• 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา

    1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น

    ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น

    ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

    ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง



    2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา

    หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา

    การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด





    ---

    ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น

    หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ:

    นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี

    ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

    ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์



    ---

    การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์

    ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม

    เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล

    เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี



    ---

    สรุป

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง --- วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา 1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง 2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด --- ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ: นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์ --- การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี --- สรุป การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,635
    วันศุกร์: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ (10 January 2025)

    โอนเงินทำบุญ 30 แห่ง เป็นเงิน 600 บาท
    01. รร.งำเมืองวิทยาคม อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    02. รร.ชุมชนบ้านดู่ใต้ อ.เมือง จ.น่าน
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    03. รร.บ้านโนนหอม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    04. รร.บ้านป่ายางตะวันตก อ.สามเงา จ.ตาก
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    05. รร.บ้านสมบูรณ์ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68)
    06. รร.วัดเขาราษฎร์บำรุง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68)
    07. รร.วัดบ้านหมาก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68)
    08. รร.บ้านชงโคสันติสุขวิทยาคาร อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 12 ม.ค.68)
    09. รร.ในเตาพิทยาคม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68)
    10. รร.บ้านไร่เหนือ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี
    (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68)
    11. วัดเกาะหินตั้ง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
    (สร้างอาคารปฏิบัติธรรม)
    12. วัดดอนชัย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
    (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม)
    13. วัดดวงรัตนประทีป อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม)
    14. วัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
    (สร้างศาลาอเนกประสงค์)
    15. วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
    (สร้างอาคารปริยัติธรรม)
    16. วัดพนัญเชิงวรวิหาร อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา
    (สร้างอาคารเรียนสามเณร)
    17. วัดอุทุมพร อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
    (สร้างกุฏิสงฆ์)
    18. วัดกองเงินเวฬุวัน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
    (สร้างกุฏิสงฆ์)
    19. วัดศิริการ อ.เมือง จ.จันทบุรี
    (สร้างกุฏิสงฆ์)
    20. วัดป่าเทสรังสีแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
    (สร้างห้องพักสงฆ์)
    21. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
    (สร้างห้องน้ำ)
    22. วัดตระพังทองหลาง อ.เมือง จ.สุโขทัย
    (สร้างห้องน้ำ)
    23. วัดเขาช่องประดู่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
    (สร้างห้องน้ำ)
    24. วัดวังประดู่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (สร้างห้องน้ำ)
    25. วัดเขาเจริญธรรม อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
    (สร้างห้องน้ำ)
    26. วัดบ้านหนองลาน อ.นครไทย จ.พิษณุโลก
    (สร้างห้องน้ำกุฏิพระสงฆ์)
    27. วัดโคกพิกุลเรียง อ.เมือง จ.ราชบุรี
    (สร้างศาลาธรรมสังเวช)
    28. วัดย่านขาด อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก
    (สร้างศาลาธรรมสังเวช)
    29. วัดพระธาตุวิสุทธิญาณ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
    (สร้างเมรุ)
    30. วัดตาสุด อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ
    (สร้างหอฉัน)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    * เวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 33 วัน (75 ปี)
    เพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ภายในปี พ.ศ. ๕๐๐๐
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,635 วันศุกร์: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๒ ปีมะโรง วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ (10 January 2025) โอนเงินทำบุญ 30 แห่ง เป็นเงิน 600 บาท 01. รร.งำเมืองวิทยาคม อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 02. รร.ชุมชนบ้านดู่ใต้ อ.เมือง จ.น่าน (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 03. รร.บ้านโนนหอม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 04. รร.บ้านป่ายางตะวันตก อ.สามเงา จ.ตาก (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 05. รร.บ้านสมบูรณ์ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 10 ม.ค.68) 06. รร.วัดเขาราษฎร์บำรุง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68) 07. รร.วัดบ้านหมาก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 11 ม.ค.68) 08. รร.บ้านชงโคสันติสุขวิทยาคาร อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 12 ม.ค.68) 09. รร.ในเตาพิทยาคม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68) 10. รร.บ้านไร่เหนือ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี (ทอดผ้าป่าสามัคคี 13 ม.ค.68) 11. วัดเกาะหินตั้ง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย (สร้างอาคารปฏิบัติธรรม) 12. วัดดอนชัย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม) 13. วัดดวงรัตนประทีป อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (สร้างศาลาปฏิบัติธรรม) 14. วัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (สร้างศาลาอเนกประสงค์) 15. วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา (สร้างอาคารปริยัติธรรม) 16. วัดพนัญเชิงวรวิหาร อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา (สร้างอาคารเรียนสามเณร) 17. วัดอุทุมพร อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ (สร้างกุฏิสงฆ์) 18. วัดกองเงินเวฬุวัน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี (สร้างกุฏิสงฆ์) 19. วัดศิริการ อ.เมือง จ.จันทบุรี (สร้างกุฏิสงฆ์) 20. วัดป่าเทสรังสีแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี (สร้างห้องพักสงฆ์) 21. วัดนาคปรก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ (สร้างห้องน้ำ) 22. วัดตระพังทองหลาง อ.เมือง จ.สุโขทัย (สร้างห้องน้ำ) 23. วัดเขาช่องประดู่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (สร้างห้องน้ำ) 24. วัดวังประดู่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (สร้างห้องน้ำ) 25. วัดเขาเจริญธรรม อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ (สร้างห้องน้ำ) 26. วัดบ้านหนองลาน อ.นครไทย จ.พิษณุโลก (สร้างห้องน้ำกุฏิพระสงฆ์) 27. วัดโคกพิกุลเรียง อ.เมือง จ.ราชบุรี (สร้างศาลาธรรมสังเวช) 28. วัดย่านขาด อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก (สร้างศาลาธรรมสังเวช) 29. วัดพระธาตุวิสุทธิญาณ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ (สร้างเมรุ) 30. วัดตาสุด อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ (สร้างหอฉัน) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ * เวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 33 วัน (75 ปี) เพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ ภายในปี พ.ศ. ๕๐๐๐
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่ขวางทางปฏิบัติ

    อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
    คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง)
    เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น
    ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย"

    ---

    ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ?

    1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ
    ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้
    ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ

    2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ
    ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น
    ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา

    3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน
    ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด"

    ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ

    ---

    การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์

    1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล"
    ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
    ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ

    2. "เอาใจออกห่าง"
    เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ
    ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต

    3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง"
    เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป
    ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์

    4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ"
    สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา
    เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้

    ---

    สรุป

    หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์
    แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้
    พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม
    จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ
    และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!
    การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่ขวางทางปฏิบัติ อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง) เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย" --- ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ? 1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้ ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ 2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา 3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด" ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ --- การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์ 1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล" ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ 2. "เอาใจออกห่าง" เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต 3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง" เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์ 4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ" สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้ --- สรุป หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์ แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้ พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาธิ: ระดับและองค์ประกอบสำคัญ

    สมาธิเริ่มต้นอย่างไร?
    สมาธิทุกระดับเริ่มต้นจาก สององค์ประกอบทางใจ:

    1. วิตักกะ (เล็ง): การตั้งจิตให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง


    2. วิจาระ (เชื่อมติด): การเชื่อมกระแสจิตกับสิ่งที่เล็งจนจิตแนบแน่นกับอารมณ์นั้น



    เมื่อจิตเชื่อมติดกับอารมณ์ที่เล็งไว้ จะเกิดสมาธิ ซึ่งแบ่งได้ตามระดับของปีติสุขและความตั้งมั่นของจิต


    ---

    ระดับของสมาธิ

    1. ขณิกสมาธิ:

    สมาธิชั่วขณะ เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

    มีปีติสุขน้อย จิตสงบได้เพียงสั้นๆ

    มักเกิดในชีวิตประจำวัน เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือ



    2. อุปจารสมาธิ:

    สมาธิระดับกลาง

    มีปีติสุขซาบซ่าน สงบวิเวก

    จิตใกล้จะรวมเป็นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด



    3. อัปปนาสมาธิ:

    สมาธิระดับสูงสุด

    จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว

    เกิดปีติสุขอันละเอียดและมั่นคง





    ---

    ตัวอย่างการเข้าสมาธิด้วยอานาปานสติ

    1. เริ่มต้นด้วยวิตักกะ (เล็ง):

    ตั้งสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก

    โฟกัสจิตที่ลมหายใจ



    2. เข้าสู่วิจาระ (เชื่อมติด):

    รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง

    สังเกตลมหายใจที่ยาว สั้น หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย

    จิตเริ่มเชื่อมติดกับลมหายใจ



    3. เข้าสมาธิ:

    เมื่อจิตเชื่อมติดกับลมหายใจ จะเกิดปีติสุข

    สมาธิจะพัฒนาตามระดับของความสงบและความแน่วแน่





    ---

    สมาธิในชีวิตประจำวัน
    หลักการของวิตักกะและวิจาระเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น:

    การอ่านหนังสือแบบใจจดใจจ่อ

    การทำงานที่สนุกและมุ่งมั่นไม่วอกแวก

    การนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจจดจ่อและเพลิดเพลิน



    ---

    ข้อสรุป:
    สมาธิไม่จำกัดเฉพาะในรูปแบบการปฏิบัติธรรม แต่เกิดจากการ รู้เห็นกายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จิตที่ตั้งมั่นและแนบแน่นกับอารมณ์อย่างเหมาะสมจะนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่ช่วยสร้างความสงบและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง.

    สมาธิ: ระดับและองค์ประกอบสำคัญ สมาธิเริ่มต้นอย่างไร? สมาธิทุกระดับเริ่มต้นจาก สององค์ประกอบทางใจ: 1. วิตักกะ (เล็ง): การตั้งจิตให้โฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 2. วิจาระ (เชื่อมติด): การเชื่อมกระแสจิตกับสิ่งที่เล็งจนจิตแนบแน่นกับอารมณ์นั้น เมื่อจิตเชื่อมติดกับอารมณ์ที่เล็งไว้ จะเกิดสมาธิ ซึ่งแบ่งได้ตามระดับของปีติสุขและความตั้งมั่นของจิต --- ระดับของสมาธิ 1. ขณิกสมาธิ: สมาธิชั่วขณะ เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว มีปีติสุขน้อย จิตสงบได้เพียงสั้นๆ มักเกิดในชีวิตประจำวัน เช่น การตั้งใจอ่านหนังสือ 2. อุปจารสมาธิ: สมาธิระดับกลาง มีปีติสุขซาบซ่าน สงบวิเวก จิตใกล้จะรวมเป็นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด 3. อัปปนาสมาธิ: สมาธิระดับสูงสุด จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว เกิดปีติสุขอันละเอียดและมั่นคง --- ตัวอย่างการเข้าสมาธิด้วยอานาปานสติ 1. เริ่มต้นด้วยวิตักกะ (เล็ง): ตั้งสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก โฟกัสจิตที่ลมหายใจ 2. เข้าสู่วิจาระ (เชื่อมติด): รู้ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง สังเกตลมหายใจที่ยาว สั้น หรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตเริ่มเชื่อมติดกับลมหายใจ 3. เข้าสมาธิ: เมื่อจิตเชื่อมติดกับลมหายใจ จะเกิดปีติสุข สมาธิจะพัฒนาตามระดับของความสงบและความแน่วแน่ --- สมาธิในชีวิตประจำวัน หลักการของวิตักกะและวิจาระเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น: การอ่านหนังสือแบบใจจดใจจ่อ การทำงานที่สนุกและมุ่งมั่นไม่วอกแวก การนึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจจดจ่อและเพลิดเพลิน --- ข้อสรุป: สมาธิไม่จำกัดเฉพาะในรูปแบบการปฏิบัติธรรม แต่เกิดจากการ รู้เห็นกายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จิตที่ตั้งมั่นและแนบแน่นกับอารมณ์อย่างเหมาะสมจะนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่ช่วยสร้างความสงบและความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้ง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • การปฏิบัติดี ปฏิบัติธรรม ให้เพียรทำ อย่าถอยหนีถอยออก แพ้กิเลสทันที
    การปฏิบัติดี ปฏิบัติธรรม ให้เพียรทำ อย่าถอยหนีถอยออก แพ้กิเลสทันที
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมมาตอนนี้เกิน ๓ วันแล้ว แต่ว่าหลายต่อหลายท่านกำลังใจยังฟุ้งซ่านเป็นปกติ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ใจไปต่อต้านแนวทางปฏิบัติที่ตนเองไม่คุ้นเคย พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับกรรมฐานแบบใหม่ได้ และโดยเฉพาะความรู้สึกต่อต้านที่ว่า ไม่ใช่แบบที่ครูบาอาจารย์ของเราสอนมา..!ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใฝ่รู้ใฝ่เรียนเสียอย่างเดียว ไม่ว่ากรรมฐานแนวไหนท่านก็จะรับได้ เพราะว่าไม่มีกรรมฐานสายโน้น ไม่มีกรรมฐานสายนี้ เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกรูปแบบ มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านถนัดแบบไหน ก็เอาแบบนั้นมาสอน แล้วคนที่ชอบก็ติดตามไปปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นกรรมฐานสายโน้นสายนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์สอนอยู่พระองค์เดียว..!หรือแม้กระทั่งบุคคลที่น่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ไปจัดการกับวัด ๆ หนึ่ง ซึ่งได้รับบริจาคร่างกายของผู้ตายมาเพื่อให้ฝึกกรรมฐาน โดยที่ผู้ใหญ่ระดับนั้นไปฟันธงว่า "การใช้ซากศพฝึกกรรมฐานไม่มีผล" ถ้าแบบนี้ควรที่จะหาคนอื่นมาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน เนื่องเพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรมาเลย..!อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการพิจารณาซากศพ ๙ แบบด้วยกัน ถ้าสงสัยข้องใจสามารถไปดูได้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก นวสีวถิกาปัพพะ ในเมื่อเราไม่เข้าใจแล้วอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ไปกล่าวในลักษณะแบบนั้น บรรดาลูกน้องที่โง่กว่าหรือโง่พอกับเจ้านาย ก็อาจจะรีบสนองด้วยการไปเล่นงานพระเสียอีก..!ถ้าหากว่าลักษณะแบบนั้น จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราโดนจำกัดแนวทางในการปฏิบัติไป ทั้ง ๆ ที่การกำหนดอสุภกรรมฐาน เป็นกรรมฐานสำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พวกเราพิจารณาเพื่อตัดร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อเห็นความจริงว่าร่างกายเมื่อตายลงแล้วมีสภาพน่าเกลียดน่าชังแบบนี้ ก็จะได้สติ ถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกมา แล้วเมื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองออกไปได้ ก็สามารถถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของคนอื่นได้ส่วนบรรดาผู้เข้าอบรมพัฒนาศักยภาพของพระวิปัสสนาจารย์ ส่วนหนึ่งนอกจากจะต่อต้านการปฏิบัติ ไม่น้อมใจตามไปแล้ว ยังทำตนเหมือนกับคนมีเวลาว่างมาก แทนที่ทุกเวลาจะอยู่กับการปฏิบัติธรรม เพราะว่ามีเวลาแค่ ๑๕ วันเท่านั้น แต่กลับทำตัวตามสบาย หลายท่านกระผม/อาตมภาพบรรยายจบแล้ว ยังมาไม่ถึงห้องกรรมฐานเลย แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าบุคคลแบบนี้ ถ้าไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนผู้อื่นต่อ จะเอาดีได้หรือไม่ ?พูดง่าย ๆ ว่าผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกระทั่งพระสังฆาธิการ ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากมายลงไป โดยเฉพาะการกิน การอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟของคนเป็นร้อย ๆ แต่ละวันมากมายมหาศาล แต่ผลที่หวังดูท่าจะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ นอกจากจะรู้สึกต่อต้านเพราะว่าเป็นกรรมฐานที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองศึกษาเรียนรู้มาแล้ว หลายท่านยังยอมสารภาพตรง ๆ ว่า "โดนผู้บังคับบัญชาบังคับให้มา" เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านละโอกาสซึ่งหาได้ยากที่สุดในโลกเนื่องเพราะว่าในส่วนของบุญกุศลที่ทุกคนก็พึงหวัง สามารถที่จะมีได้ใน ๑๐ อย่างด้วยกัน แต่เน้นหนักที่ ทาน ศีล ภาวนา บุญจากการภาวนาถือว่าสูงที่สุด ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาทำ สามารถเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หรือเรียกว่า "พลิกชีวิต" ได้เลย แต่กลับไม่คิดที่จะทำกันให้เต็มที่ภายในเวลาที่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้ศึกษาหาความรู้ จะได้แบบอย่างที่ดีงามไปเพื่อปฏิบัติตาม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม่ปูเดินคดเสียแล้ว จะให้ลูกปูเดินตรงทางก็ย่อมเป็นไปได้ยากเราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่าจุดมุ่งหมายในการอุปสมบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้เราปฏิญาณว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา - ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แม้ว่างานคันถธุระ จะเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน บูรณปฏิสังขรณ์ หรือว่าสาธารณสงเคราะห์อะไรจะสำคัญก็ตาม ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมเป้าหมายตรงนี้เป็นอันขาดสมัยเป็นพระใหม่อยู่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพทำงานทุกอย่าง งานตรงหน้าหมดก็เร่หางานอื่นต่อไป ปรากฏว่าไปช่วยงานรุ่นพี่ท่านหนึ่ง พอได้เวลา ๕ โมงเย็นก็ได้เรียนท่านว่า "ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปทำวัตรเย็น" ท่านชี้งานที่อยู่ตรงหน้า บอกว่า "นี่ก็ทำวัตรเหมือนกัน" กระผม/อาตมภาพก็เลยบอกว่า "นี่มันวัตรของหลวงพี่ ไม่ใช่วัตรของผม วัตรของผมอยู่ที่ตึกธัมมวิโมกข์โน่น" แล้วก็ไปสรงน้ำ แต่งตัว เดินไปเจริญพระกรรมฐาน แล้วทำวัตรที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งมาภายหลังเมื่อมีวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ไปทำวัตรเจริญพระกรรมฐานกันที่พระวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรแทนท่านลองคิดดูว่า ขนาดอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัดขนาดหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ก็ยังมีประเภท "หลุดคิวซี" อย่างนี้อยู่เป็นประจำ ท่านทั้งหลายจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระภิกษุสมัยนั้นอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔๐ - ๕๐ รูปทุกปี พระอาคันตุกะอีก ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป แล้วทำไมถึงมีบุคคลที่ออกไปเป็นหลักให้กับลูกศิษย์สายหลวงพ่อได้แค่ไม่กี่รูปโบราณเขาบอกว่า "อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน" บุคคลถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรต้องมาก เพื่อเอาไปชดเชยกับปัญญาของเรา พูดง่าย ๆ ว่าลองผิดลองถูกไปเรื่อย จะต้องถูกเข้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญามากความเพียรน้อย จะได้มีโอกาสรอดไปได้ แล้วถ้าหากว่าปัญญาน้อย ความเพียรน้อย โอกาสที่จะได้ดีย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น..เมื่อเห็นพระวิปัสสนาจารย์ในโครงการซึ่งมาถึงครึ่งทางแล้ว ยังปฏิบัติอยู่ในลักษณะถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองทำดีแล้ว อุตส่าห์เสียสละมาตั้ง ๑๕ วัน กระผม/อาตมภาพรู้สึกเสียดายเวลาแทนเพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงแล้วพัก แต่ต้องปฏิบัติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ากิเลสกินเราไม่มีเวลาพัก แล้วเราไปพักรอให้กิเลสมากินเรา ก็เหมือนกับบุคคลรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวแล้วค่อยขยับหนี เผลอเมื่อไรขยับไม่ทันก็โดนไหม้ทั้งตัว..!จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักว่า โครงการนี้จะมีอยู่ทุกปี ถ้าใครได้ไปเข้าโครงการ ขอให้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่ารอให้ครบ ๑๕ วัน พูดง่าย ๆ ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ศึกษาแล้วต้องนำมาบอกต่อสอนต่อได้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามโครงการอย่างแท้จริงพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 476 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติธรรมอย่ากลัวอะไร มุ่งหน้าทำไปให้เต็มที่ อย่าถอยอย่าท้อ จะดีเอง
    ปฏิบัติธรรมอย่ากลัวอะไร มุ่งหน้าทำไปให้เต็มที่ อย่าถอยอย่าท้อ จะดีเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคล็ดลับของการปฎิบัติคือ อย่าเข้าไปเป็น ให้เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดู อย่าเข้าไปเป็นมัน ถ้าเข้าไปเป็นมัน ไม่ใช่นักปฏิบัติ เพราะเวลาเราไม่ปฏิบัติ เราก็เข้าไปเป็นอยู่แล้วเวลาเกิดความโกรธ เราก็โกรธ เวลาเกิดความรัก เราก็รัก แต่นักปฏิบัติจะต้องเห็น เห็นความโกรธ เห็นความรัก เห็นความเบื่อ เห็นความขี้เกียจ แต่ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ขี้เกียจด้วย นี่ปลอดภัยแล้วทุกข์จะเกิดขึ้นที่กายมากน้อยแค่ไหน แต่ใจเป็นผู้เห็น ความคิดจะปรุงแต่งให้ใจเราเศร้าหมองแค่ไหน ใจเราก็ไม่ได้ไปเศร้าหมองด้วย เป็นแค่ผู้เห็น ปลอดภัยแล้วถ้าเราฝึกบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ รู้สึกบ่อยๆ บริกรรมในความรู้สึกบ่อยๆ ต่อไปจิตจะรู้เอง สติจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ต้องทำบ่อยๆแล้วเขาก็จะเกิดขึ้นเอง เหมือนเราสอนให้เขารู้สึกตัว ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน จึงจะเห็นผล แล้วต้องต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่ขณะปฏิบัติเอาจริงเอาจัง แต่พอออกไปทานข้าว ฟุ้งเหมือนเดิม ต้องให้ต่อเนื่อง จะได้ประโยชน์มาก เหมือนเราตำน้ำพริก ตำครั้งเดียวก็ยังกินไม่ได้ ต้องตำหลายๆครั้ง จึงจะกินได้ ทานข้าวคำเดียวก็ยังไม่อิ่ม ต้องทานหลายๆคำ การปฏิบัติก็เหมือนกัน ต้องรู้บ่อยๆรู้บ่อยๆจึงจะได้ผล เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องยากเย็น เรื่องยากคือความคิด ปฏิบัตินี่ไม่ยากหรอก มันยากตอนที่จะไม่ได้ปฏิบัติ ง่ายๆแค่รู้สึก เวลากายเคลื่อนไหวก็รู้ เวลาใจคิดก็รู้ แค่รู้เฉยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์แล้ว จบลงที่ความรู้สึกตัวเท่านั้นอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่มจากหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งธรรม
    เคล็ดลับของการปฎิบัติคือ อย่าเข้าไปเป็น ให้เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดู อย่าเข้าไปเป็นมัน ถ้าเข้าไปเป็นมัน ไม่ใช่นักปฏิบัติ เพราะเวลาเราไม่ปฏิบัติ เราก็เข้าไปเป็นอยู่แล้วเวลาเกิดความโกรธ เราก็โกรธ เวลาเกิดความรัก เราก็รัก แต่นักปฏิบัติจะต้องเห็น เห็นความโกรธ เห็นความรัก เห็นความเบื่อ เห็นความขี้เกียจ แต่ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ขี้เกียจด้วย นี่ปลอดภัยแล้วทุกข์จะเกิดขึ้นที่กายมากน้อยแค่ไหน แต่ใจเป็นผู้เห็น ความคิดจะปรุงแต่งให้ใจเราเศร้าหมองแค่ไหน ใจเราก็ไม่ได้ไปเศร้าหมองด้วย เป็นแค่ผู้เห็น ปลอดภัยแล้วถ้าเราฝึกบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ รู้สึกบ่อยๆ บริกรรมในความรู้สึกบ่อยๆ ต่อไปจิตจะรู้เอง สติจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ต้องทำบ่อยๆแล้วเขาก็จะเกิดขึ้นเอง เหมือนเราสอนให้เขารู้สึกตัว ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน จึงจะเห็นผล แล้วต้องต่อเนื่องด้วย ไม่ใช่ขณะปฏิบัติเอาจริงเอาจัง แต่พอออกไปทานข้าว ฟุ้งเหมือนเดิม ต้องให้ต่อเนื่อง จะได้ประโยชน์มาก เหมือนเราตำน้ำพริก ตำครั้งเดียวก็ยังกินไม่ได้ ต้องตำหลายๆครั้ง จึงจะกินได้ ทานข้าวคำเดียวก็ยังไม่อิ่ม ต้องทานหลายๆคำ การปฏิบัติก็เหมือนกัน ต้องรู้บ่อยๆรู้บ่อยๆจึงจะได้ผล เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องยากเย็น เรื่องยากคือความคิด ปฏิบัตินี่ไม่ยากหรอก มันยากตอนที่จะไม่ได้ปฏิบัติ ง่ายๆแค่รู้สึก เวลากายเคลื่อนไหวก็รู้ เวลาใจคิดก็รู้ แค่รู้เฉยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์แล้ว จบลงที่ความรู้สึกตัวเท่านั้นอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่มจากหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งธรรม
    Love
    1
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดรัจฉานวิชา คือ วิชาเลี้ยงชีพ อาชีพทุกอาชีพคือเดรัจฉานวิชาหมด ไม่ใช่แค่หมอดู ทนายความ พ่อค้าแม่ค้า ทุกอาชีพ เพราะการเลี้ยงชีวิตคือวิถีชาวบ้าน วิชาที่เลี้ยงชีวิตคือวิชาที่ไปคนละทางกับพระนิพพาน วิชาที่พาไปพระนิพพานคือวิชาสติปัฏฐาน 4 เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่วิชาขวางพระนิพพาน แต่เป็นวิชาที่พาไปคนละเส้นทางกับพระนิพพาน เพราะเราไม่อาจใช้วิชาทำมาหากินของเราเข้าสู่พระนิพพานได้ ถ้าอยากเข้าสู่พระนิพพาน ทำมาหากินแล้ว ต้องปฏิบัติธรรมด้วยสติปัฏฐานสี่เราทุกคนทำเดรัจฉานวิชา เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาทุกวัน แต่เราไม่รู้เพราะเราไม่เข้าใจคำว่า "เดรัจฉานวิชา" สายๆ มาดูไลฟ์ เดรัจฉานวิชา คือ วิชาเลี้ยงชีพทุกวิชาในโลก และไขข้อสงสัย ทำไมในมหาศีลจึงมีชื่อวิชาดูดวง ดูฤกษ์ หมอยา มาดูฟังอย่างละเอียด วันนี้ 10 โมง ถ้าเปิดใจฟัง จะรู้ว่า ที่วินิจฉัยธรรมกันมานั้นไม่ตรงอรรถ ไม่ตรงธรรม ต่อไปจะได้ไม่ไปชี้หน้าคนอื่นว่าทำดรัจฉานวิชา เพราะตัวเองก็ทำเดรัจฉานวิชาทุกวันเช่นกันใครเห็นว่าความรู้นี่เป็นประโยชน์ก็รับไป ใครไม่เห็นประโยชน์ก็ "ว่าง" ไว้ ถ้ามีคนเห็นประโยชน์แม้แต่คนเดียว ครูนัทก็จะบอกเล่าให้ฟังค่ะใครมีพระไตรปิฏกแปล มจร เตรียมเล่ม 9 ไว้เลยค่ะ ถ้าไม่มี เตรียมเปิดจากออนไลน์ไว้เลยค่ะ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/read_page.php?book=9&page=65&pages=8&edition=mcu
    เดรัจฉานวิชา คือ วิชาเลี้ยงชีพ อาชีพทุกอาชีพคือเดรัจฉานวิชาหมด ไม่ใช่แค่หมอดู ทนายความ พ่อค้าแม่ค้า ทุกอาชีพ เพราะการเลี้ยงชีวิตคือวิถีชาวบ้าน วิชาที่เลี้ยงชีวิตคือวิชาที่ไปคนละทางกับพระนิพพาน วิชาที่พาไปพระนิพพานคือวิชาสติปัฏฐาน 4 เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่วิชาขวางพระนิพพาน แต่เป็นวิชาที่พาไปคนละเส้นทางกับพระนิพพาน เพราะเราไม่อาจใช้วิชาทำมาหากินของเราเข้าสู่พระนิพพานได้ ถ้าอยากเข้าสู่พระนิพพาน ทำมาหากินแล้ว ต้องปฏิบัติธรรมด้วยสติปัฏฐานสี่เราทุกคนทำเดรัจฉานวิชา เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาทุกวัน แต่เราไม่รู้เพราะเราไม่เข้าใจคำว่า "เดรัจฉานวิชา" สายๆ มาดูไลฟ์ เดรัจฉานวิชา คือ วิชาเลี้ยงชีพทุกวิชาในโลก และไขข้อสงสัย ทำไมในมหาศีลจึงมีชื่อวิชาดูดวง ดูฤกษ์ หมอยา มาดูฟังอย่างละเอียด วันนี้ 10 โมง ถ้าเปิดใจฟัง จะรู้ว่า ที่วินิจฉัยธรรมกันมานั้นไม่ตรงอรรถ ไม่ตรงธรรม ต่อไปจะได้ไม่ไปชี้หน้าคนอื่นว่าทำดรัจฉานวิชา เพราะตัวเองก็ทำเดรัจฉานวิชาทุกวันเช่นกันใครเห็นว่าความรู้นี่เป็นประโยชน์ก็รับไป ใครไม่เห็นประโยชน์ก็ "ว่าง" ไว้ ถ้ามีคนเห็นประโยชน์แม้แต่คนเดียว ครูนัทก็จะบอกเล่าให้ฟังค่ะใครมีพระไตรปิฏกแปล มจร เตรียมเล่ม 9 ไว้เลยค่ะ ถ้าไม่มี เตรียมเปิดจากออนไลน์ไว้เลยค่ะ https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/read_page.php?book=9&page=65&pages=8&edition=mcu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • พุทธ(แท้)ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ จึงไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดซึ่งมีผลให้มีสุขภาพที่ดี
    ไม่มีเวรกรรมต่อชิวิตอื่น ทำให้เข้าถึงการปฏิบัติธรรมได้ง่าย นำไปสู่นิพพานได้..ไม่ยาก
    พุทธ(แท้)ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ จึงไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดซึ่งมีผลให้มีสุขภาพที่ดี ไม่มีเวรกรรมต่อชิวิตอื่น ทำให้เข้าถึงการปฏิบัติธรรมได้ง่าย นำไปสู่นิพพานได้..ไม่ยาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • อกุศลมันก็ครอบงำจิตใจคน คนก็ชอบมันสนุกสนานตื่นเต้น
    ครั้นบอกคนมาปฏิบัติธรรม ทำดีมันน้อยคนจะมา..
    อกุศลมันก็ครอบงำจิตใจคน คนก็ชอบมันสนุกสนานตื่นเต้น ครั้นบอกคนมาปฏิบัติธรรม ทำดีมันน้อยคนจะมา..
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาติก่อนทีทุกข์มีกรรมอะไรมา มาชาตินี้ก็ยังต้องแบกมันมาด้วย ปลงมันลงวางลงมาปฏิบัติธรรมกัน สร้างบุญกุศลกัน แบกบุญกุศลไป
    ชาติก่อนทีทุกข์มีกรรมอะไรมา มาชาตินี้ก็ยังต้องแบกมันมาด้วย ปลงมันลงวางลงมาปฏิบัติธรรมกัน สร้างบุญกุศลกัน แบกบุญกุศลไป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้วันพระ.ธรรมะยามเช้า หลวงปู่ฝั้น อาจาโร.#MGRONLINE #หลวงปู่ฝั้นอาจาโร #วัดป่าอุดมสมพร #สกลนคร #พระภิกษุ #เทศนาธรรม #ธรรมะยามเช้า #พระ #เจริญพร #เจริญสติ #พระพุทธศาสนา #จิตบริสุทธิ์ #ปฏิบัติธรรม #เลื่อมใส #ศรัทธา #คำสอน #คติธรรม #คําคม
    วันนี้วันพระ.ธรรมะยามเช้า หลวงปู่ฝั้น อาจาโร.#MGRONLINE #หลวงปู่ฝั้นอาจาโร #วัดป่าอุดมสมพร #สกลนคร #พระภิกษุ #เทศนาธรรม #ธรรมะยามเช้า #พระ #เจริญพร #เจริญสติ #พระพุทธศาสนา #จิตบริสุทธิ์ #ปฏิบัติธรรม #เลื่อมใส #ศรัทธา #คำสอน #คติธรรม #คําคม
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 557 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้

    วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

    นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง

    ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606

    #MGROnline #ทนายตั้ม
    ทนายความเผยยังไม่ยื่นประกัน “ษิทรา" แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันภรรยา โวยตำรวจเล่นใหญ่จับกลางถนน ยันลูกความเตรียมไปปฏิบัติธรรมที่ฉะเชิงเทรา หลังใส่สูทรอตำรวจมาหลายวัน ส่วนทนาย "เจ๊อ้อย" ค้านประกัน อ้างพฤติกรรมหลบหนี ยุ่งเหยิงพยาน ขณะตำรวจนำตัวฝากขังบ่ายนี้ • วันนี้ (8 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มและ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (ภรรยา) เดินทางยังมาศาลอาญา พร้อมเปิดเผยว่า ตนจะไม่ยื่นคําร้องขอประกันตัวทนายตั้ม โดยให้เหตุผลว่าที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควรหากยื่นคําร้องไปโอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นทนายตั้ม จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แตาทางทีมทนายจะยื่นคําร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ภรรยาของทนายตั้ม ส่วนจะใช้หลักทร้พย์เท่าไหร่นั้นอยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล • นายสายหยุด กล่าวว่า ทนายตั้ม ไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทําบุญที่วัด ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่า ทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านหลายวัน เพราะไม่อยากถูกตํารวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่ตํารวจไปจับกุมกลางถนน เหมือนเป็นการตบหน้ากลางสี่แยกหรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าการปฏิบัติการของตํารวจกองปราบมักจะเล่นใหญ่แบบนี้ทุกครั้ง • ส่วนที่จะบอกว่าทนายตั้มไม่ผิดนั้น นายสายหยุด กล่าวว่า จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆ ของข้อกฎหมาย ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ตนไม่ขอเปิดเผย พร้อมระบุว่า “การสู้คดีผมตัดสินในชั้นศาล ไม่ได้ตัดสินทางทีวี” ทั้งนี้ทนายตั้มไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนภรรยากังวลเป็นปกติของผู้หญิง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000107606 • #MGROnline #ทนายตั้ม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,571
    วันพฤหัสบดี: ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (7 November 2024)

    Photo Album Set 2/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    11. วัดแหลมเจ้าสัว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    12. วัดแหลมเพิ่ม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    13. วัดใหญ่ดงรัง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    14. วัดใหม่คลองตันประชาสรรค์ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    15. วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    16. วัดใหม่ประทานพร อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    17. วัดใหม่สุปดิษฐาราม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    18. วัดอุทุมพร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    19. ศูนย์ปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทโคกสมบูรณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    20. สำนักสงฆ์เจโตวิมุตติ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 97 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,571 วันพฤหัสบดี: ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (7 November 2024) Photo Album Set 2/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 11. วัดแหลมเจ้าสัว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 12. วัดแหลมเพิ่ม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 13. วัดใหญ่ดงรัง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 14. วัดใหม่คลองตันประชาสรรค์ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 15. วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 16. วัดใหม่ประทานพร อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 17. วัดใหม่สุปดิษฐาราม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 18. วัดอุทุมพร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 19. ศูนย์ปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทโคกสมบูรณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 20. สำนักสงฆ์เจโตวิมุตติ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 97 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,571
    วันพฤหัสบดี: ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (7 November 2024)

    Photo Album Set 2/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    11. วัดแหลมเจ้าสัว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    12. วัดแหลมเพิ่ม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    13. วัดใหญ่ดงรัง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    14. วัดใหม่คลองตันประชาสรรค์ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    15. วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    16. วัดใหม่ประทานพร อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    17. วัดใหม่สุปดิษฐาราม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    18. วัดอุทุมพร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    19. ศูนย์ปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทโคกสมบูรณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    20. สำนักสงฆ์เจโตวิมุตติ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 97 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,571 วันพฤหัสบดี: ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (7 November 2024) Photo Album Set 2/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 11. วัดแหลมเจ้าสัว อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 12. วัดแหลมเพิ่ม อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 13. วัดใหญ่ดงรัง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 14. วัดใหม่คลองตันประชาสรรค์ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 15. วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 16. วัดใหม่ประทานพร อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 17. วัดใหม่สุปดิษฐาราม อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 18. วัดอุทุมพร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 19. ศูนย์ปฏิบัติธรรมพระพุทธบาทโคกสมบูรณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 20. สำนักสงฆ์เจโตวิมุตติ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 97 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 397 มุมมอง 0 รีวิว
  • Higher Self คืออะไร
    Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น

    การทำงานของ Higher Self
    การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่

    การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว

    การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย

    การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย

    การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น

    วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self
    การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น

    การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ

    การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

    การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น
    #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต
    #การเดินทางภายใน
    Higher Self คืออะไร Higher Self หรือ "ตัวตนสูงสุด" เป็นแนวคิดที่อยู่ในศาสนาและปรัชญาหลายแขนง มักหมายถึงสภาวะที่สูงกว่าของจิตวิญญาณหรือจิตใจ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของตัวเราเอง เป็นสภาวะที่เราสามารถเข้าถึงสติปัญญา ความรัก และความสงบภายในได้มากขึ้น การทำงานของ Higher Self การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ: Higher Self มีบทบาทสำคัญในการช่วยเราค้นพบและเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นการรับรู้ถึงเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หรือความหมายของการดำรงอยู่ การแนะนำและนำทาง: Higher Self สามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำทางหรือที่ปรึกษาที่มีความรู้และปัญญา ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น โดยไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์หรือความกลัว การพัฒนาและเติบโตส่วนบุคคล: การทำงานกับ Higher Self ช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การควบคุมอารมณ์ การเพิ่มความมั่นใจในตนเอง และการฝึกฝนความเมตตาและการให้อภัย การสร้างความสมดุลและความสงบภายใน: Higher Self ช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวัน โดยทำให้เรามีความสงบสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย การเชื่อมต่อกับผู้อื่น: เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายกับผู้อื่นได้ดีขึ้น โดยสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น วิธีการเชื่อมต่อกับ Higher Self การทำสมาธิ: การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบและเปิดรับการเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้ง่ายขึ้น การฝึกจิตวิญญาณ: การฝึกฝนจิตวิญญาณ เช่น การสวดมนต์ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติธรรม สามารถช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อ การเขียนบันทึก: การเขียนบันทึกเป็นวิธีการสะท้อนความคิดและอารมณ์ ซึ่งช่วยให้เราค้นพบและเข้าใจตัวเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การทำงานกับ Higher Self เป็นการเดินทางที่ไม่สิ้นสุดของการค้นพบและพัฒนาตนเอง ซึ่งสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและสมดุลมากขึ้น #ใช้ใจนำทาง #higherself #พัฒนาจิต #การเดินทางภายใน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับบุญอาสาสมัคร และทอดกฐินศูนย์ปฏิบัติธรรมและอบรมเยาวชนชัยนาท

    🙇น้อมถวายบุญกิริยานี้เป็นพุทธบูชา
    🙇น้อมถวายบุญกุศลแด่มหาปูชนียาจารย์

    เอาบุญมาฝากคุณพ่อคุณแม่
    และสาธุชนทั่วโลกนะครับ 🥰🙏🌐
    #ตัวแทนพลังบุญ
    #ประกันควบการบริการ
    #ที่ปรึกษาประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
    #ประกันชีวิตควบการลงทุน
    #ที่ปรึกษาการลงทุน
    #ประสบการณ์ด้านการประกันกว่า20ปี
    รับบุญอาสาสมัคร และทอดกฐินศูนย์ปฏิบัติธรรมและอบรมเยาวชนชัยนาท 🙇น้อมถวายบุญกิริยานี้เป็นพุทธบูชา 🙇น้อมถวายบุญกุศลแด่มหาปูชนียาจารย์ เอาบุญมาฝากคุณพ่อคุณแม่ และสาธุชนทั่วโลกนะครับ 🥰🙏🌐 #ตัวแทนพลังบุญ #ประกันควบการบริการ #ที่ปรึกษาประกันชีวิตและประกันวินาศภัย #ประกันชีวิตควบการลงทุน #ที่ปรึกษาการลงทุน #ประสบการณ์ด้านการประกันกว่า20ปี
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา

    ธรรมขั้นสูงสุดนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในความธรรมดาสามัญ เพราะธรรมดาสามัญนั้นเอง

    ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา
    กลมกลืนกับธรรมดา
    ไม่ขัดขืนโต้แย้งกับธรรมดา
    ทั้งไม่ผลักไสหรือยึดติดธรรมดา

    เพราะธรรมดานั้นไม่มีบวกหรือลบ สูงหรือต่ำ น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี หากเป็นใจเราต่างหากที่ไปกำหนดหมายหรือให้ค่าเอาเอง

    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโลกที่เร่งรีบอึกทึก และถูกปรุงแต่งจนพอกหนาด้วยสมมติและมายา บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเร้นไปยังที่ที่สงบสงัดและปลอดโปร่งจากภารกิจ เพื่อมีเวลาพินิจจิตใจของตน จนหยั่งเห็นธรรมะหรือธรรมดาท่ามกลางความผันผวนของความรู้สึกนึกคิด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างกลมกลืน และเป็นมิตรกับธรรมดามากขึ้น

    แต่ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องกลับมาสู่โลกกว้างและชีวิตที่เป็นจริง ต้องเกี่ยวข้องกับงานการและผู้คน เผชิญกับความแปรปรวนของสรรพสิ่งรอบตัว พบกับความสมหวังและไม่สมหวัง จนบางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะคิดหัวนกลับไปสู่สำนักปฏิบัติอันสงบสงัด หรือไม่ก็อยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องพระเพื่อเจริญสมาธิภาวนานานเท่านาน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชั่วขณะนั้น เรากำลังคิดหันหลังให้กับธรรมะที่อยู่ท่ามกลางความธรรมดาสามัญ

    ชีวิตที่นั่งหรือเดินภาวนาทั้งวันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดาสามัญ แม้จะจำเป็น แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ตลอด เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องพร้อมกลับมาสู่ชีวิตธรรมดาสามัญ ซึ่งมีภารกิจและความรับผิดชอบที่ต้องใส่ใจ

    แต่งานการใช่ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม แท้จริงเป็นอุปกรณ์แห่งการเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เมื่อพระรูปหนึ่งขอร้องให้อาจารย์สอนธรรม ท่านกลับถามว่า เธอฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ เมื่อศิษย์ตอบว่า ฉันเสร็จแล้ว ท่านกลับตอบว่า งั้นเธอก็กลับไปล้างจานได้แล้ว

    การปฏิบัติธรรมในสำนักอันสงบสงัด เปรียบไปก็ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมของนักกีฬา แต่การฝึกซ้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไม่ลงไปสู่สนามจริง นักกีฬาย่อมไม่กลัวสนามจริงฉันใด นักปฏิบัติธรรมก็ไม่พรั่นพรึงโลกกว้างและชีวิตจริงฉันนั้น

    จะว่าไปแล้ว โลกว้างและชีวิตจริงนั่นแหละคือสถานที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม เพราะความเป็นจริงโดยเฉพาะความทุกข์คือครูที่ฉลาดทีสุดในการเคี่ยวเข็ญเราให้เข้าถึงธรรมและธรรมดา

    การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความพลัดพราก ความสูญเสีย และความไม่สมหวังอย่างไม่เป็นทุกข์ สามารถเข้าถึงความสงบเย็นได้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกและชีวิต อีกทั้งยังสามารถเอื้อเฟื้อเกื้อกูลและเป็นมิตรกับผู้อื่นได้ โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ทั้งหมดนี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตสามัญที่มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง

    พระไพศาล วิสาโล

    🙏🙏🙏
    ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา ธรรมขั้นสูงสุดนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในความธรรมดาสามัญ เพราะธรรมดาสามัญนั้นเอง ผู้เข้าถึงธรรมคือผู้เข้าถึงธรรมดา กลมกลืนกับธรรมดา ไม่ขัดขืนโต้แย้งกับธรรมดา ทั้งไม่ผลักไสหรือยึดติดธรรมดา เพราะธรรมดานั้นไม่มีบวกหรือลบ สูงหรือต่ำ น่ายินดีหรือไม่น่ายินดี หากเป็นใจเราต่างหากที่ไปกำหนดหมายหรือให้ค่าเอาเอง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโลกที่เร่งรีบอึกทึก และถูกปรุงแต่งจนพอกหนาด้วยสมมติและมายา บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเร้นไปยังที่ที่สงบสงัดและปลอดโปร่งจากภารกิจ เพื่อมีเวลาพินิจจิตใจของตน จนหยั่งเห็นธรรมะหรือธรรมดาท่ามกลางความผันผวนของความรู้สึกนึกคิด ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างกลมกลืน และเป็นมิตรกับธรรมดามากขึ้น แต่ในที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องกลับมาสู่โลกกว้างและชีวิตที่เป็นจริง ต้องเกี่ยวข้องกับงานการและผู้คน เผชิญกับความแปรปรวนของสรรพสิ่งรอบตัว พบกับความสมหวังและไม่สมหวัง จนบางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะคิดหัวนกลับไปสู่สำนักปฏิบัติอันสงบสงัด หรือไม่ก็อยากจะเก็บตัวอยู่ในห้องพระเพื่อเจริญสมาธิภาวนานานเท่านาน แต่ใช่หรือไม่ว่าในชั่วขณะนั้น เรากำลังคิดหันหลังให้กับธรรมะที่อยู่ท่ามกลางความธรรมดาสามัญ ชีวิตที่นั่งหรือเดินภาวนาทั้งวันเป็นชีวิตที่ไม่ธรรมดาสามัญ แม้จะจำเป็น แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ตลอด เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องพร้อมกลับมาสู่ชีวิตธรรมดาสามัญ ซึ่งมีภารกิจและความรับผิดชอบที่ต้องใส่ใจ แต่งานการใช่ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม แท้จริงเป็นอุปกรณ์แห่งการเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เมื่อพระรูปหนึ่งขอร้องให้อาจารย์สอนธรรม ท่านกลับถามว่า เธอฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ เมื่อศิษย์ตอบว่า ฉันเสร็จแล้ว ท่านกลับตอบว่า งั้นเธอก็กลับไปล้างจานได้แล้ว การปฏิบัติธรรมในสำนักอันสงบสงัด เปรียบไปก็ไม่ต่างจากการฝึกซ้อมของนักกีฬา แต่การฝึกซ้อมจะมีประโยชน์อะไรหากไม่ลงไปสู่สนามจริง นักกีฬาย่อมไม่กลัวสนามจริงฉันใด นักปฏิบัติธรรมก็ไม่พรั่นพรึงโลกกว้างและชีวิตจริงฉันนั้น จะว่าไปแล้ว โลกว้างและชีวิตจริงนั่นแหละคือสถานที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม เพราะความเป็นจริงโดยเฉพาะความทุกข์คือครูที่ฉลาดทีสุดในการเคี่ยวเข็ญเราให้เข้าถึงธรรมและธรรมดา การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความพลัดพราก ความสูญเสีย และความไม่สมหวังอย่างไม่เป็นทุกข์ สามารถเข้าถึงความสงบเย็นได้ ท่ามกลางความผันผวนของโลกและชีวิต อีกทั้งยังสามารถเอื้อเฟื้อเกื้อกูลและเป็นมิตรกับผู้อื่นได้ โดยไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักมักที่ชัง ทั้งหมดนี้เราสามารถเรียนรู้ได้จากชีวิตสามัญที่มีทั้งสุขและทุกข์ มีทั้งมิตรและศัตรู มีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง พระไพศาล วิสาโล 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรมที่เป็นไปเพื่อความลบเลือน เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม

    ๑. ภิกษุไม่ฟังธรรม ไม่เล่าเรียนธรรม ไม่ทรงจำธรรม โดยเคารพ

    ๒. ไม่ใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมที่ทรงจำไว้โดยเคารพ

    ๓. รู้อรรถรู้ธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมโดยเคารพ

    ๔. ภิกษุในธรรมไม่เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ

    ๕. ภิกษุไม่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร

    ๖. ภิกษุไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร

    ๗. ภิกษุไม่ทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร

    ๘. ภิกษุไม่ตรึกตรองไม่เพ่งดูด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร

    ๙. ภิกษุเล่าเรียนพระสูตรที่ทรงจำไว้ไม่ดี ด้วยบทและพยัญชนะ
    ที่ตั้งไว้ไม่ดี แม้อรรถแห่งบทและพยัญชนะที่ตั้งไว้ไม่ดี ย่อมเป็นเนื้อความมีนัยไม่ดี

    ๑๐. ภิกษุเป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมกระทำให้เป็นผู้ว่ายาก เป็นผู้ไม่อดทน ไม่รับคำพร่ำสอนโดยไม่เคารพ

    ๑๑. ภิกษุที่เป็นพหูสูต มีการเล่าเรียนมาก ทรงธรรม ทรงวินัย ทรง
    มาติกา ไม่บอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นล่วงลับไป พระสูตรย่อมขาดเค้ามูล ไม่มีหลัก

    ๑๒. ภิกษุผู้เถระ เป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการล่วงละเมิด ทอดธุระในทางวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ประชุมชนรุ่นหลังย่อมถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง

    ๑๓. สงฆ์เป็นผู้แตกกัน เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว ย่อมมีการด่ากันและกัน
    บริภาษกันและกัน แช่งกันและกัน ทอดทิ้งกันและกัน ในเหตุการณ์เช่นนั้น คนผู้ไม่เลื่อมใสย่อมไม่เลื่อมใส และคนบางพวกที่เลื่อมใสแล้วย่อมเหินห่าง
    ธรรมที่เป็นไปเพื่อความลบเลือน เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ๑. ภิกษุไม่ฟังธรรม ไม่เล่าเรียนธรรม ไม่ทรงจำธรรม โดยเคารพ ๒. ไม่ใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมที่ทรงจำไว้โดยเคารพ ๓. รู้อรรถรู้ธรรมแล้วไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมโดยเคารพ ๔. ภิกษุในธรรมไม่เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ๕. ภิกษุไม่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร ๖. ภิกษุไม่บอกธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร ๗. ภิกษุไม่ทำการสาธยายธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร ๘. ภิกษุไม่ตรึกตรองไม่เพ่งดูด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมาโดยพิสดาร ๙. ภิกษุเล่าเรียนพระสูตรที่ทรงจำไว้ไม่ดี ด้วยบทและพยัญชนะ ที่ตั้งไว้ไม่ดี แม้อรรถแห่งบทและพยัญชนะที่ตั้งไว้ไม่ดี ย่อมเป็นเนื้อความมีนัยไม่ดี ๑๐. ภิกษุเป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมกระทำให้เป็นผู้ว่ายาก เป็นผู้ไม่อดทน ไม่รับคำพร่ำสอนโดยไม่เคารพ ๑๑. ภิกษุที่เป็นพหูสูต มีการเล่าเรียนมาก ทรงธรรม ทรงวินัย ทรง มาติกา ไม่บอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นล่วงลับไป พระสูตรย่อมขาดเค้ามูล ไม่มีหลัก ๑๒. ภิกษุผู้เถระ เป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการล่วงละเมิด ทอดธุระในทางวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ประชุมชนรุ่นหลังย่อมถือเอาภิกษุเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง ๑๓. สงฆ์เป็นผู้แตกกัน เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว ย่อมมีการด่ากันและกัน บริภาษกันและกัน แช่งกันและกัน ทอดทิ้งกันและกัน ในเหตุการณ์เช่นนั้น คนผู้ไม่เลื่อมใสย่อมไม่เลื่อมใส และคนบางพวกที่เลื่อมใสแล้วย่อมเหินห่าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทนี้แสดงถึงการมอง "ความทุกข์ทางใจ" ในแง่พุทธศาสนา ซึ่งมองว่า มนุษย์ล้วนมีอาการป่วยทางจิตจากการยึดติดในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ แต่เรากลับไม่เห็นความจริงนี้อย่างแจ่มชัด จึงตกอยู่ในความทุกข์ที่เกิดจากความเข้าใจผิด หรือที่เรียกว่า "อุปาทาน" ซึ่งเป็นความยึดมั่นในสิ่งที่คิดว่าเป็นตนเองหรือเป็นของเรา

    การรักษา "อาการป่วยทางใจ" นี้ ไม่ใช่แค่การหลีกหนีความทุกข์ชั่วคราว แต่คือการเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างถาวร ด้วยการปฏิบัติธรรมให้จิตสงบ ไม่ยึดติดอยู่กับทุกข์หรือความสุข เมื่อเราฝึกใจให้สว่าง มีสติ และตั้งมั่นในความดี ก็จะไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์เชิงลบ และเห็นความไม่เที่ยงแท้ของทุกสิ่งในชีวิต

    จิตที่สว่างและมั่นคง จะนำมาซึ่งกรรมดี พาชีวิตไปสู่ทางที่ประเสริฐกว่า ขณะที่การปฏิบัติธรรมทุกวันก็เปรียบเสมือนการทำความสะอาดจิตให้ชุ่มชื่นและสงบอยู่เสมอ เมื่อเราฝึกฝนไปเรื่อยๆ วันหนึ่งจิตจะเปิดรับและเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง

    การเข้าถึงความจริงว่า "ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวเรา ไม่เที่ยงแท้" เป็นรากของการดับทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหากจิตใจถึงระดับนั้น ทุกข์ทางใจจะหายไปหมดสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการ "หายป่วยทางใจ" อย่างแท้จริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    บทนี้แสดงถึงการมอง "ความทุกข์ทางใจ" ในแง่พุทธศาสนา ซึ่งมองว่า มนุษย์ล้วนมีอาการป่วยทางจิตจากการยึดติดในสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่สามารถคงอยู่ในสภาพเดิมได้ แต่เรากลับไม่เห็นความจริงนี้อย่างแจ่มชัด จึงตกอยู่ในความทุกข์ที่เกิดจากความเข้าใจผิด หรือที่เรียกว่า "อุปาทาน" ซึ่งเป็นความยึดมั่นในสิ่งที่คิดว่าเป็นตนเองหรือเป็นของเรา การรักษา "อาการป่วยทางใจ" นี้ ไม่ใช่แค่การหลีกหนีความทุกข์ชั่วคราว แต่คือการเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างถาวร ด้วยการปฏิบัติธรรมให้จิตสงบ ไม่ยึดติดอยู่กับทุกข์หรือความสุข เมื่อเราฝึกใจให้สว่าง มีสติ และตั้งมั่นในความดี ก็จะไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์เชิงลบ และเห็นความไม่เที่ยงแท้ของทุกสิ่งในชีวิต จิตที่สว่างและมั่นคง จะนำมาซึ่งกรรมดี พาชีวิตไปสู่ทางที่ประเสริฐกว่า ขณะที่การปฏิบัติธรรมทุกวันก็เปรียบเสมือนการทำความสะอาดจิตให้ชุ่มชื่นและสงบอยู่เสมอ เมื่อเราฝึกฝนไปเรื่อยๆ วันหนึ่งจิตจะเปิดรับและเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง การเข้าถึงความจริงว่า "ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวเรา ไม่เที่ยงแท้" เป็นรากของการดับทุกข์ทางใจอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหากจิตใจถึงระดับนั้น ทุกข์ทางใจจะหายไปหมดสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการ "หายป่วยทางใจ" อย่างแท้จริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • แก่นสารสาระของการปฏิบัติคือจิต

    "การปฏิบัติ จุดตั้งต้นเริ่มจากจิตของเรา
    หลวงปู่มั่นถึงบอกว่าได้จิตก็ได้ธรรมะ
    ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะหรอก
    เห็นจิตก็คือการปฏิบัติธรรม
    มองจิตใจตัวเองไม่เห็นก็ไม่ได้ปฏิบัติ
    เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่หลงรูปแบบเกินไป
    จนลืมเนื้อหาแก่นสารสาระ
    แก่นสารสาระของการปฏิบัติก็คือจิตของเรานั่นเอง

    ทีแรกจะฝึกจิตให้ตั้งมั่น
    อาศัยสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้
    ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แต่มีสติรู้ทันจิตของตนเองไว้
    อย่างหลวงพ่อทำอานาปานสติบวกพุทโธ
    หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
    แล้วจิตจะหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา
    จิตจะไหลเข้าไปในแสงสว่าง รู้ทัน
    ลมหายใจระงับ จะกลายเป็นแสง
    จิตจะไหลเข้าไปที่แสง รู้ทัน
    เห็นไหม อยู่ที่การรู้ทันจิตตัวเอง

    ทันทีที่เรามีสติรู้ทันจิตตนเองได้
    จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
    จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
    คำว่าพุทธ พุทธะ พุทโธ
    ก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    พุทโธ พุทโธ
    ไม่ใช่เป็นแค่คำเรียกขาน นกแก้วนกขุนทองแบบนั้น
    พุทโธก็คือจิตนั่นเอง
    ถ้าเราไม่เรียนเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจ
    ไม่มีวันเข้าใจศาสนาพุทธหรอก"

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
    21 มกราคม 2567

    🙏🙏🙏
    แก่นสารสาระของการปฏิบัติคือจิต "การปฏิบัติ จุดตั้งต้นเริ่มจากจิตของเรา หลวงปู่มั่นถึงบอกว่าได้จิตก็ได้ธรรมะ ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะหรอก เห็นจิตก็คือการปฏิบัติธรรม มองจิตใจตัวเองไม่เห็นก็ไม่ได้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่หลงรูปแบบเกินไป จนลืมเนื้อหาแก่นสารสาระ แก่นสารสาระของการปฏิบัติก็คือจิตของเรานั่นเอง ทีแรกจะฝึกจิตให้ตั้งมั่น อาศัยสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ แต่มีสติรู้ทันจิตของตนเองไว้ อย่างหลวงพ่อทำอานาปานสติบวกพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วจิตจะหนีไปคิด รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา จิตจะไหลเข้าไปในแสงสว่าง รู้ทัน ลมหายใจระงับ จะกลายเป็นแสง จิตจะไหลเข้าไปที่แสง รู้ทัน เห็นไหม อยู่ที่การรู้ทันจิตตัวเอง ทันทีที่เรามีสติรู้ทันจิตตนเองได้ จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา จิตจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา คำว่าพุทธ พุทธะ พุทโธ ก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธ พุทโธ ไม่ใช่เป็นแค่คำเรียกขาน นกแก้วนกขุนทองแบบนั้น พุทโธก็คือจิตนั่นเอง ถ้าเราไม่เรียนเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจ ไม่มีวันเข้าใจศาสนาพุทธหรอก" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 21 มกราคม 2567 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับบุญช่วยงาน และทอดกฐินศูนย์ปฏิบัติธรรมและอบรมเยาวชนพระนครศรีอยุธยา

    🙇น้อมถวายบุญกิริยานี้เป็นพุทธบูชา
    🙇น้อมถวายบุญกุศลแด่มหาปูชนียาจารย์

    เอาบุญมาฝากคุณพ่อคุณแม่
    และสาธุชนทั่วโลกนะครับ 🥰🙏🌐
    #ตัวแทนพลังบุญ
    #ประกันควบการบริการ
    #ที่ปรึกษาประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
    #ประกันชีวิตควบการลงทุน
    #ที่ปรึกษาการลงทุน
    #ประสบการณ์ด้านการประกันกว่า20ปี😍
    รับบุญช่วยงาน และทอดกฐินศูนย์ปฏิบัติธรรมและอบรมเยาวชนพระนครศรีอยุธยา 🙇น้อมถวายบุญกิริยานี้เป็นพุทธบูชา 🙇น้อมถวายบุญกุศลแด่มหาปูชนียาจารย์ เอาบุญมาฝากคุณพ่อคุณแม่ และสาธุชนทั่วโลกนะครับ 🥰🙏🌐 #ตัวแทนพลังบุญ #ประกันควบการบริการ #ที่ปรึกษาประกันชีวิตและประกันวินาศภัย #ประกันชีวิตควบการลงทุน #ที่ปรึกษาการลงทุน #ประสบการณ์ด้านการประกันกว่า20ปี😍
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts