• 86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย

    📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา

    🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย
    หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท

    ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย

    👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้

    เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา

    📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย"

    🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น

    ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
    ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ
    ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน

    ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า

    ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ?
    การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล

    ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า

    ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
    ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่
    ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ
    ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง

    📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ

    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา
    1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
    ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์
    ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่
    ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม

    📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

    - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง
    - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ
    - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ

    ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา

    🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
    แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย

    “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง

    หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน

    🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง

    ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป

    ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา
    ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น
    ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568

    🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา 🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย 👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้ เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา 📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย" 🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ? การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่ ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง 📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา 1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์ ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่ ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม 📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา 🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน 🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568 🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว

  • #วัดหนองป่าพง
    #อุบลราชธานี

    วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ)

    คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา

    หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต"

    หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483)

    หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา

    กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง”

    จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น

    ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม

    รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ

    #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    #วัดหนองป่าพง #อุบลราชธานี วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ) คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483) หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง” จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าชายสิทธัตถะ หรือที่รู้จักในนาม **พระโคตมพุทธเจ้า** เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 563 ปีก่อนคริสตกาล (หรือตามบางแหล่งข้อมูลคือ 480 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล

    ### ชีวิตในวัยเยาว์
    เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งแคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายา พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและความหรูหรา ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีและมีชีวิตที่สุขสบาย

    ### การออกบวช
    เมื่อพระองค์ทรงพบกับความทุกข์ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย ความแก่ และความตาย พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตและหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ทรงออกจากพระราชวังเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา และทรงเริ่มการแสวงหาความรู้และความจริง

    ### การตรัสรู้
    หลังจากแสวงหาความรู้และปฏิบัติธรรมอย่างหนัก พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลพุทธคยา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ทรงค้นพบ **อริยสัจ 4** (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ) และ **มรรคมีองค์ 8** (หนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์)

    ### การเผยแผ่ธรรมะ
    หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากว่า 45 ปี ในการเผยแผ่ธรรมะและสอนผู้คนให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตและหนทางสู่การหลุดพ้น พระองค์ทรงมีสาวกจำนวนมาก ทั้งพระภิกษุและฆราวาส

    ### การปรินิพพาน
    พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ที่เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินเดีย การปรินิพพานของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดของวัฏสงสารและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

    ### มรดกทางจิตวิญญาณ
    พระพุทธเจ้าทรงทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่มนุษยชาติ หลักธรรมคำสอนของพระองค์ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา

    หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมคำสอนของพระองค์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ!
    เจ้าชายสิทธัตถะ หรือที่รู้จักในนาม **พระโคตมพุทธเจ้า** เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธ พระองค์ประสูติเมื่อประมาณ 563 ปีก่อนคริสตกาล (หรือตามบางแหล่งข้อมูลคือ 480 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล ### ชีวิตในวัยเยาว์ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งแคว้นสักกะ และพระนางสิริมหามายา พระองค์ทรงเติบโตในพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสุขสบายและความหรูหรา ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีและมีชีวิตที่สุขสบาย ### การออกบวช เมื่อพระองค์ทรงพบกับความทุกข์ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย ความแก่ และความตาย พระองค์ตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิตและหนทางในการหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ทรงออกจากพระราชวังเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา และทรงเริ่มการแสวงหาความรู้และความจริง ### การตรัสรู้ หลังจากแสวงหาความรู้และปฏิบัติธรรมอย่างหนัก พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่ตำบลพุทธคยา เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ทรงค้นพบ **อริยสัจ 4** (ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ) และ **มรรคมีองค์ 8** (หนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์) ### การเผยแผ่ธรรมะ หลังจากตรัสรู้ พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลากว่า 45 ปี ในการเผยแผ่ธรรมะและสอนผู้คนให้เข้าใจถึงความจริงของชีวิตและหนทางสู่การหลุดพ้น พระองค์ทรงมีสาวกจำนวนมาก ทั้งพระภิกษุและฆราวาส ### การปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ที่เมืองกุสินารา ปัจจุบันอยู่ในประเทศอินเดีย การปรินิพพานของพระองค์ถือเป็นการสิ้นสุดของวัฏสงสารและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ### มรดกทางจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าทรงทิ้งมรดกทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไว้ให้แก่มนุษยชาติ หลักธรรมคำสอนของพระองค์ยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมคำสอนของพระองค์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • สตม.จัดอุปสมบทหมู่และปฏิบัติธรรม 97 ปี ตม.ไทย ใต้ร่มพระบารมี ให้แก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด ณ ดินแดนพุทธภูมิ ประเทศอินเดีย - เนปาล จำนวน 44 นาย
    สตม.จัดอุปสมบทหมู่และปฏิบัติธรรม 97 ปี ตม.ไทย ใต้ร่มพระบารมี ให้แก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด ณ ดินแดนพุทธภูมิ ประเทศอินเดีย - เนปาล จำนวน 44 นาย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีกับพระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าสนใจ ทั้งในด้านการเสริมสร้างการปฏิบัติธรรมและการท้าทายต่อหลักคำสอนพื้นฐาน ต่อไปนี้เป็นแนวคิดหลักที่เชื่อมโยงทั้งสองประเด็น:

    ### 1. **เทคโนโลยีสนับสนุนการปฏิบัติธรรม**
    - **แอปพลิเคชันสมาธิและธรรมะ**: แอปเช่น *Insight Timer* หรือ *Headspace* ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการนั่งสมาธิแบบมีคำแนะนำ บทสวดมนต์ และคำสอนทางพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น
    - **การเรียนรู้ทางไกล**: พุทธศาสนิกชนสามารถฟังธรรมจากพระอาจารย์ทั่วโลกผ่าน YouTube, Podcasts หรือเว็บไซต์ เช่น [DharmaSeed](https://www.dharmaseed.org)
    - **วัดเสมือนจริง**: ในยุคโควิด-19 หลายวัดจัดกิจกรรมทางศาสนาออนไลน์ เช่น การถ่ายทอดสดการบวชพระ หรือการปฏิบัติธรรมร่วมกันผ่าน Zoom

    ### 2. **การเผยแผ่ธรรมะในยุคดิจิทัล**
    - **โซเชียลมีเดีย**: พระสงฆ์หลายรูปใช้ Facebook หรือ TikTok แบ่งปันคำสอนสั้นๆ ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่
    - **ปัญญาประดิษฐ์ (AI)**: มีการพัฒนา AI ที่สามารถตอบคำถามธรรมะเบื้องต้น หรือแปลพระสูตรโบราณได้ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงเรื่องความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ

    ### 3. **ความท้าทายต่อหลักพุทธธรรม**
    - **การเสพติดเทคโนโลยี**: การใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปขัดกับหลัก "สติ" และ "ความพอดี" ในทางพุทธ
    - **โลกเสมือนกับความจริง**: การใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอาจทำให้หลงลืมการอยู่กับปัจจุบัน (หลักอริยสัจ 4)
    - **จริยธรรมทางเทคโนโลยี**: การพัฒนา AI หรือชีวเทคโนโลยีตั้งคำถามเชิงพุทธเกี่ยวกับ "กรรม" และ "เจตนา"

    ### 4. **พุทธธรรมกับการออกแบบเทคโนโลยี**
    - **เทคโนโลยีเชิงเมตตา**: หลัก "กรุณา" และ "มุทิตา" อาจ inspire การออกแบบเทคโนโลยีที่ลดการแบ่งแยกหรือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
    - **Digital Detox**: แนวคิด "ความไม่ยึดมั่น" ส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ ไม่ตกเป็นทาสของอุปกรณ์

    ### 5. **กรณีศึกษา**
    - **หุ่นยนต์สอนธรรมะ**: ในญี่ปุ่น มีการทดลองใช้หุ่นยนต์ Pepper อ่านพระสูตร แต่หลายคนเห็นว่าขาด "จิตวิญญาณแห่งการสั่งสอน"
    - **Blockchain กับวัด**: บางวัดใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อความโปร่งใสในการบริจาค

    ### 6. **ทางสายกลางในยุคดิจิทัล**
    พระพุทธศาสนาเน้น "มัชฌิมาปฏิปทา" การใช้เทคโนโลยีจึงควรอยู่บนพื้นฐาน:
    - **สติ**: รู้ตัวว่ากำลังใช้เทคโนโลยีเพื่ออะไร
    - **วัตถุประสงค์เชิงกุศล**: นำไปสู่การลดทุกข์ ไม่ใช่เพิ่มตัณหา
    - **ความสัมพันธ์มนุษย์**: ไม่ให้เทคโนโลยีทำลายการสื่อสารแบบเห็นหน้า

    ### สรุป
    เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย การใช้อย่างชาญฉลาดภายใต้กรอบศีลธรรมทางพุทธศาสนาจะช่วยให้มนุษย์พัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางวัตถุ โดยไม่หลงลืมแก่นแท้แห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ☸️💻
    เทคโนโลยีกับพระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าสนใจ ทั้งในด้านการเสริมสร้างการปฏิบัติธรรมและการท้าทายต่อหลักคำสอนพื้นฐาน ต่อไปนี้เป็นแนวคิดหลักที่เชื่อมโยงทั้งสองประเด็น: ### 1. **เทคโนโลยีสนับสนุนการปฏิบัติธรรม** - **แอปพลิเคชันสมาธิและธรรมะ**: แอปเช่น *Insight Timer* หรือ *Headspace* ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการนั่งสมาธิแบบมีคำแนะนำ บทสวดมนต์ และคำสอนทางพุทธศาสนาได้ง่ายขึ้น - **การเรียนรู้ทางไกล**: พุทธศาสนิกชนสามารถฟังธรรมจากพระอาจารย์ทั่วโลกผ่าน YouTube, Podcasts หรือเว็บไซต์ เช่น [DharmaSeed](https://www.dharmaseed.org) - **วัดเสมือนจริง**: ในยุคโควิด-19 หลายวัดจัดกิจกรรมทางศาสนาออนไลน์ เช่น การถ่ายทอดสดการบวชพระ หรือการปฏิบัติธรรมร่วมกันผ่าน Zoom ### 2. **การเผยแผ่ธรรมะในยุคดิจิทัล** - **โซเชียลมีเดีย**: พระสงฆ์หลายรูปใช้ Facebook หรือ TikTok แบ่งปันคำสอนสั้นๆ ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ - **ปัญญาประดิษฐ์ (AI)**: มีการพัฒนา AI ที่สามารถตอบคำถามธรรมะเบื้องต้น หรือแปลพระสูตรโบราณได้ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงเรื่องความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ### 3. **ความท้าทายต่อหลักพุทธธรรม** - **การเสพติดเทคโนโลยี**: การใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปขัดกับหลัก "สติ" และ "ความพอดี" ในทางพุทธ - **โลกเสมือนกับความจริง**: การใช้ชีวิตในโลกดิจิทัลอาจทำให้หลงลืมการอยู่กับปัจจุบัน (หลักอริยสัจ 4) - **จริยธรรมทางเทคโนโลยี**: การพัฒนา AI หรือชีวเทคโนโลยีตั้งคำถามเชิงพุทธเกี่ยวกับ "กรรม" และ "เจตนา" ### 4. **พุทธธรรมกับการออกแบบเทคโนโลยี** - **เทคโนโลยีเชิงเมตตา**: หลัก "กรุณา" และ "มุทิตา" อาจ inspire การออกแบบเทคโนโลยีที่ลดการแบ่งแยกหรือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส - **Digital Detox**: แนวคิด "ความไม่ยึดมั่น" ส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ ไม่ตกเป็นทาสของอุปกรณ์ ### 5. **กรณีศึกษา** - **หุ่นยนต์สอนธรรมะ**: ในญี่ปุ่น มีการทดลองใช้หุ่นยนต์ Pepper อ่านพระสูตร แต่หลายคนเห็นว่าขาด "จิตวิญญาณแห่งการสั่งสอน" - **Blockchain กับวัด**: บางวัดใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อความโปร่งใสในการบริจาค ### 6. **ทางสายกลางในยุคดิจิทัล** พระพุทธศาสนาเน้น "มัชฌิมาปฏิปทา" การใช้เทคโนโลยีจึงควรอยู่บนพื้นฐาน: - **สติ**: รู้ตัวว่ากำลังใช้เทคโนโลยีเพื่ออะไร - **วัตถุประสงค์เชิงกุศล**: นำไปสู่การลดทุกข์ ไม่ใช่เพิ่มตัณหา - **ความสัมพันธ์มนุษย์**: ไม่ให้เทคโนโลยีทำลายการสื่อสารแบบเห็นหน้า ### สรุป เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่จุดหมายสุดท้าย การใช้อย่างชาญฉลาดภายใต้กรอบศีลธรรมทางพุทธศาสนาจะช่วยให้มนุษย์พัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางวัตถุ โดยไม่หลงลืมแก่นแท้แห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ☸️💻
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)**
    หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้

    ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา
    1. **กรรม (Karma)**
    - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่
    - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์)
    - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์)

    2. **ไตรลักษณ์**
    - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    - เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    - ไม่มีตัวตน (อนัตตา)
    การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

    3. **มรรคมีองค์ 8**
    ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส)

    ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ
    1. เทวดา (สวรรค์)
    2. มนุษย์
    3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย)
    4. เปรต (วิญญาณอดอยาก)
    5. สัตว์
    6. นรก

    ### การหลุดพ้น
    - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่

    ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
    - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ
    - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน

    การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)** หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้ ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา 1. **กรรม (Karma)** - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่ - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์) - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์) 2. **ไตรลักษณ์** - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง) - เป็นทุกข์ (ทุกขัง) - ไม่มีตัวตน (อนัตตา) การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ 3. **มรรคมีองค์ 8** ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส) ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ 1. เทวดา (สวรรค์) 2. มนุษย์ 3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย) 4. เปรต (วิญญาณอดอยาก) 5. สัตว์ 6. นรก ### การหลุดพ้น - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่ ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)**
    หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้

    ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา
    1. **กรรม (Karma)**
    - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่
    - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์)
    - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์)

    2. **ไตรลักษณ์**
    - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    - เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    - ไม่มีตัวตน (อนัตตา)
    การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

    3. **มรรคมีองค์ 8**
    ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส)

    ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ
    1. เทวดา (สวรรค์)
    2. มนุษย์
    3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย)
    4. เปรต (วิญญาณอดอยาก)
    5. สัตว์
    6. นรก

    ### การหลุดพ้น
    - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่

    ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
    - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ
    - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน

    การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)** หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้ ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา 1. **กรรม (Karma)** - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่ - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์) - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์) 2. **ไตรลักษณ์** - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง) - เป็นทุกข์ (ทุกขัง) - ไม่มีตัวตน (อนัตตา) การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ 3. **มรรคมีองค์ 8** ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส) ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ 1. เทวดา (สวรรค์) 2. มนุษย์ 3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย) 4. เปรต (วิญญาณอดอยาก) 5. สัตว์ 6. นรก ### การหลุดพ้น - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่ ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระพุทธเมตตาประทานพร เล็กจิ๋ว หลวงปู่จำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ จ.สงขลา
    เหรียญพระพุทธเมตตาประทานพร ( เหรียญขนาดขนาดเล็กจิ๋ว ) หลวงปู่จำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ จ.สงขลา //พระดีพิธีใหญ่ พิธีเข้มขลัง มีประสบการณ์สูง //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พระขนาดเล็กจิ๋ว (ความสูงประมาณ เม็ดข้าวสาร) ไม่ค่อยเจอแล้วครับ เป็นอีกรุ่นที่น่าบูชามาก จะไว้บูชาเอง หรือให้ลูกหลานคล้องคอบูชาก็ดีเยี่ยมครับ !! เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก จิ๋ว นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารัก >>

    ** พุทธคุณ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด ประสบการณ์มากมาย ทั้งระเบิดด้าน รถคว่ำ กันภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >>

    ** หลวงปู่จำเนียร เกจิอาจารย์สายเขาอ้อ ผู้มีญาณวิเศษสามารถรู้วันมรณภาพของตัวเอง หลังจากมรณภาพ สรีระสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย จะแห้งกลายเป็นหิน มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมจนเป็นเลิศ ร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชากำบังตัววิชาปลาไหลใครจับท่านไม่ได้ ท่านเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช หลวงปู่จำเนียร เป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยความดี เป็นพระที่สมถะ สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่สะสมสิ่งใด มุ่งปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ท่านสามารถหยั่งรู้ได้ถึงวันมรณภาพของตัวเอง โดยท่านได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละสังขารแล้ว และท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่าร่างของท่านจะไม่เน่าเปื่อย จะแห้งไปเอง ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดเอาไว้


    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131

    เหรียญพระพุทธเมตตาประทานพร เล็กจิ๋ว หลวงปู่จำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ จ.สงขลา เหรียญพระพุทธเมตตาประทานพร ( เหรียญขนาดขนาดเล็กจิ๋ว ) หลวงปู่จำเนียร สำนักสงฆ์ต้นเลียบ จ.สงขลา //พระดีพิธีใหญ่ พิธีเข้มขลัง มีประสบการณ์สูง //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พระขนาดเล็กจิ๋ว (ความสูงประมาณ เม็ดข้าวสาร) ไม่ค่อยเจอแล้วครับ เป็นอีกรุ่นที่น่าบูชามาก จะไว้บูชาเอง หรือให้ลูกหลานคล้องคอบูชาก็ดีเยี่ยมครับ !! เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก จิ๋ว นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารัก >> ** พุทธคุณ เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอุด ประสบการณ์มากมาย ทั้งระเบิดด้าน รถคว่ำ กันภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย >> ** หลวงปู่จำเนียร เกจิอาจารย์สายเขาอ้อ ผู้มีญาณวิเศษสามารถรู้วันมรณภาพของตัวเอง หลังจากมรณภาพ สรีระสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย จะแห้งกลายเป็นหิน มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมจนเป็นเลิศ ร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชากำบังตัววิชาปลาไหลใครจับท่านไม่ได้ ท่านเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช หลวงปู่จำเนียร เป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยความดี เป็นพระที่สมถะ สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่สะสมสิ่งใด มุ่งปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ท่านสามารถหยั่งรู้ได้ถึงวันมรณภาพของตัวเอง โดยท่านได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละสังขารแล้ว และท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่าร่างของท่านจะไม่เน่าเปื่อย จะแห้งไปเอง ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดเอาไว้ ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 แก่นของการปฏิบัติธรรม → ลดอัตตา ไม่ใช่เพิ่มอัตตา

    🌱 ทางโลก: "ดีกว่า" มักเพิ่มอัตตา → ก่อทุกข์

    คำว่า "ฉันเหนือกว่า" "ฉันรู้มากกว่า" "ฉันปฏิบัติดีกว่า"

    ทำให้จิตใจยึดมั่นถือมั่น → เปราะบาง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย

    อัตตายิ่งโต → ความทุกข์ยิ่งมาก

    ความสุขที่ได้จากการเหนือกว่าคนอื่น → สุขที่ไม่ยั่งยืน


    🌿 ทางธรรม: "ดีกว่า" ควรเป็นการลดอัตตา → นำไปสู่ความสงบ

    คำว่า "ปฏิบัติเพื่อคลายตัวกู"

    ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งลดตัวตน → ใจเบา ใจสว่าง

    ไม่เทียบใคร ไม่อวดดี ไม่แข่งธรรม

    เป้าหมายสูงสุดของธรรมะ → พ้นจากอัตตา



    ---

    📌 3 ระดับของการปฏิบัติธรรม

    📍 ระดับที่ 1: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบาป" (เพิ่มอัตตา)

    🔴 ลักษณะของการปฏิบัติที่ผิดทาง

    ใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ อวดดี ดูถูกคนอื่น

    เชื่อว่าตัวเอง รู้มากกว่า ใจบริสุทธิ์กว่า ธรรมสูงส่งกว่า

    แข่งขันเปรียบเทียบ "ใครปฏิบัติได้ลึกกว่า ใครเข้าถึงก่อน"

    อัตตาหนาขึ้นเรื่อยๆ → หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย พูดจาหยาบคาย

    ทำบุญไป แต่จิตยังเต็มไปด้วยมานะ


    🚨 ผลลัพธ์:

    กลายเป็นคนที่เคร่งศาสนาแต่ใจแข็งกระด้าง

    ปฏิบัติแล้วใจ "ไม่เบา ไม่โปร่ง" → แปลว่าผิดทาง

    จิตฟุ้งซ่าน เพราะธรรมะกลายเป็นการแข่งขัน



    ---

    📍 ระดับที่ 2: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบุญ" (ยึดติดปีติสุข)

    ⚪ ลักษณะของการปฏิบัติที่ก้าวหน้า แต่ยังติดสุข

    ทำบุญ รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่อให้ใจสงบ

    ติดสุขจากสมาธิ → หลงคิดว่าความสุขจากสมาธิคือเป้าหมาย

    ถ้าวันไหนสมาธิดี → ดีใจ

    ถ้าวันไหนสมาธิไม่ดี → หงุดหงิด


    🚨 ปัญหา:

    ยัง "ยึด" ปีติ สุข ความสงบ

    ยังไม่เห็นว่า ปีติสุขก็ไม่เที่ยง

    มีความสุขแต่ยัง "ติดสุข" → ไม่พร้อมปล่อย



    ---

    📍 ระดับที่ 3: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เหนือบุญเหนือบาป" (ล้างตัวตน)

    🟢 ลักษณะของการปฏิบัติที่ถูกต้อง

    เห็นทุกอย่างเป็น "อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา"

    ไม่ยึดสุข ไม่ยึดทุกข์

    สมาธิได้ก็รู้ → สมาธิหายก็รู้

    สุขก็รู้ว่า เดี๋ยวหาย

    ทุกข์ก็รู้ว่า เดี๋ยวผ่านไป

    ไม่อวด ไม่แข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ

    ใจใส ใจโล่ง เบา ไม่มีภาระ


    ✅ เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง
    → "ไม่เพิ่มอัตตา ไม่เพิ่มตัวกู"
    → "ไม่มีอะไรให้แข่ง ไม่มีอะไรให้ยึด"
    → "ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ"


    ---

    📌 วิธีปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง

    1️⃣ หมั่นสังเกตจิต → ถามตัวเองเสมอ

    ตอนนี้ใจเบาหรือหนัก?

    กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับใครไหม?

    มีความพองตัว หยิ่งทะนงไหม?


    2️⃣ ฝึกเห็น "อนิจจัง" ในทุกอย่าง

    สมาธิได้ → ไม่ยึด

    สมาธิหาย → ไม่หงุดหงิด

    สุขได้ → ไม่หลง

    ทุกข์มา → ไม่ต้าน


    3️⃣ ลดเปรียบเทียบ → ไม่ต้องไปแข่งกับใคร

    อย่ามองว่าตัวเองดีกว่าใคร

    อย่ามองว่าตัวเองเข้าใจมากกว่าใคร

    อย่ามองว่าตัวเองมีธรรมสูงกว่าใคร


    4️⃣ ปฏิบัติธรรมแบบเงียบๆ → ไม่ต้องอวด ไม่ต้องโชว์

    ไม่ต้องโพสต์ว่า "ฉันปฏิบัติดี"

    ไม่ต้องบอกใครว่า "ฉันเข้าถึงธรรม"

    ธรรมะไม่ใช่เรื่องโอ้อวด แต่เป็นเรื่องของการละวาง



    ---

    📌 สรุป → ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง

    💡 อย่าปฏิบัติธรรมเพื่อสร้าง “ตัวกู” ที่สูงส่งขึ้นมาใหม่
    💡 ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ “ตัวกู” ค่อยๆจางหายไป
    💡 ปฏิบัติธรรมแล้วใจควรเบา ไม่ใช่แข็งกระด้าง
    💡 อย่าปฏิบัติเพื่อเปรียบเทียบ แต่ให้ปฏิบัติเพื่อลดอัตตา

    👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาลดลง → ถูกทาง
    👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาเพิ่มขึ้น → กลับไปเริ่มใหม่!

    📌 แก่นของการปฏิบัติธรรม → ลดอัตตา ไม่ใช่เพิ่มอัตตา 🌱 ทางโลก: "ดีกว่า" มักเพิ่มอัตตา → ก่อทุกข์ คำว่า "ฉันเหนือกว่า" "ฉันรู้มากกว่า" "ฉันปฏิบัติดีกว่า" ทำให้จิตใจยึดมั่นถือมั่น → เปราะบาง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย อัตตายิ่งโต → ความทุกข์ยิ่งมาก ความสุขที่ได้จากการเหนือกว่าคนอื่น → สุขที่ไม่ยั่งยืน 🌿 ทางธรรม: "ดีกว่า" ควรเป็นการลดอัตตา → นำไปสู่ความสงบ คำว่า "ปฏิบัติเพื่อคลายตัวกู" ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งลดตัวตน → ใจเบา ใจสว่าง ไม่เทียบใคร ไม่อวดดี ไม่แข่งธรรม เป้าหมายสูงสุดของธรรมะ → พ้นจากอัตตา --- 📌 3 ระดับของการปฏิบัติธรรม 📍 ระดับที่ 1: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบาป" (เพิ่มอัตตา) 🔴 ลักษณะของการปฏิบัติที่ผิดทาง ใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ อวดดี ดูถูกคนอื่น เชื่อว่าตัวเอง รู้มากกว่า ใจบริสุทธิ์กว่า ธรรมสูงส่งกว่า แข่งขันเปรียบเทียบ "ใครปฏิบัติได้ลึกกว่า ใครเข้าถึงก่อน" อัตตาหนาขึ้นเรื่อยๆ → หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย พูดจาหยาบคาย ทำบุญไป แต่จิตยังเต็มไปด้วยมานะ 🚨 ผลลัพธ์: กลายเป็นคนที่เคร่งศาสนาแต่ใจแข็งกระด้าง ปฏิบัติแล้วใจ "ไม่เบา ไม่โปร่ง" → แปลว่าผิดทาง จิตฟุ้งซ่าน เพราะธรรมะกลายเป็นการแข่งขัน --- 📍 ระดับที่ 2: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เอาบุญ" (ยึดติดปีติสุข) ⚪ ลักษณะของการปฏิบัติที่ก้าวหน้า แต่ยังติดสุข ทำบุญ รักษาศีล นั่งสมาธิ เพื่อให้ใจสงบ ติดสุขจากสมาธิ → หลงคิดว่าความสุขจากสมาธิคือเป้าหมาย ถ้าวันไหนสมาธิดี → ดีใจ ถ้าวันไหนสมาธิไม่ดี → หงุดหงิด 🚨 ปัญหา: ยัง "ยึด" ปีติ สุข ความสงบ ยังไม่เห็นว่า ปีติสุขก็ไม่เที่ยง มีความสุขแต่ยัง "ติดสุข" → ไม่พร้อมปล่อย --- 📍 ระดับที่ 3: ปฏิบัติธรรมเพื่อ "เหนือบุญเหนือบาป" (ล้างตัวตน) 🟢 ลักษณะของการปฏิบัติที่ถูกต้อง เห็นทุกอย่างเป็น "อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา" ไม่ยึดสุข ไม่ยึดทุกข์ สมาธิได้ก็รู้ → สมาธิหายก็รู้ สุขก็รู้ว่า เดี๋ยวหาย ทุกข์ก็รู้ว่า เดี๋ยวผ่านไป ไม่อวด ไม่แข่งขัน ไม่เปรียบเทียบ ใจใส ใจโล่ง เบา ไม่มีภาระ ✅ เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง → "ไม่เพิ่มอัตตา ไม่เพิ่มตัวกู" → "ไม่มีอะไรให้แข่ง ไม่มีอะไรให้ยึด" → "ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ" --- 📌 วิธีปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง 1️⃣ หมั่นสังเกตจิต → ถามตัวเองเสมอ ตอนนี้ใจเบาหรือหนัก? กำลังเปรียบเทียบตัวเองกับใครไหม? มีความพองตัว หยิ่งทะนงไหม? 2️⃣ ฝึกเห็น "อนิจจัง" ในทุกอย่าง สมาธิได้ → ไม่ยึด สมาธิหาย → ไม่หงุดหงิด สุขได้ → ไม่หลง ทุกข์มา → ไม่ต้าน 3️⃣ ลดเปรียบเทียบ → ไม่ต้องไปแข่งกับใคร อย่ามองว่าตัวเองดีกว่าใคร อย่ามองว่าตัวเองเข้าใจมากกว่าใคร อย่ามองว่าตัวเองมีธรรมสูงกว่าใคร 4️⃣ ปฏิบัติธรรมแบบเงียบๆ → ไม่ต้องอวด ไม่ต้องโชว์ ไม่ต้องโพสต์ว่า "ฉันปฏิบัติดี" ไม่ต้องบอกใครว่า "ฉันเข้าถึงธรรม" ธรรมะไม่ใช่เรื่องโอ้อวด แต่เป็นเรื่องของการละวาง --- 📌 สรุป → ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง 💡 อย่าปฏิบัติธรรมเพื่อสร้าง “ตัวกู” ที่สูงส่งขึ้นมาใหม่ 💡 ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ “ตัวกู” ค่อยๆจางหายไป 💡 ปฏิบัติธรรมแล้วใจควรเบา ไม่ใช่แข็งกระด้าง 💡 อย่าปฏิบัติเพื่อเปรียบเทียบ แต่ให้ปฏิบัติเพื่อลดอัตตา 👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาลดลง → ถูกทาง 👉 ถ้าปฏิบัติแล้วอัตตาเพิ่มขึ้น → กลับไปเริ่มใหม่!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 วิธีปล่อยวางความรัก 10 ปี เลือกทางไหนดีที่สุด?

    หากเคยชินกับการ ยึดติดความสัมพันธ์มา 10 ปี
    ตอนนี้มี 4 ทางเลือก ที่จะช่วยให้ใจคลี่คลายจากอดีต

    ---

    🎯 ทางเลือกที่ 1: ปล่อยเลยตามเลย (จมอยู่กับอดีต)

    > "จะเสียเวลากับความเศร้าไปกี่สิบปีก็ช่างมัน"
    "จมกับอดีตต่อไปแบบไม่ต้องทำอะไรเลย"

    ❌ ผลลัพธ์:

    ความคิดแบบนี้เป็น บ่อเกิดของโรคย้ำคิดย้ำทำ

    มีแต่จะ วนเวียนจมอยู่กับอดีตไปเรื่อยๆ

    เวลา 10 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นกำแพงขังใจ

    ทุกข์ไม่มีวันจบ เพราะ ไม่มีความพยายามปล่อยวางเลย

    👉 สรุป: ทางเลือกที่แย่ที่สุด!

    ---

    🎯 ทางเลือกที่ 2: ใช้เวลา 10 ปีสร้างความเคยชินใหม่

    > "ใช้เวลา 10 ปีสร้างนิสัยใหม่"
    "ค่อยๆ ฝึกคิดว่า เขาไม่เคยเป็นของเรา"
    "เวลาจะค่อยๆ ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง"

    ✅ ผลลัพธ์:

    ค่อยๆ ปรับจิตให้ ยอมรับความจริง ว่าเขาไม่ใช่ของเรา

    ทำให้ ใช้ชีวิตโดยไม่มีเขาได้ง่ายขึ้น

    อาจต้องใช้เวลานาน แต่ในที่สุดจะทำใจได้

    ❌ ข้อเสีย:

    ใช้เวลานาน กว่าจิตจะคุ้นชิน

    หากยัง "คิดถึงเขาทุกวัน" จะวนอยู่ในอดีตไปอีก 10 ปี

    👉 สรุป: ทางเลือกแบบทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ (แต่ช้า)

    ---

    🎯 ทางเลือกที่ 3: ใช้เวลา 10 เดือนฝึกจิตให้สงบ

    > "ใช้เวลา 10 เดือนสวดมนต์ นั่งสมาธิ"
    "ฝึกให้จิตมีความสุขกับความวิเวก"
    "เปลี่ยนจากความสุขแบบพึ่งพา → เป็นสุขที่อยู่กับตัวเอง"

    ✅ ผลลัพธ์:

    ช่วยให้ใจสงบเร็วขึ้น กว่าการรอให้เวลาเยียวยา

    สร้าง ความสุขจากข้างใน ไม่ต้องพึ่งพาความรักจากคนอื่น

    ทำให้ ปล่อยวางเร็วขึ้น และมี ความสงบเป็นที่พึ่ง

    ❌ ข้อเสีย:

    อาจมีบางช่วงที่ จิตยังเผลอกลับไปคิดถึงเขา

    ต้อง มีวินัยในการปฏิบัติธรรม (หากทำๆ หยุดๆ จะไม่เห็นผล)

    👉 สรุป: ทางเลือกที่ดีมาก หากฝึกอย่างต่อเนื่อง

    ---

    🎯 ทางเลือกที่ 4: ใช้เวลา 10 วันฝึก "สติรู้ทันความยึดติด" (เร็วที่สุด!)

    > "ฝึกสังเกตอารมณ์ตัวเองวันละลมหายใจ"
    "เห็นว่าความเศร้าไม่คงที่ แปรเปลี่ยนตลอดเวลา"
    "เมื่อจิตเห็นความจริงของอารมณ์ ความยึดมั่นจะหายไปเอง"

    ✅ ผลลัพธ์:

    ช่วยปล่อยวางได้เร็วที่สุด

    ทำให้ เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ และเห็นว่ามันไม่เที่ยง

    ลดความยึดมั่นว่า "ฉันเป็นเจ้าของเขา" → "เขาไม่ใช่ของฉัน"

    ❌ ข้อเสีย:

    ต้องใช้ สติสูงมาก และต้อง ฝึกอย่างจริงจัง

    ต้องยอมรับว่า "เราควบคุมความคิดไม่ได้ แต่เราดูมันได้"

    👉 สรุป: ทางเลือกที่เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด

    ---

    🎯 สรุป: อยากพ้นทุกข์เร็ว ควรเลือกทางไหน?

    ✅ ถ้าอยากพ้นทุกข์เร็ว → เลือกทางที่ 4 (ฝึกสติรู้ทัน)
    ✅ ถ้าอยากใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นชิน → เลือกทางที่ 2 (ใช้เวลา 10 ปี)
    ✅ ถ้าอยากให้จิตสงบเป็นสุข → เลือกทางที่ 3 (ฝึกสมาธิ 10 เดือน)
    ❌ ห้ามเลือกทางที่ 1 เด็ดขาด เพราะมันจะทำให้จมอยู่กับอดีตไปเรื่อยๆ

    ---

    💡 วิธีฝึก "สติรู้ทัน" เพื่อปล่อยวางเร็วที่สุด

    1️⃣ หายใจเข้า-ออกช้าๆ แล้วดูว่า "อารมณ์เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจ"
    2️⃣ สังเกตว่า "ความเศร้าแปรเปลี่ยนตลอดเวลา" มันไม่ได้อยู่คงที่
    3️⃣ บอกตัวเองว่า "ฉันไม่ใช่ความเศร้า ความเศร้าก็ไม่ใช่ฉัน"
    4️⃣ เมื่อเห็นว่า "อารมณ์ไม่เที่ยง" ใจก็จะคลายจากการยึดติดไปเอง

    📌 "เมื่อจิตเห็นความจริงของอารมณ์ ใจก็เป็นอิสระจากอดีต" 🔥
    📌 วิธีปล่อยวางความรัก 10 ปี เลือกทางไหนดีที่สุด? หากเคยชินกับการ ยึดติดความสัมพันธ์มา 10 ปี ตอนนี้มี 4 ทางเลือก ที่จะช่วยให้ใจคลี่คลายจากอดีต --- 🎯 ทางเลือกที่ 1: ปล่อยเลยตามเลย (จมอยู่กับอดีต) > "จะเสียเวลากับความเศร้าไปกี่สิบปีก็ช่างมัน" "จมกับอดีตต่อไปแบบไม่ต้องทำอะไรเลย" ❌ ผลลัพธ์: ความคิดแบบนี้เป็น บ่อเกิดของโรคย้ำคิดย้ำทำ มีแต่จะ วนเวียนจมอยู่กับอดีตไปเรื่อยๆ เวลา 10 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นกำแพงขังใจ ทุกข์ไม่มีวันจบ เพราะ ไม่มีความพยายามปล่อยวางเลย 👉 สรุป: ทางเลือกที่แย่ที่สุด! --- 🎯 ทางเลือกที่ 2: ใช้เวลา 10 ปีสร้างความเคยชินใหม่ > "ใช้เวลา 10 ปีสร้างนิสัยใหม่" "ค่อยๆ ฝึกคิดว่า เขาไม่เคยเป็นของเรา" "เวลาจะค่อยๆ ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง" ✅ ผลลัพธ์: ค่อยๆ ปรับจิตให้ ยอมรับความจริง ว่าเขาไม่ใช่ของเรา ทำให้ ใช้ชีวิตโดยไม่มีเขาได้ง่ายขึ้น อาจต้องใช้เวลานาน แต่ในที่สุดจะทำใจได้ ❌ ข้อเสีย: ใช้เวลานาน กว่าจิตจะคุ้นชิน หากยัง "คิดถึงเขาทุกวัน" จะวนอยู่ในอดีตไปอีก 10 ปี 👉 สรุป: ทางเลือกแบบทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ (แต่ช้า) --- 🎯 ทางเลือกที่ 3: ใช้เวลา 10 เดือนฝึกจิตให้สงบ > "ใช้เวลา 10 เดือนสวดมนต์ นั่งสมาธิ" "ฝึกให้จิตมีความสุขกับความวิเวก" "เปลี่ยนจากความสุขแบบพึ่งพา → เป็นสุขที่อยู่กับตัวเอง" ✅ ผลลัพธ์: ช่วยให้ใจสงบเร็วขึ้น กว่าการรอให้เวลาเยียวยา สร้าง ความสุขจากข้างใน ไม่ต้องพึ่งพาความรักจากคนอื่น ทำให้ ปล่อยวางเร็วขึ้น และมี ความสงบเป็นที่พึ่ง ❌ ข้อเสีย: อาจมีบางช่วงที่ จิตยังเผลอกลับไปคิดถึงเขา ต้อง มีวินัยในการปฏิบัติธรรม (หากทำๆ หยุดๆ จะไม่เห็นผล) 👉 สรุป: ทางเลือกที่ดีมาก หากฝึกอย่างต่อเนื่อง --- 🎯 ทางเลือกที่ 4: ใช้เวลา 10 วันฝึก "สติรู้ทันความยึดติด" (เร็วที่สุด!) > "ฝึกสังเกตอารมณ์ตัวเองวันละลมหายใจ" "เห็นว่าความเศร้าไม่คงที่ แปรเปลี่ยนตลอดเวลา" "เมื่อจิตเห็นความจริงของอารมณ์ ความยึดมั่นจะหายไปเอง" ✅ ผลลัพธ์: ช่วยปล่อยวางได้เร็วที่สุด ทำให้ เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ และเห็นว่ามันไม่เที่ยง ลดความยึดมั่นว่า "ฉันเป็นเจ้าของเขา" → "เขาไม่ใช่ของฉัน" ❌ ข้อเสีย: ต้องใช้ สติสูงมาก และต้อง ฝึกอย่างจริงจัง ต้องยอมรับว่า "เราควบคุมความคิดไม่ได้ แต่เราดูมันได้" 👉 สรุป: ทางเลือกที่เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด --- 🎯 สรุป: อยากพ้นทุกข์เร็ว ควรเลือกทางไหน? ✅ ถ้าอยากพ้นทุกข์เร็ว → เลือกทางที่ 4 (ฝึกสติรู้ทัน) ✅ ถ้าอยากใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นชิน → เลือกทางที่ 2 (ใช้เวลา 10 ปี) ✅ ถ้าอยากให้จิตสงบเป็นสุข → เลือกทางที่ 3 (ฝึกสมาธิ 10 เดือน) ❌ ห้ามเลือกทางที่ 1 เด็ดขาด เพราะมันจะทำให้จมอยู่กับอดีตไปเรื่อยๆ --- 💡 วิธีฝึก "สติรู้ทัน" เพื่อปล่อยวางเร็วที่สุด 1️⃣ หายใจเข้า-ออกช้าๆ แล้วดูว่า "อารมณ์เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจ" 2️⃣ สังเกตว่า "ความเศร้าแปรเปลี่ยนตลอดเวลา" มันไม่ได้อยู่คงที่ 3️⃣ บอกตัวเองว่า "ฉันไม่ใช่ความเศร้า ความเศร้าก็ไม่ใช่ฉัน" 4️⃣ เมื่อเห็นว่า "อารมณ์ไม่เที่ยง" ใจก็จะคลายจากการยึดติดไปเอง 📌 "เมื่อจิตเห็นความจริงของอารมณ์ ใจก็เป็นอิสระจากอดีต" 🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่บ้าน ทีมงานปฏิบัติธรรม14จังหวะ มาจัดธรรม1วัน
    แม่บ้าน ทีมงานปฏิบัติธรรม14จังหวะ มาจัดธรรม1วัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครอบครัวผมน้อมถวายข้าวสาร30กก.น้ำดื่ม30แพค ถวายหลวงปู่ชัยยะ พระแม่ ณ.สำนักปฏิบัติธรรมเต็มสิบ เพชรบูรณ์ ประจำเดือนกพ.2568 สาธุ
    ครอบครัวผมน้อมถวายข้าวสาร30กก.น้ำดื่ม30แพค ถวายหลวงปู่ชัยยะ พระแม่ ณ.สำนักปฏิบัติธรรมเต็มสิบ เพชรบูรณ์ ประจำเดือนกพ.2568 สาธุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนร้ายแอบวางระเบิดไว้ใต้ฝ้าเพดานศาลาปฏิบัติธรรมบ้านจุฬาภรณ์ 5 อ.ระแงะ ทหารพราน 4511 เจ็บ 7 นาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000007246

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    คนร้ายแอบวางระเบิดไว้ใต้ฝ้าเพดานศาลาปฏิบัติธรรมบ้านจุฬาภรณ์ 5 อ.ระแงะ ทหารพราน 4511 เจ็บ 7 นาย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000007246 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Sad
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 863 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 3
    แผ่นดินไทยสยามนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก คนดีเท่านั้นที่อยู่ได้ คนชั่วมันไม่สามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุขความเจริญในประเทศไทยนี้ได้หรอก
    เพราะว่ามันจะต้องประสบพบเจอกับเคราะห์กรรมร้ายแรงต่างๆนาๆที่มันได้ก่อขึ้นไว้ทำขึ้นเอาไว้อย่างแน่นอน และมันจะต้องมีอันเป็นไปกันทุกๆรายอย่างแน่นอนจริงๆ
    บรรพชนทุกๆท่านในประเทศไทยนี้นั้น โดยมีท่านพระสยามเทวาธิราชฯท่านเป็นผู้นำ จะไม่มีวันยอมให้ไอ้อีเวรหน้าไหนๆ ที่มันชอบคอยทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองประเทศชาติแผ่นดินไทยสยามนี้ ได้ดิบได้ดีมีความสุขความเจริญต่อไปตลอดรอดฝั่งไปได้อย่างแน่นอน
    และฉันก็เชื่อมั่นว่าคนดีที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์เอาไว้ให้กับชาติบ้านเมืองในประเทศไทยนี้นั้น เค้าย่อมที่จะได้รับการอนุเคราะห์คุ้มครอง คอยปกปักรักษาปกป้องคุ้มครองป้องกันภัย ภยันอันตรายใดๆก็ตาม จะไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายเหย้าเยือนเค้าได้อย่างแน่นอน และเค้าก็คงจะได้รับการอนุเคราะห์จากเหล่าผู้พิทักษ์ประจำประเทศไทยนี้ทั้งมวล ให้มีความผาสุขสวัสดีมีชัยอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยสยามแห่งนี้ต่อไปตลอดไปได้อย่างแน่นอน
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีตัวตนจริงๆนะ ซึ่งถ้าใครฝึกฝนปฏิบัติธรรมมานานๆแล้ว ก็จะรู้ได้เลยด้วยตนเองเลย โดยเฉพาะกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์อริยสงฆ์ท่าน พวกท่านก็เคยบอกกล่าวเอาไว้มานมนานแล้วมากมายหลายต่อหลายท่าน โดยเฉพาะทุกๆท่านที่ได้บรรลุธรรมมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์กันมาตั้งมากมายทั่วทั้งประเทศไทยสยามนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั่นเอง
    สุดท้ายนี้ ทำดีต้องได้ดีอย่างแน่นอน ทำชั่วมันต้องได้รับผลกรรมชั่วของมันอย่างแน่นอน ดั่งในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์สมณโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรา)ที่เคยได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้มาเนิ่นนานแล้วจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอนนั่นเอง
    พูดแล้วก็สาธุ ทำอย่างไรๆก็ได้อย่างนั้นๆอย่างแน่นอนแล
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 3 แผ่นดินไทยสยามนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก คนดีเท่านั้นที่อยู่ได้ คนชั่วมันไม่สามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุขความเจริญในประเทศไทยนี้ได้หรอก เพราะว่ามันจะต้องประสบพบเจอกับเคราะห์กรรมร้ายแรงต่างๆนาๆที่มันได้ก่อขึ้นไว้ทำขึ้นเอาไว้อย่างแน่นอน และมันจะต้องมีอันเป็นไปกันทุกๆรายอย่างแน่นอนจริงๆ บรรพชนทุกๆท่านในประเทศไทยนี้นั้น โดยมีท่านพระสยามเทวาธิราชฯท่านเป็นผู้นำ จะไม่มีวันยอมให้ไอ้อีเวรหน้าไหนๆ ที่มันชอบคอยทำร้ายทำลายชาติบ้านเมืองประเทศชาติแผ่นดินไทยสยามนี้ ได้ดิบได้ดีมีความสุขความเจริญต่อไปตลอดรอดฝั่งไปได้อย่างแน่นอน และฉันก็เชื่อมั่นว่าคนดีที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์เอาไว้ให้กับชาติบ้านเมืองในประเทศไทยนี้นั้น เค้าย่อมที่จะได้รับการอนุเคราะห์คุ้มครอง คอยปกปักรักษาปกป้องคุ้มครองป้องกันภัย ภยันอันตรายใดๆก็ตาม จะไม่สามารถที่จะเข้ามากล้ำกรายเหย้าเยือนเค้าได้อย่างแน่นอน และเค้าก็คงจะได้รับการอนุเคราะห์จากเหล่าผู้พิทักษ์ประจำประเทศไทยนี้ทั้งมวล ให้มีความผาสุขสวัสดีมีชัยอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทยสยามแห่งนี้ต่อไปตลอดไปได้อย่างแน่นอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีตัวตนจริงๆนะ ซึ่งถ้าใครฝึกฝนปฏิบัติธรรมมานานๆแล้ว ก็จะรู้ได้เลยด้วยตนเองเลย โดยเฉพาะกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์อริยสงฆ์ท่าน พวกท่านก็เคยบอกกล่าวเอาไว้มานมนานแล้วมากมายหลายต่อหลายท่าน โดยเฉพาะทุกๆท่านที่ได้บรรลุธรรมมรรคผลนิพพาน เป็นพระอรหันต์กันมาตั้งมากมายทั่วทั้งประเทศไทยสยามนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั่นเอง สุดท้ายนี้ ทำดีต้องได้ดีอย่างแน่นอน ทำชั่วมันต้องได้รับผลกรรมชั่วของมันอย่างแน่นอน ดั่งในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์สมณโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของพวกเรา)ที่เคยได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้มาเนิ่นนานแล้วจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอนนั่นเอง พูดแล้วก็สาธุ ทำอย่างไรๆก็ได้อย่างนั้นๆอย่างแน่นอนแล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์ประกอบของความแข็งแกร่ง
    ถ้าหากว่าคุณมีความปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ คุณก็ควรที่จะมีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่กับตัวของคุณนั่นเอง
    องค์ประกอบต่างๆของผู้ที่แข็งแกร่งมีนั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1. มีพละกำลังร่างกายที่แข็งแรง ถ้าหากว่าคุณไม่มีร่างกายที่พร้อมรบทุกสถานการณ์แล้วล่ะก็คุณก็อาจจะพ่ายแพ้ได้
    2. จิตใจที่เข้มแข็งกล้าหาญ ถ้าหากว่าคุณเป็นพวกขี้กลัวแล้วล่ะก็ คุณก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย ถ้าคุณถูกข่มขู่ให้กลัว คุณก็แพ้เค้าแล้วล่ะ
    3. วิญญาณที่แข็งแกร่ง เพราะถ้าคุณไม่มีวิญญาณที่ดีในตัวของคุณ ซึ่งก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ทำให้คุณสามารถมีวิญญาณที่แข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี
    4. ความดีในตนเอง หรือ โชคดี บุญญาวาสนา นั่นเอง ถ้าคุณไม่ใช่คนดีอยู่แล้วล่ะก็ จะไม่มีใครผู้ใด หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดเค้าเข้ามาช่วยเหลือคุณในยามคับขันได้หรอกนะ
    5. ธรรมะ หรือ คุณธรรม ถ้าหากว่าคุณเป็นเพียงแค่คนชั่วแต่เก่งแล้วไม่มีธรรมอยู่ในหัวใจของตัวของคุณเองแล้วล่ะก็ สักวันเมื่อคุณพลาดท่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุกระการอันใดก็ตามแล้วล่ะก็ จะมีแต่คนอื่นเค้ามาซ้ำเติมคุณให้คุณเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยิ่งเข้าไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะต้องมีคุณธรรมเอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการปกป้องป้องปรามไม่ให้ใครเค้ามาทำร้ายคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า มีมิตรสหายคอยช่วยเหลือ ไม่มีศัตรูเข้ามาซ้ำเติมคุณได้
    สุดท้าย ถ้าหากว่าคุณอยาก หรือ ต้องการที่จะแข็งแกร่งอย่างถาวรมั่นคงไปตลอดเวลาแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณต้องเอาชนะให้ได้เลยก็คือ ตัวของคุณเอง เพราะว่า ผู้ที่เอาชนะตัวเองได้นั่นแหล่ะ คือผู้ชนะที่แท้จริงตลอดกาลนั่นเอง
    ถึงแม้ว่าต่อให้คุณชนะใครต่อใครทั่วทั้งมวลมาแล้วก็ตามที แต่ถ้าคุณเอาชนะใจของตนเองไม่ได้แล้วล่ะก็ คุณมันก็แค่ผู้แพ้ยิ่งกว่าศัตรูของคุณที่พ่ายแพ้ให้แก่คุณอยู่ดีนั่นเอง
    องค์ประกอบของความแข็งแกร่ง ถ้าหากว่าคุณมีความปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็ คุณก็ควรที่จะมีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่กับตัวของคุณนั่นเอง องค์ประกอบต่างๆของผู้ที่แข็งแกร่งมีนั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1. มีพละกำลังร่างกายที่แข็งแรง ถ้าหากว่าคุณไม่มีร่างกายที่พร้อมรบทุกสถานการณ์แล้วล่ะก็คุณก็อาจจะพ่ายแพ้ได้ 2. จิตใจที่เข้มแข็งกล้าหาญ ถ้าหากว่าคุณเป็นพวกขี้กลัวแล้วล่ะก็ คุณก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย ถ้าคุณถูกข่มขู่ให้กลัว คุณก็แพ้เค้าแล้วล่ะ 3. วิญญาณที่แข็งแกร่ง เพราะถ้าคุณไม่มีวิญญาณที่ดีในตัวของคุณ ซึ่งก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ทำให้คุณสามารถมีวิญญาณที่แข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี 4. ความดีในตนเอง หรือ โชคดี บุญญาวาสนา นั่นเอง ถ้าคุณไม่ใช่คนดีอยู่แล้วล่ะก็ จะไม่มีใครผู้ใด หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดเค้าเข้ามาช่วยเหลือคุณในยามคับขันได้หรอกนะ 5. ธรรมะ หรือ คุณธรรม ถ้าหากว่าคุณเป็นเพียงแค่คนชั่วแต่เก่งแล้วไม่มีธรรมอยู่ในหัวใจของตัวของคุณเองแล้วล่ะก็ สักวันเมื่อคุณพลาดท่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุกระการอันใดก็ตามแล้วล่ะก็ จะมีแต่คนอื่นเค้ามาซ้ำเติมคุณให้คุณเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยิ่งเข้าไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะต้องมีคุณธรรมเอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการปกป้องป้องปรามไม่ให้ใครเค้ามาทำร้ายคุณได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า มีมิตรสหายคอยช่วยเหลือ ไม่มีศัตรูเข้ามาซ้ำเติมคุณได้ สุดท้าย ถ้าหากว่าคุณอยาก หรือ ต้องการที่จะแข็งแกร่งอย่างถาวรมั่นคงไปตลอดเวลาแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณต้องเอาชนะให้ได้เลยก็คือ ตัวของคุณเอง เพราะว่า ผู้ที่เอาชนะตัวเองได้นั่นแหล่ะ คือผู้ชนะที่แท้จริงตลอดกาลนั่นเอง ถึงแม้ว่าต่อให้คุณชนะใครต่อใครทั่วทั้งมวลมาแล้วก็ตามที แต่ถ้าคุณเอาชนะใจของตนเองไม่ได้แล้วล่ะก็ คุณมันก็แค่ผู้แพ้ยิ่งกว่าศัตรูของคุณที่พ่ายแพ้ให้แก่คุณอยู่ดีนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน
    ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ
    หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
    สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม
    ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ
    ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง
    “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)”
    “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป”
    ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)” “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป” ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ขอพาทุกคนมาสัมผัสความสงบและงดงามที่ “วัดปัญญานันทาราม” ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

    จุดเด่นของวัดปัญญานันทาราม:
    • เจดีย์พุทธคยา: จำลองมาจากประเทศอินเดีย โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ ชั้นบนของเจดีย์เรียกว่า ชั้นพุทธเมตตา มีรูปหล่อของหลวงพ่อปัญญาประดิษฐานให้กราบไหว้

    • ภาพปริศนาธรรมแบบ 3 มิติ: ตั้งอยู่ที่ชั้นพุทธบารมี ใต้เจดีย์พุทธคยา เป็นภาพที่สื่อถึงธรรมะและแง่คิดในการดำเนินชีวิต

    • บรรยากาศเงียบสงบ: เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมและพักผ่อนจิตใจ

    💡 Tips:
    • แต่งกายสุภาพและถอดรองเท้าก่อนเข้าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

    📍 พิกัด: วัดปัญญานันทาราม คลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
    วันนี้ขอพาทุกคนมาสัมผัสความสงบและงดงามที่ “วัดปัญญานันทาราม” ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จุดเด่นของวัดปัญญานันทาราม: • เจดีย์พุทธคยา: จำลองมาจากประเทศอินเดีย โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ ชั้นบนของเจดีย์เรียกว่า ชั้นพุทธเมตตา มีรูปหล่อของหลวงพ่อปัญญาประดิษฐานให้กราบไหว้ • ภาพปริศนาธรรมแบบ 3 มิติ: ตั้งอยู่ที่ชั้นพุทธบารมี ใต้เจดีย์พุทธคยา เป็นภาพที่สื่อถึงธรรมะและแง่คิดในการดำเนินชีวิต • บรรยากาศเงียบสงบ: เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมและพักผ่อนจิตใจ 💡 Tips: • แต่งกายสุภาพและถอดรองเท้าก่อนเข้าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ 📍 พิกัด: วัดปัญญานันทาราม คลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 529 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 643 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 663 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา

    1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น

    ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น

    ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

    ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง



    2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา

    หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา

    การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด





    ---

    ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น

    หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ:

    นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี

    ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

    ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์



    ---

    การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์

    ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม

    เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล

    เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี



    ---

    สรุป

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง --- วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา 1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง 2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด --- ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ: นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์ --- การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี --- สรุป การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,635
    วันศุกร์: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ (10 January 2025)

    โอนเงินทำบุญ 30 แห่ง เป็นเงิน 600 บาท
    01. รร.งำเมืองวิทยาคม อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    02. รร.ชุมชนบ้านดู่ใต้ อ.เมือง จ.น่าน
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    03. รร.บ้านโนนหอม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    04. รร.บ้านป่ายางตะวันตก อ.สามเงา จ.ตาก
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    05. รร.บ้านสมบูรณ์ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    06. รร.วัดเขาราษฎร์บำรุง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68)
    07. รร.วัดบ้านหมาก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68)
    08. รร.บ้านชงโคสันติสุขวิทยาคาร อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 12 ม.ค.68)
    09. รร.ในเตาพิทยาคม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68)
    10. รร.บ้านไร่เหนือ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68)
    11. วัดเกาะหินตั้ง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
    (สร้างอาคารปฏิบัติธรรม)
    12. วัดดอนชัย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
    (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม)
    13. วัดดวงรัตนประทีป อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม)
    14. วัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
    (สร้างศาลาอเนกประสงค์)
    15. วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
    (สร้างอาคารปริยัติธรรม)
    16. วัดพนัญเชิงวรวิหาร อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา
    (สร้างอาคารเรียนสามเณร)
    17. วัดอุทุมพร อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
    (สร้างกุฏิสงฆ์)
    18. วัดกองเงินเวฬุวัน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
    (สร้างกุฏิสงฆ์)
    19. วัดศิริการ อ.เมือง จ.จันทบุรี
    (สร้างกุฏิสงฆ์)
    20. วัดป่าเทสรังสีแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
    (สร้างห้องพักสงฆ์)
    21. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
    (สร้างห้องน้ำ)
    22. วัดตระพังทองหลาง อ.เมือง จ.สุโขทัย
    (สร้างห้องน้ำ)
    23. วัดเขาช่องประดู่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
    (สร้างห้องน้ำ)
    24. วัดวังประดู่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (สร้างห้องน้ำ)
    25. วัดเขาเจริญธรรม อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
    (สร้างห้องน้ำ)
    26. วัดบ้านหนองลาน อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
    (สร้างห้องน้ำกุฏิพระสงฆ์)
    27. วัดโคกพิกุลเรียง อ.เมือง จ.ราชบุรี
    (สร้างศาลาธรรมสังเวช)
    28. วัดย่านขาด อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก
    (สร้างศาลาธรรมสังเวช)
    29. วัดพระธาตุวิสุทธิญาณ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
    (สร้างเมรุ)
    30. วัดตาสุด อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ
    (สร้างหอฉัน)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 33 วัน (75 ปี)
    เพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ภายในปี พ.ศ. ๕๐๐๐
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,635 วันศุกร์: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะโรง วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ (10 January 2025) โอนเงินทำบุญ 30 แห่ง เป็นเงิน 600 บาท 01. รร.งำเมืองวิทยาคม อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 02. รร.ชุมชนบ้านดู่ใต้ อ.เมือง จ.น่าน (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 03. รร.บ้านโนนหอม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 04. รร.บ้านป่ายางตะวันตก อ.สามเงา จ.ตาก (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 05. รร.บ้านสมบูรณ์ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 06. รร.วัดเขาราษฎร์บำรุง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68) 07. รร.วัดบ้านหมาก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68) 08. รร.บ้านชงโคสันติสุขวิทยาคาร อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 12 ม.ค.68) 09. รร.ในเตาพิทยาคม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68) 10. รร.บ้านไร่เหนือ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68) 11. วัดเกาะหินตั้ง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย (สร้างอาคารปฏิบัติธรรม) 12. วัดดอนชัย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม) 13. วัดดวงรัตนประทีป อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม) 14. วัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (สร้างศาลาอเนกประสงค์) 15. วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา (สร้างอาคารปริยัติธรรม) 16. วัดพนัญเชิงวรวิหาร อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา (สร้างอาคารเรียนสามเณร) 17. วัดอุทุมพร อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ (สร้างกุฏิสงฆ์) 18. วัดกองเงินเวฬุวัน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี (สร้างกุฏิสงฆ์) 19. วัดศิริการ อ.เมือง จ.จันทบุรี (สร้างกุฏิสงฆ์) 20. วัดป่าเทสรังสีแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี (สร้างห้องพักสงฆ์) 21. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ (สร้างห้องน้ำ) 22. วัดตระพังทองหลาง อ.เมือง จ.สุโขทัย (สร้างห้องน้ำ) 23. วัดเขาช่องประดู่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (สร้างห้องน้ำ) 24. วัดวังประดู่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (สร้างห้องน้ำ) 25. วัดเขาเจริญธรรม อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ (สร้างห้องน้ำ) 26. วัดบ้านหนองลาน อ.นครไทย จ.พิษณุโลก (สร้างห้องน้ำกุฏิพระสงฆ์) 27. วัดโคกพิกุลเรียง อ.เมือง จ.ราชบุรี (สร้างศาลาธรรมสังเวช) 28. วัดย่านขาด อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก (สร้างศาลาธรรมสังเวช) 29. วัดพระธาตุวิสุทธิญาณ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ (สร้างเมรุ) 30. วัดตาสุด อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ (สร้างหอฉัน) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 33 วัน (75 ปี) เพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ภายในปี พ.ศ. ๕๐๐๐
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 607 มุมมอง 0 รีวิว
  • การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่ขวางทางปฏิบัติ

    อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
    คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง)
    เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น
    ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย"

    ---

    ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ?

    1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ
    ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้
    ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ

    2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ
    ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น
    ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา

    3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน
    ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด"

    ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ

    ---

    การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์

    1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล"
    ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
    ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ

    2. "เอาใจออกห่าง"
    เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ
    ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต

    3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง"
    เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป
    ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์

    4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ"
    สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา
    เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้

    ---

    สรุป

    หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์
    แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้
    พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม
    จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ
    และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!
    การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่ขวางทางปฏิบัติ อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง) เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย" --- ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ? 1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้ ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ 2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา 3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด" ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ --- การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์ 1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล" ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ 2. "เอาใจออกห่าง" เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต 3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง" เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์ 4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ" สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้ --- สรุป หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์ แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้ พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาธิ: ระดับและองค์ประกอบสำคัญ

    สมาธิเริ่มต้นอย่างไร?
    สมาธิทุกระดับเริ่มต้นจาก สององค์ประกอบทางใจ:

    1. วิตักกะ (เล็ง): การตั้งจิตให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง


    2. วิจาระ (เชื่อมติด): การเชื่อมกระแสจิตกับสิ่งที่เล็งจนจิตแนบแน่นกับอารมณ์นั้น



    เมื่อจิตเชื่อมติดกับอารมณ์ที่เล็งไว้ จะเกิดสมาธิ ซึ่งแบ่งได้ตามระดับของปีติสุขและความตั้งมั่นของจิต


    ---

    ระดับของสมาธิ

    1. ขณิกสมาธิ:

    สมาธิชั่วขณะ เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

    มีปีติสุขน้อย จิตสงบได้เพียงสั้นๆ

    มักเกิดในชีวิตประจำวัน เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือ



    2. อุปจารสมาธิ:

    สมาธิระดับกลาง

    มีปีติสุขซาบซ่าน สงบวิเวก

    จิตใกล้จะรวมเป็นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด



    3. อัปปนาสมาธิ:

    สมาธิระดับสูงสุด

    จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว

    เกิดปีติสุขอันละเอียดและมั่นคง





    ---

    ตัวอย่างการเข้าสมาธิด้วยอานาปานสติ

    1. เริ่มต้นด้วยวิตักกะ (เล็ง):

    ตั้งสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก

    โฟกัสจิตที่ลมหายใจ



    2. เข้าสู่วิจาระ (เชื่อมติด):

    รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง

    สังเกตลมหายใจที่ยาว สั้น หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย

    จิตเริ่มเชื่อมติดกับลมหายใจ



    3. เข้าสมาธิ:

    เมื่อจิตเชื่อมติดกับลมหายใจ จะเกิดปีติสุข

    สมาธิจะพัฒนาตามระดับของความสงบและความแน่วแน่





    ---

    สมาธิในชีวิตประจำวัน
    หลักการของวิตักกะและวิจาระเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น:

    การอ่านหนังสือแบบใจจดใจจ่อ

    การทำงานที่สนุกและมุ่งมั่นไม่วอกแวก

    การนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจจดจ่อและเพลิดเพลิน



    ---

    ข้อสรุป:
    สมาธิไม่จำกัดเฉพาะในรูปแบบการปฏิบัติธรรม แต่เกิดจากการ รู้เห็นกายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จิตที่ตั้งมั่นและแนบแน่นกับอารมณ์อย่างเหมาะสมจะนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่ช่วยสร้างความสงบและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง.

    สมาธิ: ระดับและองค์ประกอบสำคัญ สมาธิเริ่มต้นอย่างไร? สมาธิทุกระดับเริ่มต้นจาก สององค์ประกอบทางใจ: 1. วิตักกะ (เล็ง): การตั้งจิตให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 2. วิจาระ (เชื่อมติด): การเชื่อมกระแสจิตกับสิ่งที่เล็งจนจิตแนบแน่นกับอารมณ์นั้น เมื่อจิตเชื่อมติดกับอารมณ์ที่เล็งไว้ จะเกิดสมาธิ ซึ่งแบ่งได้ตามระดับของปีติสุขและความตั้งมั่นของจิต --- ระดับของสมาธิ 1. ขณิกสมาธิ: สมาธิชั่วขณะ เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว มีปีติสุขน้อย จิตสงบได้เพียงสั้นๆ มักเกิดในชีวิตประจำวัน เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือ 2. อุปจารสมาธิ: สมาธิระดับกลาง มีปีติสุขซาบซ่าน สงบวิเวก จิตใกล้จะรวมเป็นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด 3. อัปปนาสมาธิ: สมาธิระดับสูงสุด จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว เกิดปีติสุขอันละเอียดและมั่นคง --- ตัวอย่างการเข้าสมาธิด้วยอานาปานสติ 1. เริ่มต้นด้วยวิตักกะ (เล็ง): ตั้งสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก โฟกัสจิตที่ลมหายใจ 2. เข้าสู่วิจาระ (เชื่อมติด): รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง สังเกตลมหายใจที่ยาว สั้น หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตเริ่มเชื่อมติดกับลมหายใจ 3. เข้าสมาธิ: เมื่อจิตเชื่อมติดกับลมหายใจ จะเกิดปีติสุข สมาธิจะพัฒนาตามระดับของความสงบและความแน่วแน่ --- สมาธิในชีวิตประจำวัน หลักการของวิตักกะและวิจาระเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น: การอ่านหนังสือแบบใจจดใจจ่อ การทำงานที่สนุกและมุ่งมั่นไม่วอกแวก การนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจจดจ่อและเพลิดเพลิน --- ข้อสรุป: สมาธิไม่จำกัดเฉพาะในรูปแบบการปฏิบัติธรรม แต่เกิดจากการ รู้เห็นกายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จิตที่ตั้งมั่นและแนบแน่นกับอารมณ์อย่างเหมาะสมจะนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่ช่วยสร้างความสงบและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 236 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts