• "สุชาติ" ชูโมเดล "ธงเขียว" ลดภาระเกษตรกรแก้ปัญหาราคาเกษตรตกต่ำ เน้นลดต้นทุน-หาตลาด สร้างกลยุทธ์ครบวงจร
    https://www.thai-tai.tv/news/20251/
    .
    #รัฐบาลช่วยเกษตรกร #โครงการธงเขียว #ลดต้นทุนการผลิต #ควบคุมราคาอาหาร #กระทรวงพาณิชย์ #เกษตรไทย #เศรษฐกิจไทย #ค่าครองชีพ #ข่าวเกษตร
    "สุชาติ" ชูโมเดล "ธงเขียว" ลดภาระเกษตรกรแก้ปัญหาราคาเกษตรตกต่ำ เน้นลดต้นทุน-หาตลาด สร้างกลยุทธ์ครบวงจร https://www.thai-tai.tv/news/20251/ . #รัฐบาลช่วยเกษตรกร #โครงการธงเขียว #ลดต้นทุนการผลิต #ควบคุมราคาอาหาร #กระทรวงพาณิชย์ #เกษตรไทย #เศรษฐกิจไทย #ค่าครองชีพ #ข่าวเกษตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป

    ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน

    1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้

    ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

    2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น

    ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว

    3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้

    การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น

    4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว

    ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

    5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น

    เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก

    อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล

    ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card

    สรุป

    การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    ทำไม Android Tablet รุ่นใหม่ถึงไม่นิยมใส่ SIM Card อีกต่อไป 🗒️ ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ต (Tablet) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน ความบันเทิง และการเรียนรู้ โดยเฉพาะ Android Tablet ที่ได้รับความนิยมจากความหลากหลายและราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันมักไม่ค่อยมีช่องใส่ SIM Card เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือเหมือนในอดีต ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพึ่ง Wi-Fi แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออก? บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเหตุผลหลัก ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของเทรนด์และพฤติกรรมการใช้งานในยุคปัจจุบัน 1️⃣. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ใช้ ในอดีต แท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่มี Wi-Fi อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนได้พัฒนาไปไกลจนสามารถทดแทนการใช้งานของแท็บเล็ตได้ในหลายด้าน ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้จำนวนมากจึงมองว่าสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อสมาร์ทโฟนสามารถแชร์อินเทอร์เน็ตผ่านฟีเจอร์ Hotspot ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การมี SIM Card บนแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ 2️⃣. การเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลายมากขึ้น ในยุคที่ Wi-Fi มีอยู่เกือบทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สถานที่ทำงาน ร้านกาแฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในที่สาธารณะอย่างรถไฟฟ้าและสนามบิน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi กลายเป็นเรื่องสะดวกและประหยัดกว่าการใช้เครือข่ายมือถือ ผู้ใช้แท็บเล็ตส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แทนการสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมสำหรับแท็บเล็ต ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานที่มักอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้ว 3️⃣. การลดต้นทุนการผลิตเพื่อราคาที่เข้าถึงได้ การผลิตแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card ต้องใช้ชิ้นส่วนเพิ่มเติม เช่น ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ LTE หรือ 5G และช่องใส่ SIM Card ซึ่งทั้งหมดนี้เพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น ในเมื่อความต้องการฟีเจอร์นี้ในตลาดลดลง ผู้ผลิตจึงเลือกตัดส่วนนี้ออกเพื่อลดต้นทุนและสามารถวางจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาที่แข่งขันได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่มองหาแท็บเล็ตเพื่อการใช้งานทั่วไป เช่น ดูวิดีโอ อ่านหนังสือ หรือทำงานเบื้องต้น 4️⃣. การออกแบบที่บางและเบาเพื่อความคล่องตัว ดีไซน์ของแท็บเล็ตในปัจจุบันเน้นความบางและเบาเพื่อให้พกพาสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความคล่องตัว การเพิ่มช่องใส่ SIM Card และชิปโมเด็มอาจทำให้ต้องเสียพื้นที่ภายในตัวเครื่อง ซึ่งส่งผลต่อความบางและน้ำหนักของอุปกรณ์ ผู้ผลิตจึงเลือกตัดฟีเจอร์นี้ออกเพื่อให้แท็บเล็ตมีดีไซน์ที่สวยงามและพกพาง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียนที่ต้องการอุปกรณ์ที่ทั้งทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน 5️⃣. บริการอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ตอบโจทย์มากขึ้น เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในยุคนี้มีความเร็วสูงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ eSIM, เครือข่าย 5G หรือแพ็กเกจแบบ Unlimited Data Plan ที่อนุญาตให้แชร์ข้อมูลไปยังอุปกรณ์อื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนไปยังแท็บเล็ตจึงเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดกว่าการใช้ SIM Card แยกสำหรับแท็บเล็ต ทำให้ความจำเป็นในการมีช่องใส่ SIM Card บนแท็บเล็ตลดลงอย่างมาก 🔮 อนาคตของแท็บเล็ตในยุคดิจิทัล ถึงแม้ว่าแท็บเล็ตที่รองรับ SIM Card จะยังคงมีอยู่ในตลาด แต่จำนวนรุ่นที่ออกใหม่นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ผู้ผลิตมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย เช่น การเรียนออนไลน์ การทำงานจากระยะไกล หรือความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ที่อาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ การเลือกซื้อแท็บเล็ตในปัจจุบันจึงควรพิจารณาจากความต้องการใช้งานเป็นหลัก เช่น ขนาดหน้าจอ ความจุแบตเตอรี่ หรือซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม มากกว่าการมองหาฟีเจอร์อย่างการรองรับ SIM Card ℹ️ℹ️ สรุป ℹ️ℹ️ การที่ Android Tablet รุ่นใหม่ ๆ ไม่นิยมใส่ช่อง SIM Card อีกต่อไปเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านพฤติกรรมผู้ใช้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ การแชร์อินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่ง่ายและสะดวก รวมถึงการเข้าถึง Wi-Fi ที่แพร่หลาย ทำให้แท็บเล็ตที่เน้นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับนักเรียนและผู้ที่สนใจเลือกซื้อแท็บเล็ต การทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 337 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC เปิดตัว CoPoS: เทคโนโลยีแพ็กเกจชิปขนาดใหญ่ 310 × 310 มม.
    TSMC ได้เปิดตัว CoPoS (Chips on Panel on Substrate) ซึ่งเป็น เทคโนโลยีแพ็กเกจชิปที่ขยายขนาดได้ถึง 310 × 310 มม. โดยใช้ แผงสี่เหลี่ยมแทนเวเฟอร์กลม เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้งานและลดต้นทุนการผลิต

    CoPoS ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวและหน่วยความจำ HBM4 ได้มากขึ้น ซึ่งเป็น ก้าวสำคัญสำหรับการพัฒนา AI accelerators และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    ข้อมูลจากข่าว
    - CoPoS ใช้แผงสี่เหลี่ยมแทนเวเฟอร์กลม ทำให้มีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นถึง 5 เท่า
    - สามารถรวมหน่วยความจำ HBM4 ได้สูงสุด 12 ชิป พร้อม GPU chiplets หลายตัว
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
    - TSMC จะเริ่มทดสอบ CoPoS ในปี 2026 และผลิตจำนวนมากในปี 2028-2029
    - Nvidia เป็นพันธมิตรรายแรกที่ใช้ CoPoS สำหรับ AI accelerators รุ่นใหม่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    CoPoS อาจช่วยให้การพัฒนา AI accelerators มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดข้อจำกัดด้านพื้นที่ของแพ็กเกจชิปแบบเดิม

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การเปลี่ยนจากเวเฟอร์กลมเป็นแผงสี่เหลี่ยมอาจต้องใช้กระบวนการผลิตใหม่
    - ต้องติดตามว่า CoPoS จะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ตามแผนในปี 2028-2029 หรือไม่
    - AMD และ Broadcom ยังคงใช้ CoWoS-L และ CoWoS-R ซึ่งอาจแข่งขันกับ CoPoS
    - เทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้วัสดุใหม่ เช่น glass substrates และ silicon photonics

    อนาคตของ CoPoS และการพัฒนาแพ็กเกจชิป
    TSMC กำลังผลักดันให้ CoPoS กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ AI accelerators โดย อาจช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techpowerup.com/337960/tsmc-prepares-copos-next-gen-310-x-310-mm-packages
    🏭 TSMC เปิดตัว CoPoS: เทคโนโลยีแพ็กเกจชิปขนาดใหญ่ 310 × 310 มม. TSMC ได้เปิดตัว CoPoS (Chips on Panel on Substrate) ซึ่งเป็น เทคโนโลยีแพ็กเกจชิปที่ขยายขนาดได้ถึง 310 × 310 มม. โดยใช้ แผงสี่เหลี่ยมแทนเวเฟอร์กลม เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้งานและลดต้นทุนการผลิต CoPoS ช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวและหน่วยความจำ HBM4 ได้มากขึ้น ซึ่งเป็น ก้าวสำคัญสำหรับการพัฒนา AI accelerators และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง ✅ ข้อมูลจากข่าว - CoPoS ใช้แผงสี่เหลี่ยมแทนเวเฟอร์กลม ทำให้มีพื้นที่ใช้งานมากขึ้นถึง 5 เท่า - สามารถรวมหน่วยความจำ HBM4 ได้สูงสุด 12 ชิป พร้อม GPU chiplets หลายตัว - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต - TSMC จะเริ่มทดสอบ CoPoS ในปี 2026 และผลิตจำนวนมากในปี 2028-2029 - Nvidia เป็นพันธมิตรรายแรกที่ใช้ CoPoS สำหรับ AI accelerators รุ่นใหม่ 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ CoPoS อาจช่วยให้การพัฒนา AI accelerators มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดข้อจำกัดด้านพื้นที่ของแพ็กเกจชิปแบบเดิม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การเปลี่ยนจากเวเฟอร์กลมเป็นแผงสี่เหลี่ยมอาจต้องใช้กระบวนการผลิตใหม่ - ต้องติดตามว่า CoPoS จะสามารถเข้าสู่ตลาดได้ตามแผนในปี 2028-2029 หรือไม่ - AMD และ Broadcom ยังคงใช้ CoWoS-L และ CoWoS-R ซึ่งอาจแข่งขันกับ CoPoS - เทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้วัสดุใหม่ เช่น glass substrates และ silicon photonics 🚀 อนาคตของ CoPoS และการพัฒนาแพ็กเกจชิป TSMC กำลังผลักดันให้ CoPoS กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ AI accelerators โดย อาจช่วยให้สามารถรวมชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techpowerup.com/337960/tsmc-prepares-copos-next-gen-310-x-310-mm-packages
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Prepares "CoPoS": Next-Gen 310 × 310 mm Packages
    As demand for ever-growing AI compute power continues to rise and manufacturing advanced nodes becomes more difficult, packaging is undergoing its golden era of development. Today's advanced accelerators often rely on TSMC's CoWoS modules, which are built on wafer cuts measuring no more than 120 × 1...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • Qualcomm อาจเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 3 สองเวอร์ชัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต
    Qualcomm กำลังพิจารณา เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 3 สองเวอร์ชัน เนื่องจาก ต้นทุนการผลิตเวเฟอร์ 2nm สูงถึง $30,000 ต่อหน่วย ทำให้ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนบางรายไม่สามารถใช้ชิปตัวท็อปได้

    Qualcomm อาจใช้ กลยุทธ์เดียวกับ Apple ที่เปิดตัว A18 และ A18 Pro โดยแบ่งชิปเป็น รุ่น SM8950 สำหรับเรือธง และรุ่น SM8945 ที่มีสเปกลดลง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Qualcomm อาจเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 3 สองเวอร์ชัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต
    - TSMC เริ่มรับคำสั่งซื้อเวเฟอร์ 2nm ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2025 โดยมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อหน่วย
    - SM8950 จะเป็นรุ่นเรือธงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
    - SM8945 อาจมีสเปกลดลง เช่น ลดขนาดแคชและลดความเร็วของ CPU/GPU
    - Qualcomm อาจใช้กลยุทธ์ dual-sourcing โดยร่วมมือกับ Samsung เพื่อผลิตบางส่วนของ Snapdragon 8 Elite Gen 3

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิปเซ็ต
    Samsung กำลังพยายามเพิ่มอัตราผลิตของกระบวนการ 2nm GAA เป็น 50% เพื่อให้สามารถ แข่งขันกับ TSMC และดึงดูดลูกค้าอย่าง Qualcomm

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ต้นทุนการผลิตเวเฟอร์ 2nm สูงมาก อาจทำให้ราคาสมาร์ทโฟนระดับเรือธงเพิ่มขึ้น
    - Samsung ยังมีปัญหาเรื่องอัตราผลิตต่ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิต Snapdragon 8 Elite Gen 3
    - ต้องติดตามว่า Qualcomm จะเลือกใช้ Samsung เป็นผู้ผลิตชิปบางส่วนหรือไม่
    - ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องเลือกใช้รุ่น SM8945 ที่มีสเปกลดลงเพื่อลดต้นทุน

    อนาคตของ Snapdragon 8 Elite Gen 3
    Qualcomm ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ TSMC หรือ Samsung เป็นผู้ผลิตหลัก และ ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะเลือกใช้รุ่นเรือธงหรือรุ่นที่มีสเปกลดลง

    https://wccftech.com/snapdragon-8-elite-gen-3-coming-in-two-version-to-give-qualcomm-partners-choices/
    ⚡ Qualcomm อาจเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 3 สองเวอร์ชัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต Qualcomm กำลังพิจารณา เปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 3 สองเวอร์ชัน เนื่องจาก ต้นทุนการผลิตเวเฟอร์ 2nm สูงถึง $30,000 ต่อหน่วย ทำให้ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนบางรายไม่สามารถใช้ชิปตัวท็อปได้ Qualcomm อาจใช้ กลยุทธ์เดียวกับ Apple ที่เปิดตัว A18 และ A18 Pro โดยแบ่งชิปเป็น รุ่น SM8950 สำหรับเรือธง และรุ่น SM8945 ที่มีสเปกลดลง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Qualcomm อาจเปิดตัว Snapdragon 8 Elite Gen 3 สองเวอร์ชัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต - TSMC เริ่มรับคำสั่งซื้อเวเฟอร์ 2nm ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2025 โดยมีราคาสูงถึง $30,000 ต่อหน่วย - SM8950 จะเป็นรุ่นเรือธงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด - SM8945 อาจมีสเปกลดลง เช่น ลดขนาดแคชและลดความเร็วของ CPU/GPU - Qualcomm อาจใช้กลยุทธ์ dual-sourcing โดยร่วมมือกับ Samsung เพื่อผลิตบางส่วนของ Snapdragon 8 Elite Gen 3 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิปเซ็ต Samsung กำลังพยายามเพิ่มอัตราผลิตของกระบวนการ 2nm GAA เป็น 50% เพื่อให้สามารถ แข่งขันกับ TSMC และดึงดูดลูกค้าอย่าง Qualcomm ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ต้นทุนการผลิตเวเฟอร์ 2nm สูงมาก อาจทำให้ราคาสมาร์ทโฟนระดับเรือธงเพิ่มขึ้น - Samsung ยังมีปัญหาเรื่องอัตราผลิตต่ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิต Snapdragon 8 Elite Gen 3 - ต้องติดตามว่า Qualcomm จะเลือกใช้ Samsung เป็นผู้ผลิตชิปบางส่วนหรือไม่ - ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องเลือกใช้รุ่น SM8945 ที่มีสเปกลดลงเพื่อลดต้นทุน 🚀 อนาคตของ Snapdragon 8 Elite Gen 3 Qualcomm ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ TSMC หรือ Samsung เป็นผู้ผลิตหลัก และ ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะเลือกใช้รุ่นเรือธงหรือรุ่นที่มีสเปกลดลง https://wccftech.com/snapdragon-8-elite-gen-3-coming-in-two-version-to-give-qualcomm-partners-choices/
    WCCFTECH.COM
    Qualcomm’s Snapdragon 8 Elite Gen 3 Could Arrive In Two Versions, Similar To Apple’s A18 & A18 Pro Releases, As Exorbitant 2nm Wafer Costs Will Force The Company To Offer A Less Expensive Variant
    A rumor claims that the Snapdragon 8 Elite Gen 3 will launch in two versions because the high 2nm wafer cost will mean that Qualcomm will need to offer more options
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 เพื่อควบคุมต้นทุน
    Nvidia ได้ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 โดยเลือกใช้ ชิปจาก Samsung และ SK hynix ซึ่งช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

    แม้ว่า GDDR7 จะมี ความเร็วสูงกว่า แต่ GDDR6 มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ Nvidia สามารถผลิต RTX 5050 ได้ในปริมาณมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิป

    ข้อมูลจากข่าว
    - RTX 5050 จะใช้ GDDR6 จาก Samsung และ SK Hynix แทน GDDR7
    - การใช้ GDDR6 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
    - GDDR6 มีหลายรุ่น ตั้งแต่ 12 Gbps ถึง 20 Gbps แต่ยังไม่ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้รุ่นใด
    - RTX 5050 จะมี 8GB GDDR6 และใช้ชิป GB207 พร้อม 2,560 CUDA cores
    - อาจมีรุ่น RTX 5050 Super ที่ใช้ GDDR7 เปิดตัวในอนาคต

    ผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ RTX 5050
    แม้ว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด หากใช้ 18 Gbps GDDR6 จะมีแบนด์วิดท์ 288GB/s ซึ่งต่ำกว่า RTX 5060 ที่มี 448GB/s

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - RTX 5050 อาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้ GDDR7
    - ต้องติดตามว่า Nvidia จะเปิดตัว RTX 5050 Super พร้อม GDDR7 หรือไม่
    - การใช้ GDDR6 อาจทำให้ RTX 5050 มีข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อก
    = ต้องรอดูว่าผู้ผลิตจะใช้ GDDR6 รุ่นใดใน RTX 5050

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5050-wont-use-gddr7-memory-entry-level-gpu-tipped-to-use-samsung-and-sk-hynix-gddr6-modules-instead
    🎮 Nvidia RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 เพื่อควบคุมต้นทุน Nvidia ได้ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แทน GDDR7 โดยเลือกใช้ ชิปจาก Samsung และ SK hynix ซึ่งช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่า GDDR7 จะมี ความเร็วสูงกว่า แต่ GDDR6 มีความเสถียรและต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ Nvidia สามารถผลิต RTX 5050 ได้ในปริมาณมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากปัญหาการขาดแคลนชิป ✅ ข้อมูลจากข่าว - RTX 5050 จะใช้ GDDR6 จาก Samsung และ SK Hynix แทน GDDR7 - การใช้ GDDR6 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและแก้ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน - GDDR6 มีหลายรุ่น ตั้งแต่ 12 Gbps ถึง 20 Gbps แต่ยังไม่ยืนยันว่า RTX 5050 จะใช้รุ่นใด - RTX 5050 จะมี 8GB GDDR6 และใช้ชิป GB207 พร้อม 2,560 CUDA cores - อาจมีรุ่น RTX 5050 Super ที่ใช้ GDDR7 เปิดตัวในอนาคต 🔥 ผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ RTX 5050 แม้ว่า RTX 5050 จะใช้ GDDR6 แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะใช้ความเร็วเท่าใด หากใช้ 18 Gbps GDDR6 จะมีแบนด์วิดท์ 288GB/s ซึ่งต่ำกว่า RTX 5060 ที่มี 448GB/s ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - RTX 5050 อาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งที่ใช้ GDDR7 - ต้องติดตามว่า Nvidia จะเปิดตัว RTX 5050 Super พร้อม GDDR7 หรือไม่ - การใช้ GDDR6 อาจทำให้ RTX 5050 มีข้อจำกัดด้านการโอเวอร์คล็อก = ต้องรอดูว่าผู้ผลิตจะใช้ GDDR6 รุ่นใดใน RTX 5050 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-rtx-5050-wont-use-gddr7-memory-entry-level-gpu-tipped-to-use-samsung-and-sk-hynix-gddr6-modules-instead
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia RTX 5050 won't use GDDR7 memory— entry-level GPU tipped to use Samsung & SK hynix GDDR6 modules instead
    Nvidia will utilize different GDDR memory versions on its RTX 50 series graphics cards, just like the Turing generation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชิป SM2324 ของ Silicon Motion: ก้าวใหม่ของ SSD ความจุสูง
    Silicon Motion เปิดตัว SM2324 ซึ่งเป็น ชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB และมีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s

    SM2324 ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต SSD ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และช่วยให้สามารถสร้าง SSD ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น

    นอกจากนี้ ชิปนี้ยังรองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - SM2324 เป็นชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่รองรับความจุสูงสุด 32TB
    - มีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s และเขียนข้อมูลสูงสุด 3,809MB/s
    - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1
    - ใช้กระบวนการผลิต 12nm ของ TSMC เพื่อประหยัดพลังงาน
    - รองรับ Windows, macOS, Linux และ Apple ProRes workflows บน iPhone

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะลดต้นทุนการผลิต แต่ SSD ที่ใช้ SM2324 อาจยังมีราคาสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพื่อให้ SSD ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
    - ข้อจำกัดด้านพลังงานและการจัดการความร้อนอาจทำให้ SSD ขนาด 32TB ไม่เหมาะกับทุกการใช้งาน
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิต SSD รายใดจะนำ SM2324 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

    SM2324 อาจช่วยให้ตลาด SSD ความจุสูงแบบพกพา เติบโตขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างภาพยนตร์และผู้ที่ต้องการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะสามารถทำให้ SSD ที่ใช้ชิปนี้มีราคาที่เข้าถึงได้หรือไม่

    ไม่ต้องพูดมาก ลุงสู้ทุกราคา !!

    https://www.techradar.com/pro/superfast-32tb-usb4-external-ssds-are-coming-thanks-to-a-new-chip-but-i-bet-they-wont-be-cheap
    🚀 ชิป SM2324 ของ Silicon Motion: ก้าวใหม่ของ SSD ความจุสูง Silicon Motion เปิดตัว SM2324 ซึ่งเป็น ชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB และมีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s SM2324 ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดจำนวนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต SSD ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลง และช่วยให้สามารถสร้าง SSD ที่มีขนาดกะทัดรัดขึ้น นอกจากนี้ ชิปนี้ยังรองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SM2324 เป็นชิปควบคุม SSD แบบ USB4 ที่รองรับความจุสูงสุด 32TB - มีความเร็วในการอ่านข้อมูลถึง 4,000MB/s และเขียนข้อมูลสูงสุด 3,809MB/s - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND รวมถึง Power Delivery 3.1 - ใช้กระบวนการผลิต 12nm ของ TSMC เพื่อประหยัดพลังงาน - รองรับ Windows, macOS, Linux และ Apple ProRes workflows บน iPhone ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะลดต้นทุนการผลิต แต่ SSD ที่ใช้ SM2324 อาจยังมีราคาสูงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - ต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพื่อให้ SSD ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ - ข้อจำกัดด้านพลังงานและการจัดการความร้อนอาจทำให้ SSD ขนาด 32TB ไม่เหมาะกับทุกการใช้งาน - ต้องติดตามว่าผู้ผลิต SSD รายใดจะนำ SM2324 ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน SM2324 อาจช่วยให้ตลาด SSD ความจุสูงแบบพกพา เติบโตขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ เช่น นักสร้างภาพยนตร์และผู้ที่ต้องการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตจะสามารถทำให้ SSD ที่ใช้ชิปนี้มีราคาที่เข้าถึงได้หรือไม่ 📢📢 ไม่ต้องพูดมาก ลุงสู้ทุกราคา !! 😅😅 https://www.techradar.com/pro/superfast-32tb-usb4-external-ssds-are-coming-thanks-to-a-new-chip-but-i-bet-they-wont-be-cheap
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ที่ Computex 2025

    Silicon Motion ผู้ผลิตชิปคอนโทรลเลอร์สำหรับ SSD เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ที่งาน Computex 2025 ได้แก่ SM2504XT ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe Gen 5 DRAM-less ที่มีประสิทธิภาพสูง และ SM2324 ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ SSD แบบพกพาตัวแรกที่รองรับ USB4 พร้อมระบบ Power Delivery ในตัว

    SM2504XT เป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe Gen 5 DRAM-less ที่มีประสิทธิภาพสูง
    - ใช้กระบวนการผลิต 6 นาโนเมตรของ TSMC
    - มีความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 11.5 GB/s และ 11.0 GB/s
    - รองรับ PCIe Gen 5 x4 และ NVMe 2.0

    SM2324 เป็นคอนโทรลเลอร์ SSD แบบพกพาตัวแรกที่รองรับ USB4
    - มีความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 4,000 MB/s
    - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND
    - สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB

    Silicon Motion เน้นพัฒนา SSD ที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ
    - SM2504XT มีประสิทธิภาพต่อวัตต์เพิ่มขึ้น 11% จากรุ่นก่อน
    - SM2324 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความสะดวกในการออกแบบ SSD แบบพกพา

    บริษัทเตรียมขยายตลาดไปยังกลุ่ม AI PC, เกมมิ่ง และอุปกรณ์พกพา
    - รวมถึง ตลาด SSD สำหรับศูนย์ข้อมูลและสมาร์ทโฟน AI

    https://www.techpowerup.com/336843/silicon-motion-showcases-next-gen-pcie-gen5-and-usb4-ssd-controllers-at-computex-2025
    Silicon Motion เปิดตัวคอนโทรลเลอร์ SSD รุ่นใหม่ที่ Computex 2025 Silicon Motion ผู้ผลิตชิปคอนโทรลเลอร์สำหรับ SSD เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ที่งาน Computex 2025 ได้แก่ SM2504XT ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe Gen 5 DRAM-less ที่มีประสิทธิภาพสูง และ SM2324 ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ SSD แบบพกพาตัวแรกที่รองรับ USB4 พร้อมระบบ Power Delivery ในตัว ✅ SM2504XT เป็นคอนโทรลเลอร์ PCIe Gen 5 DRAM-less ที่มีประสิทธิภาพสูง - ใช้กระบวนการผลิต 6 นาโนเมตรของ TSMC - มีความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 11.5 GB/s และ 11.0 GB/s - รองรับ PCIe Gen 5 x4 และ NVMe 2.0 ✅ SM2324 เป็นคอนโทรลเลอร์ SSD แบบพกพาตัวแรกที่รองรับ USB4 - มีความเร็วอ่าน/เขียนสูงสุด 4,000 MB/s - รองรับ 3D TLC และ QLC NAND - สามารถรองรับความจุสูงสุด 32TB ✅ Silicon Motion เน้นพัฒนา SSD ที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ - SM2504XT มีประสิทธิภาพต่อวัตต์เพิ่มขึ้น 11% จากรุ่นก่อน - SM2324 ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความสะดวกในการออกแบบ SSD แบบพกพา ✅ บริษัทเตรียมขยายตลาดไปยังกลุ่ม AI PC, เกมมิ่ง และอุปกรณ์พกพา - รวมถึง ตลาด SSD สำหรับศูนย์ข้อมูลและสมาร์ทโฟน AI https://www.techpowerup.com/336843/silicon-motion-showcases-next-gen-pcie-gen5-and-usb4-ssd-controllers-at-computex-2025
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Silicon Motion Showcases Next-Gen PCIe Gen5 and USB4 SSD Controllers at Computex 2025
    Silicon Motion Technology Corporation ("Silicon Motion"), a global leader in designing and marketing NAND flash controllers for solid-state storage devices, today announced that it will showcase its broad portfolio of products including two new SSD controllers at COMPUTEX 2025. The first is the SM25...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • GM เปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV ใหม่: เพิ่มระยะทางและลดต้นทุนการผลิตภายในปี 2028

    General Motors (GM) และ LG Energy Solution กำลังพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีส (LMR) รุ่นใหม่ ซึ่งมีศักยภาพในการ เพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าและลดต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028

    GM และ LG Energy Solution พัฒนาแบตเตอรี่ LMR เพื่อใช้ในรถบรรทุกไฟฟ้าและ SUV
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ GM แข่งขันกับ Tesla และ Ford ในตลาด EV ระดับพรีเมียม

    แบตเตอรี่ LMR มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าลิเธียมไอออนฟอสเฟตถึง 33%
    - ลดการใช้โคบอลต์ ซึ่งมีราคาสูงและไม่ยั่งยืน

    GM วางแผนเริ่มผลิตแบตเตอรี่ LMR ในสหรัฐฯ ปี 2027 และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028
    - ใช้แบรนด์ Ultium Cells และทดสอบที่ศูนย์พัฒนาแบตเตอรี่ในมิชิแกน

    แบตเตอรี่ LMR ใช้ดีไซน์แบบปริซึมแทนแบบซอง
    - ช่วยให้ บรรจุพลังงานได้มากขึ้นและลดต้นทุนการผลิต

    GM ตั้งเป้าให้รถบรรทุกไฟฟ้า เช่น Chevrolet Silverado EV มีระยะทางเกิน 400 ไมล์
    - เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Ford และ Tesla

    แบตเตอรี่ LMR เคยมีปัญหาด้านความเสถียร เช่น การเสื่อมสภาพของแรงดันไฟฟ้า
    - GM ใช้เวลากว่า 10 ปีในการแก้ไขปัญหานี้

    Ford วางแผนเปิดตัวแบตเตอรี่ LMR ในปี 2030 ซึ่งอาจทำให้ GM ได้เปรียบในตลาด
    - ต้องติดตามว่า Ford จะเร่งการพัฒนาเพื่อแข่งขันหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107911-new-gm-ev-battery-tech-promises-extended-range.html
    GM เปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV ใหม่: เพิ่มระยะทางและลดต้นทุนการผลิตภายในปี 2028 General Motors (GM) และ LG Energy Solution กำลังพัฒนา แบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีส (LMR) รุ่นใหม่ ซึ่งมีศักยภาพในการ เพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าและลดต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028 ✅ GM และ LG Energy Solution พัฒนาแบตเตอรี่ LMR เพื่อใช้ในรถบรรทุกไฟฟ้าและ SUV - เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ GM แข่งขันกับ Tesla และ Ford ในตลาด EV ระดับพรีเมียม ✅ แบตเตอรี่ LMR มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่าลิเธียมไอออนฟอสเฟตถึง 33% - ลดการใช้โคบอลต์ ซึ่งมีราคาสูงและไม่ยั่งยืน ✅ GM วางแผนเริ่มผลิตแบตเตอรี่ LMR ในสหรัฐฯ ปี 2027 และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028 - ใช้แบรนด์ Ultium Cells และทดสอบที่ศูนย์พัฒนาแบตเตอรี่ในมิชิแกน ✅ แบตเตอรี่ LMR ใช้ดีไซน์แบบปริซึมแทนแบบซอง - ช่วยให้ บรรจุพลังงานได้มากขึ้นและลดต้นทุนการผลิต ✅ GM ตั้งเป้าให้รถบรรทุกไฟฟ้า เช่น Chevrolet Silverado EV มีระยะทางเกิน 400 ไมล์ - เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Ford และ Tesla ‼️ แบตเตอรี่ LMR เคยมีปัญหาด้านความเสถียร เช่น การเสื่อมสภาพของแรงดันไฟฟ้า - GM ใช้เวลากว่า 10 ปีในการแก้ไขปัญหานี้ ‼️ Ford วางแผนเปิดตัวแบตเตอรี่ LMR ในปี 2030 ซึ่งอาจทำให้ GM ได้เปรียบในตลาด - ต้องติดตามว่า Ford จะเร่งการพัฒนาเพื่อแข่งขันหรือไม่ https://www.techspot.com/news/107911-new-gm-ev-battery-tech-promises-extended-range.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New GM EV battery tech promises extended range and lower production costs by 2028
    General Motors and LG Energy Solution are poised to launch a new era for electric vehicles with the commercial release of lithium manganese-rich (LMR) prismatic battery cells....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nintendo Switch 2 กำลังเป็นที่จับตามอง หลังจากมีการวิเคราะห์ ภาพถ่ายชิปเซ็ต (die shot) ของ SoC ซึ่งเผยให้เห็นว่า ใช้กระบวนการผลิต 8 นาโนเมตรของ Samsung พร้อม ซีพียู Cortex-A78C จำนวน 8 คอร์ และจีพียู Ampere ที่มี 1536 CUDA คอร์

    การเปิดเผยนี้มาจาก Kurnal (@Kurnalsalts) และ Geekerwan ซึ่งได้ข้อมูลจาก แหล่งซื้อขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีน โดยพบว่า ชิปเซ็ตของ Switch 2 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า และอาจมี ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมอย่างมาก

    Nintendo Switch 2 ใช้ชิปเซ็ตที่ผลิตด้วยกระบวนการ 8 นาโนเมตรของ Samsung
    - มี ซีพียู Cortex-A78C จำนวน 8 คอร์
    - ใช้ จีพียู Ampere ที่มี 1536 CUDA คอร์ และ 6 TPCs

    ชิปเซ็ตมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า
    - ขนาดพื้นที่ 207 mm² เทียบกับรุ่นเดิมที่เล็กกว่ามาก

    ข้อมูลชิปเซ็ตถูกเปิดเผยโดย Kurnal และ Geekerwan ผ่านแหล่งซื้อขายในจีน
    - พบว่า มีการขายเมนบอร์ดของ Switch 2 ในตลาดมืดในราคาประมาณ 1000 หยวน (~138 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

    Nintendo อาจเลือกใช้เทคโนโลยีที่เก่ากว่าเพื่อควบคุมต้นทุน
    - นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า Nintendo อาจต้องการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มอายุการใช้งานของฮาร์ดแวร์

    https://www.techpowerup.com/336485/full-die-shot-analysis-of-nintendo-switch-2-soc-indicates-samsung-8-nm-production-origins
    Nintendo Switch 2 กำลังเป็นที่จับตามอง หลังจากมีการวิเคราะห์ ภาพถ่ายชิปเซ็ต (die shot) ของ SoC ซึ่งเผยให้เห็นว่า ใช้กระบวนการผลิต 8 นาโนเมตรของ Samsung พร้อม ซีพียู Cortex-A78C จำนวน 8 คอร์ และจีพียู Ampere ที่มี 1536 CUDA คอร์ การเปิดเผยนี้มาจาก Kurnal (@Kurnalsalts) และ Geekerwan ซึ่งได้ข้อมูลจาก แหล่งซื้อขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีน โดยพบว่า ชิปเซ็ตของ Switch 2 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า และอาจมี ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมอย่างมาก ✅ Nintendo Switch 2 ใช้ชิปเซ็ตที่ผลิตด้วยกระบวนการ 8 นาโนเมตรของ Samsung - มี ซีพียู Cortex-A78C จำนวน 8 คอร์ - ใช้ จีพียู Ampere ที่มี 1536 CUDA คอร์ และ 6 TPCs ✅ ชิปเซ็ตมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า - ขนาดพื้นที่ 207 mm² เทียบกับรุ่นเดิมที่เล็กกว่ามาก ✅ ข้อมูลชิปเซ็ตถูกเปิดเผยโดย Kurnal และ Geekerwan ผ่านแหล่งซื้อขายในจีน - พบว่า มีการขายเมนบอร์ดของ Switch 2 ในตลาดมืดในราคาประมาณ 1000 หยวน (~138 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ✅ Nintendo อาจเลือกใช้เทคโนโลยีที่เก่ากว่าเพื่อควบคุมต้นทุน - นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า Nintendo อาจต้องการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มอายุการใช้งานของฮาร์ดแวร์ https://www.techpowerup.com/336485/full-die-shot-analysis-of-nintendo-switch-2-soc-indicates-samsung-8-nm-production-origins
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    "Full Die Shot" Analysis of Nintendo Switch 2 SoC Indicates Samsung 8 nm Production Origins
    Late last month, Kurnal (@Kurnalsalts) shared a partial die shot of a supposed Nintendo Switch 2 chipset—this teaser image seemed to verify previous leaked claims about the forthcoming next-gen hybrid gaming console being powered by a custom NVIDIA "T239" SoC design. Two weeks after the fact, Kurnal...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung ประสบปัญหาขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากตัดสินใจ ยกเลิกการใช้ชิป Exynos 2500 ในสมาร์ทโฟน Galaxy S25 Series เนื่องจากปัญหาด้าน ผลผลิตต่ำและประสิทธิภาพที่ไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon 8 Elite ได้

    เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต Samsung มีแผนที่จะเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy S26 Series โดยคาดว่าจะใช้เฉพาะใน รุ่นที่จำหน่ายในยุโรป เนื่องจากปัญหาด้านผลผลิตที่ยังคงต่ำ

    Samsung ขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์จากการยกเลิก Exynos 2500
    - ตัดสินใจใช้ Snapdragon 8 Elite ใน Galaxy S25 Series
    - ผลผลิตของ Exynos 2500 ต่ำและไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon ได้

    Exynos 2600 อาจถูกใช้ใน Galaxy S26 รุ่นยุโรป
    - ผลผลิตยังคงต่ำ ทำให้มีการจำกัดการใช้งานในบางรุ่น
    - คาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่า

    Samsung ตั้งเป้าปรับปรุงกระบวนการผลิต 2nm GAA
    - ตั้งเป้าให้ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 60% เพื่อรองรับการผลิตเต็มรูปแบบ
    - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากใน ครึ่งหลังของปี 2025

    ผลกระทบต่อกลยุทธ์ของ Samsung ในตลาดชิปเซ็ต
    - Samsung ต้องการลดต้นทุนการผลิตชิปโดยใช้ Exynos 2600
    - อาจมีการเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy Z Flip 7

    https://wccftech.com/samsung-lost-400-million-for-dropping-exynos-2500-in-the-galaxy-s25-series/
    Samsung ประสบปัญหาขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากตัดสินใจ ยกเลิกการใช้ชิป Exynos 2500 ในสมาร์ทโฟน Galaxy S25 Series เนื่องจากปัญหาด้าน ผลผลิตต่ำและประสิทธิภาพที่ไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon 8 Elite ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต Samsung มีแผนที่จะเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy S26 Series โดยคาดว่าจะใช้เฉพาะใน รุ่นที่จำหน่ายในยุโรป เนื่องจากปัญหาด้านผลผลิตที่ยังคงต่ำ ✅ Samsung ขาดทุน 400 ล้านดอลลาร์จากการยกเลิก Exynos 2500 - ตัดสินใจใช้ Snapdragon 8 Elite ใน Galaxy S25 Series - ผลผลิตของ Exynos 2500 ต่ำและไม่สามารถแข่งขันกับ Snapdragon ได้ ✅ Exynos 2600 อาจถูกใช้ใน Galaxy S26 รุ่นยุโรป - ผลผลิตยังคงต่ำ ทำให้มีการจำกัดการใช้งานในบางรุ่น - คาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะยังคงมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ✅ Samsung ตั้งเป้าปรับปรุงกระบวนการผลิต 2nm GAA - ตั้งเป้าให้ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 60% เพื่อรองรับการผลิตเต็มรูปแบบ - คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากใน ครึ่งหลังของปี 2025 ✅ ผลกระทบต่อกลยุทธ์ของ Samsung ในตลาดชิปเซ็ต - Samsung ต้องการลดต้นทุนการผลิตชิปโดยใช้ Exynos 2600 - อาจมีการเปิดตัว Exynos 2600 ใน Galaxy Z Flip 7 https://wccftech.com/samsung-lost-400-million-for-dropping-exynos-2500-in-the-galaxy-s25-series/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Was Estimated To Lose Around $400 Million After It Decided To Drop The Exynos 2500 For The Galaxy S25 Series; European Galaxy S26 Models To Be Equipped With Exynos 2600
    The Exynos 2600 will apparently be found in some Galaxy S26 variants, as Samsung was estimated to lose $400 million for dropping the Exynos 2500
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังพัฒนา กระบวนการผลิตชิป 14A โดยใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม Intel ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้ High-NA EUV ในการผลิตจริงหรือไม่ และมี Low-NA EUV เป็นแผนสำรอง

    Intel ได้ติดตั้งเครื่อง ASML Twinscan NXE:5000 High-NA EUV เครื่องที่สองในโรงงานที่โอเรกอน และระบุว่าเทคโนโลยีนี้กำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี แต่เนื่องจากเครื่องจักรเหล่านี้ยังไม่เคยถูกใช้ในสภาพแวดล้อมการผลิตจริง Intel จึงเลือกที่จะ ลดความเสี่ยงโดยมีแผนสำรองเป็น Low-NA EUV

    การใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต
    - ช่วยลดต้นทุนโดย ลดจำนวนขั้นตอนการผลิตลง 40 ขั้นตอน
    - มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ Low-NA EUV แบบเดิม

    แผนสำรองของ Intel
    - หาก High-NA EUV มีปัญหา Intel สามารถใช้ Low-NA EUV ได้โดยไม่กระทบต่อลูกค้า
    - ทั้งสองเทคโนโลยีมี อัตราผลตอบแทน (yield) เท่ากัน

    การติดตั้งเครื่องจักรใหม่
    - Intel ได้ติดตั้ง เครื่อง High-NA EUV เครื่องที่สองในโรงงานที่โอเรกอน
    - ได้ผลิต 30,000 แผ่นเวเฟอร์ ในช่วงพัฒนา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป
    - TSMC ยืนยันว่าจะไม่ใช้ High-NA EUV กับกระบวนการผลิต A14
    - Intel ต้องแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hedges-its-bet-for-high-na-euv-with-the-14a-process-node-an-alternate-low-na-technique-has-identical-yield-and-design-rules
    Intel กำลังพัฒนา กระบวนการผลิตชิป 14A โดยใช้ High-NA EUV ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม Intel ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้ High-NA EUV ในการผลิตจริงหรือไม่ และมี Low-NA EUV เป็นแผนสำรอง Intel ได้ติดตั้งเครื่อง ASML Twinscan NXE:5000 High-NA EUV เครื่องที่สองในโรงงานที่โอเรกอน และระบุว่าเทคโนโลยีนี้กำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี แต่เนื่องจากเครื่องจักรเหล่านี้ยังไม่เคยถูกใช้ในสภาพแวดล้อมการผลิตจริง Intel จึงเลือกที่จะ ลดความเสี่ยงโดยมีแผนสำรองเป็น Low-NA EUV ✅ การใช้ High-NA EUV ในกระบวนการผลิต - ช่วยลดต้นทุนโดย ลดจำนวนขั้นตอนการผลิตลง 40 ขั้นตอน - มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ Low-NA EUV แบบเดิม ✅ แผนสำรองของ Intel - หาก High-NA EUV มีปัญหา Intel สามารถใช้ Low-NA EUV ได้โดยไม่กระทบต่อลูกค้า - ทั้งสองเทคโนโลยีมี อัตราผลตอบแทน (yield) เท่ากัน ✅ การติดตั้งเครื่องจักรใหม่ - Intel ได้ติดตั้ง เครื่อง High-NA EUV เครื่องที่สองในโรงงานที่โอเรกอน - ได้ผลิต 30,000 แผ่นเวเฟอร์ ในช่วงพัฒนา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชิป - TSMC ยืนยันว่าจะไม่ใช้ High-NA EUV กับกระบวนการผลิต A14 - Intel ต้องแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hedges-its-bet-for-high-na-euv-with-the-14a-process-node-an-alternate-low-na-technique-has-identical-yield-and-design-rules
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • Atum Works ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D ระดับนาโนที่สามารถลดต้นทุนการผลิตชิปได้ถึง 90% โดยเครื่องพิมพ์นี้สามารถสร้างโครงสร้าง 3D หลายวัสดุด้วยความละเอียด 100 นาโนเมตร ในระดับเวเฟอร์ ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้การฉายแสงผ่านหน้ากากโฟโตมาสก์

    อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังล้าหลังสำหรับการผลิตชิปตรรกะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากความละเอียด 100 นาโนเมตรเหมาะสำหรับเทคโนโลยีในช่วงปี 2003-2005 แต่ยังมีศักยภาพในการใช้งานด้านอื่นๆ เช่น การบรรจุภัณฑ์ โฟโตนิกส์ เซ็นเซอร์ และโครงสร้างเชื่อมต่อ

    Atum Works กำลังหารือกับลูกค้าและมีแผนที่จะเริ่มส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ โดยหนึ่งในพันธมิตรเริ่มต้นคือ Nvidia ซึ่งได้ลงนามในจดหมายแสดงเจตจำนงเพื่อพัฒนาร่วมกัน

    ความสามารถของเครื่องพิมพ์
    - สร้างโครงสร้าง 3D หลายวัสดุด้วยความละเอียด 100 นาโนเมตร
    - ลดต้นทุนการผลิตชิปได้ถึง 90%

    การใช้งานที่เหมาะสม
    - เหมาะสำหรับการบรรจุภัณฑ์ โฟโตนิกส์ เซ็นเซอร์ และโครงสร้างเชื่อมต่อ
    - ไม่เหมาะสำหรับการผลิตชิปตรรกะที่มีประสิทธิภาพสูง

    การตอบสนองของตลาด
    - Atum Works กำลังหารือกับลูกค้าและมีแผนส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้
    - Nvidia ลงนามในจดหมายแสดงเจตจำนงเพื่อพัฒนาร่วมกัน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในกระบวนการผลิตชิป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/startup-aims-to-3d-print-chips-and-cut-production-costs-by-90-percent
    Atum Works ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D ระดับนาโนที่สามารถลดต้นทุนการผลิตชิปได้ถึง 90% โดยเครื่องพิมพ์นี้สามารถสร้างโครงสร้าง 3D หลายวัสดุด้วยความละเอียด 100 นาโนเมตร ในระดับเวเฟอร์ ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้การฉายแสงผ่านหน้ากากโฟโตมาสก์ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังล้าหลังสำหรับการผลิตชิปตรรกะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากความละเอียด 100 นาโนเมตรเหมาะสำหรับเทคโนโลยีในช่วงปี 2003-2005 แต่ยังมีศักยภาพในการใช้งานด้านอื่นๆ เช่น การบรรจุภัณฑ์ โฟโตนิกส์ เซ็นเซอร์ และโครงสร้างเชื่อมต่อ Atum Works กำลังหารือกับลูกค้าและมีแผนที่จะเริ่มส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ โดยหนึ่งในพันธมิตรเริ่มต้นคือ Nvidia ซึ่งได้ลงนามในจดหมายแสดงเจตจำนงเพื่อพัฒนาร่วมกัน ✅ ความสามารถของเครื่องพิมพ์ - สร้างโครงสร้าง 3D หลายวัสดุด้วยความละเอียด 100 นาโนเมตร - ลดต้นทุนการผลิตชิปได้ถึง 90% ✅ การใช้งานที่เหมาะสม - เหมาะสำหรับการบรรจุภัณฑ์ โฟโตนิกส์ เซ็นเซอร์ และโครงสร้างเชื่อมต่อ - ไม่เหมาะสำหรับการผลิตชิปตรรกะที่มีประสิทธิภาพสูง ✅ การตอบสนองของตลาด - Atum Works กำลังหารือกับลูกค้าและมีแผนส่งมอบผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ - Nvidia ลงนามในจดหมายแสดงเจตจำนงเพื่อพัฒนาร่วมกัน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในกระบวนการผลิตชิป https://www.tomshardware.com/tech-industry/startup-aims-to-3d-print-chips-and-cut-production-costs-by-90-percent
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จาก University of Massachusetts Amherst ได้พัฒนาเทคนิคใหม่สำหรับ การจัดตำแหน่งชิปในระดับอะตอม โดยใช้ เลเซอร์และ metalenses ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการผลิตชิปและเพิ่มความแม่นยำในการจัดวางชั้นของเซมิคอนดักเตอร์

    เทคนิคใหม่ใช้เลเซอร์และ metalenses เพื่อจัดตำแหน่งชิป
    - เมื่อเลเซอร์ฉายลงบน metalenses จะเกิด รูปแบบการรบกวนแบบโฮโลกราฟิก
    - นักวิจัยสามารถวิเคราะห์รูปแบบเหล่านี้เพื่อวัด การเยื้องศูนย์ของชั้นชิปในทุกแกน

    ความแม่นยำสูงกว่าระบบเดิม
    - สามารถตรวจจับ การเยื้องศูนย์ด้านข้างได้ถึง 0.017 นาโนเมตร และ การเยื้องศูนย์แนวตั้งได้ถึง 0.134 นาโนเมตร
    - แม่นยำกว่าระบบ optical metrology ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งมีข้อจำกัดที่ 2-2.5 นาโนเมตร

    ผลกระทบต่อการผลิตชิปและการออกแบบ 3D chiplet
    - ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดตำแหน่งชั้นของชิปที่ต้องผ่าน กว่า 4,000 ขั้นตอนการผลิต
    - อาจช่วยให้การออกแบบ multi-chiplet 3D มีความแม่นยำมากขึ้น

    การใช้งานนอกเหนือจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - เทคโนโลยีนี้สามารถใช้ตรวจจับ การเคลื่อนที่ของพื้นผิวจากแรงกดหรือการสั่นสะเทือน
    - อาจนำไปใช้ใน การตรวจสอบสิ่งแวดล้อม, การวิเคราะห์อุตสาหกรรม และการวินิจฉัยทางชีวการแพทย์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/atomic-scale-chip-alignment-laser-holograms-could-set-new-standard-for-3d-semiconductor-overlay-accuracy
    นักวิทยาศาสตร์จาก University of Massachusetts Amherst ได้พัฒนาเทคนิคใหม่สำหรับ การจัดตำแหน่งชิปในระดับอะตอม โดยใช้ เลเซอร์และ metalenses ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการผลิตชิปและเพิ่มความแม่นยำในการจัดวางชั้นของเซมิคอนดักเตอร์ ✅ เทคนิคใหม่ใช้เลเซอร์และ metalenses เพื่อจัดตำแหน่งชิป - เมื่อเลเซอร์ฉายลงบน metalenses จะเกิด รูปแบบการรบกวนแบบโฮโลกราฟิก - นักวิจัยสามารถวิเคราะห์รูปแบบเหล่านี้เพื่อวัด การเยื้องศูนย์ของชั้นชิปในทุกแกน ✅ ความแม่นยำสูงกว่าระบบเดิม - สามารถตรวจจับ การเยื้องศูนย์ด้านข้างได้ถึง 0.017 นาโนเมตร และ การเยื้องศูนย์แนวตั้งได้ถึง 0.134 นาโนเมตร - แม่นยำกว่าระบบ optical metrology ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งมีข้อจำกัดที่ 2-2.5 นาโนเมตร ✅ ผลกระทบต่อการผลิตชิปและการออกแบบ 3D chiplet - ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดตำแหน่งชั้นของชิปที่ต้องผ่าน กว่า 4,000 ขั้นตอนการผลิต - อาจช่วยให้การออกแบบ multi-chiplet 3D มีความแม่นยำมากขึ้น ✅ การใช้งานนอกเหนือจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - เทคโนโลยีนี้สามารถใช้ตรวจจับ การเคลื่อนที่ของพื้นผิวจากแรงกดหรือการสั่นสะเทือน - อาจนำไปใช้ใน การตรวจสอบสิ่งแวดล้อม, การวิเคราะห์อุตสาหกรรม และการวินิจฉัยทางชีวการแพทย์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/atomic-scale-chip-alignment-laser-holograms-could-set-new-standard-for-3d-semiconductor-overlay-accuracy
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Atomic-scale chip alignment: Laser holograms could set new standard for 3D semiconductor overlay accuracy
    Tech could lower manufacturing costs by simplifying one of the most complex steps in chip production and 3D chip integration.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ได้เข้าร่วมกับบริษัท xLight ในฐานะประธานกรรมการบริหาร เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงแบบ Free Electron Laser (FEL) สำหรับระบบลิโทกราฟี Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิป

    xLight กำลังพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาค (Particle Accelerator) เพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก (13.5 นาโนเมตร) ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% และลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า

    นอกจากนี้ xLight ยังตั้งเป้าที่จะทำให้แหล่งกำเนิดแสง FEL นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ได้ภายในปี 2028 โดยเทคโนโลยีนี้ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานสูง การควบคุมเศษซากในอวกาศ และการวิจัยทางการแพทย์

    การพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL
    - ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร
    - เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร

    เป้าหมายของ xLight
    - ลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50%
    - ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า

    การใช้งานในอนาคต
    - ใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ภายในปี 2028
    - มีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านพลังงาน อวกาศ และการแพทย์

    ข้อจำกัดของเทคโนโลยี FEL
    - ขนาดของเครื่องเร่งอนุภาคอาจไม่เหมาะสมกับโรงงานผลิตชิปในปัจจุบัน
    - การพัฒนาเทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่
    - ความสำเร็จของ xLight อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-turns-to-particle-accelerators-for-a-new-way-to-make-chips-joins-xlight
    ข่าวนี้เล่าถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Pat Gelsinger อดีต CEO ของ Intel ได้เข้าร่วมกับบริษัท xLight ในฐานะประธานกรรมการบริหาร เพื่อพัฒนาแหล่งกำเนิดแสงแบบ Free Electron Laser (FEL) สำหรับระบบลิโทกราฟี Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิป xLight กำลังพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาค (Particle Accelerator) เพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นมาก (13.5 นาโนเมตร) ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% และลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า นอกจากนี้ xLight ยังตั้งเป้าที่จะทำให้แหล่งกำเนิดแสง FEL นี้สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ได้ภายในปี 2028 โดยเทคโนโลยีนี้ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ เช่น การตรวจวัดพลังงานสูง การควบคุมเศษซากในอวกาศ และการวิจัยทางการแพทย์ ✅ การพัฒนาแหล่งกำเนิดแสง FEL - ใช้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อสร้างแสงที่มีความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร - เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชิปที่มีความละเอียดสูงถึง 8 นาโนเมตร ✅ เป้าหมายของ xLight - ลดต้นทุนการผลิตต่อแผ่นเวเฟอร์ลงถึง 50% - ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านทุนและการดำเนินงานถึงสามเท่า ✅ การใช้งานในอนาคต - ใช้งานร่วมกับเครื่องลิโทกราฟีของ ASML ภายในปี 2028 - มีศักยภาพในการนำไปใช้ในด้านพลังงาน อวกาศ และการแพทย์ ℹ️ ข้อจำกัดของเทคโนโลยี FEL - ขนาดของเครื่องเร่งอนุภาคอาจไม่เหมาะสมกับโรงงานผลิตชิปในปัจจุบัน - การพัฒนาเทคโนโลยีนี้อาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - การแข่งขันในอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ - ความสำเร็จของ xLight อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/pat-gelsinger-turns-to-particle-accelerators-for-a-new-way-to-make-chips-joins-xlight
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Pat Gelsinger turns to particle accelerators for a new way to make chips, joins xLight
    xLight aims to deliver a powerful alternative LPP source for ASML EUV tools by 2028.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • Maxwell Labs กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้เลเซอร์ในการระบายความร้อนจากชิปประมวลผล โดยเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียพลังงานในระบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูง

    การใช้เลเซอร์ในการระบายความร้อน:
    - Maxwell Labs ใช้แผ่นเย็นที่ทำจาก Gallium Arsenide (GaAs) ซึ่งสามารถระบายความร้อนเมื่อได้รับแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ
    - เทคนิคนี้ช่วยระบายความร้อนเฉพาะจุดที่มีความร้อนสูงในชิปประมวลผล

    การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน:
    - พลังงานความร้อนที่ถูกดึงออกจากชิปสามารถเปลี่ยนเป็นโฟตอนที่นำกลับมาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในระบบคอมพิวเตอร์

    ความท้าทายด้านต้นทุน:
    - การผลิต GaAs ที่มีความบริสุทธิ์สูงต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง เช่น Molecular Beam Epitaxy (MBE)
    - แผ่น GaAs ขนาด 200 มม. มีราคาประมาณ $5,000 เทียบกับแผ่นซิลิคอนที่มีราคาเพียง $5

    สถานะปัจจุบันของโครงการ:
    - เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและการจำลอง โดยคาดว่าจะมีต้นแบบที่ใช้งานได้ในปี 2025

    ความท้าทายด้านการผลิต:
    - การผลิต GaAs ที่มีความบริสุทธิ์สูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์

    การพัฒนาเทคโนโลยี:
    - Maxwell Labs ควรเร่งการพัฒนาและทดสอบต้นแบบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของเทคโนโลยีนี้

    การลดต้นทุน:
    - ควรมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีลดต้นทุนการผลิต GaAs เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cooling-chips-with-lasers-innovative-cooling-method-removes-heat-precisely-from-hot-spots-recycles-heat-into-energy
    Maxwell Labs กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้เลเซอร์ในการระบายความร้อนจากชิปประมวลผล โดยเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียพลังงานในระบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ✅ การใช้เลเซอร์ในการระบายความร้อน: - Maxwell Labs ใช้แผ่นเย็นที่ทำจาก Gallium Arsenide (GaAs) ซึ่งสามารถระบายความร้อนเมื่อได้รับแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ - เทคนิคนี้ช่วยระบายความร้อนเฉพาะจุดที่มีความร้อนสูงในชิปประมวลผล ✅ การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน: - พลังงานความร้อนที่ถูกดึงออกจากชิปสามารถเปลี่ยนเป็นโฟตอนที่นำกลับมาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ - เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในระบบคอมพิวเตอร์ ✅ ความท้าทายด้านต้นทุน: - การผลิต GaAs ที่มีความบริสุทธิ์สูงต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง เช่น Molecular Beam Epitaxy (MBE) - แผ่น GaAs ขนาด 200 มม. มีราคาประมาณ $5,000 เทียบกับแผ่นซิลิคอนที่มีราคาเพียง $5 ✅ สถานะปัจจุบันของโครงการ: - เทคโนโลยียังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและการจำลอง โดยคาดว่าจะมีต้นแบบที่ใช้งานได้ในปี 2025 ⚠️ ความท้าทายด้านการผลิต: - การผลิต GaAs ที่มีความบริสุทธิ์สูงอาจเป็นอุปสรรคต่อการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ⚠️ การพัฒนาเทคโนโลยี: - Maxwell Labs ควรเร่งการพัฒนาและทดสอบต้นแบบเพื่อพิสูจน์ความสามารถของเทคโนโลยีนี้ ⚠️ การลดต้นทุน: - ควรมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีลดต้นทุนการผลิต GaAs เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/cooling-chips-with-lasers-innovative-cooling-method-removes-heat-precisely-from-hot-spots-recycles-heat-into-energy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX ได้ประกาศว่าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโครงการ Starship บริษัทจะนำ Super Heavy Booster ที่เคยบินมาแล้วกลับมาใช้ใหม่ใน Starship Flight 9 โดยก่อนหน้านี้บูสเตอร์ตัวนี้เคยถูกใช้ใน Flight 7 และผ่านการทดสอบ Static Fire ล่าสุดเพื่อเตรียมความพร้อม

    SpaceX ทดสอบบูสเตอร์ที่มี 29 จาก 33 เครื่องยนต์ที่ผ่านการบินจริงมาแล้ว
    - บูสเตอร์นี้เป็นตัวแรกที่ นำกลับมาใช้ใหม่ในระบบที่มีมากกว่า 24 เครื่องยนต์
    - การใช้ซ้ำช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต

    Flight 9 เป็นภารกิจสำคัญ—ทดสอบยานเวทีที่สองรุ่นใหม่หลังความล้มเหลวสองครั้งก่อนหน้า
    - ยานเวทีที่สองล้มเหลวในเที่ยวบิน Flight 7 และ Flight 8 ก่อนหน้านี้
    - หากประสบความสำเร็จใน Flight 9 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับโครงการ Starship

    ก่อนหน้านี้ SpaceX พยายามใช้ระบบจับบูสเตอร์ด้วยหอปล่อยจรวด
    - ระบบจับได้รับการทดสอบก่อน Flight 7 แต่ยังไม่มีการจับบูสเตอร์ได้จริง
    - หากการใช้ซ้ำสำเร็จ จะช่วยให้ SpaceX มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเวทีที่สองต่อไป

    การทดสอบ Static Fire ไม่ได้บอกถึงวันปล่อยจรวดแน่นอน
    - SpaceX เคยทำการทดสอบแบบ Static Fire หลายเดือนก่อนการปล่อยจริง
    - ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับการปรับแต่งเครื่องยนต์หลังการทดสอบ

    https://wccftech.com/spacex-confirms-super-heavy-booster-re-use-on-starship-flight-9-fires-up-232-feet-rocket/
    SpaceX ได้ประกาศว่าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโครงการ Starship บริษัทจะนำ Super Heavy Booster ที่เคยบินมาแล้วกลับมาใช้ใหม่ใน Starship Flight 9 โดยก่อนหน้านี้บูสเตอร์ตัวนี้เคยถูกใช้ใน Flight 7 และผ่านการทดสอบ Static Fire ล่าสุดเพื่อเตรียมความพร้อม ✅ SpaceX ทดสอบบูสเตอร์ที่มี 29 จาก 33 เครื่องยนต์ที่ผ่านการบินจริงมาแล้ว - บูสเตอร์นี้เป็นตัวแรกที่ นำกลับมาใช้ใหม่ในระบบที่มีมากกว่า 24 เครื่องยนต์ - การใช้ซ้ำช่วยให้ ลดต้นทุนการผลิตและเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต ✅ Flight 9 เป็นภารกิจสำคัญ—ทดสอบยานเวทีที่สองรุ่นใหม่หลังความล้มเหลวสองครั้งก่อนหน้า - ยานเวทีที่สองล้มเหลวในเที่ยวบิน Flight 7 และ Flight 8 ก่อนหน้านี้ - หากประสบความสำเร็จใน Flight 9 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับโครงการ Starship ✅ ก่อนหน้านี้ SpaceX พยายามใช้ระบบจับบูสเตอร์ด้วยหอปล่อยจรวด - ระบบจับได้รับการทดสอบก่อน Flight 7 แต่ยังไม่มีการจับบูสเตอร์ได้จริง - หากการใช้ซ้ำสำเร็จ จะช่วยให้ SpaceX มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเวทีที่สองต่อไป ✅ การทดสอบ Static Fire ไม่ได้บอกถึงวันปล่อยจรวดแน่นอน - SpaceX เคยทำการทดสอบแบบ Static Fire หลายเดือนก่อนการปล่อยจริง - ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับการปรับแต่งเครื่องยนต์หลังการทดสอบ https://wccftech.com/spacex-confirms-super-heavy-booster-re-use-on-starship-flight-9-fires-up-232-feet-rocket/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX Confirms Super Heavy Booster Re-Use On Starship Flight 9 & Fires Up 232-Feet Rocket!
    SpaceX confirms that Starship Flight 9 will be the first to re-use a rocket booster for the Starship test program.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel และ SK hynix ปิดดีลการซื้อขายธุรกิจ NAND อย่างสมบูรณ์ ซึ่ง SK hynix ได้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและทีมวิจัยจาก Intel ผ่านบริษัท Solidigm ส่งผลให้ SK hynix มีศักยภาพมากขึ้นในตลาด SSD ระดับองค์กร แม้สองบริษัทจะใช้เทคโนโลยีผลิต NAND ที่แตกต่างกัน แต่ SK hynix มีเป้าหมายในการรวมเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในอนาคต

    ขั้นตอนการซื้อขาย:
    - เฟสแรกในปี 2021 SK hynix ได้รับทรัพย์สินด้านธุรกิจ SSD และโรงงานผลิต NAND ในจีนจาก Intel มูลค่า 6.61 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่เฟสสองในปี 2025 SK hynix ชำระเงินอีก 1.9 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ทีมงานวิจัย และ R&D ที่เกี่ยวข้อง.

    ประเด็นเทคนิคที่สำคัญ:
    - Intel และ SK hynix ใช้เทคโนโลยีต่างกัน Intel ใช้เทคโนโลยี floating gate NAND ในขณะที่ SK hynix เน้น charge trap flash (CTF) ทำให้การรวมการผลิตต้องปรับตัวเพื่อความลงตัวระหว่างสองเทคโนโลยี.

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การซื้อขายครั้งนี้ทำให้ Solidigm ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ SK hynix มีบทบาทสำคัญในตลาด SSD สำหรับองค์กร และยกระดับความสามารถของ SK hynix ในการแข่งขันระดับโลก.

    การพัฒนาที่คาดหวัง:
    - SK hynix อาจวางแผนรวมการผลิต NAND ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นหนึ่งเดียวในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต.

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/intel-and-sk-hynix-close-nand-business-deal-intel-gets-usd1-9-billion-sk-hynix-gets-ip-and-employees
    Intel และ SK hynix ปิดดีลการซื้อขายธุรกิจ NAND อย่างสมบูรณ์ ซึ่ง SK hynix ได้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและทีมวิจัยจาก Intel ผ่านบริษัท Solidigm ส่งผลให้ SK hynix มีศักยภาพมากขึ้นในตลาด SSD ระดับองค์กร แม้สองบริษัทจะใช้เทคโนโลยีผลิต NAND ที่แตกต่างกัน แต่ SK hynix มีเป้าหมายในการรวมเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนในอนาคต ขั้นตอนการซื้อขาย: - เฟสแรกในปี 2021 SK hynix ได้รับทรัพย์สินด้านธุรกิจ SSD และโรงงานผลิต NAND ในจีนจาก Intel มูลค่า 6.61 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่เฟสสองในปี 2025 SK hynix ชำระเงินอีก 1.9 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ทีมงานวิจัย และ R&D ที่เกี่ยวข้อง. ประเด็นเทคนิคที่สำคัญ: - Intel และ SK hynix ใช้เทคโนโลยีต่างกัน Intel ใช้เทคโนโลยี floating gate NAND ในขณะที่ SK hynix เน้น charge trap flash (CTF) ทำให้การรวมการผลิตต้องปรับตัวเพื่อความลงตัวระหว่างสองเทคโนโลยี. ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การซื้อขายครั้งนี้ทำให้ Solidigm ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ SK hynix มีบทบาทสำคัญในตลาด SSD สำหรับองค์กร และยกระดับความสามารถของ SK hynix ในการแข่งขันระดับโลก. การพัฒนาที่คาดหวัง: - SK hynix อาจวางแผนรวมการผลิต NAND ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นหนึ่งเดียวในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต. https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/intel-and-sk-hynix-close-nand-business-deal-intel-gets-usd1-9-billion-sk-hynix-gets-ip-and-employees
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft เปิดตัว DirectX Raytracing (DXR) 1.2 และ Neural Rendering ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของ GPU จาก AMD, Intel, และ NVIDIA สูงสุด 10 เท่า เทคโนโลยีใหม่นี้ช่วยให้ภาพในเกมและหนัง 3D ดูสมจริงขึ้น โดยลดการใช้ทรัพยากรฮาร์ดแวร์และทำให้เล่นเกมไหลลื่นกว่าเดิม นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับวงการกราฟิกที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่เร็วขึ้นและคุ้มค่า

    เทคโนโลยีที่เปลี่ยนโฉมวงการ:
    - Microsoft ได้นำเสนอ Opacity Micromaps (OMM) ซึ่งช่วยลดการคำนวณในงานกราฟิกที่เกี่ยวกับพื้นผิวแบบโปร่งใส โดยการเก็บข้อมูลการโปร่งใสล่วงหน้า.
    - อีกนวัตกรรมคือ Neural Rendering ซึ่งใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อเร่งการสร้างภาพให้เร็วขึ้นและลดการใช้ทรัพยากร GPU.

    ประโยชน์สำหรับผู้ใช้งาน:
    - เทคโนโลยีใหม่ช่วยปรับปรุงเฟรมเรตในเกมแบบเรียลไทม์ และลดปัญหาการสะดุด (stuttering) ในกราฟิกที่ซับซ้อน.
    - นักพัฒนาสามารถสร้างภาพในเกมที่ดูสมจริงขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีราคาแพงเกินไป.

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม:
    - นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับนักพัฒนาเกมและสตูดิโอภาพยนตร์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความคมชัดของภาพ.
    - NVIDIA และ AMD เตรียมปรับปรุงไดรเวอร์ให้เข้ากับ DXR 1.2 เพื่อดึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์ออกมาได้เต็มที่

    https://www.techpowerup.com/334455/microsoft-directx-raytracing-1-2-and-neural-rendering-brings-up-to-10x-speedup-for-amd-intel-and-nvidia-gpus
    Microsoft เปิดตัว DirectX Raytracing (DXR) 1.2 และ Neural Rendering ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของ GPU จาก AMD, Intel, และ NVIDIA สูงสุด 10 เท่า เทคโนโลยีใหม่นี้ช่วยให้ภาพในเกมและหนัง 3D ดูสมจริงขึ้น โดยลดการใช้ทรัพยากรฮาร์ดแวร์และทำให้เล่นเกมไหลลื่นกว่าเดิม นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับวงการกราฟิกที่กำลังมองหาเทคโนโลยีที่เร็วขึ้นและคุ้มค่า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนโฉมวงการ: - Microsoft ได้นำเสนอ Opacity Micromaps (OMM) ซึ่งช่วยลดการคำนวณในงานกราฟิกที่เกี่ยวกับพื้นผิวแบบโปร่งใส โดยการเก็บข้อมูลการโปร่งใสล่วงหน้า. - อีกนวัตกรรมคือ Neural Rendering ซึ่งใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อเร่งการสร้างภาพให้เร็วขึ้นและลดการใช้ทรัพยากร GPU. ประโยชน์สำหรับผู้ใช้งาน: - เทคโนโลยีใหม่ช่วยปรับปรุงเฟรมเรตในเกมแบบเรียลไทม์ และลดปัญหาการสะดุด (stuttering) ในกราฟิกที่ซับซ้อน. - นักพัฒนาสามารถสร้างภาพในเกมที่ดูสมจริงขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีราคาแพงเกินไป. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม: - นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับนักพัฒนาเกมและสตูดิโอภาพยนตร์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความคมชัดของภาพ. - NVIDIA และ AMD เตรียมปรับปรุงไดรเวอร์ให้เข้ากับ DXR 1.2 เพื่อดึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์ออกมาได้เต็มที่ https://www.techpowerup.com/334455/microsoft-directx-raytracing-1-2-and-neural-rendering-brings-up-to-10x-speedup-for-amd-intel-and-nvidia-gpus
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Microsoft DirectX Raytracing 1.2 and Neural Rendering Brings up to 10x Speedup for AMD, Intel, and NVIDIA GPUs
    Microsoft's DirectX Raytracing (DXR) 1.2 announcement at GDC 2025 introduces two technical innovations that address fundamental ray tracing performance bottlenecks. Opacity micromaps (OMM) reduce the computational overhead in alpha-tested geometry by storing pre-computed opacity data, eliminating re...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • Foxconn เพิ่งประกาศผลประกอบการของปี 2024 ซึ่งถือเป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 17 ปี โดยรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ ที่สำคัญ Foxconn ยังเดินหน้าลุยตลาด AI server และรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ปี 2025 นี้พวกเขายังตั้งเป้าทำให้ตลาด AI server เติบโตเป็นสองเท่าและเน้นสร้างความร่วมมือกับผู้ผลิตระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

    ผลการดำเนินงานและการเติบโต:
    - รายได้รวมของปี 2024 สูงถึง 6.86 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
    - กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 10.6% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 20.5%

    การพัฒนาเทคโนโลยี AI และ EV:
    - Foxconn วางแผนพัฒนาแพลตฟอร์ม 3 ด้าน ได้แก่ Smart Manufacturing, Smart EV และ Smart City โดยใช้ Generative AI และระบบ AI server เพื่อเสริมศักยภาพและลดต้นทุนการผลิต
    - ในปี 2025 Foxconn คาดการณ์ว่ารายได้จาก AI server จะเพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบทั้งรายไตรมาสและรายปี

    แผนธุรกิจอนาคต:
    - บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ AI server เป็นอย่างน้อย 40%
    - มีความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะลงนามในสัญญาภายใน 1-2 เดือน และเตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Model B และ Model C ในตลาดอเมริกาเหนือในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

    https://www.techpowerup.com/334122/foxconn-reports-17-year-high-in-fy2024-q4-financial-results
    Foxconn เพิ่งประกาศผลประกอบการของปี 2024 ซึ่งถือเป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 17 ปี โดยรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจ ที่สำคัญ Foxconn ยังเดินหน้าลุยตลาด AI server และรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ปี 2025 นี้พวกเขายังตั้งเป้าทำให้ตลาด AI server เติบโตเป็นสองเท่าและเน้นสร้างความร่วมมือกับผู้ผลิตระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ผลการดำเนินงานและการเติบโต: - รายได้รวมของปี 2024 สูงถึง 6.86 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน เพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา - กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 10.6% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 20.5% การพัฒนาเทคโนโลยี AI และ EV: - Foxconn วางแผนพัฒนาแพลตฟอร์ม 3 ด้าน ได้แก่ Smart Manufacturing, Smart EV และ Smart City โดยใช้ Generative AI และระบบ AI server เพื่อเสริมศักยภาพและลดต้นทุนการผลิต - ในปี 2025 Foxconn คาดการณ์ว่ารายได้จาก AI server จะเพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบทั้งรายไตรมาสและรายปี แผนธุรกิจอนาคต: - บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ AI server เป็นอย่างน้อย 40% - มีความร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะลงนามในสัญญาภายใน 1-2 เดือน และเตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Model B และ Model C ในตลาดอเมริกาเหนือในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 https://www.techpowerup.com/334122/foxconn-reports-17-year-high-in-fy2024-q4-financial-results
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Foxconn Reports 17-Year High in FY2024 & Q4 Financial Results
    Hon Hai Technology Group ("Foxconn") today announced its full year and fourth quarter 2024 financial results. Full year 2024 net profit reached NT$152.7 billion, resulting in earnings per share of NT$11.01, a 17-year-high. At the same time, the Group announced that it will distribute a cash divid...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Texas Instruments (TI) เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในชื่อ MSPM0C1104 ซึ่งมีขนาดเพียง 1.38 มม.² หรือเล็กเท่ากับเม็ดพริกไทยดำ และมาพร้อมราคาที่น่าทึ่งเพียง 20 เซนต์ ต่อชิ้นเมื่อสั่งซื้อจำนวนมาก

    คุณสมบัติที่น่าทึ่งของ MSPM0C1104:
    - หน่วยประมวลผล Cortex-M0+ 32 บิต ทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 24 MHz เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด
    - หน่วยความจำ SRAM 1KB และหน่วยความจำแบบแฟลชสูงสุด 16KB ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นได้ดี
    - มีฟังก์ชัน Analog-to-Digital Converter (ADC) ความละเอียด 12 บิตพร้อม 3 ช่องสัญญาณที่ช่วยให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์
    - รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานต่าง ๆ เช่น UART, SPI, และ I2C เพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบอุปกรณ์

    ไมโครคอนโทรลเลอร์นี้มีความทนทานสูง โดยทำงานได้ในอุณหภูมิระหว่าง –40°C ถึง 125°C และยังมีความประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานเพียง 87μA/MHz ขณะทำงาน และเพียง 5μA ในโหมดสแตนด์บาย

    TI ชี้ให้เห็นว่า MSPM0C1104 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ หรือ หูฟังไร้สาย ที่มีพื้นที่บอร์ดจำกัด การพัฒนานี้ยังช่วยให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความฉลาดขึ้นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น

    ด้วยราคาที่เข้าถึงได้อย่างมาก (เพียง 20 เซนต์ในปริมาณมาก) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ IoT และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-worlds-smallest-microcontroller-measures-just-1-38-mm2-and-costs-20-cents
    บริษัท Texas Instruments (TI) เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในชื่อ MSPM0C1104 ซึ่งมีขนาดเพียง 1.38 มม.² หรือเล็กเท่ากับเม็ดพริกไทยดำ และมาพร้อมราคาที่น่าทึ่งเพียง 20 เซนต์ ต่อชิ้นเมื่อสั่งซื้อจำนวนมาก คุณสมบัติที่น่าทึ่งของ MSPM0C1104: - หน่วยประมวลผล Cortex-M0+ 32 บิต ทำงานด้วยความเร็วสูงสุด 24 MHz เหมาะสำหรับการใช้งานในอุปกรณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในพื้นที่จำกัด - หน่วยความจำ SRAM 1KB และหน่วยความจำแบบแฟลชสูงสุด 16KB ทำให้ตอบสนองงานที่ต้องการการจัดเก็บและการประมวลผลข้อมูลเบื้องต้นได้ดี - มีฟังก์ชัน Analog-to-Digital Converter (ADC) ความละเอียด 12 บิตพร้อม 3 ช่องสัญญาณที่ช่วยให้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ - รองรับการเชื่อมต่อมาตรฐานต่าง ๆ เช่น UART, SPI, และ I2C เพื่อความยืดหยุ่นในการออกแบบอุปกรณ์ ไมโครคอนโทรลเลอร์นี้มีความทนทานสูง โดยทำงานได้ในอุณหภูมิระหว่าง –40°C ถึง 125°C และยังมีความประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานเพียง 87μA/MHz ขณะทำงาน และเพียง 5μA ในโหมดสแตนด์บาย TI ชี้ให้เห็นว่า MSPM0C1104 เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ หรือ หูฟังไร้สาย ที่มีพื้นที่บอร์ดจำกัด การพัฒนานี้ยังช่วยให้อุปกรณ์เหล่านี้มีความฉลาดขึ้นและสามารถสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ดีขึ้น ด้วยราคาที่เข้าถึงได้อย่างมาก (เพียง 20 เซนต์ในปริมาณมาก) อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมในตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ IoT และผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-worlds-smallest-microcontroller-measures-just-1-38-mm2-and-costs-20-cents
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนกำลังก้าวเข้าสู่วงการ EUV Lithography (Extreme Ultraviolet Lithography) ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์แบบ LDP (Laser-Induced Discharge Plasma) ซึ่งกำลังทดสอบที่โรงงานของ Huawei ในเมืองตงกวน โดยเป้าหมายคือการเริ่มการผลิตเชิงทดลองในไตรมาส 3 ปี 2025 และผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2026 อุปกรณ์นี้อาจทำให้จีนหลุดพ้นจากการพึ่งพาผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่น ASML ที่ครองตลาดด้านเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนาน

    = วิธีการทำงานของ LDP และข้อได้เปรียบ =
    1) การสร้างแสง EUV: แสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรถูกผลิตขึ้นโดยการระเหยดีบุกให้กลายเป็นพลาสมา ผ่านกระบวนการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง วิธีนี้ต่างจากเทคนิค LPP (Laser-Produced Plasma) ของ ASML ที่ใช้เลเซอร์พลังงานสูงและระบบควบคุมซับซ้อน

    2) ข้อได้เปรียบของ LDP:
    - โครงสร้างเครื่องจักรเรียบง่ายกว่า
    - ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว

    = ความสำคัญในบริบทการคว่ำบาตร =
    ก่อนหน้านี้ จีนประสบปัญหาในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เนื่องจากถูกจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ EUV จากสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้การพัฒนาชิปต้องใช้เทคนิค DUV (Deep Ultraviolet) ที่มีข้อจำกัด เช่น การใช้ความยาวคลื่นที่ใหญ่กว่า (193 นาโนเมตร) และการทำการแพทเทิร์นหลายครั้ง (Multi-patterning) ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน แต่เทคโนโลยี LDP ของ Huawei นี้อาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนได้อย่างมหาศาล

    อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายที่สำคัญ:
    - ความสามารถในการสร้างภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอ
    - ความคงที่ของระบบในกระบวนการผลิตจำนวนมาก
    - การรวมอุปกรณ์นี้เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หากอุปกรณ์ของ Huawei สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ จีนอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และลดอิทธิพลของ ASML ในตลาดนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจเป็น "DeepSeek Moment" ที่จะปฏิวัติวงการการผลิตชิปในประเทศจีน

    https://www.techpowerup.com/333801/china-develops-domestic-euv-tool-asml-monopoly-in-trouble
    จีนกำลังก้าวเข้าสู่วงการ EUV Lithography (Extreme Ultraviolet Lithography) ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์แบบ LDP (Laser-Induced Discharge Plasma) ซึ่งกำลังทดสอบที่โรงงานของ Huawei ในเมืองตงกวน โดยเป้าหมายคือการเริ่มการผลิตเชิงทดลองในไตรมาส 3 ปี 2025 และผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2026 อุปกรณ์นี้อาจทำให้จีนหลุดพ้นจากการพึ่งพาผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่น ASML ที่ครองตลาดด้านเทคโนโลยีนี้มาอย่างยาวนาน = วิธีการทำงานของ LDP และข้อได้เปรียบ = 1) การสร้างแสง EUV: แสง EUV ที่ความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตรถูกผลิตขึ้นโดยการระเหยดีบุกให้กลายเป็นพลาสมา ผ่านกระบวนการปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูง วิธีนี้ต่างจากเทคนิค LPP (Laser-Produced Plasma) ของ ASML ที่ใช้เลเซอร์พลังงานสูงและระบบควบคุมซับซ้อน 2) ข้อได้เปรียบของ LDP: - โครงสร้างเครื่องจักรเรียบง่ายกว่า - ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - ลดต้นทุนการผลิตในระยะยาว = ความสำคัญในบริบทการคว่ำบาตร = ก่อนหน้านี้ จีนประสบปัญหาในการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เนื่องจากถูกจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ EUV จากสหรัฐฯ และพันธมิตร ทำให้การพัฒนาชิปต้องใช้เทคนิค DUV (Deep Ultraviolet) ที่มีข้อจำกัด เช่น การใช้ความยาวคลื่นที่ใหญ่กว่า (193 นาโนเมตร) และการทำการแพทเทิร์นหลายครั้ง (Multi-patterning) ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน แต่เทคโนโลยี LDP ของ Huawei นี้อาจช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายที่สำคัญ: - ความสามารถในการสร้างภาพที่คมชัดและละเอียดเพียงพอ - ความคงที่ของระบบในกระบวนการผลิตจำนวนมาก - การรวมอุปกรณ์นี้เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอุปกรณ์ของ Huawei สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ได้ จีนอาจกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และลดอิทธิพลของ ASML ในตลาดนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจเป็น "DeepSeek Moment" ที่จะปฏิวัติวงการการผลิตชิปในประเทศจีน https://www.techpowerup.com/333801/china-develops-domestic-euv-tool-asml-monopoly-in-trouble
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    China Develops Domestic EUV Tool, ASML Monopoly in Trouble
    China's domestic extreme ultraviolet (EUV) lithography development is far from a distant dream. The newest system, now undergoing testing at Huawei's Dongguan facility, leverages laser-induced discharge plasma (LDP) technology, representing a potentially disruptive approach to EUV light generation. ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 712 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ได้เปิดตัวชิปควอนตัมใหม่ชื่อว่า Ocelot ซึ่งเป็นโซลูชันการประมวลผลควอนตัมที่สามารถลดต้นทุนในการแก้ไขข้อผิดพลาดได้สูงสุดถึง 90% ชิปนี้ใช้เทคโนโลยี "cat qubits" ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของการประมวลผลควอนตัม

    การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการเปิดตัวโซลูชันการประมวลผลควอนตัมใหม่ของ Microsoft ชื่อว่า Majorana 1 ซึ่งมุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลควอนตัมผ่านเทคโนโลยี "topoconductor" โดยการประกวดแข่งขันในด้านนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้จริง

    Ocelot ได้รับการออกแบบมาเพื่อเน้นการแก้ไขข้อผิดพลาดควอนตัมโดยลดต้นทุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการทำสิ่งนี้ Oskar Painter, ผู้อำนวยการ Quantum Hardware ของ AWS กล่าวว่า "ด้วยความก้าวหน้าในงานวิจัยควอนตัมเร็วๆ นี้ มันไม่ใช่เรื่องของถ้า แต่เป็นเรื่องของเมื่อ ที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีความทนทานต่อข้อผิดพลาดจะพร้อมใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง"

    AWS มองว่าชิป Ocelot จะสามารถลดต้นทุนการผลิตควอนตัมชิปลงได้สูงสุดถึงห้าเท่าเมื่อเทียบกับวิธีการปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยเร่งการใช้งานจริงของควอนตัมคอมพิวเตอร์เร็วขึ้นถึงห้าปี

    ความสามารถในการแข่งขันระหว่าง Amazon และ Microsoft ในด้านการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ จะทำให้ผู้บริโภคและธุรกิจได้ประโยชน์ในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/amazons-ocelot-quantum-chip-uses-cat-cubits-to-reduce-error-correction-by-up-to-90-percent
    Amazon ได้เปิดตัวชิปควอนตัมใหม่ชื่อว่า Ocelot ซึ่งเป็นโซลูชันการประมวลผลควอนตัมที่สามารถลดต้นทุนในการแก้ไขข้อผิดพลาดได้สูงสุดถึง 90% ชิปนี้ใช้เทคโนโลยี "cat qubits" ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของการประมวลผลควอนตัม การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการเปิดตัวโซลูชันการประมวลผลควอนตัมใหม่ของ Microsoft ชื่อว่า Majorana 1 ซึ่งมุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลควอนตัมผ่านเทคโนโลยี "topoconductor" โดยการประกวดแข่งขันในด้านนี้จะช่วยเร่งการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้จริง Ocelot ได้รับการออกแบบมาเพื่อเน้นการแก้ไขข้อผิดพลาดควอนตัมโดยลดต้นทุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการทำสิ่งนี้ Oskar Painter, ผู้อำนวยการ Quantum Hardware ของ AWS กล่าวว่า "ด้วยความก้าวหน้าในงานวิจัยควอนตัมเร็วๆ นี้ มันไม่ใช่เรื่องของถ้า แต่เป็นเรื่องของเมื่อ ที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีความทนทานต่อข้อผิดพลาดจะพร้อมใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง" AWS มองว่าชิป Ocelot จะสามารถลดต้นทุนการผลิตควอนตัมชิปลงได้สูงสุดถึงห้าเท่าเมื่อเทียบกับวิธีการปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยเร่งการใช้งานจริงของควอนตัมคอมพิวเตอร์เร็วขึ้นถึงห้าปี ความสามารถในการแข่งขันระหว่าง Amazon และ Microsoft ในด้านการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ จะทำให้ผู้บริโภคและธุรกิจได้ประโยชน์ในระยะยาว https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/amazons-ocelot-quantum-chip-uses-cat-cubits-to-reduce-error-correction-by-up-to-90-percent
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Amazon's Ocelot quantum chip uses 'cat qubits' to 'reduce error correction by up to 90%'
    Architecture change should accelerate the quantum timeline and significantly reduce costs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 203 มุมมอง 0 รีวิว
  • iPhone 16e ของ Apple ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพครั้งแรก และเผยให้เห็นว่า A18 ชิปที่ใช้ใน iPhone 16e นั้นมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิปใน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ประมาณ 15% สาเหตุเกิดจากการที่ Apple ใช้วิธีการที่เรียกว่า chip-binning เพื่อผลิตชิป A18 ซึ่งทำให้ชิปนี้มี GPU 4-core แทนที่จะเป็น 5-core ที่ใช้ในรุ่นอื่น ๆ

    แม้ว่า iPhone 16e จะมีราคาถูกกว่า ($599) แต่ยังคงมี RAM 8GB ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับฟีเจอร์ AI ที่ทำงานบนอุปกรณ์ได้ ผลการทดสอบใน Geekbench 6 Metal แสดงให้เห็นว่า iPhone 16e ได้คะแนน 24,188 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นอื่น ๆ เนื่องจากมี GPU core น้อยกว่า

    การใช้ chip-binning นั้นอาจเป็นการลดต้นทุนการผลิตหรือเป็นการสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นต่าง ๆ ของ iPhone 16 แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ การลดจำนวน GPU core ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานด้านกราฟิก อย่างไรก็ตาม Apple ไม่ได้ลดจำนวน CPU core ของ A18 ซึ่งยังคงมีจำนวนเท่าเดิมกับรุ่นอื่น ๆ

    สำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกที่ดีกว่า อาจต้องพิจารณาซื้อรุ่น iPhone 16 หรือ iPhone 16 Plus ซึ่งจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า

    https://wccftech.com/iphone-16e-a18-gpu-benchmark-15-percent-slower-than-than-non-binned-version/
    iPhone 16e ของ Apple ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพครั้งแรก และเผยให้เห็นว่า A18 ชิปที่ใช้ใน iPhone 16e นั้นมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิปใน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ประมาณ 15% สาเหตุเกิดจากการที่ Apple ใช้วิธีการที่เรียกว่า chip-binning เพื่อผลิตชิป A18 ซึ่งทำให้ชิปนี้มี GPU 4-core แทนที่จะเป็น 5-core ที่ใช้ในรุ่นอื่น ๆ แม้ว่า iPhone 16e จะมีราคาถูกกว่า ($599) แต่ยังคงมี RAM 8GB ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับฟีเจอร์ AI ที่ทำงานบนอุปกรณ์ได้ ผลการทดสอบใน Geekbench 6 Metal แสดงให้เห็นว่า iPhone 16e ได้คะแนน 24,188 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นอื่น ๆ เนื่องจากมี GPU core น้อยกว่า การใช้ chip-binning นั้นอาจเป็นการลดต้นทุนการผลิตหรือเป็นการสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นต่าง ๆ ของ iPhone 16 แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ การลดจำนวน GPU core ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานด้านกราฟิก อย่างไรก็ตาม Apple ไม่ได้ลดจำนวน CPU core ของ A18 ซึ่งยังคงมีจำนวนเท่าเดิมกับรุ่นอื่น ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพกราฟิกที่ดีกว่า อาจต้องพิจารณาซื้อรุ่น iPhone 16 หรือ iPhone 16 Plus ซึ่งจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า https://wccftech.com/iphone-16e-a18-gpu-benchmark-15-percent-slower-than-than-non-binned-version/
    WCCFTECH.COM
    The iPhone 16e Goes Through Its First Benchmark Run, With The Binned A18’s GPU Obtaining A 15 Percent Lower Score Than The 5-Core Version Running In The Other Models
    Apple’s newest iPhone entrant, the iPhone 16e, was spotted in the latest benchmark, with the A18 GPU posting a lower score than the other version
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • Deutsche Telekom ได้เปิดตัวโปรเจคใหม่ที่น่าทึ่ง ชื่อว่า "NeoCircuit Router" โปรเจคนี้เป็นความพยายามในการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำชิ้นส่วนจากสมาร์ทโฟนเก่ามาประกอบกันเป็นเราเตอร์ใหม่ ตัวเราเตอร์นี้ใช้โปรเซสเซอร์ ชิปหน่วยความจำ และการเชื่อมต่อทางกายภาพจากสมาร์ทโฟนเก่า ซึ่งมีอัตราการนำกลับมาใช้ใหม่สูงถึง 70%

    Dr. Henning Never ผู้จัดการโปรเจคของ Deutsche Telekom เชื่อว่า NeoCircuit Router นี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Bertrand Pascual จาก Sagemcom ยังเสริมว่าการนำโปรเซสเซอร์จากสมาร์ทโฟนมาใช้ในอุปกรณ์อื่น ๆ นั้นเป็นการประหยัดทรัพยากรและทำให้มีความคุ้มค่าทางการเงิน

    การเปิดตัวของ NeoCircuit Router จะมีขึ้นในงาน Mobile World Congress 2025 ที่บาร์เซโลน่าในวันที่ 3 มีนาคม หากโปรเจคนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับการผลิตชิ้นส่วนใหม่ทั้งหมด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญในการส่งเสริมการนำทรัพยากรมาใช้ใหม่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์

    https://www.techradar.com/pro/europes-largest-telco-wants-to-slash-the-cost-of-your-router-by-reusing-your-old-smartphone-and-i-think-it-is-genius
    Deutsche Telekom ได้เปิดตัวโปรเจคใหม่ที่น่าทึ่ง ชื่อว่า "NeoCircuit Router" โปรเจคนี้เป็นความพยายามในการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำชิ้นส่วนจากสมาร์ทโฟนเก่ามาประกอบกันเป็นเราเตอร์ใหม่ ตัวเราเตอร์นี้ใช้โปรเซสเซอร์ ชิปหน่วยความจำ และการเชื่อมต่อทางกายภาพจากสมาร์ทโฟนเก่า ซึ่งมีอัตราการนำกลับมาใช้ใหม่สูงถึง 70% Dr. Henning Never ผู้จัดการโปรเจคของ Deutsche Telekom เชื่อว่า NeoCircuit Router นี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Bertrand Pascual จาก Sagemcom ยังเสริมว่าการนำโปรเซสเซอร์จากสมาร์ทโฟนมาใช้ในอุปกรณ์อื่น ๆ นั้นเป็นการประหยัดทรัพยากรและทำให้มีความคุ้มค่าทางการเงิน การเปิดตัวของ NeoCircuit Router จะมีขึ้นในงาน Mobile World Congress 2025 ที่บาร์เซโลน่าในวันที่ 3 มีนาคม หากโปรเจคนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับการผลิตชิ้นส่วนใหม่ทั้งหมด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญในการส่งเสริมการนำทรัพยากรมาใช้ใหม่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ https://www.techradar.com/pro/europes-largest-telco-wants-to-slash-the-cost-of-your-router-by-reusing-your-old-smartphone-and-i-think-it-is-genius
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 484 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ่นยนต์ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูงเป็นสิ่งที่หลายคนสนใจ โดยเฉพาะในวงการอุตสาหกรรม การศึกษา และการใช้งานทั่วไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการออกแบบหรือเลือกหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง:

    ### 1. **เลือกใช้ชิ้นส่วนราคาประหยัด**
    - **ไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาถูก**: เช่น Arduino, ESP32, หรือ Raspberry Pi Pico ซึ่งมีราคาไม่สูงแต่มีความสามารถเพียงพอสำหรับงานพื้นฐานหลายประเภท
    - **มอเตอร์และเซ็นเซอร์ราคาประหยัด**: เลือกมอเตอร์ DC หรือเซอร์โวมอเตอร์ที่ราคาไม่สูง แต่ยังทำงานได้ดีในงานทั่วไป เช่น MG90S สำหรับแขนกลเล็กๆ

    ### 2. **ออกแบบอย่างง่าย**
    - **ลดความซับซ้อน**: ออกแบบโครงสร้างและระบบควบคุมให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเวลาในการพัฒนา
    - **ใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูป**: เลือกชิ้นส่วนที่หาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูก เช่น โครงสร้างพลาสติกหรืออลูมิเนียม

    ### 3. **ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส**
    - **ระบบปฏิบัติการและไลบรารีฟรี**: ใช้ระบบปฏิบัติการเช่น ROS (Robot Operating System) หรือไลบรารีโอเพนซอร์สสำหรับการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์
    - **ชุมชนสนับสนุน**: ชุมชนโอเพนซอร์สมีทรัพยากรและความรู้มากมายที่ช่วยลดต้นทุนในการพัฒนา

    ### 4. **ประยุกต์ใช้ในงานเฉพาะทาง**
    - **หุ่นยนต์สำหรับงานเฉพาะ**: ออกแบบหุ่นยนต์ให้เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาด หุ่นยนต์ขนส่งเล็กๆ หรือหุ่นยนต์สำรวจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีฟังก์ชันที่ซับซ้อน
    - **ลดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็น**: หลีกเลี่ยงการเพิ่มฟังก์ชันที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น

    ### 5. **ผลิตจำนวนมาก**
    - **ประหยัดจากขนาด**: หากผลิตหุ่นยนต์ในจำนวนมาก ต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงอย่างมาก
    - **การผลิตแบบโมดูลาร์**: ออกแบบให้ชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกันได้ในหลายรุ่น เพื่อลดต้นทุนการผลิตและสต็อกชิ้นส่วน

    ### 6. **ตัวอย่างหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำ**
    - **หุ่นยนต์เส้นทาง (Line Following Robot)**: ใช้เซ็นเซอร์อินฟราเรดและมอเตอร์ DC ง่ายๆ
    - **หุ่นยนต์แขนกลขนาดเล็ก**: ใช้เซอร์โวมอเตอร์ราคาประหยัดและควบคุมด้วย Arduino
    - **หุ่นยนต์สำรวจ**: ใช้เซ็นเซอร์ Ultrasonic และมอเตอร์เกียร์บ็อกซ์ราคาถูก

    ### 7. **การประหยัดพลังงาน**
    - **ใช้แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง**: เลือกแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานนานแต่ราคาไม่สูง เช่น Li-ion หรือ LiPo
    - **ออกแบบระบบประหยัดพลังงาน**: ลดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยการออกแบบวงจรและซอฟต์แวร์ที่ประหยัดพลังงาน

    ### 8. **ทดสอบและปรับปรุง**
    - **ทดสอบบ่อยๆ**: เพื่อหาจุดบกพร่องและปรับปรุงประสิทธิภาพก่อนผลิตจำนวนมาก
    - **รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้**: เพื่อปรับปรุงการออกแบบให้ดีขึ้นโดยไม่เพิ่มต้นทุน

    ### 9. **แหล่งข้อมูลและชุมชน**
    - **เว็บไซต์และฟอรัม**: เช่น GitHub, Hackster.io, หรือ Reddit ที่มีโครงการหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำมากมาย
    - **หนังสือและคู่มือ**: หาหนังสือหรือคู่มือเกี่ยวกับการสร้างหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำ

    ด้วยแนวทางเหล่านี้ คุณสามารถสร้างหรือเลือกหุ่นยนต์ที่ต้นทุนต่ำแต่ยังมีประสิทธิภาพสูงได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของคุณ
    หุ่นยนต์ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูงเป็นสิ่งที่หลายคนสนใจ โดยเฉพาะในวงการอุตสาหกรรม การศึกษา และการใช้งานทั่วไป ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการออกแบบหรือเลือกหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง: ### 1. **เลือกใช้ชิ้นส่วนราคาประหยัด** - **ไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาถูก**: เช่น Arduino, ESP32, หรือ Raspberry Pi Pico ซึ่งมีราคาไม่สูงแต่มีความสามารถเพียงพอสำหรับงานพื้นฐานหลายประเภท - **มอเตอร์และเซ็นเซอร์ราคาประหยัด**: เลือกมอเตอร์ DC หรือเซอร์โวมอเตอร์ที่ราคาไม่สูง แต่ยังทำงานได้ดีในงานทั่วไป เช่น MG90S สำหรับแขนกลเล็กๆ ### 2. **ออกแบบอย่างง่าย** - **ลดความซับซ้อน**: ออกแบบโครงสร้างและระบบควบคุมให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเวลาในการพัฒนา - **ใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูป**: เลือกชิ้นส่วนที่หาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูก เช่น โครงสร้างพลาสติกหรืออลูมิเนียม ### 3. **ใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส** - **ระบบปฏิบัติการและไลบรารีฟรี**: ใช้ระบบปฏิบัติการเช่น ROS (Robot Operating System) หรือไลบรารีโอเพนซอร์สสำหรับการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ - **ชุมชนสนับสนุน**: ชุมชนโอเพนซอร์สมีทรัพยากรและความรู้มากมายที่ช่วยลดต้นทุนในการพัฒนา ### 4. **ประยุกต์ใช้ในงานเฉพาะทาง** - **หุ่นยนต์สำหรับงานเฉพาะ**: ออกแบบหุ่นยนต์ให้เหมาะกับงานเฉพาะทาง เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาด หุ่นยนต์ขนส่งเล็กๆ หรือหุ่นยนต์สำรวจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีฟังก์ชันที่ซับซ้อน - **ลดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็น**: หลีกเลี่ยงการเพิ่มฟังก์ชันที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น ### 5. **ผลิตจำนวนมาก** - **ประหยัดจากขนาด**: หากผลิตหุ่นยนต์ในจำนวนมาก ต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงอย่างมาก - **การผลิตแบบโมดูลาร์**: ออกแบบให้ชิ้นส่วนสามารถใช้ร่วมกันได้ในหลายรุ่น เพื่อลดต้นทุนการผลิตและสต็อกชิ้นส่วน ### 6. **ตัวอย่างหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำ** - **หุ่นยนต์เส้นทาง (Line Following Robot)**: ใช้เซ็นเซอร์อินฟราเรดและมอเตอร์ DC ง่ายๆ - **หุ่นยนต์แขนกลขนาดเล็ก**: ใช้เซอร์โวมอเตอร์ราคาประหยัดและควบคุมด้วย Arduino - **หุ่นยนต์สำรวจ**: ใช้เซ็นเซอร์ Ultrasonic และมอเตอร์เกียร์บ็อกซ์ราคาถูก ### 7. **การประหยัดพลังงาน** - **ใช้แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง**: เลือกแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานนานแต่ราคาไม่สูง เช่น Li-ion หรือ LiPo - **ออกแบบระบบประหยัดพลังงาน**: ลดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยการออกแบบวงจรและซอฟต์แวร์ที่ประหยัดพลังงาน ### 8. **ทดสอบและปรับปรุง** - **ทดสอบบ่อยๆ**: เพื่อหาจุดบกพร่องและปรับปรุงประสิทธิภาพก่อนผลิตจำนวนมาก - **รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้**: เพื่อปรับปรุงการออกแบบให้ดีขึ้นโดยไม่เพิ่มต้นทุน ### 9. **แหล่งข้อมูลและชุมชน** - **เว็บไซต์และฟอรัม**: เช่น GitHub, Hackster.io, หรือ Reddit ที่มีโครงการหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำมากมาย - **หนังสือและคู่มือ**: หาหนังสือหรือคู่มือเกี่ยวกับการสร้างหุ่นยนต์ต้นทุนต่ำ ด้วยแนวทางเหล่านี้ คุณสามารถสร้างหรือเลือกหุ่นยนต์ที่ต้นทุนต่ำแต่ยังมีประสิทธิภาพสูงได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts