• คำสอนทั้งหมดขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า เรียกว่า "พระธรรม" หรือ "ธรรมะ" ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่ครอบคลุมทั้งด้านปรัชญา จริยธรรม และการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยสรุปหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธองค์มีดังนี้:

    ### 1. **อริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ)**
    - **ทุกข์ (ความทุกข์)**: ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
    - **สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์)**: สาเหตุของความทุกข์คือตัณหา (ความอยาก) ทั้งทางกายและใจ
    - **นิโรธ (การดับทุกข์)**: การดับทุกข์สามารถทำได้ด้วยการดับตัณหา
    - **มรรค (ทางดับทุกข์)**: ทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์คือมรรคมีองค์ 8

    ### 2. **มรรคมีองค์ 8 (ทางสายกลาง)**
    - **สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)**: เข้าใจในอริยสัจ 4
    - **สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)**: คิดในทางที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์
    - **สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)**: พูดคำจริง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ
    - **สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)**: ไม่ทำบาปทั้งปวง
    - **สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)**: เลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้อง
    - **สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)**: พยายามละความชั่วและทำความดี
    - **สัมมาสติ (ระลึกชอบ)**: มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ
    - **สัมมาสมาธิ (ตั้งใจมั่นชอบ)**: ฝึกสมาธิให้จิตสงบ

    ### 3. **ไตรลักษณ์ (ลักษณะของสรรพสิ่ง)**
    - **อนิจจัง (ไม่เที่ยง)**: ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
    - **ทุกขัง (เป็นทุกข์)**: ทุกสิ่งไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริงได้
    - **อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)**: ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวตนที่แท้จริง

    ### 4. **กรรมและวิบาก**
    - การกระทำทุกอย่าง (กรรม) ย่อมส่งผล (วิบาก) ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
    - การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    ### 5. **ขันธ์ 5 (องค์ประกอบของชีวิต)**
    - **รูป (ร่างกาย)**
    - **เวทนา (ความรู้สึก)**
    - **สัญญา (ความจำ)**
    - **สังขาร (ความคิด)**
    - **วิญญาณ (จิตสำนึก)**

    ### 6. **หลักการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น**
    - **ศีล (ความประพฤติดี)**: การรักษาศีล 5 หรือศีล 8
    - **สมาธิ (จิตตั้งมั่น)**: การฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบ
    - **ปัญญา (ความรู้แจ้ง)**: การเข้าใจความจริงของชีวิต

    ### 7. **พรหมวิหาร 4 (ธรรมะสำหรับการอยู่ร่วมกัน)**
    - **เมตตา (ความรัก)**
    - **กรุณา (ความสงสาร)**
    - **มุทิตา (ความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น)**
    - **อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง)**

    ### 8. **โอวาทปาติโมกข์ (คำสอนสำคัญ)**
    - **ไม่ทำบาปทั้งปวง**
    - **ทำความดีให้ถึงพร้อม**
    - **ทำจิตใจให้ผ่องใส**

    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติของชีวิตและฝึกฝนตนเองเพื่อบรรลุถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) โดยเน้นการปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่เชื่อสิ่งใดโดยปราศจากเหตุผล (กาลามสูตร) และให้ใช้ปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองทุกสิ่ง
    คำสอนทั้งหมดขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า เรียกว่า "พระธรรม" หรือ "ธรรมะ" ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่ครอบคลุมทั้งด้านปรัชญา จริยธรรม และการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยสรุปหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธองค์มีดังนี้: ### 1. **อริยสัจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ)** - **ทุกข์ (ความทุกข์)**: ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ เช่น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา - **สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์)**: สาเหตุของความทุกข์คือตัณหา (ความอยาก) ทั้งทางกายและใจ - **นิโรธ (การดับทุกข์)**: การดับทุกข์สามารถทำได้ด้วยการดับตัณหา - **มรรค (ทางดับทุกข์)**: ทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์คือมรรคมีองค์ 8 ### 2. **มรรคมีองค์ 8 (ทางสายกลาง)** - **สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)**: เข้าใจในอริยสัจ 4 - **สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)**: คิดในทางที่ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ - **สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)**: พูดคำจริง ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ - **สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)**: ไม่ทำบาปทั้งปวง - **สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)**: เลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้อง - **สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)**: พยายามละความชั่วและทำความดี - **สัมมาสติ (ระลึกชอบ)**: มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ - **สัมมาสมาธิ (ตั้งใจมั่นชอบ)**: ฝึกสมาธิให้จิตสงบ ### 3. **ไตรลักษณ์ (ลักษณะของสรรพสิ่ง)** - **อนิจจัง (ไม่เที่ยง)**: ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ - **ทุกขัง (เป็นทุกข์)**: ทุกสิ่งไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริงได้ - **อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน)**: ไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ### 4. **กรรมและวิบาก** - การกระทำทุกอย่าง (กรรม) ย่อมส่งผล (วิบาก) ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า - การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ### 5. **ขันธ์ 5 (องค์ประกอบของชีวิต)** - **รูป (ร่างกาย)** - **เวทนา (ความรู้สึก)** - **สัญญา (ความจำ)** - **สังขาร (ความคิด)** - **วิญญาณ (จิตสำนึก)** ### 6. **หลักการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น** - **ศีล (ความประพฤติดี)**: การรักษาศีล 5 หรือศีล 8 - **สมาธิ (จิตตั้งมั่น)**: การฝึกสมาธิเพื่อให้จิตสงบ - **ปัญญา (ความรู้แจ้ง)**: การเข้าใจความจริงของชีวิต ### 7. **พรหมวิหาร 4 (ธรรมะสำหรับการอยู่ร่วมกัน)** - **เมตตา (ความรัก)** - **กรุณา (ความสงสาร)** - **มุทิตา (ความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น)** - **อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง)** ### 8. **โอวาทปาติโมกข์ (คำสอนสำคัญ)** - **ไม่ทำบาปทั้งปวง** - **ทำความดีให้ถึงพร้อม** - **ทำจิตใจให้ผ่องใส** พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติของชีวิตและฝึกฝนตนเองเพื่อบรรลุถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) โดยเน้นการปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่เชื่อสิ่งใดโดยปราศจากเหตุผล (กาลามสูตร) และให้ใช้ปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองทุกสิ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าชายสิทธัตถะ หรือที่รู้จักในนาม **พระโคตมพุทธเจ้า** เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 563 ปีก่อนคริสตกาล (หรือตามบางแหล่งข้อมูลคือ 480 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล

    ### ชีวิตในวัยเยาว์
    เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งแคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายา พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและความหรูหรา ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีและมีชีวิตที่สุขสบาย

    ### การออกบวช
    เมื่อพระองค์ทรงพบกับความทุกข์ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย ความแก่ และความตาย พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตและหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ทรงออกจากพระราชวังเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา และทรงเริ่มการแสวงหาความรู้และความจริง

    ### การตรัสรู้
    หลังจากแสวงหาความรู้และปฏิบัติธรรมอย่างหนัก พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลพุทธคยา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ทรงค้นพบ **อริยสัจ 4** (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ) และ **มรรคมีองค์ 8** (หนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์)

    ### การเผยแผ่ธรรมะ
    หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากว่า 45 ปี ในการเผยแผ่ธรรมะและสอนผู้คนให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตและหนทางสู่การหลุดพ้น พระองค์ทรงมีสาวกจำนวนมาก ทั้งพระภิกษุและฆราวาส

    ### การปรินิพพาน
    พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ที่เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินเดีย การปรินิพพานของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดของวัฏสงสารและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

    ### มรดกทางจิตวิญญาณ
    พระพุทธเจ้าทรงทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่มนุษยชาติ หลักธรรมคำสอนของพระองค์ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา

    หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมคำสอนของพระองค์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ!
    เจ้าชายสิทธัตถะ หรือที่รู้จักในนาม **พระโคตมพุทธเจ้า** เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 563 ปีก่อนคริสตกาล (หรือตามบางแหล่งข้อมูลคือ 480 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล ### ชีวิตในวัยเยาว์ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งแคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายา พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและความหรูหรา ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีและมีชีวิตที่สุขสบาย ### การออกบวช เมื่อพระองค์ทรงพบกับความทุกข์ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย ความแก่ และความตาย พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตและหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ทรงออกจากพระราชวังเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา และทรงเริ่มการแสวงหาความรู้และความจริง ### การตรัสรู้ หลังจากแสวงหาความรู้และปฏิบัติธรรมอย่างหนัก พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลพุทธคยา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ทรงค้นพบ **อริยสัจ 4** (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ) และ **มรรคมีองค์ 8** (หนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์) ### การเผยแผ่ธรรมะ หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากว่า 45 ปี ในการเผยแผ่ธรรมะและสอนผู้คนให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตและหนทางสู่การหลุดพ้น พระองค์ทรงมีสาวกจำนวนมาก ทั้งพระภิกษุและฆราวาส ### การปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ที่เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินเดีย การปรินิพพานของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดของวัฏสงสารและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ### มรดกทางจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าทรงทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่มนุษยชาติ หลักธรรมคำสอนของพระองค์ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมคำสอนของพระองค์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอะไร สอนอะไร ชาวพุทธที่มีศรัทธา จะฟังแต่คำสอนของพระองค์เท่านั้น สิ่งใดท่านไม่ได้บัญญัติ มิได้สอนไว้ ก็จะไม่ศึกษานำมาศึกษาเล่าเรียน

    พระตถาคตมุ่งสอนให้สาวกหลุดพ้นจากวงจรกรรม ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือไม่ต้องตายอีก..คำตอบมีอยู่ใน "อิทัปปัจจยตา&ปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งชาวพุทธควรท่องให้จำขึ้นใจ จะได้ไคร่ครวญธรรมหรือมีธรรมวจนได้เข้าใจ เข้นถึงปัญญาวิมุติ&เจโตวิมุติ
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอะไร สอนอะไร ชาวพุทธที่มีศรัทธา จะฟังแต่คำสอนของพระองค์เท่านั้น สิ่งใดท่านไม่ได้บัญญัติ มิได้สอนไว้ ก็จะไม่ศึกษานำมาศึกษาเล่าเรียน พระตถาคตมุ่งสอนให้สาวกหลุดพ้นจากวงจรกรรม ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือไม่ต้องตายอีก..คำตอบมีอยู่ใน "อิทัปปัจจยตา&ปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งชาวพุทธควรท่องให้จำขึ้นใจ จะได้ไคร่ครวญธรรมหรือมีธรรมวจนได้เข้าใจ เข้นถึงปัญญาวิมุติ&เจโตวิมุติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จับโป๊ะ...#คนตื้นธรรม : #รู้พุทธแบบตื้นๆ
    มีผู้ส่งคลิปคนตื้นธรรม...ไปบรรยายธรรมะแก่กลุ่มคนใกล้วันมาฆะบูชา...มาให้โดยกล่าวถึงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสไว้ในวันมาฆะบูชาว่า คือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน...สิ่งที่เขาพูดถูกต้องหรือไม่...สามารถจับโป๊ะว่าคนๆนี้มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแบบพื้นฐานง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ มาชำแหละกันดู
    #โอวาทปาฏิโมกข์กับพระปาฏิโมกข์ต่างกันอย่างไร
    ปาฏิโมกข์ คือ มาจาก ๒ คำ คือ ปาติ(ฏิ) = เฉพาะ หรือ รักษา กับ โมกฺข แปลว่า หลุดพ้น มีความหมายว่า หลุดพ้นโดยเฉพาะกับธรรมที่รักษาความหลุดพ้น ปาฏิโมกข์มี ๒ ประเภทคือ
    ๑.#โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักการใหญ่หรือหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องตรัสไว้หลังตรัสรู้ จึงมีคำสรุปเป็นพระบาลีว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" สำหรับพระโคตมะพระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ในวันมาฆะบูชานี้แล
    ๒. #อาณาปาฏิโมกข์ คือ ศีลใหญ่หรือศีลหลักของภิกษุและภิกษุณี ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังมีพระช่วงหลังประพฤติไม่ดีไม่งาม เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ เพื่อรักษาคณะสงฆ์ และเพื่อรักษาศรัทธาจากพุทธบริษัทกลุ่มอื่น จึงบัญญัติไว้...ตอนหลังกลายเป็นสังฆกรรมที่พระสวดทุกกึ่งเดือน.. เพื่อทบทวนและสังวรระวังในศีลของตน.
    #ตื้นธรรม : #บอกโอวาทปาฏิโมกข์คือปาฏิโมกข์ศีลพระ
    คนตื้นธรรมคราวนี้ถูกจับโป๊ะชัดๆจากผู้รู้ว่า...มีความรู้เรื่องพุทธน้อยมาก...โดยการอธิบายว่า โอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสในวันมาฆะคือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน ผิดแบบไม่น่าให้อภัย ใครฟังหรืออ่านเรื่องนี้แล้วเฉยๆปล่อยผ่านก็แสดงว่าไม่ค่อยรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเช่นกัน
    #โอวาทปาฏิโมกข์กับปาติโมกข์พระ : #เทียบได้จากไทม์ไลน์
    โอวาทปาฏิโมกข์ที่ตรัสกับพระอรหันต์ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๑,๒๕๐ รูป พระพุทธเจ้าตรัสในตอนพรรษาที่ ๑ หลังตรัสรู้ เมื่อขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้วเผยแผ่ธรรมจนมีพระสาวกมากกว่า ๑,๒๕๐ รูปในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓
    (ประมาณ ๙ เดือน)
    ส่วนปาติโมกข์ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังพระสุทินเสพเมถุนธรรมกับภริยาเก่าเพื่อสืบสกุล พระอรรถกถาจารย์วินิจฉัยว่าหลังพรรษาที่ ๒๐ ไปแล้วก็พิสูจน์ได้ว่า ปาติโมกข์ในวันมาฆะกับปาฏิโมกข์ศีลพระ...ไทม์ไลน์..ต่างกันแน่นอน เขามั่วนิ่ม...ชัวร์
    #ปาฏิโมกข์ทั้ง ๒ : #เนื้อหาก็แตกต่าง
    โอวาทปาฏิโมกข์ในวันมาฆะ คือ #หัวใจของพระพุทธศาสนา มี
    -#อุดมการณ์ ๓ คือ
    ขันติ นิพพาน การไม่เบียดเบียน
    -#หลักการ ๓
    ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์
    - #วิธีการ
    ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ยึดในหลักปาฏิโมกข์ ใช้ชีวิตพอดี เน้นความสงบ หมั่นฝึกสมาธิภาวนา
    นี่คือสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    ส่วนพระปาฏิโมกข์คือศีลหลักพระที่พระต้องรักษามี ๒๒๗ ข้อ แบ่งไปตามนี้ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ล้วนเป็นศีลของพระแทบทั้งสิ้น มันคนละอย่างกันเลย
    คนตื้นธรรมรู้ธรรมะแบบงูๆปลาๆ เอาหางมาชนหัว มั่วนิ่มไปหมด อาศัยว่าพูดเร็ว พูดมัน และคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องพระเรื่องเจ้ากัน.. มันจึงดำน้ำโผล่มาบอกธรรมะ..ทั้งๆที่วิญญูชนผู้รู้เขาติเตียน แต่กลับด่าสวนกลับ...ไม่เคยยอมรับว่าตนสอนผิดสอนพลาดยังไง...แม้เขาจะได้อะไรบ้าง....แต่อนาคตของเขาไม่แน่นอน...เพราะเล่นกับของสูงระดับอ้างพระบรมศาสดาบ่อยๆ...หวังจะชักชวนจูงผู้ศรัทธาที่มีความรู้ไม่มาก...งานนี้คุณกำลังเล่นไฟ...ไฟนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่คือไฟนรกโลกันต์...ทานที่เขายกมือท่วมหัวถวายด้วยศรัทธาถ้าไม่ดีจริง. อย่าว่าแต่ชาติหน้าเลย...ชาตินี้แหละ...ดูไป.
    ด้วยจิตคารวะ
    ดร.มงคล นาฏกระสูตร
    มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
    #จับโป๊ะ...#คนตื้นธรรม : #รู้พุทธแบบตื้นๆ มีผู้ส่งคลิปคนตื้นธรรม...ไปบรรยายธรรมะแก่กลุ่มคนใกล้วันมาฆะบูชา...มาให้โดยกล่าวถึงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสไว้ในวันมาฆะบูชาว่า คือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน...สิ่งที่เขาพูดถูกต้องหรือไม่...สามารถจับโป๊ะว่าคนๆนี้มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาแบบพื้นฐานง่ายๆเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ มาชำแหละกันดู #โอวาทปาฏิโมกข์กับพระปาฏิโมกข์ต่างกันอย่างไร ปาฏิโมกข์ คือ มาจาก ๒ คำ คือ ปาติ(ฏิ) = เฉพาะ หรือ รักษา กับ โมกฺข แปลว่า หลุดพ้น มีความหมายว่า หลุดพ้นโดยเฉพาะกับธรรมที่รักษาความหลุดพ้น ปาฏิโมกข์มี ๒ ประเภทคือ ๑.#โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักการใหญ่หรือหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องตรัสไว้หลังตรัสรู้ จึงมีคำสรุปเป็นพระบาลีว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" สำหรับพระโคตมะพระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ในวันมาฆะบูชานี้แล ๒. #อาณาปาฏิโมกข์ คือ ศีลใหญ่หรือศีลหลักของภิกษุและภิกษุณี ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังมีพระช่วงหลังประพฤติไม่ดีไม่งาม เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ เพื่อรักษาคณะสงฆ์ และเพื่อรักษาศรัทธาจากพุทธบริษัทกลุ่มอื่น จึงบัญญัติไว้...ตอนหลังกลายเป็นสังฆกรรมที่พระสวดทุกกึ่งเดือน.. เพื่อทบทวนและสังวรระวังในศีลของตน. #ตื้นธรรม : #บอกโอวาทปาฏิโมกข์คือปาฏิโมกข์ศีลพระ คนตื้นธรรมคราวนี้ถูกจับโป๊ะชัดๆจากผู้รู้ว่า...มีความรู้เรื่องพุทธน้อยมาก...โดยการอธิบายว่า โอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธตรัสในวันมาฆะคือพระปาฏิโมกข์ที่พระสวดทุกกึ่งเดือน ผิดแบบไม่น่าให้อภัย ใครฟังหรืออ่านเรื่องนี้แล้วเฉยๆปล่อยผ่านก็แสดงว่าไม่ค่อยรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเช่นกัน #โอวาทปาฏิโมกข์กับปาติโมกข์พระ : #เทียบได้จากไทม์ไลน์ โอวาทปาฏิโมกข์ที่ตรัสกับพระอรหันต์ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๑,๒๕๐ รูป พระพุทธเจ้าตรัสในตอนพรรษาที่ ๑ หลังตรัสรู้ เมื่อขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แล้วเผยแผ่ธรรมจนมีพระสาวกมากกว่า ๑,๒๕๐ รูปในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ (ประมาณ ๙ เดือน) ส่วนปาติโมกข์ทรงบัญญัติสิกขาบทหลังพระสุทินเสพเมถุนธรรมกับภริยาเก่าเพื่อสืบสกุล พระอรรถกถาจารย์วินิจฉัยว่าหลังพรรษาที่ ๒๐ ไปแล้วก็พิสูจน์ได้ว่า ปาติโมกข์ในวันมาฆะกับปาฏิโมกข์ศีลพระ...ไทม์ไลน์..ต่างกันแน่นอน เขามั่วนิ่ม...ชัวร์ #ปาฏิโมกข์ทั้ง ๒ : #เนื้อหาก็แตกต่าง โอวาทปาฏิโมกข์ในวันมาฆะ คือ #หัวใจของพระพุทธศาสนา มี -#อุดมการณ์ ๓ คือ ขันติ นิพพาน การไม่เบียดเบียน -#หลักการ ๓ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ - #วิธีการ ๖ ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ยึดในหลักปาฏิโมกข์ ใช้ชีวิตพอดี เน้นความสงบ หมั่นฝึกสมาธิภาวนา นี่คือสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ส่วนพระปาฏิโมกข์คือศีลหลักพระที่พระต้องรักษามี ๒๒๗ ข้อ แบ่งไปตามนี้ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยวัตร ๗๕ อธิกรณสมถะ ๗ ล้วนเป็นศีลของพระแทบทั้งสิ้น มันคนละอย่างกันเลย คนตื้นธรรมรู้ธรรมะแบบงูๆปลาๆ เอาหางมาชนหัว มั่วนิ่มไปหมด อาศัยว่าพูดเร็ว พูดมัน และคนไม่ค่อยจะรู้เรื่องพระเรื่องเจ้ากัน.. มันจึงดำน้ำโผล่มาบอกธรรมะ..ทั้งๆที่วิญญูชนผู้รู้เขาติเตียน แต่กลับด่าสวนกลับ...ไม่เคยยอมรับว่าตนสอนผิดสอนพลาดยังไง...แม้เขาจะได้อะไรบ้าง....แต่อนาคตของเขาไม่แน่นอน...เพราะเล่นกับของสูงระดับอ้างพระบรมศาสดาบ่อยๆ...หวังจะชักชวนจูงผู้ศรัทธาที่มีความรู้ไม่มาก...งานนี้คุณกำลังเล่นไฟ...ไฟนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่คือไฟนรกโลกันต์...ทานที่เขายกมือท่วมหัวถวายด้วยศรัทธาถ้าไม่ดีจริง. อย่าว่าแต่ชาติหน้าเลย...ชาตินี้แหละ...ดูไป. ด้วยจิตคารวะ ดร.มงคล นาฏกระสูตร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • จำเป็นไหม ? เมื่อได้เกิดมาเป็นคนโชคดีแค่ไหน ได้มีสติ มีความกล้าหาญ มีความสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ยอดเยี่ยม..

    มรรค ๘ คือ ทางปฏิบัติให้ถึงการดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ...มรรคง่าย ทำง่าย หนึ่งเดียวเป็นทางเอก คือ
    "อานาปานสติ" เข้าถึงปัญญาและเจโตวิมุติได้ โดยไม่พักหลงอยู่กับการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น และพิธีกรรมตามความเชื่อของปาริพาชกเหล่าอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติหรือสอนไว้

    จำเป็นไหม ? เมื่อได้เกิดมาเป็นคนโชคดีแค่ไหน ได้มีสติ มีความกล้าหาญ มีความสามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ยอดเยี่ยม.. มรรค ๘ คือ ทางปฏิบัติให้ถึงการดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ...มรรคง่าย ทำง่าย หนึ่งเดียวเป็นทางเอก คือ "อานาปานสติ" เข้าถึงปัญญาและเจโตวิมุติได้ โดยไม่พักหลงอยู่กับการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น และพิธีกรรมตามความเชื่อของปาริพาชกเหล่าอื่น ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติหรือสอนไว้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 คนดีดูง่าย แต่เป็นได้ยาก

    ✅ คนดีที่แท้จริง
    ✔️ ละชั่วได้แล้ว → ทำดีได้จริง
    ✔️ ใจไม่ร้าย → ไม่คิดร้าย → ไม่ทำร้ายใคร
    ✔️ ให้ทานแบบสละออกจริงๆ ไม่ใช่ให้เพื่ออวด
    ✔️ รักษาศีลเพื่อรักษาใจ ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพ
    ✔️ เจริญสติ เพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร


    ---

    ❌ คนที่ดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่จริง
    ❌ ทำบุญให้คนเห็นเยอะๆ แต่ลับหลังทำบาปหนัก
    ❌ คิดร้าย พูดร้าย แต่หลอกตัวเองว่าตัวเองดี
    ❌ สร้างบุญเพื่อกลบกรรม ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง

    📍 แบบนี้คือ ‘พาลแท้’ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
    👉 พาลแท้ คือ คนชั่วที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี
    👉 ยิ่งสร้างภาพดีมากเท่าไร ยิ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับนรก


    ---

    📌 ทำอย่างไรให้เป็นคนดีของจริง?

    ✅ เริ่มจากละชั่ว → หยุดทำสิ่งที่รู้ว่าผิด
    ✅ ค่อยๆ ทำดี → ด้วยใจที่สะอาด ไม่ใช่เพื่อเอาหน้า
    ✅ มีสติรู้ตัว → ไม่เผลอหลอกตัวเองว่า "ข้าคือคนดี"

    💡 เพราะคนดีจริง…
    ไม่ต้องประกาศว่าเป็นคนดี แต่ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกได้เอง!

    📌 คนดีดูง่าย แต่เป็นได้ยาก ✅ คนดีที่แท้จริง ✔️ ละชั่วได้แล้ว → ทำดีได้จริง ✔️ ใจไม่ร้าย → ไม่คิดร้าย → ไม่ทำร้ายใคร ✔️ ให้ทานแบบสละออกจริงๆ ไม่ใช่ให้เพื่ออวด ✔️ รักษาศีลเพื่อรักษาใจ ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพ ✔️ เจริญสติ เพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร --- ❌ คนที่ดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่จริง ❌ ทำบุญให้คนเห็นเยอะๆ แต่ลับหลังทำบาปหนัก ❌ คิดร้าย พูดร้าย แต่หลอกตัวเองว่าตัวเองดี ❌ สร้างบุญเพื่อกลบกรรม ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง 📍 แบบนี้คือ ‘พาลแท้’ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส 👉 พาลแท้ คือ คนชั่วที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี 👉 ยิ่งสร้างภาพดีมากเท่าไร ยิ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับนรก --- 📌 ทำอย่างไรให้เป็นคนดีของจริง? ✅ เริ่มจากละชั่ว → หยุดทำสิ่งที่รู้ว่าผิด ✅ ค่อยๆ ทำดี → ด้วยใจที่สะอาด ไม่ใช่เพื่อเอาหน้า ✅ มีสติรู้ตัว → ไม่เผลอหลอกตัวเองว่า "ข้าคือคนดี" 💡 เพราะคนดีจริง… ไม่ต้องประกาศว่าเป็นคนดี แต่ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกได้เอง!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • สักการะพระเขี้ยวแก้ว พระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า
    สนามหลวง 14 กพ วันสุดท้ายแล้ว
    สักการะพระเขี้ยวแก้ว พระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า สนามหลวง 14 กพ วันสุดท้ายแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit : ชนะศึก จุลกะ

    ... 12 กุมภาพันธ์ 2568 ตรงกับ วันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันนี้เป็น
    #วันมาฆบูชา
    เป็นวันที่ พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
    พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
    พระสงฆ์ที่มาประชุมกันเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น
    พระอรหันต์ทั้งหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุ คือ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมด
    ในวันนี้ พระพุทธองค์ ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา กล่าวโดยย่อ มี 3 ประการ คือ
    ทำความดีในที่ทั้งปวง
    ละเว้นความชั่วในที่ทั้งปวง
    ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมลทินเครื่องเศร้าหมอง
    เราทั้งหลายได้อยู่มาถึงกาลสมัย มาฆปุรณมี พึงสร้างบุญกุศล ด้วย ทาน ศีล ภาวนา สร้างสมบุญบารมีให้เกิดขึ้นมีขึ้นแก่ตัว จะได้มีความสุขทั้งในภพนี้ และ ในภพเบื้องหน้าต่อไป
    เวลา 20.54 น. ปุรณมี จันทร์เพ็ญเต็มที่ ในราศีกรกฏ

    ขอบพระคุณเจ้าของภาพ : คุณ โอ๋ ชัยวุฒิ
    ขอบพระคุณเจ้าของบทความ : ชนะศึก จุลกะ
    Credit : ชนะศึก จุลกะ ... 12 กุมภาพันธ์ 2568 ตรงกับ วันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันนี้เป็น #วันมาฆบูชา เป็นวันที่ พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระสงฆ์ที่มาประชุมกันเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พระอรหันต์ทั้งหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุ คือ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมด ในวันนี้ พระพุทธองค์ ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา กล่าวโดยย่อ มี 3 ประการ คือ ทำความดีในที่ทั้งปวง ละเว้นความชั่วในที่ทั้งปวง ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมลทินเครื่องเศร้าหมอง เราทั้งหลายได้อยู่มาถึงกาลสมัย มาฆปุรณมี พึงสร้างบุญกุศล ด้วย ทาน ศีล ภาวนา สร้างสมบุญบารมีให้เกิดขึ้นมีขึ้นแก่ตัว จะได้มีความสุขทั้งในภพนี้ และ ในภพเบื้องหน้าต่อไป เวลา 20.54 น. ปุรณมี จันทร์เพ็ญเต็มที่ ในราศีกรกฏ ขอบพระคุณเจ้าของภาพ : คุณ โอ๋ ชัยวุฒิ ขอบพระคุณเจ้าของบทความ : ชนะศึก จุลกะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ

    วันนี้ 14.00 น. มาฟังเรื่องรากเหง้าของพระพุทธศาสนากันนะคะ คนพุทธไทยเราอีกมาก ที่พยายามเรียกหาความเป็นพุทธแท้ ปฏิเสธพราหมณ์ ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ จะได้รู้กันว่า ที่เราทำสมาธิ นั่งสมาธิกันนี่ของพราหมณ์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเรียนมาจากพราหมณ์ค่ะ แล้วมาต่อยอดเป็นวิปัสสนากลายเป็นสัมมาสมาธิ

    อดีตชาติของพระพุทธเจ้าล้วนสั่งสมบารมีในฐานะพราหมณ์ทั้งสิ้น คนพุทธเราทุกวันนี้ลืมรากเหง้าตัวเอง ลืมแม้กระทั่งว่ามนุษย์คนแรกที่มาจากพรหมมากินง้วนดินก็คือพราหมณ์ ทำตัวเป็นวัวลืมตีนกันหมดแล้วทุกวันนี้

    ขอบพระคุณ เจ้าของภาพและบทความค่ะ
    Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ วันนี้ 14.00 น. มาฟังเรื่องรากเหง้าของพระพุทธศาสนากันนะคะ คนพุทธไทยเราอีกมาก ที่พยายามเรียกหาความเป็นพุทธแท้ ปฏิเสธพราหมณ์ ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้ จะได้รู้กันว่า ที่เราทำสมาธิ นั่งสมาธิกันนี่ของพราหมณ์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเรียนมาจากพราหมณ์ค่ะ แล้วมาต่อยอดเป็นวิปัสสนากลายเป็นสัมมาสมาธิ อดีตชาติของพระพุทธเจ้าล้วนสั่งสมบารมีในฐานะพราหมณ์ทั้งสิ้น คนพุทธเราทุกวันนี้ลืมรากเหง้าตัวเอง ลืมแม้กระทั่งว่ามนุษย์คนแรกที่มาจากพรหมมากินง้วนดินก็คือพราหมณ์ ทำตัวเป็นวัวลืมตีนกันหมดแล้วทุกวันนี้ ขอบพระคุณ เจ้าของภาพและบทความค่ะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันมาฆบูชา มากจากคำว่า “มาฆบูชา” มาจากคำว่า “มาฆะ” หรือ “มาฆบุรณมี” ซึ่งเป็นชื่อย่อของเดือน 3 หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือน 3 ตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งในวันนี้พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก โดยสรุปใจความของการแสดงธรรมครั้งนี้คือ "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"

    วันมาฆบูชาตรงกับวันใด
    วันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 โดยส่วนใหญ่มักจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งวันมาฆบูชา 2568 นี้ตรงกับวันพุธ ที่ 12 กุมภาพันธ์
    วันมาฆบูชา มากจากคำว่า “มาฆบูชา” มาจากคำว่า “มาฆะ” หรือ “มาฆบุรณมี” ซึ่งเป็นชื่อย่อของเดือน 3 หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือน 3 ตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งในวันนี้พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก โดยสรุปใจความของการแสดงธรรมครั้งนี้คือ "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" วันมาฆบูชาตรงกับวันใด วันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 โดยส่วนใหญ่มักจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งวันมาฆบูชา 2568 นี้ตรงกับวันพุธ ที่ 12 กุมภาพันธ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
    #ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ

    ศาสนาพุทธมีรากฐานมาจากพราหมณ์ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายล้วนมาจากพราหมณ์ อย่าทำตัวเป็นวัวลืมตีน

    ด้อมทุยทั้งหลาย อย่าคลั่งศาสนาให้มากจนเป็นวัวลืมตีน เข้ามาดิ้นเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้าเลยนะในคลิปบวชหน้าไฟ น่าสมเพชเวทนา ไปเรียนพระพุทธศาสนาในระบบซะเถอะนะ ขอแนะนำ

    ขอบพระคุณ Dungtrin เจ้าของภาพค่ะ
    Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ ศาสนาพุทธมีรากฐานมาจากพราหมณ์ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายล้วนมาจากพราหมณ์ อย่าทำตัวเป็นวัวลืมตีน ด้อมทุยทั้งหลาย อย่าคลั่งศาสนาให้มากจนเป็นวัวลืมตีน เข้ามาดิ้นเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้าเลยนะในคลิปบวชหน้าไฟ น่าสมเพชเวทนา ไปเรียนพระพุทธศาสนาในระบบซะเถอะนะ ขอแนะนำ ขอบพระคุณ Dungtrin เจ้าของภาพค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 ความกตัญญู – เครื่องหมายของคนดี

    🟢 พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ความกตัญญูรู้คุณคน เป็นเครื่องหมายของคนดี"

    แต่ "กตัญญู" ไม่ได้หมายถึงแค่การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เท่านั้น
    แต่ยังหมายถึง การจดจำคุณของคนที่เคยช่วยเหลือเรา
    → ใครเคยให้โอกาสเรา → ใครเคยสอนเรา → ใครเคยเป็นสะพานให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จ

    🛑 ถ้าขาดความกตัญญู → จะกลายเป็นคน หลงตัวเอง

    คิดว่า ทุกอย่างที่ได้มา เป็นเพราะ ความสามารถของตัวเอง ล้วนๆ

    ลืมว่า ทุกก้าวของชีวิต มีใครบางคนเคยช่วยดันให้ขึ้นมา



    ---

    📌 กตัญญู ≠ แค่ตอบแทนพ่อแม่

    ✅ ความกตัญญูแบบแท้จริง → คือ "จิตสำนึก" ของคนดี

    รู้ว่า ใครทำดีต่อเรา และ ตอบแทนด้วยความจริงใจ

    ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้ทรัพย์สิน → อาจเป็นการให้โอกาส ให้เวลา ให้คำแนะนำ

    จิตสำนึกแบบนี้จะลากพานิสัยดีๆ อื่นๆ ตามมา เช่น

    มี ความเกรงใจ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

    มี ความซื่อสัตย์ กับคนรอบตัว

    มี ความขยันและรับผิดชอบ




    ---

    📌 คนไร้กตัญญู เกิดขึ้นได้ยังไง?

    🛑 คนไร้กตัญญูไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ "ถูกสร้างขึ้นมา"

    ตอนเด็ก ไม่ถูกสอนให้ขอบคุณใคร

    ตอนเด็ก ไม่เคยต้องช่วยเหลือหรือรับใช้พ่อแม่เลย

    ตอนเด็ก ไม่เคยต้องไหว้ครูแบบจริงใจ


    👎 ผลลัพธ์ของการไม่สอนเรื่องกตัญญู

    โตขึ้น เป็นคนหลงตัวเอง → คิดว่า ทุกอย่างต้องเป็นของตนเองโดยอัตโนมัติ

    เชื่อว่า พ่อแม่มีหน้าที่ต้องให้ → แต่ ตัวเองไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทน

    เชื่อว่า ครูมีหน้าที่สอน → ไม่จำเป็นต้องเคารพหรือเห็นคุณค่า

    คิดว่า ใครช่วยเหลือตัวเองก็เพราะเขาอยากทำเอง → ไม่มีความซาบซึ้ง


    🚨 สุดท้าย... พวกนี้มักเป็นคนที่โดดเดี่ยวตอนแก่

    เพราะเขาไม่เคยสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความรู้คุณ

    คนรอบตัว ค่อยๆ หายไป เพราะเขา มองทุกคนเป็นแค่เครื่องมือ



    ---

    📌 วิธีสอน "กตัญญู" ให้เกิดขึ้นจริง

    ✅ 1. ฝึกให้เด็ก "ขอบคุณ" ตั้งแต่เล็ก

    "ขอบคุณ" เมื่อมีใครหยิบของให้

    "ขอบคุณ" เมื่อมีคนสอนอะไรให้

    "ขอบคุณ" เมื่อมีใครทำดีกับเรา


    ✅ 2. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบบางอย่างเพื่อพ่อแม่

    ให้ช่วย ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

    ให้เข้าใจว่า "ครอบครัวไม่ใช่โรงแรม"

    ให้รู้ว่า "การช่วยพ่อแม่" คือการตอบแทนบุญคุณง่ายที่สุด


    ✅ 3. ทำให้เด็กเห็นว่า "ใครๆ ก็อยากได้รับการเห็นคุณค่า"

    ให้เขาเห็นว่า "คนที่ได้รับคำขอบคุณ ยิ้มได้เสมอ"

    ให้เขาเข้าใจว่า "คำพูดดีๆ ทำให้คนอยากช่วยต่อไป"


    ✅ 4. พ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง

    ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยพูดขอบคุณกันเอง

    ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยทำอะไรให้ปู่ย่าตายายเลย

    ลูก จะซึมซับความไม่กตัญญูไปโดยอัตโนมัติ



    ---

    📌 ความกตัญญู = ความสำเร็จในชีวิต

    🌟 "กตัญญูรู้คุณคน" เป็นรากฐานของความสำเร็จ
    เพราะ...
    1️⃣ คนที่รู้คุณคน → มักได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่เสมอ
    2️⃣ คนที่กตัญญู → ทำให้ใครๆ ก็อยากช่วยต่อไป
    3️⃣ คนที่ไม่ลืมบุญคุณ → มักเป็นที่รัก และไม่ถูกทอดทิ้ง

    🛑 แต่คนที่ไร้กตัญญู → มักพบจุดจบที่เลวร้าย

    พอหมดประโยชน์ → คนรอบตัวจะค่อยๆ หายไป

    ถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ → ไม่มีใครอยากช่วย

    สุดท้าย ต้องอยู่คนเดียว เพราะสร้างแต่หนี้บุญคุณที่ไม่ได้ชำระ



    ---

    📌 สรุป

    👉 กตัญญู = จิตสำนึกของคนดี
    👉 กตัญญู = การสร้างรากฐานนิสัยที่ดีทั้งหมด
    👉 กตัญญู = กุญแจสำคัญของความสำเร็จ
    👉 กตัญญู = ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนไร้ค่าในสายตาผู้อื่น

    📍 อยากให้ลูกเป็นคนดี?
    📍 อยากให้ตัวเองมีอนาคตที่ดี?
    📍 อยากให้ชีวิตไม่ลำบากในบั้นปลาย?

    👉 สอนให้กตัญญูตั้งแต่วันนี้!

    📌 ความกตัญญู – เครื่องหมายของคนดี 🟢 พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ความกตัญญูรู้คุณคน เป็นเครื่องหมายของคนดี" แต่ "กตัญญู" ไม่ได้หมายถึงแค่การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังหมายถึง การจดจำคุณของคนที่เคยช่วยเหลือเรา → ใครเคยให้โอกาสเรา → ใครเคยสอนเรา → ใครเคยเป็นสะพานให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จ 🛑 ถ้าขาดความกตัญญู → จะกลายเป็นคน หลงตัวเอง คิดว่า ทุกอย่างที่ได้มา เป็นเพราะ ความสามารถของตัวเอง ล้วนๆ ลืมว่า ทุกก้าวของชีวิต มีใครบางคนเคยช่วยดันให้ขึ้นมา --- 📌 กตัญญู ≠ แค่ตอบแทนพ่อแม่ ✅ ความกตัญญูแบบแท้จริง → คือ "จิตสำนึก" ของคนดี รู้ว่า ใครทำดีต่อเรา และ ตอบแทนด้วยความจริงใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้ทรัพย์สิน → อาจเป็นการให้โอกาส ให้เวลา ให้คำแนะนำ จิตสำนึกแบบนี้จะลากพานิสัยดีๆ อื่นๆ ตามมา เช่น มี ความเกรงใจ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร มี ความซื่อสัตย์ กับคนรอบตัว มี ความขยันและรับผิดชอบ --- 📌 คนไร้กตัญญู เกิดขึ้นได้ยังไง? 🛑 คนไร้กตัญญูไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ "ถูกสร้างขึ้นมา" ตอนเด็ก ไม่ถูกสอนให้ขอบคุณใคร ตอนเด็ก ไม่เคยต้องช่วยเหลือหรือรับใช้พ่อแม่เลย ตอนเด็ก ไม่เคยต้องไหว้ครูแบบจริงใจ 👎 ผลลัพธ์ของการไม่สอนเรื่องกตัญญู โตขึ้น เป็นคนหลงตัวเอง → คิดว่า ทุกอย่างต้องเป็นของตนเองโดยอัตโนมัติ เชื่อว่า พ่อแม่มีหน้าที่ต้องให้ → แต่ ตัวเองไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทน เชื่อว่า ครูมีหน้าที่สอน → ไม่จำเป็นต้องเคารพหรือเห็นคุณค่า คิดว่า ใครช่วยเหลือตัวเองก็เพราะเขาอยากทำเอง → ไม่มีความซาบซึ้ง 🚨 สุดท้าย... พวกนี้มักเป็นคนที่โดดเดี่ยวตอนแก่ เพราะเขาไม่เคยสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความรู้คุณ คนรอบตัว ค่อยๆ หายไป เพราะเขา มองทุกคนเป็นแค่เครื่องมือ --- 📌 วิธีสอน "กตัญญู" ให้เกิดขึ้นจริง ✅ 1. ฝึกให้เด็ก "ขอบคุณ" ตั้งแต่เล็ก "ขอบคุณ" เมื่อมีใครหยิบของให้ "ขอบคุณ" เมื่อมีคนสอนอะไรให้ "ขอบคุณ" เมื่อมีใครทำดีกับเรา ✅ 2. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบบางอย่างเพื่อพ่อแม่ ให้ช่วย ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าใจว่า "ครอบครัวไม่ใช่โรงแรม" ให้รู้ว่า "การช่วยพ่อแม่" คือการตอบแทนบุญคุณง่ายที่สุด ✅ 3. ทำให้เด็กเห็นว่า "ใครๆ ก็อยากได้รับการเห็นคุณค่า" ให้เขาเห็นว่า "คนที่ได้รับคำขอบคุณ ยิ้มได้เสมอ" ให้เขาเข้าใจว่า "คำพูดดีๆ ทำให้คนอยากช่วยต่อไป" ✅ 4. พ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยพูดขอบคุณกันเอง ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยทำอะไรให้ปู่ย่าตายายเลย ลูก จะซึมซับความไม่กตัญญูไปโดยอัตโนมัติ --- 📌 ความกตัญญู = ความสำเร็จในชีวิต 🌟 "กตัญญูรู้คุณคน" เป็นรากฐานของความสำเร็จ เพราะ... 1️⃣ คนที่รู้คุณคน → มักได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่เสมอ 2️⃣ คนที่กตัญญู → ทำให้ใครๆ ก็อยากช่วยต่อไป 3️⃣ คนที่ไม่ลืมบุญคุณ → มักเป็นที่รัก และไม่ถูกทอดทิ้ง 🛑 แต่คนที่ไร้กตัญญู → มักพบจุดจบที่เลวร้าย พอหมดประโยชน์ → คนรอบตัวจะค่อยๆ หายไป ถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ → ไม่มีใครอยากช่วย สุดท้าย ต้องอยู่คนเดียว เพราะสร้างแต่หนี้บุญคุณที่ไม่ได้ชำระ --- 📌 สรุป 👉 กตัญญู = จิตสำนึกของคนดี 👉 กตัญญู = การสร้างรากฐานนิสัยที่ดีทั้งหมด 👉 กตัญญู = กุญแจสำคัญของความสำเร็จ 👉 กตัญญู = ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนไร้ค่าในสายตาผู้อื่น 📍 อยากให้ลูกเป็นคนดี? 📍 อยากให้ตัวเองมีอนาคตที่ดี? 📍 อยากให้ชีวิตไม่ลำบากในบั้นปลาย? 👉 สอนให้กตัญญูตั้งแต่วันนี้!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • พุทธศาสนากับไพ่ทาโรต์ดูจะเป็นอะไรที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ ถ้าเป็นคริสต์ศาสนาก็ยังพอมีจุดที่นำไปเชื่อมโยงกับไพ่ได้อยู่ แต่ไพ่ชุดที่จะกล่าวถึงในคราวนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า ไม่มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์เกินไปสำหรับไพ่ทาโรต์

    'Siddhartha Tarot' เป็นไพ่ทาโรต์ในสังกัด Lo Scarabeo ตีพิมพ์เมื่อปี 2022 ผลิตและวางจำหน่ายแบบไพ่แมสตามร้านหนังสือชั้นนำ พอเป็นไพ่แมสของ สนพ. นี้จะมีสเปกเหมือน ๆ กันหมด คือพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตหนาประมาณ 280 gsm (ซึ่งถือว่าค่อนข้างบางแล้วเมื่อเทียบกับไพ่ของผู้ผลิตไทยหลายรายเดี๋ยวนี้) เคลือบมันทั้งหน้าและหลัง บรรจุในกล่องกระดาษแบบฝาเปิดด้านบน (Tuck box) และมีคู่มือกระดาษเล่มเล็กแบบเย็บมุงหลังคาแถมมาให้ด้วย คราวนี้ขอเอาสเปกขึ้นก่อน เพราะไพ่ชุดนี้มีอะไรมัน ๆ ให้พิมพ์ถึงอีกมาก

    ดูจากชื่อไพ่กับหน้ากล่องแล้วก็น่าจะเข้าใจไม่ยากว่าเป็นไพ่ธีมพุทธ "Siddhartha" คือ สิทธารถะ ซึ่งเป็นการออกเสียงแบบสันสกฤตของชื่อ "สิทธัตถะ" หรือพระนามเดิมของพระพุทธเจ้าที่ไทยเรารู้จัก แต่ไพ่ชุดนี้เป็นธีมพุทธแบบนิกายมหายาน (โดยเน้นไปที่ฝั่งทิเบต) ซึ่งมีความเชื่อและหลักธรรมคำสอนแตกต่างไปจากนิกายหินยานหรือเถรวาทแบบของไทยเรา ต้องบอกไว้แบบนี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะมีใครเห็นรูปพระปาง "ยับยุม" บนหน้าไพ่ Lovers แล้วจะอกแตกหรือไม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกเอา โปรดจำไว้ว่า พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ในการนับถือและตีความโดยชาวไทยพุทธเท่านั้น เข้าใจนะครับ ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ คุณก็จะยอมรับและสนุกกับไพ่ชุดนี้ได้

    สำรับไพ่ชุดนี้มี 78 ใบตามโครงสร้างของทาโรต์มาตรฐาน ภาพหน้าไพ่วาดในสไตล์กึ่งอาร์ตนูโวกึ่งการ์ตูนสมจริงแบบคอมิกฝรั่ง บนหน้าไพ่แต่ละใบเป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามคติมหายาน ตลอดจนบุคคลสำคัญ (เช่น ดาไลลามะ ในไพ่ 10 เหรียญ) และสถานที่สำคัญทางศาสนา (เช่น สถูป ในไพ่ 10 ไม้เท้า) ส่วนไพ่ Ace แต่ละตระกูลจะเป็นท่ามุทรา 4 ท่า ซึ่งเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ตรงนี้เดี๋ยวจะขยายความต่อไป

    ผมรู้ครับว่าคนไทยบางส่วนเข็ดขยาดกับการอ่านหนังสือ มิพักต้องพูดถึงหนังสือในภาษาต่างประเทศ แต่ถ้าอยากเข้าถึงและใช้งานไพ่ชุดนี้ได้อย่างเต็มที่ หากว่าคุณเป็นคนไทยพุทธที่ไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับระบบความเชื่อแบบพุทธมหายานแล้ว คู่มือเล่มเล็ก ๆ ที่แถมมาในกล่องไพ่ชุดนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด และถ้าคุณสนใจหรือกำลังอยากศึกษา Mythology ของพุทธมหายาน คู่มือไพ่ชุดนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นอันประเสริฐ เพราะคนที่ออกแบบไพ่ชุดนี้ขึ้นมาน่าจะศึกษาคติมหายานมาลึกซึ้งไม่น้อย และยังนำมาดัดแปลงเป็นโครงสร้างไพ่ทาโรต์ได้น่าสนใจมาก ๆ

    ตามที่คู่มือบอกมา ไพ่ชุดนี้ออกแบบโดยมีโครงสร้างหลักคือ "พระธยานิพุทธะ" หรือพระพุทธเจ้า 5 องค์ ซึ่งเป็นแก่นความเชื่อของพุทธมหายาน และผู้สร้างไพ่ก็นำแต่ละพระองค์ไปเชื่อมโยงกับ Suits หรือไพ่ทั้ง 5 กลุ่มในสารบบทาโรต์ ได้แก่

    - ไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) : พระไวโรจนพุทธเจ้า (Vairochana) ธาตุอากาศ สีขาว มีสัญลักษณ์คือ ธรรมจักร

    - ไพ่ถ้วย (Cups) : พระอมิตาภพุทธเจ้า (Amithaba) ธาตุไฟ สีแดง มีสัญลักษณ์คือ ดอกบัว (ปทมะ) คนไทยพุทธน่าจะคุ้นเคยกับภาพหน้าไพ่กลุ่มนี้มากที่สุด เพราะแสดงถึงฉากเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติของพระศากยมุณีพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ) ไพ่ Ace เป็นรูปธยานมุทรา

    - ไพ่เหรียญ (Pentacles) : พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า (Ratnasambhava) ธาตุดิน สีเหลือง มีสัญลักษณ์คือ รัตนมณี หรือหินมีค่า ไพ่ Ace เป็นรูปวรทมุทรา

    - ไพ่ไม้เท้า (Wands) : พระอักโษภยพุทธเจ้า (Aksobhaya) ธาตุน้ำ สีน้ำเงิน มีสัญลักษณ์คือ วัชระ ไพ่ Ace เป็นรูปภูมิผัสมุทรา

    - ไพ่ดาบ (Swords) : พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า (Amoghasiddhi) ธาตุลม สีเขียว มีสัญลักษณ์คือ วัชระแฝด (กรรมะ) ไพ่ Ace เป็นรูปอภยมุทรา

    ในไพ่ชุดรองทั้ง 4 กลุ่ม พระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มจะอยู่ในไพ่ King ส่วนในไพ่ชุดหลัก พระไวโรจนพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มอยู่ในไพ่ The Fool พร้อมกับทรงทำมือเป็นท่าธรรมจักรมุทรา และพระศากยมุณีหรือพระพุทธเจ้าของไทยเราจะอยู่ในไพ่ The World

    ถ้าคุณได้อ่านบรรทัดเกี่ยวกับไพ่แต่ละกลุ่มข้างบน จะเห็นว่าไพ่ถ้วยกับไม้เท้าไม่ได้เป็นธาตุน้ำกับไฟตามที่ยึดถือกันในขนบทาโรต์มาตรฐาน แต่เป็นการยึดตามคติพุทธมหายานแทน ไม่ใช่แค่นั้น ความหมายไพ่แต่ละใบ ตามที่อธิบายไว้ในคู่มือ ก็มีการตีความแตกต่างไปจากทาโรต์มาตรฐานด้วย ดังนั้นการใช้งานไพ่ชุดนี้จึงเป็นเรื่องท้าทายเอามาก ๆ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับความเชื่อแบบมหายาน ทางที่ดีคือยึดเอาจากในคู่มือเป็นหลักเถอะครับ ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนั้นค่อยนำความหมายไพ่แบบมาตรฐานโปะ ๆ เข้าไป

    ส่วนตัวผมมองว่า การจะใช้ไพ่ชุดนี้ให้เต็มประสิทธิภาพ (ถ้ามีใครอยากใช้จริง ๆ อะนะ) ก็ต้องทำไม่ต่างจากเวลาชาวไทยพุทธเราเจอรูปพระปาง "ยับ-ยุม" หรือความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่แตกต่างไปจากที่เราเรียนกันมาในวิชาพระพุทธศาสนา นั่นคือ "วางอคติลง และ เปิดใจยอมรับ" พึงระลึกไว้ครับว่า พุทธศาสนามีอายุมากว่า 2,500 ปี ผ่านวิวัฒนาการจนแตกสาแหรกแขนงความเชื่อไปเยอะ และจะไม่หยุดเปลี่ยนแปลงตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ ดังนั้น ย้ำอีกครั้งว่า พุทธศาสนาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ในการตีความและนับถือโดยชาวพุทธไทยแต่เพียงกลุ่มเดียว

    ปัจจุบัน ไพ่ Siddhartha Tarot ยังคงมีขายในร้าน Asia Books และคิโนะคูนิยะของบ้านเราครับ
    พุทธศาสนากับไพ่ทาโรต์ดูจะเป็นอะไรที่ไม่น่าไปด้วยกันได้ ถ้าเป็นคริสต์ศาสนาก็ยังพอมีจุดที่นำไปเชื่อมโยงกับไพ่ได้อยู่ แต่ไพ่ชุดที่จะกล่าวถึงในคราวนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่า ไม่มีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์เกินไปสำหรับไพ่ทาโรต์ 'Siddhartha Tarot' เป็นไพ่ทาโรต์ในสังกัด Lo Scarabeo ตีพิมพ์เมื่อปี 2022 ผลิตและวางจำหน่ายแบบไพ่แมสตามร้านหนังสือชั้นนำ พอเป็นไพ่แมสของ สนพ. นี้จะมีสเปกเหมือน ๆ กันหมด คือพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตหนาประมาณ 280 gsm (ซึ่งถือว่าค่อนข้างบางแล้วเมื่อเทียบกับไพ่ของผู้ผลิตไทยหลายรายเดี๋ยวนี้) เคลือบมันทั้งหน้าและหลัง บรรจุในกล่องกระดาษแบบฝาเปิดด้านบน (Tuck box) และมีคู่มือกระดาษเล่มเล็กแบบเย็บมุงหลังคาแถมมาให้ด้วย คราวนี้ขอเอาสเปกขึ้นก่อน เพราะไพ่ชุดนี้มีอะไรมัน ๆ ให้พิมพ์ถึงอีกมาก ดูจากชื่อไพ่กับหน้ากล่องแล้วก็น่าจะเข้าใจไม่ยากว่าเป็นไพ่ธีมพุทธ "Siddhartha" คือ สิทธารถะ ซึ่งเป็นการออกเสียงแบบสันสกฤตของชื่อ "สิทธัตถะ" หรือพระนามเดิมของพระพุทธเจ้าที่ไทยเรารู้จัก แต่ไพ่ชุดนี้เป็นธีมพุทธแบบนิกายมหายาน (โดยเน้นไปที่ฝั่งทิเบต) ซึ่งมีความเชื่อและหลักธรรมคำสอนแตกต่างไปจากนิกายหินยานหรือเถรวาทแบบของไทยเรา ต้องบอกไว้แบบนี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะมีใครเห็นรูปพระปาง "ยับยุม" บนหน้าไพ่ Lovers แล้วจะอกแตกหรือไม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกเอา โปรดจำไว้ว่า พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ในการนับถือและตีความโดยชาวไทยพุทธเท่านั้น เข้าใจนะครับ ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ คุณก็จะยอมรับและสนุกกับไพ่ชุดนี้ได้ สำรับไพ่ชุดนี้มี 78 ใบตามโครงสร้างของทาโรต์มาตรฐาน ภาพหน้าไพ่วาดในสไตล์กึ่งอาร์ตนูโวกึ่งการ์ตูนสมจริงแบบคอมิกฝรั่ง บนหน้าไพ่แต่ละใบเป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามคติมหายาน ตลอดจนบุคคลสำคัญ (เช่น ดาไลลามะ ในไพ่ 10 เหรียญ) และสถานที่สำคัญทางศาสนา (เช่น สถูป ในไพ่ 10 ไม้เท้า) ส่วนไพ่ Ace แต่ละตระกูลจะเป็นท่ามุทรา 4 ท่า ซึ่งเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ตรงนี้เดี๋ยวจะขยายความต่อไป ผมรู้ครับว่าคนไทยบางส่วนเข็ดขยาดกับการอ่านหนังสือ มิพักต้องพูดถึงหนังสือในภาษาต่างประเทศ แต่ถ้าอยากเข้าถึงและใช้งานไพ่ชุดนี้ได้อย่างเต็มที่ หากว่าคุณเป็นคนไทยพุทธที่ไม่ได้คุ้นเคยอะไรกับระบบความเชื่อแบบพุทธมหายานแล้ว คู่มือเล่มเล็ก ๆ ที่แถมมาในกล่องไพ่ชุดนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด และถ้าคุณสนใจหรือกำลังอยากศึกษา Mythology ของพุทธมหายาน คู่มือไพ่ชุดนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นอันประเสริฐ เพราะคนที่ออกแบบไพ่ชุดนี้ขึ้นมาน่าจะศึกษาคติมหายานมาลึกซึ้งไม่น้อย และยังนำมาดัดแปลงเป็นโครงสร้างไพ่ทาโรต์ได้น่าสนใจมาก ๆ ตามที่คู่มือบอกมา ไพ่ชุดนี้ออกแบบโดยมีโครงสร้างหลักคือ "พระธยานิพุทธะ" หรือพระพุทธเจ้า 5 องค์ ซึ่งเป็นแก่นความเชื่อของพุทธมหายาน และผู้สร้างไพ่ก็นำแต่ละพระองค์ไปเชื่อมโยงกับ Suits หรือไพ่ทั้ง 5 กลุ่มในสารบบทาโรต์ ได้แก่ - ไพ่ชุดหลัก (Major Arcana) : พระไวโรจนพุทธเจ้า (Vairochana) ธาตุอากาศ สีขาว มีสัญลักษณ์คือ ธรรมจักร - ไพ่ถ้วย (Cups) : พระอมิตาภพุทธเจ้า (Amithaba) ธาตุไฟ สีแดง มีสัญลักษณ์คือ ดอกบัว (ปทมะ) คนไทยพุทธน่าจะคุ้นเคยกับภาพหน้าไพ่กลุ่มนี้มากที่สุด เพราะแสดงถึงฉากเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติของพระศากยมุณีพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ) ไพ่ Ace เป็นรูปธยานมุทรา - ไพ่เหรียญ (Pentacles) : พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า (Ratnasambhava) ธาตุดิน สีเหลือง มีสัญลักษณ์คือ รัตนมณี หรือหินมีค่า ไพ่ Ace เป็นรูปวรทมุทรา - ไพ่ไม้เท้า (Wands) : พระอักโษภยพุทธเจ้า (Aksobhaya) ธาตุน้ำ สีน้ำเงิน มีสัญลักษณ์คือ วัชระ ไพ่ Ace เป็นรูปภูมิผัสมุทรา - ไพ่ดาบ (Swords) : พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้า (Amoghasiddhi) ธาตุลม สีเขียว มีสัญลักษณ์คือ วัชระแฝด (กรรมะ) ไพ่ Ace เป็นรูปอภยมุทรา ในไพ่ชุดรองทั้ง 4 กลุ่ม พระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มจะอยู่ในไพ่ King ส่วนในไพ่ชุดหลัก พระไวโรจนพุทธเจ้าที่เป็นองค์ประจำกลุ่มอยู่ในไพ่ The Fool พร้อมกับทรงทำมือเป็นท่าธรรมจักรมุทรา และพระศากยมุณีหรือพระพุทธเจ้าของไทยเราจะอยู่ในไพ่ The World ถ้าคุณได้อ่านบรรทัดเกี่ยวกับไพ่แต่ละกลุ่มข้างบน จะเห็นว่าไพ่ถ้วยกับไม้เท้าไม่ได้เป็นธาตุน้ำกับไฟตามที่ยึดถือกันในขนบทาโรต์มาตรฐาน แต่เป็นการยึดตามคติพุทธมหายานแทน ไม่ใช่แค่นั้น ความหมายไพ่แต่ละใบ ตามที่อธิบายไว้ในคู่มือ ก็มีการตีความแตกต่างไปจากทาโรต์มาตรฐานด้วย ดังนั้นการใช้งานไพ่ชุดนี้จึงเป็นเรื่องท้าทายเอามาก ๆ สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับความเชื่อแบบมหายาน ทางที่ดีคือยึดเอาจากในคู่มือเป็นหลักเถอะครับ ถ้ามีอะไรนอกเหนือจากนั้นค่อยนำความหมายไพ่แบบมาตรฐานโปะ ๆ เข้าไป ส่วนตัวผมมองว่า การจะใช้ไพ่ชุดนี้ให้เต็มประสิทธิภาพ (ถ้ามีใครอยากใช้จริง ๆ อะนะ) ก็ต้องทำไม่ต่างจากเวลาชาวไทยพุทธเราเจอรูปพระปาง "ยับ-ยุม" หรือความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่แตกต่างไปจากที่เราเรียนกันมาในวิชาพระพุทธศาสนา นั่นคือ "วางอคติลง และ เปิดใจยอมรับ" พึงระลึกไว้ครับว่า พุทธศาสนามีอายุมากว่า 2,500 ปี ผ่านวิวัฒนาการจนแตกสาแหรกแขนงความเชื่อไปเยอะ และจะไม่หยุดเปลี่ยนแปลงตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ ดังนั้น ย้ำอีกครั้งว่า พุทธศาสนาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ในการตีความและนับถือโดยชาวพุทธไทยแต่เพียงกลุ่มเดียว ปัจจุบัน ไพ่ Siddhartha Tarot ยังคงมีขายในร้าน Asia Books และคิโนะคูนิยะของบ้านเราครับ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • อะไรๆ ก็ไม่เป็นฝันตามดอก ให้เดินตามแนวพระพุทธเจ้า จะร่มเย็นเป็นสุข
    อะไรๆ ก็ไม่เป็นฝันตามดอก ให้เดินตามแนวพระพุทธเจ้า จะร่มเย็นเป็นสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่มีใครเข้าใจเรา: วิธีเข้าใจตัวเองในแบบพุทธ

    หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าใจเจตนาของเราเลย หรือ เราถูกตีความผิด อยู่เสมอ สิ่งนี้อาจทำให้เรารู้สึกน้อยใจ และอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเองมากขึ้น

    แต่หากเราสังเกตดีๆ เรายังเข้าใจตัวเองดีพอหรือเปล่า?
    บางครั้ง เราก็สับสนในตัวเอง วันหนึ่งคิดแบบหนึ่ง อีกวันกลับคิดอีกแบบ
    อารมณ์ของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และบางที เราเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร
    หากเป็นเช่นนี้ จะหวังให้คนอื่นเข้าใจเราได้อย่างไร?


    ---

    🔍 เข้าใจตัวเองได้อย่างไร?

    1️⃣ หยุดหา "คนเข้าใจ" จากภายนอก แล้วเริ่มเข้าใจตัวเองก่อน

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

    ถ้าเรา “เป็นที่พึ่งของตัวเองได้” เข้าใจตนเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์


    2️⃣ ใช้ “สติ” สังเกตกายใจของตัวเอง
    ✅ เริ่มจากกาย – ถามตัวเองง่ายๆ ว่า

    ตอนนี้ หลังงอ หรือ หลังตรง?

    ตอนนี้ ร่างกายเกร็ง หรือ ผ่อนคลาย?


    ✅ แล้วค่อยสังเกตใจ

    ตอนนี้ เรารู้สึกสุข หรือทุกข์?

    ตอนนี้ กำลังคิดอะไร ฟุ้งซ่าน หรือสงบ?

    ตอนนี้ เราตั้งใจคิดดี หรือคิดร้ายกับใครไหม?


    → แค่รู้ตัวง่ายๆ แบบนี้ ก็เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว!

    3️⃣ สังเกตว่าอารมณ์ของเราขึ้นลงตามสิ่งรอบตัวอย่างไร

    อากาศร้อน → กายเป็นทุกข์ → ใจขุ่นมัว

    อากาศเย็น → กายสบาย → ใจคิดดีง่ายขึ้น

    คิดร้ายบ่อยๆ → กายตึงเครียด → ใจยิ่งฟุ้ง

    คิดดีสม่ำเสมอ → กายผ่อนคลาย → ใจสงบ


    📌 เราจะเริ่มเห็นว่า "อารมณ์เราไม่ใช่ตัวเรา" แต่มันเป็นสิ่งที่ผันแปรไปตามสิ่งแวดล้อมและความคิดของเราเอง


    ---

    🎯 ผลที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าใจตัวเอง

    📌 เราไม่เรียกร้องให้ใครต้องมาเข้าใจเราอีกต่อไป
    📌 เรามองเห็นอารมณ์ตัวเอง และไม่ยึดติดกับมัน
    📌 เรารู้ว่าอารมณ์ขึ้นลงเป็นธรรมดา และไม่หลงไปกับมัน
    📌 เรารู้วิธีทำให้ตัวเองเป็นสุข โดยไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้

    ✨ สุดท้ายแล้ว ถ้าเราเข้าใจตัวเองได้
    ก็เหมือนเราได้พบคนที่เข้าใจเราดีที่สุดในโลกแล้ว! 🎯

    เมื่อไม่มีใครเข้าใจเรา: วิธีเข้าใจตัวเองในแบบพุทธ หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าใจเจตนาของเราเลย หรือ เราถูกตีความผิด อยู่เสมอ สิ่งนี้อาจทำให้เรารู้สึกน้อยใจ และอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเองมากขึ้น แต่หากเราสังเกตดีๆ เรายังเข้าใจตัวเองดีพอหรือเปล่า? บางครั้ง เราก็สับสนในตัวเอง วันหนึ่งคิดแบบหนึ่ง อีกวันกลับคิดอีกแบบ อารมณ์ของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และบางที เราเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร หากเป็นเช่นนี้ จะหวังให้คนอื่นเข้าใจเราได้อย่างไร? --- 🔍 เข้าใจตัวเองได้อย่างไร? 1️⃣ หยุดหา "คนเข้าใจ" จากภายนอก แล้วเริ่มเข้าใจตัวเองก่อน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถ้าเรา “เป็นที่พึ่งของตัวเองได้” เข้าใจตนเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์ 2️⃣ ใช้ “สติ” สังเกตกายใจของตัวเอง ✅ เริ่มจากกาย – ถามตัวเองง่ายๆ ว่า ตอนนี้ หลังงอ หรือ หลังตรง? ตอนนี้ ร่างกายเกร็ง หรือ ผ่อนคลาย? ✅ แล้วค่อยสังเกตใจ ตอนนี้ เรารู้สึกสุข หรือทุกข์? ตอนนี้ กำลังคิดอะไร ฟุ้งซ่าน หรือสงบ? ตอนนี้ เราตั้งใจคิดดี หรือคิดร้ายกับใครไหม? → แค่รู้ตัวง่ายๆ แบบนี้ ก็เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว! 3️⃣ สังเกตว่าอารมณ์ของเราขึ้นลงตามสิ่งรอบตัวอย่างไร อากาศร้อน → กายเป็นทุกข์ → ใจขุ่นมัว อากาศเย็น → กายสบาย → ใจคิดดีง่ายขึ้น คิดร้ายบ่อยๆ → กายตึงเครียด → ใจยิ่งฟุ้ง คิดดีสม่ำเสมอ → กายผ่อนคลาย → ใจสงบ 📌 เราจะเริ่มเห็นว่า "อารมณ์เราไม่ใช่ตัวเรา" แต่มันเป็นสิ่งที่ผันแปรไปตามสิ่งแวดล้อมและความคิดของเราเอง --- 🎯 ผลที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าใจตัวเอง 📌 เราไม่เรียกร้องให้ใครต้องมาเข้าใจเราอีกต่อไป 📌 เรามองเห็นอารมณ์ตัวเอง และไม่ยึดติดกับมัน 📌 เรารู้ว่าอารมณ์ขึ้นลงเป็นธรรมดา และไม่หลงไปกับมัน 📌 เรารู้วิธีทำให้ตัวเองเป็นสุข โดยไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้ ✨ สุดท้ายแล้ว ถ้าเราเข้าใจตัวเองได้ ก็เหมือนเราได้พบคนที่เข้าใจเราดีที่สุดในโลกแล้ว! 🎯
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • มรรค ๘ เรียงลำดับจาก ๑..๘

    เคยใคร่ครวญกันบ้างไหม เหตุใดพระพุทธเจ้าจัดมรรคเป็น ๓ กลุ่ม โดยไม่เรียงลำดับ..เป็น ศีล สมาธิ และปัญญา

    จาก ๓ กลุ่ม จัดทางปฏิบัติลงเหลือ ๒ ทาง ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา

    จากมรรค ๒ ทาง เหลือมรรคง่ายเพียง ๑ ทาง คือ "อานาปานสติ"(มีสติหายใจเข้า..มีสติหายใจออก)

    ชาวพุทธจึงเดินมรรคได้ง่าย ๆ ตลอดเวลา หากไม่หลงอยู่ในดงพิธีกรรมของปาริพาชกเหล่าอื่น
    มรรค ๘ เรียงลำดับจาก ๑..๘ เคยใคร่ครวญกันบ้างไหม เหตุใดพระพุทธเจ้าจัดมรรคเป็น ๓ กลุ่ม โดยไม่เรียงลำดับ..เป็น ศีล สมาธิ และปัญญา จาก ๓ กลุ่ม จัดทางปฏิบัติลงเหลือ ๒ ทาง ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา จากมรรค ๒ ทาง เหลือมรรคง่ายเพียง ๑ ทาง คือ "อานาปานสติ"(มีสติหายใจเข้า..มีสติหายใจออก) ชาวพุทธจึงเดินมรรคได้ง่าย ๆ ตลอดเวลา หากไม่หลงอยู่ในดงพิธีกรรมของปาริพาชกเหล่าอื่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • *****.....เหรียญ.....พ่อท่าน คล้อย.....ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....*****

    *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....*****

    *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....*****

    #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #เหนือดวง #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    *****.....เหรียญ.....พ่อท่าน คล้อย.....ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....***** *****.....ต่อไป..จะต้องเป็น...ตำนาน.... ในการจัดสร้างวัตถุมงคล...รุ่นเหนือดวง...ครั้งแรก...ของการปลุกเสกด้วย...ตำราพิชัยสมบัติ...พิชัยสงคราม...ว่าด้วย...วิชาเหนือดวง...อัญเชิญ...เทพเทวดา...มหาเทพ... พระอรหันต์...บรรจุลงในองค์พระ...พลิก...ชีวิต...พลิก...ดวงชะตา...เปิดตำนาน...สำนักตักศิลาเขาอ้อ...วิชาเหนือดวง...สำนักเขาอ้อเป็น...สำนักสอนวิชา...ไสยศาสตร์...มาตั้งแต่ครั้งสมัยศรีวิชัย...จนถึงสมัยสุโขทัย...สมัยศรีอยุธยา...กรุงธนบุรี...จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์...ในปัจจุบัน...พระอาจารย์สำนัก...เขาอ้อ...ทุกๆองค์...เป็นปรมาจารย์อันเลื่องลือ...ของชาวพุทธภาคใต้...ตั้งแต่เมืองไชยา...ลงไปถึงแหลมมาลายู...ปรากฏว่า...ไปเรียนวิชาไสยศาสตร์ จากสำนักเขาอ้อ...หรือใช้ตำราที่มาจากสำนักเขาอ้อทั้งหมด...พระอาจารย์สำนักเขาอ้อ...ทุกๆองค์...จะมีความรู้...ความสามารถ...คล้ายคลึงกัน...เพราะได้ศึกษาต่อกันมาไม่ขาดระยะ...ตำราและความรู้ที่เป็นหลัก...คือ...พระอาจารย์เขาอ้อทุกองค์...สอนเวทย์มนต์...คาถา...ที่เป็นหลักเริ่มตั้งแต่...ธาตุ4 ธาตุทั้ง5 แม่ธาตุ...การตั้งธาตุ...หนุนธาตุ...แปลงธาตุ...และ...ตรวจธาตุ...วิชาคงกระพันชาตรี... แคล้วคลาด...มหาอุตฆ์...สอนให้รู้ถึงที่มาของ...เลขยันต์...อักขระยันต์ต่างๆ...ซึ่งต้องใช้ความพยายาม...และต้องอยู่ปฏิบัติอาจารย์...จนอาจารย์...เห็นความพยายาม...ที่รักในวิชาของศิษย์...จึงจะสอนให้...และยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับ...ยารักษาโรค...วิชาไสยศาสตร์...ที่เป็นหลักของสำนักเขาอ้อ...ซึ่งเป็นคุณวิเศษประจำพระอาจารย์ทุกๆองค์ ...(ยกตัวอย่าง)...ดังนี้.....1.เสกน้ำมันงาดิบ...ให้เดือด...ให้แข็ง...ทำพิธีป้อนให้ศิษย์เป็นคงกระพัน.....2.อาบน้ำว่าน แช่ยา...เป็นคงกระพันกันโรคภัย.....3.หุงข้าวเหนียวดำ...เป็นคงกระพันอายุวัฒนะ...และ...อีกหลายวิชา...ครั้งแรก...ของการปลุกเสก...ว่าด้วยวิชา.....เหนือดวง.....ตามตำราวิชาสำนักเขาอ้อ...ว่าด้วย วิชากำเนิด 3 คือ.....1.ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย.....2.ดวงกำเนิดเทวดา.....3.ดวงกำเนิดพระอรหันต์...ยันต์ดวงกำเนิดมนุษย์หญิง-ชาย ใช้ได้...ทุกผู้ทุกนาม ฯลฯ...เมื่อท่านใช้อาราธนา...ด้วยอำนาจแห่งครูอาจารย์เขาอ้อ.....อาจารย์คล้อย อโนโม.....ด้วยอำนาจแห่งวิชา... เหมือนท่านได้เกิดใหม่อีกครั้ง...ด้วยอำนาจแห่งคุณ...พระพุทธ...ยันต์ดวงกำเนิดเทวา...เป็นการอัญเชิญ...เทวดา...องค์เทพ...องค์มหาเทพ มาประจำองค์พระ...เพื่อเป็นเทวดา...ปกป้อง...คุ้มครอง...หนุนดวงชะตา...ให้กับร้ายกลายเป็นดี...ส่งเสริมให้มีเกรียติยศ...และ...ชื่อเสียง ฯลฯ...แล้วแต่จะอธิฐานต่อ... ยันต์องค์กำเนิดพระอรหัน...เป็นการอัญเชิญ...ขอบารมี...ของพระพุทธเจ้า...พระอรหันต์...ลงมาปกป้องคุ้มครอง...ประทานพร...ประทานอำนาจ...วาสนา...บารมี...ฯลฯ.....***** *****.....ไอดี ไลน์.....oak_999.....ข้อความ.....หรือโทร...089-471-5666.....***** #พระใหม่ดีกว่าพระเก๊แน่นอน #พระใหม่พิธีดี #เจตนาการสร้างดี #พระใหม่ยอดนิยม #พระสายใต้ #พระเครื่อง #พระเครื่องยอดนิยม #พระปิดตา #เหนือดวง #รับประกันพระแท้ตลอดชีพ #ทุกเหรียญตอกโค๊ดตอกเลขรันนัมเบอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
    #ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ และข้อควรระวัง

    1. ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ (เมื่อรู้ด้วยวิชชาแท้จริง)

    เป็นวิชชาแรกที่ช่วยชำแรกอวิชชา
    การระลึกชาติได้จริง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) เป็นหนึ่งในวิชชาสามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า "การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง" และมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในแต่ละภพภูมิ

    ช่วยให้เข้าใจเหตุของปัจจุบัน
    บางคนสงสัยว่าทำไมตนเองเกิดมาในครอบครัวนี้ หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น การระลึกชาติได้เองโดยการฝึกสมาธิถึงระดับลึก จะช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่เกิดจากกรรมเก่า และสามารถแก้ไขปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง

    ลดความหลงในตัวตน
    เมื่อเห็นว่าตัวเองเคยเกิดมาในหลายรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน ชายหญิง หลากหลายชาติพันธุ์ ก็จะคลายความยึดติดว่าชีวิตชาตินี้เป็น "ตัวกู ของกู" ไปเอง

    2. ข้อควรระวังของการอยากรู้อดีตชาติ

    หากเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น อาจพอกพูนอุปาทาน
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "การไปนึกถึงอดีตชาติโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จะทำให้ยึดติดและเสริมอัตตาทิฏฐิ" เช่น ถ้ารู้ว่าเคยเป็นกษัตริย์ อาจเกิดทิฏฐิว่าตัวเองสูงส่ง หรือหากเคยเป็นคนจน อาจเศร้าหมองติดอยู่กับความรู้สึกต่ำต้อย

    หากไปรับฟังจากผู้อื่น อาจถูกชี้นำผิดพลาด
    บางคนไปให้หมอดู หรือนักจิตสัมผัสบอกอดีตชาติ อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจทำให้เกิดการคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรือยึดติดกับอดีตจนละเลยปัจจุบัน

    อาจเป็นเหตุให้หมกมุ่น จนหลงลืมปัจจุบัน
    การใช้ชีวิตที่ดีอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงตนเองในชาตินี้

    3. วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากอดีตชาติ

    แทนที่จะพยายามไปรู้อดีตชาติ ให้สังเกต "ปัจจุบันกรรม" เพราะปัจจุบันคือผลของอดีต และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันก็คือการสร้างอนาคต

    เจริญสติ รู้กายใจตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับอดีต จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าการระลึกชาติ

    ถ้าระลึกอดีตชาติได้จริง (ผ่านสมาธิระดับสูง) ให้ใช้เพื่อการเข้าใจกรรม ไม่ใช่เพื่อสร้างอัตตาทิฏฐิ

    สรุป:
    ถ้าการรู้อดีตชาติช่วยให้เข้าใจกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์
    แต่ถ้าหมกมุ่นกับอดีตโดยไม่มีสติ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราปรับแก้ได้ และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
    ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ และข้อควรระวัง 1. ประโยชน์ของการรู้อดีตชาติ (เมื่อรู้ด้วยวิชชาแท้จริง) เป็นวิชชาแรกที่ช่วยชำแรกอวิชชา การระลึกชาติได้จริง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) เป็นหนึ่งในวิชชาสามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า "การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง" และมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในแต่ละภพภูมิ ช่วยให้เข้าใจเหตุของปัจจุบัน บางคนสงสัยว่าทำไมตนเองเกิดมาในครอบครัวนี้ หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น การระลึกชาติได้เองโดยการฝึกสมาธิถึงระดับลึก จะช่วยให้เห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่เกิดจากกรรมเก่า และสามารถแก้ไขปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง ลดความหลงในตัวตน เมื่อเห็นว่าตัวเองเคยเกิดมาในหลายรูปแบบ ทั้งยากดีมีจน ชายหญิง หลากหลายชาติพันธุ์ ก็จะคลายความยึดติดว่าชีวิตชาตินี้เป็น "ตัวกู ของกู" ไปเอง 2. ข้อควรระวังของการอยากรู้อดีตชาติ หากเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น อาจพอกพูนอุปาทาน พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "การไปนึกถึงอดีตชาติโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จะทำให้ยึดติดและเสริมอัตตาทิฏฐิ" เช่น ถ้ารู้ว่าเคยเป็นกษัตริย์ อาจเกิดทิฏฐิว่าตัวเองสูงส่ง หรือหากเคยเป็นคนจน อาจเศร้าหมองติดอยู่กับความรู้สึกต่ำต้อย หากไปรับฟังจากผู้อื่น อาจถูกชี้นำผิดพลาด บางคนไปให้หมอดู หรือนักจิตสัมผัสบอกอดีตชาติ อาจได้รับข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง และอาจทำให้เกิดการคิดมาก ฟุ้งซ่าน หรือยึดติดกับอดีตจนละเลยปัจจุบัน อาจเป็นเหตุให้หมกมุ่น จนหลงลืมปัจจุบัน การใช้ชีวิตที่ดีอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสในการปรับปรุงตนเองในชาตินี้ 3. วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ประโยชน์จากอดีตชาติ แทนที่จะพยายามไปรู้อดีตชาติ ให้สังเกต "ปัจจุบันกรรม" เพราะปัจจุบันคือผลของอดีต และสิ่งที่เราทำในปัจจุบันก็คือการสร้างอนาคต เจริญสติ รู้กายใจตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับอดีต จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าการระลึกชาติ ถ้าระลึกอดีตชาติได้จริง (ผ่านสมาธิระดับสูง) ให้ใช้เพื่อการเข้าใจกรรม ไม่ใช่เพื่อสร้างอัตตาทิฏฐิ สรุป: ถ้าการรู้อดีตชาติช่วยให้เข้าใจกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าหมกมุ่นกับอดีตโดยไม่มีสติ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพ้นทุกข์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราปรับแก้ได้ และเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • [1]
    ***ราชา ***กษัตริย์ ราชา... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร... ท่านผู้ถึง พร้อมด้วยวิชา และจรณะ... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดา และมนุษย์...{อัมพัฏฐสูตร}


    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม11/หน้า511/บรรทัด18}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม11/หน้า434/บรรทัด9}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม15/หน้า165/บรรทัด3}
    {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม15/หน้า161/บรรทัด17}
    http://www.tripitaka91.com/11-512-2.html
    http://www.tripitaka91.com/11-511-18.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/15-165-3.html
    http://www.tripitaka91.com/15-164-18.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/91book/book11/501_550.htm#512
    www.tripitaka91.com (เว็ปพระไตรปิฏก)








    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]






    ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ...ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด... กล่าวไว้ถูกไม่ผิด... ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์...
    [เราเห็นด้วย]








    ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ... [ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด]... ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และมนุษย์.





    >>>จบ ภาณวาร ที่ ๑











    >>>>(หมายเหตุ)<<<<<

    ****[อกาลิโก]….หมายความว่า พระธรรมพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกสูตรทุกข้อนั้น….(ไม่มียุคสมัยไม่ประกอบด้วยกาล ไม่มีกำหนดจำกัดอายุกาลเวลา)…. ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาสทุกเวลา ทุกยุคทุกสมัยตามลำดับแห่งการปฏิบัติ…. (จริงแท้อยู่ตลอดอนันตกาล)….ด้วยเหตุนี้ พระธรรมพระวินัย จึงไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา.




    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม34/หน้า186/บรรทัด12-13]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม34/หน้า189/บรรทัด13]
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    http://www.tripitaka91.com/34-186-12.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/34-186-13.html#middle
    http://www.tripitaka91.com/91book/book34/151_200.htm#186









    [2]
    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]






    ***[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]…. สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติฉันท์ เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน.



    ***พระราชาท่านกล่าวว่า… เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย.



    >>>>เสลสูตรที่ ๗
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า554/บรรทัด8]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า451/บรรทัด23]
    http://www.tripitaka91.com/47-554-8.html
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}






    [3]

    >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร]







    ***อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ … เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับ มุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ … ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ.




    >>>อ.กิงสีลสูตร
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า277/บรรทัด1]
    [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า221/บรรทัด1]
    http://www.tripitaka91.com/47-277-1.html#middle
    www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    [1] ***ราชา ***กษัตริย์ ราชา... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร... ท่านผู้ถึง พร้อมด้วยวิชา และจรณะ... เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดา และมนุษย์...{อัมพัฏฐสูตร} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม11/หน้า511/บรรทัด18} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม11/หน้า434/บรรทัด9} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม15/หน้า165/บรรทัด3} {จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม15/หน้า161/บรรทัด17} http://www.tripitaka91.com/11-512-2.html http://www.tripitaka91.com/11-511-18.html#middle http://www.tripitaka91.com/15-165-3.html http://www.tripitaka91.com/15-164-18.html#middle http://www.tripitaka91.com/91book/book11/501_550.htm#512 www.tripitaka91.com (เว็ปพระไตรปิฏก) >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ...ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด... กล่าวไว้ถูกไม่ผิด... ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์... [เราเห็นด้วย] ***[พระพุทธเจ้าตรัส]... ดูก่อนอัมพัฏฐะ... [ถึงเรา ก็กล่าวเช่นนี้ว่า กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุด]... ในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดา และมนุษย์. >>>จบ ภาณวาร ที่ ๑ >>>>(หมายเหตุ)<<<<< ****[อกาลิโก]….หมายความว่า พระธรรมพระวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกสูตรทุกข้อนั้น….(ไม่มียุคสมัยไม่ประกอบด้วยกาล ไม่มีกำหนดจำกัดอายุกาลเวลา)…. ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาสทุกเวลา ทุกยุคทุกสมัยตามลำดับแห่งการปฏิบัติ…. (จริงแท้อยู่ตลอดอนันตกาล)….ด้วยเหตุนี้ พระธรรมพระวินัย จึงไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา. [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม34/หน้า186/บรรทัด12-13] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม34/หน้า189/บรรทัด13] www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก} http://www.tripitaka91.com/34-186-12.html#middle http://www.tripitaka91.com/34-186-13.html#middle http://www.tripitaka91.com/91book/book34/151_200.htm#186 [2] >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า]…. สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตติฉันท์ เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน. ***พระราชาท่านกล่าวว่า… เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย. >>>>เสลสูตรที่ ๗ [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า554/บรรทัด8] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า451/บรรทัด23] http://www.tripitaka91.com/47-554-8.html www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก} [3] >>>[จากพระไตรปิฏก มหามกุฏราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม ม.ม.ร] ***อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ … เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับ มุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ … ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ. >>>อ.กิงสีลสูตร [จากพระไตรปิฏกเล่มสีน้ำเงิน เล่ม47/หน้า277/บรรทัด1] [จากพระไตรปิฏกเล่มสีแดง เล่ม47/หน้า221/บรรทัด1] http://www.tripitaka91.com/47-277-1.html#middle www.tripitaka91.com {เว็ปพระไตรปิฏก}
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 69
    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่จีรัง จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเถิด
    แม้แต่เกมส์คอมฯออนไลน์มันยังปิดเซิร์ฟหนีเราไปได้ ลงทุนเสียตังค์กันไปมากก็มากมายมหาศาล แต่ผลสุดท้ายเราก็กลับต้องมานั่งเศร้าสลดหดหู่เสียใจเจ็บใจ เสียทั้งตังค์ เสียทั้งเวลา และเสียแม้กระทั่งความรู้สึกดีๆกับมิตรภาพภายในเกมส์ออนไลน์ บ้างบางคนก็โดนหลอก โดนทิ้ง โดนแบน แม้กระทั่งโดนด่าว่าด่าทอเสียๆหายในแบบที่ไม่เคยพบเคยเจอกับใครที่ไหนมาก่อนในชีวิตจริง โลกในเกมส์คอมฯออนไลน์มันไม่มีความจริงใจกันหรอก แต่ใช่ว่าคนที่ดีในเกมส์คอมฯออนไลน์จะไม่มีนะ มีแต่น้อยมากๆเลย ถ้าหากได้พบเจอคนในเกมส์คอมฯออนไลน์ที่นิสัยดีจริงจังจริงใจก็นับว่าเป็นบุญวาสนาสูงส่งแล้วที่ได้มาพานพบเจอกัน แต่ที่เสียใจมากๆถึงมากที่สุดก็คือ แม่งบริษัทผู้นำเข้าเกมส์คอมฯออนไลน์มันไม่เคยคิดที่จะให้บริการที่ดีๆจริงจังจริงใจมีน้ำใจกับผู้ที่เข้ามาอุดหนุนใช้บริการเกมส์คอมฯออนไลน์ของพวกมันกันอย่างจริงจังจริงใจไม่จิงโจ้กันเลย ก็เพราะอย่างนี้ไง ถึงได้บอกว่าไม่มีเกมส์คอมฯออนไลน์ใดๆที่ไม่ปิดเซิร์ฟหนีกันไป พอแดกตังค์จากคนเล่นเกมส์ฯของพวกมันแล้ว ก็จากไปพร้อมกับกำไรที่ได้มาจากการโกงกินคนเล่นเกมส์ฯของพวกมันไง
    จบข่าว
    ป.ล.ไม่มีอะไรที่จะจีรังยั่งยืนคงทนถาวรเท่าไปมากกว่าสัจธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่อย่างเดียว
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 69 ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่จีรัง จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเถิด แม้แต่เกมส์คอมฯออนไลน์มันยังปิดเซิร์ฟหนีเราไปได้ ลงทุนเสียตังค์กันไปมากก็มากมายมหาศาล แต่ผลสุดท้ายเราก็กลับต้องมานั่งเศร้าสลดหดหู่เสียใจเจ็บใจ เสียทั้งตังค์ เสียทั้งเวลา และเสียแม้กระทั่งความรู้สึกดีๆกับมิตรภาพภายในเกมส์ออนไลน์ บ้างบางคนก็โดนหลอก โดนทิ้ง โดนแบน แม้กระทั่งโดนด่าว่าด่าทอเสียๆหายในแบบที่ไม่เคยพบเคยเจอกับใครที่ไหนมาก่อนในชีวิตจริง โลกในเกมส์คอมฯออนไลน์มันไม่มีความจริงใจกันหรอก แต่ใช่ว่าคนที่ดีในเกมส์คอมฯออนไลน์จะไม่มีนะ มีแต่น้อยมากๆเลย ถ้าหากได้พบเจอคนในเกมส์คอมฯออนไลน์ที่นิสัยดีจริงจังจริงใจก็นับว่าเป็นบุญวาสนาสูงส่งแล้วที่ได้มาพานพบเจอกัน แต่ที่เสียใจมากๆถึงมากที่สุดก็คือ แม่งบริษัทผู้นำเข้าเกมส์คอมฯออนไลน์มันไม่เคยคิดที่จะให้บริการที่ดีๆจริงจังจริงใจมีน้ำใจกับผู้ที่เข้ามาอุดหนุนใช้บริการเกมส์คอมฯออนไลน์ของพวกมันกันอย่างจริงจังจริงใจไม่จิงโจ้กันเลย ก็เพราะอย่างนี้ไง ถึงได้บอกว่าไม่มีเกมส์คอมฯออนไลน์ใดๆที่ไม่ปิดเซิร์ฟหนีกันไป พอแดกตังค์จากคนเล่นเกมส์ฯของพวกมันแล้ว ก็จากไปพร้อมกับกำไรที่ได้มาจากการโกงกินคนเล่นเกมส์ฯของพวกมันไง จบข่าว ป.ล.ไม่มีอะไรที่จะจีรังยั่งยืนคงทนถาวรเท่าไปมากกว่าสัจธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่อย่างเดียว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความว่าด้วยเรื่องของอำนาจ
    ไม่มีอำนาจใดยิ่งใหญ่เหนือไปกว่าอำนาจแห่งกรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเองท่านยังต้องจำนนจำยอมอดทนอดกลั้นต้องฝืนทนแบกรับกับผลกรรมในสิ่งที่พระองค์ได้เคยกระทำเอาไว้เลย นับประสาอะไรกับพวกผู้คนที่ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจยศศักดิ์ยิ่งใหญ่โตมโหฬารล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ใครทำกรรมชั่วใดไว้ก็ต้องได้รับบาปกรรมชั่วนั้นไปไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน
    อำนาจยศศักดิ์มันก็เป็นเพียงแค่ภาพมายาจอมปลอม แต่ผู้คนที่ชั่วช้ามันก็ยังจะลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจของมันจนโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียวเชียว และผลสุดท้ายแล้ว พอตนเองหมดสิ้นบารมีจากอำนาจวาสนาก็บรรลัยล่มจมตกลงนรกกันแม่งทุกรายทุกตัวตน สมน้ำหน้าพวกมัน เพราะเวลามันมีอำนาจก็ไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ควรที่ถูกต้องดีงาม และผลสุดท้ายพอมันหมดอำนาจลงไป พอพวกมันตายไปก็เลยถูกผู้คนก่นด่าสาปแช่งพวกมันจากผู้คนทั่วทั้งมวล ตายไปก็ตายไม่ดี เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกลงนรกหมกไหม้กันแม่งทุกรายๆไป
    อำนาจมันมีทั้งคุณและโทษ ใครที่พอมีอำนาจแล้วก็ควรคิดพินิจพิจารณากันให้ดีๆ ว่าจะใช้อำนาจไปในทางที่ดีมีคุณหรือจะใช้อำนาจไปในทางบาปโทษ มันก็เหมือนกันกับดาบสองคมสองด้าน อำนาจแห่งกรรมนั้นยิ่งใหญ่และยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหน้าไหนหรือใครผู้ใดที่จะหนีหลุดพ้นไปจากอำนาจแห่งกรรมได้ มีอยู่แต่เพียงวิธีทางเดียวเท่านั้นที่จะพอทำได้ คือ จะต้องค่อยๆคอยชดใช้บุญบาปกรรมไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ดีหรือจะเป็นกรรมที่ชั่วก็ตามที พวกก็เราจะต้องชดใช้กรรมกลับคืนกันไปอย่างแน่นอน
    เพราะฉะนั้นแล้ว จงเกรงกลัวกรรมกันให้มากๆหนักๆเข้าไว้เสียจะดีกว่า เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจกันในภายหลัง ว่าทำไมเราไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ถูกที่ควรเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตนเองกับพวกพ้องของตนแต่เพียงถ่ายเดียวอย่างเดียว
    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนได้คิดให้ดีๆเสียกันก่อนว่า เมื่อมีอำนาจวาสนาได้มีอำนาจมาแล้วนั้น เราก็ควรที่จะใช้อำนาจนี้ที่ได้มานั้นให้เป็นและให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อผู้คนส่วนรวมส่วนใหญ่ เพื่อผู้คนทุกๆคน ไม่ใช่ใช้อำนาจเพื่อตนเองกับพวกพ้องแต่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเดียวเท่านั้นเอง
    บทความว่าด้วยเรื่องของอำนาจ ไม่มีอำนาจใดยิ่งใหญ่เหนือไปกว่าอำนาจแห่งกรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเองท่านยังต้องจำนนจำยอมอดทนอดกลั้นต้องฝืนทนแบกรับกับผลกรรมในสิ่งที่พระองค์ได้เคยกระทำเอาไว้เลย นับประสาอะไรกับพวกผู้คนที่ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจยศศักดิ์ยิ่งใหญ่โตมโหฬารล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ใครทำกรรมชั่วใดไว้ก็ต้องได้รับบาปกรรมชั่วนั้นไปไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน อำนาจยศศักดิ์มันก็เป็นเพียงแค่ภาพมายาจอมปลอม แต่ผู้คนที่ชั่วช้ามันก็ยังจะลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจของมันจนโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียวเชียว และผลสุดท้ายแล้ว พอตนเองหมดสิ้นบารมีจากอำนาจวาสนาก็บรรลัยล่มจมตกลงนรกกันแม่งทุกรายทุกตัวตน สมน้ำหน้าพวกมัน เพราะเวลามันมีอำนาจก็ไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ควรที่ถูกต้องดีงาม และผลสุดท้ายพอมันหมดอำนาจลงไป พอพวกมันตายไปก็เลยถูกผู้คนก่นด่าสาปแช่งพวกมันจากผู้คนทั่วทั้งมวล ตายไปก็ตายไม่ดี เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกลงนรกหมกไหม้กันแม่งทุกรายๆไป อำนาจมันมีทั้งคุณและโทษ ใครที่พอมีอำนาจแล้วก็ควรคิดพินิจพิจารณากันให้ดีๆ ว่าจะใช้อำนาจไปในทางที่ดีมีคุณหรือจะใช้อำนาจไปในทางบาปโทษ มันก็เหมือนกันกับดาบสองคมสองด้าน อำนาจแห่งกรรมนั้นยิ่งใหญ่และยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหน้าไหนหรือใครผู้ใดที่จะหนีหลุดพ้นไปจากอำนาจแห่งกรรมได้ มีอยู่แต่เพียงวิธีทางเดียวเท่านั้นที่จะพอทำได้ คือ จะต้องค่อยๆคอยชดใช้บุญบาปกรรมไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ดีหรือจะเป็นกรรมที่ชั่วก็ตามที พวกก็เราจะต้องชดใช้กรรมกลับคืนกันไปอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว จงเกรงกลัวกรรมกันให้มากๆหนักๆเข้าไว้เสียจะดีกว่า เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจกันในภายหลัง ว่าทำไมเราไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ถูกที่ควรเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตนเองกับพวกพ้องของตนแต่เพียงถ่ายเดียวอย่างเดียว สุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนได้คิดให้ดีๆเสียกันก่อนว่า เมื่อมีอำนาจวาสนาได้มีอำนาจมาแล้วนั้น เราก็ควรที่จะใช้อำนาจนี้ที่ได้มานั้นให้เป็นและให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อผู้คนส่วนรวมส่วนใหญ่ เพื่อผู้คนทุกๆคน ไม่ใช่ใช้อำนาจเพื่อตนเองกับพวกพ้องแต่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเดียวเท่านั้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1
    สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ)
    ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ
    ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน)
    ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป
    ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่
    ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ
    ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม
    ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว
    ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
    ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ
    ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที
    "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน"
    พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ
    สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล...

    คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง
    แดนเจอร์
    บทความถึงท่านแม่หลวง(ของในหลวงรัชกาลที่ ๙)ฉบับที่ 1 สวัสดีครับทุกๆท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญยิ่งอีกหนึ่งวันแล้วนะครับ นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติไทยเรา และก็มีวันพ่อแห่งชาติไทยเรา คู่กันอีกวันเฉกเช่นเดียวกันเช่นกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเราเท่านั้นนะครับ และก็เริ่มมีเฉพาะในรัชกาลที่ ๙ เท่านั้นด้วยนะครับ(ถ้าหากว่าผมคิดผิด ก็ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมมันผู้น้อยด้อยปัญญาครับ) ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลย ไม่ใช่เฉพาะพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเรามาเท่านั้นนะครับ แต่ผมรวมความหมายถึงพวกท่านด้วย คือ ท่านพ่อหลวงและแม่หลวงแห่งปวงชนชาวไทยเรานั่นเองครับ ท่านพ่อหลวงไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว(ท่านไปอยู่บนสวรรค์ก่อนแล้ว)แต่ท่านแม่หลวงยังอยู่กับพวกเรา แต่สักวันท่านก็คงจะตามท่านพ่อหลวงไป(ไปสวรรค์อีกคน) ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆจากใจจริงๆมากๆเลยครับ ผมสงสารพวกท่านมากๆ ที่พวกท่านต้องอยู่คอยดูแลพวกเรา ลูกๆของพวกท่านตลอดมาและเสมอมาอย่างเมตตาเอ็นดูรักใคร่พวกเราอยู่ตลอดทุกเวลา โดยเฉพาะในคราวที่บ้านเมืองเราเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็หนีไม่พ้นพวกท่านต้องลงมาช่วยเหลือและคอยสะสางให้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้นั้นท่านแม่หลวงคงทุกข์ทรมานใจเป็นอย่างมากยิ่ง ที่ท่านได้สูญเสียท่านพ่อหลวงไป และไม่รู้ว่าท่านจะตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเมื่อไหร่ ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นสัจธรรมของโลก แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆพวกเราก็อดที่จะทำใจไม่ได้เลยอยู่ดีนั่นแหล่ะ ผมปรารถนาให้ท่านอยู่กับพวกเราไปนานๆที่สุดๆเท่าที่จะนานได้ แต่มันคงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะว่าบ้านเมืองถูกปกครองโดยคนชั่วที่มีอำนาจและใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ชอบธรรม ในทุกๆวันนี้ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างมาก อยู่กันอย่างยากลำบาก แทบจะไม่มีข้าวกินกันแล้ว เงินทองก็ไม่มี อนาคตก็มืดมนไปหมด อับจนหนทางที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะต่อสู้กันต่อไปอีกในวันข้างหน้ากันอีกต่อไปแล้ว ขอให้ในวันแม่ในปีนี้ ให้ท่านแม่หลวงของพวกเราได้มีความสุขบ้าง แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็ยังดี ผมรู้ว่าท่านเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใด ผมขอให้วันแม่ในปีนี้จะทำให้ท่านแม่หลวงของพวกเรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ในวันแม่ในปีนี้ ผมขอให้ทุกๆคนหลอมรวมใจกันรักแม่หลวงของพวกเราให้มากๆยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่บ้าง ช่วยกันสงสารท่านบ้าง ช่วยกันเห็นใจท่านบ้าง และก็รักท่านให้มากๆ ก่อนที่ท่านจะทำอะไร ก็ขอให้นึกถึงท่านบ้างว่าท่านพอใจยินดีหรือไม่ ในสิ่งต่างที่ทุกๆท่านทำอยู่ อย่าทำให้ท่านแม่หลวงต้องตรอมใจตายตามท่านพ่อหลวงไปอีกคนเลยนะครับ เพราะผมสงสารท่านมากๆจริงๆ ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจกันทำความดีถวายท่าน ทำให้บ้านเมืองสงบสุขกันเสียทีเถิดครับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้น่ะ ผมกราบขอร้องพวกท่านเถอะนะครับ อย่าได้ทำร้ายจิตใจท่านแม่หลวงกันอีกต่อไปเลยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วว่าพวกท่านจะไม่ทำอย่างแน่นอนก็ตามที "อำนาจใช่เป็นของเราคนเดียว มันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว อำนาจสักวันก็คงหมดไป ไปจากเราสักวัน" พวกท่านคิดหรือว่าพวกท่านจักไม่มีวันตาย ขนาดพระพุทธเจ้ายังตาย ท่านพ่อหลวงก็ยังตาย ตายไปแล้วเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง เงินปากผีสักบาทก็ยังเอาติดตัวไปไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี เหลือเพียงแต่ชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนได้จดจำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นในทางที่ดีหรือชั่ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพวกท่านเองที่พวกท่านได้ทำเอาไว้เองนั่นแหล่ะ สาธุ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล... คำข้อร้องจากผม ผู้น้อยด้อยความรู้คนหนึ่ง แดนเจอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 3
    แผ่นดินไทยสยามนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก คนดีเท่านั้นที่อยู่ได้ คนชั่วมันไม่สามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุขความเจริญในประเทศไทยนี้ได้หรอก
    เพราะว่ามันจะต้องประสบพบเจอกับเคราะห์กรรมร้ายแรงต่างๆนาๆที่มันได้ก่อขึ้นไว้ทำขึ้นเอาไว้อย่างแน่นอน และมันจะต้องมีอันเป็นไปกันทุกๆรายอย่างแน่นอนจริงๆ
    บรรพชนทุกๆท่านในประเทศไทยนี้นั้น โดยมีท่านพระสยามเทวาธิราชฯท่านเป็นผู้นำ จะไม่มีวันยอมให้ไอ้อีเวรหน้าไหนๆ ที่มันชอบคอยทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองประเทศชาติแผ่นดินไทยสยามนี้ ได้ดิบได้ดีมีความสุขความเจริญต่อไปตลอดรอดฝั่งไปได้อย่างแน่นอน
    และฉันก็เชื่อมั่นว่าคนดีที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์เอาไว้ให้กับชาติบ้านเมืองในประเทศไทยนี้นั้น เค้าย่อมที่จะได้รับการอนุเคราะห์คุ้มครอง คอยปกปักรักษาปกป้องคุ้มครองป้องกันภัย ภยันอันตรายใดๆก็ตาม จะไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายเหย้าเยือนเค้าได้อย่างแน่นอน และเค้าก็คงจะได้รับการอนุเคราะห์จากเหล่าผู้พิทักษ์ประจำประเทศไทยนี้ทั้งมวล ให้มีความผาสุขสวัสดีมีชัยอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยสยามแห่งนี้ต่อไปตลอดไปได้อย่างแน่นอน
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีตัวตนจริงๆนะ ซึ่งถ้าใครฝึกฝนปฏิบัติธรรมมานานๆแล้ว ก็จะรู้ได้เลยด้วยตนเองเลย โดยเฉพาะกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์อริยสงฆ์ท่าน พวกท่านก็เคยบอกกล่าวเอาไว้มานมนานแล้วมากมายหลายต่อหลายท่าน โดยเฉพาะทุกๆท่านที่ได้บรรลุธรรมมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์กันมาตั้งมากมายทั่วทั้งประเทศไทยสยามนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั่นเอง
    สุดท้ายนี้ ทำดีต้องได้ดีอย่างแน่นอน ทำชั่วมันต้องได้รับผลกรรมชั่วของมันอย่างแน่นอน ดั่งในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์สมณโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรา)ที่เคยได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้มาเนิ่นนานแล้วจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอนนั่นเอง
    พูดแล้วก็สาธุ ทำอย่างไรๆก็ได้อย่างนั้นๆอย่างแน่นอนแล
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 3 แผ่นดินไทยสยามนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก คนดีเท่านั้นที่อยู่ได้ คนชั่วมันไม่สามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุขความเจริญในประเทศไทยนี้ได้หรอก เพราะว่ามันจะต้องประสบพบเจอกับเคราะห์กรรมร้ายแรงต่างๆนาๆที่มันได้ก่อขึ้นไว้ทำขึ้นเอาไว้อย่างแน่นอน และมันจะต้องมีอันเป็นไปกันทุกๆรายอย่างแน่นอนจริงๆ บรรพชนทุกๆท่านในประเทศไทยนี้นั้น โดยมีท่านพระสยามเทวาธิราชฯท่านเป็นผู้นำ จะไม่มีวันยอมให้ไอ้อีเวรหน้าไหนๆ ที่มันชอบคอยทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองประเทศชาติแผ่นดินไทยสยามนี้ ได้ดิบได้ดีมีความสุขความเจริญต่อไปตลอดรอดฝั่งไปได้อย่างแน่นอน และฉันก็เชื่อมั่นว่าคนดีที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์เอาไว้ให้กับชาติบ้านเมืองในประเทศไทยนี้นั้น เค้าย่อมที่จะได้รับการอนุเคราะห์คุ้มครอง คอยปกปักรักษาปกป้องคุ้มครองป้องกันภัย ภยันอันตรายใดๆก็ตาม จะไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายเหย้าเยือนเค้าได้อย่างแน่นอน และเค้าก็คงจะได้รับการอนุเคราะห์จากเหล่าผู้พิทักษ์ประจำประเทศไทยนี้ทั้งมวล ให้มีความผาสุขสวัสดีมีชัยอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยสยามแห่งนี้ต่อไปตลอดไปได้อย่างแน่นอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีตัวตนจริงๆนะ ซึ่งถ้าใครฝึกฝนปฏิบัติธรรมมานานๆแล้ว ก็จะรู้ได้เลยด้วยตนเองเลย โดยเฉพาะกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์อริยสงฆ์ท่าน พวกท่านก็เคยบอกกล่าวเอาไว้มานมนานแล้วมากมายหลายต่อหลายท่าน โดยเฉพาะทุกๆท่านที่ได้บรรลุธรรมมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์กันมาตั้งมากมายทั่วทั้งประเทศไทยสยามนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั่นเอง สุดท้ายนี้ ทำดีต้องได้ดีอย่างแน่นอน ทำชั่วมันต้องได้รับผลกรรมชั่วของมันอย่างแน่นอน ดั่งในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์สมณโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรา)ที่เคยได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้มาเนิ่นนานแล้วจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอนนั่นเอง พูดแล้วก็สาธุ ทำอย่างไรๆก็ได้อย่างนั้นๆอย่างแน่นอนแล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts