วมเพียงชายห้าคน...
    ที่เข้ามาร่วมมือกันวางหลักการ และวางแผนเส้นทางปฏิบัติ
    รวมทั้งเผยแพร่นโยบายไปสู่กลุ่มเป้าหมาย...
    ที่ใช้เวลาไม่นานเลย เพราะในปี 1782 องค์กรได้มีสมาชิกถึง 600 คน
    ที่ได้แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ

    Novices คือ กลุ่มน้องใหม่

    Minervals คือ กลุ่มเจ้าปัญญา

    Illuminated minervals คือ กลุ่มปราชญ์ผู้ตื่นรู้

    ในปี 1784 ได้มีสมาชิกเพิ่มถึงสามพันคน และในนั้นรวมไปด้วยกลุ่มสติปัญญาเป็นเลิศ ทั้งนักการเมือง เช่น แพทย์ และนักเขียนดังอย่างเช่น
    เกอเธ่ ( Johann Wolfgang von Goethe) หรือชาวไฮโซ อย่าง
    Baron Adolph von Knigge ที่เป็นหัวหอกในการหาสมาชิกที่จะเข้ามาตามเป้า
    และที่สำคัญ...คือ องค์กรลับนี้ ได้นายทุนใหญ่เข้ามาเป็นสมาชิกและให้ความสนับสนุนทุกด้าน เขาคือ....
    นายธนาคารใหญ่ Mayer Amschel Rothschild

    ตัว Baron von Knigge ได้มีหน้าที่เหมือนกับพ่อหัวเรือใหญ่ในด้านกิจกรรม เขาเคยเป็นสมาชิกขององค์กร ฟรีเมสันมาก่อน ดังนั้นจึงมีการลอกเบียนแบบกันมาบ้าง เช่น มีการตั้งชื่อลับเป็นโค้ดเรียกกันในกลุ่ม อย่าง ศาสตราจารย์ ไวซอปท์ จะมีชื่อว่า “Spartacus”
    และตัวบารอน ฟอน นิกก์ เอง ชื่อว่า “Philo”
    การแบ่งชั้น วรรณะ เริ่มแตกย่อยออกไปหลายอันดับ ราวกับพวกดาว์นไลน์ ขายตรง....

    ต่อมา..เริ่มมีการขัดแย้งระหว่าง ศ. ไวซอปท์ กับ บารอน ฟอน นิกก์
    ทำให้ฝ่ายหลังตบเท้าออกไปจากองค์กร...
    จากนั้น องค์กรอิลลุมินาติ ที่ว่า “ลับ” ก็เริ่มจะไม่ลับแล้วเพราะมีคนได้เขียนจดหมายไปหา Duke of Bavaria พร้อมเล่าพฤติการณ์ขององค์กรให้เป็นที่รับรู้
    ซึ่งได้ผลทันที เพราะท่านดยุคที่ได้ข่าวระแคะระคายอยู่บ้าง จึง
    ออกกฏ ในเดือน มิถุนายน 1784 ที่ห้ามไม่ให้มีการตั้งสมาคม
    หรือองค์กรใดๆที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ ไม่ได้รับอนุญาต
    จากทางการ..

    ซึ่งทาง องค์กร อิลลุมินาติ ไม่ได้ใส่ใจเพราะถือว่า ไม่ได้อยู่ในการเพ่งเล็งเพราะ กลุ่มของเขา คือ องค์กรลับ
    แต่..ที่ไหนได้..ในเดือน มีนาคม 1785 ตำรวจเริ่มทำการเข้าจับกุมสมาชิกและยึดเอกสารขององค์กรไปเป็นจำนวนที่พอเอาผิดได้
    เช่น สนับสนุนให้มีการทำแท้ง, ต่อต้านศาสนา
    ในเดือน สิงหาคม 1787 ดยุค แห่ง บาวาเรีย เริ่มเล่นแรง
    กล่าวคือ ให้ข้อหาว่าเป็นกบฏที่มีโทษถึงประหารชีวิต กับกลุ่มสมาชิกองค์กรลับ

    เป็นอันว่า..องค์กรอิลลุมินาติ ต้องแตกสานซ่านเซ็น ตัว ศ. ไวซอปท์
    ต้องหลุดออกจากเก้าอี้ในมหาวิทยาลัย Ingolstadt
    ต้องย้ายเมือง ไปสอนวิชาปรัชญาที่ University of Göttingen
    ทางการในรัฐบาวาเรีย ก็เข้าใจและสบายใจว่า
    กลุ่มองค์กรลับ อัลลุมินาตินั้นได้ย่อยสลาย กลายสภาพไปเป็นธุบีดินไปแล้ว

    แต่...

    แกนปรัชญาและรากย่อยของอิลลุมินาตินั้น ได้หยั่งลึกและเป็นที่ยอมรับลงไปในกลุ่มคนต่างสาขาอาชีพกันมากมาย และได้เข้าผนวกไปกับกลุ่ม Freemasonry จนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน

    จาก Illuminati ....ในยุคของศตวรรษที่สิบแปด ได้กลายมาเป็น
    New World Order ของกลุ่มทุน Rothschild ซึ่งไม่ต้องมาเป็นองค์กรลับกันอีกต่อไป...ว่ากันเปิดเผยถึงนโยบายในการโอบอุ้มคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในบทบัญญัติของคำว่า Democracy
    ซึ่งกลุ่ม NWO นี้ ทำตัวเป็นรัฐบาลโลก คือ คุมทุกประเทศ..
    เป็น เงาแฝงมาในกลุ่มทุนธนาคาร, พลังงาน, อาหาร, เวชภัณฑ์, เกษตร และ อาวุธ

    และจาก New World Order ก็จะมีสาขาลูกรองรับ..คือ
    The Open Society Foundations ของ George Soros คือ นโยบายเหมือนกัน คือ เทิดทูนประชาธิปไตย, สนับสนุนกลุ่ม NGO, สนับสนุนทุนต่างในมหาวิทยาลัยทั่วโลก, อัดฉีดพรรคการเมือง (เช่น โอบามา และ ฮิลลารี่ คลินตัน), สนับสนุนเกย์ เลสเบี้ยน,และ กว้านซื้อสื่อต่างๆ
    นั่นคือแบบเปิดเผย...
    ส่วนที่แทรกมากับรายการกิจกรรมที่กล่าวมา...ที่ไม่เปิดเผย คือการเข้ามาแทรกแซงในทุกระบบของประเทศที่รับทุน

    มูลนิธิ OSFโดย โซรอสนั้น แตกย่อยกระจายทุนในนามของบริษัท และ มูลนิธิต่างๆอีกร่วมสี่พันประเภท ในชื่อต่างๆกัน แต่สานเป็นรากไม้เหมือนกับตาข่ายใยแก้วที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
    ในปี 2017 โซรอสได้ทำการโอนเงินส่วนตัว เข้าไปใน มูลนิธิ OSF
    เป็นจำนวนเงินถึง พันแปดร้อยล้านยูเอส...สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์

    วันนี้ หอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนค่ะ คราวหน้าเราค่อยมาคุยกันถึงประวัติคุณพี่เขา...!!

    ป.ล. เรื่องน้องน้ำใสที่โดนกระหน่ำจนเธอออกมาร้องไห้ขอโทษนั่น...
    ก็น่าสงสาร เพราะเด็กก็คือเด็ก ส่วนที่ดิฉันแปลกใจอย่างที่สุด ว่า
    เด็กเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะไร้ “เดียงสา” กับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกครั้งสำคัญขนาดนั้นหรือ?
    และคนที่อยู่รายล้อมเธอที่มีจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีการศึกษา
    แต่...ไม่มีใครทักท้วง หรือ ให้คำอธิบายเลยหรือ?
    เราได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นการเดินขบวนพาเหรดใช้ธีมนาซี...สื่อก็ประโคม สถานทูตอิสราเอลก็ส่งจดหมายติงเช่นกัน

    กรุณาอย่าว่า อิสราเอลไม่ใช่พ่อ...!!

    แต่เรากำลังพูดถึงการกดขี่ เหยียดชาติพันธุ์ และ ผู้ที่ต้องถูกทารุณกรรมจนถึงแก่ชีวิตจำนวนหกล้านคน...ครอบครัวพลัดพรากไปอยู่คนละมุมโลก...
    เจ้าชายแฮร์รี่ เคยพลาดอย่างนี้เช่นกัน ใส่เสื้อที่มีปลอกแขนสวัสดิกะไปเที่ยวงานปาร์ตี้...ทั้งที่ในอดีต ลอนดอนแทบจะกลายเป็นหน้ากลองจาก The Battle of Britain ที่ฮิตเล่อร์ส่งเครื่องบินมาถล่มแทบไม่เว้นให้หายใจ
    แม้จะขอโทษแล้ว...แต่อิสราเอลได้ส่งเทียบเชิญให้ไปที่อิสราเอล ไปเยี่ยมชม Holocaust Museum (Yad Vashem) ให้ไปเห็นกับพระเนตรด้วยองค์เอง ว่า มันโหดร้ายแค่ไหน...??
    งานนี้ เจ้าชายแฮร์รี่ปัดไปว่าติดภารกิจฝึกทหาร (คงไม่กล้าสู้หน้า) เจ้าชายวิลเลียมต้องทรงเสด็จเอง เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ
    ที่พระอนุชารู้เท่าไม่ถึงการณ์...

    จากนี้ไป...น้องน้ำใสจะต้องเปิดหู เปิดตา กับเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์โลกให้มากเลยนะลูก...


    Wiwanda W. Vichit









    ลัทธิ...สาวก..องค์กรลับ...เงินหนุน...ไม่ใช่มีแต่ในนิยาย..!!! เคยบอกกับท่านผู้ที่สนใจอ่านไว้แล้วว่า จะเล่าเรื่องของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินที่ทรงอิทธิพลของโลก.. แต่เรื่องของเขานั้น ไม่ใช่แค่บอกว่าเขาเป็นใคร หรือประวัติมาจากไหน.. หากินอะไร...แล้วท่านๆจะเข้าใจ.... ไม่ใช่ค่ะ... ดิฉันอยากจะเล่าย้อนไปถึงระบบความคิด ความเชื่อ อุดมคติอันเป็นที่มาของการขยายปีกทุนออกไปได้อย่างไม่เสียดมเสียดาย เพื่อที่จะให้อุดมการณ์นั้นประสบความสำเร็จ อุดมการณ์...คือ การเข้าครอบงำโลก ทุกประเทศ ทุกรัฐบาล ให้เดินไปตามนโยบายของกลุ่มทุนที่อยู่บนยอดปิรามิด...ที่เขาใช้สโลแกนว่า “เพื่อมนุษยชาติ ความเท่าเทียม เสรีทางความคิดเห็นต่อการปกครอง” ที่มาในคำจำกัดความสั้นๆคือ... The New World Order หรรือย่อๆว่า...NWO แต่ก่อนที่จะพูดถึงโซรอส ดิฉันก็อยากจะเล่าถึงบรรบุรุษทางความคิดของ NWO ก่อนว่าเขามาจากไหน และ เป็นมาอย่างไร... โปรดอย่าคิดว่าเยิ่นเย้อ ยืดยาว...เพราะถ้าไม่เข้าใจในส่วนนี้แล้ว ก็ไม่มีวันเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน บรรพบุรุษทางความคิดของ NWO คือ ขบวนการองค์กรลับ ที่มีเรียกว่า Bavarian Illuminati (บาวาเรียน อิลลูมินาติ) Bavaria คือสถานที่ที่ก่อตั้ง รัฐบาวาเรีย ในเยอรมันนี Illuminati มาจากภาษาละติน แปลว่า ผู้ตื่นรู้, ปราชญ์ ผู้ที่เริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดนี้คนแรก คือ ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมาย Adam Weishaupt (1748-1830) สอนใน University of Ingolstadt อดัม ไวซอปท์ เป็นชาวยิวที่เปลี่ยนมาเป็นคริสต์ (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยศตวรรษที่ 18 เพราะกระแสต่อต้านยิวที่กระจายในทั่วยุโรป) เขาเป็นลูกกำพร้า ที่อยู่ในการอุปถัมภ์ของปู่ผู้ซึ่งเป็นคนมีความรู้ และได้บ่มเพาะเขาให้เป็นหนอนหนังสือ เคร่งเรียน จนได้มาเป็นศาตราจารย์ ที่ไม่มีใครเคยรู้เลยว่า ภายใต้คราบของศาสตราจารย์นั้น เขาคือผู้ที่มีความคิดสวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ที่เต็มไปด้วยเจ้าขุนมูลนาย และความไม่เท่าเทียม มีช่องว่าทางสถานะภาพ และอาชีพ คนมีความรู้...ถ้าไม่ใช่สมาชิกในสกุลใหญ่โต ก็ไม่มีทางเกิด รวมทั้งความคิดที่ ระบบศาสนา พระ และ กิจกรรมของศาสนาที่มามีส่วน”ล้ำเส้น” จนเกินไปในสังคม ที่ทุกคนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติในกฏเกณฑ์ เขาจึงคิดวางระบบขึ้นมาใหม่ จัดตั้งเป็นองค์กร (ลับ) สำหรับกลุ่มที่มีความคิดไปในทางเดียวกัน และพยายาม(แอบ) สอน ชี้ทางให้กับพวกนักศึกษาเป็นการชักจูง เพื่อให้เกิดการ “ตื่นรู้” หรือ Illumination ซึ่งขบวนการแบบนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่เขาจะคิดแล้ว มีนโยบายคล้ายๆกันในนามว่า The Freemasonry หรือองค์กร Freemason ที่กระจายไปทั่วยุโรป ที่รวบรวมแต่พวกที่มีความคิดเหมือนกัน ใครก็ได้ ต่างสาขาอาชีพ อดัม ยังคิดว่ามันไม่ใช่เหมือนแนวความคิดของเขาเลยทีเดียว เขาต้องการ”กลุ่มชั้นมันสมองที่คัดกรองแล้ว” ที่มีความสามารถเผยแพร่ ชักจูงปัญญาชนอื่นๆให้คล้อยตามได้ เพื่อที่จะได้เข้าถึงจุดประสงค์คือ “เสรีภาพทางด้านความคิดและการแสดงออกที่เท่าเทียม ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ว่าเจ้าหรือเศรษฐี” วันที่ 1 เมษายน 1776 คือการชุมนุมพบปะกันในป่า ภายใต้แสงจากคบไฟใกล้เมือง เอิงกอลสตัดท์ ที่มีสมาชิกเข้าร่วมเพียงชายห้าคน... ที่เข้ามาร่วมมือกันวางหลักการ และวางแผนเส้นทางปฏิบัติ รวมทั้งเผยแพร่นโยบายไปสู่กลุ่มเป้าหมาย... ที่ใช้เวลาไม่นานเลย เพราะในปี 1782 องค์กรได้มีสมาชิกถึง 600 คน ที่ได้แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ Novices คือ กลุ่มน้องใหม่ Minervals คือ กลุ่มเจ้าปัญญา Illuminated minervals คือ กลุ่มปราชญ์ผู้ตื่นรู้ ในปี 1784 ได้มีสมาชิกเพิ่มถึงสามพันคน และในนั้นรวมไปด้วยกลุ่มสติปัญญาเป็นเลิศ ทั้งนักการเมือง เช่น แพทย์ และนักเขียนดังอย่างเช่น เกอเธ่ ( Johann Wolfgang von Goethe) หรือชาวไฮโซ อย่าง Baron Adolph von Knigge ที่เป็นหัวหอกในการหาสมาชิกที่จะเข้ามาตามเป้า และที่สำคัญ...คือ องค์กรลับนี้ ได้นายทุนใหญ่เข้ามาเป็นสมาชิกและให้ความสนับสนุนทุกด้าน เขาคือ.... นายธนาคารใหญ่ Mayer Amschel Rothschild ตัว Baron von Knigge ได้มีหน้าที่เหมือนกับพ่อหัวเรือใหญ่ในด้านกิจกรรม เขาเคยเป็นสมาชิกขององค์กร ฟรีเมสันมาก่อน ดังนั้นจึงมีการลอกเบียนแบบกันมาบ้าง เช่น มีการตั้งชื่อลับเป็นโค้ดเรียกกันในกลุ่ม อย่าง ศาสตราจารย์ ไวซอปท์ จะมีชื่อว่า “Spartacus” และตัวบารอน ฟอน นิกก์ เอง ชื่อว่า “Philo” การแบ่งชั้น วรรณะ เริ่มแตกย่อยออกไปหลายอันดับ ราวกับพวกดาว์นไลน์ ขายตรง.... ต่อมา..เริ่มมีการขัดแย้งระหว่าง ศ. ไวซอปท์ กับ บารอน ฟอน นิกก์ ทำให้ฝ่ายหลังตบเท้าออกไปจากองค์กร... จากนั้น องค์กรอิลลุมินาติ ที่ว่า “ลับ” ก็เริ่มจะไม่ลับแล้วเพราะมีคนได้เขียนจดหมายไปหา Duke of Bavaria พร้อมเล่าพฤติการณ์ขององค์กรให้เป็นที่รับรู้ ซึ่งได้ผลทันที เพราะท่านดยุคที่ได้ข่าวระแคะระคายอยู่บ้าง จึง ออกกฏ ในเดือน มิถุนายน 1784 ที่ห้ามไม่ให้มีการตั้งสมาคม หรือองค์กรใดๆที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ ไม่ได้รับอนุญาต จากทางการ.. ซึ่งทาง องค์กร อิลลุมินาติ ไม่ได้ใส่ใจเพราะถือว่า ไม่ได้อยู่ในการเพ่งเล็งเพราะ กลุ่มของเขา คือ องค์กรลับ แต่..ที่ไหนได้..ในเดือน มีนาคม 1785 ตำรวจเริ่มทำการเข้าจับกุมสมาชิกและยึดเอกสารขององค์กรไปเป็นจำนวนที่พอเอาผิดได้ เช่น สนับสนุนให้มีการทำแท้ง, ต่อต้านศาสนา ในเดือน สิงหาคม 1787 ดยุค แห่ง บาวาเรีย เริ่มเล่นแรง กล่าวคือ ให้ข้อหาว่าเป็นกบฏที่มีโทษถึงประหารชีวิต กับกลุ่มสมาชิกองค์กรลับ เป็นอันว่า..องค์กรอิลลุมินาติ ต้องแตกสานซ่านเซ็น ตัว ศ. ไวซอปท์ ต้องหลุดออกจากเก้าอี้ในมหาวิทยาลัย Ingolstadt ต้องย้ายเมือง ไปสอนวิชาปรัชญาที่ University of Göttingen ทางการในรัฐบาวาเรีย ก็เข้าใจและสบายใจว่า กลุ่มองค์กรลับ อัลลุมินาตินั้นได้ย่อยสลาย กลายสภาพไปเป็นธุบีดินไปแล้ว แต่... แกนปรัชญาและรากย่อยของอิลลุมินาตินั้น ได้หยั่งลึกและเป็นที่ยอมรับลงไปในกลุ่มคนต่างสาขาอาชีพกันมากมาย และได้เข้าผนวกไปกับกลุ่ม Freemasonry จนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน จาก Illuminati ....ในยุคของศตวรรษที่สิบแปด ได้กลายมาเป็น New World Order ของกลุ่มทุน Rothschild ซึ่งไม่ต้องมาเป็นองค์กรลับกันอีกต่อไป...ว่ากันเปิดเผยถึงนโยบายในการโอบอุ้มคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในบทบัญญัติของคำว่า Democracy ซึ่งกลุ่ม NWO นี้ ทำตัวเป็นรัฐบาลโลก คือ คุมทุกประเทศ.. เป็น เงาแฝงมาในกลุ่มทุนธนาคาร, พลังงาน, อาหาร, เวชภัณฑ์, เกษตร และ อาวุธ และจาก New World Order ก็จะมีสาขาลูกรองรับ..คือ The Open Society Foundations ของ George Soros คือ นโยบายเหมือนกัน คือ เทิดทูนประชาธิปไตย, สนับสนุนกลุ่ม NGO, สนับสนุนทุนต่างในมหาวิทยาลัยทั่วโลก, อัดฉีดพรรคการเมือง (เช่น โอบามา และ ฮิลลารี่ คลินตัน), สนับสนุนเกย์ เลสเบี้ยน,และ กว้านซื้อสื่อต่างๆ นั่นคือแบบเปิดเผย... ส่วนที่แทรกมากับรายการกิจกรรมที่กล่าวมา...ที่ไม่เปิดเผย คือการเข้ามาแทรกแซงในทุกระบบของประเทศที่รับทุน มูลนิธิ OSFโดย โซรอสนั้น แตกย่อยกระจายทุนในนามของบริษัท และ มูลนิธิต่างๆอีกร่วมสี่พันประเภท ในชื่อต่างๆกัน แต่สานเป็นรากไม้เหมือนกับตาข่ายใยแก้วที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ในปี 2017 โซรอสได้ทำการโอนเงินส่วนตัว เข้าไปใน มูลนิธิ OSF เป็นจำนวนเงินถึง พันแปดร้อยล้านยูเอส...สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ วันนี้ หอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนค่ะ คราวหน้าเราค่อยมาคุยกันถึงประวัติคุณพี่เขา...!! ป.ล. เรื่องน้องน้ำใสที่โดนกระหน่ำจนเธอออกมาร้องไห้ขอโทษนั่น... ก็น่าสงสาร เพราะเด็กก็คือเด็ก ส่วนที่ดิฉันแปลกใจอย่างที่สุด ว่า เด็กเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะไร้ “เดียงสา” กับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกครั้งสำคัญขนาดนั้นหรือ? และคนที่อยู่รายล้อมเธอที่มีจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีการศึกษา แต่...ไม่มีใครทักท้วง หรือ ให้คำอธิบายเลยหรือ? เราได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นการเดินขบวนพาเหรดใช้ธีมนาซี...สื่อก็ประโคม สถานทูตอิสราเอลก็ส่งจดหมายติงเช่นกัน กรุณาอย่าว่า อิสราเอลไม่ใช่พ่อ...!! แต่เรากำลังพูดถึงการกดขี่ เหยียดชาติพันธุ์ และ ผู้ที่ต้องถูกทารุณกรรมจนถึงแก่ชีวิตจำนวนหกล้านคน...ครอบครัวพลัดพรากไปอยู่คนละมุมโลก... เจ้าชายแฮร์รี่ เคยพลาดอย่างนี้เช่นกัน ใส่เสื้อที่มีปลอกแขนสวัสดิกะไปเที่ยวงานปาร์ตี้...ทั้งที่ในอดีต ลอนดอนแทบจะกลายเป็นหน้ากลองจาก The Battle of Britain ที่ฮิตเล่อร์ส่งเครื่องบินมาถล่มแทบไม่เว้นให้หายใจ แม้จะขอโทษแล้ว...แต่อิสราเอลได้ส่งเทียบเชิญให้ไปที่อิสราเอล ไปเยี่ยมชม Holocaust Museum (Yad Vashem) ให้ไปเห็นกับพระเนตรด้วยองค์เอง ว่า มันโหดร้ายแค่ไหน...?? งานนี้ เจ้าชายแฮร์รี่ปัดไปว่าติดภารกิจฝึกทหาร (คงไม่กล้าสู้หน้า) เจ้าชายวิลเลียมต้องทรงเสด็จเอง เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจ ที่พระอนุชารู้เท่าไม่ถึงการณ์... จากนี้ไป...น้องน้ำใสจะต้องเปิดหู เปิดตา กับเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์โลกให้มากเลยนะลูก... Wiwanda W. Vichit         
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 339 Views 0 Reviews
  • 'ความมั่นใจ' คือสิ่งล้ำค่า
    ที่หลายๆคนพยายามทุ่มเทหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มา

    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อซื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยเพื่อให้รู้สึกมั่นใจ
    การซื้อรถหรูเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน
    หรือแม้กระทั่งการอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้ เพื่อประดับสมอง

    อย่างที่แอดมินได้เคยบอกไว้ในหลายๆครั้งว่า *ทุกๆอย่างต้องมีความสมดุล*

    เพราะหากว่าความมั่นใจ มีมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่
    จะส่งผลเสียในหลายๆอย่าง

    หากเรามีความมั่นใจน้อยกว่าที่ควร <
    เราจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก
    ไม่กล้าแม้กระทั่งออกความคิดเห็นของตัวเอง
    ไม่มีโอกาสได้รักษาในหลายๆสิทธิ์ของตัวเอง

    หากเรามีความมั่นใจมากกว่าที่ควร >
    ในหลายๆครั้งอาจทำให้เราสูญเสียมากกว่าได้รับ
    อย่างเช่นการวางแผนในการทำธุรกิจ โดยที่ความรู้ยังไม่เพียงพอ

    หรือการอ่านหนังสือไม่พอก่อนเข้าสอบ แต่พกความมั่นใจไปเต็มร้อย

    ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ การจำลองการลงมือทำจริงๆขึ้นมา
    -สำหรับการทำธุรกิจ ก็เขียนแผนธุรกิจ กำไร-ขาดทุน ให้เจ๊งแค่ในกระดาษ
    -สำหรับการอ่านหนังสือ ก็ทำแบบทดสอบเยอะๆ หรือตั้งโจทย์ขึ้นมาแล้วทำให้มากๆ

    แล้วสำหรับคุณผู้อ่าน มีวิธีควบคุมความมั่นใจ ให้ไม่มากเกินไป-น้อยเกินไปอย่างไรบ้าง มาแชร์ในคอมเม้นกันได้นะคะ ^^

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือคิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง
    #หนังสือน่าอ่าน #Thaitimes
    'ความมั่นใจ' คือสิ่งล้ำค่า ที่หลายๆคนพยายามทุ่มเทหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อซื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยเพื่อให้รู้สึกมั่นใจ การซื้อรถหรูเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งการอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้ เพื่อประดับสมอง อย่างที่แอดมินได้เคยบอกไว้ในหลายๆครั้งว่า *ทุกๆอย่างต้องมีความสมดุล* เพราะหากว่าความมั่นใจ มีมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ จะส่งผลเสียในหลายๆอย่าง หากเรามีความมั่นใจน้อยกว่าที่ควร < เราจะเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าแม้กระทั่งออกความคิดเห็นของตัวเอง ไม่มีโอกาสได้รักษาในหลายๆสิทธิ์ของตัวเอง หากเรามีความมั่นใจมากกว่าที่ควร > ในหลายๆครั้งอาจทำให้เราสูญเสียมากกว่าได้รับ อย่างเช่นการวางแผนในการทำธุรกิจ โดยที่ความรู้ยังไม่เพียงพอ หรือการอ่านหนังสือไม่พอก่อนเข้าสอบ แต่พกความมั่นใจไปเต็มร้อย ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ การจำลองการลงมือทำจริงๆขึ้นมา -สำหรับการทำธุรกิจ ก็เขียนแผนธุรกิจ กำไร-ขาดทุน ให้เจ๊งแค่ในกระดาษ -สำหรับการอ่านหนังสือ ก็ทำแบบทดสอบเยอะๆ หรือตั้งโจทย์ขึ้นมาแล้วทำให้มากๆ แล้วสำหรับคุณผู้อ่าน มีวิธีควบคุมความมั่นใจ ให้ไม่มากเกินไป-น้อยเกินไปอย่างไรบ้าง มาแชร์ในคอมเม้นกันได้นะคะ ^^ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือคิดอย่างไรไม่ให้คิดไปเอง #หนังสือน่าอ่าน #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 529 Views 0 Reviews
  • #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล
    ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ
    1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้
    2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน
    3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น
    4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง
    5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568
    6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท
    7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง
    ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน
    ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน
    นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง
    เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา
    คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่
    แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
    ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เรื่องนี้ขอคุยกันด้วยเหตุและผล ตอนนี้ สิ่งที่ประชาชนต้องรู้คือ 1. ดิจิตอลวอลเลท ติดขัดทางด้านเทคนิคของระบบเองที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่วางแผนไว้ 2. วอลเลทจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดผ่านบัตรคนจน 3. ต้องแจกให้ทัน 30 กันยายนนี้เท่านั้น 4. ถ้าไม่ทัน ต้องคืนเงินเข้าคลัง 5. เงินที่ได้มาก้อนนี้ยังไม่จบ ต้องผูกพันงบปี 2568 6. ปี 2568 ดูตัวเลข ณ ปัจจุบัน เฉพาะโครงการวอลเลทนี้ ยังขาดอีก 1.1 แสนล้านบาท 7. ทางออก คือ กู้สถาบันการเงิน หรือ กู้ประชาชนผ่านพันธบัตรหรือสิ่งใกล้เคียง ในขณะที่วันนี้ สำหรับปี 67 งบก้อนที่มาจ่ายวอลเลทกับกลุ่มแรก ก็ผลัดผ่อนหนี้ที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานภาครัฐหลายก้อน ซึ่งปี 68 ไม่รวมยอดที่ต้องจ่ายคืนให้หน่วยงานของรัฐเอง บวกลบอย่างไรก็ขาดอีกเป็นแสนล้าน นอกจากนั้น โทนี่ยังมีโปรเจคใหม่ๆ ที่ต้องกู้ เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม อีกมากกว่า 9 ล้าน ล้าน การต้องการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านหนักหน่วง เรียนแฟนเพจแบบตรงไปตรงมา คนไทยต้องรับผิดชอบหนี้ที่จะเกิด และที่เกิดแล้ว เหมือนกู้โดยโทนี่ แต่คนไทยคือคนค้ำประกัน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ถ้าวอลเลท เบรคได้ เบรคก่อน ในเมื่อจ่ายเงินสดเงินมันไม่หมุนวนแบบพายุและผิดมาตรา9 เรื่องวินัยการคลัง แล้วเอางบนี้ซัพพอต สปสช. บัตรทองที่กำลังจะล่มสลาย รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆที่กล้ำกลืน บริหารงานแบบขาดงบประมาณ ให้ทุกอย่างรันได้ตามที่ควรจะเป็น #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews
  • คูณเลขทศนิยม ได้คำตอบเป็นเศษส่วน จะล้ำเกินไป
    คูณเลขทศนิยม ได้คำตอบเป็นเศษส่วน จะล้ำเกินไป
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • #ดวงรายวัน 31 สิงหาคม 67

    #คนเกิดวันจันทร์...การงาน:ควรจะต้องมีความใจเย็นและรอบคอบ ให้ระวังเรื่องการติดต่อเจรจากับลูกค้า ให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาเพราะอาจจะพลาดโอกาสที่ดี ใครมีแผนอยากเปลี่ยนงานอยากออกงานก็มีโอกาสด้วย การเงิน: ระวังจะเสียเงินโดยเสน่หา เช่นช่วยเหลือคนอื่นเพราะความรักหรือสงสาร มีดวงที่จะถูกหลอก ความรัก: หากทะเลาะกันมีโอกาสได้คืนดีกันหรือปรับความเข้าใจ ระวังคนรักจะไม่สบายในช่วงนี้ หรือจะทะเลาะกันเพราะเขาไม่ช่วยทำงาน ขี้เกียจ คนโสด: จะมีคนเข้ามาแล้วก็ออกไป เปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ถ้ามีคนเข้ามาพูดคุยเขาก็จะมามาหายๆ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระเพาะ ลำไส้ กรดไหลย้อน การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันอังคาร...การงาน:ให้ระวังจะมีเรื่องขัดแย้งทะเลาะกับผู้ร่วมงาน ใครที่ทำงานชิวเกินไป ไม่มีความกระตือรือร้น เฉื่อยชา ระวังจะมีคนเพ่งเล็ง การเงิน:จะมีรายจ่ายกับของฟุ่มเฟือย ของที่เกิดจากกิเลส เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด หรืออาจได้นำเงินไปลงทุน ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง คนโสด: จะมีคนที่อายุแก่กว่าฐานะค่อนข้างดีเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย ให้หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน และให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันพุธ...การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ งานค่อนข้างหนัก อาจทำงานหนักจนเสียสุขภาพ การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถการเดินทาง การท่องเที่ยว ใครมีแผนเดินทางไกล หรือเดินทางต่างประเทศ ต้องเตรียมเรื่องเงินไปให้พร้อม เพราะอาจใช้เงินเกินงบ ความรัก: ยังรักกันดี แต่จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน ควรหาเวลาไปเที่ยวด้วยกันบ้าง คนโสด:จะมีความสุขกับการทำงาน ยังไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ท้องเสียท้องร่วง โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่จะรู้สึกเหนื่อยๆ

    #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน: จะมีความอึดอัดใจกับผู้ร่วมงาน ให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาเพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาทะเลาะกันได้ การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ ใครผ่อนรถ หรือมีโครงการที่จะซื้อรถ ก็จะต้องบริหารจัดการให้ดี ความรัก:ระวังจะมีปัญหาเรื่องมือที่ 3 รักซ้อน ใครมีแอบคบคุยกับคนอื่นจะถูกจับได้ คนโสด: จะมีคนอายุน้อยกว่าเข้ามาชอบเข้ามาจีบ แต่เขาจะไม่ได้จริงใจ จะเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ สุขภาพ:ให้ระวังอันตรายจากของมีคม ปวดตา สายตาไม่ดี การเดินทาง:ปลอดภัยดี

    #คนเกิดวันศุกร์...การงาน:ให้ระวังเรื่องเวลา มาสาย ขาดงาน หรือทำผิดกฎระเบียบ จะทำให้มีศัตรูคอยจ้องจับผิด การเงิน:จะพอมีพอกิน ได้เงินมาแล้วก็จ่ายไปแต่อาจจะยังไม่มีเก็บ มีโอกาสที่จะได้โชคลาภจากผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้อุปถัมภ์ ความรัก: มีโอกาสที่จะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วอาจทำให้ทะเลาะกันรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา หรือถ้าใครมีปัญหาเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ก็อาจจะมีดวงเลิกหรือแยกกันอยู่ คนโสด: จะมีคนลักษณะสูงขาวเข้ามาชอบเข้ามาจีบ อาจเป็นคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือคนจากที่ทำงาน สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ปวดเมื่อยข้อมือเส้นเอ็น ให้ระวังอุบัติเหตุที่มือ การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากการขับขี่รถเร็ว ค่าปรับค่าซ่อม

    #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: คนว่างงานมีโอกาสที่จะได้งานแต่อาจจะยังไม่ได้งานที่ถูกใจ คนที่มีงานทำอยู่แล้ว งานก็ราบเรียบไปเรื่อยๆ จะรู้สึกเบื่อๆ การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับลูกหรือเด็ก หรืออาจจะถูกหลอกลวงทางการเงิน ความรัก:ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องปัญหาหึงหวงคิดมาก ใครทำตัวให้ไม่น่าไว้วางใจก็อาจจะมีปากเสียงทะเลาะกัน คนโสด: จะมีพ่อหม้ายแม่หม้ายเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจต้องเข้าไปพัวพันกับคนที่มีเจ้าของแล้ว สุขภาพ: ปวดเมื่อยข้อมือเส้นเอ็น ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย ให้ระวังอันตรายจากน้ำ

    #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: จะอยู่แบบอึดอัดใจ เพราะจะมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงาน หรือเจอกับผู้ร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ การเงิน:จะมีรายจ่ายจุกจิกจ่ายไม่รู้จักจบ จะหมดเงินกับลูก หรือลูกจะนำปัญหานำเรื่องเดือดร้อนมาให้ ความรัก: จะมีคนรูปร่างกำยำผิวสองสี หรือผิวคล้ำเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ซึ่งอาจจะเป็นคนเก่าๆ ใครที่คบคุยกับคนเก่าๆอยู่ต้องระวัง คนโสด:จะมีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจได้ สุขภาพ: หากเจ็บป่วยอยู่อาการจะดีขึ้น การเดินทาง:ปลอดภัยดีแต่จะรู้สึกเหนื่อยๆ
    -----------
    #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    #ดวงรายวัน 31 สิงหาคม 67 #คนเกิดวันจันทร์...การงาน:ควรจะต้องมีความใจเย็นและรอบคอบ ให้ระวังเรื่องการติดต่อเจรจากับลูกค้า ให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาเพราะอาจจะพลาดโอกาสที่ดี ใครมีแผนอยากเปลี่ยนงานอยากออกงานก็มีโอกาสด้วย การเงิน: ระวังจะเสียเงินโดยเสน่หา เช่นช่วยเหลือคนอื่นเพราะความรักหรือสงสาร มีดวงที่จะถูกหลอก ความรัก: หากทะเลาะกันมีโอกาสได้คืนดีกันหรือปรับความเข้าใจ ระวังคนรักจะไม่สบายในช่วงนี้ หรือจะทะเลาะกันเพราะเขาไม่ช่วยทำงาน ขี้เกียจ คนโสด: จะมีคนเข้ามาแล้วก็ออกไป เปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ถ้ามีคนเข้ามาพูดคุยเขาก็จะมามาหายๆ สุขภาพ: โรคในช่องท้อง โรคกระเพาะ ลำไส้ กรดไหลย้อน การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันอังคาร...การงาน:ให้ระวังจะมีเรื่องขัดแย้งทะเลาะกับผู้ร่วมงาน ใครที่ทำงานชิวเกินไป ไม่มีความกระตือรือร้น เฉื่อยชา ระวังจะมีคนเพ่งเล็ง การเงิน:จะมีรายจ่ายกับของฟุ่มเฟือย ของที่เกิดจากกิเลส เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด หรืออาจได้นำเงินไปลงทุน ความรัก: ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องเล็กๆน้อยๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง คนโสด: จะมีคนที่อายุแก่กว่าฐานะค่อนข้างดีเข้ามาชอบเข้ามาจีบ สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย ให้หลีกเลี่ยงเดินทางกลางคืน และให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันพุธ...การงาน: จะได้สะสางงานเก่าๆ งานค่อนข้างหนัก อาจทำงานหนักจนเสียสุขภาพ การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถการเดินทาง การท่องเที่ยว ใครมีแผนเดินทางไกล หรือเดินทางต่างประเทศ ต้องเตรียมเรื่องเงินไปให้พร้อม เพราะอาจใช้เงินเกินงบ ความรัก: ยังรักกันดี แต่จะไม่ค่อยมีเวลาให้กัน ควรหาเวลาไปเที่ยวด้วยกันบ้าง คนโสด:จะมีความสุขกับการทำงาน ยังไม่มีเวลาออกไปเจอใคร สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ท้องเสียท้องร่วง โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน การเดินทาง:ปลอดภัยดี แต่จะรู้สึกเหนื่อยๆ #คนเกิดวันพฤหัสบดี...การงาน: จะมีความอึดอัดใจกับผู้ร่วมงาน ให้ระวังเรื่องคำพูดคำจาเพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาทะเลาะกันได้ การเงิน: จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับรถ ใครผ่อนรถ หรือมีโครงการที่จะซื้อรถ ก็จะต้องบริหารจัดการให้ดี ความรัก:ระวังจะมีปัญหาเรื่องมือที่ 3 รักซ้อน ใครมีแอบคบคุยกับคนอื่นจะถูกจับได้ คนโสด: จะมีคนอายุน้อยกว่าเข้ามาชอบเข้ามาจีบ แต่เขาจะไม่ได้จริงใจ จะเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ สุขภาพ:ให้ระวังอันตรายจากของมีคม ปวดตา สายตาไม่ดี การเดินทาง:ปลอดภัยดี #คนเกิดวันศุกร์...การงาน:ให้ระวังเรื่องเวลา มาสาย ขาดงาน หรือทำผิดกฎระเบียบ จะทำให้มีศัตรูคอยจ้องจับผิด การเงิน:จะพอมีพอกิน ได้เงินมาแล้วก็จ่ายไปแต่อาจจะยังไม่มีเก็บ มีโอกาสที่จะได้โชคลาภจากผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้อุปถัมภ์ ความรัก: มีโอกาสที่จะมีเรื่องมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วอาจทำให้ทะเลาะกันรุนแรงอาจถึงขั้นเลิกรา หรือถ้าใครมีปัญหาเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ก็อาจจะมีดวงเลิกหรือแยกกันอยู่ คนโสด: จะมีคนลักษณะสูงขาวเข้ามาชอบเข้ามาจีบ อาจเป็นคนใกล้ตัวใกล้ชิด หรือคนจากที่ทำงาน สุขภาพ:โรคในช่องท้อง ปวดเมื่อยข้อมือเส้นเอ็น ให้ระวังอุบัติเหตุที่มือ การเดินทาง:ให้ระวังอันตรายจากการขับขี่รถเร็ว ค่าปรับค่าซ่อม #คนเกิดวันเสาร์...การงาน: คนว่างงานมีโอกาสที่จะได้งานแต่อาจจะยังไม่ได้งานที่ถูกใจ คนที่มีงานทำอยู่แล้ว งานก็ราบเรียบไปเรื่อยๆ จะรู้สึกเบื่อๆ การเงิน:จะมีรายจ่ายเกี่ยวกับลูกหรือเด็ก หรืออาจจะถูกหลอกลวงทางการเงิน ความรัก:ระวังจะมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่องปัญหาหึงหวงคิดมาก ใครทำตัวให้ไม่น่าไว้วางใจก็อาจจะมีปากเสียงทะเลาะกัน คนโสด: จะมีพ่อหม้ายแม่หม้ายเข้ามาชอบเข้ามาจีบ หรืออาจต้องเข้าไปพัวพันกับคนที่มีเจ้าของแล้ว สุขภาพ: ปวดเมื่อยข้อมือเส้นเอ็น ให้ระวังอันตรายจากสัตว์ การเดินทาง:ไม่ค่อยปลอดภัย ให้ระวังอันตรายจากน้ำ #คนเกิดวันอาทิตย์...การงาน: จะอยู่แบบอึดอัดใจ เพราะจะมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ร่วมงาน หรือเจอกับผู้ร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ การเงิน:จะมีรายจ่ายจุกจิกจ่ายไม่รู้จักจบ จะหมดเงินกับลูก หรือลูกจะนำปัญหานำเรื่องเดือดร้อนมาให้ ความรัก: จะมีคนรูปร่างกำยำผิวสองสี หรือผิวคล้ำเข้ามาทำให้เกิดปัญหา ซึ่งอาจจะเป็นคนเก่าๆ ใครที่คบคุยกับคนเก่าๆอยู่ต้องระวัง คนโสด:จะมีคนใกล้ตัวใกล้ชิดเข้ามาชอบเข้ามาจีบ และอาจได้ สุขภาพ: หากเจ็บป่วยอยู่อาการจะดีขึ้น การเดินทาง:ปลอดภัยดีแต่จะรู้สึกเหนื่อยๆ ----------- #หมอฝนยิปซี #อาจารย์เจdomino #ดูดวงทางแชท #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงความรัก #ดูดวงเนื้อคู่
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 363 Views 0 Reviews
  • คนๆหนึ่งจะมีข้อดีสักกี่อย่าง และ ข้อเสียสักกี่อย่าง
    อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้คือเราทุกคนล้วนเป็น "มนุษย์ธรรมดา"
    ไม่มีใครได้ 100 คะแนนเต็มแน่นอน เต็มที่ก็ 90%

    แล้วหากเราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เราไม่ค่อยชอบใจในข้อเสียของเขาล่ะ?

    เจอหน้ากันทุกวันก็ทุกข์มาก...แค่ได้ยินเสียงก็หงุดหงิด

    บางทีอาจเป็นเพราะเราไปโฟกัสตรงข้อที่เรารู้สึกว่าเป็นข้อเสีย
    จนอาจหลงลืมข้อดีอีกหลายสิบข้อ ที่เค้ามี

    คงจะดีหากมนุษย์เรามีฟังก์ชั่นอันล้ำสมัย ในการเก็บสะสมคะแนนตอนเราสุขใจจากสิ่งดีๆที่คนอื่นทำให้
    แล้วเอามาหักลบคะแนนในตอนที่เรารู้สึกไม่สุขใจจากการกระทำของคนคนนั้น

    บางครั้งบางทีมันอาจง่ายมากขึ้น แค่เราใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "ความรัก ความเมตตา" ในการใช้ชีวิต

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #ฮีลใจ #มุมมอง #ความสุข
    คนๆหนึ่งจะมีข้อดีสักกี่อย่าง และ ข้อเสียสักกี่อย่าง อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้คือเราทุกคนล้วนเป็น "มนุษย์ธรรมดา" ไม่มีใครได้ 100 คะแนนเต็มแน่นอน เต็มที่ก็ 90% แล้วหากเราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เราไม่ค่อยชอบใจในข้อเสียของเขาล่ะ? เจอหน้ากันทุกวันก็ทุกข์มาก...แค่ได้ยินเสียงก็หงุดหงิด บางทีอาจเป็นเพราะเราไปโฟกัสตรงข้อที่เรารู้สึกว่าเป็นข้อเสีย จนอาจหลงลืมข้อดีอีกหลายสิบข้อ ที่เค้ามี คงจะดีหากมนุษย์เรามีฟังก์ชั่นอันล้ำสมัย ในการเก็บสะสมคะแนนตอนเราสุขใจจากสิ่งดีๆที่คนอื่นทำให้ แล้วเอามาหักลบคะแนนในตอนที่เรารู้สึกไม่สุขใจจากการกระทำของคนคนนั้น บางครั้งบางทีมันอาจง่ายมากขึ้น แค่เราใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "ความรัก ความเมตตา" ในการใช้ชีวิต #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #ฮีลใจ #มุมมอง #ความสุข
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • …ความทรงจำ.. สิ่งล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต

    เหตุการณ์ต่างๆที่เราต้องพบเจอในแต่ละวัน
    ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

    หลายเหตุการณ์ที่เราได้รับความรู้สึกดีๆจนต้องแอบอมยิ้มออกมาในทุกครั้งที่นึกถึง
    แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เมื่อเรานึกขึ้นมาได้ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็คือชีวิต วันนี้ก็คือวันนี้
    แอดมินอยากให้คุณผู้อ่านได้ใช้เวลา ณ ชั่วขณะปัจจุบันอย่างมีความหมาย

    เราไม่อาจย้อนวันวานกลับมาได้ และเราไม่อาจเร่งเวลาให้ไวขึ้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง

    ดังนั้น “สิ่งที่เราควรโฟกัสที่สุดก็คือวันนี้”

    แล้วหากเราหันกลับไปมองอดีตบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
    ท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
    ความทรงจำต่างๆได้หล่อหลอมรวมให้กลายมาเป็นตัวเราในวันนี้

    และท่านจะได้รับบทเรียนอันล้ำค่ามากมาย หากนั่งพิจารณาถึงเหตุการณ์นั้นๆ
    ด้วยความใจเย็น มีสติ และเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในตัวของท่านเอง

    ถอดบทเรียนจากหนังสือที่มีชื่อว่า : ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว
    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #เยียวยาความเศร้า #ความทรงจำในอดีต #บทความ
    …ความทรงจำ.. สิ่งล้ำค่าจากประสบการณ์ชีวิต เหตุการณ์ต่างๆที่เราต้องพบเจอในแต่ละวัน ทั้งสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ หลายเหตุการณ์ที่เราได้รับความรู้สึกดีๆจนต้องแอบอมยิ้มออกมาในทุกครั้งที่นึกถึง แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์ที่เมื่อเรานึกขึ้นมาได้ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็คือชีวิต วันนี้ก็คือวันนี้ แอดมินอยากให้คุณผู้อ่านได้ใช้เวลา ณ ชั่วขณะปัจจุบันอย่างมีความหมาย เราไม่อาจย้อนวันวานกลับมาได้ และเราไม่อาจเร่งเวลาให้ไวขึ้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ดังนั้น “สิ่งที่เราควรโฟกัสที่สุดก็คือวันนี้” แล้วหากเราหันกลับไปมองอดีตบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ท่านก็เป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ความทรงจำต่างๆได้หล่อหลอมรวมให้กลายมาเป็นตัวเราในวันนี้ และท่านจะได้รับบทเรียนอันล้ำค่ามากมาย หากนั่งพิจารณาถึงเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยความใจเย็น มีสติ และเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในตัวของท่านเอง ถอดบทเรียนจากหนังสือที่มีชื่อว่า : ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดาว #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #เยียวยาความเศร้า #ความทรงจำในอดีต #บทความ
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • สามกีบ ด้อมส้ม ไม่ต้องแค้น เดี๋ยวรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ ไอ้กันก็จะกลับมาใช้งานใหม่ ตอนนี้ไอ้กันขอวิ่งหาผลประโยชน์ก่อน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สามกีบ ด้อมส้ม ไม่ต้องแค้น เดี๋ยวรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ ไอ้กันก็จะกลับมาใช้งานใหม่ ตอนนี้ไอ้กันขอวิ่งหาผลประโยชน์ก่อน #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Wow
    2
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • ชามตราไก่ไม่ใช่มรดกของไทย!
    .
    ชามตราไก่ หรือ จีกงหว่าน (鸡公碗)ปรากฏครั้งแรกในสมัยเฉิงฮวาของราชวงศ์หมิง ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ บรรดาเจ้าชายและขุนนางในสมัยนั้นนิยมใช้
    .
    ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงและช่วงเริ่มต้นของสาธารณรัฐจีนตราชามไก่ส่วนใหญ่ถูกผลิตขึ้นในมณฑลเจียงซี อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ต้นทุนการผลิตสูงและไม่สามารถแข่งขันกับเครื่องลายครามจากต่างประเทศที่ราคาถูกกว่าได้ ทำให้การผลิตก็หยุดไประยะหนึ่ง ต่อมาคนในแถบภูมิภาคแต้จิ๋ว-ซัวเถา ได้นำชามชนิดนี้มาผลิตต่อ ทำให้ชามตราไก่ก็ได้รับความนิยมอีกครั้ง ทั้งยังมีการส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฮ่องกง
    .
    ภาพประกอบ >> ชามไก่ยุคราชวงศ์หมิง กลายเป็นประหนึ่งชามศักดิ์สิทธิ์หลังประมูลราคาได้สูงถึง 281.24 ล้านเหรียญฮ่องกง (ราว 1,181 ล้านบาท) ในปี 2557
    ชามตราไก่ไม่ใช่มรดกของไทย! . ชามตราไก่ หรือ จีกงหว่าน (鸡公碗)ปรากฏครั้งแรกในสมัยเฉิงฮวาของราชวงศ์หมิง ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ บรรดาเจ้าชายและขุนนางในสมัยนั้นนิยมใช้ . ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงและช่วงเริ่มต้นของสาธารณรัฐจีนตราชามไก่ส่วนใหญ่ถูกผลิตขึ้นในมณฑลเจียงซี อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ต้นทุนการผลิตสูงและไม่สามารถแข่งขันกับเครื่องลายครามจากต่างประเทศที่ราคาถูกกว่าได้ ทำให้การผลิตก็หยุดไประยะหนึ่ง ต่อมาคนในแถบภูมิภาคแต้จิ๋ว-ซัวเถา ได้นำชามชนิดนี้มาผลิตต่อ ทำให้ชามตราไก่ก็ได้รับความนิยมอีกครั้ง ทั้งยังมีการส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฮ่องกง . ภาพประกอบ >> ชามไก่ยุคราชวงศ์หมิง กลายเป็นประหนึ่งชามศักดิ์สิทธิ์หลังประมูลราคาได้สูงถึง 281.24 ล้านเหรียญฮ่องกง (ราว 1,181 ล้านบาท) ในปี 2557
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 347 Views 0 Reviews
  • Friendly Design – Sustainable Furniture

    เก้าอี้สุดล้ำ
    ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ !

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้

    การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ !

    ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก
    Klao Vee
    Brand : Vadim Kibardin
    Source: https://www.kibardinart.com/en/
    Friendly Design – Sustainable Furniture เก้าอี้สุดล้ำ ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ ! ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้ การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ ! ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก Klao Vee Brand : Vadim Kibardin Source: https://www.kibardinart.com/en/
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • Friendly Design – Sustainable Furniture

    เก้าอี้สุดล้ำ
    ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ !

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้

    การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ !

    ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก
    Klao Vee
    Brand : Vadim Kibardin
    Source: https://www.kibardinart.com/en/
    Friendly Design – Sustainable Furniture เก้าอี้สุดล้ำ ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ ! ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้ การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ ! ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก Klao Vee Brand : Vadim Kibardin Source: https://www.kibardinart.com/en/
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • ตัวประหลาด (Creep) แบบฉบับ ‘แกสตัน พง’

    ซิงเกิลใหม่ที่ชื่อว่า Creep ของศิลปินเพลงป๊อบชาวมาเลเซียที่ชื่อว่า แกสตัน พง (Gaston Pong) เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 กำลังได้รับความนิยมในคลื่นวิทยุของมาเลเซีย ด้วยแนวเพลงผสมผสานระหว่างเกาหลีและลาติน กับอารมณ์แนวเพลงอาร์แอนด์บียุค 2000 เนื้อเพลงพูดถึงด้านมืดของความรัก เรียกตัวเองว่าเป็น "ตัวประหลาด" สำหรับคนรักตามชื่อเพลง

    "Got a premonition I’d be locked up in jail, if obsession is a crime" (มีลางสังหรณ์ ฉันคงถูกขังอยู่ในคุก ถ้าความหลงใหลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย) ท่อนหนึ่งในเพลง Creep ที่แกสตันแต่งเอง ร้องเอง และโปรดิวซ์ด้วยตัวเอง

    ก่อนหน้านี้ได้ออกซิงเกิลที่ชื่อว่า i luv you, just kidding ที่เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2566 ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนคลับว่ามีพัฒนาการทางดนตรีที่ดีขึ้น แต่ชีวิตของแกสตันที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดในวัย 27 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา (เกิด 1 สิงหาคม 2540) ที่ผ่านมามีทั้งขึ้นและลง ตามที่ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไลฟ์สไตล์ BURO เมื่อเดือนมิถุนายน 2567

    แกสตัน พง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองยะโฮร์บาห์รู (Johor Bahru) ทางตอนใต้ของมาเลเซีย แกสตันเปิดเผยว่าได้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ด้วยการเป็นดาราเด็ก แต่ก็ได้พรากชีวิตในวัยเรียน ที่ต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อโตขึ้น ดนตรีกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเคยช่วยชีวิตในภาวะซึมเศร้า สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 19 ปีมาแล้ว

    ปี 2562 แกสตันและพี่สาวของเขาอย่าง เจ พง (Je Pong) รวมตัวกันเป็นศิลปินดูโอที่ชื่อว่า พง พง (Pong Pong) เปิดตัวเพลงจีนที่ชื่อว่า Strong Heart ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการค้นหาไอดอลในจีน แต่โชคไม่ดีที่สถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นว่าพี่สาวต้องออกอัลบั้มเดี่ยวแทน

    หลังแยกทางจากพี่สาว แกสตันเริ่มทดลองค้นหาสไตล์และแนวเพลงของตัวเอง เมื่อเขาเติบโตจากการฟังเพลงป๊อบแบบจีน (C-POP) แบบเกาหลี (K-POP) และเพลงป๊อบแบบอเมริกัน ด้วยความที่ในหัวมีไอเดียตลอดเวลา ทำให้เขามีผลงานแต่งเพลงมากมายถึง 80 เพลง ได้รับเชิญจากโปรดิวเซอร์ทั่วโลกให้ไปร่วมงานกับค่ายเพลงต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ JYP Entertainment

    แม้ว่าแกสตันจะเติบโตในระดับนานาชาติ แต่เขามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเพลงในมาเลเซีย ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับค่ายเพลงในท้องถิ่น 6 แห่ง แต่พบว่าสัญญาไม่มีข้อกำหนดเพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิของศิลปิน จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Pong Entertainment ในปี 2562 โดยมุ่งหวังที่จะเป็นบริษัทสำหรับศิลปิน Gen Z แบบไม่เหมือนใครในมาเลเซีย

    แกสตันพยายามแสดงให้เห็นว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีภูมิหลังทางดนตรีและภาษาที่หลากหลาย จากหลากหลายเชื้อชาติ จึงสามารถเป็นประเทศที่ก้าวล้ำนำสมัยในการผลิตดนตรีที่ดีได้ และเมื่อโพสต์คลิปเพลงคัฟเวอร์ลง TikTok และมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน ตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ด้วยโซเชียลมีเดีย โดยไม่จำเป็นต้องมองภายในขอบเขตของตน แต่ให้มองไปไกลกว่านั้น

    แกสตันเปิดเผยกับ BURO ว่า เตรียมที่จะออกอัลบั้มเปิดตัวของตนเองเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้ แถมยังตั้งเป้าที่จะจัดคอนเสิร์ตเพิ่มเติม และออกทัวร์คอนเสิร์ตอีกด้วย

    #Newskit #GastonPong #Creep
    ตัวประหลาด (Creep) แบบฉบับ ‘แกสตัน พง’ ซิงเกิลใหม่ที่ชื่อว่า Creep ของศิลปินเพลงป๊อบชาวมาเลเซียที่ชื่อว่า แกสตัน พง (Gaston Pong) เปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 กำลังได้รับความนิยมในคลื่นวิทยุของมาเลเซีย ด้วยแนวเพลงผสมผสานระหว่างเกาหลีและลาติน กับอารมณ์แนวเพลงอาร์แอนด์บียุค 2000 เนื้อเพลงพูดถึงด้านมืดของความรัก เรียกตัวเองว่าเป็น "ตัวประหลาด" สำหรับคนรักตามชื่อเพลง "Got a premonition I’d be locked up in jail, if obsession is a crime" (มีลางสังหรณ์ ฉันคงถูกขังอยู่ในคุก ถ้าความหลงใหลเป็นสิ่งผิดกฎหมาย) ท่อนหนึ่งในเพลง Creep ที่แกสตันแต่งเอง ร้องเอง และโปรดิวซ์ด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ได้ออกซิงเกิลที่ชื่อว่า i luv you, just kidding ที่เปิดตัวเมื่อเดือนเมษายน 2566 ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนคลับว่ามีพัฒนาการทางดนตรีที่ดีขึ้น แต่ชีวิตของแกสตันที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดในวัย 27 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา (เกิด 1 สิงหาคม 2540) ที่ผ่านมามีทั้งขึ้นและลง ตามที่ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไลฟ์สไตล์ BURO เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 แกสตัน พง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองยะโฮร์บาห์รู (Johor Bahru) ทางตอนใต้ของมาเลเซีย แกสตันเปิดเผยว่าได้เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ด้วยการเป็นดาราเด็ก แต่ก็ได้พรากชีวิตในวัยเรียน ที่ต้องทำงานตลอดเวลา เมื่อโตขึ้น ดนตรีกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเคยช่วยชีวิตในภาวะซึมเศร้า สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 19 ปีมาแล้ว ปี 2562 แกสตันและพี่สาวของเขาอย่าง เจ พง (Je Pong) รวมตัวกันเป็นศิลปินดูโอที่ชื่อว่า พง พง (Pong Pong) เปิดตัวเพลงจีนที่ชื่อว่า Strong Heart ซึ่งประสบความสำเร็จ ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการค้นหาไอดอลในจีน แต่โชคไม่ดีที่สถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นว่าพี่สาวต้องออกอัลบั้มเดี่ยวแทน หลังแยกทางจากพี่สาว แกสตันเริ่มทดลองค้นหาสไตล์และแนวเพลงของตัวเอง เมื่อเขาเติบโตจากการฟังเพลงป๊อบแบบจีน (C-POP) แบบเกาหลี (K-POP) และเพลงป๊อบแบบอเมริกัน ด้วยความที่ในหัวมีไอเดียตลอดเวลา ทำให้เขามีผลงานแต่งเพลงมากมายถึง 80 เพลง ได้รับเชิญจากโปรดิวเซอร์ทั่วโลกให้ไปร่วมงานกับค่ายเพลงต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ JYP Entertainment แม้ว่าแกสตันจะเติบโตในระดับนานาชาติ แต่เขามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเพลงในมาเลเซีย ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับค่ายเพลงในท้องถิ่น 6 แห่ง แต่พบว่าสัญญาไม่มีข้อกำหนดเพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิของศิลปิน จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Pong Entertainment ในปี 2562 โดยมุ่งหวังที่จะเป็นบริษัทสำหรับศิลปิน Gen Z แบบไม่เหมือนใครในมาเลเซีย แกสตันพยายามแสดงให้เห็นว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีภูมิหลังทางดนตรีและภาษาที่หลากหลาย จากหลากหลายเชื้อชาติ จึงสามารถเป็นประเทศที่ก้าวล้ำนำสมัยในการผลิตดนตรีที่ดีได้ และเมื่อโพสต์คลิปเพลงคัฟเวอร์ลง TikTok และมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน ตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ด้วยโซเชียลมีเดีย โดยไม่จำเป็นต้องมองภายในขอบเขตของตน แต่ให้มองไปไกลกว่านั้น แกสตันเปิดเผยกับ BURO ว่า เตรียมที่จะออกอัลบั้มเปิดตัวของตนเองเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2567 ที่จะถึงนี้ แถมยังตั้งเป้าที่จะจัดคอนเสิร์ตเพิ่มเติม และออกทัวร์คอนเสิร์ตอีกด้วย #Newskit #GastonPong #Creep
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 640 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/Tq78msEiWj4?si=vrFYXZhURGxEpjKd

    Leonardo.Ai is at the forefront of AI-driven artistic expression, offering tools and features that push the boundaries of digital art. Our platform is built for those who dream of bringing their imaginative visions to life with the help of cutting-edge AI technology. Join us on this journey of artistic exploration and be part of a community that's reshaping the world of digital art.

    Leonardo.Ai อยู่แนวหน้าของการแสดงออกทางศิลปะด้วยพลังของ AI มอบเครื่องมือและคุณสมบัติที่ผลักดันขอบเขตของศิลปะดิจิทัล แพลตฟอร์มของเราสร้างขึ้นสำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันจะทำให้ภาพฝันของตนมีชีวิตด้วยเทคโนโลยี AI ล้ำสมัย ร่วมเดินทางไปกับเราในการสำรวจศิลปะและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกของศิลปะดิจิทัล
    https://youtu.be/Tq78msEiWj4?si=vrFYXZhURGxEpjKd Leonardo.Ai is at the forefront of AI-driven artistic expression, offering tools and features that push the boundaries of digital art. Our platform is built for those who dream of bringing their imaginative visions to life with the help of cutting-edge AI technology. Join us on this journey of artistic exploration and be part of a community that's reshaping the world of digital art. Leonardo.Ai อยู่แนวหน้าของการแสดงออกทางศิลปะด้วยพลังของ AI มอบเครื่องมือและคุณสมบัติที่ผลักดันขอบเขตของศิลปะดิจิทัล แพลตฟอร์มของเราสร้างขึ้นสำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันจะทำให้ภาพฝันของตนมีชีวิตด้วยเทคโนโลยี AI ล้ำสมัย ร่วมเดินทางไปกับเราในการสำรวจศิลปะและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกของศิลปะดิจิทัล
    0 Comments 1 Shares 406 Views 0 Reviews
  • เรียบร้อยโรงเรียนจีน !
    นวัตกรรมเทคโนโลยี MADE IN CHINAในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ยกระดับล้ำสมัยประสบการณ์โอลิมปิกไปอีกขั้น

    นอกจากนี้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิกก็“ผลิตในจีน”นับล้านชิ้น เช่น ธง สายรัดข้อมือ และถ้วยรางวัล ที่ผลิตจากโรงงานหัตถกรรมของหลินในเมืองอี้อู "Yiwu-made" มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน

    #thaitimes

    เรียบร้อยโรงเรียนจีน ! นวัตกรรมเทคโนโลยี MADE IN CHINAในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ยกระดับล้ำสมัยประสบการณ์โอลิมปิกไปอีกขั้น นอกจากนี้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิกก็“ผลิตในจีน”นับล้านชิ้น เช่น ธง สายรัดข้อมือ และถ้วยรางวัล ที่ผลิตจากโรงงานหัตถกรรมของหลินในเมืองอี้อู "Yiwu-made" มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • เพื่อน LGBTQ ของคิงส์ไม่เป็นแบบมึง เกินลิมิต ล้ำเส้น แต่เรียกร้องความเท่าเทียม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เพื่อน LGBTQ ของคิงส์ไม่เป็นแบบมึง เกินลิมิต ล้ำเส้น แต่เรียกร้องความเท่าเทียม #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 90 Views 0 Reviews
  • ฝักไฝ่ วาดภาพจินตนาการให้ด้อมหลงไหล
    เพราะได้รับค่าจ้างจากเมกา เส้นโยงการเงินชัด
    ก้าวไกลจึงอวยเมกาไส้ปลิ้น ว่านี่แหละโลกศิวิลัย
    อยากให้เปิดตาดูบ้าง ประเทศที่เหลื่อมล้ำมากที่สุด
    ชาวเอเชีย โดนจู่โจมมากที่สุด
    คนไร้บ้านหลายล้าน
    ฆตก มากสุดๆ มิจเยอะสุดๆ
    หยุดดูแต่หนังฮอลลีวูดบ้างก็ได้
    เดี๋ยวจะแยกไม่ออก อันไหนหนัง อันไหนจริง
    อันไหนเชี่ย อันไหนคน
    คนทั่วโลก อยากมีบ้าน และใช้ชีวิตที่ประเทศไทย
    ผลโหวตอันดับหนึ่งของโลก
    แต่ก็มีไอ่พวกไม่เห็นคุณค่า ชื่นชมยินดีเหลือเกิน
    กับประเทศอันโสมม กีดกันการค้าไทยมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง
    ก้าวไกลจะอวย ก็อวยไป
    ทำให้คุ้มกับค่าจ้างที่เค้าให้มาทำร้าย สถาบัน เพื่อครอบงำประเทศไทย ไว้เป็นกันชนกับจีน ไม่เชื่อ ไปดูสถานฑูตเมกาที่เชียงใหม่
    แล้วจะรู้ว่ามันเตรียมการไว้อย่างไร ไอ่กวิ้น ไอ่ธร ไปบ่อย
    ลองไปถามคนแถวนั้นดู
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ฝักไฝ่ วาดภาพจินตนาการให้ด้อมหลงไหล เพราะได้รับค่าจ้างจากเมกา เส้นโยงการเงินชัด ก้าวไกลจึงอวยเมกาไส้ปลิ้น ว่านี่แหละโลกศิวิลัย อยากให้เปิดตาดูบ้าง ประเทศที่เหลื่อมล้ำมากที่สุด ชาวเอเชีย โดนจู่โจมมากที่สุด คนไร้บ้านหลายล้าน ฆตก มากสุดๆ มิจเยอะสุดๆ หยุดดูแต่หนังฮอลลีวูดบ้างก็ได้ เดี๋ยวจะแยกไม่ออก อันไหนหนัง อันไหนจริง อันไหนเชี่ย อันไหนคน คนทั่วโลก อยากมีบ้าน และใช้ชีวิตที่ประเทศไทย ผลโหวตอันดับหนึ่งของโลก แต่ก็มีไอ่พวกไม่เห็นคุณค่า ชื่นชมยินดีเหลือเกิน กับประเทศอันโสมม กีดกันการค้าไทยมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก้าวไกลจะอวย ก็อวยไป ทำให้คุ้มกับค่าจ้างที่เค้าให้มาทำร้าย สถาบัน เพื่อครอบงำประเทศไทย ไว้เป็นกันชนกับจีน ไม่เชื่อ ไปดูสถานฑูตเมกาที่เชียงใหม่ แล้วจะรู้ว่ามันเตรียมการไว้อย่างไร ไอ่กวิ้น ไอ่ธร ไปบ่อย ลองไปถามคนแถวนั้นดู #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • ภาพมุมสูงทับลาน
    ชาวบ้านดั้งเดิม 5 หมื่นไร่
    ชาวบ้านรุกล้ำใหม่ 4 หมื่นไร่
    กรมอุทยานและสปก.ดำเนินการแก้ปัญหาให้
    แต่รีสอร์ท นายทุนรุกล้ำ แสนหกหมื่นไร่ สอดไส้ในกฎหมายที่กำลังจะถอนทับลานอย่างหน้าด้ า นๆ
    ถ้ามติครมผ่าน ออกกฏหมายถอนทับลานสำเร็จ
    แสนหกหมื่นไร่ผืนป่า จะเป็นของนายทุนอย่างถูกต้องตามกฏหมายทันที
    ภาพชัดพอมั๊ย อย่าเจาะภาพหมู่บ้านชาวบ้าน
    กล้าๆเอาภาพแสนหกหมื่นไร่ที่นายทุนบุกรุกมาออกบ้าง
    อายเค้า
    หาว่าคนนอกพื้นที่ไม่รู้จริงบ้างแหละ
    แหม่ ด้อมก็เชียร์อวยไส้ปลิ้นไม่ลืมหูลืมตา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #saveทับลาน
    ภาพมุมสูงทับลาน ชาวบ้านดั้งเดิม 5 หมื่นไร่ ชาวบ้านรุกล้ำใหม่ 4 หมื่นไร่ กรมอุทยานและสปก.ดำเนินการแก้ปัญหาให้ แต่รีสอร์ท นายทุนรุกล้ำ แสนหกหมื่นไร่ สอดไส้ในกฎหมายที่กำลังจะถอนทับลานอย่างหน้าด้ า นๆ ถ้ามติครมผ่าน ออกกฏหมายถอนทับลานสำเร็จ แสนหกหมื่นไร่ผืนป่า จะเป็นของนายทุนอย่างถูกต้องตามกฏหมายทันที ภาพชัดพอมั๊ย อย่าเจาะภาพหมู่บ้านชาวบ้าน กล้าๆเอาภาพแสนหกหมื่นไร่ที่นายทุนบุกรุกมาออกบ้าง อายเค้า หาว่าคนนอกพื้นที่ไม่รู้จริงบ้างแหละ แหม่ ด้อมก็เชียร์อวยไส้ปลิ้นไม่ลืมหูลืมตา #คิงส์โพธิ์แดง #saveทับลาน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • ทนวยอานนท์ นำพา ทนวยแห่งความเหลื่อมล้ำ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ทนวย
    #ทนวยอานนท์
    ทนวยอานนท์ นำพา ทนวยแห่งความเหลื่อมล้ำ #คิงส์โพธิ์แดง #ทนวย #ทนวยอานนท์
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 304 Views 112 0 Reviews
  • แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
    มันแสนสุดลึกล้ำ เหลือกำหนด
    นี่ไง ลึกหลายเมตรเลย
    โรม ชาวภูเก็ตเชื่อเมิงนะ
    แล้วสส.เมิงหายไปไหนกันหมด
    ถามนี่ มีทาหารไว้ทำไม
    ก็ไว้เวลา สส.แบบพวกเมิงทิ้งปชช นี่แหละ
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
    แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำ เหลือกำหนด นี่ไง ลึกหลายเมตรเลย โรม ชาวภูเก็ตเชื่อเมิงนะ แล้วสส.เมิงหายไปไหนกันหมด ถามนี่ มีทาหารไว้ทำไม ก็ไว้เวลา สส.แบบพวกเมิงทิ้งปชช นี่แหละ ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • กว่าเจี๊ยบ จะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบอุจาดอย่างเดียว
    เทคนิคความ แหล แถ ต้องฝึกฝนกันบ่อยๆ
    จะก้าวมาเป็น ป้าแก่ แห่งก้าวไกล ไม่ง่ายเลย
    จนวันนี้ก็มาถึง
    ทักษะการกระจายคนน้อย ให้ทั่วๆ เบี่ยงตัวเองบังตรงจุดที่ไม่มีคน
    ทักษะ การถ่ายคลิปตอนคนไม่กี่สิบ เบียดตรงทางออกของโรงหนัง
    แล้วบอกว่า คนเต็มโรง คนเต็มโรงพ่องเจี๊ยบสิ มาถ่ายตอนคนออก
    ไอ่ที่คนรีบออก เหมือนหนีอะไรซักอย่าง ไม่สงสัยเหรอ
    นั่นเพราะเค้าทั้งทน ทั้งอดกลั้น เพื่อแลกกับป๊อปคอนที่เจี๊ยบแจกไง
    ดูจบ ก็รีบออกสิ รออะไร นะเจี๊ยบ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เจี๊บบอมรัตน์
    #กว่าจะมาถึงวันนี้
    #ล้ำไปอีกขั้น
    กว่าเจี๊ยบ จะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบอุจาดอย่างเดียว เทคนิคความ แหล แถ ต้องฝึกฝนกันบ่อยๆ จะก้าวมาเป็น ป้าแก่ แห่งก้าวไกล ไม่ง่ายเลย จนวันนี้ก็มาถึง ทักษะการกระจายคนน้อย ให้ทั่วๆ เบี่ยงตัวเองบังตรงจุดที่ไม่มีคน ทักษะ การถ่ายคลิปตอนคนไม่กี่สิบ เบียดตรงทางออกของโรงหนัง แล้วบอกว่า คนเต็มโรง คนเต็มโรงพ่องเจี๊ยบสิ มาถ่ายตอนคนออก ไอ่ที่คนรีบออก เหมือนหนีอะไรซักอย่าง ไม่สงสัยเหรอ นั่นเพราะเค้าทั้งทน ทั้งอดกลั้น เพื่อแลกกับป๊อปคอนที่เจี๊ยบแจกไง ดูจบ ก็รีบออกสิ รออะไร นะเจี๊ยบ #คิงส์โพธิ์แดง #เจี๊บบอมรัตน์ #กว่าจะมาถึงวันนี้ #ล้ำไปอีกขั้น
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • สน.สุราษฏร์ ล้ำกว่าใคร
    ตื่นรู้ บรรลุธรรม ศิษย์รุ่นแรกๆ
    เชื่อมจิต ทั้งสน. ก่อนลามไป สน.ทองหล่อ
    คิงส์โพธิ์แดง รายงาน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ล้ำ
    #เชื่อมจิต
    สน.สุราษฏร์ ล้ำกว่าใคร ตื่นรู้ บรรลุธรรม ศิษย์รุ่นแรกๆ เชื่อมจิต ทั้งสน. ก่อนลามไป สน.ทองหล่อ คิงส์โพธิ์แดง รายงาน #คิงส์โพธิ์แดง #ล้ำ #เชื่อมจิต
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews