• "ดร.เอ้" นำทัพไทยก้าวใหม่ เตรียมเปิดที่ทำการพรรค 7 พ.ย. นี้ ประกาศพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทั่วประเทศ ยันทำงานการเมืองแบบยั่งยืน เน้นปฏิรูปการศึกษา-ปราบทุจริต
    https://www.thai-tai.tv/news/22221/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ฟังเสียงประชาชน #จริงจังเรื่องการศึกษา

    "ดร.เอ้" นำทัพไทยก้าวใหม่ เตรียมเปิดที่ทำการพรรค 7 พ.ย. นี้ ประกาศพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทั่วประเทศ ยันทำงานการเมืองแบบยั่งยืน เน้นปฏิรูปการศึกษา-ปราบทุจริต https://www.thai-tai.tv/news/22221/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง #ฟังเสียงประชาชน #จริงจังเรื่องการศึกษา
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • บทความกฎหมาย EP.17

    คำพิพากษาเป็นมากกว่าเพียงการตัดสินของศาล แต่คือจุดสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนาน เป็นคำวินิจฉัยสุดท้ายที่ศาลใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างคู่ความทั้งหมด โดยมีอำนาจผูกพันคู่ความเหล่านั้นให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป คำตัดสินนี้จึงเป็นหลักประกันความสงบเรียบร้อยในสังคม และเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ การเข้าใจถึงความหมายและอำนาจของคำพิพากษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด

    แก่นแท้ของคำพิพากษานั้นอยู่ที่การสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น คำตัดสินของศาลไม่ใช่แค่การประกาศว่าใครถูกใครผิด แต่คือการกำหนดสิทธิและหน้าที่ใหม่ของคู่ความภายหลังจากการต่อสู้คดีเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ชดใช้ค่าเสียหาย การยกฟ้อง หรือการกำหนดโทษทางอาญา ทุกถ้อยคำในคำพิพากษามีความหมายทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง และถูกเขียนขึ้นด้วยความรอบคอบภายใต้หลักการที่ว่า "ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย" ซึ่งหมายความว่าแม้การตัดสินจะยุติข้อพิพาทในคดีนั้นๆ แต่ก็เป็นการวางบรรทัดฐานสำหรับคดีที่คล้ายคลึงกันในอนาคตด้วย จึงถือได้ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยมีขื่อมีแปและมีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

    ดังนั้น คำพิพากษาจึงเป็นเสมือนหัวใจของระบบกฎหมาย เป็นการแสดงออกถึงอำนาจตุลาการในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม คำตัดสินที่มีผลผูกพันคู่ความนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเป็นสิ่งสุดท้ายที่นำความสงบกลับคืนมาสู่ผู้ที่มีข้อพิพาทกัน การเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งศาล แต่คือการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดไป
    บทความกฎหมาย EP.17 คำพิพากษาเป็นมากกว่าเพียงการตัดสินของศาล แต่คือจุดสิ้นสุดของกระบวนการยุติธรรมที่ยาวนาน เป็นคำวินิจฉัยสุดท้ายที่ศาลใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างคู่ความทั้งหมด โดยมีอำนาจผูกพันคู่ความเหล่านั้นให้ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป คำตัดสินนี้จึงเป็นหลักประกันความสงบเรียบร้อยในสังคม และเป็นเครื่องมือในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีนั้นๆ การเข้าใจถึงความหมายและอำนาจของคำพิพากษาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แก่นแท้ของคำพิพากษานั้นอยู่ที่การสร้างความแน่นอนทางกฎหมาย และการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น คำตัดสินของศาลไม่ใช่แค่การประกาศว่าใครถูกใครผิด แต่คือการกำหนดสิทธิและหน้าที่ใหม่ของคู่ความภายหลังจากการต่อสู้คดีเสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ชดใช้ค่าเสียหาย การยกฟ้อง หรือการกำหนดโทษทางอาญา ทุกถ้อยคำในคำพิพากษามีความหมายทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง และถูกเขียนขึ้นด้วยความรอบคอบภายใต้หลักการที่ว่า "ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย" ซึ่งหมายความว่าแม้การตัดสินจะยุติข้อพิพาทในคดีนั้นๆ แต่ก็เป็นการวางบรรทัดฐานสำหรับคดีที่คล้ายคลึงกันในอนาคตด้วย จึงถือได้ว่าเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยมีขื่อมีแปและมีการเคารพสิทธิซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ดังนั้น คำพิพากษาจึงเป็นเสมือนหัวใจของระบบกฎหมาย เป็นการแสดงออกถึงอำนาจตุลาการในการตีความและประยุกต์ใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม คำตัดสินที่มีผลผูกพันคู่ความนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และเป็นสิ่งสุดท้ายที่นำความสงบกลับคืนมาสู่ผู้ที่มีข้อพิพาทกัน การเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งศาล แต่คือการธำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดไป
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “Chrome Autofill ขยายสู่พาสปอร์ตและใบขับขี่ – สะดวกหรือเสี่ยง?”

    Google ประกาศเพิ่มความสามารถใหม่ให้กับฟีเจอร์ Autofill บน Chrome โดยสามารถบันทึกและกรอกข้อมูลสำคัญอย่าง หมายเลขพาสปอร์ต, ใบขับขี่, และ หมายเลขรถยนต์ ได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้การกรอกฟอร์มออนไลน์เร็วขึ้นกว่าเดิม

    แม้ Google ยืนยันว่า ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส, เก็บไว้ด้วยความยินยอมของผู้ใช้, และ ต้องมีการยืนยันก่อนใช้งาน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกลับมองว่า การรวมข้อมูลสำคัญไว้ในที่เดียวกันอาจเป็นช่องทางใหม่ให้แฮกเกอร์โจมตี

    Nivedita Murthy จาก Black Duck เตือนว่า หากบัญชี Google ถูกเจาะ ไม่ใช่แค่ข้อมูลอีเมลที่รั่ว แต่รวมถึงข้อมูลระบุตัวตนที่สำคัญทั้งหมด เช่น พาสปอร์ตและใบขับขี่ที่ถูกเก็บไว้ในระบบเดียวกัน

    นอกจากนี้ ยังมีมัลแวร์อย่าง Shuyal Stealer ที่สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 17 ตัว รวมถึง Chrome ซึ่งทำให้การเก็บข้อมูลสำคัญในเบราว์เซอร์กลายเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Chrome Autofill
    รองรับข้อมูลพาสปอร์ต, ใบขับขี่, หมายเลขรถยนต์
    ใช้การเข้ารหัสและต้องมีการยืนยันก่อนใช้งาน
    ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ด้วยความยินยอมของผู้ใช้

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    การรวมข้อมูลไว้ในบัญชีเดียวเพิ่มความเสี่ยง
    หากบัญชี Google ถูกเจาะ ข้อมูลสำคัญทั้งหมดอาจรั่วไหล
    ผู้ใช้ควรพิจารณาความสะดวกเทียบกับความเสี่ยง

    ภัยคุกคามจากมัลแวร์
    Shuyal Stealer เจาะข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 17 ตัว
    Autofill กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของมัลแวร์

    การเปิดตัวแบบจำกัด
    ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Chrome บนเดสก์ท็อป
    Google มีแผนขยายการรองรับข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคต

    ความเสี่ยงจากการเก็บข้อมูลในเบราว์เซอร์
    ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหากเบราว์เซอร์ถูกเจาะ
    การเก็บข้อมูลหลายประเภทไว้ในบัญชีเดียวเพิ่มโอกาสถูกโจมตี

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัย
    การเข้ารหัสไม่ใช่การป้องกันแบบสมบูรณ์
    ผู้ใช้ยังต้องระวังการใช้บัญชี Google ในหลายบริการที่เชื่อมโยงกัน

    การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
    ชุมชนไซเบอร์เตือนมานานว่าไม่ควรเก็บรหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญในเบราว์เซอร์
    ความสะดวกไม่ควรแลกกับความปลอดภัยส่วนบุคคล

    ฟีเจอร์ใหม่นี้อาจช่วยให้ชีวิตออนไลน์สะดวกขึ้น แต่ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม—การตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ ควรเริ่มจากคำถามว่า “ข้อมูลนี้ควรอยู่ในเบราว์เซอร์จริงหรือ?”

    https://hackread.com/google-chrome-autofill-passports-licenses-safe/
    📰 “Chrome Autofill ขยายสู่พาสปอร์ตและใบขับขี่ – สะดวกหรือเสี่ยง?” Google ประกาศเพิ่มความสามารถใหม่ให้กับฟีเจอร์ Autofill บน Chrome โดยสามารถบันทึกและกรอกข้อมูลสำคัญอย่าง หมายเลขพาสปอร์ต, ใบขับขี่, และ หมายเลขรถยนต์ ได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้การกรอกฟอร์มออนไลน์เร็วขึ้นกว่าเดิม แม้ Google ยืนยันว่า ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส, เก็บไว้ด้วยความยินยอมของผู้ใช้, และ ต้องมีการยืนยันก่อนใช้งาน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกลับมองว่า การรวมข้อมูลสำคัญไว้ในที่เดียวกันอาจเป็นช่องทางใหม่ให้แฮกเกอร์โจมตี Nivedita Murthy จาก Black Duck เตือนว่า หากบัญชี Google ถูกเจาะ ไม่ใช่แค่ข้อมูลอีเมลที่รั่ว แต่รวมถึงข้อมูลระบุตัวตนที่สำคัญทั้งหมด เช่น พาสปอร์ตและใบขับขี่ที่ถูกเก็บไว้ในระบบเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีมัลแวร์อย่าง Shuyal Stealer ที่สามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 17 ตัว รวมถึง Chrome ซึ่งทำให้การเก็บข้อมูลสำคัญในเบราว์เซอร์กลายเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Chrome Autofill ➡️ รองรับข้อมูลพาสปอร์ต, ใบขับขี่, หมายเลขรถยนต์ ➡️ ใช้การเข้ารหัสและต้องมีการยืนยันก่อนใช้งาน ➡️ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ด้วยความยินยอมของผู้ใช้ ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การรวมข้อมูลไว้ในบัญชีเดียวเพิ่มความเสี่ยง ➡️ หากบัญชี Google ถูกเจาะ ข้อมูลสำคัญทั้งหมดอาจรั่วไหล ➡️ ผู้ใช้ควรพิจารณาความสะดวกเทียบกับความเสี่ยง ✅ ภัยคุกคามจากมัลแวร์ ➡️ Shuyal Stealer เจาะข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 17 ตัว ➡️ Autofill กลายเป็นเป้าหมายใหม่ของมัลแวร์ ✅ การเปิดตัวแบบจำกัด ➡️ ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้ Chrome บนเดสก์ท็อป ➡️ Google มีแผนขยายการรองรับข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคต ‼️ ความเสี่ยงจากการเก็บข้อมูลในเบราว์เซอร์ ⛔ ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหากเบราว์เซอร์ถูกเจาะ ⛔ การเก็บข้อมูลหลายประเภทไว้ในบัญชีเดียวเพิ่มโอกาสถูกโจมตี ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัย ⛔ การเข้ารหัสไม่ใช่การป้องกันแบบสมบูรณ์ ⛔ ผู้ใช้ยังต้องระวังการใช้บัญชี Google ในหลายบริการที่เชื่อมโยงกัน ‼️ การละเลยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ชุมชนไซเบอร์เตือนมานานว่าไม่ควรเก็บรหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญในเบราว์เซอร์ ⛔ ความสะดวกไม่ควรแลกกับความปลอดภัยส่วนบุคคล ฟีเจอร์ใหม่นี้อาจช่วยให้ชีวิตออนไลน์สะดวกขึ้น แต่ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม—การตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ ควรเริ่มจากคำถามว่า “ข้อมูลนี้ควรอยู่ในเบราว์เซอร์จริงหรือ?” https://hackread.com/google-chrome-autofill-passports-licenses-safe/
    HACKREAD.COM
    Google Expands Chrome Autofill to Passports and Licenses, But Is It Safe?
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • สองช่องโหว่ร้ายแรงถูกใช้โจมตีจริง—CISA เตือนให้เร่งอุดช่องโหว่ก่อนสายเกินไป

    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนภัยไซเบอร์ด่วน โดยเพิ่มสองช่องโหว่ใหม่เข้าสู่รายการ Known Exploited Vulnerabilities (KEV) หลังพบการโจมตีจริงในระบบขององค์กรต่างๆ ทั่วโลก ช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบและรันคำสั่งได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ช่องโหว่แรก: Gladinet CentreStack และ Triofox (CVE-2025-11371)
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการตั้งค่าดีฟอลต์ที่ไม่ปลอดภัยในซอฟต์แวร์แชร์ไฟล์สำหรับองค์กร ทำให้เกิดช่องโหว่แบบ Local File Inclusion (LFI) ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีอ่านไฟล์สำคัญในระบบ เช่น Web.config ที่เก็บ machineKey

    เมื่อได้ machineKey แล้ว ผู้โจมตีสามารถสร้าง ViewState payload ที่ผ่านการตรวจสอบ และรันคำสั่งในระบบได้ทันที—เรียกว่า Remote Code Execution (RCE) แบบเต็มรูปแบบ

    ช่องโหว่ที่สอง: Control Web Panel (CVE-2025-48703)
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่รัดกุม และการไม่กรองข้อมูลในพารามิเตอร์ t_total ซึ่งใช้กำหนดสิทธิ์ไฟล์ ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งผ่าน shell metacharacters โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เพียงแค่รู้ชื่อผู้ใช้ที่ไม่ใช่ root ก็สามารถเข้าถึงระบบได้

    ช่องโหว่นี้ถูกเปิดเผยในเดือนพฤษภาคม และมีการอัปเดตแก้ไขในเวอร์ชัน 0.9.8.1205 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

    CISA เพิ่มช่องโหว่ทั้งสองในรายการ KEV
    เตือนหน่วยงานภาครัฐให้เร่งอัปเดตระบบภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025
    ช่องโหว่เหล่านี้ “มีความเสี่ยงสูงต่อระบบของรัฐบาลกลาง”

    ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตระบบ
    องค์กรอาจถูกโจมตีแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน
    ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหรือระบบถูกควบคุมจากภายนอก

    การตั้งค่าดีฟอลต์ที่ไม่ปลอดภัย
    machineKey ที่เปิดเผยในไฟล์ config อาจถูกใช้โจมตี
    การไม่กรอง input ทำให้ shell commands ถูกรันโดยตรง

    นี่คือสัญญาณเตือนให้ทุกองค์กรตรวจสอบระบบของตนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะหากใช้ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับช่องโหว่เหล่านี้ การอัปเดตและปรับแต่งระบบให้ปลอดภัยไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือการป้องกันความเสียหายระดับองค์กร.

    https://securityonline.info/cisa-kev-alert-two-critical-flaws-under-active-exploitation-including-gladinet-lfi-rce-and-cwp-admin-takeover/
    ⚠️ สองช่องโหว่ร้ายแรงถูกใช้โจมตีจริง—CISA เตือนให้เร่งอุดช่องโหว่ก่อนสายเกินไป หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนภัยไซเบอร์ด่วน โดยเพิ่มสองช่องโหว่ใหม่เข้าสู่รายการ Known Exploited Vulnerabilities (KEV) หลังพบการโจมตีจริงในระบบขององค์กรต่างๆ ทั่วโลก ช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงระบบและรันคำสั่งได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน 🧨 ช่องโหว่แรก: Gladinet CentreStack และ Triofox (CVE-2025-11371) ช่องโหว่นี้เกิดจากการตั้งค่าดีฟอลต์ที่ไม่ปลอดภัยในซอฟต์แวร์แชร์ไฟล์สำหรับองค์กร ทำให้เกิดช่องโหว่แบบ Local File Inclusion (LFI) ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีอ่านไฟล์สำคัญในระบบ เช่น Web.config ที่เก็บ machineKey เมื่อได้ machineKey แล้ว ผู้โจมตีสามารถสร้าง ViewState payload ที่ผ่านการตรวจสอบ และรันคำสั่งในระบบได้ทันที—เรียกว่า Remote Code Execution (RCE) แบบเต็มรูปแบบ 🧨 ช่องโหว่ที่สอง: Control Web Panel (CVE-2025-48703) ช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบสิทธิ์ที่ไม่รัดกุม และการไม่กรองข้อมูลในพารามิเตอร์ t_total ซึ่งใช้กำหนดสิทธิ์ไฟล์ ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งผ่าน shell metacharacters โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน เพียงแค่รู้ชื่อผู้ใช้ที่ไม่ใช่ root ก็สามารถเข้าถึงระบบได้ ช่องโหว่นี้ถูกเปิดเผยในเดือนพฤษภาคม และมีการอัปเดตแก้ไขในเวอร์ชัน 0.9.8.1205 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ✅ CISA เพิ่มช่องโหว่ทั้งสองในรายการ KEV ➡️ เตือนหน่วยงานภาครัฐให้เร่งอัปเดตระบบภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ช่องโหว่เหล่านี้ “มีความเสี่ยงสูงต่อระบบของรัฐบาลกลาง” ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดตระบบ ⛔ องค์กรอาจถูกโจมตีแบบไม่ต้องยืนยันตัวตน ⛔ ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหรือระบบถูกควบคุมจากภายนอก ‼️ การตั้งค่าดีฟอลต์ที่ไม่ปลอดภัย ⛔ machineKey ที่เปิดเผยในไฟล์ config อาจถูกใช้โจมตี ⛔ การไม่กรอง input ทำให้ shell commands ถูกรันโดยตรง นี่คือสัญญาณเตือนให้ทุกองค์กรตรวจสอบระบบของตนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะหากใช้ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับช่องโหว่เหล่านี้ การอัปเดตและปรับแต่งระบบให้ปลอดภัยไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือการป้องกันความเสียหายระดับองค์กร. https://securityonline.info/cisa-kev-alert-two-critical-flaws-under-active-exploitation-including-gladinet-lfi-rce-and-cwp-admin-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA KEV Alert: Two Critical Flaws Under Active Exploitation, Including Gladinet LFI/RCE and CWP Admin Takeover
    CISA added two critical, actively exploited flaws to its KEV Catalog: Gladinet LFI (CVE-2025-11371) risks RCE via machine key theft, and CWP RCE (CVE-2025-48703) allows unauthenticated admin takeover.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI

    Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

    Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที

    Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที

    Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ

    Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน

    Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker
    อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี
    ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc.

    Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง
    ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์
    มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย

    เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้”
    ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น

    ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น
    รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก

    ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง
    ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม
    การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์

    ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์
    องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล
    ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร

    นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล.

    https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    🧠 ข่าวใหญ่ในวงการข่าวกรอง: อดีต CTO CIA ร่วมทีม Brinker เพื่อสู้ภัยข่าวลวงด้วย AI Bob Flores อดีต Chief Technology Officer ของ CIA ได้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับ Brinker บริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง (narrative intelligence) ที่มุ่งมั่นต่อสู้กับการบิดเบือนข้อมูลและแคมเปญอิทธิพลระดับโลกด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง Brinker ก่อตั้งโดย Benny Schnaider, Daniel Ravner และ Oded Breiner โดยมีเป้าหมายชัดเจน: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสกัดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยในโลกออนไลน์แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่ตรวจจับ แต่ต้อง “ตอบโต้” ได้ทันที Bob Flores กล่าวไว้ว่า “การรับมือกับข่าวลวงแบบเดิมๆ ไม่ทันต่อความเร็วและขนาดของแคมเปญอิทธิพลในปัจจุบัน” และเขาเชื่อว่า Brinker จะเปลี่ยนเกมนี้ได้ด้วยระบบที่วิเคราะห์และตอบโต้ได้ทันที Brinker ใช้ LLM (Large Language Model) ที่พัฒนาเอง ซึ่งสามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัยได้ข้ามแพลตฟอร์ม ภาษา และภูมิศาสตร์ พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลที่เครื่องมือเดิมต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นภาพ Flores ซึ่งมีประสบการณ์ด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีระดับสูง ยังเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ และการเข้าร่วมของเขาใน Brinker ถือเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ หลังจากที่ Avi Kastan อดีต CEO ของ Sixgill ก็เพิ่งเข้าร่วมทีมที่ปรึกษาเช่นกัน ✅ Bob Flores เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษา Brinker ➡️ อดีต CTO ของ CIA ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและเทคโนโลยี ➡️ ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง Applicology Inc. ✅ Brinker คือบริษัทเทคโนโลยีข่าวกรองเชิงเนื้อเรื่อง ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์และตอบโต้ข่าวลวงแบบเรียลไทม์ ➡️ มี LLM ที่สามารถติดตามวิวัฒนาการของเนื้อหาอันเป็นภัย ✅ เป้าหมายของ Brinker คือการเปลี่ยนจาก “ตรวจจับ” เป็น “ตอบโต้” ➡️ ระบบสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น ลบเนื้อหา, เผยแพร่เนื้อหาตอบโต้, ดำเนินการทางกฎหมายเบื้องต้น ✅ ทีมที่ปรึกษา Brinker แข็งแกร่งขึ้น ➡️ รวมผู้เชี่ยวชาญจาก CIA และ Sixgill ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามระดับโลก ‼️ ความท้าทายของการต่อสู้กับข่าวลวง ⛔ ข่าวลวงแพร่กระจายเร็วและข้ามแพลตฟอร์ม ⛔ การตอบโต้แบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์ ‼️ ความเสี่ยงหากไม่มีระบบตอบโต้แบบเรียลไทม์ ⛔ องค์กรอาจตกเป็นเป้าหมายของแคมเปญอิทธิพล ⛔ ข้อมูลผิดอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับชาติและองค์กร นี่คือการเคลื่อนไหวที่สะท้อนว่า “สงครามข้อมูล” ในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และการมีผู้เชี่ยวชาญระดับ Bob Flores เข้ามาเสริมทัพ Brinker คือการประกาศชัดว่า AI จะเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับภัยเงียบในโลกดิจิทัล. https://securityonline.info/bob-flores-former-cto-of-the-cia-joins-brinker/
    SECURITYONLINE.INFO
    Bob Flores, Former CTO of the CIA, Joins Brinker
    Delaware, United States, 4th November 2025, CyberNewsWire
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 1

    ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว

    เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า

    อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน

    ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้
    นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม

    Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน

    เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม

    Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู

    เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น

    ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 2

    ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ
    Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 %

    เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก

    J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน

    มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน

    เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia

    ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ
    จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง….

    แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที

    ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์”

    สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 3

    นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ
    บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม !

    Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย
    นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson

    ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…”

    4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก

    Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน

    กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น

    สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ
    จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 1 ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้ นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 2 ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 % เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง…. แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์” สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 3 นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ! Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…” 4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 1

    ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน

    มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่

    ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916

    ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม

    คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก”

    ตอน 2

    Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย

    Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี

    พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ

    House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน

    ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson
    ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E

    House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ

    เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา

    House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ

    ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม

    แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม

    มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – หน้าฉาก หลังฉาก 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 1 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มปะทะกันในยุโรป คนอเมริกัน มากกว่า 1 ใน 3 เป็นพวกต่างชาติ ที่อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และส่วนใหญ่มาจาก เยอรมัน ไอร์แลนด์ และอิตาลี คนส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีผลประโยชน์กับสงครามโลกที่กำลังดำเนินอยู่ในยุโรป ไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยนี่นะ และโดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีอยู่ในอเมริกา ประมาณ 6 ล้านคน คงไม่อยากให้อเมริกาทำสงครามกับเยอรมัน มันเป็นความคิด คนละชุดกับของคนอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีจำนวนเล็กน้อยมาก จนเทียบกับเสียงส่วนใหญ่ของคนอเมริกันไม่ได้ แต่คนพวกนี้ เป็นนักการเงิน นักธุรกิจ พวกอีลิต ที่กำลังทำธุรกิจอยู่กับกับอังกฤษ และฝรั่งเศส และกำลังครอบงำธุรกิจของอเมริกา และรัฐบาลของอเมริกาอยู่ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา ซึ่งเป็นหุ่นถูกเชิด หรือสมคบกับกลุ่มนักการเงินวอลสตรีท เพื่อออกกฏหมาย Federal Reserve Act ในปี 1913 ได้รับเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอีก เป็นวาระที่ 2 ในปี 1916 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี กลุ่มนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา ประชุมวางแผนกันที่บ้านของ Elbert Gary เจ้าพ่ออุตสาหกรรมเหล็กของอเม ริกาคนหนึ่ง โดยมีผู้ร่วมประชุม เช่น August Belmont (ตัวแทนของ กลุ่ม Rothschild ซึ่งมีข่าวว่า เป็นลูกนอกสมรสของพวก Rothschild) Jacob Schiff, George F Baker, Cornelius Vanderbilt รวมทั้งอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt และ George W Pergins คนถือกระเป๋าบรรจุขนมของ J P Morgan เอาไว้แจกนักการเมืองยามจำเป็น และเป็นอดีตหุ้นส่วนของ J P Morgan ด้วย ที่ประชุมตกลงที่จะสนับสนุน ให้ Woodlow Wilson เป็นประธานาธิบดี อีกสมัยหนึ่ง เป็นการสนับสนุนอย่างลับๆ โดยไม่ไร้วัตถุประสงค์ ในการหาเสียง ทีมงานของ Wilson ใช้คำขวัญประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “he kept us out of war” เขาไม่พาเราเข้าสงคราม คำขวัญนี้ กำหนดโดยคณะที่ปรึกษาในการหาเสี ยง และที่ปรึกษาคนสำคัญของ Wilson คือ Colonel Edward M. House ก็เห็นด้วย เมื่อได้รับตำแหน่งหมาดๆ Wilson ประกาศว่า เราเป็นรัฐบาลของประชาชน และประชาชนของเราไม่ต้องการทำสงคราม ผ่านไปปีกว่า ประชาชนชาวอเมริกันก็ยังไม่อยากให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม แต่ Wilson กลับลำ ประกาศนำอเมริกาเข้าร่วมสงครามโลก ยกเลิกบทบาทประเทศเป็นกลาง อย่างหน้าตาเฉย นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 9 “หน้าฉาก หลังฉาก” ตอน 2 Col. Edward M House เป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูง และเป็นตัวละครสำคัญ ที่ทำหน้าที่ชักใยอยู่หลังฉาก ในละครลวงโลกเรื่องปฏิวิติ Bolsheviks หรือปล้นรัสเซีย Col. House ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ของ ประธานาธิบดี Wilson และประธานาธิบดี Flanklin D Roosevelt ในช่วงต่อจาก Wilson ด้วย เขามีความใกล้ชิดกับ J P Morgan และครอบครัวนักการเงินรุ่นเก๋าของอังกฤษ แม้จะเติบโตมาจากเมือง Houston, Texas แต่เขาก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่อังกฤษอยู่หลายปี พ่อของ House , Thomas William House เป็นคนอังกฤษ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา และทำรายได้จนเรียกได้ว่าเป็นคนรวย จากการเป็นตัวแทนให้สถาบันการเงินอังกฤษ ในช่วงสงครามที่รบกันระหว่างรัฐ ของอเมริกา ข่าวว่า เขาเป็นตัวแทนของตระกูล Rothschild พ่อเขา House ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกอยู่อย่างสบาย แค่ต้องการให้ลูก “รู้จัก และ รับใช้” อังกฤษ House เป็นคนสนใจการเมือง และชอบที่จะเล่นบทอยู่หลังฉากมากกว่าหน้าฉาก เขาเริ่มหาประสบการณ์ทางการเมือง โดยการเข้าไปสนับสนุนผู้สมัคร เลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสถึง 4 สมัย หนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่เขาหนุนจนได้ตำแหน่ง เป็นคนเรียกเขาว่า ผู้พัน หลังจากนั้นเขาเลยกลายเป็น Col. House ของทุกคน ประมาณปี ค.ศ. 1902 เขาย้ายมาอยู่นิวยอร์ค และเข้าสังคมชั้นสูง หลังจากนั้นจึงเข้ามาป้วนเปี้ยน ในการเมืองสนามใหญ่ มองหาม้ามืด มาฝึกเอาถ้วยรางวัล เขาเล็งได้ม้ามืด ชื่อ Woodlow Wilson เขาร่วมวางแผนหาเสียงให้ Wilson จนได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่รับตำแหน่งในรัฐบาล เขาเลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว และดูแลงานด้านการต่างประเทศให้ Wilson ความใหญ่ของ House ในช่วงนั้นเป็นที่เล่าขานกันทั่ว ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการตั้งนาย Robert Lansing เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ นักข่าวหน้าใหม่ไม่รู้จัก ตะโกนถามกันว่า Lansing สะกดยังไงนะ นักข่าวรุ่นเก๋าตะโกนตอบว่า สะกดว่า H O U S E House ใกล้ชิดสนิทสนม กับประธานาธิบดี Wilson อย่างยิ่ง เรียกว่าเห็นหนังตากระตุก ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไร หลายตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีของ Wilson ที่ปรึกษา House เป็นผู้เลือก Wilson แค่ออกแรงลงชื่อ เมื่อการสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ของ Wilson ในสมัยที่ 2 ใกล้เข้ามา ที่ปรึกษา House ก็เริ่มหารืออย่างลับๆ กับ Sir William Wiseman ซึ่งทำงานที่สถานฑูตอังกฤษ ในอเมริกา Wiseman คือหัวหน้าข่าวกรองของอังกฤษในอเมริกา นั่นแหละ เพื่อให้ Wiseman ไปปูทางกับอังกฤษ ก่อนที่ House จะไปเจรจา House เจรจากับรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศส ในนามของ Wilson ว่า ถ้า Wilson ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกด้วย โดยจะใช้แผนเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน ซึ่งอเมริกาจะยื่นเงื่อนไขของการสงบศึกกับทั้ง 2 ฝ่าย ถ้ามีฝ่ายใดไม่รับข้อเสนอ อเมริกาก็จะเข้าทำสงครามด้วย และแผนลับคือ อเมริกาจะเสนอเงื่อนไขกับทางเยอรมัน ชนิดที่จะทำให้เยอรมันไม่มีทางรับได้ และก็จะทำให้เยอรมันกลายเป็นผู้ร้าย และอเมริกาจะได้เข้าสู่สงครามแบบพระเอก บทน้ำเน่าไปหน่อย แต่เขาเสนออย่างนั้นจริงๆ ดูอย่างคนนอก มันคงเป็นเรื่องที่ House เล่นนอกบท มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ Wilson แสดงภาพพจน์ว่าเป็นคนรักสงบ ไม่เอาสงคราม แต่จริงๆ แล้ว Wilson รู้ดีว่า การเป็นกลาง และการเข้าสู่สงคราม มันเป็นบทของละครลวงโลกทั้งสิ้น และ Wilson รู้ด้วยว่า ถ้าอเมริกาเข้าสงครามในจังหวะที่เหมาะ จะมีผลกับสงครามอย่างไร และจะทำให้พวกสัมพันธมิตรต้องพึ่ง อเมริกาขนาดไหน ทั้งด้านกองกำลัง และด้านการเงินทุนสนับสนุน และถ้าเงินทุนสนับสนุน มันจำนวนใหญ่พอ เขานั่นแหละ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข และชะตาของสันติภาพ หรือชะตาของโลกหลังสงคราม มันก็เป็นความคิดที่ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่หวังจะเป็นผู้ตัดสินชะตาโลกหลังสงคราม อเมริการู้เป้าหมายของอังกฤษอย่างดี แต่ไม่แน่ว่าตอนนั้น อังกฤษรู้เป้าหมายของอเมริกาที่แท้จริงของอเมริกา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ..ประเด็นเพื่อชี้เป้าว่า,ทหารไทย กองทัพไทยต้องยึดอำนาจตอนนี้โดยรวดเร็วเพื่อวางแผนรับมือการลดประชากรคนไทย ลูกหลายคนไทยจะกำพร้าพ่อแม่เป็นอันมาก หากลูกหลานเราที่เรียนหนังสือรอดจากการบังคับฉีดวัคซีนกันทั่วประเทศในแต่ละโรงเรียน,ปัจจุบันเด็กลาป่วยรื้อรังเป็นอันมาก คนไทยในแต่ละหมู่บ้านตายมากผิดปกติกว่าที่เคยผ่านมา วูบตายพื้นฐาน ติดเชื้อในกระแสเลือดสไตล์หมอจะบอกคนไข้ญาติคนตายก็ว่า,และสาระพัดตายจากโรคต่างๆใน1,291โรค,ทหารยึดอำนาจเราจะวางใจมาก,ยังเตรียมสั่งการรับมือฝ่ายไม่ดีได้,แต่บริบทกองทัพไทยดูแล้วน่าผิดหวังมาก ,เสือกปล่อยให้รัฐบาลหนูที่ส้มล้มเจ้ายกชูสนับสนุนมาเป็นรัฐบาลมาแวงกัดกองทัพไทยกว่าอุ๊งอิ๊งได้อีก,ไร้น้ำยามาก เสียเครดิตจากที่เราตายทั้งประชาชนและทหารหาญกล้า5วัน 24ถึง28ก.ค.68นี้มาก,ท่านทรยศในชีวิตคนเหล่านั้นสิ้นดี,
    ..การยึดอำนาจการประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจึงเหมาะสมมากหากท่านคือฝ่ายแสงมิใช่ฝ่ายมืดซาตานเลวๆอย่างที่ผ่านๆมา,เรา..ประเทศไทยยืนเอกไม่แพ้ชาติใดในโลกแน่นอน.,แก่นแท้จริงคืออาวุธชีวภาพจากปืนที่มาในคราบเข็มที่ยิงใส่คนไทยเตรียมเก็บศพแล้ว,การรักษาจึงสำคัญ มันกำลังเบียงเบนในชีวิตคนไทยชัดเจนด้วยด้านสุขภาพ เพราะคนไทยตายเกือบหมดประเทศมันจะทำสงครามทำซากอะไร ก็ยึดก็มาครองอยู่แทนคนไทยสบายแล้ว ,ตัดตอนคือกองทัพไทยต้องยึดอำนาจก่อนเสีย.,แต่ไม่มีท่าทีใดๆเลย,ทหารไทยเราอ่อนแอจริงๆเหรอ,ภาพมหาภาคใหญ่หลวงขนาดนี้ดูหมากไม่ออกเลยเหรอ,อำนาจเท่านั้นต้องอยู่ในประเทศไทยเรา,มิใช่ต่างประเทศที่ปกครองผ่านนอมินีจากภาคนักการเมืองไทยในปัจจุบันนี้,ทหารไทยต้องคิดให้ได้ ทำให้ถึง จบให้เป็นสำเร็จ.

    https://youtube.com/watch?v=dL8_t531NP8&si=vhoMpSZ4YCg42SM-
    ..ประเด็นเพื่อชี้เป้าว่า,ทหารไทย กองทัพไทยต้องยึดอำนาจตอนนี้โดยรวดเร็วเพื่อวางแผนรับมือการลดประชากรคนไทย ลูกหลายคนไทยจะกำพร้าพ่อแม่เป็นอันมาก หากลูกหลานเราที่เรียนหนังสือรอดจากการบังคับฉีดวัคซีนกันทั่วประเทศในแต่ละโรงเรียน,ปัจจุบันเด็กลาป่วยรื้อรังเป็นอันมาก คนไทยในแต่ละหมู่บ้านตายมากผิดปกติกว่าที่เคยผ่านมา วูบตายพื้นฐาน ติดเชื้อในกระแสเลือดสไตล์หมอจะบอกคนไข้ญาติคนตายก็ว่า,และสาระพัดตายจากโรคต่างๆใน1,291โรค,ทหารยึดอำนาจเราจะวางใจมาก,ยังเตรียมสั่งการรับมือฝ่ายไม่ดีได้,แต่บริบทกองทัพไทยดูแล้วน่าผิดหวังมาก ,เสือกปล่อยให้รัฐบาลหนูที่ส้มล้มเจ้ายกชูสนับสนุนมาเป็นรัฐบาลมาแวงกัดกองทัพไทยกว่าอุ๊งอิ๊งได้อีก,ไร้น้ำยามาก เสียเครดิตจากที่เราตายทั้งประชาชนและทหารหาญกล้า5วัน 24ถึง28ก.ค.68นี้มาก,ท่านทรยศในชีวิตคนเหล่านั้นสิ้นดี, ..การยึดอำนาจการประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจึงเหมาะสมมากหากท่านคือฝ่ายแสงมิใช่ฝ่ายมืดซาตานเลวๆอย่างที่ผ่านๆมา,เรา..ประเทศไทยยืนเอกไม่แพ้ชาติใดในโลกแน่นอน.,แก่นแท้จริงคืออาวุธชีวภาพจากปืนที่มาในคราบเข็มที่ยิงใส่คนไทยเตรียมเก็บศพแล้ว,การรักษาจึงสำคัญ มันกำลังเบียงเบนในชีวิตคนไทยชัดเจนด้วยด้านสุขภาพ เพราะคนไทยตายเกือบหมดประเทศมันจะทำสงครามทำซากอะไร ก็ยึดก็มาครองอยู่แทนคนไทยสบายแล้ว ,ตัดตอนคือกองทัพไทยต้องยึดอำนาจก่อนเสีย.,แต่ไม่มีท่าทีใดๆเลย,ทหารไทยเราอ่อนแอจริงๆเหรอ,ภาพมหาภาคใหญ่หลวงขนาดนี้ดูหมากไม่ออกเลยเหรอ,อำนาจเท่านั้นต้องอยู่ในประเทศไทยเรา,มิใช่ต่างประเทศที่ปกครองผ่านนอมินีจากภาคนักการเมืองไทยในปัจจุบันนี้,ทหารไทยต้องคิดให้ได้ ทำให้ถึง จบให้เป็นสำเร็จ. https://youtube.com/watch?v=dL8_t531NP8&si=vhoMpSZ4YCg42SM-
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • ## เบื่อนักวิชาการ บางประเภทมากๆ ##
    ..
    ..
    พอเรียนมาก อ่านมาก สอนคนมาก มีคนนับถือมากเข้า...
    .
    จะพูดจะจาอะไร ก็ราวกับ ล่องลอยออกจากสรวงสวรรค์ที่เรียกว่า "ตำรา"
    .
    เหมือนกับว่า ทั้งชีวิต ฝึกหัดบำเพ็ญแต่วิชาเซียน ไม่ได้กินนอน หรือ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่บนโลกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย...
    .
    มันผยองว่า กูนั้นแน่กว่าใคร เพราะกูเป็นนักตำรา เป็นเจ้าหลักการ ตามตำรา...
    .
    ยิ่งใหญ่ราวกับ เป็นผู้ประกาศ สารสวรรค์จากแดนเซียน
    .
    รู้สึกว่าตัวเองสามารถเปล่ง แสงเฮ้ากวง ออกมาได้
    .
    อันที่จริงผมก็พอเข้าใจแหละ...
    ....
    ....
    ตอนเรียกฎหมาย อาจารย์บางคนที่ เพ้อเจ้อแบบไร้ความรับผิดชอบในคำพูดตัวเอง ส่อสันดานออกมา แทนที่จะสอนหนังสือ
    .
    พอผมฟังได้ซัก 10 นาที ยังไม่จบ ผมก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องไป...
    .
    เขาว่าเมื่อนักเรียนพร้อม อาจารย์จะปรากฏ
    .
    แต่สำหรับผม...
    .
    เมื่อผมพร้อมเรียนรู้ แต่ อาจารย์ไม่คู่ควร ผมก็อ่านเอง สอบผ่านเองได้ครับ...
    .
    จะไปนับถือแม่งทำไม...
    .

    .
    ปล.
    .
    ไอ้ตอนที่ประเทศไทย เสีย 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบตัวปราสาทพระวิหารเนี่ย ก็เพราะ "ไอ้ผู้รู้" จาก 2 กระทรวงกร๊วก นั่นไม่ใช่เหรอ...???
    .
    อยากหลอกตัวเองให้ เชื่อว่าตัวเองเก่งทุกเรื่อง ไม่เคยผิด ก็ล้างสมองกันต่อไปเถอะ
    .
    ผลงานมันฟ้องเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกอยู่ทนโท่แล้ว...
    .
    ถ้าไม่ใช้เขางอกจนโง้งขนาดหนัก ก็น่าเข้าใจได้ไม่ยากหรอก...
    .

    .
    https://youtube.com/shorts/0p0piMbDFgE?si=9ZcFGpHTYmZJK-PC
    ## เบื่อนักวิชาการ บางประเภทมากๆ ## .. .. พอเรียนมาก อ่านมาก สอนคนมาก มีคนนับถือมากเข้า... . จะพูดจะจาอะไร ก็ราวกับ ล่องลอยออกจากสรวงสวรรค์ที่เรียกว่า "ตำรา" . เหมือนกับว่า ทั้งชีวิต ฝึกหัดบำเพ็ญแต่วิชาเซียน ไม่ได้กินนอน หรือ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่บนโลกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย... . มันผยองว่า กูนั้นแน่กว่าใคร เพราะกูเป็นนักตำรา เป็นเจ้าหลักการ ตามตำรา... . ยิ่งใหญ่ราวกับ เป็นผู้ประกาศ สารสวรรค์จากแดนเซียน . รู้สึกว่าตัวเองสามารถเปล่ง แสงเฮ้ากวง ออกมาได้ . อันที่จริงผมก็พอเข้าใจแหละ... .... .... ตอนเรียกฎหมาย อาจารย์บางคนที่ เพ้อเจ้อแบบไร้ความรับผิดชอบในคำพูดตัวเอง ส่อสันดานออกมา แทนที่จะสอนหนังสือ . พอผมฟังได้ซัก 10 นาที ยังไม่จบ ผมก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องไป... . เขาว่าเมื่อนักเรียนพร้อม อาจารย์จะปรากฏ . แต่สำหรับผม... . เมื่อผมพร้อมเรียนรู้ แต่ อาจารย์ไม่คู่ควร ผมก็อ่านเอง สอบผ่านเองได้ครับ... . จะไปนับถือแม่งทำไม... . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . ปล. . ไอ้ตอนที่ประเทศไทย เสีย 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบตัวปราสาทพระวิหารเนี่ย ก็เพราะ "ไอ้ผู้รู้" จาก 2 กระทรวงกร๊วก นั่นไม่ใช่เหรอ...??? . อยากหลอกตัวเองให้ เชื่อว่าตัวเองเก่งทุกเรื่อง ไม่เคยผิด ก็ล้างสมองกันต่อไปเถอะ . ผลงานมันฟ้องเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกอยู่ทนโท่แล้ว... . ถ้าไม่ใช้เขางอกจนโง้งขนาดหนัก ก็น่าเข้าใจได้ไม่ยากหรอก... . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . https://youtube.com/shorts/0p0piMbDFgE?si=9ZcFGpHTYmZJK-PC
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: พบช่องโหว่ Zero-Click RCE ร้ายแรงใน Android 13–16—แนะผู้ใช้รีบอัปเดตทันที!

    Google ได้ออกประกาศเตือนภัยผ่าน Android Security Bulletin ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 ถึงช่องโหว่ร้ายแรงระดับ “critical” ที่พบใน System Component ของ Android เวอร์ชัน 13 ถึง 16 โดยช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้เลย—หรือที่เรียกว่า “Zero-Click Remote Code Execution (RCE)” ซึ่งอาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที

    ช่องโหว่ CVE-2025-48593 ถูกจัดอยู่ในระดับ “critical”
    ไม่ต้องใช้สิทธิ์เพิ่มเติมในการโจมตี
    ไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ เช่น การคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์

    ส่งผลกระทบต่อ Android เวอร์ชัน 13 ถึง 16
    ครอบคลุมอุปกรณ์จำนวนมากในตลาด
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าได้รับแพตช์เดือนพฤศจิกายน 2025 แล้วหรือยัง

    Google ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค
    เพื่อป้องกันการนำไปใช้โจมตีในวงกว้าง
    แต่ยืนยันว่าความรุนแรงขึ้นอยู่กับการหลบหลีกมาตรการป้องกันของระบบ

    แพตช์ความปลอดภัย 2025-11-01 ได้แก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว
    ผู้ผลิตเช่น Samsung, Pixel, OnePlus จะรวมแพตช์ใน OTA ประจำเดือน
    การอัปเดตทันทีเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัย

    ช่องโหว่อื่นที่ถูกแก้ไขร่วมด้วย
    CVE-2025-48581: Elevation of Privilege (EoP) ใน System Component
    อาจทำให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในอุปกรณ์

    https://securityonline.info/android-zero-click-rce-cve-2025-48593-in-system-component-requires-immediate-patch-for-versions-13-16/
    📱 หัวข้อข่าว: พบช่องโหว่ Zero-Click RCE ร้ายแรงใน Android 13–16—แนะผู้ใช้รีบอัปเดตทันที! Google ได้ออกประกาศเตือนภัยผ่าน Android Security Bulletin ประจำเดือนพฤศจิกายน 2025 ถึงช่องโหว่ร้ายแรงระดับ “critical” ที่พบใน System Component ของ Android เวอร์ชัน 13 ถึง 16 โดยช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้เลย—หรือที่เรียกว่า “Zero-Click Remote Code Execution (RCE)” ซึ่งอาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-48593 ถูกจัดอยู่ในระดับ “critical” ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์เพิ่มเติมในการโจมตี ➡️ ไม่ต้องมีการโต้ตอบจากผู้ใช้ เช่น การคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ ✅ ส่งผลกระทบต่อ Android เวอร์ชัน 13 ถึง 16 ➡️ ครอบคลุมอุปกรณ์จำนวนมากในตลาด ➡️ ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าได้รับแพตช์เดือนพฤศจิกายน 2025 แล้วหรือยัง ✅ Google ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค ➡️ เพื่อป้องกันการนำไปใช้โจมตีในวงกว้าง ➡️ แต่ยืนยันว่าความรุนแรงขึ้นอยู่กับการหลบหลีกมาตรการป้องกันของระบบ ✅ แพตช์ความปลอดภัย 2025-11-01 ได้แก้ไขช่องโหว่นี้แล้ว ➡️ ผู้ผลิตเช่น Samsung, Pixel, OnePlus จะรวมแพตช์ใน OTA ประจำเดือน ➡️ การอัปเดตทันทีเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัย ✅ ช่องโหว่อื่นที่ถูกแก้ไขร่วมด้วย ➡️ CVE-2025-48581: Elevation of Privilege (EoP) ใน System Component ➡️ อาจทำให้ผู้โจมตีเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงในอุปกรณ์ https://securityonline.info/android-zero-click-rce-cve-2025-48593-in-system-component-requires-immediate-patch-for-versions-13-16/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Zero-Click RCE (CVE-2025-48593) in System Component Requires Immediate Patch for Versions 13-16
    Google's November 2025 update fixes a Critical RCE flaw (CVE-2025-48593) in the Android System component. Exploitation requires no user interaction and affects Android versions 13 through 16.
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • ลามีน ยามาล ประกาศเลิกแฟน (04/11/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ทีมชาติสเปน #ดาวรุ่งยอดเยี่ยม
    ลามีน ยามาล ประกาศเลิกแฟน (04/11/68) #news1 #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #ทีมชาติสเปน #ดาวรุ่งยอดเยี่ยม
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 0 Reviews
  • นายกฯ ประกาศเดินหน้า ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ ตามแนวชายแดน ย้ำไม่ละเลย ดูแลชายแดนไทย-เมียนมา หลัง KK Park กำลังถูกกวาดล้าง เผยจับตากลุ่มบุคคลมีชื่อเสียง-นักการเมือง เอี่ยวอาชญากรรมออนไลน์แบบปิดชื่อดูพฤติกรรม ไม่มีใครรอด ตนเอง-ผบ.ตร.-หน่วยงานเกี่ยวข้องไม่ติดหนี้บุญคุณใคร ลุยจับดำเนินคดีมาแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000105139

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    นายกฯ ประกาศเดินหน้า ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ ตามแนวชายแดน ย้ำไม่ละเลย ดูแลชายแดนไทย-เมียนมา หลัง KK Park กำลังถูกกวาดล้าง เผยจับตากลุ่มบุคคลมีชื่อเสียง-นักการเมือง เอี่ยวอาชญากรรมออนไลน์แบบปิดชื่อดูพฤติกรรม ไม่มีใครรอด ตนเอง-ผบ.ตร.-หน่วยงานเกี่ยวข้องไม่ติดหนี้บุญคุณใคร ลุยจับดำเนินคดีมาแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000105139 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • ร้านค้ารับเงินนักท่องเที่ยวจีน สแกนพร้อมเพย์ได้แล้ว

    ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นประจำควรรู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศการเปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นำร่อง 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และจะมีธนาคารเข้าร่วมให้บริการเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป

    โดยร้านค้าที่มี QR Code ซึ่งธนาคารจัดพิมพ์ให้ หรือแอปพลิเคชันรับเงินผ่าน QR Code สำหรับร้านค้า และเครื่องรูดบัตร EDC ที่รองรับ Thai QR Payment สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีน โดยสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Alipay, WeChat Pay และธนาคารจีนที่มี UnionPay ไปยัง Thai QR Payment โดยตรงเพื่อชำระเป็นเงินหยวน ก่อนที่จะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอัตโนมัติ และร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท โดยไม่ต้องสมัครและสร้าง QR Code ของ Alipay หรือ WeChat Pay แยกต่างหากอีกต่อไป

    มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็นธนาคารรับชำระดุล (Settlement Bank) ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่าง เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) กับ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้ให้บริการ Alipay จากจีน

    ประโยชน์ของบริการ Cross-border Payment ระหว่างไทยและจีน ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 มีผู้มาเยือนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนกว่า 6.7 ล้านคน รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน และชาวจีนที่อาศัยอยู่ระยะยาวในไทย สามารถใช้จ่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินหรือเปิดบัญชีธนาคารในไทย ครอบคลุมหลากหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งรับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และลาว สามารถสแกนจ่ายในไทยได้แล้วก่อนหน้านี้

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก ยังคงใช้ Promptpay QR Code สำหรับรับเงินโอนเฉพาะบุคคลจากโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก ไม่รองรับบริการ Cross-border Payment ทำให้ไม่สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รณรงค์ให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย

    #Newskit
    ร้านค้ารับเงินนักท่องเที่ยวจีน สแกนพร้อมเพย์ได้แล้ว ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นประจำควรรู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศการเปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นำร่อง 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และจะมีธนาคารเข้าร่วมให้บริการเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป โดยร้านค้าที่มี QR Code ซึ่งธนาคารจัดพิมพ์ให้ หรือแอปพลิเคชันรับเงินผ่าน QR Code สำหรับร้านค้า และเครื่องรูดบัตร EDC ที่รองรับ Thai QR Payment สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีน โดยสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Alipay, WeChat Pay และธนาคารจีนที่มี UnionPay ไปยัง Thai QR Payment โดยตรงเพื่อชำระเป็นเงินหยวน ก่อนที่จะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอัตโนมัติ และร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท โดยไม่ต้องสมัครและสร้าง QR Code ของ Alipay หรือ WeChat Pay แยกต่างหากอีกต่อไป มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็นธนาคารรับชำระดุล (Settlement Bank) ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่าง เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) กับ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้ให้บริการ Alipay จากจีน ประโยชน์ของบริการ Cross-border Payment ระหว่างไทยและจีน ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 มีผู้มาเยือนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนกว่า 6.7 ล้านคน รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน และชาวจีนที่อาศัยอยู่ระยะยาวในไทย สามารถใช้จ่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินหรือเปิดบัญชีธนาคารในไทย ครอบคลุมหลากหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งรับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และลาว สามารถสแกนจ่ายในไทยได้แล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก ยังคงใช้ Promptpay QR Code สำหรับรับเงินโอนเฉพาะบุคคลจากโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก ไม่รองรับบริการ Cross-border Payment ทำให้ไม่สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รณรงค์ให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย #Newskit
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • Amazon จับมือ OpenAI ในดีลมูลค่า $38 พันล้าน! เตรียมส่ง NVIDIA GB200/GB300 เสริมพลัง AI เจเนอเรชันใหม่

    Amazon และ OpenAI ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ โดย AWS จะกลายเป็นผู้ให้บริการคอมพิวต์หลักให้กับ OpenAI ผ่านเซิร์ฟเวอร์ AI ของ NVIDIA รุ่น GB200 และ GB300 ในดีลมูลค่ากว่า $38 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี.

    OpenAI กำลังเร่งขยายขีดความสามารถด้านคอมพิวต์เพื่อรองรับการเติบโตของโมเดล AI เจเนอเรชันใหม่ และดีลกับ AWS ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ โดย AWS มีประสบการณ์ในการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ระดับ 500,000 ชิป ซึ่งจะช่วยให้ OpenAI เข้าถึงทรัพยากรได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย

    แม้ Amazon จะมีชิป AI ของตัวเองอย่าง Trainium แต่ดีลนี้กลับเน้นไปที่เทคโนโลยีของ NVIDIA โดยเฉพาะ GB200 และ GB300 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและรองรับการใช้งานระดับองค์กร โดยคาดว่าทุกเซิร์ฟเวอร์ที่วางแผนไว้จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2026

    ดีลนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความร่วมมือของ OpenAI กับหลายบริษัทใหญ่ เช่น NVIDIA, AMD, Microsoft, Broadcom และ Oracle ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมตัวเข้าสู่ตลาด IPO ที่อาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต

    AWS จะเป็นผู้ให้บริการคอมพิวต์หลักให้ OpenAI
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ AI ของ NVIDIA รุ่น GB200 และ GB300

    ดีลมีมูลค่ารวม $38 พันล้านดอลลาร์
    ครอบคลุมระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2025–2032

    คาดว่าทุกเซิร์ฟเวอร์จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2026
    ช่วยเสริมพลังให้กับโมเดล AI เจเนอเรชันใหม่ของ OpenAI

    AWS มีประสบการณ์บริหารคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่
    สูงสุดถึง 500,000 ชิปในระบบคลาวด์

    ไม่มีการกล่าวถึงการใช้ชิป Trainium ของ Amazon
    เน้นเทคโนโลยีของ NVIDIA เป็นหลักในดีลนี้

    OpenAI มีดีลร่วมกับหลายบริษัทใหญ่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
    รวมถึง NVIDIA, AMD, Microsoft, Broadcom และ Oracle

    ดีลนี้อาจเป็นการปูทางสู่ IPO มูลค่า $1 ล้านล้านดอลลาร์
    สะท้อนความแข็งแกร่งของ OpenAI ในตลาด AI

    การพึ่งพา NVIDIA อาจสร้างความเสี่ยงด้านการกระจายทรัพยากร
    หากเกิดปัญหากับซัพพลายเชนของ NVIDIA อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ OpenAI

    การไม่ใช้ชิป Trainium อาจสะท้อนข้อจำกัดของเทคโนโลยีภายใน Amazon
    อาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี AI ของ Amazon ในระยะยาว

    https://wccftech.com/amazon-enters-a-mega-deal-with-openai/
    🤝 Amazon จับมือ OpenAI ในดีลมูลค่า $38 พันล้าน! เตรียมส่ง NVIDIA GB200/GB300 เสริมพลัง AI เจเนอเรชันใหม่ Amazon และ OpenAI ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ โดย AWS จะกลายเป็นผู้ให้บริการคอมพิวต์หลักให้กับ OpenAI ผ่านเซิร์ฟเวอร์ AI ของ NVIDIA รุ่น GB200 และ GB300 ในดีลมูลค่ากว่า $38 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี. OpenAI กำลังเร่งขยายขีดความสามารถด้านคอมพิวต์เพื่อรองรับการเติบโตของโมเดล AI เจเนอเรชันใหม่ และดีลกับ AWS ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญ โดย AWS มีประสบการณ์ในการบริหารโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ระดับ 500,000 ชิป ซึ่งจะช่วยให้ OpenAI เข้าถึงทรัพยากรได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย แม้ Amazon จะมีชิป AI ของตัวเองอย่าง Trainium แต่ดีลนี้กลับเน้นไปที่เทคโนโลยีของ NVIDIA โดยเฉพาะ GB200 และ GB300 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและรองรับการใช้งานระดับองค์กร โดยคาดว่าทุกเซิร์ฟเวอร์ที่วางแผนไว้จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2026 ดีลนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความร่วมมือของ OpenAI กับหลายบริษัทใหญ่ เช่น NVIDIA, AMD, Microsoft, Broadcom และ Oracle ซึ่งสะท้อนถึงการเตรียมตัวเข้าสู่ตลาด IPO ที่อาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต ✅ AWS จะเป็นผู้ให้บริการคอมพิวต์หลักให้ OpenAI ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ AI ของ NVIDIA รุ่น GB200 และ GB300 ✅ ดีลมีมูลค่ารวม $38 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ครอบคลุมระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2025–2032 ✅ คาดว่าทุกเซิร์ฟเวอร์จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2026 ➡️ ช่วยเสริมพลังให้กับโมเดล AI เจเนอเรชันใหม่ของ OpenAI ✅ AWS มีประสบการณ์บริหารคลัสเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ➡️ สูงสุดถึง 500,000 ชิปในระบบคลาวด์ ✅ ไม่มีการกล่าวถึงการใช้ชิป Trainium ของ Amazon ➡️ เน้นเทคโนโลยีของ NVIDIA เป็นหลักในดีลนี้ ✅ OpenAI มีดีลร่วมกับหลายบริษัทใหญ่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ➡️ รวมถึง NVIDIA, AMD, Microsoft, Broadcom และ Oracle ✅ ดีลนี้อาจเป็นการปูทางสู่ IPO มูลค่า $1 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ สะท้อนความแข็งแกร่งของ OpenAI ในตลาด AI ‼️ การพึ่งพา NVIDIA อาจสร้างความเสี่ยงด้านการกระจายทรัพยากร ⛔ หากเกิดปัญหากับซัพพลายเชนของ NVIDIA อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ OpenAI ‼️ การไม่ใช้ชิป Trainium อาจสะท้อนข้อจำกัดของเทคโนโลยีภายใน Amazon ⛔ อาจส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี AI ของ Amazon ในระยะยาว https://wccftech.com/amazon-enters-a-mega-deal-with-openai/
    WCCFTECH.COM
    Amazon Enters a Mega-Deal With OpenAI to Provide NVIDIA’s GB200 & GB300 AI Servers in a ‘Surprising’ Seven-Year Agreement
    OpenAI has once again entered into a partnership with a major player in Big Tech, and this time it is none other than Amazon.
    0 Comments 0 Shares 88 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “Debian เตรียมผสาน Rust เข้ากับ APT – ความปลอดภัยมาแทนความล้าสมัย”

    Debian ประกาศแผนผสานภาษา Rust เข้ากับ APT package manager เริ่มพฤษภาคม 2026 โดยเน้นความปลอดภัยของหน่วยความจำและการทดสอบที่เข้มข้นขึ้น พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนถึงผู้ดูแลพอร์ต: ถ้าไม่มี Rust toolchain ภายใน 6 เดือน อาจต้องยุติการสนับสนุน

    APT หรือ Advanced Package Tool คือหัวใจของการติดตั้งและจัดการซอฟต์แวร์ในระบบ Debian และดิสโทรที่ใช้พื้นฐานเดียวกัน เช่น Ubuntu และ Linux Mint ล่าสุด Julian Andres Klode ผู้ดูแล APT ได้ประกาศว่า Debian จะเริ่มใช้ภาษา Rust อย่างจริงจังในส่วนสำคัญของ APT เช่น การแยกไฟล์ .deb, .ar, tar และการตรวจสอบลายเซ็น HTTP ด้วย Sequoia

    เหตุผลหลักคือ Rust มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำที่เหนือกว่า C/C++ โดยสามารถป้องกันปัญหา buffer overflow, null pointer dereference และ data race ได้ตั้งแต่ขั้นตอนคอมไพล์

    อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อพอร์ตของ Debian ที่ยังไม่มี Rust toolchain โดย Julian ระบุชัดว่า “หากคุณดูแลพอร์ตที่ไม่มี Rust toolchain โปรดจัดหาให้ภายใน 6 เดือน มิฉะนั้นอาจต้องยุติการสนับสนุน”

    แม้ผู้ใช้ทั่วไปบนสถาปัตยกรรมหลักอย่าง x86_64 และ ARM จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่พอร์ตที่ใช้สถาปัตยกรรมเก่าหรือเฉพาะทางอาจถูกถอดออกจาก Debian ในอนาคต

    ตัวอย่างจาก Ubuntu ก็ชี้ให้เห็นว่าแม้ Rust จะปลอดภัย แต่ก็ยังมีความท้าทาย เช่น บั๊กใน coreutils ที่เขียนด้วย Rust เคยทำให้ระบบอัปเดตอัตโนมัติของ Ubuntu 25.10 ล่มชั่วคราว

    Debian เตรียมผสานภาษา Rust เข้ากับ APT เริ่มพฤษภาคม 2026
    ใช้ในส่วนสำคัญ เช่น การแยกไฟล์และตรวจสอบลายเซ็น

    Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของหน่วยความจำ
    ป้องกันบั๊กประเภท buffer overflow และ data race

    ใช้ Sequoia สำหรับการตรวจสอบลายเซ็น HTTP
    เป็นไลบรารีที่เขียนด้วย Rust

    ผู้ดูแลพอร์ตต้องมี Rust toolchain ภายใน 6 เดือน
    หากไม่มี อาจต้องยุติการสนับสนุนพอร์ตนั้น

    ผู้ใช้บน x86_64 และ ARM จะไม่ได้รับผลกระทบ
    ระบบจะปลอดภัยและเสถียรมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ

    https://news.itsfoss.com/rust-integration-for-apt/
    🦀📦 หัวข้อข่าว: “Debian เตรียมผสาน Rust เข้ากับ APT – ความปลอดภัยมาแทนความล้าสมัย” Debian ประกาศแผนผสานภาษา Rust เข้ากับ APT package manager เริ่มพฤษภาคม 2026 โดยเน้นความปลอดภัยของหน่วยความจำและการทดสอบที่เข้มข้นขึ้น พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนถึงผู้ดูแลพอร์ต: ถ้าไม่มี Rust toolchain ภายใน 6 เดือน อาจต้องยุติการสนับสนุน APT หรือ Advanced Package Tool คือหัวใจของการติดตั้งและจัดการซอฟต์แวร์ในระบบ Debian และดิสโทรที่ใช้พื้นฐานเดียวกัน เช่น Ubuntu และ Linux Mint ล่าสุด Julian Andres Klode ผู้ดูแล APT ได้ประกาศว่า Debian จะเริ่มใช้ภาษา Rust อย่างจริงจังในส่วนสำคัญของ APT เช่น การแยกไฟล์ .deb, .ar, tar และการตรวจสอบลายเซ็น HTTP ด้วย Sequoia เหตุผลหลักคือ Rust มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำที่เหนือกว่า C/C++ โดยสามารถป้องกันปัญหา buffer overflow, null pointer dereference และ data race ได้ตั้งแต่ขั้นตอนคอมไพล์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อพอร์ตของ Debian ที่ยังไม่มี Rust toolchain โดย Julian ระบุชัดว่า “หากคุณดูแลพอร์ตที่ไม่มี Rust toolchain โปรดจัดหาให้ภายใน 6 เดือน มิฉะนั้นอาจต้องยุติการสนับสนุน” แม้ผู้ใช้ทั่วไปบนสถาปัตยกรรมหลักอย่าง x86_64 และ ARM จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่พอร์ตที่ใช้สถาปัตยกรรมเก่าหรือเฉพาะทางอาจถูกถอดออกจาก Debian ในอนาคต ตัวอย่างจาก Ubuntu ก็ชี้ให้เห็นว่าแม้ Rust จะปลอดภัย แต่ก็ยังมีความท้าทาย เช่น บั๊กใน coreutils ที่เขียนด้วย Rust เคยทำให้ระบบอัปเดตอัตโนมัติของ Ubuntu 25.10 ล่มชั่วคราว ✅ Debian เตรียมผสานภาษา Rust เข้ากับ APT เริ่มพฤษภาคม 2026 ➡️ ใช้ในส่วนสำคัญ เช่น การแยกไฟล์และตรวจสอบลายเซ็น ✅ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของหน่วยความจำ ➡️ ป้องกันบั๊กประเภท buffer overflow และ data race ✅ ใช้ Sequoia สำหรับการตรวจสอบลายเซ็น HTTP ➡️ เป็นไลบรารีที่เขียนด้วย Rust ✅ ผู้ดูแลพอร์ตต้องมี Rust toolchain ภายใน 6 เดือน ➡️ หากไม่มี อาจต้องยุติการสนับสนุนพอร์ตนั้น ✅ ผู้ใช้บน x86_64 และ ARM จะไม่ได้รับผลกระทบ ➡️ ระบบจะปลอดภัยและเสถียรมากขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ https://news.itsfoss.com/rust-integration-for-apt/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Like It Or Not, Rust Is Coming To Debian's APT Package Manager
    Memory-safe Rust to power the beloved package manager.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 5

    J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง

    นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย

    นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว

    คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย
    เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company

    นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London

    ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 6

    ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ
    John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London
    ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company

    หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร

    ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ :

    J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ

    ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร

    ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ
    ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร

    เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ

    แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี

    Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น

    แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

    ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

    ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี
    ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว

    แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้

    Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 5 J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 6 ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ : J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้ Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • ♣ จากเคยประกาศ "ไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซ็นเดียว" มาวันนี้ท่าทีอ่อนยวบ ถึงขั้นอยากให้ใช้คำว่า เก็บกู้ระเบิดไม่ราบรื่น แทนคำว่า กัมพูชาขัดขวางกู้ระเบิด
    #7ดอกจิก
    ♣ จากเคยประกาศ "ไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซ็นเดียว" มาวันนี้ท่าทีอ่อนยวบ ถึงขั้นอยากให้ใช้คำว่า เก็บกู้ระเบิดไม่ราบรื่น แทนคำว่า กัมพูชาขัดขวางกู้ระเบิด #7ดอกจิก
    0 Comments 0 Shares 60 Views 0 Reviews
  • พรรคส้มน้อมรับผลโพลอีสาน แม้คะแนนพรรคจะนำ แต่แคนดิเดตนายกฯ ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ยังเป็นรองอนุทิน ประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์สู่เป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000104670

    #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    พรรคส้มน้อมรับผลโพลอีสาน แม้คะแนนพรรคจะนำ แต่แคนดิเดตนายกฯ ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ยังเป็นรองอนุทิน ประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์สู่เป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000104670 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น”

    จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต.

    ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม

    เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก

    แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้
    ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว

    ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95%
    ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด

    ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล
    ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน

    กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต

    ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15
    ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป

    ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน
    เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering

    การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง
    ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ

    ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
    ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว

    การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล
    อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    🌊💻 หัวข้อข่าว: “จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรก – ท้าชน Project Natick ของ Microsoft ด้วยพลังลมและคลื่น” จีนประกาศความสำเร็จในการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกในโลกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ด้วยงบลงทุนกว่า 226 ล้านดอลลาร์ โดยใช้พลังงานลมและระบบทำความเย็นจากธรรมชาติใต้ทะเล พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต. ในขณะที่ Microsoft เคยทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลใต้น้ำในโครงการ Project Natick ซึ่งถูกยกเลิกไปในปี 2024 จีนกลับเดินหน้าสู่การใช้งานจริง โดยศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งนี้ถูกออกแบบให้ใช้พลังงานหมุนเวียนจากลมทะเลถึง 95% และใช้คุณสมบัติของน้ำทะเลในการระบายความร้อนแทนการใช้เครื่องทำความเย็นแบบเดิม เฟสแรกของโครงการ Lin-gang ให้กำลังการผลิต 2.3 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายถึง 24 เมกะวัตต์ในระยะถัดไป โดยมีหน่วยงานรัฐหนุนหลัง เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering เทคโนโลยีที่ใช้คือการบรรจุเซิร์ฟเวอร์ไว้ในแคปซูลกันน้ำ แล้วนำไปวางไว้ใต้ทะเลลึก 35 เมตร ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและน้ำจืดในการระบายความร้อน และยังสามารถลดค่า PUE (Power Usage Effectiveness) ให้ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก แม้จะมีข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนพลังงาน แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น การบำรุงรักษาที่ยากและต้นทุนสูงเมื่ออุปกรณ์เสียหาย รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ยังต้องรอการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำแห่งแรกที่ Lin-gang, เซี่ยงไฮ้ ➡️ ใช้งบลงทุน 226 ล้านดอลลาร์ และเริ่มใช้งานเฟสแรกแล้ว ✅ ใช้พลังงานลมทะเลถึง 95% ➡️ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดและลดการใช้น้ำจืด ✅ ระบบระบายความร้อนใช้คุณสมบัติของน้ำทะเล ➡️ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ✅ กำลังการผลิตเริ่มต้น 2.3 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าขยายถึง 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายถึง 500 เมกะวัตต์ในอนาคต ✅ ค่า PUE ต่ำกว่า 1.15 ➡️ ดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลทั่วไป ✅ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและบริษัทเทคโนโลยีจีน ➡️ เช่น Shenergy, China Telecom และ CCCC Third Harbor Engineering ‼️ การบำรุงรักษาและอัปเกรดอุปกรณ์ใต้น้ำมีต้นทุนสูง ⛔ ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าถึงแคปซูลใต้น้ำ ‼️ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ ⛔ ต้องรอการประเมินผลกระทบทางทะเลและความร้อนในระยะยาว ‼️ การเข้าถึงและเปลี่ยนอุปกรณ์ทำได้ยากเมื่อแคปซูลถูกปิดผนึกและจมอยู่ใต้ทะเล ⛔ อาจส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการอัปเกรดระบบในอนาคต https://www.techradar.com/pro/forget-project-natick-china-says-it-has-trumped-microsoft-and-launched-its-first-underwater-data-center
    WWW.TECHRADAR.COM
    China’s underwater data center takes computing to new depths
    Offshore wind provides up to 95% of the energy powering the submerged servers
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • เตือนภัยสายอัปเกรด: Flyoobe ปลอมระบาด เสี่ยงโดนมัลแวร์!

    หลังจาก Windows 10 สิ้นสุดการสนับสนุนเมื่อเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้จำนวนมากหันมาใช้เครื่องมือชื่อว่า “Flyoobe” เพื่ออัปเกรดไปยัง Windows 11 โดยไม่ต้องผ่านข้อกำหนดของระบบ เช่น TPM หรือ Secure Boot ซึ่ง Flyoobe ยังมีฟีเจอร์เสริมให้ปรับแต่งระบบ เช่น ลบฟีเจอร์ AI หรือแอปที่ไม่ต้องการได้อีกด้วย

    แต่ล่าสุดผู้พัฒนา Flyoobe ได้ออกประกาศ “Security Alert” บน GitHub เตือนว่ามีเว็บไซต์ปลอมชื่อว่า flyoobe[dot]net ที่แอบอ้างเป็นแหล่งดาวน์โหลดเครื่องมือดังกล่าว โดยอาจมีการฝังมัลแวร์หรือดัดแปลงตัวติดตั้งให้เป็นอันตรายต่อระบบ

    ผู้พัฒนาเน้นย้ำว่าให้ดาวน์โหลดเฉพาะจาก GitHub อย่างเป็นทางการเท่านั้น เพราะเว็บไซต์ปลอมไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับทีมงาน Flyoobe และอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย หรือระบบเสียหายอย่างรุนแรง

    สาระเพิ่มเติมจากวงการความปลอดภัยไซเบอร์:
    เครื่องมือที่มีสิทธิ์ระดับระบบ (system-level tools) หากถูกดัดแปลง อาจกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส, หรือแม้แต่ควบคุมเครื่องจากระยะไกล
    มัลแวร์ในตัวติดตั้งมักไม่แสดงอาการทันที แต่จะฝังตัวรอจังหวะโจมตี เช่น ตอนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเปิดแอปสำคัญ

    Flyoobe คือเครื่องมืออัปเกรด Windows 11
    ใช้สำหรับข้ามข้อจำกัดระบบ เช่น TPM และ Secure Boot
    มีฟีเจอร์ปรับแต่ง OS เช่น ลบฟีเจอร์ AI และแอปไม่จำเป็น

    การแจ้งเตือนจากผู้พัฒนา
    พบเว็บไซต์ปลอม flyoobe[dot]net ที่แอบอ้างเป็นแหล่งดาวน์โหลด
    อาจมีมัลแวร์หรือตัวติดตั้งที่ถูกดัดแปลง

    คำแนะนำในการใช้งาน
    ดาวน์โหลดเฉพาะจาก GitHub อย่างเป็นทางการ
    หลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ไม่ระบุในเอกสารของผู้พัฒนา

    ความเสี่ยงจากมัลแวร์ในเครื่องมือระดับระบบ
    อาจมี keylogger, trojan, ransomware หรือ backdoor
    ส่งผลต่อความมั่นคงของข้อมูลและระบบปฏิบัติการ

    ความเข้าใจผิดในการดาวน์โหลดเครื่องมือ
    ผู้ใช้บางคนอาจหลงเชื่อเว็บไซต์ปลอมเพราะชื่อคล้ายของจริง
    การติดตั้งจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจทำให้ระบบเสียหาย

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    มัลแวร์อาจฝังตัวแบบเงียบ ๆ และโจมตีในภายหลัง
    อาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือควบคุมเครื่องจากระยะไกล

    https://www.tomshardware.com/software/windows/developer-warns-users-that-fake-download-site-is-hosting-windows-11-upgrade-bypass-tool-win-10-upgraders-warned-of-potential-malicious-downloads
    🛑 เตือนภัยสายอัปเกรด: Flyoobe ปลอมระบาด เสี่ยงโดนมัลแวร์! หลังจาก Windows 10 สิ้นสุดการสนับสนุนเมื่อเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้จำนวนมากหันมาใช้เครื่องมือชื่อว่า “Flyoobe” เพื่ออัปเกรดไปยัง Windows 11 โดยไม่ต้องผ่านข้อกำหนดของระบบ เช่น TPM หรือ Secure Boot ซึ่ง Flyoobe ยังมีฟีเจอร์เสริมให้ปรับแต่งระบบ เช่น ลบฟีเจอร์ AI หรือแอปที่ไม่ต้องการได้อีกด้วย แต่ล่าสุดผู้พัฒนา Flyoobe ได้ออกประกาศ “Security Alert” บน GitHub เตือนว่ามีเว็บไซต์ปลอมชื่อว่า flyoobe[dot]net ที่แอบอ้างเป็นแหล่งดาวน์โหลดเครื่องมือดังกล่าว โดยอาจมีการฝังมัลแวร์หรือดัดแปลงตัวติดตั้งให้เป็นอันตรายต่อระบบ ผู้พัฒนาเน้นย้ำว่าให้ดาวน์โหลดเฉพาะจาก GitHub อย่างเป็นทางการเท่านั้น เพราะเว็บไซต์ปลอมไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับทีมงาน Flyoobe และอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย หรือระบบเสียหายอย่างรุนแรง 💡 สาระเพิ่มเติมจากวงการความปลอดภัยไซเบอร์: 💠 เครื่องมือที่มีสิทธิ์ระดับระบบ (system-level tools) หากถูกดัดแปลง อาจกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน, คีย์เข้ารหัส, หรือแม้แต่ควบคุมเครื่องจากระยะไกล 💠 มัลแวร์ในตัวติดตั้งมักไม่แสดงอาการทันที แต่จะฝังตัวรอจังหวะโจมตี เช่น ตอนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเปิดแอปสำคัญ ✅ Flyoobe คือเครื่องมืออัปเกรด Windows 11 ➡️ ใช้สำหรับข้ามข้อจำกัดระบบ เช่น TPM และ Secure Boot ➡️ มีฟีเจอร์ปรับแต่ง OS เช่น ลบฟีเจอร์ AI และแอปไม่จำเป็น ✅ การแจ้งเตือนจากผู้พัฒนา ➡️ พบเว็บไซต์ปลอม flyoobe[dot]net ที่แอบอ้างเป็นแหล่งดาวน์โหลด ➡️ อาจมีมัลแวร์หรือตัวติดตั้งที่ถูกดัดแปลง ✅ คำแนะนำในการใช้งาน ➡️ ดาวน์โหลดเฉพาะจาก GitHub อย่างเป็นทางการ ➡️ หลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ไม่ระบุในเอกสารของผู้พัฒนา ✅ ความเสี่ยงจากมัลแวร์ในเครื่องมือระดับระบบ ➡️ อาจมี keylogger, trojan, ransomware หรือ backdoor ➡️ ส่งผลต่อความมั่นคงของข้อมูลและระบบปฏิบัติการ ‼️ ความเข้าใจผิดในการดาวน์โหลดเครื่องมือ ⛔ ผู้ใช้บางคนอาจหลงเชื่อเว็บไซต์ปลอมเพราะชื่อคล้ายของจริง ⛔ การติดตั้งจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจทำให้ระบบเสียหาย ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ⛔ มัลแวร์อาจฝังตัวแบบเงียบ ๆ และโจมตีในภายหลัง ⛔ อาจถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือควบคุมเครื่องจากระยะไกล https://www.tomshardware.com/software/windows/developer-warns-users-that-fake-download-site-is-hosting-windows-11-upgrade-bypass-tool-win-10-upgraders-warned-of-potential-malicious-downloads
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่สายไอที: AMD ปรับทิศทางไดรเวอร์ GPU แต่ Linux ยังปลอดภัย!

    ถ้าคุณเป็นสายเกมหรือสาย Linux แล้วได้ยินว่า AMD จะหยุดพัฒนาไดรเวอร์สำหรับการ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง RX 5000 และ RX 6000 อาจจะรู้สึกใจหาย แต่ข่าวดีคือ...การเปลี่ยนแปลงนี้ “ไม่กระทบผู้ใช้ Linux” เพราะ AMD แยกการพัฒนาไดรเวอร์ระหว่าง Windows และ Linux อย่างชัดเจน

    เรื่องเริ่มจาก AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ RDNA 1 และ RDNA 2 จะเข้าสู่โหมด “maintenance” ซึ่งหลายคนตีความว่าอาจหยุดการอัปเดตเกมใหม่ ๆ แต่ AMD ยืนยันว่าจะยังมีการปรับแต่งเกมต่อไปใน Windows ส่วนฝั่ง Linux นั้น...สบายใจได้ เพราะใช้ระบบไดรเวอร์แบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาแยกต่างหาก

    ที่สำคัญคือ AMD ตัดสินใจ “เลิกพัฒนา AMDVLK” ซึ่งเป็นไดรเวอร์ Linux แบบโอเพ่นซอร์สที่เคยดูแลเอง แล้วหันไปสนับสนุน “RADV” ซึ่งเป็นไดรเวอร์ที่ชุมชนพัฒนาขึ้นเอง และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Valve, Google และ Red Hat

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม:
    RADV เป็นไดรเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า AMDVLK ในหลายกรณี และเป็นตัวเลือกหลักของผู้ใช้ Linux
    การพัฒนาไดรเวอร์แบบโอเพ่นซอร์สช่วยให้การสนับสนุนฮาร์ดแวร์เก่ายังคงอยู่ได้นาน แม้บริษัทผู้ผลิตจะหยุดพัฒนาไปแล้ว

    AMD ปรับสถานะไดรเวอร์ RDNA 1 และ 2 บน Windows
    เข้าสู่โหมด maintenance แต่ยังมีการปรับแต่งเกมใหม่
    ไม่ได้หยุดการสนับสนุนโดยสิ้นเชิง

    ผู้ใช้ Linux ไม่ได้รับผลกระทบ
    ไดรเวอร์ Linux พัฒนาแยกจาก Windows โดยสิ้นเชิง
    ใช้ระบบโอเพ่นซอร์สที่มีการสนับสนุนจากชุมชน

    การเปลี่ยนผ่านจาก AMDVLK ไปสู่ RADV
    AMDVLK ถูกยกเลิกตั้งแต่ 15 กันยายน 2025
    RADV ได้รับการสนับสนุนจาก Valve, Google และ Red Hat
    RADV มีประสิทธิภาพสูงกว่า AMDVLK ในหลายด้าน

    ความแข็งแกร่งของระบบโอเพ่นซอร์ส
    แม้ AMD จะหยุดพัฒนา แต่ RADV ยังมีผู้ดูแลจากหลายองค์กร
    การสนับสนุนฮาร์ดแวร์เก่ายังคงดำเนินต่อไป

    ความเข้าใจผิดจากประกาศของ AMD
    หลายคนคิดว่า Linux จะหยุดรับการอัปเดตไดรเวอร์ด้วย
    ความสับสนเกิดจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนในช่วงแรก

    ความเสี่ยงหากใช้ไดรเวอร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดต
    อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับเกมใหม่หรือฟีเจอร์ใหม่
    ควรตรวจสอบเวอร์ชันไดรเวอร์ก่อนอัปเดตระบบหรือเกม

    ใครที่ใช้ Linux เล่นเกมบน Radeon GPU ก็หายห่วงได้เลย เพราะ RADV ยังอยู่ และยังแรง!

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/linux-gamers-wont-be-affected-by-rx-5000-6000-series-driver-shift-amd-changes-limited-to-windows-thanks-to-separated-development
    🧠 ข่าวใหญ่สายไอที: AMD ปรับทิศทางไดรเวอร์ GPU แต่ Linux ยังปลอดภัย! ถ้าคุณเป็นสายเกมหรือสาย Linux แล้วได้ยินว่า AMD จะหยุดพัฒนาไดรเวอร์สำหรับการ์ดจอรุ่นเก่าอย่าง RX 5000 และ RX 6000 อาจจะรู้สึกใจหาย แต่ข่าวดีคือ...การเปลี่ยนแปลงนี้ “ไม่กระทบผู้ใช้ Linux” เพราะ AMD แยกการพัฒนาไดรเวอร์ระหว่าง Windows และ Linux อย่างชัดเจน เรื่องเริ่มจาก AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ RDNA 1 และ RDNA 2 จะเข้าสู่โหมด “maintenance” ซึ่งหลายคนตีความว่าอาจหยุดการอัปเดตเกมใหม่ ๆ แต่ AMD ยืนยันว่าจะยังมีการปรับแต่งเกมต่อไปใน Windows ส่วนฝั่ง Linux นั้น...สบายใจได้ เพราะใช้ระบบไดรเวอร์แบบโอเพ่นซอร์สที่พัฒนาแยกต่างหาก ที่สำคัญคือ AMD ตัดสินใจ “เลิกพัฒนา AMDVLK” ซึ่งเป็นไดรเวอร์ Linux แบบโอเพ่นซอร์สที่เคยดูแลเอง แล้วหันไปสนับสนุน “RADV” ซึ่งเป็นไดรเวอร์ที่ชุมชนพัฒนาขึ้นเอง และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Valve, Google และ Red Hat 💡 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม: 💠 RADV เป็นไดรเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า AMDVLK ในหลายกรณี และเป็นตัวเลือกหลักของผู้ใช้ Linux 💠 การพัฒนาไดรเวอร์แบบโอเพ่นซอร์สช่วยให้การสนับสนุนฮาร์ดแวร์เก่ายังคงอยู่ได้นาน แม้บริษัทผู้ผลิตจะหยุดพัฒนาไปแล้ว ✅ AMD ปรับสถานะไดรเวอร์ RDNA 1 และ 2 บน Windows ➡️ เข้าสู่โหมด maintenance แต่ยังมีการปรับแต่งเกมใหม่ ➡️ ไม่ได้หยุดการสนับสนุนโดยสิ้นเชิง ✅ ผู้ใช้ Linux ไม่ได้รับผลกระทบ ➡️ ไดรเวอร์ Linux พัฒนาแยกจาก Windows โดยสิ้นเชิง ➡️ ใช้ระบบโอเพ่นซอร์สที่มีการสนับสนุนจากชุมชน ✅ การเปลี่ยนผ่านจาก AMDVLK ไปสู่ RADV ➡️ AMDVLK ถูกยกเลิกตั้งแต่ 15 กันยายน 2025 ➡️ RADV ได้รับการสนับสนุนจาก Valve, Google และ Red Hat ➡️ RADV มีประสิทธิภาพสูงกว่า AMDVLK ในหลายด้าน ✅ ความแข็งแกร่งของระบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ แม้ AMD จะหยุดพัฒนา แต่ RADV ยังมีผู้ดูแลจากหลายองค์กร ➡️ การสนับสนุนฮาร์ดแวร์เก่ายังคงดำเนินต่อไป ‼️ ความเข้าใจผิดจากประกาศของ AMD ⛔ หลายคนคิดว่า Linux จะหยุดรับการอัปเดตไดรเวอร์ด้วย ⛔ ความสับสนเกิดจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนในช่วงแรก ‼️ ความเสี่ยงหากใช้ไดรเวอร์ที่ไม่ได้รับการอัปเดต ⛔ อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับเกมใหม่หรือฟีเจอร์ใหม่ ⛔ ควรตรวจสอบเวอร์ชันไดรเวอร์ก่อนอัปเดตระบบหรือเกม ใครที่ใช้ Linux เล่นเกมบน Radeon GPU ก็หายห่วงได้เลย เพราะ RADV ยังอยู่ และยังแรง! 🎮 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/linux-gamers-wont-be-affected-by-rx-5000-6000-series-driver-shift-amd-changes-limited-to-windows-thanks-to-separated-development
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • Claude Code ช่วยดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัสระดับล่างได้จริง! เรื่องจริงจากนักพัฒนา Go.

    Filippo Valsorda นักพัฒนาและผู้ดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สด้านความปลอดภัย ได้แชร์ประสบการณ์สุดทึ่งว่า Claude Code สามารถช่วยเขาดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัส ML-DSA ที่เขาเพิ่งเขียนในภาษา Go ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยที่เขาเองยังไม่คาดคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ขนาดนี้!

    เขาเริ่มต้นด้วยการเขียน ML-DSA ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นหลังยุคควอนตัมที่ NIST เพิ่งประกาศเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อรันการตรวจสอบลายเซ็นกลับพบว่า “Verify” ล้มเหลวทุกครั้ง แม้จะใช้ test vector ที่ถูกต้องก็ตาม หลังจากพยายามดีบั๊กเองแล้วไม่สำเร็จ เขาจึงลองให้ Claude Code วิเคราะห์ดู — และมันสามารถระบุบั๊กที่ซับซ้อนในระดับ low-level ได้ภายในไม่กี่นาที!

    บทความนี้พิสูจน์ว่า AI agent อย่าง Claude Code ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่สามารถเป็น “ผู้ช่วยดีบั๊ก” ที่ทรงพลังในงานระดับล่างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในโลกของคริปโตกราฟีที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด

    Claude Code ตรวจพบบั๊กใน ML-DSA ได้อย่างแม่นยำ
    ระบุว่า “w1” ถูกเข้ารหัสซ้ำซ้อนในขั้นตอน Verify ทำให้ลายเซ็นไม่ผ่าน

    Claude เขียน test ย่อยเพื่อยืนยันสมมติฐานของตัวเอง
    แม้โค้ดแก้ไขจะไม่สมบูรณ์ แต่ช่วยชี้จุดบั๊กได้ตรงเป้า

    Claude ยังช่วยดีบั๊กบั๊กอื่นในขั้นตอน signing ได้อีก
    เช่น ค่าคงที่ใน Montgomery domain ที่ผิด และการเข้ารหัสค่าที่สั้นเกินไป

    Claude ใช้เทคนิค printf debugging เหมือนนักพัฒนามืออาชีพ
    วิเคราะห์ค่าที่ผิดและเสนอแนวทางแก้ไขได้ใกล้เคียงกับมนุษย์

    Claude ทำงานแบบ one-shot ได้ดี
    ไม่ต้องใช้ context หรือคำสั่งพิเศษมากมาย ก็สามารถหาบั๊กได้ทันที

    Claude ไม่จำเป็นต้อง “เชื่อถือ” เหมือนมนุษย์
    ใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ตัดสินใจแก้ไขเองได้อย่างปลอดภัย

    Claude อาจไม่เหมาะกับบั๊กที่มีผลลัพธ์สุ่มหรือดูไม่เป็นระเบียบ
    เช่น บั๊กที่ทำให้ลายเซ็นมีขนาดผิด Claude ใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจ

    ไม่ควรใช้ Claude เพื่อแก้โค้ดโดยตรงในระบบโปรดักชัน
    ควรใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ refactor หรือแก้ไขอย่างเหมาะสม

    Claude อาจหยุดหลังแก้บั๊กแรก แม้ยังมีบั๊กอื่นอยู่
    ต้องเริ่ม session ใหม่เพื่อให้มันวิเคราะห์บั๊กถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://words.filippo.io/claude-debugging/
    🧪 Claude Code ช่วยดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัสระดับล่างได้จริง! เรื่องจริงจากนักพัฒนา Go. Filippo Valsorda นักพัฒนาและผู้ดูแลโครงการโอเพ่นซอร์สด้านความปลอดภัย ได้แชร์ประสบการณ์สุดทึ่งว่า Claude Code สามารถช่วยเขาดีบั๊กอัลกอริธึมเข้ารหัส ML-DSA ที่เขาเพิ่งเขียนในภาษา Go ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยที่เขาเองยังไม่คาดคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ขนาดนี้! เขาเริ่มต้นด้วยการเขียน ML-DSA ซึ่งเป็นอัลกอริธึมลายเซ็นหลังยุคควอนตัมที่ NIST เพิ่งประกาศเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อรันการตรวจสอบลายเซ็นกลับพบว่า “Verify” ล้มเหลวทุกครั้ง แม้จะใช้ test vector ที่ถูกต้องก็ตาม หลังจากพยายามดีบั๊กเองแล้วไม่สำเร็จ เขาจึงลองให้ Claude Code วิเคราะห์ดู — และมันสามารถระบุบั๊กที่ซับซ้อนในระดับ low-level ได้ภายในไม่กี่นาที! บทความนี้พิสูจน์ว่า AI agent อย่าง Claude Code ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยเขียนโค้ด แต่สามารถเป็น “ผู้ช่วยดีบั๊ก” ที่ทรงพลังในงานระดับล่างที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในโลกของคริปโตกราฟีที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด 🔐 ✅ Claude Code ตรวจพบบั๊กใน ML-DSA ได้อย่างแม่นยำ ➡️ ระบุว่า “w1” ถูกเข้ารหัสซ้ำซ้อนในขั้นตอน Verify ทำให้ลายเซ็นไม่ผ่าน ✅ Claude เขียน test ย่อยเพื่อยืนยันสมมติฐานของตัวเอง ➡️ แม้โค้ดแก้ไขจะไม่สมบูรณ์ แต่ช่วยชี้จุดบั๊กได้ตรงเป้า ✅ Claude ยังช่วยดีบั๊กบั๊กอื่นในขั้นตอน signing ได้อีก ➡️ เช่น ค่าคงที่ใน Montgomery domain ที่ผิด และการเข้ารหัสค่าที่สั้นเกินไป ✅ Claude ใช้เทคนิค printf debugging เหมือนนักพัฒนามืออาชีพ ➡️ วิเคราะห์ค่าที่ผิดและเสนอแนวทางแก้ไขได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ ✅ Claude ทำงานแบบ one-shot ได้ดี ➡️ ไม่ต้องใช้ context หรือคำสั่งพิเศษมากมาย ก็สามารถหาบั๊กได้ทันที ✅ Claude ไม่จำเป็นต้อง “เชื่อถือ” เหมือนมนุษย์ ➡️ ใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ตัดสินใจแก้ไขเองได้อย่างปลอดภัย ‼️ Claude อาจไม่เหมาะกับบั๊กที่มีผลลัพธ์สุ่มหรือดูไม่เป็นระเบียบ ⛔ เช่น บั๊กที่ทำให้ลายเซ็นมีขนาดผิด Claude ใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจ ‼️ ไม่ควรใช้ Claude เพื่อแก้โค้ดโดยตรงในระบบโปรดักชัน ⛔ ควรใช้เพื่อชี้จุดบั๊ก แล้วให้มนุษย์ refactor หรือแก้ไขอย่างเหมาะสม ‼️ Claude อาจหยุดหลังแก้บั๊กแรก แม้ยังมีบั๊กอื่นอยู่ ⛔ ต้องเริ่ม session ใหม่เพื่อให้มันวิเคราะห์บั๊กถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://words.filippo.io/claude-debugging/
    WORDS.FILIPPO.IO
    Claude Code Can Debug Low-level Cryptography
    Surprisingly (to me) Claude Code debugged my new ML-DSA implementation faster than I would have, finding the non-obvious low-level issue that was making Verify fail.
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • ภัยเงียบในระบบคลาวด์: ช่องโหว่ Elastic Cloud Enterprise เปิดช่องให้ผู้ใช้ readonly ยกระดับสิทธิ์

    ลองจินตนาการว่าในระบบคลาวด์ที่คุณไว้วางใจ มีผู้ใช้ที่ควรจะ “แค่มองเห็น” กลับสามารถ “สั่งการ” ได้เหมือนผู้ดูแลระบบเต็มตัว… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Elastic Cloud Enterprise (ECE) ในช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-37736 ที่เพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2025

    Elastic ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ระดับความรุนแรงสูง (CVSS 8.8) ซึ่งเกิดจากการควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้ใช้แบบ readonly สามารถเรียกใช้ API ที่ควรสงวนไว้สำหรับผู้ดูแลระบบ เช่น การสร้างผู้ใช้ใหม่ ลบคีย์ API หรือแม้แต่แก้ไขบัญชีผู้ใช้ ซึ่งอาจนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์โดยไม่ชอบธรรม

    สาระเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อเกิดในระบบคลาวด์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น Elastic Cloud Enterprise ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีแบบ supply chain หรือการแฝงตัวในระบบองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อ API เป็นช่องทางหลักในการจัดการระบบ

    Elastic ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 3.8.3 และ 4.0.3 พร้อมเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบและลบบัญชีที่ถูกสร้างโดยผู้ใช้ readonly ซึ่งอาจเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้แฝงตัว

    ช่องโหว่ CVE-2025-37736 ใน Elastic Cloud Enterprise
    เกิดจากการควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้ใช้ readonly เรียกใช้ API ที่ควรจำกัด
    ส่งผลให้สามารถสร้าง ลบ หรือแก้ไขบัญชีผู้ใช้และคีย์ API ได้
    ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 3.8.0–3.8.2 และ 4.0.0–4.0.2

    การตอบสนองจาก Elastic
    ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 3.8.3 และ 4.0.3
    แนะนำให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบบัญชีที่ถูกสร้างโดย readonly user
    มีเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับช่วยลบผู้ใช้ที่ไม่พึงประสงค์

    ความสำคัญของ API ในระบบคลาวด์
    API เป็นช่องทางหลักในการจัดการระบบคลาวด์
    ช่องโหว่ใน API อาจนำไปสู่การควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี

    https://securityonline.info/elastic-patches-high-severity-privilege-escalation-flaw-in-elastic-cloud-enterprise-cve-2025-37736/
    🛡️ ภัยเงียบในระบบคลาวด์: ช่องโหว่ Elastic Cloud Enterprise เปิดช่องให้ผู้ใช้ readonly ยกระดับสิทธิ์ ลองจินตนาการว่าในระบบคลาวด์ที่คุณไว้วางใจ มีผู้ใช้ที่ควรจะ “แค่มองเห็น” กลับสามารถ “สั่งการ” ได้เหมือนผู้ดูแลระบบเต็มตัว… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Elastic Cloud Enterprise (ECE) ในช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-37736 ที่เพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 Elastic ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ระดับความรุนแรงสูง (CVSS 8.8) ซึ่งเกิดจากการควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้ใช้แบบ readonly สามารถเรียกใช้ API ที่ควรสงวนไว้สำหรับผู้ดูแลระบบ เช่น การสร้างผู้ใช้ใหม่ ลบคีย์ API หรือแม้แต่แก้ไขบัญชีผู้ใช้ ซึ่งอาจนำไปสู่การยกระดับสิทธิ์โดยไม่ชอบธรรม 📌 สาระเพิ่มเติมจากวงการไซเบอร์ ช่องโหว่ประเภท Privilege Escalation ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เมื่อเกิดในระบบคลาวด์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น Elastic Cloud Enterprise ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีแบบ supply chain หรือการแฝงตัวในระบบองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อ API เป็นช่องทางหลักในการจัดการระบบ Elastic ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 3.8.3 และ 4.0.3 พร้อมเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับตรวจสอบและลบบัญชีที่ถูกสร้างโดยผู้ใช้ readonly ซึ่งอาจเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้แฝงตัว ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-37736 ใน Elastic Cloud Enterprise ➡️ เกิดจากการควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้ใช้ readonly เรียกใช้ API ที่ควรจำกัด ➡️ ส่งผลให้สามารถสร้าง ลบ หรือแก้ไขบัญชีผู้ใช้และคีย์ API ได้ ➡️ ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 3.8.0–3.8.2 และ 4.0.0–4.0.2 ✅ การตอบสนองจาก Elastic ➡️ ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 3.8.3 และ 4.0.3 ➡️ แนะนำให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบบัญชีที่ถูกสร้างโดย readonly user ➡️ มีเครื่องมือโอเพ่นซอร์สสำหรับช่วยลบผู้ใช้ที่ไม่พึงประสงค์ ✅ ความสำคัญของ API ในระบบคลาวด์ ➡️ API เป็นช่องทางหลักในการจัดการระบบคลาวด์ ➡️ ช่องโหว่ใน API อาจนำไปสู่การควบคุมระบบโดยผู้ไม่หวังดี https://securityonline.info/elastic-patches-high-severity-privilege-escalation-flaw-in-elastic-cloud-enterprise-cve-2025-37736/
    SECURITYONLINE.INFO
    Elastic Patches High-Severity Privilege Escalation Flaw in Elastic Cloud Enterprise (CVE-2025-37736)
    Elastic patched a Critical EoP flaw (CVE-2025-37736) in ECE (v3.8.3/4.0.3) where the readonly user can create admin users and inject new API keys by bypassing authorization checks.
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • ..ไทยเราตัวพ่อด้วย มันสั่งอะไรได้หมด
    ..ทหารไทยเราก็มีพวกมันปะปนไม่น้อย
    ..อำนาจของจริงคือทหารเรา สุดท้ายทหารเราก็ไม่ปลดปล่อยไทยเราจากไซออนิสต์นี้เลย สงครามไซออนิสต์ต้องประกาศ เราเมื่อระบุเป้าหมายชัดว่าภัยของประเทศคืออะไร คนทั้งโลกจะร่วมกันตื่นรับรู้พร้อมร่วมกันกำจัดทันที ไทยต้องเริ่มก่อน วาระมันวางมากมายตามแผนตรึมเลยในไทย กฎหมายมากมายมันก็เขียนรอเอามาใช้จริงควบคุมคนไทยเต็มที่ ฝ่ายทหารไทยหน่วยข่าวกรองเราหลับสนิทสิ้น.,ภัยของจริงตัวปัญหาต้นเรื่องกลับแยกแยะไม่ขาด,คนไทยดีๆมากมายออกมาแฉตรึมก็ไม่พากันปราบปรามกำจัดพวกมัน ,กฎอัยการศึกทั่วประเทศคือสูตรลัดก็ไม่ทำ,เกรงใจโคตรพ่อโคตรแมร่งใครก็ไม่รู้ ,นี้คือแผ่นดินไทย,ชาติเราต้องมาก่อน คนไทยเมื่อรับรู้ค่าจริง ใจจะเป็นหนึ่งเดียว โลกจะเป็นหนึ่งเดียว การตื่นรู้เพื่อกำจัดไซออนิสต์จะสามัคคีกันทั่วโลกอย่างง่ายดาย.
    ..........

    เรื่องของ ลัทธิบูชา *ซาตาน* เป็นอีกเรื่องที่ คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้
    ลัทธินี้ มีอยู่จริง และทำเรื่องเลวร้ายมากมายในโลก
    ตั้งแต่ ก่อสงคราม
    ค้ามนุษย์
    ทำทารุณกรรมเด็ก
    สร้างเชื้อโรค
    เอาพิษพ่นในอากาศ เคมเทรล
    วัคซีน
    ทำลายครอบครัว
    ทำลายระบบการศึกษา
    หรือ ที่แย่สุดคือ แทรกซึมเข้าไปในศาสนาต่างๆ แล้วไปบิดเบือนคำสอนของศาสนานั้นๆ ยุให้ศาสนาต่างๆ เป็นศัตรูกัน
    น่าสนใจว่า อาจารย์ทวีสุข ตั้งต้นจาก ความไม่เชื่อ แต่พอเริ่มค้นคว้าหาข้อมูล ยิ่งพบว่าเรื่อง ทฤษฎีสมคบคิด เป็นจริงมากขึ้น

    https://www.facebook.com/share/v/1NJZ7sTRTM/
    ..ไทยเราตัวพ่อด้วย มันสั่งอะไรได้หมด ..ทหารไทยเราก็มีพวกมันปะปนไม่น้อย ..อำนาจของจริงคือทหารเรา สุดท้ายทหารเราก็ไม่ปลดปล่อยไทยเราจากไซออนิสต์นี้เลย สงครามไซออนิสต์ต้องประกาศ เราเมื่อระบุเป้าหมายชัดว่าภัยของประเทศคืออะไร คนทั้งโลกจะร่วมกันตื่นรับรู้พร้อมร่วมกันกำจัดทันที ไทยต้องเริ่มก่อน วาระมันวางมากมายตามแผนตรึมเลยในไทย กฎหมายมากมายมันก็เขียนรอเอามาใช้จริงควบคุมคนไทยเต็มที่ ฝ่ายทหารไทยหน่วยข่าวกรองเราหลับสนิทสิ้น.,ภัยของจริงตัวปัญหาต้นเรื่องกลับแยกแยะไม่ขาด,คนไทยดีๆมากมายออกมาแฉตรึมก็ไม่พากันปราบปรามกำจัดพวกมัน ,กฎอัยการศึกทั่วประเทศคือสูตรลัดก็ไม่ทำ,เกรงใจโคตรพ่อโคตรแมร่งใครก็ไม่รู้ ,นี้คือแผ่นดินไทย,ชาติเราต้องมาก่อน คนไทยเมื่อรับรู้ค่าจริง ใจจะเป็นหนึ่งเดียว โลกจะเป็นหนึ่งเดียว การตื่นรู้เพื่อกำจัดไซออนิสต์จะสามัคคีกันทั่วโลกอย่างง่ายดาย. .......... เรื่องของ ลัทธิบูชา *ซาตาน* เป็นอีกเรื่องที่ คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ลัทธินี้ มีอยู่จริง และทำเรื่องเลวร้ายมากมายในโลก ตั้งแต่ ก่อสงคราม ค้ามนุษย์ ทำทารุณกรรมเด็ก สร้างเชื้อโรค เอาพิษพ่นในอากาศ เคมเทรล วัคซีน ทำลายครอบครัว ทำลายระบบการศึกษา หรือ ที่แย่สุดคือ แทรกซึมเข้าไปในศาสนาต่างๆ แล้วไปบิดเบือนคำสอนของศาสนานั้นๆ ยุให้ศาสนาต่างๆ เป็นศัตรูกัน น่าสนใจว่า อาจารย์ทวีสุข ตั้งต้นจาก ความไม่เชื่อ แต่พอเริ่มค้นคว้าหาข้อมูล ยิ่งพบว่าเรื่อง ทฤษฎีสมคบคิด เป็นจริงมากขึ้น https://www.facebook.com/share/v/1NJZ7sTRTM/
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • "รัฐบาลอนุทิน" พูดแล้วทำ! ภูมิใจไทยประกาศเพิ่มวงเงิน "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" เดือนละ 850 บาท พ.ย.–ธ.ค.นี้
    https://www.thai-tai.tv/news/22157/
    .
    #รัฐบาลอนุทิน #พรรคภูมิใจไทย #พูดแล้วทำ #บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ #ครมอนุทิน #ลดค่าครองชีพ #QuickBigWi
    "รัฐบาลอนุทิน" พูดแล้วทำ! ภูมิใจไทยประกาศเพิ่มวงเงิน "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" เดือนละ 850 บาท พ.ย.–ธ.ค.นี้ https://www.thai-tai.tv/news/22157/ . #รัฐบาลอนุทิน #พรรคภูมิใจไทย #พูดแล้วทำ #บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ #ครมอนุทิน #ลดค่าครองชีพ #QuickBigWi
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
More Results