• อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม)
    สัทธรรมลำดับที่ : 226
    ชื่อบทธรรม :- ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=226
    เนื้อความทั้งหมด :-
    (พุทธศาสนามิได้ถือว่าจิตเป็นบุคคล
    กระแสการปรุงแต่งทางจิตเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ
    ผลที่เกิดขึ้นเป็นความทุกข์จึงมิใช่การกระทำของบุคคลใด ;
    ดังนั้น จึงมิใช่การกระทำของบุคคลผู้รู้สึกเป็นทุกข์
    หรือการกระทำของบุคคลอื่นใดที่ทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์.
    นี้เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตา
    ไม่มีสัตว์บุคคลที่เป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำ มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตาซึ่งจิตรู้สึกได้เท่านั้น ;
    #เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด
    ).
    --อุปวาณะ ! เรากล่าวว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม).
    http://etipitaka.com/read/pali/16/49/?keywords=ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ
    ทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยอะไรเกิดขึ้นเล่า ?
    อุปวาณะ ! ทุกข์อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะเกิดขึ้น.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/49/?keywords=ผสฺสปจฺจยา
    ....
    --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเอง
    ก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น.
    --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้
    ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.
    --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย
    ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.
    --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองก็หามิได้ ผู้อื่นทำให้ก็หามิได้
    ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/37/87.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/37/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๔๙/๘๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/49/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%97
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=226
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=15&id=226
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=15
    ลำดับสาธยายธรรม : 15 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_15.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม) สัทธรรมลำดับที่ : 226 ชื่อบทธรรม :- ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=226 เนื้อความทั้งหมด :- (พุทธศาสนามิได้ถือว่าจิตเป็นบุคคล กระแสการปรุงแต่งทางจิตเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ ผลที่เกิดขึ้นเป็นความทุกข์จึงมิใช่การกระทำของบุคคลใด ; ดังนั้น จึงมิใช่การกระทำของบุคคลผู้รู้สึกเป็นทุกข์ หรือการกระทำของบุคคลอื่นใดที่ทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์. นี้เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสัตว์บุคคลที่เป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำ มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตาซึ่งจิตรู้สึกได้เท่านั้น ; #เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด ). --อุปวาณะ ! เรากล่าวว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม). http://etipitaka.com/read/pali/16/49/?keywords=ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ ทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยอะไรเกิดขึ้นเล่า ? อุปวาณะ ! ทุกข์อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะเกิดขึ้น. http://etipitaka.com/read/pali/16/49/?keywords=ผสฺสปจฺจยา .... --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเอง ก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น. --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้ ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น. --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น. --ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองก็หามิได้ ผู้อื่นทำให้ก็หามิได้ ก็เป็นทุกข์ที่อาศัย ผัสสะเกิดขึ้น.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/37/87. http://etipitaka.com/read/thai/16/37/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๔๙/๘๗. http://etipitaka.com/read/pali/16/49/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%97 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=226 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=15&id=226 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=15 ลำดับสาธยายธรรม : 15 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_15.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เรากล่าวว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม)
    -(พุทธศาสนามิได้ถือว่าจิตเป็นบุคคล กระแสการปรุงแต่งทางจิตเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ ผลที่เกิดขึ้นเป็นความทุกข์จึงมิใช่การกระทำของบุคคลใด ; ดังนั้น จึงมิใช่การกระทำของบุคคลผู้รู้สึกเป็นทุกข์ หรือการกระทำของบุคคลอื่นใดที่ทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์. นี้เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตา ไม่มีสัตว์บุคคลที่เป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำ มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตาซึ่งจิตรู้สึกได้เท่านั้น ; เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงที่สุด). อุปวาณะ ! เรากล่าวว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปปันนธรรม). ทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยอะไรเกิดขึ้นเล่า ? อุปวาณะ ! ทุกข์อาศัยปัจจัยคือผัสสะเกิดขึ้น. .... ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเอง ก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น. ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ผู้อื่นทำให้ ก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น. ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองด้วยผู้อื่นทำให้ด้วยก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น. ทุกข์ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติว่า ตนทำเองก็หามิได้ผู้อื่นทำให้ก็หามิได้ ก็เป็นทุกข์ที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • "กองทัพภาคที่ 2 จัดพิธีพุทธาภิเษก สมเด็จพระพุทธมหาจักรพรรดิ (หลวงพ่อใหญ่โชคดี) และทอดผ้าป่าสามัคคี"

    📌กองทัพภาคที่ 2 ร่วมบุญอันยิ่งใหญ่ จัดสร้างสมเด็จพุทธมหาจักรพรรดิ (หลวงพ่อใหญ่โชคดี)และทอดผ้าป่าสามัคคี ✨ โดยมี พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และคุณสุพางค์พรรณ พาดกลาง ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 2 เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมผู้มีจิตศรัทธา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ณ สโมสรร่วมเริงชัย ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา🎉

    🌟ได้รับพระเมตตา จาก "4 ดอกบัวบานแดนอีสาน"👍
    🙏หลวงปู่ศิลา วัดพระธาตุหมื่นหิน
    🙏หลวงพ่อสุริยันต์ วัดป่าวังน้ำเย็น
    🙏พระอาจารย์ต้อม วัดท่าสะแบง
    🙏พระอาจารย์สุริยัณ วัดป่าฉัพพรรณรังสี

    ในพิธีมหาพุทธาภิเษก และทอดผ้าป่าสามัคคีมหากุศล สมทบทุนสร้าง “สมเด็จพระพุทธมหาจักรพรรดิ” หรือ “หลวงพ่อใหญ่โชคดี” เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา โดยพระพุทธปฏิมา สมเด็จพระพุทธมหาจักรพรรดิ (หลวงพ่อใหญ่โชคดี) มีขนาดหน้าตักกว้าง 7 เมตร ความสูง 9 เมตร ซึ่งจะประดิษฐาน ณ วัดป่าศรีคุณาราม อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี

    📌วัดป่าศรีคุณารามเป็นวัดป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อันสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม การสร้างพระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่ ณ วัดแห่งนี้ จึงเป็นการส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษา ปฏิบัติธรรม และเป็นที่พักพิงทางใจของพุทธศาสนิกชนสืบไป🌟👍💂

    #หลวงพ่อใหญ่โชคดี
    #หลวงปู่ศิลา
    #กองทัพภาคที่2
    #วัดป่าศรีคุณาราม
    #มณฑลทหารบกที่21
    #ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่2
    "กองทัพภาคที่ 2 จัดพิธีพุทธาภิเษก สมเด็จพระพุทธมหาจักรพรรดิ (หลวงพ่อใหญ่โชคดี) และทอดผ้าป่าสามัคคี" 📌กองทัพภาคที่ 2 ร่วมบุญอันยิ่งใหญ่ จัดสร้างสมเด็จพุทธมหาจักรพรรดิ (หลวงพ่อใหญ่โชคดี)และทอดผ้าป่าสามัคคี ✨ โดยมี พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และคุณสุพางค์พรรณ พาดกลาง ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 2 เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมผู้มีจิตศรัทธา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ณ สโมสรร่วมเริงชัย ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา🎉 🌟ได้รับพระเมตตา จาก "4 ดอกบัวบานแดนอีสาน"👍 🙏หลวงปู่ศิลา วัดพระธาตุหมื่นหิน 🙏หลวงพ่อสุริยันต์ วัดป่าวังน้ำเย็น 🙏พระอาจารย์ต้อม วัดท่าสะแบง 🙏พระอาจารย์สุริยัณ วัดป่าฉัพพรรณรังสี ในพิธีมหาพุทธาภิเษก และทอดผ้าป่าสามัคคีมหากุศล สมทบทุนสร้าง “สมเด็จพระพุทธมหาจักรพรรดิ” หรือ “หลวงพ่อใหญ่โชคดี” เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา โดยพระพุทธปฏิมา สมเด็จพระพุทธมหาจักรพรรดิ (หลวงพ่อใหญ่โชคดี) มีขนาดหน้าตักกว้าง 7 เมตร ความสูง 9 เมตร ซึ่งจะประดิษฐาน ณ วัดป่าศรีคุณาราม อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี 📌วัดป่าศรีคุณารามเป็นวัดป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อันสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม การสร้างพระพุทธปฏิมาองค์ใหญ่ ณ วัดแห่งนี้ จึงเป็นการส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษา ปฏิบัติธรรม และเป็นที่พักพิงทางใจของพุทธศาสนิกชนสืบไป🌟👍💂 #หลวงพ่อใหญ่โชคดี #หลวงปู่ศิลา #กองทัพภาคที่2 #วัดป่าศรีคุณาราม #มณฑลทหารบกที่21 #ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงปู่คล้าย วัดบางนมโค

    ในสมัยก่อนที่หลวงพ่อปานจะบวช ท่านพบพระองค์หนึ่งซึ่งมีปฏิปทาการปฏิบัติดีเป็นพิเศษ พระองค์นี้เดิมทีท่านอยู่จังหวัดธนบุรี ต่อมาท่านได้ออกธุดงค์ที่อยุธยามาถึงก็ปักกลดอยู่ที่วัดบางนมโค

    สมัยนั้นวัดบางนมโคยังเป็นวัดร้างอยู่ ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุอะไร พอท่านมาอยู่ท่านก็เริ่มสร้างกุฏิไว้ 2-3 หลังก่อน แล้วถึงมาสร้างโบสถ์ โดยสร้างทับที่เดิม ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้เริ่มก่อสร้างวัดบางนมโคเป็นองค์แรก

    พระองค์นี้คือ "หลวงปู่คล้าย" หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์และสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาการในสมัยนี้ ในทางพุทธศาสนาที่เรารู้กันก็หมายความว่าท่านเป็นผู้ทรงอภิญญานั่นเอง

    และเรื่องราวของหลวงปู่คล้ายหลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่หลวงพ่อปานเข้ามาอยู่เป็นนาคจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน (พระเครื่อง) พระองค์ไหนก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่ที่เขากำลังลองพระกัน ท่านก็เปลื้องจีวรออกแล้วก็เอาจีวรวางไว้

    ท่านบอกว่า "ไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ" พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า "ทุด ! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออก แต่ยิงจีวรของกูไม่ออก ปืนของมึงเสีย" นั่นครั้งหนึ่ง

    อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อปานบอกว่า ขณะที่ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์ หลวงปู่คล้ายท่านเดินเข้าไปหาท่านถามว่า

    "ปานทำอะไรวะ?"
    "ผมกำลังท่องหนังสือครับ"
    "ปาน แกบวชแล้วแกจะสึกไหม?"
    "ผมบวชแล้วผมไม่อยากสึกครับ"
    "ฮือ...ดี บุคคลที่เขาไม่สึกเขาต้องทำอย่างนี้นะปาน" แล้วท่านก็วางจีวรไว้ท่านถามว่า
    "ปาน...อยากดูช้างไหม?"
    "อยากดูครับ"
    "แกดูจีวรนี่นะ เดี๋ยวมันจะเป็นช้าง"

    ▪️จีวรกลายเป็นช้าง▪️

    พอมองไปประเดี๋ยวเดียวจีวรค่อย ๆ กลายเป็นช้างทีละนิด ๆ ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน สุดงวงแล้วจะเห็นงา เห็นงาแล้วจะเห็นหัว ตัวช้างขาช้าง หางช้าง แล้วช้างมันเดินไปได้ตามความประสงค์

    ท่านก็บอกว่า "ปานอยากขี่ช้างไหม?"
    "อยากขี่ครับ"
    "เอ้า ! เทาลงมาหน่อยให้เขาขี่" หัวช้างก็เทาลงมา แล้วก็ขี่เล่นภายในป่าช้าวนไปวนมาสัก 5 นาทีก็บอกให้ลงจากคอช้าง

    เมื่อลงจากคอช้างแล้วท่านก็พูดว่า
    "ช้าง เอ็งกลับเป็นจีวรตามเดิมซิ ข้าจะกลับไปกุฏิ เดี๋ยวข้าไปไม่มีจีวรห่ม" เท่านั้นเองก็ปรากฏว่าช้างกลายเป็นจีวรตามเดิม

    หลวงพ่อปานท่านเลยถามว่า
    "พระที่ทำอย่างนี้ได้น่ะ ทำได้ทุกองค์ไหมครับ?"
    " ทำไม่ได้ทุกองค์หรอก พระที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเจริญกรรมฐาน"
    "กรรมฐานเป็นอย่างไรครับ?"
    "เอาเถอะ เวลานี้ท่องหนังสือไปก่อน เมื่อเธอบวชแล้วถ้าเธอมีความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ ฉันจะสอนให้"

    ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุดในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน ท่านบอกว่ามีความเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่าง และท่านก็ถามหลวงปู่คล้ายว่า

    "หลวงพ่อทำได้แต่เพียงเท่านี้หรือครับ?"
    "ทำได้ทุกอย่าง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากดูไหมว่าฉันสูงแค่ไหน? คอยดูนะ ให้ดูหลังคาศาลาปรก"

    ▪️เมื่อมีสมาธิก็ทำได้ทุกอย่าง▪️

    แล้วท่านก็มายืนอยู่ข้างนอก "หัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก" มองไปประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคาศาลาปรก "ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้" ประเดี๋ยวเดียวตัวของท่านก็สูงกว่ายอดไม้

    ครู่หนึ่งท่านก็ทำตัวย่อลงมา แล้วก็บอกว่าจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว ตัวของท่านก็เล็กนิดเดียวจริง ๆ ปรากฏว่าท่านสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่าทำให้เล็กกว่านี้ก็ได้ และในที่สุดท่านก็คลายสมาธิ กลับมาอยู่ในสภาพเดิม

    หลวงพ่อปานถามว่า
    "วิชาอย่างนี้เรียนได้จากไหน หลวงพ่อจะสอนผมได้ไหมครับ?"
    "เมื่อเธอทำสมาธิได้ เธอทำอย่างนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่จะได้เพียงเท่านี้นะ ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินน้ำทำได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่าสมาบัติ"

    ท่านก็จำคำว่า "สมาบัติ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็พยายามท่องหนังสือหนังหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านต้องเป็นนาคอยู่ 3 เดือน ต่อมาเมื่อเวลาบวชหลวงปู่คล้ายบอกว่า

    "ถ้าจะบวชก็ไปบอกพ่อแกให้ไปนิมนต์หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวดอีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน แล้วก็ไปนิมนต์หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอเป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะทั้งสององค์นั้นเก่งกว่าฉัน

    (ตอนหน้า...หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ)

    พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2525),23,111-116
    หลวงปู่คล้าย วัดบางนมโค ในสมัยก่อนที่หลวงพ่อปานจะบวช ท่านพบพระองค์หนึ่งซึ่งมีปฏิปทาการปฏิบัติดีเป็นพิเศษ พระองค์นี้เดิมทีท่านอยู่จังหวัดธนบุรี ต่อมาท่านได้ออกธุดงค์ที่อยุธยามาถึงก็ปักกลดอยู่ที่วัดบางนมโค สมัยนั้นวัดบางนมโคยังเป็นวัดร้างอยู่ ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุอะไร พอท่านมาอยู่ท่านก็เริ่มสร้างกุฏิไว้ 2-3 หลังก่อน แล้วถึงมาสร้างโบสถ์ โดยสร้างทับที่เดิม ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้เริ่มก่อสร้างวัดบางนมโคเป็นองค์แรก พระองค์นี้คือ "หลวงปู่คล้าย" หลวงปู่คล้ายองค์นี้เป็นพระที่มีปาฏิหาริย์มาก มีความสามารถในทางไสยศาสตร์และสมาธิ หมายความว่าท่านจะทำสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าจะกล่าวกันไปตามหลักวิชาการในสมัยนี้ ในทางพุทธศาสนาที่เรารู้กันก็หมายความว่าท่านเป็นผู้ทรงอภิญญานั่นเอง และเรื่องราวของหลวงปู่คล้ายหลวงพ่อปานท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่หลวงพ่อปานเข้ามาอยู่เป็นนาคจะบวชพระนั้น วันหนึ่งเขาลองยิงพระกัน (พระเครื่อง) พระองค์ไหนก็ยิงออกหมด หลวงปู่คล้ายเดินไปถึงที่ที่เขากำลังลองพระกัน ท่านก็เปลื้องจีวรออกแล้วก็เอาจีวรวางไว้ ท่านบอกว่า "ไหนลองยิงจีวรของฉันดูซิ" พวกนั้นใช้ปืนทุกอย่างยิงจีวรของท่านไม่ติด ท่านก็บอกว่า "ทุด ! ไอ้ปืนของพวกมึงนี่มันไม่ดี ยิงพระออก แต่ยิงจีวรของกูไม่ออก ปืนของมึงเสีย" นั่นครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อปานบอกว่า ขณะที่ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ในป่าช้า ท่องหนังสือขานนาคหรือสวดมนต์ หลวงปู่คล้ายท่านเดินเข้าไปหาท่านถามว่า "ปานทำอะไรวะ?" "ผมกำลังท่องหนังสือครับ" "ปาน แกบวชแล้วแกจะสึกไหม?" "ผมบวชแล้วผมไม่อยากสึกครับ" "ฮือ...ดี บุคคลที่เขาไม่สึกเขาต้องทำอย่างนี้นะปาน" แล้วท่านก็วางจีวรไว้ท่านถามว่า "ปาน...อยากดูช้างไหม?" "อยากดูครับ" "แกดูจีวรนี่นะ เดี๋ยวมันจะเป็นช้าง" ▪️จีวรกลายเป็นช้าง▪️ พอมองไปประเดี๋ยวเดียวจีวรค่อย ๆ กลายเป็นช้างทีละนิด ๆ ทีแรกมันจะเกิดเป็นงวงมาก่อน สุดงวงแล้วจะเห็นงา เห็นงาแล้วจะเห็นหัว ตัวช้างขาช้าง หางช้าง แล้วช้างมันเดินไปได้ตามความประสงค์ ท่านก็บอกว่า "ปานอยากขี่ช้างไหม?" "อยากขี่ครับ" "เอ้า ! เทาลงมาหน่อยให้เขาขี่" หัวช้างก็เทาลงมา แล้วก็ขี่เล่นภายในป่าช้าวนไปวนมาสัก 5 นาทีก็บอกให้ลงจากคอช้าง เมื่อลงจากคอช้างแล้วท่านก็พูดว่า "ช้าง เอ็งกลับเป็นจีวรตามเดิมซิ ข้าจะกลับไปกุฏิ เดี๋ยวข้าไปไม่มีจีวรห่ม" เท่านั้นเองก็ปรากฏว่าช้างกลายเป็นจีวรตามเดิม หลวงพ่อปานท่านเลยถามว่า "พระที่ทำอย่างนี้ได้น่ะ ทำได้ทุกองค์ไหมครับ?" " ทำไม่ได้ทุกองค์หรอก พระที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องเจริญกรรมฐาน" "กรรมฐานเป็นอย่างไรครับ?" "เอาเถอะ เวลานี้ท่องหนังสือไปก่อน เมื่อเธอบวชแล้วถ้าเธอมีความประสงค์จะทำได้อย่างนี้ ฉันจะสอนให้" ท่านบอกว่าเป็นเหตุจับใจที่สุดในการเข้ามาสู่เขตพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่เคยทราบมาก่อน ท่านบอกว่ามีความเลื่อมใสมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพระจะทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่าง และท่านก็ถามหลวงปู่คล้ายว่า "หลวงพ่อทำได้แต่เพียงเท่านี้หรือครับ?" "ทำได้ทุกอย่าง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกอยากดูไหมว่าฉันสูงแค่ไหน? คอยดูนะ ให้ดูหลังคาศาลาปรก" ▪️เมื่อมีสมาธิก็ทำได้ทุกอย่าง▪️ แล้วท่านก็มายืนอยู่ข้างนอก "หัวฉันจะแค่หลังคาศาลาปรก" มองไปประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าท่านสูงแค่หลังคาศาลาปรก "ฉันจะทำให้สูงกว่ายอดไม้" ประเดี๋ยวเดียวตัวของท่านก็สูงกว่ายอดไม้ ครู่หนึ่งท่านก็ทำตัวย่อลงมา แล้วก็บอกว่าจะทำตัวให้เล็กนิดเดียว ตัวของท่านก็เล็กนิดเดียวจริง ๆ ปรากฏว่าท่านสูงไม่ถึงคืบ ท่านบอกว่าทำให้เล็กกว่านี้ก็ได้ และในที่สุดท่านก็คลายสมาธิ กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลวงพ่อปานถามว่า "วิชาอย่างนี้เรียนได้จากไหน หลวงพ่อจะสอนผมได้ไหมครับ?" "เมื่อเธอทำสมาธิได้ เธอทำอย่างนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่จะได้เพียงเท่านี้นะ ทำได้ทุกอย่าง จะเหาะเหินเดินอากาศก็ได้ จะดำดิน เดินน้ำทำได้ทุกอย่าง เขาเรียกว่าสมาบัติ" ท่านก็จำคำว่า "สมาบัติ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แล้วก็สนใจในการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็พยายามท่องหนังสือหนังหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท่านต้องเป็นนาคอยู่ 3 เดือน ต่อมาเมื่อเวลาบวชหลวงปู่คล้ายบอกว่า "ถ้าจะบวชก็ไปบอกพ่อแกให้ไปนิมนต์หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เป็นพระคู่สวดอีกองค์หนึ่งนอกจากฉัน แล้วก็ไปนิมนต์หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอเป็นพระอุปัชฌาย์ เพราะทั้งสององค์นั้นเก่งกว่าฉัน (ตอนหน้า...หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ) พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2525),23,111-116
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ผู้ที่จะมาบูรณะวัดท่าซุงในกาลข้างหน้า ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี่แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ซึ่งมีเชื้อสายมาจากพุทธภูมิ ในอดีตทั้ง ๒ คนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และเยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราชตามพุทธพยากรณ์นั้น และสถานที่แห่งนี้หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟังหลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถเมื่อประมาณ ๒-๓ ปีก่อนว่า สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฎแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ อีกทั้งหลวงพ่อยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้

    💥💥 "ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพรหมและเทพเจ้าทั้งหมด
    🌟ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวังที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้แต่เวลานี้ทำได้แล้ว
    🔆ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว"

    พุทธพยากรณ์อนาคตของวัดท่าซุง

    ☀ "สถานที่นี้จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้องพุทธศักราชสิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษวัดนี้จึงจะสลายตัว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่า "จากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไปจนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงขาดพระอริยเจ้า ส่วนคำสอนของวัดท่าซุงจะอยู่เป็นหลักตลอดไปถึง ๔,๕๐๐ ปีเช่นกัน..."

    จากหนังสือ "อนุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปีเกิด หลวงพ่อพระราชพรหมยาน"
    (ปกแข็งสีทอง) หน้าที่ ๑๘ - ๑๙
    #ผู้ที่จะมาบูรณะวัดท่าซุงในกาลข้างหน้า ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี่แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ซึ่งมีเชื้อสายมาจากพุทธภูมิ ในอดีตทั้ง ๒ คนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และเยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราชตามพุทธพยากรณ์นั้น และสถานที่แห่งนี้หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟังหลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถเมื่อประมาณ ๒-๓ ปีก่อนว่า สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฎแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ อีกทั้งหลวงพ่อยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้ 💥💥 "ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพรหมและเทพเจ้าทั้งหมด 🌟ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวังที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้แต่เวลานี้ทำได้แล้ว 🔆ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว" พุทธพยากรณ์อนาคตของวัดท่าซุง ☀ "สถานที่นี้จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้องพุทธศักราชสิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษวัดนี้จึงจะสลายตัว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่า "จากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไปจนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงขาดพระอริยเจ้า ส่วนคำสอนของวัดท่าซุงจะอยู่เป็นหลักตลอดไปถึง ๔,๕๐๐ ปีเช่นกัน..." จากหนังสือ "อนุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปีเกิด หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" (ปกแข็งสีทอง) หน้าที่ ๑๘ - ๑๙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า
    พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า //หลวงปู่เทพโลกอุดร ปลุกเสก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ @"

    ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี เลื่อนยศ มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรี เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >>

    ** พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า สร้างโดยโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า //หลวงปู่เทพโลกอุดร ปลุกเสก // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ @" ** พุทธคุณเมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย ค้าขายดี เลื่อนยศ มหาเสน่ห์ โชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพันชาตรี เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >> ** พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า สร้างโดยโดยกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีพระบัณฑูรให้สร้างขึ้น โดยช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าเป็นผู้สร้าง และนำเข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (พระอุโบสถประจำวังหน้า) มีการอาราธนาคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และ หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และ หรือ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า , หลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร , หลวงปู่กรมพระยาปวเรศ เป็นต้น) อธิษฐานจิต ระหว่างปี พ.ศ.2400- 2428 เป็นพระพิมพ์ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ โดยช่างหลวงในยุคสมัยนั้นได้สรรสร้างงานชั้นดี ด้วยจินตนาการล้ำเลิศ ทั้งมีผู้ทรงภูมิธรรมสูงส่ง ได้อธิษฐานจิต ปลุกเสก ไว้สืบอายุพระพุทธศาสนา จึงเป็นมรดกทางพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสยาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์และรักษาไว้ให้ลูกหลานตราบนานเท่านาน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก**

    ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)**
    ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ):

    1. **มหาวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ
    - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์

    2. **ภิกขุนีวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ

    3. **มหาวรรค**
    - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม

    4. **จุลวรรค**
    - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน

    5. **ปริวาร**
    - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย

    ---

    ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)**
    รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya):

    1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว)
    - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร

    2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง)
    - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร

    3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง)
    - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์

    4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม)
    - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2)

    5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ)
    - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น
    - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ)
    - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า)
    - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์)

    ---

    ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)**
    ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์:

    1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม)
    2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม)
    3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18)
    4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล)
    5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม)
    6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน)
    7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24)

    ---

    ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ**
    - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์
    - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4)
    - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน)

    พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก

    หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก** ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)** ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ): 1. **มหาวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์ 2. **ภิกขุนีวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ 3. **มหาวรรค** - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม 4. **จุลวรรค** - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน 5. **ปริวาร** - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย --- ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)** รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya): 1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว) - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร 2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง) - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร 3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง) - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์ 4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม) - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2) 5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ) - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ) - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า) - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์) --- ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)** ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์: 1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม) 2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม) 3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18) 4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล) 5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม) 6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน) 7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24) --- ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ** - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์ - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4) - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน) พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประโยชน์ของการบรรลุนิพพานนั้นยิ่งใหญ่และครอบคลุม เป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ประโยชน์หลักๆ ได้แก่:

    - การหลุดพ้นจากทุกข์: นี่คือประโยชน์ที่สำคัญที่สุด นิพพานคือการดับทุกข์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางใจ หรือทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากกิเลส ตัณหา และความยึดมั่นถือมั่นจะหมดสิ้นไป
    - ความสงบสุขที่แท้จริง: ผู้บรรลุนิพพานจะได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง เป็นความสงบที่ไม่ใช่เพียงแค่ความสงบชั่วคราว แต่เป็นความสงบที่ยั่งยืน ปราศจากความกังวล ความกลัว และความไม่แน่นอน
    - ความหลุดพ้นจากวัฏฏะ: การบรรลุนิพพานหมายถึงการหลุดพ้นจากวงจรแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เป็นการสิ้นสุดของการทนทุกข์ทรมานจากการเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    - ความรู้แจ้งในธรรมชาติของความจริง: ผู้บรรลุนิพพานจะเข้าใจธรรมชาติของความจริงอย่างลึกซึ้ง เข้าใจไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อย่างถ่องแท้ และสามารถมองโลกได้อย่างถูกต้อง ปราศจากอคติ และความยึดมั่นถือมั่น
    - ความอิสระอย่างแท้จริง: ไม่ถูกผูกมัดด้วยกิเลส ตัณหา หรือความยึดติดใดๆ เป็นอิสระอย่างแท้จริง ทั้งทางกาย และทางใจ
    - ความสุขนิรันดร์: ความสุขที่ได้จากการบรรลุนิพพานเป็นความสุขที่ยั่งยืน ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นความสุขที่แท้จริง ที่เหนือกว่าความสุขใดๆ ในโลก

    โดยสรุป ประโยชน์ของการบรรลุนิพพานนั้น เป็นประโยชน์ที่สูงสุด เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาต่างแสวงหา เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ และบรรลุสภาวะแห่งความสุข ความสงบ และความอิสระอย่างแท้จริง
    ประโยชน์ของการบรรลุนิพพานนั้นยิ่งใหญ่และครอบคลุม เป็นจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ประโยชน์หลักๆ ได้แก่: - การหลุดพ้นจากทุกข์: นี่คือประโยชน์ที่สำคัญที่สุด นิพพานคือการดับทุกข์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางกาย ทุกข์ทางใจ หรือทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากกิเลส ตัณหา และความยึดมั่นถือมั่นจะหมดสิ้นไป - ความสงบสุขที่แท้จริง: ผู้บรรลุนิพพานจะได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง เป็นความสงบที่ไม่ใช่เพียงแค่ความสงบชั่วคราว แต่เป็นความสงบที่ยั่งยืน ปราศจากความกังวล ความกลัว และความไม่แน่นอน - ความหลุดพ้นจากวัฏฏะ: การบรรลุนิพพานหมายถึงการหลุดพ้นจากวงจรแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เป็นการสิ้นสุดของการทนทุกข์ทรมานจากการเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า - ความรู้แจ้งในธรรมชาติของความจริง: ผู้บรรลุนิพพานจะเข้าใจธรรมชาติของความจริงอย่างลึกซึ้ง เข้าใจไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อย่างถ่องแท้ และสามารถมองโลกได้อย่างถูกต้อง ปราศจากอคติ และความยึดมั่นถือมั่น - ความอิสระอย่างแท้จริง: ไม่ถูกผูกมัดด้วยกิเลส ตัณหา หรือความยึดติดใดๆ เป็นอิสระอย่างแท้จริง ทั้งทางกาย และทางใจ - ความสุขนิรันดร์: ความสุขที่ได้จากการบรรลุนิพพานเป็นความสุขที่ยั่งยืน ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นความสุขที่แท้จริง ที่เหนือกว่าความสุขใดๆ ในโลก โดยสรุป ประโยชน์ของการบรรลุนิพพานนั้น เป็นประโยชน์ที่สูงสุด เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาต่างแสวงหา เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ และบรรลุสภาวะแห่งความสุข ความสงบ และความอิสระอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลวงปู่ทวดหลังกุมาร รุ่นแรก หลวงพ่อน้อย วัดเก้าเส้ง จ.สงขลา ปี2518
    หลวงปู่ทวดหลังกุมาร (พิมพ์นิยม) กรุเจดีย์เก่าวัดเขาเก้าแสน รุ่นแรก หลวงพ่อน้อย วัดเก้าเส้ง จ.สงขลา ปี2518 // พระดีพิธีใหญ่ พระสวยๆ เดิมๆ เนื้อจัดๆ คราบมันไขว่านทั่วองค์ พบเจอน้อย (ส่วนใหญ่จะหลังเรียบ) // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดปลอดภัย เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ ป้องกันภัยอันตรายจากศาสตราวุธทั้งหลาย อยู่ยงคงกระพัน เสริมลาภทรัพย์ให้เพิ่มพูน เจรจาธุรกิจก็จะสำเร็จ ป้องกันคุณไสย มีอำนาจ บารมี >>

    ** ตำนานเล่าถึงเขาเก้าเส้ง หรือที่เรียกกันในภาษาพื้นเมืองว่า “หัวนางแรง” ว่า “ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกำลังเดินทางเรือสำเภาถูกคลื่นลมชำรุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่ง เพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขาเก้าแสน” เรียกเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง” ก้อนหินที่ปิดทับบนยอดเขาเรียกว่า“หัวนายแรง” ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญานของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาจนทุกวันนี้‬ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    หลวงปู่ทวดหลังกุมาร รุ่นแรก หลวงพ่อน้อย วัดเก้าเส้ง จ.สงขลา ปี2518 หลวงปู่ทวดหลังกุมาร (พิมพ์นิยม) กรุเจดีย์เก่าวัดเขาเก้าแสน รุ่นแรก หลวงพ่อน้อย วัดเก้าเส้ง จ.สงขลา ปี2518 // พระดีพิธีใหญ่ พระสวยๆ เดิมๆ เนื้อจัดๆ คราบมันไขว่านทั่วองค์ พบเจอน้อย (ส่วนใหญ่จะหลังเรียบ) // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดปลอดภัย เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ ป้องกันภัยอันตรายจากศาสตราวุธทั้งหลาย อยู่ยงคงกระพัน เสริมลาภทรัพย์ให้เพิ่มพูน เจรจาธุรกิจก็จะสำเร็จ ป้องกันคุณไสย มีอำนาจ บารมี >> ** ตำนานเล่าถึงเขาเก้าเส้ง หรือที่เรียกกันในภาษาพื้นเมืองว่า “หัวนางแรง” ว่า “ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกำลังเดินทางเรือสำเภาถูกคลื่นลมชำรุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่ง เพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขาเก้าแสน” เรียกเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง” ก้อนหินที่ปิดทับบนยอดเขาเรียกว่า“หัวนายแรง” ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญานของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาจนทุกวันนี้‬ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศ อีกทั้งยังเป็นวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
    วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศ อีกทั้งยังเป็นวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน

    1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง

    > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ

    เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ

    และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง”

    ---

    2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง

    > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย

    เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว

    เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน

    > ธรรมะสำคัญ:
    “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง”

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที

    “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง”

    “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา”

    “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่”

    “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก”

    ---
    ความเชื่อมั่นในตัวเอง กับ การลงมือทำจริง ได้อย่างชัดเจน 1. ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ – จง “ทำก่อน” แล้วความเชื่อจะตามมาเอง > นี่คือการฝึกจิตให้ เชื่อจากการเห็นผลจริง ไม่ใช่เพียงจากการปลุกใจลอยๆ เพราะ “ศรัทธา” ที่มั่นคงในพุทธศาสนา ต้อง มีปัญญารองรับ และปัญญาเกิดจากการเห็นผลลัพธ์ของความเพียร > ธรรมะสำคัญ: “ลงมือทำด้วยสติ = เติมศรัทธาด้วยการเห็นผลลัพธ์จริง” --- 2. ทำเรื่องเล็กๆให้ดี คือการฝึกจิตให้แกร่งและมั่นคง > เรื่องใหญ่สำเร็จได้ เพราะพื้นฐานของเรื่องเล็กๆที่ไม่ถูกละเลย เหมือนการฝึก “จิตตภาวนา” เริ่มจากรู้ลมหายใจเดียว เหมือนการสร้างบารมี เริ่มจากการไม่ทอดทิ้งเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน > ธรรมะสำคัญ: “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ คือผลรวมของความตั้งใจเล็กๆที่ทำอย่างต่อเนื่อง” --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดได้ทันที “เริ่มลงมือ แล้วความเชื่อจะค่อยๆงอกขึ้นในใจเอง” “อย่ารอให้มั่นใจก่อน จงลงมือก่อน แล้วมั่นใจจะตามมา” “เรื่องเล็กๆคือเวทีฝึกจิตให้พร้อมสำหรับเรื่องยิ่งใหญ่” “ไม่ใช่คนเก่งถึงจะสำเร็จ แต่คือคนที่ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆต่างหาก” ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • สายสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน สองราชวงศ์เชื่อมใจประชาชน

    การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย. 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน นับเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง รวมทั้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

    พระราชกรณียกิจที่น่าสนใจ อาทิ ทอดพระเนตรโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเกียลซุง (Gyalsung National Service) ให้เยาวชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปี เข้าร่วมการฝึกอบรมระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และมีทักษะประจำตัวในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ โครงการจิตอาสาเดซุง (De-suung) เพื่อส่งเสริมให้ชาวภูฏานมีบทบาทในการสร้างชาติและพัฒนาประเทศ มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ความสมานฉันท์ สามารถทำงานเป็นทีมและมีระเบียบวินัย

    การเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดอร์เดนมา เพื่อร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล โดยคณะสงฆ์ฝ่ายภูฏานและคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายละ 74 รูป การเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการหลวงเดเชนโชลิง ทอดพระเนตรนิทรรศการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวงของไทย กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภูฏาน ทอดพระเนตรโครงการเดชุง และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์

    การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน การยิงธนู และกีฬาพื้นบ้าน ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน การเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู ทอดพระเนตรโครงการพัฒนาทักษะอาสาสมัครในโครงการเดซุง ทอดพระเนตรร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร การเสด็จพระราชดำเนินไปยังป้อมดุงการ์ ทรงสักการะพระศากยมุนี ทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย และโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ

    นับเป็นพระราชไมตรีส่วนพระองค์ ที่มีค่านิยมร่วมกันในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุล บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและศรัทธา​ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) ที่มุ่งเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ

    #Newskit
    สายสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน สองราชวงศ์เชื่อมใจประชาชน การเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ระหว่างวันที่ 25-28 เม.ย. 2568 ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน นับเป็นการกระชับมิตรภาพและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จากการมีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันในความเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาและสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ทั้งสอง รวมทั้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ พระราชกรณียกิจที่น่าสนใจ อาทิ ทอดพระเนตรโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเกียลซุง (Gyalsung National Service) ให้เยาวชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปี เข้าร่วมการฝึกอบรมระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และมีทักษะประจำตัวในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ โครงการจิตอาสาเดซุง (De-suung) เพื่อส่งเสริมให้ชาวภูฏานมีบทบาทในการสร้างชาติและพัฒนาประเทศ มีจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม ความสมานฉันท์ สามารถทำงานเป็นทีมและมีระเบียบวินัย การเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดอร์เดนมา เพื่อร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล โดยคณะสงฆ์ฝ่ายภูฏานและคณะสงฆ์ไทย ฝ่ายละ 74 รูป การเสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการหลวงเดเชนโชลิง ทอดพระเนตรนิทรรศการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวงของไทย กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภูฏาน ทอดพระเนตรโครงการเดชุง และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังลิงคานา เพื่อทอดพระเนตรการแสดงศิลปวัฒนธรรมของภูฏาน การยิงธนู และกีฬาพื้นบ้าน ทอดพระเนตรงานหัตถกรรมผ้าและสิ่งทอของราชอาณาจักรภูฏาน การเสด็จพระราชดำเนินไปยังตลาดกลางประจำกรุงทิมพู ทอดพระเนตรโครงการพัฒนาทักษะอาสาสมัครในโครงการเดซุง ทอดพระเนตรร้านค้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตร การเสด็จพระราชดำเนินไปยังป้อมดุงการ์ ทรงสักการะพระศากยมุนี ทอดพระเนตรกิจกรรมของราชวิทยาลัย และโครงการพัฒนาเมืองเกเลฟู ให้เป็นเมืองแห่งสติปัญญาในเขตปกครองพิเศษ นับเป็นพระราชไมตรีส่วนพระองค์ ที่มีค่านิยมร่วมกันในการพัฒนาประเทศอย่างสมดุล บนพื้นฐานของวัฒนธรรมและศรัทธา​ของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักการของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ตามนโยบายความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) ที่มุ่งเน้นความสุขของประชาชนมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ #Newskit
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล**

    ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด

    ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม**
    วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า:
    "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!"

    สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..."

    นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!"

    แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร

    ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า**
    เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม:

    "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..."

    นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย

    นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน

    ### **การเปลี่ยนแปลง**
    หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน

    สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..."

    นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!"

    ### **บทเรียนที่ได้**
    เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ

    และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน!

    *(จบ)*

    > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล** ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม** วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า: "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!" สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..." นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!" แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า** เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม: "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..." นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน ### **การเปลี่ยนแปลง** หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..." นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!" ### **บทเรียนที่ได้** เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน! *(จบ)* > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • **มหากาพย์ข้ามภพ: สายธารแห่งธรรม*

    ---

    ### **บทที่ 5: เงาสะท้อนจากกาลเวลา**

    ราเชศยืนอยู่หน้าห้องเก็บของเก่า มือสั่นเทาขณะเปิดสมุดโบราณที่เพิ่งค้นพบ
    "บันทึกของสุทัตตะ...?"

    ตัวอักษรจารึกบนใบลานเริ่มเลือนราง แต่ความรู้สึกกลับชัดเจนราวกับมีใครมาเขียนเพิ่มในใจเขา:

    _"วันนี้ นันทาเถียงเรื่องฉันให้ผ้าแม่ชีจนร้านขาดทุน...
    แต่ในสายตาเธอ ฉันเห็นความกลัวว่าเราจะจนเหมือนตอนเด็ก"_

    นันดินีที่แอบมองอยู่สะดุ้ง
    "นั่น...นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นแม่ป่วยเพราะไม่มีเงินรักษาตัว!"

    แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์เก่า
    ร่างเงาของทั้งคู่บนพื้น ปรากฏเป็นภาพ **สุทัตตะกับนันทาในชุดโบราณ**

    ---

    ### **บทที่ 6: ศิษย์ลึกลับแห่งเวฬุวัน**

    **อาจารย์ปกรณ์** นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ผู้ตามหาตำราสูญหาย
    เปิดเผยความลับให้ทั้งคู่ฟัง:

    "ผ้าผืนนั้นทอโดยพระนางพิมพา (พระมารดาของราหุล)
    มีอักขระธารณีปักไว้ด้วยเส้นผมของพระพุทธเจ้า..."

    แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือ
    **ลายมือในสมุดบันทึกของสุทัตตะ กับของราเชศ...เหมือนกันทุกเส้น!**

    นันดินีจับมือราเชศไว้แน่น
    "นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ...เราถูกชักนำให้มาพบกัน"

    ---

    ### **บทที่ 7: ปริศนาธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์**

    กลางดึก ทั้งคู่หลับไปใต้ต้นโพธิ์หลังวัด
    และพบกับ **สุทัตตะกับนันทาในยุคปัจจุบัน**

    **นันทา (ในร่างนักธุรกิจหญิง):**
    "ชาติก่อนเราทะเลาะกันเพราะต่างไม่เข้าใจ...
    แต่ชาตินี้ ฉันเรียนรู้ที่จะฟังก่อนพูด"

    **สุทัตตะ (ในร่างอาจารย์มหาวิทยาลัย):**
    "ความเงียบของฉันไม่ใช่การหนีปัญหา...
    แต่คือการรอให้เธอพร้อมจะรับฟัง"

    ปรากฏการณ์ **"การพบกันของ 4 จิตวิญญาณ"**
    ทำให้ต้นโพธิ์โบราณผลิดอกออกช่อ
    ทั้งที่ควรจะเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว

    ---

    ### **บทที่ 8: สายน้ำสามสายรวมเป็นหนึ่ง**

    ในพิธีมอบผ้าไหมให้พิพิธภัณฑ์
    **เส้นด้ายทั้งสามเริ่มแยกจากกัน:**

    1. สายทอง (ความทรงจำ) → กลายเป็นแสงส่องทาง
    2. สายแดง (กรรมเก่า) → ละลายเป็นน้ำมนต์
    3. สายขาว (การเริ่มใหม่) → ห่อหุ้มหัวใจทั้งสอง

    ราเชศเขียนจดหมายถึงนันดินี:
    _"ไม่สำคัญว่าเราเคยเป็นใคร...
    สำคัญว่าเราจะใช้บทเรียนนี้สร้างอะไร"_

    นันดินีตอบกลับด้วยการวาดภาพ
    **ร้านขายผ้าเก่า ที่มีเด็กๆ นั่งฟังธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่**

    ---

    ### **บทส่งท้าย: ดวงประทีปแห่งสาวัตถี**

    ปีต่อมา บนถนนสายเก่าในสาวัตถี
    มี **ศูนย์การเรียนรู้ "สามสายธาร"**

    - **ห้องสมุดจิตวิทยาพุทธศาสตร์** โดยราเชศ
    - **สตูดิโอศิลปะบำบัด** ของนันดินี
    - **ร้านชาสมุนไพร** ของอาจารย์ปกรณ์

    ทุกเย็นวันพระ ทั้งสามจะนั่งร่วมวงเสวนา
    ใต้ต้นโพธิ์ที่ผลิใบใหม่...
    **มหากาพย์ข้ามภพ: สายธารแห่งธรรม* --- ### **บทที่ 5: เงาสะท้อนจากกาลเวลา** ราเชศยืนอยู่หน้าห้องเก็บของเก่า มือสั่นเทาขณะเปิดสมุดโบราณที่เพิ่งค้นพบ "บันทึกของสุทัตตะ...?" ตัวอักษรจารึกบนใบลานเริ่มเลือนราง แต่ความรู้สึกกลับชัดเจนราวกับมีใครมาเขียนเพิ่มในใจเขา: _"วันนี้ นันทาเถียงเรื่องฉันให้ผ้าแม่ชีจนร้านขาดทุน... แต่ในสายตาเธอ ฉันเห็นความกลัวว่าเราจะจนเหมือนตอนเด็ก"_ นันดินีที่แอบมองอยู่สะดุ้ง "นั่น...นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นแม่ป่วยเพราะไม่มีเงินรักษาตัว!" แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์เก่า ร่างเงาของทั้งคู่บนพื้น ปรากฏเป็นภาพ **สุทัตตะกับนันทาในชุดโบราณ** --- ### **บทที่ 6: ศิษย์ลึกลับแห่งเวฬุวัน** **อาจารย์ปกรณ์** นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ผู้ตามหาตำราสูญหาย เปิดเผยความลับให้ทั้งคู่ฟัง: "ผ้าผืนนั้นทอโดยพระนางพิมพา (พระมารดาของราหุล) มีอักขระธารณีปักไว้ด้วยเส้นผมของพระพุทธเจ้า..." แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือ **ลายมือในสมุดบันทึกของสุทัตตะ กับของราเชศ...เหมือนกันทุกเส้น!** นันดินีจับมือราเชศไว้แน่น "นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ...เราถูกชักนำให้มาพบกัน" --- ### **บทที่ 7: ปริศนาธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์** กลางดึก ทั้งคู่หลับไปใต้ต้นโพธิ์หลังวัด และพบกับ **สุทัตตะกับนันทาในยุคปัจจุบัน** **นันทา (ในร่างนักธุรกิจหญิง):** "ชาติก่อนเราทะเลาะกันเพราะต่างไม่เข้าใจ... แต่ชาตินี้ ฉันเรียนรู้ที่จะฟังก่อนพูด" **สุทัตตะ (ในร่างอาจารย์มหาวิทยาลัย):** "ความเงียบของฉันไม่ใช่การหนีปัญหา... แต่คือการรอให้เธอพร้อมจะรับฟัง" ปรากฏการณ์ **"การพบกันของ 4 จิตวิญญาณ"** ทำให้ต้นโพธิ์โบราณผลิดอกออกช่อ ทั้งที่ควรจะเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว --- ### **บทที่ 8: สายน้ำสามสายรวมเป็นหนึ่ง** ในพิธีมอบผ้าไหมให้พิพิธภัณฑ์ **เส้นด้ายทั้งสามเริ่มแยกจากกัน:** 1. สายทอง (ความทรงจำ) → กลายเป็นแสงส่องทาง 2. สายแดง (กรรมเก่า) → ละลายเป็นน้ำมนต์ 3. สายขาว (การเริ่มใหม่) → ห่อหุ้มหัวใจทั้งสอง ราเชศเขียนจดหมายถึงนันดินี: _"ไม่สำคัญว่าเราเคยเป็นใคร... สำคัญว่าเราจะใช้บทเรียนนี้สร้างอะไร"_ นันดินีตอบกลับด้วยการวาดภาพ **ร้านขายผ้าเก่า ที่มีเด็กๆ นั่งฟังธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่** --- ### **บทส่งท้าย: ดวงประทีปแห่งสาวัตถี** ปีต่อมา บนถนนสายเก่าในสาวัตถี มี **ศูนย์การเรียนรู้ "สามสายธาร"** - **ห้องสมุดจิตวิทยาพุทธศาสตร์** โดยราเชศ - **สตูดิโอศิลปะบำบัด** ของนันดินี - **ร้านชาสมุนไพร** ของอาจารย์ปกรณ์ ทุกเย็นวันพระ ทั้งสามจะนั่งร่วมวงเสวนา ใต้ต้นโพธิ์ที่ผลิใบใหม่...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ประเทศภูฏาน” อาณาจักรอันงดงามที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันออก นับเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศภูฏาน ต้องโดยสารเครื่องบินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติพาโร (Paro International Airport - PBH)

    แต่การเดินทางที่สะดวกสบายด้วยเครื่องบินนั้น แฝงไว้ซึ่งความท้าทายอย่างมาก เพราะสนามบินนานาชาติแห่งภูฏานนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามบินอันตรายที่สุดในโลก จนกล่าวได้ว่า มีนักบินจำนวนหลักสิบเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตให้ลงจอดที่สนามบินนี้ เพราะต้องเป็นนักบินที่มีทักษะความสามารถ และประสบการณ์การบินสูง

    ปัจจุบันมีสายการบินสัญชาติภูฏานที่ให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ที่ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร ได้แก่ Druk Air กับ Bhutan Airlines ซึ่งแสดงให้เห็นชัดได้ว่า ไม่ใช่ภารกิจง่ายๆสำหรับนักบินทั่วไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/travel/detail/9680000039124

    #MGROnline #ประเทศภูฏาน #สนามบินนานาชาติแห่งภูฏาน #ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร
    “ประเทศภูฏาน” อาณาจักรอันงดงามที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยฝั่งตะวันออก นับเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยการเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศภูฏาน ต้องโดยสารเครื่องบินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติพาโร (Paro International Airport - PBH) • แต่การเดินทางที่สะดวกสบายด้วยเครื่องบินนั้น แฝงไว้ซึ่งความท้าทายอย่างมาก เพราะสนามบินนานาชาติแห่งภูฏานนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามบินอันตรายที่สุดในโลก จนกล่าวได้ว่า มีนักบินจำนวนหลักสิบเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตให้ลงจอดที่สนามบินนี้ เพราะต้องเป็นนักบินที่มีทักษะความสามารถ และประสบการณ์การบินสูง • ปัจจุบันมีสายการบินสัญชาติภูฏานที่ให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ที่ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร ได้แก่ Druk Air กับ Bhutan Airlines ซึ่งแสดงให้เห็นชัดได้ว่า ไม่ใช่ภารกิจง่ายๆสำหรับนักบินทั่วไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/travel/detail/9680000039124 • #MGROnline #ประเทศภูฏาน #สนามบินนานาชาติแห่งภูฏาน #ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ด้วยทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา อย่างกลมกลืน --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา

    ---

    1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม

    > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ”

    ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

    แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต

    ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น

    > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ
    เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส
    ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว
    ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน

    ---

    2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ

    > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา”

    ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า:

    ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ

    ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม

    ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน

    ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น

    > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น

    ---

    3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง

    > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก”

    ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น:

    ความโกรธซ่อนลึก

    ความโลภแฝง

    ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ

    และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง

    จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง...

    > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ”
    แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม”
    แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย”

    ---

    4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต

    > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น”

    บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ

    บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม

    บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง

    ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด

    ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม!

    ---

    5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ

    คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง

    ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา
    แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ”

    ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว
    มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด”

    และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม

    ---

    สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา

    ความฝันคือกระจกเงาของกรรม

    ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา

    ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน

    ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน”

    ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    “ความฝัน” ในทัศนะทางพุทธศาสนาและกรรมวิบาก ผ่านมุมมองที่ผสมผสานทั้ง จิตวิทยา–กรรม–วิปัสสนา --- 1. ความฝันคือ "ภพจำลอง" ที่จิตสร้างขึ้นตามกรรม > “ฝัน คือ ภพจำลองขนาดเล็กที่เกิดขึ้นชั่วคราวตามแรงกรรมในใจ” ความฝันจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่มันเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนความรู้สึก ความเชื่อ ความกลัว ความหวัง และ “เงาของกรรม” ที่ยังค้างในจิต ใจเป็นอย่างไรในยามตื่น > ฝันก็สะท้อน “คลื่นความถี่เดียวกัน” ในยามหลับ เช่น ถ้าใจสว่าง ฝันก็สดใส ถ้าใจฟุ้ง ฝันก็มึนมัว ถ้าใจสั่งสมบาปหรือทุกข์ใจ ฝันก็จะหลงทาง วิ่งหนี ขัดแย้ง วนเวียน --- 2. ความฝันมี “เหตุ” เสมอ และมี “สาระ” ซ่อนอยู่เสมอ > “ความฝันคืออัตตาในเงามืด ที่รอให้เราเปิดไฟความเข้าใจไปหา” ตัวอย่างการตีความฝันเชิงธรรมะที่มีค่า: ฝันหลงทาง = ชีวิตจริงกำลังหลงทิศ ฝันทะเลาะคนรัก = มีบาปกรรมที่กำลังกระเพื่อม ฝันสอบไม่ทัน = ความรับผิดชอบในชีวิตมีจุดอ่อน ฝันผิดศีลบ่อย = จิตยังติดกรรมหรือกิเลสข้อนั้น > ฝันบอกจุดอ่อนของจิตได้ตรงกว่าเหตุผลในยามตื่น --- 3. ความฝันกับวิปัสสนา: โอกาสในการรู้จัก “ตัวตน” ที่แท้จริง > “เมื่อสังเกตความฝันบ่อยๆ จะรู้ว่า... ตัวละครในฝันทั้งหมด คือตัวคุณเองในมุมที่ยังไม่รู้จัก” ฝันช่วยให้เรา “เห็น” สิ่งที่ยังไม่ยอมรับในตน เช่น: ความโกรธซ่อนลึก ความโลภแฝง ความเหงา ความว่างเปล่าที่ไม่กล้ายอมรับ และเมื่อฝันบ่อยๆ จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเอง จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง... > คุณอาจเห็นความฝัน “ไม่ใช่ของใคร” ไม่ใช่ “ตัวคุณ” แต่เป็นเพียง “ภาพชั่วคราวของกรรมที่กำลังสุกงอม” แล้วจิตจะเริ่มรู้ว่า “ไม่มีตัวเราที่แท้จริงในฝันเลย” --- 4. ฝึกใช้ความฝันเป็นเครื่องมือภาวนาและพัฒนาจิต > ท่าทีแบบพุทธ คือ “สังเกต สะท้อน และไม่ยึดมั่น” บางครั้งฝันมาเพื่อเตือนสติ บางครั้งฝันมาเพื่อชำระเศษกรรม บางครั้งฝันมาทดสอบจิตว่าพร้อมหรือยัง ฝันที่ “รู้แจ้งตน” มากที่สุด อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในระดับลึกสุด ดังพระอุสภะที่ฝันแล้วละมานะจนบรรลุธรรม! --- 5. ข้อคิดส่งท้ายจากบทความ คุณในฝัน คือ ตัวคุณในเวอร์ชันไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่กรอง ไม่ปรุงแต่ง ฝันดีหรือฝันร้าย ไม่ใช่โชคชะตา แต่คือภาพจำลองของ “สภาพกรรมในใจ” ถ้าคุณกล้าดูฝันโดยไม่กลัว มันจะค่อยๆเปิดเผยว่า “ไม่มีอะไรน่ายึด” และนั่นคือ “ประตูสู่ความอิสระ” ในทางธรรม --- สรุปธรรมะสั้น ใช้ต่อยอดเป็นโพสต์หรือบทฝึกภาวนา ความฝันคือกระจกเงาของกรรม ฝันสะท้อนใจ ฝันเปิดเผยอัตตา ฝันบอกคุณว่าคุณกำลังเดินทางไปทางไหน ยิ่งฝันบ่อย ยิ่งรู้ว่า “ตัวเราก็แค่คลื่นในฝัน” ฝันที่เข้าใจได้ = ใจที่พร้อมปล่อยวาง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • สามจังหวัดชายแดนใต้ ของไทย เป็นดินแดนพุทธศาสนา และพราหมณ์มาก่อน ..หลีกฐานทางประวัติศาสตร์มีครบสมบูรณ์
    ลังกาสุกะเป็นนครรัฐตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 รุ่งเรืองยาวนานถึง 1,400 ปี จึงเสื่อมสลายไป[3] ไม่ใช่เพราะถูกอำนาจใดเข้าตี หากแต่ทะเลถอยห่างตัวเมืองออกไปทุกที จนผู้คนพากันทิ้งเมือง ซ้ำโดนน้ำท่วมโคลนถมทับตัวเมืองแทบหมด เพิ่งขุดเจอซากไม่นานมานี้ เชื่อกันว่าคนในหมู่บ้านกาแลจิน อ.เมืองปัตตานีปัจจุบันคือผู้สืบเชื้อสายชาวเมืองลังกาสุกะ ที่เป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนพื้นเมืองที่ต้องทิ้งเมืองเก่ามาอยู่ในปัตตานีเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว

    อาณาจักรโบราณยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่ามีพื้นที่คลุมไปถึงตอนเหนือมาเลเซีย เพราะพบสิ่ง ก่อสร้างโบราณ แบบเดียวกับที่พบในปัตตานีแถวริมฝั่งแม่น้ำบูจังและปาดังลาวาส (ปากแม่น้ำลาวาส) ในรัฐเคดาห์ หนังสือเหล่านั้นเรียกอย่างจืดชืดไม่ดึงดูดใจสักนิดว่า "เมืองโบราณยะรัง" เพราะซากเมืองเก่าพบที่ อ.ยะรัง ทั้งที่มีความเก่าแก่รุ่งเรืองมาก่อน อาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรทวาราวดีตั้ง 500 ปี ศรีวิชัยและทวาราวดีตั้งในพุทธศตวรรษที่ 12 ลังกาสุกะเป็นนครรัฐที่โลกตะวันตกตะวันออก รู้จักกันแล้ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เมืองโบราณยะรังจึงไม่ใช่เมืองเก่าธรรมดา หากแต่เป็นเมืองท่านครรัฐยิ่งใหญ่ สมัยโบราณเก๋ากึ๊กในภูมิภาคนี้โดยแท้

    เมืองโบราณที่ กรมศิลปากร กำลังขุดแต่งอยู่ที่ อำเภอยะรัง ในขณะนี้คือ ศูนย์การปกครอง อาณาจักรลังกาสุกะ ในเมื่อบันทึก ชาวอินเดียและ ชาวอาหรับ ที่เรียกเมืองนี้ว่า "ลังกาสุกะ" กับบันทึก ของชาวจีนที่เรียก "หลาง หย่า ซุ่ย" ล้วนระบุทิศทางและ ที่ตั้งตรงกันหมด น.ส.พรทิพย์ พันธุโกวิท หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ โบราณคดี ผู้ควบคุมการขุดแต่งและ บูรณะมาตั้งแต่แรกถึง 16 ปี อธิบายว่า ปัตตานีวันนี้คือ ดินแดนเกิดใหม่ เมื่อทะเลถอย ห่างฝั่งออกไปทุกที ลังกาสุกะเลยกลายเป็น เมืองภายในแผ่นดิน อยู่ห่างชายฝั่งทะเล ในวันนี้เกือบ 25 กม. ชายฝั่งบริเวณท่าเรือใหญ่ครั้งโน้น ปัจจุบันนี้คือ คลองปาเละหมู่บ้านกาแลบูซา (ท่าเรือใหญ่) หมู่บ้านเทียระยา (หมู่บ้านเสากระโดงเรือ) ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง ปัตตานี

    ร่องรอยทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นเมืองเรียงกันถึง 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เมืองที่กำลังขุดอยู่ที่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว (พระราชวัง) อำเภอยะรัง บ้านปราแวอยู่ริมทะเล มีลักษณะ ค่ายคูประตูหอรบตามมุมเมือง คาดว่าน่าจะเป็นประชาคม 3 แห่ง ที่อยู่ร่วมกันมากกว่าเมือง โดยรวมแล้วพื้นที่ดังกล่าวนี้ พบร่องรอยทางโบราณคดีถึงกว่า 40 แห่ง ลงมือขุดไปเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ชิ้นใหญ่ ๆ ที่กำลังขุดอยู่เป็นศาสนสถานใน ศาสนาพราหมณ์และ พุทธศาสนา ทั้งพบคำจารึกภาษาปัลลวะอินเดียโบราณและภาษาสันสกฤตด้วย บ่งบอกอย่างเด่นชัด แรกเริ่มนั้นชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาพราหมณ์ เปลี่ยนมาถือพุทธ แล้วเปลี่ยนมาเป็นอิสลามตามลำดับ

    ลังกาสุกะเฟื่องเนื่องมาจากที่ตั้งเป็นกึ่งกลางเส้นทางค้าขายโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและศูนย์ค้าเครื่องเทศสินค้าสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ดังที่สุด ได้แก่ไม้หอม และกำยาน ซึ่งอินเดีย อาหรับยันยุโรปต่างต้องการอย่างมาก น่าเชื่อว่ากำยานชั้นดีที่สุดเป็นกำยานลังกาสุกะ เพราะเครื่องหอมทำจากกำยานที่โลกอาหรับ และชาติมุสลิมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องหอม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปนไม่ผิด หลักทางศาสนาที่ชื่อว่า "ไซมีส เบนโซอีน" ที่ยังใช้กันมาจนทุกวันนี้ ลังกาสุกะเป็นท่าเรือ ส่งออกที่ใหญ่มาก

    ลังกาสุกะอาจเป็นอาณาจักรเดียวในโลกที่ล่มสลายไปไม่ใช่เพราะการสงครามหรือโรคระบาด หากเกิดจากทะเลถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิม ผู้คนก็อพยพทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันหมด พร้อม ๆ กับอาณาจักรอื่นใกล้เคียงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่
    สามจังหวัดชายแดนใต้ ของไทย เป็นดินแดนพุทธศาสนา และพราหมณ์มาก่อน ..หลีกฐานทางประวัติศาสตร์มีครบสมบูรณ์ ลังกาสุกะเป็นนครรัฐตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 รุ่งเรืองยาวนานถึง 1,400 ปี จึงเสื่อมสลายไป[3] ไม่ใช่เพราะถูกอำนาจใดเข้าตี หากแต่ทะเลถอยห่างตัวเมืองออกไปทุกที จนผู้คนพากันทิ้งเมือง ซ้ำโดนน้ำท่วมโคลนถมทับตัวเมืองแทบหมด เพิ่งขุดเจอซากไม่นานมานี้ เชื่อกันว่าคนในหมู่บ้านกาแลจิน อ.เมืองปัตตานีปัจจุบันคือผู้สืบเชื้อสายชาวเมืองลังกาสุกะ ที่เป็นลูกครึ่งชาวจีนกับคนพื้นเมืองที่ต้องทิ้งเมืองเก่ามาอยู่ในปัตตานีเมื่อ 1,000 กว่าปีที่แล้ว อาณาจักรโบราณยิ่งใหญ่ที่เชื่อว่ามีพื้นที่คลุมไปถึงตอนเหนือมาเลเซีย เพราะพบสิ่ง ก่อสร้างโบราณ แบบเดียวกับที่พบในปัตตานีแถวริมฝั่งแม่น้ำบูจังและปาดังลาวาส (ปากแม่น้ำลาวาส) ในรัฐเคดาห์ หนังสือเหล่านั้นเรียกอย่างจืดชืดไม่ดึงดูดใจสักนิดว่า "เมืองโบราณยะรัง" เพราะซากเมืองเก่าพบที่ อ.ยะรัง ทั้งที่มีความเก่าแก่รุ่งเรืองมาก่อน อาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรทวาราวดีตั้ง 500 ปี ศรีวิชัยและทวาราวดีตั้งในพุทธศตวรรษที่ 12 ลังกาสุกะเป็นนครรัฐที่โลกตะวันตกตะวันออก รู้จักกันแล้ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 7 เมืองโบราณยะรังจึงไม่ใช่เมืองเก่าธรรมดา หากแต่เป็นเมืองท่านครรัฐยิ่งใหญ่ สมัยโบราณเก๋ากึ๊กในภูมิภาคนี้โดยแท้ เมืองโบราณที่ กรมศิลปากร กำลังขุดแต่งอยู่ที่ อำเภอยะรัง ในขณะนี้คือ ศูนย์การปกครอง อาณาจักรลังกาสุกะ ในเมื่อบันทึก ชาวอินเดียและ ชาวอาหรับ ที่เรียกเมืองนี้ว่า "ลังกาสุกะ" กับบันทึก ของชาวจีนที่เรียก "หลาง หย่า ซุ่ย" ล้วนระบุทิศทางและ ที่ตั้งตรงกันหมด น.ส.พรทิพย์ พันธุโกวิท หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ โบราณคดี ผู้ควบคุมการขุดแต่งและ บูรณะมาตั้งแต่แรกถึง 16 ปี อธิบายว่า ปัตตานีวันนี้คือ ดินแดนเกิดใหม่ เมื่อทะเลถอย ห่างฝั่งออกไปทุกที ลังกาสุกะเลยกลายเป็น เมืองภายในแผ่นดิน อยู่ห่างชายฝั่งทะเล ในวันนี้เกือบ 25 กม. ชายฝั่งบริเวณท่าเรือใหญ่ครั้งโน้น ปัจจุบันนี้คือ คลองปาเละหมู่บ้านกาแลบูซา (ท่าเรือใหญ่) หมู่บ้านเทียระยา (หมู่บ้านเสากระโดงเรือ) ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง ปัตตานี ร่องรอยทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นเมืองเรียงกันถึง 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ เมืองที่กำลังขุดอยู่ที่บ้านวัด บ้านจาเละ และบ้านปราแว (พระราชวัง) อำเภอยะรัง บ้านปราแวอยู่ริมทะเล มีลักษณะ ค่ายคูประตูหอรบตามมุมเมือง คาดว่าน่าจะเป็นประชาคม 3 แห่ง ที่อยู่ร่วมกันมากกว่าเมือง โดยรวมแล้วพื้นที่ดังกล่าวนี้ พบร่องรอยทางโบราณคดีถึงกว่า 40 แห่ง ลงมือขุดไปเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ชิ้นใหญ่ ๆ ที่กำลังขุดอยู่เป็นศาสนสถานใน ศาสนาพราหมณ์และ พุทธศาสนา ทั้งพบคำจารึกภาษาปัลลวะอินเดียโบราณและภาษาสันสกฤตด้วย บ่งบอกอย่างเด่นชัด แรกเริ่มนั้นชาวลังกาสุกะนับถือศาสนาพราหมณ์ เปลี่ยนมาถือพุทธ แล้วเปลี่ยนมาเป็นอิสลามตามลำดับ ลังกาสุกะเฟื่องเนื่องมาจากที่ตั้งเป็นกึ่งกลางเส้นทางค้าขายโลกตะวันตกและตะวันออก เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและศูนย์ค้าเครื่องเทศสินค้าสำคัญของภูมิภาคนี้ ที่ดังที่สุด ได้แก่ไม้หอม และกำยาน ซึ่งอินเดีย อาหรับยันยุโรปต่างต้องการอย่างมาก น่าเชื่อว่ากำยานชั้นดีที่สุดเป็นกำยานลังกาสุกะ เพราะเครื่องหอมทำจากกำยานที่โลกอาหรับ และชาติมุสลิมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นเครื่องหอม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปนไม่ผิด หลักทางศาสนาที่ชื่อว่า "ไซมีส เบนโซอีน" ที่ยังใช้กันมาจนทุกวันนี้ ลังกาสุกะเป็นท่าเรือ ส่งออกที่ใหญ่มาก ลังกาสุกะอาจเป็นอาณาจักรเดียวในโลกที่ล่มสลายไปไม่ใช่เพราะการสงครามหรือโรคระบาด หากเกิดจากทะเลถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิม ผู้คนก็อพยพทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันหมด พร้อม ๆ กับอาณาจักรอื่นใกล้เคียงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามที่ เกิดเหตุคนร้ายประทุษร้ายสามเณร ณ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ ทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ ๑ รูป และอาพาธ ๑ รูป ความทราบตามข่าวสารที่ปรากฏแล้ว นั้นเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปลงธรรมสังเวชและโปรดประทานผ้าไตร ๑ ไตร พร้อมไม้จันทน์ ๑ ช่อ สำหรับการฌาปนกิจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยการบำเพ็ญกุศล อนึ่ง โปรดประทานเหรียญพระรูปแก่สามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ เพื่อเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เป็นคิลานปัจจัยทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญสิ่งของและกัปปิยภัณฑ์ประทานไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เพื่อมอบแก่เจ้าภาพศพและสามเณรผู้อาพาธอนึ่ง มีรับสั่งประทานกำลังใจแก่ครอบครัว ญาติมิตรของผู้ถึงมรณภาพ ให้ทุเลาความโศก และความหม่นหมอง อีกทั้งโปรดประทานพรให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประสบเหตุ และผู้ตระหนกเสียขวัญจงถึงพร้อมด้วยขันติ สติ และปัญญาอันเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นของชาติ และความสถาพรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยให้ดำรงมั่นคงอยู่สืบไป
    ตามที่ เกิดเหตุคนร้ายประทุษร้ายสามเณร ณ อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ ทำให้มีสามเณรถึงมรณภาพ ๑ รูป และอาพาธ ๑ รูป ความทราบตามข่าวสารที่ปรากฏแล้ว นั้นเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปลงธรรมสังเวชและโปรดประทานผ้าไตร ๑ ไตร พร้อมไม้จันทน์ ๑ ช่อ สำหรับการฌาปนกิจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เจ้าภาพศพสามเณรพงษ์กร ชูมาปาน เพื่อช่วยการบำเพ็ญกุศล อนึ่ง โปรดประทานเหรียญพระรูปแก่สามเณรโภคนิษฐ์ โมราศิลป์ เพื่อเป็นกำลังใจ พร้อมทั้งมีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ประทานแก่เป็นคิลานปัจจัยทั้งนี้ มีพระบัญชาโปรดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญสิ่งของและกัปปิยภัณฑ์ประทานไปถวายแด่เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เพื่อมอบแก่เจ้าภาพศพและสามเณรผู้อาพาธอนึ่ง มีรับสั่งประทานกำลังใจแก่ครอบครัว ญาติมิตรของผู้ถึงมรณภาพ ให้ทุเลาความโศก และความหม่นหมอง อีกทั้งโปรดประทานพรให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประสบเหตุ และผู้ตระหนกเสียขวัญจงถึงพร้อมด้วยขันติ สติ และปัญญาอันเข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ความสงบร่มเย็นของชาติ และความสถาพรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทยให้ดำรงมั่นคงอยู่สืบไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพียร..ความบากบั่น, ความพากเพียร, ความพยายาม.
    คำกริยา
    บากบั่น, พยายามจนกว่าจะสำเร็จ.
    หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านก็สอนให้เพียร เพียรในศิล เพียรภาวนา เพียรในการทานบุญฯ
    เมื่อมาเกิดและพบพุทธศาสนาแล้วเพียรทำ เพียรปฏิบัติไป
    เพียร..ความบากบั่น, ความพากเพียร, ความพยายาม. คำกริยา บากบั่น, พยายามจนกว่าจะสำเร็จ. หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านก็สอนให้เพียร เพียรในศิล เพียรภาวนา เพียรในการทานบุญฯ เมื่อมาเกิดและพบพุทธศาสนาแล้วเพียรทำ เพียรปฏิบัติไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม”

    1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม”

    > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง”
    นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ

    ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม

    ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม

    ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน”

    ---

    2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต

    > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง”
    ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ

    ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง

    ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น”

    ---

    3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต

    บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง:

    ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน

    ไม่อาฆาตพยาบาท

    ไม่ใจดำตอบโต้

    ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด”

    ---

    4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต

    > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว”

    นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม

    ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่

    ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก”

    ---

    5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต

    บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา:
    "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด

    ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร

    เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์

    > ธรรมะสั้น:
    “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน”

    ---

    สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที

    ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม

    ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ

    ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม

    การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ

    ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม” 1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม” > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง” นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่ > ธรรมะสั้น: “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน” --- 2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง” ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน > ธรรมะสั้น: “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น” --- 3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง: ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่ใจดำตอบโต้ ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด” --- 4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว” นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้ > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก” --- 5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา: "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์ > ธรรมะสั้น: “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน” --- สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ
    สัทธรรมลำดับที่ : 967
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=967
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ
    (พระอานนท์ได้เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ นั่งรถขาวเทียมด้วยม้าขาวเครื่องประดับประดาทุกส่วนขาว ถือพัดวาลวีชนีขาว จนกระทั่งประชาชนเห็นแล้วร้องว่า พรหมยาน ว่าลักษณะแห่งพรหมยาน, ดังนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามว่า :- )​
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้องค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาค อาจจะบัญญัติพรหมยานขึ้น ในธรรมวินัยนี้ ได้หรือไม่หนอ ?”
    --อาจซิ อานนท์ ! คำว่า พรหมยาน นั้น เป็นอธิวจนะ (คำแทนชื่อ)
    http://etipitaka.com/read/pali/19/6/?keywords=อธิวจนํ
    แห่งอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เอง;
    เรียกว่า พรหมยาน บ้าง ธรรมยาน บ้าง อนุตตรสังคามวิชัย บ้าง.
    --อานนท์ ! สัมมาทิฏฐิ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน.
    +--สัมมาสังกัปปะ ....
    +--สัมมาวาจา ....
    +--สัมมากัมมันตะ ....
    +--สัมมาอาชีวะ ....
    +--สัมมาวายามะ ....
    +--สัมมาสติ ....
    +--สัมมาสมาธิ ....
    อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน มีการออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน.
    --อานนท์ ! พึงทราบโดยปริยายนี้แล ว่าคำว่า
    พรหมยาน นั้นเป็น อธิวจนะแห่งอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เอง ;
    เรียกว่า #พรหมยาน บ้าง #ธรรมยาน บ้าง #อนุตตรสังคามวิชัย บ้าง.-
    http://etipitaka.com/read/pali/19/7/?keywords=สงฺคามวิชโย

    (ผู้ศึกษาพึงทราบว่า คำว่า พรหมยาน เป็นคำสูงสุดในฝ่ายศาสนาพราหมณ์
    พระอานนท์อยากจะมีคำเช่นนั้นในพระพุทธศาสนานี้บ้าง จึงทูลถาม;
    แต่พระองค์ตรัสตอบอย่างธัมมาธิษฐาน ระบุเอาอัฏฐังคิกมรรคเป็นพรหมยาน,
    และแถมยังมีคำว่า ธรรมยาน และอนุตตรสังคามวิชัย อีกด้วย.
    เราเห็นว่า คำว่า ธรรมยาน สำคัญกว่า จึงยกเอามาเป็นชื่อแห่งหัวข้อนี้.
    อนึ่ง อัฏฐังคิกมรรคนี้ จำแนกความหมายได้หลายอย่าง เช่น
    จำแนกเป็น วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามี
    ดังในหัวข้อ ที่จัด อัฏฐังคิกมรรคเป็นกัลยาณมิตร เป็นต้น บ้าง, และ
    ในหัวข้อทรงจำแนกเป็น ราค - โทส - โมหวินย - ปริโยสานบ้าง,
    ในหัวข้อว่า “อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว ทำกิจแห่งอริยสัจสี่พร้อมกันไปในตัว” เป็นต้น
    ทรงจำแนกว่า อมโตคธ อมตปรายน อมตปริโยสาน บ้าง,
    นิพฺพานนินฺน นิพฺพานโปณ นิพฺพานปพฺภาร บ้าง
    )

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/4-5/13-23.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/4/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๖-๗/๑๓-๒๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/6/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=967
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=967
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82
    ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ สัทธรรมลำดับที่ : 967 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=967 เนื้อความทั้งหมด :- --อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ (พระอานนท์ได้เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ นั่งรถขาวเทียมด้วยม้าขาวเครื่องประดับประดาทุกส่วนขาว ถือพัดวาลวีชนีขาว จนกระทั่งประชาชนเห็นแล้วร้องว่า พรหมยาน ว่าลักษณะแห่งพรหมยาน, ดังนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามว่า :- )​ --“ข้าแต่พระองค์ผู้องค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาค อาจจะบัญญัติพรหมยานขึ้น ในธรรมวินัยนี้ ได้หรือไม่หนอ ?” --อาจซิ อานนท์ ! คำว่า พรหมยาน นั้น เป็นอธิวจนะ (คำแทนชื่อ) http://etipitaka.com/read/pali/19/6/?keywords=อธิวจนํ แห่งอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เอง; เรียกว่า พรหมยาน บ้าง ธรรมยาน บ้าง อนุตตรสังคามวิชัย บ้าง. --อานนท์ ! สัมมาทิฏฐิ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน. +--สัมมาสังกัปปะ .... +--สัมมาวาจา .... +--สัมมากัมมันตะ .... +--สัมมาอาชีวะ .... +--สัมมาวายามะ .... +--สัมมาสติ .... +--สัมมาสมาธิ .... อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน มีการออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน. --อานนท์ ! พึงทราบโดยปริยายนี้แล ว่าคำว่า พรหมยาน นั้นเป็น อธิวจนะแห่งอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เอง ; เรียกว่า #พรหมยาน บ้าง #ธรรมยาน บ้าง #อนุตตรสังคามวิชัย บ้าง.- http://etipitaka.com/read/pali/19/7/?keywords=สงฺคามวิชโย (ผู้ศึกษาพึงทราบว่า คำว่า พรหมยาน เป็นคำสูงสุดในฝ่ายศาสนาพราหมณ์ พระอานนท์อยากจะมีคำเช่นนั้นในพระพุทธศาสนานี้บ้าง จึงทูลถาม; แต่พระองค์ตรัสตอบอย่างธัมมาธิษฐาน ระบุเอาอัฏฐังคิกมรรคเป็นพรหมยาน, และแถมยังมีคำว่า ธรรมยาน และอนุตตรสังคามวิชัย อีกด้วย. เราเห็นว่า คำว่า ธรรมยาน สำคัญกว่า จึงยกเอามาเป็นชื่อแห่งหัวข้อนี้. อนึ่ง อัฏฐังคิกมรรคนี้ จำแนกความหมายได้หลายอย่าง เช่น จำแนกเป็น วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามี ดังในหัวข้อ ที่จัด อัฏฐังคิกมรรคเป็นกัลยาณมิตร เป็นต้น บ้าง, และ ในหัวข้อทรงจำแนกเป็น ราค - โทส - โมหวินย - ปริโยสานบ้าง, ในหัวข้อว่า “อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว ทำกิจแห่งอริยสัจสี่พร้อมกันไปในตัว” เป็นต้น ทรงจำแนกว่า อมโตคธ อมตปรายน อมตปริโยสาน บ้าง, นิพฺพานนินฺน นิพฺพานโปณ นิพฺพานปพฺภาร บ้าง ) #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/4-5/13-23. http://etipitaka.com/read/thai/19/4/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๖-๗/๑๓-๒๓. http://etipitaka.com/read/pali/19/6/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=967 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=967 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82 ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ
    -[ในสูตรอื่น (๑๙/๓๐/๑๐๕) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า พรหมัญญะ. ในสูตรอื่น (๑๙/๓๑/๑๑๑) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า พรหมจริยะ. ในสูตรอื่น (๑๙/๒๐/๖๑) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า สัมมัตตะ. ในสูตรอื่น (๑๙/๒๐/๖๔) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า กุสลธัมม. ในสูตรอื่น (๑๙/๒๐/๖๗) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า สัมมาปฏิปทา. ในสูตรอื่น (๑๙/๒๐/๙๑) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า สัมมาปฏิปัตติ. ในสูตรอื่น (๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า มัชฌิมาปฏิปทา. ในสูตรอื่น (๑๔/๕๒๔/๘๒๙) ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า สมถะและวิปัสสนา]. อัฏฐังคิกมรรคในฐานะแห่งธัมมยานอันประเสริฐ (พระอานนท์ได้เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ นั่งรถขาวเทียมด้วยม้าขาวเครื่องประดับประดาทุกส่วนขาว ถือพัดวาลวีชนีขาว จนกระทั่งประชาชนเห็นแล้วร้องว่า พรหมยาน ว่าลักษณะแห่งพรหมยาน, ดังนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามว่า :-) “ข้าแต่พระองค์ผู้องค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาค อาจจะบัญญัติพรหมยานขึ้น ในธรรมวินัยนี้ ได้หรือไม่หนอ ?” อาจซิ อานนท์ ! คำว่า พรหมยาน นั้น เป็นอธิวจนะ (คำแทนชื่อ) แห่งอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เอง; เรียกว่า พรหมยาน บ้าง ธรรมยาน บ้าง อนุตตรสังคามวิชัย บ้าง. อานนท์ ! สัมมาทิฏฐิ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน. สัมมาสังกัปปะ .... สัมมาวาจา .... สัมมากัมมันตะ .... สัมมาอาชีวะ .... สัมมาวายามะ .... สัมมาสติ .... สัมมาสมาธิ .... อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นธรรมมีการนำออกซึ่งราคะเป็นปริโยสาน มีการนำออกซึ่งโทสะเป็นปริโยสาน มีการออกซึ่งโมหะเป็นปริโยสาน. อานนท์ ! พึงทราบโดยปริยายนี้แล ว่าคำว่า พรหมยาน นั้นเป็น อธิวจนะแห่งอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เอง ; เรียกว่า พรหมยาน บ้าง ธรรมยาน บ้าง อนุตตรสังคามวิชัย บ้าง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 16 เมษายน 2568
    นายนรเศรษฐ รุ่งจรูญ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลหลักเมือง พร้อมด้วยข้าราชการและพนักงานเทศบาลตำบลหลักเมือง ร่วมพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานฯ และพิธีปลงผม เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร ให้ ร้อยตำรวจเอก คณิน รุ่งเรือง เพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ณ วัดโพธิ์ราษฎร์บูรณะ ตำบลพงสวาย อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี

    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    วันที่ 16 เมษายน 2568 นายนรเศรษฐ รุ่งจรูญ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลหลักเมือง พร้อมด้วยข้าราชการและพนักงานเทศบาลตำบลหลักเมือง ร่วมพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานฯ และพิธีปลงผม เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร ให้ ร้อยตำรวจเอก คณิน รุ่งเรือง เพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ณ วัดโพธิ์ราษฎร์บูรณะ ตำบลพงสวาย อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรามาเกิดทันพระพุทธศาสนาคือบุญของเรา เทพเองยังไม่มาเกิดมาฟังเทศน์อย่างเรา พระพุทธศาสนานาๆ จะบังเกิดอุบัติขึ้น พระศรีอาริย์กว่าจะมาเกิดนานมากๆ
    เรามาเกิดทันพระพุทธศาสนาคือบุญของเรา เทพเองยังไม่มาเกิดมาฟังเทศน์อย่างเรา พระพุทธศาสนานาๆ จะบังเกิดอุบัติขึ้น พระศรีอาริย์กว่าจะมาเกิดนานมากๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบก.ปปป.เผยเร่งประสานอัยการต่างประเทศ ขอตัว"นพรัตน์" อดีต ผอ.พศ. มาดำเนินคดีเงินทอนวัด 17 คดี - ขอสหรัฐฯ ช่วยจับลูก-เมีย มารับโทษคดีฟอกเงินด้วย

    วันนี้ ( 14 เม.ย.) พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. กล่าวถึงความคืบหน้าประสานขอส่งตัว นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด ที่เพิ่งถูก US Marshall จับได้ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีในไทยว่า ในส่วนคดีของนายนพรัตน์ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ตำรวจ ปปป. 17 คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสาร ยื่นต่ออัยการต่างประเทศเพื่อดำเนินการประสานไปยังสหรัฐอเมริกา ขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเป็นล็อตที่สอง ซึ่งจะเป็นคนละส่วนกับคดีของ ป.ป.ช. ซึ่งคาดเอกสารดังกล่าวนั้นจะสามารถรวบรวมสรุปยื่นต่ออัยการต่างประเทศได้ภายในวันที่ 21 เม.ย. ที่จะถึงนี้

    พล.ต.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ในส่วนของ นางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ อายุ 51 ปี และ น.ส.ณัฏฐาภรณ์ ทุน อายุ 29 ปี ภรรยาและลูกของ นายนพรัตน์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยเช่นกันในคดีสมคบฟอกเงินนั้น ทาง บก.ปปป. เองก็จะรวบรวมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ยื่นต่ออัยการต่างประเทศเพื่อประสานกับทางการสหรัฐอเมริกา ให้ช่วยติดตามจับกุมและส่งตัวกลับมาดำเนินคดียังประเทศไทยด้วยเช่นกัน

    #MGROnline #สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ #คดีเงินทอนวัด
    ผบก.ปปป.เผยเร่งประสานอัยการต่างประเทศ ขอตัว"นพรัตน์" อดีต ผอ.พศ. มาดำเนินคดีเงินทอนวัด 17 คดี - ขอสหรัฐฯ ช่วยจับลูก-เมีย มารับโทษคดีฟอกเงินด้วย • วันนี้ ( 14 เม.ย.) พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. กล่าวถึงความคืบหน้าประสานขอส่งตัว นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด ที่เพิ่งถูก US Marshall จับได้ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีในไทยว่า ในส่วนคดีของนายนพรัตน์ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ตำรวจ ปปป. 17 คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสาร ยื่นต่ออัยการต่างประเทศเพื่อดำเนินการประสานไปยังสหรัฐอเมริกา ขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเป็นล็อตที่สอง ซึ่งจะเป็นคนละส่วนกับคดีของ ป.ป.ช. ซึ่งคาดเอกสารดังกล่าวนั้นจะสามารถรวบรวมสรุปยื่นต่ออัยการต่างประเทศได้ภายในวันที่ 21 เม.ย. ที่จะถึงนี้ • พล.ต.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ในส่วนของ นางพัทธานันท์ เบญจวัฒนานันท์ อายุ 51 ปี และ น.ส.ณัฏฐาภรณ์ ทุน อายุ 29 ปี ภรรยาและลูกของ นายนพรัตน์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยเช่นกันในคดีสมคบฟอกเงินนั้น ทาง บก.ปปป. เองก็จะรวบรวมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ยื่นต่ออัยการต่างประเทศเพื่อประสานกับทางการสหรัฐอเมริกา ให้ช่วยติดตามจับกุมและส่งตัวกลับมาดำเนินคดียังประเทศไทยด้วยเช่นกัน • #MGROnline #สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ #คดีเงินทอนวัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงวิญญาณเขาได้รับหมดน้ำไปรดตามธาตุเก็บกระดูก เขาก็ดีใจชื่นใจ

    สำหรับความเป็นมาของการกรวดน้ำนั้น ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ได้ถวายเวฬุวนอุทยาน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา แก่พระพุทธเจ้าให้เป็นที่วิหารที่ประทับ โดยในคืนนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงร้องโหยหวน น่าสะพรึง วันต่อมาจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ไขข้อสงสัยว่าเสียงที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของพระญาติในอดีตอันไกลโพ้นของพระเจ้าพิมพิสาร ที่บังเกิดไปเป็นเปรต จึงมาขอส่วนบุญ เนื่องด้วยพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้ว แต่ไม่ได้อุทิศให้
    ดวงวิญญาณเขาได้รับหมดน้ำไปรดตามธาตุเก็บกระดูก เขาก็ดีใจชื่นใจ สำหรับความเป็นมาของการกรวดน้ำนั้น ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ได้ถวายเวฬุวนอุทยาน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา แก่พระพุทธเจ้าให้เป็นที่วิหารที่ประทับ โดยในคืนนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงร้องโหยหวน น่าสะพรึง วันต่อมาจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ไขข้อสงสัยว่าเสียงที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของพระญาติในอดีตอันไกลโพ้นของพระเจ้าพิมพิสาร ที่บังเกิดไปเป็นเปรต จึงมาขอส่วนบุญ เนื่องด้วยพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้ว แต่ไม่ได้อุทิศให้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts