• ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต
    .
    'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว
    .
    นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ
    .
    อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง
    .
    สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
    ..............
    Sondhi X
    ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต . 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว . นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ . อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง . สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 237 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต
    .
    'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว
    .
    นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ
    .
    อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง
    .
    สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
    ..............
    Sondhi X
    ได้คืบจะเอาศอก 'ทักษิณ' อยากพบ 'ฮุนเซน' แต่ศาลไทยไม่อนุญาต . 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลยในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กำลังจะได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ภายหลังมีรายงานว่าได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปร่วมประชุมอาเซียน ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จะจัดการประชุมระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์นี้ ที่ประเทศบรูไน ดารุสลาม โดยมีรายงานว่าการขออนุญาตศาลเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของนายทักษิณ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน มีหนังสือเชิญ ผ่านสถานทูตไทย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อเชิญนายทักษิณไปหารือต่อเนื่องจากครั้งที่เเล้ว . นายทักษิณยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ และศาลอาญา ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2569 มีพยาน 2 ปากคือนายทักษิณ เเละ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ โดยศาลพิจารณาเเล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุจำเป็นตามคำร้อง จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และให้วางหลักประกันตามที่เสนอ จำนวน 5 ล้านบาท และให้กลับมารายงานตัวภายใน 3 วันนับแต่วันที่เดินทางกลับ แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)ทราบ . อย่างไรก็ตาม ปรากฎคำร้องของทักษิณที่ต้องการเดินทางไปยังกัมพูชาและเวียดนามนั้น ศาลไม่อนุญาต โดยได้พิจารณาคำร้องของนายทักษิณที่อ้างว่าไปประเทศ เวียดนาม เเละประเทศกัมพูชาในช่วงวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเดินไปประเทศบรูไน ดารุสลามแล้วเห็นว่า การเดินทางไปประเทศเวียดนาม นั้นเป็นไปตามคำเชิญของนักธุรกิจชาวเวียดนา ซึ่งมีตำเเหน่งเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานรัฐของเวียดนาม เเต่เป็นการเชิญส่วนตัวไม่ใช่ในนามรัฐบาลเวียดนาม ส่วนการขออนุญาตเดินทางไปประเทศกัมพูชา ก็เป็นคำเชิญจาก สมเด็จฮุน เซน ซึ้งเป็นในนามส่วนตัวเช่นกันไม่ใช่ในนามรัฐบาลกัมพูชาแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีไม่มีเหตุจำเป็น ศาลจึงยกคำร้อง . สำหรับนายทักษิณ ก่อนหน้านี้ศาลอาญาที่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยศาลอาญาอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    Wow
    28
    4 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1426 มุมมอง 1 รีวิว
  • ในช่วงเวลานี้ AI กำลังเป็นปัจจัยที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงวงการการจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างมาก จากข้อมูลของผู้บริหารระดับสูงจาก Microsoft การใช้ AI ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการแข่งขันกับธนาคารที่มีอยู่เดิม

    รายละเอียดที่น่าสนใจ
    - ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ: Martin Moeller หัวหน้าแผนก AI & GenAI สำหรับบริการทางการเงินของ EMEA ที่ Microsoft กล่าวถึงความสามารถของ AI ในการลดต้นทุนการดำเนินงาน และการประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว เช่น Klarna ผู้ให้บริการชำระเงินของสวีเดนได้ใช้ AI จาก OpenAI มาตั้งแต่ต้นปี 2024 และช่วยทำงานแทนพนักงานถึง 700 คน
    - ความสามารถในการแข่งขัน: AI มีความสามารถในการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่เข้าสู่ตลาดการเงินได้ง่ายขึ้น เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตเมื่อหลายสิบปีก่อน
    - การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า: AI ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการจัดการการลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ AI เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง
    - อนาคตของ AI ในการจัดการความมั่งคั่ง: แม้ว่าในปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถให้คำแนะนำในการลงทุนได้โดยตรง แต่ในอนาคตที่ไม่ไกล เราจะได้เห็นการพัฒนาของ "Agentic AI" ที่สามารถตัดสินใจโดยอิสระโดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะมีในอีกประมาณสองปีข้างหน้า

    สรุปภาพรวม AI กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการความมั่งคั่ง ซึ่งมีศักยภาพในการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการและธนาคาร นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าติดตามในวงการการเงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/14/ai-to-transform-wealth-management-microsoft-executive-says
    ในช่วงเวลานี้ AI กำลังเป็นปัจจัยที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงวงการการจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างมาก จากข้อมูลของผู้บริหารระดับสูงจาก Microsoft การใช้ AI ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการแข่งขันกับธนาคารที่มีอยู่เดิม รายละเอียดที่น่าสนใจ - ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ: Martin Moeller หัวหน้าแผนก AI & GenAI สำหรับบริการทางการเงินของ EMEA ที่ Microsoft กล่าวถึงความสามารถของ AI ในการลดต้นทุนการดำเนินงาน และการประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว เช่น Klarna ผู้ให้บริการชำระเงินของสวีเดนได้ใช้ AI จาก OpenAI มาตั้งแต่ต้นปี 2024 และช่วยทำงานแทนพนักงานถึง 700 คน - ความสามารถในการแข่งขัน: AI มีความสามารถในการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่เข้าสู่ตลาดการเงินได้ง่ายขึ้น เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตเมื่อหลายสิบปีก่อน - การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า: AI ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการจัดการการลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ AI เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง - อนาคตของ AI ในการจัดการความมั่งคั่ง: แม้ว่าในปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถให้คำแนะนำในการลงทุนได้โดยตรง แต่ในอนาคตที่ไม่ไกล เราจะได้เห็นการพัฒนาของ "Agentic AI" ที่สามารถตัดสินใจโดยอิสระโดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะมีในอีกประมาณสองปีข้างหน้า สรุปภาพรวม AI กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการความมั่งคั่ง ซึ่งมีศักยภาพในการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการและธนาคาร นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าติดตามในวงการการเงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/14/ai-to-transform-wealth-management-microsoft-executive-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI to transform wealth management, Microsoft executive says
    ZURICH (Reuters) - Artificial intelligence will bring major upheaval to wealth management, a Microsoft executive said, as the technology's potential to process information vastly reduces the hurdles required to compete with established banks.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • เงียบกริบจนผิดวิสัย สำหรับ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์”หลังจากถูกโยงเป็นดาราสาวถูกทวงเงินจากอดีตผู้จัดการ ที่เอาไปปล่อยกู้คนดังเกือบ 10 ล้าน รวมไปถึงประเด็นที่ “มดดำ คชาภา ตันเจริญ” ออกมาเล่าเรื่องของเพื่อนสาวนักธุรกิจที่ถูกดาราสาวยืมของหรูมูลค่า 62 ล้านไป แต่ยังไม่ยอมคืน ให้โอกาสถึงสิ้นเดือน ก.พ. นี้หากไม่เอาของทั้งหมดมาคืนจะไปแจ้งความแล้ว

    ที่ผ่านมามีวงในคนสนิทมาเล่าว่าที่ ดิว อริสรา เงียบจนผิดสังเกต เป็นเพราะผู้ใหญ่แนะนำให้เงียบ ซึ่งหากเข้าไปส่องโซเชียล ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของดิว ช่วง 1 ก.พ. ได้มีการแชร์โพสต์ประเด็นบริจาคเลือด มีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นกันมากมาย หวังให้ดิวออกมาชี้แจง

    ล่าสุด วันวาเลนไทน์ ปี 68 ดิวได้แชร์คลิปลงไอจีสตอรี่โดยได้โพสต์คลิปเล่าเกี่ยวกับความรักในวันวาเลนไทน์ พร้อมเขียนข้อความว่า "Will you be my Valentine" พร้อมกับใส่อีโมจิรูปหัวใจสีแดง ต่างจากทุกปีที่ดิวจะต้องอวดดอกไม้ช่อใหญ่ และเซอร์ไพรส์สุดอลังการจากสามี “เซบาสเตียน ลี” แต่ ณ ตอนนี้มีแค่รีสตอรี่ และข้อความหวาน แม้แต่รูปสามีก็ยังไม่เห็น แต่ก็ยังไม่หมดวัน รอลุ้นเซอร์ไพรส์จากดิวต่อไป

    #MGROnline #ดิวอริสรา
    เงียบกริบจนผิดวิสัย สำหรับ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์”หลังจากถูกโยงเป็นดาราสาวถูกทวงเงินจากอดีตผู้จัดการ ที่เอาไปปล่อยกู้คนดังเกือบ 10 ล้าน รวมไปถึงประเด็นที่ “มดดำ คชาภา ตันเจริญ” ออกมาเล่าเรื่องของเพื่อนสาวนักธุรกิจที่ถูกดาราสาวยืมของหรูมูลค่า 62 ล้านไป แต่ยังไม่ยอมคืน ให้โอกาสถึงสิ้นเดือน ก.พ. นี้หากไม่เอาของทั้งหมดมาคืนจะไปแจ้งความแล้ว • ที่ผ่านมามีวงในคนสนิทมาเล่าว่าที่ ดิว อริสรา เงียบจนผิดสังเกต เป็นเพราะผู้ใหญ่แนะนำให้เงียบ ซึ่งหากเข้าไปส่องโซเชียล ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของดิว ช่วง 1 ก.พ. ได้มีการแชร์โพสต์ประเด็นบริจาคเลือด มีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นกันมากมาย หวังให้ดิวออกมาชี้แจง • ล่าสุด วันวาเลนไทน์ ปี 68 ดิวได้แชร์คลิปลงไอจีสตอรี่โดยได้โพสต์คลิปเล่าเกี่ยวกับความรักในวันวาเลนไทน์ พร้อมเขียนข้อความว่า "Will you be my Valentine" พร้อมกับใส่อีโมจิรูปหัวใจสีแดง ต่างจากทุกปีที่ดิวจะต้องอวดดอกไม้ช่อใหญ่ และเซอร์ไพรส์สุดอลังการจากสามี “เซบาสเตียน ลี” แต่ ณ ตอนนี้มีแค่รีสตอรี่ และข้อความหวาน แม้แต่รูปสามีก็ยังไม่เห็น แต่ก็ยังไม่หมดวัน รอลุ้นเซอร์ไพรส์จากดิวต่อไป • #MGROnline #ดิวอริสรา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม

    📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔

    📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี

    📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด

    🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย
    การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
    - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น
    - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์
    - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง
    - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ

    😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม

    🔍 ป.12 คืออะไร? 📜
    ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย

    📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

    🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12
    การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น
    ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
    ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง
    ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน

    ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง

    ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ?
    📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้
    1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ
    คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย

    2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง
    ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน

    3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน
    ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น

    🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄
    - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว
    - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย
    - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม

    🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย
    ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่

    📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น
    - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV)
    - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ
    - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง

    📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย
    🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
    - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12%
    - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18%
    - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22%

    📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น

    🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม
    ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน

    ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4

    ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568

    🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    งด 1 ปี! ป.12 ห้ามออกใบอนุญาตพกพา แก้ปัญหาพกปืนเกลื่อนเมือง หวังลดอาชญากรรม 📢 มาตรการคุมเข้มอาวุธปืน! รัฐบาลสั่งห้ามออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) เป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในสังคม 🚔 📰 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมลงนามในคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ที่ 478/2568 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ซึ่งกำหนดให้ งดการออกใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืนติดตัว (ป.12) เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี 📌 มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป หลังมีการประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา โดยเจ้าหน้าที่นายทะเบียน จะไม่สามารถออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ให้แก่ประชาชนทั่วไป จนกว่าคำสั่งนี้จะสิ้นสุด 🔫 ปัญหาการพกพาอาวุธปืน ที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทย การออกคำสั่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ การใช้อาวุธปืนในปัจจุบัน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น - มีการพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็น - มีการแสดงอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งในที่สาธารณะ และบนสื่อออนไลน์ - การพกปืนโดยไม่มีเหตุผล นำไปสู่อาชญากรรมร้ายแรง - ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจ 😨 เหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ของสังคม 🔍 ป.12 คืออะไร? 📜 ใบอนุญาต ป.12 หรือ "ใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัว" เป็นเอกสารที่ออกโดย เจ้าหน้าที่นายทะเบียน ภายใต้กฎหมายอาวุธปืนของไทย 📌 ผู้ที่ได้รับอนุญาต สามารถพกพาอาวุธปืน ติดตัวไปในที่สาธารณะ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 🔎 เงื่อนไขของการขอใบอนุญาต ป.12 การขอใบอนุญาตพกพาปืน ต้องมีเหตุผลที่สมควร เช่น ✅ เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ✅ เป็นนักธุรกิจ ที่ต้องพกพาทรัพย์สินมูลค่าสูง ✅ อาชีพที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น ทนายความ หรือพนักงานเก็บเงิน ❌ แต่การอนุญาตนี้ กลับถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้มีการพกพาอาวุธปืน อย่างไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นสาเหตุของอาชญากรรม และเหตุการณ์รุนแรง ⚖️ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน ป.12 ช่วยลดอาชญากรรมได้จริงหรือ? 📉 3 ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากมาตรการนี้ 1️⃣ ลดจำนวนอาวุธปืนในที่สาธารณะ คนที่ไม่มีใบอนุญาต จะไม่สามารถพกปืนได้ ลดโอกาสที่ปืนจะถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย 2️⃣ ป้องกันเหตุอาชญากรรม และความรุนแรง ลดความเสี่ยงของ เหตุยิงกันในที่สาธารณะ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ที่ลุกลามไปถึงขั้นใช้อาวุธปืน 3️⃣ เสริมสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชน ทำให้ประชาชน รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดินทางในที่สาธารณะ ลดความหวาดกลัว จากการเผชิญหน้า กับผู้ที่พกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุจำเป็น 🤔 ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ? 🔄 - ประชาชนทั่วไป ที่ต้องการพกปืนเพื่อป้องกันตัว - นักธุรกิจ หรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงภัย ที่พกปืนเพื่อรักษาความปลอดภัย - ร้านค้าและธุรกิจ ที่มีใบอนุญาตพกปืน เพื่อป้องกันการโจรกรรม 🚨 ทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใบอนุญาต ป.12 แต่ประชาชนยังสามารถ ครอบครองอาวุธปืนไว้ที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ โดยมีใบอนุญาต ป.4 (ใบอนุญาตครอบครองปืน) ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ 📌 นอกจากนี้ รัฐบาลแนะนำให้ใช้ มาตรการรักษาความปลอดภัยรูปแบบอื่นๆ เช่น - ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) - ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ - จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง 📊 สถิติอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนในไทย 🔎 จากข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มีคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 📌 คดีอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน - ฆาตกรรม เพิ่มขึ้น 12% - ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน เพิ่มขึ้น 18% - การยิงกันในที่สาธารณะ เพิ่มขึ้น 22% 📢 มาตรการนี้ เป็นความพยายามของรัฐบาล ในการลดจำนวนคดี ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน และทำให้สังคมไทย ปลอดภัยยิ่งขึ้น 🔚 มาตรการห้ามออกใบอนุญาต ป.12 เป็นก้าวสำคัญของการลดอาชญากรรม ✅ การห้ามออกใบอนุญาตพกพาปืน (ป.12) เป็นการควบคุมการพกพาอาวุธปืน ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัย ให้กับประชาชน ✅ ถึงแม้ว่าผู้ที่ต้องการพกปืน จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังสามารถครอบครองอาวุธปืนที่บ้าน หรือที่ทำงานได้ ภายใต้ใบอนุญาต ป.4 ✅ นี่เป็นเพียง มาตรการระยะสั้น 1 ปี แต่หากเห็นผลดี รัฐบาลอาจพิจารณาปรับปรุง กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131508 ก.พ. 2568 🔗 #ควบคุมอาวุธปืน #ลดอาชญากรรม #งดป12 #ปืนในที่สาธารณะ #กฎหมายปืน #ความปลอดภัยสาธารณะ #รัฐบาลไทย #พกปืนต้องมีเหตุผล #มาตรการเข้ม #CrimePrevention
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • Planet #3 เทย์เลอร์ สวิฟต์ เดโมแครตตัวแม่ ถูกโห่ไล่สนั่นสนามซูเปอร์โบว์ล 59 ณ ลุยเซียนาถิ่นรีพับลิกัน ที่แท้ฝีมือแฟนคลับทรัมป์ทั้งนั้น ปธน.US โม้เอง

    เธออึ้ง เธอเหลือบตามองแรงงงง์ แล้วยิ้มซุกซน ต่อด้วยแย้มหัวเราะน่ารัก พลางกล่าวกับเพื่อนสาว ไอซ์ สไปซ์ แรปเปอร์คนดังว่า “เกิดอะไรขึ้นอ้ะ...” หลังถูกมหาชนหลายหมื่นชีวิตในสนามแข่งมหกรรมซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 59 ร่วมกันโห่ไล่ ขณะกล้องใหญ่ของสนามจับภาพเธอในชุดเสื้อกล้ามงามเก๋ขึ้นบนจอเมก้ายักษ์จัมโบตรอนกลางสเตเดียม ให้ท่านผู้ชมได้เห็นกระจ่างตาว่า “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ซุปตาร์ของโลกและลูกสาวเดโมแครตระดับตัวแม่ คนที่โดนัลด์ ทรัมป์ เขียนฟ้องไว้บนโซเชียลมีเดียว่า ผมเกลียดเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้เข้ามานั่งอยู่ในถิ่นรีพับลิกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    โดยสุดสวยเจ้าเสน่ห์เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องนักธุรกิจดนตรีเจ้าของโครงการเอราส์ คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ (2023–2024) รายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ได้เดินทางไปเชียร์แฟนหนุ่มคือ “ทราวิส เคลซี” และทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ ปะทะเดือดในศึกคนชนคน กับทีมฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ที่สนามซีซาร์ส ซูเปอร์โดม เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ดินแดนที่พลพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี USA ยึดครองทุกตำแหน่งลีดเดอร์ทางการเมืองอย่างครบวงจร ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ จดจน ส.ว. - ส.ส.ระดับชาติเกือบทุกเขต และนายกเทศมนตรีเกือบทุกเมือง!!

    แม้จะเจอทีเด็ดดุเดือดเกินเบอร์ ณ ซูเปอร์อีเวนต์ “ซูเปอร์โบว์ล 2025” แต่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ผู้หญิงหัวใจทรหดผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมาอย่างต่อเนื่องนานปี ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของเกมคู่ขนานแมตช์อเมริกันฟุตบอล โดยเธอใช้วิธีสุภาพอารมณ์ดีของผู้มีสุขภาพจิตแข็งแรงฉลุยผ่านนาทีหน้าสิ่งหน้าขวานไปได้สบายๆ

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/around/detail/9680000014339

    #MGROnline #เทย์เลอร์สวิฟต์
    Planet #3 เทย์เลอร์ สวิฟต์ เดโมแครตตัวแม่ ถูกโห่ไล่สนั่นสนามซูเปอร์โบว์ล 59 ณ ลุยเซียนาถิ่นรีพับลิกัน ที่แท้ฝีมือแฟนคลับทรัมป์ทั้งนั้น ปธน.US โม้เอง • เธออึ้ง เธอเหลือบตามองแรงงงง์ แล้วยิ้มซุกซน ต่อด้วยแย้มหัวเราะน่ารัก พลางกล่าวกับเพื่อนสาว ไอซ์ สไปซ์ แรปเปอร์คนดังว่า “เกิดอะไรขึ้นอ้ะ...” หลังถูกมหาชนหลายหมื่นชีวิตในสนามแข่งมหกรรมซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 59 ร่วมกันโห่ไล่ ขณะกล้องใหญ่ของสนามจับภาพเธอในชุดเสื้อกล้ามงามเก๋ขึ้นบนจอเมก้ายักษ์จัมโบตรอนกลางสเตเดียม ให้ท่านผู้ชมได้เห็นกระจ่างตาว่า “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ซุปตาร์ของโลกและลูกสาวเดโมแครตระดับตัวแม่ คนที่โดนัลด์ ทรัมป์ เขียนฟ้องไว้บนโซเชียลมีเดียว่า ผมเกลียดเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้เข้ามานั่งอยู่ในถิ่นรีพับลิกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว • โดยสุดสวยเจ้าเสน่ห์เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องนักธุรกิจดนตรีเจ้าของโครงการเอราส์ คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ (2023–2024) รายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ได้เดินทางไปเชียร์แฟนหนุ่มคือ “ทราวิส เคลซี” และทีมแคนซัส ซิตี ชีฟส์ ปะทะเดือดในศึกคนชนคน กับทีมฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ที่สนามซีซาร์ส ซูเปอร์โดม เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ดินแดนที่พลพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี USA ยึดครองทุกตำแหน่งลีดเดอร์ทางการเมืองอย่างครบวงจร ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ จดจน ส.ว. - ส.ส.ระดับชาติเกือบทุกเขต และนายกเทศมนตรีเกือบทุกเมือง!! • แม้จะเจอทีเด็ดดุเดือดเกินเบอร์ ณ ซูเปอร์อีเวนต์ “ซูเปอร์โบว์ล 2025” แต่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ผู้หญิงหัวใจทรหดผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตมาอย่างต่อเนื่องนานปี ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของเกมคู่ขนานแมตช์อเมริกันฟุตบอล โดยเธอใช้วิธีสุภาพอารมณ์ดีของผู้มีสุขภาพจิตแข็งแรงฉลุยผ่านนาทีหน้าสิ่งหน้าขวานไปได้สบายๆ • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/around/detail/9680000014339 • #MGROnline #เทย์เลอร์สวิฟต์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • โอกาสแห่งความสำเร็จรอคุณอยู่! 🚀✨

    📢 T1 TEAM HERBAL INNOVATION เปิดรับสมัครนักธุรกิจที่มีไฟ พร้อมเติบโตไปด้วยกัน!
    🌱 เราคือบริษัทนวัตกรรมสมุนไพรที่ล้ำสมัย ผสานวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
    🔥 ทำไมต้องร่วมธุรกิจกับเรา?
    ✅ สินค้าคุณภาพสูง – ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพรที่ตอบโจทย์ตลาด
    ✅ แผนธุรกิจสุดคุ้มค่า – สร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด
    ✅ ทีมสนับสนุนมืออาชีพ – เราพร้อมเทรนนิ่งและให้คำปรึกษาตลอดเส้นทาง
    ✅ ไม่ต้องมีประสบการณ์ – เริ่มต้นง่าย สร้างธุรกิจได้ทันที
    📌 ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสเพิ่มรายได้ หรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์สุขภาพ นี่คือเวลาที่ดีที่สุด!
    📞 สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
    📲 ติดต่อเราได้ที่ www.t1team.com
    Line: @t1herb

    มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จกับ T1 TEAM HERBAL INNOVATION วันนี้! 🌟💼
    โอกาสแห่งความสำเร็จรอคุณอยู่! 🚀✨ 📢 T1 TEAM HERBAL INNOVATION เปิดรับสมัครนักธุรกิจที่มีไฟ พร้อมเติบโตไปด้วยกัน! 🌱 เราคือบริษัทนวัตกรรมสมุนไพรที่ล้ำสมัย ผสานวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน 🔥 ทำไมต้องร่วมธุรกิจกับเรา? ✅ สินค้าคุณภาพสูง – ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมุนไพรที่ตอบโจทย์ตลาด ✅ แผนธุรกิจสุดคุ้มค่า – สร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด ✅ ทีมสนับสนุนมืออาชีพ – เราพร้อมเทรนนิ่งและให้คำปรึกษาตลอดเส้นทาง ✅ ไม่ต้องมีประสบการณ์ – เริ่มต้นง่าย สร้างธุรกิจได้ทันที 📌 ถ้าคุณกำลังมองหาโอกาสเพิ่มรายได้ หรืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทรนด์สุขภาพ นี่คือเวลาที่ดีที่สุด! 📞 สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 📲 ติดต่อเราได้ที่ www.t1team.com Line: @t1herb มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จกับ T1 TEAM HERBAL INNOVATION วันนี้! 🌟💼
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เชื่อว่าคำพูดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดาเข้าเป็นรัฐที่ 51 "เป็นของจริง" และมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศ ตามรายงานของสื่อมวลชนอ้างอิงแหล่งข่าวในรัฐบาล
    .
    แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทรูโด แสดงความคิดเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมลับกับพวกผู้นำภาคธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการตอบโต้ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ที่ขู่รีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา
    .
    ที่ผ่านมา ทรัมป์ ส่งเสียงแนะนำซ้ำๆว่า แคนาดา จะดีกว่าเดิม หากประเทศแห่งนี้ยอมกลายมาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา
    .
    หนังสือพิมพ์โทรอนโตสตาร์ รายงานอ้างคำกล่าวของทรูโดระบุว่า "พวกเขาทราบดีเกี่ยวกับทรัพยากรของเรา สิ่งที่เรามีและพวกเขาต้องการมากๆอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้" นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวกับที่ประชุมลับ "แต่ในความคิดของทรัมป์ หนึ่งในหนทางที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้น ก็คือดูดกลืนประเทศของเรา และความคิดนี้เป็นของจริง"
    .
    แหล่งข่าวในรัฐบาล ยืนยันว่ารายงานข่าวของโทรอนโตสาตาร์ที่อ้างคำพูดดังกล่าวนั้น "ถูกต้อง"
    .
    แคนาดา ที่กำลังหาทางปัดป้องมาตรการต่างๆนานาของสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าพวกเขาเป็นคู่หูที่น่าเชื่อถือ และเป็นผู้จัดหารายใหญ่ด้านน้ำมัน แร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ
    .
    ในความเห็นกับพวกผู้สื่อข่าว ทรูโดบอกก่อนหน้านี้ว่า แคนาดาอาจต้องเจอกับความท้าทายทางการเมืองในระยะยาวกับสหรัฐฯ แม้นว่าหากสามารถจัดการหลีกเลี่ยงคำขู่รีดภาษีของทรัมป์ได้ก็ตาม
    .
    ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์(3ก.พ.) เผยว่าเขาจะเลื่อนกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาออกไป 30 วัน และกับการยอมอ่อนข้อในด้านชายแดนและการจัดการดับอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล
    .
    ทรูโด บอกว่าความท้าทายในปัจจุบันทันด่วนของออตตาวา ก็คือการโน้มน้าวให้วอชิงตัน เชื่อว่าแคนาดาได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ในการต่อสู้กับกระแสไหลบ่าของยาเฟนทานิล จากข้อมูลพบว่าในบรรดายาเฟนทานิลที่ถูกยึดในสหรัฐฯนั้น มีเพียงแค่ 0.2% ที่ข้ามไปจากชายแดนแคนาดา
    .
    ทั้งนี้ ทรูโด บอกกับพวกนักธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน ในช่วงต้นของการประชุมเกี่ยวกับแนวทางสร้างความหลากหลายทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าถ้าสหรัฐฯกำหนดมาตรการรีดภาษี ทางแคนาดาก็จะตอบโต้แบบเดียวกัน แต่เป้าหมายของแคนาดาคือจะหาทางปลดมาตรการเหล่านี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    .
    ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาทางการค้าของทรัมป์ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหาแคนาดา กลายมาเป็นแหล่งต้นทางหลักของการลักลอบขนยาปลอดภาษี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งประเด็นปัญหาใหญ่ด้านวีซ่าและปล่อยให้คนที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีก่อการร้ายเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ
    .
    ในการส่งออกภาคบริการและสินค้าทั้งหมดของแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้พวกเขามีความอ่อนแออย่างมากต่อการคว่ำบาตรใดๆของอเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012939
    ..............
    Sondhi X
    จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เชื่อว่าคำพูดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดาเข้าเป็นรัฐที่ 51 "เป็นของจริง" และมันเกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศ ตามรายงานของสื่อมวลชนอ้างอิงแหล่งข่าวในรัฐบาล . แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทรูโด แสดงความคิดเห็นดังกล่าว ระหว่างการประชุมลับกับพวกผู้นำภาคธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการตอบโต้ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ ที่ขู่รีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา . ที่ผ่านมา ทรัมป์ ส่งเสียงแนะนำซ้ำๆว่า แคนาดา จะดีกว่าเดิม หากประเทศแห่งนี้ยอมกลายมาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา . หนังสือพิมพ์โทรอนโตสตาร์ รายงานอ้างคำกล่าวของทรูโดระบุว่า "พวกเขาทราบดีเกี่ยวกับทรัพยากรของเรา สิ่งที่เรามีและพวกเขาต้องการมากๆอยากได้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้" นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวกับที่ประชุมลับ "แต่ในความคิดของทรัมป์ หนึ่งในหนทางที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้น ก็คือดูดกลืนประเทศของเรา และความคิดนี้เป็นของจริง" . แหล่งข่าวในรัฐบาล ยืนยันว่ารายงานข่าวของโทรอนโตสาตาร์ที่อ้างคำพูดดังกล่าวนั้น "ถูกต้อง" . แคนาดา ที่กำลังหาทางปัดป้องมาตรการต่างๆนานาของสหรัฐฯ เน้นย้ำว่าพวกเขาเป็นคู่หูที่น่าเชื่อถือ และเป็นผู้จัดหารายใหญ่ด้านน้ำมัน แร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ . ในความเห็นกับพวกผู้สื่อข่าว ทรูโดบอกก่อนหน้านี้ว่า แคนาดาอาจต้องเจอกับความท้าทายทางการเมืองในระยะยาวกับสหรัฐฯ แม้นว่าหากสามารถจัดการหลีกเลี่ยงคำขู่รีดภาษีของทรัมป์ได้ก็ตาม . ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์(3ก.พ.) เผยว่าเขาจะเลื่อนกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาออกไป 30 วัน และกับการยอมอ่อนข้อในด้านชายแดนและการจัดการดับอาชญากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามการลักลอบขนยาเฟนทานิล . ทรูโด บอกว่าความท้าทายในปัจจุบันทันด่วนของออตตาวา ก็คือการโน้มน้าวให้วอชิงตัน เชื่อว่าแคนาดาได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ในการต่อสู้กับกระแสไหลบ่าของยาเฟนทานิล จากข้อมูลพบว่าในบรรดายาเฟนทานิลที่ถูกยึดในสหรัฐฯนั้น มีเพียงแค่ 0.2% ที่ข้ามไปจากชายแดนแคนาดา . ทั้งนี้ ทรูโด บอกกับพวกนักธุรกิจและแกนนำสหภาพแรงงาน ในช่วงต้นของการประชุมเกี่ยวกับแนวทางสร้างความหลากหลายทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าถ้าสหรัฐฯกำหนดมาตรการรีดภาษี ทางแคนาดาก็จะตอบโต้แบบเดียวกัน แต่เป้าหมายของแคนาดาคือจะหาทางปลดมาตรการเหล่านี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ . ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาทางการค้าของทรัมป์ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหาแคนาดา กลายมาเป็นแหล่งต้นทางหลักของการลักลอบขนยาปลอดภาษี แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งประเด็นปัญหาใหญ่ด้านวีซ่าและปล่อยให้คนที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีก่อการร้ายเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ . ในการส่งออกภาคบริการและสินค้าทั้งหมดของแคนาดา คิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่งผลให้พวกเขามีความอ่อนแออย่างมากต่อการคว่ำบาตรใดๆของอเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012939 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1445 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว
    .
    ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID
    .
    คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ
    .
    รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง
    .
    อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว
    .
    รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน
    .
    "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.)
    .
    เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้
    .
    ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!"
    .
    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย
    .
    การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง
    .
    ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน
    .
    ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว . ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID . คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ . รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง . อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว . รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน . "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.) . เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้ . ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!" . ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์ . กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย . การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง . ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน . ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1380 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพม บอนดี (Pam Bondi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ มีคำสั่งปิดหน่วยงานเฉพาะกิจ ที่ใช้ต่อต้านรัสเซีย

    - Task Force KleptoCapture
    - The DOJ Kleptocracy Team
    - The DOJ Kleptocracy Asset Recovery Initiative

    หน่วยงานเหล่านี้ในยุคของไบเดนถูกให้ทำหน้าที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรบุคคลสำคัญรวมทั้งนักธุรกิจของรัสเซีย ที่ผ่านมาสามารถยึด(ขโมย)ทรัพย์สินไปได้หลายพันล้านเหรียญตั้งแต่ปี 2010

    โดยเฉพาะในช่วงปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียตั้งแต่ปี 2022 หน่วยงานเหล่านี้ ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินของกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจของรัสเซียกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เรือยอทช์ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์หรูหรา

    ที่ผ่านมาการอายัดทรัพย์สินของรัสเซียกลายเป็นส่วนหนึ่งในชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย

    เจ้าหน้าที่จะถูกมอบหมายหน้าที่ใหม่ไปที่การต่อสู้กับกลุ่มค้ายาและความปลอดภัยชายแดนแทน

    แพม บอนดี (Pam Bondi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ มีคำสั่งปิดหน่วยงานเฉพาะกิจ ที่ใช้ต่อต้านรัสเซีย - Task Force KleptoCapture - The DOJ Kleptocracy Team - The DOJ Kleptocracy Asset Recovery Initiative หน่วยงานเหล่านี้ในยุคของไบเดนถูกให้ทำหน้าที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรบุคคลสำคัญรวมทั้งนักธุรกิจของรัสเซีย ที่ผ่านมาสามารถยึด(ขโมย)ทรัพย์สินไปได้หลายพันล้านเหรียญตั้งแต่ปี 2010 โดยเฉพาะในช่วงปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียตั้งแต่ปี 2022 หน่วยงานเหล่านี้ ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินของกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจของรัสเซียกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เรือยอทช์ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์หรูหรา ที่ผ่านมาการอายัดทรัพย์สินของรัสเซียกลายเป็นส่วนหนึ่งในชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย เจ้าหน้าที่จะถูกมอบหมายหน้าที่ใหม่ไปที่การต่อสู้กับกลุ่มค้ายาและความปลอดภัยชายแดนแทน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • [Exclusive on Sondhi Talk]
    "บังแจ็ค" ไว้ใจ DSI ไขคดี
    แย้มมือถือแตงโมมี 4 หมื่นภาพ
    แถมข้อมูลนักการเมือง-นักธุรกิจดัง
    .
    บังแจ็คเปิดใจส่งมอบมือถือแตงโม นิดา ให้หมอธวัชชัยนำมาให้ดีเอสไอคลี่คลายคดี ระบุกู้ข้อมูลมีภาพกว่า 4 หมื่นภาพ แชตบางส่วนคุยกับนักการเมืองดัง และมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่มีอิทธิพลสูง นักธุรกิจระดับประเทศเกี่ยวข้องด้วย เผยมีคนขอซื้อมือถือจริงแต่ไม่ถึง 15 ล้าน ลั่นยังไงก็ไม่ขาย
    .
    วันนี้ (6 ก.พ.) นายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือบังแจ็ค ให้สัมภาษณ์ทางเฟซบุ๊ก และยูทูป "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" (คลิกชมย้อนหลัง >> https://www.youtube.com/watch?v=58nPhAE2uZo) ถึงโทรศัพท์มือถือของ แตงโม นิดา หรือ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวที่เสียชีวิตจากเรือสปีดโบ้ท เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ซึ่งได้ส่งมอบให้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ และเตรียมนำมาส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำมาใช้เพื่อคลี่คลายการเสียชีวิตของแตงโม ระบุว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่รู้จักกับนางพนิดา ศิริยุทธโยธิน มารดาของแตงโม นางพนิดาได้รับโทรศัพท์มือถือของแตงโมจากตำรวจ แต่ไม่พบข้อมูลใดๆ ในเครื่อง ตนจึงแนะนำให้นำไปที่ศูนย์บริการของแอปเปิลช่วยดูว่ายังมีข้อมูลในเครื่องหรือไม่ นางพนิดาไปที่ศูนย์แอปเปิลฯ แต่ไม่ไว้ใจ จึงให้โทรศัพท์มือถือแก่ตน ซึ่งเป็นความครอบครองโดยถูกต้อง
    .
    การตัดสินใจส่งมอบโทรศัพท์มือถือเป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ว่าจะมอบให้เฉพาะบุคคล 3 ราย ได้แก่ นพ.ธวัชชัย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เพราะทั้งสามคนไว้วางใจที่สุดแล้ว เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่อยากให้ผู้ที่กระทำความผิด หรือคนที่จะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี โดยข้อมูลในโทรศัพท์มือถือบางอย่างเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว เช่น มีคนดังโทร.เข้ามาในเวลาผิดปกติ ซึ่งนายคชาภา ตันเจริญ หรือมดดำ เปิดเผยว่าได้โทร.หาจริง ยังเหลืออีก 2-3 คนที่ยังไม่ได้ออกมาพูด รวมทั้ง น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม โทร.มาหาเมื่อเวลา 20.40 น. ของวันเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่อยู่บนเรือลำเดียวกัน และอีกหลายข้อมูลทั้งคลิป รูปภาพ การลบข้อความ และการลบบัญชีทั้งบัญชี
    .
    ตนจำได้ว่ามดดำได้โทร.หาแตงโม แต่ได้รับข่าวจากแอนนา วรินทร วัตรสังข์ เพื่อนของแตงโมว่า แตงโมตกน้ำ แอนนาพยายามทักไลน์ โทร.ทั้งไลน์และมือถือแต่ไม่ติด เมื่อ 3 ปีที่แล้วพอเข้าไปดูบัญชีแอนนาไม่มีเลย ลบทิ้ง บัญชีฮิปโป (ผู้จัดการส่วนตัวให้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนที่แตงโมเสียชีวิต) ก็ลบทิ้ง บัญชีโม อมีนา พินิจ ก็ลบทิ้ง บัญชีพุดเดิล ยุพดี ก็ลบทิ้ง และอีกหลายคน ส่วนข้อความที่กระติกนำมาเปิดเผยในรายการโหนกระแสว่าได้คุยกับแตงโม ตนก็เข้าไปดู ไม่พบข้อความที่กระติกนำมาแสดง มีถึงแค่วันที่ 17-18 ก.พ. 2565 เท่านั้น แสดงว่ามีข้อมูลที่ถูกลบและข้อมูลที่แต่งขึ้นมา
    .
    บังแจ็ค กล่าวว่า ตนกู้ข้อมูลเฉพาะรูปภาพกว่า 40,000 ภาพ ยังดูไม่หมด ดูเฉพาะเกี่ยวข้องกับคดี เช่น บัญชีธนาคารไม่มีเงินสักบาทในบัญชี ทั้งที่อย่างน้อยเป็นดาราต้องมีเงินติดบัญชีสัก 4-5 พันบาท แต่ยอดเงินกลับเป็น 0 บาท บันทึกบางส่วนถูกลบออกไป แชตบางส่วนที่คุยกับนักการเมืองดัง ที่ขู่จะให้ส่งภาพลับที่ไม่เหมาะสมและเรียกให้มาหาก็มี ตนสงสารที่แตงโมต้องเจออะไรแบบนั้น ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยคลี่คลายคดีเมื่ออยู่ในมือของดีเอสไอ
    .
    ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือของตนที่ทำให้พยานหลักฐานถูกด้อยค่านั้น ถามว่าใครทำร้ายเครดิตตน คนที่เสียประโยชน์ก็พยายามใช้สื่อที่เข้าข้างมาดิสเครดิตตน หนึ่งในนั้นคือทนายความที่ท้าให้ดื่มปัสสาวะ 70 แก้ว พาทั้งพิธีกรชื่อดังไปแจ้งความว่าตนขู่ฆ่าและใช้สื่อโจมตี ทั้งๆ ที่พิธีกรชื่อดังเข้าใจกันแล้ว และจะร่วมมือจำหน่ายสินค้าที่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องที่โพสต์ภาพปืนเป็นเรื่องนานมาแล้ว ไม่เกี่ยวกับคดีแตงโม และได้เคลียร์จบแล้ว ตนมีหลักฐานทั้งหมดส่งให้ นพ.ธวัชชัย เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าได้คุยกัน จับมือขออภัยกันจริง
    .
    ส่วนคดีเบนซ์ เรซซิ่ง หรือนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช ส่วนตัวมาเมืองไทยถูกต้อง เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซื้อรถจักรยานยนต์จากเบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี เวลานั้นตนอยู่โคราช ตนถูกหลอกเพราะไม่มีเอกสารและทะเบียน ตนเป็นชาวต่างชาติไม่รู้กฎหมาย เจอด่านก็โดนยึด พอกลับไปหาเจ้าตัวก็ไม่รับผิดชอบเพราะไม่มีหลักฐาน พอเกิดคดีนายไซซะนะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อยาเสพติด ตนออกมาวิจารณ์เบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เข้าข้างและไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมของเขา ตนซื้อรถด้วยน้ำพักน้ำแรงแล้วทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความที่ตนใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง เวลานั้นไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังเพราะโดนโจมตี น้ำหนักน้อยลง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเป็นคนต่างชาติ ถูกด้อยค่าตลอดเวลา จึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้
    .
    ส่วนที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ถึงปี 2569 เพราะเป็นบุคคลที่เชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยนั้น บังแจ็ค กล่าวว่า สมมติเป็นบุคคลอันตรายจริงก็ไม่น่าจะมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ 6-7 ปี ไม่ใช่โรงเรียนเอกชน แต่เป็นโรงเรียนรัฐบาล และออกเอกสารถูกต้อง มีใบอนุญาตทำงาน เมื่อ 2 ปีก่อนมีรายการโทรทัศน์ไปตรวจสอบแล้วไม่พบบัญชีดำในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้สามารถเข้าประเทศไทยได้ ส่วนคดีที่เจอระยะหลังๆ คือคดีแตงโม ถูกใส่ไข่เยอะเพราะอีกฝ่ายหรืออีกสื่อหนึ่งมีเอฟซี มีอิทธิพลเยอะ แถมเมื่อตนไปสัมภาษณ์รายการหนึ่ง 5 ครั้ง ภายหลังไลฟ์รายการลบทิ้ง หมายความว่าอย่างไร ตนถามตรงๆ ไปว่าลบทิ้งทำไม เขาไม่มีคำตอบ เปลี่ยนประเด็น
    .
    ตนมองว่าต้องมีคนสั่งให้ลบ เพราะมือถืออยู่ในมือตนเอง จึงต้องดิสเครดิตให้ไม่มีความน่าเชื่อถือ พยายามด้อยค่าหลักฐานจากโทรศัพท์มือถือที่ปล่อยออกมา 1-2 คลิปที่ อ.ปานเทพเปิดเผย ตนเคยลงในเพจมานานมากแล้ว แต่มีคนทักมาถามว่าสถานที่ตรงนี้ตรงนั้นหรือเปล่า ซึ่งตนไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว พอไปดูก็มีการแต่งเพิ่มมา อ.ปานเทพถามตนว่าคลิปนี้ได้มาจากตนหรือเปล่า ตนตอบว่าไม่ใช่ คลิปที่ได้จากตนมีแค่นี้ เขาใช้วิธีเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อน คือ เอามาแต่งเติม เอามาตัด และโจมตีว่าไม่ใช่ข้อมูลจริง หิวแสง ตนเพิ่งรู้จัก อ.ปานเทพ และ นพ.ธวัชชัยไม่ถึง 2 เดือน ข้อมูล GPS ที่เคยส่งให้ทีวีช่องหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนก็ถูกด้อยค่าว่าไปตรวจมาแล้วไม่มีอะไรเลย ด้อยค่าแล้วก็ลบตัดทิ้งเลย
    .
    พอรับฟีดแบ็คกลับมาตนก็มีความรู้สึก แฟนของตนก็ไม่สบายใจ ให้หยุดไม่ต้องทำเพราะไม่มีใครเชื่อ แต่ตนเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง คดีนี้ต้องกลับมาแน่ เพราะข้อพิรุธหลายอย่าง ตนเก็บข้อมูลไว้ เบอร์แต่ละคนหาไม่ยาก อยู่บนเรือด้วยกันโทร.หากันทำไม แล้วบรรดาคนดังโทร.หาแตงโมเวลา 21.58 น. 22.04 น. หรือ 22.07 น.ของวันเกิดเหตุ ไม่ใช่แค่คืนนั้นคืนเดียว โทร.มาตอนเช้าด้วย โทร.ในระหว่างนั้นด้วย ทั้งๆ ที่ตำรวจแถลงข่าวแตงโมตกน้ำ 22.37-22.38 น. แสดงว่าคนรู้แล้วว่าแตงโมตกน้ำ แต่ไม่มีการกดรับสายเพราะปิดเครื่อง แต่มีระบบรับฝากข้อความและมีข้อความเข้ามา
    .
    เมื่อถามว่า ขบวนการดิสเครดิตบังแจ็คทำไปเพื่ออะไร เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแตงโมอย่างไร บังแจ็ค กล่าวว่า มีคนใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่พอคดีแตงโมเปิดขึ้นมาเขาได้รับความเสียหายมาก จึงไม่ยอมให้ทำแบบนี้ ที่ไปคุยที่ปั๊มน้ำมันนั้น ได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายของเขาสอนให้พูดแบบนี้ แล้วมีอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แนะนำว่าต้องไปในทิศทางนี้ เท่าที่ตนทราบไม่นานมีโทรทัศน์ 3 ช่อง ช่องแรกไม่ดัง อีก 2 ช่องดัง ใช้ทนายความคนบนเรือคนเดียวกันออกโทรทัศน์ บางสื่อต้องกลัวตำรวจหรือเกรงใจตำรวจเพราะจะไม่มีข่าวเล่น ตนรู้พิรุธมานานแล้วว่าตอนสัมภาษณ์เขาก็ตัดออก อย่างทีวีช่องหนึ่งสัมภาษณ์นานมาก แต่ตัดบางส่วนออก เหลือเฉพาะตอนที่เปิดช่องให้ถูกโจมตี ภายหลังพบว่าใช้ทนายความคนเดียวกันออกทีวี
    .
    เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีคนเสนอเงิน 15 ล้านบาทเพื่อยุติเรื่องดังกล่าวจริงหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ไม่ถึง 15 ล้านบาท แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ นพ.ธวัชชัยจะมารับเครื่อง ก็พยายามที่จะถามว่าจะให้โทรศัพท์มือถือจริงหรือเปล่า แล้วเชื่อหรือเปล่าว่าจะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าคิดจะขายจะขายในราคาเท่าไหร่ ตนตอบว่าไม่ขาย ถามว่า 2 ล้านบาทขายไหม ตนตอบว่าไม่ขาย ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านบาท เงินที่เสนอมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในเดือนหนึ่งก็หมดแล้ว เพราะตนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีบริษัท จ่ายค่ารถ จ่ายค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ หมดแล้ว ตนหาได้เองไม่ต้องเสนอ อีกฝ่ายก็เสนอเป็น 5 ล้านบาท แต่ไม่ต้องให้เครื่องแก่ นพ.ธวัชชัย ตนกล่าวว่าให้เท่าไหร่ก็ไม่ขาย อยากจะยกให้เขา อีกฝ่ายกล่าวว่า ต้องคิดให้ดีๆ ก่อน เพราะ 1 ใน 5 คนบนเรือกล่าวว่า ได้เครื่องนี้ไปก็คือจบเลย เพราะมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูง เป็นนักธุรกิจระดับประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากให้มือถือนี้ไปอยู่ที่เมืองไทย
    .
    เมื่อถามว่า ที่โดนดักตีหัวสงสัยว่าจัดฉากหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ตอนที่โดนตีหัว นพ.ธวัชชัยคุยกับตนอยู่ เวลาโดนตีหัวแฟนถามว่าเรียกรถพยาบาลหรือเปล่า เพราะที่สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่าย 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่พอจับดูเลือดไหล จึงให้ นพ.ธวัชชัยดูแผล ก็แนะนำว่าให้ไปเย็บแผลก่อน แต่เย็บไม่เยอะ 2 เข็ม และให้กลับไปรักษาที่บ้าน ส่วนที่โดนตีหัวคิดว่าวันนั้นเป็นวันหยุดของคนผิวสี ตำรวจไม่ค่อยมี เป็นเหตุบังเอิญที่โจรขโมยของ นพ.ธวัชชัยอยู่ในสาย ก็เลยเป็นห่วงจึงเป็นข่าวขึ้นมา ส่วนขบวนการดิสเครดิตที่เกิดขึ้น นพ.ธวัชชัย อ.ปานเทพ และนายอัจฉริยะต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ บังแจ็ค กล่าวว่า ทั้งสามคนต้องระวังอย่างสูง เพราะเท่าที่เจอข้อมูลในเครื่องมีแต่คนใหญ่คนโต ทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง มีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง จากที่แถลงข่าวยังมีเยอะกว่านี้
    .
    ถามถึงแนวทางคลี่คลายคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แตงโม บังแจ็คกล่าวว่า ลองไว้ใจทีมดีเอสไอ และดูว่าจะมีคนเข้ามาสกัดหรือข่มขู่หรือเปล่าก็ต้องคอยดู แต่ถ้าทั้งสามคนสบายใจและมั่นใจในทีมนี้ก็ตามนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือฟิงเกอร์ครอส (ยกนิ้วไขว้เพื่ออวยพรขอให้โชคดี) เมื่อถามว่า ตอนนี้บังแจ็คทำอะไรอยู่ ตนต้องขอบคุณเน็ตไอดอลที่สร้างภาพให้ตนเป็นแบบนั้นว่าเขาทำสำเร็จ ตนมีร้านอาหาร 2 แห่ง มีบริษัทที่มีรถยนต์กันกระสุน 5 คัน รับคุ้มกันดาราระดับโลก นักฟุตบอลชื่อดัง และนักการเมือง ยืนยันว่าเป็นโทรศัพท์มือถือแตงโมจริง ให้ นพ.ธวัชชัชตรวจอีมี่ (IMEI) และตรวจเครื่องให้เรียบร้อย ถ้าสมมติถ้าตนหิวเงินหรือหิวแสงคงไม่เก็บไว้นานถึง 3 ปี ภาพหรือคลิปที่ตนเจอป่านนี้ได้เงินเป็นร้อยล้านแล้ว ตนนับถือศาสนาอิสลาม เป็นเงินบาป ทำแบบนี้ไม่ได้ เราไม่ไปยุ่งและไม่เปิดเผย ไม่ทำให้แตงโมเสียหายเพราะน่าสงสารที่สุดแล้ว
    .
    คลิกอ่านต้นฉบับ >> https://sondhitalk.com/detail/9680000012224
    ......
    Sondhi X
    [Exclusive on Sondhi Talk] "บังแจ็ค" ไว้ใจ DSI ไขคดี แย้มมือถือแตงโมมี 4 หมื่นภาพ แถมข้อมูลนักการเมือง-นักธุรกิจดัง . บังแจ็คเปิดใจส่งมอบมือถือแตงโม นิดา ให้หมอธวัชชัยนำมาให้ดีเอสไอคลี่คลายคดี ระบุกู้ข้อมูลมีภาพกว่า 4 หมื่นภาพ แชตบางส่วนคุยกับนักการเมืองดัง และมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่มีอิทธิพลสูง นักธุรกิจระดับประเทศเกี่ยวข้องด้วย เผยมีคนขอซื้อมือถือจริงแต่ไม่ถึง 15 ล้าน ลั่นยังไงก็ไม่ขาย . วันนี้ (6 ก.พ.) นายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือบังแจ็ค ให้สัมภาษณ์ทางเฟซบุ๊ก และยูทูป "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" (คลิกชมย้อนหลัง >> https://www.youtube.com/watch?v=58nPhAE2uZo) ถึงโทรศัพท์มือถือของ แตงโม นิดา หรือ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวที่เสียชีวิตจากเรือสปีดโบ้ท เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ซึ่งได้ส่งมอบให้ นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ และเตรียมนำมาส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำมาใช้เพื่อคลี่คลายการเสียชีวิตของแตงโม ระบุว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่รู้จักกับนางพนิดา ศิริยุทธโยธิน มารดาของแตงโม นางพนิดาได้รับโทรศัพท์มือถือของแตงโมจากตำรวจ แต่ไม่พบข้อมูลใดๆ ในเครื่อง ตนจึงแนะนำให้นำไปที่ศูนย์บริการของแอปเปิลช่วยดูว่ายังมีข้อมูลในเครื่องหรือไม่ นางพนิดาไปที่ศูนย์แอปเปิลฯ แต่ไม่ไว้ใจ จึงให้โทรศัพท์มือถือแก่ตน ซึ่งเป็นความครอบครองโดยถูกต้อง . การตัดสินใจส่งมอบโทรศัพท์มือถือเป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไว้ว่าจะมอบให้เฉพาะบุคคล 3 ราย ได้แก่ นพ.ธวัชชัย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เพราะทั้งสามคนไว้วางใจที่สุดแล้ว เพราะมีข้อมูลบางส่วนที่ไม่อยากให้ผู้ที่กระทำความผิด หรือคนที่จะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี โดยข้อมูลในโทรศัพท์มือถือบางอย่างเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว เช่น มีคนดังโทร.เข้ามาในเวลาผิดปกติ ซึ่งนายคชาภา ตันเจริญ หรือมดดำ เปิดเผยว่าได้โทร.หาจริง ยังเหลืออีก 2-3 คนที่ยังไม่ได้ออกมาพูด รวมทั้ง น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก ผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม โทร.มาหาเมื่อเวลา 20.40 น. ของวันเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่อยู่บนเรือลำเดียวกัน และอีกหลายข้อมูลทั้งคลิป รูปภาพ การลบข้อความ และการลบบัญชีทั้งบัญชี . ตนจำได้ว่ามดดำได้โทร.หาแตงโม แต่ได้รับข่าวจากแอนนา วรินทร วัตรสังข์ เพื่อนของแตงโมว่า แตงโมตกน้ำ แอนนาพยายามทักไลน์ โทร.ทั้งไลน์และมือถือแต่ไม่ติด เมื่อ 3 ปีที่แล้วพอเข้าไปดูบัญชีแอนนาไม่มีเลย ลบทิ้ง บัญชีฮิปโป (ผู้จัดการส่วนตัวให้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนที่แตงโมเสียชีวิต) ก็ลบทิ้ง บัญชีโม อมีนา พินิจ ก็ลบทิ้ง บัญชีพุดเดิล ยุพดี ก็ลบทิ้ง และอีกหลายคน ส่วนข้อความที่กระติกนำมาเปิดเผยในรายการโหนกระแสว่าได้คุยกับแตงโม ตนก็เข้าไปดู ไม่พบข้อความที่กระติกนำมาแสดง มีถึงแค่วันที่ 17-18 ก.พ. 2565 เท่านั้น แสดงว่ามีข้อมูลที่ถูกลบและข้อมูลที่แต่งขึ้นมา . บังแจ็ค กล่าวว่า ตนกู้ข้อมูลเฉพาะรูปภาพกว่า 40,000 ภาพ ยังดูไม่หมด ดูเฉพาะเกี่ยวข้องกับคดี เช่น บัญชีธนาคารไม่มีเงินสักบาทในบัญชี ทั้งที่อย่างน้อยเป็นดาราต้องมีเงินติดบัญชีสัก 4-5 พันบาท แต่ยอดเงินกลับเป็น 0 บาท บันทึกบางส่วนถูกลบออกไป แชตบางส่วนที่คุยกับนักการเมืองดัง ที่ขู่จะให้ส่งภาพลับที่ไม่เหมาะสมและเรียกให้มาหาก็มี ตนสงสารที่แตงโมต้องเจออะไรแบบนั้น ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยคลี่คลายคดีเมื่ออยู่ในมือของดีเอสไอ . ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือของตนที่ทำให้พยานหลักฐานถูกด้อยค่านั้น ถามว่าใครทำร้ายเครดิตตน คนที่เสียประโยชน์ก็พยายามใช้สื่อที่เข้าข้างมาดิสเครดิตตน หนึ่งในนั้นคือทนายความที่ท้าให้ดื่มปัสสาวะ 70 แก้ว พาทั้งพิธีกรชื่อดังไปแจ้งความว่าตนขู่ฆ่าและใช้สื่อโจมตี ทั้งๆ ที่พิธีกรชื่อดังเข้าใจกันแล้ว และจะร่วมมือจำหน่ายสินค้าที่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องที่โพสต์ภาพปืนเป็นเรื่องนานมาแล้ว ไม่เกี่ยวกับคดีแตงโม และได้เคลียร์จบแล้ว ตนมีหลักฐานทั้งหมดส่งให้ นพ.ธวัชชัย เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าได้คุยกัน จับมือขออภัยกันจริง . ส่วนคดีเบนซ์ เรซซิ่ง หรือนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช ส่วนตัวมาเมืองไทยถูกต้อง เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซื้อรถจักรยานยนต์จากเบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี เวลานั้นตนอยู่โคราช ตนถูกหลอกเพราะไม่มีเอกสารและทะเบียน ตนเป็นชาวต่างชาติไม่รู้กฎหมาย เจอด่านก็โดนยึด พอกลับไปหาเจ้าตัวก็ไม่รับผิดชอบเพราะไม่มีหลักฐาน พอเกิดคดีนายไซซะนะ แก้วพิมพา เจ้าพ่อยาเสพติด ตนออกมาวิจารณ์เบนซ์ เรซซิ่ง ไม่ได้เข้าข้างและไม่ได้เป็นหนึ่งในทีมของเขา ตนซื้อรถด้วยน้ำพักน้ำแรงแล้วทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความที่ตนใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง เวลานั้นไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังเพราะโดนโจมตี น้ำหนักน้อยลง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเป็นคนต่างชาติ ถูกด้อยค่าตลอดเวลา จึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้ . ส่วนที่ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้ถึงปี 2569 เพราะเป็นบุคคลที่เชื่อได้ว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยนั้น บังแจ็ค กล่าวว่า สมมติเป็นบุคคลอันตรายจริงก็ไม่น่าจะมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ 6-7 ปี ไม่ใช่โรงเรียนเอกชน แต่เป็นโรงเรียนรัฐบาล และออกเอกสารถูกต้อง มีใบอนุญาตทำงาน เมื่อ 2 ปีก่อนมีรายการโทรทัศน์ไปตรวจสอบแล้วไม่พบบัญชีดำในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตอนนี้สามารถเข้าประเทศไทยได้ ส่วนคดีที่เจอระยะหลังๆ คือคดีแตงโม ถูกใส่ไข่เยอะเพราะอีกฝ่ายหรืออีกสื่อหนึ่งมีเอฟซี มีอิทธิพลเยอะ แถมเมื่อตนไปสัมภาษณ์รายการหนึ่ง 5 ครั้ง ภายหลังไลฟ์รายการลบทิ้ง หมายความว่าอย่างไร ตนถามตรงๆ ไปว่าลบทิ้งทำไม เขาไม่มีคำตอบ เปลี่ยนประเด็น . ตนมองว่าต้องมีคนสั่งให้ลบ เพราะมือถืออยู่ในมือตนเอง จึงต้องดิสเครดิตให้ไม่มีความน่าเชื่อถือ พยายามด้อยค่าหลักฐานจากโทรศัพท์มือถือที่ปล่อยออกมา 1-2 คลิปที่ อ.ปานเทพเปิดเผย ตนเคยลงในเพจมานานมากแล้ว แต่มีคนทักมาถามว่าสถานที่ตรงนี้ตรงนั้นหรือเปล่า ซึ่งตนไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมานานแล้ว พอไปดูก็มีการแต่งเพิ่มมา อ.ปานเทพถามตนว่าคลิปนี้ได้มาจากตนหรือเปล่า ตนตอบว่าไม่ใช่ คลิปที่ได้จากตนมีแค่นี้ เขาใช้วิธีเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อน คือ เอามาแต่งเติม เอามาตัด และโจมตีว่าไม่ใช่ข้อมูลจริง หิวแสง ตนเพิ่งรู้จัก อ.ปานเทพ และ นพ.ธวัชชัยไม่ถึง 2 เดือน ข้อมูล GPS ที่เคยส่งให้ทีวีช่องหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนก็ถูกด้อยค่าว่าไปตรวจมาแล้วไม่มีอะไรเลย ด้อยค่าแล้วก็ลบตัดทิ้งเลย . พอรับฟีดแบ็คกลับมาตนก็มีความรู้สึก แฟนของตนก็ไม่สบายใจ ให้หยุดไม่ต้องทำเพราะไม่มีใครเชื่อ แต่ตนเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง คดีนี้ต้องกลับมาแน่ เพราะข้อพิรุธหลายอย่าง ตนเก็บข้อมูลไว้ เบอร์แต่ละคนหาไม่ยาก อยู่บนเรือด้วยกันโทร.หากันทำไม แล้วบรรดาคนดังโทร.หาแตงโมเวลา 21.58 น. 22.04 น. หรือ 22.07 น.ของวันเกิดเหตุ ไม่ใช่แค่คืนนั้นคืนเดียว โทร.มาตอนเช้าด้วย โทร.ในระหว่างนั้นด้วย ทั้งๆ ที่ตำรวจแถลงข่าวแตงโมตกน้ำ 22.37-22.38 น. แสดงว่าคนรู้แล้วว่าแตงโมตกน้ำ แต่ไม่มีการกดรับสายเพราะปิดเครื่อง แต่มีระบบรับฝากข้อความและมีข้อความเข้ามา . เมื่อถามว่า ขบวนการดิสเครดิตบังแจ็คทำไปเพื่ออะไร เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแตงโมอย่างไร บังแจ็ค กล่าวว่า มีคนใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่พอคดีแตงโมเปิดขึ้นมาเขาได้รับความเสียหายมาก จึงไม่ยอมให้ทำแบบนี้ ที่ไปคุยที่ปั๊มน้ำมันนั้น ได้ให้ที่ปรึกษากฎหมายของเขาสอนให้พูดแบบนี้ แล้วมีอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แนะนำว่าต้องไปในทิศทางนี้ เท่าที่ตนทราบไม่นานมีโทรทัศน์ 3 ช่อง ช่องแรกไม่ดัง อีก 2 ช่องดัง ใช้ทนายความคนบนเรือคนเดียวกันออกโทรทัศน์ บางสื่อต้องกลัวตำรวจหรือเกรงใจตำรวจเพราะจะไม่มีข่าวเล่น ตนรู้พิรุธมานานแล้วว่าตอนสัมภาษณ์เขาก็ตัดออก อย่างทีวีช่องหนึ่งสัมภาษณ์นานมาก แต่ตัดบางส่วนออก เหลือเฉพาะตอนที่เปิดช่องให้ถูกโจมตี ภายหลังพบว่าใช้ทนายความคนเดียวกันออกทีวี . เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีคนเสนอเงิน 15 ล้านบาทเพื่อยุติเรื่องดังกล่าวจริงหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ไม่ถึง 15 ล้านบาท แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ นพ.ธวัชชัยจะมารับเครื่อง ก็พยายามที่จะถามว่าจะให้โทรศัพท์มือถือจริงหรือเปล่า แล้วเชื่อหรือเปล่าว่าจะนำมาใช้ในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าคิดจะขายจะขายในราคาเท่าไหร่ ตนตอบว่าไม่ขาย ถามว่า 2 ล้านบาทขายไหม ตนตอบว่าไม่ขาย ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านบาท เงินที่เสนอมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในเดือนหนึ่งก็หมดแล้ว เพราะตนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีบริษัท จ่ายค่ารถ จ่ายค่าบ้าน ค่าใช้จ่ายต่างๆ หมดแล้ว ตนหาได้เองไม่ต้องเสนอ อีกฝ่ายก็เสนอเป็น 5 ล้านบาท แต่ไม่ต้องให้เครื่องแก่ นพ.ธวัชชัย ตนกล่าวว่าให้เท่าไหร่ก็ไม่ขาย อยากจะยกให้เขา อีกฝ่ายกล่าวว่า ต้องคิดให้ดีๆ ก่อน เพราะ 1 ใน 5 คนบนเรือกล่าวว่า ได้เครื่องนี้ไปก็คือจบเลย เพราะมีข้อมูลที่ผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลสูง เป็นนักธุรกิจระดับประเทศมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากให้มือถือนี้ไปอยู่ที่เมืองไทย . เมื่อถามว่า ที่โดนดักตีหัวสงสัยว่าจัดฉากหรือไม่ บังแจ็คกล่าวว่า ตอนที่โดนตีหัว นพ.ธวัชชัยคุยกับตนอยู่ เวลาโดนตีหัวแฟนถามว่าเรียกรถพยาบาลหรือเปล่า เพราะที่สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่าย 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่พอจับดูเลือดไหล จึงให้ นพ.ธวัชชัยดูแผล ก็แนะนำว่าให้ไปเย็บแผลก่อน แต่เย็บไม่เยอะ 2 เข็ม และให้กลับไปรักษาที่บ้าน ส่วนที่โดนตีหัวคิดว่าวันนั้นเป็นวันหยุดของคนผิวสี ตำรวจไม่ค่อยมี เป็นเหตุบังเอิญที่โจรขโมยของ นพ.ธวัชชัยอยู่ในสาย ก็เลยเป็นห่วงจึงเป็นข่าวขึ้นมา ส่วนขบวนการดิสเครดิตที่เกิดขึ้น นพ.ธวัชชัย อ.ปานเทพ และนายอัจฉริยะต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ บังแจ็ค กล่าวว่า ทั้งสามคนต้องระวังอย่างสูง เพราะเท่าที่เจอข้อมูลในเครื่องมีแต่คนใหญ่คนโต ทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง มีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง จากที่แถลงข่าวยังมีเยอะกว่านี้ . ถามถึงแนวทางคลี่คลายคดีเพื่อคืนความยุติธรรมให้แตงโม บังแจ็คกล่าวว่า ลองไว้ใจทีมดีเอสไอ และดูว่าจะมีคนเข้ามาสกัดหรือข่มขู่หรือเปล่าก็ต้องคอยดู แต่ถ้าทั้งสามคนสบายใจและมั่นใจในทีมนี้ก็ตามนั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือฟิงเกอร์ครอส (ยกนิ้วไขว้เพื่ออวยพรขอให้โชคดี) เมื่อถามว่า ตอนนี้บังแจ็คทำอะไรอยู่ ตนต้องขอบคุณเน็ตไอดอลที่สร้างภาพให้ตนเป็นแบบนั้นว่าเขาทำสำเร็จ ตนมีร้านอาหาร 2 แห่ง มีบริษัทที่มีรถยนต์กันกระสุน 5 คัน รับคุ้มกันดาราระดับโลก นักฟุตบอลชื่อดัง และนักการเมือง ยืนยันว่าเป็นโทรศัพท์มือถือแตงโมจริง ให้ นพ.ธวัชชัชตรวจอีมี่ (IMEI) และตรวจเครื่องให้เรียบร้อย ถ้าสมมติถ้าตนหิวเงินหรือหิวแสงคงไม่เก็บไว้นานถึง 3 ปี ภาพหรือคลิปที่ตนเจอป่านนี้ได้เงินเป็นร้อยล้านแล้ว ตนนับถือศาสนาอิสลาม เป็นเงินบาป ทำแบบนี้ไม่ได้ เราไม่ไปยุ่งและไม่เปิดเผย ไม่ทำให้แตงโมเสียหายเพราะน่าสงสารที่สุดแล้ว . คลิกอ่านต้นฉบับ >> https://sondhitalk.com/detail/9680000012224 ...... Sondhi X
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 656 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระปิดตาจิ๋วพระปิดตาสาริกา พ่อท่านทอง วัดสำเภาเชย จ.ปัตตานี

    ขายแล้ว !!!

    พระปิดตาจิ๋ว พระปิดตาสาริกา ( ตอกโค้ด ) เนื้อตะกั่ว พ่อท่านทอง วัดสำเภาเชย จ.ปัตตานี //พระดีพิธีใหญ่ เสริมเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ // พระมีขนาด เล็กจิ๋ว // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พระมีขนาด เล็กจิ๋ว เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารัก >>

    ** พุทธคุณใช้เสริมเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ เรียกทรัพย์ พูดอะไรใครก็ชอบ พูดอะไรใครก็หลง พูดอะไรใครก็เชื่อ เหมาะสำหรับนักธุรกิจ แม่ค้า แม่ขาย ค้าขาย ดีนักแล >>

    ** หลวงพ่อทอง ท่านปลุกเสกอธิษฐานจิตอย่างเข้มขลัง มีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในการปฏิบัติกรรมฐาน เป็นพระที่รักสันโดษ สมถะ พูดน้อย มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ทำให้สาธุชนเคารพศรัทธาท่านอย่างมาก วัตถุมงคล ของ หลวงพ่อทอง วัดสำเภาเชย นั้นมีอยู่หลายรุ่นซึ่งเป็นที่นิยม พุทธคุณ ดีเด่นด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขาย รวมไปถึงแคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายก็โดดเด่นไม่แพ้กัน >>


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระปิดตาจิ๋วพระปิดตาสาริกา พ่อท่านทอง วัดสำเภาเชย จ.ปัตตานี ขายแล้ว !!! พระปิดตาจิ๋ว พระปิดตาสาริกา ( ตอกโค้ด ) เนื้อตะกั่ว พ่อท่านทอง วัดสำเภาเชย จ.ปัตตานี //พระดีพิธีใหญ่ เสริมเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ // พระมีขนาด เล็กจิ๋ว // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พระมีขนาด เล็กจิ๋ว เหมาะสำหรับ ท่านที่นิยม พระขนาดเล็ก นำไปใส่กรอบทอง สำหรับสุภาพสตรีและเด็กๆ ไว้เป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .. รุ่นนี้มีประสบกาณ์มากครับ เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารัก >> ** พุทธคุณใช้เสริมเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ เรียกทรัพย์ พูดอะไรใครก็ชอบ พูดอะไรใครก็หลง พูดอะไรใครก็เชื่อ เหมาะสำหรับนักธุรกิจ แม่ค้า แม่ขาย ค้าขาย ดีนักแล >> ** หลวงพ่อทอง ท่านปลุกเสกอธิษฐานจิตอย่างเข้มขลัง มีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในการปฏิบัติกรรมฐาน เป็นพระที่รักสันโดษ สมถะ พูดน้อย มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ทำให้สาธุชนเคารพศรัทธาท่านอย่างมาก วัตถุมงคล ของ หลวงพ่อทอง วัดสำเภาเชย นั้นมีอยู่หลายรุ่นซึ่งเป็นที่นิยม พุทธคุณ ดีเด่นด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ ค้าขาย รวมไปถึงแคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายก็โดดเด่นไม่แพ้กัน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 161 มุมมอง 0 รีวิว
  • มารู้จักกับโฆษกสตรีทำเนียบขาว คาโรไลน์ เลวิทท์ (Karoline Leavitt) อายุ 27 ปี อายุน้อยที่สุดในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ 2.0 ปธน.คนที่ 47..เธอเคยสมัครลง ส.ส.ในรัฐนิวแฮมเชอร์ ในนามพรรครีพับลิกันเมื่อปี ค.ศ. 2022 โดยการสนับสนุนทางการเงินหาเสียงจากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของนิว แฮมเชอร์ นายนิโคลาส ริคชิโอ แต่พลาดโอกาส ปี 2023 เธอหมั้นกับนายนิโคลาสที่มีอายุ 59 ปี ซึ่งอายุห่างกันถึง 32 ปี พอปี 2024 เธอมีลูกกับเขาหนึ่งคน เธอกับสามีนายนิโคลาสช่วยหาเสียงให้ทรัมป์ชิงประธานาธืบดีในรัฐนิว แฮมเชอร์ อย่างแข็งขันจนชนะเลือกตั้ง วันอังคารที่ 28 มกราคม 2025 เธอได้รับเลือกจากประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เปิดประเดิมเป็นเป็นโฆษกทำเนียบขาว รายงานความคืบหน้าในการบริหารงานของนายทรัมป์กับผู้สื่อข่าวสายทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ข้อมูลส่งท้าย ประธานาธิบดีทรัมป์กับเมลาเนียสตรีหมายเลขหนึ่ง มีอายุต่างกัน 24 ปี
    มารู้จักกับโฆษกสตรีทำเนียบขาว คาโรไลน์ เลวิทท์ (Karoline Leavitt) อายุ 27 ปี อายุน้อยที่สุดในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ 2.0 ปธน.คนที่ 47..เธอเคยสมัครลง ส.ส.ในรัฐนิวแฮมเชอร์ ในนามพรรครีพับลิกันเมื่อปี ค.ศ. 2022 โดยการสนับสนุนทางการเงินหาเสียงจากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของนิว แฮมเชอร์ นายนิโคลาส ริคชิโอ แต่พลาดโอกาส ปี 2023 เธอหมั้นกับนายนิโคลาสที่มีอายุ 59 ปี ซึ่งอายุห่างกันถึง 32 ปี พอปี 2024 เธอมีลูกกับเขาหนึ่งคน เธอกับสามีนายนิโคลาสช่วยหาเสียงให้ทรัมป์ชิงประธานาธืบดีในรัฐนิว แฮมเชอร์ อย่างแข็งขันจนชนะเลือกตั้ง วันอังคารที่ 28 มกราคม 2025 เธอได้รับเลือกจากประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เปิดประเดิมเป็นเป็นโฆษกทำเนียบขาว รายงานความคืบหน้าในการบริหารงานของนายทรัมป์กับผู้สื่อข่าวสายทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ข้อมูลส่งท้าย ประธานาธิบดีทรัมป์กับเมลาเนียสตรีหมายเลขหนึ่ง มีอายุต่างกัน 24 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทรัมป์ฟันฉับ! ตัดงบ USAID ทุบเครือข่าย Soros – สื่อฝ่ายค้านฮังการีสะดุ้ง!"

    เนื้อข่าว:
    สื่อต่อต้านรัฐบาลฮังการีกำลังร้อนเป็นไฟ หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ากลุ่ม NGO และสื่อฮังการีที่เชื่อมโยงกับมหาเศรษฐี George Soros ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นว่าความ "อิสระ" ของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์…แต่อยู่ที่งบหนุนจากต่างชาติ

    "Soros หมดฤทธิ์! เมื่อเงินหนุนฝ่ายค้านฮังการีถูกตัดขาด"

    Balázs Orbán ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของนายกรัฐมนตรีฮังการี ได้แฉว่าหนึ่งในสื่อฝ่ายค้านรายใหญ่ของประเทศไม่พอใจอย่างหนัก หลังสูญเสียแหล่งทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามว่า "สื่อที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลต่างชาติ จะเรียกว่าอิสระได้อย่างไร?"

    ด้าน Elon Musk นักธุรกิจพันล้านและที่ปรึกษาคนสนิทของทรัมป์ รีโพสต์ข้อความของ Orbán พร้อมซัดแรงว่า "ฝ่ายซ้ายสุดโต่งของสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่ออุ้มพรรคการเมืองและสื่อฝ่ายซ้ายทั่วโลก!" ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์

    "เครือข่าย Soros สะเทือน! USAID โดนทรัมป์เชือด"

    คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้กระทบแค่สื่อฝ่ายค้าน แต่ยังส่งผลไปถึง NGO ฮังการีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ George Soros ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนหลักผ่าน USAID และสถานทูตสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ David Pressman

    ก่อนหน้านี้ ในวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ สถานทูตสหรัฐฯ ที่บูดาเปสต์เคยประกาศแจกจ่ายงบกว่า 200 ล้านฟอรินต์ (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับกลุ่มสื่อและ NGO ผ่านโครงการ Free Media Tender ซึ่งขณะนี้ถูกสั่งระงับ สื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 444, Jelen, G7, Magyar Hang และ Transparency International
    Mérték Media Monitor ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลโครงการนี้ยืนยันว่า "ใช่ โครงการนี้ถูกระงับแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอ ไม่มีการทำสัญญาหรือรับเงินเพิ่มเติม"

    "ตัดท่อน้ำเลี้ยง! สื่อและ NGO ในเครือข่าย Soros โดนเท"

    การระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศครั้งนี้ถือเป็นหมัดหนักที่โจมตีเครือข่ายของ Soros ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทสำคัญในการใช้เงินทุนเพื่อผลักดันแนวคิดเสรีนิยมทั่วโลก ทรัมป์เคยเตือนหลายครั้งว่า USAID ไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย

    "ตัดเงินสนับสนุน = เปิดโปงความจริง!" ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่านี่คือการคืนความโปร่งใสให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดการใช้เงินภาษีอุ้มกลุ่มการเมืองต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายค้านฮังการีและ NGO ที่เคยได้รับทุนต่างออกมาโวยวายว่าการตัดงบนี้คือการทำลาย "ประชาธิปไตย"

    อย่างไรก็ตาม คำถามที่ชัดเจนขึ้นก็คือ "ถ้าต้องพึ่งเงิน Soros และรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอด... ยังกล้าเรียกตัวเองว่าสื่ออิสระหรือ?"

    .
    https://web.facebook.com/share/p/1WpNbXhfxE/
    "ทรัมป์ฟันฉับ! ตัดงบ USAID ทุบเครือข่าย Soros – สื่อฝ่ายค้านฮังการีสะดุ้ง!" เนื้อข่าว: สื่อต่อต้านรัฐบาลฮังการีกำลังร้อนเป็นไฟ หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ากลุ่ม NGO และสื่อฮังการีที่เชื่อมโยงกับมหาเศรษฐี George Soros ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นว่าความ "อิสระ" ของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์…แต่อยู่ที่งบหนุนจากต่างชาติ "Soros หมดฤทธิ์! เมื่อเงินหนุนฝ่ายค้านฮังการีถูกตัดขาด" Balázs Orbán ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของนายกรัฐมนตรีฮังการี ได้แฉว่าหนึ่งในสื่อฝ่ายค้านรายใหญ่ของประเทศไม่พอใจอย่างหนัก หลังสูญเสียแหล่งทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามว่า "สื่อที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลต่างชาติ จะเรียกว่าอิสระได้อย่างไร?" ด้าน Elon Musk นักธุรกิจพันล้านและที่ปรึกษาคนสนิทของทรัมป์ รีโพสต์ข้อความของ Orbán พร้อมซัดแรงว่า "ฝ่ายซ้ายสุดโต่งของสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่ออุ้มพรรคการเมืองและสื่อฝ่ายซ้ายทั่วโลก!" ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์ "เครือข่าย Soros สะเทือน! USAID โดนทรัมป์เชือด" คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้กระทบแค่สื่อฝ่ายค้าน แต่ยังส่งผลไปถึง NGO ฮังการีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ George Soros ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนหลักผ่าน USAID และสถานทูตสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ David Pressman ก่อนหน้านี้ ในวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ สถานทูตสหรัฐฯ ที่บูดาเปสต์เคยประกาศแจกจ่ายงบกว่า 200 ล้านฟอรินต์ (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับกลุ่มสื่อและ NGO ผ่านโครงการ Free Media Tender ซึ่งขณะนี้ถูกสั่งระงับ สื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 444, Jelen, G7, Magyar Hang และ Transparency International Mérték Media Monitor ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลโครงการนี้ยืนยันว่า "ใช่ โครงการนี้ถูกระงับแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอ ไม่มีการทำสัญญาหรือรับเงินเพิ่มเติม" "ตัดท่อน้ำเลี้ยง! สื่อและ NGO ในเครือข่าย Soros โดนเท" การระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศครั้งนี้ถือเป็นหมัดหนักที่โจมตีเครือข่ายของ Soros ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทสำคัญในการใช้เงินทุนเพื่อผลักดันแนวคิดเสรีนิยมทั่วโลก ทรัมป์เคยเตือนหลายครั้งว่า USAID ไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย "ตัดเงินสนับสนุน = เปิดโปงความจริง!" ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่านี่คือการคืนความโปร่งใสให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดการใช้เงินภาษีอุ้มกลุ่มการเมืองต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายค้านฮังการีและ NGO ที่เคยได้รับทุนต่างออกมาโวยวายว่าการตัดงบนี้คือการทำลาย "ประชาธิปไตย" อย่างไรก็ตาม คำถามที่ชัดเจนขึ้นก็คือ "ถ้าต้องพึ่งเงิน Soros และรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอด... ยังกล้าเรียกตัวเองว่าสื่ออิสระหรือ?" . https://web.facebook.com/share/p/1WpNbXhfxE/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว

  • 70 ปี วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เครือข่ายชนชั้นนำ คอนเนคชันขั้นเทพ? 🎖️🇹🇭

    "วปอ. สร้างเครือข่าย หรือสร้างชนชั้นนำใหม่?" คำถามที่ยังค้างคาใจ ในสังคมไทย กับสถาบันที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ

    จากสถาบันความมั่นคง สู่เครือข่ายแห่งอำนาจ 🔥
    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร" (วปอ.) ภายใต้การดูแลของ กระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เป็นสถาบันศึกษาชั้นสูง สำหรับผู้บริหารระดับสูง ของฝ่ายทหาร และพลเรือน

    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วปอ. ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา ด้านความมั่นคง แต่กลายเป็น "สนามฝึกซ้อม" ของเครือข่ายอำนาจ ที่ครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย 💼🏛️

    🎓 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นส่วนหนึ่งของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่หลักคือ การศึกษาและอบรม ข้าราชการระดับสูง ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจเอกชน

    🔹 หลักสูตรของ วปอ.
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สำหรับข้าราชการระดับสูง และผู้นำทางทหาร
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) เปิดรับผู้บริหารภาคเอกชน และภาครัฐ
    - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) ครั้งหนึ่งเคยมีนักการเมือง ร่วมศึกษา แต่ปัจจุบันปิดตัวลง

    🔹 คุณสมบัติของผู้เข้าเรียน
    ✅ ข้าราชการพลเรือน ระดับอำนวยการสูงขึ้นไป
    ✅ ข้าราชการทหาร ระดับพันเอกขึ้นไป
    ✅ ข้าราชการตำรวจ ระดับพันตำรวจเอกขึ้นไป
    ✅ นักธุรกิจเอกชน เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง

    หลังจากสำเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับ "เข็มรัฏฐาภิรักษ์" ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะ ที่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงชนชั้นนำไทย

    เครือข่ายอำนาจ หรือเครือข่ายพัฒนา? 🤝
    "วปอ. เป็นเครือข่ายผู้นำ ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรือเป็นกลไก ที่ช่วยให้ชนชั้นนำ รักษาอำนาจ?"

    🔹 จุดเด่นของเครือข่าย วปอ.
    ✅ สร้างสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผู้เรียนกลายเป็น "พี่น้องร่วมรุ่น" ที่ช่วยเหลือกันตลอดชีวิต
    ✅ เข้าถึงโอกาสพิเศษ การได้เข้าเรียน วปอ. คือการเข้าสู่ "สนามหลังบ้านของอำนาจ"
    ✅ อิทธิพลต่อการตัดสินใจของชาติ ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ในระดับประเทศ

    🔹 แต่ด้านลบล่ะ?
    ❌ "พรรคพวกนิยม" หรือระบบเส้นสาย การมี "คอนเนคชัน" สำคัญกว่าความสามารถจริงหรือ?
    ❌ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุน เข้าถึงอำนาจมากขึ้น นักธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ กับข้าราชการ และนักการเมืองได้ง่ายขึ้น
    ❌ การกีดกันผู้ที่อยู่นอกเครือข่าย ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายนี้

    วปอ. กับการเมือง และเศรษฐกิจไทย 💰🏛️
    หลักสูตรเหล่านี้อาจเป็น "เส้นทางลัดสู่ชนชั้นนำ" เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการยอมรับ ในสังคมระดับสูง อีกทั้งยังเปิดโอกาส ในการ สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และการเมือง

    🔹 วปอ. กับนักการเมือง
    อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และนักการเมืองระดับสูงหลายคน เคยศึกษาในหลักสูตร วปอ.
    การศึกษาที่นี่ ช่วยให้นักการเมือง สามารถเชื่อมโยงกับกองทัพ ข้าราชการ และภาคเอกชน

    🔹 วปอ. กับภาคธุรกิจ
    นักธุรกิจที่เข้าเรียน วปอ. สามารถเชื่อมโยงกับ ข้าราชการระดับสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ
    การเรียนรู้เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ชาติ" อาจเป็นข้อได้เปรียบในทางธุรกิจ

    3 ขั้นตอนการสร้างเครือข่ายใน วปอ. 🤝🏆
    1️⃣ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา 🎯
    เน้นผู้บริหารระดับสูง หรือ "ดาวรุ่ง" ที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ

    2️⃣ พัฒนาความสัมพันธ์ 🔄
    ใช้กิจกรรม เช่น ปฐมนิเทศ ทริปดูงาน งานเลี้ยง
    มีระบบ "พี่รหัส-น้องรหัส" คล้ายมหาวิทยาลัย

    3️⃣ รักษาความสัมพันธ์ หลังเรียนจบ 📜
    ตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อให้ช่วยเหลือกันต่อไป
    เครือข่ายนี้ ทำงานผ่านการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน

    ประโยชน์ต่อชาติ หรือการสืบทอดอำนาจ? 🤔
    มีการตั้งข้อสังเกตว่า "วปอ. คือพื้นที่กลั่นกรอง ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ" ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยโดยตรง

    "ผู้นำต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือจากความไว้วางใจ ของเครือข่าย?"

    บางฝ่ายมองว่า วปอ. เป็น "ระบบคัดกรองอำนาจ" ที่ช่วยให้บุคคลที่ "เหมาะสม" ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แต่บางฝ่ายมองว่าเป็น "การสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ" ที่ตัดประชาชนทั่วไป ออกจากกระบวนการตัดสินใจ

    วปอ. เป็นโอกาสหรือปัญหา? ⚖️
    ✅ ข้อดี
    - เป็นหลักสูตรที่พัฒนาผู้นำ และส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติ
    - สร้างเครือข่าย ที่ช่วยให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น
    - เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและรัฐ ทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ❌ ข้อเสีย
    - อาจเป็นช่องทางลัดสำหรับ "ชนชั้นนำใหม่" ที่เข้าสู่เครือข่ายอำนาจ
    - เสริมสร้างระบบเส้นสายและ "พรรคพวกนิยม"
    - ลดโอกาสของประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงอำนาจ

    วปอ. เป็นโอกาส หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ? 🤔

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021144 ก.พ. 2568

    🔹 #วปอ #70ปีวปอ #เครือข่ายอำนาจ #ผู้นำไทย #การเมืองไทย #ชนชั้นนำ #เส้นสาย #ธุรกิจไทย #โอกาสหรืออำนาจ #การศึกษาไทย 🎖️
    70 ปี วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เครือข่ายชนชั้นนำ คอนเนคชันขั้นเทพ? 🎖️🇹🇭 "วปอ. สร้างเครือข่าย หรือสร้างชนชั้นนำใหม่?" คำถามที่ยังค้างคาใจ ในสังคมไทย กับสถาบันที่มีอิทธิพล สูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ จากสถาบันความมั่นคง สู่เครือข่ายแห่งอำนาจ 🔥 ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร" (วปอ.) ภายใต้การดูแลของ กระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมาย เพื่อให้เป็นสถาบันศึกษาชั้นสูง สำหรับผู้บริหารระดับสูง ของฝ่ายทหาร และพลเรือน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วปอ. ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา ด้านความมั่นคง แต่กลายเป็น "สนามฝึกซ้อม" ของเครือข่ายอำนาจ ที่ครอบคลุมการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย 💼🏛️ 🎓 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เป็นส่วนหนึ่งของ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่หลักคือ การศึกษาและอบรม ข้าราชการระดับสูง ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน นักการเมือง และนักธุรกิจเอกชน 🔹 หลักสูตรของ วปอ. - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สำหรับข้าราชการระดับสูง และผู้นำทางทหาร - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) เปิดรับผู้บริหารภาคเอกชน และภาครัฐ - หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) ครั้งหนึ่งเคยมีนักการเมือง ร่วมศึกษา แต่ปัจจุบันปิดตัวลง 🔹 คุณสมบัติของผู้เข้าเรียน ✅ ข้าราชการพลเรือน ระดับอำนวยการสูงขึ้นไป ✅ ข้าราชการทหาร ระดับพันเอกขึ้นไป ✅ ข้าราชการตำรวจ ระดับพันตำรวจเอกขึ้นไป ✅ นักธุรกิจเอกชน เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง หลังจากสำเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับ "เข็มรัฏฐาภิรักษ์" ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะ ที่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงชนชั้นนำไทย เครือข่ายอำนาจ หรือเครือข่ายพัฒนา? 🤝 "วปอ. เป็นเครือข่ายผู้นำ ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรือเป็นกลไก ที่ช่วยให้ชนชั้นนำ รักษาอำนาจ?" 🔹 จุดเด่นของเครือข่าย วปอ. ✅ สร้างสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผู้เรียนกลายเป็น "พี่น้องร่วมรุ่น" ที่ช่วยเหลือกันตลอดชีวิต ✅ เข้าถึงโอกาสพิเศษ การได้เข้าเรียน วปอ. คือการเข้าสู่ "สนามหลังบ้านของอำนาจ" ✅ อิทธิพลต่อการตัดสินใจของชาติ ผู้เรียนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ในระดับประเทศ 🔹 แต่ด้านลบล่ะ? ❌ "พรรคพวกนิยม" หรือระบบเส้นสาย การมี "คอนเนคชัน" สำคัญกว่าความสามารถจริงหรือ? ❌ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุน เข้าถึงอำนาจมากขึ้น นักธุรกิจสามารถสร้างสายสัมพันธ์ กับข้าราชการ และนักการเมืองได้ง่ายขึ้น ❌ การกีดกันผู้ที่อยู่นอกเครือข่าย ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเครือข่ายนี้ วปอ. กับการเมือง และเศรษฐกิจไทย 💰🏛️ หลักสูตรเหล่านี้อาจเป็น "เส้นทางลัดสู่ชนชั้นนำ" เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับการยอมรับ ในสังคมระดับสูง อีกทั้งยังเปิดโอกาส ในการ สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และการเมือง 🔹 วปอ. กับนักการเมือง อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และนักการเมืองระดับสูงหลายคน เคยศึกษาในหลักสูตร วปอ. การศึกษาที่นี่ ช่วยให้นักการเมือง สามารถเชื่อมโยงกับกองทัพ ข้าราชการ และภาคเอกชน 🔹 วปอ. กับภาคธุรกิจ นักธุรกิจที่เข้าเรียน วปอ. สามารถเชื่อมโยงกับ ข้าราชการระดับสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ การเรียนรู้เกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ชาติ" อาจเป็นข้อได้เปรียบในทางธุรกิจ 3 ขั้นตอนการสร้างเครือข่ายใน วปอ. 🤝🏆 1️⃣ คัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา 🎯 เน้นผู้บริหารระดับสูง หรือ "ดาวรุ่ง" ที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ 2️⃣ พัฒนาความสัมพันธ์ 🔄 ใช้กิจกรรม เช่น ปฐมนิเทศ ทริปดูงาน งานเลี้ยง มีระบบ "พี่รหัส-น้องรหัส" คล้ายมหาวิทยาลัย 3️⃣ รักษาความสัมพันธ์ หลังเรียนจบ 📜 ตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อให้ช่วยเหลือกันต่อไป เครือข่ายนี้ ทำงานผ่านการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน ประโยชน์ต่อชาติ หรือการสืบทอดอำนาจ? 🤔 มีการตั้งข้อสังเกตว่า "วปอ. คือพื้นที่กลั่นกรอง ผู้นำทางการเมืองและธุรกิจ" ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยโดยตรง "ผู้นำต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือจากความไว้วางใจ ของเครือข่าย?" บางฝ่ายมองว่า วปอ. เป็น "ระบบคัดกรองอำนาจ" ที่ช่วยให้บุคคลที่ "เหมาะสม" ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แต่บางฝ่ายมองว่าเป็น "การสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ" ที่ตัดประชาชนทั่วไป ออกจากกระบวนการตัดสินใจ วปอ. เป็นโอกาสหรือปัญหา? ⚖️ ✅ ข้อดี - เป็นหลักสูตรที่พัฒนาผู้นำ และส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติ - สร้างเครือข่าย ที่ช่วยให้การบริหารประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น - เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจและรัฐ ทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ❌ ข้อเสีย - อาจเป็นช่องทางลัดสำหรับ "ชนชั้นนำใหม่" ที่เข้าสู่เครือข่ายอำนาจ - เสริมสร้างระบบเส้นสายและ "พรรคพวกนิยม" - ลดโอกาสของประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงอำนาจ วปอ. เป็นโอกาส หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ของชนชั้นนำ? 🤔 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021144 ก.พ. 2568 🔹 #วปอ #70ปีวปอ #เครือข่ายอำนาจ #ผู้นำไทย #การเมืองไทย #ชนชั้นนำ #เส้นสาย #ธุรกิจไทย #โอกาสหรืออำนาจ #การศึกษาไทย 🎖️
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้คนหลากหลายวงการ เช่น นักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการ ผู้มีอิทธิพล แพทย์ ทนาย สื่อมวลชน คนดังมีชื่อเสียง ฯลฯ มีเอี่ยวกันหมด #คดีแตงโม
    https://youtu.be/v8UdnyjYWlI
    ผู้คนหลากหลายวงการ เช่น นักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการ ผู้มีอิทธิพล แพทย์ ทนาย สื่อมวลชน คนดังมีชื่อเสียง ฯลฯ มีเอี่ยวกันหมด #คดีแตงโม https://youtu.be/v8UdnyjYWlI
    Love
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเฟียจีน กับ ลูกกระจ๊อกตร.ไทย ความบรรลัยที่ไม่จบสิ้น
    การจับมือกันระหว่างผู้กว้างขวางไทยชื่อเสี่ยออพัทยา กับมาเฟียจีนเทาจากแผ่นดินใหญ่ชื่อว่าบ๊อบบี้
    เมื่อเดือนกันยายน 2567 เกิดเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์บุกอุ้มตัวนักธุรกิจชาวจีน ชื่อนายเฉินจิง บริเวณหน้าสถานบันเทิงเวิลด์เฮ้าส์คลับ พัทยา กลุ่มคนร้ายพยายามกระชากลากตัวนายเฉินจิงไปขึ้นรถตู้อัลพาร์ดสีขาว แต่นายเฉินจิงขัดขืนต่อสู้สุดชีวิตเลยดิ้นหลุดออกจากรถตู้มาได้ แต่ไม่รอดจากการถูกรุมกระทืบจนบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตาแถมยังถูกชิงสร้อยคอทองคํา ราคา 2.5ล้านบาทไปด้วย
    หลังแจ้งความและตรวจร่างกายเรียบร้อย นายเฉินจิงก็รีบบินหนีอิทธิพลมืดจากจีนในวันรุ่งขึ้นทันที แต่ปรากฏว่าตํารวจเมืองพัทยาออกอาการไม่อยากทําคดี ผ่านไปนาน 5 เดือนคดีไม่มีความคืบหน้า พร้อมท้าทายว่าคดีนี้ไม่มีใครจะทําอะไรพวกกูได้เพราะกูมีลูกพี่ใหญ่คนไทย ให้การคุ้มครอง
    นายเฉินจิง แม้จะเกรงกลัวจนไม่กล้ามาไทยแต่ก็ได้มอบหมาย คนส่งเอกสารและตามคดีกับทางพนักงานสอบสวนสภ. เมืองพัทยา ยืนยันขอดําเนินการกับผู้ต้องหาจนถึงที่สุดแต่ก็ถูกเตะถ่วงอยู่ดี
    จนเมื่อต้นปี2567 มีชายต่างชาติพาสิงโตนั่งรถเบนรี่ เปิดประทุนพาเที่ยวชมเมืองพัทยา จนผู้คนแตกตื่นแท้จริงแล้วสิงโตนั้นเป็นสัตว์เสริมบารมีของบ๊อบบี้มาเฟียจีนเทาคนนี้
    ในที่สุดตํารวจพัทยา สุดจะเตะถ่วงได้อีกต่อไปจึงขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา8 ราย เป็นจีน 5 ไทย 3แต่คนร้ายบางคนมีพรายกระซิบ ชิงบินหนีไปกัมพูชาก่อนมีหมายจับอย่างเฉียดฉิวแต่บ๊อบบี้ไม่ได้บินหนีไปด้วยยังคงกบดานอยู่ในไทย
    แถมยังติดต่อกลับไปยังนายเฉินจิงผู้เสียหายว่าให้ถอนแจ้งความเสียจะยอมจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้รวมทั้งคืนสร้อยคอ 2.5 ล้านให้ด้วย
    ต้องดูน้ํายาตํารวจไทยต่อไปจะปล่อยให้แก๊งมาเฟียจีนเทาพัทยาเหยียบย่ํากฎหมายไทยต่อไปหรือจะขุดรากถอนโคนกันไปเลย
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    มาเฟียจีน กับ ลูกกระจ๊อกตร.ไทย ความบรรลัยที่ไม่จบสิ้น การจับมือกันระหว่างผู้กว้างขวางไทยชื่อเสี่ยออพัทยา กับมาเฟียจีนเทาจากแผ่นดินใหญ่ชื่อว่าบ๊อบบี้ เมื่อเดือนกันยายน 2567 เกิดเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์บุกอุ้มตัวนักธุรกิจชาวจีน ชื่อนายเฉินจิง บริเวณหน้าสถานบันเทิงเวิลด์เฮ้าส์คลับ พัทยา กลุ่มคนร้ายพยายามกระชากลากตัวนายเฉินจิงไปขึ้นรถตู้อัลพาร์ดสีขาว แต่นายเฉินจิงขัดขืนต่อสู้สุดชีวิตเลยดิ้นหลุดออกจากรถตู้มาได้ แต่ไม่รอดจากการถูกรุมกระทืบจนบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตาแถมยังถูกชิงสร้อยคอทองคํา ราคา 2.5ล้านบาทไปด้วย หลังแจ้งความและตรวจร่างกายเรียบร้อย นายเฉินจิงก็รีบบินหนีอิทธิพลมืดจากจีนในวันรุ่งขึ้นทันที แต่ปรากฏว่าตํารวจเมืองพัทยาออกอาการไม่อยากทําคดี ผ่านไปนาน 5 เดือนคดีไม่มีความคืบหน้า พร้อมท้าทายว่าคดีนี้ไม่มีใครจะทําอะไรพวกกูได้เพราะกูมีลูกพี่ใหญ่คนไทย ให้การคุ้มครอง นายเฉินจิง แม้จะเกรงกลัวจนไม่กล้ามาไทยแต่ก็ได้มอบหมาย คนส่งเอกสารและตามคดีกับทางพนักงานสอบสวนสภ. เมืองพัทยา ยืนยันขอดําเนินการกับผู้ต้องหาจนถึงที่สุดแต่ก็ถูกเตะถ่วงอยู่ดี จนเมื่อต้นปี2567 มีชายต่างชาติพาสิงโตนั่งรถเบนรี่ เปิดประทุนพาเที่ยวชมเมืองพัทยา จนผู้คนแตกตื่นแท้จริงแล้วสิงโตนั้นเป็นสัตว์เสริมบารมีของบ๊อบบี้มาเฟียจีนเทาคนนี้ ในที่สุดตํารวจพัทยา สุดจะเตะถ่วงได้อีกต่อไปจึงขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา8 ราย เป็นจีน 5 ไทย 3แต่คนร้ายบางคนมีพรายกระซิบ ชิงบินหนีไปกัมพูชาก่อนมีหมายจับอย่างเฉียดฉิวแต่บ๊อบบี้ไม่ได้บินหนีไปด้วยยังคงกบดานอยู่ในไทย แถมยังติดต่อกลับไปยังนายเฉินจิงผู้เสียหายว่าให้ถอนแจ้งความเสียจะยอมจ่ายชดเชยค่าเสียหายให้รวมทั้งคืนสร้อยคอ 2.5 ล้านให้ด้วย ต้องดูน้ํายาตํารวจไทยต่อไปจะปล่อยให้แก๊งมาเฟียจีนเทาพัทยาเหยียบย่ํากฎหมายไทยต่อไปหรือจะขุดรากถอนโคนกันไปเลย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 370 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเปิดตัวโมเดลเอไอล่าสุดที่ดีปซีคคุยว่า ดีพอๆ กับ หรือดีกว่าโมเดลที่เป็นผู้นำในวงการอุตสาหกรรมนี้ของอเมริกา แถมใช้ต้นทุนแค่เศษเงินของบิ๊กเทคเหล่านั้นด้วย กำลังทำให้ระเบียบโลกเทคโนโลยีปั่นป่วนหนัก
    .
    สตาร์ทอัปจีนแห่งนี้ดึงดูดความสนใจในแวดวงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั่วโลก หลังจากเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า การเทรน ดีปซีค-วี3 ใช้พลังการคำนวณจากชิปเอช800 ของเอ็นวิเดีย มูลค่าไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์
    .
    ผู้ช่วยเอไอของดีปซีคที่ขับเคลื่อนโดยดีปซีค-วี3 สามารถแซงแชตจีพีทีขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ของแอปเปิลในอเมริกาเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.)
    .
    ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งของอเมริกาตัดสินใจทุ่มเงินหลักหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์ไปกับเอไอ และยังทำให้ราคาหุ้นบิ๊กเทคหลายแห่งที่รวมถึงเอ็นวิเดียร่วงหนัก
    .
    ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับบริษัทที่กำลังเขย่าวงการเอไอทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
    .
    สั่นสะเทือนวงการเอไอ
    .
    ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2022 ที่โอเพ่นเอไอเปิดตัวแชตจีพีที ตอนนั้นบริษัทเทคโนโลยีจีนต่างร้อนรนสร้างแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอออกมาแข่ง แต่การเปิดตัวแชตบอตของยักษ์จีนอย่าง ไป่ตู้ กลับสร้างความผิดหวังอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสะท้อนว่าศักยภาพด้านเอไอระหว่างบริษัทอเมริกันกับบริษัทจีน ยังแตกต่างห่างชั้นกันมาก
    .
    อย่างไรก็ตาม เวลานี้คุณภาพและประสิทธิภาพด้านต้นทุนของโมเดลเอไอของดีปซีคทำให้ความรู้สึกพลิกกลับตาลปัตร สตาร์ทอัปเอไอแห่งนี้ของจีนระบุว่า ดีปซีค-วี3 และดีปซีค-อาร์1 ที่ได้รับการยกย่องจากพวกผู้บริหารในซิลลิคอนแวลลีย์ รวมถึงวิศวกรในบริษัทไฮเทคอเมริกานั้น มีประสิทธิภาพเทียบเท่าโมเดลเอไอรุ่นที่ล้ำสมัยที่สุดของโอเพ่นเอไอและเมตา แถมต้นทุนถูกกว่าแบบเทียบกันไม่ได้
    .
    โพสต์ของดีปซีคบนวีแชตระบุว่า ดีปซีค-อาร์1 ที่เปิดตัวสัปดาห์ที่แล้วนั้น ต้นทุนถูกกว่าโอเพ่นเอไอ o1 ถึง 20-50 เท่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับงาน
    .
    ทว่า ยังมีบางคนแสดงความข้องใจอย่างเปิดเผยต่อเรื่องราวความสำเร็จของดีปซีค ตัวอย่างเช่น อเล็กซานเดอร์ หวัง ซีอีโอสเกล เอไอที่กล่าวโดยไม่ได้โชว์หลักฐานระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีเมื่อวันพฤหัสฯ (23) ที่แล้ว ว่า ดีปซีคมีการแอบใช้ชิปเอช100 ของเอ็นวิเดีย 50,000 ชิ้น แต่เปิดเผยไม่ได้เนื่องจากละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตันที่แบนการขายชิปเอไอขั้นสูงให้บริษัทจีน
    .
    ต่อมาในวันจันทร์ นักวิเคราะห์ของเบิร์นสไตน์ย้ำในบันทึกการวิจัยว่า แม้ต้นทุนการเทรนเอไอวี3 ไม่เป็นที่รับรู้ แต่คิดว่า น่าจะมากกว่า 5.58 ล้านดอลลาร์ตามที่ดีปซีคบอก นอกจากนั้นยังไม่มีการเปิดเผยต้นทุนการเทรนอาร์1 อีกด้วย
    .
    เบื้องหลังดีปซีค
    .
    ดีปซีคเป็นบริษัทสตาร์ทอัปที่ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิควบคุมบริษัทคือ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยงเชิงปริมาณ “ไฮ-ฟลายเออร์”
    .
    เดือนมีนาคม 2023 กองทุนของเหลียงประกาศผ่านวีแชตว่า กำลังทุ่มเททรัพยากรในการสร้างกลุ่มการวิจัยอิสระใหม่เพื่อสำรวจองค์ประกอบสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence) ที่โอเพ่นเอไอระบุว่า หมายถึงระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในงานที่มีมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมด และปลายปีนั้นดีปซีคก็ถือกำเนิดขึ้น
    .
    ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ไฮ-ฟลายเออร์ลงทุนในดีปซีคเท่าไร แต่ออฟฟิศของกองทุนแห่งนี้อยู่ในตึกเดียวกับดีปซีค และยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ชิปที่ใช้ในการเทรนโมเดลเอไอ
    .
    ดีปซีคในสายตาปักกิ่ง
    .
    แวดวงนักการเมืองระดับสูงของจีนต่างรับรู้ถึงความสำเร็จของดีปซีค สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วันจันทร์ (20) ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดตัวดีปซีค-อาร์1 เหลียงได้ไปเข้าร่วมการประชุมเชิงสัมมนาแบบปิด ร่วมกับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงเป็นเจ้าภาพ
    .
    การที่เหลียงได้รับเชิญในวันนั้นเป็นสัญญาณว่า ความสำเร็จของดีปซีคน่าจะมีความสำคัญต่อเป้าหมายของปักกิ่งในการเอาชนะมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตัน และหาทางประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อย่างเอไอ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009081
    ..............
    Sondhi X
    การเปิดตัวโมเดลเอไอล่าสุดที่ดีปซีคคุยว่า ดีพอๆ กับ หรือดีกว่าโมเดลที่เป็นผู้นำในวงการอุตสาหกรรมนี้ของอเมริกา แถมใช้ต้นทุนแค่เศษเงินของบิ๊กเทคเหล่านั้นด้วย กำลังทำให้ระเบียบโลกเทคโนโลยีปั่นป่วนหนัก . สตาร์ทอัปจีนแห่งนี้ดึงดูดความสนใจในแวดวงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ทั่วโลก หลังจากเปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า การเทรน ดีปซีค-วี3 ใช้พลังการคำนวณจากชิปเอช800 ของเอ็นวิเดีย มูลค่าไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ . ผู้ช่วยเอไอของดีปซีคที่ขับเคลื่อนโดยดีปซีค-วี3 สามารถแซงแชตจีพีทีขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ของแอปเปิลในอเมริกาเมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) . ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งของอเมริกาตัดสินใจทุ่มเงินหลักหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์ไปกับเอไอ และยังทำให้ราคาหุ้นบิ๊กเทคหลายแห่งที่รวมถึงเอ็นวิเดียร่วงหนัก . ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับบริษัทที่กำลังเขย่าวงการเอไอทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ . สั่นสะเทือนวงการเอไอ . ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2022 ที่โอเพ่นเอไอเปิดตัวแชตจีพีที ตอนนั้นบริษัทเทคโนโลยีจีนต่างร้อนรนสร้างแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอออกมาแข่ง แต่การเปิดตัวแชตบอตของยักษ์จีนอย่าง ไป่ตู้ กลับสร้างความผิดหวังอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสะท้อนว่าศักยภาพด้านเอไอระหว่างบริษัทอเมริกันกับบริษัทจีน ยังแตกต่างห่างชั้นกันมาก . อย่างไรก็ตาม เวลานี้คุณภาพและประสิทธิภาพด้านต้นทุนของโมเดลเอไอของดีปซีคทำให้ความรู้สึกพลิกกลับตาลปัตร สตาร์ทอัปเอไอแห่งนี้ของจีนระบุว่า ดีปซีค-วี3 และดีปซีค-อาร์1 ที่ได้รับการยกย่องจากพวกผู้บริหารในซิลลิคอนแวลลีย์ รวมถึงวิศวกรในบริษัทไฮเทคอเมริกานั้น มีประสิทธิภาพเทียบเท่าโมเดลเอไอรุ่นที่ล้ำสมัยที่สุดของโอเพ่นเอไอและเมตา แถมต้นทุนถูกกว่าแบบเทียบกันไม่ได้ . โพสต์ของดีปซีคบนวีแชตระบุว่า ดีปซีค-อาร์1 ที่เปิดตัวสัปดาห์ที่แล้วนั้น ต้นทุนถูกกว่าโอเพ่นเอไอ o1 ถึง 20-50 เท่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับงาน . ทว่า ยังมีบางคนแสดงความข้องใจอย่างเปิดเผยต่อเรื่องราวความสำเร็จของดีปซีค ตัวอย่างเช่น อเล็กซานเดอร์ หวัง ซีอีโอสเกล เอไอที่กล่าวโดยไม่ได้โชว์หลักฐานระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีเมื่อวันพฤหัสฯ (23) ที่แล้ว ว่า ดีปซีคมีการแอบใช้ชิปเอช100 ของเอ็นวิเดีย 50,000 ชิ้น แต่เปิดเผยไม่ได้เนื่องจากละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตันที่แบนการขายชิปเอไอขั้นสูงให้บริษัทจีน . ต่อมาในวันจันทร์ นักวิเคราะห์ของเบิร์นสไตน์ย้ำในบันทึกการวิจัยว่า แม้ต้นทุนการเทรนเอไอวี3 ไม่เป็นที่รับรู้ แต่คิดว่า น่าจะมากกว่า 5.58 ล้านดอลลาร์ตามที่ดีปซีคบอก นอกจากนั้นยังไม่มีการเปิดเผยต้นทุนการเทรนอาร์1 อีกด้วย . เบื้องหลังดีปซีค . ดีปซีคเป็นบริษัทสตาร์ทอัปที่ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองหางโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิควบคุมบริษัทคือ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยงเชิงปริมาณ “ไฮ-ฟลายเออร์” . เดือนมีนาคม 2023 กองทุนของเหลียงประกาศผ่านวีแชตว่า กำลังทุ่มเททรัพยากรในการสร้างกลุ่มการวิจัยอิสระใหม่เพื่อสำรวจองค์ประกอบสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence) ที่โอเพ่นเอไอระบุว่า หมายถึงระบบอัตโนมัติที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ในงานที่มีมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมด และปลายปีนั้นดีปซีคก็ถือกำเนิดขึ้น . ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ไฮ-ฟลายเออร์ลงทุนในดีปซีคเท่าไร แต่ออฟฟิศของกองทุนแห่งนี้อยู่ในตึกเดียวกับดีปซีค และยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์ชิปที่ใช้ในการเทรนโมเดลเอไอ . ดีปซีคในสายตาปักกิ่ง . แวดวงนักการเมืองระดับสูงของจีนต่างรับรู้ถึงความสำเร็จของดีปซีค สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า วันจันทร์ (20) ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปิดตัวดีปซีค-อาร์1 เหลียงได้ไปเข้าร่วมการประชุมเชิงสัมมนาแบบปิด ร่วมกับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงเป็นเจ้าภาพ . การที่เหลียงได้รับเชิญในวันนั้นเป็นสัญญาณว่า ความสำเร็จของดีปซีคน่าจะมีความสำคัญต่อเป้าหมายของปักกิ่งในการเอาชนะมาตรการควบคุมการส่งออกของวอชิงตัน และหาทางประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองในอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อย่างเอไอ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009081 .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2047 มุมมอง 0 รีวิว
  • "โปรดระวังเรื่องโดนยึดทรัพย์สินในวันข้างหน้า หากอเมริกาไม่พอใจอะไรขึ้นมา!"

    ทรัมป์แนะธุรกิจทั้งหลาย หากไม่อยากเสียภาษีให้มาตั้งโรงงานผลิตบนแผ่นดินอเมริกา

    ที่การประชุม World Economic Forum ทรัมป์ยังได้ส่งสารไปยังนักธุรกิจและบริษัทชั้นนำทั่วโลก ว่าถ้าอยากจะส่งของมาขายในสหรัฐฯ ก็ให้มาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เพราะถ้าไปตั้งโรงงานที่ประเทศอื่น ผลิตของในประเทศอื่น แล้วส่งมาขายในสหรัฐฯ ก็จะต้องเจอกับกำแพงภาษที่สูงขึ้น

    ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่ม

    อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ทำงานอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับประธานาธิบดี
    "โปรดระวังเรื่องโดนยึดทรัพย์สินในวันข้างหน้า หากอเมริกาไม่พอใจอะไรขึ้นมา!" ทรัมป์แนะธุรกิจทั้งหลาย หากไม่อยากเสียภาษีให้มาตั้งโรงงานผลิตบนแผ่นดินอเมริกา ที่การประชุม World Economic Forum ทรัมป์ยังได้ส่งสารไปยังนักธุรกิจและบริษัทชั้นนำทั่วโลก ว่าถ้าอยากจะส่งของมาขายในสหรัฐฯ ก็ให้มาตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เพราะถ้าไปตั้งโรงงานที่ประเทศอื่น ผลิตของในประเทศอื่น แล้วส่งมาขายในสหรัฐฯ ก็จะต้องเจอกับกำแพงภาษที่สูงขึ้น ทรัมป์ยังได้เรียกร้องให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งในสหรัฐฯ และในต่างประเทศ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่ม อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราดอกเบี้ยนั้น ขึ้นอยู่กับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ทำงานอย่างอิสระ โดยไม่ขึ้นกับประธานาธิบดี
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 1 รีวิว
  • ดราม่าฝุ่น PM 2.5 นายกฯอยู่สวิส คนไทยรับมลพิษ
    .
    ฝุ่นพิษที่กำลังปกคลุมเมืองใหญ่ในประเทศไทยเวลานี้ที่ว่าหนาแล้วอาจจะยังไม่เท่ากับดราม่าการเมืองว่าด้วยเรื่องดังกล่าว เพราะตลอดวันที่ผ่านมาเกิดวิวาทะที่ตอบโต้กันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ภายหลังผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' ออกมาระบุว่า "ในขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังสูดอากาศดีที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเต็มปอด ระหว่างเดินทางเชิญชวนนักลงทุนเพื่อหวังให้ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศ แต่คนไทยจำนวนหลายล้านคนก็กำลังหายใจรับอากาศพิษขั้นวิกฤตรุนแรงเข้าสู่ปอด"
    .
    เพียงไม่กี่ประโยคที่ออกมา ปรากฎว่าบรรดาคนในรัฐบาลและส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบโต้หัวหน้าพรรคประชาชน อย่าง 'จิรายุ ห่วงทรัพย์' โฆษกรัฐบาล แย้งว่า "นายณัฐพงษ์เป็นผู้นำฝ่ายค้าน รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ เดินทางไปทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยในการประชุมสำคัญระดับโลก และยังใช้เวลาก่อนการประชุมเดินสายพบปะหารือกับนักธุรกิจระดับโลกเพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศไทย ก็ยังไม่วาย ผมจึงขอเรียกร้องให้นายณัฐพงษ์ต้องเรียนรู้ อยู่ให้ได้ว่าหน้าที่ของผู้นำฝ่ายค้านที่มีคุณภาพและเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองเป็นอย่างไร"
    .
    ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 8.00 น. จากเว็บไซต์ IQAir และการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษ พบว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีมลพิษฝุ่นเยอะที่สุดในโลกเป็นลำดับที่ 9 จาก 124 ประเทศ ด้าน ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ได้รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร เวลา 07.00 น. ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.)
    ..............
    Sondhi X
    ดราม่าฝุ่น PM 2.5 นายกฯอยู่สวิส คนไทยรับมลพิษ . ฝุ่นพิษที่กำลังปกคลุมเมืองใหญ่ในประเทศไทยเวลานี้ที่ว่าหนาแล้วอาจจะยังไม่เท่ากับดราม่าการเมืองว่าด้วยเรื่องดังกล่าว เพราะตลอดวันที่ผ่านมาเกิดวิวาทะที่ตอบโต้กันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ภายหลังผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' ออกมาระบุว่า "ในขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีกำลังสูดอากาศดีที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่างเต็มปอด ระหว่างเดินทางเชิญชวนนักลงทุนเพื่อหวังให้ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศ แต่คนไทยจำนวนหลายล้านคนก็กำลังหายใจรับอากาศพิษขั้นวิกฤตรุนแรงเข้าสู่ปอด" . เพียงไม่กี่ประโยคที่ออกมา ปรากฎว่าบรรดาคนในรัฐบาลและส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อตอบโต้หัวหน้าพรรคประชาชน อย่าง 'จิรายุ ห่วงทรัพย์' โฆษกรัฐบาล แย้งว่า "นายณัฐพงษ์เป็นผู้นำฝ่ายค้าน รู้ทั้งรู้ว่านายกฯ เดินทางไปทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยในการประชุมสำคัญระดับโลก และยังใช้เวลาก่อนการประชุมเดินสายพบปะหารือกับนักธุรกิจระดับโลกเพื่อเชิญชวนมาลงทุนในประเทศไทย ก็ยังไม่วาย ผมจึงขอเรียกร้องให้นายณัฐพงษ์ต้องเรียนรู้ อยู่ให้ได้ว่าหน้าที่ของผู้นำฝ่ายค้านที่มีคุณภาพและเป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองเป็นอย่างไร" . ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 8.00 น. จากเว็บไซต์ IQAir และการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษ พบว่า กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีมลพิษฝุ่นเยอะที่สุดในโลกเป็นลำดับที่ 9 จาก 124 ประเทศ ด้าน ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ได้รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในกรุงเทพมหานคร เวลา 07.00 น. ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    Wow
    Angry
    13
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1691 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19/1/68

    ภัยร้ายจากของฟรี
    ที่อาจถึงตาย

    เศษวัสดุทางการเกษตร
    นำเข้าจากจีน

    มีนักธุรกิจบางคน
    นำเข้าเห็ดหอมจากจีน
    ขณะเดียวกัน ก็ยังนำเข้าเศษเห็ดหอมที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตเข้ามาด้วย

    เศษเห็ดหอมนำเข้านี้
    จะไม่ขาย
    หากแต่จะให้ฟรีสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักในทางเกษตร

    ในโลกนี้ไม่มีของฟรี

    ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพ่อค้าจึงใจดี

    “ยอมเสียค่าขนส่ง
    ส่งวัสดุเหลือใช้ชั้นดี
    ให้ทำปุ๋ยที่เมืองไทย”

    ด้วยความสนับสนุนจากอาจารย์ที่เคารพรัก
    ก็ได้นำเศษวัสดุเห็ดหอม
    ส่งเข้าห้องแลป

    พบว่า
    มีโลหะหนัก***จำนวนมาก***

    จึงได้ถึงบางอ้อ

    ที่แท้พวกเขาเอาเศษเห็ดหอมไปซับน้ำกากของเสียอุตสาหกรรม
    ซึ่งมีโลหะหนักจำนวนมาก จากนั้นทำการอบแห้ง
    แล้วส่งออก
    เข้าประเทศไทย
    โดยให้เหตุผลแสนดีว่า

    “สนับสนุนเกษตรกรไทย”

    เท่าที่ทราบ
    ขยะอุตสาหกรรมที่นำเข้ามาจะไม่มีเฉพาะรูปแบบของเศษเห็ดหอมอย่างเดียว
    ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่เราไม่รู้

    โลหะหนักเหล่านี้
    กินเพียงเล็กน้อยก็เป็นมะเร็งได้

    ลองคิดดู
    มีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้ทันกลโกง และ
    นำเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มาทำปุ๋ย

    โลหะหนักเหล่านี้จึงแฝงเข้าไปอยู่ในเรือกสวนไร่นา
    ไหลไปตามลำธาร
    ซึมเข้าไปในตัวของสัตว์น้ำ สุดท้าย
    อาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่วงจรตลาด และถูกปรุง
    จนมาอยู่บนจานข้าวของเรา

    อะไรจะเกิดขึ้น
    เมื่อเรากินอาหารเหล่านั้น
    และ
    อะไรจะเกิดขึ้น
    หากกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น
    ยังคงไหลบ่า
    ถาโถมเข้าแผ่นดินไทย

    ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังได้แค่ไหน
    ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เรื่องอันเลวร้ายนี้ออกไปให้มากที่สุดด้วยครับ

    # กากอุตสาหกรรม #
    #โลหะหนัก#
    19/1/68 ภัยร้ายจากของฟรี ที่อาจถึงตาย เศษวัสดุทางการเกษตร นำเข้าจากจีน มีนักธุรกิจบางคน นำเข้าเห็ดหอมจากจีน ขณะเดียวกัน ก็ยังนำเข้าเศษเห็ดหอมที่เป็นวัสดุเหลือทิ้งจากการผลิตเข้ามาด้วย เศษเห็ดหอมนำเข้านี้ จะไม่ขาย หากแต่จะให้ฟรีสำหรับเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ทำปุ๋ยหมักในทางเกษตร ในโลกนี้ไม่มีของฟรี ผมสงสัยเหลือเกินว่าทำไมพ่อค้าจึงใจดี “ยอมเสียค่าขนส่ง ส่งวัสดุเหลือใช้ชั้นดี ให้ทำปุ๋ยที่เมืองไทย” ด้วยความสนับสนุนจากอาจารย์ที่เคารพรัก ก็ได้นำเศษวัสดุเห็ดหอม ส่งเข้าห้องแลป พบว่า มีโลหะหนัก***จำนวนมาก*** จึงได้ถึงบางอ้อ ที่แท้พวกเขาเอาเศษเห็ดหอมไปซับน้ำกากของเสียอุตสาหกรรม ซึ่งมีโลหะหนักจำนวนมาก จากนั้นทำการอบแห้ง แล้วส่งออก เข้าประเทศไทย โดยให้เหตุผลแสนดีว่า “สนับสนุนเกษตรกรไทย” เท่าที่ทราบ ขยะอุตสาหกรรมที่นำเข้ามาจะไม่มีเฉพาะรูปแบบของเศษเห็ดหอมอย่างเดียว ยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่เราไม่รู้ โลหะหนักเหล่านี้ กินเพียงเล็กน้อยก็เป็นมะเร็งได้ ลองคิดดู มีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้ทันกลโกง และ นำเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้มาทำปุ๋ย โลหะหนักเหล่านี้จึงแฝงเข้าไปอยู่ในเรือกสวนไร่นา ไหลไปตามลำธาร ซึมเข้าไปในตัวของสัตว์น้ำ สุดท้าย อาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่วงจรตลาด และถูกปรุง จนมาอยู่บนจานข้าวของเรา อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเรากินอาหารเหล่านั้น และ อะไรจะเกิดขึ้น หากกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น ยังคงไหลบ่า ถาโถมเข้าแผ่นดินไทย ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะดังได้แค่ไหน ขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เรื่องอันเลวร้ายนี้ออกไปให้มากที่สุดด้วยครับ # กากอุตสาหกรรม # #โลหะหนัก#
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 3000 ปี ...มีประเพณี และความเชื่อมากมาย...หลักคิดส่วนตัว..เชื่อว่า...มันต้องมี พิธีกรรม หรือประเพณีบางอย่าง...ที่กระทำแล้ว..ให้ผล ได้จริง....เพียงแค่เราไม่รู้ว่า...แบบใดบ้าง..? ...ไม่งั้น การดำรงความเป็น ชาติเดียว สืบต่อเนื่องกันมากว่า 3000 ปี และเป็น ชาติเดียวในโลก...ที่เป็นแบบนี้..คงต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ดังในหลายประเทศที่เคย เป็น อณาจักรมาก่อน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ เปอร์เซีย ..และอื่นๆ ...ย้ำ..ไม่ได้บอกว่า พิธีกรรมใด ได้ผล หรือไม่ ประการใด..เพียงแค่ เป็น #หลักคิด
    ..ถ้าต้องเลือกเชื่อ.(แม้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่).ขอเชื่อ เครดิต กว่า 3000 ปี ..ที่แม้เป็นเรื่องเล่า...กับ เครดิต ที่เกิดขึ้น "เมื่อวาน" ขอเลือกอย่างแรก.
    ..เช่นในภาพ ศาลเจ้าพ่อเสือ นักธุรกิจไทย เชื้อสายจีน เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสักการะที่นี่...ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน..นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เขาทำแล้วมีผลใช่ไหม? ถึงสืบต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น...
    ...ผู้เขียนต่อต้านสิธีคิดขิงคนไทยจำนวนไม่น้อย...ที่ละทิ้ง ความรู้ ความคิด ความเขื่อบางอย่าง....เพราะมีใครจากไหนก็ไม่รู้...มาบอกว่า .มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้...แล้วเขื่อเขาในทันที...จงคิด..ความรู้มีอยู่ทั่วไปในอากาศ...ทุกคนสืบค้นได้.
    ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 3000 ปี ...มีประเพณี และความเชื่อมากมาย...หลักคิดส่วนตัว..เชื่อว่า...มันต้องมี พิธีกรรม หรือประเพณีบางอย่าง...ที่กระทำแล้ว..ให้ผล ได้จริง....เพียงแค่เราไม่รู้ว่า...แบบใดบ้าง..? ...ไม่งั้น การดำรงความเป็น ชาติเดียว สืบต่อเนื่องกันมากว่า 3000 ปี และเป็น ชาติเดียวในโลก...ที่เป็นแบบนี้..คงต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ดังในหลายประเทศที่เคย เป็น อณาจักรมาก่อน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ เปอร์เซีย ..และอื่นๆ ...ย้ำ..ไม่ได้บอกว่า พิธีกรรมใด ได้ผล หรือไม่ ประการใด..เพียงแค่ เป็น #หลักคิด ..ถ้าต้องเลือกเชื่อ.(แม้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่).ขอเชื่อ เครดิต กว่า 3000 ปี ..ที่แม้เป็นเรื่องเล่า...กับ เครดิต ที่เกิดขึ้น "เมื่อวาน" ขอเลือกอย่างแรก. ..เช่นในภาพ ศาลเจ้าพ่อเสือ นักธุรกิจไทย เชื้อสายจีน เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสักการะที่นี่...ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน..นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เขาทำแล้วมีผลใช่ไหม? ถึงสืบต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น... ...ผู้เขียนต่อต้านสิธีคิดขิงคนไทยจำนวนไม่น้อย...ที่ละทิ้ง ความรู้ ความคิด ความเขื่อบางอย่าง....เพราะมีใครจากไหนก็ไม่รู้...มาบอกว่า .มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้...แล้วเขื่อเขาในทันที...จงคิด..ความรู้มีอยู่ทั่วไปในอากาศ...ทุกคนสืบค้นได้.
    Love
    1
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง
    ไฟไหม้ยังไม่ยุติและมีเรื่องบังเอิญงอกแปลกขึ้นเรื่อยๆคือ

    1.บังเอิญผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียรายนี้กำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวาระถัดไปในปี 2570 ก่อนเพลิงไหม้ไม่กี่วันเขาตัดงบประมาณสำหรับการดับไฟป่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไม่ต่อสัญญาการป้องกันอัคคีภัยกับบริษัทการบินดับไฟป่าแล้วโยกเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ไปทำบริการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จะได้รับการแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันและมีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนชาวอเมริกันจริงๆต้องจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพเอาเอง

    2.บังเอิญนายกเทศมนตรีลอสแองเจลิสจากพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณราว 17.6 ล้านดอลลาร์ของหน่วยดับเพลิงก่อนเกิดไฟไหม้พอดี พนักงานที่เคยมี 3,500 คนจึงถูกเลิกจ้างแทบทั้งหมด

    3.บังเอิญว่าอุปกรณ์ดับเพลิง ส่วนใหญ่ของเมืองถูกขนส่งไปให้ยูเครนตามนโยบายของรัฐบาลไบเดน ในวันเริ่มเพลิงไหม้ จึงเหลือคนงานดับเพลิงใหม่ที่ขาดประสบการณ์เพียง 109 คน รถดับเพลิง 65 คัน เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และอุปกรณ์อีกเล็กน้อย หน่วยดับเพลิง 29 แห่งของนครลอสแองเจลิส จึงร้องขอนักดับเพลิงจากเทศบาลอื่นมาช่วยเหลือและกรมราชทัณฑ์รัฐแคลิฟอร์เนียส่งนักโทษที่ถูกคุมขัง 395 คนมาช่วยดับไฟ กลุ่มคนหนุ่มสาวใช้รถมอเตอร์ไซค์พยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านแต่พวกเขาหาน้ำดับไฟไม่ได้เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด จ้างซ่อม ปล่อย
    น้ำจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียวก่อนเกิดเพลิงไหม้พอดี

    4.บังเอิญในวันเริ่มไฟไหม้ เป็นวันที่มีแรงลมเร็วถึง 160 กมต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่น มีกำหนดเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง แต่งานถูกยกเลิกเพราะต้นไม้ล้มเขาระบุว่าภัยคุกคามจากลมแรงที่ทำให้ไฟไหม้ อ้างว่าที่การดับเพลิงทำได้ล่าช้าเนื่องจากต้องตัดกระแสไฟเครื่องปั้มน้ำดับเพลิง จึงใช้งานไม่ได้ทั้งที่ปกติแล้วปั้มน้ำดับเพลิงติดตั้งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

    5.บังเอิญคฤหาสน์หรูคนดังเช่น ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายผู้นำสหรัฐชื่อกระฉ่อนถูกไฟไหม้เหลือแต่ตอ ไฟลุกลามไปที่เมืองที่ตั้งบ้านของกมลา แฮริส รองประธานาธิบดี อาโนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ดารารุ่นเดอะ และคนดังอีกมากมาย แต่คฤหาสน์ของทอม แฮงค์ ดาราคนดังรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่บ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังเกาหัว บ้านคนดังเหล่านั้นสะสมของมีค่าเช่นเครื่องประดับสินค้าสารพัดแบรนด์เนม limited ภาพวาดศิลปะ ประมูลภาพถ่ายต้นฉบับส่วนตัว และของที่สะสมมาทั้งชีวิตประเมินมูลค่าไม่ได้

    6.บังเอิญเมล กิ๊บสัน ดาราคนดังที่ไฟไหม้คฤหาสน์หรูวอดวายเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างเผ็ดร้อนมาหลายปี เรียกร้องให้ผู้นำรัฐออกมาชี้แจงว่านโยบายต่างๆที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจากสถิติย้อนหลังแต่ละปีเกิดเหตุเพลิงไหม้ในรัฐนี้เฉลี่ยกว่า 8,000 ครั้ง หัวจะปวด

    7.บังเอิญว่าก่อนเพลิงไหม้ บริษัทประกันภัยต่างต่างพากันแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ของเจ้าของคฤหาสน์หรูหลายพันหลังในพื้นที่เพลิงไหม้พอดี ทำให้ไม่ได้รับเงินชดเชยค่าสินใหมในการสร้างใหม่ คงต้องขายหรือให้เช่าที่ดินในราคาถูก

    8.บังเอิญในปี 2571 นคร ลอสแองเจลิสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก มีนักลงทุนหัวใสทำโครงการชื่อสมารท์ LA 2028 มีเป้าหมายเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นมหานครอัจฉริยะและยั่งยืน จะมีทีมนักกีฬาและผู้คนทั่วโลกมาเยือนจับจ่ายใช้สอย มีการระดมเงินทุนเครือข่ายผลประโยชน์จำนวนมากไปยังโครงการนี้ จัดการแบ่งเขตและแบ่งเค็ก การพัฒนาเมือง แม้แต่บริษัทประกันภัยต่างๆก็เอาด้วย

    9.บังเอิญกองทุน BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดการสินทรัพย์มูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 391 ล้านล้านบาท ประกาศยกเลิกโครงการจัดการสินทรัพย์เท Zero ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์เช่นการปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง การวัดปล่อยก๊าซคาร์บอนประเมินว่านักธุรกิจเงินหนา หันมาให้ความสำคัญกับผลกำไรตอบแทนจับต้องได้จากการลงทุนมากกว่า

    นามอธรรมสมมุติในจินตนาการไฟบรรลัยกันนี้คงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดขึ้นอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปูทางไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาควบคุมได้ซึ่งตรงกับช่วงไฮไลท์กีฬาโอลิมปิกจากทั่วโลกพอดีนั่นเอง

    โปรดกดไลค์กดแชร์พร้อมกดปุ่มติดตามไว้แจ้งเตือนตอนต่อไป

    World Update - ซุปเปอร์ไฟบรรลัยกัลป์ วายร้ายหักเหลี่ยมโหด
    https://youtu.be/XgX-zhUajsk?si=ZJFUMzWvCh7AmKxT

    Cr.fb.นบพ์ รตต์ฉัตร


    17/1/68 ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ไฟไหม้ยังไม่ยุติและมีเรื่องบังเอิญงอกแปลกขึ้นเรื่อยๆคือ 1.บังเอิญผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียรายนี้กำลังแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐวาระถัดไปในปี 2570 ก่อนเพลิงไหม้ไม่กี่วันเขาตัดงบประมาณสำหรับการดับไฟป่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ไม่ต่อสัญญาการป้องกันอัคคีภัยกับบริษัทการบินดับไฟป่าแล้วโยกเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ไปทำบริการดูแลสุขภาพฟรีสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จะได้รับการแปลงสัญชาติเป็นชาวอเมริกันและมีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนชาวอเมริกันจริงๆต้องจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพเอาเอง 2.บังเอิญนายกเทศมนตรีลอสแองเจลิสจากพรรคเดโมแครตตัดงบประมาณราว 17.6 ล้านดอลลาร์ของหน่วยดับเพลิงก่อนเกิดไฟไหม้พอดี พนักงานที่เคยมี 3,500 คนจึงถูกเลิกจ้างแทบทั้งหมด 3.บังเอิญว่าอุปกรณ์ดับเพลิง ส่วนใหญ่ของเมืองถูกขนส่งไปให้ยูเครนตามนโยบายของรัฐบาลไบเดน ในวันเริ่มเพลิงไหม้ จึงเหลือคนงานดับเพลิงใหม่ที่ขาดประสบการณ์เพียง 109 คน รถดับเพลิง 65 คัน เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ และอุปกรณ์อีกเล็กน้อย หน่วยดับเพลิง 29 แห่งของนครลอสแองเจลิส จึงร้องขอนักดับเพลิงจากเทศบาลอื่นมาช่วยเหลือและกรมราชทัณฑ์รัฐแคลิฟอร์เนียส่งนักโทษที่ถูกคุมขัง 395 คนมาช่วยดับไฟ กลุ่มคนหนุ่มสาวใช้รถมอเตอร์ไซค์พยายามช่วยเหลือเพื่อนบ้านแต่พวกเขาหาน้ำดับไฟไม่ได้เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด จ้างซ่อม ปล่อย น้ำจนเกลี้ยงไม่มีเหลือแม้แต่หยดเดียวก่อนเกิดเพลิงไหม้พอดี 4.บังเอิญในวันเริ่มไฟไหม้ เป็นวันที่มีแรงลมเร็วถึง 160 กมต่อชั่วโมง ประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่น มีกำหนดเปิดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ 2 แห่ง แต่งานถูกยกเลิกเพราะต้นไม้ล้มเขาระบุว่าภัยคุกคามจากลมแรงที่ทำให้ไฟไหม้ อ้างว่าที่การดับเพลิงทำได้ล่าช้าเนื่องจากต้องตัดกระแสไฟเครื่องปั้มน้ำดับเพลิง จึงใช้งานไม่ได้ทั้งที่ปกติแล้วปั้มน้ำดับเพลิงติดตั้งรถส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 5.บังเอิญคฤหาสน์หรูคนดังเช่น ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายผู้นำสหรัฐชื่อกระฉ่อนถูกไฟไหม้เหลือแต่ตอ ไฟลุกลามไปที่เมืองที่ตั้งบ้านของกมลา แฮริส รองประธานาธิบดี อาโนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ ดารารุ่นเดอะ และคนดังอีกมากมาย แต่คฤหาสน์ของทอม แฮงค์ ดาราคนดังรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่บ้านเกือบทุกหลังที่อยู่ติดกันถูกไฟไหม้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังเกาหัว บ้านคนดังเหล่านั้นสะสมของมีค่าเช่นเครื่องประดับสินค้าสารพัดแบรนด์เนม limited ภาพวาดศิลปะ ประมูลภาพถ่ายต้นฉบับส่วนตัว และของที่สะสมมาทั้งชีวิตประเมินมูลค่าไม่ได้ 6.บังเอิญเมล กิ๊บสัน ดาราคนดังที่ไฟไหม้คฤหาสน์หรูวอดวายเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างเผ็ดร้อนมาหลายปี เรียกร้องให้ผู้นำรัฐออกมาชี้แจงว่านโยบายต่างๆที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะจากสถิติย้อนหลังแต่ละปีเกิดเหตุเพลิงไหม้ในรัฐนี้เฉลี่ยกว่า 8,000 ครั้ง หัวจะปวด 7.บังเอิญว่าก่อนเพลิงไหม้ บริษัทประกันภัยต่างต่างพากันแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ของเจ้าของคฤหาสน์หรูหลายพันหลังในพื้นที่เพลิงไหม้พอดี ทำให้ไม่ได้รับเงินชดเชยค่าสินใหมในการสร้างใหม่ คงต้องขายหรือให้เช่าที่ดินในราคาถูก 8.บังเอิญในปี 2571 นคร ลอสแองเจลิสจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก มีนักลงทุนหัวใสทำโครงการชื่อสมารท์ LA 2028 มีเป้าหมายเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นมหานครอัจฉริยะและยั่งยืน จะมีทีมนักกีฬาและผู้คนทั่วโลกมาเยือนจับจ่ายใช้สอย มีการระดมเงินทุนเครือข่ายผลประโยชน์จำนวนมากไปยังโครงการนี้ จัดการแบ่งเขตและแบ่งเค็ก การพัฒนาเมือง แม้แต่บริษัทประกันภัยต่างๆก็เอาด้วย 9.บังเอิญกองทุน BlackRock ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดการสินทรัพย์มูลค่า 11.5 ล้านล้านดอลลาร์หรือกว่า 391 ล้านล้านบาท ประกาศยกเลิกโครงการจัดการสินทรัพย์เท Zero ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์เช่นการปลูกป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง การวัดปล่อยก๊าซคาร์บอนประเมินว่านักธุรกิจเงินหนา หันมาให้ความสำคัญกับผลกำไรตอบแทนจับต้องได้จากการลงทุนมากกว่า นามอธรรมสมมุติในจินตนาการไฟบรรลัยกันนี้คงไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติอย่างเดียว แต่ยังถูกกำหนดขึ้นอย่างมีกลยุทธ์เพื่อปูทางไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ที่พวกเขาควบคุมได้ซึ่งตรงกับช่วงไฮไลท์กีฬาโอลิมปิกจากทั่วโลกพอดีนั่นเอง โปรดกดไลค์กดแชร์พร้อมกดปุ่มติดตามไว้แจ้งเตือนตอนต่อไป World Update - ซุปเปอร์ไฟบรรลัยกัลป์ วายร้ายหักเหลี่ยมโหด https://youtu.be/XgX-zhUajsk?si=ZJFUMzWvCh7AmKxT Cr.fb.นบพ์ รตต์ฉัตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 798 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 610 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในกลุ่มเช่นเลขศาสตร์ บอก เลข 0 เป็นเลข เสีย ห้ามมี...เลขในภาพ เป็นของนักธุรกิจให้ญ่ระดับประเทศ ที่ผู้เขียนสนิทสนม...ชีวิตแกก็มั่งมีดี.. แต่กำลังของเลข..แนวๆ ปิดบังซ่อนเร้น ลึกลับซับซ้อน..จะมีมากหน่อย...แค่เรื่อง เงินทอง ไม่ขัดสน และมีมากๆ ด้วย... ฉะนั้น อย่าไปเชื่อต่อๆกัน ที่เขาว่า ไม่ดี โน่นนี่ หรือ ดี ก็ตาม...คุณ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง..ความรู้มีในอากาศ ...แค่คุณเลือกที่รับ...อันดับแรก ดู ผู้ส่ง ก่อน..
    ในกลุ่มเช่นเลขศาสตร์ บอก เลข 0 เป็นเลข เสีย ห้ามมี...เลขในภาพ เป็นของนักธุรกิจให้ญ่ระดับประเทศ ที่ผู้เขียนสนิทสนม...ชีวิตแกก็มั่งมีดี.. แต่กำลังของเลข..แนวๆ ปิดบังซ่อนเร้น ลึกลับซับซ้อน..จะมีมากหน่อย...แค่เรื่อง เงินทอง ไม่ขัดสน และมีมากๆ ด้วย... ฉะนั้น อย่าไปเชื่อต่อๆกัน ที่เขาว่า ไม่ดี โน่นนี่ หรือ ดี ก็ตาม...คุณ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง..ความรู้มีในอากาศ ...แค่คุณเลือกที่รับ...อันดับแรก ดู ผู้ส่ง ก่อน..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts