• "ไม่สามารถปฏิเสธได้": เมื่อการสแกนใบหน้ากลายเป็นข้อบังคับ

    ICE ใช้แอปสแกนใบหน้า Mobile Fortify โดยไม่ให้ประชาชนปฏิเสธได้ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ข้อมูลจะถูกเก็บนานถึง 15 ปี

    ในเอกสารภายในของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ที่เปิดเผยโดย 404 Media พบว่า Immigration and Customs Enforcement (ICE) ได้ใช้แอปชื่อ Mobile Fortify เพื่อสแกนใบหน้าประชาชนบนท้องถนนเพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมือง โดยไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ แม้บุคคลนั้นจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม

    ภาพใบหน้าที่ถูกสแกนจะถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและการละเมิดข้อมูล

    แอป Mobile Fortify สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของรัฐบาลจำนวนมาก และเปรียบเทียบภาพใบหน้ากับคลังภาพกว่า 200 ล้านภาพ เพื่อดึงข้อมูลเช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขคนเข้าเมือง และคำสั่งเนรเทศ

    นักการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนออกโรงเตือน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง Bernie Sanders ได้เรียกร้องให้ ICE ยุติการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยชี้ว่า ระบบจดจำใบหน้าเหล่านี้มีความลำเอียงและไม่แม่นยำ โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การควบคุมตัวผิดพลาด เช่นกรณีพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิดพลาด

    การทดสอบโดย National Institute of Standards and Technology ในปี 2024 พบว่า ระบบจดจำใบหน้าให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อภาพมีคุณภาพต่ำ เบลอ หรือถ่ายจากมุมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของภาพที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะได้จากสมาร์ทโฟน

    ICE ใช้แอป Mobile Fortify สแกนใบหน้า
    ใช้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมืองของบุคคล

    ไม่สามารถปฏิเสธการสแกนได้
    แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

    ข้อมูลใบหน้าถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี
    ไม่สนใจสถานะหรือสัญชาติของบุคคลนั้น

    แอปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมาก
    เปรียบเทียบกับภาพกว่า 200 ล้านภาพเพื่อดึงข้อมูลส่วนบุคคล

    นักการเมืองเรียกร้องให้ยุติการใช้
    ชี้ว่าเทคโนโลยีมีความลำเอียงและไม่แม่นยำ

    มีกรณีควบคุมตัวผิดพลาด
    พลเมืองสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัว 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิด

    https://www.404media.co/you-cant-refuse-to-be-scanned-by-ices-facial-recognition-app-dhs-document-says/
    🕵️‍♂️ "ไม่สามารถปฏิเสธได้": เมื่อการสแกนใบหน้ากลายเป็นข้อบังคับ ICE ใช้แอปสแกนใบหน้า Mobile Fortify โดยไม่ให้ประชาชนปฏิเสธได้ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ข้อมูลจะถูกเก็บนานถึง 15 ปี ในเอกสารภายในของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ที่เปิดเผยโดย 404 Media พบว่า Immigration and Customs Enforcement (ICE) ได้ใช้แอปชื่อ Mobile Fortify เพื่อสแกนใบหน้าประชาชนบนท้องถนนเพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมือง โดยไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ แม้บุคคลนั้นจะเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม 📸 ภาพใบหน้าที่ถูกสแกนจะถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี โดยไม่สนใจสถานะการเข้าเมืองหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและการละเมิดข้อมูล 📱 แอป Mobile Fortify สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของรัฐบาลจำนวนมาก และเปรียบเทียบภาพใบหน้ากับคลังภาพกว่า 200 ล้านภาพ เพื่อดึงข้อมูลเช่น ชื่อ วันเกิด หมายเลขคนเข้าเมือง และคำสั่งเนรเทศ ⚠️ นักการเมืองและนักสิทธิมนุษยชนออกโรงเตือน สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง Bernie Sanders ได้เรียกร้องให้ ICE ยุติการใช้เทคโนโลยีนี้ โดยชี้ว่า ระบบจดจำใบหน้าเหล่านี้มีความลำเอียงและไม่แม่นยำ โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การควบคุมตัวผิดพลาด เช่นกรณีพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมตัวนานถึง 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิดพลาด 🌫️ การทดสอบโดย National Institute of Standards and Technology ในปี 2024 พบว่า ระบบจดจำใบหน้าให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อภาพมีคุณภาพต่ำ เบลอ หรือถ่ายจากมุมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของภาพที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามจะได้จากสมาร์ทโฟน ✅ ICE ใช้แอป Mobile Fortify สแกนใบหน้า ➡️ ใช้เพื่อยืนยันตัวตนและสถานะการเข้าเมืองของบุคคล ✅ ไม่สามารถปฏิเสธการสแกนได้ ➡️ แม้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ✅ ข้อมูลใบหน้าถูกเก็บไว้นานถึง 15 ปี ➡️ ไม่สนใจสถานะหรือสัญชาติของบุคคลนั้น ✅ แอปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมาก ➡️ เปรียบเทียบกับภาพกว่า 200 ล้านภาพเพื่อดึงข้อมูลส่วนบุคคล ✅ นักการเมืองเรียกร้องให้ยุติการใช้ ➡️ ชี้ว่าเทคโนโลยีมีความลำเอียงและไม่แม่นยำ ✅ มีกรณีควบคุมตัวผิดพลาด ➡️ พลเมืองสหรัฐฯ ถูกควบคุมตัว 30 ชั่วโมงจากการยืนยันตัวตนผิด https://www.404media.co/you-cant-refuse-to-be-scanned-by-ices-facial-recognition-app-dhs-document-says/
    WWW.404MEDIA.CO
    You Can't Refuse To Be Scanned by ICE's Facial Recognition App, DHS Document Says
    Photos captured by Mobile Fortify will be stored for 15 years, regardless of immigration or citizenship status, the document says.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ ปฏิเสธลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ของ UN แม้กว่า 70 ประเทศร่วมมือกันสร้างกรอบต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล

    ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา

    สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์

    เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน

    แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก

    ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN
    รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย
    มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์

    จุดเด่นของสนธิสัญญา
    สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์
    นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม
    สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ
    สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์

    ท่าทีของสหรัฐฯ
    ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา”
    ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม

    ความเห็นจาก UN
    Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี
    สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ

    ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา
    อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน
    ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน
    อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง

    ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
    สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน
    การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล

    นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้.

    https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
    🇺🇳🛡️ สหรัฐฯ ปฏิเสธลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ของ UN แม้กว่า 70 ประเทศร่วมมือกันสร้างกรอบต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล ในพิธีลงนามสนธิสัญญาไซเบอร์ของสหประชาชาติที่กรุงฮานอยเมื่อปลายตุลาคม 2025 ประเทศต่าง ๆ กว่า 70 แห่ง รวมถึงจีน รัสเซีย สหภาพยุโรป และบราซิล ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงเพื่อสร้างกลไกสากลในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ แต่สหรัฐอเมริกากลับเลือก “ไม่ลงนาม” โดยให้เหตุผลว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื้อหาของสนธิสัญญา สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์, การแบ่งปันข้อมูลข้ามประเทศ, และการนิยามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม, การฟอกเงินผ่านคริปโต, และการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ เลขาธิการ UN António Guterres กล่าวว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยประเทศกำลังพัฒนาให้มีทรัพยากรและความสามารถในการรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนและบริษัทเทคโนโลยีออกมาเตือนว่าสนธิสัญญานี้อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้อำนาจสอดแนมประชาชน, ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว, และใช้กฎหมายนี้ปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลที่ชัดเจน แม้ Guterres จะย้ำว่าสนธิสัญญานี้ต้อง “เคารพสิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์” แต่การที่สหรัฐฯ ไม่ลงนามก็สะท้อนถึงความกังวลในระดับสูง และอาจส่งผลต่อการยอมรับของสนธิสัญญานี้ในระดับโลก ✅ ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาไซเบอร์ UN ➡️ รวมกว่า 70 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย EU บราซิล ไนจีเรีย ➡️ มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกสากลในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ ✅ จุดเด่นของสนธิสัญญา ➡️ สร้างมาตรฐานการจัดการหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ ➡️ นิยามอาชญากรรมใหม่ เช่น การเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ยินยอม ➡️ สร้างเครือข่าย 24/7 สำหรับความร่วมมือข้ามประเทศ ➡️ สนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการฝึกอบรมและรับมือภัยไซเบอร์ ✅ ท่าทีของสหรัฐฯ ➡️ ไม่ลงนาม โดยระบุว่า “ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา” ➡️ ส่งตัวแทนเข้าร่วมพิธี แต่ไม่ร่วมลงนาม ✅ ความเห็นจาก UN ➡️ Guterres ย้ำว่าต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรี ➡️ สนธิสัญญานี้ช่วยแก้ปัญหาการแบ่งปันหลักฐานข้ามประเทศ ‼️ ความเสี่ยงจากสนธิสัญญา ⛔ อาจเปิดช่องให้รัฐบาลใช้กฎหมายนี้สอดแนมประชาชน ⛔ ขาดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจน ⛔ อาจถูกใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างหรือผู้ประท้วง ‼️ ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน ⛔ สนธิสัญญานี้อาจ “รับรองการกดขี่ไซเบอร์” ทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน ⛔ การลงนามอาจเท่ากับการยอมรับการละเมิดเสรีภาพดิจิทัล นี่คือจุดตัดสำคัญระหว่าง “ความมั่นคงดิจิทัล” กับ “สิทธิเสรีภาพออนไลน์” และการที่สหรัฐฯ ยังไม่ลงนาม อาจเป็นสัญญาณว่าการสร้างกฎไซเบอร์ระดับโลกยังต้องหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายยอมรับได้. https://therecord.media/us-declines-signing-cybercrime-treaty?
    THERECORD.MEDIA
    US declines to join more than 70 countries in signing UN cybercrime treaty
    More than 70 countries signed the landmark UN Convention against Cybercrime in Hanoi this weekend, a significant step in the yearslong effort to create a global mechanism to counteract digital crime.
    0 Comments 0 Shares 165 Views 0 Reviews
  • เรียก ส.ว. นักสิทธิ์ มาฟังบิ๊กกุ้งด่วน ท.ไทยไม่เคยโจมตีประชาชนเขมร (24/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #บิ๊กกุ้ง #สว #นักสิทธิมนุษยชน #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    เรียก ส.ว. นักสิทธิ์ มาฟังบิ๊กกุ้งด่วน ท.ไทยไม่เคยโจมตีประชาชนเขมร (24/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #บิ๊กกุ้ง #สว #นักสิทธิมนุษยชน #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 0 Reviews
  • สหรัฐฯ ปิดเว็บไซต์ร้องเรียนสิทธิมนุษยชนของกองกำลังต่างชาติที่ได้รับอาวุธจากอเมริกา

    รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยุติการให้บริการเว็บไซต์ที่เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกสามารถร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากสหรัฐฯ เว็บไซต์นี้เคยเป็นช่องทางสำคัญในการตรวจสอบการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิหรือไม่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งหรือการปราบปรามประชาชน

    การปิดเว็บไซต์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนทางทหารแก่พันธมิตรหลายประเทศ เช่น อิสราเอล, ยูเครน และฟิลิปปินส์ ซึ่งบางประเทศถูกวิจารณ์ว่ามีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง

    นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศแสดงความกังวลว่า การปิดเว็บไซต์นี้อาจลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการใช้อาวุธ และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีการตรวจสอบหรือรับผิดชอบ

    การเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    ปิดเว็บไซต์สำหรับร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติ
    เว็บไซต์เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกส่งข้อมูลการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสหรัฐฯ
    เป็นส่วนหนึ่งของระบบตรวจสอบการใช้ความช่วยเหลือทางทหาร

    บริบททางการเมือง
    เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนอาวุธแก่พันธมิตร
    ประเทศที่ได้รับอาวุธบางแห่งมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชน
    การปิดเว็บไซต์อาจลดแรงกดดันต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ

    ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
    กังวลเรื่องความโปร่งใสในการใช้อาวุธ
    การไม่มีช่องทางร้องเรียนอาจทำให้เหยื่อไม่มีที่พึ่ง
    อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชน

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบ
    การปิดเว็บไซต์อาจทำให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ถูกเปิดเผย
    อาจลดแรงจูงใจในการตรวจสอบการใช้อาวุธของพันธมิตร
    เหยื่อในประเทศที่มีการปราบปรามอาจไม่มีช่องทางร้องเรียน

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ควรมีช่องทางอื่นในการตรวจสอบการใช้อาวุธจากสหรัฐฯ
    องค์กรระหว่างประเทศควรเพิ่มบทบาทในการรับเรื่องร้องเรียน
    ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบความช่วยเหลือทางทหาร

    https://www.bbc.com/news/articles/cqx30vnwd4do
    🇺🇸 สหรัฐฯ ปิดเว็บไซต์ร้องเรียนสิทธิมนุษยชนของกองกำลังต่างชาติที่ได้รับอาวุธจากอเมริกา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยุติการให้บริการเว็บไซต์ที่เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกสามารถร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากสหรัฐฯ เว็บไซต์นี้เคยเป็นช่องทางสำคัญในการตรวจสอบการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิหรือไม่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งหรือการปราบปรามประชาชน การปิดเว็บไซต์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนทางทหารแก่พันธมิตรหลายประเทศ เช่น อิสราเอล, ยูเครน และฟิลิปปินส์ ซึ่งบางประเทศถูกวิจารณ์ว่ามีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศแสดงความกังวลว่า การปิดเว็บไซต์นี้อาจลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการใช้อาวุธ และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีการตรวจสอบหรือรับผิดชอบ ✅ การเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ปิดเว็บไซต์สำหรับร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติ ➡️ เว็บไซต์เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกส่งข้อมูลการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสหรัฐฯ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของระบบตรวจสอบการใช้ความช่วยเหลือทางทหาร ✅ บริบททางการเมือง ➡️ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนอาวุธแก่พันธมิตร ➡️ ประเทศที่ได้รับอาวุธบางแห่งมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชน ➡️ การปิดเว็บไซต์อาจลดแรงกดดันต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ ✅ ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน ➡️ กังวลเรื่องความโปร่งใสในการใช้อาวุธ ➡️ การไม่มีช่องทางร้องเรียนอาจทำให้เหยื่อไม่มีที่พึ่ง ➡️ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบ ⛔ การปิดเว็บไซต์อาจทำให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ถูกเปิดเผย ⛔ อาจลดแรงจูงใจในการตรวจสอบการใช้อาวุธของพันธมิตร ⛔ เหยื่อในประเทศที่มีการปราบปรามอาจไม่มีช่องทางร้องเรียน ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ควรมีช่องทางอื่นในการตรวจสอบการใช้อาวุธจากสหรัฐฯ ⛔ องค์กรระหว่างประเทศควรเพิ่มบทบาทในการรับเรื่องร้องเรียน ⛔ ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบความช่วยเหลือทางทหาร https://www.bbc.com/news/articles/cqx30vnwd4do
    WWW.BBC.COM
    US axes website for reporting human rights abuses by US-armed foreign forces
    The Human Rights Reporting Gateway acted as a formal "tip line" to the US government.
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • “UK เตรียมใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพ – นักสิทธิมนุษยชนหวั่นเทคโนโลยีละเมิดสิทธิเด็ก”

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประเมินอายุของผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาโดยลำพังผ่านช่องทางลักลอบ เช่น เรือเล็กจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น

    เทคโนโลยีที่ใช้คือ facial age estimation หรือการประเมินอายุจากใบหน้า ซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2026 โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นวิธีที่ “คุ้มค่าและแม่นยำ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่แอบอ้างเป็นเด็กเพื่อรับสิทธิพิเศษในการขอลี้ภัย

    แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพออกมาเตือนว่า การใช้ AI แบบนี้อาจ ตอกย้ำอคติทางเชื้อชาติ และ ละเมิดสิทธิของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีเอกสารยืนยันอายุ หรือมีเอกสารปลอม ซึ่งอาจทำให้เด็กถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม

    กรณีของ “Jean” ผู้อพยพจากแอฟริกากลางที่เคยถูกระบุอายุผิดเพราะ “ตัวสูงเกินไป” จนต้องอยู่กับผู้ใหญ่และเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม

    แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า AI จะเป็นเพียง “หนึ่งในหลายเครื่องมือ” ที่ใช้ร่วมกับการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเตือนว่า ระบบอัตโนมัติอาจขาดความโปร่งใส และ ไม่สามารถอธิบายการตัดสินใจได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกประเมินไม่สามารถโต้แย้งผลได้

    แผนของรัฐบาลอังกฤษ
    เริ่มใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพในปี 2026
    ใช้เทคโนโลยี facial age estimation
    มุ่งเป้าผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็กแต่ไม่มีเอกสาร
    เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น

    ความกังวลจากภาคประชาสังคม
    AI อาจมีอคติทางเชื้อชาติและเพศ
    เด็กอาจถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยผิดพลาด
    การประเมินอายุควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ไม่ใช่ AI
    ระบบอัตโนมัติขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก

    ตัวอย่างผลกระทบจริง
    Jean ถูกประเมินอายุผิดเพราะ “ตัวสูง”
    ต้องอยู่กับผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครอง
    ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย
    ต่อมาได้รับการแก้ไขอายุหลังยื่นอุทธรณ์

    ความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย
    รัฐบาลอังกฤษร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ในหลายด้าน
    มีแผนใช้ AI ในการตัดสินคำขอลี้ภัย
    แนวโน้มการใช้ “digital fixes” เพื่อจัดการผู้อพยพเพิ่มขึ้น
    กลุ่มสิทธิเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองและความโปร่งใส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/uk-use-of-ai-age-estimation-tech-on-migrants-fuels-rights-fears
    🧬 “UK เตรียมใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพ – นักสิทธิมนุษยชนหวั่นเทคโนโลยีละเมิดสิทธิเด็ก” รัฐบาลอังกฤษเตรียมใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประเมินอายุของผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็ก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาโดยลำพังผ่านช่องทางลักลอบ เช่น เรือเล็กจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้คือ facial age estimation หรือการประเมินอายุจากใบหน้า ซึ่งจะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2026 โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นวิธีที่ “คุ้มค่าและแม่นยำ” เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใหญ่แอบอ้างเป็นเด็กเพื่อรับสิทธิพิเศษในการขอลี้ภัย แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพออกมาเตือนว่า การใช้ AI แบบนี้อาจ ตอกย้ำอคติทางเชื้อชาติ และ ละเมิดสิทธิของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีเอกสารยืนยันอายุ หรือมีเอกสารปลอม ซึ่งอาจทำให้เด็กถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม กรณีของ “Jean” ผู้อพยพจากแอฟริกากลางที่เคยถูกระบุอายุผิดเพราะ “ตัวสูงเกินไป” จนต้องอยู่กับผู้ใหญ่และเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม แม้รัฐบาลจะยืนยันว่า AI จะเป็นเพียง “หนึ่งในหลายเครื่องมือ” ที่ใช้ร่วมกับการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนเตือนว่า ระบบอัตโนมัติอาจขาดความโปร่งใส และ ไม่สามารถอธิบายการตัดสินใจได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกประเมินไม่สามารถโต้แย้งผลได้ ✅ แผนของรัฐบาลอังกฤษ ➡️ เริ่มใช้ AI ประเมินอายุผู้อพยพในปี 2026 ➡️ ใช้เทคโนโลยี facial age estimation ➡️ มุ่งเป้าผู้อพยพที่อ้างว่าเป็นเด็กแต่ไม่มีเอกสาร ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมการเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น ✅ ความกังวลจากภาคประชาสังคม ➡️ AI อาจมีอคติทางเชื้อชาติและเพศ ➡️ เด็กอาจถูกจัดให้อยู่ในที่พักของผู้ใหญ่โดยผิดพลาด ➡️ การประเมินอายุควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ไม่ใช่ AI ➡️ ระบบอัตโนมัติขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก ✅ ตัวอย่างผลกระทบจริง ➡️ Jean ถูกประเมินอายุผิดเพราะ “ตัวสูง” ➡️ ต้องอยู่กับผู้ใหญ่โดยไม่มีการคุ้มครอง ➡️ ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย ➡️ ต่อมาได้รับการแก้ไขอายุหลังยื่นอุทธรณ์ ✅ ความเคลื่อนไหวด้านนโยบาย ➡️ รัฐบาลอังกฤษร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา AI ในหลายด้าน ➡️ มีแผนใช้ AI ในการตัดสินคำขอลี้ภัย ➡️ แนวโน้มการใช้ “digital fixes” เพื่อจัดการผู้อพยพเพิ่มขึ้น ➡️ กลุ่มสิทธิเรียกร้องให้มีมาตรการคุ้มครองและความโปร่งใส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/uk-use-of-ai-age-estimation-tech-on-migrants-fuels-rights-fears
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK use of AI age estimation tech on migrants fuels rights fears
    UK to use facial recognition tech to decide ages of lone child asylum seekers but critics say biases could rob many of safeguards.
    0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews
  • ดร.มัลลิกาเดือด ติ่ง ส.ว.อ.+นักสิทธิ์ ฟังไม่ได้นะ ฟังแล้วเจ็บจี๊ด (22/10/68)

    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ดรมัลลิกา #สวอ #นักสิทธิมนุษยชน #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    ดร.มัลลิกาเดือด ติ่ง ส.ว.อ.+นักสิทธิ์ ฟังไม่ได้นะ ฟังแล้วเจ็บจี๊ด (22/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ดรมัลลิกา #สวอ #นักสิทธิมนุษยชน #การเมืองไทย #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 0 Reviews
  • เรียกนักสิทธิ์ฯ มาฟังด่วน เขมรเปิดลำโพงลั่นหนองจาน (16/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #กัมพูชา
    #หนองจาน
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #ความมั่นคง
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    เรียกนักสิทธิ์ฯ มาฟังด่วน เขมรเปิดลำโพงลั่นหนองจาน (16/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นักสิทธิมนุษยชน #กัมพูชา #หนองจาน #ชายแดนไทยกัมพูชา #ความมั่นคง #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 0 Reviews
  • อินฟลูซัดยับ ถามอังคณาตรงๆ เป็นคนไทย??? (16/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #อังคณา
    #อินฟลูเอนเซอร์
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #การเมืองไทย
    #เทรนด์วันนี้
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    อินฟลูซัดยับ ถามอังคณาตรงๆ เป็นคนไทย??? (16/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อังคณา #อินฟลูเอนเซอร์ #นักสิทธิมนุษยชน #การเมืองไทย #เทรนด์วันนี้ #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 0 Reviews
  • นักสิทธิฯ ไทย มีไว้ทำไม ถ้าจะพูดแบบนี้…??? (15/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #การเมืองไทย
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #เทรนด์วันนี้
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    นักสิทธิฯ ไทย มีไว้ทำไม ถ้าจะพูดแบบนี้…??? (15/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นักสิทธิมนุษยชน #การเมืองไทย #ชายแดนไทยกัมพูชา #เทรนด์วันนี้ #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 173 Views 0 0 Reviews
  • นักสิทธิฯ ปกป้องเขมรแค่เสียงผี แต่เขมรวางทุ่นนี่…หายหัว (15/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #กัมพูชา
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #ความมั่นคง
    #ทุ่นระเบิด
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    นักสิทธิฯ ปกป้องเขมรแค่เสียงผี แต่เขมรวางทุ่นนี่…หายหัว (15/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นักสิทธิมนุษยชน #กัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ความมั่นคง #ทุ่นระเบิด #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 184 Views 0 0 Reviews
  • รีบดูด่วน! บิ๊กกุ้งชื่นชมกัน และพูดถึงนักสิทธิ์แบบนี้ (15/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #บิ๊กกุ้ง
    #กันจอมพลัง
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #ความมั่นคง
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    รีบดูด่วน! บิ๊กกุ้งชื่นชมกัน และพูดถึงนักสิทธิ์แบบนี้ (15/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #บิ๊กกุ้ง #กันจอมพลัง #นักสิทธิมนุษยชน #ชายแดนไทยกัมพูชา #ความมั่นคง #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 0 Reviews
  • 'เขมร' ได้ทียกคำพูด “อังคณา-สุณัย” แถลงการณ์ชี้ "ซาวด์ผี" กัน จอมพลัง ละเมิดสิทธิฯ รุนแรง นักสิทธิมนุษยชนไทยยอมรับเอง
    https://www.thai-tai.tv/news/21904/
    .
    #ไทยไท #สิทธิมนุษยชน #CHRC #กันจอมพลัง #ซาวด์ผี #อนุสัญญาCAT #สุณัยผาสุข

    'เขมร' ได้ทียกคำพูด “อังคณา-สุณัย” แถลงการณ์ชี้ "ซาวด์ผี" กัน จอมพลัง ละเมิดสิทธิฯ รุนแรง นักสิทธิมนุษยชนไทยยอมรับเอง https://www.thai-tai.tv/news/21904/ . #ไทยไท #สิทธิมนุษยชน #CHRC #กันจอมพลัง #ซาวด์ผี #อนุสัญญาCAT #สุณัยผาสุข
    0 Comments 1 Shares 429 Views 0 Reviews
  • รบกวนเรียกนักสิทธิ์ฯ ก๊วนนี้มาฟังหมอดิว ด่วนมาก! (14/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #หมอดิว
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #การเมืองไทย
    #เทรนด์วันนี้
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    รบกวนเรียกนักสิทธิ์ฯ ก๊วนนี้มาฟังหมอดิว ด่วนมาก! (14/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #หมอดิว #นักสิทธิมนุษยชน #ชายแดนไทยกัมพูชา #การเมืองไทย #เทรนด์วันนี้ #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 0 Reviews
  • เพจดังตั้งคำถาม "นักสิทธิมนุษยชนไทยมีไว้ทำไม" ซัดหายไปไหนเวลาพลเรือนไทยถูกละเมิดสิทธิ ชี้ไร้ประโยชน์และไม่จริงใจ
    https://www.thai-tai.tv/news/21886/
    .
    #ไทยไท #นักสิทธิมนุษยชนไทย #สิทธิคนไทย #ความขัดแย้งชายแดน #ความรุนแรงภาคใต้ #ศาลอาชญากรสงคราม
    เพจดังตั้งคำถาม "นักสิทธิมนุษยชนไทยมีไว้ทำไม" ซัดหายไปไหนเวลาพลเรือนไทยถูกละเมิดสิทธิ ชี้ไร้ประโยชน์และไม่จริงใจ https://www.thai-tai.tv/news/21886/ . #ไทยไท #นักสิทธิมนุษยชนไทย #สิทธิคนไทย #ความขัดแย้งชายแดน #ความรุนแรงภาคใต้ #ศาลอาชญากรสงคราม
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • "กัน จอมพลัง" ประกาศยกเลิกรถแห่ประท้วงชายแดน หลังถูกติงละเมิดสิทธิฯ บอกเลี่ยนความโลกสวย
    https://www.thai-tai.tv/news/21885/
    .
    #ไทยไท #กันจอมพลัง #ยกเลิกรถแห่ #นักสิทธิมนุษยชน #ความโลกสวย #ชายแดนไทยกัมพูชา

    "กัน จอมพลัง" ประกาศยกเลิกรถแห่ประท้วงชายแดน หลังถูกติงละเมิดสิทธิฯ บอกเลี่ยนความโลกสวย https://www.thai-tai.tv/news/21885/ . #ไทยไท #กันจอมพลัง #ยกเลิกรถแห่ #นักสิทธิมนุษยชน #ความโลกสวย #ชายแดนไทยกัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • “ตัวแทนหมู่บ้าน” สาวไทยจัดหนัก นักสิทธิ์ฯ ไทยแต่ใจเขมร (13/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #นักสิทธิมนุษยชน
    #ชายแดนไทยกัมพูชา
    #ความมั่นคง
    #เทรนด์วันนี้
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    “ตัวแทนหมู่บ้าน” สาวไทยจัดหนัก นักสิทธิ์ฯ ไทยแต่ใจเขมร (13/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #นักสิทธิมนุษยชน #ชายแดนไทยกัมพูชา #ความมั่นคง #เทรนด์วันนี้ #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 0 Reviews
  • “Chat Control ใกล้เข้าสู่การลงมติ — EU เตรียมสแกนแชตแม้เข้ารหัส ประเทศสมาชิกเริ่มแตกแถว”

    ข้อเสนอร่างกฎหมาย “Child Sexual Abuse Regulation” หรือที่ถูกเรียกกันในวงกว้างว่า “Chat Control” กำลังเข้าใกล้การลงมติครั้งสำคัญในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 โดยมีเป้าหมายให้บริการส่งข้อความทุกประเภทในยุโรปต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้เพื่อค้นหาเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก แม้ข้อความเหล่านั้นจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end ก็ตาม

    แม้จะมีเสียงคัดค้านอย่างหนักจากนักวิชาการ นักพัฒนาเทคโนโลยี และนักสิทธิมนุษยชน แต่ข้อเสนอนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU จำนวนมาก โดยเฉพาะเดนมาร์กซึ่งเป็นผู้ผลักดันหลักในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานสภา EU

    ล่าสุด ประเทศที่เคยสนับสนุนเริ่มเปลี่ยนจุดยืน เช่น เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี และสวีเดน ที่เปลี่ยนจาก “สนับสนุน” มาเป็น “ไม่แน่ใจ” หรือ “คัดค้าน” ซึ่งทำให้ผลการลงมติยังไม่แน่นอน และอาจส่งผลให้ร่างกฎหมายไม่สามารถเข้าสู่ขั้นตอนเจรจาสุดท้ายในรัฐสภาได้

    ข้อกังวลหลักคือการบังคับให้บริการอย่าง WhatsApp, Signal, ProtonMail และ VPN ต้องสแกนข้อความผู้ใช้ ซึ่งนักวิจัยกว่า 500 คนระบุว่าเป็นการทำลายความเป็นส่วนตัว และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น

    แม้ข้อเสนอจะระบุว่า “จะปกป้องความปลอดภัยไซเบอร์และการเข้ารหัสอย่างครอบคลุม” แต่ในทางเทคนิคแล้ว การสแกนข้อความที่เข้ารหัสไม่สามารถทำได้โดยไม่ลดระดับความปลอดภัยของระบบทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป นักข่าว นักกฎหมาย และแม้แต่เด็กที่กฎหมายตั้งใจจะปกป้อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EU เตรียมลงมติร่างกฎหมาย Chat Control ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025
    ร่างกฎหมายบังคับให้บริการส่งข้อความต้องสแกนเนื้อหาผู้ใช้ แม้จะเข้ารหัสแบบ end-to-end
    เดนมาร์กเป็นผู้ผลักดันหลักของร่างกฎหมายในช่วงดำรงตำแหน่งประธาน EU
    ประเทศที่เปลี่ยนจุดยืนล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี สวีเดน และลัตเวีย
    ข้อเสนอระบุว่าบัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน
    นักวิจัยกว่า 500 คนออกแถลงการณ์คัดค้านร่างกฎหมายนี้
    หากผ่าน ร่างกฎหมายจะเข้าสู่ขั้นตอนเจรจาในรัฐสภา EU เพื่อพิจารณาเป็นกฎหมาย
    บริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ WhatsApp, Signal, ProtonMail และ VPN ต่าง ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Chat Control ถูกเสนอครั้งแรกในปี 2022 โดยอดีตกรรมาธิการ EU Ylva Johansson
    การสแกนข้อความแบบ client-side คือการติดตั้งระบบตรวจสอบในอุปกรณ์ผู้ใช้โดยตรง
    การลดระดับการเข้ารหัสอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้ถูกโจมตีจากแฮกเกอร์หรือรัฐคู่แข่ง
    UN และศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปเคยเตือนว่าการลดการเข้ารหัสเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
    ระบบตรวจสอบอัตโนมัติมีอัตราความผิดพลาดสูง อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกกล่าวหา

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    🔐 “Chat Control ใกล้เข้าสู่การลงมติ — EU เตรียมสแกนแชตแม้เข้ารหัส ประเทศสมาชิกเริ่มแตกแถว” ข้อเสนอร่างกฎหมาย “Child Sexual Abuse Regulation” หรือที่ถูกเรียกกันในวงกว้างว่า “Chat Control” กำลังเข้าใกล้การลงมติครั้งสำคัญในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 โดยมีเป้าหมายให้บริการส่งข้อความทุกประเภทในยุโรปต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้เพื่อค้นหาเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก แม้ข้อความเหล่านั้นจะถูกเข้ารหัสแบบ end-to-end ก็ตาม แม้จะมีเสียงคัดค้านอย่างหนักจากนักวิชาการ นักพัฒนาเทคโนโลยี และนักสิทธิมนุษยชน แต่ข้อเสนอนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU จำนวนมาก โดยเฉพาะเดนมาร์กซึ่งเป็นผู้ผลักดันหลักในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานสภา EU ล่าสุด ประเทศที่เคยสนับสนุนเริ่มเปลี่ยนจุดยืน เช่น เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี และสวีเดน ที่เปลี่ยนจาก “สนับสนุน” มาเป็น “ไม่แน่ใจ” หรือ “คัดค้าน” ซึ่งทำให้ผลการลงมติยังไม่แน่นอน และอาจส่งผลให้ร่างกฎหมายไม่สามารถเข้าสู่ขั้นตอนเจรจาสุดท้ายในรัฐสภาได้ ข้อกังวลหลักคือการบังคับให้บริการอย่าง WhatsApp, Signal, ProtonMail และ VPN ต้องสแกนข้อความผู้ใช้ ซึ่งนักวิจัยกว่า 500 คนระบุว่าเป็นการทำลายความเป็นส่วนตัว และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น แม้ข้อเสนอจะระบุว่า “จะปกป้องความปลอดภัยไซเบอร์และการเข้ารหัสอย่างครอบคลุม” แต่ในทางเทคนิคแล้ว การสแกนข้อความที่เข้ารหัสไม่สามารถทำได้โดยไม่ลดระดับความปลอดภัยของระบบทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป นักข่าว นักกฎหมาย และแม้แต่เด็กที่กฎหมายตั้งใจจะปกป้อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EU เตรียมลงมติร่างกฎหมาย Chat Control ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ➡️ ร่างกฎหมายบังคับให้บริการส่งข้อความต้องสแกนเนื้อหาผู้ใช้ แม้จะเข้ารหัสแบบ end-to-end ➡️ เดนมาร์กเป็นผู้ผลักดันหลักของร่างกฎหมายในช่วงดำรงตำแหน่งประธาน EU ➡️ ประเทศที่เปลี่ยนจุดยืนล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี สวีเดน และลัตเวีย ➡️ ข้อเสนอระบุว่าบัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน ➡️ นักวิจัยกว่า 500 คนออกแถลงการณ์คัดค้านร่างกฎหมายนี้ ➡️ หากผ่าน ร่างกฎหมายจะเข้าสู่ขั้นตอนเจรจาในรัฐสภา EU เพื่อพิจารณาเป็นกฎหมาย ➡️ บริการที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ WhatsApp, Signal, ProtonMail และ VPN ต่าง ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Chat Control ถูกเสนอครั้งแรกในปี 2022 โดยอดีตกรรมาธิการ EU Ylva Johansson ➡️ การสแกนข้อความแบบ client-side คือการติดตั้งระบบตรวจสอบในอุปกรณ์ผู้ใช้โดยตรง ➡️ การลดระดับการเข้ารหัสอาจทำให้ข้อมูลผู้ใช้ถูกโจมตีจากแฮกเกอร์หรือรัฐคู่แข่ง ➡️ UN และศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปเคยเตือนว่าการลดการเข้ารหัสเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ➡️ ระบบตรวจสอบอัตโนมัติมีอัตราความผิดพลาดสูง อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกกล่าวหา https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    WWW.TECHRADAR.COM
    Chat Control: The list of countries opposing the law grows, but support remains strong
    Germany, Belgium, Italy, Latvia, and Sweden shift their positions ahead of the October 14 meeting
    0 Comments 0 Shares 371 Views 0 Reviews
  • “Apple เปิดตัว Memory Integrity Enforcement บน iPhone 17 — ป้องกันมัลแวร์ระดับรัฐด้วยระบบความปลอดภัยหน่วยความจำที่ไม่เคยมีมาก่อน”

    Apple ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Memory Integrity Enforcement (MIE) บน iPhone 17 และ iPhone Air ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระบบปฏิบัติการสำหรับผู้บริโภค โดยใช้เวลาพัฒนานานกว่า 5 ปี และผสานการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ Apple Silicon กับระบบปฏิบัติการ iOS อย่างลึกซึ้ง

    เป้าหมายของ MIE คือการป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์ระดับสูง โดยเฉพาะ “mercenary spyware” เช่น Pegasus ที่มักถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรเพื่อเจาะระบบของบุคคลเป้าหมาย เช่น นักข่าว นักสิทธิมนุษยชน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งการโจมตีเหล่านี้มักใช้ช่องโหว่ด้าน memory corruption เป็นหลัก

    หัวใจของ MIE คือการใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ Arm โดยทุกบล็อกหน่วยความจำจะถูกติด “แท็กลับ” และฮาร์ดแวร์จะตรวจสอบว่าโปรแกรมที่เข้าถึงหน่วยความจำนั้นมีแท็กตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ระบบจะบล็อกทันทีและปิดโปรเซส — ทำให้การโจมตีแบบ buffer overflow และ use-after-free แทบเป็นไปไม่ได้

    Apple ยังเสริมระบบด้วย Tag Confidentiality Enforcement เพื่อป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel และ speculative execution เช่น Spectre V1 โดยใช้เทคนิคใหม่ที่ลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพแทบเป็นศูนย์

    นอกจากฮาร์ดแวร์ A19 และ A19 Pro ที่รองรับ MIE แล้ว Apple ยังเปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Xcode เพื่อทดสอบแอปของตนภายใต้ระบบความปลอดภัยใหม่นี้ โดยครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสในระดับผู้ใช้และเคอร์เนล

    ฟีเจอร์ Memory Integrity Enforcement (MIE)
    ป้องกันช่องโหว่ memory corruption เช่น buffer overflow และ use-after-free
    ใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) แบบ synchronous
    ทุกบล็อกหน่วยความจำมีแท็กลับที่ต้องตรงกันก่อนเข้าถึง
    ระบบจะบล็อกทันทีหากแท็กไม่ตรง และปิดโปรเซสเพื่อความปลอดภัย

    การออกแบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
    ใช้ Apple Silicon A19 และ A19 Pro ที่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับ MIE
    ผสานกับ secure memory allocators เช่น kalloc_type, xzone malloc และ libpas
    ป้องกันการโจมตีภายใน bucket หน่วยความจำที่ software ปกติป้องกันไม่ได้
    ลด overhead ของการตรวจสอบแท็กให้เหลือน้อยที่สุด

    การป้องกันขั้นสูง
    ใช้ Tag Confidentiality Enforcement ป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel
    มี mitigation สำหรับ Spectre V1 ที่แทบไม่มีผลต่อ CPU
    ป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำที่ไม่มีแท็ก เช่น global variables
    ใช้ Secure Page Table Monitor เพื่อป้องกันการเจาะเคอร์เนล

    การใช้งานจริงและผลการทดสอบ
    ทดสอบกับ exploit chains จริงจากมัลแวร์ระดับรัฐในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
    พบว่า MIE ตัดขาดขั้นตอนสำคัญของการโจมตี ทำให้ไม่สามารถสร้าง chain ใหม่ได้
    ระบบสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการโจมตี
    เปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Enhanced Security ใน Xcode

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google เริ่มใช้ MTE ใน Pixel 8 แต่ยังไม่ใช่แบบ always-on และไม่ผสาน OS ลึกเท่า Apple
    Microsoft มีระบบคล้ายกันใน Windows 11 แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับเคอร์เนล
    Apple เป็นรายแรกที่ใช้ PAC ใน A12 และพัฒนา EMTE ต่อเนื่อง
    MIE ครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสใน iOS 26 และ iPhone 17

    https://security.apple.com/blog/memory-integrity-enforcement/
    🛡️ “Apple เปิดตัว Memory Integrity Enforcement บน iPhone 17 — ป้องกันมัลแวร์ระดับรัฐด้วยระบบความปลอดภัยหน่วยความจำที่ไม่เคยมีมาก่อน” Apple ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Memory Integrity Enforcement (MIE) บน iPhone 17 และ iPhone Air ซึ่งถือเป็นการอัปเกรดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ระบบปฏิบัติการสำหรับผู้บริโภค โดยใช้เวลาพัฒนานานกว่า 5 ปี และผสานการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ Apple Silicon กับระบบปฏิบัติการ iOS อย่างลึกซึ้ง เป้าหมายของ MIE คือการป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์ระดับสูง โดยเฉพาะ “mercenary spyware” เช่น Pegasus ที่มักถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรเพื่อเจาะระบบของบุคคลเป้าหมาย เช่น นักข่าว นักสิทธิมนุษยชน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งการโจมตีเหล่านี้มักใช้ช่องโหว่ด้าน memory corruption เป็นหลัก หัวใจของ MIE คือการใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ Arm โดยทุกบล็อกหน่วยความจำจะถูกติด “แท็กลับ” และฮาร์ดแวร์จะตรวจสอบว่าโปรแกรมที่เข้าถึงหน่วยความจำนั้นมีแท็กตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ระบบจะบล็อกทันทีและปิดโปรเซส — ทำให้การโจมตีแบบ buffer overflow และ use-after-free แทบเป็นไปไม่ได้ Apple ยังเสริมระบบด้วย Tag Confidentiality Enforcement เพื่อป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel และ speculative execution เช่น Spectre V1 โดยใช้เทคนิคใหม่ที่ลดผลกระทบต่อประสิทธิภาพแทบเป็นศูนย์ นอกจากฮาร์ดแวร์ A19 และ A19 Pro ที่รองรับ MIE แล้ว Apple ยังเปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Xcode เพื่อทดสอบแอปของตนภายใต้ระบบความปลอดภัยใหม่นี้ โดยครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสในระดับผู้ใช้และเคอร์เนล ✅ ฟีเจอร์ Memory Integrity Enforcement (MIE) ➡️ ป้องกันช่องโหว่ memory corruption เช่น buffer overflow และ use-after-free ➡️ ใช้ Enhanced Memory Tagging Extension (EMTE) แบบ synchronous ➡️ ทุกบล็อกหน่วยความจำมีแท็กลับที่ต้องตรงกันก่อนเข้าถึง ➡️ ระบบจะบล็อกทันทีหากแท็กไม่ตรง และปิดโปรเซสเพื่อความปลอดภัย ✅ การออกแบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ➡️ ใช้ Apple Silicon A19 และ A19 Pro ที่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับ MIE ➡️ ผสานกับ secure memory allocators เช่น kalloc_type, xzone malloc และ libpas ➡️ ป้องกันการโจมตีภายใน bucket หน่วยความจำที่ software ปกติป้องกันไม่ได้ ➡️ ลด overhead ของการตรวจสอบแท็กให้เหลือน้อยที่สุด ✅ การป้องกันขั้นสูง ➡️ ใช้ Tag Confidentiality Enforcement ป้องกันการเจาะแท็กผ่าน side-channel ➡️ มี mitigation สำหรับ Spectre V1 ที่แทบไม่มีผลต่อ CPU ➡️ ป้องกันการเข้าถึงหน่วยความจำที่ไม่มีแท็ก เช่น global variables ➡️ ใช้ Secure Page Table Monitor เพื่อป้องกันการเจาะเคอร์เนล ✅ การใช้งานจริงและผลการทดสอบ ➡️ ทดสอบกับ exploit chains จริงจากมัลแวร์ระดับรัฐในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ➡️ พบว่า MIE ตัดขาดขั้นตอนสำคัญของการโจมตี ทำให้ไม่สามารถสร้าง chain ใหม่ได้ ➡️ ระบบสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการโจมตี ➡️ เปิดให้ผู้พัฒนาใช้งาน EMTE ผ่าน Enhanced Security ใน Xcode ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google เริ่มใช้ MTE ใน Pixel 8 แต่ยังไม่ใช่แบบ always-on และไม่ผสาน OS ลึกเท่า Apple ➡️ Microsoft มีระบบคล้ายกันใน Windows 11 แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับเคอร์เนล ➡️ Apple เป็นรายแรกที่ใช้ PAC ใน A12 และพัฒนา EMTE ต่อเนื่อง ➡️ MIE ครอบคลุมมากกว่า 70 โปรเซสใน iOS 26 และ iPhone 17 https://security.apple.com/blog/memory-integrity-enforcement/
    SECURITY.APPLE.COM
    Memory Integrity Enforcement: A complete vision for memory safety in Apple devices - Apple Security Research
    Memory Integrity Enforcement (MIE) is the culmination of an unprecedented design and engineering effort spanning half a decade that combines the unique strengths of Apple silicon hardware with our advanced operating system security to provide industry-first, always-on memory safety protection across our devices — without compromising our best-in-class device performance. We believe Memory Integrity Enforcement represents the most significant upgrade to memory safety in the history of consumer operating systems.
    0 Comments 0 Shares 313 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 3
    กลับมาที่ ICG อย่าเข้าใจผิดว่ารับหน้าที่เป็นเพียงนัก lobby ให้แก่หมาไนเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ สำหรับการล่าเหยื่อให้กับกลุ่มทุนอิทธิพล นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) ในขณะเดียวกันด้วย ทั้งนี้จับความจากคำบอกเล่าของนาย Gareth Evans ผู้เดินอยู่ในถนนการเมืองของแดนจิงโจ้มากกว่า 20 ปี และระหว่างนั้นก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีเสียหลายสมัย เมื่อพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ก็เปลี่ยนแนวเข้ามาสู่วงการที่น่าจะทำให้ชีวิตตื่นเต้นไปกว่าเดิม จากการเป็นรัฐมนตรีอยู่ประเทศเดียว มันคงจะไม่มันเท่ากุมชะตาและชักใยหลายประเทศ คุณ Evans
    จึงไปนั่งในตำแหน่งประธานกิติมศักดิ์ของ ICG เสียเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 – 2009
    จากการแสดงปาฐกถาของคุณ Evans เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งโฆษณาสรรพคุณ ICG และจากเอกสารขององค์กร ICG เอง ทำให้เข้าใจได้ว่า องค์กรนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อระงับความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ โดยที่ผู้ขัดแย้งไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเข้ามา เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง (น่าเชื่อถือมาก !) แต่ใช้ วิธีการอื่น (มาแบบนี้อีกแล้ว !)
    ในการแก้ไขข้อขัดแย้งรุนแรงใด พวกเขาจะทำการวิเคราะห์หาสาเหตุ ทำความเข้าใจ อย่างถี่ถ้วนแล้ว และนำมาสร้างแผน แต่อย่าเข้าใจผิดว่าพวกเขาจะเล่นบทออกหน้า พวกเขาจะอยู่หลังฉาก ดังนั้นการทำงานของพวกเขา คือ การให้คำปรึกษา ดูแลช่วยเหลือ จัดฉาก ชักใย ตามแผนที่สร้างไว้อยู่เบื้องหลัง (behind the scene) ให้แก่ผู้มีบทบาทต้องเล่นหน้าฉาก โดยมีตัวประกอบเป็นนักการเมือง นักการทหาร นัก lobby นักสังคมฯ นักสิทธิมนุษยชน สื่อสารมวลชน นักวิชาการ นักจิตวิทยา และที่สำคัญคือประชาชนของทุกท้องที่ของความขัดแย้งนั่นเอง ดังนั้นข่าวของ ICG ที่เราจะเห็นออกมากับการทำงานของเขา มันคงจะดูยากอยู่ แต่คงไม่ยากเกินการทำความเข้าใจ
    คุณ Evans เป็นคนช่างเล่าจริง แกบอกว่า ICG สามารถจะอ้างความดีความชอบ ได้ใน หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เช่น
    – การวิเคราะห์และวางแผน การแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ปากีสถาน, ที่คองโก, ที่ไฮติ
    – การแก้ไขเหตุการณ์ในเขมร, อาฟริกากลาง,บอลข่าน, อีรัคตอนเหนือ, ขบวนการเคลื่อนไหวของ Jemaah Islamiyah ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, ที่ Darfur (ค.ศ. 2003 – 2004) ที่ Ethiopia (ค.ศ. 2007) ที่ Kenya (ค.ศ. 2008)
    นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่คุณ Evans คุยฟุ้งว่าอยู่ในแผนที่กำลังดำเนินการ เช่น แนวคิดที่จะผ่อนคลาย การคว่ำบาตรของอิหร่านและพม่า สำหรับรายการหลังนี้ แกเล่าแบบไม่เหนียมอายว่า โลกฝั่งตะวันตก พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าไปช่วย พม่าเปิดประตูเมือง ยกเลิกการคว่ำบาตร เพื่อแลกกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองของพม่า (ต้มตุ๋น ของแท้ !)
    แล้วสำหรับไทยแลนด์ของสมันน้อยล่ะ สถาบัน ICG นักล่าคิดอย่างไรกับเรา ? เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2010 ที่พี่น้องเสื้อแดงพากัน พกน้ำมันมาคนละขวดกับไม้ขีดไฟอย่างใจถึง ๆ มาตั้งแคมป์กลางเมืองน่ะ ICG ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2010 ว่า การเมืองไทยล้มเหลว และไม่อยู่ในสภาพที่จะกู้กลับ สถานการณ์เลวร้าย จะนำไปสูสงครามกลางเมือง ถึงเวลาแล้วที่ Thailand จะต้องคิดขอความช่วยเหลือจากนานาอารยะประเทศ
    (มาแล้วไง!) สิ่งที่ Thailand ควรทำด่วน คือ ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจประกอบด้วย บุคคลจากนานาชาติ ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทย มาทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างรัฐบาล (ปชป) กับกลุ่มเสื้อแดง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรง เช่น ยุติการปฏิบัติงานของทหาร การประท้วงควรเหลือเพียงการทำในเชิงสัญลักษณ์ คณะบุคคลนานาชาตินี้ จะทำหน้าที่จัดการให้มีรัฐบาลชั่วคราวเพื่อเตรียมการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ผู้นำรัฐบาลควรมาจากรัฐสภา และควรจะประกอบด้วย ผู้ที่เป็นกลางและได้รับความนับถือจากสังคม (ใครหนอ?) และจะต้องมีการสอบสวนถึงกรณีปฏิบัติการ 10 เม.ย ระหว่างทหารกับกลุ่มเสื้อแดงที่มาประท้วงแถวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
    และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ารูปแล้ว สิ่งที่ควรจะรีบดำเนินการ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ซึ่งร่างขึ้นโดยอิทธิพลของทหาร
    ท่านผู้อ่านที่มีญาติเป็นทหาร ช่วยเอาไปให้อ่านตอนนี้หน่อยนะครับ เพื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น และโปรดพิจารณากันเองแล้วกันว่า ข้อเสนอของ ICG มันน่าสรรเสริญเพียงใด และมีฝ่ายใดดำเนินการตามบ้าง มันคงมีการเข้าใจกันผิด ว่าราชอาณาจักรไทยของเรา ตกอยู่ในอาณัติของผู้ใดไปแล้ว !


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 3 กลับมาที่ ICG อย่าเข้าใจผิดว่ารับหน้าที่เป็นเพียงนัก lobby ให้แก่หมาไนเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการ สำหรับการล่าเหยื่อให้กับกลุ่มทุนอิทธิพล นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) ในขณะเดียวกันด้วย ทั้งนี้จับความจากคำบอกเล่าของนาย Gareth Evans ผู้เดินอยู่ในถนนการเมืองของแดนจิงโจ้มากกว่า 20 ปี และระหว่างนั้นก็ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีเสียหลายสมัย เมื่อพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ก็เปลี่ยนแนวเข้ามาสู่วงการที่น่าจะทำให้ชีวิตตื่นเต้นไปกว่าเดิม จากการเป็นรัฐมนตรีอยู่ประเทศเดียว มันคงจะไม่มันเท่ากุมชะตาและชักใยหลายประเทศ คุณ Evans จึงไปนั่งในตำแหน่งประธานกิติมศักดิ์ของ ICG เสียเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 – 2009 จากการแสดงปาฐกถาของคุณ Evans เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งโฆษณาสรรพคุณ ICG และจากเอกสารขององค์กร ICG เอง ทำให้เข้าใจได้ว่า องค์กรนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อระงับความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ โดยที่ผู้ขัดแย้งไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเข้ามา เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง (น่าเชื่อถือมาก !) แต่ใช้ วิธีการอื่น (มาแบบนี้อีกแล้ว !) ในการแก้ไขข้อขัดแย้งรุนแรงใด พวกเขาจะทำการวิเคราะห์หาสาเหตุ ทำความเข้าใจ อย่างถี่ถ้วนแล้ว และนำมาสร้างแผน แต่อย่าเข้าใจผิดว่าพวกเขาจะเล่นบทออกหน้า พวกเขาจะอยู่หลังฉาก ดังนั้นการทำงานของพวกเขา คือ การให้คำปรึกษา ดูแลช่วยเหลือ จัดฉาก ชักใย ตามแผนที่สร้างไว้อยู่เบื้องหลัง (behind the scene) ให้แก่ผู้มีบทบาทต้องเล่นหน้าฉาก โดยมีตัวประกอบเป็นนักการเมือง นักการทหาร นัก lobby นักสังคมฯ นักสิทธิมนุษยชน สื่อสารมวลชน นักวิชาการ นักจิตวิทยา และที่สำคัญคือประชาชนของทุกท้องที่ของความขัดแย้งนั่นเอง ดังนั้นข่าวของ ICG ที่เราจะเห็นออกมากับการทำงานของเขา มันคงจะดูยากอยู่ แต่คงไม่ยากเกินการทำความเข้าใจ คุณ Evans เป็นคนช่างเล่าจริง แกบอกว่า ICG สามารถจะอ้างความดีความชอบ ได้ใน หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เช่น – การวิเคราะห์และวางแผน การแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ปากีสถาน, ที่คองโก, ที่ไฮติ – การแก้ไขเหตุการณ์ในเขมร, อาฟริกากลาง,บอลข่าน, อีรัคตอนเหนือ, ขบวนการเคลื่อนไหวของ Jemaah Islamiyah ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้, ที่ Darfur (ค.ศ. 2003 – 2004) ที่ Ethiopia (ค.ศ. 2007) ที่ Kenya (ค.ศ. 2008) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่คุณ Evans คุยฟุ้งว่าอยู่ในแผนที่กำลังดำเนินการ เช่น แนวคิดที่จะผ่อนคลาย การคว่ำบาตรของอิหร่านและพม่า สำหรับรายการหลังนี้ แกเล่าแบบไม่เหนียมอายว่า โลกฝั่งตะวันตก พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าไปช่วย พม่าเปิดประตูเมือง ยกเลิกการคว่ำบาตร เพื่อแลกกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองของพม่า (ต้มตุ๋น ของแท้ !) แล้วสำหรับไทยแลนด์ของสมันน้อยล่ะ สถาบัน ICG นักล่าคิดอย่างไรกับเรา ? เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2010 ที่พี่น้องเสื้อแดงพากัน พกน้ำมันมาคนละขวดกับไม้ขีดไฟอย่างใจถึง ๆ มาตั้งแคมป์กลางเมืองน่ะ ICG ระบุในรายงานเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2010 ว่า การเมืองไทยล้มเหลว และไม่อยู่ในสภาพที่จะกู้กลับ สถานการณ์เลวร้าย จะนำไปสูสงครามกลางเมือง ถึงเวลาแล้วที่ Thailand จะต้องคิดขอความช่วยเหลือจากนานาอารยะประเทศ (มาแล้วไง!) สิ่งที่ Thailand ควรทำด่วน คือ ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจประกอบด้วย บุคคลจากนานาชาติ ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทย มาทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างรัฐบาล (ปชป) กับกลุ่มเสื้อแดง เพื่อป้องกันเหตุรุนแรง เช่น ยุติการปฏิบัติงานของทหาร การประท้วงควรเหลือเพียงการทำในเชิงสัญลักษณ์ คณะบุคคลนานาชาตินี้ จะทำหน้าที่จัดการให้มีรัฐบาลชั่วคราวเพื่อเตรียมการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ผู้นำรัฐบาลควรมาจากรัฐสภา และควรจะประกอบด้วย ผู้ที่เป็นกลางและได้รับความนับถือจากสังคม (ใครหนอ?) และจะต้องมีการสอบสวนถึงกรณีปฏิบัติการ 10 เม.ย ระหว่างทหารกับกลุ่มเสื้อแดงที่มาประท้วงแถวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ารูปแล้ว สิ่งที่ควรจะรีบดำเนินการ คือแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ซึ่งร่างขึ้นโดยอิทธิพลของทหาร ท่านผู้อ่านที่มีญาติเป็นทหาร ช่วยเอาไปให้อ่านตอนนี้หน่อยนะครับ เพื่อจะเข้าใจอะไรมากขึ้น และโปรดพิจารณากันเองแล้วกันว่า ข้อเสนอของ ICG มันน่าสรรเสริญเพียงใด และมีฝ่ายใดดำเนินการตามบ้าง มันคงมีการเข้าใจกันผิด ว่าราชอาณาจักรไทยของเรา ตกอยู่ในอาณัติของผู้ใดไปแล้ว ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 453 Views 0 Reviews
  • แจก เสรีภาพ รัวๆ...!!!
    แจก ประชาธิปไตย รัวๆ...!!!
    แจก สิทธิมนุษยชน รัวๆ...!!!
    .
    NGOไทย ทั้งหลาย...!!!
    นักสิทธิมนุษยชนไทย ทั้งหลาย...!!!
    .
    นักการเมืองไทย ผู้คลั่งไคล้ สิทธิมนุษยชนทั้งหลาย...!!!
    .
    หายหัวไปไหนกันหมด...???
    .
    ไม่กล้าเถียงเจ้านาย...???
    .


    .
    https://mgronline.com/around/detail/9680000027510
    แจก เสรีภาพ รัวๆ...!!! แจก ประชาธิปไตย รัวๆ...!!! แจก สิทธิมนุษยชน รัวๆ...!!! . NGOไทย ทั้งหลาย...!!! นักสิทธิมนุษยชนไทย ทั้งหลาย...!!! . นักการเมืองไทย ผู้คลั่งไคล้ สิทธิมนุษยชนทั้งหลาย...!!! . หายหัวไปไหนกันหมด...??? . ไม่กล้าเถียงเจ้านาย...??? . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 . https://mgronline.com/around/detail/9680000027510
    MGRONLINE.COM
    นักสิทธิฯ ไปไหนหมด! พบแค่เดือนแรก ทรัมป์เนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย 3.7 หมื่นราย
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายไปแล้ว 37,660 ราย ในระหว่างเดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง อ้างอิงข้อมูลของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน อย่างไรก็ตามมันถือว่าต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับค
    0 Comments 0 Shares 488 Views 0 Reviews
  • ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์

    EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน
    มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย
    ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
    มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง
    ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง
    นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112
    รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง

    https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    ข้อสรุปเบื้องต้นจากการอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภายุโรป เกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) และการเนรเทศผู้หลบหนีเข้าประเทศชาวอุยกูร์ 👉 EU ระบุว่า "มีประเทศที่สามพร้อมรับอุยกูร์" ไทยไม่ควรส่งชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะความเสี่ยงจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากจีน 👉 มีชาวอุยกูร์เสียชีวิต 5 ราย ระหว่างถูกคุมขังในไทย 👉ม.112 ของไทย เป็นกฎหมายที่เคร่งครัดที่สุดในโลก และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ 👉 มีนักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ข้อสรุปเบื้องต้นที่ EU เรียกร้อง 👉 ต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และกฎหมายที่มีปัญหาอื่นๆ เพื่อรับประกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมทางการเมือง 👉 นิรโทษกรรม สส. และ นักกิจกรรมทั้งหมดที่ ที่โดนดำเนินคดีจากปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพอื่นๆ รวมถึงคดีจาก ม.112 👉 รัฐสภายุโรป กำลังพิจารณาใช้กลไกทางการค้า (FTA) กดดันให้ไทยแก้กฎหมายที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะมาตรา 112 รวมทั้งการปล่อยนักโทษการเมือง https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/RC-10-2025-0174_EN.html
    0 Comments 0 Shares 846 Views 0 Reviews
  • มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แสดงความคิดเห็นถากถางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศทันทีหลังเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ "ชาย" และ "หญิง" พร้อมลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ ชี้สหรัฐฯควรถูกสอบสวนในระดับนานาชาติในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบังคับคนอื่นๆให้ยอมรับแนวคิดปลอมๆนี้มานานหลายปี
    .
    ชาคาโรวา แสดงความคิดเห็นดังกล่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนหมาดๆ ลงนามยุติการคุ้มรองสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)" ภายในรัฐบาลกลาง
    .
    "คุณจินตนาการได้หรือไม่ว่า มีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ชีวิตต้องล่มจมไปในช่วงหลายขวบปีของการรณรงค์ส่งเสริมหลักการที่ไร้สาระนี้" ชาคาโรวาเขียนบนเทเลแกรม "แล้วตอนนี้ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนควรทำอย่างไรดี พวกเขาเหล่านี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับแนวคิดแห่งการตัดอวัยวะเพศที่สมบูรณ์แข็งแรงออก แล้วแทนที่มันด้วยอวัยวะเพศเทียม"
    .
    ในวันแรกของการกลับสู่ตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งบริหาร 78 ฉบับที่ลงนามโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อน ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆหลายสิบมาตรการ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนชาวเกย์และคนข้ามเพศ
    .
    หน่วยงานต่างๆและกระทรวงต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีเวลา 60 วัน นับตั้งแต่ลงนาม ในการยุติแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน"
    .
    คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าจะยุตินโยบายรัฐบาลที่พยายามยัดเยียดความเท่าเทียมทางสังคม ทั้งด้านเชื้อชาติและเพศสภาพ เข้าสู่ทุกแง่มุมของสาธารณะและวิถีชีวิตส่วนตัว พร้อมบกว่า "“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based)"
    .
    ทรัมป์ ยังบอกว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ "นั่นก็คือ เพศชายและเพศหญิง"
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    .
    การละทิ้งหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ได้เรียกเสียงโวยวายจากกลุ่มสิทธิพลเมืองในทันที ในขณะที่พวกเขาประกาศต่อสู้กับบทบัญญัติใดๆที่เป็นอันตรายเหล่านี้
    .
    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกหลักการ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ
    .
    บางบริษัท ในนั้นรวมถึง วอลมาร์ท นายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้เริ่มถอนโครงการ DEI ไปบ้างแล้ว ในช่วงหลายสัปดาห์ หลังจาก ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่เดือนพฤศจิกายน ส่วน เมตา เมื่อเร็วๆนี้ก็ยุบแผนก DEI อ้างถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและการเมืองที่เปลี่ยนไป ส่วน แม็คโดนัลด์ ก็ลดระดับเป้าหมายความหลากหลายในตำแหน่งงานผู้นำระดับสูง
    .
    อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทอื่นๆอย่างเช่น คอสต์โก และ แอปเปิล มีรายงานว่ายังคงมุ่งมั่นต่อนโยบายความหลากหลาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006631
    ..............
    Sondhi X
    มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แสดงความคิดเห็นถากถางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประกาศทันทีหลังเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ "ชาย" และ "หญิง" พร้อมลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ ชี้สหรัฐฯควรถูกสอบสวนในระดับนานาชาติในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากบังคับคนอื่นๆให้ยอมรับแนวคิดปลอมๆนี้มานานหลายปี . ชาคาโรวา แสดงความคิดเห็นดังกล่าวในวันอังคาร(21ม.ค.) หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เพิ่งสาบานตนหมาดๆ ลงนามยุติการคุ้มรองสิทธิกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน (Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)" ภายในรัฐบาลกลาง . "คุณจินตนาการได้หรือไม่ว่า มีผู้คนมากน้อยแค่ไหนที่ชีวิตต้องล่มจมไปในช่วงหลายขวบปีของการรณรงค์ส่งเสริมหลักการที่ไร้สาระนี้" ชาคาโรวาเขียนบนเทเลแกรม "แล้วตอนนี้ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนควรทำอย่างไรดี พวกเขาเหล่านี้ถูกบีบบังคับให้ยอมรับแนวคิดแห่งการตัดอวัยวะเพศที่สมบูรณ์แข็งแรงออก แล้วแทนที่มันด้วยอวัยวะเพศเทียม" . ในวันแรกของการกลับสู่ตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งบริหาร 78 ฉบับที่ลงนามโดย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อน ในนั้นรวมถึงมาตรการต่างๆหลายสิบมาตรการ ที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติกับกลุ่มคนชาวเกย์และคนข้ามเพศ . หน่วยงานต่างๆและกระทรวงต่างๆของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีเวลา 60 วัน นับตั้งแต่ลงนาม ในการยุติแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการ "ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน" . คำสั่งนี้มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันจันทร์(20ม.ค.) ว่าจะยุตินโยบายรัฐบาลที่พยายามยัดเยียดความเท่าเทียมทางสังคม ทั้งด้านเชื้อชาติและเพศสภาพ เข้าสู่ทุกแง่มุมของสาธารณะและวิถีชีวิตส่วนตัว พร้อมบกว่า "“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based)" . ทรัมป์ ยังบอกว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ "นั่นก็คือ เพศชายและเพศหญิง" . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ . การละทิ้งหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน ได้เรียกเสียงโวยวายจากกลุ่มสิทธิพลเมืองในทันที ในขณะที่พวกเขาประกาศต่อสู้กับบทบัญญัติใดๆที่เป็นอันตรายเหล่านี้ . นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกหลักการ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ . บางบริษัท ในนั้นรวมถึง วอลมาร์ท นายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้เริ่มถอนโครงการ DEI ไปบ้างแล้ว ในช่วงหลายสัปดาห์ หลังจาก ทรัมป์ ชนะศึกเลือกตั้งเมื่เดือนพฤศจิกายน ส่วน เมตา เมื่อเร็วๆนี้ก็ยุบแผนก DEI อ้างถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและการเมืองที่เปลี่ยนไป ส่วน แม็คโดนัลด์ ก็ลดระดับเป้าหมายความหลากหลายในตำแหน่งงานผู้นำระดับสูง . อย่างไรก็ตามยังมีบริษัทอื่นๆอย่างเช่น คอสต์โก และ แอปเปิล มีรายงานว่ายังคงมุ่งมั่นต่อนโยบายความหลากหลาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006631 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    11
    0 Comments 0 Shares 2169 Views 0 Reviews
  • WOKE แย่แล้ว!!!

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารเกี่ยวกับการสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ที่อดีต "ประธานาธิบดีไบเดน" ลงนามคำสั่งตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน

    คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female)

    ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+

    คำสั่งของทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์

    WOKE แย่แล้ว!!! ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารเกี่ยวกับการสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ที่อดีต "ประธานาธิบดีไบเดน" ลงนามคำสั่งตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female) ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ คำสั่งของทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 546 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (20 ม.ค.) ว่าสหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+
    .
    คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female)
    .
    เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทรัมป์ ได้เริ่มทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะเข้ามายกเลิกนโยบายต่างๆ ของ ไบเดน ซึ่งมุ่งเน้นมาตรการส่งเสริมความหลากหลายในทั่วทุกภาคส่วนของรัฐบาล
    .
    เขาได้ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของ ไบเดน รวม 78 ฉบับ ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่ง 10 กว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ
    .
    ทรัมป์ ยังยกเลิกคำสั่งบริหาร 2 ฉบับที่ ไบเดน ลงนามตั้งแต่วันแรกที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน ได้แก่ คำสั่งว่าด้วยการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในชุมชนที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ (underserved community) และคำสั่งว่าด้วยการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยอิงกับเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศ
    .
    ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ยังเซ็นยกเลิกคำสั่งบริหารที่มุ่งให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนผิวสี คนเชื้อสายฮิสแปนิก คนอเมริกันพื้นเมือง คนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และคนจากกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก
    .
    “ในสัปดาห์นี้ผมจะยกเลิกนโยบายของรัฐที่พยายามใช้วิศวกรรมสังคมยัดเยียดเชื้อชาติและเพศสภาพเข้ามาในทุกแง่มุมของชีวิตส่วนตัวและสาธารณะ” ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์หลังเข้าพิธีสาบานตนเมื่อวานนี้ (20)
    .
    “เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based) และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง” ทรัมป์ กล่าว
    .
    คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    .
    ล่าสุดนักเคลื่อนไหวและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในสหรัฐฯ ประกาศจะออกมาปกป้องคนกลุ่มน้อยในสังคมอ และท้าทายวาระของ ทรัมป์
    .
    “เราจะไม่ยอมถอยหรือยอมถูกคุกคาม เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และจะต่อสู้กับคำสั่งที่อันตรายเหล่านี้ด้วยทุกสิ่งที่เรามีอยู่” เคลลี โรบินสัน ประธาน Human Rights Campaign ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง
    .
    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกมาตรการส่งเสริมความหลากหลาย (diversity) ความเท่าเทียม (equality) และการหลอมรวม (inclusion) หรือ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ
    .
    ปัจจุบันมีหลายบริษัทในสหรัฐฯ ที่เริ่มปลีกตัวออกจาก DEI โดยบางแห่งเพิ่งประกาศยกเลิกโครงการริเริ่ม DEI ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่บางบริษัท เช่น Costco และแอปเปิลยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน DEI ต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006338
    .........
    Sondhi X
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (20 ม.ค.) ว่าสหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable) ขณะที่ลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+ . คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง” (an individual’s immutable biological classification as either male or female) . เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทรัมป์ ได้เริ่มทำตามสัญญาที่หาเสียงไว้ว่าจะเข้ามายกเลิกนโยบายต่างๆ ของ ไบเดน ซึ่งมุ่งเน้นมาตรการส่งเสริมความหลากหลายในทั่วทุกภาคส่วนของรัฐบาล . เขาได้ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของ ไบเดน รวม 78 ฉบับ ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่ง 10 กว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ . ทรัมป์ ยังยกเลิกคำสั่งบริหาร 2 ฉบับที่ ไบเดน ลงนามตั้งแต่วันแรกที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อ 4 ปีก่อน ได้แก่ คำสั่งว่าด้วยการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในชุมชนที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ (underserved community) และคำสั่งว่าด้วยการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยอิงกับเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศ . ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ยังเซ็นยกเลิกคำสั่งบริหารที่มุ่งให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนผิวสี คนเชื้อสายฮิสแปนิก คนอเมริกันพื้นเมือง คนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และคนจากกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก . “ในสัปดาห์นี้ผมจะยกเลิกนโยบายของรัฐที่พยายามใช้วิศวกรรมสังคมยัดเยียดเชื้อชาติและเพศสภาพเข้ามาในทุกแง่มุมของชีวิตส่วนตัวและสาธารณะ” ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์หลังเข้าพิธีสาบานตนเมื่อวานนี้ (20) . “เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติแต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based) และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง” ทรัมป์ กล่าว . คำสั่งของ ทรัมป์ ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” (gender ideology) ซึ่งเป็นคำกว้างๆ ที่กลุ่มอนุรักษนิยมมักจะใช้อ้างถึงค่านิยมใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนมุมมองเกี่ยวกับเพศและเพศสภาพที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม (non-traditional) ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ . ล่าสุดนักเคลื่อนไหวและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในสหรัฐฯ ประกาศจะออกมาปกป้องคนกลุ่มน้อยในสังคมอ และท้าทายวาระของ ทรัมป์ . “เราจะไม่ยอมถอยหรือยอมถูกคุกคาม เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น และจะต่อสู้กับคำสั่งที่อันตรายเหล่านี้ด้วยทุกสิ่งที่เรามีอยู่” เคลลี โรบินสัน ประธาน Human Rights Campaign ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง . นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิหลายคนออกมาเตือนว่า การที่ ทรัมป์ เข้ามายกเลิกมาตรการส่งเสริมความหลากหลาย (diversity) ความเท่าเทียม (equality) และการหลอมรวม (inclusion) หรือ DEI รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ของคนข้ามเพศ จะเป็นการทำลายความพยายามสร้างนโยบายเท่าเทียมที่ได้มาอย่างยากลำบาก และกัดเซาะความก้าวหน้าในการแก้ไขอคติทางสังคมซึ่งทำให้คนกลุ่มน้อยไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียมมานานหลายทศวรรษ . ปัจจุบันมีหลายบริษัทในสหรัฐฯ ที่เริ่มปลีกตัวออกจาก DEI โดยบางแห่งเพิ่งประกาศยกเลิกโครงการริเริ่ม DEI ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่บางบริษัท เช่น Costco และแอปเปิลยังคงแสดงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุน DEI ต่อไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006338 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    13
    0 Comments 0 Shares 1889 Views 0 Reviews