• ..555,ขึ้นไปเถอะถึง100%ก็ตามสบาย,ใครเสียผลประโยชน์ก็บริษัทเอกชนไทยทั้งสิ้นที่กำไรลดลงล่ะ,ตลอดถึงต่างชาติที่มาตั้งฐานโรงงานในไทยยืมแผ่นดินยืมชื่อประเทศไทยทำกำไรรายได้มหาศาลแก่ตนเองผ่านเนมไทยนี้ล่ะ,ไทยก็เข้าbrics แล้วจะกลัวอะไรก็ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในกลุ่มสมาชิกประเทศbricsสิ,ก็บอกแล้วจบรัฐบาลนี้ทัังแกนนำพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลให้หมดจบเร็วๆถีบออกเร็วๆ,จะแก้ไขปัญหาได้ทันทีในนายกฯพระราชทานเรา,พักงานสถาบันนักการเมืองชั่วคราวไปก่อนเพราะอนาคตอันใกล้นี้ ปัญญาสติธรรมดาพวกการเมืองไม่ทันวิกฤติโลกและภัยสาระพัดคุกคามที่โลกกระทำต่อประเทศต่างๆตลอดแบบเหี้ยเขมรคือภัยคุกคามด้านหนึ่งมุมหนึ่งให้เห็นล่วงหน้าชัดในอนาคตด้วยว่า อนาคต โลกต้องเป็นไปแบบใด ประเทศนั้นๆต้องเป็นไปทันโลกแก้เกมส์ให้ตนรอดจากโลกกระทำตนแบบใด นี้คือผู้นำไทยต้องขึ้นมาปกครองในอนาคตมีวิสัยทัศน์ทันกาลแบบนี้,มิใช่แบบปัจจุบันจริงๆ,,ทรัมป์มันเอาประเทศมันก่อน นี้คือความชัดเจนของการแสดงตัวตน,เราก็ต้องเอาประเทศไทยก่อน ชาติไทยเราก่อน คนไทยเราต้องมาก่อนเช่นกัน,ค้ากับอเมริกน้อยลงจะเป็นอะไร,รัฐบาลค้าขายในนามรัฐบาลมั้ยก็ไม่ใช่ เอกชนค้าขายกันเอง ร่ำรวยกันเองแค่รัฐบาลออกหน้าข่วยเท่านั้น,คนไทยก็ยากจนปกติแม้เอกชนไทยจะร่ำรวยติด50อันดับโลกเป็นอันมากก็ว่า,น้ำมันส่งออกไปอเมริกา ถามจริงๆบริษัทอเมริกาเองตั้งในประเทศไทยดูดน้ำมันบนแผ่นดินมากมายหลายบริษัท ถ้าทรัมป์ขึ้นภาษีน้ำมันดิบเข้าอเมริกาสัก300%อเมริกาในนามทรัมป์ได้ประโยชน์นะ,พวกนีัขายให้ไทยที่ไหน,มันบอกว่านำเข้าสู่ไทยนะรัฐบาลยุคเก่าๆนะ,ประเทศไทยมีน้ำมันน้อยมันว่า,ขึ้นสัก1,000%เลยก็ตามสบาย ไทยเราก็ไปค้าขายกับชาติอื่นสิ,นายกฯคนใหม่จบนานแล้ว,เด็กๆเจรจาอะไรมากพะสาทรัมป์,พะสาอเมริกา,เรา..มีเศรษฐกิจพอเพียงชูเป็นวาระแห่งชาตินโยบายชาติในการขับเคลื่อนประเทศจริง,ยึดบ่อน้ำมันอเมริกาและต่างชาติคืนทั้งหมดเพราะไม่ชอบด้วยสภาประชาธิปไตยแต่แรก สามารถโมฆะได้ ด้วยเป็นภัยคุกคามอธิปไตยประชาธิปไตยเราแต่ต้นโดยต่างชาติทุจริตกับข้าราชการไทยร่างกฎหมายไม่ผ่านสภาตามระบบประชาธิปไตยไทยเรา,ขัดต่อพื้นฐานระบบปกครองชัดเจน,สามารถโมฆะชอบด้วยธรรม,จากนัันดูดขายภายในประเทศราคาไม่แพงลิตรละ1-2บาทพอใน4-5ปีแล้ววิจัยผลทั้งหมดทั้งเชิงบวกเชิงลบ,พื้นฐานลดต้นทุนฐานของคนไทยลงทั้งหมดก่อน,จากนั้นอัดกระบวนการพึ่งพาตนเอง ภายในครอบครัวและส่วนตัวใครมันให้ได้พร้อมๆกันทั่วประเทศใน4-5ปีแรกนี้เช่นกัน,อัดตังสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาลงไปเบื้องต้น เช่น20ล้านครัวเรือน,ครัวเกษตรกรก่อนสักประมาณ6-10ล้านครัวเรือนๆละ100,000บาท เขาจะมีทุนปลูกนั่นนี้เลี้ยงนั้นนี้เป็นอาหารทันทีอาจยั่งยืนด้วยที่6แสนล้านบาทถึง1ล้านล้านบาทเอง,แต่ต้นทุนทางการเกษตรจากน้ำมันลิตรละ1-2บาทลดลงด้วยนะ 1ไร่อาจทำนาแค่30-60บาทต่อไร่เลย,ปุ๋ยกระสอบละ5-10บาทเองเพราะรัฐบาลส่งเสริมตรึมมากมายหลายทางตลอดค้าออฟไลน์ออนไลน์ก็สร้างแพลตฟอร์มเรียลไทม์รองรับตลาดไว้ให้ทั้งขายภายในประเทศและต่างประเทศฟรีๆไร้การเก็บค่าใดๆแบบแอปเอกชน ขายราคาไม่แพงตรงปลอดสารพิษจากสวนจากโรงงานร้านค้าตลอดประสานขนส่งโลจิตส์ต่างๆถูกๆอีกภายในประเทศ,หมุนเวียนทั่วโลกอาจกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีในทุกๆสัมมาอาชีพสไตล์ไทยเรา,คือกาก กระจอกจริงๆ แค่มีผู้นำดีบนแผ่นดินไทย ขึ้นว่าคนจนยากจนจะไม่มีบนแผ่นดินไทยเลย,พื้นๆคนไทยทุกๆคน อาจมีตังในบัญชีเงินฝากกองทุนแห่งชาติไทยตนเองมิใช่ในธนาคารเอกชนนะ อาจคนละ10ล้านบาทต่อปีขั้นต่ำในทุกๆคนไทยเรา,ไม่เกิน4-5ปีก็ว่า,หรือพื้นฐานครัวเรือนคนไทยทุกๆครัวเรือนกว่า20ล้านครัวเรือนนี้ในสถานะประชาชนทั่วไปด้วยอาจมีกันคนละ20ล้านบาทต่อปีต่อครัวเรือนนั้นๆก็ว่า,หรือไม่ต่ำกว่าล้านบาทต่อปีก็ว่าหมุนเวียนในสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาในรากฐานเศรษฐกิจเพียงพอพอเพียงแบบไทยเรา,ทุกๆคนมีเพียงพอพอเพียงในปากท้องการกินอยู่การมีตังมีเงินทองคู่ศีลธรรมความดีงามบนระดับจิตใจที่เลิศค่าสไตล์เมืองยิ้มคนไทยเรานี้ล่ะ,
    ..คนดีคนเก่งบนแผ่นดินไทยเราธรรมดาที่ไหนมีไม่น้อยด้วย,ทหารพระราชาเราต้องตัดสิ้นใจเด็ดขาดจริงๆ,โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว,เงาชั่วร้ายบนความล้ำสมัยอันตรายกว่ายุคเก่าก่อนทวีคูณยกกำลังสิบนะ,จะมาเล่นๆทำเล่นๆไม่ได้,เผด็จการคอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายมืดส่งออก,ประชาธิปไตยก็ฝ่ายมืดส่งออกนะ,แต่ระบบพระมหากษัตริย์ไม่ใช่,เราคือระบบพ่อแม่ปกครองลูก,ถ้าไม่ใช่ระบบนี้ ระบบพระมหากษัตริย์ประจำประเทศไทยจะเป็นแบบฝรั่งเศสสิ้นซากทันที,และเรามีพระพุทธศาสนาค้ำจุนระดับจิตใจกายนัยของคนไทยมิเช่นนั้นก็ไปวัดเช่นกัน,ตลอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายผู้มีฤทธิ์ในแต่ล่ะสภาวะกายจิตนั้นอีกตรึมเต็มประเทศ จึงไม่ธรรมดาเลย ถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระอรหันต์ที่เหาะเหินเดินอากาศไปมาตรึมในไทยที่มิไปไหนอีกยังคุ้มครองคนดีบนแผ่นดินไทยคุ้มครองพระพุทธศาสนาจนจะสิ้น5,000ปีอีก,ศาสนาอื่นเพียงมาพึ่งพาอาศัยเท่านั้น,หลักๆคือพระมหากษัตริย์เรา พระพุทธศาสนาและเรา..ประชาชน จึงร่วมดำรงชาติไทยเราไว้ได้ อเมริกาขี้หมา เอาแต่ได้เห็นแก่ตัวปล้นชิงแย่งสมบัติทรัพยากรเราเป็นอันดับหนึ่งสายใต้ดินทางลับโน้น,โกงแบบลับๆกินแบบแอบๆลับๆไม่บอกใคร,ญี่ปุ่นว่าทำสัญญาเหี้ยในอดีต แต่อเมริกาเหี้ยกว่ามากแดกเราทั้งประเทศเลย,สงครามเป็นอันมากบนโลกนี้ก็พวกฝรั่งยุโรปอเมริกาทั้งนั้นปั่นป่วนวุ่นวายจะขายเครื่องจักรอาวุธ,อนาคตมันจะขายหุ่นยนต์รบเร็วๆนี้ล่ะ,จีนผลิตเต็มใต้ดิน ไม่ต่างจากอเมริกาหรอกหรือรัสเชียยุโรปด้วยหรือในหลายๆประเทศทั่วโลกทำที่ใต้ดินตรึมแล้ว,หนังคนเหล็กนั่นล่ะคือตัวอย่างๆ,ผู้นำไทยเราจึงสำคัญมากในการจะปกป้องรักษาบ้านเราเองไว้มิให้ใครมาทำลายง่ายๆตราบใดที่มนุษย์โลกยังต่ำไม่สามารถยกระดับจิตระดับใจให้สูงขึ้นเป็นอันมากเป็นอันหมู่มากยังไม่ได้,
    ..ในที่นี้ ทรัมป์มันก็ทำเพื่อประเทศมัน,เราประเทศไทยล่ะ ต้องยุบสถาบันนักการเมืองลงจริงๆเลย จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม ประเทศไทยต้องสร้างระบบปกครองตนเองใหม่จริงๆในสไตล์ของเรา..ประเทศไทยตนเองเป็นของตนเอง.
    ..
    ..https://youtu.be/9a4L5BVu0Bw?si=mbP9Lexz3_sDgBZL
    ..555,ขึ้นไปเถอะถึง100%ก็ตามสบาย,ใครเสียผลประโยชน์ก็บริษัทเอกชนไทยทั้งสิ้นที่กำไรลดลงล่ะ,ตลอดถึงต่างชาติที่มาตั้งฐานโรงงานในไทยยืมแผ่นดินยืมชื่อประเทศไทยทำกำไรรายได้มหาศาลแก่ตนเองผ่านเนมไทยนี้ล่ะ,ไทยก็เข้าbrics แล้วจะกลัวอะไรก็ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในกลุ่มสมาชิกประเทศbricsสิ,ก็บอกแล้วจบรัฐบาลนี้ทัังแกนนำพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลให้หมดจบเร็วๆถีบออกเร็วๆ,จะแก้ไขปัญหาได้ทันทีในนายกฯพระราชทานเรา,พักงานสถาบันนักการเมืองชั่วคราวไปก่อนเพราะอนาคตอันใกล้นี้ ปัญญาสติธรรมดาพวกการเมืองไม่ทันวิกฤติโลกและภัยสาระพัดคุกคามที่โลกกระทำต่อประเทศต่างๆตลอดแบบเหี้ยเขมรคือภัยคุกคามด้านหนึ่งมุมหนึ่งให้เห็นล่วงหน้าชัดในอนาคตด้วยว่า อนาคต โลกต้องเป็นไปแบบใด ประเทศนั้นๆต้องเป็นไปทันโลกแก้เกมส์ให้ตนรอดจากโลกกระทำตนแบบใด นี้คือผู้นำไทยต้องขึ้นมาปกครองในอนาคตมีวิสัยทัศน์ทันกาลแบบนี้,มิใช่แบบปัจจุบันจริงๆ,,ทรัมป์มันเอาประเทศมันก่อน นี้คือความชัดเจนของการแสดงตัวตน,เราก็ต้องเอาประเทศไทยก่อน ชาติไทยเราก่อน คนไทยเราต้องมาก่อนเช่นกัน,ค้ากับอเมริกน้อยลงจะเป็นอะไร,รัฐบาลค้าขายในนามรัฐบาลมั้ยก็ไม่ใช่ เอกชนค้าขายกันเอง ร่ำรวยกันเองแค่รัฐบาลออกหน้าข่วยเท่านั้น,คนไทยก็ยากจนปกติแม้เอกชนไทยจะร่ำรวยติด50อันดับโลกเป็นอันมากก็ว่า,น้ำมันส่งออกไปอเมริกา ถามจริงๆบริษัทอเมริกาเองตั้งในประเทศไทยดูดน้ำมันบนแผ่นดินมากมายหลายบริษัท ถ้าทรัมป์ขึ้นภาษีน้ำมันดิบเข้าอเมริกาสัก300%อเมริกาในนามทรัมป์ได้ประโยชน์นะ,พวกนีัขายให้ไทยที่ไหน,มันบอกว่านำเข้าสู่ไทยนะรัฐบาลยุคเก่าๆนะ,ประเทศไทยมีน้ำมันน้อยมันว่า,ขึ้นสัก1,000%เลยก็ตามสบาย ไทยเราก็ไปค้าขายกับชาติอื่นสิ,นายกฯคนใหม่จบนานแล้ว,เด็กๆเจรจาอะไรมากพะสาทรัมป์,พะสาอเมริกา,เรา..มีเศรษฐกิจพอเพียงชูเป็นวาระแห่งชาตินโยบายชาติในการขับเคลื่อนประเทศจริง,ยึดบ่อน้ำมันอเมริกาและต่างชาติคืนทั้งหมดเพราะไม่ชอบด้วยสภาประชาธิปไตยแต่แรก สามารถโมฆะได้ ด้วยเป็นภัยคุกคามอธิปไตยประชาธิปไตยเราแต่ต้นโดยต่างชาติทุจริตกับข้าราชการไทยร่างกฎหมายไม่ผ่านสภาตามระบบประชาธิปไตยไทยเรา,ขัดต่อพื้นฐานระบบปกครองชัดเจน,สามารถโมฆะชอบด้วยธรรม,จากนัันดูดขายภายในประเทศราคาไม่แพงลิตรละ1-2บาทพอใน4-5ปีแล้ววิจัยผลทั้งหมดทั้งเชิงบวกเชิงลบ,พื้นฐานลดต้นทุนฐานของคนไทยลงทั้งหมดก่อน,จากนั้นอัดกระบวนการพึ่งพาตนเอง ภายในครอบครัวและส่วนตัวใครมันให้ได้พร้อมๆกันทั่วประเทศใน4-5ปีแรกนี้เช่นกัน,อัดตังสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาลงไปเบื้องต้น เช่น20ล้านครัวเรือน,ครัวเกษตรกรก่อนสักประมาณ6-10ล้านครัวเรือนๆละ100,000บาท เขาจะมีทุนปลูกนั่นนี้เลี้ยงนั้นนี้เป็นอาหารทันทีอาจยั่งยืนด้วยที่6แสนล้านบาทถึง1ล้านล้านบาทเอง,แต่ต้นทุนทางการเกษตรจากน้ำมันลิตรละ1-2บาทลดลงด้วยนะ 1ไร่อาจทำนาแค่30-60บาทต่อไร่เลย,ปุ๋ยกระสอบละ5-10บาทเองเพราะรัฐบาลส่งเสริมตรึมมากมายหลายทางตลอดค้าออฟไลน์ออนไลน์ก็สร้างแพลตฟอร์มเรียลไทม์รองรับตลาดไว้ให้ทั้งขายภายในประเทศและต่างประเทศฟรีๆไร้การเก็บค่าใดๆแบบแอปเอกชน ขายราคาไม่แพงตรงปลอดสารพิษจากสวนจากโรงงานร้านค้าตลอดประสานขนส่งโลจิตส์ต่างๆถูกๆอีกภายในประเทศ,หมุนเวียนทั่วโลกอาจกว่า100ล้านล้านบาทต่อปีในทุกๆสัมมาอาชีพสไตล์ไทยเรา,คือกาก กระจอกจริงๆ แค่มีผู้นำดีบนแผ่นดินไทย ขึ้นว่าคนจนยากจนจะไม่มีบนแผ่นดินไทยเลย,พื้นๆคนไทยทุกๆคน อาจมีตังในบัญชีเงินฝากกองทุนแห่งชาติไทยตนเองมิใช่ในธนาคารเอกชนนะ อาจคนละ10ล้านบาทต่อปีขั้นต่ำในทุกๆคนไทยเรา,ไม่เกิน4-5ปีก็ว่า,หรือพื้นฐานครัวเรือนคนไทยทุกๆครัวเรือนกว่า20ล้านครัวเรือนนี้ในสถานะประชาชนทั่วไปด้วยอาจมีกันคนละ20ล้านบาทต่อปีต่อครัวเรือนนั้นๆก็ว่า,หรือไม่ต่ำกว่าล้านบาทต่อปีก็ว่าหมุนเวียนในสัมมาชีวิตสัมมาอาชีพเขาในรากฐานเศรษฐกิจเพียงพอพอเพียงแบบไทยเรา,ทุกๆคนมีเพียงพอพอเพียงในปากท้องการกินอยู่การมีตังมีเงินทองคู่ศีลธรรมความดีงามบนระดับจิตใจที่เลิศค่าสไตล์เมืองยิ้มคนไทยเรานี้ล่ะ, ..คนดีคนเก่งบนแผ่นดินไทยเราธรรมดาที่ไหนมีไม่น้อยด้วย,ทหารพระราชาเราต้องตัดสิ้นใจเด็ดขาดจริงๆ,โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว,เงาชั่วร้ายบนความล้ำสมัยอันตรายกว่ายุคเก่าก่อนทวีคูณยกกำลังสิบนะ,จะมาเล่นๆทำเล่นๆไม่ได้,เผด็จการคอมมิวนิสต์ก็เป็นฝ่ายมืดส่งออก,ประชาธิปไตยก็ฝ่ายมืดส่งออกนะ,แต่ระบบพระมหากษัตริย์ไม่ใช่,เราคือระบบพ่อแม่ปกครองลูก,ถ้าไม่ใช่ระบบนี้ ระบบพระมหากษัตริย์ประจำประเทศไทยจะเป็นแบบฝรั่งเศสสิ้นซากทันที,และเรามีพระพุทธศาสนาค้ำจุนระดับจิตใจกายนัยของคนไทยมิเช่นนั้นก็ไปวัดเช่นกัน,ตลอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายผู้มีฤทธิ์ในแต่ล่ะสภาวะกายจิตนั้นอีกตรึมเต็มประเทศ จึงไม่ธรรมดาเลย ถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระอรหันต์ที่เหาะเหินเดินอากาศไปมาตรึมในไทยที่มิไปไหนอีกยังคุ้มครองคนดีบนแผ่นดินไทยคุ้มครองพระพุทธศาสนาจนจะสิ้น5,000ปีอีก,ศาสนาอื่นเพียงมาพึ่งพาอาศัยเท่านั้น,หลักๆคือพระมหากษัตริย์เรา พระพุทธศาสนาและเรา..ประชาชน จึงร่วมดำรงชาติไทยเราไว้ได้ อเมริกาขี้หมา เอาแต่ได้เห็นแก่ตัวปล้นชิงแย่งสมบัติทรัพยากรเราเป็นอันดับหนึ่งสายใต้ดินทางลับโน้น,โกงแบบลับๆกินแบบแอบๆลับๆไม่บอกใคร,ญี่ปุ่นว่าทำสัญญาเหี้ยในอดีต แต่อเมริกาเหี้ยกว่ามากแดกเราทั้งประเทศเลย,สงครามเป็นอันมากบนโลกนี้ก็พวกฝรั่งยุโรปอเมริกาทั้งนั้นปั่นป่วนวุ่นวายจะขายเครื่องจักรอาวุธ,อนาคตมันจะขายหุ่นยนต์รบเร็วๆนี้ล่ะ,จีนผลิตเต็มใต้ดิน ไม่ต่างจากอเมริกาหรอกหรือรัสเชียยุโรปด้วยหรือในหลายๆประเทศทั่วโลกทำที่ใต้ดินตรึมแล้ว,หนังคนเหล็กนั่นล่ะคือตัวอย่างๆ,ผู้นำไทยเราจึงสำคัญมากในการจะปกป้องรักษาบ้านเราเองไว้มิให้ใครมาทำลายง่ายๆตราบใดที่มนุษย์โลกยังต่ำไม่สามารถยกระดับจิตระดับใจให้สูงขึ้นเป็นอันมากเป็นอันหมู่มากยังไม่ได้, ..ในที่นี้ ทรัมป์มันก็ทำเพื่อประเทศมัน,เราประเทศไทยล่ะ ต้องยุบสถาบันนักการเมืองลงจริงๆเลย จะชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม ประเทศไทยต้องสร้างระบบปกครองตนเองใหม่จริงๆในสไตล์ของเรา..ประเทศไทยตนเองเป็นของตนเอง. .. ..https://youtu.be/9a4L5BVu0Bw?si=mbP9Lexz3_sDgBZL
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • พระสิวลีหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่
    พระสิวลีหลวงตาม้า พระเนื้อผงจักรพรรดิ์ผสมผงว่านเกษร 108 ชนิด (พิเศษด้านหลังฝังลูกแก้วมณีรัตนะ+เม็ดพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า ) วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ // พระสีวลี คือ"พระอรหันต์แห่งโชคลาภ" เป็นของดีที่หลวงตาม้าท่านตั้งใจมอบให้ญาติโยมทั้งหลายได้บูชาติดตัว // พระสถาพสวยมาก สมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภเงินทองเจริญรุ่งเรือง ป้องกันภูติผีปีศาจ คุณไสยและมนต์ดำทั้งปวง คงกระพันและมหาอุต เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เป็นสุดยอดมหามงคล >>

    ** พระสิวลีหลวงตาม้า พระเนื้อผงจักรพรรดิ์ผสมผงว่านเกษร 108 ชนิด (พิเศษด้านหลังฝังลูกแก้วมณีรัตนะ+เม็ดพระธาตุ ) วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ สร้างโดยหลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ) จ.เชียงใหม่ โดยหลวงตาม้า ศิษย์เอกหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ท่านได้รับผงกรรมฐานจากหลวงปู่มาสร้าง หลวงตาม้าท่านสำเร็จวิชาเปิดโลกมาจาก หลวงปู่ดู่อีกทีหนึ่งและเมตตานำมาสอนอยู่ในปัจจุบัน(ปัจจุบันผู้ที่แตกฉานวิชาหลวงปู่ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือท่านหลวงตาม้า) >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระสิวลีหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ พระสิวลีหลวงตาม้า พระเนื้อผงจักรพรรดิ์ผสมผงว่านเกษร 108 ชนิด (พิเศษด้านหลังฝังลูกแก้วมณีรัตนะ+เม็ดพระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า ) วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ // พระสีวลี คือ"พระอรหันต์แห่งโชคลาภ" เป็นของดีที่หลวงตาม้าท่านตั้งใจมอบให้ญาติโยมทั้งหลายได้บูชาติดตัว // พระสถาพสวยมาก สมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย โชคลาภเงินทองเจริญรุ่งเรือง ป้องกันภูติผีปีศาจ คุณไสยและมนต์ดำทั้งปวง คงกระพันและมหาอุต เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เป็นสุดยอดมหามงคล >> ** พระสิวลีหลวงตาม้า พระเนื้อผงจักรพรรดิ์ผสมผงว่านเกษร 108 ชนิด (พิเศษด้านหลังฝังลูกแก้วมณีรัตนะ+เม็ดพระธาตุ ) วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ สร้างโดยหลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ (ถ้ำเมืองนะ) จ.เชียงใหม่ โดยหลวงตาม้า ศิษย์เอกหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ท่านได้รับผงกรรมฐานจากหลวงปู่มาสร้าง หลวงตาม้าท่านสำเร็จวิชาเปิดโลกมาจาก หลวงปู่ดู่อีกทีหนึ่งและเมตตานำมาสอนอยู่ในปัจจุบัน(ปัจจุบันผู้ที่แตกฉานวิชาหลวงปู่ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือท่านหลวงตาม้า) >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 83 Views 0 Reviews
  • #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..

    #ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์

    ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

    #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์

    #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
    เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
    มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

    #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

    #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

    #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
    ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
    ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
    ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี
    และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
    คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
    การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

    #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
    ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
    ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
    การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
    ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้

    #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

    #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
    หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก
    #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
    (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

    #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก
    #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน
    นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

    #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์

    #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ
    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​
    คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย
    จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    ⚜️ #อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติ..⚜️ 🔱#ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์🔱 ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ✴️ #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ✴️ #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11 ✴️ #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250 คน ทั้ง 250 คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี ✴️ #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ ✴️ #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย) ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถมลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์ ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน ✴️ #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม ✴️ #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้ ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้ ✴️ #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก ✴️ #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก" หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ) ✴️ #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน ต่อมาค่ายบางระจันแตก ✴️ #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ✴️ #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่ 5 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ✴️ #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็น หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 🖋️📚หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ ⚜️พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)​⚜️ 🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 🧘จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • ..หมากที่จะแก้การยอมรับของนานาประเทศทั่วโลกคือปฏิวัติโดยประชาชนยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลที่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของชาติไทยตนเองโดยประชาชนที่ทั้งหมดนี้มีทหารพระราชายืนอยู่เคียงข้างประชาชนเราจะแก้เกมส์อีลิทdeep stateลวงโลกครอบงำโลกได้,จะประนามประฌามว่าทหารยึดอำนาจไม่ได้อีก,และอาจเป็นโมเดลต้นแบบของโลกชาติแรกประเทศแรกของโลกในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยึดอำนาจอย่างเป็นทางการและประชาชนทำแบบสุดซอยจัดตั้งรัฐบาลภาคประชาชนทางตรงเองอย่างจริงจังเสมือนวิจัยระบบวิถีการปกครองไปด้วยเหมือนวังดุสิตทดสอบระบบประชาธิปไตยก่อนจะนำมาใช้ปกครองในประเทศไทยแต่อีลิทdeep stateข้ามโลกมันชิงลงมือก่อนร่วมกับคนเนรคุณกบฎคณะ2475ก็ว่าทำการเปลี่ยนแปลงก่อนเพื่อตัดตอนองค์รู้ประชาชนมิให้เข้าใจบริบทของจริงชัดเจนได้,ให้เข้าใจแบบงูๆปลาเพื่ออ้างคำอ้างวลีตัวประชาธิปไตยมาปกครองคนโง่ประจำประเทศไทยได้,แล้วความซิปหายก็เริ่มต้นตั้งแต่เวลานั้นนั้นเอง ตัวอย่างชัดเจนคือบ่อน้ำมันบนแผ่นดินไทยมันยึดครอบครองไปหมดสิ้นจากแผ่นดินไทยเราหรือปล้นชิงโดยใช้อำนาจปกครองหลังฉากที่มันทำมาตลอดบนแผ่นดินไทยเขียนกฎหมายปล้นชิงอย่างชอบธรรมแก่พวกมันนั้นเอง,ประชาธิปไตยผีบ้าอะไรเสือกไม่เอาเข้าสภาสส.อภิปรายกันอย่างเปิดเผยกระจ่างชัดเจนให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้จริงทั้งหมดร่วมกัน เป็นต้น,นี้คือบริบทของจริงที่ปกครองผ่านระบบราชการไทยเราเองที่deep stateควบคุมปกครองประเทศไทยเราตลอดมา,หมากนี้เคยพูดสมัยประยุทธยึดอำนาจแล้วแต่เสียของมาก ทรยศประชาชนไม่ยึดคืนบ่อน้ำมันอะไรเลยด้วยกฎอัยการศึกกฎหมายพิเศษซึ่งสามารถโมฆะทุกๆกฎหมายของพรบ.กระทรวงทบวงกรมทั้งหมดได้และเขียนขึ้นใหม่ให้ไทยเป็นไทมิใช่ทาสได้แต่ก็ไม่ทำ,กษัตริย์คูเวตยึดอำนาจคืนจากสถาบันภาคการเมืองที่โกงกินประเทศจนพังพินาศนะพระองค์ยังจัดการทำสำเร็จก็ว่า,แต่เรา..ประชาชนคนไทยจะแก้ด้วยประชาชนยึดอำนาจทางตรงคืนมาแล้วไปให้สุดซอยคือตั้งรัฐบาลภาคประชาชนเองบริหารเอง จัดการทุกๆปัญหาของประชาชนคนไทยเราร่วมกันเองอย่างเป็นระบบใหม่,กวาดล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดที่ฝังเป็นรากเหง้าที่ลึกลับมานานเผาทิ้งให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย สิ้นสุดที่ลูกหลานเราต้องมาเหี้ยๆแบบรุ่นเราอีก,เมื่อถึงเวลาอันควรลูกหลานเราจะพร้อมต้องสถานการณ์ที่เหมาะสมในอีกยุคๆหนึ่งของเขาแน่นอนซึ่งเรารุ่นเราได้เขียนเป็นประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้อารยะธรรมดีงามในการต่อสู้ต่างๆไว้แล้วบนแผ่นดินไทยในแต่ละรุ่นยุคสมัยและให้เป็นค่าจริงที่สุด,ด้วยสติปัญญาของเขาเองที่จะปรีชาสามารถรักษาแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้แค่ไหนหรือรวมเป็นหนึ่งทั่วโลกก็คงยุคสมัยเขาแล้วแต่หน้างานยุคเราคือวางรากเหง้าที่ดีเป็นหลักใจดีงามต่อพวกเขาเป็นพื้นฐานหลักชัยใจไว้ย่อมดีแน่,อำนาจคือยุคปัจจุบันสมมุติต้องมีเพื่อวิถีการปกครองให้ประเทศนั่นๆสุขสงบร่มเย็นที่สุด,แต่วิถีปกครองในประเทศไทยเรามันเสื่อมทรามลงจะต้องปฏิวัติใหม่ทั้งหมด,และควรแก่จังหวะเวลาแล้วที่ต้องทำ..
    ..หมากนี้ต้องไม่เสียของแบบยุคประยุทธ เหี้ยอะไรขายที่ดินได้ไร่ละ40ล้านบาท เหี้ยอะไรให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้99ปีสำเร็จในยุคประยุทธแต่ยุคทักษิณกลับไม่สำเร็จ,เหี้ยอะไร ครม.ยุคประยุทธมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับครม.ยุคทักษิณทั้งหมด,อะไรที่ยุคทักษิณทำไม่สำเร็จ ทำไมสำเร็จในยุคประยุทธเสียส่วนใหญ่.,คนไทยเรากินแกลบหมดทั้งประเทศใช่มั้ยจึงไม่เฉลียวใจมองดูค่าจริงอะไร,นี้จึงต้องสุดซอย,ทหารยุคนี้หากไม่ใช่ทหารพระราชาก่อการเตรียมพินาศทั้งประเทศเลยเพราะเวลาเราหมดแล้ว,อาจยานสภากาแล็กติกจักรวาลต้องระเบิดประเทศไทยนี้ทิ้งทั้งหมดแล้วใช้เทคโนโลยีล้ำคืนสภาพธรรมชาติกลับคืนมาใหม่ทั้งหมดอีกครั้งแต่ดวงจิตวิญญาณคนไทยต้องไปเกิดในดวงดาวต่างๆคนละเรเวลแล้ว ย้ายดาวแน่นอน,ยานอวกาศจะกวาดล้างเอง เขาให้โอกาสจัดการกันเองแค่นั้น,เหมือนทรัมป์หากไม่จัดการ เขาจะจัดการเองแล้วคำว่าอภัยโทษใดๆจะไม่มีเลย,โลกต้องอัพเรเวลแล้วนั้นเอง,เขาไม่ปล่อยเวลาเนิ่นนานแล้ว,หรือฝ่ายแสงผิวโลกในไทยต้องรีบจัดการหากไม่จัดการเตรียมไปวัดได้เลย,เราได้ย้ายวิญญาณแน่นอน,อาจไม่มีโอกาสมาเกิดเล่นสนุกสนานบนโลกใบนี้อีก,จิตสัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์บนดาวอื่น,เรเวลชั่วเลวระดับเดียวกันไปดาวเดียวกันนั่นเอง,จักรวาลเริ่มเก็บกวาดแล้วนั้นเอง ใครระดับไหนก็ไปอยู่ระดับนั้นแล้ว,จะไม่ปะปนมั่วแบบนี้อีก,หากผู้นำผิวโลกยังไม่จัดการซวยแน่นอน,หากจัดการทันก็ยังได้มาตายมาเกิดใหม่สนุกสนานอัพเรเวลอย่างอิสระเสรีตามปัจเจกอัตลักษณ์จริตสันดานนิสัยใครมันได้ ยกระดับจิตระดับใจบนโลกมนุษย์ที่สวยงามอีกดวงดาวหนึ่งในจักรวาลนี้ต่อไปได้,หากไม่ทำ,ทั้งหมดถึงย้ายหมดจะพวกใต้ดินพวกใต้โลกกลวงไปหมด,นี้มโนอีกมุมก็ว่าแต่ถ้าจริง,มีหนาวล่ะ,กลับบ้านใครมันทั้งหมด,มาจากนรกมาจากสัตว์แรปทีเลี่ยนมาจากเผ่าพันธุ์ไหนกลับหมด,ส่วนโลกจะเหลือใครไว้เราอจินไตยจะมีส่วนตัดสินใจหรือรับรู้ได้,เขาให้โอกาสเรานั่นเอง,มนุษย์คือเผ่าพันธุ์พิเศษเลิศแล้วในปัจจุบันนี้อ้างอิงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์คือตัวอย่างที่ดี,มนุษย์สมบัติเราพร้อมครบทุกๆด้านในเวลานี้,อำนาจปกครองยังมีอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้า การปกครองยังสำคัญต่อสมมุติโลกเรานั้นเอง,และเราจะรอดต้องศีลธรรมคุณงามความดีต้องกลับมา,ธรรมจักรวาลต้องกลับมา,ธรรมเท่านั้นจะคุ้มครองแผ่นดินไทยและคนไทยให้รอดพ้นภัยหายนะพิบัติใดๆได้,หรือยานแม่สามารถดูดร่างกายคนไทยย้ายไปดวงดาวที่ปล่อยภัยได้สบายมาก,ยานแม่ใหญ่กว่าโลกอาจ4-5เท่าโน้น,หรือมาจากมหาจักรวาลวาล์ปมารูหนอนมาหลุมดำมาก็ได้หมด,เทคโนโลยีของยานที่มาจากมหาจักรวาลทั้งใหญ่โตและล้ำสมัยโคตรๆแน่นอน,คือย้ายทั้งแผ่นดินไทยและคนไทยก็ไปได้สบายนั้นเอง.,ยุคเราอาจได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นโดยเฉพาะคนไทย,เหมือนคนเขากะลาพวกเขากะลานั้นล่ะเห็นยานบินต่างดาวสไตล์กลุ่มของเขา,เปิดระบบรักษาพูดจาตามเขารับรู้ของเขา.,นี้ก็มโนตามของเรา,หน้างานคือถีบผู้นำปัจจุบันลงทันทีพักงานสถาบันนักการเมืองทั้งหมด,
    ..เราต้องฟื้นฟูศีลธรรมอันดีงามหรือธรรมจักรวาลยกจิตยกใจคู่ขนานทางวัตถุธาตุของโลกโดยเร็วจริงๆ.,ประเทศไทยสมบูรณ์อุดมกว่าชาติใดๆในโลก,ครูบาอาจารย์ทางจิตทางใจคือเครื่องยืนยันสถานะเราแล้ว,ที่เหลือคือรุ่นเราจริงๆ,ยุคเราต้องจบพวกมันทั้งหมด,เรามีคนชั่วเลวบนแผ่นดินไทยมากเกินไป,เราสามารถส่งพวกมันย้ายดวงดาวก่อนล่วงหน้าได้ ที่เหลือพระเจ้าพวกมันจะตัดสินใจแทนมันเอง.
    ..
    ..https://youtu.be/603oeepdDG8?si=gbeVchhoJAamZqeg
    ..หมากที่จะแก้การยอมรับของนานาประเทศทั่วโลกคือปฏิวัติโดยประชาชนยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลที่เป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของชาติไทยตนเองโดยประชาชนที่ทั้งหมดนี้มีทหารพระราชายืนอยู่เคียงข้างประชาชนเราจะแก้เกมส์อีลิทdeep stateลวงโลกครอบงำโลกได้,จะประนามประฌามว่าทหารยึดอำนาจไม่ได้อีก,และอาจเป็นโมเดลต้นแบบของโลกชาติแรกประเทศแรกของโลกในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการยึดอำนาจอย่างเป็นทางการและประชาชนทำแบบสุดซอยจัดตั้งรัฐบาลภาคประชาชนทางตรงเองอย่างจริงจังเสมือนวิจัยระบบวิถีการปกครองไปด้วยเหมือนวังดุสิตทดสอบระบบประชาธิปไตยก่อนจะนำมาใช้ปกครองในประเทศไทยแต่อีลิทdeep stateข้ามโลกมันชิงลงมือก่อนร่วมกับคนเนรคุณกบฎคณะ2475ก็ว่าทำการเปลี่ยนแปลงก่อนเพื่อตัดตอนองค์รู้ประชาชนมิให้เข้าใจบริบทของจริงชัดเจนได้,ให้เข้าใจแบบงูๆปลาเพื่ออ้างคำอ้างวลีตัวประชาธิปไตยมาปกครองคนโง่ประจำประเทศไทยได้,แล้วความซิปหายก็เริ่มต้นตั้งแต่เวลานั้นนั้นเอง ตัวอย่างชัดเจนคือบ่อน้ำมันบนแผ่นดินไทยมันยึดครอบครองไปหมดสิ้นจากแผ่นดินไทยเราหรือปล้นชิงโดยใช้อำนาจปกครองหลังฉากที่มันทำมาตลอดบนแผ่นดินไทยเขียนกฎหมายปล้นชิงอย่างชอบธรรมแก่พวกมันนั้นเอง,ประชาธิปไตยผีบ้าอะไรเสือกไม่เอาเข้าสภาสส.อภิปรายกันอย่างเปิดเผยกระจ่างชัดเจนให้คนไทยทั้งประเทศรับรู้จริงทั้งหมดร่วมกัน เป็นต้น,นี้คือบริบทของจริงที่ปกครองผ่านระบบราชการไทยเราเองที่deep stateควบคุมปกครองประเทศไทยเราตลอดมา,หมากนี้เคยพูดสมัยประยุทธยึดอำนาจแล้วแต่เสียของมาก ทรยศประชาชนไม่ยึดคืนบ่อน้ำมันอะไรเลยด้วยกฎอัยการศึกกฎหมายพิเศษซึ่งสามารถโมฆะทุกๆกฎหมายของพรบ.กระทรวงทบวงกรมทั้งหมดได้และเขียนขึ้นใหม่ให้ไทยเป็นไทมิใช่ทาสได้แต่ก็ไม่ทำ,กษัตริย์คูเวตยึดอำนาจคืนจากสถาบันภาคการเมืองที่โกงกินประเทศจนพังพินาศนะพระองค์ยังจัดการทำสำเร็จก็ว่า,แต่เรา..ประชาชนคนไทยจะแก้ด้วยประชาชนยึดอำนาจทางตรงคืนมาแล้วไปให้สุดซอยคือตั้งรัฐบาลภาคประชาชนเองบริหารเอง จัดการทุกๆปัญหาของประชาชนคนไทยเราร่วมกันเองอย่างเป็นระบบใหม่,กวาดล้างสิ่งสกปรกทั้งหมดที่ฝังเป็นรากเหง้าที่ลึกลับมานานเผาทิ้งให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย สิ้นสุดที่ลูกหลานเราต้องมาเหี้ยๆแบบรุ่นเราอีก,เมื่อถึงเวลาอันควรลูกหลานเราจะพร้อมต้องสถานการณ์ที่เหมาะสมในอีกยุคๆหนึ่งของเขาแน่นอนซึ่งเรารุ่นเราได้เขียนเป็นประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้อารยะธรรมดีงามในการต่อสู้ต่างๆไว้แล้วบนแผ่นดินไทยในแต่ละรุ่นยุคสมัยและให้เป็นค่าจริงที่สุด,ด้วยสติปัญญาของเขาเองที่จะปรีชาสามารถรักษาแผ่นดินไทยนี้ต่อไปได้แค่ไหนหรือรวมเป็นหนึ่งทั่วโลกก็คงยุคสมัยเขาแล้วแต่หน้างานยุคเราคือวางรากเหง้าที่ดีเป็นหลักใจดีงามต่อพวกเขาเป็นพื้นฐานหลักชัยใจไว้ย่อมดีแน่,อำนาจคือยุคปัจจุบันสมมุติต้องมีเพื่อวิถีการปกครองให้ประเทศนั่นๆสุขสงบร่มเย็นที่สุด,แต่วิถีปกครองในประเทศไทยเรามันเสื่อมทรามลงจะต้องปฏิวัติใหม่ทั้งหมด,และควรแก่จังหวะเวลาแล้วที่ต้องทำ.. ..หมากนี้ต้องไม่เสียของแบบยุคประยุทธ เหี้ยอะไรขายที่ดินได้ไร่ละ40ล้านบาท เหี้ยอะไรให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้99ปีสำเร็จในยุคประยุทธแต่ยุคทักษิณกลับไม่สำเร็จ,เหี้ยอะไร ครม.ยุคประยุทธมีหน้าตาพิมพ์เดียวกับครม.ยุคทักษิณทั้งหมด,อะไรที่ยุคทักษิณทำไม่สำเร็จ ทำไมสำเร็จในยุคประยุทธเสียส่วนใหญ่.,คนไทยเรากินแกลบหมดทั้งประเทศใช่มั้ยจึงไม่เฉลียวใจมองดูค่าจริงอะไร,นี้จึงต้องสุดซอย,ทหารยุคนี้หากไม่ใช่ทหารพระราชาก่อการเตรียมพินาศทั้งประเทศเลยเพราะเวลาเราหมดแล้ว,อาจยานสภากาแล็กติกจักรวาลต้องระเบิดประเทศไทยนี้ทิ้งทั้งหมดแล้วใช้เทคโนโลยีล้ำคืนสภาพธรรมชาติกลับคืนมาใหม่ทั้งหมดอีกครั้งแต่ดวงจิตวิญญาณคนไทยต้องไปเกิดในดวงดาวต่างๆคนละเรเวลแล้ว ย้ายดาวแน่นอน,ยานอวกาศจะกวาดล้างเอง เขาให้โอกาสจัดการกันเองแค่นั้น,เหมือนทรัมป์หากไม่จัดการ เขาจะจัดการเองแล้วคำว่าอภัยโทษใดๆจะไม่มีเลย,โลกต้องอัพเรเวลแล้วนั้นเอง,เขาไม่ปล่อยเวลาเนิ่นนานแล้ว,หรือฝ่ายแสงผิวโลกในไทยต้องรีบจัดการหากไม่จัดการเตรียมไปวัดได้เลย,เราได้ย้ายวิญญาณแน่นอน,อาจไม่มีโอกาสมาเกิดเล่นสนุกสนานบนโลกใบนี้อีก,จิตสัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์บนดาวอื่น,เรเวลชั่วเลวระดับเดียวกันไปดาวเดียวกันนั่นเอง,จักรวาลเริ่มเก็บกวาดแล้วนั้นเอง ใครระดับไหนก็ไปอยู่ระดับนั้นแล้ว,จะไม่ปะปนมั่วแบบนี้อีก,หากผู้นำผิวโลกยังไม่จัดการซวยแน่นอน,หากจัดการทันก็ยังได้มาตายมาเกิดใหม่สนุกสนานอัพเรเวลอย่างอิสระเสรีตามปัจเจกอัตลักษณ์จริตสันดานนิสัยใครมันได้ ยกระดับจิตระดับใจบนโลกมนุษย์ที่สวยงามอีกดวงดาวหนึ่งในจักรวาลนี้ต่อไปได้,หากไม่ทำ,ทั้งหมดถึงย้ายหมดจะพวกใต้ดินพวกใต้โลกกลวงไปหมด,นี้มโนอีกมุมก็ว่าแต่ถ้าจริง,มีหนาวล่ะ,กลับบ้านใครมันทั้งหมด,มาจากนรกมาจากสัตว์แรปทีเลี่ยนมาจากเผ่าพันธุ์ไหนกลับหมด,ส่วนโลกจะเหลือใครไว้เราอจินไตยจะมีส่วนตัดสินใจหรือรับรู้ได้,เขาให้โอกาสเรานั่นเอง,มนุษย์คือเผ่าพันธุ์พิเศษเลิศแล้วในปัจจุบันนี้อ้างอิงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์คือตัวอย่างที่ดี,มนุษย์สมบัติเราพร้อมครบทุกๆด้านในเวลานี้,อำนาจปกครองยังมีอยู่ในสมัยพระพุทธเจ้า การปกครองยังสำคัญต่อสมมุติโลกเรานั้นเอง,และเราจะรอดต้องศีลธรรมคุณงามความดีต้องกลับมา,ธรรมจักรวาลต้องกลับมา,ธรรมเท่านั้นจะคุ้มครองแผ่นดินไทยและคนไทยให้รอดพ้นภัยหายนะพิบัติใดๆได้,หรือยานแม่สามารถดูดร่างกายคนไทยย้ายไปดวงดาวที่ปล่อยภัยได้สบายมาก,ยานแม่ใหญ่กว่าโลกอาจ4-5เท่าโน้น,หรือมาจากมหาจักรวาลวาล์ปมารูหนอนมาหลุมดำมาก็ได้หมด,เทคโนโลยีของยานที่มาจากมหาจักรวาลทั้งใหญ่โตและล้ำสมัยโคตรๆแน่นอน,คือย้ายทั้งแผ่นดินไทยและคนไทยก็ไปได้สบายนั้นเอง.,ยุคเราอาจได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นโดยเฉพาะคนไทย,เหมือนคนเขากะลาพวกเขากะลานั้นล่ะเห็นยานบินต่างดาวสไตล์กลุ่มของเขา,เปิดระบบรักษาพูดจาตามเขารับรู้ของเขา.,นี้ก็มโนตามของเรา,หน้างานคือถีบผู้นำปัจจุบันลงทันทีพักงานสถาบันนักการเมืองทั้งหมด, ..เราต้องฟื้นฟูศีลธรรมอันดีงามหรือธรรมจักรวาลยกจิตยกใจคู่ขนานทางวัตถุธาตุของโลกโดยเร็วจริงๆ.,ประเทศไทยสมบูรณ์อุดมกว่าชาติใดๆในโลก,ครูบาอาจารย์ทางจิตทางใจคือเครื่องยืนยันสถานะเราแล้ว,ที่เหลือคือรุ่นเราจริงๆ,ยุคเราต้องจบพวกมันทั้งหมด,เรามีคนชั่วเลวบนแผ่นดินไทยมากเกินไป,เราสามารถส่งพวกมันย้ายดวงดาวก่อนล่วงหน้าได้ ที่เหลือพระเจ้าพวกมันจะตัดสินใจแทนมันเอง. .. ..https://youtu.be/603oeepdDG8?si=gbeVchhoJAamZqeg
    0 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • *****.....พระปิดตา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....ปี.....2555.....*****

    *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....*****

    *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....*****

    #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....พระปิดตา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....ปี.....2555.....***** *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....***** *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....***** #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • *****.....เหรียญ.....พ่อท่าน คล้อย.....วัดภูเขาทอง.....หน้าหนุ่ม.....ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....จ.พัทลุง.....*****

    *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....*****

    *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....*****

    #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #เหนือดวง #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....เหรียญ.....พ่อท่าน คล้อย.....วัดภูเขาทอง.....หน้าหนุ่ม.....ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....จ.พัทลุง.....***** *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....***** *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....***** #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #เหนือดวง #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    สัทธรรมลำดับที่ : 1025
    ชื่อบทธรรม : -วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    --นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ?
    --นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย
    ๑.ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทเธอเวจจัปปสาเทนะ)
    ดังนี้ว่า
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=พุทฺเธ+อเวจฺจปฺปสาเทน
    “แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
    เป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
    เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
    เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
    เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม
    เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”
    ดังนี้.
    อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่
    เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว
    แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือ
    เพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=ปวิเวกาย+ปฏิสลฺลานาย
    +--เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้,
    ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น;
    เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น;
    เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ;
    ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข;
    จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ)
    เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ;
    เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ
    ได้ว่า
    เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้.

    (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะ
    ที่สอง คือ
    ๒.ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี
    ที่สาม คือ
    ๓.ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี
    ที่สี่ คือ
    ๔.ความมีศีลอ้นเป็นอริย-ประเสริฐ (อริยกันตศีล--อริยกนฺเตหิ สีเลหิ)​
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=อริยกนฺเตหิ+สีเลหิ
    ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบน
    ที่กล่าวถึงความ
    ๑.เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    )
    --นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า #เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.-

    (ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า
    แม้จะเป็นเตรียม พระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม)
    หรือ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม
    ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป
    ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ.
    ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า
    กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก
    กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ
    แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา
    จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์
    ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ.
    อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือ
    กลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ
    เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์.
    แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว
    ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน
    เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์.
    ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ
    ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง
    โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/359/1602
    http://etipitaka.com/read/thai/19/395/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๑/๑๖๐๒
    http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1025
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก สัทธรรมลำดับที่ : 1025 ชื่อบทธรรม : -วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025 เนื้อความทั้งหมด :- --วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก --นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ? --นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย ๑.ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทเธอเวจจัปปสาเทนะ) ดังนี้ว่า http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=พุทฺเธ+อเวจฺจปฺปสาเทน “แม้เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่ เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือ เพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน. http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=ปวิเวกาย+ปฏิสลฺลานาย +--เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้, ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ; ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข; จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ; เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ ได้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้. (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะ ที่สอง คือ ๒.ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สาม คือ ๓.ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สี่ คือ ๔.ความมีศีลอ้นเป็นอริย-ประเสริฐ (อริยกันตศีล--อริยกนฺเตหิ สีเลหิ)​ http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=อริยกนฺเตหิ+สีเลหิ ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบน ที่กล่าวถึงความ ๑.เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ) --นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า #เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.- (ขอให้สังเกตเห็นใจความสำคัญที่ว่า แม้จะเป็นเตรียม พระโสดาบัน (คือธัมมานุสารี และสัทธานุสารีก็ตาม) หรือ เป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม ยังมีกิจคือความไม่ประมาทที่จะต้องกระทำสืบต่อยิ่งขึ้นไป ความข้อความในพระสูตรนี้ ให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทอยู่เสมอ. ข้อปฏิบัติเหล่านั้นมีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า กลางวันมีวิเวก คือสงัดจากความรบกวนภายนอก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แต่มากำหนดอยู่ที่ธรรมอันควรกำหนดอยู่ตลอดเวลา จนเกิดผลตามลำดับ นับตั้งแต่ความปราโมทย์ ไปจนถึงความปรากฏแห่งธรรมที่ยังไม่เคยปรากฏ. อริยสาวกชั้นที่สูงขึ้นไปก็มีหลักปฏิบัติทำนองนี้ คือ กลางวันมีวิเวิก กลางคืนมีปฏิสัลลาณะ เพื่อบรรลุธรรมชั้นที่สูงขึ้นไปกว่าที่บรรลุอยู่ จนกระทั่งถึงชั้นพระอรหันต์. แม้ชั้นพระอรหันต์ซึ่งเป็นชั้นที่ถึงที่สุดแห่งความไม่ประมาทแล้ว ก็ยังมีวิเวกในกลางวัน มีปฏิสัลลาณะในกลางคืน เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของบุคคลผู้ถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์. ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการอยู่อย่างมีวิเวกและมีปฏิสัลลาณะ ว่าเป็นฐานรากในการสืบต่อความไม่ประมาทให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในตัวเอง โดยไม่ต้องลำบากมากมายนัก ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/359/1602 http://etipitaka.com/read/thai/19/395/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๐๑/๑๖๐๒ http://etipitaka.com/read/pali/19/501/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1025 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1025 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก
    -(ผู้ยึดการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคเป็นหลัก พึงมองให้เห็นความสำคัญที่สุดแห่งพระบาลีนี้ ที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าปฏิบัติในชั้นลึกคือการรู้เห็นอย่างถูกต้องเกี่ยวกับอายตนะอันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาอุปทานแล้ว ย่อมเป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติอริยอัฏฐังคิกมรรคอย่างครบถ้วน ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่เสียเวลามากเหมือนผู้ปฏิบัติชนิดแจกแจงเป็นองค์ๆ และองค์ละหลายๆ อย่าง ซึ่งโดยมากปฏิบัติจนตายหรือเกือบตายก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ จึงขอเน้นความสำคัญอย่างยิ่งแห่งพระบาลีนี้ แก่ผู้ปฏิบัติทุกคน. ข้อความที่ยกมานี้ ยกมาแต่ข้อความที่แสดงด้วยเรื่องของจักษุ ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงเอาเองออกไปถึงเรื่องของ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมโน แต่ละอย่างๆ ออกเป็นห้าประเด็น เหมือนอย่างที่แสดงไว้ในกรณีแห่งจักษุข้างต้นนั้น, ก็จะได้อายตนะนิกธรรม ๖ หมวดๆ ละ ๕ อย่าง; รวมเป็น ๓๐ อย่าง โดยบริบูรณ์). วิธีการสืบต่อความไม่ประมาทของอริยสาวก นันทิยะ ! อริยสาวก เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท เป็นอย่างไรเล่า ? นันทิยะ ! ในกรณีนี้คือ อริยสาวก เป็นผู้ประกอบด้วย ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว (พุทธอเวจจัปปสาทะ) ดังนี้ว่า “แม้เพราะ เหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้. อริยสาวกนั้น ไม่มีความพอใจหยุดอยู่ เพียงแค่ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว แต่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป คือเพื่อความวิเวกในกลางวัน เพื่อความหลีกเร้นในกลางคืน. เมื่ออริยสาวกนั้น เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่อย่างนี้, ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติ (ความอิ่มใจ) ย่อมเกิดขึ้น; เมื่อมีใจปีติ กายก็สงบระงับ; ผู้มีกายสงบระงับ ย่อมรู้สึกเป็นสุข; จิตของ ผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น (เป็นสมาธิ) เมื่อจิตตั้งมั่น ธรรม (ที่ยังไม่เคยปรากฏ) ย่อมปรากฏ; เพราะความปรากฏแห่งธรรม อริยสาวกนั้น ย่อมถึงซึ่งการนับ ได้ว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท โดยแท้. (ในกรณีแห่งโสตาปัตติยังคะที่สอง คือ ความเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สามคือ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ก็ดี ที่สี่คือ ความมีศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ (อริยกันตศีล) ก็ดี ก็ได้ทรงตรัสไว้มีข้อความอย่างเดียวกันกับข้อความข้างบนที่กล่าวถึงความ เลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ) นันทิยะ ! อย่างนี้แล อริยสาวกชื่อว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • รูปหล่อหลวงพ่อเฟื่อง วัดคงคาเลียบ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
    รูปหล่อหลวงพ่อเฟื่อง (ก้นตันไม่อุดกริ่ง) เนื้อทองฝาบาตร+รมดำ (สร้างจำนวนน้อย) วัดคงคาเลียบ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา // พระดีพิธีใหญ่ หลวงพ่อเฟื่องเป็นพระอรหันต์เกจิที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก และมีผู้คนทั้งชาวสงขลา หาดใหญ่ ชาวไทยและต่างชาติ ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมากมาย ... // พระสถาพสวยมาก ผิงหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >

    ** พุทธคุณด้านเมตตาหานิยม โภคทรัพย์ คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เรียกทรัพย์หนุนดวง โชคลาภมหาสมบัติค้าขายร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง @@

    ** หลวงพ่อเฟื่อง วัดคงคาเลียบ ผู้ซึ่งมีอัฐิกลายเป็นพระธาตุ แม้แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็เคารพนับถือ และกล่าวถึงอยู่เนือง ๆ...หลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเฟื่อง ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงพ่อเฟื่อง ได้กล่าวยกย่องถึงหลวงพ่อเฟื่องเสมอ จึงเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ท่านพูดถึงนั้นต้องจริง....หลวงพ่อคล้ายซึ่งเป็นพระอาจารย์ชื่อดังทางภาคใต้ได้ให้ความนับถือและเคารพในตัวหลวงพ่อเฟื่องมาก หลังจากท่านหลวงพ่อเฟื่องมรณภาพล่วงลับไปแล้ว หลวงพ่อคล้ายได้หาเงินมาจัดทอดกฐินให้ทางวัดคงคาเลียบทุก ๆ ปี และได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของหลวงพ่อเฟื่อง >>


    ** พระสถาพสวยมาก ผิงหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    รูปหล่อหลวงพ่อเฟื่อง วัดคงคาเลียบ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รูปหล่อหลวงพ่อเฟื่อง (ก้นตันไม่อุดกริ่ง) เนื้อทองฝาบาตร+รมดำ (สร้างจำนวนน้อย) วัดคงคาเลียบ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา // พระดีพิธีใหญ่ หลวงพ่อเฟื่องเป็นพระอรหันต์เกจิที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก และมีผู้คนทั้งชาวสงขลา หาดใหญ่ ชาวไทยและต่างชาติ ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมากมาย ... // พระสถาพสวยมาก ผิงหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ > ** พุทธคุณด้านเมตตาหานิยม โภคทรัพย์ คุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เรียกทรัพย์หนุนดวง โชคลาภมหาสมบัติค้าขายร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง @@ ** หลวงพ่อเฟื่อง วัดคงคาเลียบ ผู้ซึ่งมีอัฐิกลายเป็นพระธาตุ แม้แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็เคารพนับถือ และกล่าวถึงอยู่เนือง ๆ...หลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเฟื่อง ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานจากหลวงพ่อเฟื่อง ได้กล่าวยกย่องถึงหลวงพ่อเฟื่องเสมอ จึงเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ท่านพูดถึงนั้นต้องจริง....หลวงพ่อคล้ายซึ่งเป็นพระอาจารย์ชื่อดังทางภาคใต้ได้ให้ความนับถือและเคารพในตัวหลวงพ่อเฟื่องมาก หลังจากท่านหลวงพ่อเฟื่องมรณภาพล่วงลับไปแล้ว หลวงพ่อคล้ายได้หาเงินมาจัดทอดกฐินให้ทางวัดคงคาเลียบทุก ๆ ปี และได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของหลวงพ่อเฟื่อง >> ** พระสถาพสวยมาก ผิงหิ้ง พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากกครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • *****.....พระปิดตา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....ปี.....2555.....*****

    *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....*****

    *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....*****

    #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....พระปิดตา.....เหนือดวง.....สายเขาอ้อ.....ปี.....2555.....***** *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....***** *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....***** #พระเก๊มีทุกรุ่น #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 Comments 0 Shares 302 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ
    สัทธรรมลำดับที่ : 1006
    ชื่อบทธรรม :- ค. ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1006
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ค. ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ
    --อานนท์ ! บุคคลผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว
    ในขั้นอริยะ (อริยภาวิตินฺทฺริย) เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=อริโย+ภาวิตินฺทฺริโย
    --อานนท์ ! ในกรณีนี้
    ความพอใจ – ความไม่พอใจ – ความพอใจและไม่พอใจ
    เกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะ
    เห็นรูปด้วยจักษุ ....
    ฟังเสียงด้วยโสตะ ....
    ดมกลิ่นด้วยฆานะ ....
    ลิ้มรสด้วยชิวหา ....
    ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยผิวกาย ....
    รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ.
    ภิกษุนั้น : -
    +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า
    ไม่ปฏิกูล ในสิ่งที่เป็นปฏิกูล (คือไม่พอใจ หรือเป็นที่ตั้งของโทสะ)
    ดังนี้
    เธอก็ อยู่อย่างผู้มี ความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้.
    +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า
    ปฏิกูล ในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล (คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ รังแต่จะเป็นที่ตั้งแห่งราคะ)
    ดังนี้
    เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้.
    +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า
    ไม่ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่เป็นปฏิกูล
    ดังนี้
    เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูลนั้นได้.
    +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า
    ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่เป็นปฏิกูล
    ดังนี้
    เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้.
    +--และถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างเว้นขาดจากความรู้สึกว่า
    ปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่างเสีย แล้วอยู่อย่างผู้อุเบกขา #มีสติสัมปชัญญะ
    ดังนี้
    เธอก็ อยู่อย่างผู้อุเบกขามีสติสัมปชัญญะในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่างนั้นได้.
    --อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า #บุคคลผู้มีอินทรีย์อันเจริญแล้ว ในขั้นอริยะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/547/?keywords=อริโย+ภาวิตินฺทฺริโย

    ( ข้อนี้หมายถึงผู้เจริญอินทรีย์จนบังคับจิตได้
    ในกรณีที่เกี่ยวกับความเป็นปฏิกูล ความไม่ปฏิกูล และ
    ความพ้นจากความหมายแห่งความเป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูล
    จึงสามารถบังคับจิต ควบคุมจิตไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย
    แต่อยู่ด้วยอุเบกขาได้ถึงที่สุด.
    เข้าใจว่า แม้ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็สามารถกระทำได้.
    อนึ่ง ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็น
    ความหมายของคำว่าเสขะ
    จากข้อความในเนื้อความบทธรรม สัทธรรมลำดับที่​ 1005 และ
    ความหมายของคำว่าอริยะ
    จากข้อความในเรื่องนี้, ว่าจะต่างกันอย่างไร
    ).
    --อานนท์ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล เป็นอันว่า
    #อนุตตรอินทรียภาวนา ในอริยวินัย เราแสดงแล้วแก่เธอ.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/547/?keywords=อริยสฺส+อินฺทฺริยภาวนา
    เสขปาฏิบท เราก็แสดงแล้วแก่เธอ.
    อริยภาวิตินทริยะ เราก็แสดงแล้วแก่เธอ.
    --อานนท์ !
    กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
    อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย ;
    กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย.
    --อานนท์ ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย(รุกฺขมูลานิ) นั่น เรือนว่างทั้งหลาย.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/548/?keywords=รุกฺขมูลานิ
    --อานนท์ ! พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท.
    พวกเธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
    นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/411-412/863-865.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/411/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๖ - ๕๔๗/๘๖๓ - ๘๖๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1006
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1006
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87
    ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ สัทธรรมลำดับที่ : 1006 ชื่อบทธรรม :- ค. ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1006 เนื้อความทั้งหมด :- --ค. ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ --อานนท์ ! บุคคลผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว ในขั้นอริยะ (อริยภาวิตินฺทฺริย) เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=อริโย+ภาวิตินฺทฺริโย --อานนท์ ! ในกรณีนี้ ความพอใจ – ความไม่พอใจ – ความพอใจและไม่พอใจ เกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะ เห็นรูปด้วยจักษุ .... ฟังเสียงด้วยโสตะ .... ดมกลิ่นด้วยฆานะ .... ลิ้มรสด้วยชิวหา .... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยผิวกาย .... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ. ภิกษุนั้น : - +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ในสิ่งที่เป็นปฏิกูล (คือไม่พอใจ หรือเป็นที่ตั้งของโทสะ) ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มี ความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้. +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล ในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล (คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ รังแต่จะเป็นที่ตั้งแห่งราคะ) ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้. +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ไม่ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูลนั้นได้. +--ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่า ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้. +--และถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างเว้นขาดจากความรู้สึกว่า ปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่างเสีย แล้วอยู่อย่างผู้อุเบกขา #มีสติสัมปชัญญะ ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้อุเบกขามีสติสัมปชัญญะในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่างนั้นได้. --อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า #บุคคลผู้มีอินทรีย์อันเจริญแล้ว ในขั้นอริยะ. http://etipitaka.com/read/pali/14/547/?keywords=อริโย+ภาวิตินฺทฺริโย ( ข้อนี้หมายถึงผู้เจริญอินทรีย์จนบังคับจิตได้ ในกรณีที่เกี่ยวกับความเป็นปฏิกูล ความไม่ปฏิกูล และ ความพ้นจากความหมายแห่งความเป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูล จึงสามารถบังคับจิต ควบคุมจิตไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย แต่อยู่ด้วยอุเบกขาได้ถึงที่สุด. เข้าใจว่า แม้ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็สามารถกระทำได้. อนึ่ง ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็น ความหมายของคำว่าเสขะ จากข้อความในเนื้อความบทธรรม สัทธรรมลำดับที่​ 1005 และ ความหมายของคำว่าอริยะ จากข้อความในเรื่องนี้, ว่าจะต่างกันอย่างไร ). --อานนท์ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล เป็นอันว่า #อนุตตรอินทรียภาวนา ในอริยวินัย เราแสดงแล้วแก่เธอ. http://etipitaka.com/read/pali/14/547/?keywords=อริยสฺส+อินฺทฺริยภาวนา เสขปาฏิบท เราก็แสดงแล้วแก่เธอ. อริยภาวิตินทริยะ เราก็แสดงแล้วแก่เธอ. --อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย ; กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. --อานนท์ ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย(รุกฺขมูลานิ) นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. http://etipitaka.com/read/pali/14/548/?keywords=รุกฺขมูลานิ --อานนท์ ! พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/411-412/863-865. http://etipitaka.com/read/thai/14/411/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๖ - ๕๔๗/๘๖๓ - ๘๖๕. http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1006 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1006 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87 ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ค. ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ
    -(พระอริยบุคคลระดับเสขะ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังรู้สึกอึดอัดกระทบกระทั่งต่ออารมณ์ที่มากระทบ ; แม้จะเป็นอิฏฐารมณ์ฝ่ายกุศล เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีพอใจ ก็อึดอัดในฐานะที่เป็นอารมณ์อันมากระทบตน เพราะยังมีความยึดมั่นถือมั่น ( อุปาทาน ) บางส่วนที่เหลืออยู่ ; กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยังมีตัวตนเหลืออยู่สำหรับรับการกระทบกระทั่ง จึงไม่ว่างไม่เกลี้ยงไม่สงบเย็น ). ค. ลักษณะแห่งผู้เจริญอินทรีย์ขั้นอริยะ อานนท์ ! บุคคลผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว ในขั้นอริยะ (อริยภาวิตินฺทฺริย) เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ในกรณีนี้ ความพอใจ – ความไม่พอใจ – ความพอใจและไม่พอใจ เกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะเห็นรูปด้วยจักษุ .... ฟังเสียงด้วยโสตะ .... ดมกลิ่นด้วยฆานะ .... ลิ้มรสด้วยชิวหา .... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยผิวกาย .... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ. ภิกษุนั้น : ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูล ในสิ่งที่เป็นปฏิกูล (คือไม่พอใจ หรือเป็นที่ตั้งของโทสะ) ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มี ความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลในสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้. ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่าปฏิกูล ในสิ่งที่ไม่ปฏิกูล (คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ รังแต่จะเป็นที่ตั้งแห่งราคะ) ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลนั้นได้. ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าไม่ปฏิกูลทั้งในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูลนั้นได้. ถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างมีความรู้สึกว่าปฏิกูล ทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่เป็นปฏิกูล ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้มีความรู้สึกว่าปฏิกูลทั้งในสิ่งที่ไม่ปฏิกูลและสิ่งที่เป็นปฏิกูลนั้นได้. และถ้าเธอหวังว่า จะเป็นผู้อยู่อย่างเว้นขาดจากความรู้สึกว่าปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่างเสีย แล้วอยู่อย่างผู้อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ดังนี้ เธอก็ อยู่อย่างผู้อุเบกขามีสติสัมปชัญญะในสิ่งที่เป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองอย่างนั้นได้. อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า บุคคลผู้มีอินทรีย์อันเจริญแล้ว ในขั้นอริยะ. ( ข้อนี้หมายถึงผู้เจริญอินทรีย์จนบังคับจิตได้ ในกรณีที่เกี่ยวกับความเป็นปฏิกูล ความไม่ปฏิกูล และความพ้นจากความหมายแห่งความเป็นปฏิกูลและไม่ปฏิกูล จึงสามารถบังคับจิต ควบคุมจิตไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย แต่อยู่ด้วยอุเบกขาได้ถึงที่สุด. เข้าใจว่า แม้ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็สามารถกระทำได้. อนึ่ง ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็น ความหมายของคำว่าเสขะ จากข้อความในเรื่องข้างบน และ ความหมายของคำว่าอริยะ จากข้อความในเรื่องนี้, ว่าจะต่างกันอย่างไร ). อานนท์ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล เป็นอันว่า อนุตตรอินทรียภาวนาในอริยวินัย เราแสดงแล้วแก่เธอ. เสขปาฏิบท เราก็แสดงแล้วแก่เธอ. อริยภาวิตินทริยะ เราก็แสดงแล้วแก่เธอ. อานนท์ ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย ; กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. อานนท์ ! นั่น โคนไม้ทั้งหลาย นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. อานนท์ ! พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา.
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ (เสขปาฏิปโท)
    สัทธรรมลำดับที่ : 1005
    ชื่อบทธรรม :- ข. ลักษณะแห่งผู้เป็นเสขปาฏิบท
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1005
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ข. ลักษณะแห่งผู้เป็นเสขปาฏิบท
    --อานนท์ ! บุคคลผู้มีธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ (เส​โข ปาฏิปโท)
    เป็นอย่างไรเล่า ?
    --อานนท์ ! ในกรณีนี้
    +--ความพอใจ
    +–ความไม่พอใจ
    +–ความพอใจและไม่พอใจ
    เกิดขึ้นแก่ภิกษุ
    เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ …. ฟังเสียงด้วยโสตะ .… ดมกลิ่นด้วยฆานะ .... ลิ้มรสด้วยชิวหา ....
    ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยผิวกาย .... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ.

    +--ภิกษุนั้น ย่อม รู้สึกอึดอัด กระทบกระทั่ง รังเกียจอยู่ด้วย
    +--ความพอใจ
    +–ความไม่พอใจ
    +–ความพอใจและไม่พอใจนั้น.
    --อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า #บุคคลผู้มีธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ.-
    http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=เสโข+ปาฏิปโท

    (พระอริยบุคคลระดับเสขะ
    ยังไม่เป็นพระอรหันต์
    ยังรู้สึกอึดอัดกระทบกระทั่งต่ออารมณ์ที่มากระทบ ;
    แม้จะเป็นอิฏฐารมณ์ฝ่ายกุศล
    เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีพอใจ
    ก็อึดอัดในฐานะที่เป็นอารมณ์อันมากระทบตน
    เพราะยังมีความยึดมั่นถือมั่น ( อุปาทาน ) บางส่วนที่เหลืออยู่ ;
    กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ
    ยังมีตัวตนเหลืออยู่สำหรับรับการกระทบกระทั่ง
    จึงไม่ว่างไม่เกลี้ยงไม่สงบเย็น
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/411/862.
    http://etipitaka.com/read/thai/14/411/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๖/๘๖๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1005
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1005
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87
    ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ (เสขปาฏิปโท) สัทธรรมลำดับที่ : 1005 ชื่อบทธรรม :- ข. ลักษณะแห่งผู้เป็นเสขปาฏิบท https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1005 เนื้อความทั้งหมด :- --ข. ลักษณะแห่งผู้เป็นเสขปาฏิบท --อานนท์ ! บุคคลผู้มีธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ (เส​โข ปาฏิปโท) เป็นอย่างไรเล่า ? --อานนท์ ! ในกรณีนี้ +--ความพอใจ +–ความไม่พอใจ +–ความพอใจและไม่พอใจ เกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ …. ฟังเสียงด้วยโสตะ .… ดมกลิ่นด้วยฆานะ .... ลิ้มรสด้วยชิวหา .... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยผิวกาย .... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ. +--ภิกษุนั้น ย่อม รู้สึกอึดอัด กระทบกระทั่ง รังเกียจอยู่ด้วย +--ความพอใจ +–ความไม่พอใจ +–ความพอใจและไม่พอใจนั้น. --อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า #บุคคลผู้มีธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ.- http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=เสโข+ปาฏิปโท (พระอริยบุคคลระดับเสขะ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังรู้สึกอึดอัดกระทบกระทั่งต่ออารมณ์ที่มากระทบ ; แม้จะเป็นอิฏฐารมณ์ฝ่ายกุศล เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีพอใจ ก็อึดอัดในฐานะที่เป็นอารมณ์อันมากระทบตน เพราะยังมีความยึดมั่นถือมั่น ( อุปาทาน ) บางส่วนที่เหลืออยู่ ; กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยังมีตัวตนเหลืออยู่สำหรับรับการกระทบกระทั่ง จึงไม่ว่างไม่เกลี้ยงไม่สงบเย็น ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. 14/411/862. http://etipitaka.com/read/thai/14/411/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๖/๘๖๒. http://etipitaka.com/read/pali/14/546/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%96%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1005 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1005 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87 ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ข. ลักษณะแห่งผู้เป็นเสขปาฏิบท
    -(การที่เรียกว่า อินทรียภาวนาชั้นเลิศ นั้น หมายถึงการดับไปอย่างเร็วที่สุดของอารมณ์ และด้วยอำนาจความรู้ชัดว่าอารมณ์นั้น ๆ เป็นเพียงสังขตะอันเป็นของหยาบ และเป็นเพียงสิ่งอาศัยกันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีสิ่งตรงกันข้ามคืออุเบกขาอันเป็นของละเอียด ประณีตรำงับ ; ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นธรรมะชั้นลึก จึงจัดเป็นชั้นเลิศสุดของอินทรียภาวนาในธรรมวินัยของพระองค์.) ข. ลักษณะแห่งผู้เป็นเสขปาฏิบท อานนท์ ! บุคคลผู้มีธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ (เสขปาฏิปท) เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ในกรณีนี้ ความพอใจ – ความไม่พอใจ – ความพอใจและไม่พอใจ เกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ …. ฟังเสียงด้วยโสตะ .… ดมกลิ่นด้วยฆานะ .... ลิ้มรสด้วยชิวหา .... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยผิวกาย .... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ. ภิกษุนั้น ย่อม รู้สึกอึดอัด กระทบกระทั่ง รังเกียจอยู่ด้วยความพอใจ – ความไม่พอใจ – ความพอใจและไม่พอใจนั้น. อานนท์ ! อย่างนี้แล ชื่อว่า บุคคลผู้มีธรรมเครื่องดำเนินเฉพาะตนในระดับเสขะ.
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ที่มีความหลุดพ้น
    สัทธรรมลำดับที่ : 990
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาที่มีความหลุดพ้น
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=990
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาที่มีความหลุดพ้น
    --สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาไม่ได้ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด;
    http://etipitaka.com/read/pali/10/175/?keywords=ธมฺมวินเย+อริโย+อฏฺฐงฺคิโก+มคฺโค
    สมณะก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น
    สมณะที่สองก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น
    สมณะที่สามก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น
    สมณะที่สี่ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น.

    --สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาได้ในธรรมวินัยใด;
    สมณะก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น
    สมณะที่สองก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น
    สมณะที่สามก็หาได้ ในธรรมวินัยนั้น
    สมณะที่สี่ก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น.

    --สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาได้ในธรรมวินัยนี้ แล
    สมณะ หาได้ในธรรมวินัยนี้เทียว
    สมณะที่สอง หาได้ในธรรมวินัยนี้
    สมณะที่สาม หาได้ในธรรมวินัยนี้
    สมณะที่สี่ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้.
    วาทะเครื่องสอนของพวกอื่น ว่างจากสมณะของพวกอื่น (จากพวกนั้น).

    --สุภัททะ ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้
    จะพึงอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะ #ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ทั้งหลาย.-
    http://etipitaka.com/read/pali/10/176/?keywords=อรหนฺเตหิ+อสฺสาติ

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหา. ที. 10/121/138.
    http://etipitaka.com/read/thai/10/121/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหา. ที. ๑๐/๑๗๕/๑๓๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/10/175/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%98
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=990
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=990
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85
    ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ที่มีความหลุดพ้น สัทธรรมลำดับที่ : 990 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาที่มีความหลุดพ้น https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=990 เนื้อความทั้งหมด :- --อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาที่มีความหลุดพ้น --สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาไม่ได้ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด; http://etipitaka.com/read/pali/10/175/?keywords=ธมฺมวินเย+อริโย+อฏฺฐงฺคิโก+มคฺโค สมณะก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สองก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สามก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สี่ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น. --สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาได้ในธรรมวินัยใด; สมณะก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สองก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สามก็หาได้ ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สี่ก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น. --สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาได้ในธรรมวินัยนี้ แล สมณะ หาได้ในธรรมวินัยนี้เทียว สมณะที่สอง หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่สาม หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่สี่ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้. วาทะเครื่องสอนของพวกอื่น ว่างจากสมณะของพวกอื่น (จากพวกนั้น). --สุภัททะ ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะ #ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ทั้งหลาย.- http://etipitaka.com/read/pali/10/176/?keywords=อรหนฺเตหิ+อสฺสาติ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหา. ที. 10/121/138. http://etipitaka.com/read/thai/10/121/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหา. ที. ๑๐/๑๗๕/๑๓๘. http://etipitaka.com/read/pali/10/175/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%98 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=990 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=990 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85 ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาที่มีความหลุดพ้น
    -อัฏฐังคิกมรรคเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาที่มีความหลุดพ้น สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาไม่ได้ในธรรมวินัย (ศาสนา) ใด; สมณะก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สองก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สามก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สี่ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น. สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาได้ในธรรมวินัยใด; สมณะก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สองก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สามก็หาได้ ในธรรมวินัยนั้น สมณะที่สี่ก็หาได้ในธรรมวินัยนั้น. สุภัททะ ! อริยอัฏฐังคิกมรรค หาได้ในธรรมวินัยนี้ แล สมณะ หาได้ในธรรมวินัยนี้เทียว สมณะที่สอง หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่สาม หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่สี่ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้. วาทะเครื่องสอนของพวกอื่น ว่างจากสมณะของพวกอื่น (จากพวกนั้น). สุภัททะ ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะ ไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • พระบรมครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่เทพโลกอุดร วัดม่วงงาม จ.สงขลา
    พระบรมครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่เทพโลกอุดร วัดม่วงงาม จ.สงขลา // พระดีพิธีใหญ๋ พระมีประสพการณ์ สร้างแจกประมาณ30000องค์ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณให้โชค ให้ลาภ โภคทรัพย์ ช่วยส่งเสริมให้กิจการค้าขายดี ร่ำรวยเงินทอง ความมั่งคั่ง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ มหาอำนาจ คงกระพัน มหาอุด พระมีประสบการณ์มากมาย >>


    ** พระดีพิธีใหญ๋ หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน จัดสร้าง หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้มาเข้าฝันพระอาจารย์สมนึก ให้ไปสร้างที่วัดม่วงงาม ขณะเข้าพิธีปลุกเสก มีพระธุดงค์หลายรูปมาร่วมปลุกเสก มีทั้งจีวรขาดหลุดรุ่ย พอเสร็จพิธี พระธุดงค์ทั้งหลายได้ออกไปจากวัดและหายตัวไป ไร้ร่องรอย !!!

    ** หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน สร้างถวาย วัดม่วงงาม สงขลา ปี2540 หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน เป็นเจ้าพิธีและมวลสารสูตรการสร้างผสมเนื้อ พระมีประสบการณ์มากมาย สร้างแจกประมาณ 30000 องค์ //หลวงปู่เทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ใหญ่คือพระภิษุในตำนานที่มีคนกล่าวขานกันว่าเป็นพระอุดรเถระที่เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิกับพระโสณเถระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อประมาณปีพ.ศ.236 หลายคนเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์แต่ยังไม่ดับขันธ์ใช้วิธีเจริญญาณอิทธิบาทสี่เพื่อต่ออายุ เพื่อช่วยเหลือพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงตำนานไม่ปรากฎในพระไตรปิฎกหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่อย่างใดนะครับ >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระบรมครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่เทพโลกอุดร วัดม่วงงาม จ.สงขลา พระบรมครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่เทพโลกอุดร วัดม่วงงาม จ.สงขลา // พระดีพิธีใหญ๋ พระมีประสพการณ์ สร้างแจกประมาณ30000องค์ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณให้โชค ให้ลาภ โภคทรัพย์ ช่วยส่งเสริมให้กิจการค้าขายดี ร่ำรวยเงินทอง ความมั่งคั่ง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ มหาอำนาจ คงกระพัน มหาอุด พระมีประสบการณ์มากมาย >> ** พระดีพิธีใหญ๋ หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน จัดสร้าง หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้มาเข้าฝันพระอาจารย์สมนึก ให้ไปสร้างที่วัดม่วงงาม ขณะเข้าพิธีปลุกเสก มีพระธุดงค์หลายรูปมาร่วมปลุกเสก มีทั้งจีวรขาดหลุดรุ่ย พอเสร็จพิธี พระธุดงค์ทั้งหลายได้ออกไปจากวัดและหายตัวไป ไร้ร่องรอย !!! ** หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน สร้างถวาย วัดม่วงงาม สงขลา ปี2540 หลวงพ่อสมนึก วัดหรงบน เป็นเจ้าพิธีและมวลสารสูตรการสร้างผสมเนื้อ พระมีประสบการณ์มากมาย สร้างแจกประมาณ 30000 องค์ //หลวงปู่เทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ใหญ่คือพระภิษุในตำนานที่มีคนกล่าวขานกันว่าเป็นพระอุดรเถระที่เดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิกับพระโสณเถระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อประมาณปีพ.ศ.236 หลายคนเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์แต่ยังไม่ดับขันธ์ใช้วิธีเจริญญาณอิทธิบาทสี่เพื่อต่ออายุ เพื่อช่วยเหลือพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงตำนานไม่ปรากฎในพระไตรปิฎกหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่อย่างใดนะครับ >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • #ผู้ที่จะมาบูรณะวัดท่าซุงในกาลข้างหน้า ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี่แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ซึ่งมีเชื้อสายมาจากพุทธภูมิ ในอดีตทั้ง ๒ คนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และเยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราชตามพุทธพยากรณ์นั้น และสถานที่แห่งนี้หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟังหลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถเมื่อประมาณ ๒-๓ ปีก่อนว่า สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฎแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ อีกทั้งหลวงพ่อยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้

    "ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพรหมและเทพเจ้าทั้งหมด
    ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวังที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้แต่เวลานี้ทำได้แล้ว
    ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว"

    พุทธพยากรณ์อนาคตของวัดท่าซุง

    ☀ "สถานที่นี้จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้องพุทธศักราชสิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษวัดนี้จึงจะสลายตัว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่า "จากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไปจนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงขาดพระอริยเจ้า ส่วนคำสอนของวัดท่าซุงจะอยู่เป็นหลักตลอดไปถึง ๔,๕๐๐ ปีเช่นกัน..."

    จากหนังสือ "อนุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปีเกิด หลวงพ่อพระราชพรหมยาน"
    (ปกแข็งสีทอง) หน้าที่ ๑๘ - ๑๙
    #ผู้ที่จะมาบูรณะวัดท่าซุงในกาลข้างหน้า ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี่แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ซึ่งมีเชื้อสายมาจากพุทธภูมิ ในอดีตทั้ง ๒ คนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และเยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราชตามพุทธพยากรณ์นั้น และสถานที่แห่งนี้หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟังหลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถเมื่อประมาณ ๒-๓ ปีก่อนว่า สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฎแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ อีกทั้งหลวงพ่อยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้ 💥💥 "ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพรหมและเทพเจ้าทั้งหมด 🌟ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวังที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้แต่เวลานี้ทำได้แล้ว 🔆ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว" พุทธพยากรณ์อนาคตของวัดท่าซุง ☀ "สถานที่นี้จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้องพุทธศักราชสิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษวัดนี้จึงจะสลายตัว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่า "จากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไปจนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงขาดพระอริยเจ้า ส่วนคำสอนของวัดท่าซุงจะอยู่เป็นหลักตลอดไปถึง ๔,๕๐๐ ปีเช่นกัน..." จากหนังสือ "อนุสรณ์ครบ ๑๐๐ ปีเกิด หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" (ปกแข็งสีทอง) หน้าที่ ๑๘ - ๑๙
    0 Comments 0 Shares 471 Views 0 Reviews
  • #เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย

    ผู้ถาม : ลูกได้ดูโทรทัศน์ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย ทรงเล่าเรื่องว่า เคยป่วยอาการหนัก หมอบอกว่าโรคอย่างนี้ไม่สามารถรักษาได้ มีทรงกับทรุด หรือตายอย่างเดียว พระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า ร่างกายนี้ไม่ดีหนอ ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะขอสร้างแต่ความดี โดยเริ่มดำเนินการโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า คนที่ไม่อยากเกิดต่อไปอย่างนี้ จะเรียกว่า ตัดสักกายทิฏฐิ ใช่หรือเปล่าขอรับ?

    หลวงพ่อ : ตัดแน่ ตรง! ใช้ได้เลย ตรงเป้าหมายดี
    แต่ค่อยๆ ตัดนะ อย่าตัดแรง ตัดแรงมันเจ็บ อ้าว! จริงๆ ค่อยๆ ตัด คิดไว้ทีแรกว่า อย่าเกิดต่อไปนะ จะต้องค่อยๆ คิดคลายไปทีละน้อยๆ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ มีดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันที่เป็นร่างที่อาศัยชั่วคราว มันพังก็พัง แต่เราไม่ยอมพังด้วย เราต้องการไปนิพพานจุดเดียว ค่อยๆคลำ แบบนี้มีหวังแน่นอน

    ผู้ถาม : ของหลวงพ่อบอกว่า ตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวก็ไปนิพพานได้เลย?

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ของหลวงพ่อ ของพระพุทธเจ้า ของพระสารีบุตรท่าน พระพุทธเจ้าอธิบายแล้วพระไม่เข้าใจ คืออาจจะเข้าใจเหมือนกันแต่ไม่มั่นใจ ฟังกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนเป็นพระอรหันต์ ฟังแล้วพระก็ลาจะขอเข้าป่าไป

    ท่านถามว่า พวกเธอจะเข้าป่าไปลาพระสารีบุตรหรือยัง

    ความจริงไม่ได้นัด แต่ทรงทราบว่าถ้าไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร

    พระก็บอกว่า ยังพระพุทธเจ้าข้า

    ถ้าอย่างนั้นก็ไปลาพระสารีบุตรก่อน ในเมื่อพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็แนะนำตามสมควร

    ต่อมาพระก็ถามว่า เวลานี้ผมเป็นปุถุชนอยากจะเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง?

    ท่านบอกให้พิจารณาขันธ์ ๕ พูดง่ายๆ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย ใช่ไหม ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าเธอมีความรู้สึกหรือตัดได้อย่างแน่นอน เธอก็เป็นพระโสดาบัน

    พระก็ถามว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีทำยังไง?
    พระสารีบุตรก็บอกพิจารณาอย่างนี้แหละ

    พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง?
    ท่านบอกตัดตัวนี้แหละ จนจิตเบื่อหน่ายในร่างกาย เห็นว่าร่างกายสกปรกโสโครกไม่น่ารัก ตัดได้แน่นอนเมื่อไร เวลานั้นเป็นพระอนาคามี

    พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้วต้องการเป็นพระอรหันต์จะทำยังไง?
    ก็ตัดตัวเดียวนี้แหละ จนกระทั่งจิตวางเฉย เห็นว่าร่างกายเรา เห็นร่างกายคนอื่นก็เฉย มันจะเป็นยังไง จิตใจก็สบาย มันก็ไม่กลุ้มไปด้วย ถือว่าเป็นธรรมดาของร่างกาย ในที่สุดมันก็พัง อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์

    พระพวกนั้นในฐานะที่เป็นปุถุชน มีสมบัติเก่าค้างอยู่ คือความขี้เกียจค้างอยู่
    เลยถามพระสารีบุตรว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม?

    พระสารีบุตร บอกไม่ใช่ พระอรหันต์ต้องนึกเป็นอารมณ์เลย หรือเป็นปกติตลอดวัน นี่แสดงสัญลักษณ์เดิมคือขี้เกียจมาก่อนนะ

    ผู้ถาม : ก็แบบหลวงพ่อชาติก่อน ๆ เคยขยัน ชาตินี้ก็เลยขยันต่อ

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ขยัน ชาตินี้ก็เลยขี้เกียจต่อ ขี้เกียจอะไรทราบไหม ขี้เกียจเกิด

    ผู้ถาม : แล้วก็ขี้เกียจแก่

    หลวงพ่อ : แก่มันไม่ขี้เกียจ เพราะกำลังแก่อยู่ จะแก่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะตาย ตายแล้วยังไม่เลิกแก่ ยังแก่ต่อไปอีก เวลานี้พวกนี้เรียกหลวงพ่อใช่ไหม เมื่อวาน เลื่อนขั้นมีคนเรียกหลวงตาแล้ว แสดงว่าแก่มาก

    พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ) วัดท่าซุง
    ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๕๑ หน้า ๗๘-๗๙
    #เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย ผู้ถาม : ลูกได้ดูโทรทัศน์ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย ทรงเล่าเรื่องว่า เคยป่วยอาการหนัก หมอบอกว่าโรคอย่างนี้ไม่สามารถรักษาได้ มีทรงกับทรุด หรือตายอย่างเดียว พระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า ร่างกายนี้ไม่ดีหนอ ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะขอสร้างแต่ความดี โดยเริ่มดำเนินการโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า คนที่ไม่อยากเกิดต่อไปอย่างนี้ จะเรียกว่า ตัดสักกายทิฏฐิ ใช่หรือเปล่าขอรับ? หลวงพ่อ : ตัดแน่ ตรง! ใช้ได้เลย ตรงเป้าหมายดี แต่ค่อยๆ ตัดนะ อย่าตัดแรง ตัดแรงมันเจ็บ อ้าว! จริงๆ ค่อยๆ ตัด คิดไว้ทีแรกว่า อย่าเกิดต่อไปนะ จะต้องค่อยๆ คิดคลายไปทีละน้อยๆ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ มีดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันที่เป็นร่างที่อาศัยชั่วคราว มันพังก็พัง แต่เราไม่ยอมพังด้วย เราต้องการไปนิพพานจุดเดียว ค่อยๆคลำ แบบนี้มีหวังแน่นอน ผู้ถาม : ของหลวงพ่อบอกว่า ตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวก็ไปนิพพานได้เลย? หลวงพ่อ : ไม่ใช่ของหลวงพ่อ ของพระพุทธเจ้า ของพระสารีบุตรท่าน พระพุทธเจ้าอธิบายแล้วพระไม่เข้าใจ คืออาจจะเข้าใจเหมือนกันแต่ไม่มั่นใจ ฟังกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนเป็นพระอรหันต์ ฟังแล้วพระก็ลาจะขอเข้าป่าไป ท่านถามว่า พวกเธอจะเข้าป่าไปลาพระสารีบุตรหรือยัง ความจริงไม่ได้นัด แต่ทรงทราบว่าถ้าไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร พระก็บอกว่า ยังพระพุทธเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นก็ไปลาพระสารีบุตรก่อน ในเมื่อพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็แนะนำตามสมควร ต่อมาพระก็ถามว่า เวลานี้ผมเป็นปุถุชนอยากจะเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง? ท่านบอกให้พิจารณาขันธ์ ๕ พูดง่ายๆ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย ใช่ไหม ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าเธอมีความรู้สึกหรือตัดได้อย่างแน่นอน เธอก็เป็นพระโสดาบัน พระก็ถามว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีทำยังไง? พระสารีบุตรก็บอกพิจารณาอย่างนี้แหละ พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง? ท่านบอกตัดตัวนี้แหละ จนจิตเบื่อหน่ายในร่างกาย เห็นว่าร่างกายสกปรกโสโครกไม่น่ารัก ตัดได้แน่นอนเมื่อไร เวลานั้นเป็นพระอนาคามี พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้วต้องการเป็นพระอรหันต์จะทำยังไง? ก็ตัดตัวเดียวนี้แหละ จนกระทั่งจิตวางเฉย เห็นว่าร่างกายเรา เห็นร่างกายคนอื่นก็เฉย มันจะเป็นยังไง จิตใจก็สบาย มันก็ไม่กลุ้มไปด้วย ถือว่าเป็นธรรมดาของร่างกาย ในที่สุดมันก็พัง อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์ พระพวกนั้นในฐานะที่เป็นปุถุชน มีสมบัติเก่าค้างอยู่ คือความขี้เกียจค้างอยู่ เลยถามพระสารีบุตรว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม? พระสารีบุตร บอกไม่ใช่ พระอรหันต์ต้องนึกเป็นอารมณ์เลย หรือเป็นปกติตลอดวัน นี่แสดงสัญลักษณ์เดิมคือขี้เกียจมาก่อนนะ ผู้ถาม : ก็แบบหลวงพ่อชาติก่อน ๆ เคยขยัน ชาตินี้ก็เลยขยันต่อ หลวงพ่อ : ไม่ใช่ขยัน ชาตินี้ก็เลยขี้เกียจต่อ ขี้เกียจอะไรทราบไหม ขี้เกียจเกิด ผู้ถาม : แล้วก็ขี้เกียจแก่ หลวงพ่อ : แก่มันไม่ขี้เกียจ เพราะกำลังแก่อยู่ จะแก่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะตาย ตายแล้วยังไม่เลิกแก่ ยังแก่ต่อไปอีก เวลานี้พวกนี้เรียกหลวงพ่อใช่ไหม เมื่อวาน เลื่อนขั้นมีคนเรียกหลวงตาแล้ว แสดงว่าแก่มาก พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ) วัดท่าซุง ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๕๑ หน้า ๗๘-๗๙
    0 Comments 0 Shares 469 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ลักษณะแห่งสิกขาสามอันได้แก่สีลขันธ์ สมาธิขันธ์และปัญญาขันธ์
    สัทธรรมลำดับที่ : 973
    ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งสิกขาสามโดยละเอียด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=973
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลักษณะแห่งสิกขาสามโดยละเอียด

    ๑. สีลขันธ์ โดยละเอียด
    --“ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! #อริยสีลขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า
    http://etipitaka.com/read/pali/9/252/?keywords=อริโย+สีลกฺขนฺโธ
    ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้
    ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?”
    --มาณพ !
    ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเอง
    สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก
    เป็นสารถีผึกคนควรฝึกไม่มีใครยิ่งไปกว่า
    เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว จำแนกธรรมออกสอนสัตว์.
    ตถาคตนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์
    พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว
    สอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม.
    ตถาคตนั้น แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด,
    ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง.
    +--คหบดีหรือบุตรคหบดี หรือผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่งในภายหลังก็ดี
    ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เกิดศรัทธาในตถาคต.
    เขาผู้ประกอบด้วยศรัทธรย่อมพิจารณาเห็น ว่า
    “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, บรรพชาเป็นโอกาส (คือที่โปร่งโล่ง) อันยิ่ง;
    การที่คนอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
    เหมือนสังข์ที่เขาขัดแล้วนั้น ไม่ทำได้โดยง่าย.
    ถ้ากระไรเราจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ
    ออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด”,
    ดังนี้.
    +--โดยสมัยอื่นต่อมา เขาละกองสมบัติน้อยใหญ่
    และวงศ์ญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด
    ออกจากเรือนบวช เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว.
    +--กุลบุตรนั้น ครั้นบวชแล้วอย่างนี้
    เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์อยู่
    ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
    ประกอบด้วย กายกรรม วจีกรรมอันเป็นกุศล มีอาชีวะบริสุทธิ์ &​ถึงพร้อมด้วยศีล
    ....
    --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นอย่างไรเล่า ?
    --มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้
    เป็นผู้ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศัสตราเสียแล้ว
    มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่
    ....ฯลฯ ....
    (ข้อความต่อจากที่กล่าวนี้ ตั้งแต่ คำว่า
    เป็นผู้ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน
    .... ไปจนถึงคำว่า
    .... (จบอริยสีลขันธ์)
    ....
    ).

    ๒. สมาธิขันธ์ โดยละเอียด
    --“ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! #อริยสมาธิขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า
    http://etipitaka.com/read/pali/9/255/?keywords=อริโย+สมาธิกฺขนฺโธ
    ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนให้สมาทาน
    ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?”
    (บุรพภาคแห่งการเจริญสมาธิ)
    --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว
    ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการรวบถือเอาทั้งหมด (รวมเป็นภาพเดียว)
    ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการถือเอาโดยแยกเป็นส่วนๆ ;
    อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัส
    จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ซึ่งอินทรีย์อันเป็นต้นเหตุคือตาใด,
    เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมซึ่งอินทรีย์นั้น ย่อมรักษาอินทรีย์คือตา
    ย่อมถึงการสำรวมในอินทรีย์คือตา.
    +--(ในกรณีแห่ง
    อินทรีย์คือหู
    อินทรีย์คือจมูก
    อินทรีย์คือลิ้น
    อินทรีย์คือกาย และ
    อินทรีย์คือ ใจ
    ก็มีข้อความที่ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน).
    ....
    --มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้แล.
    --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบ
    ในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง,
    การแลดู การเหลียวดู,
    การคู้ การเหยียด,
    การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร,
    การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,
    การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,
    เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบในการไป การหยุด,
    การนั่ง การนอน , การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง.
    ....
    +--มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
    --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้สันโดษ (ยินดีตามที่มีอยู่)
    ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย สันโดษด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง
    ภิกษุนั้น จะหลีกไปโดยทิศใดๆ ย่อม ถือเอาบาตรและจีวรนั้นหลักไปได้ โดยทิศนั้นๆ.
    +--มาณพ ! เปรียบเสมือนนกมีปีก จะบินไปโดยทิศใดๆ มีปีกอย่างเดียวเป็นภาระบินไป ฉันใด; ภิกษุก็ฉันนั้น
    : เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง
    ถือเอาแล้วหลีกไปโดยทิศใดๆ ได้.
    ....
    +--มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ(สันตุฏฐิ)​ด้วยอาการอย่างนี้แล.
    (การเจริญสมาธิ)
    --ภิกษุนั้น
    ประกอบด้วยอริยสีสขันธ์ (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) นี้ด้วย
    ประกอบด้วยอริยอินทรีย์นี้ด้วย
    ประกอบด้วยอริยสติสัมปชัญญะนี้ด้วย
    ประกอบด้วยอริยสันตุฏฐินี้ด้วย แล้ว,
    เธอเสพเสนาสนะอันสงัด คือ
    ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง (อย่างใดอย่างหนึ่ง),
    ในเวลาภายหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้ว
    เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
    ....ฯลฯ....
    (ข้อความตอนต่อจากนี้ ดูได้ที่ภาคผนวก ตั้งแต่คำว่า ละอภิชฌาโลภะแล้ว
    มีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่ .... ไปถึงคำว่า ....
    (จบอริยสมาธิขันธ์)
    ...
    )​ .

    ๓. ปัญญาขันธ์ โดยละเอียด
    --“ท่านอานนท์ผู้เจริญ! #อริยปัญญาขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า
    http://etipitaka.com/read/pali/9/263/?keywords=อริโย+ปญฺญากฺขนฺโธ
    ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ให้สมาทาน
    ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?”
    --ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
    เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว
    เธอชักนำจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ.
    เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้ มีรูป ประกอบอยู่ด้วยมหาภูตทั้งสี่
    มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด
    ต้องห่อหุ้มนวดฟั้นอยู่เนืองนิจ แต่ก็ยังมีการแตกทำลายสึกกร่อนเป็นธรรมดา,
    แต่วิญญาณของเรานี้ อาศัยอยู่ในกายนั้น เนื่องอยู่ในกายนั้น;
    (เธอรู้เห็นอย่างชัดเจน) เปรียบเหมือนมณีไพฑูรย์อันสวยงาม สมชาติแก้ว
    แปดเหลี่ยม เจียระไนดีแล้ว สดใส ผ่องใส ถึงพร้อมด้วยคุณค่าทั้งปวง,
    ในแก้วนั้นมีด้ายร้อยอยู่ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีส้มบ้าง,
    บุรุษผู้มีตาดี วางแก้วนั้นลงในมือแล้ว ก็จะเห็นโดยประจักษ์ว่า มณีไพฑูรย์นี้
    เป็นของสวยงาม สมชาติแก้ว แปดเหลี่ยม เจียระไนดีแล้ว
    สดใส ผ่องใส ถึงพร้อมด้วยคุณค่าทั้งปวง.
    ในแก้วนี้มีด้ายร้อยอยู่ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีส้มบ้าง, ฉันนั้นเหมือนกัน.
    แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง.
    ....ฯลฯ....
    (ข้อความตอนต่อจากนี้ไป ตั้งแต่คำว่า
    ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
    เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว
    เธอชักนำจิตไปเพื่อการนิรมิตกายอันสำเร็จด้วยใจ.
    เธอถอดกายอื่นออกจากกายนี้
    .... ไปจนถึงคำว่า
    .... (จบอริยปัญญาขันธ์)
    ).-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/284 - 304/318 - 337.
    http://etipitaka.com/read/thai/9/284/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%91%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๒๕๒ - ๒๗๒/๓๑๘ - ๓๓๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/252/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%91%E0%B9%98
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=973
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=973
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83
    ลำดับสาธยายธรรม : 83​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ลักษณะแห่งสิกขาสามอันได้แก่สีลขันธ์ สมาธิขันธ์และปัญญาขันธ์ สัทธรรมลำดับที่ : 973 ชื่อบทธรรม :- ลักษณะแห่งสิกขาสามโดยละเอียด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=973 เนื้อความทั้งหมด :- --ลักษณะแห่งสิกขาสามโดยละเอียด ๑. สีลขันธ์ โดยละเอียด --“ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! #อริยสีลขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า http://etipitaka.com/read/pali/9/252/?keywords=อริโย+สีลกฺขนฺโธ ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” --มาณพ ! ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผึกคนควรฝึกไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว จำแนกธรรมออกสอนสัตว์. ตถาคตนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม. ตถาคตนั้น แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด, ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง. +--คหบดีหรือบุตรคหบดี หรือผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่งในภายหลังก็ดี ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เกิดศรัทธาในตถาคต. เขาผู้ประกอบด้วยศรัทธรย่อมพิจารณาเห็น ว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, บรรพชาเป็นโอกาส (คือที่โปร่งโล่ง) อันยิ่ง; การที่คนอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดแล้วนั้น ไม่ทำได้โดยง่าย. ถ้ากระไรเราจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด”, ดังนี้. +--โดยสมัยอื่นต่อมา เขาละกองสมบัติน้อยใหญ่ และวงศ์ญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด ออกจากเรือนบวช เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว. +--กุลบุตรนั้น ครั้นบวชแล้วอย่างนี้ เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วย กายกรรม วจีกรรมอันเป็นกุศล มีอาชีวะบริสุทธิ์ &​ถึงพร้อมด้วยศีล .... --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นอย่างไรเล่า ? --มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศัสตราเสียแล้ว มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่ ....ฯลฯ .... (ข้อความต่อจากที่กล่าวนี้ ตั้งแต่ คำว่า เป็นผู้ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน .... ไปจนถึงคำว่า .... (จบอริยสีลขันธ์) .... ). ๒. สมาธิขันธ์ โดยละเอียด --“ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! #อริยสมาธิขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า http://etipitaka.com/read/pali/9/255/?keywords=อริโย+สมาธิกฺขนฺโธ ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” (บุรพภาคแห่งการเจริญสมาธิ) --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? +--มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการรวบถือเอาทั้งหมด (รวมเป็นภาพเดียว) ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการถือเอาโดยแยกเป็นส่วนๆ ; อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ซึ่งอินทรีย์อันเป็นต้นเหตุคือตาใด, เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมซึ่งอินทรีย์นั้น ย่อมรักษาอินทรีย์คือตา ย่อมถึงการสำรวมในอินทรีย์คือตา. +--(ในกรณีแห่ง อินทรีย์คือหู อินทรีย์คือจมูก อินทรีย์คือลิ้น อินทรีย์คือกาย และ อินทรีย์คือ ใจ ก็มีข้อความที่ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน). .... --มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้แล. --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? +--มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบ ในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบในการไป การหยุด, การนั่ง การนอน , การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง. .... +--มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอาการอย่างนี้ แล. --มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ เป็นอย่างไรเล่า ? +--มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้สันโดษ (ยินดีตามที่มีอยู่) ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย สันโดษด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ภิกษุนั้น จะหลีกไปโดยทิศใดๆ ย่อม ถือเอาบาตรและจีวรนั้นหลักไปได้ โดยทิศนั้นๆ. +--มาณพ ! เปรียบเสมือนนกมีปีก จะบินไปโดยทิศใดๆ มีปีกอย่างเดียวเป็นภาระบินไป ฉันใด; ภิกษุก็ฉันนั้น : เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ถือเอาแล้วหลีกไปโดยทิศใดๆ ได้. .... +--มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ(สันตุฏฐิ)​ด้วยอาการอย่างนี้แล. (การเจริญสมาธิ) --ภิกษุนั้น ประกอบด้วยอริยสีสขันธ์ (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) นี้ด้วย ประกอบด้วยอริยอินทรีย์นี้ด้วย ประกอบด้วยอริยสติสัมปชัญญะนี้ด้วย ประกอบด้วยอริยสันตุฏฐินี้ด้วย แล้ว, เธอเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง (อย่างใดอย่างหนึ่ง), ในเวลาภายหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้ว เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ....ฯลฯ.... (ข้อความตอนต่อจากนี้ ดูได้ที่ภาคผนวก ตั้งแต่คำว่า ละอภิชฌาโลภะแล้ว มีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่ .... ไปถึงคำว่า .... (จบอริยสมาธิขันธ์) ... )​ . ๓. ปัญญาขันธ์ โดยละเอียด --“ท่านอานนท์ผู้เจริญ! #อริยปัญญาขันธ์ นั้น เป็นอย่างไรเล่า http://etipitaka.com/read/pali/9/263/?keywords=อริโย+ปญฺญากฺขนฺโธ ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” --ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ. เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้ มีรูป ประกอบอยู่ด้วยมหาภูตทั้งสี่ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ต้องห่อหุ้มนวดฟั้นอยู่เนืองนิจ แต่ก็ยังมีการแตกทำลายสึกกร่อนเป็นธรรมดา, แต่วิญญาณของเรานี้ อาศัยอยู่ในกายนั้น เนื่องอยู่ในกายนั้น; (เธอรู้เห็นอย่างชัดเจน) เปรียบเหมือนมณีไพฑูรย์อันสวยงาม สมชาติแก้ว แปดเหลี่ยม เจียระไนดีแล้ว สดใส ผ่องใส ถึงพร้อมด้วยคุณค่าทั้งปวง, ในแก้วนั้นมีด้ายร้อยอยู่ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีส้มบ้าง, บุรุษผู้มีตาดี วางแก้วนั้นลงในมือแล้ว ก็จะเห็นโดยประจักษ์ว่า มณีไพฑูรย์นี้ เป็นของสวยงาม สมชาติแก้ว แปดเหลี่ยม เจียระไนดีแล้ว สดใส ผ่องใส ถึงพร้อมด้วยคุณค่าทั้งปวง. ในแก้วนี้มีด้ายร้อยอยู่ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีส้มบ้าง, ฉันนั้นเหมือนกัน. แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง. ....ฯลฯ.... (ข้อความตอนต่อจากนี้ไป ตั้งแต่คำว่า ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อการนิรมิตกายอันสำเร็จด้วยใจ. เธอถอดกายอื่นออกจากกายนี้ .... ไปจนถึงคำว่า .... (จบอริยปัญญาขันธ์) ).- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/284 - 304/318 - 337. http://etipitaka.com/read/thai/9/284/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%91%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที. ๙/๒๕๒ - ๒๗๒/๓๑๘ - ๓๓๗. http://etipitaka.com/read/pali/9/252/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%91%E0%B9%98 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=973 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=973 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83 ลำดับสาธยายธรรม : 83​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะแห่งสิกขาสามโดยละเอียด
    -(ข้อความข้างบนนี้ เป็นคำของธัมมทินนาเถรี กล่าวตอบแก่วิสาขอุบาสก ครั้นอุบาสกนำข้อความนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า “วิสาขะ ! ธัมมทินนาภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก; ถ้าเธอถามข้อความนั้นกะเรา เราก็จะพยากรณ์กะเธอเช่นเดียวกับที่ธัมมทินนาภิกษุณีพยากรณ์แล้วแก่เธอ เธอจงทรงจำเนื้อความนั้นไว้.” ดังนั้นเป็นอันว่า ข้อความของธรรมทินนาเถรีมีค่าเท่ากับพระพุทธภาษิต จึงนำมาใส่ไว้ในหนังสือนี้ ในลักษณะเช่นนี้). ลักษณะแห่งสิกขาสามโดยละเอียด ๑. สีลขันธ์ โดยละเอียด “ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! อริยสีลขันธ์นั้น เป็นอย่างไรเล่า ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” มาณพ ! ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ชอบเองสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ดำเนินไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผึกคนควรฝึกไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว จำแนกธรรมออกสอนสัตว์. ตถาคตนั้นทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้ กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม. ตถาคตนั้น แสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด, ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง. คหบดีหรือบุตรคหบดี หรือผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่งในภายหลังก็ดี ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว เกิดศรัทธาในตถาคต. เขาผู้ประกอบด้วยศรัทธรย่อมพิจารณาเห็น ว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, บรรพชาเป็นโอกาส (คือที่โปร่งโล่ง) อันยิ่ง; การที่คนอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่เขาขัดแล้วนั้น ไม่ทำได้โดยง่าย. ถ้ากระไรเราจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด”, ดังนี้. โดยสมัยอื่นต่อมา เขาละกองสมบัติน้อยใหญ่ และวงศ์ญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด ออกจากเรือนบวช เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว. กุลบุตรนั้น ครั้นบวชแล้วอย่างนี้ เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยการสำรวมในปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้ง หลายแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมอันเป็นกุศล มีอาชีวะบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล .... มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้และศัสตราเสียแล้ว มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลในบรรดาสัตว์ทั้งหลายอยู่ ....ฯลฯ .... (ข้อความต่อไปนี้ ดูได้ที่ภาคผนวกแห่งหนังสือเล่มนี้ ที่หน้า ๑๕๔๑ ตั้งแต่ คำว่า เป็นผู้ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน ... ไปจนถึงคำว่า .... (จบอริยสีลขันธ์) .... ที่หน้า ๑๕๕๑). ๒. สมาธิขันธ์ โดยละเอียด “ท่านอานนท์ผู้เจริญ ! อริยสมาธิขันธ์นั้น เป็นอย่างไรเล่า ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” (บุรพภาคแห่งการเจริญสมาธิ) มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการรวบถือเอาทั้งหมด (รวมเป็นภาพเดียว) ไม่เป็นผู้ถือเอาในลักษณะที่เป็นการถือเอาโดยแยกเป็นส่วนๆ ; อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ซึ่งอินทรีย์อันเป็นต้นเหตุคือตาใด, เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมซึ่งอินทรีย์นั้น ย่อมรักษาอินทรีย์คือตา ย่อมถึงการสำรวมในอินทรีย์คือตา. (ในกรณีแห่งอินทรีย์คือหู อินทรีย์คือจมูก อินทรีย์คือลิ้น อินทรีย์คือกาย และอินทรีย์คือ ใจ ก็มีข้อความที่ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน). .... มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้แล. มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม, การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ, เป็นผู้กระทำความรู้ตัวรอบคอบในการไป การหยุด, การนั่ง การนอน , การหลับ การตื่น, การพูด การนิ่ง. .... มาณพ ! ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยอาการอย่างนี้ แล. มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ เป็นอย่างไรเล่า ? มาณพ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเป็นผู้สันโดษ (ยินดีตามที่มีอยู่) ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย สันโดษด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ภิกษุนั้น จะหลีกไปโดยทิศใดๆ ย่อม ถือเอาบาตรและจีวรนั้นหลักไปได้ โดยทิศนั้นๆ. มาณพ ! เปรียบเสมือนนกมีปีก จะบินไปโดยทิศใดๆ มีปีกอย่างเดียวเป็นภาระบินไป ฉันใด; ภิกษุก็ฉันนั้น : เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ถือเอาแล้วหลีกไปโดยทิศใดๆ ได้. .... มาณพ ! ภิกษุ เป็นผู้สันโดษ ด้วยอาการอย่างนี้แล. (การเจริญสมาธิ) ภิกษุนั้น ประกอบด้วยอริยสีสขันธ์ (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) นี้ด้วย ประกอบด้วยอริยอินทรีย์นี้ด้วย ประกอบด้วยอริยสติสัมปชัญญะนี้ด้วย ประกอบด้วยอริยสันตุฏฐินี้ด้วย แล้ว, เธอเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง (อย่างใดอย่างหนึ่ง), ในเวลาภายหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้ว เธอนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ....ฯลฯ.... (ข้อความตอนต่อจากนี้ ดูได้ที่ภาคผนวกหน้า ๑๕๕๓ แห่งหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่คำว่า ละอภิชฌาโลภะแล้ว มีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่ .... ไปถึงคำว่า .... (จบอริยสมาธิขันธ์) .... ที่หน้า ๑๕๕๘). ๓. ปัญญาขันธ์ โดยละเอียด “ท่านอานนท์ผู้เจริญ! อริยปัญญาขันธ์นั้น เป็นอย่างไรเล่า ที่พระสมณโคดมทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้ให้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ ?” ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ. เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้ มีรูป ประกอบอยู่ด้วยมหาภูตทั้งสี่ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เจริญขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด ต้องห่อหุ้มนวดฟั้นอยู่เนืองนิจ แต่ก็ยังมีการแตกทำลายสึกกร่อนเป็นธรรมดา, แต่วิญญาณของเรานี้ อาศัยอยู่ในกายนั้น เนื่องอยู่ในกายนั้น; (เธอรู้เห็นอย่างชัดเจน) เปรียบเหมือนมณีไพฑูรย์อันสวยงาม สมชาติแก้ว แปดเหลี่ยม เจียระไนดีแล้ว สดใส ผ่องใส ถึงพร้อมด้วยคุณค่าทั้งปวง, ในแก้วนั้นมีด้ายร้อยอยู่ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีส้มบ้าง, บุรุษ ผู้มีตาดี วางแก้วนั้นลงในมือแล้ว ก็จะเห็นโดยประจักษ์ว่า มณีไพฑูรย์นี้ เป็นของสวยงาม สมชาติแก้ว แปดเหลี่ยม เจียระไนดีแล้ว สดใส ผ่องใส ถึงพร้อมด้วยคุณค่าทั้งปวง. ในแก้วนี้มีด้ายร้อยอยู่ สีเขียวบ้าง สีเหลืองบ้าง สีแดงบ้าง สีขาวบ้าง สีส้มบ้าง, ฉันนั้นเหมือนกัน. แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง. ....ฯลฯ.... (ข้อความตอนต่อจากนี้ไป ดูได้ที่ภาคผนวกแห่งหนังสือเล่มนี้ ที่หน้า ๑๕๕๙ ตั้งแต่คำว่า ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อการนิรมิตกายอันสำเร็จด้วยใจ. เธอถอดกายอื่นออกจากกายนี้ .... ไปจนถึงคำว่า .... (จบอริยปัญญาขันธ์)., ที่หน้า ๑๕๖๔).
    0 Comments 0 Shares 506 Views 0 Reviews
  • “ท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์”
    • ความจริงเรื่องของท่านไม่หาย แต่ไม่มีใครเขียนต่อ เมื่อเขาเผาศพพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็เสียใจ ความจริงท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ใช่ไหม เกิดทันใช่ไหม เกิดพร้อมกัน (หัวเราะ) ต่อนะ ท่านโกมารภัจจ์ในเมื่อเขาเผาพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านก็ไม่เข้าบ้าน บอกเราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้ามานิพพานก่อนเราเราก็หมดที่พึ่งไม่มีใครสอน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อนแล้ว ก็เหมือนกับเราคนไม่มีอะไรเลย ท่านคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เลยไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงลูก ไม่คิดถึงเมีย ไม่คิดถึงทรัพย์สิน ไม่คิดถึงชีวิต เข้าไปนอนในถ้ำเข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปท่านบอกว่าเข้าป่าหวังจะให้มันตายไปเลย ยังมีคนตามไปขอยาอีก ใช่ไหม หมอซะอย่าง ในเมื่อมีคนตามมาขอยา ท่านก็รำคาญ เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องการทำอะไรทั้งหมด เข้าป่าลึก
    • พอเข้าป่าลึกไปนอนในถ้ำ นอนอย่างเดียวเราจะไม่ลุกจากที่นี้ จะเป็นไงก็ช่างมัน หมายความว่าจะตายก็ตายไปเสียนะ พอตัดสินใจว่ามันจะตายก็ตายตรงนี้ เราจะไม่ลุกไปอีกแล้ว ก็มีเสียงเหมือนแสงฟ้าแลบ แลบแป๊บเดียวก็มีเสียงเหมือนคล้ายฟ้าผ่าเปรี้ยง แล้วก็มีเสียงบอก โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านก็บอกว่าใช่แล้วก็นอน เดี๋ยวมาเป็นแบบนั้นอยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามท่านหลับ ท่านบอกก็เลยหลับสนิทไปเลย ไม่ตื่นต่อไปอีก
    • “อาการตัดสินใจแบบนั้นไม่อาลัยในชีวิตนะ เป็นอารมณ์อรหันต์ นั่นท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วนะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์นิพพานทันที” แต่ว่าหนังสือแบบเรียนเราไม่มีนะ ต้องหาที่อื่น นี่พูดเรื่องท่านโกมารภัจจ์ให้ฟัง ว่าเรื่องมันหายไปนะ ความจริงท่านไม่หาย ท่านโกมารภัจจ์ทำให้เรามีประโยชน์มากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร และตระกูลพระพุทธเจ้าเราจะสังเกตได้ว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่รังเกียจคนเผ่าอื่น คือไม่ยอมแต่งงานกับคนเมืองอื่นเลย จะต้องแต่งงานเฉพาะชาวกรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นนะ เราก็อ่านหนังสือแล้วเราคิดว่าคนพวกนี้มีมานะถือตัวมาก แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นแขกด้วยกัน แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แขก ท่านเป็นคนไทย เป็นลูกชาวไทยอาหม ไทยในแขกมีอยู่สองไทย คือ หนึ่ง ไทยอาหม สอง ไทยมะลิวัลย์
    • ไทยอาหมนั่นเขามาถึงอินเดียก่อนไทยมะลิวัลย์ ๑๐๐ ปี ในเมื่อไทยกับแขกมันกินข้าวด้วยกันไม่ไหวแล้ว ไหวไหม ไม่ไหวนะ ทีนี้มาตอนหนึ่งท่านโกมารภัจจ์ท่านลาพระพุทธเจ้ามาที่ทวาราวดี ลามาเที่ยว ๒ ปี แต่ว่าฎีกาจารย์ล่อสิบสองปี นี่มันจะมากไปหน่อย ตอนนั้นก็มาทางเรือนะ อินเดียมาประเทศไทยก็ไม่ไกลนักใช่ไหม เวลากลับไปก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าให้ทราบว่าชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด และพูดเพราะมาก คำว่าโดดหมายถึงเดี่ยว
    • อย่างเรากิน เราเรียกว่า ‘กิน’ นะ ของเขา ‘ภุญชะติ’ เรา ‘ไป’ เขา ‘คันตะวา’ นะ ของเราโดดกว่านะ นี่เทียบให้ฟังนะ พระพุทธเจ้าเลยถามว่าชาวทวาราวดีเขาพูดยังไง ลองพูดให้ฟังสักคำสิ พอท่านโกมารกัจจ์พูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน ก็คุยไปคุยมาคุยสนุกสนาน ต่อมาระหว่างที่คุยท่านโกมารภัจจ์ท่านนึกขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมรู้ภาษาทุกภาษา หรือว่าท่านรู้มาจากไหน เลยถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระองค์รู้ภาษาทวาราวดี อาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง ใช่ไหม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนไทย ไทยอาหม

    ================

    จากหนังสือ : ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๕ หน้า ๖๐-๖๒
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
    ภาพถ่ายสถานที่ : วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    “ท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์” • ความจริงเรื่องของท่านไม่หาย แต่ไม่มีใครเขียนต่อ เมื่อเขาเผาศพพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็เสียใจ ความจริงท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ใช่ไหม เกิดทันใช่ไหม เกิดพร้อมกัน (หัวเราะ) ต่อนะ ท่านโกมารภัจจ์ในเมื่อเขาเผาพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านก็ไม่เข้าบ้าน บอกเราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้ามานิพพานก่อนเราเราก็หมดที่พึ่งไม่มีใครสอน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อนแล้ว ก็เหมือนกับเราคนไม่มีอะไรเลย ท่านคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เลยไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงลูก ไม่คิดถึงเมีย ไม่คิดถึงทรัพย์สิน ไม่คิดถึงชีวิต เข้าไปนอนในถ้ำเข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปท่านบอกว่าเข้าป่าหวังจะให้มันตายไปเลย ยังมีคนตามไปขอยาอีก ใช่ไหม หมอซะอย่าง ในเมื่อมีคนตามมาขอยา ท่านก็รำคาญ เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องการทำอะไรทั้งหมด เข้าป่าลึก • พอเข้าป่าลึกไปนอนในถ้ำ นอนอย่างเดียวเราจะไม่ลุกจากที่นี้ จะเป็นไงก็ช่างมัน หมายความว่าจะตายก็ตายไปเสียนะ พอตัดสินใจว่ามันจะตายก็ตายตรงนี้ เราจะไม่ลุกไปอีกแล้ว ก็มีเสียงเหมือนแสงฟ้าแลบ แลบแป๊บเดียวก็มีเสียงเหมือนคล้ายฟ้าผ่าเปรี้ยง แล้วก็มีเสียงบอก โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านก็บอกว่าใช่แล้วก็นอน เดี๋ยวมาเป็นแบบนั้นอยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามท่านหลับ ท่านบอกก็เลยหลับสนิทไปเลย ไม่ตื่นต่อไปอีก • “อาการตัดสินใจแบบนั้นไม่อาลัยในชีวิตนะ เป็นอารมณ์อรหันต์ นั่นท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วนะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์นิพพานทันที” แต่ว่าหนังสือแบบเรียนเราไม่มีนะ ต้องหาที่อื่น นี่พูดเรื่องท่านโกมารภัจจ์ให้ฟัง ว่าเรื่องมันหายไปนะ ความจริงท่านไม่หาย ท่านโกมารภัจจ์ทำให้เรามีประโยชน์มากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร และตระกูลพระพุทธเจ้าเราจะสังเกตได้ว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่รังเกียจคนเผ่าอื่น คือไม่ยอมแต่งงานกับคนเมืองอื่นเลย จะต้องแต่งงานเฉพาะชาวกรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นนะ เราก็อ่านหนังสือแล้วเราคิดว่าคนพวกนี้มีมานะถือตัวมาก แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นแขกด้วยกัน แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แขก ท่านเป็นคนไทย เป็นลูกชาวไทยอาหม ไทยในแขกมีอยู่สองไทย คือ หนึ่ง ไทยอาหม สอง ไทยมะลิวัลย์ • ไทยอาหมนั่นเขามาถึงอินเดียก่อนไทยมะลิวัลย์ ๑๐๐ ปี ในเมื่อไทยกับแขกมันกินข้าวด้วยกันไม่ไหวแล้ว ไหวไหม ไม่ไหวนะ ทีนี้มาตอนหนึ่งท่านโกมารภัจจ์ท่านลาพระพุทธเจ้ามาที่ทวาราวดี ลามาเที่ยว ๒ ปี แต่ว่าฎีกาจารย์ล่อสิบสองปี นี่มันจะมากไปหน่อย ตอนนั้นก็มาทางเรือนะ อินเดียมาประเทศไทยก็ไม่ไกลนักใช่ไหม เวลากลับไปก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าให้ทราบว่าชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด และพูดเพราะมาก คำว่าโดดหมายถึงเดี่ยว • อย่างเรากิน เราเรียกว่า ‘กิน’ นะ ของเขา ‘ภุญชะติ’ เรา ‘ไป’ เขา ‘คันตะวา’ นะ ของเราโดดกว่านะ นี่เทียบให้ฟังนะ พระพุทธเจ้าเลยถามว่าชาวทวาราวดีเขาพูดยังไง ลองพูดให้ฟังสักคำสิ พอท่านโกมารกัจจ์พูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน ก็คุยไปคุยมาคุยสนุกสนาน ต่อมาระหว่างที่คุยท่านโกมารภัจจ์ท่านนึกขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมรู้ภาษาทุกภาษา หรือว่าท่านรู้มาจากไหน เลยถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระองค์รู้ภาษาทวาราวดี อาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง ใช่ไหม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนไทย ไทยอาหม ================ จากหนังสือ : ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๕ หน้า ๖๐-๖๒ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) ภาพถ่ายสถานที่ : วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    0 Comments 0 Shares 409 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงศึกษาผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน
    สัทธรรมลำดับที่ : 602
    ชื่อบทธรรม :- ผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=602
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญากับสัมมาสัมพุทธเจ้า
    --ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
    หลุดพ้นแล้วจาก รูป
    เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น
    จึงได้ นามว่า “สัมมาสัมพุทธะ”.
    --ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์
    ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป
    เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น
    จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”.

    (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้
    มีข้อความแสดงหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้ว).

    --ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูปเป็นต้นด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว
    อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน
    อะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
    อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน
    ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์?
    --ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
    ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
    ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้
    ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว
    ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค)
    เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค)
    เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค).

    --ภิกษุ ท. ! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้
    เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค)
    เป็นผู้ตามมาในภายหลัง.

    --ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน
    เป็นความมุ่งหมาย ที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน
    ระหว่าง ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.-
    http://etipitaka.com/read/pali/17/81/?keywords=สมฺมาสมฺพุทฺโธ+ปญฺญาวิมุตฺโต

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/81/125.
    http://etipitaka.com/read/thai/17/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๑/๑๒๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/17/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=602
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=602
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41
    ลำดับสาธยายธรรม : 41 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    อริยสาวกพึงศึกษาผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน สัทธรรมลำดับที่ : 602 ชื่อบทธรรม :- ผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=602 เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญากับสัมมาสัมพุทธเจ้า --ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ หลุดพ้นแล้วจาก รูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้ นามว่า “สัมมาสัมพุทธะ”. --ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”. (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ มีข้อความแสดงหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้ว). --ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูปเป็นต้นด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน อะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์? --ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค) เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค). --ภิกษุ ท. ! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง. --ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมาย ที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่าง ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับ ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.- http://etipitaka.com/read/pali/17/81/?keywords=สมฺมาสมฺพุทฺโธ+ปญฺญาวิมุตฺโต #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. 17/81/125. http://etipitaka.com/read/thai/17/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๑/๑๒๕. http://etipitaka.com/read/pali/17/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=602 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=602 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41 ลำดับสาธยายธรรม : 41 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน--ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญากับสัมมาสัมพุทธเจ้า
    -(ข้อความนี้แสดงว่า จะอาศัยความหมายหรือคำแปลของคำว่า สัทธาวิมุตต์ กายสักขี ทิฏฐิปัตต์ มาเป็นเครื่องตัดสินว่าพวกไหนเหนือกว่าหรือดีกว่า นั้นไม่อาจจะทำได้ เพราะแต่ละพวกยังอยู่ในระยะแห่งการปฏิบัติที่สูงต่ำอย่างไรก็ได้ เว้นไว้แต่จะถือเอาความหมายแห่งชื่อที่บัญญัติไว้เพื่อแสดงผลอันชัดเจนแล้ว เช่น ชื่อว่า โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์เป็นต้น). ผู้บอกทางและผู้เดินทางมีการหลุดพ้นอย่างเดียวกัน ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญากับสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ หลุดพ้นแล้วจาก รูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้ นามว่า “สัมมาสัมพุทธะ”. ภิกษุ ท. ! แม้ภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์ ก็หลุดพ้นแล้วจากรูป เพราะความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ และความไม่ยึดมั่น จึงได้นามว่า “ปัญญาวิมุตต์”. (ในกรณีแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ มีข้อความแสดงหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้ว). ภิกษุ ท. ! เมื่อเป็นผู้หลุดพ้นจากรูปเป็นต้นด้วยกันทั้งสองพวกแล้ว อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกัน อะไรเป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน อะไรเป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์? ภิกษุ ท. ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู (รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค) เป็นมัคคโกวิโท (ฉลาดในมรรค). ภิกษุ ท. ! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้ เป็นมัคคานุคา (ผู้เดินตามมรรค) เป็นผู้ตามมาในภายหลัง. ภิกษุ ท. ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมาย ที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกัน ระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ กับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตต์.
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ว่า​สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ​
    สัทธรรมลำดับที่ : 961
    ชื่อบทธรรม : -สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=961
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ
    --ภิกษุ ท. ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ตามที่มหาสาวกเหล่านั้น เมื่อพยากรณ์ก็พยากรณ์โดยชอบ.
    --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวฌานว่า มีเสียงเป็นเสี้ยนหนาม จริง.
    --ภิกษุ ท. ! เสี้ยนหนาม ๑๐(ทส) อย่างเหล่านี้ มีอยู่.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=ทสยิเม
    สิบอย่างอย่างไรเล่า ? สิบอย่าง คือ : -
    ๑--ความยินดีในการระคนด้วยหมู่ เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้ยินดีในปวิเวก ;
    ๒--การตามประกอบในสุภนิมิต เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้ตามประกอบในอสุภนิมิต ;
    ๓--การดูการเล่น เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ;
    ๔--การเกี่ยวข้องกับมาตุคาม เป็นเสี้ยนหนามแก่ พรหมจรรย์ ;
    ๕--เสียง เป็นเสี้ยนหนามแก่ ปฐมฌาน ;
    ๖--วิตกวิจาร เป็นเสี้ยนหนามแก่ ทุติยฌาน ;
    ๗--ปีติ เป็นเสี้ยนหนามแก่ ตติยฌาน ;
    ๘--อัสสาสะปัสสาสะ เป็นเสี้ยนหนามแก่ จตุตถฌาน ;
    ๙--สัญญาและเวทนา เป็นเสี้ยนหนามแก่ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ;
    ๑๐--ราคะ เป็นเสี้ยนหนาม โทสะ เป็นเสี้ยนหนาม.

    --ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่มีเสี้ยนหนาม อยู่เถิด.
    --ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้หมดเสี้ยนหนาม อยู่เถิด.
    --ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีเสี้ยนหนาม หมดเสี้ยนหนาม แล.-
    http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=อรหนฺโต

    (ขยายความโดยท่านพุทธทาส
    หนามที่สิบ คือราคะและโทสะเป็นหนาม
    แต่ไม่ระบุว่าเป็นหนามแก่สิ่งใดเหมือนข้อบนๆ; เข้าใจว่าเป็นหนามแก่ธรรมทั่วไป.
    การที่ไม่ระบุโมหะ ว่าเป็นหนามด้วย เข้าใจว่าเป็น
    เพราะโมหะไม่มีลักษณะเสียบแทงเหมือนหนาม หรือเหมือนกับราคะและโทสะ
    )

    #ทุกข์ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/120/72.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/120/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๕/๗๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=961
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=961
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82
    ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    อริยสาวก​พึง​ศึกษา​ว่า​สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ​ สัทธรรมลำดับที่ : 961 ชื่อบทธรรม : -สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=961 เนื้อความทั้งหมด :- --สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ --ภิกษุ ท. ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ตามที่มหาสาวกเหล่านั้น เมื่อพยากรณ์ก็พยากรณ์โดยชอบ. --ภิกษุ ท. ! เรากล่าวฌานว่า มีเสียงเป็นเสี้ยนหนาม จริง. --ภิกษุ ท. ! เสี้ยนหนาม ๑๐(ทส) อย่างเหล่านี้ มีอยู่. http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=ทสยิเม สิบอย่างอย่างไรเล่า ? สิบอย่าง คือ : - ๑--ความยินดีในการระคนด้วยหมู่ เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้ยินดีในปวิเวก ; ๒--การตามประกอบในสุภนิมิต เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้ตามประกอบในอสุภนิมิต ; ๓--การดูการเล่น เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ; ๔--การเกี่ยวข้องกับมาตุคาม เป็นเสี้ยนหนามแก่ พรหมจรรย์ ; ๕--เสียง เป็นเสี้ยนหนามแก่ ปฐมฌาน ; ๖--วิตกวิจาร เป็นเสี้ยนหนามแก่ ทุติยฌาน ; ๗--ปีติ เป็นเสี้ยนหนามแก่ ตติยฌาน ; ๘--อัสสาสะปัสสาสะ เป็นเสี้ยนหนามแก่ จตุตถฌาน ; ๙--สัญญาและเวทนา เป็นเสี้ยนหนามแก่ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ; ๑๐--ราคะ เป็นเสี้ยนหนาม โทสะ เป็นเสี้ยนหนาม. --ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่มีเสี้ยนหนาม อยู่เถิด. --ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้หมดเสี้ยนหนาม อยู่เถิด. --ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีเสี้ยนหนาม หมดเสี้ยนหนาม แล.- http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=อรหนฺโต (ขยายความโดยท่านพุทธทาส หนามที่สิบ คือราคะและโทสะเป็นหนาม แต่ไม่ระบุว่าเป็นหนามแก่สิ่งใดเหมือนข้อบนๆ; เข้าใจว่าเป็นหนามแก่ธรรมทั่วไป. การที่ไม่ระบุโมหะ ว่าเป็นหนามด้วย เข้าใจว่าเป็น เพราะโมหะไม่มีลักษณะเสียบแทงเหมือนหนาม หรือเหมือนกับราคะและโทสะ ) #ทุกข์ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/120/72. http://etipitaka.com/read/thai/24/120/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๕/๗๒. http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=961 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=961 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82 ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ
    -สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามต่อกันโดยธรรมชาติ ภิกษุ ท. ! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ตามที่มหาสาวกเหล่านั้น เมื่อพยากรณ์ก็พยากรณ์โดยชอบ. ภิกษุ ท. ! เรากล่าวฌานว่า มีเสียงเป็นเสี้ยนหนาม จริง. ภิกษุ ท. ! เสี้ยนหนาม ๑๐ อย่างเหล่านี้ มีอยู่. สิบอย่างอย่างไรเล่า ? สิบอย่าง คือ : ความยินดีในการระคนด้วยหมู่ เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้ยินดีในปวิเวก ; การตามประกอบในสุภนิมิต เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้ตามประกอบในอสุภนิมิต ; การดูการเล่น เป็นเสี้ยนหนามแก่ ผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ; การเกี่ยวข้องกับมาตุคาม เป็นเสี้ยนหนามแก่ พรหมจรรย์ ; เสียง เป็นเสี้ยนหนามแก่ ปฐมฌาน ; วิตกวิจาร เป็นเสี้ยนหนามแก่ ทุติยฌาน ; ปีติ เป็นเสี้ยนหนามแก่ ตติยฌาน ; อัสสาสะปัสสาสะ เป็นเสี้ยนหนามแก่ จตุตถฌาน ; สัญญาและเวทนา เป็นเสี้ยนหนามแก่ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ; ราคะ เป็นเสี้ยนหนาม โทสะ เป็นเสี้ยนหนาม. ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่มีเสี้ยนหนาม อยู่เถิด. ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้หมดเสี้ยนหนาม อยู่เถิด. ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีเสี้ยนหนาม หมดเสี้ยนหนาม แล.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
  • อริยสาวก​พึงศึกษาพระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ?
    สัทธรรมลำดับที่ : 592
    ชื่อบทธรรม :- พระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ?
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=592
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --พระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ?
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ? พระเจ้าข้า !”
    --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิด นั้น ไม่ควรเลย.
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ! ถ้าเช่นนั้น จะไม่ไปเกิดหรือ ?”
    --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไม่ไปเกิด นั้นก็ไม่ควร.
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าเช่นนั้น บางทีเกิด บางทีไม่เกิด กระนั้นหรือ ?”
    --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า บางทีเกิด บางทีไม่เกิด นั้น ก็ไม่ควร.
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าเช่นนั้น ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว
    จะว่าไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ กระนั้นหรือ ?”
    --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ไม่ควร.
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อที่พระองค์ตรัสตอบนี้
    ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเสียแล้วทำให้ข้าพเจ้าวนเวียนเสียแล้ว
    แม้ความเลื่อมใสที่ข้าพเจ้ามีแล้ว ต่อพระองค์ในการตรัสไว้ตอนต้น ๆ
    บัดนี้ก็ได้ลางเลือนไปเสียแล้ว”.
    --วัจฉะ !
    ที่ท่านไม่รู้เรื่องนั้น ก็สมควรแล้ว
    ที่ท่านเกิดรู้สึกวนเวียนนั้น ก็สมควรแล้ว
    เพราะธรรมนี้เป็นของลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ตาม,
    ธรรมนี้เป็นของสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งถึงได้ด้วยการตรึก,
    ธรรมนี้เป็นของละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้.
    -http://etipitaka.com/read/pali/13/246/?keywords=ปณฺฑิต
    เรื่องปริยายนี้ ตัวท่านมีความเห็นมาก่อนหน้านี้ เป็นอย่างอื่น
    มีความพอใจที่จะฟังให้เป็นอย่างอื่น
    มีความชอบใจจะให้พยากรณ์เป็นอย่างอื่น
    เคยปฏิบัติทำความเพียรเพื่อได้ผลเป็นอย่างอื่น
    ท่านเองได้มีครูบาอาจารย์เป็นอย่างอื่น,
    ฉะนั้นท่านจึงรู้ได้ยาก,
    --วัจฉะ ! ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านดู ท่านเห็นควรอย่างใด จงกล่าวแก้อย่างนั้น.
    --วัจฉะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน
    ถ้าไฟลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ได้หรือ
    ว่าไฟนี้ลุกโพลง ๆ อยู่ต่อหน้าเรา ?”
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า !”
    --วัจฉะ ! หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้
    มันอาศัยอะไรจึงลุกได้ เมื่อถูกถามอย่างนี้
    ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร ?
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ไฟที่ลุกโพลงๆ อยู่ต่อหน้านี้
    มันอาศัยหญ้าหรือไม้เป็นเชื้อ
    มันจึงลุกอยู่ได้ พระเจ้าข้า !”
    --วัจฉะ ! หากไฟนั้นดับไปต่อหน้าท่าน
    ท่านจะพึงรู้หรือ ว่าไฟได้ดับไปต่อหน้าเรา ?
    --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า !”
    --วัจฉะ ! หากมีคนถามท่านว่า
    ไฟที่ดับไปต่อหน้าท่านนั้น มันไปทางทิศไหนเสีย
    ทิศตะวันออกหรือตะวันตก ทิศเหนือหรือใต้
    เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร ?
    “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อนั้นไม่ควรกล่าวอย่างนั้น
    เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อคือหญ้าหรือไม้จึงลุกขึ้นได้
    แต่ถ้าเชื้อนั้นมันสิ้นไปแล้ว ทั้งไม่มีอะไรอื่นเป็นเชื้ออีก
    ไฟนั้นก็ควรนับว่าไม่มีเชื้อ ดับไปแล้ว”.
    ฉันใดก็ฉันนั้นนั่นแล
    --วัจฉะ เอย ! เมื่อไปบัญญัติอะไรขึ้นมาให้เป็นสัตว์
    โดยถือเอา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กลุ่มใดขึ้นมา มันก็ได้,
    แต่ความยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    สำหรับกลุ่มนี้ ตถาคต เองละได้ขาดแล้ว ถอนขึ้นได้จนถึงรากเง่าของมันแล้ว
    ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนเสียแล้ว ถึงความยกเลิกไม่มีอีก ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว.
    --วัจฉะ เอย ! ตถาคตอยู่นอกเหนือ
    การนับว่าเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเสียแล้ว
    มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ใครๆ ไม่พึงประมาณได้ หยั่งถึงได้ยาก
    เหมือนดั่งห้วงมหาสมุทรฉะนั้น.
    --วัจฉะ เอย ! ข้อนี้จึง
    ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด
    ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด
    ไม่ควรจะกล่าวว่าบางทีก็เกิด บางทีก็ไม่เกิด และ
    ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่
    ดังนี้แล.-

    #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/245-247/248-251.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/190/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๒๔๕-๒๔๗/๒๔๘-๒๕๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/245/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=592
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=40&id=592
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=40
    ลำดับสาธยายธรรม : 40​ ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_40.mp3
    อริยสาวก​พึงศึกษาพระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ? สัทธรรมลำดับที่ : 592 ชื่อบทธรรม :- พระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ? https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=592 เนื้อความทั้งหมด :- --พระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ? --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ? พระเจ้าข้า !” --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิด นั้น ไม่ควรเลย. --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ! ถ้าเช่นนั้น จะไม่ไปเกิดหรือ ?” --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไม่ไปเกิด นั้นก็ไม่ควร. --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าเช่นนั้น บางทีเกิด บางทีไม่เกิด กระนั้นหรือ ?” --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า บางทีเกิด บางทีไม่เกิด นั้น ก็ไม่ควร. --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าเช่นนั้น ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะว่าไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ กระนั้นหรือ ?” --วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ไม่ควร. --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อที่พระองค์ตรัสตอบนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเสียแล้วทำให้ข้าพเจ้าวนเวียนเสียแล้ว แม้ความเลื่อมใสที่ข้าพเจ้ามีแล้ว ต่อพระองค์ในการตรัสไว้ตอนต้น ๆ บัดนี้ก็ได้ลางเลือนไปเสียแล้ว”. --วัจฉะ ! ที่ท่านไม่รู้เรื่องนั้น ก็สมควรแล้ว ที่ท่านเกิดรู้สึกวนเวียนนั้น ก็สมควรแล้ว เพราะธรรมนี้เป็นของลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ตาม, ธรรมนี้เป็นของสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งถึงได้ด้วยการตรึก, ธรรมนี้เป็นของละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้. -http://etipitaka.com/read/pali/13/246/?keywords=ปณฺฑิต เรื่องปริยายนี้ ตัวท่านมีความเห็นมาก่อนหน้านี้ เป็นอย่างอื่น มีความพอใจที่จะฟังให้เป็นอย่างอื่น มีความชอบใจจะให้พยากรณ์เป็นอย่างอื่น เคยปฏิบัติทำความเพียรเพื่อได้ผลเป็นอย่างอื่น ท่านเองได้มีครูบาอาจารย์เป็นอย่างอื่น, ฉะนั้นท่านจึงรู้ได้ยาก, --วัจฉะ ! ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านดู ท่านเห็นควรอย่างใด จงกล่าวแก้อย่างนั้น. --วัจฉะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ถ้าไฟลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ได้หรือ ว่าไฟนี้ลุกโพลง ๆ อยู่ต่อหน้าเรา ?” --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า !” --วัจฉะ ! หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้ มันอาศัยอะไรจึงลุกได้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร ? --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ไฟที่ลุกโพลงๆ อยู่ต่อหน้านี้ มันอาศัยหญ้าหรือไม้เป็นเชื้อ มันจึงลุกอยู่ได้ พระเจ้าข้า !” --วัจฉะ ! หากไฟนั้นดับไปต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้หรือ ว่าไฟได้ดับไปต่อหน้าเรา ? --“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า !” --วัจฉะ ! หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ดับไปต่อหน้าท่านนั้น มันไปทางทิศไหนเสีย ทิศตะวันออกหรือตะวันตก ทิศเหนือหรือใต้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร ? “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อนั้นไม่ควรกล่าวอย่างนั้น เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อคือหญ้าหรือไม้จึงลุกขึ้นได้ แต่ถ้าเชื้อนั้นมันสิ้นไปแล้ว ทั้งไม่มีอะไรอื่นเป็นเชื้ออีก ไฟนั้นก็ควรนับว่าไม่มีเชื้อ ดับไปแล้ว”. ฉันใดก็ฉันนั้นนั่นแล --วัจฉะ เอย ! เมื่อไปบัญญัติอะไรขึ้นมาให้เป็นสัตว์ โดยถือเอา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กลุ่มใดขึ้นมา มันก็ได้, แต่ความยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สำหรับกลุ่มนี้ ตถาคต เองละได้ขาดแล้ว ถอนขึ้นได้จนถึงรากเง่าของมันแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนเสียแล้ว ถึงความยกเลิกไม่มีอีก ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว. --วัจฉะ เอย ! ตถาคตอยู่นอกเหนือ การนับว่าเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเสียแล้ว มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ใครๆ ไม่พึงประมาณได้ หยั่งถึงได้ยาก เหมือนดั่งห้วงมหาสมุทรฉะนั้น. --วัจฉะ เอย ! ข้อนี้จึง ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าบางทีก็เกิด บางทีก็ไม่เกิด และ ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ดังนี้แล.- #ทุกขนิโรธ #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/245-247/248-251. http://etipitaka.com/read/thai/13/190/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๒๔๕-๒๔๗/๒๔๘-๒๕๑. http://etipitaka.com/read/pali/13/245/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=592 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=40&id=592 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=40 ลำดับสาธยายธรรม : 40​ ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_40.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - พระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ?
    -พระอรหันต์ตายแล้วสูญหรือ? “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ? พระเจ้าข้า !” วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิด นั้น ไม่ควรเลย. “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ! ถ้าเช่นนั้น จะไม่ไปเกิดหรือ ?” วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไม่ไปเกิด นั้นก็ไม่ควร. “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าเช่นนั้น บางทีเกิด บางทีไม่เกิด กระนั้นหรือ ?” วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า บางทีเกิด บางทีไม่เกิด นั้น ก็ไม่ควร. “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ถ้าเช่นนั้น ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะว่าไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ กระนั้นหรือ ?” วัจฉะ ! ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ไม่ควร. “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อที่พระองค์ตรัสตอบนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเสียแล้วทำให้ข้าพเจ้าวนเวียนเสียแล้ว แม้ความเลื่อมใสที่ข้าพเจ้ามีแล้ว ต่อพระองค์ในการตรัสไว้ตอนต้น ๆ บัดนี้ก็ได้ลางเลือนไปเสียแล้ว”. วัจฉะ ! ที่ท่านไม่รู้เรื่องนั้น ก็สมควรแล้ว ที่ท่านเกิดรู้สึกวนเวียนนั้น ก็สมควรแล้ว เพราะธรรมนี้เป็นของลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ตาม, ธรรมนี้เป็นของสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งถึงได้ด้วยการตรึก, ธรรมนี้เป็นของละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้. เรื่องปริยายนี้ ตัวท่านมีความเห็นมาก่อนหน้านี้ เป็นอย่างอื่น มีความพอใจที่จะฟังให้เป็นอย่างอื่น มีความชอบใจ จะให้พยากรณ์เป็นอย่างอื่น เคยปฏิบัติทำความเพียรเพื่อได้ผลเป็นอย่างอื่น ท่านเองได้มีครูบาอาจารย์เป็นอย่างอื่น, ฉะนั้นท่านจึงรู้ได้ยาก, วัจฉะ ! ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านดู ท่านเห็นควรอย่างใด จงกล่าวแก้อย่างนั้น. วัจฉะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ถ้าไฟลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ได้หรือ ว่าไฟนี้ลุกโพลง ๆ อยู่ต่อหน้าเรา ?” “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า !” วัจฉะ ! หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้ มันอาศัยอะไรจึงลุกได้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร ? “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ไฟที่ลุกโพลงๆ อยู่ต่อหน้านี้ มันอาศัยหญ้าหรือไม้เป็นเชื้อ มันจึงลุกอยู่ได้ พระเจ้าข้า !” วัจฉะ ! หากไฟนั้นดับไปต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้หรือ ว่าไฟได้ดับไปต่อหน้าเรา ? “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า !” วัจฉะ ! หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ดับไปต่อหน้าท่านนั้น มันไปทางทิศไหนเสีย ทิศตะวันออกหรือตะวันตก ทิศเหนือหรือใต้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร ? “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! ข้อนั้นไม่ควรกล่าวอย่างนั้น เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อคือหญ้าหรือไม้จึงลุกขึ้นได้ แต่ถ้าเชื้อนั้นมันสิ้นไปแล้ว ทั้งไม่มีอะไรอื่นเป็นเชื้ออีก ไฟนั้นก็ควรนับว่าไม่มีเชื้อ ดับไปแล้ว”. ฉันใดก็ฉันนั้นนั่นแล วัจฉะเอย ! เมื่อไปบัญญัติอะไรขึ้นมาให้เป็นสัตว์ (ตถาคต) โดยถือเอา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กลุ่มใดขึ้นมา มันก็ได้, แต่ความยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สำหรับกลุ่มนี้ ตถาคตเองละได้ขาดแล้ว ถอนขึ้นได้จนถึงรากเง่าของมันแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนเสียแล้ว ถึงความยกเลิกไม่มีอีก ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว. วัจฉะเอย ! ตถาคตอยู่นอกเหนือการนับว่าเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเสียแล้ว มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ใครๆ ไม่พึงประมาณได้ หยั่งถึงได้ยาก เหมือนดั่งห้วงมหาสมุทรฉะนั้น. วัจฉะเอย ! ข้อนี้จึงไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าบางทีก็เกิด บางทีก็ไม่เกิด และไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 386 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนามยอกตำ
    สัทธรรมลำดับที่ : 590
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=590
    ชื่อบทธรรม :- ผู้ไม่มีหนามยอกตำ
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้ไม่มีหนามยอกตำ
    ...
    --ภิกษุ ท. เรากล่าวฌานว่ามีเสียงเป็นปฏิปักษ์ -[มีหนาม (ยอกตำใจ)]
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปักษ์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ
    ๑.ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นผู้ยินดีในที่สงัด ๑
    ๒.การประกอบสุภนิมิต เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ประกอบอสุภนิมิต ๑
    ๓.การดูมหรสพที่เป็นข้าศึก เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑
    ๔.การติดต่อกับมาตุคาม เป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์ ๑
    ๕.เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌาน ๑
    ๖.วิตกวิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อทุติยฌาน ๑
    ๗.ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อตติยฌาน ๑
    ๘.ลมอัสสาสปัสสาสะเป็นปฏิปักษ์ต่อจตุตถฌาน ๑
    ๙.สัญญาและเวทนาเป็นปฏิปักษ์ต่อสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ๑
    ๑๐.ราคะเป็นปฏิปักษ์โทสะเป็นปฏิปักษ์ --[มีหนาม (ยอกตำใจ)]​ ๑

    --ภิกษุ ท. เธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีปฏิปักษ์อยู่เถิด
    --ภิกษุ ท. เธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีปฏิปักษ์ จงเป็นผู้หมดปฏิปักษ์อยู่เถิด
    --ภิกษุ ท. พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีปฏิปักษ์
    พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีปฏิปักษ์ เป็นผู้หมดปฏิปักษ์ ฯ
    http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=อรหนฺ
    ...
    --ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นอยู่ อย่างผู้ไม่มีหนาม (ยอกตำใจ) เถิด.
    --ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นอยู่ อย่างผู้ไม่มีหนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตำ เถิด.
    --ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนามยอกใจ.
    --ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตำเสียแล้ว.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/119/72.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/119/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๕/๗๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=590
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=39&id=590
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=39
    ลำดับสาธยายธรรม : 39 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_39.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนามยอกตำ สัทธรรมลำดับที่ : 590 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=590 ชื่อบทธรรม :- ผู้ไม่มีหนามยอกตำ เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้ไม่มีหนามยอกตำ ... --ภิกษุ ท. เรากล่าวฌานว่ามีเสียงเป็นปฏิปักษ์ -[มีหนาม (ยอกตำใจ)] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปักษ์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือ ๑.ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นผู้ยินดีในที่สงัด ๑ ๒.การประกอบสุภนิมิต เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ประกอบอสุภนิมิต ๑ ๓.การดูมหรสพที่เป็นข้าศึก เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ๔.การติดต่อกับมาตุคาม เป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์ ๑ ๕.เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌาน ๑ ๖.วิตกวิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อทุติยฌาน ๑ ๗.ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อตติยฌาน ๑ ๘.ลมอัสสาสปัสสาสะเป็นปฏิปักษ์ต่อจตุตถฌาน ๑ ๙.สัญญาและเวทนาเป็นปฏิปักษ์ต่อสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ๑ ๑๐.ราคะเป็นปฏิปักษ์โทสะเป็นปฏิปักษ์ --[มีหนาม (ยอกตำใจ)]​ ๑ --ภิกษุ ท. เธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีปฏิปักษ์อยู่เถิด --ภิกษุ ท. เธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีปฏิปักษ์ จงเป็นผู้หมดปฏิปักษ์อยู่เถิด --ภิกษุ ท. พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีปฏิปักษ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีปฏิปักษ์ เป็นผู้หมดปฏิปักษ์ ฯ http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=อรหนฺ ... --ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นอยู่ อย่างผู้ไม่มีหนาม (ยอกตำใจ) เถิด. --ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นอยู่ อย่างผู้ไม่มีหนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตำ เถิด. --ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนามยอกใจ. --ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตำเสียแล้ว.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/119/72. http://etipitaka.com/read/thai/24/119/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๕/๗๒. http://etipitaka.com/read/pali/24/145/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=590 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=39&id=590 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=39 ลำดับสาธยายธรรม : 39 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_39.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - (กายนี้ ได้ชื่อว่า กายนคร เพราะมีอะไร ๆ ที่ต้องจัดการรักษาป้องกันเหมือนกับนคร. กายนครนี้มีมารคอยรังควาญอยู่ตลอดเวลา ; เมื่ออริยสาวกประกอบอยู่ด้วยสัทธรรมทั้งเจ็ด และมีฌานทั้งสี่เป็นเครื่องอยู่อย่างผาสุกแล้ว มารก็ทำอะไรไม่ได้ จัดเป็นกายนครที่ปลอดภัยด้วยข้อความเป็นอุปมาอุปไมยอย่างไพเราะมาก แห่งพระบาลีนี้).
    -(กายนี้ ได้ชื่อว่า กายนคร เพราะมีอะไร ๆ ที่ต้องจัดการรักษาป้องกันเหมือนกับนคร. กายนครนี้มีมารคอยรังควาญอยู่ตลอดเวลา ; เมื่ออริยสาวกประกอบอยู่ด้วยสัทธรรมทั้งเจ็ด และมีฌานทั้งสี่เป็นเครื่องอยู่อย่างผาสุกแล้ว มารก็ทำอะไรไม่ได้ จัดเป็นกายนครที่ปลอดภัยด้วยข้อความเป็นอุปมาอุปไมยอย่างไพเราะมาก แห่งพระบาลีนี้). ผู้ไม่มีหนามยอกตำ ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นอยู่ อย่างผู้ไม่มีหนาม (ยอกตำใจ) เถิด. ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นอยู่ อย่างผู้ไม่มีหนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตำ เถิด. ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนามยอกใจ. ภิกษุ ท. ! พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีหนาม หมดเสี้ยนหนามยอกตำเสียแล้ว.
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • เหรียญ2อรหันต์ หลวงพ่อทวดวัดช้างให้หลังหลวงพ่อหนอนวัดดอนตะวันออก รุ่นพิเศษ53
    เหรียญ2อรหันต์ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ ปัตตานี หลังหลวงพ่อหนอน เทพเจ้าเขามะรวด วัดดอนตะวันออก ปัตตานี รุ่นพิเศษ53 // พระดี พิธีใหญ่ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณสูง แคล้วคลาดเป็นเยี่ยม เมตตามหานิยม โชคลาภค้าขาย เลื่อนยศตำแหน่ง ความเจริญ รุ่นเรืองก้าวหน้า พลิกชะตาร้ายให้กลายเป็นดี หนุนดวงเสริมชะตาให้เจริญรุ่งเรือง >>

    ** เหรียญรวมพระอรหันต์ทั้ง2 องค์ ไว้ในเหรียญเดียว ปลุกเสก พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พ่อท่านหวาน วัดสะบ้าย้อย พ่อท่านจวน วัดยางแดง หลวงพ่อแดง วัดบูรภาราม พ่อท่านพล วัดนาประดู่ และ มีเกจิสายหลวงพ่อทวด-สายเขาอ้อ อีกหลายท่าน เมตตานั่งปรกอธิษฐานจิต >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญ2อรหันต์ หลวงพ่อทวดวัดช้างให้หลังหลวงพ่อหนอนวัดดอนตะวันออก รุ่นพิเศษ53 เหรียญ2อรหันต์ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ ปัตตานี หลังหลวงพ่อหนอน เทพเจ้าเขามะรวด วัดดอนตะวันออก ปัตตานี รุ่นพิเศษ53 // พระดี พิธีใหญ่ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณสูง แคล้วคลาดเป็นเยี่ยม เมตตามหานิยม โชคลาภค้าขาย เลื่อนยศตำแหน่ง ความเจริญ รุ่นเรืองก้าวหน้า พลิกชะตาร้ายให้กลายเป็นดี หนุนดวงเสริมชะตาให้เจริญรุ่งเรือง >> ** เหรียญรวมพระอรหันต์ทั้ง2 องค์ ไว้ในเหรียญเดียว ปลุกเสก พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พ่อท่านหวาน วัดสะบ้าย้อย พ่อท่านจวน วัดยางแดง หลวงพ่อแดง วัดบูรภาราม พ่อท่านพล วัดนาประดู่ และ มีเกจิสายหลวงพ่อทวด-สายเขาอ้อ อีกหลายท่าน เมตตานั่งปรกอธิษฐานจิต >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • หลวงปู่ดู่ เตือนเรื่อง "ปรามาสพระ"

    วันหนึ่งมีผู้มากราบนมัสการท่าน และเรียนถามปัญหาต่างๆ จากนั้นจึงกลับไป หลวงปู่ท่านได้ยกเป็นคติเตือนใจให้ผู้เขียนฟังว่า

    “คนที่มาเมื่อกี้ หากไปเจอพระดีล่ะก็ลงนรก ไม่ไปสวรรค์ นิพพานหรอก”

    ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านว่า “เพราะเหตุไรครับ”

    ท่านตอบว่า “ก็จะไปปรามาสพระท่านน่ะซี ไม่ได้ไปเอาธรรมจากท่าน”

    หลวงปู่เคยเตือนพวกเราไว้ว่า

    “การไปอยู่กับพระอรหันต์ อย่าอยู่กับท่านนาน เพราะเมื่อเกิดความมักคุ้นแล้ว มักทำให้ลืมตัว เห็นท่านเป็นเพื่อนเล่น คุยเล่นหัวท่านบ้าง ให้ท่านเหาะให้ดูบ้าง ถึงกับออกปากใช้ท่านเลยก็มี การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการปรามาสพระ ลบหลู่ครูอาจารย์ และเป็นบาปมาก ปิดกั้นทางมรรคผลนิพพานได้ จึงขอให้พวกเราสำรวมระวังให้ดี”

    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ
    #พระพรหมปัญโญ
    #สวดคาถามหาจักรพรรดิ
    #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ
    #คาถามหาจักรพรรดิ108
    #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง
    #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ
    #ขอให้ประสบแต่ความดีปราศจากความทุกข์"

    ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ
    หลวงปู่ดู่ เตือนเรื่อง "ปรามาสพระ" วันหนึ่งมีผู้มากราบนมัสการท่าน และเรียนถามปัญหาต่างๆ จากนั้นจึงกลับไป หลวงปู่ท่านได้ยกเป็นคติเตือนใจให้ผู้เขียนฟังว่า “คนที่มาเมื่อกี้ หากไปเจอพระดีล่ะก็ลงนรก ไม่ไปสวรรค์ นิพพานหรอก” ผู้เขียนจึงเรียนถามท่านว่า “เพราะเหตุไรครับ” ท่านตอบว่า “ก็จะไปปรามาสพระท่านน่ะซี ไม่ได้ไปเอาธรรมจากท่าน” หลวงปู่เคยเตือนพวกเราไว้ว่า “การไปอยู่กับพระอรหันต์ อย่าอยู่กับท่านนาน เพราะเมื่อเกิดความมักคุ้นแล้ว มักทำให้ลืมตัว เห็นท่านเป็นเพื่อนเล่น คุยเล่นหัวท่านบ้าง ให้ท่านเหาะให้ดูบ้าง ถึงกับออกปากใช้ท่านเลยก็มี การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการปรามาสพระ ลบหลู่ครูอาจารย์ และเป็นบาปมาก ปิดกั้นทางมรรคผลนิพพานได้ จึงขอให้พวกเราสำรวมระวังให้ดี” หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ #หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ #พระพรหมปัญโญ #สวดคาถามหาจักรพรรดิ #สวดมนต์ #บันทึกบุญ #โมทนาบุญ #ยินดีในบุญ #คาถามหาจักรพรรดิ108 #ธรรมทานเหนือการให้ทั้งปวง #พุทธังอนันตังธัมมังจักรวาลังสังฆังนิพพานะปัจจะโยโหตุ #ขอให้ประสบแต่ความดีปราศจากความทุกข์" ว่ากันต่อต่อไปให้ได้บุญ
    0 Comments 0 Shares 673 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน)
    สัทธรรมลำดับที่ : 559
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=559
    ชื่อบทธรรม :- ผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน)
    เนื้อความทั้งหมด :-

    --ผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน)
    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ;
    ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งดินโดยความเป็นดิน ; ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญฺญา) ซึ่งดินโดยความเป็นดินแล้ว,
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งดิน (ปฐวึ น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในดิน (ปฐวิยา น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นดิน (ปฐวิโต น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่าดินของเรา (ปฐวิมฺเมติ น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่งซึ่ง ดิน (ปฐวึ นาภินนฺทติ).
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
    ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะ ดินเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/6/?keywords=ปฐวึ+นาภินนฺทติ

    (ในกรณีแห่งธรรมอื่นอีก ๒๒ อย่าง คือ
    น้ำ ไฟ ลม ภูตสัตว์ เทพ ปชาบดี
    พรหมอาภัสสรพรหม สุภกิณหพรหม เวหัปผลพรหม อภิภู
    อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
    รูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ได้ยินแล้ว สิ่งที่รู้สึกแล้วทางจมูก,ลิ้น,ผิวกาย
    สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว เอกภาวะ นานาภาวะ และสิ่งทั้งปวง,
    แต่ละอย่าง ๆ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้
    โดยระเบียบแห่งถ้อยคำอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งดิน
    จนกระทั่งถึงกรณีแห่งนิพพาน
    ซึ่งจะได้บรรยายด้วยข้อความเต็มอีกครั้งหนึ่งดังต่อไปนี้ )

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว
    อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว
    มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว
    มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ;
    ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพาน ;
    ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญญา) ซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว.
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในนิพพาน (นิพฺพานสฺมึ น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นนิพพาน (นิพฺพานโต น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่านิพพานของเรา (นิพฺพานมฺเมติ น มญฺญติ) ;
    +--ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่ง ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ นาภินนฺทติ).
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
    ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะ #นิพพานเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว.-
    http://etipitaka.com/read/pali/12/6/?keywords=นิพฺพานํ+ปริญฺญาตํ

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/6/4.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/6/?keywords=%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๖/๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/6/?keywords=%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=559
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=36&id=559
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=36
    ลำดับสาธยายธรรม : 36​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_36.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน) สัทธรรมลำดับที่ : 559 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=559 ชื่อบทธรรม :- ผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน) เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน) --ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ; ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งดินโดยความเป็นดิน ; ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญฺญา) ซึ่งดินโดยความเป็นดินแล้ว, +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งดิน (ปฐวึ น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในดิน (ปฐวิยา น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นดิน (ปฐวิโต น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่าดินของเรา (ปฐวิมฺเมติ น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่งซึ่ง ดิน (ปฐวึ นาภินนฺทติ). ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะ ดินเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว. http://etipitaka.com/read/pali/12/6/?keywords=ปฐวึ+นาภินนฺทติ (ในกรณีแห่งธรรมอื่นอีก ๒๒ อย่าง คือ น้ำ ไฟ ลม ภูตสัตว์ เทพ ปชาบดี พรหมอาภัสสรพรหม สุภกิณหพรหม เวหัปผลพรหม อภิภู อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ได้ยินแล้ว สิ่งที่รู้สึกแล้วทางจมูก,ลิ้น,ผิวกาย สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว เอกภาวะ นานาภาวะ และสิ่งทั้งปวง, แต่ละอย่าง ๆ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ โดยระเบียบแห่งถ้อยคำอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งดิน จนกระทั่งถึงกรณีแห่งนิพพาน ซึ่งจะได้บรรยายด้วยข้อความเต็มอีกครั้งหนึ่งดังต่อไปนี้ ) --ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ; ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพาน ; ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญญา) ซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว. +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในนิพพาน (นิพฺพานสฺมึ น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นนิพพาน (นิพฺพานโต น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่านิพพานของเรา (นิพฺพานมฺเมติ น มญฺญติ) ; +--ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่ง ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ นาภินนฺทติ). ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะ #นิพพานเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว.- http://etipitaka.com/read/pali/12/6/?keywords=นิพฺพานํ+ปริญฺญาตํ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มู. ม. 12/6/4. http://etipitaka.com/read/thai/12/6/?keywords=%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มู. ม. ๑๒/๖/๔. http://etipitaka.com/read/pali/12/6/?keywords=%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=559 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=36&id=559 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=36 ลำดับสาธยายธรรม : 36​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_36.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน)
    -ผู้ไม่สำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดนันทิ (อุปาทาน) ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ; ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งดินโดยความเป็นดิน ; ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญฺญา) ซึ่งดินโดยความเป็นดินแล้ว, ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งดิน (ปฐวึ น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในดิน (ปฐวิยา น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นดิน (ปฐวิโต น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่าดินของเรา (ปฐวิมฺเมติ น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่งซึ่ง ดิน (ปฐวึ นาภินนฺทติ). ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะดินเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว. (ในกรณีแห่งธรรมอื่นอีก ๒๒ อย่าง คือ น้ำ ไฟ ลม ภูตสัตว์ เทพ ปชาบดี พรหมอาภัสสรพรหม สุภกิณหพรหม เวหัปผลพรหม อภิภู อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ได้ยินแล้ว สิ่งที่รู้สึกแล้วทางจมูก,ลิ้น,ผิวกาย สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว เอกภาวะ นานาภาวะ และสิ่งทั้งปวง, แต่ละอย่าง ๆ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้โดยระเบียบแห่งถ้อยคำอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งดิน จนกระทั่งถึงกรณีแห่งนิพพาน ซึ่งจะได้บรรยายด้วยข้อความเต็มอีกครั้งหนึ่งดังต่อไปนี้ :-) ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของ ตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ โดยชอบ ; ภิกษุนั้น ย่อมรู้ยิ่งซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพาน ; ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญญา) ซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว. ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในนิพพาน (นิพฺพานสฺมึ น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นนิพพาน (นิพฺพานโต น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่านิพพานของเรา (นิพฺพานมฺเมติ น มญฺญติ) ; ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่ง ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ นาภินนฺทติ). ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เธอนั้นกำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 718 Views 0 Reviews
  • 'โรม' ฉะ 'เพื่อไทย' พอเป็นรัฐบาลทำตัวเป็นพระอรหันต์อภิปรายแตะต้องคนนอกไม่ได้
    https://www.thai-tai.tv/news/17626/
    'โรม' ฉะ 'เพื่อไทย' พอเป็นรัฐบาลทำตัวเป็นพระอรหันต์อภิปรายแตะต้องคนนอกไม่ได้ https://www.thai-tai.tv/news/17626/
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
More Results