• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 20

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 20 (จบ)
    เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนืทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ
    แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆเรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้
    บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น
    เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิดชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้น ประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น
    ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน
    ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก
    แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ Kodama Yoshio ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือ Admiral Yonai ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว
    ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่า ครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว ตัวแรกคือ องค์ชาย Nashimoto อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือน เป็นการ จับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธาน มิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆกับเกาะญี่ปุ่นเอง
    หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมา ว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ
    ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอาไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ …. เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชืงตัน มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่าจะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
    ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุก พ้นข้อหาทั้งปวง
    แค่ จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน
    แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อย นักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มี นาย คิชิ Kishi Nobusuke คงยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่น ที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมา เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา Sasagawa Ryochi เจ้าพ่อ ยากูซ่าอีกราย
    ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมา ร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง 50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุกคน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือก หรือ ให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ
    และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบัน นาย ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของ นาย คิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรัก ที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก…
    ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วย คือ Sankichi Takahashi, Shumi Okawa และ Yoshihisa Kuzu
    Kuzu เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ Black Dragon Society รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ
    สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นาย Toyama Mitsuru ที่ลึกลับ และเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็น แขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์ และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน
    นายพล Takahashi ก็เป็นนายทหารใหญ่ ที่สังกัดมังกรดำ
    ส่วนนาย Shumi Okawa นั้น เป็นหัวหน้าสายลับ ที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน
    นายโคดามะ ภายหลัง ทำงานให้กับ CIA ของอเมริกา อย่างใกล้ชิด ผลงาน เข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะ เป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษ ให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่
    หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียง ไคเช็ค ปราบชาวฟอร์โมซา ที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุการณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา
    ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมค หอบเอา นาย Shiro Ishii อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้ สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว นายพลแมค ให้ทดลองปล่อย แมงมุม ตัวหมัด แมลงสาระพัด ซึ่ง ใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฎว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงานในที่สุด นายชิโร นี่ นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่ายังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ
    ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่อง ตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และตัวแสบ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของร้อกกี้ the great
    Dean Atchson ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ ที่พรรค Republican ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการ กลับตาลปัตร ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะ Johnston เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็น Atcheson ส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว….
    (ยังมีบทส่งท้าย นะครับ รออ่านหน่อย กำลังเร่งเครื่องเขียนอยู่ พบกัน พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าเหมือนเดิม)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    31 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 20 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 20 (จบ) เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนืทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆเรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้ บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิดชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้น ประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ Kodama Yoshio ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือ Admiral Yonai ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่า ครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว ตัวแรกคือ องค์ชาย Nashimoto อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือน เป็นการ จับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธาน มิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆกับเกาะญี่ปุ่นเอง หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมา ว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอาไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ …. เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชืงตัน มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่าจะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุก พ้นข้อหาทั้งปวง แค่ จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อย นักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มี นาย คิชิ Kishi Nobusuke คงยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่น ที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมา เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา Sasagawa Ryochi เจ้าพ่อ ยากูซ่าอีกราย ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมา ร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง 50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุกคน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือก หรือ ให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบัน นาย ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของ นาย คิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรัก ที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก… ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วย คือ Sankichi Takahashi, Shumi Okawa และ Yoshihisa Kuzu Kuzu เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ Black Dragon Society รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นาย Toyama Mitsuru ที่ลึกลับ และเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็น แขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์ และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน นายพล Takahashi ก็เป็นนายทหารใหญ่ ที่สังกัดมังกรดำ ส่วนนาย Shumi Okawa นั้น เป็นหัวหน้าสายลับ ที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน นายโคดามะ ภายหลัง ทำงานให้กับ CIA ของอเมริกา อย่างใกล้ชิด ผลงาน เข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะ เป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษ ให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่ หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียง ไคเช็ค ปราบชาวฟอร์โมซา ที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุการณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมค หอบเอา นาย Shiro Ishii อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้ สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว นายพลแมค ให้ทดลองปล่อย แมงมุม ตัวหมัด แมลงสาระพัด ซึ่ง ใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฎว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงานในที่สุด นายชิโร นี่ นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่ายังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่อง ตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และตัวแสบ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของร้อกกี้ the great Dean Atchson ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ ที่พรรค Republican ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการ กลับตาลปัตร ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะ Johnston เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็น Atcheson ส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…. (ยังมีบทส่งท้าย นะครับ รออ่านหน่อย กำลังเร่งเครื่องเขียนอยู่ พบกัน พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าเหมือนเดิม) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 31 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 14
    ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง
    สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ
    แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น
    เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ
    เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน
    ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี
    ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน
    และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ
    น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง
    พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย
    ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก
    ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ
    ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว
    อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค
    ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 14 ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 9

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 9
    นักประวัติศาสตร์บอก ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากการชอบอยู่สันโดษ เป็นการชอบออกล่าเหยื่อ ตั้งแต่อเมริกาเอาเรือรบมาขู่เอา ไมตรี ในปี ค.ศ.1856 และทำให้ญี่ปุ่น เริ่มขบวนการปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration นักประวัติศาสตร์บอก เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อช่วงนั้น ใครที่แข็งแรง ก็อยากเป็นนักล่ากันทั้งนั้น แต่นิสัยก้าวร้าวที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1931 และกลายมาเป็นรุกรานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อปี ค.ศ.1937 นี่ล่ะ มันมาจากไหนกันแน่
    เมื่อญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศ บรรดามือที่ปั้นญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ แม้จะเห็นพ้องว่า ญี่ปุ่นต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่างตะวันตกอีกนั้น แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างต่างกัน และในที่สุดก็แบ่งความเห็นเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน
    ฝ่ายหนึ่งบอก เราต้องเป็นญี่ปุ่นแบบ ” rich country, prosperous people” ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนร่ำรวย
    อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ เราต้องเป็นญี่ปุ่น แบบ ” rich country, strong army” ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง”
    ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้แย้ง คัดค้าน และชิงอำนาจการปกครองประเทศกันมาตลอด ในช่วงแรก ฝ่ายแรกดูเหมือนจะมีคะแนนนำ และดูเหมือนเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่นมีพี่เลี้ยง หรือมือที่ชักใยชื่อ อังกฤษ เกือบทุกเส้นรุ้งเส้นแวงในญี่ปุ่น เห็นอังกฤษ เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า ไม่เวันแม้แต่ในวังจักรพรรดิ ที่รัศมีของนักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็แผดแสงแรงนัก ในสายตาของญี่ปุ่น อังกฤษเป็นผมทองตาน้ำข้าว ที่ไม่ว่าจะกระดิกอะไร มันแสดงถึงความเป็นศิวิไลย์ของมนุษยชาติไปเสียทุกเรื่อง ญี่ปุ่นที่กำลังอยากเท่าเทียมตะวันตก ก็มีแต่จะตามลอกเลียนแบบ ด้วยความเคารพเท่านั้นเอง
    เมื่อโชกุนแห่งโตกุกาวา Tokugawa คนสุดท้าย (ถูกซามูไรพาดคอให้) ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1867 บรรดานายพล และกองทัพ ของโชกุนก็สิ้นสภาพ แล้ววันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1868 กองทัพจาก 5 แคว้นของญี่ปุ่น สะสุมะ Satsuma, โตซะ Tosa, ฮิโรชิมา Hiroshima, อิชิเซ็น Echizen และ โอวาริ Owari ที่นำโดยกลุ่มบุคคล ที่ต้องการปฏิรูปญี่ปุ่น ก็เข้ามาล้อมวังของจักรพรรดิ และให้แต่พวกที่ต่อต้านโชกุน แต่สนับสนุนจักรพรรดิ ผ่านเข้าไปในวังได้เท่านั้น และพวกเขาก็เริ่มศักราชแห่งการปฏิรูป Meiji Restoration โดยการตั้งหนุ่มน้อยอายุเพียง 14 ปี ขึ้นเป็นจักรพรรดิมัตสุฮิโต Matsuhito
    2 เดือนต่อมา เซอร์ Harry Parke ที่อังกฤษส่งมาเป็นตัวแทน นั่งเรือด่วนใช้เวลาเดินทางมา 2 เดือน เพื่อมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งแกะออกจากกล่อง อังกฤษนับเป็นชาวต่างชาติประเทศแรก ที่สายตายาวไกล ลงทุนลงแรง เดินทางมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิคนใหม่ หลังจากนั้นฝรั่งเศสและดัชท์ก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะเสียเปรียบอังกฤษมากเกินไป
    หนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1869 อังกฤษ ก็ส่งเจ้าชาย Alfred, Duke of Edinburgh ในฐานะเป็นกัปตันเรือรบหลวงของ อังกฤษ Galatea มาเยี่ยมญี่ปุ่นอีก และในปี ค.ศ.1881 อังกฤษก็ส่งเจ้าชาย มาอีกชุด คราวนี่เจ้าชาย Albert Victor และ George มาพักที่วังของจักรพรรดิเองเลย อังกฤษเล่นโอ๋ญี่ปุ่นถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ญี่ปุ่นอ่อนเปียกอยู่ในมืออังกฤษได้อย่างไร ให้ทำอะไร ก็ต้องพร้อม
    อังกฤษไม่ได้มองเห็นหมากตัวสำคัญชื่อญี่ปุ่นแต่เพียงรายเดียวเท่านั้น รัสเซียก็มองเห็น และยังเห็นความหวานผิดปรกติของอังกฤษต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1891 มงกุฏราชกุมารรัสเซีย เจ้าชายนิโคลัส เลยต้องแวะมาเยี่ยมญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นประเทศสุดท้าย ของการท่องเอเซียของเจ้าชายครั้งนั้น ระหว่างเจ้าชายนั่งรถลากชมเมืองเกียวโต มีตำรวจญี่ปุ่นชักดาบขึ้นมาคารวะเจ้าชาย หลังจากนั้นก็เอาจ้วงแทง เฉียดคอมงกุฏราชกุมารรัสเซียอย่างฉิวเฉียด สงครามญี่ปุ่นกับรัสเซีย เกือบจะเริ่มเร็วกว่าที่วางแผนไว้ หลังจากนั้น เจ้าชายนิโคลัสก็เชิญจักรพรรดิมัตสุฮิโตไปเสวยกลางวันด้วยกัน บนเรือรบของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบตัว ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ต้องไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายการวัดใจรุ่นใหญ่ เล่นกันได้สมกับตำแหน่ง
    แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้ใจญี่ปุ่น อย่างที่อังกฤษได้ น้ำตาลรัสเซียถ้าจะหวานไม่พอ
    หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า รัสเซียตัดสินใจจะสร้างทางรถไฟ สายทรานส์ไซบีเรีย ญี่ปุ่นกลัวว่ารัสเซียกำลังมุ่งลงใต้มาเอาแหล่งน้ำจืดที่แมนจูเรียและเกาหลี ส่วนอังกฤษก็มองว่ารัสเซียกำลังขยายอำนาจลงมาทางใต้ ผ่านเกาหลี เพื่อจะมาแซะจีน แบบนี้ ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นจะปล่อยให้ทางรถไฟของรัสเซียเกิดขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นจะต้องยึดเกาหลีมาให้ได้เสียก่อน แล้วญี่ปุ่นก็บุกเกาหลีในปี ค.ศ.1895
    ผลการยึดเกาหลี ได้ทำให้พวกฝรั่งต่างมองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศส พากันประท้วงให้ญี่ปุ่นคืนแมนจูเรีย ญี่ปุ่นยังไม่แน่ใจในแรงหมัดของตัว เลยตกลงปล่อยมือ ที่คว้าแมนจูเรียออกไปก่อน
    เรื่องนี้ ทำให้อังกฤษหงุดหงิด เสียแผนที่วางไว้ จึงจับญี่ปุ่นมาทำสัญญาในปี ค.ศ.1902
    ทั้งเรื่องการรบชนะเกาหลี ตีจีนกระเจิง และทำให้อังกฤษมาทำสัญญากับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เริ่มมีคะแนนแซงหน้า ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ และนโยบายของญี่ปุ่นก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นผู้รักสันโดษไกลออกไปทุกที
    อันที่จริงในญี่ปุ่น ผู้ที่ไม่สนับสนุนให้ญี่ปุนสร้างกองทัพอย่างออกนอกหน้า คือ นายทากาฮาชิ โกเรกิโยะ Takahashi Korekiyo ถ้ายังจำกันได้ จากนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เขานั่นแหละ เป็นคนที่ต้องไปทำหน้าที่หาเงินกู้มาให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย และเป็นคนที่ “บังเอิญ” ไปนั่งข้าง Jacob Shiff คนจัดการหาเงินกู้ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย โลกก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่ทำไม หลายเรื่อง หลายคน มันมาชนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 9 นักประวัติศาสตร์บอก ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากการชอบอยู่สันโดษ เป็นการชอบออกล่าเหยื่อ ตั้งแต่อเมริกาเอาเรือรบมาขู่เอา ไมตรี ในปี ค.ศ.1856 และทำให้ญี่ปุ่น เริ่มขบวนการปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration นักประวัติศาสตร์บอก เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อช่วงนั้น ใครที่แข็งแรง ก็อยากเป็นนักล่ากันทั้งนั้น แต่นิสัยก้าวร้าวที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1931 และกลายมาเป็นรุกรานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อปี ค.ศ.1937 นี่ล่ะ มันมาจากไหนกันแน่ เมื่อญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศ บรรดามือที่ปั้นญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ แม้จะเห็นพ้องว่า ญี่ปุ่นต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่างตะวันตกอีกนั้น แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างต่างกัน และในที่สุดก็แบ่งความเห็นเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน ฝ่ายหนึ่งบอก เราต้องเป็นญี่ปุ่นแบบ ” rich country, prosperous people” ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนร่ำรวย อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ เราต้องเป็นญี่ปุ่น แบบ ” rich country, strong army” ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง” ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้แย้ง คัดค้าน และชิงอำนาจการปกครองประเทศกันมาตลอด ในช่วงแรก ฝ่ายแรกดูเหมือนจะมีคะแนนนำ และดูเหมือนเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่นมีพี่เลี้ยง หรือมือที่ชักใยชื่อ อังกฤษ เกือบทุกเส้นรุ้งเส้นแวงในญี่ปุ่น เห็นอังกฤษ เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า ไม่เวันแม้แต่ในวังจักรพรรดิ ที่รัศมีของนักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็แผดแสงแรงนัก ในสายตาของญี่ปุ่น อังกฤษเป็นผมทองตาน้ำข้าว ที่ไม่ว่าจะกระดิกอะไร มันแสดงถึงความเป็นศิวิไลย์ของมนุษยชาติไปเสียทุกเรื่อง ญี่ปุ่นที่กำลังอยากเท่าเทียมตะวันตก ก็มีแต่จะตามลอกเลียนแบบ ด้วยความเคารพเท่านั้นเอง เมื่อโชกุนแห่งโตกุกาวา Tokugawa คนสุดท้าย (ถูกซามูไรพาดคอให้) ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1867 บรรดานายพล และกองทัพ ของโชกุนก็สิ้นสภาพ แล้ววันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1868 กองทัพจาก 5 แคว้นของญี่ปุ่น สะสุมะ Satsuma, โตซะ Tosa, ฮิโรชิมา Hiroshima, อิชิเซ็น Echizen และ โอวาริ Owari ที่นำโดยกลุ่มบุคคล ที่ต้องการปฏิรูปญี่ปุ่น ก็เข้ามาล้อมวังของจักรพรรดิ และให้แต่พวกที่ต่อต้านโชกุน แต่สนับสนุนจักรพรรดิ ผ่านเข้าไปในวังได้เท่านั้น และพวกเขาก็เริ่มศักราชแห่งการปฏิรูป Meiji Restoration โดยการตั้งหนุ่มน้อยอายุเพียง 14 ปี ขึ้นเป็นจักรพรรดิมัตสุฮิโต Matsuhito 2 เดือนต่อมา เซอร์ Harry Parke ที่อังกฤษส่งมาเป็นตัวแทน นั่งเรือด่วนใช้เวลาเดินทางมา 2 เดือน เพื่อมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งแกะออกจากกล่อง อังกฤษนับเป็นชาวต่างชาติประเทศแรก ที่สายตายาวไกล ลงทุนลงแรง เดินทางมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิคนใหม่ หลังจากนั้นฝรั่งเศสและดัชท์ก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะเสียเปรียบอังกฤษมากเกินไป หนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1869 อังกฤษ ก็ส่งเจ้าชาย Alfred, Duke of Edinburgh ในฐานะเป็นกัปตันเรือรบหลวงของ อังกฤษ Galatea มาเยี่ยมญี่ปุ่นอีก และในปี ค.ศ.1881 อังกฤษก็ส่งเจ้าชาย มาอีกชุด คราวนี่เจ้าชาย Albert Victor และ George มาพักที่วังของจักรพรรดิเองเลย อังกฤษเล่นโอ๋ญี่ปุ่นถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ญี่ปุ่นอ่อนเปียกอยู่ในมืออังกฤษได้อย่างไร ให้ทำอะไร ก็ต้องพร้อม อังกฤษไม่ได้มองเห็นหมากตัวสำคัญชื่อญี่ปุ่นแต่เพียงรายเดียวเท่านั้น รัสเซียก็มองเห็น และยังเห็นความหวานผิดปรกติของอังกฤษต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1891 มงกุฏราชกุมารรัสเซีย เจ้าชายนิโคลัส เลยต้องแวะมาเยี่ยมญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นประเทศสุดท้าย ของการท่องเอเซียของเจ้าชายครั้งนั้น ระหว่างเจ้าชายนั่งรถลากชมเมืองเกียวโต มีตำรวจญี่ปุ่นชักดาบขึ้นมาคารวะเจ้าชาย หลังจากนั้นก็เอาจ้วงแทง เฉียดคอมงกุฏราชกุมารรัสเซียอย่างฉิวเฉียด สงครามญี่ปุ่นกับรัสเซีย เกือบจะเริ่มเร็วกว่าที่วางแผนไว้ หลังจากนั้น เจ้าชายนิโคลัสก็เชิญจักรพรรดิมัตสุฮิโตไปเสวยกลางวันด้วยกัน บนเรือรบของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบตัว ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ต้องไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายการวัดใจรุ่นใหญ่ เล่นกันได้สมกับตำแหน่ง แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้ใจญี่ปุ่น อย่างที่อังกฤษได้ น้ำตาลรัสเซียถ้าจะหวานไม่พอ หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า รัสเซียตัดสินใจจะสร้างทางรถไฟ สายทรานส์ไซบีเรีย ญี่ปุ่นกลัวว่ารัสเซียกำลังมุ่งลงใต้มาเอาแหล่งน้ำจืดที่แมนจูเรียและเกาหลี ส่วนอังกฤษก็มองว่ารัสเซียกำลังขยายอำนาจลงมาทางใต้ ผ่านเกาหลี เพื่อจะมาแซะจีน แบบนี้ ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นจะปล่อยให้ทางรถไฟของรัสเซียเกิดขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นจะต้องยึดเกาหลีมาให้ได้เสียก่อน แล้วญี่ปุ่นก็บุกเกาหลีในปี ค.ศ.1895 ผลการยึดเกาหลี ได้ทำให้พวกฝรั่งต่างมองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศส พากันประท้วงให้ญี่ปุ่นคืนแมนจูเรีย ญี่ปุ่นยังไม่แน่ใจในแรงหมัดของตัว เลยตกลงปล่อยมือ ที่คว้าแมนจูเรียออกไปก่อน เรื่องนี้ ทำให้อังกฤษหงุดหงิด เสียแผนที่วางไว้ จึงจับญี่ปุ่นมาทำสัญญาในปี ค.ศ.1902 ทั้งเรื่องการรบชนะเกาหลี ตีจีนกระเจิง และทำให้อังกฤษมาทำสัญญากับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เริ่มมีคะแนนแซงหน้า ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ และนโยบายของญี่ปุ่นก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นผู้รักสันโดษไกลออกไปทุกที อันที่จริงในญี่ปุ่น ผู้ที่ไม่สนับสนุนให้ญี่ปุนสร้างกองทัพอย่างออกนอกหน้า คือ นายทากาฮาชิ โกเรกิโยะ Takahashi Korekiyo ถ้ายังจำกันได้ จากนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เขานั่นแหละ เป็นคนที่ต้องไปทำหน้าที่หาเงินกู้มาให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย และเป็นคนที่ “บังเอิญ” ไปนั่งข้าง Jacob Shiff คนจัดการหาเงินกู้ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย โลกก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่ทำไม หลายเรื่อง หลายคน มันมาชนกันอย่างไม่น่าเชื่อ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 385 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 2
    จะเท่าเทียมชาติตะวันตกในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของยุโรป หมายความว่าญี่ปุ่นก็ต้องฝึกหัด เป็นนักล่ากับเขาด้วย จะนั่งตกปลา แต่งสวน มองก้อนหิน อย่างเดิมๆ มันจะไปล่าอะไรได้ แล้วจะไปเริ่มล่าใครดีล่ะ ก็ต้องเริ่มทดสอบกับพวกอยู่ใกล้ๆตัว แล้ว เกาหลี ที่อยู่คนละฟากฝั่งทะเล ก็เป็นเป้าหมายแรก สำหรับนักล่าหน้าใหม่ จากรักสันโดษ เปลี่ยนไปสร้างสันดานใหม่
    ปี ค.ศ.1876 เกาหลี ยังทำตัวตามสบาย ไม่คิดฝันว่าจะไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้าใคร จะคิดปฏิรูปประเทศตามก้นตะวันตกแบบญี่ปุ่น ยิ่งนึกไม่ออกใหญ่ และก็ (ยัง) ไม่เป็นเป้าหมายที่ตะวันตกสาระพัดชาติเล็งจนน้ำลายหก แบบที่ทำกับจีน แต่ที่สำคัญ เกาหลี อุดมไปด้วยเหล็ก และถ่านหิน ญี่ปุ่นคิดว่า ถ้าจะเปลี่ยนประเทศจากกสิกรรม เป็นอุตสาหกรรม มันก็ต้องหาทรัพยากรพวกนี้ไว้ เพราะญี่ปุ่นเอง มีแต่ปลากับสาหร่าย พวกแร่เหล็ก ถ่านหินหาไม่ค่อยเจอ คิดแล้ว เป้าซ้อมการล่า ชื่อเกาหลี นี่น่าจะเหมาะเจาะกว่าเพื่อน
    ปัญหาอยู่ที่ว่า เกาหลี เป็นเมืองที่ต้องส่งเครื่องบรรณาการ หรือ ส่งส่วยให้กับจีนทุกปี กษัตริย์เกาหลี ต้องแต่งตัวเต็มยศ ไปโค้งคำนับคารวะฮ่องเต้จีน ญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็เดินหน้า ไม่ลองไม่รู้ ฉวยโอกาสตอนจีนกำลังมึน จากการถูกกลุ่มนักล่าตะวันตก รุมสกรัม นั่นแหละเหมาะที่สุด แล้วญี่ปุ่นก็ยกกองทัพไปบุกเกาหลี แล้วก็บังคับให้เกาหลีทำข้อตกลง ยกเลิกอำนาจจีน ที่มีเหนือเกาหลี เกาหลี ตกใจ เลย ตกลง นับว่า นักล่าหน้าใหม่สอบผ่าน เรียนได้เร็ว สงสัยมีครูดี
    ปี ค.ศ.1894 เกาหลีเกิดตะลุมบอนกันเอง จีนยังมองเกาหลี เป็นเด็กในปกครอง จึงส่งกองกำลังมาห้ามมวย ส่วนญี่ปุ่น นักล่าหน้าใหม่ เห็นเกาหลีเหยื่อหมาดๆ มีเรื่องวุ่นวาย ก็ต้องโชว์มาดลูกพี่ ส่งกองกำลังไปเกาหลีด้วยเหมือนกัน เลยจ้ะเอ๋กับกองกำลังของจีน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องแสดงความเก่งกล้า ให้ปรากฏแก่สายตาของชาวเกาหลี ก็เลยเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1894-1895
    ผลการรบปรากฏว่า จีน แพ้ ญี่ปุ่น อย่างหมดรูป จีนถอยทัพหงอยๆ ออกไปจากเกาหลี แต่ญี่ปุ่นไม่ถอยกลับ ยิ่งฮึกเหิมกว่าเดิม ล่าครั้งแรกก็ได้ผลแล้ว แถม นายเก่าของเหยื่อ ยังมาแพ้ต่อหน้าลูกกระเป๋งแบบไม่ เหลือรัศมี ญี่ปุ่นเลยจับมือเกาหลี ทำสัญญาใหม่ คราวนี้เอาให้ชัดๆ เกาหลี เจ้าตกเป็นเมืองขึ้นของเรา ญี่ปุ่น แล้วนะ ส่วย บรรณาการอะไร ที่เคยส่งให้แก่จีน ก็จงเลิกส่งเสีย และส่งมาให้เราแทน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยัง ยึดหมู่เกาะต่างๆ ที่เป็นของจีน ติดไม้ติดมือไปด้วย เกาะสำคัญที่ติดมือมาก็คือ เกาะไต้หวัน นั่นแหละ
    แค่นั้น ยังไม่หน่ำใจ ญี่ปุ่นไปยึดเอาแหลมเลี่ยวตง Liaodong Penninsula ที่บรรดาชาติตะวันตก ต่างก็เล็งจะฮุบมาจากจีน แต่จีนดันเอาแหลมเลี่ยวตง ให้รัสเซียเช่าไปนานแล้ว คราวนี้ก็สนุกซิครับ ญี่ปุ่นยิ่งเบ่งพองขึ้นไปใหญ่ เกาหลีและจีน ได้เห็นอานุภาพกองทัพของญี่ปุ่นรุ่นใหม่แล้ว คราวนี้ อิทธิพลของรัสเซียในเกาหลี และที่แมนจูเรีย กำลังจะถูกท้าทายเป็นลำดับต่อไป สันดานใหม่นี่มันโตไวจัง
    แล้วรัสเซียก็ถูกญี่ปุ่นท้าทายจริงๆ รัสเซียเป็นฝ่ายแพ้อย่างหมดท่า อีกราย ในการรบกับญี่ปุ่น Russo-Japan War ในปี ค.ศ.1904-1905 ทำให้ญี่ปุ่นขึ้นชั้น เป็นชาติมหาอำนาจทันที ญี่ปุ่นยึดแหลมเลี่ยวตง หรือแคว้นกวางตุ้ง นั่นแหละ ที่รัสเซียเช่ามาจากจีน แถมยึดลามไปเอาสมบัตืของแมนจูเรีย คือทางรถไฟ สายแมนจูเรียอีกด้วย อืม..เรื่องทางรถไฟมาอีกแล้ว จำไว้นะครับ สมัยก่อน ทางรถไฟคือเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ
    ลำพังญี่ปุ่นเอง เป็นนักล่าหน้าใหม่ ไม่น่าจะขวัญกล้าสามารถ เดินหน้าไปท้ารบรัสเซีย ที่รุ่นใหญ่กว่าแยะนัก และรบชนะเสียด้วย ถ้ายังจำกันได้ (สำหรับท่าน ที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว) ญี่ปุ่น มีคนชักใย และช่วยหาทุนก้อนมหึมาให้ไปรบรัสเซีย เรื่องนี้ ลืมไม่ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจญี่ปุ่นไขว้เข้ว เหมือนที่ญี่ปุ่นเอง อาจจะกำลังเขว้อยู่
    หลังสงครามญี่ปุ่นรัสเซียจบลง ญี่ปุ่น ประกาศผนวกเกาหลี เป็นของตัวในปี ค.ศ.1910 ญี่ปุ่นชักเชื่อว่า แนวทางปฏิรูปประเทศ ที่เอาอย่างตะวันตก ขยายกองทัพเพื่อไปล่าเหยื่อ นี่ มันถูกทาง และมันอร่อยถูกปากจริงๆ
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นไปเข้าร่วมสงครามกับเขาด้วย โดยอยู่ฝ่ายพวกอังกฤษ Allied Powers ไม่ได้ไปรบอะไรกับเขาในยุโรปหรอก แค่ เตรียมไล่ เก็บเล็กเก็บน้อย พวกอาณานิคมของเยอรมัน ที่อยู่แถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นกำลังเดินตามรอยตีนนักล่ารุ่นใหญ่ อย่างขมักเขม้น และดูเหมือนนักล่ารุ่นใหญ่ ก็ไม่ได้ขัดขวาง หรือขัดคอ เพราะกำลังไม่ว่างมือว่างปาก
    ญี่ปุ่นเลยกำแหงได้ใจ ส่งหนังสือเรียกร้อง 21 ข้อ ไปถึงจีน ที่เรียกว่า The Twenty-One Demands ในปี ค.ศ.1915 ข้อเรียกร้องที่เป็นที่ฮือฮา คือ ญี่ปุ่นต้องการให้จีนส่งมอบการครอบครอง ท่าเรือ ทางรถไฟ เหมืองแร่ ฯลฯ ที่เป็นของเยอรมัน หรือที่เยอรมันเช่าไปจากจีน ให้ญี่ปุ่น แต่ข้อเรียกร้องสุดท้ายของญี่ปุ น นี่สุดยอดที่สุด คือ ให้จีน แต่งตั้งญี่ปุ่นเป็น ที่ปรึกษา การบริหารบ้านเมือง ทั้งในด้านการทหาร การค้า การปกครอง และ ขอเป็นตำรวจร่วมด้วย สรุป แปลความหนังสือเรียกร้อง 21ข้อ สั้นๆของญี่ปุ่น ถึงจีน ว่า กูจะกินมึงแล้วนะ นั่นแหละ มีปัญหาไหม
    จีนเอง กำลังมีเรื่องวุ่นวาย หลังจาก ซุนยัดเซ็น ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิง เมื่อปี ค.ศ.1911 ปฏิวัติสำเร็จ แต่ปกครองไม่ได้ จีนแบ่งเป็นก๊กเป็นพวก แย่งชิงอำนาจ หักเหลี่ยม หักหลังกันเองอยู่หลายปี มันเป็นจังหวะเหมาะแก่การ ปีนบ้านเข้าไปตีหัวเขา ระหว่างที่เขากำลังชุลมุนกัน จีนหมดทางสู้ญี่ปุ่น ทำท่าจะยอม แต่จีนเป็นเหยื่อรายใหญ่ คิดว่า นักล่ารุ่นใหญ่ เขาจะปล่อยให้นักล่าหน้าใหม่ ฉวยโอกาสคาบเอาไปง่ายๆหรือ การแย่งชามข้าวกับแบบเอิกเกริก ก็สามารถทำใ้ห้ชามกลิ้งคว่ำข้าวหก พากันอดแดกกันหมดได้ ขบวนการขัดคอ ขวางทาง ญี่ปุ่น จึงมาจากทุกทิศ ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ แบบด้านๆ ของญี่ปุ่น
    ก็เลยฝ่อไปดื้อๆ
    แล้วบรรยากาศความเป็นมิตร ก็เรื่มเปลี่ยน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบไม่เหมือนแผนที่วางไว้ หลายประเทศในยุโรป จบแบบช้ำชอกฉิบหาย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม เช่น อังกฤษตัวตั้งตัวตี หรือฝรั่งเศส หรือเบลเยี่ยม ที่อ้างว่าเป็นกลาง แต่ญี่ปุ่น มาร่วมสงครามแบบเสมอนอก นอกจากไม่ช้ำ เพราะไม่ได้ไปร่วมรบกับเขา แต่ดันฉวยโอกาส ไปอมของคนอื่นเขามาเสียเต็มปาก แบบนี้ ลูกพี่นักล่ารุ่นใหญ่ก็คงไม่เอ็นดูน้องใหม่เท่าไหร่ แม้จะเคยบอกรับให้เป็นสมาชิกใหม่อนาคตรุ่ง แต่เรื่องตัดหน้าคาบเหยื่อไปนี่ มันยอมให้กันไม่ได้ มันเป็นเรื่องเสียทั้งหน้า เสียทั้งเหยื่อ
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายนิยมการสร้างกองทัพ เป็นผู้มีอำนาจบริหารญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงยิ่งเหมือนว่าวติดลมบน หมายมั่นจะแผ่อำนาจของตน ไปครอบคลุมจีนให้ได้ เพราะช่วงระหว่างสงครามนั้น จีนกำลังอ่อนแอ เหมาะสำหรับที่จะงับทีละคำๆ แต่หลังจากสงครามโลกจบ จีนที่แตกเป็นหลายก๊ก กลับมีการเคลื่อนไหว โดยกลุ่มก๊กมินตั๋ง รวมตัวกันได้ และยึดส่วนใต้ของจีน เป็นเขตของตัว ตั้งรัฐบาลฝ่าย Nationalist government และตั้งเมืองนานกิง Nanking หรือบ้างก็เรียก นานจิง Nanjing เป็นเมืองหลวงของตัว ส่วนฝ่ายฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสม์ ขึ้นไปยึดทางตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ระหว่างก๊ก จะยังมีสู้กันเองบ้าง แต่ก็เริ่มมีทั้งกวาดล้างและกวาดมารวมกัน ปี ค.ศ. 1928 จีนจึงเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้น
    ญี่ปุ่นจับตาดูการเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เห็นจีนกำลังแก้แหที่ถูกโยนมาคลุมประเทศอย่างน่าสนใจ นี่ถ้าจีนฟื้น ทางรถไฟแมนจูเรีย และแคว้นกวางตุ้ง ที่เราไปจิกมาก็น่าจะไม่ปลอดภัย ญี่ปุ่นพยายามมาเกือบ 50 ปี ที่จะไม่ต้องมีชะตากรรมอย่างจีน มาบัดนี้ จีนดันจะฟื้น ญี่ปุ่นทนไม่ไหว รีบเปลี่ยนยุทธศาสตร์
    ปี ค.ศ.1931 ญี่ปุ่น ตัดสินใจบุกแมนจูเรีย เพื่อดูแลผลประโยชน์ (ที่ตัวเองไปยึดมา) ในแมนจูเรีย และกวางตุ้ง ญี่ปุ่นตั้งรัฐแมนจูกัวขึ้นมา เหมือนเป็นรัฐเถื่อน เพราะไม่มีใครรับรอง ญี่ปุ่นไม่มีพวกสนับสนุนในเรื่องนี้ แถมทำให้จีนหันกลับมาสู้กับญี่ปุ่นต่อ การปะทะกัน เริ่มกลับมาใหม่
    ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ยั่วยุสำเร็จ สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นรอบ 2 ที่ สะพาน มาร์โคโปโลก็เกิดขึ้น ในปีค.ศ.1937 สงครามระหว่างจีน กับญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่ได้จบเร็วอย่าง สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ครั้งนี้ พวกก๊กต่างๆ ของจีนสงบศึกกันเองชั่วคราว จับมือกันสู้ยิบตากับญี่ปุ่น แต่ไม่ยอมสงบศึกกับญี่ปุ่น ที่เสนอเงื่อนไข หลอกให้จีนรับ เพื่อที่จะให้จีนอดตาย การรบยือเยื้อไปถึงปี ค.ศ.1941 และในที่สุด ก็เลิกรบกันไป เพราะญี่ปุ่น เปลี่ยนไปรบสนามใหญ่เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
    แต่การรบกับจีนครั้งนี้ แม้จะเหมือนชนะ แต่ญี่ปุ่นก็ยับเยิน มันเป็นการประเมินผิด ของญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
    การรบยืดเยื้อกับจีนครั้งนี้ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น และกองทัพระเนระนาด ยาง เหล็ก น้ำมัน ร่อยหรอ และญี่ปุ่นไม่มีเพื่อนเหลือเลยในภูมืภาค นอกจากนั้น ในสายตาของนักล่านานาชาติ ยังรุมกันประณามญี่ปุ่นอีกว่า เป็นนักรุกราน ไม่มีใครคิดยื่นมือมาช่วยญี่ปุ่นรบจีน ภาพพจน์ของญี่ปุ่น กลายเป็นชาติโหดร้าย ชอบรุกราน และในที่สุดอเมริกาก็ประกาศคว่ำบาตรญี่ปุ่นด้านการค้า
    มาถึงตอนนี้ เหมือนญี่ปุ่นตัดสินใจผิดพลาด สู้อุตส่าห์ปฏิรูปประเทศ เดินตามหมากฝรั่งเพี้ยบเลย แต่ทำไม พอญี่ปุ่นทำเหมือนตะวันตก แต่ตะวันตกกลับไม่พอใจ เอะ จะเอายังไงกันแน่
    ญี่ปุ่นเดืนตามก้นตะวันตกมาถึงกลางทาง แต่ญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรเหลือแล้ว มีแต่จะต้องเดินหน้าไปเอาของคนอื่น ญี่ปุ่นมีของคนอื่นให้เลือก 2 แห่ง แห่งหนึ่ง คือ ขึ้นเหนือไปไซบีเรีย ไปเอาของรัสเซีย อีกแห่งคือ ลงใต้ มาเอาแถบแปซิฟิก แต่ แปซืฟิกใต้ ส่วนใหญ่ ก็เป็น อาณานิคม ของอังกฤษ ในที่สุด ญี่ปุ่นก็เลือกลงใต้บุกแปซิฟิก !?!
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 2 จะเท่าเทียมชาติตะวันตกในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของยุโรป หมายความว่าญี่ปุ่นก็ต้องฝึกหัด เป็นนักล่ากับเขาด้วย จะนั่งตกปลา แต่งสวน มองก้อนหิน อย่างเดิมๆ มันจะไปล่าอะไรได้ แล้วจะไปเริ่มล่าใครดีล่ะ ก็ต้องเริ่มทดสอบกับพวกอยู่ใกล้ๆตัว แล้ว เกาหลี ที่อยู่คนละฟากฝั่งทะเล ก็เป็นเป้าหมายแรก สำหรับนักล่าหน้าใหม่ จากรักสันโดษ เปลี่ยนไปสร้างสันดานใหม่ ปี ค.ศ.1876 เกาหลี ยังทำตัวตามสบาย ไม่คิดฝันว่าจะไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้าใคร จะคิดปฏิรูปประเทศตามก้นตะวันตกแบบญี่ปุ่น ยิ่งนึกไม่ออกใหญ่ และก็ (ยัง) ไม่เป็นเป้าหมายที่ตะวันตกสาระพัดชาติเล็งจนน้ำลายหก แบบที่ทำกับจีน แต่ที่สำคัญ เกาหลี อุดมไปด้วยเหล็ก และถ่านหิน ญี่ปุ่นคิดว่า ถ้าจะเปลี่ยนประเทศจากกสิกรรม เป็นอุตสาหกรรม มันก็ต้องหาทรัพยากรพวกนี้ไว้ เพราะญี่ปุ่นเอง มีแต่ปลากับสาหร่าย พวกแร่เหล็ก ถ่านหินหาไม่ค่อยเจอ คิดแล้ว เป้าซ้อมการล่า ชื่อเกาหลี นี่น่าจะเหมาะเจาะกว่าเพื่อน ปัญหาอยู่ที่ว่า เกาหลี เป็นเมืองที่ต้องส่งเครื่องบรรณาการ หรือ ส่งส่วยให้กับจีนทุกปี กษัตริย์เกาหลี ต้องแต่งตัวเต็มยศ ไปโค้งคำนับคารวะฮ่องเต้จีน ญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็เดินหน้า ไม่ลองไม่รู้ ฉวยโอกาสตอนจีนกำลังมึน จากการถูกกลุ่มนักล่าตะวันตก รุมสกรัม นั่นแหละเหมาะที่สุด แล้วญี่ปุ่นก็ยกกองทัพไปบุกเกาหลี แล้วก็บังคับให้เกาหลีทำข้อตกลง ยกเลิกอำนาจจีน ที่มีเหนือเกาหลี เกาหลี ตกใจ เลย ตกลง นับว่า นักล่าหน้าใหม่สอบผ่าน เรียนได้เร็ว สงสัยมีครูดี ปี ค.ศ.1894 เกาหลีเกิดตะลุมบอนกันเอง จีนยังมองเกาหลี เป็นเด็กในปกครอง จึงส่งกองกำลังมาห้ามมวย ส่วนญี่ปุ่น นักล่าหน้าใหม่ เห็นเกาหลีเหยื่อหมาดๆ มีเรื่องวุ่นวาย ก็ต้องโชว์มาดลูกพี่ ส่งกองกำลังไปเกาหลีด้วยเหมือนกัน เลยจ้ะเอ๋กับกองกำลังของจีน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องแสดงความเก่งกล้า ให้ปรากฏแก่สายตาของชาวเกาหลี ก็เลยเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1894-1895 ผลการรบปรากฏว่า จีน แพ้ ญี่ปุ่น อย่างหมดรูป จีนถอยทัพหงอยๆ ออกไปจากเกาหลี แต่ญี่ปุ่นไม่ถอยกลับ ยิ่งฮึกเหิมกว่าเดิม ล่าครั้งแรกก็ได้ผลแล้ว แถม นายเก่าของเหยื่อ ยังมาแพ้ต่อหน้าลูกกระเป๋งแบบไม่ เหลือรัศมี ญี่ปุ่นเลยจับมือเกาหลี ทำสัญญาใหม่ คราวนี้เอาให้ชัดๆ เกาหลี เจ้าตกเป็นเมืองขึ้นของเรา ญี่ปุ่น แล้วนะ ส่วย บรรณาการอะไร ที่เคยส่งให้แก่จีน ก็จงเลิกส่งเสีย และส่งมาให้เราแทน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยัง ยึดหมู่เกาะต่างๆ ที่เป็นของจีน ติดไม้ติดมือไปด้วย เกาะสำคัญที่ติดมือมาก็คือ เกาะไต้หวัน นั่นแหละ แค่นั้น ยังไม่หน่ำใจ ญี่ปุ่นไปยึดเอาแหลมเลี่ยวตง Liaodong Penninsula ที่บรรดาชาติตะวันตก ต่างก็เล็งจะฮุบมาจากจีน แต่จีนดันเอาแหลมเลี่ยวตง ให้รัสเซียเช่าไปนานแล้ว คราวนี้ก็สนุกซิครับ ญี่ปุ่นยิ่งเบ่งพองขึ้นไปใหญ่ เกาหลีและจีน ได้เห็นอานุภาพกองทัพของญี่ปุ่นรุ่นใหม่แล้ว คราวนี้ อิทธิพลของรัสเซียในเกาหลี และที่แมนจูเรีย กำลังจะถูกท้าทายเป็นลำดับต่อไป สันดานใหม่นี่มันโตไวจัง แล้วรัสเซียก็ถูกญี่ปุ่นท้าทายจริงๆ รัสเซียเป็นฝ่ายแพ้อย่างหมดท่า อีกราย ในการรบกับญี่ปุ่น Russo-Japan War ในปี ค.ศ.1904-1905 ทำให้ญี่ปุ่นขึ้นชั้น เป็นชาติมหาอำนาจทันที ญี่ปุ่นยึดแหลมเลี่ยวตง หรือแคว้นกวางตุ้ง นั่นแหละ ที่รัสเซียเช่ามาจากจีน แถมยึดลามไปเอาสมบัตืของแมนจูเรีย คือทางรถไฟ สายแมนจูเรียอีกด้วย อืม..เรื่องทางรถไฟมาอีกแล้ว จำไว้นะครับ สมัยก่อน ทางรถไฟคือเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ ลำพังญี่ปุ่นเอง เป็นนักล่าหน้าใหม่ ไม่น่าจะขวัญกล้าสามารถ เดินหน้าไปท้ารบรัสเซีย ที่รุ่นใหญ่กว่าแยะนัก และรบชนะเสียด้วย ถ้ายังจำกันได้ (สำหรับท่าน ที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว) ญี่ปุ่น มีคนชักใย และช่วยหาทุนก้อนมหึมาให้ไปรบรัสเซีย เรื่องนี้ ลืมไม่ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจญี่ปุ่นไขว้เข้ว เหมือนที่ญี่ปุ่นเอง อาจจะกำลังเขว้อยู่ หลังสงครามญี่ปุ่นรัสเซียจบลง ญี่ปุ่น ประกาศผนวกเกาหลี เป็นของตัวในปี ค.ศ.1910 ญี่ปุ่นชักเชื่อว่า แนวทางปฏิรูปประเทศ ที่เอาอย่างตะวันตก ขยายกองทัพเพื่อไปล่าเหยื่อ นี่ มันถูกทาง และมันอร่อยถูกปากจริงๆ สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นไปเข้าร่วมสงครามกับเขาด้วย โดยอยู่ฝ่ายพวกอังกฤษ Allied Powers ไม่ได้ไปรบอะไรกับเขาในยุโรปหรอก แค่ เตรียมไล่ เก็บเล็กเก็บน้อย พวกอาณานิคมของเยอรมัน ที่อยู่แถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นกำลังเดินตามรอยตีนนักล่ารุ่นใหญ่ อย่างขมักเขม้น และดูเหมือนนักล่ารุ่นใหญ่ ก็ไม่ได้ขัดขวาง หรือขัดคอ เพราะกำลังไม่ว่างมือว่างปาก ญี่ปุ่นเลยกำแหงได้ใจ ส่งหนังสือเรียกร้อง 21 ข้อ ไปถึงจีน ที่เรียกว่า The Twenty-One Demands ในปี ค.ศ.1915 ข้อเรียกร้องที่เป็นที่ฮือฮา คือ ญี่ปุ่นต้องการให้จีนส่งมอบการครอบครอง ท่าเรือ ทางรถไฟ เหมืองแร่ ฯลฯ ที่เป็นของเยอรมัน หรือที่เยอรมันเช่าไปจากจีน ให้ญี่ปุ่น แต่ข้อเรียกร้องสุดท้ายของญี่ปุ น นี่สุดยอดที่สุด คือ ให้จีน แต่งตั้งญี่ปุ่นเป็น ที่ปรึกษา การบริหารบ้านเมือง ทั้งในด้านการทหาร การค้า การปกครอง และ ขอเป็นตำรวจร่วมด้วย สรุป แปลความหนังสือเรียกร้อง 21ข้อ สั้นๆของญี่ปุ่น ถึงจีน ว่า กูจะกินมึงแล้วนะ นั่นแหละ มีปัญหาไหม จีนเอง กำลังมีเรื่องวุ่นวาย หลังจาก ซุนยัดเซ็น ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิง เมื่อปี ค.ศ.1911 ปฏิวัติสำเร็จ แต่ปกครองไม่ได้ จีนแบ่งเป็นก๊กเป็นพวก แย่งชิงอำนาจ หักเหลี่ยม หักหลังกันเองอยู่หลายปี มันเป็นจังหวะเหมาะแก่การ ปีนบ้านเข้าไปตีหัวเขา ระหว่างที่เขากำลังชุลมุนกัน จีนหมดทางสู้ญี่ปุ่น ทำท่าจะยอม แต่จีนเป็นเหยื่อรายใหญ่ คิดว่า นักล่ารุ่นใหญ่ เขาจะปล่อยให้นักล่าหน้าใหม่ ฉวยโอกาสคาบเอาไปง่ายๆหรือ การแย่งชามข้าวกับแบบเอิกเกริก ก็สามารถทำใ้ห้ชามกลิ้งคว่ำข้าวหก พากันอดแดกกันหมดได้ ขบวนการขัดคอ ขวางทาง ญี่ปุ่น จึงมาจากทุกทิศ ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ แบบด้านๆ ของญี่ปุ่น ก็เลยฝ่อไปดื้อๆ แล้วบรรยากาศความเป็นมิตร ก็เรื่มเปลี่ยน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบไม่เหมือนแผนที่วางไว้ หลายประเทศในยุโรป จบแบบช้ำชอกฉิบหาย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม เช่น อังกฤษตัวตั้งตัวตี หรือฝรั่งเศส หรือเบลเยี่ยม ที่อ้างว่าเป็นกลาง แต่ญี่ปุ่น มาร่วมสงครามแบบเสมอนอก นอกจากไม่ช้ำ เพราะไม่ได้ไปร่วมรบกับเขา แต่ดันฉวยโอกาส ไปอมของคนอื่นเขามาเสียเต็มปาก แบบนี้ ลูกพี่นักล่ารุ่นใหญ่ก็คงไม่เอ็นดูน้องใหม่เท่าไหร่ แม้จะเคยบอกรับให้เป็นสมาชิกใหม่อนาคตรุ่ง แต่เรื่องตัดหน้าคาบเหยื่อไปนี่ มันยอมให้กันไม่ได้ มันเป็นเรื่องเสียทั้งหน้า เสียทั้งเหยื่อ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายนิยมการสร้างกองทัพ เป็นผู้มีอำนาจบริหารญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงยิ่งเหมือนว่าวติดลมบน หมายมั่นจะแผ่อำนาจของตน ไปครอบคลุมจีนให้ได้ เพราะช่วงระหว่างสงครามนั้น จีนกำลังอ่อนแอ เหมาะสำหรับที่จะงับทีละคำๆ แต่หลังจากสงครามโลกจบ จีนที่แตกเป็นหลายก๊ก กลับมีการเคลื่อนไหว โดยกลุ่มก๊กมินตั๋ง รวมตัวกันได้ และยึดส่วนใต้ของจีน เป็นเขตของตัว ตั้งรัฐบาลฝ่าย Nationalist government และตั้งเมืองนานกิง Nanking หรือบ้างก็เรียก นานจิง Nanjing เป็นเมืองหลวงของตัว ส่วนฝ่ายฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสม์ ขึ้นไปยึดทางตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ระหว่างก๊ก จะยังมีสู้กันเองบ้าง แต่ก็เริ่มมีทั้งกวาดล้างและกวาดมารวมกัน ปี ค.ศ. 1928 จีนจึงเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้น ญี่ปุ่นจับตาดูการเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เห็นจีนกำลังแก้แหที่ถูกโยนมาคลุมประเทศอย่างน่าสนใจ นี่ถ้าจีนฟื้น ทางรถไฟแมนจูเรีย และแคว้นกวางตุ้ง ที่เราไปจิกมาก็น่าจะไม่ปลอดภัย ญี่ปุ่นพยายามมาเกือบ 50 ปี ที่จะไม่ต้องมีชะตากรรมอย่างจีน มาบัดนี้ จีนดันจะฟื้น ญี่ปุ่นทนไม่ไหว รีบเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ปี ค.ศ.1931 ญี่ปุ่น ตัดสินใจบุกแมนจูเรีย เพื่อดูแลผลประโยชน์ (ที่ตัวเองไปยึดมา) ในแมนจูเรีย และกวางตุ้ง ญี่ปุ่นตั้งรัฐแมนจูกัวขึ้นมา เหมือนเป็นรัฐเถื่อน เพราะไม่มีใครรับรอง ญี่ปุ่นไม่มีพวกสนับสนุนในเรื่องนี้ แถมทำให้จีนหันกลับมาสู้กับญี่ปุ่นต่อ การปะทะกัน เริ่มกลับมาใหม่ ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ยั่วยุสำเร็จ สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นรอบ 2 ที่ สะพาน มาร์โคโปโลก็เกิดขึ้น ในปีค.ศ.1937 สงครามระหว่างจีน กับญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่ได้จบเร็วอย่าง สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ครั้งนี้ พวกก๊กต่างๆ ของจีนสงบศึกกันเองชั่วคราว จับมือกันสู้ยิบตากับญี่ปุ่น แต่ไม่ยอมสงบศึกกับญี่ปุ่น ที่เสนอเงื่อนไข หลอกให้จีนรับ เพื่อที่จะให้จีนอดตาย การรบยือเยื้อไปถึงปี ค.ศ.1941 และในที่สุด ก็เลิกรบกันไป เพราะญี่ปุ่น เปลี่ยนไปรบสนามใหญ่เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่การรบกับจีนครั้งนี้ แม้จะเหมือนชนะ แต่ญี่ปุ่นก็ยับเยิน มันเป็นการประเมินผิด ของญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ การรบยืดเยื้อกับจีนครั้งนี้ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น และกองทัพระเนระนาด ยาง เหล็ก น้ำมัน ร่อยหรอ และญี่ปุ่นไม่มีเพื่อนเหลือเลยในภูมืภาค นอกจากนั้น ในสายตาของนักล่านานาชาติ ยังรุมกันประณามญี่ปุ่นอีกว่า เป็นนักรุกราน ไม่มีใครคิดยื่นมือมาช่วยญี่ปุ่นรบจีน ภาพพจน์ของญี่ปุ่น กลายเป็นชาติโหดร้าย ชอบรุกราน และในที่สุดอเมริกาก็ประกาศคว่ำบาตรญี่ปุ่นด้านการค้า มาถึงตอนนี้ เหมือนญี่ปุ่นตัดสินใจผิดพลาด สู้อุตส่าห์ปฏิรูปประเทศ เดินตามหมากฝรั่งเพี้ยบเลย แต่ทำไม พอญี่ปุ่นทำเหมือนตะวันตก แต่ตะวันตกกลับไม่พอใจ เอะ จะเอายังไงกันแน่ ญี่ปุ่นเดืนตามก้นตะวันตกมาถึงกลางทาง แต่ญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรเหลือแล้ว มีแต่จะต้องเดินหน้าไปเอาของคนอื่น ญี่ปุ่นมีของคนอื่นให้เลือก 2 แห่ง แห่งหนึ่ง คือ ขึ้นเหนือไปไซบีเรีย ไปเอาของรัสเซีย อีกแห่งคือ ลงใต้ มาเอาแถบแปซิฟิก แต่ แปซืฟิกใต้ ส่วนใหญ่ ก็เป็น อาณานิคม ของอังกฤษ ในที่สุด ญี่ปุ่นก็เลือกลงใต้บุกแปซิฟิก !?! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • สาวไส้ส่วยบิ๊กตำรวจ ปฏิรูปองค์กร ไม่ใช่แก๊งอาชญากรรม : คนเคาะข่าว 19-11-68

    ร่วมสนทนา
    พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
    ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร

    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=VpnJjpLEH64
    สาวไส้ส่วยบิ๊กตำรวจ ปฏิรูปองค์กร ไม่ใช่แก๊งอาชญากรรม : คนเคาะข่าว 19-11-68 ร่วมสนทนา พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ https://www.youtube.com/watch?v=VpnJjpLEH64
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก”
    ตอน 3
    เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…”
    ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย
    นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย)
    นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน
    แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย
    จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ
    ###############
    ตอน 4 (จบ)

    พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว…
    นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน
    ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย
    นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า
    นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง
    ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ
    เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง
    อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย
    ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง
    สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา
    อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย)
    นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics
    ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว
    เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ
    และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน
    แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    19 มิ.ย. 2558
    เรื่องของนายสาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เรื่องของนายสาก” ตอน 3 เวลาผ่านไป นายสาก ก็ใช้วิกฤติเป็นโอกาส ทุกครั้งที่ได้ออกรายการหน้าจอ เขาจะถือโอกาสจ้อเสมอ ถึงเรื่องที่นายปูตินขู่จะแขวนกระปู๋ของเขา เป็นการปั่นราคาตนเอง ช่วงหลังๆ บทเขาจะเพิ่มว่า ” ปูตินประกาศว่า จะเอาผมไปแขวนห้อยโดยใช้บางส่วนของร่างกายผม ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ แต่มันเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผู้ชายทุกคนนะ โดยเฉพาะสำหรับนักการเมือง และสำคัญแม้กระทั่งกับนักการเมืองหญิง.. ผู้ชายคนนี้สาบานว่าจะแขวน.. ผม แต่ตอนนี้เขาพูดเรื่องเนคไทผม ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผมครับ ที่เขาเลื่อนที่หมายสูงขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนี้มาถึงคอ ผมแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้น…” ไอ้หมอนี่ มันวิงวอนจริง น่าจะเกี่ยวเอาปากมันไปห้อยไว้ด้วย นายสากไม่หยุดพล่าม ยิ่งได้รับเลือกเป็นประธานที่ปรึกษาด้านต่างประเทศ ให้กับประธานาธิบดีช๊อกโกแลตใน การปฏิรูปประเทศยูเครน Chairman of the Consulting International Council for the Reforms for the Ukrainian President Petro Poroschenko เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ นายสากยิ่งไปใหญ่ เขาบอกว่า หน้าที่สำคัญของเขาคือ เป็นผู้เจรจาเรื่องเอาอาวุธของอเมริกามาให้ยูเครนใช้ (สู้กับรัสเซีย) นายสากออกหน้าจอ ยักคิ้วหลิ่วตาเวลาพูดว่า ต่อไปนี้ ด้วยอาวุธของอเมริกาที่จะส่งมาให้ยูเครน(จากการเจรจาของเขา) ไม่ว่าเป็นรถแท๊งค์ รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ โดรน ฯลฯ คราวนี้รัสเซียไม่มีทางยื่นหน้าเข้ามาในยูเครนอย่างแน่นอน แต่นายสากคงลืมไปว่า เมื่อตอนที่กองทัพของจอร์เจีย ที่ฝึกโดยอเมริกา และใช้อาวุธของอเมริกาและนาโต้ ถูกรัสเซียโต้กลับ และยึดเอาอาวุธไปด้วยนั้น รัสเซียส่งอาวุธทั้งหมดเข้าไปที่กองบัญชาการ เพื่อทำการวิเคราะห์ทั้งหมด หลังจากนั้นก็นำมาใช้ประจำการณ์ ตามชายแดนรัสเซีย จะด้วยเสน่ห์โบทอกซ์ ท่าเคี้ยวเนคไท การพล่ามแบบยักคิ้วหลิ่วตา หรืออะไรไม่ทราบ นายสาก ก็ได้เป็นผู้ว่าการแค้วนโอเดสสา ด่านสำคัญของยูเครน พร้อมได้รับสัญชาติยูเครน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง คิดไปคิดมา ผมขอเปลี่ยนเป็นแสดงความนับถือ ผู้ที่ตาแหลมคม เสือกใส ให้นายสาก ออกมาจากนิวยอร์ค และเอาเขามาวางไว้ที่แคว้นโอเดสสา มันเป็นหมากที่ชั่วเหลือเชื่อ ############### ตอน 4 (จบ) พูดถึงนายสากแล้ว ไม่พูดถึงนายมอยสกี้ Ihor Kolomoyskyi เจ้าพ่อใหญ่ของยูเครน ก็จะไม่ครบเครื่อง นายมอยสกี้ ชาวยิว เจ้าพ่อใหญ่ ที่คุมเกือบทุกอย่างในยูเครน กำลังใหญ่อยู่เพลินๆ เป็นผู้ว่าการเมืองสำคัญของยูเครน ชื่อ Dnepropetrovsk อยู่ดีๆ นางฟ้า หรือนางเหยี่ยว แปลงร่างเป็นนางฟ้าก็ไม่รู้ ดันเศกนายสาก มาให้เจ้าพ่อช๊อกโกแลต ใหญ่กับใหญ่เจอกัน มันอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ข้างหลังของใครใหญ่กว่า แล้วนายมอยสกี้ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชื่อยาว เมื่อราวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่าน มา เพียงแค่หนึ่งเดือน หลังจากที่นายสาก มาทำท่ายักคิ้วหลิ่วตา แค่ยักคิ้ว เท่านั้น ยูเครนก็สะเทือนแล้ว คราวนี้ ฤทธิ์ยิว ดูเหมือนจะแพ้ ฤทธิ์เหยี่ยว… นายมอยสกี้ มีคนหนุนหลังไหม น่าจะมี แต่นายสากน่ะ มีคนหนุนชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะหนุนเพราะไม่อยากให้นายสาก กลับไปอยู่นิวยอร์ค หรือเพราะอะไรไม่แน่ใจ แต่อยู่ยูเครนนี่คงเหมาะแล้ว ยกแรกของการวัดกำลัง ดูเหมือนนายสากจะได้เปรียบ แต่นี่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ปัญหาว่า นายช๊อกโกแลต ประธานาธิบดียูเครนคิดอะไร ที่เห็นคนนอกบ้าน ดีกว่าคนในบ้าน จะว่าเพราะนายมอยสกี้ เป็นมาเฟียเจ้าพ่อครองเมือง ที่ทำท่าจะใหญ่ หรือจริงๆก็ใหญ่กว่า ประธานาธิบดีเสียอีก เบ่งเสียจนนายช๊อกโกแลตละลายเละ แต่นายสากก็ทำตัวเหมือนอึ่งอ่างหรือคางคก แถมยังมีสถานะ เป็นว่าที่นักโทษหนีคดีตัวจริง แสบจริง และเป็นสายล่อฟ้าให้นายปูติน ฟิวส์ขาดได้ง่ายอีกด้วย นายช๊อกโกแลต คงคิดแยะ หรือไม่คิดอะไรเลย แต่คิด หรือไม่คิด ก็คงไม่มีความหมาย เพราะช๊อกโกแลตเป็นแค่หุ่น เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม ให้เอาต่างชาติมาเป็นรัฐมนตรี ก็ครับผม ให้เอาต่างชาติคดีติดตัวยาวเป็นหางว่าว มาเป็นผู้ว่าการแคว้นใหญ่ของประเทศ ก็ครับผม แบบนี้ไปคอยถามว่าคิดอะไร ก็เสียเวลาเปล่า น่าจะถามว่า อเมริกากับรัสเซีย จะเอายังไงมากกว่า นางเหยี่ยวนูแลนด์ เดินสายไปเมือง Tbilisi ของจอร์เจีย เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ต้นปีนี้ จากนั้น นางเหยี่ยวจะเดินทางไปที่หมายต่อไป คือ Baku ของ Azerbaijan บั้นท้ายของนางเหยี่ยวยังไม่ทันพ้นเมืองTbilisi ก็มีข่าวลือกระฉ่อนทั่วเมืองว่า อีกไม่นาน จอร์เจียอาจมีการปฏิวัติ หรือมีการลุกฮือ ไล่รัฐบาลที่ปกครองอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่นางเหยึ่ยวออกปากว่า เป็นพวกไม่เอาตะวันตก คือไม่เอาอเมริกา แต่เอนไปทางรัสเซียนั่นแหละ… ชอบขู่แบบนี้กันนักนะ…หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายช๊อกโกแล็ตก็ตั้งนายสาก เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ตามใบสั่ง ข่าวว่างานแรกของนายสาก ที่ลงมือ หลังจากเป็นที่ปรึกษาใหญ่ คือเรียกประชุม บรรดาพรรคพวก ที่สังกัดองค์กร NGO โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อน เช่น Innovations and Development Foundation, the Movement for Independence and Eropean Integration, Free Zone, Azat Zone, League of Young Dipolmats กลุ่มพวกนี้ ต่างได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก National Endowment for Democracy หรือ NED ที่โด่งดังของรัฐบาลอเมริกา ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ เรื่องของทรานนิสเตรีย ยูเครน นายสาก จอร์เจีย เกี่ยวโยงกันไหม เกี่ยวแน่นอน แต่เกี่ยวขนาดไหน และเกี่ยวกับใครอีกบ้าง อียู อยากให้มีการเซ็นสัญญาสงบศึกถาวรในยูเครน เพราะคนยุโรปยังเข็ดกับการทำสงคราม สงครามกลางเมืองยูเครนคือ ปัญหาที่จะกระทบทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของยุโรป และที่ชาวยุโรปเดือดร้อนโดยตรง คือ โอกาส ขาดแคลนแก๊สจากท่อส่งของรัสเซียมายังยุโรป เรื่องนี้ อเมริกาไม่ได้มาเดือดร้อนด้วย ส่วนความต้องการของอเมริกา หรือตามที่นางเหยี่ยวบอกกับที่ประชุม ในตอนเดินสายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ว่า เราไม่ต้องการให้เขา (ยูเครนกับรัสเซีย) สงบศึก เราต้องการให้เขารบกัน เข้าใจไหม สงครามกลางเมืองในยูเครน จะเป็นโอกาสทองของเรา เพราะจะทำให้รัสเซียวอกแวก คนเรา เวลาวอกแวก จะตัดสินใจถูกต้องยาก อเมริกาต้องการให้รัสเซียเป็นอย่างนั้น นายสากจึงถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งอะไรก็ได้ ยัดเข้าไปก่อน ไปอยู่แถวนั้น เพื่อแหย่พยาธิคุณพี่ปูติน นี่คือความคิดของอเมริกา ที่เราควรทำความเข้าใจให้ซึ้ง สิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เรื่องนิวเคลียร์อิหร่าน จะต้องสรุปแล้ว ว่าอเมริกากับอิหร่านพูดกันรู้ เรื่องไหม พูดเรื่องเดียวกันไหม ถ้าพูดกันรู้เรื่อง ก็มีเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็มีเรื่องอีกอย่างหนึ่ง อเมริกา แน่นอน ต้องเตรียมแผนสกัด ไม่ให้รัสเซีย กับอิหร่านขยับมาจับมือกันแน่นกว่าเดิม แต่จะไปรอคิดแผนเอาตอนนั้นหรือ ไม่ใช่วิธีของอเมริกา อย่าลืมว่า จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจัน มีเขตแดนติดกับอิหร่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นางเหยี่ยว แวะไปทั้ง 2 แห่ง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มาถึงเดือนพฤษภาคม ที่อิยิปต์ ศาลตัดสินประหารชีวิต อดีตประธานาธิบดีมอร์ซิ ที่อเมริกาเคยสนับสนุน แต่เมื่อหมดประโยชน์ก็ถีบทิ้ง แต่ตุรกี ที่สนับสนุนมอร์ซิมาตลอด ยังเห็นใจเพื่อน และไม่พอใจอเมริกาอย่างรุนแรง แล้วตุรกีที่มีเขตแเดนติดกับอิหร่าน ก็เริ่มมีปัญหาเรื่องชาวเคิร์ด ที่อเมริกาหนุนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ตามมาด้วยเหตุการณ์ในและใกล้ยูเครนเกิดขึ้นพร้อมกันคือการแต่งตั้งนายสาก เป็นผู้ว่าการแคว้นโอเดสสา ที่พลเมืองส่วนใหญ่เอนไปทางรัสเซีย และการปิดกั้นทรานนิสเตรีย (จะเข้าใจการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้มากขึ้น ถ้าหาแผนที่มาดูตามไปด้วย) นี่คือการเดินหมากของอเมริกา เพื่อล้อม และล่อหลอกรัสเซีย ตามทฤษฏี ภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics ฝ่ายรัสเซีย ก็ใช้ทฤษฏีเดียวกัน แต่เดินหมากกับประเทศอีกเส้นแนว ด้วยการต้อนรับกรีกที่เครมลิน เมื่อเดือนเมษายน และไปเยี่ยมอิตาลี เมื่อกลางเดือนมิถุนายนนี้เอง ถ้ารัสเซียคุยกับกรีกและอิตาลีรู้เรื่อง การเคลื่อนกองทัพเรือของอเมริกาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อคอยกันรัสเซีย ไม่ให้ลงใต้ คงไม่ง่ายนัก แต่ทางตรงกันข้าม ถ้ารัสเซียขึ้นเหนือ ไปคิดบัญชีค้างชำระกับบางราย อเมริกาก็อาจมาช่วยไม่ทัน เพราะฉนั้น อเมริกาคงทำทุกอย่างเพื่อเป็นการบีบไม่ให้กรีกและอิตาลีแตกแถว เรื่องมันชักพัวพันขมวดเกลียวแน่นขึ้น รัสเซียจะรับมืออย่างไร ยูเครนเป็นห่วงคล้องคอรัสเซีย รัสเซียไม่อยากรบกับยูเครน ขณะเดียวกัน ก็คงทำใจเห็นคนยูเครน ที่เลือกจะไปอยู่กับรัสเซีย ประมาณเกือบ 10 ล้านคน บาดเจ็บล้มตายไม่ลง การส่งนายสากมาอยู่โอเดสสาคราวนี้ ของไอ้นักล่าใบตองแห้ง แม้จะแสดงว่าไอ้นักล่ายังไม่พร้อมรบ แต่เป็นการขยับหมากที่เหลือร้ายของไอ้นักล่า รัสเซียจะแก้เกมอย่างไร จะรับ หรือจะรุก คงต้องคอยดูเรื่องอิหร่านสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ครับ และไม่ว่า การเจรจากับอิหร่านจะออกมาอย่างไร จะมีผลกระทบกับการเมืองโลกอย่างสำคัญแน่นอน รวมทั้งกระทบถึงแดนสยามด้วย เราเตรียมตัวอะไรกันไว้บ้าง หรือรอให้มีเรื่องก่อน แล้วค่อยวางแผน แล้วอย่าลืมไอ้สากโมเด็ล เกิดไอ้นักล่าคิดเล่นเกมสกปรก เพิ่งนึกออกว่าเจอนักโทษหนีคดี ทำทีเป็นช่วยสงเคราะห์จับตัว ส่งกลับบ้านให้ ก็จำกันไว้บ้างแล้วกันนะครับ ว่ามันกำลังคิดจะเล่นอะไรกับเรา สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 19 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 763 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรวางระเบิดเบี่ยงเบน โลกล้อมปราบสแกมเมอร์ : [THE MESSAGE]

    นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เผยถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรี หลังกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดละเมิดข้อตกลงสันติภาพ ผิดหวังรัฐบาลไม่ได้ลงทุนกับการรับมือสถานการณ์ชายแดนอย่างเพียงพอ ควรอนุมัติงบกลางมากกว่านี้ ตั้งข้อสังเกตให้สังคมคิดตาม กัมพูชาต้องการอะไร จากที่โลกพุ่งเป้าล้อมให้แก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ประเด็นเปลี่ยน ใครได้ประโยชน์ วันนี้รัฐบาลแช่แข็งข้อตกลงสันติภาพ ทำให้การแก้ปัญหาสแกมเมอร์หยุดลงทันที แนะรัฐบาลเปิดปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าตรวจสอบดีๆ อาจเจอเส้นเงินของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หากยื่นไปที่อินเตอร์โพล จะทำให้กัมพูชาเกิดแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ และต้องตัดแขนขาทุนสีเทา เขาคือไส้ศึกทรยศต่อชาติ อย่าให้กับดักลูกที่สองรัฐบาลเราเป็นคนเหยียบ ไม่เช่นนั้นจะเสียหายจริงๆ
    เขมรวางระเบิดเบี่ยงเบน โลกล้อมปราบสแกมเมอร์ : [THE MESSAGE] นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เผยถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรี หลังกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดละเมิดข้อตกลงสันติภาพ ผิดหวังรัฐบาลไม่ได้ลงทุนกับการรับมือสถานการณ์ชายแดนอย่างเพียงพอ ควรอนุมัติงบกลางมากกว่านี้ ตั้งข้อสังเกตให้สังคมคิดตาม กัมพูชาต้องการอะไร จากที่โลกพุ่งเป้าล้อมให้แก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ประเด็นเปลี่ยน ใครได้ประโยชน์ วันนี้รัฐบาลแช่แข็งข้อตกลงสันติภาพ ทำให้การแก้ปัญหาสแกมเมอร์หยุดลงทันที แนะรัฐบาลเปิดปฏิบัติการเชิงรุกมากขึ้น ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าตรวจสอบดีๆ อาจเจอเส้นเงินของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หากยื่นไปที่อินเตอร์โพล จะทำให้กัมพูชาเกิดแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ และต้องตัดแขนขาทุนสีเทา เขาคือไส้ศึกทรยศต่อชาติ อย่าให้กับดักลูกที่สองรัฐบาลเราเป็นคนเหยียบ ไม่เช่นนั้นจะเสียหายจริงๆ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร”

    ตอน 1

    วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555

    เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง

    รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป

    Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น
    เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ

    ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป”
    China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come”

    คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ
    ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน..

    …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย..

    …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย..

    .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน

    การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้…

    ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค
    ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

    การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น

    ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ

    นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป..
    อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย

    “แผนสอยมังกร”

    ตอน 2

    จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ

    – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55)
    – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย

    – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก

    แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น
    เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ

    – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง….

    และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย
    แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น….

    แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ

    สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน

    นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 พ.ค. 2558
    แผนสอยมังกร ตอนที่ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนสอยมังกร” ตอน 1 วันนี้ เดิมผมตั้งใจจะเอาตอนแถมของนิทาน เรื่อง”ต้มข้ามศตวรรษ ” (หรือหม้อตุ๋นแตก ที่คุณจตุพร เพชรเรียง ตั้งชื่อให้ ซึ่งผมชอบมาก) มาลงให้อ่าน แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเจอเอกสารชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเล่าให้ฟังกัน หลังจากลงของแถม แต่บังเอิญเช้านี้ ได้กลิ่นทะแม่งๆค่อนข้างแรง เลยขอพาท่านผู้อ่าน เดินทางกลับจากอดีต 100 ปี เข้าสู่ปัจจุบันกันก่อนเดี๋ยวจะตกข่าวสำคัญ แล้วกลายเป็นว่า ลุงนิทานดีแต่เขียนเรื่องอดีต ปัจจุบันเขาไปถึงไหนกันแล้วไม่บอกกันมั่ง หมู่นี้ลุงนิทานโดนค่อนขอดนินทาแยะแล้ว ไม่อยากโดนเพิ่ม แต่ไม่เป็นไรครับ นินทาลุงแล้วนอนหลับสบายก็เชิญ ถือว่าลุงนิทานได้ทำกุศล 555 เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะความคิด (think tank) ที่มีอิทธิพลสูงลิ่ว และมีเสียงดังฟังชัด ซึ่งในหลายๆครั้ง (จริงๆก็เกือบทุกครั้ง) ดูเหมือนจะดังนำ จนเสียงของประธานาธิบดี ต้องว่าตามเสียงอ่อยๆเสียด้วยซ้ำ ได้ออกรายงาน Council Special Report No. 72 ชื่อ “Revising U.S. Grand Strategy Toward China” ซึ่งกว่าผมจะได้อ่าน ก็นู่น จะหมดเดือนเมษาเข้าไปแล้ว อากาศบ้านเรากำลังร้อนจัด แค่เห็นหัวข้อ ผมก็แทบสะอึก พออ่านจบ ผมต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ และลดความร้อนในใจอยู่หลายวัน กว่าจะตัดสินใจว่า จะเอามาเขียนเล่าสู่กันฟัง รายงานนี้มีความหมายมากครับ เหมือนเป็นเข็มทิศและเครื่องวัดอุณหภูมิของโลก และที่สำคัญ มีความเกี่ยวพันกับแดนสมันน้อยของเรา ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป Edward Mead บรรณาธิการรุ่นเก๋าชื่อดัง ได้เขียนอธิบายความหมายของคำว่า Grand Strategy ไว้ว่า เป็นศิลปะของการควบคุม และการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์สุงสุดของประเทศและเพื่อปกป้องตนเองจากผู้ที่เป็นศัตรู หรือมีโอกาสที่จะกลายเป็นศัตรู หรือเพียงแต่คาดว่า อาจจะเป็นศัตรู… และเป็นยุทธศาสตร์ที่มิได้ใช้เฉพาะในภาวะสงครามเท่านั้น แต่ใช้ในทุกสภาวะของรัฐนั้น เทียบกับสมัยโบราณของบ้านเรา Grand Stategy คงจะเป็นทำนองหลักพิชัยสงครามขั้นสูงสุด นะครับ ” จีน นับเป็นขู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา ในขณะนี้ และในอีกหลายๆทศวรรษต่อไป” China represents and will remain the most significant competitor to the United States for decades to come” คนเขียนรายงานการวิเคราะห์ เขาเกริ่นเริ่มต้นเช่นนั้น อ่านเผินๆ เหมือนน้ำไหลเอี่อยๆ ไม่เห็นต้องสดุ้ง สะอึก อะไรเลย แต่ประโยคต่อไปของเขา ความเอื่อยค่อยๆเปลี่ยน.. …จีน กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ ของตน ซึ่งมีเป้าหมาย ที่จะควบคุมประชาสังคมทั้งในและนอกประเทศจีน ที่อยู่ใกล้กับอาณาบริเวณของจีน ให้สงบราบคาบ และสร้างสถานะของจีนให้แข็งแกร่งในประชาคมนานาชาติ เพื่อเข้าไปแทนที่อเมริกา ในฐานะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในเอเซีย.. …ความพยายามของอเมริกา ที่จะนำจีนเข้ามาอยู่ในระบบที่ใช้กันอยู่ในสากล กลายเป็นการสร้างความคุกคามให้แก่อเมริกาเอง ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในเอเซีย และในที่สุดจีนอาจเป็นผู้ท้าทาย ความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในโลก ของอเมริกาด้วย.. .. อเมริกาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ในนโยบายปัจจุบันของอเมริกา เพื่อเป็นการจำกัดอันตราย ที่อาจมีต่อผลประโยชน์ของอเมริกาในภูมิภาคเอเซีย และในระดับโลก ที่เกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ และการทหารของจีน การเปลี่ยนแปลงยโยบายของอเมริกาดังกล่าว จะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรักษาความเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของอเมริกาในระบบปัจจุบันของโลกเอา ไว้… ….การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของจีน ในช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้จีนสามารถสร้างอำนาจ ที่ยากแก่การเอาชนะ กลายเป็นประเทศที่สามารถจะครอบงำภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันตรายต่อวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลประโยชน์ ของอเมริกาในภูมิภาค ด้วยเศรษฐกิจที่โตแบบพุ่งพรวดของจีน แม้รายได้ต่อหัวของคนจีน จะยังตามหลังคนอเมริกันก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ปักกิ่ง สามารถท้าทายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเซียและอิทธิพลของอเมริกาในเอเซีย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่ออเมริกาอย่างน่าอันตราย และแม้การเติบโตของจีดีพีของจีน อาจจะช้าลงอย่างเห็นชัดในอนาคต แต่เมื่อเทียบกับของอเมริกาในอนาคตแล้ว ก็ยังจะสูงกว่าอเมริกาอยู่ดี จึงทำให้การถ่วงดุลอำนาจจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การทำให้รากฐานของจีนล่มสลายเท่า นั้น (fundamental collapse) จึงเป็นทางเดียว ที่จะทำให้อเมริกาพ้นจาก “ภาระ” การถ่วงดุลกับจีน เพราะว่า แม้จะทำให้จีน “สะดุด” หัวทิ่มบ้าง ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะขจัดอันตราย ที่จีนมีต่ออเมริกาในเอเซีย และที่ไกลโพ้นไปกว่านั้น ในบรรดาชาติทั้งหมด และไม่ว่าในสถานการณ์ใดเท่าที่จะคาดการณ์ได้ มีแต่จีนเท่านั้น ที่จะเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของอเมริกา และจะเป็นอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายทศวรรษ การผงาดขึ้นมาของจีน จนถึงขณะนี้ ได้สร้างความท้าทายอำนาจของอเมริกา (และอำนาจของอเมริกาที่มีต่อ)มิตร ของอเมริกา ไม่ว่าทางด้านภูมิศาสตร์ การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และที่สำคัญ ต่อการจัดระเบียบโลก “ภายใต้ข้อกำหนด” ของอเมริกา และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไป ยิ่งนานไป ก็ยิ่งเป็นการทำลายผลประโยชน์ของอเมริการุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นโยบายที่อเมริกาใช้อยู่กับจีนขณะนี้ เป็นนโยบายที่รับรองคุณค่าของจีนทางเศรษฐกิจและปล่อยให้เกิดเสรีทางการเมืองในนานาชาติ ด้วยค่าใช้จ่าย หรือการเสียประโยชน์ของอเมริกาในการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก มันห่างไกลกับการใช้ยุทธศาสตร์แบบ “grand” แถมไม่มีทางจะได้ผลอะไรขึ้นมา จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่อเมริกาจะต้องตอบโต้การเติบโตของอำนาจจีนอย่างเร่งด่วน ซึ่งแม้จะทำตอนนี้ ยังเกือบจะสายไป.. อือ หือ…. ผมอ่านวิธีการเขียนของ คุณสุดกร่าง ถังขยะความคิด CFR แล้วต้องยอม ว่าเขาใหญ่จริง เขาตบอาเฮียของผม แบบไม่เลี้ยงเลยนะ เอาซะกกหูบวม หัวโน คางโย้ เพราะอาเฮียอีดันโตเร็ว โตไป ใหญ่ไป มันคงไปกระตุ้นต่อมอิจฉา ต่อมหมั่นไส้ ของไอ้พวกนักล่าใบตองแห้ง อย่างทนไม่ไหว เอาซะใบตองปลิวกระจาย ข้อหาความผิดของอาเฮีย คือใหญ่ขนาดมาทาบรัศมี นี่ ไอ้นักล่ารับไม่ได้จริงๆ คงเหมือนเด็กถูกเหยียบเงาหัว ที่สำคัญคือ อาเฮียไม่ยอมคุกเข่า สะบัดแขนคำนับอเมริกา แถมยังเดินหน้าตามวิธีการ นอกรูปแบบ ที่อเมริกากำกับ หรือสั่งให้สิ่งมีชีวิตทั้งโลกทำตาม ขนาดสั่งให้แผ่นดินไหว ให้เกิดพายุยังทำได้เลย จวนจะเป็นพระเจ้าอยู่แล้วรู้ไหม เอะ หรือเป็นแล้ว… แล้วจีนเป็นใครมาจากไหน ถึงสั่งซ้ายหัน ขวาหันไม่ได้ เรื่องมันสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้น สำหรับนักล่าเมื่อสั่งกันไม่ได้ ก็ต้องสอยให้ร่วง (fundamental collapse) มีแค่นั้นเอง เข้าใจไหมครับอาเฮีย “แผนสอยมังกร” ตอน 2 จีนสร้างความเจริญเติบโตอย่างไร สุดกร่าง CFR บอกว่า จีนขึ้นต้นด้วยการสร้างหัวขบวนก่อนอื่น สร้างหัวหน้าที่มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เหนือกว่าสถาบันใดในประเทศ หลังจากนั้นจึงเดินหน้าสู่ภาระกิจ 4 ประการ – จัดระเบียบภายในประเทศ จัดแถวหน่วยงานต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดกร่าง ติติง ว่า การเป็นผู้นำประเทศของจีนมักมีปัญหาในเรื่องของการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และขาดธรรมาภิบาล ( ผมว่า ไอ้สุดกร่างนี่มันเขียนลอกจากคู่มือ ที่ไอ้นักล่าใบตองแห้ง แจกไปทั่วโลก เรื่องธรรมาภิบาลในการบริหาร Good Governance ทำให้นึกถึงน้านันของผมเลย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขึ้นเวทีไหนไม่พูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวปลอมเลย 55) – จีนเริ่มปฏิรูปประเทศอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งในสมัยเติ้งเสี่ยวผิง เพราะเชื่อว่าถ้าเศรษฐกิจของประเทศดี ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น ความวุ่นวายทางสังคมจะน้อยลง และการปกครองประชาชนจะง่ายขึ้น ดังนั้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นนโยบายที่จำเป็นอย่างยิ่งของจีน นอกจากนั้น การเน้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) สามารถจัดระเบียบสังคมจีน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันนัก (การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจของจีน ไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันทางการเมือง เพราะทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการบริหารประเทศ) ดังนั้นการปฏิรูปประเทศ ด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เป็นนโยบายสำคัญด้านการเมืองภายในของจีนด้วย หมายความว่า จีนไม่มีทางเลิกนโยบายนี้ และเป็นเรื่องที่สุดกร่าง CFR บอกว่า ยิ่งจีนเดินหน้าตามเส้นทางนี้ โอกาสกระแทกนักล่า หล่นจากการเป็นผู้กุมชะตาโลกแต่ผู้เดียว ก็เป็นเรื่องน่าหวั่นใจมาก…. แหม ก็แค่ทำแท่นให้มันใหญ่ขึ้น ยืนด้วยกันหลายๆคน ใหญ่ๆ ด้วยกัน เก่งๆ กันทั้งนั้น ช่วยๆกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้นนี่ พวกเอ็งขัดใจมากนักหรือไง ขอโทษครับ ผมไม่สุภาพไปหน่อย – เมื่อเศรษฐกิจจีนดีขึ้น ต้ังแต่ช่วงปี ค.ศ. 1980 กว่า ถึง 1990 กว่า จีนก็รวยเอาๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีแล้วจะนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้านทำไม สุดกร่างบอก จีนเลยเริ่มเดินเผ่นผ่านออกไปนอกบ้าน ไปตบหัวลูบหลังเด็กๆที่อยู่แถวนอกบ้าน จึงเป็นที่มาของนโยบายของจีน ที่จะแผ่อิทธิพลในแถบอินโดแปซิฟิก แต่โลกมันก็เปลี่ยนด้วย รอบตัวจีนไม่ได้มีแต่พวกเด็กน้อยที่รอจีนมาตบหัวลูบหลัง แต่มีพวกกล้ามใหญ่ที่เป็นคู่แข็งจีนด้วยซ้ำ ยืนกอดอกดูจีนอยู่เหมือนกัน เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย และนอกจากนั้น พวกที่อาจเคยเกรงใจจีนมาในสมัยก่อน เช่น เกาหลีใต้ และเวียตนาม แต่บัดนี้ ก็กลายเป็นประเทศที่ดูแลตนเองได้ แม้จะยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง ก็ไม่แสดงความสนใจว่าจะไปซุกอยู่ใต้อุ้งเล็บมังกร และเมื่อจีนคิดขยายวง ประเล้าประโลมออกไปเรื่อยๆ ก็ดันไปเจอเอาฐานทัพและกองกำลังอันแข็งแกร่งของอเมริกา ที่กระจายอยู่เต็มบ้านของพันธมิตรของอเมริกา ซึ่งยากที่จีนจะทะลวงเข้าไปได้ ….แม่จ้าวโว้ย อ่านที่ไอ้สุดกร่างบรรยายถึงตอนนี้ เล่นเอาผมเคลิ้มจนเอกสารปึกใหญ่หล่น เมื่อทางเข้าเส้นนี้มีอุปสรรค หนทางเดินหน้าตามแผนของจีน ในความเห็นของสุดกร่าง ก็คือ จีนยิ่งใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ สานไมตรีกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคหนักเข้าไปกว่าเดิมและเพื่อไม่ให้ถูกนินทาว่า จีนกำลังจะฮุบเอเซีย จีนก็เริ่มหันไปจับมือกับรัสเซีย ทำทีเป็นเห็นใจรัสเซีย ที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตรใส่ จนหน้าบุบไปหมดแล้ว แต่ที่แสบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอิทธิพลอเมริกาที่มีอยู่ทั่วเอเซียอย่างชอบธรรมนั้น จีนพยายามหาเหตุอ้างว่าไม่เหมาะสม และกำลังเดินนโยบายที่จีนบอกว่า จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจอเมริกาในเอเซียเสียใหม่ … อาเฮียครับ พระเจ้านักล่าบอกว่า อิทธิพลของเขาที่มีอยู่ทั่วเอเซีย “ชอบธรรม” แล้ว อาเฮียจะเถียง จะท้าทายเขาแน่จริงไหมครับ พวกผมจะได้เตรียมตัว..หลบ – ประการสุดท้าย ที่จีนแสดงอาการให้เห็นเป็นการท้าทายอเมริกา ในความเห็นของสุดกร่าง คือ จีนเริ่มก้าวเข้าไปเบ่งกล้ามใน ระบบสากล เพื่อแสดงให้เห็นว่า จีนก็เป็นดาราอินเตอร์ได้ อันที่จริง บทดาราอินเตอร์ จีนก็ได้เล่นอยู่แล้ว ต้ังแต่ก่อน การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 ซึ่งจีนได้รับสิทธิในการออกเสียงคัดค้าน (veto) ในฐานะสมาชิกถาวร ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) เพียงแต่ตอนนั้น จีนเลือกที่จะเป็นคอมจนๆ เสียงในสากลก็เลยไม่ดัง ตอนนี้ จีนเปลี่ยนมาเล่นบทเป็นเศรษฐี บวกกับยังมีตำแหน่งดาราอินเตอร์ของเดิมค้างอยู่ คราวนี้ เสียงจีนในสหประชาชาติ ก็เลยยิ่งดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์… แบบนี้ เขาจะไม่หมั่นไส้อาเฮีย จนคันไปทั้งแผงหลังได้ยังไง…. และจีนก็ยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองมีเศรษฐกิจดี จีนเริ่มออกความเห็น และพยายามเข้ามามีอิทธิพลใน IMF และ World Bank เพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของตน จีนทำตัวเป็นดาราอินเตอร์เต็มตัว เหมือนกับพวกที่เริ่มมีอำนาจทางการเมืองโลกใหม่เขาทำๆกัน นี่.. ด่ากระทบซะเลย แต่พวกเศรษฐีใหม่ก็เป็นอย่างนี้แหละ พยายามเสนอตัวเอง เข้าไปในสังคมโลก เฉพาะในทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าจะต้องเสียสละทำให้สวนรวม ก็ยังไม่เห็นจีนแสดงบทบาทอะไรที่เหมาะสมกับความเป็นเศรษฐีของตน และแม้ว่าจะเป็นถึงหมายเลขสองของโลกในด้าน เศรษฐกิจและการงบประมาณด้านทหาร จีนก็พยายามวางนโยบาย ที่จะเอาภาระที่จะต้องเสียสละให้แก่สังคม ไปให้อเมริกาและประเทศอื่น ที่ยังมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยซ้ำ ..อันนี้ด่าอาเฮียเจ็บนะครับ หาว่า เขารวย แต่ เค็ม เห็นแก่ตัว ทำนองนั้น…. แต่เวลาจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง จีนกลับตัดอเมริกาออก เช่น เมื่อจีนพยายามรวมกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้า ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยการรวมกลุ่มกับบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และอาฟริกาใต้ (BRICS) นอกจากนั้น จีนยังพยายามสร้างความร่วมมือ กับประเทศในภูมิภาคอื่น เช่น China-Africa Cooperation, China-Arab Cooperation Forum เพื่อแข่งขันกับองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจรุ่นเก่าๆ สมดังคำเปรียบเปรยของ นาย เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ที่กล่าวว่า จีนยังวุ่นอยู่กับการนำตัวเองเข้าไปจัดการองค์กรที่ได้จัดสร้างขึ้น โดยจีนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างและพัฒนาวัตถุประสงค์ขององค์กรเหล่านั้น … ไอ้สุดกร่าง นี่มันสรรหามาแดกดันได้ทุกเรื่องจริงๆ สุดกร่างสรุปในที่สุดว่า จีนไม่ได้มีนโยบายที่จะเป็นประเทศที่มุ่งจะทำการค้าขาย “trading state” แต่อย่างใด แม้ว่าในผลลัพธ์จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม แต่โดยแท้จริงแล้ว จีนมุ่งหมายที่จะเป็นมหาอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ conventional great power เต็มยศชุดใหญ่ ในด้านการเมือง และการทหาร การท้าชิงความเป็นใหญ่ในเอเซียกับอเมริกา เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น สำหรับการก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจในโลกของจีน นี่คือ ” จีน ” ตามข้อกล่าวหา และในสายตาของถังความคิด CFR ที่ประธานาธิบดีของอเมริกาเกือบทุกคน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ” ต้อง” ให้ความสนใจ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 983 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อนุทิน" ยื้อปราบสแกมเมอร์ แฉ ตร.เอี่ยวเว็บพนัน 200 คน : [THE MESSAGE]

    นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ผิดหวังท่าที นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ปราบสแกมเมอร์สวนทางบอกเป็นวาระแห่งชาติ แต่หน่วยงานเกียร์ว่างไม่ดำเนินการจริงจัง จี้ ปลด ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกจาก ครม. สังคมรับไม่ได้กับพฤติกรรม มีข้อสงสัยเชื่อมโยง ทุนสีเทาเชื่อมโยง ส่งผลรัฐบาลขาดความเชื่อมั่น ยืนยัน ข้อมูลที่มีเอาผิดได้ทุกระดับ ฝ่ายการเมืองข้าราชการประจำเละเทะ ตำรวจที่มีการแฉไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันกว่า 200 คน พร้อมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
    "อนุทิน" ยื้อปราบสแกมเมอร์ แฉ ตร.เอี่ยวเว็บพนัน 200 คน : [THE MESSAGE] นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ผิดหวังท่าที นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ปราบสแกมเมอร์สวนทางบอกเป็นวาระแห่งชาติ แต่หน่วยงานเกียร์ว่างไม่ดำเนินการจริงจัง จี้ ปลด ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกจาก ครม. สังคมรับไม่ได้กับพฤติกรรม มีข้อสงสัยเชื่อมโยง ทุนสีเทาเชื่อมโยง ส่งผลรัฐบาลขาดความเชื่อมั่น ยืนยัน ข้อมูลที่มีเอาผิดได้ทุกระดับ ฝ่ายการเมืองข้าราชการประจำเละเทะ ตำรวจที่มีการแฉไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันกว่า 200 คน พร้อมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • พนันไม่เกี่ยวสแกมเมอร์ นักการเมืองทุกคนมีอดีต : [THE MESSAGE]
    ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม(กธ.) เผยกรณีมีการเชื่อมโยงนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรค กธ. เกี่ยวข้องกับเส้นเงินแก๊งสแกมเมอร์ เขาชี้แจงตัวเองแล้ว ขอให้ลองไปฟัง เป็นคดีเก่าที่ผ่านกระบวนการยุติธรรม เราไปพูดมากก็ไม่ดี วันนี้สังคมไทยมองทุกอย่างเป็นสแกมเมอร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเขาพยายามแยกแยะและชี้แจงว่า เรื่องแก๊งสแกมเมอร์เป็นความผิดประเภทหนึ่ง พนันออนไลน์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การค้ามนุษย์ก็อีกประเภทหนึ่ง ต้องแยกกัน อะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมเขา อย่าเหมารวม ถ้าตรวจสอบทั้งหมด 400 กว่าชีวิตในสภา ทุกคนมีประวัติและอดีต จะให้เราซัดกันหรือ ตนเองมองว่ามันไม่ดี ส่วนการไปชี้แจงคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ วันนี้มีประชุมตั้งแต่เช้า บ่ายก็ติดภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลา เหลือเวลาไม่กี่เดือนก็จะยุบสภาแล้ว พยายามทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับประชาชน
    พนันไม่เกี่ยวสแกมเมอร์ นักการเมืองทุกคนมีอดีต : [THE MESSAGE] ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม(กธ.) เผยกรณีมีการเชื่อมโยงนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรค กธ. เกี่ยวข้องกับเส้นเงินแก๊งสแกมเมอร์ เขาชี้แจงตัวเองแล้ว ขอให้ลองไปฟัง เป็นคดีเก่าที่ผ่านกระบวนการยุติธรรม เราไปพูดมากก็ไม่ดี วันนี้สังคมไทยมองทุกอย่างเป็นสแกมเมอร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีเขาพยายามแยกแยะและชี้แจงว่า เรื่องแก๊งสแกมเมอร์เป็นความผิดประเภทหนึ่ง พนันออนไลน์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การค้ามนุษย์ก็อีกประเภทหนึ่ง ต้องแยกกัน อะไรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมเขา อย่าเหมารวม ถ้าตรวจสอบทั้งหมด 400 กว่าชีวิตในสภา ทุกคนมีประวัติและอดีต จะให้เราซัดกันหรือ ตนเองมองว่ามันไม่ดี ส่วนการไปชี้แจงคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ วันนี้มีประชุมตั้งแต่เช้า บ่ายก็ติดภารกิจสำคัญ ไม่มีเวลา เหลือเวลาไม่กี่เดือนก็จะยุบสภาแล้ว พยายามทำอะไรที่เกิดประโยชน์กับประชาชน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 618 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ..ความผิดทั้งหมดคือข้าราชการประจำของกระทรวงการต่างประเทศไทยเต็ม กับอดีตรัฐบาลทั้งหมดจากฝ่ายการเมืองที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อดินแดนอธิปไตยตนเองในการปกป้องแผ่นดินไทยและยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกต้องชอบธรรมแต่ต้น,คน กต. ตั้งใจเล่นเดินเรื่องให้ผิดจุดผิดประเด็นชัดเจน ทำหนังสือประท้วงฑูตฝรั่งเศสตัวต้นเหตุปัญหาก็จบ ที่คืนผิดประเทศ ต้องคืนแผ่นดินพื้นที่ให้ถูกประเทศ มลฑลบูรพาตะวันออกทั้งหมดตลอดเกาะกงด้วย ต้องคืนเป็นของไทย,ตอนนี้กองทัพไทยมีสิทธิชอบธรรมในการยึดอำนาจปฏิวัติปฏิรูปประเทศไทยใหม่ทั้งหมด,ผลักดันคนต่างประเทศออกจากประเทศไทยทั้งหมดก่อนเพื่อตัดตอนทุกๆปัญหามิให้เกิดขึ้นได้ด้วย,เรื่องของคนไทย บ้านไทย แผ่นดินไทย ภายในบ้าน คนนอก คนต่างชาติต่างประเทศที่อยู่บนแผ่นดินไทยต้องออกไปก่อนทั้งหมด ทุกๆกรณีแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ,เรา..ประเทศไทยจะบริหารจัดการทุกๆปัญหาอย่างสบายใจแน่นอน.,จะเห็นต้นเหตุตัวปัญหาได้ชัดเจนด้วย,ทหารไทยและกองทัพไทยเราจะคืนความสงบสุขอย่างสบายๆทันที,ปัญหาทั้งหมดล้วนมาจากพวกต่างชาติมาอยู่ประเทศไทยทั้งสิ้น,มาแย่งแผ่นดินไทยของคนไทยแย่งทรัพยากรไทยมีค่ามากมายไปจากประชาชนคนไทยเราชัดเจน.
    ..กองทัพไทยต้องเด็ดขาดเรื่องนี้จริงๆ,เสมือนอเมริกาปิดบ้านมันนั้นล่ะ ,เราก็ปิดบ้านขับไล่ถีบต่างชาติออกไปก่อนได้.,ถีบออกใ้หมดปจากอผ่นดินไทยสัก10-20ปี เราจะเห็นชัดถึงความสงบความปลอดภัยทันที,จะแปลกใจว่า ต่างชาติเหี้ยวุ่นวายทั่วโลก แต่ไทยเรากลับสงบสุขทันที จะเห็นชัดเจนแน่นอน.,คนไทยเทาก็ยิ่งจัดการสะดวกง่ายดายไปอีก.


    https://youtube.com/live/43nVcEDBjog?si=JA9EC2QyNeL8TpyL
    ..ความผิดทั้งหมดคือข้าราชการประจำของกระทรวงการต่างประเทศไทยเต็ม กับอดีตรัฐบาลทั้งหมดจากฝ่ายการเมืองที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อดินแดนอธิปไตยตนเองในการปกป้องแผ่นดินไทยและยึดคืนมาทั้งหมดที่ถูกต้องชอบธรรมแต่ต้น,คน กต. ตั้งใจเล่นเดินเรื่องให้ผิดจุดผิดประเด็นชัดเจน ทำหนังสือประท้วงฑูตฝรั่งเศสตัวต้นเหตุปัญหาก็จบ ที่คืนผิดประเทศ ต้องคืนแผ่นดินพื้นที่ให้ถูกประเทศ มลฑลบูรพาตะวันออกทั้งหมดตลอดเกาะกงด้วย ต้องคืนเป็นของไทย,ตอนนี้กองทัพไทยมีสิทธิชอบธรรมในการยึดอำนาจปฏิวัติปฏิรูปประเทศไทยใหม่ทั้งหมด,ผลักดันคนต่างประเทศออกจากประเทศไทยทั้งหมดก่อนเพื่อตัดตอนทุกๆปัญหามิให้เกิดขึ้นได้ด้วย,เรื่องของคนไทย บ้านไทย แผ่นดินไทย ภายในบ้าน คนนอก คนต่างชาติต่างประเทศที่อยู่บนแผ่นดินไทยต้องออกไปก่อนทั้งหมด ทุกๆกรณีแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ,เรา..ประเทศไทยจะบริหารจัดการทุกๆปัญหาอย่างสบายใจแน่นอน.,จะเห็นต้นเหตุตัวปัญหาได้ชัดเจนด้วย,ทหารไทยและกองทัพไทยเราจะคืนความสงบสุขอย่างสบายๆทันที,ปัญหาทั้งหมดล้วนมาจากพวกต่างชาติมาอยู่ประเทศไทยทั้งสิ้น,มาแย่งแผ่นดินไทยของคนไทยแย่งทรัพยากรไทยมีค่ามากมายไปจากประชาชนคนไทยเราชัดเจน. ..กองทัพไทยต้องเด็ดขาดเรื่องนี้จริงๆ,เสมือนอเมริกาปิดบ้านมันนั้นล่ะ ,เราก็ปิดบ้านขับไล่ถีบต่างชาติออกไปก่อนได้.,ถีบออกใ้หมดปจากอผ่นดินไทยสัก10-20ปี เราจะเห็นชัดถึงความสงบความปลอดภัยทันที,จะแปลกใจว่า ต่างชาติเหี้ยวุ่นวายทั่วโลก แต่ไทยเรากลับสงบสุขทันที จะเห็นชัดเจนแน่นอน.,คนไทยเทาก็ยิ่งจัดการสะดวกง่ายดายไปอีก. https://youtube.com/live/43nVcEDBjog?si=JA9EC2QyNeL8TpyL
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก'
    https://www.thai-tai.tv/news/21741/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก' https://www.thai-tai.tv/news/21741/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก'
    https://www.thai-tai.tv/news/21741/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม

    "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก' https://www.thai-tai.tv/news/21741/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก'
    https://www.thai-tai.tv/news/21741/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    "ดร.เอ้" เปิดตัว 'พรรคไทยก้าวใหม่' ชูธง 'การศึกษาคืออนาคต' ประกาศวิสัยทัศน์ 'ธนู 4 ดอก' https://www.thai-tai.tv/news/21741/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #การศึกษาคือยาแก้จน #ธนู4ดอก #ปฏิรูปประเทศไทย #การเมืองยุคใหม่ #แก้คอร์รัปชัน #เศรษฐกิจนวัตกรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ไทยก้าวใหม่" เปิดภาพ 6 ด้านปัญหาชาติ หนี้หนัก-โอกาสหด ชี้คนไทยเผชิญความอยู่รอด
    https://www.thai-tai.tv/news/21711/
    .
    #ไทยก้าวใหม่ #วิกฤตประเทศไทย #ปฏิรูปประเทศ #เศรษฐกิจไทย #หนี้ครัวเรือน #ระบบล้าหลัง #ความอยู่รอด #ไทยไท
    "ไทยก้าวใหม่" เปิดภาพ 6 ด้านปัญหาชาติ หนี้หนัก-โอกาสหด ชี้คนไทยเผชิญความอยู่รอด https://www.thai-tai.tv/news/21711/ . #ไทยก้าวใหม่ #วิกฤตประเทศไทย #ปฏิรูปประเทศ #เศรษฐกิจไทย #หนี้ครัวเรือน #ระบบล้าหลัง #ความอยู่รอด #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิตยสารไทม์ยก 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' เป็นผู้นำคนใหม่สานต่อเจตนารมณ์ประชาธิปไตยไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/21708/
    .
    #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ #พรรคประชาชน #Time100Next #ประชาธิปไตยไทย #ผู้นำฝ่ายค้าน #TimeMagazine #การเมืองไทย #ปฏิรูปประเทศ

    นิตยสารไทม์ยก 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' เป็นผู้นำคนใหม่สานต่อเจตนารมณ์ประชาธิปไตยไทย https://www.thai-tai.tv/news/21708/ . #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ #พรรคประชาชน #Time100Next #ประชาธิปไตยไทย #ผู้นำฝ่ายค้าน #TimeMagazine #การเมืองไทย #ปฏิรูปประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชำแหละซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลาญ 8 พันล้าน!

    เมื่อวันก่อนแพลตฟอร์ม X บัญชี @thaccaofficial ของสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือทักก้า (THACCA) ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายยังไม่ผ่าน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะระบาย ไหนๆ ก็ใกล้จะลากันแล้ว จำได้ไหมปีแรกๆ ที่เรา THACCA โดนด่าว่า ซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้านๆ โดนล้อ โดนด่ามาตลอด รู้ไหมจริงๆ งบปี 67 เราไม่ได้เงินสักบาทเลย เราเลยต้องมาของบกลาง แต่ก็โดนตัดแล้วตัดอีกจนเหลือ 635 ล้านบาท แค่ 12% จากที่เขาด่าเราเท่านั้น แต่เราก็พยายามทำงานเท่าที่เราได้งบมาให้ดีที่สุด มากที่สุด แล้วก็คุ้มที่สุด กับทุกอุตสาหกรรม ถ้าเราได้งบ 5,000 ล้านจริงตามที่เขาด่าเรา ตอนนี้ผลงานเราคงเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว"

    ปรากฎว่าถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงนโยบายเรือธงของรัฐบาลแพทองธารว่า มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากการจัดอีเวนต์ ทำไมไม่ผ่านกฎหมายทักก้า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แฉว่าแม้จะได้งบประมาณจากงบกลาง 635 ล้านบาท แต่ก็ไปของบจัดมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก ในปี 2567 ได้งบประมาณรวม 3,229.36 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณไป 2,318.42 ล้านบาท บวกกับงบกลาง 1,336.72 ล้านบาท และงบที่ซ้ำในกระทรวงอื่นๆ 2,082.85 ล้านบาท เท่ากับ 5,737.99 ล้านบาท รวม 2 ปีใช้เงินไป 8,967.35 ล้านบาท หน่วยงานนี้ยังไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายเข้าสภาฯ มีเพียงสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ดูแลประสานงานเท่านั้น

    ด้านนายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ระบุเพิ่มเติมว่า THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นการกระจายงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่างๆ โครงการสำคัญอย่าง OFOS (One family one soft power) มีเป้าหมายอบรมคนไทยให้ได้ 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่พบว่า 2 ปีที่ผ่านมามีผู้อบรมเพียง 20,355 คน และโครงการ OFOS อาหาร ตั้งเป้าหมาย 10,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คน ส่วนในปี 2569 ได้ของบประมาณอีก 3,900 ล้านบาท แต่หลังจาก น.ส.แพทองธารพ้นตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบฯ ยังคงกระจายไปหน่วยงานอื่น ตนในฐานะ สส. จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ต่อไป

    #Newskit
    ชำแหละซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลาญ 8 พันล้าน! เมื่อวันก่อนแพลตฟอร์ม X บัญชี @thaccaofficial ของสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ หรือทักก้า (THACCA) ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรงของนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ยังไม่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกฎหมายยังไม่ผ่าน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จริงๆ มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะระบาย ไหนๆ ก็ใกล้จะลากันแล้ว จำได้ไหมปีแรกๆ ที่เรา THACCA โดนด่าว่า ซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้านๆ โดนล้อ โดนด่ามาตลอด รู้ไหมจริงๆ งบปี 67 เราไม่ได้เงินสักบาทเลย เราเลยต้องมาของบกลาง แต่ก็โดนตัดแล้วตัดอีกจนเหลือ 635 ล้านบาท แค่ 12% จากที่เขาด่าเราเท่านั้น แต่เราก็พยายามทำงานเท่าที่เราได้งบมาให้ดีที่สุด มากที่สุด แล้วก็คุ้มที่สุด กับทุกอุตสาหกรรม ถ้าเราได้งบ 5,000 ล้านจริงตามที่เขาด่าเรา ตอนนี้ผลงานเราคงเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว" ปรากฎว่าถูกตั้งคำถามจากสังคมถึงนโยบายเรือธงของรัฐบาลแพทองธารว่า มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากการจัดอีเวนต์ ทำไมไม่ผ่านกฎหมายทักก้า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำอะไรอยู่ ขณะเดียวกัน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แฉว่าแม้จะได้งบประมาณจากงบกลาง 635 ล้านบาท แต่ก็ไปของบจัดมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก ในปี 2567 ได้งบประมาณรวม 3,229.36 ล้านบาท ส่วนปี 2568 ได้งบประมาณไป 2,318.42 ล้านบาท บวกกับงบกลาง 1,336.72 ล้านบาท และงบที่ซ้ำในกระทรวงอื่นๆ 2,082.85 ล้านบาท เท่ากับ 5,737.99 ล้านบาท รวม 2 ปีใช้เงินไป 8,967.35 ล้านบาท หน่วยงานนี้ยังไม่มีเพราะไม่มีกฎหมายเข้าสภาฯ มีเพียงสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ดูแลประสานงานเท่านั้น ด้านนายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ระบุเพิ่มเติมว่า THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นการกระจายงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่างๆ โครงการสำคัญอย่าง OFOS (One family one soft power) มีเป้าหมายอบรมคนไทยให้ได้ 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่พบว่า 2 ปีที่ผ่านมามีผู้อบรมเพียง 20,355 คน และโครงการ OFOS อาหาร ตั้งเป้าหมาย 10,000 คน แต่มีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คน ส่วนในปี 2569 ได้ของบประมาณอีก 3,900 ล้านบาท แต่หลังจาก น.ส.แพทองธารพ้นตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบฯ ยังคงกระจายไปหน่วยงานอื่น ตนในฐานะ สส. จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ต่อไป #Newskit
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 710 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 10

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 10
    เมื่อกลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth ก็ทำรายงานเกี่ยวกับอินโดจีน ในค.ศ. 1950 ส่งให้กับประธานาธิบดี นาย Kenneth บอกว่าช่วงนั้นประเทศต่างๆ ในแถบอินโดจีนก็อยากเข้าสังกัดพี่เบิ้มอเมริกาทั้งนั้น โถ ! เพิ่งเลิกรบมาใหม่ๆ สมันน้อยชาติต่างๆ ก็ยังผวาไม่หาย พี่เบิ้มก็รับมาอุปการะ (ก่อนที่อังกฤษกับฝรั่งเศส จะฟื้นและมาฉกเอาเหล่าสมันน้อยแถบนี้กลับไปกกต่อ) นาย Kenneth ได้รับมอบหมายจากกระทรวงต่างประเทศ ให้ดูแลเวียตนามและไทย ทั้ง 2 ประเทศ ก็อยากได้เงินสนับสนุนทางด้านการทหารจากอเมริกา (Military Assistance) เพื่อมาปรับปรุงกองทัพของตน อเมริกาบอกไม่มีปัญหา และก็มอบให้ประเทศละ 10 ล้านเหรียญ นาย Kenneth บอกเงิน 10 ล้านเหรียญสำหรับอเมริกา มันกระจอกมากนะ มันเหมือนเป็นสินน้ำใจเท่านั้นแหละ เอาไปทำอะไร จริงจังไม่ได้หรอก just a token, it was a symbolic aid, it didn’t amount to much !
    ท่านผู้อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงจำกันได้ เงิน 10 ล้านเหรียญที่อเมริกาบอกว่า just a token นั้น หลังจากอเมริกาโยนเงินจำนวนกระจอกนี้มาให้ไทย สมัยจอมพล ป. ใส่หมวกแล้วชาติเจริญเป็นนายกรัฐมนตรี อเมริกาก็จับมือไทยแลนด์สมันน้อย ทำสัญญาทาส ผูกคอตัวเอง เป็นสัญญาที่กระทรวงต่างประเทศไทยเรียกกันว่าสัญญา JUS MAC (Joint US Military Assistance Co-operation) ซึ่งสัญญานี้ยังมีผลผูกพันธ์อยู่จนทุกวันนี้ และทำให้อเมริกาสามารถเอาไปใช้ เป็นข้ออ้างในการที่จะมาตั้งฐานทัพในเมืองไทยได้ตลอดเวลา อ่านตรงนี้กันหลายๆหนหน่อยนะครับ เรากำลังจะเข้าสู่การปฏิรูปประเทศ ไม่อยากเป็นขี้ข้าใครต่อไป ก็อย่าลืมตามหาสัญญานี้ และยกเลิกมันเสียที ทหารและกระทรวงต่างประเทศ นั่งทับนอนอมพนำมาจะ 60 ปีแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราควรคิดเปลี่ยนบ้าง ทำตัวเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ท่องว่าฝรั่งคือคุณพ่อมากว่า 60 ปีแล้ว เหลือเชื่อจริงๆ )

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 10 เมื่อกลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth ก็ทำรายงานเกี่ยวกับอินโดจีน ในค.ศ. 1950 ส่งให้กับประธานาธิบดี นาย Kenneth บอกว่าช่วงนั้นประเทศต่างๆ ในแถบอินโดจีนก็อยากเข้าสังกัดพี่เบิ้มอเมริกาทั้งนั้น โถ ! เพิ่งเลิกรบมาใหม่ๆ สมันน้อยชาติต่างๆ ก็ยังผวาไม่หาย พี่เบิ้มก็รับมาอุปการะ (ก่อนที่อังกฤษกับฝรั่งเศส จะฟื้นและมาฉกเอาเหล่าสมันน้อยแถบนี้กลับไปกกต่อ) นาย Kenneth ได้รับมอบหมายจากกระทรวงต่างประเทศ ให้ดูแลเวียตนามและไทย ทั้ง 2 ประเทศ ก็อยากได้เงินสนับสนุนทางด้านการทหารจากอเมริกา (Military Assistance) เพื่อมาปรับปรุงกองทัพของตน อเมริกาบอกไม่มีปัญหา และก็มอบให้ประเทศละ 10 ล้านเหรียญ นาย Kenneth บอกเงิน 10 ล้านเหรียญสำหรับอเมริกา มันกระจอกมากนะ มันเหมือนเป็นสินน้ำใจเท่านั้นแหละ เอาไปทำอะไร จริงจังไม่ได้หรอก just a token, it was a symbolic aid, it didn’t amount to much ! ท่านผู้อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงจำกันได้ เงิน 10 ล้านเหรียญที่อเมริกาบอกว่า just a token นั้น หลังจากอเมริกาโยนเงินจำนวนกระจอกนี้มาให้ไทย สมัยจอมพล ป. ใส่หมวกแล้วชาติเจริญเป็นนายกรัฐมนตรี อเมริกาก็จับมือไทยแลนด์สมันน้อย ทำสัญญาทาส ผูกคอตัวเอง เป็นสัญญาที่กระทรวงต่างประเทศไทยเรียกกันว่าสัญญา JUS MAC (Joint US Military Assistance Co-operation) ซึ่งสัญญานี้ยังมีผลผูกพันธ์อยู่จนทุกวันนี้ และทำให้อเมริกาสามารถเอาไปใช้ เป็นข้ออ้างในการที่จะมาตั้งฐานทัพในเมืองไทยได้ตลอดเวลา อ่านตรงนี้กันหลายๆหนหน่อยนะครับ เรากำลังจะเข้าสู่การปฏิรูปประเทศ ไม่อยากเป็นขี้ข้าใครต่อไป ก็อย่าลืมตามหาสัญญานี้ และยกเลิกมันเสียที ทหารและกระทรวงต่างประเทศ นั่งทับนอนอมพนำมาจะ 60 ปีแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราควรคิดเปลี่ยนบ้าง ทำตัวเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ท่องว่าฝรั่งคือคุณพ่อมากว่า 60 ปีแล้ว เหลือเชื่อจริงๆ ) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (4)
    คุณพี่ Obama น่าจะตัดสินใจแล้ว ดูจากรายงานของคุณครู CRS บวกกับถังสมองยี่ห้อ CSIS (Council for Strategic and International Studies) ที่ออกมาเสนอเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2014 ให้มีการเจรจาและมีนายกคนกลาง เพื่อจะได้เอาสมันน้อยเข้าฉากลุยเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน
    แบบนี้คุณพี่ก็ต้องสร้างขบวนการ จัดการบ้านของสมันน้อยให้มั่นคง (Stable) 
อย่างที่คุณพี่ต้องการก่อน หนึ่งในการจัดการให้เกิดความมั่นคงในบ้านสมันน้อย
(ส่วนที่เปิดเผยได้ !) คุณพี่และสมุน ก็กลับลำประกาศหนุนให้มีการเจรจาหลังฉากและเลือกนายกฯ คนกลาง (ที่คุณพี่สนับสนุน !) ซึ่งตอนนี้ กำลังส่งเข้าประกวดกันเพียบ คุณน้านันท์ชื่อยังไม่ตกรอบ คุณพี่ ส ชื่ออีสานตัวมาจากใต้ ก็ยังแรงดี ตอนนี้มีสายอีลีตเก่าใหม่ ส่ง อาจารย์นักวิชาการ เด่นๆ มาเข้ารอบประกวดอีกเป็นกระบุง ดร. ส. ดร. อ. ดร. ป. ฯลฯ แต่เผลอ ๆ คนที่จะเข้าวินจะกลายเป็นคุณพี่ทหารของผมซะก็ไม่รู้
    เมื่อมีนายกฯ คนกลางมาแล้ว จะปฏิรูปจริงไหม จะอยู่นานเท่าไหร่ มีพรายมากระซิบ
บอกว่า เรื่องนายกฯ คนกลาง เขาว่าจะมาอยู่แค่ 6 เดือน พอหอมปากหอมคอ ให้มวลมหาประชาชนหายเหนื่อยหายเครียด ทำให้บ้านเมืองมันสงบนิ่ง ๆ ตามใบสั่งก่อน แล้วก็แก้ไขกฎหมายอะไรนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ให้มีการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐบาล เป็น
นายกฯ น่าจะพอเดากันออก ใบสั่งเขามาแบบนั้น เรื่องปฏิรูปก็ค่อย ๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน แบบนี้ ก็เท่ากับมวยล้มต้มคนดู มวลมหาประชาชนจะรับได้หรือ ประเมินผิดไปหน่อยหรือเปล่า
    ถ้าเป็นแบบนี้จริง เรา ๆ ก็ต้องหัดซ้อม ฝึกโวยไว้ อย่าลืม นักล่าก็ปอดแหกเป็น เผยไต๋มาแล้วว่า ถ้ามีความขัดแย้งกัน เขาจะให้เราใช้ฐานทัพเขาหรือ
    เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามกันหน่อย ติดตามความเคลื่อนไหวของนักล่า นักล่ามันมาซ่าในบ้านเราเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันต้องมีมือ มีเท้ารับใช้ในบ้านเรา เราต้องดูให้ออก ตามให้ติด แกะรอยมันบ้าง มันไม่ได้ฉลาดกว่าเรานักหรอก มันต้องคอยถามถังสมอง
มันทุกเรื่อง ถังสมองก็เหมือนหมอดู ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วคนไทยน่ะ อ่านง่ายเข้าใจง่ายนักหรือ จนบัดนี้สื่อฝรั่งยังไม่เข้าใจ มวลมหาประชาชนเลย มีชาติไหนบ้าง เวลาจะออกไปประท้วงต้องหอบทั้งวงดนตรี ทั้งโรงครัวไปด้วยแบบเรา มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ ไปถามนาย Michael Yon ที่ตามไปทำข่าวทุกเวทีดูเถิด ขนาดมีเมียไทย ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ
    เห็นมาหมาด ๆ เมื่อ 2,3 วันก่อน นสพ.ไทยรัฐวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 หน้า 3 เขียนบทความพาดหัวว่า “อดัม คาเฮน ส่องวิกฤติการเมืองไทยใกล้จุดวิบาก” บทความสรุปว่า สถานการณ์เร่งให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย … … โดยได้มีการแอบจัดทำอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 53 โดยเครือข่าย Scenario Thailand และมีการเสวนาด้วย เมื่อปลายปี 56 เขาว่า Scenario Thailand อาจไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องที่มีศักยภาพ แกนนำ 2 ขั้ว ควรมีการเปิดการเจรจาอย่างลับ ๆ จะเวิร์กกว่ามาถกเถียงต่อหน้าสาธารณะชน…
    นาย Adam Kahane เป็นใคร ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเป็นชาวแคนาดา ปริญญา 3,4 ใบ ทางด้านฟิสิกซ์ พฤติกรรมสังคมและการเจรจา เป็นผู้เริ่มโครงการ Mont Fleur Scenario Exercise ให้กับ South Africa เมื่อ Nelson Mandela พยายามให้คนผิวดำกับคนผิวขาวจับมือกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย คนอ่านนิทานจะโยงถูกไหมหนอ ว่าคนประวัติแบบนี้ใครจัดส่งมาให้ !?
    วิธีการจำลองเหตุการณ์ หรือ Scenario planning นี้ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีการของ Rand Corporation เป็นทฤษฎีที่ใช้สำหรับด้านการรบของทหาร (หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อ Rand Corporation ได้ ต้นความคิดฐานทัพใบบัว Lily Pad และการรบแบบ Special Force Operation ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านยุทธการกบกระโดดใหม่นะครับ) คนคิดทฤษฎีนี้คือนาย Herman Kahn ของ Rand ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950
    ต่อมานาย Kahn ลาออกจาก Rand Corporation และมาตั้ง Hudson Institute ซึ่งเป็นพวกถังความคิด (think tank) ที่วอชิงตันสนับสนุนให้ดูแลความมั่นคง และส่งเสริมนโยบายสำคัญ ให้กับเอกชนระดับบรรษัท หรือสถาบันข้ามชาติ สำหรับกรณี ที่บรรษัทพวกนี้มีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของอ เมริกา และอาจกระทบกับชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจในต่างประเทศ ฯลฯ Hudson Institute ก็จะรับหน้าที่ดูแล แนะนำ วางแผน จัดการ ทดลอง และปฏิบัติการให้บรรลุตามเป้าหมาย ลูกค้าของเขา เช่น Shell, Cargill, Monsanto, Du Port, Dow Chemical, Sandoz, Ciba Geigy คงพอนึกออกนะครับ เช่น บริษัทน้ำมันจะวางท่อผ่านไปบนที่ชาวบ้านหรือแหล่งน้ำ ชาวบ้านประท้วงกัน ทะเลาะกัน หน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จัดการให้เรื่องเงียบ หรือบริษัทยาจะทดลองยากับมนุษย์ในโลกที่ 3 หน่วยงานนี้ก็จะจัดให้ พูดไม่อ้อมค้อม หน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนพวกเสธ คนดัง ที่รับจ้าง clear เรื่องขัดแย้งทำนองนั้น แต่ไอ้นี่มันเรื่องระดับชาติหรือระดับโลก แต่วิธีการก็ไม่น่าต่างกัน
    นาย Adam Kahane เคยทำงานให้กับบริษัท Dutch Shell เป็นเวลานาน คุ้นเคยกับวิธีการสร้างภาพจำลอง Sceanario workshop/ exercise แบบนี้ ภายหลังเขาร่วมกับพรรคพวกตั้ง Reos Partners รับงานด้านนี้ (หลังจากที่นาย Kahn เสียชีวิต) ท่านผู้อ่านนิทาน พอมองเห็นภาพต่อกันได้หรือยัง เชื่อว่ารายการของนาย Adam Kahane ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะผู้ที่นำเขาเข้ามาแสดงใน เมืองไทย ใช้ชื่อว่า Siam Intelligence เป็นถังความคิดคนไทย เป็นหน้าฉากให้ใคร เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง แต่เมื่อตอนเขาจัดงานเสวนา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เรื่อง Solution Talk “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” บรรดาขาใหญ่มาร่วมเป็นเหยื่อกันเพียบ ไปหาชื่ออ่านกันนะครับ
    หน่วยงานประเภท Rand Corporation, Hudson Institution นักล่ามีอยู่ในกระเป๋าเป็นร้อย นักล่ากำลังนั่งหมอบอยู่บนภู ดูจังหวะขม่ำสมันน้อยรอบใหม่ แต่รอบนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ไม่มีผีคอมมี่มาหลอน คราวก่อนมันรบกันนอกบ้านเรา คราวนี้ถ้าเราเดินหมากผิด มันเท่ากับชักศึกเข้าบ้าน กำลังนั่งเหมอ ๆ สบายอยู่ในบ้าน หันมาอีกทีบ้านอาจโดนถล่มหายไปทั้งแถบ เพราะดันไปยอมให้นักล่า มาสร้างฐานทัพใบบัวเต็มชายฝั่งไว้ให้กบกระโดด เพราะฉะนั้น ต้องมารู้จัก มาตามดู ท่าทีของนักล่ากันบ้าง
นี่มันบ้านเรานะ จะให้มันจะมาเดินกร่าง ชี้นิ้ว สั่งเราทำโน่นทำนี่ได้อย่างไร แล้วมันจะทำทุกอย่างเองไม่ได้ มันต้องเลี่ยงไปใช้ร่างทรง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จัก พวกสมอง มือ เท้า ร่างทรง ของนักล่าเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกมือเท้าร่างทรงไทย แต่ใจเป็นของฝรั่ง อย่าปล่อยให้ลอยนวลครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มีค 57
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (4) คุณพี่ Obama น่าจะตัดสินใจแล้ว ดูจากรายงานของคุณครู CRS บวกกับถังสมองยี่ห้อ CSIS (Council for Strategic and International Studies) ที่ออกมาเสนอเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2014 ให้มีการเจรจาและมีนายกคนกลาง เพื่อจะได้เอาสมันน้อยเข้าฉากลุยเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน แบบนี้คุณพี่ก็ต้องสร้างขบวนการ จัดการบ้านของสมันน้อยให้มั่นคง (Stable) 
อย่างที่คุณพี่ต้องการก่อน หนึ่งในการจัดการให้เกิดความมั่นคงในบ้านสมันน้อย
(ส่วนที่เปิดเผยได้ !) คุณพี่และสมุน ก็กลับลำประกาศหนุนให้มีการเจรจาหลังฉากและเลือกนายกฯ คนกลาง (ที่คุณพี่สนับสนุน !) ซึ่งตอนนี้ กำลังส่งเข้าประกวดกันเพียบ คุณน้านันท์ชื่อยังไม่ตกรอบ คุณพี่ ส ชื่ออีสานตัวมาจากใต้ ก็ยังแรงดี ตอนนี้มีสายอีลีตเก่าใหม่ ส่ง อาจารย์นักวิชาการ เด่นๆ มาเข้ารอบประกวดอีกเป็นกระบุง ดร. ส. ดร. อ. ดร. ป. ฯลฯ แต่เผลอ ๆ คนที่จะเข้าวินจะกลายเป็นคุณพี่ทหารของผมซะก็ไม่รู้ เมื่อมีนายกฯ คนกลางมาแล้ว จะปฏิรูปจริงไหม จะอยู่นานเท่าไหร่ มีพรายมากระซิบ
บอกว่า เรื่องนายกฯ คนกลาง เขาว่าจะมาอยู่แค่ 6 เดือน พอหอมปากหอมคอ ให้มวลมหาประชาชนหายเหนื่อยหายเครียด ทำให้บ้านเมืองมันสงบนิ่ง ๆ ตามใบสั่งก่อน แล้วก็แก้ไขกฎหมายอะไรนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ให้มีการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐบาล เป็น
นายกฯ น่าจะพอเดากันออก ใบสั่งเขามาแบบนั้น เรื่องปฏิรูปก็ค่อย ๆ ทำกันไปไม่ต้องรีบร้อน แบบนี้ ก็เท่ากับมวยล้มต้มคนดู มวลมหาประชาชนจะรับได้หรือ ประเมินผิดไปหน่อยหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้จริง เรา ๆ ก็ต้องหัดซ้อม ฝึกโวยไว้ อย่าลืม นักล่าก็ปอดแหกเป็น เผยไต๋มาแล้วว่า ถ้ามีความขัดแย้งกัน เขาจะให้เราใช้ฐานทัพเขาหรือ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามกันหน่อย ติดตามความเคลื่อนไหวของนักล่า นักล่ามันมาซ่าในบ้านเราเองทั้งหมดไม่ได้หรอก มันต้องมีมือ มีเท้ารับใช้ในบ้านเรา เราต้องดูให้ออก ตามให้ติด แกะรอยมันบ้าง มันไม่ได้ฉลาดกว่าเรานักหรอก มันต้องคอยถามถังสมอง
มันทุกเรื่อง ถังสมองก็เหมือนหมอดู ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วคนไทยน่ะ อ่านง่ายเข้าใจง่ายนักหรือ จนบัดนี้สื่อฝรั่งยังไม่เข้าใจ มวลมหาประชาชนเลย มีชาติไหนบ้าง เวลาจะออกไปประท้วงต้องหอบทั้งวงดนตรี ทั้งโรงครัวไปด้วยแบบเรา มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละ ไปถามนาย Michael Yon ที่ตามไปทำข่าวทุกเวทีดูเถิด ขนาดมีเมียไทย ยังเข้าใจแบบงู ๆ ปลา ๆ เห็นมาหมาด ๆ เมื่อ 2,3 วันก่อน นสพ.ไทยรัฐวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557 หน้า 3 เขียนบทความพาดหัวว่า “อดัม คาเฮน ส่องวิกฤติการเมืองไทยใกล้จุดวิบาก” บทความสรุปว่า สถานการณ์เร่งให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปประเทศไทย … … โดยได้มีการแอบจัดทำอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 53 โดยเครือข่าย Scenario Thailand และมีการเสวนาด้วย เมื่อปลายปี 56 เขาว่า Scenario Thailand อาจไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องที่มีศักยภาพ แกนนำ 2 ขั้ว ควรมีการเปิดการเจรจาอย่างลับ ๆ จะเวิร์กกว่ามาถกเถียงต่อหน้าสาธารณะชน… นาย Adam Kahane เป็นใคร ประวัติเขาน่าสนใจ เขาเป็นชาวแคนาดา ปริญญา 3,4 ใบ ทางด้านฟิสิกซ์ พฤติกรรมสังคมและการเจรจา เป็นผู้เริ่มโครงการ Mont Fleur Scenario Exercise ให้กับ South Africa เมื่อ Nelson Mandela พยายามให้คนผิวดำกับคนผิวขาวจับมือกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย คนอ่านนิทานจะโยงถูกไหมหนอ ว่าคนประวัติแบบนี้ใครจัดส่งมาให้ !? วิธีการจำลองเหตุการณ์ หรือ Scenario planning นี้ จริง ๆ แล้ว เป็นวิธีการของ Rand Corporation เป็นทฤษฎีที่ใช้สำหรับด้านการรบของทหาร (หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะจำชื่อ Rand Corporation ได้ ต้นความคิดฐานทัพใบบัว Lily Pad และการรบแบบ Special Force Operation ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านยุทธการกบกระโดดใหม่นะครับ) คนคิดทฤษฎีนี้คือนาย Herman Kahn ของ Rand ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ต่อมานาย Kahn ลาออกจาก Rand Corporation และมาตั้ง Hudson Institute ซึ่งเป็นพวกถังความคิด (think tank) ที่วอชิงตันสนับสนุนให้ดูแลความมั่นคง และส่งเสริมนโยบายสำคัญ ให้กับเอกชนระดับบรรษัท หรือสถาบันข้ามชาติ สำหรับกรณี ที่บรรษัทพวกนี้มีนโยบายหลัก ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของอ เมริกา และอาจกระทบกับชุมชน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจในต่างประเทศ ฯลฯ Hudson Institute ก็จะรับหน้าที่ดูแล แนะนำ วางแผน จัดการ ทดลอง และปฏิบัติการให้บรรลุตามเป้าหมาย ลูกค้าของเขา เช่น Shell, Cargill, Monsanto, Du Port, Dow Chemical, Sandoz, Ciba Geigy คงพอนึกออกนะครับ เช่น บริษัทน้ำมันจะวางท่อผ่านไปบนที่ชาวบ้านหรือแหล่งน้ำ ชาวบ้านประท้วงกัน ทะเลาะกัน หน่วยงานนี้ก็จะมีหน้าที่จัดการให้เรื่องเงียบ หรือบริษัทยาจะทดลองยากับมนุษย์ในโลกที่ 3 หน่วยงานนี้ก็จะจัดให้ พูดไม่อ้อมค้อม หน่วยงานนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนพวกเสธ คนดัง ที่รับจ้าง clear เรื่องขัดแย้งทำนองนั้น แต่ไอ้นี่มันเรื่องระดับชาติหรือระดับโลก แต่วิธีการก็ไม่น่าต่างกัน นาย Adam Kahane เคยทำงานให้กับบริษัท Dutch Shell เป็นเวลานาน คุ้นเคยกับวิธีการสร้างภาพจำลอง Sceanario workshop/ exercise แบบนี้ ภายหลังเขาร่วมกับพรรคพวกตั้ง Reos Partners รับงานด้านนี้ (หลังจากที่นาย Kahn เสียชีวิต) ท่านผู้อ่านนิทาน พอมองเห็นภาพต่อกันได้หรือยัง เชื่อว่ารายการของนาย Adam Kahane ยังไม่จบง่าย ๆ เพราะผู้ที่นำเขาเข้ามาแสดงใน เมืองไทย ใช้ชื่อว่า Siam Intelligence เป็นถังความคิดคนไทย เป็นหน้าฉากให้ใคร เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง แต่เมื่อตอนเขาจัดงานเสวนา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เรื่อง Solution Talk “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” บรรดาขาใหญ่มาร่วมเป็นเหยื่อกันเพียบ ไปหาชื่ออ่านกันนะครับ หน่วยงานประเภท Rand Corporation, Hudson Institution นักล่ามีอยู่ในกระเป๋าเป็นร้อย นักล่ากำลังนั่งหมอบอยู่บนภู ดูจังหวะขม่ำสมันน้อยรอบใหม่ แต่รอบนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ไม่มีผีคอมมี่มาหลอน คราวก่อนมันรบกันนอกบ้านเรา คราวนี้ถ้าเราเดินหมากผิด มันเท่ากับชักศึกเข้าบ้าน กำลังนั่งเหมอ ๆ สบายอยู่ในบ้าน หันมาอีกทีบ้านอาจโดนถล่มหายไปทั้งแถบ เพราะดันไปยอมให้นักล่า มาสร้างฐานทัพใบบัวเต็มชายฝั่งไว้ให้กบกระโดด เพราะฉะนั้น ต้องมารู้จัก มาตามดู ท่าทีของนักล่ากันบ้าง
นี่มันบ้านเรานะ จะให้มันจะมาเดินกร่าง ชี้นิ้ว สั่งเราทำโน่นทำนี่ได้อย่างไร แล้วมันจะทำทุกอย่างเองไม่ได้ มันต้องเลี่ยงไปใช้ร่างทรง เพราะฉะนั้นต้องทำความรู้จัก พวกสมอง มือ เท้า ร่างทรง ของนักล่าเอาไว้ ยิ่งเป็นพวกมือเท้าร่างทรงไทย แต่ใจเป็นของฝรั่ง อย่าปล่อยให้ลอยนวลครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มีค 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 743 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 3

    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (3)
    เอ้า มาดูบทกระชากสร้อยของคุณนายกันหน่อย
    ตามข้อตกลง การผ่อนคลายการคว่ำบาตร ทำให้อเมริกาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้จัดการ
    ประเทศพม่า รัฐบาลอเมริกันทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือก บริษัทอเมริกันที่จะมาลงทุนในพม่า เป้าหมายคือการเปิดการลงทุนเสรีในพม่า (คุ้นจัง!) เป็นการนำพม่าไปสู่การไม่มีเสถียรภาพอย่างไม่มีทางเลือก
    ทุนเสรีกำลังเดินทางเข้าพม่า อย่างเร่งรีบ เอ้า พี่หม่อง เร้ว มาเข้ากลุ่มสมาคมสมันน้อยกันได้แล้ว
    นอกจากนั้น อเมริกา ยังทำหน้าที่ ผู้กำกับการลงทุน กลต. ให้กับพม่า บริษัทใดที่มีกลุ่มทหารพม่าหรือมีส่วนเกี่ยวกับ กระทรวงกลาโหม ถือหุ้น อเมริกาถือเป็นเขื่อนไขในการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตร
    ยัง ยังไม่พอ
    อเมริกายังสวมบทบาท สภาปฎิรูปให้พม่าแถมไปด้วย โดยระบุเงื่อนไขว่า
    มันผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สนับสนุนขบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิ
    มนุษยชน หรือทำการค้าขายกับทหารพม่า หรือเกาหลีเหนือ ห้ามเข้ามาร่วมขบวน
    การชำเรา เอ๊ย เปิดเสรีร่วมกับอเมริกา
    อเมริกาบอก เราใช้นโยบาย เด็กดีให้อมยิ้ม เด็กดื้อให้อมไม้บันทัด น่ากลัวจัง
    ที่เหลือเชื่อ อเมริกาทำตัวเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งพม่า กำหนดเงื่อนไข การจ่ายเงิน
    การโอนเงิน การทำรายงาน ฯลฯ เพื่อจะได้กรองให้ชัดๆ ว่ามีอาเฮีย หรือสมุน แจมมาด้วยหรือเปล่า พี่หม่อง นี่ ทำท่าจะชิง ตำแหน่งสมันน้อย ไปซะแล้ว จากสมันน้อยนุ่ง
    โจงกระเบน เป็นสมันน้อยนุ่งโสร่ง
    นอกจากนั้น ตามเงื่อนไขที่คุณนายคลินตันกำหนด ยังสนับสนุนให้บรรดา องค์การ
    สิทธิมนุษยชน NGO ซึ่ง ใกล้ชิด หรือเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ให้เข้าไปร่วมดูแลพม่า
    อีกด้วย ตั้งแต่ 20 เมย 2012 เป็นต้นมา
    สำหรับประเทศไทย ไข่มุกเม็ดสำคัญ ในยุทธการกระชากสร้อย เขาจะเอาไปห้อย
    ตรงไหนนะ
    ในรายงานของ Pentagon ระบุว่า ภายใต้การนำของนายกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็น
    น้องสาวของนายทักษิณ มหาเศรษฐี อดีตนายกที่อเมริกาสนับสนุน สัมพันธภาพ
    ระหว่างไทย กับ อเมริกาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์กระชากสร้อย
    Pentagon ได้เจรจาอย่างเงียบเชียบกับรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาใช้อู่ตะเภา ฐานทัพ
    ในประเทศไทย ที่อเมริกาได้สร้างตั้งแต่สงครามเวียตนาม เป็นฐานทัพที่มี runway
    ที่ยาว ถึง 2 กม เป็น runway ที่ยาวที่สุดในเอเซีย และพยายามจะให้กองทัพเรือ
    อเมริกา เข้ามาใช้ท่าเรือของไทยได้มากขึ้น เพื่อใช้จับตาดูการเคลื่อนไหว เส้นทาง
    ลำเลียงสินค้า และการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน
    แล้วชาวเรารู้เรื่องนี้กันบ้างไหม
    หรือจะปล่อยให้อยู่แต่ในความดูแลของรัฐบาลและคุณพี่ทหารนักวิ่งพลัด เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน

    คนเล่านิทาน
    ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก ตอนที่ 3 ยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุก (3) เอ้า มาดูบทกระชากสร้อยของคุณนายกันหน่อย ตามข้อตกลง การผ่อนคลายการคว่ำบาตร ทำให้อเมริกาเปลี่ยนสถานะเป็นผู้จัดการ ประเทศพม่า รัฐบาลอเมริกันทำหน้าที่เป็นผู้คัดเลือก บริษัทอเมริกันที่จะมาลงทุนในพม่า เป้าหมายคือการเปิดการลงทุนเสรีในพม่า (คุ้นจัง!) เป็นการนำพม่าไปสู่การไม่มีเสถียรภาพอย่างไม่มีทางเลือก ทุนเสรีกำลังเดินทางเข้าพม่า อย่างเร่งรีบ เอ้า พี่หม่อง เร้ว มาเข้ากลุ่มสมาคมสมันน้อยกันได้แล้ว นอกจากนั้น อเมริกา ยังทำหน้าที่ ผู้กำกับการลงทุน กลต. ให้กับพม่า บริษัทใดที่มีกลุ่มทหารพม่าหรือมีส่วนเกี่ยวกับ กระทรวงกลาโหม ถือหุ้น อเมริกาถือเป็นเขื่อนไขในการพิจารณาการผ่อนปรนการคว่ำบาตร ยัง ยังไม่พอ อเมริกายังสวมบทบาท สภาปฎิรูปให้พม่าแถมไปด้วย โดยระบุเงื่อนไขว่า มันผู้ใดก็ตาม ที่ไม่สนับสนุนขบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่เฝ้าระวังการละเมิดสิทธิ มนุษยชน หรือทำการค้าขายกับทหารพม่า หรือเกาหลีเหนือ ห้ามเข้ามาร่วมขบวน การชำเรา เอ๊ย เปิดเสรีร่วมกับอเมริกา อเมริกาบอก เราใช้นโยบาย เด็กดีให้อมยิ้ม เด็กดื้อให้อมไม้บันทัด น่ากลัวจัง ที่เหลือเชื่อ อเมริกาทำตัวเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งพม่า กำหนดเงื่อนไข การจ่ายเงิน การโอนเงิน การทำรายงาน ฯลฯ เพื่อจะได้กรองให้ชัดๆ ว่ามีอาเฮีย หรือสมุน แจมมาด้วยหรือเปล่า พี่หม่อง นี่ ทำท่าจะชิง ตำแหน่งสมันน้อย ไปซะแล้ว จากสมันน้อยนุ่ง โจงกระเบน เป็นสมันน้อยนุ่งโสร่ง นอกจากนั้น ตามเงื่อนไขที่คุณนายคลินตันกำหนด ยังสนับสนุนให้บรรดา องค์การ สิทธิมนุษยชน NGO ซึ่ง ใกล้ชิด หรือเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ให้เข้าไปร่วมดูแลพม่า อีกด้วย ตั้งแต่ 20 เมย 2012 เป็นต้นมา สำหรับประเทศไทย ไข่มุกเม็ดสำคัญ ในยุทธการกระชากสร้อย เขาจะเอาไปห้อย ตรงไหนนะ ในรายงานของ Pentagon ระบุว่า ภายใต้การนำของนายกคนปัจจุบัน ซึ่งเป็น น้องสาวของนายทักษิณ มหาเศรษฐี อดีตนายกที่อเมริกาสนับสนุน สัมพันธภาพ ระหว่างไทย กับ อเมริกาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไปตามทิศทางของยุทธศาสตร์กระชากสร้อย Pentagon ได้เจรจาอย่างเงียบเชียบกับรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาใช้อู่ตะเภา ฐานทัพ ในประเทศไทย ที่อเมริกาได้สร้างตั้งแต่สงครามเวียตนาม เป็นฐานทัพที่มี runway ที่ยาว ถึง 2 กม เป็น runway ที่ยาวที่สุดในเอเซีย และพยายามจะให้กองทัพเรือ อเมริกา เข้ามาใช้ท่าเรือของไทยได้มากขึ้น เพื่อใช้จับตาดูการเคลื่อนไหว เส้นทาง ลำเลียงสินค้า และการเคลื่อนไหวทางทหารของจีน แล้วชาวเรารู้เรื่องนี้กันบ้างไหม หรือจะปล่อยให้อยู่แต่ในความดูแลของรัฐบาลและคุณพี่ทหารนักวิ่งพลัด เหมือนเมื่อ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 508 มุมมอง 0 รีวิว
  • คปท. ฟาดซ้ำ! จี้ ครม. ลาออกทั้งคณะ หลัง "ทักษิณ" แทรกแซงอำนาจรัฐอย่างเปิดเผย ซ้ำรอยนายกฯ "อุ๊งอิ๊ง" ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
    https://www.thai-tai.tv/news/20229/
    .
    #คปท #รัฐบาลแพทองธาร #ทักษิณชินวัตร #แทรกแซงอำนาจรัฐ #ปฏิรูปประเทศไทย #ศาลรัฐธรรมนูญ #ประชาธิปไตย #การเมืองไทย #อธิปไตยของปวงชน #กกต
    คปท. ฟาดซ้ำ! จี้ ครม. ลาออกทั้งคณะ หลัง "ทักษิณ" แทรกแซงอำนาจรัฐอย่างเปิดเผย ซ้ำรอยนายกฯ "อุ๊งอิ๊ง" ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ https://www.thai-tai.tv/news/20229/ . #คปท #รัฐบาลแพทองธาร #ทักษิณชินวัตร #แทรกแซงอำนาจรัฐ #ปฏิรูปประเทศไทย #ศาลรัฐธรรมนูญ #ประชาธิปไตย #การเมืองไทย #อธิปไตยของปวงชน #กกต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯ แถลงความคืบหน้า การจัดกิจกรรม “ความรักชาติไทย” #28มิถุนามาแน่ : คนเคาะข่าว 24-06-68
    : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
    : จตุพร พรหมพันธุ์
    : พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย
    : ประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
    : แก้วสรร อติโพธิ
    : พิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)
    กลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯ แถลงความคืบหน้า การจัดกิจกรรม “ความรักชาติไทย” #28มิถุนามาแน่ : คนเคาะข่าว 24-06-68 : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน : จตุพร พรหมพันธุ์ : พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย : ประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) : แก้วสรร อติโพธิ : พิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 682 มุมมอง 11 0 รีวิว
  • THE ANWAR’S DISGUSTING ADVISOR

    เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว สำหรับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพในปี 2568 ทั้งที่นายทักษิณเพิ่งได้รับการพักโทษอย่างน่ากังขาจากคดีทุจริต 3 คดี โดยที่ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว กลับอาศัยอยู่ที่ห้องพักสุดหรูบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจด้วยข้ออ้างอาการป่วยขั้นวิกฤต เป็นบุคคลน่ารังเกียจในสายตาชาวไทยที่ยึดถือความยุติธรรม และตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาที่ปรึกษารายนี้ไม่มีผลงานใดเป็นรูปธรรม นอกจากใช้เป็นข้ออ้าง ขออนุญาตศาลอาญาเดินทางออกนอกประเทศ

    เมื่อวันที่ 14 พ.ค. เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ ชุมนุมหน้าอาคารโครนอส สาทร ทาวเวอร์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือผ่านสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทบทวนการแต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ทั้งที่ปัจจุบันนายทักษิณเป็นจำเลยในคดีอาญา มาตรา 112 รวมทั้งนายทักษิณเคยให้การรับสารภาพและถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โดยคดีถึงที่สุดแล้ว ในคดีทุจริตคอร์รัปชันเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถูกประชาชนคนไทยมีคำถามกับสิ่งที่นายทักษิณอ้างว่าป่วยวิกฤตและไม่เข้าเรือนจำแม้แต่วันเดียว

    คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และศาลฎีกาได้เริ่มกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า การบังคับโทษนายทักษิณเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น นายทักษิณที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียนที่นายอันวาร์แต่งตั้ง จึงเป็นบุคคลที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินการทางกฎหมายของประเทศไทย และถูกดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงจากศาลไทยซึ่งอาจจะนำมาสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด หรือแม้แต่การลงโทษนายทักษิณอีกครั้งหนึ่ง

    "เกรงว่าด้วยตำแหน่งที่นายอันวาร์แต่งตั้งให้นายทักษิณเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน จะกลายเป็นเงื่อนไขใช้เป็นข้ออ้างในการเดินทางออกนอกประเทศของนายทักษิณ แล้วไม่กลับมาสู่การพิสูจน์ความจริงเหมือนที่นายทักษิณเคยกระทำมาแล้ว ซึ่งก็จะกลายเป็นการใช้ตำแหน่งที่ปรึกษาของนายอันวาร์ มาบดบังกระบวนการยุติธรรมของไทย อันเป็นการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดมิตรไมตรีของสองประเทศอันมีมาช้านาน จึงขอให้ทบทวนการแต่งตั้งนายทักษิณ เพื่อธํารงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมืองของประเทศอาเซียน และให้กระบวนการยุติธรรมไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ เหมือนทุกประเทศมีกระบวนการยุติธรรมในประเทศของตนเอง"

    #Newskit
    THE ANWAR’S DISGUSTING ADVISOR เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว สำหรับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพในปี 2568 ทั้งที่นายทักษิณเพิ่งได้รับการพักโทษอย่างน่ากังขาจากคดีทุจริต 3 คดี โดยที่ไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว กลับอาศัยอยู่ที่ห้องพักสุดหรูบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจด้วยข้ออ้างอาการป่วยขั้นวิกฤต เป็นบุคคลน่ารังเกียจในสายตาชาวไทยที่ยึดถือความยุติธรรม และตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาที่ปรึกษารายนี้ไม่มีผลงานใดเป็นรูปธรรม นอกจากใช้เป็นข้ออ้าง ขออนุญาตศาลอาญาเดินทางออกนอกประเทศ เมื่อวันที่ 14 พ.ค. เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ ชุมนุมหน้าอาคารโครนอส สาทร ทาวเวอร์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือผ่านสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทบทวนการแต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียน ทั้งที่ปัจจุบันนายทักษิณเป็นจำเลยในคดีอาญา มาตรา 112 รวมทั้งนายทักษิณเคยให้การรับสารภาพและถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โดยคดีถึงที่สุดแล้ว ในคดีทุจริตคอร์รัปชันเมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถูกประชาชนคนไทยมีคำถามกับสิ่งที่นายทักษิณอ้างว่าป่วยวิกฤตและไม่เข้าเรือนจำแม้แต่วันเดียว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และศาลฎีกาได้เริ่มกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า การบังคับโทษนายทักษิณเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น นายทักษิณที่ปรึกษาส่วนตัวประธานอาเซียนที่นายอันวาร์แต่งตั้ง จึงเป็นบุคคลที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินการทางกฎหมายของประเทศไทย และถูกดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงจากศาลไทยซึ่งอาจจะนำมาสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด หรือแม้แต่การลงโทษนายทักษิณอีกครั้งหนึ่ง "เกรงว่าด้วยตำแหน่งที่นายอันวาร์แต่งตั้งให้นายทักษิณเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน จะกลายเป็นเงื่อนไขใช้เป็นข้ออ้างในการเดินทางออกนอกประเทศของนายทักษิณ แล้วไม่กลับมาสู่การพิสูจน์ความจริงเหมือนที่นายทักษิณเคยกระทำมาแล้ว ซึ่งก็จะกลายเป็นการใช้ตำแหน่งที่ปรึกษาของนายอันวาร์ มาบดบังกระบวนการยุติธรรมของไทย อันเป็นการกระทำที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดมิตรไมตรีของสองประเทศอันมีมาช้านาน จึงขอให้ทบทวนการแต่งตั้งนายทักษิณ เพื่อธํารงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมืองของประเทศอาเซียน และให้กระบวนการยุติธรรมไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ เหมือนทุกประเทศมีกระบวนการยุติธรรมในประเทศของตนเอง" #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1023 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    บทวิเคราะห์ของ สมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีคลัง “นโยบายปรับภาษี (Tariff) ของ Trump จะทำให้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพัฒนาการของการค้าโลกในช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งองค์การด้านการค้าโลกขึ้น เริ่มด้วยการตั้ง GATTS แล้วต่อมาปรับเป็น WTO (World Trade Organization) เพื่อสร้างกฎเกณฑ์การค้าขายระหว่างประเทศและกำกับให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามแนวทางการค้าเสรี ช่วงนี้จะมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย ประเทศใหญ่ๆในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นได้ปรับตัวให้ตนเองมั่งคั่งและสะสมความร่ำรวย เข้าไปควบคุมตลาดเงินและสกุลเงินตราสำคัญ รวมทั้งควบคุมตลาดการค้าหลักๆให้เป็นระเบียบและเอื้อต่อการขยายตัวของการค้าขายของแต่ละประเทศเพื่อประโยชน์ต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ .แต่แล้วในช่วงดังกล่าวนี้ประเทศจีนเสือหลับแห่งเอเชีย ที่ได้ผู้นำประเทศที่ขึ้นมาพลิกผันประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรมได้รวดเร็วและต่อเนื่อง ชื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้งได้ทำการปฏิวัติและปฏิรูปประเทศในทุกด้านโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่แบบเก่าจนแบบที่ต้องใช้เทคนิคล้ำหน้า จนขณะนี้จีนภายใต้ผู้นำชื่อ สี จิ้น ผิง ที่เข้มแข็ง มือสะอาด มีฝีมือ มีคุณธรรม มีความตั้งใจจริง เข้ามาบริหารประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุดให้ใหญ่โตจนทัดเทียมกับประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกด้าน จนผู้นำของสหรัฐอย่าง Trump รู้สึกเสียหน้ามาก. ที่มาของการใช้มาตรการทำสงครามการค้าของ Trump ความแข็งแกร่งของจีนในขณะนี้ Trump ได้เฝ้าดูแลมาร่วม 8 ปี เมื่อเขาสามารถเข้ามาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอีกครั้งก็ไม่รีรอที่จะลงมือนำนโยบายปรับภาษีสินค้านำเข้าและส่งออก (Tariff) ชนิดสุดโต่งและจำเพาะเจาะจงมาใช้กับประเทศจีนโดยทันที ขณะเดียวกันก็ได้ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ทั่วโลกด้วย แต่มาตรการจะเบากว่าที่ใช้กับจีน. สิ่งที่เห็นตามที่เป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การเกิดแรงกระแทกอย่างมากต่อวิถีการค้าระหว่างประเทศที่เป็นอยู่ทั่วโลก ไม่ต้องถามว่าทำไม Trump ต้องทำแบบนี้ เพราะเขาเองเห็นชัดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาของเขากำลังตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลการค้าอย่างมากที่เกิดต่อเนื่องมานานและมีหนี้สาธารณะสูงมาก .Trump ยังได้เห็นชัดว่า ฝ่ายของจีนมีพวกพ้องมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งกลุ่ม BRICS ประกอบด้วย Brazil, Russia, India, China และ South Africa รวมหัวกันทำการค้าต่อกันอย่างใกล้ชิด คิดใช้สกุลเงินตราของตนเอง โดยหันหน้าหนีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ.เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่ม BRICS ยังค่อยๆลดการลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐที่แต่ละประเทศถือไว้มากมายลงไปโดยการขายออก และหันไปซื้อทองคำหรือกระจายการลงทุนเป็นอย่างอื่น ขณะเดียวกันนักลงทุนรายใหญ่อื่นๆ ในตลาดเงินก็ทำการทิ้งพันธบัตรสหรัฐตามกันไปด้วย มีผลทำให้พันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ในอนาคตจำนวนมากของสหรัฐด้อยค่าลงมากอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน.สรุปได้ว่า Trump ได้มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาตอนนี้ได้ต่ำต้อยลงอย่างรวดเร็วมาก ตัวเองจึงจำเป็นต้องทำตัวเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามากู้ประเทศให้พลิกผันให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งอย่างเต็มตัวต่อไป ที่ Trump ตั้งใจจะทำก่อนและให้แรงมากคือเล่นงานด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าของสินค้าจีนอย่างบ้าระห่ำ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการทำนองเดียวกัน แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน นี่เป็นแค่ยกแรกแค่นั้น.ประเทศน้อยใหญ่ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งหลายต่างก็มองการกระทำของ Trump ในแง่ลบ แม้แต่ประธาน Federal Reserve ของสหรัฐเองอย่าง Jerome Powell เองก็มีอาการกึ่งช็อคกึ่งหัวหมุนกับนโยบายประเภทบ้าบิ่นที่ประธานาธิบดีของเขาจัดมาเป็นชุดๆ Powell ถึงกับกล่าวว่านโยบายของ Trump ที่นำออกมาใช้นี้จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำและการว่างงานจะมีมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นก็จะปั่นป่วนมาก ความตั้งใจที่ Fed จะลดดอกเบี้ยลงจึงทำได้ยากขึ้นซึ่งความเห็นของประธาน Fed ดังกล่าว Trump ไม่พอใจมากเพราะเขาอยากให้มีการลดดอกเบี้ยถึงกับเอ่ยออกมาว่าคงต้องคิดเรื่องการเด้งประธาน Fed ซะแล้ว ฟังคล้ายกำลังจะเอาอย่างประเทศไทย.แนวทางของไทยที่จะรับมือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประเทศทุกประเทศที่โดนผลกระทบในเรื่องการขึ้น Tariff ของ Trump ต่างก็กำลังระดมความคิดและเตรียมตัวที่จะส่งผู้แทนไปเจรจา ยกเว้นจีนประเทศเดียวที่ขึ้นป้ายจะสู้กับสหรัฐอย่างแน่วแน่.สำหรับประเทศไทย ยังฟังไม่ได้ศัพท์จากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชี้ให้เห็นชัดว่าศักยภาพของรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาใหญ่ต่ำมาก ฟังความได้อย่างเดียวจากท่านนายกรัฐมนตรีว่าจะใช้นโยบายและแนวทางเหมือนกับประเทศอาเซียนอื่นๆเท่านั้นตอนนี้ก็เห็นภาพชัดขึ้นอีกจากคณะผู้แทนที่เตรียมการจะไปเจรจา โดยจะไปบอกทางสหรัฐว่าไทยเราจะซื้อสินค้าจากเขามากขึ้น เช่น LNG ข้าวโพด ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าจะเดาก็จะขอให้ทางสหรัฐบันยะบันยังกับการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าจากไทยที่มีมูลค่าถึง 18 % ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด.ส่วนผลกระทบต่อไทย เท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามจะบอกพอสังเขป สรุปได้ว่าการส่งออกของไทยจะโดนกระทบมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป และจะทำให้การเติบโตของ GDP ในปีนี้ลดต่ำกว่าเป้าเหลือโตไม่ถึง 2.5 % และอัตราเงินเฟ้อของไทยก็จะชะลอลงด้วย นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบในปีหน้าและต่อๆไป ว่าจะรุนแรงสักแค่ไหน เชื่อได้เถอะครับมันแรงเกินคาด.ความเห็นผมนั้น เห็นว่าไทยเราจะโดนหนักกว่าที่รัฐบาลและหน่วยราชการไทยประเมินไว้มาก เกินศักยภาพของรัฐบาลไทยชุดนี้จะรับมือได้ วิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากเรื่อง Tariff หนนี้ ไม่ใช่ Covid 19 นะครับ มันเป็นเรื่องประเทศใครประเทศมัน ใครมีผู้นำเก่งก็ทำให้เบาได้ สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้.แนวทางในการคิดแก้วิกฤตของประเทศขนาดเล็กผมอยากนำท่านผู้อ่านไปดูว่าผู้นำของสิงคโปร์อย่างอดีตนายกลี เซียนลุง ได้พูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ซึ่งดีมาก เขาเริ่มบอกประชาชนรวมทั้งคณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศและนักธุรกิจ นักลงทุนของเขาว่าแม้จะมีความไม่แน่นอนในช่วง 90 วันที่ Trump จะให้ประเทศอื่นๆ นอกจากจีนไปคิดกันให้ดี แต่ก็ต้องมองให้ออกว่าทุกอย่างจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดังนั้น เราต้องกังวลและคิดให้ตกว่ามันจะส่งผลกับเรามากแค่ไหน ต้องตระหนักให้ได้ว่าวิกฤตที่จะเกิดทั่วโลกนี้ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมันแตกต่างไปจากเดิมมาก .ลี เซียนลุง ชี้ให้เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีหรือ Tariff ไปทั่วโลกครั้งนี้มันจะก่อกวนต่อการผลิตมากกว่าที่คิด เพราะ Supply Chain หรือ ห่วงโซ่การผลิตทุกอย่างจะหยุดชะงัก แผนการผลิตเดิมทุกอย่างจะหายไป และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Recession) อย่างรวดเร็ว และขอให้คาดหวังไว้ได้เลยว่า ปัญหานี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน.หลังจากลี เซียนลุง พูดเรื่องนี้ได้ไม่กี่วัน นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ที่มีเสียงสนับสนุนหนาแน่นอยู่ได้ประเทศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน นี้เอง เหตุผลเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้นำใหม่ขึ้นมา นี่คือสิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่เขาเป็นชาติที่เจริญได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงจนเราไม่สามารถแหงนหน้าขึ้นไปมองเขาได้แล้ว.ทางรอดของไทยจะเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนี้ เรามาดูว่าประเทศไทยเราจะมีทางรอดแค่ไหนก่อนเราต้องส่องกระจกดูตัวเอง และต้องฟังดูว่ามีใครมองเราอย่างไรบ้างให้ชัดก่อน เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองได้มีการชี้แนะจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศแห่งหนึ่งว่า “ประเทศไทยนั้นมีเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นตัวหลักที่ทำให้การบริหารประเทศในทุกด้านเดินหน้าไม่ได้” และเมื่อมีนาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าห่วงเทียบได้เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย”เป็นคนป่วยยังไงหรือ ทางด้านเศรษฐกิจก็เห็นกันชัดอยู่แล้วว่าไทยเรา กำลังเผชิญกับหนี้สาธารณะสูงมาก ภาษีเก็บได้น้อย ช่องทางในการหาเงินมาบริหารประเทศยังชักหน้าไม่ถึงหลัง อนาคตด้านการคลังริบหรี่ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเรื่องหนี้ครัวเรือนก็ไม่มีทางจะแก้ให้เบาบางลงได้ แม้ไม่มีเรื่องการปรับ Tariff ของ Trump ประเทศไทยเราก็มีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากเกินอยู่แล้ว นี่คืออาการของคนป่วยเรื้อรังแห่งเอเชีย.ไม่ต้องสาธยายกันมาก อีกเรื่องทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่า การเมืองของไทยยักแย่ยักยันอยู่ในปลักโคลนตมเดิมจนโงหัวไม่ขึ้นมานานแล้ว การเล่นการเมืองของนักการเมืองไทยเด็กๆก็รู้ว่าเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ใครจะเห็นต่างกี่คนก็บอกมา.เมื่อองคาพยพของการเมืองไทยซึ่งมีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลมาบริหารประเทศจากรากเหง้าเก่าๆที่รู้กันอยู่ เมื่อเจอกับปัญหาใหญ่ระดับโลกชนิดที่ว่าหันไปทางไหนก็มากระทบเราทั้งนั้น ท่านผู้ที่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อและมั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมากระทบประเทศเราได้ .หันไปดูนโยบายของพรรคการเมืองผู้กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็จะเห็นชัดเจนว่า ตอนนี้นโยบายของพวกเขาเหล่านั้น มันเน่าบูดกันแทบหมดแล้วครับ ถ้าจะแก้ปัญหาใหญ่ที่จะมีแรงกระแทกก่อให้เกิดวิกฤตที่ใหญ่เกินคาด ด้วยการปรับ ครม. แต่ยังดันทุรังคงสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ไว้ น่าจะไม่เป็นการกระทำของผู้นำที่รักชาติจริง”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1477 มุมมอง 0 รีวิว