• ที่ผ่านมาแฟนเพจคงจะเห็นผมวิจารณ์การเสนอข่าวของสื่อตะวันตกเกี่ยวกับสงครามยูเครนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดจากการอ่านข่าวในสื่อตะวันตกคือหลายครั้งที่มีข่าวอิหยังวะออกมา คนเขียนหรือแหล่งข่าวนั้นกลับไม่ใช่ตาสีตาสาหรือชาวเน็ตทั่วไป แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ถ้าเป็นภาวะปกติ คงไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอข่าวแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างเช่น

    วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2022 พลโท Ben Hodges อดีตนายทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สื่อ Fox News บอกว่ากำลังรบของรัสเซียจะหมดเกลี้ยงภายใน 10 วัน เรื่องนี้ฟังดูยังไงก็โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ ใช่ไหมครับ ประเด็นคือคนพูดเป็น "พลโท" กองทัพสหรัฐฯ เลยนะ

    วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2022 นาย Antony Beevor นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิต่างๆ หลายเล่มที่ผมเองก็อ่าน เช่นหนังสือ Stalingrad, D-Day, Arnhem, Ardennes, Berlin เป็นต้น เขียนบทความลงสื่อ The Atlantic วิจารณ์ยุทธวิธีการใช้รถถังของรัสเซีย โดยนำไปเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อ้างว่าตอนบุกยึดเบอร์ลิน จอมพลชูคอฟก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน ใช้แต่รถถังบุกเข้าเบอร์ลิน "โดยไม่มีทหารราบคุ้มกัน" ทำให้ตกเป็นเป้าของทหารเยอรมันที่ใช้อาวุธต่อสู้รถถัง Panzerfaust ผมอ่านเจอประโยคนี้อึ้งเลย ตอนบุกยึดเบอร์ลิน โซเวียตทุ่มกำลังทหารราบมากกว่า 2,500,000 นายและรถถังมากกว่า 6,000 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมัน มีทหารในเมืองแค่ 45,000 นาย โปรดฟังอีกครั้ง ในสมรภูมิเบอร์ลิน โซเวียตใช้ทหารราบ 2,500,000 นายปะทะทหารเยอรมัน 45,000 นาย น่าจะไม่มีสมรภูมิไหนที่กำลังทหารราบห่างชั้นกันขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนาย Beevor "นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2" มาบิดเบือนว่าโซเวียตใช้แต่รถถังบุกเบอร์ลิน โดยไม่มีทหารราบเลยนี่คืออิหยังวะ

    วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2023 สื่อ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวอวยรถถัง Challenger 2 ว่าเป็นรถถังเทพ ลงสนามรบเมื่อไหร่ ก็จะปราบทหารเกณฑ์รัสเซียเรียบวุธ ยูเครนชนะแน่นอน ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข่าวของ The Telegraph ไม่ใช่เกรียนชาวเน็ตที่ไหน แต่เป็น "อดีต ผบ. รถถัง" เลยนะ

    ความจริงการใช้ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาทำการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษก็มีหน่วยงานชื่อ Wellington House ที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาเขียนบทความ แผ่นพับ ใบปลิวต่างๆ เพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประโยชน์จากคุณวุฒิของบุคคลเหล่านั้นชักจูงให้คนหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ แต่โฆษณาชวนเชื่อของ Wellington House สมัยนั้นมีศิลปะ แนบเนียนกว่า "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสื่อตะวันตกปัจจุบันเยอะเลย เป็นสิ่งที่ผมผิดหวังมากเลย แล้วต่อไปเราจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจาก "พลโทกองทัพสหรัฐฯ" "นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2" "อดีต ผบ. รถถังอังกฤษ" เป็นต้น ได้อย่างไร ถ้าตะวันตกจะปัดฝุ่นวิธีการของ Wellington House มาใช้ใหม่ ก็ช่วยรักษาคุณภาพของต้นฉบับทีเถอะครับ

    สวัสดี

    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy

    03.10.2024

    ที่ผ่านมาแฟนเพจคงจะเห็นผมวิจารณ์การเสนอข่าวของสื่อตะวันตกเกี่ยวกับสงครามยูเครนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดจากการอ่านข่าวในสื่อตะวันตกคือหลายครั้งที่มีข่าวอิหยังวะออกมา คนเขียนหรือแหล่งข่าวนั้นกลับไม่ใช่ตาสีตาสาหรือชาวเน็ตทั่วไป แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่ถ้าเป็นภาวะปกติ คงไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอข่าวแบบนั้นออกมา ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2022 พลโท Ben Hodges อดีตนายทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์สื่อ Fox News บอกว่ากำลังรบของรัสเซียจะหมดเกลี้ยงภายใน 10 วัน เรื่องนี้ฟังดูยังไงก็โฆษณาชวนเชื่อชัดๆ ใช่ไหมครับ ประเด็นคือคนพูดเป็น "พลโท" กองทัพสหรัฐฯ เลยนะ วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2022 นาย Antony Beevor นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิต่างๆ หลายเล่มที่ผมเองก็อ่าน เช่นหนังสือ Stalingrad, D-Day, Arnhem, Ardennes, Berlin เป็นต้น เขียนบทความลงสื่อ The Atlantic วิจารณ์ยุทธวิธีการใช้รถถังของรัสเซีย โดยนำไปเปรียบเทียบกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อ้างว่าตอนบุกยึดเบอร์ลิน จอมพลชูคอฟก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน ใช้แต่รถถังบุกเข้าเบอร์ลิน "โดยไม่มีทหารราบคุ้มกัน" ทำให้ตกเป็นเป้าของทหารเยอรมันที่ใช้อาวุธต่อสู้รถถัง Panzerfaust ผมอ่านเจอประโยคนี้อึ้งเลย ตอนบุกยึดเบอร์ลิน โซเวียตทุ่มกำลังทหารราบมากกว่า 2,500,000 นายและรถถังมากกว่า 6,000 คัน ในขณะที่ฝ่ายเยอรมัน มีทหารในเมืองแค่ 45,000 นาย โปรดฟังอีกครั้ง ในสมรภูมิเบอร์ลิน โซเวียตใช้ทหารราบ 2,500,000 นายปะทะทหารเยอรมัน 45,000 นาย น่าจะไม่มีสมรภูมิไหนที่กำลังทหารราบห่างชั้นกันขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนาย Beevor "นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2" มาบิดเบือนว่าโซเวียตใช้แต่รถถังบุกเบอร์ลิน โดยไม่มีทหารราบเลยนี่คืออิหยังวะ วันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2023 สื่อ The Telegraph ของอังกฤษ ลงข่าวอวยรถถัง Challenger 2 ว่าเป็นรถถังเทพ ลงสนามรบเมื่อไหร่ ก็จะปราบทหารเกณฑ์รัสเซียเรียบวุธ ยูเครนชนะแน่นอน ที่น่าแปลกใจคือแหล่งข่าวของ The Telegraph ไม่ใช่เกรียนชาวเน็ตที่ไหน แต่เป็น "อดีต ผบ. รถถัง" เลยนะ ความจริงการใช้ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาทำการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่เรื่องใหม่เลยครับ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษก็มีหน่วยงานชื่อ Wellington House ที่รวบรวมนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาเขียนบทความ แผ่นพับ ใบปลิวต่างๆ เพื่อใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ ใช้ประโยชน์จากคุณวุฒิของบุคคลเหล่านั้นชักจูงให้คนหลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ แต่โฆษณาชวนเชื่อของ Wellington House สมัยนั้นมีศิลปะ แนบเนียนกว่า "ผู้เชี่ยวชาญ" ในสื่อตะวันตกปัจจุบันเยอะเลย เป็นสิ่งที่ผมผิดหวังมากเลย แล้วต่อไปเราจะเชื่อข้อมูลข่าวสารจาก "พลโทกองทัพสหรัฐฯ" "นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2" "อดีต ผบ. รถถังอังกฤษ" เป็นต้น ได้อย่างไร ถ้าตะวันตกจะปัดฝุ่นวิธีการของ Wellington House มาใช้ใหม่ ก็ช่วยรักษาคุณภาพของต้นฉบับทีเถอะครับ สวัสดี การทูตและการทหาร Military and Diplomacy 03.10.2024
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • 1 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตรได้โพสต์ถึง มาตรฐานรถบัสทัศนศึกษาในยุโรปกับโศกนาฎกรรมไฟไหม้รถบัสนักเรียนจากจ.อุทัยธานี

    1.กรณีรถบัสทัศนศึกษาจากโรงเรียนใน จ.อุทัยธานี เกิดไฟไหม้ ทั้งคัน ที่ถนนวิภาวดีรังสิต
    1.1.สิ่งพบในเหตุการณ์คือ ไฟไหม้จากล้อหน้ายางแตก นักเรียนได้กินแก๊สในห้องโดยสาร รถบัสดังกล่าวใช้แก๊ส NGV เป็นเชื้อเพลิง ประตูทางออกฉุกเฉินไม่สามารถเปิดได้ นักเรียนและคุณครูเสียชีวิตหลายคนส่วนใหญ่อยู่ทางด้านหลังรถบัส
    1.2.เชื้อเพลิงNGVของรถบัส (ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทนนำมาอัดจนมีความดันสูง ประมาณ 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้วแล้วนำไปเก็บในถังบรรจุที่มีความแข็งแรงทน ทานสูงเป็นพิเศษ) ลักษณะจะเบากว่าอา กาศหากมีการรั่วไหลก็อาจจะลอยสะสมขึ้นบนที่ฝ้าเพดานรถและอาจเกิดไฟไหม้ได้เมื่อมีความร้อนหรือไฟที่ระดับหนึ่งมีช่วงของการติดไฟที่ร้อยละ 5-15 ของปริมาตรในอากาศ อาจเป็นสาเหตุของไฟไหม้รถบัสได้

    2.กรณีระบบความปลอดภัยของรถบัสในประเทศยุโรป
    2.1.ระบบความปลอดภัยของตัวรถบัสเพื่อใช้ทัศนศึกษาในประเทศแถบยุโรป..
    2.1.1.ติดเซ็นเซอร์ป้องกันประตูปิดขณะผู้โดยสารขึ้นและลงจากรถ
    2.1.2 ตัวถังเป็นโครงสร้างเหล็ก galvanized ซึ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่าเหล็กทั่วไป
    2.1.3.กระจกผ้าม่านในรถและพื้นยางปูรถต้องทำจากวัสดุป้องกันไฟลามตามมาตร ฐานของ EU
    2.1.4.ในแต่ละที่นั่งมีเข็มขัดนิรภัย 2 จุด
    2.1.5.มีระบบเบรกอัจฉริยะ Anti-Lock Braking System. (ABS)
    2.1.6.ทางออกฉุกเฉินของรถบัสให้มีถึง 3 ที่ ได้แก่ ท้ายรถด้านขวามีประตูฉุกเฉินพร้อมป้าย EXIT บานกระจกเป็นกระจกนิร ภัยTempered glass ซึ่งสามารถใช้เป็นทางออกฉุกเฉินได้ ช่องพัดลมดูดอากาศใช้เป็นทางออกฉุกเฉินได้ด้วย

    2.2.ความปลอดภัยด้านป้องกันไฟไหม้ของยุโรป
    2.2.1.มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติในห้องเครื่องยนต์
    2.2.2. ถังดับเพลิง 2 ถัง
    2.3.3 ค้อนทุบกระจก 4-6 อัน

    2.3.เชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับรถบัสยุโรป จะใช้น้ำมันดีเซลEuro5 ไม่ใช่แก๊ส เพราะปลอด ภัยกว่าและไม่ปล่อยฝุ่น2.5

    2.4.ยางรถยนต์รถบัสยุโรปต้องยึดเกาะถนนได้ดีตามมาตรฐานEuro

    2.5.พนักงานขับรถในยุโรปต้องมีใบขับขี่รถบัสหรือได้ Certificated และมีประสบ การณ์ขับขี่ สามารถยืนยันตัวตนได้

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/svH6f69WqCVLtQPQ/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    1 ตุลาคม 2567-อ.สนธิ คชวัตรได้โพสต์ถึง มาตรฐานรถบัสทัศนศึกษาในยุโรปกับโศกนาฎกรรมไฟไหม้รถบัสนักเรียนจากจ.อุทัยธานี 1.กรณีรถบัสทัศนศึกษาจากโรงเรียนใน จ.อุทัยธานี เกิดไฟไหม้ ทั้งคัน ที่ถนนวิภาวดีรังสิต 1.1.สิ่งพบในเหตุการณ์คือ ไฟไหม้จากล้อหน้ายางแตก นักเรียนได้กินแก๊สในห้องโดยสาร รถบัสดังกล่าวใช้แก๊ส NGV เป็นเชื้อเพลิง ประตูทางออกฉุกเฉินไม่สามารถเปิดได้ นักเรียนและคุณครูเสียชีวิตหลายคนส่วนใหญ่อยู่ทางด้านหลังรถบัส 1.2.เชื้อเพลิงNGVของรถบัส (ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทนนำมาอัดจนมีความดันสูง ประมาณ 3,000 ปอนด์/ตารางนิ้วแล้วนำไปเก็บในถังบรรจุที่มีความแข็งแรงทน ทานสูงเป็นพิเศษ) ลักษณะจะเบากว่าอา กาศหากมีการรั่วไหลก็อาจจะลอยสะสมขึ้นบนที่ฝ้าเพดานรถและอาจเกิดไฟไหม้ได้เมื่อมีความร้อนหรือไฟที่ระดับหนึ่งมีช่วงของการติดไฟที่ร้อยละ 5-15 ของปริมาตรในอากาศ อาจเป็นสาเหตุของไฟไหม้รถบัสได้ 2.กรณีระบบความปลอดภัยของรถบัสในประเทศยุโรป 2.1.ระบบความปลอดภัยของตัวรถบัสเพื่อใช้ทัศนศึกษาในประเทศแถบยุโรป.. 2.1.1.ติดเซ็นเซอร์ป้องกันประตูปิดขณะผู้โดยสารขึ้นและลงจากรถ 2.1.2 ตัวถังเป็นโครงสร้างเหล็ก galvanized ซึ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่าเหล็กทั่วไป 2.1.3.กระจกผ้าม่านในรถและพื้นยางปูรถต้องทำจากวัสดุป้องกันไฟลามตามมาตร ฐานของ EU 2.1.4.ในแต่ละที่นั่งมีเข็มขัดนิรภัย 2 จุด 2.1.5.มีระบบเบรกอัจฉริยะ Anti-Lock Braking System. (ABS) 2.1.6.ทางออกฉุกเฉินของรถบัสให้มีถึง 3 ที่ ได้แก่ ท้ายรถด้านขวามีประตูฉุกเฉินพร้อมป้าย EXIT บานกระจกเป็นกระจกนิร ภัยTempered glass ซึ่งสามารถใช้เป็นทางออกฉุกเฉินได้ ช่องพัดลมดูดอากาศใช้เป็นทางออกฉุกเฉินได้ด้วย 2.2.ความปลอดภัยด้านป้องกันไฟไหม้ของยุโรป 2.2.1.มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติในห้องเครื่องยนต์ 2.2.2. ถังดับเพลิง 2 ถัง 2.3.3 ค้อนทุบกระจก 4-6 อัน 2.3.เชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับรถบัสยุโรป จะใช้น้ำมันดีเซลEuro5 ไม่ใช่แก๊ส เพราะปลอด ภัยกว่าและไม่ปล่อยฝุ่น2.5 2.4.ยางรถยนต์รถบัสยุโรปต้องยึดเกาะถนนได้ดีตามมาตรฐานEuro 2.5.พนักงานขับรถในยุโรปต้องมีใบขับขี่รถบัสหรือได้ Certificated และมีประสบ การณ์ขับขี่ สามารถยืนยันตัวตนได้ ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/svH6f69WqCVLtQPQ/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 688 มุมมอง 0 รีวิว
  • Do'BahtDiaw
    สหายที่ไร้วิญญาณ แต่ไม่ไร้ความรู้สึก สื่อสัมผัสที่ได้รับ จากสหายผู้บึกบึน
    .
    Do'BahtDiaw
    แห่งที่มาของชื่อ ... นั้นมีที่มา
    ยานพาหนะสี่ล้อสีดำ ที่เห็นโคลนเป็นไม่ได้
    พร้อมที่จะโผนกระโจนเข้าใส่อย่างไร้ความลังเลในทุกที่ ... ที่มีทาง
    จุดหมายข้างหน้าจะเละ จะเลอะ พร้อมเสมอมา แม้ว่าบางครั้งจะไปไม่ถึงก็ตาม
    .
    Do คือ Colorado
    BahtDiaw คือ ราคาบาทเดียว
    ว่ากันง่ายๆ คือ Chevrolet Colorado ราคาบาทเดียว
    ทำไมถึงชื่อนี้กันละ นั้นสิ ชื่อคือตัวแทนที่อยากเรียกขาน ที่รู้กันในกลุ่ม
    .
    นับจากที่ออกป้ายแดงเดิมๆ
    ชีวิตเกษตรที่ต้องใช้งานเข้าสวนในทาง Off Road
    เส้นทาง ๑๐ กิโลเมตรกว่าปลายๆ เป็นทางที่ชาวบ้านใช้รถไถ
    หน้าแล้ง คือ ฝุ่น หินลอย หน้าฝน คือ โคลน น้ำ และดินกึ่งหนังหมู
    แต่จริงๆ หน้าไหนก็โคลนเละ ป้ายแดงกับถนนเละๆ ไม่ค่อยได้ล้างคราบโคลน
    '
    เช้าเข้าตลาดเช้า ... ซื้ออาหารกินเที่ยงในสวน
    เย็นเข้าตลาดเย็น ... ซื้ออาหารกินมื้อเย็นกลับที่พักพิง
    ดูแปลกตา แปลกใจ ของคนในตลาด จนมีคำพูดของคนในตลาดที่ได้ยินเข้าหู
    '
    #ใช้รถยังกะซื้อมาบาทเดียว
    จะตั้งชื่อ #รถบาทเดียว มันดูธรรมด๊า ธรรมดา
    รถรุ่นโคโลราโด ในกลุ่มจะพูดกันง่ายๆ เราเหล่าชาว #โด้
    #โด้บาทเดียว ดูจะเหมาะสม และดูเท่จัดภาษาประกิตทับศัพท์กันเลย

    Do’BahtDiaw
    Do'BahtDiaw สหายที่ไร้วิญญาณ แต่ไม่ไร้ความรู้สึก สื่อสัมผัสที่ได้รับ จากสหายผู้บึกบึน . Do'BahtDiaw แห่งที่มาของชื่อ ... นั้นมีที่มา ยานพาหนะสี่ล้อสีดำ ที่เห็นโคลนเป็นไม่ได้ พร้อมที่จะโผนกระโจนเข้าใส่อย่างไร้ความลังเลในทุกที่ ... ที่มีทาง จุดหมายข้างหน้าจะเละ จะเลอะ พร้อมเสมอมา แม้ว่าบางครั้งจะไปไม่ถึงก็ตาม . Do คือ Colorado BahtDiaw คือ ราคาบาทเดียว ว่ากันง่ายๆ คือ Chevrolet Colorado ราคาบาทเดียว ทำไมถึงชื่อนี้กันละ นั้นสิ ชื่อคือตัวแทนที่อยากเรียกขาน ที่รู้กันในกลุ่ม . นับจากที่ออกป้ายแดงเดิมๆ ชีวิตเกษตรที่ต้องใช้งานเข้าสวนในทาง Off Road เส้นทาง ๑๐ กิโลเมตรกว่าปลายๆ เป็นทางที่ชาวบ้านใช้รถไถ หน้าแล้ง คือ ฝุ่น หินลอย หน้าฝน คือ โคลน น้ำ และดินกึ่งหนังหมู แต่จริงๆ หน้าไหนก็โคลนเละ ป้ายแดงกับถนนเละๆ ไม่ค่อยได้ล้างคราบโคลน ' เช้าเข้าตลาดเช้า ... ซื้ออาหารกินเที่ยงในสวน เย็นเข้าตลาดเย็น ... ซื้ออาหารกินมื้อเย็นกลับที่พักพิง ดูแปลกตา แปลกใจ ของคนในตลาด จนมีคำพูดของคนในตลาดที่ได้ยินเข้าหู ' #ใช้รถยังกะซื้อมาบาทเดียว จะตั้งชื่อ #รถบาทเดียว มันดูธรรมด๊า ธรรมดา รถรุ่นโคโลราโด ในกลุ่มจะพูดกันง่ายๆ เราเหล่าชาว #โด้ #โด้บาทเดียว ดูจะเหมาะสม และดูเท่จัดภาษาประกิตทับศัพท์กันเลย Do’BahtDiaw
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ต้องยอมรับในความใจเด็ดที่โจกล้าท้าสื่อไทย
    กร้าว สับ แบบไม่เกรงหน้าไหน
    กราดในโซเชียล ไม่สนค่าย
    ลั่นให้รู้ว่าสื่อไทย ต้มคนดู
    ให้สื่อไทยได้รู้ ว่าโจคือที่สุด
    ผู้มี อธพ ตัวจริง ที่ไม่กลัวสื่อหน้าไหน
    เพราะตนมียูซผี มีเทรนทิพ
    พร้อมจะต้มสื่อ ให้หันกลับมา
    ใช้ความว่า ชาวเน็ตกลับลำได้เสมอ
    อย่าประเมินพลัง อำนาจ ของ โจ มณฑานีต่ำเกินไป
    แบบนี้ สื่อไทยอาจจะต้องสะดุ้ง
    เพราะบารมีของเธอ
    สุดยอด ยอดคน โจ มณฑนี
    เธอไปไกลแล้วจริงๆ
    สื่อไทยก็รวมพี่หนุ่ม มดดำ
    ประกาศแบบนี้ก็ประมาณว่าเป็นแค่ฝุ่นผง
    ที่โจไม่เคยแคร์ จะสื่อไหนก็เหอะ
    โจไม่เคยหวั่น นี่แหละที่โจเคยลั่นไว้ว่า
    จะรู้จักว่าโจเป็นแบบไหน เล่นกับใครไม่เล่น
    อย่ามาเล่นกับโจ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ต้องยอมรับในความใจเด็ดที่โจกล้าท้าสื่อไทย กร้าว สับ แบบไม่เกรงหน้าไหน กราดในโซเชียล ไม่สนค่าย ลั่นให้รู้ว่าสื่อไทย ต้มคนดู ให้สื่อไทยได้รู้ ว่าโจคือที่สุด ผู้มี อธพ ตัวจริง ที่ไม่กลัวสื่อหน้าไหน เพราะตนมียูซผี มีเทรนทิพ พร้อมจะต้มสื่อ ให้หันกลับมา ใช้ความว่า ชาวเน็ตกลับลำได้เสมอ อย่าประเมินพลัง อำนาจ ของ โจ มณฑานีต่ำเกินไป แบบนี้ สื่อไทยอาจจะต้องสะดุ้ง เพราะบารมีของเธอ สุดยอด ยอดคน โจ มณฑนี เธอไปไกลแล้วจริงๆ สื่อไทยก็รวมพี่หนุ่ม มดดำ ประกาศแบบนี้ก็ประมาณว่าเป็นแค่ฝุ่นผง ที่โจไม่เคยแคร์ จะสื่อไหนก็เหอะ โจไม่เคยหวั่น นี่แหละที่โจเคยลั่นไว้ว่า จะรู้จักว่าโจเป็นแบบไหน เล่นกับใครไม่เล่น อย่ามาเล่นกับโจ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    Love
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • Good morning Tuesday. #ฝุ่น #ปอดฉัน #thaitimes
    Good morning Tuesday. #ฝุ่น #ปอดฉัน #thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,523
    วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024)

    Photo Album 2/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    11. วัดทองนพคุณ อ.เมือง จ.เพชรบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    12. วัดท่าแขก อ.เชียงคาน จ.เลย
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    13. วัดธาตุฝุ่น อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    14. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    15. วัดบุญเรือง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    16. วัดปากคลองลาน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    17. วัดป่าท่าวารี อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    18. วัดป่าธรรมวิเวก อ.ลี้ จ.ลำพูน
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    19. วัดป่านาอีเลิศ อ.วังสะพุง จ.เลย
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    20. วัดป่าเนรมิต อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,523 วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024) Photo Album 2/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 11. วัดทองนพคุณ อ.เมือง จ.เพชรบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 12. วัดท่าแขก อ.เชียงคาน จ.เลย (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 13. วัดธาตุฝุ่น อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 14. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 15. วัดบุญเรือง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 16. วัดปากคลองลาน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 17. วัดป่าท่าวารี อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 18. วัดป่าธรรมวิเวก อ.ลี้ จ.ลำพูน (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 19. วัดป่านาอีเลิศ อ.วังสะพุง จ.เลย (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 20. วัดป่าเนรมิต อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,523
    วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024)

    Photo Album 2/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    11. วัดทองนพคุณ อ.เมือง จ.เพชรบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    12. วัดท่าแขก อ.เชียงคาน จ.เลย
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    13. วัดธาตุฝุ่น อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    14. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    15. วัดบุญเรือง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    16. วัดปากคลองลาน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    17. วัดป่าท่าวารี อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    18. วัดป่าธรรมวิเวก อ.ลี้ จ.ลำพูน
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    19. วัดป่านาอีเลิศ อ.วังสะพุง จ.เลย
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    20. วัดป่าเนรมิต อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,523 วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024) Photo Album 2/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 11. วัดทองนพคุณ อ.เมือง จ.เพชรบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 12. วัดท่าแขก อ.เชียงคาน จ.เลย (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 13. วัดธาตุฝุ่น อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 14. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 15. วัดบุญเรือง อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 16. วัดปากคลองลาน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 17. วัดป่าท่าวารี อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 18. วัดป่าธรรมวิเวก อ.ลี้ จ.ลำพูน (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 19. วัดป่านาอีเลิศ อ.วังสะพุง จ.เลย (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) 20. วัดป่าเนรมิต อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 19 ต.ค.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • ...ในครอบครัวหนึ่งๆ...
    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความยากจน
    ทว่าคือวิธีพูดที่ทำให้หายใจไม่ออก

    ทั้งที่อยากแสดงความใส่ใจ
    กลับกลายเป็นการต่อว่าตำหนิ

    ทั้งที่อยากแก้ปัญหา
    กลับกลายทำให้ความขัดแย้ง
    ที่ฝุ่นจับมานานปะทุรุนแรงขึ้น

    พูดไม่เป็น ไม่พูดกันดีดี
    ครอบครัวลักษณะนี้แทบหาความสุขไม่ได้

    สื่อสารโดยการตะคอกใส่กัน
    ในถ้อยคำมีเพียงการจับผิดหาความ
    พูดไม่เกินสองคำก็ทะเลาะกัน

    บ้านคือสถานที่พูดเรื่องความรัก
    ไม่ใช่สถานที่ถกเหตุผล

    ต่อให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด
    ก็ไม่อาจทนฟังคำพูดร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทางวาจา
    แม้จะร่ำรวยเพียงใดก็ทำให้คนอยากหลบหนี

    บ้านที่มีความสุขความหรรษา
    ต่อให้ซอมซ่อเพียงใดก็ทำให้คนรักอาลัย

    ถ้าเป็นคนที่รักบ้านจริง
    คิดจะบริหารครอบครัวให้ดีแล้ว เริ่มจากวันนี้

    ทำสิ่งที่ถนอมรักใส่ใจ กล่าววาจาที่ให้ใจสบาย
    บ้านสุข ทุกเรื่องราวจะรุ่งเรือง
    ...ในครอบครัวหนึ่งๆ... สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความยากจน ทว่าคือวิธีพูดที่ทำให้หายใจไม่ออก ทั้งที่อยากแสดงความใส่ใจ กลับกลายเป็นการต่อว่าตำหนิ ทั้งที่อยากแก้ปัญหา กลับกลายทำให้ความขัดแย้ง ที่ฝุ่นจับมานานปะทุรุนแรงขึ้น พูดไม่เป็น ไม่พูดกันดีดี ครอบครัวลักษณะนี้แทบหาความสุขไม่ได้ สื่อสารโดยการตะคอกใส่กัน ในถ้อยคำมีเพียงการจับผิดหาความ พูดไม่เกินสองคำก็ทะเลาะกัน บ้านคือสถานที่พูดเรื่องความรัก ไม่ใช่สถานที่ถกเหตุผล ต่อให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งเพียงใด ก็ไม่อาจทนฟังคำพูดร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทางวาจา แม้จะร่ำรวยเพียงใดก็ทำให้คนอยากหลบหนี บ้านที่มีความสุขความหรรษา ต่อให้ซอมซ่อเพียงใดก็ทำให้คนรักอาลัย ถ้าเป็นคนที่รักบ้านจริง คิดจะบริหารครอบครัวให้ดีแล้ว เริ่มจากวันนี้ ทำสิ่งที่ถนอมรักใส่ใจ กล่าววาจาที่ให้ใจสบาย บ้านสุข ทุกเรื่องราวจะรุ่งเรือง
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทองคำฟิวเจอร์สสร้างสถิติพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญ

    ในสัปดาห์ประวัติศาสตร์สำหรับตลาดโลหะมีค่า โกลด์ฟิวเจอร์สได้ทำลายสถิติ โดยทะลุระดับ 2,600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์เป็นครั้งแรก

    ณ เวลา 17.00 น. EDTของวันศุกร์ที่ผ่านมา สัญญาเซื้อขายทองคำสำหรับเดือนธันวาคมอยู่ที่ 2,606.20 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ 19 ดอลลาร์หรือ 0.73% สำหรับวันนั้น การพุ่งขึ้นนี้ถือเป็นวันที่สองติดต่อกันของการทำลายสถิติสูงสุด โดยจุดสูงสุดระหว่างวันแตะระดับ $2,614.60 อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    การเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งของราคาทองคำเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของเมื่อวันศุกร์ที่ 47 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม การเพิ่มขึ้นอย่างมากของสัปดาห์นี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้าก้าวข้ามหลักชัยที่ 2,600 ดอลลาร์

    ในขณะที่ฝุ่นจางหายไปในเหตุการณ์สำคัญนี้ ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังมุ่งความสนใจไปที่การประชุมคณะกรรมการตลาดกลางของรัฐบาลกลาง (FOMC) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ปี 2020 มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้สังเกตการณ์ตลาดก็คือการลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน

    เวทีสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางมีความพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง จุดยืนของพาวเวลล์สะท้อนจากเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆ โดยเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าการผ่อนคลายทางการเงินกำลังใกล้เข้ามา

    เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Austan Goolsbee ประธานเฟดแห่งชิคาโกเน้นย้ำว่าแนวโน้มระยะยาวทั้งในตลาดแรงงานและข้อมูลเงินเฟ้อ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น Goolsbee เตือนไม่ให้ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเป็นเวลานาน โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระดับการจ้างงาน

    แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีสูง แต่ประเด็นสำคัญยังคงเป็นประเด็นถกเถียง นักเศรษฐศาสตร์ที่ Fitch คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดจุดพื้นฐาน 0.25%สองครั้ง หนึ่งครั้งในสัปดาห์หน้าและอีกครั้งในเดือนธันวาคม

    อย่างไรก็ตาม เสียงบางส่วน เช่น Krishna Guha จาก Evercore ISI สนับสนุนการลดดอกเบี้ยพื้นฐาน 0.50%เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    ที่มา Kitco
    ทองคำฟิวเจอร์สสร้างสถิติพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญ ในสัปดาห์ประวัติศาสตร์สำหรับตลาดโลหะมีค่า โกลด์ฟิวเจอร์สได้ทำลายสถิติ โดยทะลุระดับ 2,600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์เป็นครั้งแรก ณ เวลา 17.00 น. EDTของวันศุกร์ที่ผ่านมา สัญญาเซื้อขายทองคำสำหรับเดือนธันวาคมอยู่ที่ 2,606.20 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ 19 ดอลลาร์หรือ 0.73% สำหรับวันนั้น การพุ่งขึ้นนี้ถือเป็นวันที่สองติดต่อกันของการทำลายสถิติสูงสุด โดยจุดสูงสุดระหว่างวันแตะระดับ $2,614.60 อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งของราคาทองคำเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของเมื่อวันศุกร์ที่ 47 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม การเพิ่มขึ้นอย่างมากของสัปดาห์นี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะที่ราคาทองคำล่วงหน้าก้าวข้ามหลักชัยที่ 2,600 ดอลลาร์ ในขณะที่ฝุ่นจางหายไปในเหตุการณ์สำคัญนี้ ผู้เข้าร่วมตลาดกำลังมุ่งความสนใจไปที่การประชุมคณะกรรมการตลาดกลางของรัฐบาลกลาง (FOMC) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ปี 2020 มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้สังเกตการณ์ตลาดก็คือการลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน เวทีสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม เมื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางมีความพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง จุดยืนของพาวเวลล์สะท้อนจากเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นๆ โดยเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นว่าการผ่อนคลายทางการเงินกำลังใกล้เข้ามา เมื่อเร็วๆ นี้ นาย Austan Goolsbee ประธานเฟดแห่งชิคาโกเน้นย้ำว่าแนวโน้มระยะยาวทั้งในตลาดแรงงานและข้อมูลเงินเฟ้อ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น Goolsbee เตือนไม่ให้ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเป็นเวลานาน โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระดับการจ้างงาน แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะมีสูง แต่ประเด็นสำคัญยังคงเป็นประเด็นถกเถียง นักเศรษฐศาสตร์ที่ Fitch คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดจุดพื้นฐาน 0.25%สองครั้ง หนึ่งครั้งในสัปดาห์หน้าและอีกครั้งในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม เสียงบางส่วน เช่น Krishna Guha จาก Evercore ISI สนับสนุนการลดดอกเบี้ยพื้นฐาน 0.50%เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่มา Kitco
    Like
    Love
    Haha
    17
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1318 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดือนตุลาคมแบรนด์ธุรกิจของ lit nit จะไปออกบูธกิจกรรม ชวนเด็ก ๆ มาจัดสวนจากของเหลือใช้ภายในบ้าน และนี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ lit nit ค้น ๆ เขี่ย ๆ สิ่งที่มีภายในบ้านมาใช้
    ....
    รูปแรกคือชามสังกะสีเก่าและกะละมังแสตนเลสบุบ นำมาทาสีใหม่ แน่นอนว่าสีที่ทาก็เป็นสีเหลือใช้แล้วเช่นกัน ส่วนอเมซอนน้อยกับรถเล็กก็มาจากแก้วอเมซอนที่แตกแล้ว
    ....
    ภาพสอง แกลลอนน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ซุกอยู่ในหลืบจนฝุ่นเขรอะ ไม้ผุที่เล็ดลอดจากการเผานำมาทาสีใหม่
    ....
    ภาพสาม ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสมัยนั้น ยังพอจำกันได้มะยี่ห้อ FF น่ะ มันหลบอยู่ในห้องเก็บของนานมาก ขาตั้งถ้วยก็ท่อpvcที่ไม่น่าจะได้ทำหน้าที่ส่งน้ำอีกต่อไปแล้ว ไม้ผุที่เล็ดลอดจากการเผาอีกเช่นเคย รอบนี้นำมาทาสีขาว รถน้อยนั่นก็ขุดขึ้นมาหลังจากจมอยู่ในกองทรายนานหลายเดือน ก็ต้องนำมาล้างเสียใหม่ก่อนนำมาจัดวาง
    ....
    รักโลกเริ่มได้จากสิ่งเล็ก ๆ ที่นิยามว่า "เห็นคุณค่าของทรัพยากร"
    #ตุลาคมพบกันที่งาน "ควายอาร์ตคาร์ฟ" สิงห์บุรี
    เดือนตุลาคมแบรนด์ธุรกิจของ lit nit จะไปออกบูธกิจกรรม ชวนเด็ก ๆ มาจัดสวนจากของเหลือใช้ภายในบ้าน และนี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ lit nit ค้น ๆ เขี่ย ๆ สิ่งที่มีภายในบ้านมาใช้ .... รูปแรกคือชามสังกะสีเก่าและกะละมังแสตนเลสบุบ นำมาทาสีใหม่ แน่นอนว่าสีที่ทาก็เป็นสีเหลือใช้แล้วเช่นกัน ส่วนอเมซอนน้อยกับรถเล็กก็มาจากแก้วอเมซอนที่แตกแล้ว .... ภาพสอง แกลลอนน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ซุกอยู่ในหลืบจนฝุ่นเขรอะ ไม้ผุที่เล็ดลอดจากการเผานำมาทาสีใหม่ .... ภาพสาม ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสมัยนั้น ยังพอจำกันได้มะยี่ห้อ FF น่ะ มันหลบอยู่ในห้องเก็บของนานมาก ขาตั้งถ้วยก็ท่อpvcที่ไม่น่าจะได้ทำหน้าที่ส่งน้ำอีกต่อไปแล้ว ไม้ผุที่เล็ดลอดจากการเผาอีกเช่นเคย รอบนี้นำมาทาสีขาว รถน้อยนั่นก็ขุดขึ้นมาหลังจากจมอยู่ในกองทรายนานหลายเดือน ก็ต้องนำมาล้างเสียใหม่ก่อนนำมาจัดวาง .... รักโลกเริ่มได้จากสิ่งเล็ก ๆ ที่นิยามว่า "เห็นคุณค่าของทรัพยากร" #ตุลาคมพบกันที่งาน "ควายอาร์ตคาร์ฟ" สิงห์บุรี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมร่มของญี่ปุ่นส่วนมากเป็นร่มใส่โปร่งแสง

    ฤดูฝนในญี่ปุ่นมาพร้อมกับช่วงซากุระบานในเดือนมีนาคมถึงเมษายน และเข้าสู่ช่วงพายุฝนในเดือนพฤษภาคม ฤดูมรสุมในเดือนมิถุนายน และไต้ฝุ่นในเดือนกรกฎาคมและตุลาคม ในช่วงเวลาเหล่านี้เองที่จะมีทั้ง ฝนโปรย ฝนปรอย ๆ และ ฝนตกหนัก ไปจนถึงฝนที่ตกมาเป็นช่วง ๆ ในระหว่างวัน

    จึงไม่แปลกเลยที่คนญี่ปุ่นจะพกร่ม แต่สิ่งที่แปลกสำหรับคนต่างชาติอย่างเรา ๆ ไม่ใช่การพกร่ม หากแต่เป็นร่มที่โปร่งใส ที่กันแดดก็ไม่ได้ และไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นแฟชั่นแต่อย่างใด แต่การทำร่มใส่นี้ มีที่มา

    ร่มใสที่ว่านี้ เริ่มผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1958 และความนิยมในการใช้ร่มใสนี้ก็เพิ่มขึ้นในช่วงการจัดโอลิมปิกในปีค.ศ. 1964

    ร่มชนิดนี้ในตอนแรกเป็นร่มที่ทำด้วยมือ มีวางขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปที่เรียกว่า コンビニエンスストア คนบินิเอนซุสโตอะ (ก็ คอนวีเนียนสโตร์ นี่ล่ะ) เรียกสั้น ๆ ว่า คนบินิ ถามว่าร้านแบบนี้สะดวกแค่ไหน ก็สะดวกชนิดที่ว่ามีร้านประเภทนี้อยู่ทุก 200 เมตร (เป็นคำเปรียบเปรยว่ามีเยอะมากทั่วไป)

    สาเหตุที่ร่มของญี่ปุ่นเป็นร่มใส ก็เพื่อประโยชน์ในการใช้งานล้วน ๆ นั่นคือ

    เพื่อไม่ให้ร่ม บังทัศนียภาพผู้อื่น (อึ้งกับความคิดเพื่อสาธารณะประโยชน์ของเขาไหมล่ะ)

    เพราะหากเวลาที่คนจำนวนมากถือร่มในชุมชน โอกาสที่จะมองไม่เห็นทางข้างหน้าและชนกันย่อมเกิดขึ้นได้มาก หากเป็นร่มทึบ ร่มชนิดนี้เรียกว่า คาซะ มาจากคำว่า วาคาซะ (ที่เป็นร่มกระดาษแบบร่มบ่อสร้างบ้านเรา ปัจจุบันเรามักเห็นการใช่ร่มกระดาษเวลาที่เขาสวมชุดประจำชาติกัน)

    สิ่งที่ทำให้ร่ม คาซะ เป็นที่นิยม ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็น ราคา และ ความสบายใจในการพกพา นั่นคือ นอกจากมันจะมีราคาถูก คันล่ะราว ๆ 300-500 เยน หรือราวๆ 60 - 100 บาทเศษ ๆ ดังนั้น ถ้าพกพาไปแล้วหลงลืมทำหาย ก็จะไม่เสียดายมากนักนั่นเอง

    Vee Chirasreshtha
    ทำไมร่มของญี่ปุ่นส่วนมากเป็นร่มใส่โปร่งแสง ฤดูฝนในญี่ปุ่นมาพร้อมกับช่วงซากุระบานในเดือนมีนาคมถึงเมษายน และเข้าสู่ช่วงพายุฝนในเดือนพฤษภาคม ฤดูมรสุมในเดือนมิถุนายน และไต้ฝุ่นในเดือนกรกฎาคมและตุลาคม ในช่วงเวลาเหล่านี้เองที่จะมีทั้ง ฝนโปรย ฝนปรอย ๆ และ ฝนตกหนัก ไปจนถึงฝนที่ตกมาเป็นช่วง ๆ ในระหว่างวัน จึงไม่แปลกเลยที่คนญี่ปุ่นจะพกร่ม แต่สิ่งที่แปลกสำหรับคนต่างชาติอย่างเรา ๆ ไม่ใช่การพกร่ม หากแต่เป็นร่มที่โปร่งใส ที่กันแดดก็ไม่ได้ และไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นแฟชั่นแต่อย่างใด แต่การทำร่มใส่นี้ มีที่มา ร่มใสที่ว่านี้ เริ่มผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1958 และความนิยมในการใช้ร่มใสนี้ก็เพิ่มขึ้นในช่วงการจัดโอลิมปิกในปีค.ศ. 1964 ร่มชนิดนี้ในตอนแรกเป็นร่มที่ทำด้วยมือ มีวางขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปที่เรียกว่า コンビニエンスストア คนบินิเอนซุสโตอะ (ก็ คอนวีเนียนสโตร์ นี่ล่ะ) เรียกสั้น ๆ ว่า คนบินิ ถามว่าร้านแบบนี้สะดวกแค่ไหน ก็สะดวกชนิดที่ว่ามีร้านประเภทนี้อยู่ทุก 200 เมตร (เป็นคำเปรียบเปรยว่ามีเยอะมากทั่วไป) สาเหตุที่ร่มของญี่ปุ่นเป็นร่มใส ก็เพื่อประโยชน์ในการใช้งานล้วน ๆ นั่นคือ เพื่อไม่ให้ร่ม บังทัศนียภาพผู้อื่น (อึ้งกับความคิดเพื่อสาธารณะประโยชน์ของเขาไหมล่ะ) เพราะหากเวลาที่คนจำนวนมากถือร่มในชุมชน โอกาสที่จะมองไม่เห็นทางข้างหน้าและชนกันย่อมเกิดขึ้นได้มาก หากเป็นร่มทึบ ร่มชนิดนี้เรียกว่า คาซะ มาจากคำว่า วาคาซะ (ที่เป็นร่มกระดาษแบบร่มบ่อสร้างบ้านเรา ปัจจุบันเรามักเห็นการใช่ร่มกระดาษเวลาที่เขาสวมชุดประจำชาติกัน) สิ่งที่ทำให้ร่ม คาซะ เป็นที่นิยม ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็น ราคา และ ความสบายใจในการพกพา นั่นคือ นอกจากมันจะมีราคาถูก คันล่ะราว ๆ 300-500 เยน หรือราวๆ 60 - 100 บาทเศษ ๆ ดังนั้น ถ้าพกพาไปแล้วหลงลืมทำหาย ก็จะไม่เสียดายมากนักนั่นเอง Vee Chirasreshtha
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.72 : ชอล์ควิเศษ “ฮาโกโรโม”

    ความในตอนนี้เกิดจากที่ผมไปดูคอร์สสอนหนังสือของ MIT ที่เขาเปิดให้ชมฟรีบนยูทูบครับ ซึ่งอันที่ผมดูเป็นวิชาแคลคูลัส ดูไปดูมาผมกลับไปสังเกตว่า “เออแฮะ ขนาดโปรเฟสเซอร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งอย่าง MIT เขายังใช้ชอล์คเขียนบนกระดานเหมือนสมัยเราเด็กๆเลย”

    แล้วก็คิดต่อไปว่า “ทำไมชอล์คที่โปรเฟสเซอร์ใช้มันดูเขียนลื่น คุณภาพดีจังแฮะ”

    ว่าแล้วผมก็ไปหาข้อมูลต่อว่า ชอล์คที่อาจารย์ MIT ใช้น่ะ “มันเป็นชอล์คยี่ห้ออะไร?”

    คำตอบคือ “เป็นชอล์คแบรนด์ญี่ปุ่น ยี่ห้อฮาโกโรโม (Hagoromo)“ ครับ

    และเรื่องต่อไปนี้คือ เรื่องของความวิเศษของชอล์คยี่ห้อฮาโกโรโมครับ
    .
    .
    .
    ความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ บรรดาศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังไม่ว่าจะเป็นไอวี่ลีกอย่าง บราวน์, โคลัมเบีย, คอร์แนล หรือมหาวิทยาลัยอื่นๆในอเมริกานั้น ยังคงลุ่มหลงกับการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ชอล์คเขียนบนกระดานดำอยู่ครับ

    เหตุผลก็คือ มันได้อารมณ์สุนทรีที่ต่างจากการเขียนบนไวท์บอร์ด

    และชอล์คยี่ห้อที่บรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ใช้ ก็ล้วนแต่ระบุมาว่า ต้องใช้ยี่ห้อฮาโกโรโมเท่านั้น เพราะเขียนลื่น ไม่สะดุด ฝุ่นน้อยมาก มีสีให้ใช้หลายสี

    และให้สัมผัสการเขียนที่ละมุนสุดๆ ศาสตราจารย์ที่คอร์แนลถึงกับบรรยายว่า “มันคือโรลส์รอยซ์ของชอล์คเลยนะคุณ”

    เมื่อตอนปี 2015 ที่มีข่าวว่าบริษัทในญี่ปุ่นจะเลิกผลิตชอล์คฮาโกโรโมนั้น บรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ก็เร่งซื้อตุนเก็บกันไว้เป็นคลังส่วนตัวเลยเชียว

    และราคาของชอล์คยี่ห้อนี้ถือว่าไม่ถูกเลย เพราะบนเว็บแอมะซอนนั้นขายเฉลี่ยอยู่ที่แท่งละ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ (35 บาท) ในขณะที่ยี่ห้ออเมริกันที่ถูกกว่าคือเครโยลา (Crayola) ขายแท่งละประมาณ 10 บาท

    ศาสตราจารย์เหล่านี้แกบอกว่า เฉลี่ยแล้วสอนคาบหนึ่ง ใช้ชอล์คไป 4-5 แท่ง แพงหน่อยแต่คุ้มค่าความฟินในการเขียนกระดาน

    ความพิเศษของชอล์คฮาโกโรโมนั้น ต้องบอกว่าอยู่ที่ความพิถีพิถันทุกรายละเอียดของเจ้าของแบรนด์ชาวญี่ปุ่นชื่อว่า คุณวาตานาเบ้ ทากายาสุ (Watanabe Takayasu) ครับ

    ส่วนผสมที่พอจะเปิดเผยได้ก็คือ ชอล์คฮาโกโรโมนั้นผลิตขึ้นจากแคลเซียม คาร์บอเนต ซึ่งต่างจากชอล์คราคาถูกทั่วๆไปที่ทำจากผงยิปซัมล้วนๆ

    นอกจากนั้นแล้วฮาโกโรโมยังผสมผงเปลือกหอยนางรมและดินเหนียวที่ใช้ปั้นถ้วยชามพอร์ชเลนลงไปด้วย ทำให้ชอล์คนี้เนื้อแน่น เขียนติดกระดาน

    สีที่นำมาผสมในชอล์คนั้นก็เป็นสูตรที่ไม่มีฟอร์มาลดีไฮด์ และยังมีส่วนผสมลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้อีกหลายรายการ

    นอกจากจะต้นทุนสูงแล้ว การผลิตชอล์คฮาโกโรโมนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าต้องมีคนลงมือทำทุกกระบวนการครับ ตั้งแต่ผสมส่วนผสมต่างๆนวดจนออกมาเป็นแป้งเหนียวๆ แล้วตัดออกมาเป็นแท่ง อบร้อนจนแห้ง แล้วเคลือบชอล์คด้วยขี้ผึ้งอีกทีก่อนจะประทับตราแพคส่งขาย

    ชอล์คแต่ละเซ็ทใช้เวลาผลิต 3 วัน ใช้เครื่องจักรที่คุณวาตานาเบ้แกผลิตเองตั้งแต่ต้น กว่าจะออกมาเป็นชอล์คไฮเอนด์ที่ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ชั้นนำทั่วโลกชอบใช้กัน
    .
    .
    .
    ในปี 2015 คุณวาตานาเบ้ชราภาพมากแล้ว และหาคนมาสืบทอดกิจการ 3 ชั่วอายุคนนี้ไม่ได้ มีบริษัทเครื่องเขียนญี่ปุ่นหลายแบรนด์พยายามติดต่อขอซื้อสูตรแต่คุณวาตานาเบ้ไม่ยอมขาย เพราะสังเกตเห็นว่าบริษัทพวกนั้นสนใจแต่จะเอาสูตรลับ ไม่ได้คิดจากผลิตชอล์กตามวิธีดั้งเดิมที่แกทำอยู่

    จนกระทั่งมีคุณครูคณิตศาสตร์เกาหลีใต้คนหนึ่งชื่อ “ชิน ยง ซุก“ ซึ่งก็ชอบใช้ชอล์คยี่ห้อนี้ไปเขียนกระดานสอนนักเรียนมาก มากจนถึงขนาดตั้งบริษัทมาเป็นตัวแทนจำหน่ายชอล์คฮาโกโรโมในเกาหลีใต้ในปี 2009

    เมื่อคุณครูชินแกทราบข่าวว่าคุณวาตานาเบ้แกจะเลิกกิจการ ครูชินก็บินมาหาคุณวาตานาเบ้ แล้วพูดคุยกันถูกคอยังไงก็ไม่รู้ ทำให้คุณวาตานาเบ้แกมองเห็นว่าครูชินนี่แหละที่จะสามารถสืบทอดการทำชอล์คได้

    ก็เลยขายกิจการพร้อมทั้งเครื่องจักรให้ครูชินในราคาถูกเหมือนได้เปล่า ครูชินเพียงแต่ลงทุนขนเครื่องจักรทั้งหมดย้ายจากญี่ปุ่นมาเกาหลีใต้เท่านั้นเอง

    ตอนแรกครูชินแกก็กลัวว่าทำออกมาไม่ดีแล้วจะเสียแบรนด์ แต่คุณวาตานาเบ้ก็สอนเคล็ดลับทุกสิ่งอย่าง กระทั่งว่าเปลือกหอยนางรมที่เอามาบดใส่ชอล์คยังขนมาจากญี่ปุ่นเลย วันเปิดโรงงานที่เกาหลีใต้ คุณวาตานาเบ้ก็บินมาเปิดให้

    จนกระทั่งชอล์คฮาโกโรโมออกขายได้คุณภาพดีและคงชื่อแบรนด์ไว้เหมือนเดิมทุกประการ และคุณวาตานาเบ้ก็เสียชีวิตลาโลกนี้ไปด้วยโควิดในปี 2020

    ทิ้งไว้แต่ชอล์คฮาโกโมโรให้โลกนี้จดจำ

    และกิจการของครูชินในชื่อบริษัท “เซจงมอลล์” ก็ขายดิบขายดี ตอนนี้มีปัญหาเดียวคือผลิตไม่พอขายครับ และครูชินไม่กล้าจะขยายการผลิตให้ใหญ่เกินไปนัก เพราะกลัวคุณภาพไม่ดี

    …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ…

    ใครอยากดูสารคดีที่เขาลงทุนเล่าเรื่องของชอล์คฮาโกโรโม เชิญชมข้างล่างนี้เลยครับ

    https://youtu.be/PhNUjg9X4g8?si=MlJXTN-hcr3NpJ26
    https://youtu.be/BORVxbsdkCM?si=xSquSXFFAxCRAWL2

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.72 : ชอล์ควิเศษ “ฮาโกโรโม” ความในตอนนี้เกิดจากที่ผมไปดูคอร์สสอนหนังสือของ MIT ที่เขาเปิดให้ชมฟรีบนยูทูบครับ ซึ่งอันที่ผมดูเป็นวิชาแคลคูลัส ดูไปดูมาผมกลับไปสังเกตว่า “เออแฮะ ขนาดโปรเฟสเซอร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งอย่าง MIT เขายังใช้ชอล์คเขียนบนกระดานเหมือนสมัยเราเด็กๆเลย” แล้วก็คิดต่อไปว่า “ทำไมชอล์คที่โปรเฟสเซอร์ใช้มันดูเขียนลื่น คุณภาพดีจังแฮะ” ว่าแล้วผมก็ไปหาข้อมูลต่อว่า ชอล์คที่อาจารย์ MIT ใช้น่ะ “มันเป็นชอล์คยี่ห้ออะไร?” คำตอบคือ “เป็นชอล์คแบรนด์ญี่ปุ่น ยี่ห้อฮาโกโรโม (Hagoromo)“ ครับ และเรื่องต่อไปนี้คือ เรื่องของความวิเศษของชอล์คยี่ห้อฮาโกโรโมครับ . . . ความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ บรรดาศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชื่อดังไม่ว่าจะเป็นไอวี่ลีกอย่าง บราวน์, โคลัมเบีย, คอร์แนล หรือมหาวิทยาลัยอื่นๆในอเมริกานั้น ยังคงลุ่มหลงกับการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้ชอล์คเขียนบนกระดานดำอยู่ครับ เหตุผลก็คือ มันได้อารมณ์สุนทรีที่ต่างจากการเขียนบนไวท์บอร์ด และชอล์คยี่ห้อที่บรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ใช้ ก็ล้วนแต่ระบุมาว่า ต้องใช้ยี่ห้อฮาโกโรโมเท่านั้น เพราะเขียนลื่น ไม่สะดุด ฝุ่นน้อยมาก มีสีให้ใช้หลายสี และให้สัมผัสการเขียนที่ละมุนสุดๆ ศาสตราจารย์ที่คอร์แนลถึงกับบรรยายว่า “มันคือโรลส์รอยซ์ของชอล์คเลยนะคุณ” เมื่อตอนปี 2015 ที่มีข่าวว่าบริษัทในญี่ปุ่นจะเลิกผลิตชอล์คฮาโกโรโมนั้น บรรดาศาสตราจารย์เหล่านี้ก็เร่งซื้อตุนเก็บกันไว้เป็นคลังส่วนตัวเลยเชียว และราคาของชอล์คยี่ห้อนี้ถือว่าไม่ถูกเลย เพราะบนเว็บแอมะซอนนั้นขายเฉลี่ยอยู่ที่แท่งละ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ (35 บาท) ในขณะที่ยี่ห้ออเมริกันที่ถูกกว่าคือเครโยลา (Crayola) ขายแท่งละประมาณ 10 บาท ศาสตราจารย์เหล่านี้แกบอกว่า เฉลี่ยแล้วสอนคาบหนึ่ง ใช้ชอล์คไป 4-5 แท่ง แพงหน่อยแต่คุ้มค่าความฟินในการเขียนกระดาน ความพิเศษของชอล์คฮาโกโรโมนั้น ต้องบอกว่าอยู่ที่ความพิถีพิถันทุกรายละเอียดของเจ้าของแบรนด์ชาวญี่ปุ่นชื่อว่า คุณวาตานาเบ้ ทากายาสุ (Watanabe Takayasu) ครับ ส่วนผสมที่พอจะเปิดเผยได้ก็คือ ชอล์คฮาโกโรโมนั้นผลิตขึ้นจากแคลเซียม คาร์บอเนต ซึ่งต่างจากชอล์คราคาถูกทั่วๆไปที่ทำจากผงยิปซัมล้วนๆ นอกจากนั้นแล้วฮาโกโรโมยังผสมผงเปลือกหอยนางรมและดินเหนียวที่ใช้ปั้นถ้วยชามพอร์ชเลนลงไปด้วย ทำให้ชอล์คนี้เนื้อแน่น เขียนติดกระดาน สีที่นำมาผสมในชอล์คนั้นก็เป็นสูตรที่ไม่มีฟอร์มาลดีไฮด์ และยังมีส่วนผสมลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้อีกหลายรายการ นอกจากจะต้นทุนสูงแล้ว การผลิตชอล์คฮาโกโรโมนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าต้องมีคนลงมือทำทุกกระบวนการครับ ตั้งแต่ผสมส่วนผสมต่างๆนวดจนออกมาเป็นแป้งเหนียวๆ แล้วตัดออกมาเป็นแท่ง อบร้อนจนแห้ง แล้วเคลือบชอล์คด้วยขี้ผึ้งอีกทีก่อนจะประทับตราแพคส่งขาย ชอล์คแต่ละเซ็ทใช้เวลาผลิต 3 วัน ใช้เครื่องจักรที่คุณวาตานาเบ้แกผลิตเองตั้งแต่ต้น กว่าจะออกมาเป็นชอล์คไฮเอนด์ที่ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ชั้นนำทั่วโลกชอบใช้กัน . . . ในปี 2015 คุณวาตานาเบ้ชราภาพมากแล้ว และหาคนมาสืบทอดกิจการ 3 ชั่วอายุคนนี้ไม่ได้ มีบริษัทเครื่องเขียนญี่ปุ่นหลายแบรนด์พยายามติดต่อขอซื้อสูตรแต่คุณวาตานาเบ้ไม่ยอมขาย เพราะสังเกตเห็นว่าบริษัทพวกนั้นสนใจแต่จะเอาสูตรลับ ไม่ได้คิดจากผลิตชอล์กตามวิธีดั้งเดิมที่แกทำอยู่ จนกระทั่งมีคุณครูคณิตศาสตร์เกาหลีใต้คนหนึ่งชื่อ “ชิน ยง ซุก“ ซึ่งก็ชอบใช้ชอล์คยี่ห้อนี้ไปเขียนกระดานสอนนักเรียนมาก มากจนถึงขนาดตั้งบริษัทมาเป็นตัวแทนจำหน่ายชอล์คฮาโกโรโมในเกาหลีใต้ในปี 2009 เมื่อคุณครูชินแกทราบข่าวว่าคุณวาตานาเบ้แกจะเลิกกิจการ ครูชินก็บินมาหาคุณวาตานาเบ้ แล้วพูดคุยกันถูกคอยังไงก็ไม่รู้ ทำให้คุณวาตานาเบ้แกมองเห็นว่าครูชินนี่แหละที่จะสามารถสืบทอดการทำชอล์คได้ ก็เลยขายกิจการพร้อมทั้งเครื่องจักรให้ครูชินในราคาถูกเหมือนได้เปล่า ครูชินเพียงแต่ลงทุนขนเครื่องจักรทั้งหมดย้ายจากญี่ปุ่นมาเกาหลีใต้เท่านั้นเอง ตอนแรกครูชินแกก็กลัวว่าทำออกมาไม่ดีแล้วจะเสียแบรนด์ แต่คุณวาตานาเบ้ก็สอนเคล็ดลับทุกสิ่งอย่าง กระทั่งว่าเปลือกหอยนางรมที่เอามาบดใส่ชอล์คยังขนมาจากญี่ปุ่นเลย วันเปิดโรงงานที่เกาหลีใต้ คุณวาตานาเบ้ก็บินมาเปิดให้ จนกระทั่งชอล์คฮาโกโรโมออกขายได้คุณภาพดีและคงชื่อแบรนด์ไว้เหมือนเดิมทุกประการ และคุณวาตานาเบ้ก็เสียชีวิตลาโลกนี้ไปด้วยโควิดในปี 2020 ทิ้งไว้แต่ชอล์คฮาโกโมโรให้โลกนี้จดจำ และกิจการของครูชินในชื่อบริษัท “เซจงมอลล์” ก็ขายดิบขายดี ตอนนี้มีปัญหาเดียวคือผลิตไม่พอขายครับ และครูชินไม่กล้าจะขยายการผลิตให้ใหญ่เกินไปนัก เพราะกลัวคุณภาพไม่ดี …เอามาเล่าสู่กันฟังครับ… ใครอยากดูสารคดีที่เขาลงทุนเล่าเรื่องของชอล์คฮาโกโรโม เชิญชมข้างล่างนี้เลยครับ https://youtu.be/PhNUjg9X4g8?si=MlJXTN-hcr3NpJ26 https://youtu.be/BORVxbsdkCM?si=xSquSXFFAxCRAWL2 นัทแนะ
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีครับ สำหรับ post เเรก ของเพจ ขออณุญาต back to basic
    หลายๆท่านอาจจะทราบดีอยู่เเล้วเกี๋ยวกับ ทิปส์ที่เราจะเสนอต่อไปนี้
    แต่ทุกท่านรู้มั้ยครับว่า คอมพิวเอตร์ที่ทุกๆท่านใช้ทำงานหรือใช้เพื่อผ่อนคลายอยู่ทุกๆวัน
    มีสิ่งที่ตัวเครื่องชอบเเละไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ สุขภาพและอายุการใช้งานของตัวเครื่องโดยตรงเลยทีเดียว ผมจะเเนะนำให้ฟังครับ

    1 สาเหตุหลักที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีปัญหานอกจากการใช้งานเเล้วก็คงเป้นเจ้าฝุ่นตัวร้ายนี่เหละครับที่จะให้สำสมจนเกิดความร้อนเเละส่งผลให้อายุการทำงานสั่นลงอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว ดังนั้นเเล้วหมั่นดูแลทำความสะอาดไว้ก่อนดีเสมอครับ

    2 ความร้อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ คอมพิวเตอร์ไม่ชอบมากๆเลยครับ นอกจากจะทำให้การทำงานช้าลงเเล้วยังทำให้อายุชิ้นส่วนสั้นลงเป็นสาเหตุหลักเลยทีเดียวเชียว ตั้งเครื่องให้อยู่ในพื้นที่ อากาศถ่ายแท และดูแลระบบระบายความ้อนของเครื่องให้อยู่ในสภาวะปกติ เพียงเท่านี้ คอมพิวเตอร์เเสนรักของคุณก็จะทำงานเต็มประสิทธิภาพและไม่งอแงอย่างเเน่นอนครับ

    3 หลีกเลี่ยงการเข้าสู่เว็บอันตรายหรือ ลงโปรเเกรมที่เราไม่ทราบแหล่งที่มาก็จะให้คอมพิวอตร์ของคุณปลอดภัยไร้ไวรัสใดๆอย่างเเน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการดาวโหลดไฟล์ที่ไม่รู้จักหรือ เสียบเเฟลชไดร์ฟ ที่ไม่เคยเเสกนไวรัสมาก่อน ล้วนเป็นสาเหตุที่คอมพิวเอติร์สุดรักของเราเสี่ยงที่จะมีปะญหาได้ท้งนั้นครับ อย่าลืมนะครับความปลอดภัยวำคัญที่สุด

    เอาละครับ ถ้าท่านใดได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ก็จะเป็นที่ยินดีของเรามากๆเลยครับ
    ถ้าใครมีคำถาม หรือ มีความสงสัยใดๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยครับ
    กระผมนาย TechTips จะหาคำตอบมาให้ท่านได้หายสงสัยเเน่นอน

    สติคือเข็มทิศและเกราะป้องกันจากปัญหาทุกชนิดครับ
    #TechTips
    สวัสดีครับ สำหรับ post เเรก ของเพจ ขออณุญาต back to basic หลายๆท่านอาจจะทราบดีอยู่เเล้วเกี๋ยวกับ ทิปส์ที่เราจะเสนอต่อไปนี้ แต่ทุกท่านรู้มั้ยครับว่า คอมพิวเอตร์ที่ทุกๆท่านใช้ทำงานหรือใช้เพื่อผ่อนคลายอยู่ทุกๆวัน มีสิ่งที่ตัวเครื่องชอบเเละไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ สุขภาพและอายุการใช้งานของตัวเครื่องโดยตรงเลยทีเดียว ผมจะเเนะนำให้ฟังครับ 1 สาเหตุหลักที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีปัญหานอกจากการใช้งานเเล้วก็คงเป้นเจ้าฝุ่นตัวร้ายนี่เหละครับที่จะให้สำสมจนเกิดความร้อนเเละส่งผลให้อายุการทำงานสั่นลงอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว ดังนั้นเเล้วหมั่นดูแลทำความสะอาดไว้ก่อนดีเสมอครับ 2 ความร้อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ คอมพิวเตอร์ไม่ชอบมากๆเลยครับ นอกจากจะทำให้การทำงานช้าลงเเล้วยังทำให้อายุชิ้นส่วนสั้นลงเป็นสาเหตุหลักเลยทีเดียวเชียว ตั้งเครื่องให้อยู่ในพื้นที่ อากาศถ่ายแท และดูแลระบบระบายความ้อนของเครื่องให้อยู่ในสภาวะปกติ เพียงเท่านี้ คอมพิวเตอร์เเสนรักของคุณก็จะทำงานเต็มประสิทธิภาพและไม่งอแงอย่างเเน่นอนครับ 3 หลีกเลี่ยงการเข้าสู่เว็บอันตรายหรือ ลงโปรเเกรมที่เราไม่ทราบแหล่งที่มาก็จะให้คอมพิวอตร์ของคุณปลอดภัยไร้ไวรัสใดๆอย่างเเน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการดาวโหลดไฟล์ที่ไม่รู้จักหรือ เสียบเเฟลชไดร์ฟ ที่ไม่เคยเเสกนไวรัสมาก่อน ล้วนเป็นสาเหตุที่คอมพิวเอติร์สุดรักของเราเสี่ยงที่จะมีปะญหาได้ท้งนั้นครับ อย่าลืมนะครับความปลอดภัยวำคัญที่สุด เอาละครับ ถ้าท่านใดได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ก็จะเป็นที่ยินดีของเรามากๆเลยครับ ถ้าใครมีคำถาม หรือ มีความสงสัยใดๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยครับ กระผมนาย TechTips จะหาคำตอบมาให้ท่านได้หายสงสัยเเน่นอน สติคือเข็มทิศและเกราะป้องกันจากปัญหาทุกชนิดครับ #TechTips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 362 มุมมอง 0 รีวิว
  • BAN เรียกร้อง MAERSK ชี้แจงแผนเดินเรือใหม่ของเรือ 2 ลำที่ขนขยะพิษฝุ่นแดง หลังพบเรือ “แคมป์ตัน” ผ่านสิงคโปร์ไปแล้วโดยไม่จอด ขณะที่ “แคนดอร์” เงียบหายไม่แสดงตัวมาแล้ว 6 วัน พร้อมทั้งขอคำรับรองจาก MAERSK ว่าจะไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานเรื่องการเดินเรือขนส่งสินค้าและปฏิบัติตามกฎกติการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จนกว่าที่ตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะพิษทั้ง 100 ตู้บนเรือ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์” จะถูกส่งถึงแอลเบเนีย
    .
    16 สิงหาคม 2567- เครือข่ายปฏิบัติการบาเซล หรือ Basel Action Network (BAN) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ได้ส่งจดหมายผ่านทางอีเมล ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 (เวลาช้ากว่าไทยประมาณ 12 ชั่วโมง) ถึงผู้บริหารของบริษัท เมอส์ก (MAERSK) ระบุว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสอบถามถึงเจตนารมณ์ของ Maersk เกี่ยวกับตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะอันตรายที่ขนส่งมาบนเรือของบริษัทที่ชื่อ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์”
    .
    BAN ได้กล่าวอ้างอิงถึงข่าวจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รวมทั้งเนื้อหาในจดหมายของบริษัท เมอส์ก ไลน์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ส่งถึงผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เรื่อง “การชี้แจงข้อมูลเส้นทางการเดินเรือ” ซึ่งแจ้งไว้ว่าจะส่งคืนตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดจำนวน 100 ตู้บนเรือทั้งสองลำดังกล่าวกลับไปยังแอลเบเนีย ซึ่ง BAN ระบุว่า “เราปรบมือให้กับการตัดสินใจนั้น”
    .
    จดหมายของ BAN ที่ลงนามโดยจิม พักเก็ตต์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เรือแคมป์ตันซึ่งควรที่จะจอดยังท่าเรือในสิงคโปร์ และมีขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัย ตามแผนการเดิม กลับเพิ่งมีรายงานข่าวว่าได้แล่นผ่านสิงคโปร์ไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยไม่มีการหยุด ซึ่งในจดหมายได้มีการแนบแผนที่แสดงเส้นทางและตำแหน่งการเดินเรือของ “เมอรส์กแคมป์ตัน” ไว้ด้วย
    .
    จดหมายของ BAN แจ้งอีกว่า ในขณะที่ทางด้านเรือแคนดอร์ก็ได้เงียบหายไปตลอดช่วงหกวันที่ผ่านมา หลังจากที่พบว่ามีการปิดระบบสัญญาณ AIS (Automatic Identification System) หรือสัญญาณการระบุตัวตนอัตโนมัติครั้งสุดท้ายที่นอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ ซึ่งปรากฏการณ์ล่าสุดเหล่านี้ได้ “สร้างความกังวลอย่างยิ่งยวด” ให้เกิดขึ้นตามหลังจากการแถลงของบริษัท
    .
    ดังนั้น BAN จึงเรียกร้องให้บริษัท MAERSK ชี้แจงและอธิบายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสื่อที่เกี่ยวข้องทั้งหลายโดยทันที ว่าเหตุใดจึงมีการปรับเปลี่ยนแผนการเดินเรือ และแผนใหม่คืออะไร ตลอดจนชี้แจงถึงตําแหน่งและจุดหมายปลายทางของเรือทั้งสองลําด้วย โดยที่ MAERSK จะต้องรับรองว่าจะไม่ฝ่าฝืนต่อกฎเกณฑ์สากลของการเดินเรือขนส่งสินค้า รวมถึงระเบียบกติกาทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
    .
    และที่สำคัญคือ ต้องรักษาไว้ซึ่งความมุ่งมั่นที่จะส่งคอนเทนเนอร์บรรจุของเสียอันตรายต้องสงสัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ให้ถึงมือรัฐบาลแอลเบเนีย เพื่อที่จะจัดการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางได้ต่อ

    ดูเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่
    - MAERSK ยอมส่งเรือกลับแอลเบเนีย!?! แต่ไม่ยอมรับว่ามีการขนส่งขยะอันตราย: https://shorturl.at/hivjM

    - "กรณีการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ": https://shorturl.at/th5yX

    ที่มา : มูลนิธิบูรณะนิเวศ

    #Thaitimes
    BAN เรียกร้อง MAERSK ชี้แจงแผนเดินเรือใหม่ของเรือ 2 ลำที่ขนขยะพิษฝุ่นแดง หลังพบเรือ “แคมป์ตัน” ผ่านสิงคโปร์ไปแล้วโดยไม่จอด ขณะที่ “แคนดอร์” เงียบหายไม่แสดงตัวมาแล้ว 6 วัน พร้อมทั้งขอคำรับรองจาก MAERSK ว่าจะไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานเรื่องการเดินเรือขนส่งสินค้าและปฏิบัติตามกฎกติการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จนกว่าที่ตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะพิษทั้ง 100 ตู้บนเรือ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์” จะถูกส่งถึงแอลเบเนีย . 16 สิงหาคม 2567- เครือข่ายปฏิบัติการบาเซล หรือ Basel Action Network (BAN) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ได้ส่งจดหมายผ่านทางอีเมล ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 (เวลาช้ากว่าไทยประมาณ 12 ชั่วโมง) ถึงผู้บริหารของบริษัท เมอส์ก (MAERSK) ระบุว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสอบถามถึงเจตนารมณ์ของ Maersk เกี่ยวกับตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะอันตรายที่ขนส่งมาบนเรือของบริษัทที่ชื่อ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์” . BAN ได้กล่าวอ้างอิงถึงข่าวจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รวมทั้งเนื้อหาในจดหมายของบริษัท เมอส์ก ไลน์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ส่งถึงผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เรื่อง “การชี้แจงข้อมูลเส้นทางการเดินเรือ” ซึ่งแจ้งไว้ว่าจะส่งคืนตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดจำนวน 100 ตู้บนเรือทั้งสองลำดังกล่าวกลับไปยังแอลเบเนีย ซึ่ง BAN ระบุว่า “เราปรบมือให้กับการตัดสินใจนั้น” . จดหมายของ BAN ที่ลงนามโดยจิม พักเก็ตต์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เรือแคมป์ตันซึ่งควรที่จะจอดยังท่าเรือในสิงคโปร์ และมีขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัย ตามแผนการเดิม กลับเพิ่งมีรายงานข่าวว่าได้แล่นผ่านสิงคโปร์ไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยไม่มีการหยุด ซึ่งในจดหมายได้มีการแนบแผนที่แสดงเส้นทางและตำแหน่งการเดินเรือของ “เมอรส์กแคมป์ตัน” ไว้ด้วย . จดหมายของ BAN แจ้งอีกว่า ในขณะที่ทางด้านเรือแคนดอร์ก็ได้เงียบหายไปตลอดช่วงหกวันที่ผ่านมา หลังจากที่พบว่ามีการปิดระบบสัญญาณ AIS (Automatic Identification System) หรือสัญญาณการระบุตัวตนอัตโนมัติครั้งสุดท้ายที่นอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ ซึ่งปรากฏการณ์ล่าสุดเหล่านี้ได้ “สร้างความกังวลอย่างยิ่งยวด” ให้เกิดขึ้นตามหลังจากการแถลงของบริษัท . ดังนั้น BAN จึงเรียกร้องให้บริษัท MAERSK ชี้แจงและอธิบายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสื่อที่เกี่ยวข้องทั้งหลายโดยทันที ว่าเหตุใดจึงมีการปรับเปลี่ยนแผนการเดินเรือ และแผนใหม่คืออะไร ตลอดจนชี้แจงถึงตําแหน่งและจุดหมายปลายทางของเรือทั้งสองลําด้วย โดยที่ MAERSK จะต้องรับรองว่าจะไม่ฝ่าฝืนต่อกฎเกณฑ์สากลของการเดินเรือขนส่งสินค้า รวมถึงระเบียบกติกาทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง . และที่สำคัญคือ ต้องรักษาไว้ซึ่งความมุ่งมั่นที่จะส่งคอนเทนเนอร์บรรจุของเสียอันตรายต้องสงสัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ให้ถึงมือรัฐบาลแอลเบเนีย เพื่อที่จะจัดการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางได้ต่อ ดูเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่ - MAERSK ยอมส่งเรือกลับแอลเบเนีย!?! แต่ไม่ยอมรับว่ามีการขนส่งขยะอันตราย: https://shorturl.at/hivjM - "กรณีการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ": https://shorturl.at/th5yX ที่มา : มูลนิธิบูรณะนิเวศ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • อธิบดีกรมโรงงานสั่งเข้มติดตามร่วมกับกรมศุลกากรป้องกันขยะกากฝุ่นแดงพิษที่จะขนมาทางเรือจากแอลบาเนียมาทิ้งที่ไทยโดยไทยไม่อนุญาติ หลังจากปีที่แล้วไทยเคยทำหนังสือไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายขยะกากพิษนี้มาไทย

    14 สิงหาคม 2567-อธิบดีกรมโรงงานฯ สั่งติดตามการขนย้ายฝุ่นแดง จากประเทศแอลบาเนีย อย่างใกล้ชิด

    นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ดำเนินการร่วมกับหน่วยข่าวกรองและส่วนงานปราบปรามของกรมศุลกากร เพื่อเฝ้าระวังและยับยั้งการขนย้ายของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมาย (illegal traffic) คาดว่าเป็น Electric Arc Furnace (EAF) dust หรือ ฝุ่นแดง จากอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก จำนวน 816 ตัน (ประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์) จากประเทศแอลบาเนีย ซึ่งเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุ ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 อย่างใกล้ชิด

    สืบเนื่องจากกรมโรงงานฯ ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ของประเทศไทย ภายใต้ “อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด” ได้รับการประสานงานและแจ้งข่าวการขนส่งของเสียดังกล่าวจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือ NGO ด้านสิ่งแวดล้อม 3 แห่ง ได้แก่ 1.เครือข่าย Basel Action Network (BAN) สหรัฐอเมริกา 2.องค์กร Friends of the Earth ประเทศแอฟริกาใต้ และ 3.มูลนิธิบูรณะนิเวศ หรือ EARTH ประเทศไทย เพื่อยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียแบบผิดกฎหมายด้วยเรือขนส่งสินค้าจำนวน 2 ลำ ที่มีต้นทางจากประเทศแอลบาเนีย ปลายทางประเทศไทย โดย ประเทศไทย ไม่เคยได้รับการแจ้งขอความยินยอมการนำเข้าของเสียดังกล่าว รวมทั้งไม่เคยยินยอมหรืออนุญาตให้มีการนำเข้าของเสียดังกล่าวแต่อย่างใด จึงถือเป็นการเคลื่อนย้ายของของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซล

    โดยเมื่อปี 2565 ประเทศไทยเคยมีหนังสือถึงรัฐบาลประเทศแอลบาเนียไม่ยินยอมให้นำเข้าของเสียดังกล่าวมายังราชอาณาจักรไทย

    ล่าสุดกรมโรงงานฯ ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานผู้มีอำนาจ (CA) ของประเทศแอลบาเนีย (ประเทศต้นทาง) และหน่วยงาน National Environment Agency (CA ของประเทศสิงคโปร์) ซึ่งเป็นประเทศผู้นำผ่าน และคาดการณ์ว่า จะมีการถ่ายลำเรือของเสียดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จึงให้เฝ้าระวังบริเวณท่าเรือและยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียดังกล่าว

    ทั้งนี้ กรมโรงงานฯ ได้ประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบการนำ “ของเสียอันตรายที่ไม่ได้รับอนุญาต” เข้ามาในราชอาณาจักรไทยอย่างต่อเนื่อง

    ขณะที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)เตือนภัยว่า““กรณีนี้ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ...เพราะว่าเป็นการขนส่ง/เคลื่อนย้ายกากของเสียอันตรายแบบเถื่อน ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของประเทศที่เป็นเป้าหมายปลายทางอย่างประเทศไทยเองด้วย ดังนั้นการดำเนินการที่จะรับมือและจัดการจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะคู่กรณีของเราในกรณีนี้คืออาชญากรระหว่างประเทศ” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวอธิบายถึงกรณีเรื่องการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย หรือชื่อทางการว่าสาธารณรัฐแอลเบเนีย (Albania) ภายหลังจากที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง กรอ. กำลังประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
    .
    ทั้งนี้ มูลนิธิบูรณะนิเวศได้รับการประสานเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากเครือข่าย BAN หรือ Basel Action Network ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
    .
    ประเด็นสาระสำคัญที่ทางเครือข่าย BAN แจ้งมาในเบื้องต้นคือ ทราบว่าจะมีการขนส่งกากของเสียอันตรายที่ตามอนุสัญญาบาเซลและภาคแก้ไขของอนุสัญญาบาเซลถือเป็นของเสียอันตรายที่ห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด มายังประเทศไทย โดยขนส่งมาทางเรือจำนวน 2 ลำ
    .
    ในช่วงที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศจึงได้พยายามหาทางสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลให้กับหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงมีกระบวนการประสานงานด้านข้อมูลในรายละเอียดกันทั้งภายในและภายนอกประเทศ กระทั่งทราบว่าเรือทั้งสองลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าเรือของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เรือใกล้จะถึงสิงคโปร์แล้ว
    .
    อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่กรณีนี้เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่อาจต้องระมัดระวังในประเด็นการไหวตัวของคนร้าย ซึ่งคาดว่ามีลักษณะเป็นขบวนการใหญ่ และพวกเขาย่อมพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาช่องทางลอดหนีจากการสกัดกั้นและการจับกุมไปให้ได้ ดังที่พบว่า ก่อนหน้านี้ก็มีเรือ 1 ใน 2 ลำที่ขนส่งกากอันตรายกรณีนี้หายออกไปจากสารบบการติดตามระหว่างประเทศ

    ทั้งนี้คาดว่าเรือขนกากพิษฝุ่นแดงจากแอลบาเนียม800 ตันจะมาถึงท่าเรือแหลมฉบังในวันที่ 20 สิงหาคม 2567นี้

    #Thaitimes
    อธิบดีกรมโรงงานสั่งเข้มติดตามร่วมกับกรมศุลกากรป้องกันขยะกากฝุ่นแดงพิษที่จะขนมาทางเรือจากแอลบาเนียมาทิ้งที่ไทยโดยไทยไม่อนุญาติ หลังจากปีที่แล้วไทยเคยทำหนังสือไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายขยะกากพิษนี้มาไทย 14 สิงหาคม 2567-อธิบดีกรมโรงงานฯ สั่งติดตามการขนย้ายฝุ่นแดง จากประเทศแอลบาเนีย อย่างใกล้ชิด นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ดำเนินการร่วมกับหน่วยข่าวกรองและส่วนงานปราบปรามของกรมศุลกากร เพื่อเฝ้าระวังและยับยั้งการขนย้ายของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมาย (illegal traffic) คาดว่าเป็น Electric Arc Furnace (EAF) dust หรือ ฝุ่นแดง จากอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก จำนวน 816 ตัน (ประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์) จากประเทศแอลบาเนีย ซึ่งเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุ ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 อย่างใกล้ชิด สืบเนื่องจากกรมโรงงานฯ ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ของประเทศไทย ภายใต้ “อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด” ได้รับการประสานงานและแจ้งข่าวการขนส่งของเสียดังกล่าวจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือ NGO ด้านสิ่งแวดล้อม 3 แห่ง ได้แก่ 1.เครือข่าย Basel Action Network (BAN) สหรัฐอเมริกา 2.องค์กร Friends of the Earth ประเทศแอฟริกาใต้ และ 3.มูลนิธิบูรณะนิเวศ หรือ EARTH ประเทศไทย เพื่อยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียแบบผิดกฎหมายด้วยเรือขนส่งสินค้าจำนวน 2 ลำ ที่มีต้นทางจากประเทศแอลบาเนีย ปลายทางประเทศไทย โดย ประเทศไทย ไม่เคยได้รับการแจ้งขอความยินยอมการนำเข้าของเสียดังกล่าว รวมทั้งไม่เคยยินยอมหรืออนุญาตให้มีการนำเข้าของเสียดังกล่าวแต่อย่างใด จึงถือเป็นการเคลื่อนย้ายของของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซล โดยเมื่อปี 2565 ประเทศไทยเคยมีหนังสือถึงรัฐบาลประเทศแอลบาเนียไม่ยินยอมให้นำเข้าของเสียดังกล่าวมายังราชอาณาจักรไทย ล่าสุดกรมโรงงานฯ ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานผู้มีอำนาจ (CA) ของประเทศแอลบาเนีย (ประเทศต้นทาง) และหน่วยงาน National Environment Agency (CA ของประเทศสิงคโปร์) ซึ่งเป็นประเทศผู้นำผ่าน และคาดการณ์ว่า จะมีการถ่ายลำเรือของเสียดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จึงให้เฝ้าระวังบริเวณท่าเรือและยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียดังกล่าว ทั้งนี้ กรมโรงงานฯ ได้ประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบการนำ “ของเสียอันตรายที่ไม่ได้รับอนุญาต” เข้ามาในราชอาณาจักรไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)เตือนภัยว่า““กรณีนี้ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ...เพราะว่าเป็นการขนส่ง/เคลื่อนย้ายกากของเสียอันตรายแบบเถื่อน ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของประเทศที่เป็นเป้าหมายปลายทางอย่างประเทศไทยเองด้วย ดังนั้นการดำเนินการที่จะรับมือและจัดการจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะคู่กรณีของเราในกรณีนี้คืออาชญากรระหว่างประเทศ” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวอธิบายถึงกรณีเรื่องการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย หรือชื่อทางการว่าสาธารณรัฐแอลเบเนีย (Albania) ภายหลังจากที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง กรอ. กำลังประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด . ทั้งนี้ มูลนิธิบูรณะนิเวศได้รับการประสานเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากเครือข่าย BAN หรือ Basel Action Network ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา . ประเด็นสาระสำคัญที่ทางเครือข่าย BAN แจ้งมาในเบื้องต้นคือ ทราบว่าจะมีการขนส่งกากของเสียอันตรายที่ตามอนุสัญญาบาเซลและภาคแก้ไขของอนุสัญญาบาเซลถือเป็นของเสียอันตรายที่ห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด มายังประเทศไทย โดยขนส่งมาทางเรือจำนวน 2 ลำ . ในช่วงที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศจึงได้พยายามหาทางสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลให้กับหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงมีกระบวนการประสานงานด้านข้อมูลในรายละเอียดกันทั้งภายในและภายนอกประเทศ กระทั่งทราบว่าเรือทั้งสองลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าเรือของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เรือใกล้จะถึงสิงคโปร์แล้ว . อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่กรณีนี้เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่อาจต้องระมัดระวังในประเด็นการไหวตัวของคนร้าย ซึ่งคาดว่ามีลักษณะเป็นขบวนการใหญ่ และพวกเขาย่อมพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาช่องทางลอดหนีจากการสกัดกั้นและการจับกุมไปให้ได้ ดังที่พบว่า ก่อนหน้านี้ก็มีเรือ 1 ใน 2 ลำที่ขนส่งกากอันตรายกรณีนี้หายออกไปจากสารบบการติดตามระหว่างประเทศ ทั้งนี้คาดว่าเรือขนกากพิษฝุ่นแดงจากแอลบาเนียม800 ตันจะมาถึงท่าเรือแหลมฉบังในวันที่ 20 สิงหาคม 2567นี้ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣️ รมช.คมนาคม สุรพงศ์ ทารุณปชช.แบบไม่พัก เพิ่งปฏิรูปรถเมล์จนเละ ทำรถไฟสายฝุ่นมะเร็งปอดอีก
    #7ดอกจิก
    #อุโมงค์ผาเสด็จ
    ♣️ รมช.คมนาคม สุรพงศ์ ทารุณปชช.แบบไม่พัก เพิ่งปฏิรูปรถเมล์จนเละ ทำรถไฟสายฝุ่นมะเร็งปอดอีก #7ดอกจิก #อุโมงค์ผาเสด็จ
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Yay
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 956 มุมมอง 0 รีวิว