• เรื่องเล่าจากชั้นในของชิป: CT scan เผยความลับของ Intel 386 ที่ซ่อนอยู่ใต้เซรามิก

    ในยุคที่ชิปสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ Ken Shirriff นักวิจัยด้านฮาร์ดแวร์ได้ใช้เทคโนโลยี CT scan เพื่อเปิดเผยโครงสร้างภายในของ Intel 386—ชิประดับตำนานจากยุค 1980 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ x86 แบบ 32 บิต

    แม้ภายนอกจะดูเหมือนเซรามิกสีเทาพร้อมขา 132 ขา แต่ภายในกลับซ่อนวิศวกรรมระดับสูงไว้มากมาย โดย CT scan ให้ภาพ X-ray หลายร้อยชั้นที่สามารถรวมเป็นโมเดล 3D เพื่อหมุน ดู และ “ลอก” ชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล

    สิ่งที่พบมีตั้งแต่สายทองคำขนาด 35 ไมโครเมตรที่เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ไปจนถึงโครงสร้างวงจร 6 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเซรามิก ซึ่งประกอบด้วย 2 ชั้นสำหรับสัญญาณ และ 4 ชั้นสำหรับพลังงานและกราวด์ โดยใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ

    นอกจากนี้ยังพบสายไฟข้างชิปที่ใช้ในขั้นตอนชุบทอง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏให้เห็น รวมถึงการออกแบบที่รองรับการกระจายความร้อนด้วยอีพ็อกซีผสมเงินใต้ die เพื่อให้ชิปทำงานได้เสถียร

    ที่น่าสนใจคือ มีขาบางขาในแพ็กเกจที่ระบุว่า “No Connect” แต่จริง ๆ แล้วมีการเชื่อมต่อภายใน die ซึ่งอาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับที่ Intel ไม่เคยเปิดเผย

    Ken Shirriff ใช้ CT scan สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 386 CPU
    สร้างโมเดล 3D ที่สามารถหมุนและลอกชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล

    พบสายทองคำขนาด 35 µm เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร
    บางจุดมีถึง 5 เส้นเพื่อรองรับกระแสไฟสูง

    แพ็กเกจภายในเป็นวงจร 6 ชั้น: 2 ชั้นสัญญาณ + 4 ชั้นพลังงาน
    ใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่น

    พบสายไฟด้านข้างที่ใช้ชุบทองในขั้นตอนการผลิต
    ยืนยันด้วยการขัดเซรามิกให้ตรงกับภาพ CT

    ใต้ die มีอีพ็อกซีผสมเงินเพื่อระบายความร้อนและเชื่อมกราวด์
    ช่วยให้ชิปทำงานได้เสถียรภายใต้โหลด

    พบขา “No Connect” ที่มีการเชื่อมต่อภายใน die จริง
    อาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับของ Intel

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ct-scan-peels-back-the-layers-of-time-to-reveal-the-engineering-within-intels-iconic-386-cpu-exposing-intricate-pin-mapping-hidden-power-planes-and-more
    🔬💾 เรื่องเล่าจากชั้นในของชิป: CT scan เผยความลับของ Intel 386 ที่ซ่อนอยู่ใต้เซรามิก ในยุคที่ชิปสมัยใหม่มีขนาดเล็กลงและซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ Ken Shirriff นักวิจัยด้านฮาร์ดแวร์ได้ใช้เทคโนโลยี CT scan เพื่อเปิดเผยโครงสร้างภายในของ Intel 386—ชิประดับตำนานจากยุค 1980 ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ x86 แบบ 32 บิต แม้ภายนอกจะดูเหมือนเซรามิกสีเทาพร้อมขา 132 ขา แต่ภายในกลับซ่อนวิศวกรรมระดับสูงไว้มากมาย โดย CT scan ให้ภาพ X-ray หลายร้อยชั้นที่สามารถรวมเป็นโมเดล 3D เพื่อหมุน ดู และ “ลอก” ชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล สิ่งที่พบมีตั้งแต่สายทองคำขนาด 35 ไมโครเมตรที่เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ไปจนถึงโครงสร้างวงจร 6 ชั้นที่ซ่อนอยู่ภายในเซรามิก ซึ่งประกอบด้วย 2 ชั้นสำหรับสัญญาณ และ 4 ชั้นสำหรับพลังงานและกราวด์ โดยใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังพบสายไฟข้างชิปที่ใช้ในขั้นตอนชุบทอง ซึ่งปกติจะไม่ปรากฏให้เห็น รวมถึงการออกแบบที่รองรับการกระจายความร้อนด้วยอีพ็อกซีผสมเงินใต้ die เพื่อให้ชิปทำงานได้เสถียร ที่น่าสนใจคือ มีขาบางขาในแพ็กเกจที่ระบุว่า “No Connect” แต่จริง ๆ แล้วมีการเชื่อมต่อภายใน die ซึ่งอาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับที่ Intel ไม่เคยเปิดเผย ✅ Ken Shirriff ใช้ CT scan สำรวจโครงสร้างภายในของ Intel 386 CPU ➡️ สร้างโมเดล 3D ที่สามารถหมุนและลอกชั้นต่าง ๆ ได้แบบดิจิทัล ✅ พบสายทองคำขนาด 35 µm เชื่อมระหว่าง die กับแผงวงจร ➡️ บางจุดมีถึง 5 เส้นเพื่อรองรับกระแสไฟสูง ✅ แพ็กเกจภายในเป็นวงจร 6 ชั้น: 2 ชั้นสัญญาณ + 4 ชั้นพลังงาน ➡️ ใช้เทคนิค “single-row double-shelf bonding” เพื่อเพิ่มความหนาแน่น ✅ พบสายไฟด้านข้างที่ใช้ชุบทองในขั้นตอนการผลิต ➡️ ยืนยันด้วยการขัดเซรามิกให้ตรงกับภาพ CT ✅ ใต้ die มีอีพ็อกซีผสมเงินเพื่อระบายความร้อนและเชื่อมกราวด์ ➡️ ช่วยให้ชิปทำงานได้เสถียรภายใต้โหลด ✅ พบขา “No Connect” ที่มีการเชื่อมต่อภายใน die จริง ➡️ อาจใช้สำหรับการทดสอบหรือฟังก์ชันลับของ Intel https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ct-scan-peels-back-the-layers-of-time-to-reveal-the-engineering-within-intels-iconic-386-cpu-exposing-intricate-pin-mapping-hidden-power-planes-and-more
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเสรีภาพข้อมูล: Wikipedia แพ้คดี Online Safety Act แต่ยังไม่หมดหวัง

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงแห่งสหราชอาณาจักร หลังจาก Wikimedia Foundation ยื่นขอให้มีการพิจารณากฎหมาย Online Safety Act (OSA) โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่อาจทำให้ Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน “Category 1” ซึ่งเป็นกลุ่มเว็บไซต์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวดที่สุด เช่น การยืนยันตัวตนผู้ใช้

    Wikimedia โต้แย้งว่ากฎนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ แต่กลับใช้เกณฑ์ที่กว้างเกินไปจนรวม Wikipedia ซึ่งเป็นเว็บไซต์สารานุกรมที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร ไม่มีกำไร และไม่มีโฆษณา

    แม้ศาลจะไม่รับคำร้องในครั้งนี้ แต่ผู้พิพากษา Jeremy Johnson ระบุชัดว่า “นี่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ Ofcom และรัฐบาลดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อ Wikipedia” และเปิดช่องให้ Wikimedia ยื่นคำร้องใหม่ได้ หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1 จริง

    หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน Category 1 จะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บางคนเสี่ยงต่อการถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือแม้แต่ถูกจับในประเทศที่ไม่เปิดกว้างด้านเสรีภาพข้อมูล และอาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรลงถึง 75% เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับนี้

    Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ Online Safety Act
    คดีเกี่ยวกับการจัดประเภทเว็บไซต์ภายใต้กฎหมายใหม่

    Wikimedia Foundation คัดค้านการจัด Wikipedia เป็น Category 1
    เพราะจะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้และปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวด

    ศาลไม่รับคำร้อง แต่เปิดช่องให้ยื่นใหม่ได้หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1
    ผู้พิพากษาระบุว่าไม่ใช่ “ใบอนุญาตให้ดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ”

    หากถูกจัดเป็น Category 1 Wikipedia อาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ใน UK ลง 75%
    หรือปิดฟีเจอร์สำคัญบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับ

    Wikimedia เตือนว่าการยืนยันตัวตนอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิ
    เช่น การถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือถูกจับในบางประเทศ

    Online Safety Act มีเป้าหมายเพื่อปกป้องเด็กและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย
    แต่ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก

    Category 1 ครอบคลุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น Facebook, YouTube, X
    แต่ Wikipedia ไม่ใช่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและไม่มีโฆษณา

    Wikipedia มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 260,000 คนที่เป็นอาสาสมัคร
    การยืนยันตัวตนอาจทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าร่วม

    กฎหมายให้อำนาจรัฐในการแทรกแซง Ofcom ได้โดยตรง
    ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการรวมศูนย์อำนาจและเปิดช่องให้ควบคุมเนื้อหาออนไลน์

    https://www.bbc.com/news/articles/cjr11qqvvwlo
    📚⚖️ เรื่องเล่าจากโลกเสรีภาพข้อมูล: Wikipedia แพ้คดี Online Safety Act แต่ยังไม่หมดหวัง ในเดือนสิงหาคม 2025 Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงแห่งสหราชอาณาจักร หลังจาก Wikimedia Foundation ยื่นขอให้มีการพิจารณากฎหมาย Online Safety Act (OSA) โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่อาจทำให้ Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน “Category 1” ซึ่งเป็นกลุ่มเว็บไซต์ที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวดที่สุด เช่น การยืนยันตัวตนผู้ใช้ Wikimedia โต้แย้งว่ากฎนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขนาดใหญ่ แต่กลับใช้เกณฑ์ที่กว้างเกินไปจนรวม Wikipedia ซึ่งเป็นเว็บไซต์สารานุกรมที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร ไม่มีกำไร และไม่มีโฆษณา แม้ศาลจะไม่รับคำร้องในครั้งนี้ แต่ผู้พิพากษา Jeremy Johnson ระบุชัดว่า “นี่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ Ofcom และรัฐบาลดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อ Wikipedia” และเปิดช่องให้ Wikimedia ยื่นคำร้องใหม่ได้ หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1 จริง หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ใน Category 1 จะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บางคนเสี่ยงต่อการถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือแม้แต่ถูกจับในประเทศที่ไม่เปิดกว้างด้านเสรีภาพข้อมูล และอาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรลงถึง 75% เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับนี้ ✅ Wikipedia แพ้คดีในศาลสูงสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับ Online Safety Act ➡️ คดีเกี่ยวกับการจัดประเภทเว็บไซต์ภายใต้กฎหมายใหม่ ✅ Wikimedia Foundation คัดค้านการจัด Wikipedia เป็น Category 1 ➡️ เพราะจะต้องยืนยันตัวตนผู้ใช้และปฏิบัติตามข้อบังคับเข้มงวด ✅ ศาลไม่รับคำร้อง แต่เปิดช่องให้ยื่นใหม่ได้หาก Ofcom ตัดสินว่า Wikipedia เป็น Category 1 ➡️ ผู้พิพากษาระบุว่าไม่ใช่ “ใบอนุญาตให้ดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ” ✅ หากถูกจัดเป็น Category 1 Wikipedia อาจต้องลดจำนวนผู้ใช้ใน UK ลง 75% ➡️ หรือปิดฟีเจอร์สำคัญบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับ ✅ Wikimedia เตือนว่าการยืนยันตัวตนอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิ ➡️ เช่น การถูกติดตาม ฟ้องร้อง หรือถูกจับในบางประเทศ ✅ Online Safety Act มีเป้าหมายเพื่อปกป้องเด็กและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย ➡️ แต่ถูกวิจารณ์ว่าอาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก ✅ Category 1 ครอบคลุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น Facebook, YouTube, X ➡️ แต่ Wikipedia ไม่ใช่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและไม่มีโฆษณา ✅ Wikipedia มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 260,000 คนที่เป็นอาสาสมัคร ➡️ การยืนยันตัวตนอาจทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าร่วม ✅ กฎหมายให้อำนาจรัฐในการแทรกแซง Ofcom ได้โดยตรง ➡️ ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการรวมศูนย์อำนาจและเปิดช่องให้ควบคุมเนื้อหาออนไลน์ https://www.bbc.com/news/articles/cjr11qqvvwlo
    WWW.BBC.COM
    Wikipedia loses challenge against Online Safety Act verification rules
    The Wikimedia Foundation says the new rules could threaten user privacy and safety.
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • “ภูมิธรรม” ยืนยัน “แพทองธาร” ไม่ลาออก...หลังลือสะพัดเตรียมลงจากตำแหน่ง
    https://www.thai-tai.tv/news/20867/
    .
    #ภูมิธรรมเวชยชัย #แพทองธารชินวัตร #ข่าวลือ #การเมืองไทย #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    “ภูมิธรรม” ยืนยัน “แพทองธาร” ไม่ลาออก...หลังลือสะพัดเตรียมลงจากตำแหน่ง https://www.thai-tai.tv/news/20867/ . #ภูมิธรรมเวชยชัย #แพทองธารชินวัตร #ข่าวลือ #การเมืองไทย #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • เพจดัง "Army Military Force" โพสต์คลิปยืนยัน! ทหารไทยยึดภูมะเขือ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมสภาพกระเช้าและสะพานที่เขมรสร้างขึ้นถูกทำลายเละ โดยระบุชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย และไม่ใช่ภาพ AI ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้าง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000076207

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    เพจดัง "Army Military Force" โพสต์คลิปยืนยัน! ทหารไทยยึดภูมะเขือ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมสภาพกระเช้าและสะพานที่เขมรสร้างขึ้นถูกทำลายเละ โดยระบุชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย และไม่ใช่ภาพ AI ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้าง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000076207 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 391 Views 0 Reviews
  • เพจดัง "Army Military Force" โพสต์คลิปยืนยัน! ทหารไทยยึดภูมะเขือ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมสภาพกระเช้าและสะพานที่เขมรสร้างขึ้นถูกทำลายเละ โดยระบุชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย และไม่ใช่ภาพ AI ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้าง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000076207

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    เพจดัง "Army Military Force" โพสต์คลิปยืนยัน! ทหารไทยยึดภูมะเขือ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมสภาพกระเช้าและสะพานที่เขมรสร้างขึ้นถูกทำลายเละ โดยระบุชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย และไม่ใช่ภาพ AI ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้าง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000076207 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • โฆษก ทบ.โต้ “มาลี” ป้องแม่ทัพภาค 2 ย้ำไทยไม่มีความพยายามที่มีการยั่วยุหรือวางแผนใช้กำลังทางทหาร ต่อกรณีปราสาทตาควาย อย่างที่กัมพูชากล่าวอ้าง

    วันนี้(11 ส.ค.) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก(ทบ.)กล่าวถึง กรณี พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในเรื่องของปราสาทตาควาย ขอยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาค 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลังเพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา

    สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ เลยวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร

    แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสมของอนาคต พร้อมกล่าวว่าจะเตรียมการนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงกรอบ RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม

    ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ไช่ความพยายามที่มีการยั่วยุ และมีการวางแผน ใช้กำลังทางทหารต่อกรณีประสาทตาควาย อย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000076203

    #MGROnline #มาลี #แม่ทัพภาค2 #ปราสาทตาควาย
    โฆษก ทบ.โต้ “มาลี” ป้องแม่ทัพภาค 2 ย้ำไทยไม่มีความพยายามที่มีการยั่วยุหรือวางแผนใช้กำลังทางทหาร ต่อกรณีปราสาทตาควาย อย่างที่กัมพูชากล่าวอ้าง • วันนี้(11 ส.ค.) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก(ทบ.)กล่าวถึง กรณี พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในเรื่องของปราสาทตาควาย ขอยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาค 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลังเพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา • สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ เลยวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร • แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสมของอนาคต พร้อมกล่าวว่าจะเตรียมการนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงกรอบ RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม • ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ไช่ความพยายามที่มีการยั่วยุ และมีการวางแผน ใช้กำลังทางทหารต่อกรณีประสาทตาควาย อย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000076203 • #MGROnline #มาลี #แม่ทัพภาค2 #ปราสาทตาควาย
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • ข่าวปั่นจากเขมรอีกแล้ว!!

    โฆษกกลาโหมกัมพูชาประณามไทยกลางดึกเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 สิงหาคม 2568) ว่าไทย "ยั่วยุ" ด้วยการยึดปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นหลักฐานที่มิอาจโต้แย้งได้ของจากความพยายามของไทย ที่ไตร่ตรองและเจตนาไว้ล่วงหน้า เพื่อยึดดินแดนกัมพูชา

    แต่ในความเป็นจริง เมื่อวานนี้ แม่ทัพภาคสองให้สัมภาษณ์สื่อ บอกว่าจะเอาปราสาทตาควายกลับมาให้ได้ ซึ่งไทยยืนยันว่าพื้นที่ปราสาทตาควายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย แต่แม่ทัพภาคสอง ไม่ได้ระบุว่าจะต้องใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง โดยให้เรื่องนี้เข้าสู่ขั้นตอนของการเจรจา ว่าหลังจากนี้จะเอาปราสาทนี้กลับมาสู่ไทยอย่างไร

    แม่ทัพภาคสองพูดอย่างชัดเจนว่า "เคารพข้อตกลงหยุดยิงของสองประเทศ" ทุกอย่างจะต้องเป็นขั้นตอนของการเจรจาทวิภาคีของสองประเทศ

    แต่ฝ่ายเขมร กลับเอาคำพูดของแม่ทัพภาคสองเพียงบางส่วน มาปั่นข่าว บอกว่าไทยกำลังจะหาเรื่องบุกเขมร
    เห็นมีเพจในไทย นำเรื่องนี้มาแชร์ต่อเหมือนกัน ทำนองว่าตำหนริแม่ทัพภาคสองที่ไม่ยอมเคารพข้อตกลงหยุดยิง ทำเกินหน้ารัฐบาล
    ข่าวปั่นจากเขมรอีกแล้ว!! โฆษกกลาโหมกัมพูชาประณามไทยกลางดึกเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 สิงหาคม 2568) ว่าไทย "ยั่วยุ" ด้วยการยึดปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นหลักฐานที่มิอาจโต้แย้งได้ของจากความพยายามของไทย ที่ไตร่ตรองและเจตนาไว้ล่วงหน้า เพื่อยึดดินแดนกัมพูชา แต่ในความเป็นจริง เมื่อวานนี้ แม่ทัพภาคสองให้สัมภาษณ์สื่อ บอกว่าจะเอาปราสาทตาควายกลับมาให้ได้ ซึ่งไทยยืนยันว่าพื้นที่ปราสาทตาควายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย แต่แม่ทัพภาคสอง ไม่ได้ระบุว่าจะต้องใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง โดยให้เรื่องนี้เข้าสู่ขั้นตอนของการเจรจา ว่าหลังจากนี้จะเอาปราสาทนี้กลับมาสู่ไทยอย่างไร แม่ทัพภาคสองพูดอย่างชัดเจนว่า "เคารพข้อตกลงหยุดยิงของสองประเทศ" ทุกอย่างจะต้องเป็นขั้นตอนของการเจรจาทวิภาคีของสองประเทศ แต่ฝ่ายเขมร กลับเอาคำพูดของแม่ทัพภาคสองเพียงบางส่วน มาปั่นข่าว บอกว่าไทยกำลังจะหาเรื่องบุกเขมร เห็นมีเพจในไทย นำเรื่องนี้มาแชร์ต่อเหมือนกัน ทำนองว่าตำหนริแม่ทัพภาคสองที่ไม่ยอมเคารพข้อตกลงหยุดยิง ทำเกินหน้ารัฐบาล
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการซ่อม: Apple แอบปล่อยผู้ช่วย AI ในแอป Support โดยไม่ต้องรอ Siri

    ในขณะที่หลายคนกำลังรอให้ Siri กลายเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น Apple กลับแอบเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Apple Support ที่ชื่อว่า “Support Assistant” ซึ่งเป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI แบบ generative ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple โดยไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่จริง

    ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ทดลองใช้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2025 เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ โดยจะมีปุ่ม “Chat” ปรากฏในแอป Apple Support ซึ่งเมื่อกดเข้าไป ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ AI เพื่อขอคำแนะนำ เช่น การรีเซ็ตเครื่อง การแก้ปัญหาแอป หรือการตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน

    หาก AI ไม่สามารถตอบได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับการบริการแบบมนุษย์อย่างชาญฉลาด

    Apple ยืนยันว่า AI ตัวนี้ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ใช้จะถูก anonymized เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น และไม่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เหมือนคู่แข่งบางราย

    แม้จะดูปลอดภัย แต่ Apple ก็เตือนชัดเจนว่า “AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด” และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าระบบหรือการแก้ปัญหาที่อาจกระทบต่อข้อมูล

    Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Support Assistant ในแอป Apple Support
    เป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้น

    เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2025
    เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ

    ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Chat” เพื่อเริ่มพูดคุยกับ AI
    ใช้สำหรับการรีเซ็ตเครื่อง ตรวจสอบการรับประกัน และแก้ปัญหาแอป

    หาก AI ตอบไม่ได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริง
    เป็นระบบ hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง AI และมนุษย์

    Apple ยืนยันว่า AI ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัว
    ข้อมูลจะถูก anonymized และใช้เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น

    Apple เตือนว่า AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้

    AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ

    ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่เปิดให้ใช้ทั่วโลก
    ผู้ใช้ในประเทศอื่นยังไม่สามารถเข้าถึงได้

    ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้โมเดล AI จากแหล่งใด
    อาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มกังวลเรื่องความโปร่งใส

    แม้จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการฝึก AI แต่ยังมีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบ
    ผู้ใช้ควรอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้

    https://www.techradar.com/pro/forget-talking-to-a-human-apple-is-rolling-out-ai-chatbots-in-its-customer-service-app
    📱🤖 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการซ่อม: Apple แอบปล่อยผู้ช่วย AI ในแอป Support โดยไม่ต้องรอ Siri ในขณะที่หลายคนกำลังรอให้ Siri กลายเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น Apple กลับแอบเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Apple Support ที่ชื่อว่า “Support Assistant” ซึ่งเป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI แบบ generative ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Apple โดยไม่ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่จริง ฟีเจอร์นี้เริ่มเปิดให้ทดลองใช้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2025 เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ โดยจะมีปุ่ม “Chat” ปรากฏในแอป Apple Support ซึ่งเมื่อกดเข้าไป ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับ AI เพื่อขอคำแนะนำ เช่น การรีเซ็ตเครื่อง การแก้ปัญหาแอป หรือการตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกัน หาก AI ไม่สามารถตอบได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริงโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับการบริการแบบมนุษย์อย่างชาญฉลาด Apple ยืนยันว่า AI ตัวนี้ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ใช้จะถูก anonymized เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น และไม่ใช้ในการฝึกโมเดล AI เหมือนคู่แข่งบางราย แม้จะดูปลอดภัย แต่ Apple ก็เตือนชัดเจนว่า “AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด” และแนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าระบบหรือการแก้ปัญหาที่อาจกระทบต่อข้อมูล ✅ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Support Assistant ในแอป Apple Support ➡️ เป็นแชตบ็อตที่ใช้ AI ช่วยตอบคำถามและแก้ปัญหาเบื้องต้น ✅ เริ่มเปิดให้ทดลองใช้ตั้งแต่ 5 สิงหาคม 2025 ➡️ เฉพาะผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มในสหรัฐฯ ✅ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Chat” เพื่อเริ่มพูดคุยกับ AI ➡️ ใช้สำหรับการรีเซ็ตเครื่อง ตรวจสอบการรับประกัน และแก้ปัญหาแอป ✅ หาก AI ตอบไม่ได้ ระบบจะส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่จริง ➡️ เป็นระบบ hybrid ที่ผสมผสานระหว่าง AI และมนุษย์ ✅ Apple ยืนยันว่า AI ทำงานแบบ local และไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลส่วนตัว ➡️ ข้อมูลจะถูก anonymized และใช้เพื่อปรับปรุงระบบเท่านั้น ✅ Apple เตือนว่า AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาด ➡️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบคำแนะนำก่อนนำไปใช้ ‼️ AI อาจให้ข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบก่อนนำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญ ‼️ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง และยังไม่เปิดให้ใช้ทั่วโลก ⛔ ผู้ใช้ในประเทศอื่นยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ไม่มีการระบุชัดเจนว่าใช้โมเดล AI จากแหล่งใด ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้บางกลุ่มกังวลเรื่องความโปร่งใส ‼️ แม้จะไม่ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการฝึก AI แต่ยังมีการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบ ⛔ ผู้ใช้ควรอ่านเงื่อนไขการใช้งานอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้ https://www.techradar.com/pro/forget-talking-to-a-human-apple-is-rolling-out-ai-chatbots-in-its-customer-service-app
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน

    ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023

    แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่

    สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน

    แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล

    ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว

    รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20
    โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง

    หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง
    ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
    เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ

    Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น
    ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม

    แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC

    ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    💻🌏 เรื่องเล่าจากสนามรบเทคโนโลยี: Nvidia H20 กับแรงเสียดทานจากจีน ในโลกที่ AI คือสมรภูมิใหม่ของมหาอำนาจ ชิป H20 จาก Nvidia กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดย H20 ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้จีนโดยเฉพาะ หลังจากสหรัฐฯสั่งห้ามส่งออกชิป AI ระดับสูงในปี 2023 แม้สหรัฐฯจะกลับลำในเดือนกรกฎาคม 2025 และอนุญาตให้ Nvidia กลับมาขาย H20 ได้อีกครั้ง แต่จีนกลับแสดงความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” ของชิปนี้ โดยหน่วยงาน CAC (Cyberspace Administration of China) ได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามว่า H20 มี “backdoor” หรือระบบติดตามตำแหน่งหรือไม่ สื่อของรัฐจีน เช่น People’s Daily และบัญชี WeChat ที่เชื่อมโยงกับ CCTV ได้โจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” พร้อมเรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปของประเทศ เช่น Huawei Ascend หรือ Biren แทน แม้ Nvidia จะปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มี backdoor หรือ kill switch ใด ๆ” แต่ความไม่ไว้วางใจยังคงอยู่ โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯกำลังผลักดันกฎหมาย Chip Security Act ที่จะบังคับให้ชิป AI มีระบบติดตามและควบคุมระยะไกล ในขณะเดียวกัน ความต้องการ H20 ในจีนยังคงสูงมาก โดย Nvidia ได้สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC และมีรายงานว่ามีตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียว ✅ รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยของชิป Nvidia H20 ➡️ โดยเฉพาะประเด็น backdoor และระบบติดตามตำแหน่ง ✅ หน่วยงาน CAC เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจง ➡️ ต้องส่งเอกสารยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ✅ สื่อของรัฐจีนโจมตีว่า H20 “ไม่ปลอดภัย ไม่ทันสมัย และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ➡️ เรียกร้องให้บริษัทจีนหันไปใช้ชิปภายในประเทศ ✅ Nvidia ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น ➡️ ยืนยันว่าไม่มีระบบควบคุมระยะไกลหรือช่องทางสอดแนม ✅ แม้มีข้อกังวล แต่ยอดขาย H20 ในจีนยังสูงมาก ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ชิ้นจาก TSMC ✅ ตลาดมืดสำหรับชิป AI ที่ถูกแบนในจีนมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความต้องการที่ยังคงแข็งแกร่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-state-media-says-nvidia-h20-gpus-are-unsafe-and-outdated-urges-chinese-companies-to-avoid-them-says-chip-is-neither-environmentally-friendly-nor-advanced-nor-safe
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแผนที่ดิจิทัล: Instagram Map กับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

    เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Instagram Map” ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถแชร์ตำแหน่งของตนเองแบบเรียลไทม์กับเพื่อนหรือผู้ติดตาม คล้ายกับฟีเจอร์ Snap Map ของ Snapchat ที่มีมาตั้งแต่ปี 2017

    แม้ Meta จะยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ “ปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น” และต้อง “เลือกเปิดเอง” แต่ผู้ใช้หลายคนกลับพบว่าตำแหน่งของตนถูกแชร์โดยไม่รู้ตัว เช่น Lindsey Bell ที่โพสต์ว่า “บ้านของฉันปรากฏให้ผู้ติดตามทุกคนเห็น” จนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

    Kelley Flanagan ดาราเรียลลิตี้จากรายการ The Bachelor ได้โพสต์ TikTok เตือนว่า “ฟีเจอร์นี้อันตราย” พร้อมสอนวิธีปิดการแชร์ตำแหน่งแบบละเอียด

    Adam Mosseri หัวหน้า Instagram ยืนยันผ่าน Threads ว่า “ระบบแชร์ตำแหน่งจะทำงานก็ต่อเมื่อผู้ใช้เลือกเปิดเอง และสามารถจำกัดกลุ่มผู้เห็นได้” พร้อมเสริมว่า “ข้อมูลตำแหน่งจะอัปเดตเมื่อเปิดแอปหรือกลับมาใช้งานหลังพักหน้าจอ”

    อย่างไรก็ตาม ความกังวลไม่ได้หยุดแค่เรื่องการตั้งค่าฟีเจอร์ แต่ยังรวมถึงประเด็นใหญ่กว่านั้น เช่น:
    - ความเสี่ยงจากการถูกติดตามหรือคุกคาม
    - การใช้ข้อมูลตำแหน่งเพื่อควบคุมพฤติกรรมในความสัมพันธ์ (tech-based coercive control)
    - ความไม่ชัดเจนในการแสดงผลตำแหน่งที่อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่า “กำลังถูกติดตามแบบเรียลไทม์”

    นอกจากนี้ ยังมีคดีฟ้องร้องล่าสุดที่ Meta ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลสุขภาพจากแอป Flo เพื่อยิงโฆษณาแบบเจาะจง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจในเรื่องการจัดการข้อมูลส่วนตัว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/11/new-instagram-location-sharing-feature-sparks-privacy-fears
    📍📱 เรื่องเล่าจากแผนที่ดิจิทัล: Instagram Map กับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว เมื่อวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Instagram Map” ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถแชร์ตำแหน่งของตนเองแบบเรียลไทม์กับเพื่อนหรือผู้ติดตาม คล้ายกับฟีเจอร์ Snap Map ของ Snapchat ที่มีมาตั้งแต่ปี 2017 แม้ Meta จะยืนยันว่าฟีเจอร์นี้ “ปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น” และต้อง “เลือกเปิดเอง” แต่ผู้ใช้หลายคนกลับพบว่าตำแหน่งของตนถูกแชร์โดยไม่รู้ตัว เช่น Lindsey Bell ที่โพสต์ว่า “บ้านของฉันปรากฏให้ผู้ติดตามทุกคนเห็น” จนรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก Kelley Flanagan ดาราเรียลลิตี้จากรายการ The Bachelor ได้โพสต์ TikTok เตือนว่า “ฟีเจอร์นี้อันตราย” พร้อมสอนวิธีปิดการแชร์ตำแหน่งแบบละเอียด Adam Mosseri หัวหน้า Instagram ยืนยันผ่าน Threads ว่า “ระบบแชร์ตำแหน่งจะทำงานก็ต่อเมื่อผู้ใช้เลือกเปิดเอง และสามารถจำกัดกลุ่มผู้เห็นได้” พร้อมเสริมว่า “ข้อมูลตำแหน่งจะอัปเดตเมื่อเปิดแอปหรือกลับมาใช้งานหลังพักหน้าจอ” อย่างไรก็ตาม ความกังวลไม่ได้หยุดแค่เรื่องการตั้งค่าฟีเจอร์ แต่ยังรวมถึงประเด็นใหญ่กว่านั้น เช่น: - ความเสี่ยงจากการถูกติดตามหรือคุกคาม - การใช้ข้อมูลตำแหน่งเพื่อควบคุมพฤติกรรมในความสัมพันธ์ (tech-based coercive control) - ความไม่ชัดเจนในการแสดงผลตำแหน่งที่อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่า “กำลังถูกติดตามแบบเรียลไทม์” นอกจากนี้ ยังมีคดีฟ้องร้องล่าสุดที่ Meta ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลสุขภาพจากแอป Flo เพื่อยิงโฆษณาแบบเจาะจง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความไม่ไว้วางใจในเรื่องการจัดการข้อมูลส่วนตัว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/11/new-instagram-location-sharing-feature-sparks-privacy-fears
    WWW.THESTAR.COM.MY
    New Instagram location sharing feature sparks privacy fears
    Instagram users are warning about a new location sharing feature, fearing that the hugely popular app could be putting people in danger by revealing their whereabouts without their knowledge.
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศาลแคลิฟอร์เนีย: ผู้ใช้ฟ้อง Microsoft ฐานยุติ Windows 10 เพื่อครองตลาด AI

    Lawrence Klein ชายชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้แล็ปท็อป Windows 10 สองเครื่อง ตัดสินใจฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงซานดิเอโก โดยกล่าวหาว่าการยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นการบีบบังคับให้ผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ Windows 11 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ AI เช่น Copilot โดยปริยาย

    แม้การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 จะ “ฟรี” แต่ก็มีอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะขาดชิป TPM 2.0 ซึ่ง Microsoft ยืนยันว่าเป็น “ข้อกำหนดที่ไม่สามารถต่อรองได้” เพื่อความปลอดภัยในอนาคต

    Klein ระบุว่า Microsoft กำลังใช้กลยุทธ์ “forced obsolescence” หรือการทำให้อุปกรณ์เก่าหมดอายุโดยตั้งใจ เพื่อผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ใหม่ และครอบครองตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ที่ฝังอยู่ใน Windows 11

    เขาเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงการเลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปอีกหลายปี

    Microsoft จะยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    ส่งผลให้ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต้องอัปเกรดหรือเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    Lawrence Klein ฟ้อง Microsoft ฐานบีบบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่
    กล่าวหาว่าเป็นการผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot

    TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดหลักในการอัปเกรดเป็น Windows 11
    อุปกรณ์ที่ไม่มี TPM 2.0 ไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเป็นทางการ

    Microsoft เสนอโปรแกรม Extended Security Updates (ESU)
    ผู้ใช้ทั่วไปจ่าย $30 ต่อปี ส่วนองค์กรเริ่มต้นที่ $61 และเพิ่มขึ้นทุกปี

    Klein ไม่เรียกร้องค่าชดเชยส่วนตัว แต่ขอให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อ
    จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของฐานผู้ใช้ Windows

    https://www.tomshardware.com/software/windows/california-man-sues-microsoft-for-discontinuing-windows-10-says-company-is-doing-this-to-monopolize-the-generative-ai-market
    🧑‍⚖️💻 เรื่องเล่าจากศาลแคลิฟอร์เนีย: ผู้ใช้ฟ้อง Microsoft ฐานยุติ Windows 10 เพื่อครองตลาด AI Lawrence Klein ชายชาวแคลิฟอร์เนียผู้ใช้แล็ปท็อป Windows 10 สองเครื่อง ตัดสินใจฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงซานดิเอโก โดยกล่าวหาว่าการยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นการบีบบังคับให้ผู้ใช้ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ Windows 11 ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์ AI เช่น Copilot โดยปริยาย แม้การอัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 จะ “ฟรี” แต่ก็มีอุปกรณ์หลายร้อยล้านเครื่องที่ไม่สามารถอัปเกรดได้ เพราะขาดชิป TPM 2.0 ซึ่ง Microsoft ยืนยันว่าเป็น “ข้อกำหนดที่ไม่สามารถต่อรองได้” เพื่อความปลอดภัยในอนาคต Klein ระบุว่า Microsoft กำลังใช้กลยุทธ์ “forced obsolescence” หรือการทำให้อุปกรณ์เก่าหมดอายุโดยตั้งใจ เพื่อผลักดันยอดขายฮาร์ดแวร์ใหม่ และครอบครองตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ที่ฝังอยู่ใน Windows 11 เขาเรียกร้องให้ศาลสั่งให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของผู้ใช้ Windows ทั้งหมด ซึ่งอาจหมายถึงการเลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปอีกหลายปี ✅ Microsoft จะยุติการสนับสนุน Windows 10 ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ ส่งผลให้ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนต้องอัปเกรดหรือเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ Lawrence Klein ฟ้อง Microsoft ฐานบีบบังคับให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่ ➡️ กล่าวหาว่าเป็นการผูกขาดตลาดซอฟต์แวร์ AI โดยเฉพาะ Copilot ✅ TPM 2.0 เป็นข้อกำหนดหลักในการอัปเกรดเป็น Windows 11 ➡️ อุปกรณ์ที่ไม่มี TPM 2.0 ไม่สามารถอัปเกรดได้อย่างเป็นทางการ ✅ Microsoft เสนอโปรแกรม Extended Security Updates (ESU) ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปจ่าย $30 ต่อปี ส่วนองค์กรเริ่มต้นที่ $61 และเพิ่มขึ้นทุกปี ✅ Klein ไม่เรียกร้องค่าชดเชยส่วนตัว แต่ขอให้ Microsoft สนับสนุน Windows 10 ต่อ ➡️ จนกว่าผู้ใช้จะลดลงต่ำกว่า 10% ของฐานผู้ใช้ Windows https://www.tomshardware.com/software/windows/california-man-sues-microsoft-for-discontinuing-windows-10-says-company-is-doing-this-to-monopolize-the-generative-ai-market
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • “ แม่ทัพภาคที่ 2 ” รับมอบสิ่งของช่วยทหารแนวหน้า ย้ำกำลังพลจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ยืนยันทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่แนวปะทะจำนวนมาก ผิดอนุสัญญาฯชัดเจน สั่งทหารทุกหน่วยเพิ่มความระวัง พร้อมใช้เทคโนฯและเครื่องจักรกู้ทุ่นระเบิดลดความเสี่ยง แจงข่าวการยั่วยุโดยใช้หนังสติ๊กไม่เป็นความจริง แค่ภาพในโซเชียลฯ ทหารไทยปปฏิบัติมาตรการหยุดยิงเคร่งครัด ขณะ “ทักษิณ”เพิ่งตื่นมอบโดรนให้กองทัพ 10 ลำ มูลค่า 3 ล้าน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075911

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    “ แม่ทัพภาคที่ 2 ” รับมอบสิ่งของช่วยทหารแนวหน้า ย้ำกำลังพลจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ยืนยันทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่แนวปะทะจำนวนมาก ผิดอนุสัญญาฯชัดเจน สั่งทหารทุกหน่วยเพิ่มความระวัง พร้อมใช้เทคโนฯและเครื่องจักรกู้ทุ่นระเบิดลดความเสี่ยง แจงข่าวการยั่วยุโดยใช้หนังสติ๊กไม่เป็นความจริง แค่ภาพในโซเชียลฯ ทหารไทยปปฏิบัติมาตรการหยุดยิงเคร่งครัด ขณะ “ทักษิณ”เพิ่งตื่นมอบโดรนให้กองทัพ 10 ลำ มูลค่า 3 ล้าน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075911 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 406 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI

    หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ

    Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference

    นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ

    อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้

    Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler
    อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่

    CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน
    ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด

    Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI
    ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร

    รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028
    ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา

    Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ
    เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก

    ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้
    ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI

    ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI
    เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference

    Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว
    ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน

    Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018
    แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน

    Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026
    เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    🧠🏭 เรื่องเล่าจากโลกเซิร์ฟเวอร์: Qualcomm เตรียมบุกตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI หลังจากอยู่ในตลาดมือถือมานานหลายปี Qualcomm กำลังเตรียมก้าวครั้งใหญ่สู่โลกดาต้าเซ็นเตอร์ โดยในรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด CEO Cristiano Amon ยืนยันว่าบริษัทกำลังอยู่ใน “ขั้นตอนเจรจาขั้นสูง” กับลูกค้าระดับ hyperscaler เพื่อพัฒนา CPU แบบ ARM สำหรับใช้งานในคลัสเตอร์ AI โดยเฉพาะ Qualcomm เคยพยายามเข้าสู่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ในอดีต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และถอนตัวไปในปี 2018 เพื่อโฟกัสกับมือถือ แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่เน้น “tokens per watt” และ “tokens per dollar” มากกว่าความแรงเพียว ๆ Qualcomm มองเห็นโอกาสใหม่ในการสร้าง CPU ที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานสำหรับงาน inference นอกจาก CPU แล้ว Qualcomm ยังพัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์เต็มรูปแบบสำหรับ AI โดยใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ อย่างไรก็ตาม รายได้จากโครงการนี้จะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ซึ่งอาจช้าเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Broadcom และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว และนักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะราคาหุ้น Qualcomm ร่วงลงหลังประกาศข่าวนี้ ✅ Qualcomm เตรียมเข้าสู่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย CPU ARM สำหรับ hyperscaler ➡️ อยู่ในขั้นตอนเจรจาขั้นสูงกับลูกค้ารายใหญ่ ✅ CPU ใหม่จะเน้นงาน AI inference และประสิทธิภาพพลังงาน ➡️ ใช้เกณฑ์ tokens per watt และ tokens per dollar เป็นตัวชี้วัด ✅ Qualcomm พัฒนา accelerator cards และแร็กเซิร์ฟเวอร์สำหรับ AI ➡️ ไม่ใช่แค่ขาย CPU แต่สร้างโซลูชันครบวงจร ✅ รายได้จากโครงการนี้คาดว่าจะเริ่มในปีงบประมาณ 2028 ➡️ ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา ✅ Qualcomm เซ็นสัญญาร่วมมือกับ Humain บริษัท AI ของรัฐบาลซาอุฯ ➡️ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล edge และ cloud ทั่วโลก ✅ ใช้เทคโนโลยีจาก Snapdragon และ Dragonwing Edge ในโครงการนี้ ➡️ ขยายจากมือถือสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก x86 ไปสู่ ARM-based CPU สำหรับงาน AI ➡️ เพราะ ARM มีประสิทธิภาพพลังงานดีกว่าในงาน inference ✅ Broadcom และ Nvidia มี accelerator สำหรับ AI ที่พร้อมใช้งานแล้ว ➡️ ทำให้ Qualcomm ต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ตกขบวน ✅ Qualcomm เคยล้มเหลวในการพัฒนา CPU เซิร์ฟเวอร์ในปี 2018 ➡️ แต่กลับมาใหม่ด้วยแนวทางที่เน้น AI และพลังงาน ✅ Alphawave IP Group จะถูก Qualcomm เข้าซื้อในปี 2026 ➡️ เพื่อเสริมความสามารถด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techradar.com/pro/is-qualcomm-finally-about-to-take-the-data-center-plunge-report-claims-new-cpus-could-be-on-offer-soon
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากตลาดการ์ดจอ: AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอราคาประหยัดที่ยังรองรับ Ray Tracing

    ในเดือนสิงหาคม 2025 AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 แบบเงียบ ๆ โดยไม่ได้จัดงานเปิดตัวใหญ่โต เพราะนี่คือการ์ดจอระดับเริ่มต้นในตระกูล RDNA 3 ที่ใช้ชิป Navi 33 ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่สุดในสายการผลิตนี้ และเคยใช้ในรุ่น RX 7600 มาก่อน

    RX 7400 มาพร้อม 28 Compute Units หรือ 1,792 Stream Processors ซึ่งลดลงจาก RX 7600 ประมาณ 12.5% แต่ยังคงรองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และมี AI Accelerators 56 ตัว แม้จะเป็นรุ่นเล็กที่สุดในซีรีส์ แต่ก็ยังให้ฟีเจอร์ครบถ้วนสำหรับการเล่นเกมระดับ 1080p

    หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 8GB ถูกลดความเร็วลงเหลือ 10.8 Gbps ทำให้ bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ซึ่งต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40% แต่ข้อดีคือ RX 7400 ใช้พลังงานเพียง 55W และไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM ที่ต้องการประหยัดพลังงาน

    AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอ RDNA 3 รุ่นเริ่มต้น
    ใช้ชิป Navi 33 เหมือน RX 7600 แต่ลดจำนวน Compute Units

    RX 7400 มี 28 Compute Units และ 1,792 Stream Processors
    ลดลง 12.5% จาก RX 7600 ที่มี 2,048 SPs

    รองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และ 56 AI Accelerators
    เป็นรุ่นราคาประหยัดที่ยังมีฟีเจอร์ครบ

    ใช้ GDDR6 ขนาด 8GB ความเร็ว 10.8 Gbps
    Bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40%

    ใช้พลังงานเพียง 55W ไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม
    เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM

    ขนาดการ์ด 167 มม. แบบ single-slot
    ติดตั้งง่ายในเคสขนาดเล็ก

    RX 7400 เหมาะสำหรับเกม 1080p และงานสตรีมมิ่งพื้นฐาน
    แม้ไม่แรงเท่า RX 7600 แต่ดีกว่า iGPU ในซีพียูทั่วไป

    มีการใช้งานในเครื่องพีซีของ Dell สำหรับตลาดองค์กร
    บ่งชี้ว่าอาจเป็นรุ่น OEM เป็นหลัก

    ยังไม่มีการประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ
    แต่คาดว่าจะต่ำกว่า RX 7600 ที่เปิดตัวที่ $269

    AMD ยังไม่ยืนยันว่าจะมีรุ่น RX 7300 ตามมา
    แม้มีข่าวหลุดว่ามีรุ่น 6GB และ 1,536 SPs อยู่ในแผน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-quietly-launches-radeon-rx-7400-8gb-budget-gaming-gpu-rdna-3-goes-another-rung-lower-on-the-ladder
    🎮💸 เรื่องเล่าจากตลาดการ์ดจอ: AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอราคาประหยัดที่ยังรองรับ Ray Tracing ในเดือนสิงหาคม 2025 AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 แบบเงียบ ๆ โดยไม่ได้จัดงานเปิดตัวใหญ่โต เพราะนี่คือการ์ดจอระดับเริ่มต้นในตระกูล RDNA 3 ที่ใช้ชิป Navi 33 ซึ่งเป็นชิ้นเล็กที่สุดในสายการผลิตนี้ และเคยใช้ในรุ่น RX 7600 มาก่อน RX 7400 มาพร้อม 28 Compute Units หรือ 1,792 Stream Processors ซึ่งลดลงจาก RX 7600 ประมาณ 12.5% แต่ยังคงรองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และมี AI Accelerators 56 ตัว แม้จะเป็นรุ่นเล็กที่สุดในซีรีส์ แต่ก็ยังให้ฟีเจอร์ครบถ้วนสำหรับการเล่นเกมระดับ 1080p หน่วยความจำ GDDR6 ขนาด 8GB ถูกลดความเร็วลงเหลือ 10.8 Gbps ทำให้ bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ซึ่งต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40% แต่ข้อดีคือ RX 7400 ใช้พลังงานเพียง 55W และไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM ที่ต้องการประหยัดพลังงาน ✅ AMD เปิดตัว Radeon RX 7400 การ์ดจอ RDNA 3 รุ่นเริ่มต้น ➡️ ใช้ชิป Navi 33 เหมือน RX 7600 แต่ลดจำนวน Compute Units ✅ RX 7400 มี 28 Compute Units และ 1,792 Stream Processors ➡️ ลดลง 12.5% จาก RX 7600 ที่มี 2,048 SPs ✅ รองรับ Ray Tracing ด้วย 28 Ray Accelerators และ 56 AI Accelerators ➡️ เป็นรุ่นราคาประหยัดที่ยังมีฟีเจอร์ครบ ✅ ใช้ GDDR6 ขนาด 8GB ความเร็ว 10.8 Gbps ➡️ Bandwidth อยู่ที่ 173 GB/s ต่ำกว่า RX 7600 ถึง 40% ✅ ใช้พลังงานเพียง 55W ไม่ต้องต่อสายไฟเพิ่ม ➡️ เหมาะสำหรับเครื่องพีซีขนาดเล็กหรือระบบ OEM ✅ ขนาดการ์ด 167 มม. แบบ single-slot ➡️ ติดตั้งง่ายในเคสขนาดเล็ก ✅ RX 7400 เหมาะสำหรับเกม 1080p และงานสตรีมมิ่งพื้นฐาน ➡️ แม้ไม่แรงเท่า RX 7600 แต่ดีกว่า iGPU ในซีพียูทั่วไป ✅ มีการใช้งานในเครื่องพีซีของ Dell สำหรับตลาดองค์กร ➡️ บ่งชี้ว่าอาจเป็นรุ่น OEM เป็นหลัก ✅ ยังไม่มีการประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ ➡️ แต่คาดว่าจะต่ำกว่า RX 7600 ที่เปิดตัวที่ $269 ✅ AMD ยังไม่ยืนยันว่าจะมีรุ่น RX 7300 ตามมา ➡️ แม้มีข่าวหลุดว่ามีรุ่น 6GB และ 1,536 SPs อยู่ในแผน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-quietly-launches-radeon-rx-7400-8gb-budget-gaming-gpu-rdna-3-goes-another-rung-lower-on-the-ladder
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อ CEO ถูกเรียกร้องให้ลาออกจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับจีน

    Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เรียกร้องให้เขาลาออกโดยอ้างว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” จากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน

    Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel โดยยืนยันว่าเขาทำงานด้วย “มาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมสูงสุด” และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลผิด” พร้อมระบุว่า Intel กำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง

    เอกสารทางการเงินเผยว่า Tan มีการควบคุมหรือถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ซึ่งบางแห่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีน

    แม้ Intel จะยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังคงลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงในประเทศ เช่น Intel 18A node แต่คำถามเรื่องความปลอดภัยระดับชาติยังคงอยู่ โดยมีวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายเตือนคณะกรรมการ Intel ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

    Donald Trump เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Intel
    อ้างว่า Tan มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการลงทุนในบริษัทจีน

    Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel ว่าเขาทำงานด้วยจริยธรรมสูงสุด
    พร้อมระบุว่าข้อกล่าวหาเป็น “ข้อมูลผิด” และกำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ

    Tan มีการถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $200 ล้าน
    ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited

    บางบริษัทที่ Tan ลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐ
    ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ

    Intel ยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
    พร้อมเน้นการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา

    คณะกรรมการของ Intel แสดงการสนับสนุน Tan อย่างเต็มที่
    ยืนยันว่าเขายังคงเป็นผู้นำที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญของบริษัท

    Tan เคยเป็น CEO ของ Cadence Design Systems ซึ่งมีคดีละเมิดกฎหมายส่งออก
    เกี่ยวข้องกับการขายเทคโนโลยีให้มหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ
    ทำให้การมี CEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง

    Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี และอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากกว่า 4 ทศวรรษ
    ได้รับการศึกษาจาก MIT และ University of San Francisco

    Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับสูง
    เช่น Intel 18A และ 14A ที่แข่งขันกับ TSMC และ Samsung

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-responds-to-trump-allegations-in-letter-i-have-always-operated-within-the-highest-legal-and-ethical-standards
    🏛️💼 เรื่องเล่าจากห้องประชุม Intel: เมื่อ CEO ถูกเรียกร้องให้ลาออกจากข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับจีน Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel กำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนัก หลังจากอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เรียกร้องให้เขาลาออกโดยอ้างว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” จากการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งบางแห่งมีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีน Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel โดยยืนยันว่าเขาทำงานด้วย “มาตรฐานทางกฎหมายและจริยธรรมสูงสุด” และกล่าวว่าข้อกล่าวหานั้นเป็น “ข้อมูลผิด” พร้อมระบุว่า Intel กำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เอกสารทางการเงินเผยว่า Tan มีการควบคุมหรือถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ซึ่งบางแห่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของจีน แม้ Intel จะยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังคงลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงในประเทศ เช่น Intel 18A node แต่คำถามเรื่องความปลอดภัยระดับชาติยังคงอยู่ โดยมีวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายเตือนคณะกรรมการ Intel ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ✅ Donald Trump เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Intel ➡️ อ้างว่า Tan มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการลงทุนในบริษัทจีน ✅ Tan ตอบโต้ด้วยจดหมายถึงพนักงาน Intel ว่าเขาทำงานด้วยจริยธรรมสูงสุด ➡️ พร้อมระบุว่าข้อกล่าวหาเป็น “ข้อมูลผิด” และกำลังร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ✅ Tan มีการถือหุ้นในบริษัทจีนมากกว่า 600 แห่ง มูลค่ารวมกว่า $200 ล้าน ➡️ ผ่านบริษัทลงทุนที่เขาก่อตั้ง เช่น Walden International และ Sakarya Limited ✅ บางบริษัทที่ Tan ลงทุนมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนหรือได้รับเงินทุนจากรัฐ ➡️ ทำให้เกิดข้อกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ ✅ Intel ยืนยันว่า Tan และบริษัทมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ➡️ พร้อมเน้นการลงทุนในโรงงานผลิตชิปในรัฐแอริโซนา ✅ คณะกรรมการของ Intel แสดงการสนับสนุน Tan อย่างเต็มที่ ➡️ ยืนยันว่าเขายังคงเป็นผู้นำที่เหมาะสมในช่วงเวลาสำคัญของบริษัท ✅ Tan เคยเป็น CEO ของ Cadence Design Systems ซึ่งมีคดีละเมิดกฎหมายส่งออก ➡️ เกี่ยวข้องกับการขายเทคโนโลยีให้มหาวิทยาลัยทหารของจีน ✅ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจาก CHIPS Act ของรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ทำให้การมี CEO ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีนกลายเป็นประเด็นทางการเมือง ✅ Tan มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี และอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มากกว่า 4 ทศวรรษ ➡️ ได้รับการศึกษาจาก MIT และ University of San Francisco ✅ Intel เป็นบริษัทเดียวในสหรัฐฯ ที่ยังลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตชิประดับสูง ➡️ เช่น Intel 18A และ 14A ที่แข่งขันกับ TSMC และ Samsung https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-ceo-lip-bu-tan-responds-to-trump-allegations-in-letter-i-have-always-operated-within-the-highest-legal-and-ethical-standards
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากหน้าบ้าน: เมื่อกล่องปริศนาอาจเป็นกับดักไซเบอร์จาก QR Code

    ลองจินตนาการว่าคุณกลับบ้านมาแล้วพบกล่องพัสดุวางอยู่หน้าประตู โดยไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่มีใบเสร็จ และไม่มีใครในบ้านสั่งของนั้น แต่บนกล่องกลับมี QR code ขนาดใหญ่พร้อมข้อความเชิญชวนให้สแกนเพื่อ “ยืนยันการรับสินค้า” หรือ “รับส่วนลดพิเศษ” — นี่คือรูปแบบใหม่ของกลโกงที่ FBI เตือนว่าอันตรายมาก

    กลโกงนี้เป็นวิวัฒนาการจาก “brushing scam” ที่ผู้ขายออนไลน์ส่งสินค้าราคาถูกไปยังที่อยู่สุ่ม แล้วใช้ชื่อผู้รับในการเขียนรีวิวปลอมเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่เวอร์ชันใหม่ที่เรียกว่า “quishing” นั้นร้ายแรงกว่า เพราะ QR code บนกล่องสามารถพาคุณไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ขอข้อมูลส่วนตัว หรือแย่กว่านั้น — ติดตั้งมัลแวร์ลงในมือถือของคุณทันทีที่สแกน

    FBI ระบุว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สงสัยอะไรและสแกน QR code ทันที กล่องเหล่านี้มักไม่มีข้อมูลผู้ส่ง เพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของผู้รับ และเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ปลอม ผู้ใช้จะถูกหลอกให้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต หรืออนุญาตให้เข้าถึงโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว

    FBI เตือนประชาชนเกี่ยวกับกลโกงใหม่ที่ใช้ QR code บนพัสดุที่ไม่ได้สั่ง
    เรียกว่า “quishing” เป็นการหลอกให้สแกน QR เพื่อขโมยข้อมูล

    กลโกงนี้เป็นวิวัฒนาการจาก “brushing scam” ที่ใช้ชื่อผู้รับในการรีวิวปลอม
    แต่เวอร์ชันใหม่มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเงิน

    เมื่อสแกน QR code อาจถูกพาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ขอข้อมูลบัตรเครดิต
    หรือดาวน์โหลดมัลแวร์ลงในมือถือทันที

    กล่องมักไม่มีข้อมูลผู้ส่ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับสแกนด้วยความสงสัย
    เป็นเทคนิคจิตวิทยาเพื่อเพิ่มโอกาสในการหลอกลวง

    FBI แนะนำให้รายงานเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านเว็บไซต์ IC3.gov
    พร้อมตรวจสอบบัญชีออนไลน์และขอรายงานเครดิตฟรีจาก Experian, Equifax, TransUnion

    QR code เป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันทั่วไปในร้านอาหาร การตลาด และการชำระเงิน
    ทำให้ผู้ใช้คุ้นเคยและไม่ระวังเมื่อเห็น QR code บนกล่องพัสดุ

    การสแกน QR code เปรียบเสมือนการคลิกลิงก์ โดยไม่สามารถเห็น URL ล่วงหน้า
    ต่างจากลิงก์ที่สามารถตรวจสอบปลายทางก่อนคลิก

    โทรศัพท์มือถือมักไม่มีระบบป้องกันมัลแวร์เท่ากับคอมพิวเตอร์
    ทำให้เป็นเป้าหมายหลักของกลโกงแบบ quishing

    66% ของผู้ใช้เคยสแกน QR code เพื่อซื้อสินค้าโดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย
    เพิ่มความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/09/fbi-warning-danger-could-be-arriving-at-your-door-in-an-unlikely-package
    📦📲 เรื่องเล่าจากหน้าบ้าน: เมื่อกล่องปริศนาอาจเป็นกับดักไซเบอร์จาก QR Code ลองจินตนาการว่าคุณกลับบ้านมาแล้วพบกล่องพัสดุวางอยู่หน้าประตู โดยไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่มีใบเสร็จ และไม่มีใครในบ้านสั่งของนั้น แต่บนกล่องกลับมี QR code ขนาดใหญ่พร้อมข้อความเชิญชวนให้สแกนเพื่อ “ยืนยันการรับสินค้า” หรือ “รับส่วนลดพิเศษ” — นี่คือรูปแบบใหม่ของกลโกงที่ FBI เตือนว่าอันตรายมาก กลโกงนี้เป็นวิวัฒนาการจาก “brushing scam” ที่ผู้ขายออนไลน์ส่งสินค้าราคาถูกไปยังที่อยู่สุ่ม แล้วใช้ชื่อผู้รับในการเขียนรีวิวปลอมเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่เวอร์ชันใหม่ที่เรียกว่า “quishing” นั้นร้ายแรงกว่า เพราะ QR code บนกล่องสามารถพาคุณไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ขอข้อมูลส่วนตัว หรือแย่กว่านั้น — ติดตั้งมัลแวร์ลงในมือถือของคุณทันทีที่สแกน FBI ระบุว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สงสัยอะไรและสแกน QR code ทันที กล่องเหล่านี้มักไม่มีข้อมูลผู้ส่ง เพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของผู้รับ และเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ปลอม ผู้ใช้จะถูกหลอกให้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต หรืออนุญาตให้เข้าถึงโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว ✅ FBI เตือนประชาชนเกี่ยวกับกลโกงใหม่ที่ใช้ QR code บนพัสดุที่ไม่ได้สั่ง ➡️ เรียกว่า “quishing” เป็นการหลอกให้สแกน QR เพื่อขโมยข้อมูล ✅ กลโกงนี้เป็นวิวัฒนาการจาก “brushing scam” ที่ใช้ชื่อผู้รับในการรีวิวปลอม ➡️ แต่เวอร์ชันใหม่มีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวและการเงิน ✅ เมื่อสแกน QR code อาจถูกพาไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ขอข้อมูลบัตรเครดิต ➡️ หรือดาวน์โหลดมัลแวร์ลงในมือถือทันที ✅ กล่องมักไม่มีข้อมูลผู้ส่ง เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับสแกนด้วยความสงสัย ➡️ เป็นเทคนิคจิตวิทยาเพื่อเพิ่มโอกาสในการหลอกลวง ✅ FBI แนะนำให้รายงานเหตุการณ์เหล่านี้ผ่านเว็บไซต์ IC3.gov ➡️ พร้อมตรวจสอบบัญชีออนไลน์และขอรายงานเครดิตฟรีจาก Experian, Equifax, TransUnion ✅ QR code เป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันทั่วไปในร้านอาหาร การตลาด และการชำระเงิน ➡️ ทำให้ผู้ใช้คุ้นเคยและไม่ระวังเมื่อเห็น QR code บนกล่องพัสดุ ✅ การสแกน QR code เปรียบเสมือนการคลิกลิงก์ โดยไม่สามารถเห็น URL ล่วงหน้า ➡️ ต่างจากลิงก์ที่สามารถตรวจสอบปลายทางก่อนคลิก ✅ โทรศัพท์มือถือมักไม่มีระบบป้องกันมัลแวร์เท่ากับคอมพิวเตอร์ ➡️ ทำให้เป็นเป้าหมายหลักของกลโกงแบบ quishing ✅ 66% ของผู้ใช้เคยสแกน QR code เพื่อซื้อสินค้าโดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ เพิ่มความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/09/fbi-warning-danger-could-be-arriving-at-your-door-in-an-unlikely-package
    WWW.THESTAR.COM.MY
    FBI warning: Danger could be arriving at your door in an unlikely package
    Scanning a bogus QR code can give scammers access to your contacts or send you to a fake payment portal.
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องเรียนอเมริกัน: เมื่อ AI จับผิดนักเรียนจนกลายเป็นผู้ต้องหา

    ในยุคที่โรงเรียนพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อปกป้องนักเรียนจากภัยคุกคาม เช่น การกลั่นแกล้งหรือการทำร้ายตัวเอง หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ ได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังด้วย AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อสแกนข้อความที่นักเรียนพิมพ์ในอีเมลหรือแชตที่เชื่อมกับบัญชีโรงเรียน

    แต่สิ่งที่ควรเป็นเครื่องมือช่วยชีวิต กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เด็กบางคนถูกจับกุมโดยไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงวัย 13 ปีในรัฐเทนเนสซีที่พิมพ์ข้อความล้อเล่นว่า “Thursday we kill all the Mexico’s” หลังถูกเพื่อนล้อเรื่องผิว เธอถูกจับกุม ถูกสอบสวน ถูกตรวจร่างกาย และต้องนอนคุกข้ามคืน แม้ข้อความจะเป็นแค่การประชดประชันในกลุ่มเพื่อน

    ระบบ AI เหล่านี้สามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่โรงเรียนและตำรวจทันทีเมื่อพบข้อความต้องสงสัย โดยไม่พิจารณาบริบทหรือเจตนา ทำให้เกิดการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพโป๊

    แม้ผู้พัฒนาอย่าง Gaggle จะยืนยันว่าเครื่องมือควรใช้เพื่อ “เตือนล่วงหน้า” ไม่ใช่ “ลงโทษ” แต่ในหลายกรณี โรงเรียนกลับใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีหรือส่งนักเรียนไปโรงเรียนทางเลือก

    โรงเรียนในสหรัฐฯ ใช้ระบบ AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อเฝ้าระวังข้อความของนักเรียน
    ตรวจจับคำที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การกลั่นแกล้ง หรือการทำร้ายตัวเอง

    เด็กหญิงวัย 13 ปีถูกจับกุมหลังพิมพ์ข้อความประชดเพื่อนในแชตโรงเรียน
    ถูกสอบสวน ตรวจร่างกาย และนอนคุกข้ามคืน

    ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติสามารถแจ้งตำรวจทันทีโดยไม่พิจารณาบริบท
    นำไปสู่การดำเนินคดีแม้ไม่มีเจตนาร้าย

    กฎหมาย zero-tolerance ในรัฐเทนเนสซีบังคับให้รายงานภัยคุกคามทุกกรณี
    แม้จะเป็นคำพูดเล่นหรือไม่มีมูลเหตุจริง

    นักเรียนหลายคนถูกเรียกพบครูหรือถูกลงโทษจากข้อความที่ไม่เป็นภัยจริง
    เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียน

    ระบบแจ้งเตือนของ Gaggle ในเขต Lawrence แจ้งเตือนกว่า 1,200 ครั้งใน 10 เดือน
    โดยสองในสามเป็น false alarm รวมถึงกว่า 200 กรณีจากการบ้านนักเรียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/students-have-been-called-to-the-office---and-even-arrested---for-ai-surveillance-false-alarms
    🎓🔍 เรื่องเล่าจากห้องเรียนอเมริกัน: เมื่อ AI จับผิดนักเรียนจนกลายเป็นผู้ต้องหา ในยุคที่โรงเรียนพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อปกป้องนักเรียนจากภัยคุกคาม เช่น การกลั่นแกล้งหรือการทำร้ายตัวเอง หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ ได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังด้วย AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อสแกนข้อความที่นักเรียนพิมพ์ในอีเมลหรือแชตที่เชื่อมกับบัญชีโรงเรียน แต่สิ่งที่ควรเป็นเครื่องมือช่วยชีวิต กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เด็กบางคนถูกจับกุมโดยไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงวัย 13 ปีในรัฐเทนเนสซีที่พิมพ์ข้อความล้อเล่นว่า “Thursday we kill all the Mexico’s” หลังถูกเพื่อนล้อเรื่องผิว เธอถูกจับกุม ถูกสอบสวน ถูกตรวจร่างกาย และต้องนอนคุกข้ามคืน แม้ข้อความจะเป็นแค่การประชดประชันในกลุ่มเพื่อน ระบบ AI เหล่านี้สามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่โรงเรียนและตำรวจทันทีเมื่อพบข้อความต้องสงสัย โดยไม่พิจารณาบริบทหรือเจตนา ทำให้เกิดการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียนที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาพโป๊ แม้ผู้พัฒนาอย่าง Gaggle จะยืนยันว่าเครื่องมือควรใช้เพื่อ “เตือนล่วงหน้า” ไม่ใช่ “ลงโทษ” แต่ในหลายกรณี โรงเรียนกลับใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีหรือส่งนักเรียนไปโรงเรียนทางเลือก ✅ โรงเรียนในสหรัฐฯ ใช้ระบบ AI เช่น Gaggle และ Lightspeed Alert เพื่อเฝ้าระวังข้อความของนักเรียน ➡️ ตรวจจับคำที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การกลั่นแกล้ง หรือการทำร้ายตัวเอง ✅ เด็กหญิงวัย 13 ปีถูกจับกุมหลังพิมพ์ข้อความประชดเพื่อนในแชตโรงเรียน ➡️ ถูกสอบสวน ตรวจร่างกาย และนอนคุกข้ามคืน ✅ ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติสามารถแจ้งตำรวจทันทีโดยไม่พิจารณาบริบท ➡️ นำไปสู่การดำเนินคดีแม้ไม่มีเจตนาร้าย ✅ กฎหมาย zero-tolerance ในรัฐเทนเนสซีบังคับให้รายงานภัยคุกคามทุกกรณี ➡️ แม้จะเป็นคำพูดเล่นหรือไม่มีมูลเหตุจริง ✅ นักเรียนหลายคนถูกเรียกพบครูหรือถูกลงโทษจากข้อความที่ไม่เป็นภัยจริง ➡️ เช่น การบ้านที่มีคำว่า “mental health” หรือภาพถ่ายในชั้นเรียน ✅ ระบบแจ้งเตือนของ Gaggle ในเขต Lawrence แจ้งเตือนกว่า 1,200 ครั้งใน 10 เดือน ➡️ โดยสองในสามเป็น false alarm รวมถึงกว่า 200 กรณีจากการบ้านนักเรียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/08/students-have-been-called-to-the-office---and-even-arrested---for-ai-surveillance-false-alarms
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Students have been called to the office - and even arrested - for AI surveillance false alarms
    Surveillance systems in American schools increasingly monitor everything students write on school accounts and devices.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องเซิร์ฟเวอร์: ช่องโหว่ Jenkins ที่อาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ายึดระบบ

    Jenkins เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สยอดนิยมที่ใช้ในงาน DevOps และการทำ CI/CD ทั่วโลก ล่าสุดมีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน Git Parameter ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-53652 โดยบริษัท VulnCheck พบว่าแม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ “กลาง” แต่จริง ๆ แล้วสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) ได้

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ปลั๊กอิน Git Parameter รับค่าจากผู้ใช้โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย แล้วนำไปใช้ในคำสั่ง Git โดยตรง เช่น การเลือก branch ที่จะ checkout หากผู้ใช้กรอกค่าเป็นคำสั่ง shell เช่น master; rm -rf / ระบบจะนำไปใช้ทันทีโดยไม่มีการกรอง ทำให้แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ Jenkins ได้

    ที่น่าตกใจคือ มี Jenkins เซิร์ฟเวอร์กว่า 15,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องล็อกอิน ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถโจมตีได้ทันทีหากรู้ URL และโครงสร้างของระบบ Jenkins ที่ใช้ปลั๊กอินนี้

    แม้จะมีแพตช์ออกมาแล้ว แต่ VulnCheck เตือนว่าแพตช์สามารถถูกปิดการทำงานโดยผู้ดูแลระบบได้ ทำให้ระบบยังคงเสี่ยงอยู่ และแนะนำให้ใช้กฎตรวจจับพิเศษเพื่อป้องกันการโจมตี

    ช่องโหว่ CVE-2025-53652 ถูกค้นพบในปลั๊กอิน Git Parameter ของ Jenkins
    เป็นช่องโหว่แบบ command injection ที่นำไปสู่ RCE ได้

    มี Jenkins เซิร์ฟเวอร์กว่า 15,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องล็อกอิน
    ทำให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีได้ทันที

    ช่องโหว่เกิดจากการนำค่าที่ผู้ใช้กรอกไปใช้ในคำสั่ง Git โดยไม่กรอง
    เช่น การกรอก branch name ที่มีคำสั่ง shell แฝงอยู่

    VulnCheck ยืนยันว่าใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์และข้อมูลสำคัญได้
    เช่น master key และ environment variables

    มีแพตช์ออกมาแล้วในเวอร์ชัน Git Parameter Plugin 444
    เพิ่มการตรวจสอบค่าที่ผู้ใช้กรอกให้ตรงกับตัวเลือกที่กำหนดไว้

    VulnCheck สร้างกฎพิเศษเพื่อช่วยตรวจจับการโจมตีจากช่องโหว่นี้
    แม้จะมีแพตช์ แต่การตรวจจับยังจำเป็น

    ช่องโหว่นี้ถูกเปิดเผยพร้อมกับอีก 30 ช่องโหว่ใน Jenkins Plugins เมื่อ 9 ก.ค. 2025
    แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในระบบ Jenkins ที่ใช้ปลั๊กอินจำนวนมาก

    Git เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้เป็น GTFObin ได้
    หมายถึงสามารถใช้ Git เพื่อรันคำสั่งอันตรายได้ในบางบริบท

    การโจมตีสามารถทำได้ผ่าน HTTP POST โดยใช้ Jenkins-Crumb และ cookie
    ทำให้สามารถส่งคำสั่ง reverse shell ได้จากภายนอก

    การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับสูง หากระบบเปิดให้เข้าถึงโดยไม่ล็อกอิน
    เพิ่มความเสี่ยงต่อองค์กรที่ตั้งค่า Jenkins ไม่ปลอดภัย

    https://hackread.com/jenkins-servers-risk-rce-vulnerability-cve-2025-53652/
    🧨🛠️ เรื่องเล่าจากห้องเซิร์ฟเวอร์: ช่องโหว่ Jenkins ที่อาจเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ายึดระบบ Jenkins เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สยอดนิยมที่ใช้ในงาน DevOps และการทำ CI/CD ทั่วโลก ล่าสุดมีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน Git Parameter ซึ่งถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-53652 โดยบริษัท VulnCheck พบว่าแม้ช่องโหว่นี้จะถูกจัดระดับ “กลาง” แต่จริง ๆ แล้วสามารถนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) ได้ ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ปลั๊กอิน Git Parameter รับค่าจากผู้ใช้โดยไม่ตรวจสอบความปลอดภัย แล้วนำไปใช้ในคำสั่ง Git โดยตรง เช่น การเลือก branch ที่จะ checkout หากผู้ใช้กรอกค่าเป็นคำสั่ง shell เช่น master; rm -rf / ระบบจะนำไปใช้ทันทีโดยไม่มีการกรอง ทำให้แฮกเกอร์สามารถรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ Jenkins ได้ ที่น่าตกใจคือ มี Jenkins เซิร์ฟเวอร์กว่า 15,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องล็อกอิน ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถโจมตีได้ทันทีหากรู้ URL และโครงสร้างของระบบ Jenkins ที่ใช้ปลั๊กอินนี้ แม้จะมีแพตช์ออกมาแล้ว แต่ VulnCheck เตือนว่าแพตช์สามารถถูกปิดการทำงานโดยผู้ดูแลระบบได้ ทำให้ระบบยังคงเสี่ยงอยู่ และแนะนำให้ใช้กฎตรวจจับพิเศษเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-53652 ถูกค้นพบในปลั๊กอิน Git Parameter ของ Jenkins ➡️ เป็นช่องโหว่แบบ command injection ที่นำไปสู่ RCE ได้ ✅ มี Jenkins เซิร์ฟเวอร์กว่า 15,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงโดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ ทำให้แฮกเกอร์สามารถโจมตีได้ทันที ✅ ช่องโหว่เกิดจากการนำค่าที่ผู้ใช้กรอกไปใช้ในคำสั่ง Git โดยไม่กรอง ➡️ เช่น การกรอก branch name ที่มีคำสั่ง shell แฝงอยู่ ✅ VulnCheck ยืนยันว่าใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์และข้อมูลสำคัญได้ ➡️ เช่น master key และ environment variables ✅ มีแพตช์ออกมาแล้วในเวอร์ชัน Git Parameter Plugin 444 ➡️ เพิ่มการตรวจสอบค่าที่ผู้ใช้กรอกให้ตรงกับตัวเลือกที่กำหนดไว้ ✅ VulnCheck สร้างกฎพิเศษเพื่อช่วยตรวจจับการโจมตีจากช่องโหว่นี้ ➡️ แม้จะมีแพตช์ แต่การตรวจจับยังจำเป็น ✅ ช่องโหว่นี้ถูกเปิดเผยพร้อมกับอีก 30 ช่องโหว่ใน Jenkins Plugins เมื่อ 9 ก.ค. 2025 ➡️ แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในระบบ Jenkins ที่ใช้ปลั๊กอินจำนวนมาก ✅ Git เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้เป็น GTFObin ได้ ➡️ หมายถึงสามารถใช้ Git เพื่อรันคำสั่งอันตรายได้ในบางบริบท ✅ การโจมตีสามารถทำได้ผ่าน HTTP POST โดยใช้ Jenkins-Crumb และ cookie ➡️ ทำให้สามารถส่งคำสั่ง reverse shell ได้จากภายนอก ✅ การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับสูง หากระบบเปิดให้เข้าถึงโดยไม่ล็อกอิน ➡️ เพิ่มความเสี่ยงต่อองค์กรที่ตั้งค่า Jenkins ไม่ปลอดภัย https://hackread.com/jenkins-servers-risk-rce-vulnerability-cve-2025-53652/
    HACKREAD.COM
    15,000 Jenkins Servers at Risk from RCE Vulnerability (CVE-2025-53652)
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • ชาวเน็ตก็ฮือฮาเมื่อมีคลิปที่ระบุว่า ถ่ายเปรตตัวสูงใหญ่เท่าสะพานภูมิพล เดินหลังค่อมอยู่ เห็นอย่างชัดเจน เจ้าของคลิปยืนยัน "ของจริง"
    ชาวเน็ตก็ฮือฮาเมื่อมีคลิปที่ระบุว่า ถ่ายเปรตตัวสูงใหญ่เท่าสะพานภูมิพล เดินหลังค่อมอยู่ เห็นอย่างชัดเจน เจ้าของคลิปยืนยัน "ของจริง"
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 0 Reviews
  • ทหารไทยเคลียร์พื้นที่ ภูมะเขือ พบ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 จำนวน 18 ทุ่น พร้อมกระสุนและอาวุธอีกมาก หลังการสู้รบยุติ ชี้เป็นหลักฐานสำคัญยืนยันกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน

    ย่อข่าว..https://news1live.com/detail/9680000075686

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    ทหารไทยเคลียร์พื้นที่ ภูมะเขือ พบ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 จำนวน 18 ทุ่น พร้อมกระสุนและอาวุธอีกมาก หลังการสู้รบยุติ ชี้เป็นหลักฐานสำคัญยืนยันกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน ย่อข่าว..https://news1live.com/detail/9680000075686 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • บรรยากาศวัดพระบาทน้ำพุเงียบเหงา. หลังมีกระแสข่าว หมอบี ยักยอกเงินวัด เจ้าหน้าที่เผยยอดบริจาคลดลงชัดเจน แต่ยืนยันหลวงพ่ออลงกตมีแต่ช่วยเหลือผู้อื่น พร้อมชี้แจงกรณีสิ่งของบริจาคเน่าเสียเป็นเพียงของสดที่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านและสัตว์เลี้ยง ไม่เคยทิ้งขว้าง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075491

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    บรรยากาศวัดพระบาทน้ำพุเงียบเหงา. หลังมีกระแสข่าว หมอบี ยักยอกเงินวัด เจ้าหน้าที่เผยยอดบริจาคลดลงชัดเจน แต่ยืนยันหลวงพ่ออลงกตมีแต่ช่วยเหลือผู้อื่น พร้อมชี้แจงกรณีสิ่งของบริจาคเน่าเสียเป็นเพียงของสดที่นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านและสัตว์เลี้ยง ไม่เคยทิ้งขว้าง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075491 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 520 Views 0 Reviews
  • ผู้รู้ยืนยัน แบ่งปันเขตแดนเสร็จไปนานแล้ว (8/8/68)
    Experts confirm that the border demarcation was completed long ago.

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaEncroachingThailand
    #ข่าววันนี้
    #อธิปไตยไทย
    #ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน
    #รู้ทันเขมร
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    ผู้รู้ยืนยัน แบ่งปันเขตแดนเสร็จไปนานแล้ว (8/8/68) Experts confirm that the border demarcation was completed long ago. #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaEncroachingThailand #ข่าววันนี้ #อธิปไตยไทย #ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน #รู้ทันเขมร #thaitimes #news1 #shorts
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 227 Views 0 0 Reviews
  • จ่อยื่นฟ้องในไทย! "ภูมิธรรม" ยืนยันกระบวนการยุติธรรมของไทย...ระบุหากถูกดำเนินคดีแล้ว...ผู้มีอำนาจกัมพูชาอาจเข้าไทยไม่ได้
    https://www.thai-tai.tv/news/20827/
    .
    #ฟ้องกัมพูชา #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง #ไทยไท
    จ่อยื่นฟ้องในไทย! "ภูมิธรรม" ยืนยันกระบวนการยุติธรรมของไทย...ระบุหากถูกดำเนินคดีแล้ว...ผู้มีอำนาจกัมพูชาอาจเข้าไทยไม่ได้ https://www.thai-tai.tv/news/20827/ . #ฟ้องกัมพูชา #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง #ไทยไท
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • เรื่องนี้ลุงเห็นด้วยกับพี่ตั๊มป์

    เรื่องเล่าจากโลกการเมืองและเทคโนโลยี: เมื่อทรัมป์เรียกร้องให้ซีอีโอ Intel ลาออก เพราะ “ขัดแย้งผลประโยชน์” กับจีน

    ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ของ Intel ลาออกทันที โดยกล่าวว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์อย่างรุนแรง” เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง รวมถึงบางแห่งที่มีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน

    คำเรียกร้องนี้เกิดขึ้นหลังจากวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการบริหารของ Intel เพื่อสอบถามว่า Tan ได้ขายหุ้นหรือถอนตัวจากบริษัทจีนที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานในสหรัฐ

    Tan ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 เคยเป็นซีอีโอของ Cadence Design Systems ซึ่งเพิ่งถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออก โดยขายเทคโนโลยีให้กับมหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์ว่า “บริษัทและ Tan มุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐ” และยังคงลงทุนในโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น โรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์

    ทรัมป์เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ลาออกทันที
    ระบุว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์” จากความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีน

    วุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายสอบถามคณะกรรมการ Intel
    ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนของ Tan ในบริษัทจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพ

    Cadence Design Systems ซึ่ง Tan เคยเป็นซีอีโอ ถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์
    จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออกไปยังมหาวิทยาลัยทหารของจีน

    Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์
    เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐ เช่น ในรัฐโอไฮโอและแอริโซนา

    Intel ออกแถลงการณ์ยืนยันความมุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติ
    ระบุว่า Tan และบริษัทมีเป้าหมายสอดคล้องกับนโยบาย America First

    หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์
    สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนในผู้นำองค์กร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/trump-calls-for-intel-ceo-to-resign-claims-lip-bu-tan-is-conflicted
    เรื่องนี้ลุงเห็นด้วยกับพี่ตั๊มป์ 🇺🇸💼 เรื่องเล่าจากโลกการเมืองและเทคโนโลยี: เมื่อทรัมป์เรียกร้องให้ซีอีโอ Intel ลาออก เพราะ “ขัดแย้งผลประโยชน์” กับจีน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอคนใหม่ของ Intel ลาออกทันที โดยกล่าวว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์อย่างรุนแรง” เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่ง รวมถึงบางแห่งที่มีความเชื่อมโยงกับกองทัพจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน คำเรียกร้องนี้เกิดขึ้นหลังจากวุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายถึงคณะกรรมการบริหารของ Intel เพื่อสอบถามว่า Tan ได้ขายหุ้นหรือถอนตัวจากบริษัทจีนที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานในสหรัฐ Tan ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2025 เคยเป็นซีอีโอของ Cadence Design Systems ซึ่งเพิ่งถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออก โดยขายเทคโนโลยีให้กับมหาวิทยาลัยทหารของจีน Intel ตอบโต้ด้วยแถลงการณ์ว่า “บริษัทและ Tan มุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐ” และยังคงลงทุนในโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น โรงงานใหม่ในรัฐแอริโซนา อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์ ✅ ทรัมป์เรียกร้องให้ Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ลาออกทันที ➡️ ระบุว่าเขา “ขัดแย้งผลประโยชน์” จากความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีน ✅ วุฒิสมาชิก Tom Cotton ส่งจดหมายสอบถามคณะกรรมการ Intel ➡️ ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนของ Tan ในบริษัทจีนที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพ ✅ Cadence Design Systems ซึ่ง Tan เคยเป็นซีอีโอ ถูกปรับ 140 ล้านดอลลาร์ ➡️ จากการละเมิดข้อจำกัดการส่งออกไปยังมหาวิทยาลัยทหารของจีน ✅ Intel ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act มูลค่าเกือบ 8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐ เช่น ในรัฐโอไฮโอและแอริโซนา ✅ Intel ออกแถลงการณ์ยืนยันความมุ่งมั่นต่อความมั่นคงของชาติ ➡️ ระบุว่า Tan และบริษัทมีเป้าหมายสอดคล้องกับนโยบาย America First ✅ หุ้นของ Intel ร่วงลงทันทีหลังคำเรียกร้องของทรัมป์ ➡️ สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่แน่นอนในผู้นำองค์กร https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/trump-calls-for-intel-ceo-to-resign-claims-lip-bu-tan-is-conflicted
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Trump calls for Intel CEO to resign — claims Lip-Bu Tan is 'conflicted' (Update)
    The Truth Social post comes as a senator scrutinizes Tan's ties to Chinese tech firms.
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ Google ถูกหลอกด้วยเสียง และข้อมูลลูกค้าก็หลุดไป

    ในเดือนมิถุนายน 2025 Google ได้ยืนยันว่าเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลจากระบบ Salesforce ภายในของบริษัท ซึ่งใช้เก็บข้อมูลลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดัง ShinyHunters (หรือ UNC6040) ใช้เทคนิค “vishing” หรือการหลอกลวงผ่านเสียงโทรศัพท์ เพื่อหลอกพนักงานให้อนุมัติแอปปลอมที่แฝงตัวเป็นเครื่องมือ Salesforce Data Loader

    เมื่อได้รับสิทธิ์เข้าถึงแล้ว แฮกเกอร์สามารถดูดข้อมูลออกจากระบบได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ Google จะตรวจพบและตัดการเข้าถึง โดยข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ ซึ่ง Google ระบุว่าเป็นข้อมูลที่ “ส่วนใหญ่เปิดเผยอยู่แล้ว”

    อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบที่พึ่งพามนุษย์เป็นด่านแรก และเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโจมตีที่กว้างขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายเป็นบริษัทที่ใช้ Salesforce เช่น Chanel, Dior, Pandora, Qantas และ Allianz โดยกลุ่ม UNC6240 ซึ่งเชื่อว่าเป็นแขนงของ ShinyHunters จะตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่ภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ “Data Leak Site”

    Google ยืนยันว่าระบบ Salesforce ภายในถูกเจาะข้อมูล
    เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกลุ่ม UNC6040

    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าธุรกิจ SMB
    เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ

    แฮกเกอร์ใช้เทคนิค vishing หลอกพนักงานผ่านโทรศัพท์
    โดยปลอมตัวเป็นฝ่าย IT และให้ติดตั้งแอปปลอม

    แอปปลอมถูกระบุว่าเป็น Salesforce Data Loader หรือชื่อหลอกเช่น “My Ticket Portal”
    ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ถูกตรวจจับ

    Google ตัดการเข้าถึงได้ภายใน “ช่วงเวลาสั้น ๆ”
    และแจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทันที

    กลุ่ม UNC6240 ตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่
    โดยส่งอีเมลหรือโทรศัพท์เรียกเงินในรูปแบบ Bitcoin ภายใน 72 ชั่วโมง

    ShinyHunters เคยโจมตี Snowflake, AT&T, PowerSchool และ Oracle Cloud
    เป็นกลุ่มที่มีประวัติการเจาะระบบระดับสูง

    Salesforce ยืนยันว่าแพลตฟอร์มไม่มีช่องโหว่
    ปัญหาเกิดจากการหลอกลวงผู้ใช้ ไม่ใช่ระบบ

    การเชื่อมต่อแอปภายนอกใน Salesforce ใช้รหัส 8 หลัก
    เป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลอกให้เชื่อมต่อกับแอปปลอม

    บริษัทที่ตกเป็นเหยื่อมีทั้งแบรนด์หรูและสายการบิน
    เช่น Chanel, Dior, Louis Vuitton, Qantas และ Allianz

    Google แนะนำให้ใช้ MFA, จำกัดสิทธิ์ และฝึกอบรมพนักงาน
    เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ social engineering

    https://hackread.com/google-salesforce-data-breach-shinyhunters-vishing-scam/
    📞🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ Google ถูกหลอกด้วยเสียง และข้อมูลลูกค้าก็หลุดไป ในเดือนมิถุนายน 2025 Google ได้ยืนยันว่าเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหลจากระบบ Salesforce ภายในของบริษัท ซึ่งใช้เก็บข้อมูลลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยกลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดัง ShinyHunters (หรือ UNC6040) ใช้เทคนิค “vishing” หรือการหลอกลวงผ่านเสียงโทรศัพท์ เพื่อหลอกพนักงานให้อนุมัติแอปปลอมที่แฝงตัวเป็นเครื่องมือ Salesforce Data Loader เมื่อได้รับสิทธิ์เข้าถึงแล้ว แฮกเกอร์สามารถดูดข้อมูลออกจากระบบได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ Google จะตรวจพบและตัดการเข้าถึง โดยข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ ซึ่ง Google ระบุว่าเป็นข้อมูลที่ “ส่วนใหญ่เปิดเผยอยู่แล้ว” อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบที่พึ่งพามนุษย์เป็นด่านแรก และเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโจมตีที่กว้างขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายเป็นบริษัทที่ใช้ Salesforce เช่น Chanel, Dior, Pandora, Qantas และ Allianz โดยกลุ่ม UNC6240 ซึ่งเชื่อว่าเป็นแขนงของ ShinyHunters จะตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่ภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ “Data Leak Site” ✅ Google ยืนยันว่าระบบ Salesforce ภายในถูกเจาะข้อมูล ➡️ เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกลุ่ม UNC6040 ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าธุรกิจ SMB ➡️ เช่น ชื่อบริษัท เบอร์โทร และโน้ตประกอบ ✅ แฮกเกอร์ใช้เทคนิค vishing หลอกพนักงานผ่านโทรศัพท์ ➡️ โดยปลอมตัวเป็นฝ่าย IT และให้ติดตั้งแอปปลอม ✅ แอปปลอมถูกระบุว่าเป็น Salesforce Data Loader หรือชื่อหลอกเช่น “My Ticket Portal” ➡️ ใช้ OAuth เพื่อเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ถูกตรวจจับ ✅ Google ตัดการเข้าถึงได้ภายใน “ช่วงเวลาสั้น ๆ” ➡️ และแจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทันที ✅ กลุ่ม UNC6240 ตามมาด้วยการขู่เรียกค่าไถ่ ➡️ โดยส่งอีเมลหรือโทรศัพท์เรียกเงินในรูปแบบ Bitcoin ภายใน 72 ชั่วโมง ✅ ShinyHunters เคยโจมตี Snowflake, AT&T, PowerSchool และ Oracle Cloud ➡️ เป็นกลุ่มที่มีประวัติการเจาะระบบระดับสูง ✅ Salesforce ยืนยันว่าแพลตฟอร์มไม่มีช่องโหว่ ➡️ ปัญหาเกิดจากการหลอกลวงผู้ใช้ ไม่ใช่ระบบ ✅ การเชื่อมต่อแอปภายนอกใน Salesforce ใช้รหัส 8 หลัก ➡️ เป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลอกให้เชื่อมต่อกับแอปปลอม ✅ บริษัทที่ตกเป็นเหยื่อมีทั้งแบรนด์หรูและสายการบิน ➡️ เช่น Chanel, Dior, Louis Vuitton, Qantas และ Allianz ✅ Google แนะนำให้ใช้ MFA, จำกัดสิทธิ์ และฝึกอบรมพนักงาน ➡️ เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ social engineering https://hackread.com/google-salesforce-data-breach-shinyhunters-vishing-scam/
    HACKREAD.COM
    Google Confirms Salesforce Data Breach by ShinyHunters via Vishing Scam
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
More Results