• 'พิชัย' เก้าอี้ยังมั่นคง ไร้สัญญาณปรับ ครม.ถล่มปัญหาสินค้าเกษตร
    .
    สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำเล็กน้อย ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของส.ส.ที่ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ จนเกิดความกังวลอาจส่งผลต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค ในเรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาพรรครับฟังความเห็นของส.ส.มาโดยตลอด
    .
    "ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญ เพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ ส.ส.ในพรรคได้ แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือ พยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดี ก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี" นายสุริยะ กล่าว
    .
    นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม. เพียงคนเดียวเท่านั้น
    .
    ด้าน นายพิชัย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าพบเพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางเกษตร ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย แต่ระบุว่าได้มีการหารือกับคนในพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
    .
    ขณะที่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่เพาะปลูกข้าว อันเนื่องมาจากราคาตกต่ำ ซึ่งมี สส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมใจกันเสนอญัตติรวม 7 ร่างโดยภายหลังการเสนอหลักการ ได้มีการเปิดให้ ส.ส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่โจมตีไปที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องข้าว โดยนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากข่าวที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องเกษตรกรชาวนาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำ และมีการชุมนุมปิดถนนเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ตนจะไม่พูดเรื่องตัวเลข เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วการ การแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะฉะนั้น การที่กำลังประชุมกันใน คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ต้องเร่งด่วน
    .
    “ถ้าพูดเรื่องข้าว เราไม่เอ่ยถึงกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขาย เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ก็ต้องมีการติติง แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยของตน ก็มีการได้คุยกันแล้ว วันนี้ทุกพรรคการเมืองก็เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวแทนเกษตรกรไม่มีใน นบข.ทุกอย่างอยู่ในห้องแอร์ เขาก็ลงถนนสิ” นายธีระชัย กล่าว
    .
    นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ไม่แปลกใจที่เห็นพี่น้องมาประท้วงกันในหลายจังหวัด พี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ไหวหรอกทำไมรัฐบาลเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างไรเลย อยากจะฝากถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 กระทรวงหลัก กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังให้ช่วยเร่งรัดในการออกมาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในระยะสั้นเฉพาะหน้าตรงนี้
    ..............
    Sondhi X
    'พิชัย' เก้าอี้ยังมั่นคง ไร้สัญญาณปรับ ครม.ถล่มปัญหาสินค้าเกษตร . สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเกิดความระส่ำเล็กน้อย ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของส.ส.ที่ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ จนเกิดความกังวลอาจส่งผลต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค ในเรื่องนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ที่ผ่านมาพรรครับฟังความเห็นของส.ส.มาโดยตลอด . "ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญ เพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ ส.ส.ในพรรคได้ แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือ พยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดี ก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี" นายสุริยะ กล่าว . นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับคณะรัฐมนตรี ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม. เพียงคนเดียวเท่านั้น . ด้าน นายพิชัย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าพบเพื่อหารือถึงการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางเกษตร ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทย แต่ระบุว่าได้มีการหารือกับคนในพรรคเพื่อไทยบางส่วนแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น . ขณะที่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาที่เพาะปลูกข้าว อันเนื่องมาจากราคาตกต่ำ ซึ่งมี สส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน พร้อมใจกันเสนอญัตติรวม 7 ร่างโดยภายหลังการเสนอหลักการ ได้มีการเปิดให้ ส.ส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่โจมตีไปที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งกำกับดูแลเรื่องข้าว โดยนายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากข่าวที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีว่าพี่น้องเกษตรกรชาวนาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำ และมีการชุมนุมปิดถนนเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล ตนจะไม่พูดเรื่องตัวเลข เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน ทุกคนทราบดีอยู่แล้วการ การแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะฉะนั้น การที่กำลังประชุมกันใน คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ต้องเร่งด่วน . “ถ้าพูดเรื่องข้าว เราไม่เอ่ยถึงกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าขาย เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นรัฐบาลด้วยกัน แต่ก็ต้องมีการติติง แม้กระทั่งในพรรคเพื่อไทยของตน ก็มีการได้คุยกันแล้ว วันนี้ทุกพรรคการเมืองก็เห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวแทนเกษตรกรไม่มีใน นบข.ทุกอย่างอยู่ในห้องแอร์ เขาก็ลงถนนสิ” นายธีระชัย กล่าว . นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ไม่แปลกใจที่เห็นพี่น้องมาประท้วงกันในหลายจังหวัด พี่น้องเกษตรกรอยู่ไม่ไหวหรอกทำไมรัฐบาลเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงพาณิชย์ไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างไรเลย อยากจะฝากถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 กระทรวงหลัก กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังให้ช่วยเร่งรัดในการออกมาตรการต่างๆ ที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในระยะสั้นเฉพาะหน้าตรงนี้ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • 86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย

    📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา

    🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย
    หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท

    ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย

    👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้

    เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา

    📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย"

    🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น

    ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
    ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ
    ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน

    ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า

    ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ?
    การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล

    ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า

    ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
    ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่
    ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ
    ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง

    📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ

    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา
    1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
    ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์
    ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่
    ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม

    📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

    - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง
    - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ
    - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ

    ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา

    🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
    แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย

    “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง

    หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน

    🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง

    ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป

    ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา
    ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น
    ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568

    🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา 🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย 👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้ เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา 📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย" 🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ? การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่ ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง 📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา 1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์ ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่ ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม 📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา 🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน 🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568 🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์โพสต์ถึงเซเลนสกีแรงมาก!!!

    ▪️ ทรัมป์เรียกเซเลนสกีว่า “ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในฐานะนักแสดงตลก” ไม่มีความสามารถแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนได้ แต่สหรัฐก็ยังให้เงินเขา

    ▪️ ทรัมป์ยังเรียกเซเลนสกีว่า “เผด็จการที่ไม่เอาการเลือกตั้ง” และกล่าวหาว่าเซเลนสกีปฏิเสธที่จะจัดการเลือกตั้ง

    ▪️ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าหากไม่มีสหรัฐเข้าช่วย เซเลนสกี “จะไม่มีวัน” ได้เจรจาสันติภาพกับรัสเซียอย่างแน่นอน

    ▪️ ทรัมป์กล่าวหาเซเลนสกีว่า เป็นฝ่ายลากสหรัฐเข้าสู่สงครามที่ “ไม่มีทางชนะได้”

    ▪️ เซเลนสกีทำตามที่ไบเดนมอบบทบาทให้ทุกอย่าง และปัจจุบันปฏิเสธที่จะลงแข่งขันการเลือกตั้งเนื่องจากคะแนนนิยมต่ำ

    ▪️ และยังโจมตีเซเลนสกีว่าต้องการดำเนินความขัดแย้งกับรัสเซียต่อไปเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนด้านการเงิน

    ทรัมป์เน้นย้ำว่า ไม่สนใจว่าเซเลนสกีจะตัดสินใจเรื่องเจรจาอย่างไร แต่รัฐบาลของเขาจะดำเนินการต่อไปจนกว่าการ “เจรจาจะประสบความสำเร็จ” กับรัสเซียในการยุติความขัดแย้งในยูเครน

    ทรัมป์โพสต์ถึงเซเลนสกีแรงมาก!!! ▪️ ทรัมป์เรียกเซเลนสกีว่า “ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในฐานะนักแสดงตลก” ไม่มีความสามารถแก้ไขความขัดแย้งในยูเครนได้ แต่สหรัฐก็ยังให้เงินเขา ▪️ ทรัมป์ยังเรียกเซเลนสกีว่า “เผด็จการที่ไม่เอาการเลือกตั้ง” และกล่าวหาว่าเซเลนสกีปฏิเสธที่จะจัดการเลือกตั้ง ▪️ ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าหากไม่มีสหรัฐเข้าช่วย เซเลนสกี “จะไม่มีวัน” ได้เจรจาสันติภาพกับรัสเซียอย่างแน่นอน ▪️ ทรัมป์กล่าวหาเซเลนสกีว่า เป็นฝ่ายลากสหรัฐเข้าสู่สงครามที่ “ไม่มีทางชนะได้” ▪️ เซเลนสกีทำตามที่ไบเดนมอบบทบาทให้ทุกอย่าง และปัจจุบันปฏิเสธที่จะลงแข่งขันการเลือกตั้งเนื่องจากคะแนนนิยมต่ำ ▪️ และยังโจมตีเซเลนสกีว่าต้องการดำเนินความขัดแย้งกับรัสเซียต่อไปเพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนด้านการเงิน ทรัมป์เน้นย้ำว่า ไม่สนใจว่าเซเลนสกีจะตัดสินใจเรื่องเจรจาอย่างไร แต่รัฐบาลของเขาจะดำเนินการต่อไปจนกว่าการ “เจรจาจะประสบความสำเร็จ” กับรัสเซียในการยุติความขัดแย้งในยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตบนโลก รวมทั้งมนุษย์ พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม

    ### ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลนี้ ได้แก่:
    1. **การใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม**
    - เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ
    - เทคโนโลยีช่วยในการตรวจสอบและจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    2. **ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี**
    - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากเพื่อผลิตเทคโนโลยี เช่น การขุดแร่หายากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    - มลพิษจากกระบวนการผลิตและขยะอิเล็กทรอนิกส์
    - การรบกวนระบบนิเวศจากการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม

    3. **การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต**
    - สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น มลพิษทางอากาศและน้ำ
    - การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย

    4. **บทบาทของมนุษย์ในการสร้างสมดุล**
    - มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
    - การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม

    ### สรุป:
    ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีต้องตระหนักถึงผลกระทบและพยายามลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
    ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตบนโลก รวมทั้งมนุษย์ พึ่งพาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศได้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ### ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลนี้ ได้แก่: 1. **การใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม** - เทคโนโลยีสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์ ลม) การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า และการรีไซเคิลขยะ - เทคโนโลยีช่วยในการตรวจสอบและจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. **ผลกระทบเชิงลบของเทคโนโลยี** - การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากเพื่อผลิตเทคโนโลยี เช่น การขุดแร่หายากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ - มลพิษจากกระบวนการผลิตและขยะอิเล็กทรอนิกส์ - การรบกวนระบบนิเวศจากการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม 3. **การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต** - สิ่งมีชีวิตหลายชนิดต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยี เช่น มลพิษทางอากาศและน้ำ - การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเนื่องจากที่อยู่อาศัยถูกทำลาย 4. **บทบาทของมนุษย์ในการสร้างสมดุล** - มนุษย์ต้องรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - การส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น - การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อม ### สรุป: ความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการจัดการอย่างรอบคอบ มนุษย์ในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยีต้องตระหนักถึงผลกระทบและพยายามลดการทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ทั้งเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิพากษ์วิจารณ์การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ที่กีดกันไม่ให้เคียฟเข้าร่วม ระบุความพยายามยุติสงครามต้อง "ยุติธรรม" และบรรดาประเทศยุโรป ในนั้นรวมถึงตุรกี ควรมีส่วนร่วมด้วย
    .
    ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากวอชิงตันและมอสโก เผยว่าพวกเขาจะเปิดเผยชื่อคณะทำงานสำหรับเจรจาเส้นทางสู่การยุติสงครามในยูเครน ระหว่างการเจรจาอย่างเป็นทางการระดับสูงครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน
    .
    ความเห็นอันเดือดดาลของผู้นำยูเครน มีขึ้นหลังจากเขาได้พบปะกับประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน แห่งตุรกี เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี
    .
    "ยูเครนและยุโรปในสามัญสำนักอย่างกว้างๆ และนี่รวมถึงสหภาพยุโรป ตุรกีและสหราชอาณาจักร ควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนทนาและก่อรูปร่างมาตรการรับประกันความมั่นคงที่จำเป็นร่วมกับอเมริกา ในเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลก" เซเลนสกีกล่าว
    .
    "ความพยายามเป็นคนกลางใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง ควรเป็นไปอย่างยุติธรรม" เขากล่าว ประณามเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ในริยาด ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (18 ก.พ.) และเน้นย้ำจุดยืนคัดค้าน "การพูดคุยใดๆ ที่ปราศจากยูเครน เกี่ยวกับแนวทางยุติสงครามในยูเครน"
    .
    เซเลนสกีเผยว่าเขาไม่ได้รับเชิญให้ร่วมเจรจาในริยาด และตัดสินใจเลื่อนโปรแกรมเดินทางเยือนเมืองหลวงของซาดุอีอาระเบีย จากเดิมที่คาดหมายว่าจะมีขึ้นในวันพุธ (19 ก.พ.) ไปเป็นวันที่ 10 มีนาคม
    .
    การยกเครื่องนโยบายเกี่ยวกับรัสเซียของทรัมป์ โหมกระพือความกังวลว่าวอชิงตันกำลังเตรียมการบีบเคียฟให้ยอมเจรจาต่อรองบนเงื่อนไขของมอสโก
    .
    นอกเหนือจากการเจรจาในริยาดแล้ว ความกังวลนี้มีมากขึ้นไปอีก เมื่อ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย พบปะหารือกันในประเด็นความมั่นคงยุโรปและยูเครน โดยไม่มีตัวแทนใดๆ จากเคียฟหรือบรัสเซลส์เข้าร่วมด้วย
    .
    ในส่วนของแอร์โดอัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ เซเลนสกี ระหว่างแถลงข่าว ได้เสนอให้ตุรกีเป็นเจ้าภาพการเจรจาใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง โดยย้อนให้นึกถึงครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่าย พบปะกันในอิสตุนบูลในปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์หลังรัสเซียรุกรานยูเครน
    .
    "ตุรกีจะเป็นเจ้าภาพในอุดมคติสำหรับความเป็นไปได้ในการเจรจาใดๆ ระหว่างรัสเซีย ยูเครนและอเมริกา ในอนาคตอันใกล้นี้" เขากล่าว พร้อมบอกว่าการเจรจาในอิสตันบูล "เป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญและเป็นแพลตฟอร์มที่ฝ่ายต่างๆ เฉียดใกล้ได้ข้อตกลงหนึ่งมากที่สุดแล้ว"
    .
    การเดินทางครั้งนี้ของเซเลนสกี ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เขาเดินทางเยือนตุรกี นับตั้งแต่รัสเซียรุกราน โดยคราวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เขาพยายามค้ำยันสถานะของเคียฟ ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เอื้อมมือเข้าหามอสโก
    .
    ตุรกี ซึ่งเป็นชาติสมาชิกนาโต หาทางคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับ 2 ชาติเพื่อนบ้านคู่สงครามทะเลดำ โดยที่แอร์โดอัน วางสถานะของตนเองในฐานะคนกลางและผู้สร้างสันติระหว่าง 2 ฝ่าย
    .
    แม้อังการาจะมอบโดรนแก่ยูเครน แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เพิกเฉยปลีกตัวออกต่างจากมาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยตะวันตก ที่กำหนดเล่นงานมอสโก
    .
    เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทางตุรกีเล่นบทบาทสำคัญในการเป็นคนกลางแลกเปลี่ยนเชลยศึกหลายรายระหว่างรัสเซียกับยูเครน ข้อตกลงนี้พบเห็นนักโทษหลายร้อยคนถูกปล่อยตัวกลับมาตุภูมิ แม้ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016367
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน วิพากษ์วิจารณ์การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ที่กีดกันไม่ให้เคียฟเข้าร่วม ระบุความพยายามยุติสงครามต้อง "ยุติธรรม" และบรรดาประเทศยุโรป ในนั้นรวมถึงตุรกี ควรมีส่วนร่วมด้วย . ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากวอชิงตันและมอสโก เผยว่าพวกเขาจะเปิดเผยชื่อคณะทำงานสำหรับเจรจาเส้นทางสู่การยุติสงครามในยูเครน ระหว่างการเจรจาอย่างเป็นทางการระดับสูงครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย นับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน . ความเห็นอันเดือดดาลของผู้นำยูเครน มีขึ้นหลังจากเขาได้พบปะกับประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน แห่งตุรกี เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี . "ยูเครนและยุโรปในสามัญสำนักอย่างกว้างๆ และนี่รวมถึงสหภาพยุโรป ตุรกีและสหราชอาณาจักร ควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนทนาและก่อรูปร่างมาตรการรับประกันความมั่นคงที่จำเป็นร่วมกับอเมริกา ในเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลก" เซเลนสกีกล่าว . "ความพยายามเป็นคนกลางใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง ควรเป็นไปอย่างยุติธรรม" เขากล่าว ประณามเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ในริยาด ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (18 ก.พ.) และเน้นย้ำจุดยืนคัดค้าน "การพูดคุยใดๆ ที่ปราศจากยูเครน เกี่ยวกับแนวทางยุติสงครามในยูเครน" . เซเลนสกีเผยว่าเขาไม่ได้รับเชิญให้ร่วมเจรจาในริยาด และตัดสินใจเลื่อนโปรแกรมเดินทางเยือนเมืองหลวงของซาดุอีอาระเบีย จากเดิมที่คาดหมายว่าจะมีขึ้นในวันพุธ (19 ก.พ.) ไปเป็นวันที่ 10 มีนาคม . การยกเครื่องนโยบายเกี่ยวกับรัสเซียของทรัมป์ โหมกระพือความกังวลว่าวอชิงตันกำลังเตรียมการบีบเคียฟให้ยอมเจรจาต่อรองบนเงื่อนไขของมอสโก . นอกเหนือจากการเจรจาในริยาดแล้ว ความกังวลนี้มีมากขึ้นไปอีก เมื่อ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย พบปะหารือกันในประเด็นความมั่นคงยุโรปและยูเครน โดยไม่มีตัวแทนใดๆ จากเคียฟหรือบรัสเซลส์เข้าร่วมด้วย . ในส่วนของแอร์โดอัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ เซเลนสกี ระหว่างแถลงข่าว ได้เสนอให้ตุรกีเป็นเจ้าภาพการเจรจาใดๆ ในการยุติความขัดแย้ง โดยย้อนให้นึกถึงครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่าย พบปะกันในอิสตุนบูลในปี 2022 ไม่กี่สัปดาห์หลังรัสเซียรุกรานยูเครน . "ตุรกีจะเป็นเจ้าภาพในอุดมคติสำหรับความเป็นไปได้ในการเจรจาใดๆ ระหว่างรัสเซีย ยูเครนและอเมริกา ในอนาคตอันใกล้นี้" เขากล่าว พร้อมบอกว่าการเจรจาในอิสตันบูล "เป็นจุดอ้างอิงที่สำคัญและเป็นแพลตฟอร์มที่ฝ่ายต่างๆ เฉียดใกล้ได้ข้อตกลงหนึ่งมากที่สุดแล้ว" . การเดินทางครั้งนี้ของเซเลนสกี ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เขาเดินทางเยือนตุรกี นับตั้งแต่รัสเซียรุกราน โดยคราวนี้เกิดขึ้นในขณะที่เขาพยายามค้ำยันสถานะของเคียฟ ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เอื้อมมือเข้าหามอสโก . ตุรกี ซึ่งเป็นชาติสมาชิกนาโต หาทางคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับ 2 ชาติเพื่อนบ้านคู่สงครามทะเลดำ โดยที่แอร์โดอัน วางสถานะของตนเองในฐานะคนกลางและผู้สร้างสันติระหว่าง 2 ฝ่าย . แม้อังการาจะมอบโดรนแก่ยูเครน แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เพิกเฉยปลีกตัวออกต่างจากมาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยตะวันตก ที่กำหนดเล่นงานมอสโก . เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทางตุรกีเล่นบทบาทสำคัญในการเป็นคนกลางแลกเปลี่ยนเชลยศึกหลายรายระหว่างรัสเซียกับยูเครน ข้อตกลงนี้พบเห็นนักโทษหลายร้อยคนถูกปล่อยตัวกลับมาตุภูมิ แม้ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016367 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1272 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’

    วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家)
    เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้

    ความมีอยู่ว่า
    ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว....
    - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย

    ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย

    ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน?

    ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป

    มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ

    ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ

    Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.sohu.com/a/484438060_121051662
    https://www.sohu.com/a/485012584_100151502
    https://www.sohu.com/a/489015136_120827444

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html
    https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361
    https://www.baike.com/wiki/清河崔氏
    https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏

    #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    แฟนละคร/นิยายจีนคงคุ้นเคยดีกับโครงเรื่องที่มีการชิงอำนาจทางการเมืองด้วยการจัดให้มีการแต่งงานระหว่างตระกูลดังกับเชื้อพระวงศ์ จนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาลให้กับตัวละครเอก บางคนอาจเคยบ่นว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ วันนี้ Storyฯ ยกตัวอย่างมาคุยเกี่ยวกับตระกูลขุนนางเก่าแก่เรืองอำนาจ (เรียกรวมว่า สื้อเจีย / 世家) เป็นหนึ่งในตระกูลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ตอนต้นและกลางของจีนโบราณก็ว่าได้ ความมีอยู่ว่า ....ตระกูลชุยจากชิงเหอรุ่นนี้ สายหลักของตระกูลมีนางเป็นบุตรีโทนแต่เพียงผู้เดียว ... และตระกูลชุยกำลังรุ่งเรือง นางยังอยู่ในท้องของมารดาก็ได้รับการหมั้นหมายให้กับองค์ชายรัชทายาทแล้ว.... - จากเรื่อง <ทุกชาติภพ กระดูกงดงาม> ผู้แต่ง โม่เป่าเฟยเป่า (แต่บทความ Storyฯ แปลเองจ้า) ชิงเหอคือพื้นที่ทางด้านเหนือของจีน (แถบเหอหนาน เหอเป่ยและซานตง) ในสมัยจีนตอนต้นมีสถานะเป็นแคว้นบ้างหรือรองลงมาเป็นจวิ้น (郡) บ้าง ซึ่งนับเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ มีหลายตระกูลดังในประวัติศาตร์จีนที่มาจากพื้นที่แถบนี้ หนึ่งในนั้นคือตระกูลชุย ตระกูลชุยมีรากฐานยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ปี 1046-771 ก่อนคริสตกาล) แตกสกุลมาจากสกุลเจียงและรวมถึงชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่หันมาใช้สกุลนี้ รับราชการในตำแหน่งสำคัญมาหลายยุคสมัย แตกมาเป็นสายที่เรียกว่า ‘ตระกูลชุยจากชิงเหอ’ ในยุคสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ (ปี 221 – 206 ก่อนคริสตกาล) เมื่อชุยเหลียง (ทายาทรุ่นที่ 7) ได้รับการอวยยศเป็นโหวและได้รับพระราชทานเขตการปกครองชิงเหอนี้ และต่อมาตระกูลชุยจากชิงเหอมีแตกสายย่อยไปอีกรวมเป็นหกสาย ตระกูลชุยจากชิงเหอที่กล่าวถึงในละครข้างต้น ‘ไม่ธรรมดา’ แค่ไหน? ตระกูลชุยจากชิงเหอรับราชการระดับสูงต่อเนื่อง ผ่านร้อนผ่านหนาวแต่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 700 ปี ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ที่สุด’ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในยุคสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (ปีค.ศ. 386 – 535) และในสมัยราชวงศ์ถังก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลเจ็ดเชื้อสาย (五姓七族) อันเป็นตระกูลชั้นสูงที่ต่อมาถูกห้ามไม่ให้แต่งงานกันเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างฐานอำนาจมากเกินไป มีคนจากตระกูลชุยจากชิงเหอนี้เป็นอัครมหาเสนาบดี (จ่ายเซี่ยง / 宰相) หรือตำแหน่งที่สูงคล้ายกันมากมายหลายรุ่น เฉพาะในสมัยราชวงศ์ถังที่ยาวนานเกือบสามร้อยปีก็มีถึง 12 คน (ถ้ารวมตระกูลชุยสายอื่นมีอีก 10 คน) มีจอหงวน 11 คน ยังไม่รวมที่รับราชการในตำแหน่งอื่น ที่กุมอำนาจทางการทหาร ที่เป็นผู้นำทางความคิด (นักปราชญ์ กวีชื่อดัง) และที่เป็นลูกหลานฝ่ายหญิงที่แต่งเข้าวังในตำแหน่งต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย จวบจนสมัยซ่งใต้ ฐานอำนาจของตระกูลนี้จึงเสื่อมจางลงเหมือนกับตระกูลสื้อเจียอื่นๆ ทำไมต้องพูดถึงตระกูลชุยจากชิงเหอ? Storyฯ เล่าเป็นตัวอย่างของเหล่าตระกูลสื้อเจียค่ะ จากที่เคยคิดว่า ‘มันจะอะไรกันนักหนา?’ แต่พอมาเห็นรากฐานของตระกูลสื้อเจียเหล่านี้ เราจะได้อรรถรสเลยว่า ‘ฐานอำนาจ’ ที่เขาพูดถึงกันนั้น มันหยั่งรากลึกแค่ไหน? เหตุใดตัวละครเอกมักรู้สึกถูกกดดันมากมาย? และเพราะเหตุใดมันจึงฝังรากลึกในวัฒนธรรมจีนโบราณ? เพราะมันไม่ใช่เรื่องของหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน แต่เรากำลังพูดถึงฐานอำนาจหลายร้อยปีที่แทรกซึมเข้าไปในสังคมโดยมีประมุขใหญ่ของตระกูลในแต่ละรุ่นเป็นแกนนำสำคัญ Storyฯ หวังว่าเพื่อนๆ จะดูละครได้อรรถรสยิ่งขึ้นนะคะ ใครเห็นบทบาทของคนในตระกูลชุยในละครเรื่องอื่นใดอีกหรือหากนึกถึงตระกูลอื่นที่คล้ายคลึงก็เม้นท์มาได้ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/484438060_121051662 https://www.sohu.com/a/485012584_100151502 https://www.sohu.com/a/489015136_120827444 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.163.com/dy/article/FNSTJKT60543BK4H.html https://new.qq.com/omn/20211021/20211021A09WBQ00.html https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_16209361 https://www.baike.com/wiki/清河崔氏 https://zh.wikipedia.org/wiki/清河崔氏 #กระดูกงดงาม #ตระกูลชุย #สกุลชุย #ชิงเหอ #สื้อเจีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิริลล์ ดมิทรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย (RDIF - Russian Direct Investment Fund) ซึ่งได้เข้าร่วมทีมเจรจาระดับสูงระหว่างสหรัฐกับรัสเซียครั้งนี้ด้วย บ่งชี้ถึงความต้องการของรัสเซียที่มีแนวโน้มจะให้สหรัฐลดมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อรัสเซียลงซึ่งอดีตนายธนาคารจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เคยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานช่วงแรกระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.วาระแรกระหว่างปี 2559-2563

    ก่อนเข้าร่วมการประชุม ดมิทรีเยฟ กล่าวว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐที่มีต่อรัสเซีย มีแต่จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาเสียหาย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ หลังต้องทิ้งธุรกิจเพื่อจากออกจากรัสเซียไป

    “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ธุรกิจอเมริกันสูญเสียเงินราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากรัสเซีย นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงต่อหลายประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการหาทางออกร่วมกัน” ดมิทรีเยฟกล่าว

    ดมิทรีเยฟ เกิดที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีปูติน ให้เป็น CEO ของกองทุน RDIF ตั้งแต่ปี 2011

    เขามีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งเคยทำงานในบริษัทระดับโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs, McKinsey, General Electric (GE) และ Société Générale
    คิริลล์ ดมิทรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย (RDIF - Russian Direct Investment Fund) ซึ่งได้เข้าร่วมทีมเจรจาระดับสูงระหว่างสหรัฐกับรัสเซียครั้งนี้ด้วย บ่งชี้ถึงความต้องการของรัสเซียที่มีแนวโน้มจะให้สหรัฐลดมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อรัสเซียลงซึ่งอดีตนายธนาคารจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เคยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานช่วงแรกระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.วาระแรกระหว่างปี 2559-2563 ก่อนเข้าร่วมการประชุม ดมิทรีเยฟ กล่าวว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐที่มีต่อรัสเซีย มีแต่จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาเสียหาย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ หลังต้องทิ้งธุรกิจเพื่อจากออกจากรัสเซียไป “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ธุรกิจอเมริกันสูญเสียเงินราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากรัสเซีย นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงต่อหลายประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการหาทางออกร่วมกัน” ดมิทรีเยฟกล่าว ดมิทรีเยฟ เกิดที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีปูติน ให้เป็น CEO ของกองทุน RDIF ตั้งแต่ปี 2011 เขามีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งเคยทำงานในบริษัทระดับโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs, McKinsey, General Electric (GE) และ Société Générale
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • เช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียประท้วงการถูกกีดกันจากประชุมปารีส

    สาธารณรัฐเช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมผู้นำยุโรปที่ปารีส

    แหล่งข่าวจากรัฐบาลเช็กระบุว่าไม่มีประเทศยุโรปใดรับผู้ลี้ภัยยูเครนต่อประชากรมากกว่าเช็ก พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งกำลังบำรุงอาวุธให้ยูเครน โดยเฉพาะการจัดหากระสุนให้เคียฟ "นอกจากโปแลนด์แล้ว ไม่มีประเทศใดใกล้ชิดสงครามมากกว่าเช็ก" เจ้าหน้าที่กล่าว พร้อมวิจารณ์ "ความหยิ่งยโส" ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ที่กีดกันพวกเขา

    ด้าน Cristian Diaconescu ที่ปรึกษาด้านกลาโหมและความมั่นคงของโรมาเนียแสดงความผิดหวังที่ถูกกีดกัน "แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือมาตลอด" แต่ยืนยันว่าหากมีการประชุมต่อเนื่อง พวกเขาก็พร้อมจะมีส่วนร่วม

    ประธานาธิบดี Nataša Pirc Musar แห่งสโลวีเนียวิจารณ์การเลือกเชิญว่าส่งสัญญาณว่า "สมาชิก EU ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม" และเสริมว่า "นี่ไม่ใช่ยุโรปที่จะเป็นพันธมิตรที่คู่ควรกับสหรัฐฯ"
    เช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียประท้วงการถูกกีดกันจากประชุมปารีส สาธารณรัฐเช็ก โรมาเนีย และสโลวีเนียแสดงความไม่พอใจที่ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมผู้นำยุโรปที่ปารีส แหล่งข่าวจากรัฐบาลเช็กระบุว่าไม่มีประเทศยุโรปใดรับผู้ลี้ภัยยูเครนต่อประชากรมากกว่าเช็ก พร้อมเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งกำลังบำรุงอาวุธให้ยูเครน โดยเฉพาะการจัดหากระสุนให้เคียฟ "นอกจากโปแลนด์แล้ว ไม่มีประเทศใดใกล้ชิดสงครามมากกว่าเช็ก" เจ้าหน้าที่กล่าว พร้อมวิจารณ์ "ความหยิ่งยโส" ของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ที่กีดกันพวกเขา ด้าน Cristian Diaconescu ที่ปรึกษาด้านกลาโหมและความมั่นคงของโรมาเนียแสดงความผิดหวังที่ถูกกีดกัน "แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือมาตลอด" แต่ยืนยันว่าหากมีการประชุมต่อเนื่อง พวกเขาก็พร้อมจะมีส่วนร่วม ประธานาธิบดี Nataša Pirc Musar แห่งสโลวีเนียวิจารณ์การเลือกเชิญว่าส่งสัญญาณว่า "สมาชิก EU ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม" และเสริมว่า "นี่ไม่ใช่ยุโรปที่จะเป็นพันธมิตรที่คู่ควรกับสหรัฐฯ"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้นำยุโรปว้าวุ่นหนัก หวั่นถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมในการเจรจายุติสงครามยูเครน ขณะที่อเมริกาประกาศชัดยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการหารือดังกล่าว แถมยังประกาศรายชื่อทีมเจ้าหน้าที่อาวุโสไปประชุมกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟในซาอุดีอาระเบีย ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา-รัสเซีย ก็โทรศัพท์หารือกัน โดยระบุว่าคุยกันทั้งเรื่องสถานการณ์ในยูเครน และการหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ยุโรปปั่นป่วนหนัก เมื่อประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย แถมยังระบุว่าเขาน่าจะได้พบปะแบบเจอตัวกับปูตินเร็วๆ นี้ เพื่อเริ่มการหารือยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน โดยที่การพูดจากับผู้นำรัสเซียนี้ ทรัมป์ไม่เคยบอกกล่าวกับพวกผู้นำของยุโรปมาก่อนเลย จึงทำให้เหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรปกลุ้มหนักว่า ผลประโยชน์ของพวกตนอาจถูกละเลยเพิกเฉย เมื่อวอชิงตันกับมอสโกจะคุยกันโดยตรง ไม่เอายุโรปเข้าร่วมด้วยเช่นนี้
    .
    ต่อมาในวันเสาร์ (15 ก.พ.) เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายเผยว่า มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทรัมป์ จะเดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำความตกลงหยุดยิงในยูเครนกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟ
    .
    ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า การประชุมเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใ ดหรือกำหนดเวลาที่ทีมเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะออกเดินทาง แต่เฉพาะตัวรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอนั้น ได้ออกเดินทางไปยังตะวันออกกลางแล้ว โดยไปถึงอิสราเอลในวันเสาร์ (15) อีกทั้งมีกำหนดการที่จะไปเยือนซาอุดีอาระเบียด้วย
    .
    ในวันเสาร์เช่นกัน รูบิโอได้หารือทางโทรศัพท์กับเซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า มีการตกลงคงการติดต่อเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสัมพันธ์ การขจัดอุปสรรคฝ่ายเดียวที่ตกทอดมาจากคณะบริหารชุดก่อนของสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุนที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ทั้งสองชาติยังแสดงความกระตือรือร้นในการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง
    .
    ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า รูบิโอยืนยันความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการหาทางยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน และหารือเกี่ยวกับโอกาสในการร่วมมือกันในประเด็นปัญหาทวิภาคีอื่นๆ
    .
    ส่วนที่มิวนิก มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวในที่ประชุมผู้วางนโยบายระดับสูงเมื่อวันเสาร์ว่า ยุโรปต้องมี “ข้อเสนอที่ดี” เพื่อรับประกันสันติภาพในยูเครน หากต้องการเข้าร่วมการเจรจาที่อเมริกาเป็นแกนนำ
    .
    รึตเตอเสริมว่า จะเดินทางไปปารีสในวันจันทร์ (17 ก.พ.) เพื่อร่วมการประชุมผู้นำยุโรปที่จัดโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับ “การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่อาจเกิดขึ้น”
    .
    นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ขานรับว่า ยุโรปต้องรับบทบาทมากขึ้นในนาโต และร่วมมือกับอเมริกาเพื่อปกป้องอนาคตของยูเครน
    .
    ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนกล่าว เรียกร้องในงานประชุมความมั่นคงมิวนิกให้สร้างกองทัพยุโรป เนื่องจากยุโรปอาจไม่สามารถพึ่งพิงอเมริกาได้อีกต่อไป
    .
    ทั้งนี้ แนวคิดเช่นนี้เคยมีการถกเถียงมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนโดยปราศจากความคืบหน้าใดๆ และดูเหมือนการเรียกร้องของเซเลนสกีไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
    .
    การเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ (14) เซเลนสกีได้พบกับรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ของอเมริกา และพยายามขอความมั่นใจว่า เคียฟจะไม่ถูกทิ้งระหว่างที่ทรัมป์เจรจากับปูติน
    .
    เซเลนสกียังยืนกรานว่า จะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่ยูเครนไม่มีส่วนร่วมด้วย รวมทั้งจะต้องไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับยุโรปที่ยุโรปไม่มีส่วนร่วม
    .
    ทว่า คีธ เคลล็อกก์ ผู้แทนพิเศษรับผิดชอบเรื่องยูเครน-รัสเซีย ของทรัมป์ กล่าวชัดเจนในเวทีเดียวกันว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาหยุดยิงในยูเครน
    .
    นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังพยายามยืนยันว่า ยูเครนจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยแวนซ์กล่าวกับเซเลนสกีว่า อเมริกาต้องการให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนที่จะไม่นำไปสู่การนองเลือดซ้ำสองในอนาคต
    .
    กระนั้น พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศว่า ยูเครนจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต หรือได้ดินแดนคืนจากรัสเซียแต่อย่างใด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015540
    ..............
    Sondhi X
    ผู้นำยุโรปว้าวุ่นหนัก หวั่นถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมในการเจรจายุติสงครามยูเครน ขณะที่อเมริกาประกาศชัดยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการหารือดังกล่าว แถมยังประกาศรายชื่อทีมเจ้าหน้าที่อาวุโสไปประชุมกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟในซาอุดีอาระเบีย ในอีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา-รัสเซีย ก็โทรศัพท์หารือกัน โดยระบุว่าคุยกันทั้งเรื่องสถานการณ์ในยูเครน และการหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ยุโรปปั่นป่วนหนัก เมื่อประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย แถมยังระบุว่าเขาน่าจะได้พบปะแบบเจอตัวกับปูตินเร็วๆ นี้ เพื่อเริ่มการหารือยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน โดยที่การพูดจากับผู้นำรัสเซียนี้ ทรัมป์ไม่เคยบอกกล่าวกับพวกผู้นำของยุโรปมาก่อนเลย จึงทำให้เหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรปกลุ้มหนักว่า ผลประโยชน์ของพวกตนอาจถูกละเลยเพิกเฉย เมื่อวอชิงตันกับมอสโกจะคุยกันโดยตรง ไม่เอายุโรปเข้าร่วมด้วยเช่นนี้ . ต่อมาในวันเสาร์ (15 ก.พ.) เจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายรายเผยว่า มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทรัมป์ จะเดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำความตกลงหยุดยิงในยูเครนกับคณะเจรจาของมอสโกและเคียฟ . ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่า การประชุมเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใ ดหรือกำหนดเวลาที่ทีมเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะออกเดินทาง แต่เฉพาะตัวรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอนั้น ได้ออกเดินทางไปยังตะวันออกกลางแล้ว โดยไปถึงอิสราเอลในวันเสาร์ (15) อีกทั้งมีกำหนดการที่จะไปเยือนซาอุดีอาระเบียด้วย . ในวันเสาร์เช่นกัน รูบิโอได้หารือทางโทรศัพท์กับเซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งต่อมากระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า มีการตกลงคงการติดต่อเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความสัมพันธ์ การขจัดอุปสรรคฝ่ายเดียวที่ตกทอดมาจากคณะบริหารชุดก่อนของสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุนที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ทั้งสองชาติยังแสดงความกระตือรือร้นในการดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง . ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า รูบิโอยืนยันความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการหาทางยุติการสู้รบขัดแย้งในยูเครน และหารือเกี่ยวกับโอกาสในการร่วมมือกันในประเด็นปัญหาทวิภาคีอื่นๆ . ส่วนที่มิวนิก มาร์ก รึตเตอ เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวในที่ประชุมผู้วางนโยบายระดับสูงเมื่อวันเสาร์ว่า ยุโรปต้องมี “ข้อเสนอที่ดี” เพื่อรับประกันสันติภาพในยูเครน หากต้องการเข้าร่วมการเจรจาที่อเมริกาเป็นแกนนำ . รึตเตอเสริมว่า จะเดินทางไปปารีสในวันจันทร์ (17 ก.พ.) เพื่อร่วมการประชุมผู้นำยุโรปที่จัดโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับ “การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่อาจเกิดขึ้น” . นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ขานรับว่า ยุโรปต้องรับบทบาทมากขึ้นในนาโต และร่วมมือกับอเมริกาเพื่อปกป้องอนาคตของยูเครน . ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนกล่าว เรียกร้องในงานประชุมความมั่นคงมิวนิกให้สร้างกองทัพยุโรป เนื่องจากยุโรปอาจไม่สามารถพึ่งพิงอเมริกาได้อีกต่อไป . ทั้งนี้ แนวคิดเช่นนี้เคยมีการถกเถียงมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนโดยปราศจากความคืบหน้าใดๆ และดูเหมือนการเรียกร้องของเซเลนสกีไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง . การเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ (14) เซเลนสกีได้พบกับรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ของอเมริกา และพยายามขอความมั่นใจว่า เคียฟจะไม่ถูกทิ้งระหว่างที่ทรัมป์เจรจากับปูติน . เซเลนสกียังยืนกรานว่า จะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่ยูเครนไม่มีส่วนร่วมด้วย รวมทั้งจะต้องไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับยุโรปที่ยุโรปไม่มีส่วนร่วม . ทว่า คีธ เคลล็อกก์ ผู้แทนพิเศษรับผิดชอบเรื่องยูเครน-รัสเซีย ของทรัมป์ กล่าวชัดเจนในเวทีเดียวกันว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาหยุดยิงในยูเครน . นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังพยายามยืนยันว่า ยูเครนจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยแวนซ์กล่าวกับเซเลนสกีว่า อเมริกาต้องการให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนที่จะไม่นำไปสู่การนองเลือดซ้ำสองในอนาคต . กระนั้น พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศว่า ยูเครนจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต หรือได้ดินแดนคืนจากรัสเซียแต่อย่างใด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015540 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1087 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระเป๋าเงินที่ทำจากชิป Nvidia H100 โดยกระเป๋านี้มีราคาสูงถึง $65,000 และได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแฟชั่นและเทคโนโลยี กระเป๋านี้มีชิป GH100 อยู่ตรงกลางและมีชิ้นส่วน inductors LR22 และ LR33 รอบข้าง แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ากระเป๋านี้ใช้งานได้จริงหรือไม่ แต่กระเป๋านี้ได้รับความสนใจมากเนื่องจากราคาที่สูงกว่าราคาจำหน่ายของ H100 AI GPU ถึงสองเท่า

    นอกจากนี้ การนำชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มาทำเป็นสินค้าหรูหรายังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผสานเทคโนโลยีเข้ากับแฟชั่น เช่นเครื่องประดับจากชิ้นส่วน CPU ที่สามารถหาซื้อได้บน Etsy กระเป๋าเงินนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในวงการแฟชั่นที่นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในสินค้าหรูหรา

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/flaunt-your-style-with-this-usd65-000-nvidia-h100-purse
    มีข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระเป๋าเงินที่ทำจากชิป Nvidia H100 โดยกระเป๋านี้มีราคาสูงถึง $65,000 และได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแฟชั่นและเทคโนโลยี กระเป๋านี้มีชิป GH100 อยู่ตรงกลางและมีชิ้นส่วน inductors LR22 และ LR33 รอบข้าง แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ากระเป๋านี้ใช้งานได้จริงหรือไม่ แต่กระเป๋านี้ได้รับความสนใจมากเนื่องจากราคาที่สูงกว่าราคาจำหน่ายของ H100 AI GPU ถึงสองเท่า นอกจากนี้ การนำชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มาทำเป็นสินค้าหรูหรายังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการผสานเทคโนโลยีเข้ากับแฟชั่น เช่นเครื่องประดับจากชิ้นส่วน CPU ที่สามารถหาซื้อได้บน Etsy กระเป๋าเงินนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในวงการแฟชั่นที่นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในสินค้าหรูหรา https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/flaunt-your-style-with-this-usd65-000-nvidia-h100-purse
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia H100 purse hits the market for $65,000
    “This purse is subject to export controls,” says the seller.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับยูเครน หลังจากยุโรปถูกกีดกันจากสหรัฐในการเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาสันติภาพ

    ฝรั่งเศสจะเรียกประชุมผู้นำยุโรปในวันจันทร์เพื่อหารือเกี่ยวกับความมั่นคงของยูเครน หลังจากที่ทีมของทรัมป์ตัดยุโรปออกจากการเจรจากับรัสเซีย

    การประชุมดังกล่าว ซึ่งจะมีอังกฤษ เยอรมนี โปแลนด์ และเจ้าหน้าที่นาโตเข้าร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปบทบาทของยุโรปในการช่วยเหลือเคียฟและรักษาความปลอดภัยของยุโรปตะวันตก

    หลายปีที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นผู้นำยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ พยายามมาตลอดในการออกจากอิทธิพลของสหรัฐ มาจับตาดูว่าครั้งนี้พวกเขาจะสามารถดำเนินการอย่างจริงจังได้หรือไม่
    ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับยูเครน หลังจากยุโรปถูกกีดกันจากสหรัฐในการเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาสันติภาพ ฝรั่งเศสจะเรียกประชุมผู้นำยุโรปในวันจันทร์เพื่อหารือเกี่ยวกับความมั่นคงของยูเครน หลังจากที่ทีมของทรัมป์ตัดยุโรปออกจากการเจรจากับรัสเซีย การประชุมดังกล่าว ซึ่งจะมีอังกฤษ เยอรมนี โปแลนด์ และเจ้าหน้าที่นาโตเข้าร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปบทบาทของยุโรปในการช่วยเหลือเคียฟและรักษาความปลอดภัยของยุโรปตะวันตก หลายปีที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นผู้นำยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ พยายามมาตลอดในการออกจากอิทธิพลของสหรัฐ มาจับตาดูว่าครั้งนี้พวกเขาจะสามารถดำเนินการอย่างจริงจังได้หรือไม่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time)

    เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ

    หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳)

    อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม

    เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง

    หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน

    นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง

    เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย

    ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก

    หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml
    https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml
    https://kknews.cc/history/ogan4p.html
    https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726

    #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    ช่วงนี้กระแสหนังภารตะเรื่องหนึ่งแรงมาก เป็นเรื่องราวอิงชีวประวัติของโสเภณีหญิงที่กลายมาเป็นแม่เล้าผู้ทรงอิทธิพลในอินเดีย เห็นว่าฟ้องร้องกันอยู่ว่าเรื่องราวบิดเบือนเพราะเธอไม่ได้เป็นโสเภณีจริง ความจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳) อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml https://kknews.cc/history/ogan4p.html https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726 #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล:

    ### 1. **การวินิจฉัยโรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
    - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี
    - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา

    ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน**
    - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก
    - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    ### 3. **การดูแลผู้ป่วย**
    - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ
    - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ

    ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์**
    - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย
    - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง

    ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์**
    - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
    - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์

    ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล**
    - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น
    - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น

    ### 7. **การพยากรณ์โรค**
    - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19
    - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน

    ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล**
    - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล
    - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

    ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์**
    - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ
    - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น

    ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล**
    - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine)
    - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน

    ### ความท้าทายและข้อควรระวัง
    แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น:
    - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด
    - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด
    - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการการรักษาพยาบาลของมนุษย์โลกในหลายด้าน ตั้งแต่การช่วยวินิจฉัยโรคไปจนถึงการพัฒนายาใหม่ ๆ และการปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย นี่คือบางส่วนของบทบาทที่ AI มีต่อการรักษาพยาบาล: ### 1. **การวินิจฉัยโรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอ็กซ์เรย์, CT scan, MRI และผลตรวจเลือด ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ - ตัวอย่างเช่น AI ช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรมได้ดีกว่าแพทย์ในบางกรณี - AI ยังช่วยระบุโรคตา เช่น เบาหวานขึ้นจอตา จากภาพถ่ายจอประสาทตา ### 2. **การพัฒนายาและวัคซีน** - AI ช่วยเร่งกระบวนการค้นหายาใหม่ ๆ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเคมีและชีวภาพจำนวนมาก - ในช่วงการระบาดของ COVID-19 AI ช่วยนักวิจัยในการพัฒนาวัคซีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ### 3. **การดูแลผู้ป่วย** - AI ช่วยติดตามอาการผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ - ระบบ AI สามารถเตือนแพทย์หรือพยาบาลเมื่อผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ### 4. **การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์** - หุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสูง ลดความเสี่ยงและเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วย - ตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ da Vinci ที่ใช้ในการผ่าตัดมะเร็ง ### 5. **การจัดการข้อมูลทางการแพทย์** - AI ช่วยจัดระเบียบและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้แพทย์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น - ระบบ AI ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ ### 6. **การให้คำปรึกษาและบริการสุขภาพทางไกล** - แชทบอทที่ใช้ AI สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ และแนะนำให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น - เทคโนโลยี Telemedicine ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้น ### 7. **การพยากรณ์โรค** - AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์การแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือ COVID-19 - ระบบ AI ยังช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรคในผู้ป่วยแต่ละคน ### 8. **การปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงพยาบาล** - AI ช่วยจัดการทรัพยากรในโรงพยาบาล เช่น การจัดตารางการทำงานของแพทย์และพยาบาล - ระบบ AI ยังช่วยลดเวลารอคอยและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ### 9. **การวิจัยทางการแพทย์** - AI ช่วยนักวิจัยในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกและงานวิจัยต่าง ๆ - เทคโนโลยี Machine Learning ช่วยค้นพบรูปแบบใหม่ ๆ ในข้อมูลทางการแพทย์ที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ### 10. **การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล** - AI ช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Personalized Medicine) - ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อแนะนำการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ### ความท้าทายและข้อควรระวัง แม้ AI จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อท้าทาย เช่น: - **ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล**: ข้อมูลสุขภาพเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน จึงต้องมีการปกป้องอย่างเคร่งครัด - **ความน่าเชื่อถือ**: AI ต้องได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการวินิจฉัยผิดพลาด - **จริยธรรม**: การใช้ AI ในการตัดสินใจทางการแพทย์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว และในอนาคตคาดว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์โลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคนไม่ต้องใช้ AI อีกต่อไป อาจเป็นเพราะเหตุผลหลายประการ เช่น:

    1. **เทคโนโลยีใหม่**: มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า AI เกิดขึ้นมาแทนที่
    2. **ปัญหาด้านจริยธรรมหรือความปลอดภัย**: ผู้คนอาจเลิกใช้ AI เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย หรือผลกระทบทางสังคม
    3. **การพึ่งพาตนเอง**: มนุษย์อาจพัฒนาทักษะหรือวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา AI อีกต่อไป
    4. **การเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือเศรษฐกิจ**: สภาพสังคมหรือเศรษฐกิจอาจเปลี่ยนแปลงจนทำให้การใช้ AI ไม่มีความจำเป็นหรือไม่คุ้มค่า
    5. **ข้อจำกัดของ AI**: AI อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่

    อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน AI ยังคงมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน และคาดว่าจะยังถูกใช้งานต่อไปในอนาคตอันใกล้
    เมื่อคนไม่ต้องใช้ AI อีกต่อไป อาจเป็นเพราะเหตุผลหลายประการ เช่น: 1. **เทคโนโลยีใหม่**: มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า AI เกิดขึ้นมาแทนที่ 2. **ปัญหาด้านจริยธรรมหรือความปลอดภัย**: ผู้คนอาจเลิกใช้ AI เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย หรือผลกระทบทางสังคม 3. **การพึ่งพาตนเอง**: มนุษย์อาจพัฒนาทักษะหรือวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา AI อีกต่อไป 4. **การเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือเศรษฐกิจ**: สภาพสังคมหรือเศรษฐกิจอาจเปลี่ยนแปลงจนทำให้การใช้ AI ไม่มีความจำเป็นหรือไม่คุ้มค่า 5. **ข้อจำกัดของ AI**: AI อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน AI ยังคงมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน และคาดว่าจะยังถูกใช้งานต่อไปในอนาคตอันใกล้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลอดเลือดหัวใจตีบ

    ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน

    การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease)

    การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

    ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว

    การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP)

    การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด

    ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

    จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว

    ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ

    Cr. Santi Manadee
    #หลอดเลือดหัวใจตีบ ในความเป็นจริงมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมายและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานจากจีน การศึกษาวิจัยเชื่อมโยงกรดไหลย้อน(GERD)กับปัจจัยเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ(Coronary artery disease) การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Translational Internal Medicine ( https://doi.org/10.1515/jtim-2024-0017 ) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับผลกระทบที่กว้างขึ้นของโรคกรดไหลย้อน (GERD) ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้แนวทางการสุ่มแบบเมนเดเลียน (MR) แบบสองทิศทางที่เข้มงวด การวิจัยนี้ให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่า GERD ซึ่งเป็นภาวะที่โดยทั่วไปถือว่าเป็นโรคของระบบย่อยอาหารซึ่งมีลักษณะคือกรดไหลย้อนและอาการเสียดท้อง อาจส่งผลต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิต โปรไฟล์ไขมัน และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ผลการศึกษาที่ก้าวล้ำครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบของกรดไหลย้อนอาจขยายออกไปนอกระบบย่อยอาหาร และอาจมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ "การวิจัยของเราเน้นย้ำว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงต่อหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้มีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับอิทธิพลของกรดไหลย้อน" Qiang Wu จากแผนกอาวุโสด้านโรคหัวใจที่ศูนย์การแพทย์ที่ 6 ของโรงพยาบาล PLA General Hospital ของจีนในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน กล่าว การใช้การสุ่มแบบเมนเดเลียนสองทิศทางให้ข้อได้เปรียบเหนือการศึกษาแบบเดิมในการควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสับสนและจัดการกับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุย้อนกลับ แนวทางนี้ซึ่งใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อทำการอนุมานเชิงสาเหตุนั้นให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการทำความเข้าใจว่ากรดไหลย้อนอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ทางหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างไร ตัวแปรทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนถูกใช้เป็นตัวแปรเครื่องมือ ทำให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบบทบาทเชิงสาเหตุที่อาจเกิดขึ้นของกรดไหลย้อนในภาวะหลอดเลือดและหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ตามที่ Qiang Su จากแผนกโรคหัวใจที่โรงพยาบาล Jiangbin ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงกล่าว การศึกษานี้ใช้แนวทาง MR สองตัวอย่าง โดยดึงข้อมูลจากการศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 600,000 คน รวมถึงผู้ป่วยกรดไหลย้อนที่ได้รับการวินิจฉัย 129,000 ราย ในขณะที่ข้อมูลหลอดเลือดและหัวใจได้มาจากกลุ่มตัวอย่างในยุโรปที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน นักวิจัยเน้นที่ตัวชี้วัดความดันโลหิตที่สำคัญ เช่น ความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ความดันชีพจร (PP) และความดันโลหิตแดงเฉลี่ย (MAP) การศึกษานี้ใช้เทคนิค MR ขั้นสูงหลายวิธี รวมถึงการวิเคราะห์ Inverse Variance Weighted (IVW) การถดถอย MR Egger และแนวทาง Weighted Median วิธีการเหล่านี้ควบคุมผลกระทบแบบ pleiotropic ซึ่งยีนหนึ่งมีผลต่อลักษณะหลายอย่าง จึงทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แนวทางที่เข้มงวดนี้ทำให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า GERD อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ผลการศึกษาวิจัยที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งคือ GERD มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับความดันโลหิตสูง นักวิจัยพบว่า GERD ที่คาดการณ์ไว้ทางพันธุกรรมมีความเชื่อมโยงกับความดันโลหิตซิสโตลิก (SBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.053, P = 0.036) และความดันโลหิตไดแอสโตลิก (DBP) ที่สูงขึ้น (β = 0.100, P < 0.001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า GERD อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จากการศึกษาพบว่ากรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์กับระดับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่เพิ่มขึ้น (β = 0.093, P < 0.001) และไตรกลีเซอไรด์ (β = 0.153, P < 0.001) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้น ในทางกลับกัน กรดไหลย้อนมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับคอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) (β = -0.115, P = 0.002) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคอเลสเตอรอล "ดี" ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากรดไหลย้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หัวใจวาย) และความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราส่วนความน่าจะเป็นของกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอยู่ที่ 1.272 (95% CI: 1.040 ถึง 1.557, P = 0.019) และสำหรับความดันโลหิตสูงอยู่ที่ 1.357 (95% CI: 1.222 ถึง 1.507, P < 0.001) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างกรดไหลย้อนและภาวะหัวใจล้มเหลว ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่ากรดไหลย้อนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ การศึกษาของเราได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวินิจฉัย แต่เนิ่นๆ และกลยุทธ์การป้องกันสำหรับโรคกรดไหลย้อนและโรคหลอดเลือดหัวใจ Cr. Santi Manadee
    DOI.ORG
    Gastroesophageal reflux disease influences blood pressure components, lipid profile and cardiovascular diseases: Evidence from a Mendelian randomization study
    Background Gastroesophageal reflux disease (GERD) is a prevalent gastrointestinal disorder associated with a range of cardiovascular and metabolic complications. However, the relationship between GERD and blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases remains unclear. Methods Leveraging genetic variants associated with GERD as instrumental variables, we performed this Mendelian randomization (MR) analyses. Blood pressure components, lipid profile parameters, as well as cardiovascular diseases were considered as outcomes. Furthermore, we conducted reverse MR analysis to explore the association of these factors with the risk of GERD. Results Our MR analysis discovered a potential causal influence of GERD on blood pressure components, with genetically predicted GERD positively associated with systolic blood pressure (β = 0.053, P = 0.036), diastolic blood pressure (β = 0.100, P < 0.001), and mean arterial pressure (β = 0.106, P < 0.001). Additionally, genetically predicted GERD showed a significant impact on lipid profile, leading to increased genetically predicted levels of low-density lipoprotein (LDL) cholesterol (β = 0.093, P < 0.001), and triglycerides (β = 0.153, P < 0.001), while having a negative effect on high-density lipoprotein (HDL) cholesterol (β = -0.115, P = 0.002). Furthermore, our study indicated a noteworthy causal association between genetically predicted GERD and increased risk of myocardial infarction [odds ratio (OR) = 1.272, P = 0.019)] and hypertension (OR = 1.357, P < 0.001). No significant association was found between GERD and pulse pressure, total cholesterol, heart failure, and atrial fibrillation ( P > 0.05). Reverse MR analysis indicates that blood pressure components, lipid profile, and cardiovascular diseases do not lead to an increased risk of GERD (all P > 0.05). Furthermore, mediation MR analysis reveals that LDL cholesterol (proportion mediated: 19.99%, 95% CI: 4.49% to 35.50%), HDL cholesterol (proportion mediated: 11.71%, 95% CI: 5.23% to 18.19%), and hypertension (proportion mediated: 35.09%, 95% CI: 24.66% to 45.53%) mediated the effect of GERD on myocardial infarction, while other factors did not participate in this pathway. Conclusions This MR study provides evidence supporting a causal relationship between GERD and alterations in blood pressure components, lipid profile, and increased risk of cardiovascular diseases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?

    มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม

    การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024
    ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่
    นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi
    และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project
    ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ

    รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง

    หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง
    และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย

    ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ

    ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน
    ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด
    อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง
    ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019

    เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด

    จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม
    ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

    ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด
    นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว

    ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก.

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ประธาน
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เพิ่มเติม
    ประชาชาติธุรกิจ
    30 ตค 2566
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่? มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024 ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019 เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธาน ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เพิ่มเติม ประชาชาติธุรกิจ 30 ตค 2566 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์สั่งยุบ NED องค์กรบังหน้า CIA หลังถูกเปิดโปงบทบาทแทรกแซงการเมืองโลก พร้อมลดขนาดสถานทูตทั่วโลก เดินหน้าปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศ

    รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เริ่มจากการระงับงบประมาณทั้งหมดของ National Endowment for Democracy (NED) องค์กรที่ก่อตั้งปี 1983 ภายใต้การอ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยบังหน้าของ CIA ในการแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ

    โดย Elon Musk หัวหน้าแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เรียก NED ว่าเป็น "องค์กรชั่วร้าย" ที่ต้องถูกยุบ สอดคล้องกับรายงานของ Center for Renewal America ที่เปิดโปงบทบาท NED ในฐานะ "ปลายหอก" ของ CIA ซึ่งจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สนับสนุนการปฏิวัติในยูเครน ทั้ง "ปฏิวัติสีส้ม" และ "ปฏิวัติไมดาน" รวมถึงสนับสนุน "การปฏิวัติสี" ในจอร์เจีย คีร์กีซสถาน และให้ทุนกลุ่มต่อต้านในเบลารุส เซอร์เบีย และอียิปต์ การตัดงบครั้งนี้ส่งผลให้ NED ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานและปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินได้

    นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้สถานทูตอเมริกันทั่วโลกลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งชาวอเมริกันและท้องถิ่นลง 10% ภายในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงานไปแล้ว 60 คน เพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์

    .
    https://www.imctnews.com/news_details-news-6728.html
    ทรัมป์สั่งยุบ NED องค์กรบังหน้า CIA หลังถูกเปิดโปงบทบาทแทรกแซงการเมืองโลก พร้อมลดขนาดสถานทูตทั่วโลก เดินหน้าปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เริ่มจากการระงับงบประมาณทั้งหมดของ National Endowment for Democracy (NED) องค์กรที่ก่อตั้งปี 1983 ภายใต้การอ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยบังหน้าของ CIA ในการแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ โดย Elon Musk หัวหน้าแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เรียก NED ว่าเป็น "องค์กรชั่วร้าย" ที่ต้องถูกยุบ สอดคล้องกับรายงานของ Center for Renewal America ที่เปิดโปงบทบาท NED ในฐานะ "ปลายหอก" ของ CIA ซึ่งจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สนับสนุนการปฏิวัติในยูเครน ทั้ง "ปฏิวัติสีส้ม" และ "ปฏิวัติไมดาน" รวมถึงสนับสนุน "การปฏิวัติสี" ในจอร์เจีย คีร์กีซสถาน และให้ทุนกลุ่มต่อต้านในเบลารุส เซอร์เบีย และอียิปต์ การตัดงบครั้งนี้ส่งผลให้ NED ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานและปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินได้ นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้สถานทูตอเมริกันทั่วโลกลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งชาวอเมริกันและท้องถิ่นลง 10% ภายในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงานไปแล้ว 60 คน เพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ . https://www.imctnews.com/news_details-news-6728.html
    Haha
    Like
    5
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • Segro บริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาและดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาคารและทรัพย์สิน ซึ่งเคยมีบทบาทในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงานเท่านั้น กำลังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์พร้อมให้บริการโดยตรงแก่ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น Amazon, Microsoft, และ Google บริษัทมีความตั้งใจที่จะเพิ่มรายได้จากค่าเช่าด้วยการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์ ซึ่งต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานเฉพาะ เช่น ระบบจ่ายพลังงานที่มีความจุสูง และระบบทำความเย็นที่ทันสมัย การเปลี่ยนแปลงนี้มีต้นทุนสูงกว่าการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงานถึงสิบเท่า แต่ก็อาจเพิ่มรายได้จากค่าเช่าได้ถึงสิบเท่าเช่นกัน

    Segro มีศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงานอยู่ 34 แห่งในลอนดอนและสโลว ซึ่งคิดเป็น 8% ของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม บริษัทมีแผนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์ในอนาคต แต่ก็มีความกังวลว่าศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์นี้อาจมีการเสื่อมคุณภาพได้เร็วกว่าศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงาน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในระยะยาว

    ความต้องการศูนย์ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับการทำงานของ AI ได้ Segro มองเห็นโอกาสในการปรับปรุงและขยายการดำเนินงานเพื่อรองรับความต้องการนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/15/uk039s-segro-plans-data-centre-strategy-shift-as-ai-booms
    Segro บริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการพัฒนาและดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาคารและทรัพย์สิน ซึ่งเคยมีบทบาทในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงานเท่านั้น กำลังเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์พร้อมให้บริการโดยตรงแก่ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ เช่น Amazon, Microsoft, และ Google บริษัทมีความตั้งใจที่จะเพิ่มรายได้จากค่าเช่าด้วยการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์ ซึ่งต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานเฉพาะ เช่น ระบบจ่ายพลังงานที่มีความจุสูง และระบบทำความเย็นที่ทันสมัย การเปลี่ยนแปลงนี้มีต้นทุนสูงกว่าการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงานถึงสิบเท่า แต่ก็อาจเพิ่มรายได้จากค่าเช่าได้ถึงสิบเท่าเช่นกัน Segro มีศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงานอยู่ 34 แห่งในลอนดอนและสโลว ซึ่งคิดเป็น 8% ของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม บริษัทมีแผนที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์ในอนาคต แต่ก็มีความกังวลว่าศูนย์ข้อมูลที่สมบูรณ์นี้อาจมีการเสื่อมคุณภาพได้เร็วกว่าศูนย์ข้อมูลที่มีเพียงการเชื่อมต่อพลังงาน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในระยะยาว ความต้องการศูนย์ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับการทำงานของ AI ได้ Segro มองเห็นโอกาสในการปรับปรุงและขยายการดำเนินงานเพื่อรองรับความต้องการนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/15/uk039s-segro-plans-data-centre-strategy-shift-as-ai-booms
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK's Segro plans data centre strategy shift as AI booms
    (Reuters) - Segro, which has historically offered data centres equipped only with power connections, plans to develop full-fledged facilities to directly serve major cloud providers like Amazon, Microsoft, and Alphabet's Google in a bid to shore up rental income.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว

  • ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่

    แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา

    ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ

    ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ

    การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก
    โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว

    นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก

    สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ 

    สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที

    อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

    ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6%

    ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
    สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้

    การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน

    อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

    คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง

    การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง

    ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ

    แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร

    ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะจัดประชุมสัมมนาสุดยอดผู้นำเทคโนโลยีของจีน งานนี้เชิญแจ๊ก หม่ากลับคืนเวที ถือเป็นกลยุทธ์การระดมความรู้และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทนำการพัฒนาจีนเป็นผู้นำโลกยุคใหม่ แหล่งข่าวเผยว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เตรียมจัดการประชุมสัมมนาเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชนในสัปดาห์หน้า โดยมีผู้นำธุรกิจของประเทศเข้าร่วมด้วย รวมถึงแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งร่วมของบริษัทอาลีบาบา ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แทบไม่เคยจัดการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับภาคเอกชนเลย และงานดังกล่าวตอกย้ำความท้าทายมากมายที่บริษัทจีนต้องเผชิญ ตั้งแต่ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงการเติบโตที่ชะงักงันของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ประกอบการจำนวนมากจะเป็นผู้ประกอบการจากภาคเทคโนโลยี และคาดว่าสี จิ้นผิง จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แหล่งข่าว 2 รายระบุ การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีขึ้นในวันจันทร์หน้า แหล่งข่าวระบุ ข่าวการประชุมดังกล่าวรายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นครั้งแรก โพนี่ หม่า ซีอีโอของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Tencent มีกำหนดที่จะเข้าร่วม แหล่งข่าวสองรายระบุว่า เล่ย จุน ซีอีโอของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xiaomi รวมถึงหวัง ซิงซิง ผู้ก่อตั้งบริษัทหุ่นยนต์ Yushu Technology ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมเช่นกัน แหล่งข่าวหนึ่งกล่าว นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei Technologies ยังคาดว่าจะเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek จะเข้าร่วมด้วย เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกเทคโนโลยีด้วยโมเดลที่บริษัทอ้างว่าพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวของคู่แข่งจากตะวันตก สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ติดต่อกับบุคคลสำคัญทั้ง 5 รายที่ทราบเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดขอสงวนนามเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ  สำนักงานข้อมูลของคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ตอบคำถามสื่อในนามของผู้นำประเทศ ไม่ได้ตอบคำถามของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวในทันที อาลีบาบา เทนเซนต์ เสี่ยวหมี่ หัวเว่ย ยู่ชู่ และดีพซีค ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ ปรากฏว่าหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงของอาลีบาบา เทนเซนต์ และเสี่ยวหมี่ พุ่งขึ้นต่อเนื่องในการซื้อขายช่วงบ่ายตามข่าว โดยเสี่ยวหมี่ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 7% นอกจากนี้ เทนเซนต์ยังปิดตลาดสูงขึ้น 7% ในขณะที่อาลีบาบาปิดตลาดที่ระดับ 6% ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สีจิ้นผิงเป็นประธานการประชุมสัมมนาระดับสูงสำหรับภาคเอกชนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งเป็นเวลา 6 ปีหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่ง ในเวลานั้น เขาให้คำมั่นว่าจะลดหย่อนภาษีและสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน พร้อมทั้งยืนยันว่าบริษัทเอกชนจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนทางการเงินได้ การเข้าร่วมการประชุมสัมมนาที่วางแผนไว้ของแจ็ค หม่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังได้ถอนตัวออกจากชีวิตสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่ Ant บริษัทฟินเทคของเขาถูกทางการสั่งระงับการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในปี 2020 ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดจากคำปราศรัยของเขาในปีนั้นที่วิจารณ์ระบบการกำกับดูแลของจีน อาณาจักรธุรกิจของเขาและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นก็ตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามทางการ โดยช่วงเวลาที่เขาอยู่ห่างจากจุดสนใจเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกผันของโชคชะตาสำหรับภาคเอกชนของจีน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของจีนในการบรรลุ "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" โดยกล่าวว่าบริษัทเอกชนควร "ร่ำรวยและเปี่ยมด้วยความรัก" เช่นเดียวกับ "รักชาติ" และแบ่งปันผลจากการเติบโตของตนกับพนักงานอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นการขัดขวางความเกินพอดีในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นเบรกในการลงทุนที่มีความเสี่ยง การเข้าร่วมของผู้ก่อตั้ง DeepSeek อย่าง Liang จะช่วยเสริมสถานะใหม่ที่เพิ่งค้นพบของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ให้กลายเป็นผู้พลิกผันครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก เมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสัมมนาแบบปิดที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เชียง ประธานาธิบดีสีเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนต้องบรรลุความพอเพียงในตัวเองในด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลานาน และต้องการให้ประเทศใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ความพยายามของจีนถูกขัดขวางโดยมาตรการควบคุมการส่งออกชิปที่บังคับใช้โดยวอชิงตัน ซึ่งกังวลว่าปักกิ่งอาจใช้เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร ที่มา Xi to chair symposium attended by Jack Ma and other Chinese business leaders, sources say - https://www.reuters.com/world/china/xi-chair-symposium-attended-by-jack-ma-other-chinese-business-leaders-sources-2025-02-14/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อไม่นานมานี้ มีคำตัดสินที่สำคัญในวงการเทคโนโลยีและกฎหมายที่มีผลกระทบใหญ่ในอนาคต คำตัดสินนี้เป็นกรณีแรกที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลรัฐบาลกลางในเดลาแวร์ได้ตัดสินให้ Thomson Reuters ชนะคดีที่ฟ้องร้อง Ross Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการวิจัยกฎหมายของ Thomson Reuters ชื่อว่า Westlaw เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านกฎหมายที่เป็นคู่แข่งกัน

    ศาลปฏิเสธข้ออ้างการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) ของ Ross Intelligence ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่บริษัท AI มักใช้ในการโต้เถียงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยผู้พิพากษา Stephanos Bibas กล่าวในคำตัดสินว่า "ไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ ของ Ross ที่สมเหตุสมผล ผมปฏิเสธทั้งหมด"

    คดีนี้เน้นไปที่ AI ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลเดิม เช่น โมเดลภาษาใหญ่ (large language models) แต่ใช้ข้อมูลโดยตรงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่ง คำตัดสินนี้อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม AI และอาจทำให้การโต้เถียงเรื่องการใช้งานที่เป็นธรรมยากขึ้นสำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนาระบบ AI อื่นๆ เช่น OpenAI, Microsoft และ Meta Platforms

    การตัดสินนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาลิขสิทธิ์ในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น และทำให้เราเห็นว่าศาลยังคงเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์

    https://www.techspot.com/news/106738-federal-judge-rules-against-ai-company-major-copyright.html
    เมื่อไม่นานมานี้ มีคำตัดสินที่สำคัญในวงการเทคโนโลยีและกฎหมายที่มีผลกระทบใหญ่ในอนาคต คำตัดสินนี้เป็นกรณีแรกที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา โดยศาลรัฐบาลกลางในเดลาแวร์ได้ตัดสินให้ Thomson Reuters ชนะคดีที่ฟ้องร้อง Ross Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการวิจัยกฎหมายของ Thomson Reuters ชื่อว่า Westlaw เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านกฎหมายที่เป็นคู่แข่งกัน ศาลปฏิเสธข้ออ้างการใช้งานที่เป็นธรรม (fair use) ของ Ross Intelligence ซึ่งเป็นข้ออ้างสำคัญที่บริษัท AI มักใช้ในการโต้เถียงเรื่องลิขสิทธิ์ โดยผู้พิพากษา Stephanos Bibas กล่าวในคำตัดสินว่า "ไม่มีข้อแก้ต่างใดๆ ของ Ross ที่สมเหตุสมผล ผมปฏิเสธทั้งหมด" คดีนี้เน้นไปที่ AI ที่ไม่ได้สร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลเดิม เช่น โมเดลภาษาใหญ่ (large language models) แต่ใช้ข้อมูลโดยตรงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นคู่แข่ง คำตัดสินนี้อาจมีผลกระทบที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม AI และอาจทำให้การโต้เถียงเรื่องการใช้งานที่เป็นธรรมยากขึ้นสำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนาระบบ AI อื่นๆ เช่น OpenAI, Microsoft และ Meta Platforms การตัดสินนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาลิขสิทธิ์ในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น และทำให้เราเห็นว่าศาลยังคงเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ https://www.techspot.com/news/106738-federal-judge-rules-against-ai-company-major-copyright.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal judge delivers first major AI copyright ruling against startup
    The case, filed in 2020, accused Ross Intelligence of reproducing materials from Thomson Reuters' Westlaw legal research database to build a competing AI-powered legal platform. Judge Bibas...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • Anthropic เพิ่งเปิดเผยข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับการใช้งาน Claude AI ซึ่งเป็นแชทบอทที่ช่วยในงานต่างๆ โดยใช้ข้อมูลจากการสนทนาแบบไม่ระบุตัวตน 1 ล้านครั้ง พบว่าคนที่ใช้ Claude AI มากที่สุดคือพนักงานที่ทำงานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับการตรวจสอบและแก้ไขโค้ด (debugging) และการแก้ปัญหาเครือข่าย (network troubleshooting)

    ที่น่าสนใจคือ กลุ่มงานด้านศิลปะและการเขียนก็ติดอันดับด้วย โดยมีการใช้ Claude AI ในการเขียนและแก้ไขเนื้อหาประมาณ 10.3% ของการสนทนาทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบว่า AI ถูกใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาในอัตราสูงเช่นกัน

    การวิจัยนี้ยังชี้ให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์ได้ถึง 57% และทำงานแทนมนุษย์โดยตรงถึง 43%

    ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ:

    - งานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ส่วนใหญ่จะมีระดับรายได้ปานกลางถึงสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล

    - มีการเปิดเผยว่า 4% ของงานใช้ AI ในการทำงานมากกว่า 75% ของเวลา และ 36% ของงานมีการใช้ AI อย่างน้อย 25% ของเวลา

    - งานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI สูงที่สุดคืองานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น การทำวิจัยและการผลิตสื่อบันเทิง

    อนาคตของการใช้ AI อาจทำให้บทบาทงานเปลี่ยนแปลงไปแทนที่จะหายไปทั้งหมด AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมความสามารถของมนุษย์ในหลายๆ ด้าน

    https://www.zdnet.com/article/the-work-tasks-people-use-claude-ai-for-most-according-to-anthropic/
    Anthropic เพิ่งเปิดเผยข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับการใช้งาน Claude AI ซึ่งเป็นแชทบอทที่ช่วยในงานต่างๆ โดยใช้ข้อมูลจากการสนทนาแบบไม่ระบุตัวตน 1 ล้านครั้ง พบว่าคนที่ใช้ Claude AI มากที่สุดคือพนักงานที่ทำงานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับการตรวจสอบและแก้ไขโค้ด (debugging) และการแก้ปัญหาเครือข่าย (network troubleshooting) ที่น่าสนใจคือ กลุ่มงานด้านศิลปะและการเขียนก็ติดอันดับด้วย โดยมีการใช้ Claude AI ในการเขียนและแก้ไขเนื้อหาประมาณ 10.3% ของการสนทนาทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบว่า AI ถูกใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาในอัตราสูงเช่นกัน การวิจัยนี้ยังชี้ให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์ได้ถึง 57% และทำงานแทนมนุษย์โดยตรงถึง 43% ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ: - งานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ส่วนใหญ่จะมีระดับรายได้ปานกลางถึงสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล - มีการเปิดเผยว่า 4% ของงานใช้ AI ในการทำงานมากกว่า 75% ของเวลา และ 36% ของงานมีการใช้ AI อย่างน้อย 25% ของเวลา - งานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI สูงที่สุดคืองานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น การทำวิจัยและการผลิตสื่อบันเทิง อนาคตของการใช้ AI อาจทำให้บทบาทงานเปลี่ยนแปลงไปแทนที่จะหายไปทั้งหมด AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมความสามารถของมนุษย์ในหลายๆ ด้าน https://www.zdnet.com/article/the-work-tasks-people-use-claude-ai-for-most-according-to-anthropic/
    WWW.ZDNET.COM
    The work tasks people use Claude AI for most, according to Anthropic
    Anthropic's first Economic Index sheds light on who's using AI for what, and how much of our work it's actually automating.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ผมร่วง (alopecia)

    ผมร่วงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย แม้ว่าจะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ใครๆ ก็สามารถร่วงได้รวมถึงเด็กน้อย ผมร่วงอาจค่อยๆ เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีหรือเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง

    ตามรายงานของ American Academy of Dermatology (AAD) เป็นเรื่องปกติที่เส้นผมจะร่วงระหว่าง 50 ถึง 100 เส้นต่อวัน เนื่องจากมีเส้นผมประมาณ 100,000 เส้นบนศีรษะ การร่วงเล็กน้อยนั้นจึงไม่สังเกตเห็นได้ชัด โดยปกติแล้วผมใหม่จะเข้ามาแทนที่ผมที่เสียไป แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป

    อาการผมร่วง

    คือผมร่วงมากกว่าปกติ แต่ก็สามารถระบุได้ยาก

    อาการต่อไปนี้สามารถบ่งบอกบางอย่างได้:

    • ส่วนที่ขยายหากคุณแสกผม คุณอาจเริ่มสังเกตเห็นว่าส่วนนั้นของคุณกว้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการผมบาง

    • หากคุณสังเกตเห็นเส้นผมของคุณดูฟูกว่าปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณของการร่วงหล่นของเส้นผม

    • ผมหลวม ให้ตรวจสอบแปรงหรือหวีหลังใช้งาน ถ้าเส้นผมมีมากกว่าปกติ นี่อาจเป็นสัญญาณของการร่วงของเส้นผม

    • ท่อระบายน้ำอุดตันคุณอาจพบว่าท่อระบายในห้องอาบน้ำของคุณมีเส้นผมอุดตัน

    • ปวดหรือคัน หากคุณมีสภาพผิวหนังที่ซ่อนอยู่ซึ่งทำให้ผมร่วง คุณอาจรู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการคันบนหนังศีรษะด้วย

    ประเภทของผมร่วง

    ผมร่วงมีหลายประเภท บางชนิดก็พบได้บ่อยและบางชนิดพบได้ยาก และแต่ละประเภทมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป:

    - ผมร่วงแบบแอนโดรเจน

    Androgenic alopecia หมายถึงผมร่วงทางพันธุกรรม เช่น ศีรษะล้านแบบเพศชายหรือศีรษะล้านแบบเพศหญิง และเรียกอีกอย่างว่า "pattern alopecia" เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งชายและหญิง

    นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของผมร่วงที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนมากถึง 50%

    ผมร่วงที่เกี่ยวข้องกับผมร่วงแบบแอนโดรเจนมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น แม้ว่าบางคนอาจมีอาการผมร่วงตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แต่บางคนอาจไม่สังเกตเห็นอาการจนกว่าจะถึงวัยกลางคน

    ศีรษะล้านแบบผู้หญิงมักส่งผลให้หนังศีรษะบางลง และอาจดูเหมือนกว้างขึ้น โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหลังอายุ 65 ปี แต่สำหรับผู้หญิงบางคน อาจเกิดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

    ศีรษะล้านแบบผู้ชายมักเกี่ยวข้องกับผมร่วงที่มากขึ้นบริเวณขมับและผมบางที่กระหม่อม ทำให้เกิดรูปร่างเป็นรูปตัว "M"

    - ผมร่วงเป็นหย่อม

    ผมร่วงเป็นหย่อมเป็นภาวะแพ้ภูมิตนเองที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณโจมตีรูขุมขน ส่งผลให้เกิดปื้นหัวล้านที่มีตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ ในบางกรณีอาจทำให้ผมร่วงโดยสิ้นเชิง

    นอกจากผมร่วงบนหนังศีรษะแล้ว บางคนยังร่วงบริเวณคิ้ว ขนตา หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย

    - Anagen effluvium

    Anagen effluvium เกี่ยวข้องกับการร่วงของเส้นผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักเกิดขึ้นเนื่องจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัด

    โดยปกติแล้วผมจะขึ้นใหม่หลังจากหยุดการรักษา

    - เทโลเจน เอฟฟลูเวียม

    Telogen effluvium คืออาการผมร่วงอย่างกะทันหันประเภทหนึ่งที่เป็นผลจากภาวะช็อกทางอารมณ์หรือร่างกาย เช่น เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ช่วงเวลาของความเครียดอย่างรุนแรง หรือการเจ็บป่วยร้ายแรง

    นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น:

    • หลังคลอด

    • วัยหมดประจำเดือน

    • กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

    สาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ของ telogen effluvium ได้แก่:

    • ภาวะทุพโภชนาการรวมทั้งการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ

    • ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางอย่าง

    • เริ่มหรือหยุดการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน

    • หลังการผ่าตัดอันเป็นผลจากการดมยาสลบ

    • การเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือการติดเชื้อรุนแรง เช่น โควิด-19

    ยาหลายชนิดสามารถทำให้เกิดอาการนี้ได้ เช่น:

    • สารกันเลือดแข็ง

    • ยากันชัก

    • เรตินอยด์ในช่องปาก

    • ตัวบล็อคเบต้า

    • ยารักษาโรคไทรอยด์

    ผมร่วงประเภทนี้มักจะหายไปเองเมื่อแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงแล้ว

    - Tinea capitis

    Tinea capitis หรือที่เรียกว่ากลากของหนังศีรษะคือการติดเชื้อราที่อาจส่งผลต่อหนังศีรษะและเส้นผม ทำให้เกิดปื้นเล็กๆ ที่เป็นสะเก็ดและคัน เมื่อเวลาผ่านไปหากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ขนาดของแผ่นแปะจะเพิ่มขึ้นและเต็มไปด้วยหนอง

    บางครั้งเรียกว่า kerion อาจทำให้เกิดแผลเป็นได้เช่นกัน

    อาการอื่นๆ ได้แก่:

    • ผมเปราะแตกหักง่าย

    • หนังศีรษะนุ่มและบวม

    • ผิวหนังเป็นหย่อมๆ มีลักษณะเป็นสีเทาหรือแดง

    สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านเชื้อรา

    -Traction alopecia (ผมร่วงฉุด)

    ผมร่วงจากการดึงรั้งเป็นผลมาจากแรงกดทับบนเส้นผมมากเกินไป โดยมักเกิดจากการสวมผมที่รัดแน่น เช่น การถักเปีย ผมหางม้า หรือมวยผม

    มีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผม:

    • เก็บทรงผมให้หลวมหากคุณจัดแต่งทรงผมเป็นเปีย มวยหรือผมหางม้าเป็นประจำ พยายามปล่อยผมหลวมๆ เพื่อไม่ให้กดดันผมมากเกินไป

    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นผมพยายามอย่าดึง บิด หรือถูผมให้มากที่สุด

    • ซับผมให้แห้งหลังจากสระผมแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูซับผมให้แห้งเบาๆ หลีกเลี่ยงการถูผมด้วยผ้าขนหนูหรือบิดผมภายในผ้าขนหนู

    • ตั้งเป้ารับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารอย่างสมดุลพยายามรวมธาตุเหล็กและโปรตีนจำนวนมากไว้ในของว่างและอาหาร

    ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือจัดแต่งทรงผมเป็นสาเหตุของอาการผมร่วงที่พบบ่อยเช่นกัน ตัวอย่างผลิตภัณฑ์หรือเครื่องมือที่อาจส่งผลต่อผมร่วง ได้แก่:

    • เครื่องเป่าลม

    • หวีอุ่น

    • เครื่องหนีบผม

    • ผลิตภัณฑ์ระบายสี

    • สารฟอกขาว

    • ดัดผม

    หากคุณตัดสินใจจัดแต่งทรงผมโดยใช้อุปกรณ์ทำความร้อน ให้ทำเฉพาะตอนที่ผมแห้งแล้วใช้การตั้งค่าที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    หากคุณกำลังผมร่วงอยู่ ให้ใช้แชมพูเด็กสูตรเกลือเพื่อสระผม

    เคล็ดลับการรักษาผมเพื่อการเจริญเติบโตของเส้นผม

    1. นวด

    การนวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันผมและมาส์กช่วยกระตุ้นหนังศีรษะและอาจเพิ่มความหนาของเส้นผม

    การยืดกล้ามเนื้อระหว่างการนวดสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมและความหนาในเซลล์ตุ่มผิวหนังซึ่งอยู่ที่ด้านล่างของรูขุมขน เซลล์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในวงจรการงอกใหม่และการเจริญเติบโตของเส้นผม

    การศึกษาปี 2019 แสดงให้เห็นว่าการนวดหนังศีรษะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผม การไหลเวียนของเลือด และสุขภาพหนังศีรษะในผู้คน การนวดหนังศีรษะยังช่วยลดความเครียดและความตึงเครียด ซึ่งเป็นสองอารมณ์ที่อาจทำให้ผมร่วงได้

    หากต้องการนวดหนังศีรษะ ให้ใช้ปลายนิ้ว ไม่ใช่เล็บ เคลื่อนไปทั่วหนังศีรษะเป็นวงกลมเล็กๆ โดยใช้แรงกดเบาถึงปานกลาง การนวดไม่มีเวลาจำกัด อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาข้างต้น มีการนวดหนังศีรษะแต่ละครั้งทุกวันเป็นเวลา 4 นาที เป็นเวลา 24 สัปดาห์

    2. ว่านหางจระเข้

    ว่านหางจระเข้อาจช่วยรักษาอาการผมร่วงได้ หลักฐาน แสดงให้เห็นว่าว่านหางจระเข้อาจช่วยได้โดย:

    • ผ่อนคลายหนังศีรษะของคุณ

    • ปรับสภาพเส้นผมของคุณ

    • ลดรังแค

    • ปลดบล็อกรูขุมขน

    คุณสามารถทาเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์บนหนังศีรษะได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ คุณยังสามารถใช้แชมพูและครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ได้

    3.น้ำมันมะพร้าว

    น้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันที่เรียกว่ากรดลอริก ซึ่งแทรกซึมเข้าไปภายในเส้นผมและลดการสูญเสียโปรตีนจากเส้นผม

    การศึกษาปี 2021 ยังพบว่าน้ำมันมะพร้าวที่ทาบนหนังศีรษะอาจเพิ่มคุณค่าให้กับไมโครไบโอมของหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะและรูขุมขนมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    น้ำมันมะพร้าวสามารถใช้ได้ก่อนหรือหลังสระผม ขึ้นอยู่กับประเภทเส้นผมของคุณ หากผมของคุณมีแนวโน้มที่จะมัน คุณสามารถทำทรีตเมนต์ทิ้งไว้ข้ามคืนหรือสองสามชั่วโมงก่อนสระผมได้

    นวดน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วหนังศีรษะและเส้นผมทั้งหมด หากผมของคุณแห้ง คุณสามารถใช้เป็นทรีทเม้นต์แบบไม่ต้องล้างออกก็ได้

    4.ไขมันโอเมก้า 3

    ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันคริลเต็มไปด้วยสารอาหาร เช่น โปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า 3

    การศึกษาปี 2015 พบว่าการรับประทานอาหารเสริมโอเมก้า3ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผมและลดผมร่วงได้

    กรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกัน สิ่งเหล่านี้อาจช่วยเพิ่มวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม และปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของคุณ

    5.โสม

    การทานอาหารเสริมโสมอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมโดยการกระตุ้นรูขุมขน Ginsenosides เป็นส่วนประกอบออกฤทธิ์ของโสมและคิดว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อผลเชิงบวกของโสมต่อเส้นผม

    6. น้ำหัวหอม

    หากคุณสามารถรับมือกับกลิ่นของน้ำหัวหอมได้ คุณอาจพบว่าคุณประโยชน์ต่างๆ นั้นคุ้มค่า

    การศึกษาปี 2014 พบว่าน้ำหัวหอมอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมและรักษาผมร่วงเป็นหย่อมๆ นี่คือภาวะภูมิต้านตนเองที่ร่างกายโจมตีรูขุมขน ทำให้ผมร่วงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

    น้ำหัวหอมยังเชื่อกันว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต การศึกษาในสัตว์ทดลองในปี 2015 พบว่าปัจจัยการเจริญเติบโตของเคราติโนไซต์ดีขึ้น ซึ่งเป็นสื่อกลางที่สำคัญในการพัฒนาและการเจริญเติบโตของรูขุมขน

    หากต้องการใช้น้ำหัวหอม ให้ปั่นหัวหอม 2-3 หัวแล้วบีบน้ำออก ใช้น้ำบนหนังศีรษะและเส้นผมของคุณแล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที จากนั้นตามด้วยแชมพู

    7.น้ำมันมะนาว

    การศึกษาในสัตว์ทดลองในปี 2016 พบว่าน้ำมันมะนาวอาจช่วยรักษาหนังศีรษะให้แข็งแรงและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ในทำนองเดียวกัน บทวิจารณ์ปี 2021 แนะนำว่ากรดซินาปิกซึ่งเป็นสารเคมีออกฤทธิ์ทางชีวภาพในมะนาวอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม

    ใช้น้ำมะนาวสดกับหนังศีรษะและเส้นผมของคุณ 15 นาทีก่อนสระผม คุณยังสามารถใช้น้ำมันหอมระเหยมะนาว เจือจางในน้ำมันตัวพาเป็นส่วนหนึ่งของมาส์กผมได้

    พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหากคุณผมร่วงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผมร่วงร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น:

    • ความเหนื่อยล้า

    • ความวิตกกังวล

    • อาการคัน

    • อารมณ์เปลี่ยนแปลง

    ผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำ

    Fixx pro
    K cal
    Paa super h
    Alovi
    Praow
    Are shampoo
    Are treatment

    Cr. Santi Manadee
    #ผมร่วง (alopecia) ผมร่วงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย แม้ว่าจะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ใครๆ ก็สามารถร่วงได้รวมถึงเด็กน้อย ผมร่วงอาจค่อยๆ เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีหรือเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง ตามรายงานของ American Academy of Dermatology (AAD) เป็นเรื่องปกติที่เส้นผมจะร่วงระหว่าง 50 ถึง 100 เส้นต่อวัน เนื่องจากมีเส้นผมประมาณ 100,000 เส้นบนศีรษะ การร่วงเล็กน้อยนั้นจึงไม่สังเกตเห็นได้ชัด โดยปกติแล้วผมใหม่จะเข้ามาแทนที่ผมที่เสียไป แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป อาการผมร่วง คือผมร่วงมากกว่าปกติ แต่ก็สามารถระบุได้ยาก อาการต่อไปนี้สามารถบ่งบอกบางอย่างได้: • ส่วนที่ขยายหากคุณแสกผม คุณอาจเริ่มสังเกตเห็นว่าส่วนนั้นของคุณกว้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการผมบาง • หากคุณสังเกตเห็นเส้นผมของคุณดูฟูกว่าปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณของการร่วงหล่นของเส้นผม • ผมหลวม ให้ตรวจสอบแปรงหรือหวีหลังใช้งาน ถ้าเส้นผมมีมากกว่าปกติ นี่อาจเป็นสัญญาณของการร่วงของเส้นผม • ท่อระบายน้ำอุดตันคุณอาจพบว่าท่อระบายในห้องอาบน้ำของคุณมีเส้นผมอุดตัน • ปวดหรือคัน หากคุณมีสภาพผิวหนังที่ซ่อนอยู่ซึ่งทำให้ผมร่วง คุณอาจรู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการคันบนหนังศีรษะด้วย ประเภทของผมร่วง ผมร่วงมีหลายประเภท บางชนิดก็พบได้บ่อยและบางชนิดพบได้ยาก และแต่ละประเภทมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป: - ผมร่วงแบบแอนโดรเจน Androgenic alopecia หมายถึงผมร่วงทางพันธุกรรม เช่น ศีรษะล้านแบบเพศชายหรือศีรษะล้านแบบเพศหญิง และเรียกอีกอย่างว่า "pattern alopecia" เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งชายและหญิง นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของผมร่วงที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนมากถึง 50% ผมร่วงที่เกี่ยวข้องกับผมร่วงแบบแอนโดรเจนมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น แม้ว่าบางคนอาจมีอาการผมร่วงตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แต่บางคนอาจไม่สังเกตเห็นอาการจนกว่าจะถึงวัยกลางคน ศีรษะล้านแบบผู้หญิงมักส่งผลให้หนังศีรษะบางลง และอาจดูเหมือนกว้างขึ้น โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นหลังอายุ 65 ปี แต่สำหรับผู้หญิงบางคน อาจเกิดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ศีรษะล้านแบบผู้ชายมักเกี่ยวข้องกับผมร่วงที่มากขึ้นบริเวณขมับและผมบางที่กระหม่อม ทำให้เกิดรูปร่างเป็นรูปตัว "M" - ผมร่วงเป็นหย่อม ผมร่วงเป็นหย่อมเป็นภาวะแพ้ภูมิตนเองที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณโจมตีรูขุมขน ส่งผลให้เกิดปื้นหัวล้านที่มีตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ ในบางกรณีอาจทำให้ผมร่วงโดยสิ้นเชิง นอกจากผมร่วงบนหนังศีรษะแล้ว บางคนยังร่วงบริเวณคิ้ว ขนตา หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย - Anagen effluvium Anagen effluvium เกี่ยวข้องกับการร่วงของเส้นผมอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักเกิดขึ้นเนื่องจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัด โดยปกติแล้วผมจะขึ้นใหม่หลังจากหยุดการรักษา - เทโลเจน เอฟฟลูเวียม Telogen effluvium คืออาการผมร่วงอย่างกะทันหันประเภทหนึ่งที่เป็นผลจากภาวะช็อกทางอารมณ์หรือร่างกาย เช่น เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ ช่วงเวลาของความเครียดอย่างรุนแรง หรือการเจ็บป่วยร้ายแรง นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น: • หลังคลอด • วัยหมดประจำเดือน • กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) สาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ของ telogen effluvium ได้แก่: • ภาวะทุพโภชนาการรวมทั้งการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ • ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางอย่าง • เริ่มหรือหยุดการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน • หลังการผ่าตัดอันเป็นผลจากการดมยาสลบ • การเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือการติดเชื้อรุนแรง เช่น โควิด-19 ยาหลายชนิดสามารถทำให้เกิดอาการนี้ได้ เช่น: • สารกันเลือดแข็ง • ยากันชัก • เรตินอยด์ในช่องปาก • ตัวบล็อคเบต้า • ยารักษาโรคไทรอยด์ ผมร่วงประเภทนี้มักจะหายไปเองเมื่อแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงแล้ว - Tinea capitis Tinea capitis หรือที่เรียกว่ากลากของหนังศีรษะคือการติดเชื้อราที่อาจส่งผลต่อหนังศีรษะและเส้นผม ทำให้เกิดปื้นเล็กๆ ที่เป็นสะเก็ดและคัน เมื่อเวลาผ่านไปหากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ขนาดของแผ่นแปะจะเพิ่มขึ้นและเต็มไปด้วยหนอง บางครั้งเรียกว่า kerion อาจทำให้เกิดแผลเป็นได้เช่นกัน อาการอื่นๆ ได้แก่: • ผมเปราะแตกหักง่าย • หนังศีรษะนุ่มและบวม • ผิวหนังเป็นหย่อมๆ มีลักษณะเป็นสีเทาหรือแดง สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านเชื้อรา -Traction alopecia (ผมร่วงฉุด) ผมร่วงจากการดึงรั้งเป็นผลมาจากแรงกดทับบนเส้นผมมากเกินไป โดยมักเกิดจากการสวมผมที่รัดแน่น เช่น การถักเปีย ผมหางม้า หรือมวยผม มีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผม: • เก็บทรงผมให้หลวมหากคุณจัดแต่งทรงผมเป็นเปีย มวยหรือผมหางม้าเป็นประจำ พยายามปล่อยผมหลวมๆ เพื่อไม่ให้กดดันผมมากเกินไป • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเส้นผมพยายามอย่าดึง บิด หรือถูผมให้มากที่สุด • ซับผมให้แห้งหลังจากสระผมแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูซับผมให้แห้งเบาๆ หลีกเลี่ยงการถูผมด้วยผ้าขนหนูหรือบิดผมภายในผ้าขนหนู • ตั้งเป้ารับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารอย่างสมดุลพยายามรวมธาตุเหล็กและโปรตีนจำนวนมากไว้ในของว่างและอาหาร ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือจัดแต่งทรงผมเป็นสาเหตุของอาการผมร่วงที่พบบ่อยเช่นกัน ตัวอย่างผลิตภัณฑ์หรือเครื่องมือที่อาจส่งผลต่อผมร่วง ได้แก่: • เครื่องเป่าลม • หวีอุ่น • เครื่องหนีบผม • ผลิตภัณฑ์ระบายสี • สารฟอกขาว • ดัดผม หากคุณตัดสินใจจัดแต่งทรงผมโดยใช้อุปกรณ์ทำความร้อน ให้ทำเฉพาะตอนที่ผมแห้งแล้วใช้การตั้งค่าที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากคุณกำลังผมร่วงอยู่ ให้ใช้แชมพูเด็กสูตรเกลือเพื่อสระผม เคล็ดลับการรักษาผมเพื่อการเจริญเติบโตของเส้นผม 1. นวด การนวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันผมและมาส์กช่วยกระตุ้นหนังศีรษะและอาจเพิ่มความหนาของเส้นผม การยืดกล้ามเนื้อระหว่างการนวดสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมและความหนาในเซลล์ตุ่มผิวหนังซึ่งอยู่ที่ด้านล่างของรูขุมขน เซลล์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในวงจรการงอกใหม่และการเจริญเติบโตของเส้นผม การศึกษาปี 2019 แสดงให้เห็นว่าการนวดหนังศีรษะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผม การไหลเวียนของเลือด และสุขภาพหนังศีรษะในผู้คน การนวดหนังศีรษะยังช่วยลดความเครียดและความตึงเครียด ซึ่งเป็นสองอารมณ์ที่อาจทำให้ผมร่วงได้ หากต้องการนวดหนังศีรษะ ให้ใช้ปลายนิ้ว ไม่ใช่เล็บ เคลื่อนไปทั่วหนังศีรษะเป็นวงกลมเล็กๆ โดยใช้แรงกดเบาถึงปานกลาง การนวดไม่มีเวลาจำกัด อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาข้างต้น มีการนวดหนังศีรษะแต่ละครั้งทุกวันเป็นเวลา 4 นาที เป็นเวลา 24 สัปดาห์ 2. ว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้อาจช่วยรักษาอาการผมร่วงได้ หลักฐาน แสดงให้เห็นว่าว่านหางจระเข้อาจช่วยได้โดย: • ผ่อนคลายหนังศีรษะของคุณ • ปรับสภาพเส้นผมของคุณ • ลดรังแค • ปลดบล็อกรูขุมขน คุณสามารถทาเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์บนหนังศีรษะได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ คุณยังสามารถใช้แชมพูและครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ได้ 3.น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันที่เรียกว่ากรดลอริก ซึ่งแทรกซึมเข้าไปภายในเส้นผมและลดการสูญเสียโปรตีนจากเส้นผม การศึกษาปี 2021 ยังพบว่าน้ำมันมะพร้าวที่ทาบนหนังศีรษะอาจเพิ่มคุณค่าให้กับไมโครไบโอมของหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะและรูขุมขนมีสุขภาพที่ดีขึ้น น้ำมันมะพร้าวสามารถใช้ได้ก่อนหรือหลังสระผม ขึ้นอยู่กับประเภทเส้นผมของคุณ หากผมของคุณมีแนวโน้มที่จะมัน คุณสามารถทำทรีตเมนต์ทิ้งไว้ข้ามคืนหรือสองสามชั่วโมงก่อนสระผมได้ นวดน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วหนังศีรษะและเส้นผมทั้งหมด หากผมของคุณแห้ง คุณสามารถใช้เป็นทรีทเม้นต์แบบไม่ต้องล้างออกก็ได้ 4.ไขมันโอเมก้า 3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันคริลเต็มไปด้วยสารอาหาร เช่น โปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า 3 การศึกษาปี 2015 พบว่าการรับประทานอาหารเสริมโอเมก้า3ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผมและลดผมร่วงได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยลดการอักเสบและเพิ่มภูมิคุ้มกัน สิ่งเหล่านี้อาจช่วยเพิ่มวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม และปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของคุณ 5.โสม การทานอาหารเสริมโสมอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมโดยการกระตุ้นรูขุมขน Ginsenosides เป็นส่วนประกอบออกฤทธิ์ของโสมและคิดว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อผลเชิงบวกของโสมต่อเส้นผม 6. น้ำหัวหอม หากคุณสามารถรับมือกับกลิ่นของน้ำหัวหอมได้ คุณอาจพบว่าคุณประโยชน์ต่างๆ นั้นคุ้มค่า การศึกษาปี 2014 พบว่าน้ำหัวหอมอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมและรักษาผมร่วงเป็นหย่อมๆ นี่คือภาวะภูมิต้านตนเองที่ร่างกายโจมตีรูขุมขน ทำให้ผมร่วงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย น้ำหัวหอมยังเชื่อกันว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต การศึกษาในสัตว์ทดลองในปี 2015 พบว่าปัจจัยการเจริญเติบโตของเคราติโนไซต์ดีขึ้น ซึ่งเป็นสื่อกลางที่สำคัญในการพัฒนาและการเจริญเติบโตของรูขุมขน หากต้องการใช้น้ำหัวหอม ให้ปั่นหัวหอม 2-3 หัวแล้วบีบน้ำออก ใช้น้ำบนหนังศีรษะและเส้นผมของคุณแล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที จากนั้นตามด้วยแชมพู 7.น้ำมันมะนาว การศึกษาในสัตว์ทดลองในปี 2016 พบว่าน้ำมันมะนาวอาจช่วยรักษาหนังศีรษะให้แข็งแรงและกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ในทำนองเดียวกัน บทวิจารณ์ปี 2021 แนะนำว่ากรดซินาปิกซึ่งเป็นสารเคมีออกฤทธิ์ทางชีวภาพในมะนาวอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม ใช้น้ำมะนาวสดกับหนังศีรษะและเส้นผมของคุณ 15 นาทีก่อนสระผม คุณยังสามารถใช้น้ำมันหอมระเหยมะนาว เจือจางในน้ำมันตัวพาเป็นส่วนหนึ่งของมาส์กผมได้ พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหากคุณผมร่วงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผมร่วงร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น: • ความเหนื่อยล้า • ความวิตกกังวล • อาการคัน • อารมณ์เปลี่ยนแปลง ผลิตภัณฑ์และอาหารเสริมแนะนำ Fixx pro K cal Paa super h Alovi Praow Are shampoo Are treatment Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึงวิธีการรับมือกับ AI เอเจนต์ และแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วองค์กรและธุรกิจ โดยมีการเสนอให้เริ่มจากการทดสอบในรูปแบบไพล็อตโปรแกรม โดยเฉพาะในระบบที่ใช้เอเจนต์หลายตัว เพื่อเข้าใจและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI เอเจนต์

    AI เอเจนต์คือระบบซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานตามเป้าหมายได้ด้วยการแทรกแซงจากมนุษย์น้อยที่สุด ซึ่งแตกต่างจากบอททั่วไปที่มักตอบสนองต่อคำสั่ง AI เอเจนต์สามารถวางแผนล่วงหน้า จัดลำดับความสำคัญของงาน และดำเนินการทำงานที่ซับซ้อนได้เอง โดยไม่ต้องการการแทรกแซงจากมนุษย์มากนัก

    AI เอเจนต์มีศักยภาพในการทำงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาซอฟต์แวร์ ไปจนถึงการวิเคราะห์ทางการเงิน แต่เพื่อให้ AI เอเจนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่มั่นคง ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

    การใช้ AI เอเจนต์สำหรับองค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้มากมาย แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ การจัดการความเสี่ยง ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ และการพัฒนาทักษะในทีมงาน

    รายงานจาก Deloitte แนะนำว่า แม้ว่า AI เอเจนต์จะมีศักยภาพในการทำงานอย่างเป็นอิสระ แต่ต้องเตรียมการอย่างดีเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการจัดการข้อมูลเพื่อให้ AI เอเจนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ขอแนะนำเพิ่มเติมว่าองค์กรควรให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมทักษะให้กับทีมงาน เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI เอเจนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรมีการติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพของ AI เอเจนต์อย่างต่อเนื่อง โดยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงการทำงานของเอเจนต์ให้ดียิ่งขึ้น

    การออกแบบและใช้งาน AI เอเจนต์ที่ประสบความสำเร็จ ควรพิจารณานโยบายในการใช้ AI เอเจนต์ การจัดการและการตัดสินใจว่าเมื่อใดควรใช้ AI เอเจนต์ รวมถึงมีการตั้งค่าลำดับชั้นในการอนุมัติและการตัดสินใจ

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คุณอาจคิดว่า AI เอเจนต์เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถทำงานซับซ้อนได้โดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากมนุษย์มากนัก และการออกแบบและการใช้งานของ AI เอเจนต์จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีการและขอบเขตที่องค์กรจะใช้พวกเขาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    https://www.zdnet.com/article/crawl-then-walk-before-you-run-with-ai-agents-experts-recommend/
    บทความนี้กล่าวถึงวิธีการรับมือกับ AI เอเจนต์ และแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วองค์กรและธุรกิจ โดยมีการเสนอให้เริ่มจากการทดสอบในรูปแบบไพล็อตโปรแกรม โดยเฉพาะในระบบที่ใช้เอเจนต์หลายตัว เพื่อเข้าใจและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ AI เอเจนต์ AI เอเจนต์คือระบบซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานตามเป้าหมายได้ด้วยการแทรกแซงจากมนุษย์น้อยที่สุด ซึ่งแตกต่างจากบอททั่วไปที่มักตอบสนองต่อคำสั่ง AI เอเจนต์สามารถวางแผนล่วงหน้า จัดลำดับความสำคัญของงาน และดำเนินการทำงานที่ซับซ้อนได้เอง โดยไม่ต้องการการแทรกแซงจากมนุษย์มากนัก AI เอเจนต์มีศักยภาพในการทำงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาซอฟต์แวร์ ไปจนถึงการวิเคราะห์ทางการเงิน แต่เพื่อให้ AI เอเจนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่มั่นคง ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การใช้ AI เอเจนต์สำหรับองค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้มากมาย แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ การจัดการความเสี่ยง ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ และการพัฒนาทักษะในทีมงาน รายงานจาก Deloitte แนะนำว่า แม้ว่า AI เอเจนต์จะมีศักยภาพในการทำงานอย่างเป็นอิสระ แต่ต้องเตรียมการอย่างดีเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการจัดการข้อมูลเพื่อให้ AI เอเจนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอแนะนำเพิ่มเติมว่าองค์กรควรให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมทักษะให้กับทีมงาน เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI เอเจนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรมีการติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพของ AI เอเจนต์อย่างต่อเนื่อง โดยการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงการทำงานของเอเจนต์ให้ดียิ่งขึ้น การออกแบบและใช้งาน AI เอเจนต์ที่ประสบความสำเร็จ ควรพิจารณานโยบายในการใช้ AI เอเจนต์ การจัดการและการตัดสินใจว่าเมื่อใดควรใช้ AI เอเจนต์ รวมถึงมีการตั้งค่าลำดับชั้นในการอนุมัติและการตัดสินใจ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คุณอาจคิดว่า AI เอเจนต์เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่สามารถทำงานซับซ้อนได้โดยไม่ต้องมีการแทรกแซงจากมนุษย์มากนัก และการออกแบบและการใช้งานของ AI เอเจนต์จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีการและขอบเขตที่องค์กรจะใช้พวกเขาให้เกิดประโยชน์สูงสุด https://www.zdnet.com/article/crawl-then-walk-before-you-run-with-ai-agents-experts-recommend/
    WWW.ZDNET.COM
    Crawl, then walk, before you run with AI agents, experts recommend
    Agentic AI offers compelling productivity benefits, but designers and developers must think small.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📌 กรรมเก่ากำหนดตัวตนใหม่ และบทบาทในสังคม

    คนเราเกิดมาต่างกัน
    ไม่ใช่แค่หน้าตา ฐานะ หรือสติปัญญา
    แต่ยังรวมถึง “พลังของกรรม”
    ที่ส่งผลให้ บางคนเป็นผู้ได้รับการยกย่อง
    และ บางคนเป็นเป้าหมายของการถูกแกล้ง


    ---

    📌 ทำไมบางคนเหมือนถูก ‘ชี้เป้า’ ให้โดนแกล้ง?

    ✔ กรรมเก่าทำให้ดึงดูด ‘ความอยากแกล้ง’ จากคนรอบข้าง
    ✔ เคยสร้างความอับอายให้คนอื่น → จึงต้องเผชิญความอับอายเอง
    ✔ เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล → จึงต้องเจอการถูกทำร้ายแบบไร้เหตุผล

    📌 บางคนแค่เดินเข้ามาในห้อง
    คนรอบข้างก็รู้สึกอยากเยาะเย้ย
    เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง
    กระตุ้นให้คนอยากทำให้เขาเจ็บปวด

    📌 นี่อาจเป็น “ผลของกรรม”
    ที่ดึงพลังแห่ง “อารมณ์สาธารณะ” ออกมา
    ทำให้มวลชนมองไปในทางเดียวกัน
    และรู้สึกว่าสมควรที่จะถูกกระทำ


    ---

    📌 หากเห็นใครเป็นเป้าของการถูกแกล้ง ควรทำอย่างไร?

    ⚠ ระวังตัวเองให้ดี
    เพราะ เราอาจกำลังตกเป็น ‘เครื่องมือของกรรมคนอื่น’

    ⚠ หยุดความคิด ‘คันไม้คันมือ’ อยากแกล้ง

    ทุกครั้งที่รู้สึกอยากล้อเลียนใคร

    ทุกครั้งที่คิดว่า "ล้อเล่นนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก"

    หยุดก่อนแล้วถามตัวเองว่า
    “นี่เรากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่หรือเปล่า?”


    ⚠ อย่ามองว่า ‘แกล้งกันสนุก’ เป็นเรื่องปกติ

    คนถูกแกล้งอาจไม่ได้ขำไปด้วย

    บางทีเขาแค่กลั้นใจยิ้ม แต่ในใจทุกข์มาก

    กรรมไม่ได้ดูว่า “เล่นๆ” หรือ “จริงจัง”

    กรรมดูที่ “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ”



    ---

    📌 ใครเคยแกล้งคนอื่นมาก่อน จะหลีกเลี่ยงกรรมร้ายได้ไหม?

    ได้ ถ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้

    ✅ 1. หยุดสร้างกรรมใหม่ทันที

    ไม่ซ้ำเติม ไม่แกล้งใครให้ทุกข์ใจ

    ไม่หัวเราะเยาะคนที่อับอาย


    ✅ 2. ชดเชยกรรมเก่าด้วยการให้โอกาสคนอื่น

    หากเจอคนที่เคยแกล้งมาก่อน → ยอมรับผิด

    หากเห็นใครกำลังถูกกลั่นแกล้ง → ช่วยห้าม


    ✅ 3. เจริญเมตตา สร้างพลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น

    กรรมดีสามารถลดแรงกรรมเก่าได้

    เมตตาต่อผู้อื่น คือการเมตตาต่ออนาคตของตัวเอง



    ---

    📌 กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาด

    คนที่เคยแกล้ง → วันหนึ่งต้องถูกแกล้ง
    คนที่เคยหัวเราะเยาะ → วันหนึ่งต้องเป็นเป้าหัวเราะเยาะ
    คนที่เคยทำให้คนอื่นอับอาย → วันหนึ่งต้องอับอายเอง

    แต่หากเราหยุดวงจรนี้ได้
    กรรมร้ายจะไม่ส่งต่อมาถึงเรา

    “หยุดแกล้งคนอื่น = หยุดกรรมของตัวเอง”

    📌 กรรมเก่ากำหนดตัวตนใหม่ และบทบาทในสังคม คนเราเกิดมาต่างกัน ไม่ใช่แค่หน้าตา ฐานะ หรือสติปัญญา แต่ยังรวมถึง “พลังของกรรม” ที่ส่งผลให้ บางคนเป็นผู้ได้รับการยกย่อง และ บางคนเป็นเป้าหมายของการถูกแกล้ง --- 📌 ทำไมบางคนเหมือนถูก ‘ชี้เป้า’ ให้โดนแกล้ง? ✔ กรรมเก่าทำให้ดึงดูด ‘ความอยากแกล้ง’ จากคนรอบข้าง ✔ เคยสร้างความอับอายให้คนอื่น → จึงต้องเผชิญความอับอายเอง ✔ เคยทำร้ายใครโดยไม่มีเหตุผล → จึงต้องเจอการถูกทำร้ายแบบไร้เหตุผล 📌 บางคนแค่เดินเข้ามาในห้อง คนรอบข้างก็รู้สึกอยากเยาะเย้ย เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง กระตุ้นให้คนอยากทำให้เขาเจ็บปวด 📌 นี่อาจเป็น “ผลของกรรม” ที่ดึงพลังแห่ง “อารมณ์สาธารณะ” ออกมา ทำให้มวลชนมองไปในทางเดียวกัน และรู้สึกว่าสมควรที่จะถูกกระทำ --- 📌 หากเห็นใครเป็นเป้าของการถูกแกล้ง ควรทำอย่างไร? ⚠ ระวังตัวเองให้ดี เพราะ เราอาจกำลังตกเป็น ‘เครื่องมือของกรรมคนอื่น’ ⚠ หยุดความคิด ‘คันไม้คันมือ’ อยากแกล้ง ทุกครั้งที่รู้สึกอยากล้อเลียนใคร ทุกครั้งที่คิดว่า "ล้อเล่นนิดเดียว ไม่เป็นไรหรอก" หยุดก่อนแล้วถามตัวเองว่า “นี่เรากำลังสร้างกรรมใหม่อยู่หรือเปล่า?” ⚠ อย่ามองว่า ‘แกล้งกันสนุก’ เป็นเรื่องปกติ คนถูกแกล้งอาจไม่ได้ขำไปด้วย บางทีเขาแค่กลั้นใจยิ้ม แต่ในใจทุกข์มาก กรรมไม่ได้ดูว่า “เล่นๆ” หรือ “จริงจัง” กรรมดูที่ “ความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ” --- 📌 ใครเคยแกล้งคนอื่นมาก่อน จะหลีกเลี่ยงกรรมร้ายได้ไหม? ได้ ถ้าเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ ✅ 1. หยุดสร้างกรรมใหม่ทันที ไม่ซ้ำเติม ไม่แกล้งใครให้ทุกข์ใจ ไม่หัวเราะเยาะคนที่อับอาย ✅ 2. ชดเชยกรรมเก่าด้วยการให้โอกาสคนอื่น หากเจอคนที่เคยแกล้งมาก่อน → ยอมรับผิด หากเห็นใครกำลังถูกกลั่นแกล้ง → ช่วยห้าม ✅ 3. เจริญเมตตา สร้างพลังใจให้ตัวเองและผู้อื่น กรรมดีสามารถลดแรงกรรมเก่าได้ เมตตาต่อผู้อื่น คือการเมตตาต่ออนาคตของตัวเอง --- 📌 กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาด คนที่เคยแกล้ง → วันหนึ่งต้องถูกแกล้ง คนที่เคยหัวเราะเยาะ → วันหนึ่งต้องเป็นเป้าหัวเราะเยาะ คนที่เคยทำให้คนอื่นอับอาย → วันหนึ่งต้องอับอายเอง แต่หากเราหยุดวงจรนี้ได้ กรรมร้ายจะไม่ส่งต่อมาถึงเรา “หยุดแกล้งคนอื่น = หยุดกรรมของตัวเอง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกุลถานไถ

    วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <จันทราอัสดง> มาฝาก สืบเนื่องจากความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ เกี่ยวกับแซ่ ‘ถานไถ’ (澹台) ของพระเอกในเรื่อง เพราะ Storyฯ หูตาคับแคบไม่เคยผ่านตาผ่านหูแซ่นี้มาก่อน จึงไปทำการบ้านมา และพบว่าก็มีเรื่องราวให้อ่านเพลินได้เหมือนกัน

    แซ่ถานไถปรากฏเป็นลำดับที่ 421 ในบันทึก ‘หนึ่งร้อยแซ่’ (ป่ายเจียซิ่ง / 百家姓) ซึ่งจริงๆ รวมไว้ทั้งหมด 504 แซ่ มีมาแต่สมัยซ่งเหนือ เป็นหนึ่งในหนังสือเรียนของเด็กที่ Storyฯ เคยเล่าถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0s5Bpm8cCd2bAxRL1yW3RDTbdyco8ee6z5Jifnvg5R5k9waJpeWmyfo13f7ysJnyEl)

    จีนมีศาสตร์แขนงหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซิ่งซื่อเสวีย’ (姓氏学) ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับที่มาของชื่อสกุล โดยศึกษาผ่านเอกสารจารึกทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรมโบราณ ชื่อสถานที่โบราณ ฯลฯ เป็นองค์ประกอบ ภาษาอังกฤษเรียกศาสตร์นี้ว่า Anthroponymy ซึ่งเคยมีคนแปลไว้ว่า ‘มานุษยวิทยา’ แต่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าคำแปลนี้ถูกต้องหรือไม่ หนึ่งในบันทึกที่รวบรวมการศึกษาดังกล่าวคือ ‘ซิ่งซื่อข่าวเลวี่ย’ (姓氏考略 / บทวิเคราะห์ชื่อสกุล) ที่จัดทำในสมัยราชวงศ์ชิงของเฉินถิงเหว่ย โดยมีกล่าวถึงที่มาของแซ่ถานไถนี้ว่า มีมาแต่ยุคสมัยชุนชิว (ประมาณปี 770-403 ก่อนคริสตศักราช) ต้นตระกูลคือถานไถเมี่ยหมิง (澹台灭冥)

    เลยต้องมาคุยกันสักหน่อยเกี่ยวกับถานไถเมี่ยหมิง เขาเป็นหนึ่งใน 72 ศิษย์เอกของขงจื๊อ

    ไม่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับบุพการีและสกุลเดิมของเขา ทราบแต่ว่าชื่อเมี่ยหมิง นามรองคือจื๋ออวี่ เกิดเมื่อประมาณปี 512 ก่อนคริสตศักราชที่แคว้นหลู่ ด้วยภูมิลำเนาใกล้กับเขาถานไถ (ปัจจุบันคือมณฑลซานตง) จึงใช้ถานไถนี้เป็นแซ่ของตัวเอง

    เมี่ยหมิงเดิมเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย อายุอ่อนกว่าขงจื๊อ 39 ปี ดังนั้นในสมัยที่เขากราบเรียนกับขงจื๊อนั้น เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตของขงจื๊อ เขาเป็นคนตรงไม่เห็นแก่สมบัติลาภยศ ไม่ใช้ทางลัดใฝ่หาความสำเร็จ เป็นคนใฝ่รู้ขยันศึกษา และในใจมีประชาชนเป็นที่ตั้ง

    ด้วยอุปนิสัยใจคออย่างนี้ เขาควรเป็นศิษย์รักของขงจื๊อ แต่... เขาหน้าตาอัปลักษณ์มาก จนบางข้อมูลบอกว่าขงจื๊อไม่รับเขาเป็นศิษย์ เพราะมีอคติว่าหน้าตาอย่างนี้จะมีพรสวรรค์อะไรได้ เขาจึงต้องอาศัยการศึกษาอ่านตำราเอง บางข้อมูลบอกว่าขงจื๊อรับเขาเป็นศิษย์ แต่ไม่ค่อยดูดำดูดีเพราะไม่ปลื้มหน้าตาของเขา

    ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมี่ยหมิงศึกษาตำราและคำสอนของขงจื๊อด้วยตนเองจนแตกฉานแล้วออกเดินทางลงใต้ไปยังแคว้นอู๋จนสุดท้ายปักหลักอยู่แถบพื้นที่เจียงซู รับศิษย์กว่าสามร้อยคน ถ่ายทอดความรู้และเผยแพร่ปรัชญาของขงจื๊อ ตลอดชีวิตที่เหลือของเขานั้น เขายกย่องนับถือขงจื๊อเป็นอาจารย์ และเขาได้รับการยกย่องนับถือมากมาย ทั้งด้วยการวางตนที่ดีและความรู้ที่ลึกล้ำ ชื่อเสียงของเขาร่ำลือไปไกลจนถึงหูของขงจื๊อ ขงจื๊อก็คิดได้ถึงความอคติของตนที่เคยมี จนถึงกับปรารภขึ้นอย่างละอายใจว่า “ข้าพเจ้ามองคนที่ภายนอก จึงมองจื๋ออวี่ผิดไป”... และว่ากันว่า นี่เป็นที่มาของคติสอนใจว่า ‘อย่ามองคนที่ภายนอก’ (人不可貌相 / เหรินปู้เข่อเม่าเซี่ยง)

    นับได้ว่าเมี่ยหมิงเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ลัทธิหรู และต่อมาถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน 72 ศิษย์ของขงจื๊อที่สามารถศึกษาปรัชญาของขงจื๊อสำเร็จจนแตกฉาน

    ปัจจุบันยังมีคนใช้แซ่ถานไถนี้อยู่ และที่เพิ่มเติมคือได้มีการแตกสกุลออกมาเป็นแซ่ถาน และแซ่ไถด้วย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    http://m.cyol.com/gb/articles/2023-04/03/content_mObpd4cVLq.html
    https://www.newton.com.tw/wiki/澹臺滅明/14241

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.guoxue.com/rw/kongzi/kz04.htm
    http://www.kongjia.org/web/xdrw/20160924/1107.html
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4FD56C8A9082CD0AF3.aspx
    http://www.qulishi.com/baijiaxing/421.htm
    https://baijiaxing.bmcx.com/dantai__baijiaxing/

    #จันทราอัสดง #แซ่ถานไถ #ถานไถ #ถานไถเมี่ยหมิง #ขงจื๊อ #อย่ามองคนที่ภายนอก
    สกุลถานไถ วันนี้มีเกร็ดเล็กๆ จากเรื่อง <จันทราอัสดง> มาฝาก สืบเนื่องจากความ ‘เอ๊ะ’ ของ Storyฯ เกี่ยวกับแซ่ ‘ถานไถ’ (澹台) ของพระเอกในเรื่อง เพราะ Storyฯ หูตาคับแคบไม่เคยผ่านตาผ่านหูแซ่นี้มาก่อน จึงไปทำการบ้านมา และพบว่าก็มีเรื่องราวให้อ่านเพลินได้เหมือนกัน แซ่ถานไถปรากฏเป็นลำดับที่ 421 ในบันทึก ‘หนึ่งร้อยแซ่’ (ป่ายเจียซิ่ง / 百家姓) ซึ่งจริงๆ รวมไว้ทั้งหมด 504 แซ่ มีมาแต่สมัยซ่งเหนือ เป็นหนึ่งในหนังสือเรียนของเด็กที่ Storyฯ เคยเล่าถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0s5Bpm8cCd2bAxRL1yW3RDTbdyco8ee6z5Jifnvg5R5k9waJpeWmyfo13f7ysJnyEl) จีนมีศาสตร์แขนงหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซิ่งซื่อเสวีย’ (姓氏学) ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับที่มาของชื่อสกุล โดยศึกษาผ่านเอกสารจารึกทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรมโบราณ ชื่อสถานที่โบราณ ฯลฯ เป็นองค์ประกอบ ภาษาอังกฤษเรียกศาสตร์นี้ว่า Anthroponymy ซึ่งเคยมีคนแปลไว้ว่า ‘มานุษยวิทยา’ แต่ Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าคำแปลนี้ถูกต้องหรือไม่ หนึ่งในบันทึกที่รวบรวมการศึกษาดังกล่าวคือ ‘ซิ่งซื่อข่าวเลวี่ย’ (姓氏考略 / บทวิเคราะห์ชื่อสกุล) ที่จัดทำในสมัยราชวงศ์ชิงของเฉินถิงเหว่ย โดยมีกล่าวถึงที่มาของแซ่ถานไถนี้ว่า มีมาแต่ยุคสมัยชุนชิว (ประมาณปี 770-403 ก่อนคริสตศักราช) ต้นตระกูลคือถานไถเมี่ยหมิง (澹台灭冥) เลยต้องมาคุยกันสักหน่อยเกี่ยวกับถานไถเมี่ยหมิง เขาเป็นหนึ่งใน 72 ศิษย์เอกของขงจื๊อ ไม่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับบุพการีและสกุลเดิมของเขา ทราบแต่ว่าชื่อเมี่ยหมิง นามรองคือจื๋ออวี่ เกิดเมื่อประมาณปี 512 ก่อนคริสตศักราชที่แคว้นหลู่ ด้วยภูมิลำเนาใกล้กับเขาถานไถ (ปัจจุบันคือมณฑลซานตง) จึงใช้ถานไถนี้เป็นแซ่ของตัวเอง เมี่ยหมิงเดิมเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย อายุอ่อนกว่าขงจื๊อ 39 ปี ดังนั้นในสมัยที่เขากราบเรียนกับขงจื๊อนั้น เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตของขงจื๊อ เขาเป็นคนตรงไม่เห็นแก่สมบัติลาภยศ ไม่ใช้ทางลัดใฝ่หาความสำเร็จ เป็นคนใฝ่รู้ขยันศึกษา และในใจมีประชาชนเป็นที่ตั้ง ด้วยอุปนิสัยใจคออย่างนี้ เขาควรเป็นศิษย์รักของขงจื๊อ แต่... เขาหน้าตาอัปลักษณ์มาก จนบางข้อมูลบอกว่าขงจื๊อไม่รับเขาเป็นศิษย์ เพราะมีอคติว่าหน้าตาอย่างนี้จะมีพรสวรรค์อะไรได้ เขาจึงต้องอาศัยการศึกษาอ่านตำราเอง บางข้อมูลบอกว่าขงจื๊อรับเขาเป็นศิษย์ แต่ไม่ค่อยดูดำดูดีเพราะไม่ปลื้มหน้าตาของเขา ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมี่ยหมิงศึกษาตำราและคำสอนของขงจื๊อด้วยตนเองจนแตกฉานแล้วออกเดินทางลงใต้ไปยังแคว้นอู๋จนสุดท้ายปักหลักอยู่แถบพื้นที่เจียงซู รับศิษย์กว่าสามร้อยคน ถ่ายทอดความรู้และเผยแพร่ปรัชญาของขงจื๊อ ตลอดชีวิตที่เหลือของเขานั้น เขายกย่องนับถือขงจื๊อเป็นอาจารย์ และเขาได้รับการยกย่องนับถือมากมาย ทั้งด้วยการวางตนที่ดีและความรู้ที่ลึกล้ำ ชื่อเสียงของเขาร่ำลือไปไกลจนถึงหูของขงจื๊อ ขงจื๊อก็คิดได้ถึงความอคติของตนที่เคยมี จนถึงกับปรารภขึ้นอย่างละอายใจว่า “ข้าพเจ้ามองคนที่ภายนอก จึงมองจื๋ออวี่ผิดไป”... และว่ากันว่า นี่เป็นที่มาของคติสอนใจว่า ‘อย่ามองคนที่ภายนอก’ (人不可貌相 / เหรินปู้เข่อเม่าเซี่ยง) นับได้ว่าเมี่ยหมิงเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ลัทธิหรู และต่อมาถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน 72 ศิษย์ของขงจื๊อที่สามารถศึกษาปรัชญาของขงจื๊อสำเร็จจนแตกฉาน ปัจจุบันยังมีคนใช้แซ่ถานไถนี้อยู่ และที่เพิ่มเติมคือได้มีการแตกสกุลออกมาเป็นแซ่ถาน และแซ่ไถด้วย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: http://m.cyol.com/gb/articles/2023-04/03/content_mObpd4cVLq.html https://www.newton.com.tw/wiki/澹臺滅明/14241 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.guoxue.com/rw/kongzi/kz04.htm http://www.kongjia.org/web/xdrw/20160924/1107.html https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4FD56C8A9082CD0AF3.aspx http://www.qulishi.com/baijiaxing/421.htm https://baijiaxing.bmcx.com/dantai__baijiaxing/ #จันทราอัสดง #แซ่ถานไถ #ถานไถ #ถานไถเมี่ยหมิง #ขงจื๊อ #อย่ามองคนที่ภายนอก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts