• พิจิตร/พิษณุโลก – แชทปริศนาหลุด..พระผู้ใหญ่พิษณุโลก คุยปรึกษาเรื่อง”สีกา กอล์ฟ”ท้อง ขณะที่โซเชียลฯแชร์ว่อนอดีตพระมหา ดีกรีศาสตราจารย์ ดร.มจร.-พระผู้ใหญ่พิจิตร แอบย่องลาสิกขาแล้วกลางดึก ล่าสุดวันพระใหญ่อาสาฬหบูชา-เข้าพรรษานี้ ไร้เงาเจ้าคณะทั้ง 2 จังหวัด ร่วมพิธี/ขึ้นธรรมมาส์

    วันนี้(10 ก.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปรากฎข้อความแชททางไลน์ ระหว่างเบอร์โทรไลน์ของสีกา พ.(นามสมมุติ) คุยกับ พระชั้นผู้ใหญ่ จังหวัดพิษณุโลก (081-888-6xx8) ระบุ..อยากรู้จริงไหม จะได้มาคิดกันว่า จะเอายังไงต่อ เพราะท้องต้องโตขึ้นทุกวัน ..พระผู้ใหญ่ ตอบว่า ครับ กอล์ฟท้อง แต่ผมไม่เห็นเอกสารที่ฝากท้อง ผมปรึกษากันแล้วว่า หลังปีใหม่ จะบอกแม่
    สีกา(พ)..แสดงว่า ยังไม่ฝากท้องใช่ไหม

    พระผู้ใหญ่..เขา(สีกา กอล์ฟ) บอกว่า ฝากที่นนทบุรี
    สีกา(พ)..แล้วคิดว่า จะทำยังไงกันต่อ

    พระผู้ใหญ่บอกว่า..ผมจะพาเขาไปอยู่โขทัย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แชทดังกล่าว เป็นการพูดคุยถึงเรื่อง สีกา กอล์ฟท้อง โดยที่ พระชั้นผู้ใหญ่ จ.พิษณุโลก ต้องการให้ สีกา กอล์ฟ ไปพักที่บ้านแม่ของเขา คือ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย

    ขณะที่วันนี้ เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ยังไม่ปรากฏตัว ซึ่งคนในจังหวัดพิษณุโลก ไม่สามารถติดต่อไปยังเบอร์ของ พระราชรัตนสุธี หรือ อดีตพระขวัญรัก มาหวายาโม เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก มา 2 วันแล้ว หลังปรากฏข่าวฉาววงการพระสงฆ์แห่สึกกันพร้อมๆกัน เบอร์ 081-888-6xx8 โทรได้ แต่ไม่มีผู้รับสาย ได้แค่เสียงยินดีต้อนรับ…

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000065100

    #Thaitimes #MGROnline #เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
    พิจิตร/พิษณุโลก – แชทปริศนาหลุด..พระผู้ใหญ่พิษณุโลก คุยปรึกษาเรื่อง”สีกา กอล์ฟ”ท้อง ขณะที่โซเชียลฯแชร์ว่อนอดีตพระมหา ดีกรีศาสตราจารย์ ดร.มจร.-พระผู้ใหญ่พิจิตร แอบย่องลาสิกขาแล้วกลางดึก ล่าสุดวันพระใหญ่อาสาฬหบูชา-เข้าพรรษานี้ ไร้เงาเจ้าคณะทั้ง 2 จังหวัด ร่วมพิธี/ขึ้นธรรมมาส์ • วันนี้(10 ก.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปรากฎข้อความแชททางไลน์ ระหว่างเบอร์โทรไลน์ของสีกา พ.(นามสมมุติ) คุยกับ พระชั้นผู้ใหญ่ จังหวัดพิษณุโลก (081-888-6xx8) ระบุ..อยากรู้จริงไหม จะได้มาคิดกันว่า จะเอายังไงต่อ เพราะท้องต้องโตขึ้นทุกวัน ..พระผู้ใหญ่ ตอบว่า ครับ กอล์ฟท้อง แต่ผมไม่เห็นเอกสารที่ฝากท้อง ผมปรึกษากันแล้วว่า หลังปีใหม่ จะบอกแม่ สีกา(พ)..แสดงว่า ยังไม่ฝากท้องใช่ไหม พระผู้ใหญ่..เขา(สีกา กอล์ฟ) บอกว่า ฝากที่นนทบุรี สีกา(พ)..แล้วคิดว่า จะทำยังไงกันต่อ พระผู้ใหญ่บอกว่า..ผมจะพาเขาไปอยู่โขทัย • ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แชทดังกล่าว เป็นการพูดคุยถึงเรื่อง สีกา กอล์ฟท้อง โดยที่ พระชั้นผู้ใหญ่ จ.พิษณุโลก ต้องการให้ สีกา กอล์ฟ ไปพักที่บ้านแม่ของเขา คือ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย • ขณะที่วันนี้ เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก ยังไม่ปรากฏตัว ซึ่งคนในจังหวัดพิษณุโลก ไม่สามารถติดต่อไปยังเบอร์ของ พระราชรัตนสุธี หรือ อดีตพระขวัญรัก มาหวายาโม เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก มา 2 วันแล้ว หลังปรากฏข่าวฉาววงการพระสงฆ์แห่สึกกันพร้อมๆกัน เบอร์ 081-888-6xx8 โทรได้ แต่ไม่มีผู้รับสาย ได้แค่เสียงยินดีต้อนรับ… • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000065100 • #Thaitimes #MGROnline #เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • โซเชียลระอุ! "พระราชรัตนสุธี" เจ้าคณะพิษณุโลก หายตัวปริศนา ท่ามกลางข่าวลือ "สึกเงียบ" และเอี่ยวคดี "สีกากอล์ฟ"
    https://www.thai-tai.tv/news/20163/
    .
    #พระราชรัตนสุธี #เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก #วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร #วัดใหญ่ #สีกากอล์ฟ #น้องดอกไม้ #ข่าวลือ #สึกเงียบ #วงการสงฆ์ #สำนักพุทธศาสนา #พิษณุโลก #ข่าวสังคม
    โซเชียลระอุ! "พระราชรัตนสุธี" เจ้าคณะพิษณุโลก หายตัวปริศนา ท่ามกลางข่าวลือ "สึกเงียบ" และเอี่ยวคดี "สีกากอล์ฟ" https://www.thai-tai.tv/news/20163/ . #พระราชรัตนสุธี #เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก #วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร #วัดใหญ่ #สีกากอล์ฟ #น้องดอกไม้ #ข่าวลือ #สึกเงียบ #วงการสงฆ์ #สำนักพุทธศาสนา #พิษณุโลก #ข่าวสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองจินตนาการว่า...ทั่วโลกมีคลื่นแผ่นดินไหวขนาดเบา ๆ เด้งทุก 90 วินาที แบบนาฬิกาเดินตรงนานหลายวัน → มันเกิดขึ้นจริงในเดือนกันยายน 2023 และเกิดซ้ำอีกครั้งในอีก 1 เดือนต่อมา → โดยไม่มีแผ่นดินไหว, ไม่มีระเบิด, ไม่มีภูเขาไฟ — แต่เกิด “สัญญาณแผ่นดินไหว” (seismic wave) ทุก ๆ 90 วินาที บนความถี่ 10.88 mHz

    นักวิทยาศาสตร์งงอยู่นาน จนทีมจากอ็อกซ์ฟอร์ดนำข้อมูลจากดาวเทียม SWOT ซึ่งใช้เลเซอร์ราดาร์สแกนความสูงของผิวน้ำแบบละเอียด → พบว่ามี “คลื่นสะท้อน” (seiche) ขนาดใหญ่ใน Dickson Fjord ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของกรีนแลนด์ → คลื่นนี้เกิดจาก “ดินถล่มขนาดยักษ์ในฟยอร์ด” ที่ทำให้เกิด “คลื่นสึนามิสองระลอก” ติดกัน → เมื่อคลื่นติดอยู่ในพื้นที่แคบแบบฟยอร์ด มันสะท้อนกลับไป–มา สร้างแรงกดบนเปลือกโลกจนเป็นคลื่นแผ่นดินไหวเบา ๆ ไปทั่วโลก!

    ทีมงานใช้เทคนิค Machine Learning แบบเบย์ (Bayesian ML) ผนวกกับข้อมูลแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก → คำนวณได้ว่าคลื่นสึนามิต้นทางน่าจะสูงถึง 7.9 เมตร → นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์สามารถ “จับภาพ–วิเคราะห์–ยืนยัน” ปรากฏการณ์ seiche ระดับสั่นสะเทือนโลกได้สำเร็จ → และยังแสดงให้เห็นว่า “ภาวะโลกร้อน” ทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการวัดแบบดั้งเดิมเข้าไม่ถึง

    โลกเกิดแรงสั่นสะเทือนซ้ำ ๆ ทุก 90 วินาที นาน 9 วันใน ก.ย. 2023 และอีกครั้งใน ต.ค.  
    • เกิดแรงแผ่นดินไหวเบา ๆ ความถี่ 10.88 mHz ทั่วโลก  
    • สัญญาณตรวจพบทั่วทั้งโครงข่ายเซนเซอร์โลก

    ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดพบว่าเกิดจาก “seiche” คลื่นน้ำสะท้อนใน Dickson Fjord, Greenland  
    • สาเหตุคือดินถล่มขนาดยักษ์ ทำให้เกิดสึนามิ 2 ลูก  
    • คลื่นวิ่งไปมาภายในฟยอร์ด → สร้างแรงกดจนเกิดคลื่นแผ่นดินไหว

    ใช้ดาวเทียม SWOT ที่มีระบบ KaRIn radar วัดระดับน้ำแบบละเอียดในพื้นที่กว้างถึง 50 กม.  
    • พบว่าพื้นน้ำในฟยอร์ดมีความเอียงเปลี่ยนทิศอย่างชัดเจน (สูงสุด 2 เมตร)  
    • พิสูจน์ว่าคลื่นสะท้อนแบบ seiche เกิดขึ้นจริง

    ยืนยันด้วยข้อมูลลม–น้ำขึ้นน้ำลง และการเคลื่อนไหวเปลือกโลกขนาดเล็กจากจุดไกลหลายพันกิโลเมตร

    ทีมวิจัยใช้ Bayesian ML ช่วยประเมินขนาดคลื่นต้นเหตุ ~7.9 เมตร

    ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นใหม่ + เทคนิคข้อมูลขั้นสูงเพื่อไขปริศนาธรณีวิทยา

    https://www.neowin.net/news/oxford-explains-what-made-earth-shake-every-90-seconds-over-nine-days-in-2023/
    ลองจินตนาการว่า...ทั่วโลกมีคลื่นแผ่นดินไหวขนาดเบา ๆ เด้งทุก 90 วินาที แบบนาฬิกาเดินตรงนานหลายวัน → มันเกิดขึ้นจริงในเดือนกันยายน 2023 และเกิดซ้ำอีกครั้งในอีก 1 เดือนต่อมา → โดยไม่มีแผ่นดินไหว, ไม่มีระเบิด, ไม่มีภูเขาไฟ — แต่เกิด “สัญญาณแผ่นดินไหว” (seismic wave) ทุก ๆ 90 วินาที บนความถี่ 10.88 mHz นักวิทยาศาสตร์งงอยู่นาน จนทีมจากอ็อกซ์ฟอร์ดนำข้อมูลจากดาวเทียม SWOT ซึ่งใช้เลเซอร์ราดาร์สแกนความสูงของผิวน้ำแบบละเอียด → พบว่ามี “คลื่นสะท้อน” (seiche) ขนาดใหญ่ใน Dickson Fjord ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของกรีนแลนด์ → คลื่นนี้เกิดจาก “ดินถล่มขนาดยักษ์ในฟยอร์ด” ที่ทำให้เกิด “คลื่นสึนามิสองระลอก” ติดกัน → เมื่อคลื่นติดอยู่ในพื้นที่แคบแบบฟยอร์ด มันสะท้อนกลับไป–มา สร้างแรงกดบนเปลือกโลกจนเป็นคลื่นแผ่นดินไหวเบา ๆ ไปทั่วโลก! ทีมงานใช้เทคนิค Machine Learning แบบเบย์ (Bayesian ML) ผนวกกับข้อมูลแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก → คำนวณได้ว่าคลื่นสึนามิต้นทางน่าจะสูงถึง 7.9 เมตร → นี่คือครั้งแรกที่มนุษย์สามารถ “จับภาพ–วิเคราะห์–ยืนยัน” ปรากฏการณ์ seiche ระดับสั่นสะเทือนโลกได้สำเร็จ → และยังแสดงให้เห็นว่า “ภาวะโลกร้อน” ทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการวัดแบบดั้งเดิมเข้าไม่ถึง ✅ โลกเกิดแรงสั่นสะเทือนซ้ำ ๆ ทุก 90 วินาที นาน 9 วันใน ก.ย. 2023 และอีกครั้งใน ต.ค.   • เกิดแรงแผ่นดินไหวเบา ๆ ความถี่ 10.88 mHz ทั่วโลก   • สัญญาณตรวจพบทั่วทั้งโครงข่ายเซนเซอร์โลก ✅ ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดพบว่าเกิดจาก “seiche” คลื่นน้ำสะท้อนใน Dickson Fjord, Greenland   • สาเหตุคือดินถล่มขนาดยักษ์ ทำให้เกิดสึนามิ 2 ลูก   • คลื่นวิ่งไปมาภายในฟยอร์ด → สร้างแรงกดจนเกิดคลื่นแผ่นดินไหว ✅ ใช้ดาวเทียม SWOT ที่มีระบบ KaRIn radar วัดระดับน้ำแบบละเอียดในพื้นที่กว้างถึง 50 กม.   • พบว่าพื้นน้ำในฟยอร์ดมีความเอียงเปลี่ยนทิศอย่างชัดเจน (สูงสุด 2 เมตร)   • พิสูจน์ว่าคลื่นสะท้อนแบบ seiche เกิดขึ้นจริง ✅ ยืนยันด้วยข้อมูลลม–น้ำขึ้นน้ำลง และการเคลื่อนไหวเปลือกโลกขนาดเล็กจากจุดไกลหลายพันกิโลเมตร ✅ ทีมวิจัยใช้ Bayesian ML ช่วยประเมินขนาดคลื่นต้นเหตุ ~7.9 เมตร ✅ ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นใหม่ + เทคนิคข้อมูลขั้นสูงเพื่อไขปริศนาธรณีวิทยา https://www.neowin.net/news/oxford-explains-what-made-earth-shake-every-90-seconds-over-nine-days-in-2023/
    WWW.NEOWIN.NET
    Oxford explains what made Earth shake "every 90 seconds over nine days" in 2023
    Back in September of 2023, the Earth shook for "every 90 seconds over nine days" and now in 2025, Oxford scientists have solved what caused it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • "มึงมี กูยิง!" รักลับ "ฮุนเซน" ที่จบด้วยคมกระสุนปริศนา(25/06/68) #news1 #ฮุนเซน #รักลับฮุนเซน #เขมร
    "มึงมี กูยิง!" รักลับ "ฮุนเซน" ที่จบด้วยคมกระสุนปริศนา(25/06/68) #news1 #ฮุนเซน #รักลับฮุนเซน #เขมร
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 35 0 รีวิว
  • หลังจากรอกันมาหลายปี ในที่สุดกล้อง “LSST” ที่ติดตั้งอยู่บนหอดูดาว Vera C. Rubin Observatory ในประเทศชิลี ก็ได้ฤกษ์ถ่ายภาพทดสอบเป็นครั้งแรก — และผลลัพธ์เรียกได้ว่า “สมกับที่รอ”

    กล้องตัวนี้มีขนาดใหญ่มากระดับ “เท่ารถคันหนึ่ง” แถมน้ำหนักถึง 2.8 ตัน ใช้เลนส์กระจกหลักขนาด 27.5 ฟุต สะท้อนแสงผ่านกระจกอีก 2 ชิ้น ก่อนจะเข้าสู่เซนเซอร์ที่มีความละเอียดถึง 3.2 กิกะพิกเซล (ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้)

    ภาพที่ได้จากการทดสอบเพียง 10 ชั่วโมงแรกนั้น…จับภาพได้ทั้งกาแล็กซีห่างไกล, กลุ่มเนบิวลานับพันปีแสง และ — ไฮไลต์เลย — ค้นพบดาวเคราะห์น้อยใหม่กว่า 2,000 ดวง! รวมถึงวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Asteroids) อย่างน้อย 7 ดวง แต่ข่าวดีคือไม่มีดวงไหนเข้ามาชนโลกแน่นอน

    กล้องนี้มีมุมมองกว้างมาก จับภาพท้องฟ้าได้มากถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงในครั้งเดียว และจะถ่ายภาพท้องฟ้าทั้งซีกใต้ทุก 3–4 วันวนไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 10 ปี รวมแล้วจะได้แผนที่ของ กาแล็กซี 20,000 ล้านแห่ง และอาจไขปริศนาเรื่องสสารมืด (dark matter) หรือแม้แต่เจอดาวเคราะห์หมายเลข 9 ในระบบสุริยะก็เป็นได้!

    Vera C. Rubin Observatory ใช้กล้อง LSST ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (3.2 กิกะพิกเซล)  
    • ประกอบด้วยระบบกระจก 3 ชั้นเพื่อรวมแสงก่อนเข้าสู่เซนเซอร์  
    • ตัวกล้องใหญ่ขนาดรถยนต์ หนัก 2.8 ตัน

    ภาพทดสอบแรกใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง แต่ได้ผลเกินคาด  
    • จับภาพกาแล็กซี, กลุ่มเนบิวลา Trifid และ Lagoon  
    • จับภาพวัตถุใหม่ได้มากถึง 2,104 ดวง รวมถึงดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก

    พื้นที่มองเห็นของกล้องกว้างถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงต่อภาพ  
    • ถ่ายท้องฟ้าซ้ำทุก 3–4 วัน เป็นเวลารวมกว่า 10 ปี  
    • คาดว่าระบบนี้จะผลิตข้อมูลกว่า 500 เพตะไบต์

    จุดติดตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี  
    • สภาพแวดล้อมมืดสนิท เหมาะที่สุดในการสังเกตท้องฟ้า  
    • ถึงขนาดห้ามเปิดไฟสูงเมื่อขับรถขึ้นภูเขา

    ภารกิจหลักของกล้อง LSST คือทำแผนที่ท้องฟ้าใหม่ทั้งซีกใต้ และศึกษาปรากฏการณ์ลึกลับ เช่น สสารมืด, พลังงานมืด และดาวเคราะห์นอกระบบ

    https://www.techspot.com/news/108413-first-images-vera-c-rubin-observatory-car-sized.html
    หลังจากรอกันมาหลายปี ในที่สุดกล้อง “LSST” ที่ติดตั้งอยู่บนหอดูดาว Vera C. Rubin Observatory ในประเทศชิลี ก็ได้ฤกษ์ถ่ายภาพทดสอบเป็นครั้งแรก — และผลลัพธ์เรียกได้ว่า “สมกับที่รอ” กล้องตัวนี้มีขนาดใหญ่มากระดับ “เท่ารถคันหนึ่ง” แถมน้ำหนักถึง 2.8 ตัน ใช้เลนส์กระจกหลักขนาด 27.5 ฟุต สะท้อนแสงผ่านกระจกอีก 2 ชิ้น ก่อนจะเข้าสู่เซนเซอร์ที่มีความละเอียดถึง 3.2 กิกะพิกเซล (ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้) ภาพที่ได้จากการทดสอบเพียง 10 ชั่วโมงแรกนั้น…จับภาพได้ทั้งกาแล็กซีห่างไกล, กลุ่มเนบิวลานับพันปีแสง และ — ไฮไลต์เลย — ค้นพบดาวเคราะห์น้อยใหม่กว่า 2,000 ดวง! รวมถึงวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Asteroids) อย่างน้อย 7 ดวง แต่ข่าวดีคือไม่มีดวงไหนเข้ามาชนโลกแน่นอน 😅 กล้องนี้มีมุมมองกว้างมาก จับภาพท้องฟ้าได้มากถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงในครั้งเดียว และจะถ่ายภาพท้องฟ้าทั้งซีกใต้ทุก 3–4 วันวนไปเรื่อย ๆ เป็นเวลา 10 ปี รวมแล้วจะได้แผนที่ของ กาแล็กซี 20,000 ล้านแห่ง และอาจไขปริศนาเรื่องสสารมืด (dark matter) หรือแม้แต่เจอดาวเคราะห์หมายเลข 9 ในระบบสุริยะก็เป็นได้! ✅ Vera C. Rubin Observatory ใช้กล้อง LSST ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (3.2 กิกะพิกเซล)   • ประกอบด้วยระบบกระจก 3 ชั้นเพื่อรวมแสงก่อนเข้าสู่เซนเซอร์   • ตัวกล้องใหญ่ขนาดรถยนต์ หนัก 2.8 ตัน ✅ ภาพทดสอบแรกใช้เวลาเพียง 10 ชั่วโมง แต่ได้ผลเกินคาด   • จับภาพกาแล็กซี, กลุ่มเนบิวลา Trifid และ Lagoon   • จับภาพวัตถุใหม่ได้มากถึง 2,104 ดวง รวมถึงดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก ✅ พื้นที่มองเห็นของกล้องกว้างถึง 40 เท่าของดวงจันทร์เต็มดวงต่อภาพ   • ถ่ายท้องฟ้าซ้ำทุก 3–4 วัน เป็นเวลารวมกว่า 10 ปี   • คาดว่าระบบนี้จะผลิตข้อมูลกว่า 500 เพตะไบต์ ✅ จุดติดตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี   • สภาพแวดล้อมมืดสนิท เหมาะที่สุดในการสังเกตท้องฟ้า   • ถึงขนาดห้ามเปิดไฟสูงเมื่อขับรถขึ้นภูเขา ✅ ภารกิจหลักของกล้อง LSST คือทำแผนที่ท้องฟ้าใหม่ทั้งซีกใต้ และศึกษาปรากฏการณ์ลึกลับ เช่น สสารมืด, พลังงานมืด และดาวเคราะห์นอกระบบ https://www.techspot.com/news/108413-first-images-vera-c-rubin-observatory-car-sized.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    First incredible images from Vera Rubin observatory's car-sized camera reveal distant galaxies and asteroids
    The Legacy Survey of Space and Time (LSST) camera at the $810 million 18-storey Vera C. Rubin observatory in Chile, named after the US astronomer who discovered...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เป็นประเด็นร้อนแรงถึงเนื้อหาและความเหมาะสมนั้น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารนี้ นั่นคือ "ล่ามปริศนา" ที่ทำหน้าที่แปลภาษาไทย-เขมร และเขมร-ไทย ให้ผู้นำทั้งสองเข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้ง“พี่ฮวด” เขาคือใคร?จากการตรวจสอบของ "เนชั่นทีวี" ล่ามผู้นี้คือ นาย เคลียง ฮวด หรือที่คนใกล้ชิดในตระกูลชินวัตรเรียกขานอย่างสนิทสนมว่า "ผอ.ฮวด" หรือ "พี่ฮวด" ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตำแหน่งปัจจุบันของเขาไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นถึงนายกเทศมนตรีของเขตจรอย จองวา และรองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ช่วยคนสนิทของสมเด็จ ฮุน เซน ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแหล่งข่าวจากอดีตคนใกล้ชิดของตระกูลชินวัตรเล่าว่า "พี่ฮวด" ถือเป็นเหมือนเลขาฯ ส่วนตัวและผู้ช่วยใกล้ชิดของสมเด็จ ฮุน เซน มานานแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เนื่องจากเขาสามารถพูดและฟังภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วมาก ทำให้เขารับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างฮุน เซน และฝ่ายไทยมาโดยตลอด"พี่ฮวด" ไม่เพียงแค่สนิทสนมกับสมเด็จ ฮุน เซน เท่านั้น แต่เขายังรู้จักและสนิทกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างดี เคยให้ความช่วยเหลืออดีตนายกฯ ทักษิณ ในช่วงที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ คอยประสานงานต่างๆ ให้อย่างใกล้ชิด และรับบทบาทเป็นล่ามให้ทั้งสองฝ่าย คือทั้งของสมเด็จ ฮุน เซน และของตระกูลชินวัตรแสดงให้เห็นว่า "พี่ฮวด" หรือ "ผอ.ฮวด" เป็นบุคคลที่สมเด็จ ฮุน เซน ไว้วางใจอย่างมาก มักจะปรึกษาหารือและสอบถามในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศไทย
    จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เป็นประเด็นร้อนแรงถึงเนื้อหาและความเหมาะสมนั้น วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการสื่อสารนี้ นั่นคือ "ล่ามปริศนา" ที่ทำหน้าที่แปลภาษาไทย-เขมร และเขมร-ไทย ให้ผู้นำทั้งสองเข้าใจกันได้อย่างลึกซึ้ง“พี่ฮวด” เขาคือใคร?จากการตรวจสอบของ "เนชั่นทีวี" ล่ามผู้นี้คือ นาย เคลียง ฮวด หรือที่คนใกล้ชิดในตระกูลชินวัตรเรียกขานอย่างสนิทสนมว่า "ผอ.ฮวด" หรือ "พี่ฮวด" ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตำแหน่งปัจจุบันของเขาไม่ใช่ธรรมดา เพราะเป็นถึงนายกเทศมนตรีของเขตจรอย จองวา และรองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ช่วยคนสนิทของสมเด็จ ฮุน เซน ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแหล่งข่าวจากอดีตคนใกล้ชิดของตระกูลชินวัตรเล่าว่า "พี่ฮวด" ถือเป็นเหมือนเลขาฯ ส่วนตัวและผู้ช่วยใกล้ชิดของสมเด็จ ฮุน เซน มานานแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย เนื่องจากเขาสามารถพูดและฟังภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วมาก ทำให้เขารับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างฮุน เซน และฝ่ายไทยมาโดยตลอด"พี่ฮวด" ไม่เพียงแค่สนิทสนมกับสมเด็จ ฮุน เซน เท่านั้น แต่เขายังรู้จักและสนิทกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างดี เคยให้ความช่วยเหลืออดีตนายกฯ ทักษิณ ในช่วงที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ คอยประสานงานต่างๆ ให้อย่างใกล้ชิด และรับบทบาทเป็นล่ามให้ทั้งสองฝ่าย คือทั้งของสมเด็จ ฮุน เซน และของตระกูลชินวัตรแสดงให้เห็นว่า "พี่ฮวด" หรือ "ผอ.ฮวด" เป็นบุคคลที่สมเด็จ ฮุน เซน ไว้วางใจอย่างมาก มักจะปรึกษาหารือและสอบถามในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศไทย
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ยังไม่สามารถใช้เหตุผลได้อย่างแท้จริง
    แม้ว่าหลายบริษัทจะอ้างว่า AI สามารถใช้เหตุผลได้ แต่ งานวิจัยล่าสุดจาก Apple และ ETH Zürich พบว่า AI ล้มเหลวในการแก้ปัญหาตรรกะที่ซับซ้อน โดยเฉพาะ ปริศนา Tower of Hanoi และโจทย์คณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก

    นักวิจัย ทดสอบ AI หลายรุ่น โดยให้ แก้ปริศนา Tower of Hanoi และอธิบายขั้นตอน พบว่า AI สามารถแก้โจทย์ง่าย ๆ ได้ แต่เมื่อจำนวนดิสก์เพิ่มขึ้น AI กลับทำผิดพลาดและให้คำตอบที่ขัดแย้งกันเอง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Apple และ ETH Zürich ทดสอบ AI กับปริศนา Tower of Hanoi และโจทย์คณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก
    - AI สามารถแก้โจทย์ง่าย ๆ ได้ แต่ล้มเหลวเมื่อความซับซ้อนเพิ่มขึ้น
    - Google Gemini 2.5 Pro ทำคะแนนได้ 24% จากการให้คำตอบบางส่วน แต่ไม่มี AI ตัวใดแก้โจทย์ได้สมบูรณ์
    - OpenAI o3-mini ทำคะแนนได้เพียง 2% และมักข้ามขั้นตอนหรือให้คำตอบที่ขัดแย้งกันเอง
    - นักวิจัยพบว่า AI ไม่ได้ใช้เหตุผลจริง ๆ แต่เพียงจับคู่รูปแบบข้อมูลที่เคยเห็นมาก่อน

    ผลกระทบต่อการพัฒนา AI
    แม้ว่าบริษัทเทคโนโลยี จะโฆษณาว่า AI สามารถใช้เหตุผลได้ แต่ งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า AI ยังไม่สามารถคิดอย่างเป็นระบบได้จริง

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI อาจให้คำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่ได้มีตรรกะที่ถูกต้องเสมอไป
    - AI ที่ใช้ในงานที่ต้องการเหตุผล เช่น การแพทย์และกฎหมาย อาจต้องมีระบบตรวจสอบเพิ่มเติม
    - ต้องติดตามว่าบริษัทเทคโนโลยีจะพัฒนา AI ให้มีความสามารถด้านตรรกะที่ดีขึ้นได้หรือไม่
    - นักวิจัยเสนอให้ใช้ AI ร่วมกับระบบตรรกะเชิงสัญลักษณ์เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

    อนาคตของ AI และตรรกะ
    แม้ว่า AI จะยังไม่สามารถใช้เหตุผลได้อย่างแท้จริง แต่ นักวิจัยกำลังพัฒนาแนวทางใหม่ เช่น การรวม AI กับตรรกะเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้ AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/108294-ai-flunks-logic-test-multiple-studies-reveal-illusion.html
    🧠 AI ยังไม่สามารถใช้เหตุผลได้อย่างแท้จริง แม้ว่าหลายบริษัทจะอ้างว่า AI สามารถใช้เหตุผลได้ แต่ งานวิจัยล่าสุดจาก Apple และ ETH Zürich พบว่า AI ล้มเหลวในการแก้ปัญหาตรรกะที่ซับซ้อน โดยเฉพาะ ปริศนา Tower of Hanoi และโจทย์คณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก นักวิจัย ทดสอบ AI หลายรุ่น โดยให้ แก้ปริศนา Tower of Hanoi และอธิบายขั้นตอน พบว่า AI สามารถแก้โจทย์ง่าย ๆ ได้ แต่เมื่อจำนวนดิสก์เพิ่มขึ้น AI กลับทำผิดพลาดและให้คำตอบที่ขัดแย้งกันเอง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple และ ETH Zürich ทดสอบ AI กับปริศนา Tower of Hanoi และโจทย์คณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก - AI สามารถแก้โจทย์ง่าย ๆ ได้ แต่ล้มเหลวเมื่อความซับซ้อนเพิ่มขึ้น - Google Gemini 2.5 Pro ทำคะแนนได้ 24% จากการให้คำตอบบางส่วน แต่ไม่มี AI ตัวใดแก้โจทย์ได้สมบูรณ์ - OpenAI o3-mini ทำคะแนนได้เพียง 2% และมักข้ามขั้นตอนหรือให้คำตอบที่ขัดแย้งกันเอง - นักวิจัยพบว่า AI ไม่ได้ใช้เหตุผลจริง ๆ แต่เพียงจับคู่รูปแบบข้อมูลที่เคยเห็นมาก่อน 🔥 ผลกระทบต่อการพัฒนา AI แม้ว่าบริษัทเทคโนโลยี จะโฆษณาว่า AI สามารถใช้เหตุผลได้ แต่ งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า AI ยังไม่สามารถคิดอย่างเป็นระบบได้จริง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI อาจให้คำตอบที่ดูน่าเชื่อถือ แต่ไม่ได้มีตรรกะที่ถูกต้องเสมอไป - AI ที่ใช้ในงานที่ต้องการเหตุผล เช่น การแพทย์และกฎหมาย อาจต้องมีระบบตรวจสอบเพิ่มเติม - ต้องติดตามว่าบริษัทเทคโนโลยีจะพัฒนา AI ให้มีความสามารถด้านตรรกะที่ดีขึ้นได้หรือไม่ - นักวิจัยเสนอให้ใช้ AI ร่วมกับระบบตรรกะเชิงสัญลักษณ์เพื่อเพิ่มความแม่นยำ 🚀 อนาคตของ AI และตรรกะ แม้ว่า AI จะยังไม่สามารถใช้เหตุผลได้อย่างแท้จริง แต่ นักวิจัยกำลังพัฒนาแนวทางใหม่ เช่น การรวม AI กับตรรกะเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้ AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องมากขึ้น https://www.techspot.com/news/108294-ai-flunks-logic-test-multiple-studies-reveal-illusion.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI flunks logic test: Multiple studies reveal illusion of reasoning
    Apple researchers have uncovered a key weakness in today's most hyped AI systems – they falter at solving puzzles that require step-by-step reasoning. In a new paper,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • กล้องโทรทรรศน์ที่ไกลที่สุด: NASA เตรียมสร้างหอดูดาวบนดวงจันทร์
    NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) ซึ่งเป็น กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ตั้งอยู่บนด้านไกลของดวงจันทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น

    LCRT จะใช้ โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต ที่ถูกแขวนไว้ภายใน ปล่องภูเขาไฟบนดวงจันทร์ โดยอาศัย หุ่นยนต์ขั้นสูง ในการติดตั้งและควบคุมระบบ

    ด้านไกลของดวงจันทร์เป็น สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ เนื่องจาก ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก เช่น คลื่นวิทยุจากดาวเทียมและมลภาวะทางแสง

    ข้อมูลจากข่าว
    - NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) บนด้านไกลของดวงจันทร์
    - กล้องโทรทรรศน์นี้จะใช้โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต แขวนไว้ในปล่องภูเขาไฟ
    - ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก
    - โครงการนี้มีงบประมาณกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ และอาจเริ่มใช้งานในช่วงปี 2030
    - LCRT จะช่วยให้สามารถศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - โครงการนี้มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องแข่งขันกับงบประมาณของ NASA ที่จำกัด
    - แม้จะมีแผนการติดตั้ง แต่ยังต้องผ่านการทดสอบต้นแบบที่ Owens Valley Radio Observatory ในแคลิฟอร์เนีย
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์จะสามารถรองรับการติดตั้งบนดวงจันทร์ได้หรือไม่
    - การศึกษายุคมืดของจักรวาลต้องใช้เทคนิคใหม่ในการตรวจจับคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นมากกว่า 33 ฟุต

    หากโครงการนี้สำเร็จ LCRT จะเป็นหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจช่วยให้ นักดาราศาสตร์สามารถไขปริศนาเกี่ยวกับสสารมืด, พลังงานมืด และการเกิดขึ้นของจักรวาล

    https://www.techspot.com/news/108147-far-side-moon-may-soon-host-world-most.html
    🌕 กล้องโทรทรรศน์ที่ไกลที่สุด: NASA เตรียมสร้างหอดูดาวบนดวงจันทร์ NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) ซึ่งเป็น กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ตั้งอยู่บนด้านไกลของดวงจันทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น LCRT จะใช้ โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต ที่ถูกแขวนไว้ภายใน ปล่องภูเขาไฟบนดวงจันทร์ โดยอาศัย หุ่นยนต์ขั้นสูง ในการติดตั้งและควบคุมระบบ ด้านไกลของดวงจันทร์เป็น สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ เนื่องจาก ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก เช่น คลื่นวิทยุจากดาวเทียมและมลภาวะทางแสง ✅ ข้อมูลจากข่าว - NASA กำลังพัฒนา Lunar Crater Radio Telescope (LCRT) บนด้านไกลของดวงจันทร์ - กล้องโทรทรรศน์นี้จะใช้โครงสร้างตาข่ายขนาด 1,150 ฟุต แขวนไว้ในปล่องภูเขาไฟ - ด้านไกลของดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ปราศจากสัญญาณรบกวนจากโลก - โครงการนี้มีงบประมาณกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ และอาจเริ่มใช้งานในช่วงปี 2030 - LCRT จะช่วยให้สามารถศึกษายุคมืดของจักรวาล ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ดาวฤกษ์ดวงแรกจะถือกำเนิดขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - โครงการนี้มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องแข่งขันกับงบประมาณของ NASA ที่จำกัด - แม้จะมีแผนการติดตั้ง แต่ยังต้องผ่านการทดสอบต้นแบบที่ Owens Valley Radio Observatory ในแคลิฟอร์เนีย - ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์จะสามารถรองรับการติดตั้งบนดวงจันทร์ได้หรือไม่ - การศึกษายุคมืดของจักรวาลต้องใช้เทคนิคใหม่ในการตรวจจับคลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นมากกว่า 33 ฟุต หากโครงการนี้สำเร็จ LCRT จะเป็นหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจช่วยให้ นักดาราศาสตร์สามารถไขปริศนาเกี่ยวกับสสารมืด, พลังงานมืด และการเกิดขึ้นของจักรวาล https://www.techspot.com/news/108147-far-side-moon-may-soon-host-world-most.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    The far side of the Moon may soon host the world's most sensitive telescope, shielded from earthly interference
    NASA is advancing plans to construct a radio telescope on the Moon's far side – a location uniquely shielded from the ever-increasing interference caused by Earth's expanding...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • **ภาพวาด 24 กตัญญู**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’

    ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย

    เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง

    24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ):

    1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป

    2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา

    3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป

    4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป

    5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ

    6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก

    7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม

    8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา

    9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง

    10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา

    11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น

    12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป

    13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้

    14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว

    15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป

    16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน

    17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย

    18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย

    19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย

    20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด

    21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่

    22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย

    23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ

    24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน

    อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm
    http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html

    #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    **ภาพวาด 24 กตัญญู** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’ ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง 24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ): 1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป 2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา 3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป 4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป 5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ 6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก 7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม 8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา 9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง 10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา 11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น 12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป 13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้ 14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว 15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป 16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน 17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย 18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย 19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย 20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด 21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่ 22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย 23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ 24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00 http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    NEWS.QQ.COM
    《九重紫》暴露了他好身材,长相人畜无害,却脱衣有肉穿衣显瘦_腾讯新闻
    由孟子义、李昀锐主演的电视剧《九重紫》,自开播以来,热度迅速攀升,播到15集,站内热度破了29000,有望展望30000了。 这个成绩在今年古装剧中是相当牛了,要知道,腾讯今年的古装剧热度....
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIG Story | "โจ ด่านช้าง" วิสามัญอำพราง

    ย้อนรอยคดีอื้อฉาวปลายปี 2539 เมื่อ “โจ ด่านช้าง” กับพวกรวม 6 คน ถูกตำรวจนับร้อยนายล้อมจับ หลังถูกระบุว่าเป็นมือปืนรับจ้างและเอเย่นต์ยาม้า ผู้ก่อคดีโชกโชน ทั้งหมดจับตัวประกันก่อนยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อยอมมอบตัวแล้วกลับถูกวิสามัญเสียชีวิตทั้งหมด จุดจบที่ควรคลี่คลายกลับกลายเป็นปริศนา และจุดคำถามใหญ่ต่อพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ

    #BigStory #โจด่านช้าง #วิสามัญอำพราง #คดีอื้อฉาว #สิทธิมนุษยชน #ความจริงที่ยังไม่ถูกพูดถึง #ThaiTimes
    BIG Story | "โจ ด่านช้าง" วิสามัญอำพราง ย้อนรอยคดีอื้อฉาวปลายปี 2539 เมื่อ “โจ ด่านช้าง” กับพวกรวม 6 คน ถูกตำรวจนับร้อยนายล้อมจับ หลังถูกระบุว่าเป็นมือปืนรับจ้างและเอเย่นต์ยาม้า ผู้ก่อคดีโชกโชน ทั้งหมดจับตัวประกันก่อนยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อยอมมอบตัวแล้วกลับถูกวิสามัญเสียชีวิตทั้งหมด จุดจบที่ควรคลี่คลายกลับกลายเป็นปริศนา และจุดคำถามใหญ่ต่อพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ #BigStory #โจด่านช้าง #วิสามัญอำพราง #คดีอื้อฉาว #สิทธิมนุษยชน #ความจริงที่ยังไม่ถูกพูดถึง #ThaiTimes
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1085 มุมมอง 37 0 รีวิว
  • 'นันทเดช' ไขปริศนา 'นายกปู' รู้ 100% ว่ามีการทุจริตข้าวแต่ไม่ออกมาห้ามปรามเพราะอะไร
    https://www.thai-tai.tv/news/18961/
    'นันทเดช' ไขปริศนา 'นายกปู' รู้ 100% ว่ามีการทุจริตข้าวแต่ไม่ออกมาห้ามปรามเพราะอะไร https://www.thai-tai.tv/news/18961/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เพลงฉู่รอบด้าน**

    สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ซึ่งในช่วงต้นมีฉากที่พระนางใส่หน้ากากร่วมทายคำปริศนาในเทศกาลโคมไฟ หนึ่งในปริศนานั้นมีคำใบ้จาก ‘เพลงฉู่’ โดยในซีรีส์แปลไว้ว่า “ฟังเพลงฉู่ปวดใจหนักหนา คิดถึงบ้านแล้วน้ำตาร่วงหล่น ยุทธการที่ไกเซี่ย เพลงฉู่กังวานรอบทิศ กองทัพฉู่คะนึงหาบ้านเกิด” และนางเอกต่อคำว่า “คิดถึงบ้านเกิดย่อมต้องกลับบ้าน” ก่อนจะเฉลยคำตอบว่าคือสมุนไพรจีนตังกุย

    เชื่อว่าต้องมีเพื่อนเพจไม่น้อยที่งงกับคำเฉลยนี้

    ที่มาของคำเฉลยนี้เป็นการเล่นคำ โดย ‘ตังกุย’ ประกอบด้วยสองอักษร ... อักษรแรก ‘ตัง’ แปลว่าแน่นอนหรือย่อมต้องทำ และอักษรที่สอง ‘กุย’ แปลว่ากลับหรือหวนคืน ซึ่งโดยปกติใช้กับการกลับบ้าน

    ที่มาของชื่อสมุนไพรตังกุยนี้ก็หลากหลาย แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเพลงฉู่แต่อย่างใด สรุปที่มาของชื่อตังกุยคือ ก) ในตำรายาโบราณบอกว่ามันช่วยทำให้เลือดไหลเวียนกลับคืนสู่จุดเดิม ข) ชาวบ้านพูดถึงกันทั่วไปว่ายานี้มีสรรพคุณบำรุงเลือดสำหรับสตรี เป็นยาสำคัญสำหรับภรรยา เปรียบได้กับสามีที่เดินทางไปไกลแล้วได้กลับมาบ้านให้ภรรยาได้ชุ่มชื่นหัวใจ โดยแนวคิดนี้ถูกสะท้อนออกมาในบทกวีสมัยถัง และ ค) มันเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของพื้นที่ตังโจวในสมัยถัง และชื่อนี้มีมาแต่สมัยถังโดยก่อนหน้านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฉี’

    แล้ว ‘เพลงฉู่’ ล่ะ?

    เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินถึง ‘เพลงฉู่’ จากสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ (四面楚歌 / ซื่อเมี่ยนฉู่เกอ แปลตรงตัวว่า เพลงฉู่สี่ด้าน) จากเหตุการณ์ตอนที่กองทัพฉู่ของเซี่ยงอวี่ถูกทหารฮั่นของหลิวปังล้อมไว้ในหุบเขาไกเซี่ย โดยฝ่ายฮั่นใช้อุบายให้ทหารฮั่นร้องเพลงฉู่ เมื่อได้ยินเพลงจากบ้านเกิดก็ทำให้ทหารฉู่เกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเวลานาน ความฮึกเหิมถดถอย บ้างก็เข้าใจว่าฝั่งตรงข้ามมีเชลยศึกจำนวนมากจนมองไม่เห็นหนทางชนะและยอมแพ้ จนสุดท้ายเซี่ยงอวี่พาชายาและทหารที่เหลืออยู่น้อยนิดตีฝ่าวงล้อมออกไปแต่ก็ต้องจบชีวิตลงในที่สุด

    ฉาก ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ นี้ถูกจารึกไว้โดยนักประวัติศาสตร์สมัยฮั่นนามว่าซือหม่าเชียนในบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับชีวประวัติเซี่ยงอวี่ (项羽本纪) เพียงแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นอุบายของกุนซือท่านใดฝ่ายฮั่น

    แล้ว ‘เพลงฉู่’ ที่ว่านี้คือเพลงอะไร? เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันเพราะไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด บ้างว่าเป็นเพลงใดเพลงหนึ่ง บ้างว่ามันเป็นการเรียกรวมเพลงพื้นบ้านจากชาวฉู่ ซึ่งในสมัยนั้นเพลงพื้นบ้านเหล่านี้มีเนื้อร้องลักษณะคล้ายบทกลอนสั้นไม่กี่วรรค อาจเป็นวรรคสี่อักษรหรือเจ็ดอักษร ออกเสียงเหมือนร้องเพลง ทวนซ้ำไปมา ง่ายต่อการจำและร้องติดปาก โดยเพลงฉู่มีเอกลักษณ์คือจะใช้คำว่า ‘ซี’ (兮) เป็นคำลงท้ายก่อนเว้นวรรคหรือคำเชื่อม แต่เป็นคำที่ไม่มีความหมายเฉพาะ ก็คล้ายกับ ‘นะ’ ‘แล่ะ’ ฯลฯ ทั้งนี้ เพลงฉู่โดยตัวมันเองไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นเพลงคิดถึงบ้าน เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของอารมณ์เศร้าและถูกนำมาให้ในเหตุการณ์วงล้อมหุบเขาไกเซี่ยข้างต้นเพื่อกระตุ้นให้ทหารคิดถึงบ้านเกิด

    และสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ ได้กลายมาเป็นวลีที่สะท้อนว่ากำลังถูกรายล้อมด้วยศัตรูหรือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หมายถึงสถานการณ์อันคับขันมากจนยากจะเอาตัวรอดได้นั่นเอง

    หมายเหตุ มีการแก้ไขบทความเพิ่มเติมให้ถูกต้อง ณ วันที่ 23/5/2025 เวลา 10.30น.

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://yayusw.com/Article.asp?id=3224
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.cas.cn/kxcb/kpwz/201002/t20100209_2760500.shtml
    https://www.guwendianji.com/wenyanwen/17281.html
    https://baike.baidu.com/item/三国演义/5782
    https://baike.baidu.com/item/项羽本纪 /2115064
    https://www.sohu.com/a/620378890_121448078

    #จิ่วฉงจื่อ #สามก๊ก #เพลงฉู่ #เซี่ยงอวี่ #สาระจีน
    **เพลงฉู่รอบด้าน** สวัสดีค่ะ วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ซึ่งในช่วงต้นมีฉากที่พระนางใส่หน้ากากร่วมทายคำปริศนาในเทศกาลโคมไฟ หนึ่งในปริศนานั้นมีคำใบ้จาก ‘เพลงฉู่’ โดยในซีรีส์แปลไว้ว่า “ฟังเพลงฉู่ปวดใจหนักหนา คิดถึงบ้านแล้วน้ำตาร่วงหล่น ยุทธการที่ไกเซี่ย เพลงฉู่กังวานรอบทิศ กองทัพฉู่คะนึงหาบ้านเกิด” และนางเอกต่อคำว่า “คิดถึงบ้านเกิดย่อมต้องกลับบ้าน” ก่อนจะเฉลยคำตอบว่าคือสมุนไพรจีนตังกุย เชื่อว่าต้องมีเพื่อนเพจไม่น้อยที่งงกับคำเฉลยนี้ ที่มาของคำเฉลยนี้เป็นการเล่นคำ โดย ‘ตังกุย’ ประกอบด้วยสองอักษร ... อักษรแรก ‘ตัง’ แปลว่าแน่นอนหรือย่อมต้องทำ และอักษรที่สอง ‘กุย’ แปลว่ากลับหรือหวนคืน ซึ่งโดยปกติใช้กับการกลับบ้าน ที่มาของชื่อสมุนไพรตังกุยนี้ก็หลากหลาย แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเพลงฉู่แต่อย่างใด สรุปที่มาของชื่อตังกุยคือ ก) ในตำรายาโบราณบอกว่ามันช่วยทำให้เลือดไหลเวียนกลับคืนสู่จุดเดิม ข) ชาวบ้านพูดถึงกันทั่วไปว่ายานี้มีสรรพคุณบำรุงเลือดสำหรับสตรี เป็นยาสำคัญสำหรับภรรยา เปรียบได้กับสามีที่เดินทางไปไกลแล้วได้กลับมาบ้านให้ภรรยาได้ชุ่มชื่นหัวใจ โดยแนวคิดนี้ถูกสะท้อนออกมาในบทกวีสมัยถัง และ ค) มันเป็นสมุนไพรท้องถิ่นของพื้นที่ตังโจวในสมัยถัง และชื่อนี้มีมาแต่สมัยถังโดยก่อนหน้านี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฉี’ แล้ว ‘เพลงฉู่’ ล่ะ? เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินถึง ‘เพลงฉู่’ จากสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ (四面楚歌 / ซื่อเมี่ยนฉู่เกอ แปลตรงตัวว่า เพลงฉู่สี่ด้าน) จากเหตุการณ์ตอนที่กองทัพฉู่ของเซี่ยงอวี่ถูกทหารฮั่นของหลิวปังล้อมไว้ในหุบเขาไกเซี่ย โดยฝ่ายฮั่นใช้อุบายให้ทหารฮั่นร้องเพลงฉู่ เมื่อได้ยินเพลงจากบ้านเกิดก็ทำให้ทหารฉู่เกิดความรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็นเวลานาน ความฮึกเหิมถดถอย บ้างก็เข้าใจว่าฝั่งตรงข้ามมีเชลยศึกจำนวนมากจนมองไม่เห็นหนทางชนะและยอมแพ้ จนสุดท้ายเซี่ยงอวี่พาชายาและทหารที่เหลืออยู่น้อยนิดตีฝ่าวงล้อมออกไปแต่ก็ต้องจบชีวิตลงในที่สุด ฉาก ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ นี้ถูกจารึกไว้โดยนักประวัติศาสตร์สมัยฮั่นนามว่าซือหม่าเชียนในบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับชีวประวัติเซี่ยงอวี่ (项羽本纪) เพียงแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นอุบายของกุนซือท่านใดฝ่ายฮั่น แล้ว ‘เพลงฉู่’ ที่ว่านี้คือเพลงอะไร? เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันเพราะไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด บ้างว่าเป็นเพลงใดเพลงหนึ่ง บ้างว่ามันเป็นการเรียกรวมเพลงพื้นบ้านจากชาวฉู่ ซึ่งในสมัยนั้นเพลงพื้นบ้านเหล่านี้มีเนื้อร้องลักษณะคล้ายบทกลอนสั้นไม่กี่วรรค อาจเป็นวรรคสี่อักษรหรือเจ็ดอักษร ออกเสียงเหมือนร้องเพลง ทวนซ้ำไปมา ง่ายต่อการจำและร้องติดปาก โดยเพลงฉู่มีเอกลักษณ์คือจะใช้คำว่า ‘ซี’ (兮) เป็นคำลงท้ายก่อนเว้นวรรคหรือคำเชื่อม แต่เป็นคำที่ไม่มีความหมายเฉพาะ ก็คล้ายกับ ‘นะ’ ‘แล่ะ’ ฯลฯ ทั้งนี้ เพลงฉู่โดยตัวมันเองไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นเพลงคิดถึงบ้าน เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีกลิ่นอายของอารมณ์เศร้าและถูกนำมาให้ในเหตุการณ์วงล้อมหุบเขาไกเซี่ยข้างต้นเพื่อกระตุ้นให้ทหารคิดถึงบ้านเกิด และสุภาษิตจีน ‘เพลงฉู่รอบด้าน’ ได้กลายมาเป็นวลีที่สะท้อนว่ากำลังถูกรายล้อมด้วยศัตรูหรือปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หมายถึงสถานการณ์อันคับขันมากจนยากจะเอาตัวรอดได้นั่นเอง หมายเหตุ มีการแก้ไขบทความเพิ่มเติมให้ถูกต้อง ณ วันที่ 23/5/2025 เวลา 10.30น. (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://yayusw.com/Article.asp?id=3224 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.cas.cn/kxcb/kpwz/201002/t20100209_2760500.shtml https://www.guwendianji.com/wenyanwen/17281.html https://baike.baidu.com/item/三国演义/5782 https://baike.baidu.com/item/项羽本纪 /2115064 https://www.sohu.com/a/620378890_121448078 #จิ่วฉงจื่อ #สามก๊ก #เพลงฉู่ #เซี่ยงอวี่ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 590 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอคำพิพากษาคดีแตงโม พิสูจน์ข้อสงสัยแสง-เงา : [THE MESSAGE]
    นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เผยกรณีศาลจะมีคำพิพากษา คดีแตงโม นิดา ดาราสาวตกเรือ หลังคัดคำพิพากษาจะดูถ้อยคำรายละเอียด ส่วนที่มองว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ดูเงียบ แม้มีการเรียกผู้เกี่ยวข้องให้ข้อมูล ดีเอสไอมีเดิมพัน เพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องจำนวนมาก ต้องทำด้วยความรัดกุม ไม่เอาเร็วเพื่อความสะใจแล้วแพ้เพราะรวบรวมพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ เห็นด้วยที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบ รวบรวมทุกประเด็น ชุดพนักงานสอบสวนรู้ข้อมูลเยอะแล้ว แต่ไม่สามารถออกสื่อได้เนื่องจากอาจถูกเบี่ยงเบนพยานและหลักฐาน การเป็นความลับถูกต้องแล้ว เราแค่รอเวลา อยากทดสอบแสงเงาของแตงโมที่ร้องเพลงครั้งสุดท้าย เพื่อหาคำตอบว่าเกิดจากแสงที่มีเรืออีกลำหนึ่งหรืออีกบุคคลหนึ่งเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเฉพาะเสียงที่พูดว่าเอาเพื่อนมานี่ ซึ่งยังเป็นปริศนา
    รอคำพิพากษาคดีแตงโม พิสูจน์ข้อสงสัยแสง-เงา : [THE MESSAGE] นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เผยกรณีศาลจะมีคำพิพากษา คดีแตงโม นิดา ดาราสาวตกเรือ หลังคัดคำพิพากษาจะดูถ้อยคำรายละเอียด ส่วนที่มองว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ดูเงียบ แม้มีการเรียกผู้เกี่ยวข้องให้ข้อมูล ดีเอสไอมีเดิมพัน เพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องจำนวนมาก ต้องทำด้วยความรัดกุม ไม่เอาเร็วเพื่อความสะใจแล้วแพ้เพราะรวบรวมพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ เห็นด้วยที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบ รวบรวมทุกประเด็น ชุดพนักงานสอบสวนรู้ข้อมูลเยอะแล้ว แต่ไม่สามารถออกสื่อได้เนื่องจากอาจถูกเบี่ยงเบนพยานและหลักฐาน การเป็นความลับถูกต้องแล้ว เราแค่รอเวลา อยากทดสอบแสงเงาของแตงโมที่ร้องเพลงครั้งสุดท้าย เพื่อหาคำตอบว่าเกิดจากแสงที่มีเรืออีกลำหนึ่งหรืออีกบุคคลหนึ่งเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยเฉพาะเสียงที่พูดว่าเอาเพื่อนมานี่ ซึ่งยังเป็นปริศนา
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 929 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • ความอดทนมีขีดจำกัดจริงๆ สำหรับ "ครูไพบูลย์ แสงเดือน" ที่ล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ฟาดหญิงสาวปริศนาคนหนึ่ง

    โดย "ครูไพบูลย์" ได้ระบายความอัดอั้นใจที่กำลังเผชิญว่า "กำลังชั่งใจว่าจะเอามาโพสต์ดีหรือเปล่า เรื่องราวภายในที่ตกลงกันแล้วด้วยดีแล้ว แต่ลิ้นอะนะมันไม่มีกระดูก กลับคำพูด

    นึกจะว่า จะด่าอะไรผมก็จะทำแบบนี้หรือครับ ผมอดทนมาตลอด ถ้าวันนี้ผมทนไม่ไหว ผมจะเอามาโพสต์และพร้อมพูด เล่าทุกเรื่องราวความเจ็บช้ำที่ผู้หญิงคนนี้และลูกเขาทำกับผม แบบแสนสาหัส เอาสิครับ ผมไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว ไม่อยากเป็นคนดีที่ถูกเอาเปรียบ ขอเป็นคนเลวและปกป้องสิทธิ์ตัวเองบ้างนะครับ"

    ท่ามกลางแฟนๆ แห่เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจเพียบ อาทิ ไม่ต้องอดทนแล้วอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด, กำลังใจเด้อคะครู, สุ้ๆๆคะครูทุกปัญหามีทางออก, มาดามไม่ต้องแยแสดีกว่าค่ะเดินหน้าแล้วไปต่อ, ใช้คะไม่พูดไม่โต้ตอบกลับก็เลวอยู่นั้นละเคยผ่านจุดนี้มาเหมื่อนกันคะ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000046322

    #MGROnline #ครูไพบูลย์แสงเดือน
    ความอดทนมีขีดจำกัดจริงๆ สำหรับ "ครูไพบูลย์ แสงเดือน" ที่ล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ฟาดหญิงสาวปริศนาคนหนึ่ง • โดย "ครูไพบูลย์" ได้ระบายความอัดอั้นใจที่กำลังเผชิญว่า "กำลังชั่งใจว่าจะเอามาโพสต์ดีหรือเปล่า เรื่องราวภายในที่ตกลงกันแล้วด้วยดีแล้ว แต่ลิ้นอะนะมันไม่มีกระดูก กลับคำพูด • นึกจะว่า จะด่าอะไรผมก็จะทำแบบนี้หรือครับ ผมอดทนมาตลอด ถ้าวันนี้ผมทนไม่ไหว ผมจะเอามาโพสต์และพร้อมพูด เล่าทุกเรื่องราวความเจ็บช้ำที่ผู้หญิงคนนี้และลูกเขาทำกับผม แบบแสนสาหัส เอาสิครับ ผมไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว ไม่อยากเป็นคนดีที่ถูกเอาเปรียบ ขอเป็นคนเลวและปกป้องสิทธิ์ตัวเองบ้างนะครับ" • ท่ามกลางแฟนๆ แห่เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจเพียบ อาทิ ไม่ต้องอดทนแล้วอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด, กำลังใจเด้อคะครู, สุ้ๆๆคะครูทุกปัญหามีทางออก, มาดามไม่ต้องแยแสดีกว่าค่ะเดินหน้าแล้วไปต่อ, ใช้คะไม่พูดไม่โต้ตอบกลับก็เลวอยู่นั้นละเคยผ่านจุดนี้มาเหมื่อนกันคะ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000046322 • #MGROnline #ครูไพบูลย์แสงเดือน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • กาญจนบุรี - ดีเจเตเต้ หายตัวปริศนา 4 วัน ก่อนพบเป็นศพกลางป่าในสภาพสุดสะเทือนใจ ถูกมัดมือไพล่หลัง กระสุนเจาะกระหม่อม 2 นัด ผบช.ภาค 7 ลงพื้นที่บัญชาการเอง พ่อเผย “อย่างน้อยก็ได้เจอลูก” วอนตำรวจจับคนร้ายให้ได้

    วันนี้( 18 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตำรวจโทนัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ภ.จว.กาญจนบุรี และตำรวจ สภ.ลาดหญ้า ร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและอาสากู้ภัยพิทักษ์กาญจน์ เข้าตรวจสอบจุดพบศพชายเสียชีวิตในป่าลึก ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งภายหลังยืนยันแล้วว่าเป็น “ดีเจเตเต้” ผู้สูญหายไปก่อนหน้านี้

    จุดพบศพอยู่ลึกในป่ากว่า 20 นาทีจากถนนใหญ่ ต้องใช้รถโฟวิลเข้าไปและเดินเท้าอีกประมาณ 5 นาที พบศพในสภาพนอนตะแคง มือทั้งสองถูกมัดไพล่หลังด้วยเชือกเปลสีเขียว สภาพศพเริ่มบวมอืด มีหนอนจำนวนมาก ตรวจสอบเบื้องต้นพบร่องรอยกระสุนปืนยิงเข้าที่กระหม่อม 2 นัด คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 วัน

    ชาวบ้านผู้พบศพคนแรกเล่าว่า เข้าไปหาเห็ดในป่าแล้วหลงทาง เพราะฝนตกและฟ้ามืด ก่อนจะเจอขาศพยื่นออกมาจากพุ่มไม้ ด้วยความตกใจจึงกลับบ้าน แต่ภาพติดตาทำให้ตัดสินใจกลับไปดูอีกครั้ง จึงแน่ใจว่าเป็นดีเจเตเต้ เพราะชุดตรงกับวันที่หายตัวไป จึงรีบแจ้งตำรวจทันที

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000046365

    #MGROnline #ดีเจเตเต้
    กาญจนบุรี - ดีเจเตเต้ หายตัวปริศนา 4 วัน ก่อนพบเป็นศพกลางป่าในสภาพสุดสะเทือนใจ ถูกมัดมือไพล่หลัง กระสุนเจาะกระหม่อม 2 นัด ผบช.ภาค 7 ลงพื้นที่บัญชาการเอง พ่อเผย “อย่างน้อยก็ได้เจอลูก” วอนตำรวจจับคนร้ายให้ได้ • วันนี้( 18 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตำรวจโทนัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ภ.จว.กาญจนบุรี และตำรวจ สภ.ลาดหญ้า ร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและอาสากู้ภัยพิทักษ์กาญจน์ เข้าตรวจสอบจุดพบศพชายเสียชีวิตในป่าลึก ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งภายหลังยืนยันแล้วว่าเป็น “ดีเจเตเต้” ผู้สูญหายไปก่อนหน้านี้ • จุดพบศพอยู่ลึกในป่ากว่า 20 นาทีจากถนนใหญ่ ต้องใช้รถโฟวิลเข้าไปและเดินเท้าอีกประมาณ 5 นาที พบศพในสภาพนอนตะแคง มือทั้งสองถูกมัดไพล่หลังด้วยเชือกเปลสีเขียว สภาพศพเริ่มบวมอืด มีหนอนจำนวนมาก ตรวจสอบเบื้องต้นพบร่องรอยกระสุนปืนยิงเข้าที่กระหม่อม 2 นัด คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 วัน • ชาวบ้านผู้พบศพคนแรกเล่าว่า เข้าไปหาเห็ดในป่าแล้วหลงทาง เพราะฝนตกและฟ้ามืด ก่อนจะเจอขาศพยื่นออกมาจากพุ่มไม้ ด้วยความตกใจจึงกลับบ้าน แต่ภาพติดตาทำให้ตัดสินใจกลับไปดูอีกครั้ง จึงแน่ใจว่าเป็นดีเจเตเต้ เพราะชุดตรงกับวันที่หายตัวไป จึงรีบแจ้งตำรวจทันที • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000046365 • #MGROnline #ดีเจเตเต้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดีเจเตเต้ หายตัวปริศนา 4 วัน ก่อนพบเป็นศพกลางป่าในสภาพสุดสะเทือนใจ ถูกมัดมือไพล่หลัง กระสุนเจาะกระหม่อม 2 นัด ผบช.ภาค 7 ลงพื้นที่บัญชาการเอง พ่อเผย “อย่างน้อยก็ได้เจอลูก” วอนตำรวจจับคนร้ายให้ได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000046372

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ดีเจเตเต้ หายตัวปริศนา 4 วัน ก่อนพบเป็นศพกลางป่าในสภาพสุดสะเทือนใจ ถูกมัดมือไพล่หลัง กระสุนเจาะกระหม่อม 2 นัด ผบช.ภาค 7 ลงพื้นที่บัญชาการเอง พ่อเผย “อย่างน้อยก็ได้เจอลูก” วอนตำรวจจับคนร้ายให้ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000046372 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอง ผบช.ก.เตรียมประสาน ปปง.-สตง. ร่วมตรวจสอบบัญชีการเงินวัดไร่ขิง ย้อนหลังอย่างละเอียด พบเส้นเงินปริศนาเพิ่มโอนให้อดีตพระเอกพจน์ 200 ล้าน- คนใกล้ชิดอีก 60 ล้านโอนให้นายหน้าสาว 300 ล้าน ผงะ! เดือนเดียวโอน 80 ล้าน นอกจากนี้แอบโอนเงินวัดเข้าบัญชีส่วนตัวแล้วทำทีให้ลูกน้องไปเบิกมาซื้อรถหรูถวายตัวเอง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000046135

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    รอง ผบช.ก.เตรียมประสาน ปปง.-สตง. ร่วมตรวจสอบบัญชีการเงินวัดไร่ขิง ย้อนหลังอย่างละเอียด พบเส้นเงินปริศนาเพิ่มโอนให้อดีตพระเอกพจน์ 200 ล้าน- คนใกล้ชิดอีก 60 ล้านโอนให้นายหน้าสาว 300 ล้าน ผงะ! เดือนเดียวโอน 80 ล้าน นอกจากนี้แอบโอนเงินวัดเข้าบัญชีส่วนตัวแล้วทำทีให้ลูกน้องไปเบิกมาซื้อรถหรูถวายตัวเอง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000046135 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 658 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักคณิตศาสตร์ไขปริศนาอายุ 200 ปีเกี่ยวกับสมการพหุนามระดับสูง

    ศาสตราจารย์ Norman Wildberger จากมหาวิทยาลัย UNSW ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการแก้สมการพหุนามที่มีตัวแปรยกกำลัง ตั้งแต่ 5 ขึ้นไป ซึ่งเป็นปัญหาที่นักคณิตศาสตร์พยายามแก้มานานกว่า 200 ปี โดยใช้แนวทางที่ ไม่ต้องพึ่งพารากของจำนวน (radicals) เช่น รากที่สองหรือรากที่สาม

    วิธีใหม่ใช้ Power Series แทนการคำนวณด้วยตัวเลขอตรรกยะ
    - ลดข้อจำกัดของการใช้ รากที่สองและรากที่สาม ซึ่งทำให้การคำนวณซับซ้อน

    แนวคิดนี้พัฒนาร่วมกับ Dr. Dean Rubine นักวิทยาการคอมพิวเตอร์
    - ใช้ Hyper-Catalan Numbers ซึ่งเป็นการขยายแนวคิดของ Catalan Numbers

    Hyper-Catalan Numbers ช่วยให้สามารถแก้สมการพหุนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - ใช้รูปแบบเรขาคณิตในการจัดกลุ่มตัวเลขเพื่อหาคำตอบ

    ค้นพบโครงสร้างตัวเลขใหม่ที่เรียกว่า "Geode" ซึ่งช่วยให้การแก้สมการแม่นยำขึ้น
    - เป็นรูปแบบตัวเลขที่ช่วยให้สามารถ จัดการกับสมการพหุนามระดับสูงได้ง่ายขึ้น

    การค้นพบนี้มีผลต่อการพัฒนาอัลกอริธึมทางคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์
    - สามารถนำไปใช้ใน การคำนวณทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนา AI

    https://www.neowin.net/news/a-near-200-year-old-math-problem-has-finally-been-cracked/
    นักคณิตศาสตร์ไขปริศนาอายุ 200 ปีเกี่ยวกับสมการพหุนามระดับสูง ศาสตราจารย์ Norman Wildberger จากมหาวิทยาลัย UNSW ได้ค้นพบวิธีใหม่ในการแก้สมการพหุนามที่มีตัวแปรยกกำลัง ตั้งแต่ 5 ขึ้นไป ซึ่งเป็นปัญหาที่นักคณิตศาสตร์พยายามแก้มานานกว่า 200 ปี โดยใช้แนวทางที่ ไม่ต้องพึ่งพารากของจำนวน (radicals) เช่น รากที่สองหรือรากที่สาม ✅ วิธีใหม่ใช้ Power Series แทนการคำนวณด้วยตัวเลขอตรรกยะ - ลดข้อจำกัดของการใช้ รากที่สองและรากที่สาม ซึ่งทำให้การคำนวณซับซ้อน ✅ แนวคิดนี้พัฒนาร่วมกับ Dr. Dean Rubine นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ - ใช้ Hyper-Catalan Numbers ซึ่งเป็นการขยายแนวคิดของ Catalan Numbers ✅ Hyper-Catalan Numbers ช่วยให้สามารถแก้สมการพหุนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ใช้รูปแบบเรขาคณิตในการจัดกลุ่มตัวเลขเพื่อหาคำตอบ ✅ ค้นพบโครงสร้างตัวเลขใหม่ที่เรียกว่า "Geode" ซึ่งช่วยให้การแก้สมการแม่นยำขึ้น - เป็นรูปแบบตัวเลขที่ช่วยให้สามารถ จัดการกับสมการพหุนามระดับสูงได้ง่ายขึ้น ✅ การค้นพบนี้มีผลต่อการพัฒนาอัลกอริธึมทางคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ - สามารถนำไปใช้ใน การคำนวณทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนา AI https://www.neowin.net/news/a-near-200-year-old-math-problem-has-finally-been-cracked/
    WWW.NEOWIN.NET
    A near 200 year old math problem has finally been cracked
    A couple of smart scientists have finally managed to crack a mathematics problem that is nearly 200 years old.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIG Story ตอน ปริศนาวิสามัญฆาตรกรรม "ชัยภูมิ ป่าแส"

    จะพาไปย้อนคดีที่แม้ผ่านมา 5 ปี ก็ยังเป็นคดีที่ไม่มีผู้รับผิด นับจากเหตุการณ์ทหารวิสามัญฯ จะอุ๊ ชัยภูมิ ป่าแส’ เยาวชนนักกิจกรรม ชาวลาหู่ ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิชาติพันธุ์ และผู้ขับเคลื่อนต่อต้านยาเสพติด โดยระบุว่าเขาขนยาบ้าและพยายามปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ขณะถูกจับ แต่หลายอย่างยังขัดแย้งและไร้การปรากฎของภาพกล้อวงจรปิดที่สาบสูญไปนาน 5 ปี จนกลายเป็นอีกคดีที่สะท้อนกระบวนการยุติธรรมที่ถูกกังขา

    #BigStory #ชัยภูมิป่าแส #วิสามัญฆาตกรรม #สิทธิชาติพันธุ์ #ความยุติธรรมที่หายไป #กระบวนการยุติธรรมไทย #ThaiTimes
    BIG Story ตอน ปริศนาวิสามัญฆาตรกรรม "ชัยภูมิ ป่าแส" จะพาไปย้อนคดีที่แม้ผ่านมา 5 ปี ก็ยังเป็นคดีที่ไม่มีผู้รับผิด นับจากเหตุการณ์ทหารวิสามัญฯ จะอุ๊ ชัยภูมิ ป่าแส’ เยาวชนนักกิจกรรม ชาวลาหู่ ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิชาติพันธุ์ และผู้ขับเคลื่อนต่อต้านยาเสพติด โดยระบุว่าเขาขนยาบ้าและพยายามปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ขณะถูกจับ แต่หลายอย่างยังขัดแย้งและไร้การปรากฎของภาพกล้อวงจรปิดที่สาบสูญไปนาน 5 ปี จนกลายเป็นอีกคดีที่สะท้อนกระบวนการยุติธรรมที่ถูกกังขา #BigStory #ชัยภูมิป่าแส #วิสามัญฆาตกรรม #สิทธิชาติพันธุ์ #ความยุติธรรมที่หายไป #กระบวนการยุติธรรมไทย #ThaiTimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1006 มุมมอง 26 0 รีวิว
  • อาร์เจนตินาค้นพบกล่องปริศนานาซี 83 กล่องที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินศาลสูงสุดบัวโนสไอเรส 84 ปีหลังถูกส่งมาจากสถานทูตเยอรมันในญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อดีต CIA อเมริกันเชื่อความลับนาซีในอาร์เจนตินาอาจนำไปสู่ปริศนาพิสู จน์ว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันไม่ได้ยิงตัวตายในบังเกอร์ที่เยอรมันเมื่อปี 1945 อาร์เจนตินาอาจเป็นจุดหมายปลายทางที่ฮิตเลอร์มาหลบกบดานเพื่อสร้างจักรวรรดิไรช์เยอรมันที่ 4 (Drittes Reich)
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000044418

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    อาร์เจนตินาค้นพบกล่องปริศนานาซี 83 กล่องที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินศาลสูงสุดบัวโนสไอเรส 84 ปีหลังถูกส่งมาจากสถานทูตเยอรมันในญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อดีต CIA อเมริกันเชื่อความลับนาซีในอาร์เจนตินาอาจนำไปสู่ปริศนาพิสู จน์ว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันไม่ได้ยิงตัวตายในบังเกอร์ที่เยอรมันเมื่อปี 1945 อาร์เจนตินาอาจเป็นจุดหมายปลายทางที่ฮิตเลอร์มาหลบกบดานเพื่อสร้างจักรวรรดิไรช์เยอรมันที่ 4 (Drittes Reich) . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000044418 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1313 มุมมอง 0 รีวิว
  • BIG Story ตอน "ปริศนาวินาศกรรมกรุงเทพฯ"

    ย้อนรอยเหตุการณ์เมื่อ 28 ปีก่อน กับการพบระเบิดแอนโฟหนักกว่า 1 ตัน ซุกซ่อนในรถบรรทุกหน้า สน.ลุมพินี หากเกิดระเบิดขึ้นจริง จะมีอานุภาพทำลายล้างรัศมีกว่า 2 กิโลเมตร อาคารสูงย่านชิดลมอาจพังราบทั้งแถบ เหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

    #BigStory #วินาศกรรมกรุงเทพฯ #ระเบิดแอนโฟ #เหตุการณ์28ปีก่อน #ลุมพินี #ภัยเงียบกลางเมือง #ThaiTimes
    BIG Story ตอน "ปริศนาวินาศกรรมกรุงเทพฯ" ย้อนรอยเหตุการณ์เมื่อ 28 ปีก่อน กับการพบระเบิดแอนโฟหนักกว่า 1 ตัน ซุกซ่อนในรถบรรทุกหน้า สน.ลุมพินี หากเกิดระเบิดขึ้นจริง จะมีอานุภาพทำลายล้างรัศมีกว่า 2 กิโลเมตร อาคารสูงย่านชิดลมอาจพังราบทั้งแถบ เหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย #BigStory #วินาศกรรมกรุงเทพฯ #ระเบิดแอนโฟ #เหตุการณ์28ปีก่อน #ลุมพินี #ภัยเงียบกลางเมือง #ThaiTimes
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1193 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • **มหากาพย์ข้ามภพ: สายธารแห่งธรรม*

    ---

    ### **บทที่ 5: เงาสะท้อนจากกาลเวลา**

    ราเชศยืนอยู่หน้าห้องเก็บของเก่า มือสั่นเทาขณะเปิดสมุดโบราณที่เพิ่งค้นพบ
    "บันทึกของสุทัตตะ...?"

    ตัวอักษรจารึกบนใบลานเริ่มเลือนราง แต่ความรู้สึกกลับชัดเจนราวกับมีใครมาเขียนเพิ่มในใจเขา:

    _"วันนี้ นันทาเถียงเรื่องฉันให้ผ้าแม่ชีจนร้านขาดทุน...
    แต่ในสายตาเธอ ฉันเห็นความกลัวว่าเราจะจนเหมือนตอนเด็ก"_

    นันดินีที่แอบมองอยู่สะดุ้ง
    "นั่น...นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นแม่ป่วยเพราะไม่มีเงินรักษาตัว!"

    แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์เก่า
    ร่างเงาของทั้งคู่บนพื้น ปรากฏเป็นภาพ **สุทัตตะกับนันทาในชุดโบราณ**

    ---

    ### **บทที่ 6: ศิษย์ลึกลับแห่งเวฬุวัน**

    **อาจารย์ปกรณ์** นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ผู้ตามหาตำราสูญหาย
    เปิดเผยความลับให้ทั้งคู่ฟัง:

    "ผ้าผืนนั้นทอโดยพระนางพิมพา (พระมารดาของราหุล)
    มีอักขระธารณีปักไว้ด้วยเส้นผมของพระพุทธเจ้า..."

    แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือ
    **ลายมือในสมุดบันทึกของสุทัตตะ กับของราเชศ...เหมือนกันทุกเส้น!**

    นันดินีจับมือราเชศไว้แน่น
    "นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ...เราถูกชักนำให้มาพบกัน"

    ---

    ### **บทที่ 7: ปริศนาธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์**

    กลางดึก ทั้งคู่หลับไปใต้ต้นโพธิ์หลังวัด
    และพบกับ **สุทัตตะกับนันทาในยุคปัจจุบัน**

    **นันทา (ในร่างนักธุรกิจหญิง):**
    "ชาติก่อนเราทะเลาะกันเพราะต่างไม่เข้าใจ...
    แต่ชาตินี้ ฉันเรียนรู้ที่จะฟังก่อนพูด"

    **สุทัตตะ (ในร่างอาจารย์มหาวิทยาลัย):**
    "ความเงียบของฉันไม่ใช่การหนีปัญหา...
    แต่คือการรอให้เธอพร้อมจะรับฟัง"

    ปรากฏการณ์ **"การพบกันของ 4 จิตวิญญาณ"**
    ทำให้ต้นโพธิ์โบราณผลิดอกออกช่อ
    ทั้งที่ควรจะเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว

    ---

    ### **บทที่ 8: สายน้ำสามสายรวมเป็นหนึ่ง**

    ในพิธีมอบผ้าไหมให้พิพิธภัณฑ์
    **เส้นด้ายทั้งสามเริ่มแยกจากกัน:**

    1. สายทอง (ความทรงจำ) → กลายเป็นแสงส่องทาง
    2. สายแดง (กรรมเก่า) → ละลายเป็นน้ำมนต์
    3. สายขาว (การเริ่มใหม่) → ห่อหุ้มหัวใจทั้งสอง

    ราเชศเขียนจดหมายถึงนันดินี:
    _"ไม่สำคัญว่าเราเคยเป็นใคร...
    สำคัญว่าเราจะใช้บทเรียนนี้สร้างอะไร"_

    นันดินีตอบกลับด้วยการวาดภาพ
    **ร้านขายผ้าเก่า ที่มีเด็กๆ นั่งฟังธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่**

    ---

    ### **บทส่งท้าย: ดวงประทีปแห่งสาวัตถี**

    ปีต่อมา บนถนนสายเก่าในสาวัตถี
    มี **ศูนย์การเรียนรู้ "สามสายธาร"**

    - **ห้องสมุดจิตวิทยาพุทธศาสตร์** โดยราเชศ
    - **สตูดิโอศิลปะบำบัด** ของนันดินี
    - **ร้านชาสมุนไพร** ของอาจารย์ปกรณ์

    ทุกเย็นวันพระ ทั้งสามจะนั่งร่วมวงเสวนา
    ใต้ต้นโพธิ์ที่ผลิใบใหม่...
    **มหากาพย์ข้ามภพ: สายธารแห่งธรรม* --- ### **บทที่ 5: เงาสะท้อนจากกาลเวลา** ราเชศยืนอยู่หน้าห้องเก็บของเก่า มือสั่นเทาขณะเปิดสมุดโบราณที่เพิ่งค้นพบ "บันทึกของสุทัตตะ...?" ตัวอักษรจารึกบนใบลานเริ่มเลือนราง แต่ความรู้สึกกลับชัดเจนราวกับมีใครมาเขียนเพิ่มในใจเขา: _"วันนี้ นันทาเถียงเรื่องฉันให้ผ้าแม่ชีจนร้านขาดทุน... แต่ในสายตาเธอ ฉันเห็นความกลัวว่าเราจะจนเหมือนตอนเด็ก"_ นันดินีที่แอบมองอยู่สะดุ้ง "นั่น...นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นแม่ป่วยเพราะไม่มีเงินรักษาตัว!" แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์เก่า ร่างเงาของทั้งคู่บนพื้น ปรากฏเป็นภาพ **สุทัตตะกับนันทาในชุดโบราณ** --- ### **บทที่ 6: ศิษย์ลึกลับแห่งเวฬุวัน** **อาจารย์ปกรณ์** นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ผู้ตามหาตำราสูญหาย เปิดเผยความลับให้ทั้งคู่ฟัง: "ผ้าผืนนั้นทอโดยพระนางพิมพา (พระมารดาของราหุล) มีอักขระธารณีปักไว้ด้วยเส้นผมของพระพุทธเจ้า..." แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือ **ลายมือในสมุดบันทึกของสุทัตตะ กับของราเชศ...เหมือนกันทุกเส้น!** นันดินีจับมือราเชศไว้แน่น "นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ...เราถูกชักนำให้มาพบกัน" --- ### **บทที่ 7: ปริศนาธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์** กลางดึก ทั้งคู่หลับไปใต้ต้นโพธิ์หลังวัด และพบกับ **สุทัตตะกับนันทาในยุคปัจจุบัน** **นันทา (ในร่างนักธุรกิจหญิง):** "ชาติก่อนเราทะเลาะกันเพราะต่างไม่เข้าใจ... แต่ชาตินี้ ฉันเรียนรู้ที่จะฟังก่อนพูด" **สุทัตตะ (ในร่างอาจารย์มหาวิทยาลัย):** "ความเงียบของฉันไม่ใช่การหนีปัญหา... แต่คือการรอให้เธอพร้อมจะรับฟัง" ปรากฏการณ์ **"การพบกันของ 4 จิตวิญญาณ"** ทำให้ต้นโพธิ์โบราณผลิดอกออกช่อ ทั้งที่ควรจะเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว --- ### **บทที่ 8: สายน้ำสามสายรวมเป็นหนึ่ง** ในพิธีมอบผ้าไหมให้พิพิธภัณฑ์ **เส้นด้ายทั้งสามเริ่มแยกจากกัน:** 1. สายทอง (ความทรงจำ) → กลายเป็นแสงส่องทาง 2. สายแดง (กรรมเก่า) → ละลายเป็นน้ำมนต์ 3. สายขาว (การเริ่มใหม่) → ห่อหุ้มหัวใจทั้งสอง ราเชศเขียนจดหมายถึงนันดินี: _"ไม่สำคัญว่าเราเคยเป็นใคร... สำคัญว่าเราจะใช้บทเรียนนี้สร้างอะไร"_ นันดินีตอบกลับด้วยการวาดภาพ **ร้านขายผ้าเก่า ที่มีเด็กๆ นั่งฟังธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่** --- ### **บทส่งท้าย: ดวงประทีปแห่งสาวัตถี** ปีต่อมา บนถนนสายเก่าในสาวัตถี มี **ศูนย์การเรียนรู้ "สามสายธาร"** - **ห้องสมุดจิตวิทยาพุทธศาสตร์** โดยราเชศ - **สตูดิโอศิลปะบำบัด** ของนันดินี - **ร้านชาสมุนไพร** ของอาจารย์ปกรณ์ ทุกเย็นวันพระ ทั้งสามจะนั่งร่วมวงเสวนา ใต้ต้นโพธิ์ที่ผลิใบใหม่...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกม The Darkest Files เป็นเกมที่สร้างจากเรื่องจริงในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยผู้เล่นจะรับบทเป็น Esther Katz อัยการที่ทำงานร่วมกับ Fritz Bauer อัยการสูงสุดในแฟรงก์เฟิร์ต ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มุ่งมั่นในการสืบสวนคดีอาชญากรรมของนาซีในช่วงปี 1950 และ 1960 เกมนี้นำเสนอการสืบสวนคดีที่เกิดขึ้นจริง โดยผู้เล่นต้องค้นหาเอกสาร สัมภาษณ์พยาน และสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เกมนี้มีจุดเด่นที่การนำเสนอเรื่องราวผ่านกราฟิกสไตล์ graphic novel ที่มีความมืดมนและเข้มข้น ผู้เล่นจะได้สัมผัสกับความท้าทายในการแก้ปริศนาและการนำเสนอหลักฐานในศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง เกมยังสะท้อนถึงความยากลำบากในการทำงานของทีมอัยการในยุคนั้น รวมถึงการเผชิญกับการต่อต้านจากสังคม

    เนื้อเรื่องและตัวละคร
    - ผู้เล่นรับบทเป็น Esther Katz อัยการที่ทำงานร่วมกับ Fritz Bauer
    - สืบสวนคดีอาชญากรรมของนาซีที่เกิดขึ้นจริงในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

    รูปแบบการเล่น
    - ค้นหาเอกสาร สัมภาษณ์พยาน และสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์
    - นำเสนอหลักฐานในศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง

    กราฟิกและการนำเสนอ
    - ใช้กราฟิกสไตล์ graphic novel ที่มืดมนและเข้มข้น
    - สะท้อนถึงความยากลำบากในการทำงานของทีมอัยการ

    ข้อความสำคัญของเกม
    - เกมเน้นการเตือนถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากอดีตและการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/26/039the-darkest-files039-investigate-true-crimes-from-the-nazi-era
    เกม The Darkest Files เป็นเกมที่สร้างจากเรื่องจริงในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยผู้เล่นจะรับบทเป็น Esther Katz อัยการที่ทำงานร่วมกับ Fritz Bauer อัยการสูงสุดในแฟรงก์เฟิร์ต ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มุ่งมั่นในการสืบสวนคดีอาชญากรรมของนาซีในช่วงปี 1950 และ 1960 เกมนี้นำเสนอการสืบสวนคดีที่เกิดขึ้นจริง โดยผู้เล่นต้องค้นหาเอกสาร สัมภาษณ์พยาน และสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกมนี้มีจุดเด่นที่การนำเสนอเรื่องราวผ่านกราฟิกสไตล์ graphic novel ที่มีความมืดมนและเข้มข้น ผู้เล่นจะได้สัมผัสกับความท้าทายในการแก้ปริศนาและการนำเสนอหลักฐานในศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง เกมยังสะท้อนถึงความยากลำบากในการทำงานของทีมอัยการในยุคนั้น รวมถึงการเผชิญกับการต่อต้านจากสังคม ✅ เนื้อเรื่องและตัวละคร - ผู้เล่นรับบทเป็น Esther Katz อัยการที่ทำงานร่วมกับ Fritz Bauer - สืบสวนคดีอาชญากรรมของนาซีที่เกิดขึ้นจริงในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ✅ รูปแบบการเล่น - ค้นหาเอกสาร สัมภาษณ์พยาน และสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์ - นำเสนอหลักฐานในศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง ✅ กราฟิกและการนำเสนอ - ใช้กราฟิกสไตล์ graphic novel ที่มืดมนและเข้มข้น - สะท้อนถึงความยากลำบากในการทำงานของทีมอัยการ ✅ ข้อความสำคัญของเกม - เกมเน้นการเตือนถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากอดีตและการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นอีก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/26/039the-darkest-files039-investigate-true-crimes-from-the-nazi-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'The Darkest Files': Investigate true crimes from the Nazi era
    Countless video games see players battling Nazis - but rarely are we doing the fighting not with guns, but with the law. "The Darkest Files" aims to turn the true stories of post-war legal investigations into Nazi crimes into entertaining gaming. Can it work?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • 78 ปี วิสามัญ “เสือฝ้าย” จอมโจรเมืองสุพรรณ จากผู้ใหญ่บ้าน สู่ขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อตำรวจน่ากลัวกว่าเสือ จึงถูกหลอกซ้ำซาก ล่อติดคุก-ลวงยิงทิ้ง

    เมื่อผู้ใหญ่บ้าน กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่รัฐกลัวที่สุด ย้อนตำนาน “เสือฝ้าย” จอมโจรผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองสุพรรณ กับบทสรุปที่กลายเป็นปริศนา เสือจริงหรือตำรวจคือภัยร้ายกว่า?

    เรื่องราวของ “เสือฝ้าย” จอมโจรเมืองสุพรรณ ผู้กล้าท้าทายอำนาจรัฐ ด้วยเหตุแห่งความอยุติธรรม กลายเป็นตำนานโจรผู้ยิ่งใหญ่ ที่ชาวบ้านรัก และตำรวจหวาดกลัว

    เมื่อความอยุติธรรม สร้างตำนานโจรผู้ยิ่งใหญ่ หากพูดถึง "เสือ" ในตำนานไทย หลายคนอาจนึกถึง “เสือใบ”, “เสือดำ” หรือ “เสือมเหศวร” แต่มีอีกหนึ่งชื่อ ที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือ “เสือฝ้าย” จอมโจรเมืองสุพรรณ ผู้ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นโจร แต่กลับกลายเป็นตำนาน ด้วยความเจ็บแค้นที่ถูกระบบรังแก

    "เสือฝ้าย" หรือ "นายฝ้าย เพ็ชนะ" เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลเดิมบาง เป็นนักรบเสรีไทย และเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่อยากทำดีเพื่อบ้านเกิด แต่เมื่อความดี ถูกตอบแทนด้วยความอยุติธรรม จึงเลือกหนทางของ "เสือ"

    “เมื่อรัฐเล่นตลกกับข้า ข้าก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้พวกมัน!” เสือฝ้าย กล่าวไว้ หลังพ้นโทษจำคุก 8 ปี

    "นายฝ้าย เพ็ชนะ" เกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2431 ที่ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นลูกของชาวนา ครอบครัวมีพี่น้อง 8 คน เติบโตมาอย่างเรียบง่าย กระทั่งช่วงวัย 20 ต้น ๆ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “ผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าใหญ่ หมู่ที่ 5”

    ระหว่างสงครามโลก ครั้งที่สอง เสือฝ้ายมีบทบาทสำคัญใน “ขบวนการเสรีไทย” ต่อต้านทหารญี่ปุ่น และได้รับฉายา “จอมพลฝ้าย” จากประชาชน

    แต่เรื่องราวกลับเปลี่ยนไป เมื่อถูกใส่ร้ายจากหลานเขย ผู้มีสายสัมพันธ์กับตำรวจ ถูกตัดสินให้ติดคุกถึง 8 ปี ทั้งที่ไม่มีความผิด นี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง

    เสือฝ้ายผู้รักความยุติธรรม แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็น “โจร” แต่เสือฝ้ายไม่เหมือนโจรทั่วไป

    สิ่งที่ “ปล้น” ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยส่วนตัว เสือฝ้ายตั้งเป้าเล่นงานเฉพาะ “ผู้มีอำนาจที่ฉ้อโกง” ไม่ปล้นคนจน ไม่แตะต้องชาวบ้าน แจกจ่ายทรัพย์สินที่ปล้นมา ให้กับผู้ยากไร้ในชุมชน

    ชาวบ้านจึงเปรียบเสือฝ้ายเสมือน “ฮีโร่” มากกว่า “ผู้ร้าย”

    “ชาวบ้านรักเสือฝ้าย เพราะไม่เคยทำร้ายใครที่ไม่มีอำนาจ”

    ชุมโจรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เสือฝ้ายไม่ใช่โจรเดี่ยว นำกองกำลังชุมโจรที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่ไทยเคยมี สมุนไม่ต่ำกว่า 100-200 คน เทียบกับกลุ่มโจรทั่วไปในยุคนั้น ที่มีเพียง 10-20 คน

    เสือฝ้ายใช้เส้นทางป่าในเขตเดิมบางนางบวช ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าทึบ เป็นที่หลบซ่อนและตั้งฐานปฏิบัติการ

    “บางคนว่าทั้งสุพรรณบุรี คือบ้านของเสือฝ้าย เพราะทุกคนต่างพร้อมใจ ให้การช่วยเหลือ”

    เมืองสุพรรณยุคโจรครองเมือง ย้อนกลับไปในยุคต้นรัชกาลที่ 6 เมืองสุพรรณฯ เต็มไปด้วยข่าวปล้น คนจีนอพยพมาตั้งตลาด หอดูโจรถูกสร้างไว้ทั่วเมือง

    จนมีคำพูดติดปากว่า “ใครไปรับราชการที่สุพรรณฯ ต้องเตรียมหม้อใส่กระดูกกลับบ้าน”

    สุพรรณกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในแง่ลบ แต่ก็เป็นบ้านของวีรบุรุษนอกกฎหมาย ที่ชาวบ้านศรัทธา

    การลวงฆ่าเสือฝ้าย ความจริงที่ไม่เคยเปิดเผยอย่างเป็นทางการ วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2490 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก...

    ตำรวจกองปราบหลอกเสือฝ้ายว่า จะพาไปรับรางวัลที่กรุงเทพฯ แล้วนำตัวไปพักที่โรงแรมศรีธงชัย ปัจจุบันคือธนาคารกรุงศรีฯ แต่รุ่งเช้ากลับมีข่าวว่า เสือฝ้ายถูกยิงตายที่ป่าช้าบ้านบางกะโพ้น ตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยอ้างว่า “กระโดดน้ำหนี”

    แต่ชาวบ้านไม่เชื่อ เพราะ “ไม่มีทางที่เสือฝ้ายจะหนี ทั้งที่เชื่อว่ากำลังจะได้รางวัล”

    ปากคำชาวบ้าน ตำรวจน่ากลัวกว่าโจร

    “ตำรวจกองปราบน่ากลัวกว่าเสือเสียอีก พวกเขาอำพรางข่าว หลอกลวง และฆ่าคนบริสุทธิ์” ยายเกียด ทรัพย์จีน กล่าวไว้

    เธอเผยว่าเคยต้องปลอมตัว เอาโคลนทาทั่วตัว เพื่อส่งเสบียงให้ชุมโจรแบบลับ ๆ

    เสือฝ้ายกับขุนพันธ์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมรับสินบน เสือฝ้ายเคยพยายามติดสินบน “ขุนพันธ์” นายตำรวจผู้ปราบโจรในตำนาน แต่ขุนพันธ์ปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า "ไม่ใช่พื้นที่รับผิดชอบ" และไม่ยอมลดศักดิ์ศรีของตำรวจ ด้วยการรับสินบนจากโจร

    เสือฝ้ายในโลกภาพยนตร์ เสือฝ้ายยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยเฉพาะในภาพยนตร์ "ขุนพันธ์ ภาค 2" แสดงโดย ผู้พันเบิร์ด "พันโทวันชนะ สวัสดี" เพิ่มความเหนือธรรมชาติ เช่น วิชานะจังงัง, รอยสักยันต์ช้างเอราวัณ และยันต์ท้าวเวสสุวรรณ

    ความตายที่กลายเป็นตำนาน แม้เสือฝ้ายจะถูกฆ่าตาย แต่ตำนานของเขายังอยู่...

    เสือฝ้ายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ถูกระบบกดขี่ แล้วลุกขึ้นมาต่อสู้ เป็นเสียงของผู้ไร้เสียง และเป็นเสือที่ถูกฆ่าโดย “สัตว์ที่ร้ายกว่า”

    คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

    ใครสั่งวิสามัญเสือฝ้ายจริง ๆ?

    ตำรวจเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือมีเจตนาแอบแฝง?

    ทำไมข่าวถูกกลบอย่างรวดเร็ว?

    เสือที่ยังคงคำรามในประวัติศาสตร์ เรื่องราวของเสือฝ้าย ไม่ใช่เพียงเรื่องของโจร หรือเรื่องของตำรวจ
    แต่คือ “ภาพสะท้อนของสังคม” ที่ยังคงเป็นจริงแม้ผ่านไป 78 ปี

    เสือฝ้ายคือผู้ที่ระบบผลักให้กลายเป็นโจร แต่ชาวบ้านกลับยกย่องว่า “วีรบุรุษ” และตราบใดที่ความอยุติธรรมยังมีอยู่ เสียงคำรามของ “เสือฝ้าย” ก็ยังดังก้องในใจของคนรุ่นหลัง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251009 เม.ย. 2568

    #เสือฝ้าย #ตำนานเสือสุพรรณ #จอมโจรไทย #ประวัติศาสตร์โจร #ขุนพันธ์ #เสรีไทย #วิสามัญฆาตกรรม #สุพรรณบุรี #วีรบุรุษโจร #เสือฝ้ายผู้ยิ่งใหญ่
    78 ปี วิสามัญ “เสือฝ้าย” จอมโจรเมืองสุพรรณ จากผู้ใหญ่บ้าน สู่ขุนโจรผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อตำรวจน่ากลัวกว่าเสือ จึงถูกหลอกซ้ำซาก ล่อติดคุก-ลวงยิงทิ้ง 🐅 เมื่อผู้ใหญ่บ้าน กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่รัฐกลัวที่สุด ย้อนตำนาน “เสือฝ้าย” จอมโจรผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองสุพรรณ กับบทสรุปที่กลายเป็นปริศนา เสือจริงหรือตำรวจคือภัยร้ายกว่า? เรื่องราวของ “เสือฝ้าย” จอมโจรเมืองสุพรรณ ผู้กล้าท้าทายอำนาจรัฐ ด้วยเหตุแห่งความอยุติธรรม กลายเป็นตำนานโจรผู้ยิ่งใหญ่ ที่ชาวบ้านรัก และตำรวจหวาดกลัว 🕵️‍♂️🔥 เมื่อความอยุติธรรม สร้างตำนานโจรผู้ยิ่งใหญ่ หากพูดถึง "เสือ" ในตำนานไทย หลายคนอาจนึกถึง “เสือใบ”, “เสือดำ” หรือ “เสือมเหศวร” แต่มีอีกหนึ่งชื่อ ที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือ “เสือฝ้าย” 🐯 จอมโจรเมืองสุพรรณ ผู้ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นโจร แต่กลับกลายเป็นตำนาน ด้วยความเจ็บแค้นที่ถูกระบบรังแก "เสือฝ้าย" หรือ "นายฝ้าย เพ็ชนะ" เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 ตำบลเดิมบาง เป็นนักรบเสรีไทย และเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่อยากทำดีเพื่อบ้านเกิด แต่เมื่อความดี ถูกตอบแทนด้วยความอยุติธรรม จึงเลือกหนทางของ "เสือ" “เมื่อรัฐเล่นตลกกับข้า ข้าก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้พวกมัน!” เสือฝ้าย กล่าวไว้ หลังพ้นโทษจำคุก 8 ปี 😇👉😈 "นายฝ้าย เพ็ชนะ" เกิดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2431 ที่ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นลูกของชาวนา ครอบครัวมีพี่น้อง 8 คน เติบโตมาอย่างเรียบง่าย กระทั่งช่วงวัย 20 ต้น ๆ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “ผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าใหญ่ หมู่ที่ 5” ระหว่างสงครามโลก ครั้งที่สอง เสือฝ้ายมีบทบาทสำคัญใน “ขบวนการเสรีไทย” ต่อต้านทหารญี่ปุ่น และได้รับฉายา “จอมพลฝ้าย” จากประชาชน แต่เรื่องราวกลับเปลี่ยนไป เมื่อถูกใส่ร้ายจากหลานเขย ผู้มีสายสัมพันธ์กับตำรวจ ถูกตัดสินให้ติดคุกถึง 8 ปี ทั้งที่ไม่มีความผิด นี่คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง 🧨 ✊ เสือฝ้ายผู้รักความยุติธรรม แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็น “โจร” แต่เสือฝ้ายไม่เหมือนโจรทั่วไป สิ่งที่ “ปล้น” ไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยส่วนตัว เสือฝ้ายตั้งเป้าเล่นงานเฉพาะ “ผู้มีอำนาจที่ฉ้อโกง” ไม่ปล้นคนจน ไม่แตะต้องชาวบ้าน แจกจ่ายทรัพย์สินที่ปล้นมา ให้กับผู้ยากไร้ในชุมชน 🔥 ชาวบ้านจึงเปรียบเสือฝ้ายเสมือน “ฮีโร่” มากกว่า “ผู้ร้าย” ❤️ “ชาวบ้านรักเสือฝ้าย เพราะไม่เคยทำร้ายใครที่ไม่มีอำนาจ” 🏴‍☠️ ชุมโจรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เสือฝ้ายไม่ใช่โจรเดี่ยว นำกองกำลังชุมโจรที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่ไทยเคยมี สมุนไม่ต่ำกว่า 100-200 คน เทียบกับกลุ่มโจรทั่วไปในยุคนั้น ที่มีเพียง 10-20 คน เสือฝ้ายใช้เส้นทางป่าในเขตเดิมบางนางบวช ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าทึบ เป็นที่หลบซ่อนและตั้งฐานปฏิบัติการ “บางคนว่าทั้งสุพรรณบุรี คือบ้านของเสือฝ้าย เพราะทุกคนต่างพร้อมใจ ให้การช่วยเหลือ” 🌆 เมืองสุพรรณยุคโจรครองเมือง 🧧 ย้อนกลับไปในยุคต้นรัชกาลที่ 6 เมืองสุพรรณฯ เต็มไปด้วยข่าวปล้น คนจีนอพยพมาตั้งตลาด หอดูโจรถูกสร้างไว้ทั่วเมือง จนมีคำพูดติดปากว่า “ใครไปรับราชการที่สุพรรณฯ ต้องเตรียมหม้อใส่กระดูกกลับบ้าน” สุพรรณกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในแง่ลบ แต่ก็เป็นบ้านของวีรบุรุษนอกกฎหมาย ที่ชาวบ้านศรัทธา 📜 การลวงฆ่าเสือฝ้าย ความจริงที่ไม่เคยเปิดเผยอย่างเป็นทางการ 🔫 วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2490 เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก... ตำรวจกองปราบหลอกเสือฝ้ายว่า จะพาไปรับรางวัลที่กรุงเทพฯ แล้วนำตัวไปพักที่โรงแรมศรีธงชัย ปัจจุบันคือธนาคารกรุงศรีฯ แต่รุ่งเช้ากลับมีข่าวว่า เสือฝ้ายถูกยิงตายที่ป่าช้าบ้านบางกะโพ้น ตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยอ้างว่า “กระโดดน้ำหนี” ❌ แต่ชาวบ้านไม่เชื่อ เพราะ “ไม่มีทางที่เสือฝ้ายจะหนี ทั้งที่เชื่อว่ากำลังจะได้รางวัล” 😰 ปากคำชาวบ้าน ตำรวจน่ากลัวกว่าโจร “ตำรวจกองปราบน่ากลัวกว่าเสือเสียอีก พวกเขาอำพรางข่าว หลอกลวง และฆ่าคนบริสุทธิ์” ยายเกียด ทรัพย์จีน กล่าวไว้ เธอเผยว่าเคยต้องปลอมตัว เอาโคลนทาทั่วตัว เพื่อส่งเสบียงให้ชุมโจรแบบลับ ๆ 🧘‍♂️ เสือฝ้ายกับขุนพันธ์ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมรับสินบน ⚖️ เสือฝ้ายเคยพยายามติดสินบน “ขุนพันธ์” นายตำรวจผู้ปราบโจรในตำนาน แต่ขุนพันธ์ปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า "ไม่ใช่พื้นที่รับผิดชอบ" และไม่ยอมลดศักดิ์ศรีของตำรวจ ด้วยการรับสินบนจากโจร 🐯 เสือฝ้ายในโลกภาพยนตร์ 🎬 เสือฝ้ายยังเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยเฉพาะในภาพยนตร์ "ขุนพันธ์ ภาค 2" แสดงโดย ผู้พันเบิร์ด "พันโทวันชนะ สวัสดี" เพิ่มความเหนือธรรมชาติ เช่น วิชานะจังงัง, รอยสักยันต์ช้างเอราวัณ และยันต์ท้าวเวสสุวรรณ 🔥 ความตายที่กลายเป็นตำนาน แม้เสือฝ้ายจะถูกฆ่าตาย แต่ตำนานของเขายังอยู่... เสือฝ้ายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ถูกระบบกดขี่ แล้วลุกขึ้นมาต่อสู้ เป็นเสียงของผู้ไร้เสียง และเป็นเสือที่ถูกฆ่าโดย “สัตว์ที่ร้ายกว่า” คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ❓ ใครสั่งวิสามัญเสือฝ้ายจริง ๆ? ตำรวจเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือมีเจตนาแอบแฝง? ทำไมข่าวถูกกลบอย่างรวดเร็ว? 🐾 เสือที่ยังคงคำรามในประวัติศาสตร์ 📚 เรื่องราวของเสือฝ้าย ไม่ใช่เพียงเรื่องของโจร หรือเรื่องของตำรวจ แต่คือ “ภาพสะท้อนของสังคม” ที่ยังคงเป็นจริงแม้ผ่านไป 78 ปี เสือฝ้ายคือผู้ที่ระบบผลักให้กลายเป็นโจร แต่ชาวบ้านกลับยกย่องว่า “วีรบุรุษ” และตราบใดที่ความอยุติธรรมยังมีอยู่ เสียงคำรามของ “เสือฝ้าย” ก็ยังดังก้องในใจของคนรุ่นหลัง ✊ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251009 เม.ย. 2568 📢 #เสือฝ้าย #ตำนานเสือสุพรรณ #จอมโจรไทย #ประวัติศาสตร์โจร #ขุนพันธ์ #เสรีไทย #วิสามัญฆาตกรรม #สุพรรณบุรี #วีรบุรุษโจร #เสือฝ้ายผู้ยิ่งใหญ่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 967 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👁️‍🗨️ 48 ปี “ปีศาจโดเวอร์” สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งแมสซาชูเซตส์ ตำนานปริศนาอเมริกา ที่ยังไร้คำอธิบาย

    เปิดตำนานปริศนาสุดลึกลับ จากสหรัฐอเมริกา กับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทิ้งคำถาม ไว้ให้โลกค้นหามานานถึงครึ่งศตวรรษ

    เมื่อ “สิ่งลึกลับ” ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วินาที... แต่คนทั้งเมืองจดจำมันได้เป็นสิบปี หากเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบฟังตำนานเมือง หรือหลงใหลในเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบ “X-Files” หรือ “Stranger Things” ไม่ควรพลาดตำนานของ “ปีศาจโดเวอร์” (Dover Demon)

    ปี พ.ศ. 2520 คือปีที่ชื่อของ “Dover Demon” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “โดเวอร์” รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่มีหัวโต ตาเรืองแสง ไม่มีจมูกปาก แขนขายาว ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย และสำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า มันคืออะไร

    ตำนานที่เริ่มต้นจาก “ความบังเอิญ” เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ในคืนเดือนมืด วันพฤหัสบดีอันเงียบสงบของเมืองโดเวอร์ กลับกลายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปตลอดกาล…

    "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" (Bill Bartlett) วัย 17 ปี กำลังขับรถกับเพื่อน ๆ ในถนนสายเปลี่ยว จู่ ๆ เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แปลกประหลาดปีนไปตามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างถนน มันมีหัวโตมาก ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก และผิวของมันดูเหมือน “ทรายเปียก”

    เสียงของเพื่อนอาจไม่ได้ยิน แต่ภาพนั้นกลับตราตรึงบาร์ทเล็ทท์ ไปตลอดชีวิต เขาถึงขั้นวาดภาพสิ่งที่เห็น ออกมาในคืนนั้นเลยทันที

    การพบเห็นอีก 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงถัดมา

    "จอห์น แบกซ์เตอร์" วัย 15 ปี พบเห็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา

    "แอ็บบี อับราฮัม" และ "วิลล์ เทนเตอร์" ก็พบเห็นรูปร่างคล้ายกัน ขณะขับรถบนถนนอีกสาย ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากจุดแรก

    ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 4 กิโลเมตร และแม้จะเป็นวัยรุ่นต่างกลุ่ม ต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลา แต่คำอธิบายของพวกเขา กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ

    ความสำคัญของปีศาจโดเวอร์ ในแง่วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม การพบเห็นสิ่งลึกลับเพียงไม่กี่วินาที ทำไมถึงกลายเป็นตำนาน ที่คนทั้งโลกพูดถึง?

    มุมมองเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” อาจเป็นผลจากการรับรู้ผิดเพี้ยน (misperception) หรือการตีความสิ่งที่เห็นผิดจากความจริง อันเนื่องมาจากสภาพแสง เงา และความกลัว

    👁️‍🗨️ “เราเห็นสิ่งที่เรา อยากเห็น มากกว่าสิ่งที่ มันเป็นจริง ๆ”

    แต่ถ้าแค่คนเดียวที่เห็นผิด ยังพอเข้าใจได้... แล้วทำไมถึงมีคนเห็นคล้ายกันถึง 3 กลุ่ม ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง? นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจโดเวอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องหลอนกลางคืน ธรรมดา

    มุมมองเชิงวัฒนธรรม ปีศาจโดเวอร์ได้รับการบันทึกโดย "Loren Coleman" ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptozoology หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์และสารคดี ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายจนกลายเป็น Urban Legend หรือ “ตำนานเมือง” ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง

    ความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับปีศาจโดเวอร์

    มนุษย์ต่างดาว (Alien Theory) ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโต ตาใหญ่ คล้ายกับ “Grey Alien” ในวัฒนธรรมป๊อป หลายคนจึงเชื่อว่า ปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ “สปาย” จากกาแล็กซีอื่นที่กำลังสำรวจโลกอยู่

    สิ่งมีชีวิตทดลองหลุดจากห้องแล็บ? อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าขนลุกไม่น้อย คือปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นผลผลิตของการทดลองทางพันธุกรรม ที่ผิดพลาด และหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก โดยไม่ได้ตั้งใจ

    ภาพลวงตาหรือจินตนาการ? ฝ่ายที่ไม่เชื่อ มักมองว่าทั้งหมด เป็นเพียงจินตนาการของวัยรุ่นที่ตื่นเต้น หรืออาจเป็นอาการ hypnagogic hallucination คือภาพหลอนช่วงก่อนหลับ ที่สมองสร้างขึ้นเองจากความกลัว

    รายละเอียดการพบเห็นทั้ง 3 ครั้ง

    กรณีที่ 1 "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" เห็นครั้งแรก 21 เม.ย. 2520 พบสิ่งมีชีวิตปีนกำแพง ลักษณะหัวใหญ่ ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก แขนขายาว ผิวเหมือนกระดาษทราย สูงประมาณ 4 ฟุต หรือ 1.2 เมตร วาดภาพไว้เป็นหลักฐานทันที หลังเหตุการณ์

    กรณีที่ 2 "จอห์น แบกซ์เตอร์" การเผชิญหน้าใกล้ 22 เม.ย. 2520 ตี 1 พบสิ่งมีชีวิตเดินสวนทางมา รูปร่างคล้ายลิง แต่ไม่มีขน ตาเขียว ผิวดำ ใช้นิ้วยาวโอบต้นไม้ คล้ายพฤติกรรมลิง

    กรณีที่ 3 "แอ็บบี และวิลล์" บังเอิญเจออีกครั้ง 22 เม.ย. 2520 เที่ยงคืน เห็นรูปร่างคล้าย “แพะ” ยืนอยู่ข้างถนน ดวงตาสะท้อนแสงสีเขียว เมื่อต้องไฟหน้ารถ

    ปีศาจโดเวอร์กับตำนานในอเมริกาอื่น ๆ

    The Rake ผิวซีด เดิน 4 ขา ไร้ขน รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน

    Mothman มนุษย์มีปีก ดวงตาแดง ความหลอนในช่วงเวลาเฉพาะ

    Grey Alien หัวโต ผิวเทา ตาดำ ตรงลักษณะกายภาพที่สุด

    เปรียบเทียบกับตำนานลึกลับในไทย

    กระสือ สิ่งลี้ลับที่เห็นเฉพาะกลางคืน ไม่มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์

    พรายน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับในแหล่งน้ำ ที่คนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง

    ผีเปรต ร่างสูง ผอม หวาดกลัว แต่ไม่ใช่สัตว์

    แม่นาคพระโขนง สิ่งลี้ลับระหว่างความเป็นคน กับวิญญาณ

    ปีศาจโดเวอร์ใกล้เคียงที่สุดกับ “กระสือ” หรือ “พรายน้ำ” ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และเห็นเพียงบางช่วงเวลา

    เรื่องเล่าที่ไม่มีวันหายไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 48 ปี แล้ว แต่คำถามที่ว่า “ปีศาจโดเวอร์คืออะไรกันแน่?” ยังคงไม่ได้รับคำตอบ

    จะเป็นเอเลี่ยน สัตว์ทดลอง ภาพลวงตา หรือปีศาจในตำนานอินเดียแดง สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ มันได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ไว้ในใจผู้คน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ สารคดี และแม้แต่ในเกมบางเกม

    “บางเรื่อง... ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสมอไป แค่มีคนเล่า... มันก็อยู่ได้ตลอดไปแล้ว”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210817 เม.ย. 2568

    #ปีศาจโดเวอร์ #DoverDemon #สิ่งมีชีวิตลึกลับ #UrbanLegend #เรื่องลี้ลับอเมริกา #มนุษย์ต่างดาว #GreyAlien #Mothman #TheRake #ตำนานเมือง
    👁️‍🗨️ 48 ปี “ปีศาจโดเวอร์” สิ่งมีชีวิตลึกลับแห่งแมสซาชูเซตส์ ตำนานปริศนาอเมริกา ที่ยังไร้คำอธิบาย เปิดตำนานปริศนาสุดลึกลับ จากสหรัฐอเมริกา กับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับทิ้งคำถาม ไว้ให้โลกค้นหามานานถึงครึ่งศตวรรษ 🎯 เมื่อ “สิ่งลึกลับ” ปรากฏขึ้นเพียงไม่กี่วินาที... แต่คนทั้งเมืองจดจำมันได้เป็นสิบปี หากเป็นหนึ่งในคนที่ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบฟังตำนานเมือง หรือหลงใหลในเรื่องสิ่งมีชีวิตประหลาดแบบ “X-Files” หรือ “Stranger Things” ไม่ควรพลาดตำนานของ “ปีศาจโดเวอร์” (Dover Demon) 🛸 ปี พ.ศ. 2520 คือปีที่ชื่อของ “Dover Demon” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “โดเวอร์” รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดที่มีหัวโต ตาเรืองแสง ไม่มีจมูกปาก แขนขายาว ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย และสำคัญที่สุด ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า มันคืออะไร ❓ 👹 ตำนานที่เริ่มต้นจาก “ความบังเอิญ” เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2520 ในคืนเดือนมืด วันพฤหัสบดีอันเงียบสงบของเมืองโดเวอร์ กลับกลายเป็นวันที่เปลี่ยนชีวิต ของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งไปตลอดกาล… "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" (Bill Bartlett) วัย 17 ปี กำลังขับรถกับเพื่อน ๆ ในถนนสายเปลี่ยว จู่ ๆ เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์แปลกประหลาดปีนไปตามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างถนน มันมีหัวโตมาก ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก และผิวของมันดูเหมือน “ทรายเปียก” 🌑 เสียงของเพื่อนอาจไม่ได้ยิน แต่ภาพนั้นกลับตราตรึงบาร์ทเล็ทท์ ไปตลอดชีวิต เขาถึงขั้นวาดภาพสิ่งที่เห็น ออกมาในคืนนั้นเลยทันที การพบเห็นอีก 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงถัดมา "จอห์น แบกซ์เตอร์" วัย 15 ปี พบเห็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน ในช่วงเช้ามืดของวันถัดมา "แอ็บบี อับราฮัม" และ "วิลล์ เทนเตอร์" ก็พบเห็นรูปร่างคล้ายกัน ขณะขับรถบนถนนอีกสาย ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากจุดแรก ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในรัศมีเพียง 4 กิโลเมตร ‼️ และแม้จะเป็นวัยรุ่นต่างกลุ่ม ต่างสถานที่ ต่างช่วงเวลา แต่คำอธิบายของพวกเขา กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ 🧠 ความสำคัญของปีศาจโดเวอร์ ในแง่วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม การพบเห็นสิ่งลึกลับเพียงไม่กี่วินาที ทำไมถึงกลายเป็นตำนาน ที่คนทั้งโลกพูดถึง? 🤔 มุมมองเชิงจิตวิทยา นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า เรื่องของ “ปีศาจโดเวอร์” อาจเป็นผลจากการรับรู้ผิดเพี้ยน (misperception) หรือการตีความสิ่งที่เห็นผิดจากความจริง อันเนื่องมาจากสภาพแสง เงา และความกลัว 👁️‍🗨️ “เราเห็นสิ่งที่เรา อยากเห็น มากกว่าสิ่งที่ มันเป็นจริง ๆ” แต่ถ้าแค่คนเดียวที่เห็นผิด ยังพอเข้าใจได้... แล้วทำไมถึงมีคนเห็นคล้ายกันถึง 3 กลุ่ม ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง? นี่คือสิ่งที่ทำให้ปีศาจโดเวอร์ ไม่ใช่แค่เรื่องหลอนกลางคืน ธรรมดา มุมมองเชิงวัฒนธรรม ปีศาจโดเวอร์ได้รับการบันทึกโดย "Loren Coleman" ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptozoology หรือการศึกษาสิ่งมีชีวิตลึกลับ และเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์และสารคดี ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายจนกลายเป็น Urban Legend หรือ “ตำนานเมือง” ที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง 🌍 💬 ความเชื่อและทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับปีศาจโดเวอร์ 👽 มนุษย์ต่างดาว (Alien Theory) ด้วยรูปลักษณ์ที่หัวโต ตาใหญ่ คล้ายกับ “Grey Alien” ในวัฒนธรรมป๊อป หลายคนจึงเชื่อว่า ปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือ “สปาย” จากกาแล็กซีอื่นที่กำลังสำรวจโลกอยู่ 🛸 🧬 สิ่งมีชีวิตทดลองหลุดจากห้องแล็บ? อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าขนลุกไม่น้อย คือปีศาจโดเวอร์ อาจเป็นผลผลิตของการทดลองทางพันธุกรรม ที่ผิดพลาด และหลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก โดยไม่ได้ตั้งใจ 🧠 ภาพลวงตาหรือจินตนาการ? ฝ่ายที่ไม่เชื่อ มักมองว่าทั้งหมด เป็นเพียงจินตนาการของวัยรุ่นที่ตื่นเต้น หรืออาจเป็นอาการ hypnagogic hallucination คือภาพหลอนช่วงก่อนหลับ ที่สมองสร้างขึ้นเองจากความกลัว 🔍 รายละเอียดการพบเห็นทั้ง 3 ครั้ง 📍 กรณีที่ 1 "บิลล์ บาร์ทเล็ทท์" เห็นครั้งแรก 21 เม.ย. 2520 พบสิ่งมีชีวิตปีนกำแพง ลักษณะหัวใหญ่ ดวงตาเรืองแสง ไม่มีจมูก ไม่มีปาก แขนขายาว ผิวเหมือนกระดาษทราย สูงประมาณ 4 ฟุต หรือ 1.2 เมตร วาดภาพไว้เป็นหลักฐานทันที หลังเหตุการณ์ 📍 กรณีที่ 2 "จอห์น แบกซ์เตอร์" การเผชิญหน้าใกล้ 22 เม.ย. 2520 ตี 1 พบสิ่งมีชีวิตเดินสวนทางมา รูปร่างคล้ายลิง แต่ไม่มีขน ตาเขียว ผิวดำ ใช้นิ้วยาวโอบต้นไม้ คล้ายพฤติกรรมลิง 📍 กรณีที่ 3 "แอ็บบี และวิลล์" บังเอิญเจออีกครั้ง 22 เม.ย. 2520 เที่ยงคืน เห็นรูปร่างคล้าย “แพะ” ยืนอยู่ข้างถนน ดวงตาสะท้อนแสงสีเขียว เมื่อต้องไฟหน้ารถ 📌 ปีศาจโดเวอร์กับตำนานในอเมริกาอื่น ๆ The Rake ผิวซีด เดิน 4 ขา ไร้ขน รูปร่างคล้ายมนุษย์ ไม่มีขน Mothman มนุษย์มีปีก ดวงตาแดง ความหลอนในช่วงเวลาเฉพาะ Grey Alien หัวโต ผิวเทา ตาดำ ตรงลักษณะกายภาพที่สุด 🇹🇭 เปรียบเทียบกับตำนานลึกลับในไทย 👻 กระสือ สิ่งลี้ลับที่เห็นเฉพาะกลางคืน ไม่มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ 🌊 พรายน้ำ สิ่งมีชีวิตลึกลับในแหล่งน้ำ ที่คนเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง 🙏 ผีเปรต ร่างสูง ผอม หวาดกลัว แต่ไม่ใช่สัตว์ 😱 แม่นาคพระโขนง สิ่งลี้ลับระหว่างความเป็นคน กับวิญญาณ ปีศาจโดเวอร์ใกล้เคียงที่สุดกับ “กระสือ” หรือ “พรายน้ำ” ที่เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และเห็นเพียงบางช่วงเวลา 🧩 เรื่องเล่าที่ไม่มีวันหายไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 48 ปี แล้ว แต่คำถามที่ว่า “ปีศาจโดเวอร์คืออะไรกันแน่?” ยังคงไม่ได้รับคำตอบ จะเป็นเอเลี่ยน สัตว์ทดลอง ภาพลวงตา หรือปีศาจในตำนานอินเดียแดง สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ มันได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ไว้ในใจผู้คน และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ สารคดี และแม้แต่ในเกมบางเกม 🎮 “บางเรื่อง... ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสมอไป แค่มีคนเล่า... มันก็อยู่ได้ตลอดไปแล้ว” 👣 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 210817 เม.ย. 2568 📲 #ปีศาจโดเวอร์ #DoverDemon #สิ่งมีชีวิตลึกลับ #UrbanLegend #เรื่องลี้ลับอเมริกา #มนุษย์ต่างดาว #GreyAlien #Mothman #TheRake #ตำนานเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 837 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts