• นักวิทยาศาสตร์จาก Penn State University ได้พัฒนา อิเล็กโทรด EEG รูปแบบใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายเส้นผม ซึ่งช่วยให้สามารถ ตรวจจับคลื่นสมองได้โดยไม่ต้องใช้เจลหรือสายไฟ ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นและสะดวกต่อการใช้งานระยะยาว

    เทคโนโลยีใหม่นี้ช่วยให้สามารถ ตรวจจับสัญญาณ EEG ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณ และสามารถ ทนต่อการเคลื่อนไหวได้ถึง 100 รอบ โดยไม่หลุดออกจากหนังศีรษะ

    ✅ อิเล็กโทรด EEG รูปแบบใหม่มีลักษณะคล้ายเส้นผม
    - ช่วยให้สามารถ ตรวจจับคลื่นสมองได้โดยไม่ต้องใช้เจลหรือสายไฟ
    - ติดตั้งง่ายและสะดวกต่อการใช้งานระยะยาว

    ✅ สามารถตรวจจับสัญญาณ EEG ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
    - ไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณ
    - ทนต่อการเคลื่อนไหวได้ถึง 100 รอบ โดยไม่หลุดออกจากหนังศีรษะ

    ✅ ช่วยให้การตรวจสอบคลื่นสมองมีความแม่นยำมากขึ้น
    - ลดปัญหาสัญญาณอ่อนหรือขาดหาย
    - เหมาะสำหรับการตรวจสอบ โรคลมชัก, ความผิดปกติของการนอนหลับ และการบาดเจ็บทางสมอง

    ✅ สามารถนำไปใช้ในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการวิจัยสมอง
    - อาจช่วยให้สามารถ ศึกษาการทำงานของสมองในชีวิตประจำวันได้โดยไม่รบกวนกิจกรรมของผู้ใช้

    https://www.neowin.net/news/scientists-invent-hair-like-brain-monitor-tech-so-nobody-knows-youre-being-mapped/
    นักวิทยาศาสตร์จาก Penn State University ได้พัฒนา อิเล็กโทรด EEG รูปแบบใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายเส้นผม ซึ่งช่วยให้สามารถ ตรวจจับคลื่นสมองได้โดยไม่ต้องใช้เจลหรือสายไฟ ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นและสะดวกต่อการใช้งานระยะยาว เทคโนโลยีใหม่นี้ช่วยให้สามารถ ตรวจจับสัญญาณ EEG ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณ และสามารถ ทนต่อการเคลื่อนไหวได้ถึง 100 รอบ โดยไม่หลุดออกจากหนังศีรษะ ✅ อิเล็กโทรด EEG รูปแบบใหม่มีลักษณะคล้ายเส้นผม - ช่วยให้สามารถ ตรวจจับคลื่นสมองได้โดยไม่ต้องใช้เจลหรือสายไฟ - ติดตั้งง่ายและสะดวกต่อการใช้งานระยะยาว ✅ สามารถตรวจจับสัญญาณ EEG ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง - ไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณ - ทนต่อการเคลื่อนไหวได้ถึง 100 รอบ โดยไม่หลุดออกจากหนังศีรษะ ✅ ช่วยให้การตรวจสอบคลื่นสมองมีความแม่นยำมากขึ้น - ลดปัญหาสัญญาณอ่อนหรือขาดหาย - เหมาะสำหรับการตรวจสอบ โรคลมชัก, ความผิดปกติของการนอนหลับ และการบาดเจ็บทางสมอง ✅ สามารถนำไปใช้ในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการวิจัยสมอง - อาจช่วยให้สามารถ ศึกษาการทำงานของสมองในชีวิตประจำวันได้โดยไม่รบกวนกิจกรรมของผู้ใช้ https://www.neowin.net/news/scientists-invent-hair-like-brain-monitor-tech-so-nobody-knows-youre-being-mapped/
    WWW.NEOWIN.NET
    Scientists invent hair like brain monitor tech so nobody knows you're being mapped
    Scientists have invented a new EEG brain monitoring device that looks like a strand of hair on the head.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชนวนปะทุเดือดชายแดนไทย-สปป.ลาว ความสุ่มเสี่ยงความมั่นคงลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่จะลุกลามรอบไทย

    เสียงปืนลั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และนับเป็นปัญหาเฉพาะในแผ่นดินลาวที่ไม่ได้มีชายแดนติดกับเมียนมาร์ การปะทะเริ่มเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในฝั่ง สปป.ลาว บริเวณค่ายภูผาหม่น เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันกรมทหารพรานที่ 31 และกองกำลังผาเมือง ตรึงกำลังเฝ้าระวัง

    ทั้งแถบชายแดนทยอดปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 68 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะฝั่งตรงข้ามมีการใช้อาวุธปืนขนาด 7.62 ใช้สำหรับปืนอาก้า และอาวุธหนักกระทั่งมีเจ้าหน้าทีทหารของสปป.ลาวเสียชีวิต

    ความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์นี้คือจุดเริ่มที่ต้องสืบสาวหาต้นตอต้นเหตุ เพราะพื้นที่สถานการณ์ติดกับชายแดนไทยอย่างมาก

    The Analyzt ขอนำเสนอข้อมูลประกอบความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยที่ติดกับจังหวัดเชียงราย ที่จะไม่เป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอนาคต

    1. การวิเคราะห์สถานการณ์
    บริบททางประวัติศาสตร์และสาเหตุที่อาจเป็นไปได้:

    สงครามกลางเมืองลาว (พ.ศ. 2502-2518): ในอดีต ลาวตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างฝ่ายปะเทดลาว (คอมมิวนิสต์) และรัฐบาลราชอาณาจักรลาว โดยมีมหาอำนาจในสงครามเย็น (สหรัฐฯ และสหภาพโซเวีย ศูนย์กลางของการสู้รบอยู่ในพื้นที่เช่น แขวงเชียงขวาง ซึ่งกองพันปะเทดลาวเคยตั้งมั่น. สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ เช่น เวียดนามเหนือและสหรัฐฯ

    ความขัดแย้งชาติพันธุ์: ลาวตอนเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ชาวม้ง ลาวสูง และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเนื่องจากความต้องการปกครองตนเองหรือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม.
    ยาเสพติดและการค้ามนุษย์: พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (รอยต่อระหว่างลาว เมียนมา และไทย) เป็นแหล่งผลิตและลักลอบขนส่งยาเสพติด เช่น ไอซ์และยาบ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะระหว่างกลุ่มค้ายาและกองกำลังรัฐบาล

    ข้อพิพาทชายแดน: ความไม่ชัดเจนของเขตแดนในลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งเคยเกิดข้อพิพาทในอดีต.

    อิทธิพลจากเพื่อนบ้าน: สถานการณ์ในเมียนมา เช่น การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น KIA, MNDAA) อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังลาวตอนเหนือ

    กลุ่มกองกำลังที่อาจเกี่ยวข้อง:

    กองทัพประชาชนลาว (LPAF): เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของลาว มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและปกป้องพรมแดน อาจเกี่ยวข้องหากมีการปะทะกับกลุ่มค้ายาหรือกลุ่มกบฏ.

    กลุ่มชาติพันธุ์: เช่น ชาวม้งหรือกลุ่มลาวสูง ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับเล็กน้อย.

    กลุ่มค้ายาเสพติด: กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้ลาวตอนเหนือเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด มักปะทะกับกองกำลังรัฐบาลหรือทหารไทยบริเวณชายแดน.

    กลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล: แม้ว่าปะเทดลาวจะสิ้นสุดบทบาทในฐานะกองกำลังติดอาวุธหลังสงครามกลางเมือง แต่กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลอาจยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างไกล.

    แนวโน้มในอนาคต:
    การปะทะจากยาเสพติด: พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนจะยังคงเป็นจุดร้อนของการค้ายา ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะเป็นระยะๆ ระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มค้ายา.

    ผลกระทบจากเมียนมา: หากสถานการณ์ในเมียนมา (เช่น ปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง) ทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว สร้างความตึงเครียดในพื้นที่.

    ความร่วมมือในภูมิภาค: ลาวอาจเพิ่มความร่วมมือกับจีนและไทยในการควบคุมยาเสพติดและความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจลดการปะทะในระยะยาว.

    ข้อพิพาทแม่น้ำโขง: ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนในแม่น้ำโขงอาจทวีความรุนแรงหากมีการอ้างสิทธิ์ในเกาะกลางน้ำหรือทรัพยากรในแม่น้ำ.

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    ความเชื่อมโยงด้านพลังงานระหว่างลาวและไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหนี้สินของลาวและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว

    รายงานระบุว่าลาวมีหนี้สูงและต้องชำระหนี้ต่อจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้า Opportunities for Development Cooperation in Lao Strategic Sectors | CSIS. นอกจากนี้ การอพยพแรงงานจากลาวอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานในไทย แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดทางสังคม

    ความเชื่อมโยงทางพลังงาน: ลาวถูกเรียกว่า "แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากส่งออกไฟฟ้าจากเขื่อนไฮโดรพาวเวอร์ไปยังไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย Energy in Laos - Wikipedia.

    การค้าข้ามพรมแดน: ลาวและไทยมีความเชื่อมโยงผ่านการค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค หากลาวประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการลงทุนหรือการชะลอตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาจส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของไทย เช่น จังหวัดเชียงรายและหนองคาย Laos - The World Factbook

    การปรับตัวของระบบการค้าในภูมิภาคอาจเกิดการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุนไทยอาจลดการพึ่งพาเส้นทางผ่านลาวไปยังจีน โดยหันไปใช้เส้นทางอื่นมากขึ้นอาจมีการพัฒนาเส้นทางการค้าทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง

    แรงงานข้ามชาติ: ปัญหาเศรษฐกิจในลาวอาจทำให้มีแรงงานชาวลาวเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับนายจ้างไทย แต่ในทางกลับกันอาจสร้างความตึงเครียดทางสังคมและแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของไทย BTI 2024 Laos Country Report: BTI 2024.
    ท่าทีของไทยและการประเมินสถานการณ์

    ท่าทีของไทย
    ไทยมีแนวโน้มร่วมมือกับลาวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ:

    การปราบปรามยาเสพติด: ไทยและลาวมีความร่วมมือกันในการปราบปรามยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ เช่น การจัดตั้งจุดตรวจชายแดนร่วมและการลาดตระเวนร่วม Fighting drug trafficking in the Golden Triangle: a UN Resident Coordinator blog | UN News. นอกจากนี้ ไทยยังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC เพื่อลดการลักลอบขนยา Thai authorities and UNODC meet about precursor chemical trafficking in the Golden Triangle - UNODC.

    ความร่วมมือด้านพลังงาน: ไทยยังคงเป็นตลาดหลักในการซื้อไฟฟ้าจากลาว และอาจผลักดันการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนร่วมกันเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม Alternative Development Pathways for Thailand’s Sustainable Electricity Trade with Laos • Stimson Center

    การเตรียมพร้อมรับมือ: ไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันชายแดน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่สงบในลาว Guide to Investigating Organized Crime in the Golden Triangle — Introduction.

    มิติความมั่นคง: ดูเหมือนว่าปัญหายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีการผลิตและลักลอบขนส่งเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนเส้นทางผ่านลาวและกลับเข้ามาในไทย Asia's infamous Golden Triangle and the soldiers tracking down the drug smugglers who rule its narcotics trade - ABC News.

    นอกจากนี้ หากสถานการณ์ในเมียนมาทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้มีกลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมายังไทยเพิ่มขึ้น.

    การค้ายาเสพติด: ดูเหมือนว่าการค้ายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีตลาดเพิ่มขึ้นในภูมิภาค Q&A: The opium surge in Southeast Asia’s ‘Golden Triangle’ | Drugs News | Al Jazeera.

    ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและลาวจะยังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แต่ไทยควรพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนในลาวด้วย Locked In – Why Thailand Buys Electricity from Laos | Earth Journalism Network.

    ความมั่นคงชายแดน: ไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือกับลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เมียนมาและจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงข้ามพรมแดน Lao delegation explores renewable energy in Thailand | Partnerships for Infrastructure.

    ข้อสรุป
    สถานการณ์ในลาวตอนเหนือกำลังส่งผลกระทบและจะยังคงส่งผลต่อไทยในหลายมิติ หากประเมินแล้วสถานการณ์ในลาวตอนเหนือมีผลกระทบต่อไทยทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการค้ายาเสพติดและความเชื่อมโยงด้านพลังงาน ไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดนและพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาในลาวอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ


    การอ้างอิง:
    Laotian Civil War - Wikipedia
    Insurgency in Laos - Wikipedia
    Unprecedented Protests Are Putting Laos in Uncharted Waters | Council on Foreign Relations
    Assessment for Hmong in Laos | Refworld
    Laos | History, Flag, Map, Capital, Population, & Facts | Britannica
    From jungles to suburbs, warlord led Hmong struggle | Reuters
    Apocalypse Laos: The devastating legacy of the ‘Secret War’ | CEPR
    Laos country profile - BBC News
    Violence Flares in Laos | Council on Foreign Relations
    Laos: Latest News and Updates | South China Morning Post
    Collateral Damage: The Legacy of the Secret War in Laos | The Economic Journal | Oxford Academic
    Laos | AP News






    ชนวนปะทุเดือดชายแดนไทย-สปป.ลาว ความสุ่มเสี่ยงความมั่นคงลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่จะลุกลามรอบไทย เสียงปืนลั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และนับเป็นปัญหาเฉพาะในแผ่นดินลาวที่ไม่ได้มีชายแดนติดกับเมียนมาร์ การปะทะเริ่มเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในฝั่ง สปป.ลาว บริเวณค่ายภูผาหม่น เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันกรมทหารพรานที่ 31 และกองกำลังผาเมือง ตรึงกำลังเฝ้าระวัง ทั้งแถบชายแดนทยอดปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 68 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะฝั่งตรงข้ามมีการใช้อาวุธปืนขนาด 7.62 ใช้สำหรับปืนอาก้า และอาวุธหนักกระทั่งมีเจ้าหน้าทีทหารของสปป.ลาวเสียชีวิต ความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์นี้คือจุดเริ่มที่ต้องสืบสาวหาต้นตอต้นเหตุ เพราะพื้นที่สถานการณ์ติดกับชายแดนไทยอย่างมาก The Analyzt ขอนำเสนอข้อมูลประกอบความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยที่ติดกับจังหวัดเชียงราย ที่จะไม่เป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอนาคต 1. การวิเคราะห์สถานการณ์ บริบททางประวัติศาสตร์และสาเหตุที่อาจเป็นไปได้: สงครามกลางเมืองลาว (พ.ศ. 2502-2518): ในอดีต ลาวตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างฝ่ายปะเทดลาว (คอมมิวนิสต์) และรัฐบาลราชอาณาจักรลาว โดยมีมหาอำนาจในสงครามเย็น (สหรัฐฯ และสหภาพโซเวีย ศูนย์กลางของการสู้รบอยู่ในพื้นที่เช่น แขวงเชียงขวาง ซึ่งกองพันปะเทดลาวเคยตั้งมั่น. สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ เช่น เวียดนามเหนือและสหรัฐฯ ความขัดแย้งชาติพันธุ์: ลาวตอนเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ชาวม้ง ลาวสูง และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเนื่องจากความต้องการปกครองตนเองหรือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม. ยาเสพติดและการค้ามนุษย์: พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (รอยต่อระหว่างลาว เมียนมา และไทย) เป็นแหล่งผลิตและลักลอบขนส่งยาเสพติด เช่น ไอซ์และยาบ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะระหว่างกลุ่มค้ายาและกองกำลังรัฐบาล ข้อพิพาทชายแดน: ความไม่ชัดเจนของเขตแดนในลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งเคยเกิดข้อพิพาทในอดีต. อิทธิพลจากเพื่อนบ้าน: สถานการณ์ในเมียนมา เช่น การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น KIA, MNDAA) อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังลาวตอนเหนือ กลุ่มกองกำลังที่อาจเกี่ยวข้อง: กองทัพประชาชนลาว (LPAF): เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของลาว มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและปกป้องพรมแดน อาจเกี่ยวข้องหากมีการปะทะกับกลุ่มค้ายาหรือกลุ่มกบฏ. กลุ่มชาติพันธุ์: เช่น ชาวม้งหรือกลุ่มลาวสูง ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับเล็กน้อย. กลุ่มค้ายาเสพติด: กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้ลาวตอนเหนือเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด มักปะทะกับกองกำลังรัฐบาลหรือทหารไทยบริเวณชายแดน. กลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล: แม้ว่าปะเทดลาวจะสิ้นสุดบทบาทในฐานะกองกำลังติดอาวุธหลังสงครามกลางเมือง แต่กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลอาจยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างไกล. แนวโน้มในอนาคต: การปะทะจากยาเสพติด: พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนจะยังคงเป็นจุดร้อนของการค้ายา ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะเป็นระยะๆ ระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มค้ายา. ผลกระทบจากเมียนมา: หากสถานการณ์ในเมียนมา (เช่น ปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง) ทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว สร้างความตึงเครียดในพื้นที่. ความร่วมมือในภูมิภาค: ลาวอาจเพิ่มความร่วมมือกับจีนและไทยในการควบคุมยาเสพติดและความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจลดการปะทะในระยะยาว. ข้อพิพาทแม่น้ำโขง: ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนในแม่น้ำโขงอาจทวีความรุนแรงหากมีการอ้างสิทธิ์ในเกาะกลางน้ำหรือทรัพยากรในแม่น้ำ. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงด้านพลังงานระหว่างลาวและไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหนี้สินของลาวและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว รายงานระบุว่าลาวมีหนี้สูงและต้องชำระหนี้ต่อจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้า Opportunities for Development Cooperation in Lao Strategic Sectors | CSIS. นอกจากนี้ การอพยพแรงงานจากลาวอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานในไทย แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดทางสังคม ความเชื่อมโยงทางพลังงาน: ลาวถูกเรียกว่า "แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากส่งออกไฟฟ้าจากเขื่อนไฮโดรพาวเวอร์ไปยังไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย Energy in Laos - Wikipedia. การค้าข้ามพรมแดน: ลาวและไทยมีความเชื่อมโยงผ่านการค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค หากลาวประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการลงทุนหรือการชะลอตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาจส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของไทย เช่น จังหวัดเชียงรายและหนองคาย Laos - The World Factbook การปรับตัวของระบบการค้าในภูมิภาคอาจเกิดการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุนไทยอาจลดการพึ่งพาเส้นทางผ่านลาวไปยังจีน โดยหันไปใช้เส้นทางอื่นมากขึ้นอาจมีการพัฒนาเส้นทางการค้าทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง แรงงานข้ามชาติ: ปัญหาเศรษฐกิจในลาวอาจทำให้มีแรงงานชาวลาวเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับนายจ้างไทย แต่ในทางกลับกันอาจสร้างความตึงเครียดทางสังคมและแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของไทย BTI 2024 Laos Country Report: BTI 2024. ท่าทีของไทยและการประเมินสถานการณ์ ท่าทีของไทย ไทยมีแนวโน้มร่วมมือกับลาวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ: การปราบปรามยาเสพติด: ไทยและลาวมีความร่วมมือกันในการปราบปรามยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ เช่น การจัดตั้งจุดตรวจชายแดนร่วมและการลาดตระเวนร่วม Fighting drug trafficking in the Golden Triangle: a UN Resident Coordinator blog | UN News. นอกจากนี้ ไทยยังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC เพื่อลดการลักลอบขนยา Thai authorities and UNODC meet about precursor chemical trafficking in the Golden Triangle - UNODC. ความร่วมมือด้านพลังงาน: ไทยยังคงเป็นตลาดหลักในการซื้อไฟฟ้าจากลาว และอาจผลักดันการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนร่วมกันเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม Alternative Development Pathways for Thailand’s Sustainable Electricity Trade with Laos • Stimson Center การเตรียมพร้อมรับมือ: ไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันชายแดน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่สงบในลาว Guide to Investigating Organized Crime in the Golden Triangle — Introduction. มิติความมั่นคง: ดูเหมือนว่าปัญหายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีการผลิตและลักลอบขนส่งเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนเส้นทางผ่านลาวและกลับเข้ามาในไทย Asia's infamous Golden Triangle and the soldiers tracking down the drug smugglers who rule its narcotics trade - ABC News. นอกจากนี้ หากสถานการณ์ในเมียนมาทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้มีกลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมายังไทยเพิ่มขึ้น. การค้ายาเสพติด: ดูเหมือนว่าการค้ายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีตลาดเพิ่มขึ้นในภูมิภาค Q&A: The opium surge in Southeast Asia’s ‘Golden Triangle’ | Drugs News | Al Jazeera. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและลาวจะยังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แต่ไทยควรพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนในลาวด้วย Locked In – Why Thailand Buys Electricity from Laos | Earth Journalism Network. ความมั่นคงชายแดน: ไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือกับลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เมียนมาและจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงข้ามพรมแดน Lao delegation explores renewable energy in Thailand | Partnerships for Infrastructure. ข้อสรุป สถานการณ์ในลาวตอนเหนือกำลังส่งผลกระทบและจะยังคงส่งผลต่อไทยในหลายมิติ หากประเมินแล้วสถานการณ์ในลาวตอนเหนือมีผลกระทบต่อไทยทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการค้ายาเสพติดและความเชื่อมโยงด้านพลังงาน ไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดนและพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาในลาวอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ การอ้างอิง: Laotian Civil War - Wikipedia Insurgency in Laos - Wikipedia Unprecedented Protests Are Putting Laos in Uncharted Waters | Council on Foreign Relations Assessment for Hmong in Laos | Refworld Laos | History, Flag, Map, Capital, Population, & Facts | Britannica From jungles to suburbs, warlord led Hmong struggle | Reuters Apocalypse Laos: The devastating legacy of the ‘Secret War’ | CEPR Laos country profile - BBC News Violence Flares in Laos | Council on Foreign Relations Laos: Latest News and Updates | South China Morning Post Collateral Damage: The Legacy of the Secret War in Laos | The Economic Journal | Oxford Academic Laos | AP News
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้นยังลงได้อีก โยก LTF เป็น Thai ESGX คุ้มมั้ย? : คนเคาะข่าว 05-05-68
    : ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    #คนเคาะข่าว #หุ้นไทย #LTF #ThaiESGX #กองทุนรวม #ลงทุนยั่งยืน #วิเคราะห์หุ้น #ภาษีและการลงทุน #ตลาดทุนไทย #ESGลงทุน #ประกิตสิริวัฒนเกตุ #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #กองทุนไทย #thaitimes #ลงทุนระยะยาว
    หุ้นยังลงได้อีก โยก LTF เป็น Thai ESGX คุ้มมั้ย? : คนเคาะข่าว 05-05-68 : ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ #คนเคาะข่าว #หุ้นไทย #LTF #ThaiESGX #กองทุนรวม #ลงทุนยั่งยืน #วิเคราะห์หุ้น #ภาษีและการลงทุน #ตลาดทุนไทย #ESGลงทุน #ประกิตสิริวัฒนเกตุ #นงวดีถนิมมาลย์ #ข่าวเศรษฐกิจ #กองทุนไทย #thaitimes #ลงทุนระยะยาว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 4 0 รีวิว
  • เซเลนสกี้ปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิง 3 วันของปูตินเนื่องในวันรำลึกชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยันยูเครนจะไม่เล่นตามเกมเครมลินเพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้ปูตินหลุดพ้นจากการถูกโดดเดี่ยว ด้านมอสโกระบุแผนหยุดยิงดังกล่าวเป็นการทดสอบความพร้อมของเคียฟสำหรับสันติภาพระยะยาว พร้อมกล่าวหาเซเลนสกี้ “ข่มขู่” ผู้ร่วมงานฉลองวันรำลึกฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000041818

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เซเลนสกี้ปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิง 3 วันของปูตินเนื่องในวันรำลึกชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยันยูเครนจะไม่เล่นตามเกมเครมลินเพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้ปูตินหลุดพ้นจากการถูกโดดเดี่ยว ด้านมอสโกระบุแผนหยุดยิงดังกล่าวเป็นการทดสอบความพร้อมของเคียฟสำหรับสันติภาพระยะยาว พร้อมกล่าวหาเซเลนสกี้ “ข่มขู่” ผู้ร่วมงานฉลองวันรำลึกฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000041818 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 672 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cerabyte บริษัทสตาร์ทอัพด้านการจัดเก็บข้อมูล ได้เผยแพร่วิดีโอทดสอบความทนทานของ สื่อจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก โดยนำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด และ อบในเตาอบที่อุณหภูมิสูง เพื่อพิสูจน์ว่า ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนแม้ผ่านการทดสอบสุดโหด

    Cerabyte อ้างว่า สื่อจัดเก็บข้อมูลนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 5,000 ปี และมีความทนทานต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMP) ซึ่งอาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับ การจัดเก็บข้อมูลระยะยาว

    ✅ การทดสอบความทนทานของสื่อจัดเก็บข้อมูล
    - นำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด (100°C) และ อบในเตาอบที่ 250°C
    - ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนหลังจากผ่านการทดสอบ

    ✅ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก
    - ใช้ Femtosecond Laser ในการสร้างรูระดับนาโนบนแผ่นเซรามิก
    - Femtosecond Laser) เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้นมาก โดยมีความเร็วระดับ หนึ่งในพันล้านล้านวินาที (10⁻¹⁵ วินาที) หรือเฟมโตวินาที ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำโดยไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ
    - แผ่นแก้วบางเฉียบขนาด 9 ซม. สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ 1GB ต่อด้าน

    ✅ ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
    - ทนต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และ EMP
    - ไม่เสื่อมสภาพง่ายเหมือน ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD

    ✅ แผนการพัฒนาในอนาคต
    - ตั้งเป้าลดต้นทุนให้ต่ำกว่า $1 ต่อ TB ภายในปี 2030
    - พัฒนา CeraTape ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลระดับ Exabyte

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/firm-boils-storage-device-in-salt-water-then-grills-it-as-proof-of-durability-cerabytes-glass-storage-media-claimed-to-be-ultra-rugged
    Cerabyte บริษัทสตาร์ทอัพด้านการจัดเก็บข้อมูล ได้เผยแพร่วิดีโอทดสอบความทนทานของ สื่อจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก โดยนำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด และ อบในเตาอบที่อุณหภูมิสูง เพื่อพิสูจน์ว่า ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนแม้ผ่านการทดสอบสุดโหด Cerabyte อ้างว่า สื่อจัดเก็บข้อมูลนี้สามารถคงอยู่ได้นานถึง 5,000 ปี และมีความทนทานต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMP) ซึ่งอาจเป็นทางเลือกใหม่สำหรับ การจัดเก็บข้อมูลระยะยาว ✅ การทดสอบความทนทานของสื่อจัดเก็บข้อมูล - นำไป ต้มในน้ำเกลือเดือด (100°C) และ อบในเตาอบที่ 250°C - ข้อมูลยังคงอยู่ครบถ้วนหลังจากผ่านการทดสอบ ✅ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบแก้วเซรามิก - ใช้ Femtosecond Laser ในการสร้างรูระดับนาโนบนแผ่นเซรามิก - Femtosecond Laser) เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่สามารถปล่อยพลังงานในช่วงเวลาสั้นมาก โดยมีความเร็วระดับ หนึ่งในพันล้านล้านวินาที (10⁻¹⁵ วินาที) หรือเฟมโตวินาที ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำโดยไม่สร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ - แผ่นแก้วบางเฉียบขนาด 9 ซม. สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ 1GB ต่อด้าน ✅ ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม - ทนต่อ ไฟ, น้ำ, รังสี และ EMP - ไม่เสื่อมสภาพง่ายเหมือน ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ✅ แผนการพัฒนาในอนาคต - ตั้งเป้าลดต้นทุนให้ต่ำกว่า $1 ต่อ TB ภายในปี 2030 - พัฒนา CeraTape ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลระดับ Exabyte https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/firm-boils-storage-device-in-salt-water-then-grills-it-as-proof-of-durability-cerabytes-glass-storage-media-claimed-to-be-ultra-rugged
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล
    รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand)

    ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน

    Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน)
    ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง

    ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ?
    -ทันโลก ทันเกม:
    ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร
    -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง:
    รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ
    -สร้างความคล่องตัว (Career Agility):
    เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต
    -แสดงความมุ่งมั่น:
    การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา

    มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential?
    การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ:
    -โปรไฟล์โดดเด่น:
    นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น:
    95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา
    -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ:
    97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing)

    ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ:
    นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี
    ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้!
    และ
    98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน
    -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน:
    นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน
    -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ:
    นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว

    ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ
    -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน:
    ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน
    -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า:
    เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
    -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ:
    ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง
    -สร้างความมั่นใจ:
    การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง
    -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่:
    อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้

    Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก
    ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก:
    -รักษาความสดใหม่:
    ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค
    -สร้างความแตกต่าง:
    ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร
    -ลงทุนในตัวเอง:
    เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว

    สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน
    ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน

    การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ

    www.10-xconsulting.com
    Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน) ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ? -ทันโลก ทันเกม: ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง: รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ -สร้างความคล่องตัว (Career Agility): เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต -แสดงความมุ่งมั่น: การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential? การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ: -โปรไฟล์โดดเด่น: นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น: 95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ: 97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing) ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ: นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้! และ 98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน: นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ: นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน: ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า: เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ: ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง -สร้างความมั่นใจ: การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่: อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้ Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก: -รักษาความสดใหม่: ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค -สร้างความแตกต่าง: ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร -ลงทุนในตัวเอง: เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ www.10-xconsulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง
    เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า

    สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง
    ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง

    วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ
    ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน
    ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
    ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา

    จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน
    ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ
    อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ
    ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป

    ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน
    มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด
    เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้
    “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • OpenAI ได้ทำการ ย้อนกลับการอัปเดต GPT-4o หลังจากได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ใช้เกี่ยวกับ บุคลิกที่ประจบสอพลอมากเกินไป โดย OpenAI ระบุว่า กำลังทดสอบวิธีแก้ไขใหม่ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของโมเดลให้สมดุลมากขึ้น

    Joanne Jang หัวหน้าฝ่ายพฤติกรรมของโมเดลของ OpenAI ได้เปิดเผยว่า ChatGPT อาจมีตัวเลือกบุคลิกที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกบุคลิกที่เหมาะสมกับตนเองได้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องกำหนดบุคลิกด้วยตนเอง

    OpenAI ยอมรับว่า การอัปเดตครั้งล่าสุดเน้นไปที่ความคิดเห็นระยะสั้นมากเกินไป และไม่ได้คำนึงถึง วิวัฒนาการของการโต้ตอบระยะยาวของผู้ใช้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว

    ✅ OpenAI ย้อนกลับการอัปเดต GPT-4o
    - ผู้ใช้ร้องเรียนว่า บุคลิกของ ChatGPT ประจบสอพลอมากเกินไป
    - OpenAI กำลัง ทดสอบวิธีแก้ไขใหม่ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของโมเดล

    ✅ แนวทางใหม่ในการปรับแต่งบุคลิกของ ChatGPT
    - อาจมี ตัวเลือกบุคลิกที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า ให้ผู้ใช้เลือก
    - ลดความจำเป็นในการ กำหนดบุคลิกด้วยตนเอง

    ✅ ข้อผิดพลาดในการอัปเดตครั้งล่าสุด
    - OpenAI ยอมรับว่า เน้นความคิดเห็นระยะสั้นมากเกินไป
    - ไม่ได้คำนึงถึง วิวัฒนาการของการโต้ตอบระยะยาวของผู้ใช้

    ✅ แผนการปรับปรุงในอนาคต
    - ปรับปรุง เทคนิคการฝึกโมเดล เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมประจบสอพลอ
    - เพิ่มการทดสอบผู้ใช้ก่อนเปิดตัวโมเดลใหม่

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-could-have-multiple-preset-personalities-for-you-to-interact-with-in-the-future-to-help-combat-its-sycophantic-personality-problem
    OpenAI ได้ทำการ ย้อนกลับการอัปเดต GPT-4o หลังจากได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ใช้เกี่ยวกับ บุคลิกที่ประจบสอพลอมากเกินไป โดย OpenAI ระบุว่า กำลังทดสอบวิธีแก้ไขใหม่ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของโมเดลให้สมดุลมากขึ้น Joanne Jang หัวหน้าฝ่ายพฤติกรรมของโมเดลของ OpenAI ได้เปิดเผยว่า ChatGPT อาจมีตัวเลือกบุคลิกที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกบุคลิกที่เหมาะสมกับตนเองได้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องกำหนดบุคลิกด้วยตนเอง OpenAI ยอมรับว่า การอัปเดตครั้งล่าสุดเน้นไปที่ความคิดเห็นระยะสั้นมากเกินไป และไม่ได้คำนึงถึง วิวัฒนาการของการโต้ตอบระยะยาวของผู้ใช้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ✅ OpenAI ย้อนกลับการอัปเดต GPT-4o - ผู้ใช้ร้องเรียนว่า บุคลิกของ ChatGPT ประจบสอพลอมากเกินไป - OpenAI กำลัง ทดสอบวิธีแก้ไขใหม่ เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของโมเดล ✅ แนวทางใหม่ในการปรับแต่งบุคลิกของ ChatGPT - อาจมี ตัวเลือกบุคลิกที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า ให้ผู้ใช้เลือก - ลดความจำเป็นในการ กำหนดบุคลิกด้วยตนเอง ✅ ข้อผิดพลาดในการอัปเดตครั้งล่าสุด - OpenAI ยอมรับว่า เน้นความคิดเห็นระยะสั้นมากเกินไป - ไม่ได้คำนึงถึง วิวัฒนาการของการโต้ตอบระยะยาวของผู้ใช้ ✅ แผนการปรับปรุงในอนาคต - ปรับปรุง เทคนิคการฝึกโมเดล เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมประจบสอพลอ - เพิ่มการทดสอบผู้ใช้ก่อนเปิดตัวโมเดลใหม่ https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-could-have-multiple-preset-personalities-for-you-to-interact-with-in-the-future-to-help-combat-its-sycophantic-personality-problem
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง
    เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า

    สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง
    ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง

    วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ
    ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน
    ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา
    ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา

    จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน
    ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ
    อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ
    ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป

    ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน
    มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด
    เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้

    สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
    3 พฤษภาคม 2568
    “รองนายกฯ ประเสริฐ” ห่วงใยชาวโคราช ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อ่างเก็บน้ำลำตะคอง เน้นย้ำหน่วยงานเตรียมแผนป้องกันภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยล่วงหน้า สทนช. ชี้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคองเหลือ 16% แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ยังมีน้ำมากกว่า 30% พร้อมรับข้อสั่งการรองนายกฯ เตรียมรับมือฝนทิ้งช่วงของจังหวัดนครราชสีมาและวางแผนป้องกันบรรเทาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยในช่วงเช้า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง จากนั้นในช่วงบ่าย ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อรับฟังรายงานความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำคัญ ของรัฐบาล โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ในการนี้ เลขาธิการ สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำและการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้ สทนช. ประสานจังหวัดนครราชสีมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เตรียมแผนป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางทั้งอุทกภัยและภัยแล้งจากฝนทิ้งช่วง และเมื่อเกิดเหตุต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด และให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำต้นทุนของ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน อ่างเก็บน้ำลำแซะ และวางแผนจัดสรรน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ โดยให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำ ลำตะคองที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด รวมถึงให้จังหวัดนครราชสีมา กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งได้ และเพื่อให้จังหวัดนครราชสีมามีแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลและจัดทำแผนงาน/โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่มีความจำเป็น เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ด้านเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำในจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 4,959 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 429.40 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 32% ของความจุเก็บกัก (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง มีปริมาตรน้ำ 65.63 ล้าน ลบ.ม. (42% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำมูลบน มีปริมาตรน้ำ 52.77 ล้าน ลบ.ม. (37% ของความจุเก็บกัก) อ่างเก็บน้ำลำแซะ มีปริมาตรน้ำ 107.91 ล้าน ลบ.ม. (39% ของความจุเก็บกัก) และอ่างเก็บน้ำลำตะคอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีปริมาตรน้ำเพียง 50.14 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 16% ของความจุเก็บกัก แต่ยังเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มงวดและรณรงค์ให้ใช้น้ำอย่างประหยัดในทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาหน่วยงานได้เร่งดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งของจังหวัดนครราชสีมา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เมื่อคราวลงพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน 2567 อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการในวันนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง รวมถึงป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝนนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 3 พฤษภาคม 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • Boox ได้เปิดตัว Mira Pro (Color) ซึ่งเป็น จอ E Ink สีขนาด 23.5 นิ้ว ที่ใช้เทคโนโลยี Kaleido 3 สามารถแสดง 16 ระดับสีเทา และ 4,096 สี แม้ว่าจะยังห่างไกลจากจอ OLED 10-bit ที่สามารถแสดงสีได้มากกว่าพันล้านสี แต่ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานสำหรับจอ E Ink สี

    จอ E Ink ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้มีสีสันสดใสหรืออัตรารีเฟรชสูง แต่เน้นไปที่ การลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา จากการใช้งานระยะยาว โดยให้ความรู้สึกคล้ายกับการอ่านกระดาษมากกว่าการมองจอที่มีแสงสว่าง

    Mira Pro มี ความละเอียด 3,200 x 1,800 พิกเซล และรองรับ โหมดการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น Speed Mode สำหรับวิดีโอ, Reading Mode สำหรับการอ่านเว็บไซต์, Normal Mode สำหรับแอปทั่วไป และ Text Mode สำหรับเอกสาร นอกจากนี้ยังมี ไฟหน้าสองโทน ที่สามารถปรับเป็นแสงเย็นหรือแสงอุ่นได้

    จอนี้มี พอร์ตเชื่อมต่อหลากหลาย ได้แก่ HDMI, Mini HDMI, DisplayPort และ USB-C พร้อมสายเชื่อมต่อที่ให้มาในกล่อง และขาตั้งอะลูมิเนียมที่สามารถปรับระดับความสูง, เอียง และหมุนได้

    Mira Pro (Color) วางจำหน่ายในราคา $1,899.99 และจัดส่งจากคลังสินค้าของ Boox ในจีน โดยยังไม่มีการจัดส่งจากคลังสินค้าในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร หรือสหภาพยุโรป

    ✅ เทคโนโลยีจอ E Ink สี
    - ใช้ Kaleido 3 แสดง 16 ระดับสีเทา และ 4,096 สี
    - ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านกระดาษ

    ✅ ความละเอียดและโหมดการใช้งาน
    - ความละเอียด 3,200 x 1,800 พิกเซล
    - รองรับ Speed Mode, Reading Mode, Normal Mode และ Text Mode

    ✅ พอร์ตเชื่อมต่อและอุปกรณ์เสริม
    - มี HDMI, Mini HDMI, DisplayPort และ USB-C
    - มาพร้อมสายเชื่อมต่อและขาตั้งอะลูมิเนียมที่ปรับระดับได้

    ✅ การวางจำหน่ายและการจัดส่ง
    - ราคา $1,899.99
    - จัดส่งจากคลังสินค้าในจีน ยังไม่มีการจัดส่งจากสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร หรือสหภาพยุโรป

    https://www.tomshardware.com/monitors/boox-debuts-23-5-inch-color-e-ink-monitor-with-1800p-resolution-and-usd1-900-price-tag
    Boox ได้เปิดตัว Mira Pro (Color) ซึ่งเป็น จอ E Ink สีขนาด 23.5 นิ้ว ที่ใช้เทคโนโลยี Kaleido 3 สามารถแสดง 16 ระดับสีเทา และ 4,096 สี แม้ว่าจะยังห่างไกลจากจอ OLED 10-bit ที่สามารถแสดงสีได้มากกว่าพันล้านสี แต่ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานสำหรับจอ E Ink สี จอ E Ink ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้มีสีสันสดใสหรืออัตรารีเฟรชสูง แต่เน้นไปที่ การลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา จากการใช้งานระยะยาว โดยให้ความรู้สึกคล้ายกับการอ่านกระดาษมากกว่าการมองจอที่มีแสงสว่าง Mira Pro มี ความละเอียด 3,200 x 1,800 พิกเซล และรองรับ โหมดการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น Speed Mode สำหรับวิดีโอ, Reading Mode สำหรับการอ่านเว็บไซต์, Normal Mode สำหรับแอปทั่วไป และ Text Mode สำหรับเอกสาร นอกจากนี้ยังมี ไฟหน้าสองโทน ที่สามารถปรับเป็นแสงเย็นหรือแสงอุ่นได้ จอนี้มี พอร์ตเชื่อมต่อหลากหลาย ได้แก่ HDMI, Mini HDMI, DisplayPort และ USB-C พร้อมสายเชื่อมต่อที่ให้มาในกล่อง และขาตั้งอะลูมิเนียมที่สามารถปรับระดับความสูง, เอียง และหมุนได้ Mira Pro (Color) วางจำหน่ายในราคา $1,899.99 และจัดส่งจากคลังสินค้าของ Boox ในจีน โดยยังไม่มีการจัดส่งจากคลังสินค้าในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร หรือสหภาพยุโรป ✅ เทคโนโลยีจอ E Ink สี - ใช้ Kaleido 3 แสดง 16 ระดับสีเทา และ 4,096 สี - ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านกระดาษ ✅ ความละเอียดและโหมดการใช้งาน - ความละเอียด 3,200 x 1,800 พิกเซล - รองรับ Speed Mode, Reading Mode, Normal Mode และ Text Mode ✅ พอร์ตเชื่อมต่อและอุปกรณ์เสริม - มี HDMI, Mini HDMI, DisplayPort และ USB-C - มาพร้อมสายเชื่อมต่อและขาตั้งอะลูมิเนียมที่ปรับระดับได้ ✅ การวางจำหน่ายและการจัดส่ง - ราคา $1,899.99 - จัดส่งจากคลังสินค้าในจีน ยังไม่มีการจัดส่งจากสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร หรือสหภาพยุโรป https://www.tomshardware.com/monitors/boox-debuts-23-5-inch-color-e-ink-monitor-with-1800p-resolution-and-usd1-900-price-tag
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Boox debuts 23.5-inch color E ink monitor with 1800p resolution and $1,900 price tag
    The latest color E ink display from Boox costs as much as a high-end IPS panel from Apple or Dell
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..มองดีๆถ้าไม่ประท้วงความซวยมาแน่นอนแก้คนทำงาน,เรียนในสถาบันรัฐแท้ๆนะ อบรมก็จบเรื่อง ใครทำงานปกติก็เทียบโอนอัตโนมัตในรุ่นยุคปัจจุบันสามารถทำงานต่อเนื่องได้เลย ตำแหน่งอัพเกรด เงินเดือนสวัสดิการอัพออโตช่วยเขา แล้วส่งเข้าฝึกอบรมฟรีๆสิโดยหน่วยงานรัฐออกค่าใช้จ่ายเพราะรัฐบาลออกการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเองโดยกระทรวงทบวงกรมตนเองด้วย,เวลาจะออกจะตีตราบังคับใช้ทำไมไม่ลงมติเห็นชอบโดยผู้ปฏิบัติงานเดิมยินยอมในร่างกฎหมายนั้นมั้ย เขียนกันเองในห้องแอร์ไม่กี่คน.
    ..กฎหมายมากมายไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ถูกเขียนออกมาเลอะเทอะมากเพื่อควบคุมคนไทยเรา,จนบ้าใบอนุญาตเพื่อเก็บตังอย่างหลากหลายใบอนุญาต,จึงจะทำอาชีพสร้างรายได้ให้ตนเองได้ ส่วนใครมีครอบครัวก็ต้องบวกการเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวใครมันเขาอีก,แลกกับตังเงินทองในกระเป๋าตนประชาชนเพื่อให้ได้ใบอนุญาตทำตังจากรัฐบาล อนาคตคงออกใบอนาคตการมีชีวิตล่ะ,ดูคาร์บอนเครดิตสิกำลังจะใช้ควบคุมกลไกคนไทยทางชีวิตอีกตัว ,นำไปกู้ตังค้ำประกันเงินกู้ก็อ้างคาร์บอนเครดิต,ขายข้าวโดยชาวนาจะขายให้รัฐให้นายทุนก็อ้างค่าคาร์บอนเครดิต,จะทำนาต้องซื้อสิทธิคาร์บอนเครดิตเพื่อทำนาทำสวนทำไร่นะคุณท่านเธอมรึงปล่อยคาร์บอนมากน้อยเท่าไรมีเกรดตั้งประมาณรอให้แล้วต้องจ่ายเท่าไรอีก,ซื้ออะไร ทำอะไร บวกจ่ายค่าคาร์บอนเครดิตล่ะ,ไปท่องเที่ยวกี่กม.จ่ายคาร์เครดิตเท่านีัเท่านั้นนะมีเวลาเท่านี้ตามจำนวนเครดิตคาร์บอนที่มี,แบบเมือง15นาทีหรือเมืองอัจฉริยะในอนาคต ต้องออกไปเท่านั้นเท่านี้ตามคาร์บอนเครดิตที่ซื้อนะ,คาร์บอนเครดิตจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นตังแทนตังกระดาษปัจจุบัน แบบพักห้องโรงแรมนี้นั้นจ่ายค่าห้องนั่นล่ะ จ่ายเท่านี้มีสิทธิอยู่ได้กี่วัน,คาร์บอนเครดิตก็มีเวลาการใช้ของมันเพื่อทำกิจกรรมนั้นๆแบบตังดิจิดัลช่วงแลกๆมันให้ใช้ภายในรัศมีกี่กม.นั้นล่ะ จริงๆนี้ล่ะคือของจริงในการสร้างปูทางจำกัดชีวิตจำกัดขอบเขตการใช้ชีวิตจริงของคนไทย เขารับนโยบายมาจริงกะทดลองจริงในไทย ถ้าทำสำเร็จอื่นๆจะง่ายเลย กฎหมายมากมายจะลักไก่ออกมาควบคุมคนไทยอย่างบ้าคลั่ง แบบอ้างpm.2.5ห้ามชาวนาเผาทุ่งนารอทำนาในช่วงเวลาที่มันทดลองควบคุม,ผิดจับ ปรับทันที,มันทำเป็นขบวนการธรรมดาที่ไหน,วางหมากนานวางระยะยาวไว้รอและพร้อมปรับแผนเพราะคนจะคิดทัน เสียแผนและถูกเปิดโปง จริงๆต้องแถมด้วยว่า ต้องถูกกำจัดด้วย เพราะพวกมันจะมาทวนกระแสสร้างชั่วเลวไม่รู้จบแบบปัจจุบันนี้ล่ะ,จึงตัดปัญหาตัดตอนด้วยการจำกัดเลยจึงเหมาะควรมาก,เดี๋ยวสร้างโกลาหลวุ่นวายเรื่องนั้นเรื่องนี้รอบทิศทางทำลายความสงบทำลายความสุขประชาชนคนไทยเหมือนเดิมแบบเวลายุคนี้ล่ะ,นี้ชัดเจนว่าdeep stateโลกควบคุมการปกครองของไทยได้ระดับหนึ่งจากผู้นำการเลือกตั้งและพวกยกมือในสภานั้นเองโดยยึดครองหมากจากการเลือกตั้งได้.ใครจะมามันควบคุมได้หมดหรือเป็นคนของมันหมด.
    https://youtube.com/watch?v=ij09MQDAhIM&si=xEsJa4q4sbIlrnyf
    ..มองดีๆถ้าไม่ประท้วงความซวยมาแน่นอนแก้คนทำงาน,เรียนในสถาบันรัฐแท้ๆนะ อบรมก็จบเรื่อง ใครทำงานปกติก็เทียบโอนอัตโนมัตในรุ่นยุคปัจจุบันสามารถทำงานต่อเนื่องได้เลย ตำแหน่งอัพเกรด เงินเดือนสวัสดิการอัพออโตช่วยเขา แล้วส่งเข้าฝึกอบรมฟรีๆสิโดยหน่วยงานรัฐออกค่าใช้จ่ายเพราะรัฐบาลออกการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเองโดยกระทรวงทบวงกรมตนเองด้วย,เวลาจะออกจะตีตราบังคับใช้ทำไมไม่ลงมติเห็นชอบโดยผู้ปฏิบัติงานเดิมยินยอมในร่างกฎหมายนั้นมั้ย เขียนกันเองในห้องแอร์ไม่กี่คน. ..กฎหมายมากมายไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ถูกเขียนออกมาเลอะเทอะมากเพื่อควบคุมคนไทยเรา,จนบ้าใบอนุญาตเพื่อเก็บตังอย่างหลากหลายใบอนุญาต,จึงจะทำอาชีพสร้างรายได้ให้ตนเองได้ ส่วนใครมีครอบครัวก็ต้องบวกการเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวใครมันเขาอีก,แลกกับตังเงินทองในกระเป๋าตนประชาชนเพื่อให้ได้ใบอนุญาตทำตังจากรัฐบาล อนาคตคงออกใบอนาคตการมีชีวิตล่ะ,ดูคาร์บอนเครดิตสิกำลังจะใช้ควบคุมกลไกคนไทยทางชีวิตอีกตัว ,นำไปกู้ตังค้ำประกันเงินกู้ก็อ้างคาร์บอนเครดิต,ขายข้าวโดยชาวนาจะขายให้รัฐให้นายทุนก็อ้างค่าคาร์บอนเครดิต,จะทำนาต้องซื้อสิทธิคาร์บอนเครดิตเพื่อทำนาทำสวนทำไร่นะคุณท่านเธอมรึงปล่อยคาร์บอนมากน้อยเท่าไรมีเกรดตั้งประมาณรอให้แล้วต้องจ่ายเท่าไรอีก,ซื้ออะไร ทำอะไร บวกจ่ายค่าคาร์บอนเครดิตล่ะ,ไปท่องเที่ยวกี่กม.จ่ายคาร์เครดิตเท่านีัเท่านั้นนะมีเวลาเท่านี้ตามจำนวนเครดิตคาร์บอนที่มี,แบบเมือง15นาทีหรือเมืองอัจฉริยะในอนาคต ต้องออกไปเท่านั้นเท่านี้ตามคาร์บอนเครดิตที่ซื้อนะ,คาร์บอนเครดิตจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นตังแทนตังกระดาษปัจจุบัน แบบพักห้องโรงแรมนี้นั้นจ่ายค่าห้องนั่นล่ะ จ่ายเท่านี้มีสิทธิอยู่ได้กี่วัน,คาร์บอนเครดิตก็มีเวลาการใช้ของมันเพื่อทำกิจกรรมนั้นๆแบบตังดิจิดัลช่วงแลกๆมันให้ใช้ภายในรัศมีกี่กม.นั้นล่ะ จริงๆนี้ล่ะคือของจริงในการสร้างปูทางจำกัดชีวิตจำกัดขอบเขตการใช้ชีวิตจริงของคนไทย เขารับนโยบายมาจริงกะทดลองจริงในไทย ถ้าทำสำเร็จอื่นๆจะง่ายเลย กฎหมายมากมายจะลักไก่ออกมาควบคุมคนไทยอย่างบ้าคลั่ง แบบอ้างpm.2.5ห้ามชาวนาเผาทุ่งนารอทำนาในช่วงเวลาที่มันทดลองควบคุม,ผิดจับ ปรับทันที,มันทำเป็นขบวนการธรรมดาที่ไหน,วางหมากนานวางระยะยาวไว้รอและพร้อมปรับแผนเพราะคนจะคิดทัน เสียแผนและถูกเปิดโปง จริงๆต้องแถมด้วยว่า ต้องถูกกำจัดด้วย เพราะพวกมันจะมาทวนกระแสสร้างชั่วเลวไม่รู้จบแบบปัจจุบันนี้ล่ะ,จึงตัดปัญหาตัดตอนด้วยการจำกัดเลยจึงเหมาะควรมาก,เดี๋ยวสร้างโกลาหลวุ่นวายเรื่องนั้นเรื่องนี้รอบทิศทางทำลายความสงบทำลายความสุขประชาชนคนไทยเหมือนเดิมแบบเวลายุคนี้ล่ะ,นี้ชัดเจนว่าdeep stateโลกควบคุมการปกครองของไทยได้ระดับหนึ่งจากผู้นำการเลือกตั้งและพวกยกมือในสภานั้นเองโดยยึดครองหมากจากการเลือกตั้งได้.ใครจะมามันควบคุมได้หมดหรือเป็นคนของมันหมด. https://youtube.com/watch?v=ij09MQDAhIM&si=xEsJa4q4sbIlrnyf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • อบจ.โคราช แท็คทีม สส.เพื่อไทย “งัดแผน” ถกปัญหาเรื่องน้ำท่วม - น้ำแล้ง สร้างปรากฏการณ์เตรียม “Action Plan” ร่วมจังหวัด และ กรมชลฯ หนุนโปรเจ็คจัดการน้ำเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน

    วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) ที่ห้องประชุมท้าวสุรนารี ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา (อบจ.นครราชสีมา) พร้อมด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครราชสีมา เข้าหารือร่วมกับ นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายสุคนธ์ เต็มยศยิ่ง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาระยะยาว

    นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา กล่าวว่า "ปัญหาน้ำท่วม และ ปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นปัญหาสำคัญที่พี่น้องประชาชนต้องเผชิญในทุก ๆ ปี ฉะนั้น อบจ. จึงพร้อมเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานพี่น้องท้องถิ่น ประสานจังหวัด และประสาน สส. จ.นครราชสีมา ไปยังรัฐบาล เพื่อร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ วันนี้ จังหวัดและท้องถิ่น เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน อบจ. มีงบประมาณและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อบูรณาการร่วมกันกับจังหวัดและกรมชลประทาน โดยมี สส. นำเสนอปัญหาเข้าสู่สภา ซึ่ง สส. แต่ละเขตพื้นที่ก็จะต้องกลับไปศึกษาข้อมูลของตนเอง จัดทำบัญชีน้ำ ว่าในแต่ละปี น้ำสำหรับการเกษตรใช้เท่าไร น้ำอุปโภค บริโภค ใช้เท่าไร และ ภาคอุตสาหกรรม ใช้น้ำเท่าไร จากนั้นนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน สิ่งที่ตามมาคือ เกิดผลดีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะพ้นจากปัญหาภัยแล้ง - น้ำท่วม อย่างเป็นรูปธรรม"

    "โดยเฉพาะโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบน้ำทั้งจังหวัด จัดหาแห่งกักเก็บน้ำกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หากไม่สามารถสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ได้ เราก็เลือกวิธีพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเดิมที่มีอยู่ ให้สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบัน แหล่งน้ำใหญ่ ๆ อย่าง เขื่อนลำตะคอง เหลือน้ำใช้ 16% , เขื่อนลำพระเพลิง 12% , เขื่อนลำมูลบน 3.7% และ เขื่อนลำแชะ 2.9 % ปีนี้อาจจะยังมีน้ำใช้ แต่ปีหน้าถ้าเราไม่ร่วมมือกันจัดการปัญหาอย่างถูกจุด ก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม อีกแน่นอน"

    นายก อบจ. กล่าวต่อไปอีกว่า "ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ทราบว่า กรมชลประทาน มีโครงการที่จะผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มายัง เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสำรวจ ออกแบบ ที่ต้องใช้ระยะเวลาร่วม 3 ปี หากโครงการนี้สำเร็จก็จะเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวโคราชด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องฝากเรื่องไปยัง สส.นครราชสีมา ผ่านไปยังสภาฯ ให้ช่วยกันผลักดันเรื่องงบประมาณ ลงมายัง จ.นครราชสีมา เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด"

    “อบจ.นครราชสีมา พร้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาจังหวัดให้ก้าวไปข้างหน้าและเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน สำหรับการประชุมหารือในครั้งนี้ เราได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง - น้ำท่วม ว่า การแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องหาทางออกร่วมกัน ฝากถึงจังหวัดผลักดันโครงการ “ดิน แลก น้ำ” ถ้าทำอย่างจริงจังจะเกิดผลที่ชัดเจน เพราะการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องสำคัญ”

    #นายกหน่อย #อบจโคราช
    #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช
    #prkoratpao
    อบจ.โคราช แท็คทีม สส.เพื่อไทย “งัดแผน” ถกปัญหาเรื่องน้ำท่วม - น้ำแล้ง สร้างปรากฏการณ์เตรียม “Action Plan” ร่วมจังหวัด และ กรมชลฯ หนุนโปรเจ็คจัดการน้ำเชื่อมโยงโครงข่ายทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน วันนี้ (1 พฤษภาคม 2568) ที่ห้องประชุมท้าวสุรนารี ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา (อบจ.นครราชสีมา) พร้อมด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครราชสีมา เข้าหารือร่วมกับ นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายสุคนธ์ เต็มยศยิ่ง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาระยะยาว นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายก อบจ.นครราชสีมา กล่าวว่า "ปัญหาน้ำท่วม และ ปัญหาภัยแล้ง ถือเป็นปัญหาสำคัญที่พี่น้องประชาชนต้องเผชิญในทุก ๆ ปี ฉะนั้น อบจ. จึงพร้อมเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานพี่น้องท้องถิ่น ประสานจังหวัด และประสาน สส. จ.นครราชสีมา ไปยังรัฐบาล เพื่อร่วมกันหาแนวทางขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ วันนี้ จังหวัดและท้องถิ่น เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน อบจ. มีงบประมาณและพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อบูรณาการร่วมกันกับจังหวัดและกรมชลประทาน โดยมี สส. นำเสนอปัญหาเข้าสู่สภา ซึ่ง สส. แต่ละเขตพื้นที่ก็จะต้องกลับไปศึกษาข้อมูลของตนเอง จัดทำบัญชีน้ำ ว่าในแต่ละปี น้ำสำหรับการเกษตรใช้เท่าไร น้ำอุปโภค บริโภค ใช้เท่าไร และ ภาคอุตสาหกรรม ใช้น้ำเท่าไร จากนั้นนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน สิ่งที่ตามมาคือ เกิดผลดีต่อพี่น้องประชาชน ที่จะพ้นจากปัญหาภัยแล้ง - น้ำท่วม อย่างเป็นรูปธรรม" "โดยเฉพาะโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบน้ำทั้งจังหวัด จัดหาแห่งกักเก็บน้ำกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ หากไม่สามารถสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ได้ เราก็เลือกวิธีพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเดิมที่มีอยู่ ให้สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะปัจจุบัน แหล่งน้ำใหญ่ ๆ อย่าง เขื่อนลำตะคอง เหลือน้ำใช้ 16% , เขื่อนลำพระเพลิง 12% , เขื่อนลำมูลบน 3.7% และ เขื่อนลำแชะ 2.9 % ปีนี้อาจจะยังมีน้ำใช้ แต่ปีหน้าถ้าเราไม่ร่วมมือกันจัดการปัญหาอย่างถูกจุด ก็จะเกิดปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม อีกแน่นอน" นายก อบจ. กล่าวต่อไปอีกว่า "ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ทราบว่า กรมชลประทาน มีโครงการที่จะผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มายัง เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสำรวจ ออกแบบ ที่ต้องใช้ระยะเวลาร่วม 3 ปี หากโครงการนี้สำเร็จก็จะเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวโคราชด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องฝากเรื่องไปยัง สส.นครราชสีมา ผ่านไปยังสภาฯ ให้ช่วยกันผลักดันเรื่องงบประมาณ ลงมายัง จ.นครราชสีมา เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด" “อบจ.นครราชสีมา พร้อมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาจังหวัดให้ก้าวไปข้างหน้าและเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน สำหรับการประชุมหารือในครั้งนี้ เราได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง - น้ำท่วม ว่า การแก้ไขปัญหาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องหาทางออกร่วมกัน ฝากถึงจังหวัดผลักดันโครงการ “ดิน แลก น้ำ” ถ้าทำอย่างจริงจังจะเกิดผลที่ชัดเจน เพราะการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องสำคัญ” #นายกหน่อย #อบจโคราช #สร้างคนสร้างเศรษฐกิจสร้างเมืองโคราช #prkoratpao
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • Electronic Arts (EA) ได้ประกาศปลดพนักงานหลายร้อยคนและยกเลิกการพัฒนาเกม Titanfall ที่อยู่ในขั้นตอนการสร้างโดยทีมงาน Respawn Entertainment การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะยาวของบริษัท

    Respawn Entertainment ซึ่งเป็นทีมพัฒนาเกมในเครือ EA ได้ยืนยันว่ามีการยกเลิกโครงการเกมในระยะเริ่มต้นสองโครงการ และปรับเปลี่ยนการทำงานในเกม Apex Legends และ Star Wars Jedi โดย Respawn ยังคงพัฒนาเนื้อหาใหม่สำหรับ Apex Legends และตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับการเล่าเรื่องและการเล่นเกมในซีรีส์ Star Wars Jedi

    ในเดือนมกราคม EA ได้ปรับลดประมาณการรายได้ประจำปี เนื่องจากการใช้จ่ายในเกมลดลงและการเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Dragon Age ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

    ✅ การปลดพนักงานและยกเลิกโครงการ
    - EA ปลดพนักงานประมาณ 300-400 คน รวมถึง 100 คนใน Respawn Entertainment
    - ยกเลิกการพัฒนาเกม Titanfall และโครงการเกมในระยะเริ่มต้นสองโครงการ

    ✅ การปรับเปลี่ยนการทำงานในเกม
    - Respawn ยังคงพัฒนาเนื้อหาใหม่สำหรับ Apex Legends
    - ตั้งเป้าหมายยกระดับการเล่าเรื่องและการเล่นเกมในซีรีส์ Star Wars Jedi

    ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ EA
    - EA ปรับลดประมาณการรายได้ประจำปี เนื่องจากการใช้จ่ายในเกมลดลง
    - การเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Dragon Age ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

    ✅ การตอบสนองของ EA
    - EA มุ่งเน้นการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเติบโตในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/30/electronic-arts-lays-off-hundreds-cancels-039titanfall039-game-bloomberg-news-reports
    Electronic Arts (EA) ได้ประกาศปลดพนักงานหลายร้อยคนและยกเลิกการพัฒนาเกม Titanfall ที่อยู่ในขั้นตอนการสร้างโดยทีมงาน Respawn Entertainment การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะยาวของบริษัท Respawn Entertainment ซึ่งเป็นทีมพัฒนาเกมในเครือ EA ได้ยืนยันว่ามีการยกเลิกโครงการเกมในระยะเริ่มต้นสองโครงการ และปรับเปลี่ยนการทำงานในเกม Apex Legends และ Star Wars Jedi โดย Respawn ยังคงพัฒนาเนื้อหาใหม่สำหรับ Apex Legends และตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับการเล่าเรื่องและการเล่นเกมในซีรีส์ Star Wars Jedi ในเดือนมกราคม EA ได้ปรับลดประมาณการรายได้ประจำปี เนื่องจากการใช้จ่ายในเกมลดลงและการเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Dragon Age ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ✅ การปลดพนักงานและยกเลิกโครงการ - EA ปลดพนักงานประมาณ 300-400 คน รวมถึง 100 คนใน Respawn Entertainment - ยกเลิกการพัฒนาเกม Titanfall และโครงการเกมในระยะเริ่มต้นสองโครงการ ✅ การปรับเปลี่ยนการทำงานในเกม - Respawn ยังคงพัฒนาเนื้อหาใหม่สำหรับ Apex Legends - ตั้งเป้าหมายยกระดับการเล่าเรื่องและการเล่นเกมในซีรีส์ Star Wars Jedi ✅ ผลกระทบต่อรายได้ของ EA - EA ปรับลดประมาณการรายได้ประจำปี เนื่องจากการใช้จ่ายในเกมลดลง - การเปิดตัวเกมใหม่อย่าง Dragon Age ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ✅ การตอบสนองของ EA - EA มุ่งเน้นการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการเติบโตในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/30/electronic-arts-lays-off-hundreds-cancels-039titanfall039-game-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Electronic Arts lays off hundreds, cancels 'Titanfall' game, Bloomberg News reports
    (Reuters) -Electronic Arts is laying off hundreds of workers and is canceling a Titanfall game that was in development at its Respawn Entertainment unit, Bloomberg News reported on Tuesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความทัศนะจากเพจเฟซบุ๊ก'อ้ายจง‘ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาชาวจีน" โดยผู้ว่าฯ จึงเป็นเรื่องที่ (ทุกคนควร) จับตามอง?.ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการแต่งตั้งนักธุรกิจชาวจีนให้เป็น "ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามว่า "โปร่งใสหรือไม่?" "จำเป็นแค่ไหน?" และ "ไม่มีคนไทยที่เหมาะสมกว่าหรือ?" .แม้คำสั่งแต่งตั้งจะระบุว่า เพื่อ "ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ" แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะไม่แน่ชัดถึง "ประเด็นอะไร?" "เหตุผลเพิ่มเติมคืออะไร" ดังนั้นกลับยิ่งสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ โดยเฉพาะเมื่อที่ปรึกษาคนดังกล่าวเป็น "ชาวต่างชาติ" และ "ชาวจีน" ในบริบทที่มีความอ่อนไหวหลายมิติ.หากวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าและบริบทที่เป็นไปได้ จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ .โดยเฉพาะจีนที่มีบทบาทในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในภูมิภาคนี้ การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวจีนอาจสะท้อนถึงความพยายามของผู้ว่าฯ ในการเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยตรง .ถ้ามองในมุมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฉพาะถ้อยคำในคำสั่งที่ระบุว่า "ให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ" โดยไม่ระบุชัดว่า "ประเด็นใด" ทำให้เกิดความคลุมเครือและสร้างข้อกังขาต่อสาธารณะ.อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการจ้างชาวต่างชาติให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายแรงงานแล้ว ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ที่ถูกต้องและระบุขอบเขตงานชัดเจน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดอยู่ในกลุ่มอาชีพสงวน เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การทำงานราชการ หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความมั่นคง หากการแต่งตั้งนี้ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความเสียหายในระดับระบบราชการ.ต้องย้ำด้วยว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจไทย แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐยังปล่อยให้บางกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายสามารถแทรกตัวหรือมีบทบาทในหน่วยงานราชการได้โดยไม่ตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งระบบ และยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของชาวต่างชาติกลุ่มที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย.ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประวัติของกรณีชาวจีนที่เข้ามาทำกิจกรรมแปลกๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก้ำกึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวการจ้างตำรวจไทยนำขบวนรถหรู การอบรมอาสาตำรวจให้ชาวจีน หรือแม้กระทั่งการใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ หากปล่อยให้กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า "มีเงิน ก็ทำอะไรก็ได้ในไทย" ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ.เพราะฉะนั้น ความโปร่งใสจึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นหลักประกันพื้นฐานของความไว้วางใจในระบบสาธารณะ .การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างชาติในระดับจังหวัดอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ #แต่ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวอย่างของกระบวนการที่ยึดหลักความโปร่งใสอย่างแท้จริง เพราะหากเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบได้ ทุกกลยุทธ์การดึงดูดนักลงทุน หรือการพัฒนาใดๆ ก็จะไร้ผลในระยะยาว.และในอีกแง่มุมหนึ่ง หากมีเหตุผลที่ต้องแต่งตั้งชาวต่างชาติหรือชาวจีนเป็นที่ปรึกษาจริง ๆ เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าฯ ที่จะใช้ดุลยพินิจ .แต่จะยิ่งดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น หากมี "ที่ปรึกษาชาวไทย" ทำงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล สื่อสารเชิงวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคไทยกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งรากฐานของสังคมไทยเอง.สุดท้าย ความโปร่งใสต้องเกิดในทุกระดับของสังคมไทย ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ใช่แค่ในนโยบายส่วนกลาง แต่ต้องสะท้อนออกมาให้เห็นจริงในทุกการตัดสินใจของทุกจังหวัด ทุกตำแหน่ง และทุกคำสั่ง เพราะนั่นคือรากฐานของความเชื่อมั่นและความยั่งยืนด้วยความเคารพ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รายงานข่าวจากเพจCH7HD News ถามหาความเหมาะสม! หลังเอกสารหลุดคำสั่งผู้ว่าฯปราจีนบุรี แต่งตั้ง "ชายชาวจีน" เป็นที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อการบริการขับเคลื่อนงานของจังหวัด โดย เอกสารสำคัญที่เผยแพร่แพร่ในโซเชียลตั้งแต่ค่ำวานที่ผ่านมา(29 เม.ย.68) เป็นคำสั่ง 2 ฉบับ ลงนาม โดยนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 คือ คำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาจังหวัด 5ปี (พ.ศ.2566-2570) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยยิ่งขึ้น โดยลำดับที่1-4 เป็นคนไทย ส่วน ลำดับที่ 5 เป็นคนจีน และ คำสั่งแจ้งบุคคลในลำดับที่ 5 เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี หลังเป็นข่าว ปรากฏว่า ล่าสุดวันที่ 30 เมษายน เวลา 7.00 น. ผู้ว่าฯปราจีนบุรีได้ออกคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง"ชาวจีน"เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯแล้ว หลังจากเพจเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า คำชี้แจงจากผู้ว่าปราจีนบุรี.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี โฟนอินชี้แจงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางหอการค้าจังหวัดเสนอมา ตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย เลยแต่งตั้งเพื่อให้เกียรติมาช่วยงานจังหวัด ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว .พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาคนจีนมาลงทุนในจังหวัดเยอะ รวมถึงชาวต่างชาติด้วย นำรายได้มาสู่ประเทศปีหนึ่งกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหน้าที่ของผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นจะคอยจะคอยช่วยประสานงานในส่วนนักลงทุน หรือที่มาจากทางประเทศบ้านเขาในเรื่องการสื่อสาร มิติการค้าและมิติอื่นๆ ตามความประสงค์ของหอการค้าจังหวัด พร้อมขออภัย ในความไม่เหมาะสมและเป็นที่น่าเป็นห่วงจึงได้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    บทความทัศนะจากเพจเฟซบุ๊ก'อ้ายจง‘ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาชาวจีน" โดยผู้ว่าฯ จึงเป็นเรื่องที่ (ทุกคนควร) จับตามอง?.ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการแต่งตั้งนักธุรกิจชาวจีนให้เป็น "ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามว่า "โปร่งใสหรือไม่?" "จำเป็นแค่ไหน?" และ "ไม่มีคนไทยที่เหมาะสมกว่าหรือ?" .แม้คำสั่งแต่งตั้งจะระบุว่า เพื่อ "ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ" แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะไม่แน่ชัดถึง "ประเด็นอะไร?" "เหตุผลเพิ่มเติมคืออะไร" ดังนั้นกลับยิ่งสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ โดยเฉพาะเมื่อที่ปรึกษาคนดังกล่าวเป็น "ชาวต่างชาติ" และ "ชาวจีน" ในบริบทที่มีความอ่อนไหวหลายมิติ.หากวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าและบริบทที่เป็นไปได้ จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ .โดยเฉพาะจีนที่มีบทบาทในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในภูมิภาคนี้ การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวจีนอาจสะท้อนถึงความพยายามของผู้ว่าฯ ในการเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยตรง .ถ้ามองในมุมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฉพาะถ้อยคำในคำสั่งที่ระบุว่า "ให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ" โดยไม่ระบุชัดว่า "ประเด็นใด" ทำให้เกิดความคลุมเครือและสร้างข้อกังขาต่อสาธารณะ.อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการจ้างชาวต่างชาติให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายแรงงานแล้ว ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ที่ถูกต้องและระบุขอบเขตงานชัดเจน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดอยู่ในกลุ่มอาชีพสงวน เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การทำงานราชการ หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความมั่นคง หากการแต่งตั้งนี้ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความเสียหายในระดับระบบราชการ.ต้องย้ำด้วยว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจไทย แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐยังปล่อยให้บางกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายสามารถแทรกตัวหรือมีบทบาทในหน่วยงานราชการได้โดยไม่ตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งระบบ และยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของชาวต่างชาติกลุ่มที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย.ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประวัติของกรณีชาวจีนที่เข้ามาทำกิจกรรมแปลกๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก้ำกึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวการจ้างตำรวจไทยนำขบวนรถหรู การอบรมอาสาตำรวจให้ชาวจีน หรือแม้กระทั่งการใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ หากปล่อยให้กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า "มีเงิน ก็ทำอะไรก็ได้ในไทย" ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ.เพราะฉะนั้น ความโปร่งใสจึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นหลักประกันพื้นฐานของความไว้วางใจในระบบสาธารณะ .การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างชาติในระดับจังหวัดอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ #แต่ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวอย่างของกระบวนการที่ยึดหลักความโปร่งใสอย่างแท้จริง เพราะหากเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบได้ ทุกกลยุทธ์การดึงดูดนักลงทุน หรือการพัฒนาใดๆ ก็จะไร้ผลในระยะยาว.และในอีกแง่มุมหนึ่ง หากมีเหตุผลที่ต้องแต่งตั้งชาวต่างชาติหรือชาวจีนเป็นที่ปรึกษาจริง ๆ เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าฯ ที่จะใช้ดุลยพินิจ .แต่จะยิ่งดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น หากมี "ที่ปรึกษาชาวไทย" ทำงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล สื่อสารเชิงวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคไทยกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งรากฐานของสังคมไทยเอง.สุดท้าย ความโปร่งใสต้องเกิดในทุกระดับของสังคมไทย ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ใช่แค่ในนโยบายส่วนกลาง แต่ต้องสะท้อนออกมาให้เห็นจริงในทุกการตัดสินใจของทุกจังหวัด ทุกตำแหน่ง และทุกคำสั่ง เพราะนั่นคือรากฐานของความเชื่อมั่นและความยั่งยืนด้วยความเคารพ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รายงานข่าวจากเพจCH7HD News ถามหาความเหมาะสม! หลังเอกสารหลุดคำสั่งผู้ว่าฯปราจีนบุรี แต่งตั้ง "ชายชาวจีน" เป็นที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อการบริการขับเคลื่อนงานของจังหวัด โดย เอกสารสำคัญที่เผยแพร่แพร่ในโซเชียลตั้งแต่ค่ำวานที่ผ่านมา(29 เม.ย.68) เป็นคำสั่ง 2 ฉบับ ลงนาม โดยนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 คือ คำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาจังหวัด 5ปี (พ.ศ.2566-2570) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยยิ่งขึ้น โดยลำดับที่1-4 เป็นคนไทย ส่วน ลำดับที่ 5 เป็นคนจีน และ คำสั่งแจ้งบุคคลในลำดับที่ 5 เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี หลังเป็นข่าว ปรากฏว่า ล่าสุดวันที่ 30 เมษายน เวลา 7.00 น. ผู้ว่าฯปราจีนบุรีได้ออกคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง"ชาวจีน"เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯแล้ว หลังจากเพจเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า คำชี้แจงจากผู้ว่าปราจีนบุรี.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี โฟนอินชี้แจงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางหอการค้าจังหวัดเสนอมา ตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย เลยแต่งตั้งเพื่อให้เกียรติมาช่วยงานจังหวัด ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว .พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาคนจีนมาลงทุนในจังหวัดเยอะ รวมถึงชาวต่างชาติด้วย นำรายได้มาสู่ประเทศปีหนึ่งกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหน้าที่ของผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นจะคอยจะคอยช่วยประสานงานในส่วนนักลงทุน หรือที่มาจากทางประเทศบ้านเขาในเรื่องการสื่อสาร มิติการค้าและมิติอื่นๆ ตามความประสงค์ของหอการค้าจังหวัด พร้อมขออภัย ในความไม่เหมาะสมและเป็นที่น่าเป็นห่วงจึงได้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 312 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วง 100 วันแรก ของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดย S&P 500 ลดลงเกือบ 8% ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025

    นโยบายของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงภาษีส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด โดยมีทั้ง บริษัทที่ได้รับประโยชน์และบริษัทที่ได้รับผลกระทบ อย่างชัดเจน

    ✅ บริษัทที่ได้รับประโยชน์
    - Palantir เพิ่มขึ้นเกือบ 60% เนื่องจากได้รับสัญญาจากกระทรวงกลาโหม
    - Newsmax เพิ่มขึ้นกว่า 60% หลังเปิดตัวในตลาดหุ้น
    - Newmont และบริษัทเหมืองทองอื่นๆ เพิ่มขึ้น 20-50% เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

    ✅ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ
    - สายการบินสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 33% เนื่องจากภาษีและความต้องการเดินทางที่ลดลง
    - Tesla ลดลง 33% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล
    - Kohl’s ลดลง 46% และ Macy’s ลดลง 17% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
    - Teradyne และ Zebra Technologies ลดลงกว่า 40% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีและข้อจำกัดทางการค้า

    ✅ แนวโน้มของตลาดหุ้น
    - นักลงทุนยังคงจับตานโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
    - ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/29/wall-street039s-winners-and-losers-during-trump039s-100-days-at-white-house
    บทความนี้กล่าวถึงผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วง 100 วันแรก ของการดำรงตำแหน่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดย S&P 500 ลดลงเกือบ 8% ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 นโยบายของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงภาษีส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด โดยมีทั้ง บริษัทที่ได้รับประโยชน์และบริษัทที่ได้รับผลกระทบ อย่างชัดเจน ✅ บริษัทที่ได้รับประโยชน์ - Palantir เพิ่มขึ้นเกือบ 60% เนื่องจากได้รับสัญญาจากกระทรวงกลาโหม - Newsmax เพิ่มขึ้นกว่า 60% หลังเปิดตัวในตลาดหุ้น - Newmont และบริษัทเหมืองทองอื่นๆ เพิ่มขึ้น 20-50% เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ✅ บริษัทที่ได้รับผลกระทบ - สายการบินสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 33% เนื่องจากภาษีและความต้องการเดินทางที่ลดลง - Tesla ลดลง 33% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล - Kohl’s ลดลง 46% และ Macy’s ลดลง 17% เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง - Teradyne และ Zebra Technologies ลดลงกว่า 40% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีและข้อจำกัดทางการค้า ✅ แนวโน้มของตลาดหุ้น - นักลงทุนยังคงจับตานโยบายของทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว - ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/29/wall-street039s-winners-and-losers-during-trump039s-100-days-at-white-house
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Wall Street's winners and losers during Trump's 100 days at White House
    (Reuters) -The dramatic shift in U.S. domestic and foreign policy since President Donald Trump returned to the White House on January 20 has sent shockwaves across global financial markets.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐน่าวิเคราะห์ว่า จะมีการขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐกันอย่างไรด้านจีน ฝ่ายผู้บริโภค สินค้าจำเป็นบางอย่างจำเป็นต้องซื้อจากสหรัฐ เช่น ก๊าซอีเทน รัฐบาลใช้วิธียกเว้นแบบเงียบๆฝ่ายผู้ผลิต โรงงานอุตสาหกรรมเบาหลายแห่งต้องปิด คนงานกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด แต่การเมืองยังไม่เดือดร้อนมาก เพราะไม่มีเลือกตั้งด้านสหรัฐ รูป 1 ฝ่ายผู้บริโภค รัฐบาลใช้วิธียกเว้นสินค้าจำเป็นบางอย่างไปแล้ว 22% ของยอดนำเข้าจากจีนรูป 2 แต่เนื่องจาก 37% ของสินค้าจีน เป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบ ดังนั้น ขบวนการอุตสาหกรรมทั่วไปในสหรัฐ กำลังจะสะดุดนี่ยังไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและยุทโธปกรณ์ ที่จีนแบนแร่หายากสัปดาห์ก่อน บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ขอพบกับทรัมป์ แจ้งว่า สงครามภาษี จะทำให้ของเริ่มขาดตลาด ภายในไม่กี่สัปดาห์รูป 3 แสดงน่านน้ำจีน ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ S ท่าเรือนิงเบา N จำนวนเรือรอเข้า/ออก ยังมีมากรูป 4 แสดงน่านน้ำสหรัฐ ลอสแอนเจลีส L ซานฟรานซิสโก S จำนวนเรือเหลือน้อยมากSupply Chain Disruption กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ทั้งสินค้าคอนซูเมอร์ และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรูป 5 จะเห็นได้ว่า สินค้าจีนไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นของโฮเทค (สีชมพูคือเครื่องจักร เทเลคอม และรถยนต์) ซึ่งกว่าจะหาแหล่งทดแทนได้ จะใช้เวลานานสินค้าสหรัฐไปจีน เป็นของพื้นๆ ที่ทดแทนได้ง่าย (สีฟ้าคือน้ำมันและก๊าซ)รูป 6 แสดงสัดส่วนแต่ละสินค้า ที่สหรัฐซื้อจากจีน ไฟ LED และเตาไมโครเวฟ เกิน 90%สมาร์ทโฟน วีดีโอเกม และพัดลม เกิน 80% ของเล่น สินค้าพลาสติก และจอคอมพิวเตอร์ เกิน 70%แลปท้อป และแบตเตอรี่ลิเทียม เกิน 60%ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จะเผชิญปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. จึงคาดกันว่า ทรัมป์จะเป็นฝ่ายที่คลายปม ก่อนสีจิ้นผิงทางเลือกที่หนึ่ง เลื่อนการใช้กำแพง 145% ออกไปชั่วคราว เหมือน 184 ประเทศที่เหลือจะแก้ปัญหาฝ่ายผู้นำเข้า ฝ่ายผู้บริโภค และผู้ผลิตอุตสาหกรรมซัพพลายเชน แต่ถ้าจีนไม่เลื่อนเวลาบังคับใช้ 125% ออกไปเช่นกัน การส่งออกสินค้าเกษตร ก็ไม่ฟื้น และไม่รู้ว่า ทรัมป์จะเดินหมาก ให้ไม่ดูเป็นการเสียหน้าได้อย่างไรรวมทั้ง การเลื่อนจะทำให้ปัญหา ค้างคาอยู่ กดดันการวางแผนธุรกิจทางเลือกที่สอง ประกาศยกเว้นสินค้าเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่ยกเว้น 22% ที่นำเข้าจากจีนขึ้นไปเป็น 30-40-50% แต่ก็จะดูเหมือนเป็นการยอมแพ้อีกเช่นกันและไม่แก้ปัญหา ด้านสหรัฐส่งออกทางเลือกที่สาม ประกาศลดจาก 145% ลงเหลือ 54% ตามตารางที่ทรัมป์ยกชูขึ้น ในการแถลงข่าวเป็นไปได้ ที่จีนจะยอมลดลงมา ล้อเลียนกัน เช่น อาจจะลดจาก 125% เหลือ 25-30%แต่ต้องยอมรับว่า อัตรา 54% ก็ยังจะทำให้คนอเมริกัน เลือดซิบ ในการควักกระเป๋าข้อบปิ้งอยู่เช่นเดิมอัตรานี้ สหรัฐจะไปไม่ได้ในระยะยาว ทางเลือกที่สี่ ประกาศแก้ไขจาก 145% กลับไปเป็น 20% ก่อนวันปลดปล่อยอิสรภาพปัญหาสงครามภาษีจะคลี่คลายทันที แต่คงต้องยกเลิกการเจรจากับ 184 ประเทศที่เหลือโฟกัสปัญหา จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ การเมืองภายในพรรครีปับบิลกันทันทีวันที่ 29 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังhttps://www.facebook.com/share/p/1E1Z4MinwB/?mibextid=wwXIfr
    ขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐน่าวิเคราะห์ว่า จะมีการขยับกำแพงภาษีจีน-สหรัฐกันอย่างไรด้านจีน ฝ่ายผู้บริโภค สินค้าจำเป็นบางอย่างจำเป็นต้องซื้อจากสหรัฐ เช่น ก๊าซอีเทน รัฐบาลใช้วิธียกเว้นแบบเงียบๆฝ่ายผู้ผลิต โรงงานอุตสาหกรรมเบาหลายแห่งต้องปิด คนงานกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด แต่การเมืองยังไม่เดือดร้อนมาก เพราะไม่มีเลือกตั้งด้านสหรัฐ รูป 1 ฝ่ายผู้บริโภค รัฐบาลใช้วิธียกเว้นสินค้าจำเป็นบางอย่างไปแล้ว 22% ของยอดนำเข้าจากจีนรูป 2 แต่เนื่องจาก 37% ของสินค้าจีน เป็นชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบ ดังนั้น ขบวนการอุตสาหกรรมทั่วไปในสหรัฐ กำลังจะสะดุดนี่ยังไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและยุทโธปกรณ์ ที่จีนแบนแร่หายากสัปดาห์ก่อน บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้ขอพบกับทรัมป์ แจ้งว่า สงครามภาษี จะทำให้ของเริ่มขาดตลาด ภายในไม่กี่สัปดาห์รูป 3 แสดงน่านน้ำจีน ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ S ท่าเรือนิงเบา N จำนวนเรือรอเข้า/ออก ยังมีมากรูป 4 แสดงน่านน้ำสหรัฐ ลอสแอนเจลีส L ซานฟรานซิสโก S จำนวนเรือเหลือน้อยมากSupply Chain Disruption กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐ ทั้งสินค้าคอนซูเมอร์ และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมรูป 5 จะเห็นได้ว่า สินค้าจีนไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นของโฮเทค (สีชมพูคือเครื่องจักร เทเลคอม และรถยนต์) ซึ่งกว่าจะหาแหล่งทดแทนได้ จะใช้เวลานานสินค้าสหรัฐไปจีน เป็นของพื้นๆ ที่ทดแทนได้ง่าย (สีฟ้าคือน้ำมันและก๊าซ)รูป 6 แสดงสัดส่วนแต่ละสินค้า ที่สหรัฐซื้อจากจีน ไฟ LED และเตาไมโครเวฟ เกิน 90%สมาร์ทโฟน วีดีโอเกม และพัดลม เกิน 80% ของเล่น สินค้าพลาสติก และจอคอมพิวเตอร์ เกิน 70%แลปท้อป และแบตเตอรี่ลิเทียม เกิน 60%ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จะเผชิญปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน มิ.ย. จึงคาดกันว่า ทรัมป์จะเป็นฝ่ายที่คลายปม ก่อนสีจิ้นผิงทางเลือกที่หนึ่ง เลื่อนการใช้กำแพง 145% ออกไปชั่วคราว เหมือน 184 ประเทศที่เหลือจะแก้ปัญหาฝ่ายผู้นำเข้า ฝ่ายผู้บริโภค และผู้ผลิตอุตสาหกรรมซัพพลายเชน แต่ถ้าจีนไม่เลื่อนเวลาบังคับใช้ 125% ออกไปเช่นกัน การส่งออกสินค้าเกษตร ก็ไม่ฟื้น และไม่รู้ว่า ทรัมป์จะเดินหมาก ให้ไม่ดูเป็นการเสียหน้าได้อย่างไรรวมทั้ง การเลื่อนจะทำให้ปัญหา ค้างคาอยู่ กดดันการวางแผนธุรกิจทางเลือกที่สอง ประกาศยกเว้นสินค้าเพิ่มขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบันที่ยกเว้น 22% ที่นำเข้าจากจีนขึ้นไปเป็น 30-40-50% แต่ก็จะดูเหมือนเป็นการยอมแพ้อีกเช่นกันและไม่แก้ปัญหา ด้านสหรัฐส่งออกทางเลือกที่สาม ประกาศลดจาก 145% ลงเหลือ 54% ตามตารางที่ทรัมป์ยกชูขึ้น ในการแถลงข่าวเป็นไปได้ ที่จีนจะยอมลดลงมา ล้อเลียนกัน เช่น อาจจะลดจาก 125% เหลือ 25-30%แต่ต้องยอมรับว่า อัตรา 54% ก็ยังจะทำให้คนอเมริกัน เลือดซิบ ในการควักกระเป๋าข้อบปิ้งอยู่เช่นเดิมอัตรานี้ สหรัฐจะไปไม่ได้ในระยะยาว ทางเลือกที่สี่ ประกาศแก้ไขจาก 145% กลับไปเป็น 20% ก่อนวันปลดปล่อยอิสรภาพปัญหาสงครามภาษีจะคลี่คลายทันที แต่คงต้องยกเลิกการเจรจากับ 184 ประเทศที่เหลือโฟกัสปัญหา จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ การเมืองภายในพรรครีปับบิลกันทันทีวันที่ 29 เมษายน 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังhttps://www.facebook.com/share/p/1E1Z4MinwB/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต"

    ---

    1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ

    > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต"

    บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น

    แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ

    > ธรรมะสำคัญ:
    "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น"

    ---

    2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน

    ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ:

    สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง

    มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง

    เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด

    ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”:

    อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง

    และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต

    > ธรรมะสำคัญ:
    "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข"

    ---

    3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ?

    ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน"

    บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น"

    ---

    4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต

    ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง

    ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด

    ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง

    > ธรรมะสำคัญ:
    "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว"

    ---

    5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้

    บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ

    การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว

    ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ

    ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต

    ---

    ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที

    "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น"

    "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน"

    "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด"

    "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ"

    "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ"

    ---
    นิเวศของจิต ขณะที่ทำบุญ — ซึ่งส่งผลยาวไกลถึง "นิสัย", "ชีวิตหลังทำบุญ", และแม้แต่ "ภพภูมิในอนาคต" --- 1. บุญไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่เป็นพลังงานที่ติดตามอาการทางใจ > "อาการทางใจขณะทำบุญ เป็นตัวกำหนดนิสัยและผลกรรมในอนาคต" บุญไม่ได้แค่บันดาลความสุขในระยะสั้น แต่ “รูปแบบการทำบุญ” และ “เจตนาขณะทำ” จะ หล่อหลอมจิต ให้เป็นไปในแนวทางนั้นๆ > ธรรมะสำคัญ: "ทำบุญอย่างไร ใจก็แปรไปตามนั้น" --- 2. การทำบุญคนเดียว: ฝึกพึ่งตนเอง สร้างพลังเดี่ยวอย่างเบิกบาน ถ้าทำบุญคนเดียวด้วยความสุขใจ: สร้างนิสัย “พึ่งตัวเอง” ได้จริง มีโอกาส "เหงายาก" และมีความสุขกับตัวเอง เดินทางธรรมได้ง่าย เพราะไม่ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกำลังใจจากผู้อื่นตลอด ถ้าทำบุญแล้ว “แอบเหงา” หรือ “วาดฝันหาใคร”: อาจสร้างนิสัยเพ้อฝัน ไม่สมดุลกับโลกจริง และนำไปสู่ความคาดหวังผิดๆ ในความสัมพันธ์ในอนาคต > ธรรมะสำคัญ: "สุขจริงคือสุขที่ไม่ต้องมีเงื่อนไข" --- 3. การลากคนอื่นไปทำบุญด้วยเจตนาผิด: เป็นบุญหรือเป็นภาระ? ถ้าแค่พาไปแต่ “ใจเขาไม่มา” ก็มีแต่ เหนื่อยฟรี หรือหนักกว่านั้นคือสร้างนิสัย "แบกคน" บุญที่แท้คือการ ทำด้วยใจเต็มร้อยของตัวเอง และให้โอกาสคนอื่นตามด้วยศรัทธาของเขาเอง ไม่ใช่การกดดันหรือลากจูง > ธรรมะสำคัญ: "บุญแท้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่ไปด้วย แต่อยู่ที่ความพร้อมของใจตนเองและผู้อื่น" --- 4. สไตล์การทำบุญจะสร้างแบบแผนชีวิตในอนาคต ถ้าทำบุญอย่างอิสระ สุขใจ → ชีวิตจะเบา ง่าย เป็นสุขด้วยตัวเอง ถ้าทำบุญแบบพึ่งพา เหนื่อยใจ → ชีวิตจะวนเวียนอยู่กับการต้องหาคนพึ่งตลอด ถ้าทำบุญแบบเพ้อฝัน → ชีวิตจะเต็มไปด้วยการคาดหวังสิ่งที่ไม่มีจริง > ธรรมะสำคัญ: "บุญสร้างทางเดินชีวิตใหม่แบบไม่รู้ตัว" --- 5. สรุปแก่นธรรมะจากบทความนี้ บุญเป็นพลังบันดาลที่ติดอยู่กับอาการทางใจ ณ ขณะที่ทำ การทำบุญคนเดียวอย่างเบิกบาน คือการสร้างกำลังใจพึ่งตนเอง ในระยะยาว ลากคนอื่นมาทำบุญแบบฝืนใจ มีโอกาสก่อภาระกรรมมากกว่าสร้างบุญ ฝึกทำบุญโดยไม่เพ้อหาใคร จะเป็นอิสระทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาการใจขณะทำบุญ คือเมล็ดพันธุ์ของนิสัยและชะตาชีวิตในอนาคต --- ธรรมะสั้นจากบทความนี้ ใช้ต่อยอดได้ทันที "ทำบุญอย่างไร ใจก็กลายเป็นอย่างนั้น" "บุญที่แท้ ต้องเบิกบาน ไม่แบกคน ไม่ลากคน" "สุขที่พึ่งตัวเองได้ คือสุขที่มั่นคงที่สุด" "อย่าทำบุญด้วยใจฝืน เพราะผลที่ได้จะเป็นภาระไม่รู้จบ" "บุญเป็นพลังสร้างนิสัยชีวิต — ดีหรือร้าย ขึ้นกับใจที่ทำ" ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกของการโฆษณาออนไลน์ที่เกิดจากการมาของ AI เช่น ChatGPT และ Claude ซึ่งทำให้บริษัทโฆษณาต้องปรับตัวเพื่อให้แบรนด์ของพวกเขาปรากฏในคำตอบที่ AI สร้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ใช้งาน AI มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาคำตอบที่ AI สร้างขึ้นมากกว่าการคลิกผ่านเว็บไซต์แบบเดิม

    บริษัทโฆษณา เช่น Profound และ Brandtech ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยแบรนด์ตรวจสอบว่าพวกเขาถูกกล่าวถึงในคำตอบของ AI บ่อยแค่ไหน และวิเคราะห์ความรู้สึกที่ AI มีต่อแบรนด์นั้นๆ เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในโลกโฆษณา
    - AI เช่น ChatGPT และ Claude ทำให้ผู้ใช้งานพึ่งพาคำตอบที่ AI สร้างขึ้นมากกว่าการคลิกผ่านเว็บไซต์
    - บริษัทโฆษณาต้องปรับตัวเพื่อให้แบรนด์ปรากฏในคำตอบของ AI

    ✅ การพัฒนาเครื่องมือใหม่
    - Profound และ Brandtech พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยแบรนด์ตรวจสอบการกล่าวถึงในคำตอบของ AI
    - เครื่องมือวิเคราะห์ความรู้สึกและสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม

    ✅ ผลกระทบต่อการค้นหาแบบเดิม
    - การใช้ AI ลดการคลิกผ่านเว็บไซต์แบบเดิมถึง 25%
    - การค้นหาแบบเดิมอาจสูญเสียความนิยมในระยะยาว

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์โฆษณา
    - บริษัทโฆษณาเริ่มมอง AI เป็นผู้มีอิทธิพลที่สำคัญ

    https://www.neowin.net/news/here-is-how-ad-agencies-are-working-hard-to-make-sure-you-see-ads-in-chatgpt-responses/
    บทความนี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกของการโฆษณาออนไลน์ที่เกิดจากการมาของ AI เช่น ChatGPT และ Claude ซึ่งทำให้บริษัทโฆษณาต้องปรับตัวเพื่อให้แบรนด์ของพวกเขาปรากฏในคำตอบที่ AI สร้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ใช้งาน AI มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาคำตอบที่ AI สร้างขึ้นมากกว่าการคลิกผ่านเว็บไซต์แบบเดิม บริษัทโฆษณา เช่น Profound และ Brandtech ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยแบรนด์ตรวจสอบว่าพวกเขาถูกกล่าวถึงในคำตอบของ AI บ่อยแค่ไหน และวิเคราะห์ความรู้สึกที่ AI มีต่อแบรนด์นั้นๆ เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม ✅ การเปลี่ยนแปลงในโลกโฆษณา - AI เช่น ChatGPT และ Claude ทำให้ผู้ใช้งานพึ่งพาคำตอบที่ AI สร้างขึ้นมากกว่าการคลิกผ่านเว็บไซต์ - บริษัทโฆษณาต้องปรับตัวเพื่อให้แบรนด์ปรากฏในคำตอบของ AI ✅ การพัฒนาเครื่องมือใหม่ - Profound และ Brandtech พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยแบรนด์ตรวจสอบการกล่าวถึงในคำตอบของ AI - เครื่องมือวิเคราะห์ความรู้สึกและสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม ✅ ผลกระทบต่อการค้นหาแบบเดิม - การใช้ AI ลดการคลิกผ่านเว็บไซต์แบบเดิมถึง 25% - การค้นหาแบบเดิมอาจสูญเสียความนิยมในระยะยาว ✅ การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์โฆษณา - บริษัทโฆษณาเริ่มมอง AI เป็นผู้มีอิทธิพลที่สำคัญ https://www.neowin.net/news/here-is-how-ad-agencies-are-working-hard-to-make-sure-you-see-ads-in-chatgpt-responses/
    WWW.NEOWIN.NET
    Here is how ad agencies are working hard to make sure you see ads in ChatGPT responses
    LLM chatbots like ChatGPT are undoubtedly here to stay. Companies have now realised that and have started exploring ways to show you ads in responses from the chatbots.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสือไม่กัดกับหมา แม้ชนะมา ก็มิน่า...ภาคภูมิใจ ศิลปะประเมินคู่ขัดแย้ง ปัญญาชน หรือปัญญาอ่อน? รู้จักหลักคิดจาก "เสือกับหมาบ้า" เลือกสู้ให้เป็น เพื่อชีวิตที่สงบสุขกว่าเดิม 🐅🐶

    เรียนรู้บทเรียนชีวิตจากนิทาน "เสือกับหมาบ้า" พร้อมเทคนิคการประเมินคู่ขัดแย้ง อย่างผู้มีปัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ ที่ไม่จำเป็น ✨

    เจาะลึกบทเรียนจาก "เสือกับหมาบ้า" พร้อมเทคนิคการประเมินคู่ขัดแย้ง เพื่อใช้ชีวิตด้วยสติ เลือกศึกอย่างชาญฉลาด และรักษาพลังชีวิตไว้ เพื่อเป้าหมายที่แท้จริง 🌟

    โลกแห่งความขัดแย้ง และบทเรียนที่เราต้องเลือกสู้ให้เป็น 🎯 ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเอาชนะ และความตึงเครียดสะสม 🌀 หลายคนถูกปลุกเร้า ให้ตอบโต้ทุกความขัดแย้งที่พบเจอ โดยลืมไปว่า "ไม่ใช่ทุกศึกที่ควรลงแรง"

    บทเรียนจากนิทาน "เสือกับหมาบ้า" ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวที่เรียบง่าย แต่สอดแทรกหลักคิดลึกซึ้ง ไว้ชัดเจนว่า...

    "ไม่ใช่ทุกการต่อสู้ จะคุ้มค่ากับเวลาและพลังงานที่เราจะเสียไป"

    แล้วทำไมเราต้องรู้จักเลือกสู้? แล้วอะไรคือศิลปะของการประเมินคู่ขัดแย้ง? มาค้นหาคำตอบด้วยกัน ✨

    "เสือกับหมาบ้า" นิทานสั้นที่สอนบทเรียนยิ่งใหญ่ 🐅🐕 เสือตัวหนึ่งเดินอยู่ในป่า 🍃 เห็นหมาบ้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เสือเลือกที่จะเบี่ยงทางเลี่ยง โดยไม่สู้ ทั้ง ๆ ที่เสือสามารถกำราบหมาบ้า ได้อย่างง่ายดาย

    ลูกเสือที่เห็นเหตุการณ์เกิดความสงสัย จึงถามพ่อเสือว่า... "เจอสัตว์ใหญ่ พ่อยังกล้าสู้ได้ แต่ทำไมเจอแค่หมาบ้าตัวเดียว ถึงต้องหลีกเลี่ยง? น่าอายจริง ๆ!"

    พ่อเสือยิ้มอย่างอารมณ์ดี และตอบว่า...

    "ลูกเอ๋ย... การเอาชนะหมาบ้า มันมีเกียรตินักหรือ? หากพลาดพลั้งโดนกัด อาจติดเชื้อจนเสียชีวิต เสียแรงโดยใช่เหตุ"

    ลูกเสือพยักหน้าด้วยความเข้าใจ 🙏

    ไม่ใช่ทุกการชนะ คือชัยชนะที่แท้จริง การหลีกเลี่ยงศึกที่ไม่จำเป็น คือการปกป้องตัวเองอย่างฉลาด

    การควบคุมอารมณ์ และประเมินสถานการณ์ คือสัญลักษณ์ของผู้มีปัญญา

    "ผู้มีปัญญา" จะไม่สู้กับ "คนที่หัวใจเต็มไปด้วยขยะ" 🧠🚫 สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด 🔥 ความเครียดสะสมในจิตใจมนุษย์ ถูกเปรียบได้กับ "ขยะทางอารมณ์" ที่รอวันระเบิด

    หลายคนเลือกปล่อยขยะเหล่านี้ ใส่คนรอบข้างในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประชดประชัน พูดจาทำร้ายจิตใจ หรือแม้แต่การหาเรื่องทะเลาะ

    หากเราไปตอบโต้ ก็เท่ากับเรา... รับเอาขยะของเขาเข้ามาในตัวเอง ลดค่าศักดิ์ศรีของตนเอง เสียเวลาและพลังงานโดยไม่จำเป็น

    ผู้มีปัญญาจึงเลือก... ยิ้มให้แล้วเดินจากไป 😌 โฟกัสเป้าหมายชีวิต ไม่เสียเวลากับการพิสูจน์ตัวเอง กับคนที่ไม่คู่ควร

    ✨"อย่าปล่อยให้ความโกรธชั่ววูบ ทำลายอนาคตที่คุณสร้างมา"✨

    ศิลปะแห่งการประเมินคู่ขัดแย้ง 🎨⚖️ หลักการประเมินคู่ขัดแย้ง ก่อนที่เราจะตอบโต้ใคร ลองถามตัวเอง ด้วยคำถามเหล่านี้...

    คู่กรณีของเรา "มีสติปัญญา" หรือ "ขาดสติ"?

    การทะเลาะครั้งนี้ "ให้ประโยชน์อะไร" กับชีวิตเราบ้าง?

    ถ้าชนะ จะได้อะไร? ถ้าแพ้ จะเสียอะไร?

    พลังงานที่ต้องเสียไป "คุ้มค่า" หรือไม่?

    เรา "อยากลดตัว" ลงไปสู้กับเขาจริงหรือ?

    ถ้าคำตอบส่วนใหญ่คือ "ไม่" แสดงว่า "ไม่สู้" คือคำตอบที่ฉลาดกว่า 🎯

    วิธีหลีกเลี่ยงการรับขยะทางอารมณ์จากผู้อื่น 🛡️🧘‍♂️

    รักษาสติให้มั่นคงก่อนตอบสนองต่อคำพูด หรือการกระทำแย่ ๆ ให้หยุดคิดเสี้ยววินาที 🌬️ แล้วถามตัวเองว่า "จำเป็นต้องโต้ตอบไหม?"

    อย่าเอาขยะคนอื่นมาใส่หัวตัวเอง นึกไว้เสมอว่า "คำพูดลบ" เปรียบเสมือนขยะ อย่าเก็บมาแบกไว้

    ใช้รอยยิ้มเป็นโล่กำบัง ยิ้มอย่างจริงใจ เป็นอาวุธที่มีพลังที่สุด ในการดับเพลิงแห่งความโกรธ 😄

    เดินจากไปอย่างสง่างาม ไม่มีอะไรน่าอาย ในการหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไร้สาระ 🚶‍♀️

    โฟกัสเป้าหมายในชีวิต เมื่อมีเป้าหมายที่ใหญ่พอ เรื่องเล็กน้อยจะดูไร้ความหมายในทันที 🎯

    ชีวิตเรามีพลังงานจำกัด เลือกใช้ให้คุ้มค่า 🔥 พลังงานชีวิตของเรามีจำกัดในแต่ละวัน 🌞 จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเก็บพลังงานนั้น ไว้สำหรับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เช่น...

    ความฝัน เป้าหมายชีวิต คนที่เรารัก การพัฒนาตัวเอง การสร้างคุณค่าให้สังคม

    อย่าเสียเวลาทะเลาะกับคนที่ "ไม่ได้มีบทบาทอะไร ในชีวิตระยะยาวของเราเลย"

    ป็นเสือ ไม่ต้องกัดกับหมา 🐯🚫🐕 "เสือ" เลือกศึกอย่างมีสติ ไม่หลงไปกับการพิสูจน์ศักดิ์ศรีกับหมาบ้า

    ชีวิตจริงก็เช่นกัน การเลือกไม่สู้ในศึกที่ไม่คู่ควร ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือเครื่องหมายของ "ผู้มีปัญญา" และ "ผู้มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่"

    พร้อมหรือยัง ที่จะเลือกชีวิตอย่างมีสติ? จงจำไว้ว่า... "ไม่ใช่ทุกการชนะ คือชัยชนะที่แท้จริง" เลือกศึกให้เป็น แล้วใช้พลังชีวิตกับสิ่งที่คู่ควรเถอะนะ ✨

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261545 เม.ย. 2568

    #เสือกับหมาบ้า #ชีวิตอย่างมีสติ #ศิลปะการประเมินคู่ขัดแย้ง #บทเรียนชีวิต #ไม่ทะเลาะไม่ใช่อ่อนแอ #เลือกศึกให้เป็น #พลังงานชีวิต #การควบคุมอารมณ์ #นิทานสอนใจ #พัฒนาตนเอง
    เสือไม่กัดกับหมา แม้ชนะมา ก็มิน่า...ภาคภูมิใจ ศิลปะประเมินคู่ขัดแย้ง ปัญญาชน หรือปัญญาอ่อน? รู้จักหลักคิดจาก "เสือกับหมาบ้า" เลือกสู้ให้เป็น เพื่อชีวิตที่สงบสุขกว่าเดิม 🐅🐶 เรียนรู้บทเรียนชีวิตจากนิทาน "เสือกับหมาบ้า" พร้อมเทคนิคการประเมินคู่ขัดแย้ง อย่างผู้มีปัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ ที่ไม่จำเป็น ✨ เจาะลึกบทเรียนจาก "เสือกับหมาบ้า" พร้อมเทคนิคการประเมินคู่ขัดแย้ง เพื่อใช้ชีวิตด้วยสติ เลือกศึกอย่างชาญฉลาด และรักษาพลังชีวิตไว้ เพื่อเป้าหมายที่แท้จริง 🌟 โลกแห่งความขัดแย้ง และบทเรียนที่เราต้องเลือกสู้ให้เป็น 🎯 ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การเอาชนะ และความตึงเครียดสะสม 🌀 หลายคนถูกปลุกเร้า ให้ตอบโต้ทุกความขัดแย้งที่พบเจอ โดยลืมไปว่า "ไม่ใช่ทุกศึกที่ควรลงแรง" บทเรียนจากนิทาน "เสือกับหมาบ้า" ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวที่เรียบง่าย แต่สอดแทรกหลักคิดลึกซึ้ง ไว้ชัดเจนว่า... "ไม่ใช่ทุกการต่อสู้ จะคุ้มค่ากับเวลาและพลังงานที่เราจะเสียไป" แล้วทำไมเราต้องรู้จักเลือกสู้? แล้วอะไรคือศิลปะของการประเมินคู่ขัดแย้ง? มาค้นหาคำตอบด้วยกัน ✨ "เสือกับหมาบ้า" นิทานสั้นที่สอนบทเรียนยิ่งใหญ่ 🐅🐕 เสือตัวหนึ่งเดินอยู่ในป่า 🍃 เห็นหมาบ้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา เสือเลือกที่จะเบี่ยงทางเลี่ยง โดยไม่สู้ ทั้ง ๆ ที่เสือสามารถกำราบหมาบ้า ได้อย่างง่ายดาย ลูกเสือที่เห็นเหตุการณ์เกิดความสงสัย จึงถามพ่อเสือว่า... "เจอสัตว์ใหญ่ พ่อยังกล้าสู้ได้ แต่ทำไมเจอแค่หมาบ้าตัวเดียว ถึงต้องหลีกเลี่ยง? น่าอายจริง ๆ!" พ่อเสือยิ้มอย่างอารมณ์ดี และตอบว่า... "ลูกเอ๋ย... การเอาชนะหมาบ้า มันมีเกียรตินักหรือ? หากพลาดพลั้งโดนกัด อาจติดเชื้อจนเสียชีวิต เสียแรงโดยใช่เหตุ" ลูกเสือพยักหน้าด้วยความเข้าใจ 🙏 ไม่ใช่ทุกการชนะ คือชัยชนะที่แท้จริง การหลีกเลี่ยงศึกที่ไม่จำเป็น คือการปกป้องตัวเองอย่างฉลาด การควบคุมอารมณ์ และประเมินสถานการณ์ คือสัญลักษณ์ของผู้มีปัญญา "ผู้มีปัญญา" จะไม่สู้กับ "คนที่หัวใจเต็มไปด้วยขยะ" 🧠🚫 สังคมทุกวันนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด 🔥 ความเครียดสะสมในจิตใจมนุษย์ ถูกเปรียบได้กับ "ขยะทางอารมณ์" ที่รอวันระเบิด หลายคนเลือกปล่อยขยะเหล่านี้ ใส่คนรอบข้างในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประชดประชัน พูดจาทำร้ายจิตใจ หรือแม้แต่การหาเรื่องทะเลาะ หากเราไปตอบโต้ ก็เท่ากับเรา... รับเอาขยะของเขาเข้ามาในตัวเอง ลดค่าศักดิ์ศรีของตนเอง เสียเวลาและพลังงานโดยไม่จำเป็น ผู้มีปัญญาจึงเลือก... ยิ้มให้แล้วเดินจากไป 😌 โฟกัสเป้าหมายชีวิต ไม่เสียเวลากับการพิสูจน์ตัวเอง กับคนที่ไม่คู่ควร ✨"อย่าปล่อยให้ความโกรธชั่ววูบ ทำลายอนาคตที่คุณสร้างมา"✨ ศิลปะแห่งการประเมินคู่ขัดแย้ง 🎨⚖️ หลักการประเมินคู่ขัดแย้ง ก่อนที่เราจะตอบโต้ใคร ลองถามตัวเอง ด้วยคำถามเหล่านี้... คู่กรณีของเรา "มีสติปัญญา" หรือ "ขาดสติ"? การทะเลาะครั้งนี้ "ให้ประโยชน์อะไร" กับชีวิตเราบ้าง? ถ้าชนะ จะได้อะไร? ถ้าแพ้ จะเสียอะไร? พลังงานที่ต้องเสียไป "คุ้มค่า" หรือไม่? เรา "อยากลดตัว" ลงไปสู้กับเขาจริงหรือ? ถ้าคำตอบส่วนใหญ่คือ "ไม่" แสดงว่า "ไม่สู้" คือคำตอบที่ฉลาดกว่า 🎯 วิธีหลีกเลี่ยงการรับขยะทางอารมณ์จากผู้อื่น 🛡️🧘‍♂️ รักษาสติให้มั่นคงก่อนตอบสนองต่อคำพูด หรือการกระทำแย่ ๆ ให้หยุดคิดเสี้ยววินาที 🌬️ แล้วถามตัวเองว่า "จำเป็นต้องโต้ตอบไหม?" อย่าเอาขยะคนอื่นมาใส่หัวตัวเอง นึกไว้เสมอว่า "คำพูดลบ" เปรียบเสมือนขยะ อย่าเก็บมาแบกไว้ ใช้รอยยิ้มเป็นโล่กำบัง ยิ้มอย่างจริงใจ เป็นอาวุธที่มีพลังที่สุด ในการดับเพลิงแห่งความโกรธ 😄 เดินจากไปอย่างสง่างาม ไม่มีอะไรน่าอาย ในการหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่ไร้สาระ 🚶‍♀️ โฟกัสเป้าหมายในชีวิต เมื่อมีเป้าหมายที่ใหญ่พอ เรื่องเล็กน้อยจะดูไร้ความหมายในทันที 🎯 ชีวิตเรามีพลังงานจำกัด เลือกใช้ให้คุ้มค่า 🔥 พลังงานชีวิตของเรามีจำกัดในแต่ละวัน 🌞 จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเก็บพลังงานนั้น ไว้สำหรับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เช่น... ความฝัน เป้าหมายชีวิต คนที่เรารัก การพัฒนาตัวเอง การสร้างคุณค่าให้สังคม อย่าเสียเวลาทะเลาะกับคนที่ "ไม่ได้มีบทบาทอะไร ในชีวิตระยะยาวของเราเลย" ป็นเสือ ไม่ต้องกัดกับหมา 🐯🚫🐕 "เสือ" เลือกศึกอย่างมีสติ ไม่หลงไปกับการพิสูจน์ศักดิ์ศรีกับหมาบ้า ชีวิตจริงก็เช่นกัน การเลือกไม่สู้ในศึกที่ไม่คู่ควร ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือเครื่องหมายของ "ผู้มีปัญญา" และ "ผู้มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่" พร้อมหรือยัง ที่จะเลือกชีวิตอย่างมีสติ? จงจำไว้ว่า... "ไม่ใช่ทุกการชนะ คือชัยชนะที่แท้จริง" เลือกศึกให้เป็น แล้วใช้พลังชีวิตกับสิ่งที่คู่ควรเถอะนะ ✨ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 261545 เม.ย. 2568 #เสือกับหมาบ้า #ชีวิตอย่างมีสติ #ศิลปะการประเมินคู่ขัดแย้ง #บทเรียนชีวิต #ไม่ทะเลาะไม่ใช่อ่อนแอ #เลือกศึกให้เป็น #พลังงานชีวิต #การควบคุมอารมณ์ #นิทานสอนใจ #พัฒนาตนเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาวะไร้ราคา เมื่อรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าในสายตาใคร แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงินถึงจะมีคนสนใจ 💸🧍‍♂️

    💡 เข้าใจลึกถึงภาวะ "ไร้คุณค่า" ในมุมที่หลายคนอาจเคยสัมผัส แต่ไม่กล้าพูดถึง ตั้งแต่ความเจ็บที่ซ่อนในความเงียบ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ดูแรง แต่เต็มไปด้วยคำขอความเข้าใจ พร้อมแนวทางรับมืออย่างเข้าใจ ทั้งใจเราและใจเขา

    📝 ภาวะไร้ราคาในใจคน ความเงียบที่เจ็บปวด และวิธีรับมือด้วยความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงดัง เพื่อให้ใครได้ยิน 🌐

    🔍 เสียงของความเงียบที่ไม่มีใครฟัง “แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงิน ถึงจะมีคนสนใจ” ประโยคนี้อาจฟังดูประชดประชัน แต่มันสะท้อนความจริงเจ็บลึก ของคนจำนวนมาก ในยุคที่โลกออนไลน์ กลายเป็นเวทีให้คนตะโกนหา ‘ตัวตน’

    ในสังคมที่ทุกอย่างวัดค่าจากยอดไลก์ 💬 ความสนใจ 🧠 หรือจำนวนผู้ติดตาม คนที่รู้สึกว่าไม่มีใครฟัง ไม่มีใครแคร์ อาจเริ่มตั้งคำถามว่า “เรายังมีตัวตนอยู่จริงไหม?”

    ความเงียบไม่ใช่สิ่งเลวร้าย… แต่เมื่อความเงียบนั้นไม่ใช่ ‘พื้นที่พักใจ’ แต่คือ ‘กำแพงที่กั้นไม่ให้ใครเห็นเรา’ มันกลายเป็นความเจ็บที่ไม่พูดก็ไม่เข้าใจ

    🔍 "ภาวะไร้ราคา" หรือ "Worthlessness" คือความรู้สึกที่ว่า… เราไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีใครสนใจ หรือแม้แต่สังเกตเห็นว่าเรามีตัวตน

    📌 ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นจากปัจจัยทางจิตใจ สังคม หรือการเปรียบเทียบกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่า "ความรู้สึกของเราไม่ถูกฟัง ไม่ถูกเห็น"

    ตัวอย่างของภาวะนี้... โพสต์อะไรแล้วไม่มีใครสนใจ 📉 พูดสิ่งที่รู้สึก แต่ไม่มีใครใส่ใจฟัง 🧏‍♀️ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาทในกลุ่ม หรือในครอบครัว

    🧠 ซึ่งภาวะนี้หากปล่อยไว้ ไม่จัดการ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า, การแยกตัวทางสังคม หรือแม้กระทั่งความคิดอยากทำร้ายตัวเอง

    🔍 ยุคนี้มีรู้สึก "ไร้คุณค่า" มากขึ้น เพราะวัฒนธรรมเปรียบเทียบ ทุกคนโพสต์แต่สิ่งที่ดีที่สุด 📷 เราเห็นแต่ภาพ “สำเร็จ” ของคนอื่น แต่ไม่เห็นความล้มเหลว ทำให้เรารู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ”

    การนิยามตัวตนจากความสนใจภายนอก หากโพสต์ไม่มีคนกดไลก์ 🖱️ หรือเรื่องที่เราพูดไม่มีใครสนใจ เราอาจรู้สึกว่า “เสียงของเราไม่มีความหมาย”

    พฤติกรรมของคนรอบข้าง เช่น คนในครอบครัว เพิกเฉยต่อสิ่งที่เราพูด เพื่อนร่วมงานไม่ฟังความเห็น หรือการถูกมองข้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ความเหนื่อยล้าจากการ "สร้างภาพ" การต้อง "ดูดี" ตลอดเวลา เหมือนการใส่หน้ากาก ที่ไม่สามารถถอดได้ แม้แต่ตอนอยู่คนเดียว

    🔍 เมื่อเสียงที่ถูกเพิกเฉย กลายเป็นคำพูดที่รุนแรง คนที่ “ตะโกน” ออกมา อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่อาจเป็นคนที่อยากให้ “ใครบางคน” ได้ยิน

    หลายครั้งที่การด่าทอ 🗣️ การประชดชีวิต หรือการแสดงพฤติกรรมแรง ๆ ไม่ได้เกิดจาก “ความเกลียด” แต่เกิดจากความพยายาม “ส่งเสียง” ครั้งสุดท้าย

    เขาอาจพยายามพูดดี ๆ แล้ว อาจเคยแสดงออกด้วยวิธีที่นุ่มนวลกว่า แต่เมื่อไม่มีใครฟัง… ก็เลย “พูดให้ดังขึ้น” แม้มันจะมาในรูปแบบของ “คำพูดที่เจ็บ” ก็ตาม

    🪧 ยอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนสนใจ ความเจ็บที่กลายเป็นข้อความ "เมื่อโพสต์ไม่มีใครกดไลก์ เมื่อพูดแล้วไม่มีใครฟัง… บางคนเลือก ‘จ่ายเงิน’ เพื่อให้ความรู้สึกของตัวเองได้มีคนเห็น"

    การยอมลงทุนทำป้ายติดหน้าบ้าน ไม่ใช่แค่เพราะอยากประชดชีวิต แต่มันคือการพยายาม ‘ปล่อยเสียงออกมาให้ดังพอ’ ที่จะทะลุผ่านกำแพงความเงียบ ของสังคมในยุคนี้

    😢 ความเจ็บที่อยู่เบื้องหลังข้อความบนป้าย หลายคนอาจหัวเราะ เมื่อเห็นใครทำป้ายที่มีข้อความแรง ๆ ติดไว้หน้าบ้าน แต่ถ้าลองหยุดและคิดดี ๆ... คนที่เลือกวิธีนี้ อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่คือคนที่ “กำลังร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ข้างใน”

    เพราะอาจเคยพูดแล้ว เคยขอความช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเห็น…

    สุดท้ายเลยต้อง “เปลี่ยนความรู้สึกเป็นตัวหนังสือ” แล้วแปะไว้ให้โลกรู้ แม้จะต้อง “เสียเงิน” เพื่อให้ข้อความนี้ มีพื้นที่อยู่บ้างก็ตาม

    💬 ข้อความที่คนไม่กล้าพูด แต่กล้าเขียน ข้อความเหล่านี้ มักไม่ใช่ถ้อยคำสุภาพ แต่มันคือ ความรู้สึกดิบๆ จากคนที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร

    บางข้อความอาจดู “แรง” บางข้อความอาจดู “ตลกร้าย” แต่เกือบทุกข้อความ…แฝง “ความเจ็บปวด” เสมอ เช่น...

    "ทำไมเงียบกันจังวะ? หรือเราตายไปแล้ว?"

    "ใครสักคน สนใจหน่อยไม่ได้เหรอ?"

    "ถึงต้องซื้อป้าย ถึงจะมีคนอ่านใจเรา"

    "ฉันรังเกียจโน่น นี่ นั่น..."

    เสียงพวกนี้ บางทีก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนสนใจ แต่อยากให้ “ใครบางคน” เห็น…

    📌 ความจริงที่น่ากลัวกว่า "ความรุนแรง" คือ "ความเงียบ" ความรุนแรงของถ้อยคำ อาจดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ความเงียบที่ทำให้คนรู้สึกว่า ‘ไม่มีตัวตน’

    ในยุคที่เราทุกคนต่างยุ่งกับหน้าจอ บางคนกำลัง “จมหาย” อยู่ข้างหลังประตูบ้าน และบางที… แค่มีใครสักคนหยุดดูป้ายนั้น ก็อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้

    🎯 บทเรียนจาก “ป้าย” ที่ควรเห็นใจ ไม่ใช่ตัดสิน ถ้าเห็นใครทำแบบนี้ อย่าเพิ่งรีบหัวเราะ อย่าเพิ่งรีบด่า เพราะเบื้องหลังนั้น… อาจคือคนที่ “เจ็บจนเงียบไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

    ลองคิดในมุมกลับ… ถ้ารู้สึกแย่มาก จนต้องเสียเงินเพื่อให้คนฟัง แสดงว่ากำลังขาดการเชื่อมโยง ที่ลึกมากในชีวิต

    ❤️ เราควรฟังให้มากขึ้น โดยไม่ตัดสิน สังเกตคนรอบตัว ที่อาจกำลังส่งสัญญาณว่าเขา “หมดแรงแล้ว” เปิดใจคุย แบบจริงใจ แม้เพียงไม่กี่คำ ก็อาจช่วยเขาได้มาก สร้างพื้นที่ให้คนได้ระบาย โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ

    เพราะบางครั้ง... “ข้อความบนป้าย” ก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนเข้าใจ แต่อยากให้ “ใครบางคนที่เขาหวัง” เข้าใจแค่นั้น 🪧💔
    และคุณ...อาจเป็น “คนนั้น” ที่เขารอให้เห็นอยู่ก็ได้ 🫂

    🔍 วิธีรับมือคนที่รู้สึกไร้คุณค่า โดยไม่ทำให้เขาเจ็บเพิ่ม ฟังอย่างจริงใจ ไม่ต้องรีบตัดสิน บางทีเขาไม่ได้ต้องการ “คำตอบ” แค่ต้องการ “พื้นที่ให้พูด”

    อย่าโต้กลับด้วยความรุนแรง ความสงบของคุณ อาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยเดียวที่เขามีในวันนั้น เว้นระยะอย่างมีเมตตา เข้าใจ ≠ ต้องทน คุณมีสิทธิ์ดูแลตัวเอง ไม่ต้องรับพลังลบเข้าใส่ทุกวัน

    ถ้ารุนแรงมาก ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากพฤติกรรมของเขา อาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง

    🔍 ความลวงบนโลกโซเชียล เมื่อ "สร้างภาพว่าขายดี" กลายเป็นดาบสองคม 🧾 ปัญหาที่ตามมาคือ หลอกตัวเอง จนหลุดจากปัญหาจริง เหนื่อยกับการแสดง มากกว่าทำธุรกิจ สูญเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว เครียดสะสมแบบไม่รู้ตัว เสียโอกาสในการพัฒนา พังทั้งระบบ เมื่อแบกรับไม่ไหว สร้างมาตรฐานปลอมให้คนทั้งวงการ

    ✅ วิธีแก้คือ พูดความจริงอย่างมีพลัง ✨ เล่าความเปลี่ยนแปลงจากใจจริง ยอมรับว่ายังไม่ดีพอ แล้วค่อยๆ ปรับ

    🔍 ภาระของคนที่ "เคยรวย" แล้วจมไม่ลง 💼💔 ผลเสียที่ตามมาคือ ภาระหนี้เกินตัว ถูกตัดน้ำ ตัดไฟ รถต้องจอดจำนำ ความสัมพันธ์พังเพราะโกหก ความเครียดสะสมเพราะต้องแสดง ไม่ยอมพัฒนา เพราะไม่ยอมรับความจริง โอกาสหาย เพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังล้ม เสียเวลาไปกับ “เปลือก” แทนที่จะสร้างแก่น เปรียบเทียบตัวเองกับอดีต ไม่มีใครเข้าใจ เพราะไม่กล้าพูดความจริง

    🔍 คุณมีค่าเสมอ แม้ไม่มีใครบอก 🧡 ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง ไม่ต้อง “ดูดี” ตลอดเวลา ไม่ต้องมีไลก์เยอะ เพื่อยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง

    การยอมรับว่า “ฉันกำลังเจ็บ” ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือ ก้าวแรกของความเข้มแข็ง ที่แท้จริง

    หากเจอใครที่กำลังรู้สึกไร้ค่า ขอให้คุณเป็นคนหนึ่ง… ที่ “ฟัง” ก่อนจะ “ตัดสิน” เพราะความเข้าใจจากใจคนหนึ่ง อาจเปลี่ยนอีกคนทั้งชีวิต 🌱

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251519 เม.ย. 2568

    📲 #ภาวะไร้ค่า #ไม่มีใครฟัง #สังคมสร้างภาพ #ความรู้สึกที่ไม่มีใครเห็น #ฟังด้วยใจ #ความจริงสำคัญที่สุด #ฟังเถอะก่อนจะสาย #ความเจ็บจากความเงียบ #รักษาใจไม่ใช่ภาพลักษณ์ #อย่าตัดสินแค่สิ่งที่เห็น
    ภาวะไร้ราคา เมื่อรู้สึกว่าไม่มีคุณค่าในสายตาใคร แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงินถึงจะมีคนสนใจ 💸🧍‍♂️ 💡 เข้าใจลึกถึงภาวะ "ไร้คุณค่า" ในมุมที่หลายคนอาจเคยสัมผัส แต่ไม่กล้าพูดถึง ตั้งแต่ความเจ็บที่ซ่อนในความเงียบ ไปจนถึงพฤติกรรมที่ดูแรง แต่เต็มไปด้วยคำขอความเข้าใจ พร้อมแนวทางรับมืออย่างเข้าใจ ทั้งใจเราและใจเขา 📝 ภาวะไร้ราคาในใจคน ความเงียบที่เจ็บปวด และวิธีรับมือด้วยความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงดัง เพื่อให้ใครได้ยิน 🌐 🔍 เสียงของความเงียบที่ไม่มีใครฟัง “แม้กระทั่งความในใจ…ยังต้องใช้เงิน ถึงจะมีคนสนใจ” ประโยคนี้อาจฟังดูประชดประชัน แต่มันสะท้อนความจริงเจ็บลึก ของคนจำนวนมาก ในยุคที่โลกออนไลน์ กลายเป็นเวทีให้คนตะโกนหา ‘ตัวตน’ ในสังคมที่ทุกอย่างวัดค่าจากยอดไลก์ 💬 ความสนใจ 🧠 หรือจำนวนผู้ติดตาม คนที่รู้สึกว่าไม่มีใครฟัง ไม่มีใครแคร์ อาจเริ่มตั้งคำถามว่า “เรายังมีตัวตนอยู่จริงไหม?” ความเงียบไม่ใช่สิ่งเลวร้าย… แต่เมื่อความเงียบนั้นไม่ใช่ ‘พื้นที่พักใจ’ แต่คือ ‘กำแพงที่กั้นไม่ให้ใครเห็นเรา’ มันกลายเป็นความเจ็บที่ไม่พูดก็ไม่เข้าใจ 🔍 "ภาวะไร้ราคา" หรือ "Worthlessness" คือความรู้สึกที่ว่า… เราไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีใครสนใจ หรือแม้แต่สังเกตเห็นว่าเรามีตัวตน 📌 ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นจากปัจจัยทางจิตใจ สังคม หรือการเปรียบเทียบกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเรารู้สึกว่า "ความรู้สึกของเราไม่ถูกฟัง ไม่ถูกเห็น" ตัวอย่างของภาวะนี้... โพสต์อะไรแล้วไม่มีใครสนใจ 📉 พูดสิ่งที่รู้สึก แต่ไม่มีใครใส่ใจฟัง 🧏‍♀️ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาทในกลุ่ม หรือในครอบครัว 🧠 ซึ่งภาวะนี้หากปล่อยไว้ ไม่จัดการ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า, การแยกตัวทางสังคม หรือแม้กระทั่งความคิดอยากทำร้ายตัวเอง 🔍 ยุคนี้มีรู้สึก "ไร้คุณค่า" มากขึ้น เพราะวัฒนธรรมเปรียบเทียบ ทุกคนโพสต์แต่สิ่งที่ดีที่สุด 📷 เราเห็นแต่ภาพ “สำเร็จ” ของคนอื่น แต่ไม่เห็นความล้มเหลว ทำให้เรารู้สึกว่า “เรายังไม่ดีพอ” การนิยามตัวตนจากความสนใจภายนอก หากโพสต์ไม่มีคนกดไลก์ 🖱️ หรือเรื่องที่เราพูดไม่มีใครสนใจ เราอาจรู้สึกว่า “เสียงของเราไม่มีความหมาย” พฤติกรรมของคนรอบข้าง เช่น คนในครอบครัว เพิกเฉยต่อสิ่งที่เราพูด เพื่อนร่วมงานไม่ฟังความเห็น หรือการถูกมองข้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเหนื่อยล้าจากการ "สร้างภาพ" การต้อง "ดูดี" ตลอดเวลา เหมือนการใส่หน้ากาก ที่ไม่สามารถถอดได้ แม้แต่ตอนอยู่คนเดียว 🔍 เมื่อเสียงที่ถูกเพิกเฉย กลายเป็นคำพูดที่รุนแรง คนที่ “ตะโกน” ออกมา อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่อาจเป็นคนที่อยากให้ “ใครบางคน” ได้ยิน หลายครั้งที่การด่าทอ 🗣️ การประชดชีวิต หรือการแสดงพฤติกรรมแรง ๆ ไม่ได้เกิดจาก “ความเกลียด” แต่เกิดจากความพยายาม “ส่งเสียง” ครั้งสุดท้าย เขาอาจพยายามพูดดี ๆ แล้ว อาจเคยแสดงออกด้วยวิธีที่นุ่มนวลกว่า แต่เมื่อไม่มีใครฟัง… ก็เลย “พูดให้ดังขึ้น” แม้มันจะมาในรูปแบบของ “คำพูดที่เจ็บ” ก็ตาม 🪧 ยอมเสียเงินทำป้าย เพื่อให้คนสนใจ ความเจ็บที่กลายเป็นข้อความ "เมื่อโพสต์ไม่มีใครกดไลก์ เมื่อพูดแล้วไม่มีใครฟัง… บางคนเลือก ‘จ่ายเงิน’ เพื่อให้ความรู้สึกของตัวเองได้มีคนเห็น" การยอมลงทุนทำป้ายติดหน้าบ้าน ไม่ใช่แค่เพราะอยากประชดชีวิต แต่มันคือการพยายาม ‘ปล่อยเสียงออกมาให้ดังพอ’ ที่จะทะลุผ่านกำแพงความเงียบ ของสังคมในยุคนี้ 😢 ความเจ็บที่อยู่เบื้องหลังข้อความบนป้าย หลายคนอาจหัวเราะ เมื่อเห็นใครทำป้ายที่มีข้อความแรง ๆ ติดไว้หน้าบ้าน แต่ถ้าลองหยุดและคิดดี ๆ... คนที่เลือกวิธีนี้ อาจไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายใคร แต่คือคนที่ “กำลังร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ข้างใน” เพราะอาจเคยพูดแล้ว เคยขอความช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเห็น… สุดท้ายเลยต้อง “เปลี่ยนความรู้สึกเป็นตัวหนังสือ” แล้วแปะไว้ให้โลกรู้ แม้จะต้อง “เสียเงิน” เพื่อให้ข้อความนี้ มีพื้นที่อยู่บ้างก็ตาม 💬 ข้อความที่คนไม่กล้าพูด แต่กล้าเขียน ข้อความเหล่านี้ มักไม่ใช่ถ้อยคำสุภาพ แต่มันคือ ความรู้สึกดิบๆ จากคนที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร บางข้อความอาจดู “แรง” บางข้อความอาจดู “ตลกร้าย” แต่เกือบทุกข้อความ…แฝง “ความเจ็บปวด” เสมอ เช่น... "ทำไมเงียบกันจังวะ? หรือเราตายไปแล้ว?" "ใครสักคน สนใจหน่อยไม่ได้เหรอ?" "ถึงต้องซื้อป้าย ถึงจะมีคนอ่านใจเรา" "ฉันรังเกียจโน่น นี่ นั่น..." เสียงพวกนี้ บางทีก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนสนใจ แต่อยากให้ “ใครบางคน” เห็น… 📌 ความจริงที่น่ากลัวกว่า "ความรุนแรง" คือ "ความเงียบ" ความรุนแรงของถ้อยคำ อาจดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ความเงียบที่ทำให้คนรู้สึกว่า ‘ไม่มีตัวตน’ ในยุคที่เราทุกคนต่างยุ่งกับหน้าจอ บางคนกำลัง “จมหาย” อยู่ข้างหลังประตูบ้าน และบางที… แค่มีใครสักคนหยุดดูป้ายนั้น ก็อาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ 🎯 บทเรียนจาก “ป้าย” ที่ควรเห็นใจ ไม่ใช่ตัดสิน ถ้าเห็นใครทำแบบนี้ อย่าเพิ่งรีบหัวเราะ อย่าเพิ่งรีบด่า เพราะเบื้องหลังนั้น… อาจคือคนที่ “เจ็บจนเงียบไม่ไหวแล้วจริง ๆ” ลองคิดในมุมกลับ… ถ้ารู้สึกแย่มาก จนต้องเสียเงินเพื่อให้คนฟัง แสดงว่ากำลังขาดการเชื่อมโยง ที่ลึกมากในชีวิต ❤️ เราควรฟังให้มากขึ้น โดยไม่ตัดสิน สังเกตคนรอบตัว ที่อาจกำลังส่งสัญญาณว่าเขา “หมดแรงแล้ว” เปิดใจคุย แบบจริงใจ แม้เพียงไม่กี่คำ ก็อาจช่วยเขาได้มาก สร้างพื้นที่ให้คนได้ระบาย โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ เพราะบางครั้ง... “ข้อความบนป้าย” ก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนเข้าใจ แต่อยากให้ “ใครบางคนที่เขาหวัง” เข้าใจแค่นั้น 🪧💔 และคุณ...อาจเป็น “คนนั้น” ที่เขารอให้เห็นอยู่ก็ได้ 🫂 🔍 วิธีรับมือคนที่รู้สึกไร้คุณค่า โดยไม่ทำให้เขาเจ็บเพิ่ม ฟังอย่างจริงใจ ไม่ต้องรีบตัดสิน บางทีเขาไม่ได้ต้องการ “คำตอบ” แค่ต้องการ “พื้นที่ให้พูด” อย่าโต้กลับด้วยความรุนแรง ความสงบของคุณ อาจเป็นพื้นที่ปลอดภัยเดียวที่เขามีในวันนั้น เว้นระยะอย่างมีเมตตา เข้าใจ ≠ ต้องทน คุณมีสิทธิ์ดูแลตัวเอง ไม่ต้องรับพลังลบเข้าใส่ทุกวัน ถ้ารุนแรงมาก ให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากพฤติกรรมของเขา อาจเป็นอันตรายต่อคนรอบข้าง 🔍 ความลวงบนโลกโซเชียล เมื่อ "สร้างภาพว่าขายดี" กลายเป็นดาบสองคม 🧾 ปัญหาที่ตามมาคือ หลอกตัวเอง จนหลุดจากปัญหาจริง เหนื่อยกับการแสดง มากกว่าทำธุรกิจ สูญเสียความน่าเชื่อถือในระยะยาว เครียดสะสมแบบไม่รู้ตัว เสียโอกาสในการพัฒนา พังทั้งระบบ เมื่อแบกรับไม่ไหว สร้างมาตรฐานปลอมให้คนทั้งวงการ ✅ วิธีแก้คือ พูดความจริงอย่างมีพลัง ✨ เล่าความเปลี่ยนแปลงจากใจจริง ยอมรับว่ายังไม่ดีพอ แล้วค่อยๆ ปรับ 🔍 ภาระของคนที่ "เคยรวย" แล้วจมไม่ลง 💼💔 ผลเสียที่ตามมาคือ ภาระหนี้เกินตัว ถูกตัดน้ำ ตัดไฟ รถต้องจอดจำนำ ความสัมพันธ์พังเพราะโกหก ความเครียดสะสมเพราะต้องแสดง ไม่ยอมพัฒนา เพราะไม่ยอมรับความจริง โอกาสหาย เพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังล้ม เสียเวลาไปกับ “เปลือก” แทนที่จะสร้างแก่น เปรียบเทียบตัวเองกับอดีต ไม่มีใครเข้าใจ เพราะไม่กล้าพูดความจริง 🔍 คุณมีค่าเสมอ แม้ไม่มีใครบอก 🧡 ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง ไม่ต้อง “ดูดี” ตลอดเวลา ไม่ต้องมีไลก์เยอะ เพื่อยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง การยอมรับว่า “ฉันกำลังเจ็บ” ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือ ก้าวแรกของความเข้มแข็ง ที่แท้จริง หากเจอใครที่กำลังรู้สึกไร้ค่า ขอให้คุณเป็นคนหนึ่ง… ที่ “ฟัง” ก่อนจะ “ตัดสิน” เพราะความเข้าใจจากใจคนหนึ่ง อาจเปลี่ยนอีกคนทั้งชีวิต 🌱 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251519 เม.ย. 2568 📲 #ภาวะไร้ค่า #ไม่มีใครฟัง #สังคมสร้างภาพ #ความรู้สึกที่ไม่มีใครเห็น #ฟังด้วยใจ #ความจริงสำคัญที่สุด #ฟังเถอะก่อนจะสาย #ความเจ็บจากความเงียบ #รักษาใจไม่ใช่ภาพลักษณ์ #อย่าตัดสินแค่สิ่งที่เห็น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • Western Digital (WD) ได้เปิดเผยแผนการพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดไดรฟ์ในงาน Investor Day โดยตั้งเป้าหมายที่จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 40TB ที่ใช้เทคโนโลยี HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) ในปี 2026 และขยายความจุไปถึง 100TB ภายในปี 2030 เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้เลเซอร์ในการลดความต้านทานแม่เหล็กของดิสก์ชั่วคราว ซึ่งช่วยให้สามารถเขียนข้อมูลได้หนาแน่นขึ้น

    นอกจากนี้ WD ยังใช้เทคโนโลยี OptiNAND และ UltraSMR เพื่อเพิ่มความจุและประสิทธิภาพของฮาร์ดไดรฟ์ในปัจจุบัน โดย OptiNAND ผสานหน่วยความจำแฟลชเข้ากับฮาร์ดไดรฟ์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ ส่วน UltraSMR ใช้การแก้ไขข้อผิดพลาดขั้นสูงเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล

    ✅ การเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ 40TB ในปี 2026
    - ใช้เทคโนโลยี HAMR ที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล
    - ตั้งเป้าหมายตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจาก AI

    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี OptiNAND และ UltraSMR
    - OptiNAND เพิ่มความจุและความน่าเชื่อถือของฮาร์ดไดรฟ์
    - UltraSMR ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลด้วยการแก้ไขข้อผิดพลาดขั้นสูง

    ✅ เป้าหมายระยะยาว: ฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030
    - WD วางแผนใช้เทคโนโลยี Heat Dot Magnetic Recording (HDMR) เพื่อเพิ่มความจุ

    ✅ การตอบสนองต่อความต้องการในตลาด AI
    - ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจาก AI คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2026

    https://www.techradar.com/pro/western-digital-plans-to-launch-40tb-hdd-next-year-using-hamr-technology-and-a-pinch-of-flash-memory
    Western Digital (WD) ได้เปิดเผยแผนการพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดไดรฟ์ในงาน Investor Day โดยตั้งเป้าหมายที่จะเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 40TB ที่ใช้เทคโนโลยี HAMR (Heat-Assisted Magnetic Recording) ในปี 2026 และขยายความจุไปถึง 100TB ภายในปี 2030 เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลโดยใช้เลเซอร์ในการลดความต้านทานแม่เหล็กของดิสก์ชั่วคราว ซึ่งช่วยให้สามารถเขียนข้อมูลได้หนาแน่นขึ้น นอกจากนี้ WD ยังใช้เทคโนโลยี OptiNAND และ UltraSMR เพื่อเพิ่มความจุและประสิทธิภาพของฮาร์ดไดรฟ์ในปัจจุบัน โดย OptiNAND ผสานหน่วยความจำแฟลชเข้ากับฮาร์ดไดรฟ์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ ส่วน UltraSMR ใช้การแก้ไขข้อผิดพลาดขั้นสูงเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล ✅ การเปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์ 40TB ในปี 2026 - ใช้เทคโนโลยี HAMR ที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูล - ตั้งเป้าหมายตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจาก AI ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี OptiNAND และ UltraSMR - OptiNAND เพิ่มความจุและความน่าเชื่อถือของฮาร์ดไดรฟ์ - UltraSMR ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลด้วยการแก้ไขข้อผิดพลาดขั้นสูง ✅ เป้าหมายระยะยาว: ฮาร์ดไดรฟ์ 100TB ภายในปี 2030 - WD วางแผนใช้เทคโนโลยี Heat Dot Magnetic Recording (HDMR) เพื่อเพิ่มความจุ ✅ การตอบสนองต่อความต้องการในตลาด AI - ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจาก AI คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2026 https://www.techradar.com/pro/western-digital-plans-to-launch-40tb-hdd-next-year-using-hamr-technology-and-a-pinch-of-flash-memory
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวจาก Igor's Lab ได้เปิดเผยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการ์ดจอ Nvidia RTX 5000 โดยมีจุดที่ร้อนสูงในบริเวณ PCB ซึ่งส่งผลต่อความทนทานในระยะยาว โดยสาเหตุเกิดจากการออกแบบ VRM ที่บีบอัดพื้นที่ทำงานร่วมกัน จึงทำให้เกิดความร้อนสะสมในบริเวณเล็ก ๆ และอาจทำให้การ์ดเสียหายจากการใช้งานหนัก

    ในข่าวยังระบุว่า อุณหภูมิที่สูงที่สุดในเขต VRM บางจุดอาจเกินค่าที่กำหนดไว้ในคู่มือ Thermal Design Guide ของ Nvidia และทาง Igor ได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นโดยการเพิ่ม thermal putty และแผ่นรองหลังที่หนาขึ้น ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิในพื้นที่ร้อนลงได้อย่างเห็นผล แต่ปัญหาดังกล่าวยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับอายุการใช้งานของการ์ด

    ✅ การ์ดจอ Nvidia RTX 5000 มีจุดที่ร้อนสูงในพื้นที่ PCB ซึ่งส่งผลต่อความทนทานในระยะยาว

    ✅ ปัญหาเกิดจากการจัดวาง VRM และ power components ที่บีบอัดให้ทำงานร่วมกันในพื้นที่เล็ก

    ✅ อุณหภูมิในเขต VRM อาจเกิน glass-transition temperature ของ PCB resin

    ✅ Igor Wallossek เสนอวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น เช่น ใช้ thermal putty และเพิ่มแผ่นรองหลังเพื่อช่วยลดความร้อน

    https://www.techspot.com/news/107652-nvidia-rtx-5000-cards-show-pcb-hotspots-threaten.html
    ข่าวจาก Igor's Lab ได้เปิดเผยปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการ์ดจอ Nvidia RTX 5000 โดยมีจุดที่ร้อนสูงในบริเวณ PCB ซึ่งส่งผลต่อความทนทานในระยะยาว โดยสาเหตุเกิดจากการออกแบบ VRM ที่บีบอัดพื้นที่ทำงานร่วมกัน จึงทำให้เกิดความร้อนสะสมในบริเวณเล็ก ๆ และอาจทำให้การ์ดเสียหายจากการใช้งานหนัก ในข่าวยังระบุว่า อุณหภูมิที่สูงที่สุดในเขต VRM บางจุดอาจเกินค่าที่กำหนดไว้ในคู่มือ Thermal Design Guide ของ Nvidia และทาง Igor ได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นโดยการเพิ่ม thermal putty และแผ่นรองหลังที่หนาขึ้น ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิในพื้นที่ร้อนลงได้อย่างเห็นผล แต่ปัญหาดังกล่าวยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับอายุการใช้งานของการ์ด ✅ การ์ดจอ Nvidia RTX 5000 มีจุดที่ร้อนสูงในพื้นที่ PCB ซึ่งส่งผลต่อความทนทานในระยะยาว ✅ ปัญหาเกิดจากการจัดวาง VRM และ power components ที่บีบอัดให้ทำงานร่วมกันในพื้นที่เล็ก ✅ อุณหภูมิในเขต VRM อาจเกิน glass-transition temperature ของ PCB resin ✅ Igor Wallossek เสนอวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น เช่น ใช้ thermal putty และเพิ่มแผ่นรองหลังเพื่อช่วยลดความร้อน https://www.techspot.com/news/107652-nvidia-rtx-5000-cards-show-pcb-hotspots-threaten.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nvidia RTX 5000 cards show PCB hotspots that threaten longevity, says Igor's Lab
    During a sustained "torture loop" on a PNY RTX 5070 OC and Palit RTX 5080 Gaming Pro OC, Wallossek recorded temperature spikes in the power delivery areas...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตั้งราคาถูกจนเจ๊ง! หรือขายสมราคาแล้วรอด กลยุทธ์ตั้งราคาร้านอาหาร ให้มีกำไรและอยู่รอดในระยะยาว อย่าหลงทางด้วยราคาถูก! ตั้งราคาที่สมคุณค่า เพื่อร้านอาหารอยู่รอด ลูกค้าไม่หาย กำไรยังงาม


    เรียนรู้วิธีตั้งราคาร้านอาหารให้คุ้มค่า มีกำไร และอยู่รอดในระยะยาว ลูกค้าเข้าใจ ไม่หาย พร้อมเทคนิคเพิ่มราคาอย่างชาญฉลาด ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องตั้งราคาอย่างมีกลยุทธ์ จะพาเข้าใจว่าการขายถูก อาจทำให้เจ๊งได้อย่างไร และจะแก้เกมยังไง ให้ลูกค้าไม่หาย กำไรยังคงอยู่

    📌 ขายดีแต่เจ๊ง? ปัญหาที่เจ้าของร้านอาหารไม่เคยอยากเจอ “ขายดีไม่ได้แปลว่ามีกำไร” หลายร้านขายดี จนลูกค้าแน่นทุกวัน แต่เมื่อดูบัญชีปลายเดือน กลับพบว่ากำไรแทบไม่มี หรือแม้แต่ขาดทุน! ทำไมจึงเกิดปัญหานี้?

    เพราะหลายร้าน “ตั้งราคาผิด” ด้วยความเข้าใจผิดว่า ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = รายได้เยอะ = ธุรกิจดี
    แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป...

    จะพาสำรวจความจริง ของการตั้งราคาในร้านอาหาร พร้อมเผยกลยุทธ์การตั้งราคาที่ “ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด” แต่ “คุ้มค่าที่สุด” จนลูกค้าพร้อมจ่าย และร้านของคุณก็อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน

    ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องกล้าราคา ขายแพงขึ้นยังไงไม่ให้ลูกค้าหาย? ความกลัวที่เจ้าของร้านอาหารทุกคนเคยมี...
    😨 “กลัวลูกค้าจะหาย ถ้าขึ้นราคา”
    😓 “กลัวโดนบ่นในโซเชียล”
    😔 “กลัวเสียลูกค้าประจำ”

    แต่...คุณลองถามตัวเองดูไหมว่า ทุกวันนี้คุณขายอาหารที่ “สมราคา” แล้วหรือยัง? หากคุณตั้งราคาถูกจนไม่มีกำไร แปลว่า “คุณกำลังทำธุรกิจโดยไม่มีอนาคต” และกำลังสร้างร้านที่ไม่มีพลังจะเติบโต

    ทำไมขายดีแต่ร้านยังเจ๊ง? จุดบอดที่หลายคนมองไม่เห็น มีหลายร้านที่ขายได้เยอะ คนต่อคิวยาว แต่สุดท้ายก็ปิดตัวในเวลาไม่นาน ทำไม?

    📉 เพราะราคาที่ตั้ง “ไม่ครอบคลุมต้นทุน” หรือ “กำไรต่อจานน้อยเกินไป”

    ต้นทุนที่คุณอาจลืมคำนวณ
    วัตถุดิบที่ราคาขึ้นทุกเดือน 🥬🍗
    ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ 💡
    ค่าจ้างพนักงาน 👨‍🍳👩‍🍳
    ค่าการตลาด โปรโมชัน 📱
    ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ต่างๆ

    เมื่อลบทุกอย่างแล้ว บางครั้งเหลือ “กำไรหลักสิบต่อวัน” หรือ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ!

    ความเข้าใจผิดของเจ้าของร้าน:ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = ดี? แนวคิดนี้อาจถูกบางส่วน แต่ใช้ไม่ได้กับระยะยาว ลูกค้าเยอะไม่ใช่คำตอบ ถ้ากำไรหาย ขายวันละ 200 จาน กำไรจานละ 5 บาท = กำไรวันละ 1,000 บาท

    แต่ถ้าใช้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยไม่ปรับราคา = กำไรหาย

    🎯 สิ่งที่คุณควรตั้งเป้าคือ “ขายได้น้อยลง แต่กำไรมากขึ้น และยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้” “คุณค่า” มาก่อน “ราคา”: ลูกค้าซื้อเพราะอะไร? ในยุคที่ผู้บริโภคฉลาดขึ้น การขายถูกอย่างเดียวไม่พอ

    ลูกค้าเลือกจ่ายให้ร้านที่มี คุณค่า เช่น... รสชาติอร่อยคงที่ การบริการดี ความสะอาด บรรยากาศดี ใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย มีเรื่องราว หรือ Storytelling 🧑‍🍳

    🔍 ตัวอย่าง “เราใช้เนื้อวัวจากฟาร์มออร์แกนิค ในเชียงใหม่” หรือ “สูตรน้ำซุปจากรุ่นยาย อายุกว่า 40 ปี” = เพิ่มคุณค่าโดยไม่ต้องลดราคา

    กลยุทธ์ตั้งราคาที่สมคุณค่า ขายแพงขึ้นยังไง ให้ลูกค้าเข้าใจ เพิ่มคุณค่าก่อนเพิ่มราคา อัปเดตเมนูใหม่ให้ดูดี ปรับปรุงร้าน เพิ่มแสงไฟ เพลง บรรยากาศ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ แล้วแจ้งให้ลูกค้ารู้ สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ใช้ป้ายในร้าน หรือโพสต์ในเพจ

    “เพื่อรักษาคุณภาพ เราจึงจำเป็นต้องปรับราคาบางเมนู” ขึ้นราคาอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆ เพิ่ม เช่น เมนูละ 5 บาท ทุก 6 เดือน ตัดเมนูที่ไม่ทำกำไรออก แล้วเสริมเมนูที่มีกำไรสูงแทน ใช้โปรโมชันแบบไม่ลดราคา แจกของแถมเล็กๆ น้อยๆ 🎁 จัดเซ็ตเมนูที่ดูคุ้มค่า ใช้โปรโมชั่นเฉพาะเวลา เช่น Happy Hour

    อันตรายของการติดกับดักราคาถูก ไม่มีเงินพัฒนา จ้างพนักงานที่มีศักยภาพไม่ได้ ลดคุณภาพวัตถุดิบ ไม่มีแรงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นราคาทีหลัง ลูกค้าบ่นเพราะไม่เคยชิน

    เรื่องเล่าจากร้านก๋วยเตี๋ยว กล้าขึ้นราคา แล้วเกิดอะไรขึ้น? ร้านหนึ่งขายก๋วยเตี๋ยว 35 บาทมา 5 ปี ไม่กล้าขึ้นราคา
    จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจขึ้นเป็น 40 บาท ลูกค้าบ่นนิดหน่อย แต่เขาพูดว่า 🗣️ “ผมทำอาหารด้วยใจ แต่ถ้าไม่มีทุน ผมก็อยู่ต่อไม่ได้”

    ผลคือ ลูกค้าที่เข้าใจยังอยู่ ลูกค้าที่ไม่เห็นคุณค่าก็จากไป แต่ที่สำคัญคือ “ร้านยังอยู่ และมีกำไร”

    ร้านที่อยู่รอด คือร้านที่รู้จักคุณค่าของตัวเอง 🎯 ตั้งราคาไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือ “จุดยืนของธุรกิจ” ถ้าคุณกลัวจะขึ้นราคา แล้วไม่มีคนมา อย่าลืมว่า “ฝีมือของคุณมีค่า” อย่ายอมขายของถูกๆ เพียงเพราะกลัวเปลี่ยนแปลง

    คุณไม่จำเป็นต้องขายถูกที่สุด แต่คุณต้อง “ให้มากกว่าที่ลูกค้าคาด” ลูกค้าที่ดีจะเข้าใจ และพร้อมจ่ายในราคาที่เหมาะสม

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 232230 เม.ย. 2568

    📲 #ตั้งราคาร้านอาหาร #กลยุทธ์ธุรกิจ #เคล็ดลับร้านอาหาร #ราคาสมเหตุสมผล #SMEไทย #ขายดีแต่ไม่เจ๊ง #ธุรกิจอาหาร #กำไรยั่งยืน #ร้านอาหารอยู่รอด #เพิ่มราคายังไงไม่ให้ลูกค้าหาย
    ตั้งราคาถูกจนเจ๊ง! หรือขายสมราคาแล้วรอด กลยุทธ์ตั้งราคาร้านอาหาร ให้มีกำไรและอยู่รอดในระยะยาว อย่าหลงทางด้วยราคาถูก! ตั้งราคาที่สมคุณค่า เพื่อร้านอาหารอยู่รอด ลูกค้าไม่หาย กำไรยังงาม เรียนรู้วิธีตั้งราคาร้านอาหารให้คุ้มค่า มีกำไร และอยู่รอดในระยะยาว ลูกค้าเข้าใจ ไม่หาย พร้อมเทคนิคเพิ่มราคาอย่างชาญฉลาด ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องตั้งราคาอย่างมีกลยุทธ์ จะพาเข้าใจว่าการขายถูก อาจทำให้เจ๊งได้อย่างไร และจะแก้เกมยังไง ให้ลูกค้าไม่หาย กำไรยังคงอยู่ 📌 ขายดีแต่เจ๊ง? ปัญหาที่เจ้าของร้านอาหารไม่เคยอยากเจอ “ขายดีไม่ได้แปลว่ามีกำไร” หลายร้านขายดี จนลูกค้าแน่นทุกวัน แต่เมื่อดูบัญชีปลายเดือน กลับพบว่ากำไรแทบไม่มี หรือแม้แต่ขาดทุน! ทำไมจึงเกิดปัญหานี้? เพราะหลายร้าน “ตั้งราคาผิด” ด้วยความเข้าใจผิดว่า ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = รายได้เยอะ = ธุรกิจดี แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป... จะพาสำรวจความจริง ของการตั้งราคาในร้านอาหาร พร้อมเผยกลยุทธ์การตั้งราคาที่ “ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุด” แต่ “คุ้มค่าที่สุด” จนลูกค้าพร้อมจ่าย และร้านของคุณก็อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน ร้านอาหารจะอยู่รอด ต้องกล้าราคา ขายแพงขึ้นยังไงไม่ให้ลูกค้าหาย? ความกลัวที่เจ้าของร้านอาหารทุกคนเคยมี... 😨 “กลัวลูกค้าจะหาย ถ้าขึ้นราคา” 😓 “กลัวโดนบ่นในโซเชียล” 😔 “กลัวเสียลูกค้าประจำ” แต่...คุณลองถามตัวเองดูไหมว่า ทุกวันนี้คุณขายอาหารที่ “สมราคา” แล้วหรือยัง? หากคุณตั้งราคาถูกจนไม่มีกำไร แปลว่า “คุณกำลังทำธุรกิจโดยไม่มีอนาคต” และกำลังสร้างร้านที่ไม่มีพลังจะเติบโต ทำไมขายดีแต่ร้านยังเจ๊ง? จุดบอดที่หลายคนมองไม่เห็น มีหลายร้านที่ขายได้เยอะ คนต่อคิวยาว แต่สุดท้ายก็ปิดตัวในเวลาไม่นาน ทำไม? 📉 เพราะราคาที่ตั้ง “ไม่ครอบคลุมต้นทุน” หรือ “กำไรต่อจานน้อยเกินไป” ต้นทุนที่คุณอาจลืมคำนวณ วัตถุดิบที่ราคาขึ้นทุกเดือน 🥬🍗 ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าน้ำ 💡 ค่าจ้างพนักงาน 👨‍🍳👩‍🍳 ค่าการตลาด โปรโมชัน 📱 ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อลบทุกอย่างแล้ว บางครั้งเหลือ “กำไรหลักสิบต่อวัน” หรือ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ! ความเข้าใจผิดของเจ้าของร้าน:ราคาถูก = ลูกค้าเยอะ = ดี? แนวคิดนี้อาจถูกบางส่วน แต่ใช้ไม่ได้กับระยะยาว ลูกค้าเยอะไม่ใช่คำตอบ ถ้ากำไรหาย ขายวันละ 200 จาน กำไรจานละ 5 บาท = กำไรวันละ 1,000 บาท แต่ถ้าใช้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน โดยไม่ปรับราคา = กำไรหาย 🎯 สิ่งที่คุณควรตั้งเป้าคือ “ขายได้น้อยลง แต่กำไรมากขึ้น และยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้” “คุณค่า” มาก่อน “ราคา”: ลูกค้าซื้อเพราะอะไร? ในยุคที่ผู้บริโภคฉลาดขึ้น การขายถูกอย่างเดียวไม่พอ ลูกค้าเลือกจ่ายให้ร้านที่มี คุณค่า เช่น... รสชาติอร่อยคงที่ การบริการดี ความสะอาด บรรยากาศดี ใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย มีเรื่องราว หรือ Storytelling 🧑‍🍳 🔍 ตัวอย่าง “เราใช้เนื้อวัวจากฟาร์มออร์แกนิค ในเชียงใหม่” หรือ “สูตรน้ำซุปจากรุ่นยาย อายุกว่า 40 ปี” = เพิ่มคุณค่าโดยไม่ต้องลดราคา กลยุทธ์ตั้งราคาที่สมคุณค่า ขายแพงขึ้นยังไง ให้ลูกค้าเข้าใจ เพิ่มคุณค่าก่อนเพิ่มราคา อัปเดตเมนูใหม่ให้ดูดี ปรับปรุงร้าน เพิ่มแสงไฟ เพลง บรรยากาศ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ แล้วแจ้งให้ลูกค้ารู้ สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ใช้ป้ายในร้าน หรือโพสต์ในเพจ “เพื่อรักษาคุณภาพ เราจึงจำเป็นต้องปรับราคาบางเมนู” ขึ้นราคาอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆ เพิ่ม เช่น เมนูละ 5 บาท ทุก 6 เดือน ตัดเมนูที่ไม่ทำกำไรออก แล้วเสริมเมนูที่มีกำไรสูงแทน ใช้โปรโมชันแบบไม่ลดราคา แจกของแถมเล็กๆ น้อยๆ 🎁 จัดเซ็ตเมนูที่ดูคุ้มค่า ใช้โปรโมชั่นเฉพาะเวลา เช่น Happy Hour อันตรายของการติดกับดักราคาถูก ไม่มีเงินพัฒนา จ้างพนักงานที่มีศักยภาพไม่ได้ ลดคุณภาพวัตถุดิบ ไม่มีแรงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขึ้นราคาทีหลัง ลูกค้าบ่นเพราะไม่เคยชิน เรื่องเล่าจากร้านก๋วยเตี๋ยว กล้าขึ้นราคา แล้วเกิดอะไรขึ้น? ร้านหนึ่งขายก๋วยเตี๋ยว 35 บาทมา 5 ปี ไม่กล้าขึ้นราคา จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจขึ้นเป็น 40 บาท ลูกค้าบ่นนิดหน่อย แต่เขาพูดว่า 🗣️ “ผมทำอาหารด้วยใจ แต่ถ้าไม่มีทุน ผมก็อยู่ต่อไม่ได้” ผลคือ ลูกค้าที่เข้าใจยังอยู่ ลูกค้าที่ไม่เห็นคุณค่าก็จากไป แต่ที่สำคัญคือ “ร้านยังอยู่ และมีกำไร” ร้านที่อยู่รอด คือร้านที่รู้จักคุณค่าของตัวเอง 🎯 ตั้งราคาไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือ “จุดยืนของธุรกิจ” ถ้าคุณกลัวจะขึ้นราคา แล้วไม่มีคนมา อย่าลืมว่า “ฝีมือของคุณมีค่า” อย่ายอมขายของถูกๆ เพียงเพราะกลัวเปลี่ยนแปลง คุณไม่จำเป็นต้องขายถูกที่สุด แต่คุณต้อง “ให้มากกว่าที่ลูกค้าคาด” ลูกค้าที่ดีจะเข้าใจ และพร้อมจ่ายในราคาที่เหมาะสม ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 232230 เม.ย. 2568 📲 #ตั้งราคาร้านอาหาร #กลยุทธ์ธุรกิจ #เคล็ดลับร้านอาหาร #ราคาสมเหตุสมผล #SMEไทย #ขายดีแต่ไม่เจ๊ง #ธุรกิจอาหาร #กำไรยั่งยืน #ร้านอาหารอยู่รอด #เพิ่มราคายังไงไม่ให้ลูกค้าหาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 331 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้เปรียบเทียบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสองรุ่นยอดนิยม ได้แก่ Tesla 4680 cylindrical cell และ BYD Blade prismatic cell โดยการวิเคราะห์ครอบคลุมถึงการออกแบบ วัสดุ และประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ซึ่งช่วยให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละรุ่น รวมถึงแนวทางในการพัฒนาแบตเตอรี่ในอนาคต

    ✅ Tesla 4680 ใช้เคมี NMC811 และมีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า
    - ความหนาแน่นพลังงานแบบ gravimetric: 241.01 Wh/kg
    - ความหนาแน่นพลังงานแบบ volumetric: 643.3 Wh/l

    ✅ BYD Blade ใช้เคมี Lithium Iron Phosphate (LFP)
    - ความหนาแน่นพลังงานแบบ gravimetric: 160 Wh/kg
    - ความหนาแน่นพลังงานแบบ volumetric: 355 Wh/l

    ✅ การออกแบบและการผลิตที่แตกต่างกัน
    - Tesla ใช้การออกแบบแบบ cylindrical พร้อม tabless electrode configuration
    - BYD ใช้การออกแบบแบบ prismatic พร้อม dual welding (laser และ ultrasonic)

    ✅ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละรุ่น
    - Tesla มีความหนาแน่นพลังงานสูง แต่ผลิตความร้อนมากกว่า BYD ถึง 23 เท่า
    - BYD มี thermal profile ที่ดีกว่าและลดการสูญเสียพลังงาน

    ✅ การใช้งานที่เหมาะสม
    - Tesla เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังงานสูง
    - BYD เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพในระยะยาว

    https://www.neowin.net/news/complete-teardown-shows-what-exactly-makes-byd-batteries-better-or-worse-than-tesla/
    บทความนี้เปรียบเทียบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสองรุ่นยอดนิยม ได้แก่ Tesla 4680 cylindrical cell และ BYD Blade prismatic cell โดยการวิเคราะห์ครอบคลุมถึงการออกแบบ วัสดุ และประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ซึ่งช่วยให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละรุ่น รวมถึงแนวทางในการพัฒนาแบตเตอรี่ในอนาคต ✅ Tesla 4680 ใช้เคมี NMC811 และมีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า - ความหนาแน่นพลังงานแบบ gravimetric: 241.01 Wh/kg - ความหนาแน่นพลังงานแบบ volumetric: 643.3 Wh/l ✅ BYD Blade ใช้เคมี Lithium Iron Phosphate (LFP) - ความหนาแน่นพลังงานแบบ gravimetric: 160 Wh/kg - ความหนาแน่นพลังงานแบบ volumetric: 355 Wh/l ✅ การออกแบบและการผลิตที่แตกต่างกัน - Tesla ใช้การออกแบบแบบ cylindrical พร้อม tabless electrode configuration - BYD ใช้การออกแบบแบบ prismatic พร้อม dual welding (laser และ ultrasonic) ✅ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละรุ่น - Tesla มีความหนาแน่นพลังงานสูง แต่ผลิตความร้อนมากกว่า BYD ถึง 23 เท่า - BYD มี thermal profile ที่ดีกว่าและลดการสูญเสียพลังงาน ✅ การใช้งานที่เหมาะสม - Tesla เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังงานสูง - BYD เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพในระยะยาว https://www.neowin.net/news/complete-teardown-shows-what-exactly-makes-byd-batteries-better-or-worse-than-tesla/
    WWW.NEOWIN.NET
    Complete teardown shows what exactly makes BYD batteries better or worse than Tesla
    Recently, a thorough and complete teardown of Tesla and BYD batteries was performed, and it shows the strengths and weaknesses of each.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • *พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทนประสิทธิภาพสูงด้วยเทคโนโลยีซินโครตรอน*

    “มีเทน” เป็นองค์ประกอบหลักของแก๊สธรรมชาติโดยมีสัดส่วนประมาณ 75% แก๊สมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือดมกลิ่น จึงต้องใช้อุปกรณ์จำเพาะที่เรียกว่า “แก๊สเซ็นเซอร์” ตรวจสอบการมีอยู่ของแก๊สชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรั่วไหล ซึ่งแก๊สเซ็นเซอร์คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวัดระดับของแก๊สในอากาศหรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการวัด ซึ่งมักใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เช่น การวัดด้วยไฟฟ้า ความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การวิจัยและพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือจึงมีความจำเป็น

    ปัจจุบันแก๊สเซ็นเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำโลหะออกไซด์ได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการตอบสนองต่อแก๊สที่สูง มีความคุ้มค่า สามารถใช้งานในระยะยาว และง่ายต่อการขึ้นรูป

    งานวิจัยโดย ดร.ยิ่งยศ ภู่อาภรณ์ ส่วนวิจัยด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีสปัตเตอริง* และไฮโดรเทอมอล ผลิตฟิล์มซิงค์ออกไซด์แท่งนาโนสำหรับประกอบเป็นวัสดุเซนเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทน และใช้แสงซินโครตรอนประกอบขึ้นเป็นเซ็นเซอร์ด้วยกระบวนการลิโทกราฟี** โดยภาพจากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแสดงให้เห็นซิงค์ออกไซด์ที่ผลิตได้มีรูปร่างเป็นแท่งหกเหลี่ยมวางตัวตามแนวตั้ง ซึ่งแต่ละแท่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ไมโครเมตร และมีขนาดหน้าตัดประมาณ 50 นาโนเมตร

    คณะวิจัยศึกษาประสิทธิการตอบสนองของเซ็นเซอร์ที่ผลิตได้สำหรับแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิต่างๆ โดยเทคนิคการวัดการดูดกลืนรังสีเอกซ์แบบอินซิทู (in-situ X-ray absorption spectroscopy) ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซ็นเซอร์ที่ผลิตขึ้นสามารถตรวจวัดแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ที่ความเข้มข้นแก๊สสูงสุด 10% โดยปริมาตร ใช้เวลาในการตอบสนองต่อแก๊สมีเทน 4 วินาที และใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นผิว 6 วินาที

    งานวิจัยนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เซ็นเซอร์ที่เตรียมขึ้นได้นี้มีค่าการตอบสนองต่อแก๊สมีเทนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณการตอบสนองของแก๊สมีเทนได้ในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง เพื่อตรวจจับแก๊สมีเทนแบบเรียลไทม์ต่อไปในอนาคต

    หมายเหตุ
    * เทคนิคสปัตเตอริง (Sputtering) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเคลือบฟิล์มบาง เนื่องจากจะได้ฟิล์มที่มีความสม่ำเสมอ
    ** ลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนในการสร้างลวดลายเซนเซอร์
    *พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทนประสิทธิภาพสูงด้วยเทคโนโลยีซินโครตรอน* “มีเทน” เป็นองค์ประกอบหลักของแก๊สธรรมชาติโดยมีสัดส่วนประมาณ 75% แก๊สมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือดมกลิ่น จึงต้องใช้อุปกรณ์จำเพาะที่เรียกว่า “แก๊สเซ็นเซอร์” ตรวจสอบการมีอยู่ของแก๊สชนิดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการรั่วไหล ซึ่งแก๊สเซ็นเซอร์คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบและวัดระดับของแก๊สในอากาศหรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยเซ็นเซอร์จะทำการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการวัด ซึ่งมักใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เช่น การวัดด้วยไฟฟ้า ความร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การวิจัยและพัฒนาเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือจึงมีความจำเป็น ปัจจุบันแก๊สเซ็นเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำโลหะออกไซด์ได้ถูกพัฒนาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการตอบสนองต่อแก๊สที่สูง มีความคุ้มค่า สามารถใช้งานในระยะยาว และง่ายต่อการขึ้นรูป งานวิจัยโดย ดร.ยิ่งยศ ภู่อาภรณ์ ส่วนวิจัยด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีสปัตเตอริง* และไฮโดรเทอมอล ผลิตฟิล์มซิงค์ออกไซด์แท่งนาโนสำหรับประกอบเป็นวัสดุเซนเซอร์ตรวจวัดแก๊สมีเทน และใช้แสงซินโครตรอนประกอบขึ้นเป็นเซ็นเซอร์ด้วยกระบวนการลิโทกราฟี** โดยภาพจากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแสดงให้เห็นซิงค์ออกไซด์ที่ผลิตได้มีรูปร่างเป็นแท่งหกเหลี่ยมวางตัวตามแนวตั้ง ซึ่งแต่ละแท่งมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1 ไมโครเมตร และมีขนาดหน้าตัดประมาณ 50 นาโนเมตร คณะวิจัยศึกษาประสิทธิการตอบสนองของเซ็นเซอร์ที่ผลิตได้สำหรับแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิต่างๆ โดยเทคนิคการวัดการดูดกลืนรังสีเอกซ์แบบอินซิทู (in-situ X-ray absorption spectroscopy) ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าเซ็นเซอร์ที่ผลิตขึ้นสามารถตรวจวัดแก๊สมีเทนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ที่ความเข้มข้นแก๊สสูงสุด 10% โดยปริมาตร ใช้เวลาในการตอบสนองต่อแก๊สมีเทน 4 วินาที และใช้เวลาในการฟื้นฟูพื้นผิว 6 วินาที งานวิจัยนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เซ็นเซอร์ที่เตรียมขึ้นได้นี้มีค่าการตอบสนองต่อแก๊สมีเทนได้ดี และสามารถส่งสัญญาณการตอบสนองของแก๊สมีเทนได้ในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งสามารถต่อยอดสู่เซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงที่ใช้งานได้จริง เพื่อตรวจจับแก๊สมีเทนแบบเรียลไทม์ต่อไปในอนาคต หมายเหตุ * เทคนิคสปัตเตอริง (Sputtering) เป็นวิธีการหนึ่งที่นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการเคลือบฟิล์มบาง เนื่องจากจะได้ฟิล์มที่มีความสม่ำเสมอ ** ลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สามารถใช้แสงซินโครตรอนในการสร้างลวดลายเซนเซอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts