• นิทานเรื่องจริง เรื่อง "แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    บทส่งท้าย

    สาธยายปัจจัยสำคัญของทั้ง 2 ฝ่ายไปเรียบร้อย ฝ่ายรัสเซียดูจะมีความได้เปรียบอยู่หลายปัจจัย แต่ปัจจัยตัดสิน น่าจะเป็นเรื่องอาวุธ แต่ก่อนจะลงความเห็น ย้อนมาดูเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะให้เห็นภาพการเปิดฉากสงครามชัดเจนขึ้น คือความพร้อมที่จะทำสงครามของแต่ละฝ่าย

    น่าสนใจว่า อเมริกานั่นแหละ ที่มีเป้าหมายที่จะเป็นฝ่ายชิงโลกใบนี้มาเป็นของตน และเตะฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่พวกตน หรือขัดขวางความเป็นใหญ่ของอเมริกา ให้หลุดพ้นไปจากเส้นทางชิงโลกด้วยวิธีการต่างๆ ที่ดำเนินมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างที่วิเคราะห์มาแต่ต้น แต่อเมริกาเป็นประเทศที่เดินแผน ตามเป้าหมาย อย่างมีขั้นตอนเสมอ แต่ขณะนี้ดูเหมือนจะเดินแผนผิด จนความพร้อม ดูจะกระพร่องกระแพร่งพิกลอยู่

    ช่วงตั้งแต่ รัฐบาลคาวบอยพ่อลูกเป็นต้นมา อเมริกามีนโยบายบุกมาตลอด และจัดสรรงบประมาณด้านกองทัพและอาวุธ เป็นจำนวนสูงอันดับแรกมาตลอด พร้อมกับการกระจาย กองกำลังและฐานทัพไปอยู่แทบจะทั้งโลก โดยเฉพาะที่ตะวันออกกลาง เพื่อชิงน้ำมัน รวมทั้งที่ยุโรปและแอตแลนติก เพื่อ เฝ้ารัสเซียไว้

    แต่พอมาถึงรัฐบาลโอบามา อเมริกาเริ่มรู้สึกฝืดคอ กลืนน้ำลายไม่สดวก จาก การโตเร็ว อ้วนท้วนสมบูรณ์ของจีน ประมาณปี คศ 2011 รัฐบาลโอมามา จึงประกาศปรับยุทธศาสตร์ใหม่ เรียกว่า Strategic Pivot เปลี่ยนทิศ มุ่งหน้ามาทางแปซิฟิกแทน ให้คุณนายคลินตันเดินสายเสียโทรม เพื่อจะบอกกับลูกหาบแถวเอเซียว่า เรามาแล้ว เราไม่ได้หายไปไหน เราจะอยู่ตรงนี้แหละ ตรง Asia Pacific นี้แหละ พร้อมกับรื้อฟื้น ปัดฝุ่น ฐานทัพของตัวที่ปล่อยทิ้งๆข้วางไว้ เช่นที่ฟิลิปปีนส์ หรือ เตรียมสร้างใหม่ที่เวียตนาม แม้กระทั่งไทยแลนด์แดนสมันน้อย ยังถูกจับเซ็นสัญญามัดสองทบเอาไว้อีกด้วย

    ขณะเดียวกันก็ประกาศ จะปรับน้ำหนักกองกำลังนอกประเทศ ที่วางไว้ 50:50 ระหว่าง แอตแลนติก กับแปซิฟิก เป็น 40:60 แทน รวมทั้งมีแผนจะ เปลี่ยนรูปแบบฐานทัพ ให้มีความคล่องตัว เป็นแบบกบกระโดดบนใบบัว Lily Pad. ทั้งหมดเพื่อ การควบคุมทะเลจีนใต้ เส้นทางขนส่งน้ำมันของจีน เป้าหมายของอเมริกา น่าจะเล็งไปที่จีนในช่วงนั้น (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่องยุทธการกบกระโดด)

    ดูเหมือนอเมริกา จะเดินหมากผิดตั้งแต่ตอนนั้น จะเป็นเพราะถูกหมากลวง ของอีกฝ่าย หรือฝีมืออ่านหมาก ของทีมนายโอบามาออกอ่าวเสียแล้วก็เป็นได้

    แค่นั้น คงยังออกอ่าวไกลไม่พอ ต้นปี ค.ศ. 2014 อเมริกาออกข่าวเพิ่มว่า มีแผนที่จะปรับปรุงกองกำลังของตนเอง ตามนโยบาย ที่อเมริกาเรียกว่า Right Sizing ขนาดกำลังเหมาะ เหมาะกับอะไร เหมาะกับเศรษฐกิจที่ กำลังเป็นลูกผีลูกคนของตนนั่นแหละ พร้อมกับมีแผนที่จะลดกองกำลังของตน ที่ไปทิ้งไว้ทั่วในต่างประเทศให้เล็กลง โดยเฉพาะที่อาฟกานิสถาน ถึงได้เอานาย Chuck Hagel มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม เพื่อคุมการถอนกำลังจากอาฟกานิสถาน โดยไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา

    แบบนี้ ฝ่ายรัสเซียน่าจะเห็นทางเดินหมาก ช่องโหว่ โป๊โล่งโจ้งของอเมริกา และใช้โอกาสนี้เดินหมากรุกเข้าไป ยึด Crimea ทันที เพื่อเป็นการป้องกันตัว จึงเหมือนเปลี่ยนจากเป็นฝ่ายรับ มารุกแทน และอเมริกา นักล่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ท้าชิงในสงครามชิงโลก ก็กลายเป็นฝ่ายรับ ในเกมที่ตนเองสร้างขึ้น...

    หากฝ่ายรัสเซีย ซึ่งคงจะผลัดกันออกฉากกับจีน เดินหน้าเล่นเกมลักษณะนี้ต่อไป น่าจะแปลได้ว่า ฝ่ายนี้พร้อมแล้ว พร้อมเล่นเกมทุกรูปแบบ

    แล้วอเมริกาล่ะพร้อมแบบไหน จะเล่นแบบเป็นฝ่ายรับต่อ หรือปรับกระบวนท่าใหม่ ปรับทันใหม่ ลูกพี่ ลูกหาบถามมา

    การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม เป็นการเปลี่ยน หรือ ปลด นายChuck Hagel กลางอากาศก็ตาม น่าจะแปลได้ว่า อเมริการู้แล้วว่า ตนเองเดินหมากด้านความมั่นคง ผิด มาอย่างน้อย 3 ปีแล้ว และขณะนี้ เหมือนจะตกเป็นฝ่ายรับ และกำลังรีบแก้เกมอยู่ อีโบลา ISIS ล้วนเป็นการเอาออกมาแสดงสลับฉาก เบนความสนใจของโลก จากการที่อเมริกา กำลังเสียเชิงรัสเซียทั้งสิ้น ความรุนแรงต่างๆ อาจถูกสร้างให้เกิดขึ้น ในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก เป็นการเบนเป้าหมายต่อไป จนกว่า อเมริกาจะหาเข็มทิศเจอ และกลับเข้ามาเดินหมาก แบบรุกคืบในกระดานได้ใหม่

    สรุปว่า ในด้านความพร้อมรบ อเมริกาน่าจะยังไม่พร้อมเข้าฉากทำสงคราม คงตีกรรเชียง วนสักพักกว่าจะตั้งตัวติด และไม่ว่าจะเป็นการเข้าฉากสงครามจริงตอนไหน อเมริกาจะเล่นอาวุธหนักและแรง และเราอาจจะได้เห็นสงครามนิวเคลียร์ของจริง

    จากนี้ไป น่าจะมีความเคลื่อนไหวของหมากในกระดานเกมชิงโลก เริ่มทยอยเกิดขึ้น และหากการเคลื่อนไหว มีทีท่าเป็นการยกระดับความเข้มข้น ก็ชัดเจนว่า ฉากสงครามชิงโลกเริ่มแสดงแล้ว โปรดติดตามดูกัน

    ดินแดนส่วนที่มี โอกาสจะได้เห็นการขยับหมาก จากคู่ชิงและพวกทั้งสองฝ่าย ไล่มาตั้งแต่ สวีเดน โปแลนด์ ยูเครน ตุรกี เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน อาฟกานิสถาน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น คิวบา และอาจจะที่อเมริกาเอง ....

    มีโอกาสจะมาเล่าต่อครับว่า เริ่มที่ไหน เพราะอะไร และผลกระทบจะเป็นอย่างไร ระหว่างนี้เป็นช่วงติดตามดู

    อย่าลืมนะครับ โลกใบนี้ก็ของเราทุกคนเหมือนกัน มีสิทธิยืนบนโลกนี้เท่ากันด้วยเท้า 2 ข้างของเรา เท่ากันทุกคน ใจคอจะไม่ให้ความสนใจติดตามกันเลยหรือ ว่าเท้าของเราจะยังมีที่เหลือให้ยืนอยู่อีกหรือเปล่า และเหลือแบบไหน !!!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 ธค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง "แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” บทส่งท้าย สาธยายปัจจัยสำคัญของทั้ง 2 ฝ่ายไปเรียบร้อย ฝ่ายรัสเซียดูจะมีความได้เปรียบอยู่หลายปัจจัย แต่ปัจจัยตัดสิน น่าจะเป็นเรื่องอาวุธ แต่ก่อนจะลงความเห็น ย้อนมาดูเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะให้เห็นภาพการเปิดฉากสงครามชัดเจนขึ้น คือความพร้อมที่จะทำสงครามของแต่ละฝ่าย น่าสนใจว่า อเมริกานั่นแหละ ที่มีเป้าหมายที่จะเป็นฝ่ายชิงโลกใบนี้มาเป็นของตน และเตะฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่พวกตน หรือขัดขวางความเป็นใหญ่ของอเมริกา ให้หลุดพ้นไปจากเส้นทางชิงโลกด้วยวิธีการต่างๆ ที่ดำเนินมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างที่วิเคราะห์มาแต่ต้น แต่อเมริกาเป็นประเทศที่เดินแผน ตามเป้าหมาย อย่างมีขั้นตอนเสมอ แต่ขณะนี้ดูเหมือนจะเดินแผนผิด จนความพร้อม ดูจะกระพร่องกระแพร่งพิกลอยู่ ช่วงตั้งแต่ รัฐบาลคาวบอยพ่อลูกเป็นต้นมา อเมริกามีนโยบายบุกมาตลอด และจัดสรรงบประมาณด้านกองทัพและอาวุธ เป็นจำนวนสูงอันดับแรกมาตลอด พร้อมกับการกระจาย กองกำลังและฐานทัพไปอยู่แทบจะทั้งโลก โดยเฉพาะที่ตะวันออกกลาง เพื่อชิงน้ำมัน รวมทั้งที่ยุโรปและแอตแลนติก เพื่อ เฝ้ารัสเซียไว้ แต่พอมาถึงรัฐบาลโอบามา อเมริกาเริ่มรู้สึกฝืดคอ กลืนน้ำลายไม่สดวก จาก การโตเร็ว อ้วนท้วนสมบูรณ์ของจีน ประมาณปี คศ 2011 รัฐบาลโอมามา จึงประกาศปรับยุทธศาสตร์ใหม่ เรียกว่า Strategic Pivot เปลี่ยนทิศ มุ่งหน้ามาทางแปซิฟิกแทน ให้คุณนายคลินตันเดินสายเสียโทรม เพื่อจะบอกกับลูกหาบแถวเอเซียว่า เรามาแล้ว เราไม่ได้หายไปไหน เราจะอยู่ตรงนี้แหละ ตรง Asia Pacific นี้แหละ พร้อมกับรื้อฟื้น ปัดฝุ่น ฐานทัพของตัวที่ปล่อยทิ้งๆข้วางไว้ เช่นที่ฟิลิปปีนส์ หรือ เตรียมสร้างใหม่ที่เวียตนาม แม้กระทั่งไทยแลนด์แดนสมันน้อย ยังถูกจับเซ็นสัญญามัดสองทบเอาไว้อีกด้วย ขณะเดียวกันก็ประกาศ จะปรับน้ำหนักกองกำลังนอกประเทศ ที่วางไว้ 50:50 ระหว่าง แอตแลนติก กับแปซิฟิก เป็น 40:60 แทน รวมทั้งมีแผนจะ เปลี่ยนรูปแบบฐานทัพ ให้มีความคล่องตัว เป็นแบบกบกระโดดบนใบบัว Lily Pad. ทั้งหมดเพื่อ การควบคุมทะเลจีนใต้ เส้นทางขนส่งน้ำมันของจีน เป้าหมายของอเมริกา น่าจะเล็งไปที่จีนในช่วงนั้น (รายละเอียดอยู่ในนิทาน เรื่องยุทธการกบกระโดด) ดูเหมือนอเมริกา จะเดินหมากผิดตั้งแต่ตอนนั้น จะเป็นเพราะถูกหมากลวง ของอีกฝ่าย หรือฝีมืออ่านหมาก ของทีมนายโอบามาออกอ่าวเสียแล้วก็เป็นได้ แค่นั้น คงยังออกอ่าวไกลไม่พอ ต้นปี ค.ศ. 2014 อเมริกาออกข่าวเพิ่มว่า มีแผนที่จะปรับปรุงกองกำลังของตนเอง ตามนโยบาย ที่อเมริกาเรียกว่า Right Sizing ขนาดกำลังเหมาะ เหมาะกับอะไร เหมาะกับเศรษฐกิจที่ กำลังเป็นลูกผีลูกคนของตนนั่นแหละ พร้อมกับมีแผนที่จะลดกองกำลังของตน ที่ไปทิ้งไว้ทั่วในต่างประเทศให้เล็กลง โดยเฉพาะที่อาฟกานิสถาน ถึงได้เอานาย Chuck Hagel มาเป็นรัฐมนตรีกลาโหม เพื่อคุมการถอนกำลังจากอาฟกานิสถาน โดยไม่ให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา แบบนี้ ฝ่ายรัสเซียน่าจะเห็นทางเดินหมาก ช่องโหว่ โป๊โล่งโจ้งของอเมริกา และใช้โอกาสนี้เดินหมากรุกเข้าไป ยึด Crimea ทันที เพื่อเป็นการป้องกันตัว จึงเหมือนเปลี่ยนจากเป็นฝ่ายรับ มารุกแทน และอเมริกา นักล่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ท้าชิงในสงครามชิงโลก ก็กลายเป็นฝ่ายรับ ในเกมที่ตนเองสร้างขึ้น... หากฝ่ายรัสเซีย ซึ่งคงจะผลัดกันออกฉากกับจีน เดินหน้าเล่นเกมลักษณะนี้ต่อไป น่าจะแปลได้ว่า ฝ่ายนี้พร้อมแล้ว พร้อมเล่นเกมทุกรูปแบบ แล้วอเมริกาล่ะพร้อมแบบไหน จะเล่นแบบเป็นฝ่ายรับต่อ หรือปรับกระบวนท่าใหม่ ปรับทันใหม่ ลูกพี่ ลูกหาบถามมา การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกลาโหม เป็นการเปลี่ยน หรือ ปลด นายChuck Hagel กลางอากาศก็ตาม น่าจะแปลได้ว่า อเมริการู้แล้วว่า ตนเองเดินหมากด้านความมั่นคง ผิด มาอย่างน้อย 3 ปีแล้ว และขณะนี้ เหมือนจะตกเป็นฝ่ายรับ และกำลังรีบแก้เกมอยู่ อีโบลา ISIS ล้วนเป็นการเอาออกมาแสดงสลับฉาก เบนความสนใจของโลก จากการที่อเมริกา กำลังเสียเชิงรัสเซียทั้งสิ้น ความรุนแรงต่างๆ อาจถูกสร้างให้เกิดขึ้น ในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก เป็นการเบนเป้าหมายต่อไป จนกว่า อเมริกาจะหาเข็มทิศเจอ และกลับเข้ามาเดินหมาก แบบรุกคืบในกระดานได้ใหม่ สรุปว่า ในด้านความพร้อมรบ อเมริกาน่าจะยังไม่พร้อมเข้าฉากทำสงคราม คงตีกรรเชียง วนสักพักกว่าจะตั้งตัวติด และไม่ว่าจะเป็นการเข้าฉากสงครามจริงตอนไหน อเมริกาจะเล่นอาวุธหนักและแรง และเราอาจจะได้เห็นสงครามนิวเคลียร์ของจริง จากนี้ไป น่าจะมีความเคลื่อนไหวของหมากในกระดานเกมชิงโลก เริ่มทยอยเกิดขึ้น และหากการเคลื่อนไหว มีทีท่าเป็นการยกระดับความเข้มข้น ก็ชัดเจนว่า ฉากสงครามชิงโลกเริ่มแสดงแล้ว โปรดติดตามดูกัน ดินแดนส่วนที่มี โอกาสจะได้เห็นการขยับหมาก จากคู่ชิงและพวกทั้งสองฝ่าย ไล่มาตั้งแต่ สวีเดน โปแลนด์ ยูเครน ตุรกี เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน อาฟกานิสถาน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น คิวบา และอาจจะที่อเมริกาเอง .... มีโอกาสจะมาเล่าต่อครับว่า เริ่มที่ไหน เพราะอะไร และผลกระทบจะเป็นอย่างไร ระหว่างนี้เป็นช่วงติดตามดู อย่าลืมนะครับ โลกใบนี้ก็ของเราทุกคนเหมือนกัน มีสิทธิยืนบนโลกนี้เท่ากันด้วยเท้า 2 ข้างของเรา เท่ากันทุกคน ใจคอจะไม่ให้ความสนใจติดตามกันเลยหรือ ว่าเท้าของเราจะยังมีที่เหลือให้ยืนอยู่อีกหรือเปล่า และเหลือแบบไหน !!! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 7 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 12
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 12

    ปัจจัยสุดท้าย ที่จะตามประเมินกันคือ เรื่องกองกำลัง ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ

    สำหรับกองกำลังในระบบ เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เนื่องจากความแตกต่างทางข้อมูลของของแต่ละแหล่งที่มา ซึ่งแน่นอน มีทั้งการซ่อนตัวเลขไม่ให้อีกฝ่ายรู้ความจริง หรือแต่งให้ดูดีกว่าเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยัน ตัวเลขที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้ ผมได้มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเวบด้านทหาร และข้อมูลที่มีผู้รู้ทางด้านนี้ส่งมาให้ ผมใช้ตัวเลขที่ประเมินจากทุกแหล่งข้อมูลที่ได้ มาเปรียบเทียบ และ ประมาณความเป็นไปได้นะครับ

    ฝ่ายอเมริกา 5 อันดับแรก

    – อเมริกา มีประมาณ 2.2 ล้านนาย
    – เกาหลีใต้ มีประมาณ 1 ล้านนาย
    – อังกฤษ มีประมาณ 4 แสนนาย
    – ฝรั่งเศษ มีประมาณ 4 แสนนาย
    – ออสเตรเลีย มีประมาณ 3.5 แสนนาย
    – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย
    รวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านนาย

    ส่วนกองกำลังในระบบ ของฝ่ายรัสเซีย 5 อันดับแรก

    – จีน มีประมาณ 4.3 ล้านนาย
    – รัสเซีย มีประมาณ 3.2 ล้านนาย
    – อินเดีย มีประมาณ 3.4 ล้านนาย
    – เกาหลีเหนือ มีประมาณ 2 ล้านนาย
    – อิหร่าน มีประมาณ 3 ล้านนาย
    – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย
    รวมทั้งหมดประมาณ 18 ล้านนาย

    สรุป กองกำลังในระบบ หรือประจำกองทัพ ระหว่างฝ่ายอเมริกากับฝ่ายรัสเซีย อัตราส่วนประมาณ 1: 2.5 ฝ่ายรัสเซียมีมากกว่าฝ่ายอเมริกากว่าเท่าครึ่ง

    คงพอเห็นแล้วว่า มีจำนวนพันธมิตรมาก ก็เรื่องหนึ่ง แต่เวลาทำสงคราม จำนวนนักรบ อาจสำคัญกว่าเพื่อนที่เป็นภาระรุงรังนะครับ

    เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังนั้น อเมริกาเลิกระบบทหารเกณฑ์ไปแล้ว มีแต่ทหารสมัคร ขณะที่รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ยังมีระบบทหารเกณฑ์ตามกฏหมายอยู่ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 ประเทศ สามารถเรียกทหารสำรอง และทหารเกณฑ์ได้อีกหลายสิบล้านนาย

    ยังมีตัวแปรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ ที่ผมไม่ได้ใส่ไป 2 ประเทศ คือ บราซิล และตุรกี บราซิล นั้น อยู่ระหว่างจะเป็นกลาง หรือเข้ากับฝ่ายรัสเซีย มีกองกำลังประมาณ 4 แสนคน ส่วนตุรกีนั้น ด้วยความเป็นนก 2 หัว ชอบเล่นเกมเสียว ตุรกียังเล่นเสียวต่อ ไม่ตัดสินใจ มีกองกำลังประมาณ 6 แสนคน

    สำหรับไทยแลนด์ แดนสมันน้อยนั้น ผมไม่ได้เอามาใส่อยู่ฝ่ายใดเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความลึกซึ้งยาวไกลในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำได้ ไม่แตะดีกว่าครับ ได้แต่แอบหวังว่า พระสยามเทวาธิราชท่านคงดลใจให้ไปถูกทาง เพื่อให้สมันน้อยรอดพ้นจากอันตราย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 12 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 12 ปัจจัยสุดท้าย ที่จะตามประเมินกันคือ เรื่องกองกำลัง ซึ่งมีทั้งในระบบและนอกระบบ สำหรับกองกำลังในระบบ เป็นเรื่องที่ประเมินยาก เนื่องจากความแตกต่างทางข้อมูลของของแต่ละแหล่งที่มา ซึ่งแน่นอน มีทั้งการซ่อนตัวเลขไม่ให้อีกฝ่ายรู้ความจริง หรือแต่งให้ดูดีกว่าเป็นจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากจะยืนยัน ตัวเลขที่จะนำมาแสดงต่อไปนี้ ผมได้มาจากหลายแหล่ง มีทั้งเวบด้านทหาร และข้อมูลที่มีผู้รู้ทางด้านนี้ส่งมาให้ ผมใช้ตัวเลขที่ประเมินจากทุกแหล่งข้อมูลที่ได้ มาเปรียบเทียบ และ ประมาณความเป็นไปได้นะครับ ฝ่ายอเมริกา 5 อันดับแรก – อเมริกา มีประมาณ 2.2 ล้านนาย – เกาหลีใต้ มีประมาณ 1 ล้านนาย – อังกฤษ มีประมาณ 4 แสนนาย – ฝรั่งเศษ มีประมาณ 4 แสนนาย – ออสเตรเลีย มีประมาณ 3.5 แสนนาย – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย รวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านนาย ส่วนกองกำลังในระบบ ของฝ่ายรัสเซีย 5 อันดับแรก – จีน มีประมาณ 4.3 ล้านนาย – รัสเซีย มีประมาณ 3.2 ล้านนาย – อินเดีย มีประมาณ 3.4 ล้านนาย – เกาหลีเหนือ มีประมาณ 2 ล้านนาย – อิหร่าน มีประมาณ 3 ล้านนาย – ที่เหลือรวมๆกันของพันธมิตร มีประมาณ 2 ล้านนาย รวมทั้งหมดประมาณ 18 ล้านนาย สรุป กองกำลังในระบบ หรือประจำกองทัพ ระหว่างฝ่ายอเมริกากับฝ่ายรัสเซีย อัตราส่วนประมาณ 1: 2.5 ฝ่ายรัสเซียมีมากกว่าฝ่ายอเมริกากว่าเท่าครึ่ง คงพอเห็นแล้วว่า มีจำนวนพันธมิตรมาก ก็เรื่องหนึ่ง แต่เวลาทำสงคราม จำนวนนักรบ อาจสำคัญกว่าเพื่อนที่เป็นภาระรุงรังนะครับ เกี่ยวกับเรื่องกองกำลังนั้น อเมริกาเลิกระบบทหารเกณฑ์ไปแล้ว มีแต่ทหารสมัคร ขณะที่รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และ อิหร่าน ยังมีระบบทหารเกณฑ์ตามกฏหมายอยู่ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 4 ประเทศ สามารถเรียกทหารสำรอง และทหารเกณฑ์ได้อีกหลายสิบล้านนาย ยังมีตัวแปรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ ที่ผมไม่ได้ใส่ไป 2 ประเทศ คือ บราซิล และตุรกี บราซิล นั้น อยู่ระหว่างจะเป็นกลาง หรือเข้ากับฝ่ายรัสเซีย มีกองกำลังประมาณ 4 แสนคน ส่วนตุรกีนั้น ด้วยความเป็นนก 2 หัว ชอบเล่นเกมเสียว ตุรกียังเล่นเสียวต่อ ไม่ตัดสินใจ มีกองกำลังประมาณ 6 แสนคน สำหรับไทยแลนด์ แดนสมันน้อยนั้น ผมไม่ได้เอามาใส่อยู่ฝ่ายใดเลย เพราะไม่สามารถคาดเดาความลึกซึ้งยาวไกลในวิสัยทัศน์ของท่านผู้นำได้ ไม่แตะดีกว่าครับ ได้แต่แอบหวังว่า พระสยามเทวาธิราชท่านคงดลใจให้ไปถูกทาง เพื่อให้สมันน้อยรอดพ้นจากอันตราย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 78 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 9
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 9

    ลองมาไล่เรียงดูพันธมิตรของแต่ละฝ่าย ว่ามีใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหนกันบ้าง

    ฝ่ายอเมริกา
    – กลุ่ม Anglo Saxon นำโดย อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา
    – กลุ่มตะวันออกกลาง นำโดย พวกเสี่ยน้ำมันค่ายซาอุดิอารเบีย มี ซาอุดิ อารเบีย, อาหรับอามิเรต, บาห์เรน, คูเวต, การ์ต้า, จอร์แดน , อิรัก (น่าสงสัย) และ ตุรกี (ซึ่งแม้จะอยู่นอกกลุ่มพวกเสี่ย แต่ก็ถือว่าเป็นลูกหาบอเมริกา แต่ระยะหลังพฤติกรรมน่าสงสัย) และอิสราเอลตัวแสบ
    – กลุ่มยุโรป หมดทั้งทวีป รักกันมากน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง มี NATOเป็นผู้คุมฝูง
    – กลุ่มเอเซีย มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียตนาม ลาว เขมร พม่า (น่าสงสัย) ปากีสถาน อาฟกานิสถาน
    – กลุ่มอาฟริกา มี อิยิปต์เป็นตัวหลัก
    – กลุ่มลาตินอเมริกา ยังมองไม่เห็นตัวหลัก

    ฝ่ายรัสเซีย
    – กลุ่มเอเซีย มี จีน เกาหลีเหนือ อินเดีย พม่า และกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Co-Operation)
    – กลุ่มยุโรป ที่เปิดเผยยังไม่มี
    – กลุ่มตะวันออกกลาง มีอิหร่าน ซีเรีย และเลบานอน
    – กลุ่มอาฟริกา ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว
    – กลุ่มลาติน มีบราซิล และคิวบา

    เห็นได้ชัดว่าในด้านปริมาณ ฝ่ายอเมริกามีมากกว่าฝ่ายรัสเซีย จนฝ่ายรัสเซียน่าจะถอดใจ แต่ถ้าลองมาไล่เรียงด้านศักยภาพของเหล่าพันธมิตรของแต่ละฝ่ายดูบ้าง ว่าใครเป็นมวยประเภทไม้ประดับ หรือใครเป็นมวยประเภทหมัดหนักแบบท่อนซุง

    ฝ่ายอเมริกา

    หมัดหนักที่สุดคืออิสราเอล มีความพร้อมทั้งด้านกองกำลังอาวุธ ส่วนหมัดรองมี ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฝรั่งเศษ สวีเดน และซาอุดิ ที่มีกองกำลังใกล้เคียงกัน และอาวุธไม่น้อยหน้ากัน ส่วนแถบเอเซีย ที่พอใช้การได้มี เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม และญี่ปุ่น แต่เป็นพวกหมัดเบา

    สรุปพันธมิตรที่อเมริกาจะพึ่งได้จริงๆมี 9 ประเทศ เป็นรุ่นหมัดหนักแค่ 1 เดียว !

    ฝ่ายรัสเซีย
    รุ่นใหญ่หมัดหนักมีเพียบ คือ จีน อินเดีย บราซิล เกาหลีเหนือ (แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่แรงและเผ็ดจัด) อิหร่าน เลบานอน และม้ามืดคือคิวบา
    รุ่นกลางมีซีเรีย (และอาจจะพ่วงเอาตุรกีและอิรัก เข้ามาด้วย ต้องดูอีกสักระยะหนึ่ง) และพม่า มี 9 ประเทศเท่ากัน เป็นรุ่นหมัดหนักเสีย 7 ประเทศ !

    สำหรับเลบานอน เป็นหมากสำคัญอีกตัวหนึ่ง หลายท่านอาจจะไม่รู้ จากการที่เลบานอน เป็นเจ้าของกองกำลัง Hezbollah ซึ่ง มีศักยภาพสูง และมีวินัยสูงครอบครองบริเวณที่สามารถก่อการอันตรายให้กับอิสราเอลอย่างยิ่ง ทำให้เลบานอนเป็นประเทศที่อเมริกาพยายามซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ต้องทำลาย ขณะเดียวกัน อิหร่านก็ทุ่มสุดตัวเช่นเดียวกัน ในการส่งเสียเลี้ยงดูพวก Hezbollah ดังนั้น ถ้าเลบานอนสามารถทำให้อิสราเอลเหนื่อยได้ อเมริกาก็เซได้

    สรุป เรื่องพันธมิตร

    ฝ่ายอเมริกา แม้จะมีจำนวนมากกว่า ดูเผินๆ ฟังแต่ข่าวย้อมสี มันน่าคึกคัก ว่าโลกทั้งใบอยู่ฝ่ายอเมริกาทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกที่จำเป็นจะต้องอยู่กับอเมริกา เพราะมีเชือกผูกหรือถูกต้อนเข้าคอกไม่น้อย แบบนี้เวลาจะไปรบน่ะ ถามจริงๆ เขาจะไปตายแทนให้หรือ แถมจะเป็นภาระให้อเมริกาต้องมาดูแล เพราะกองกำลังของตัวเองก็มีไม่พอแม้จะดูแลตัวเอง จะเอาที่ไหนไปช่วยลูกพี่ มีแต่กำลังปาก ถึงตอนเข้าฉากรบจริง อเมริกาอาจบอกตัวใครตัวมันนะพวก

    ส่วน ฝ่ายรัสเซีย เห็นแล้วเหมือนจำนวนน้อยจนน่าใจหาย แต่ดูศักยภาพแล้ว ไม่น่าต้องอธิบายมาก เป็นพวกถูกอเมริกาไล่บี้ เสียจนแทบไม่มีที่ยืนแทบทั้งนั้น ตั้งแต่ตัวหัวหน้าเอง แบบนี้มีอะไรจะต้องเสีย ไม่รบต่างหาก อาจจะเสียจนไม่มีที่ยืน แล้วการรบด้วยความคับแค้น ความฮึด และความอึด มันเป็นอย่างไร นึกถึงภาพเด็กแสบเกาหลีกับอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ ก็น่าจะพอเห็นภาพกันออก ไม่ต้องบรรยายมากนะครับ

    ตกลงฝ่ายอเมริกา ที่ว่าพวกมาก เกรงจะเป็นประเภทพวกมาก ลากลงเหวเสียมากกว่า แบบนี้ ฝ่ายรัสเซีย กลุ่มเล็กแต่เหนียวและหนัก น่าจะดีกว่า

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    4 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 9 ลองมาไล่เรียงดูพันธมิตรของแต่ละฝ่าย ว่ามีใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหนกันบ้าง ฝ่ายอเมริกา – กลุ่ม Anglo Saxon นำโดย อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา – กลุ่มตะวันออกกลาง นำโดย พวกเสี่ยน้ำมันค่ายซาอุดิอารเบีย มี ซาอุดิ อารเบีย, อาหรับอามิเรต, บาห์เรน, คูเวต, การ์ต้า, จอร์แดน , อิรัก (น่าสงสัย) และ ตุรกี (ซึ่งแม้จะอยู่นอกกลุ่มพวกเสี่ย แต่ก็ถือว่าเป็นลูกหาบอเมริกา แต่ระยะหลังพฤติกรรมน่าสงสัย) และอิสราเอลตัวแสบ – กลุ่มยุโรป หมดทั้งทวีป รักกันมากน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง มี NATOเป็นผู้คุมฝูง – กลุ่มเอเซีย มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เวียตนาม ลาว เขมร พม่า (น่าสงสัย) ปากีสถาน อาฟกานิสถาน – กลุ่มอาฟริกา มี อิยิปต์เป็นตัวหลัก – กลุ่มลาตินอเมริกา ยังมองไม่เห็นตัวหลัก ฝ่ายรัสเซีย – กลุ่มเอเซีย มี จีน เกาหลีเหนือ อินเดีย พม่า และกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Co-Operation) – กลุ่มยุโรป ที่เปิดเผยยังไม่มี – กลุ่มตะวันออกกลาง มีอิหร่าน ซีเรีย และเลบานอน – กลุ่มอาฟริกา ยังไม่ยอมเปิดเผยตัว – กลุ่มลาติน มีบราซิล และคิวบา เห็นได้ชัดว่าในด้านปริมาณ ฝ่ายอเมริกามีมากกว่าฝ่ายรัสเซีย จนฝ่ายรัสเซียน่าจะถอดใจ แต่ถ้าลองมาไล่เรียงด้านศักยภาพของเหล่าพันธมิตรของแต่ละฝ่ายดูบ้าง ว่าใครเป็นมวยประเภทไม้ประดับ หรือใครเป็นมวยประเภทหมัดหนักแบบท่อนซุง ฝ่ายอเมริกา หมัดหนักที่สุดคืออิสราเอล มีความพร้อมทั้งด้านกองกำลังอาวุธ ส่วนหมัดรองมี ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ฝรั่งเศษ สวีเดน และซาอุดิ ที่มีกองกำลังใกล้เคียงกัน และอาวุธไม่น้อยหน้ากัน ส่วนแถบเอเซีย ที่พอใช้การได้มี เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียตนาม และญี่ปุ่น แต่เป็นพวกหมัดเบา สรุปพันธมิตรที่อเมริกาจะพึ่งได้จริงๆมี 9 ประเทศ เป็นรุ่นหมัดหนักแค่ 1 เดียว ! ฝ่ายรัสเซีย รุ่นใหญ่หมัดหนักมีเพียบ คือ จีน อินเดีย บราซิล เกาหลีเหนือ (แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่แรงและเผ็ดจัด) อิหร่าน เลบานอน และม้ามืดคือคิวบา รุ่นกลางมีซีเรีย (และอาจจะพ่วงเอาตุรกีและอิรัก เข้ามาด้วย ต้องดูอีกสักระยะหนึ่ง) และพม่า มี 9 ประเทศเท่ากัน เป็นรุ่นหมัดหนักเสีย 7 ประเทศ ! สำหรับเลบานอน เป็นหมากสำคัญอีกตัวหนึ่ง หลายท่านอาจจะไม่รู้ จากการที่เลบานอน เป็นเจ้าของกองกำลัง Hezbollah ซึ่ง มีศักยภาพสูง และมีวินัยสูงครอบครองบริเวณที่สามารถก่อการอันตรายให้กับอิสราเอลอย่างยิ่ง ทำให้เลบานอนเป็นประเทศที่อเมริกาพยายามซื้อ ถ้าซื้อไม่ได้ก็ต้องทำลาย ขณะเดียวกัน อิหร่านก็ทุ่มสุดตัวเช่นเดียวกัน ในการส่งเสียเลี้ยงดูพวก Hezbollah ดังนั้น ถ้าเลบานอนสามารถทำให้อิสราเอลเหนื่อยได้ อเมริกาก็เซได้ สรุป เรื่องพันธมิตร ฝ่ายอเมริกา แม้จะมีจำนวนมากกว่า ดูเผินๆ ฟังแต่ข่าวย้อมสี มันน่าคึกคัก ว่าโลกทั้งใบอยู่ฝ่ายอเมริกาทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกที่จำเป็นจะต้องอยู่กับอเมริกา เพราะมีเชือกผูกหรือถูกต้อนเข้าคอกไม่น้อย แบบนี้เวลาจะไปรบน่ะ ถามจริงๆ เขาจะไปตายแทนให้หรือ แถมจะเป็นภาระให้อเมริกาต้องมาดูแล เพราะกองกำลังของตัวเองก็มีไม่พอแม้จะดูแลตัวเอง จะเอาที่ไหนไปช่วยลูกพี่ มีแต่กำลังปาก ถึงตอนเข้าฉากรบจริง อเมริกาอาจบอกตัวใครตัวมันนะพวก ส่วน ฝ่ายรัสเซีย เห็นแล้วเหมือนจำนวนน้อยจนน่าใจหาย แต่ดูศักยภาพแล้ว ไม่น่าต้องอธิบายมาก เป็นพวกถูกอเมริกาไล่บี้ เสียจนแทบไม่มีที่ยืนแทบทั้งนั้น ตั้งแต่ตัวหัวหน้าเอง แบบนี้มีอะไรจะต้องเสีย ไม่รบต่างหาก อาจจะเสียจนไม่มีที่ยืน แล้วการรบด้วยความคับแค้น ความฮึด และความอึด มันเป็นอย่างไร นึกถึงภาพเด็กแสบเกาหลีกับอิหร่านเสี่ยนิวเคลียร์ ก็น่าจะพอเห็นภาพกันออก ไม่ต้องบรรยายมากนะครับ ตกลงฝ่ายอเมริกา ที่ว่าพวกมาก เกรงจะเป็นประเภทพวกมาก ลากลงเหวเสียมากกว่า แบบนี้ ฝ่ายรัสเซีย กลุ่มเล็กแต่เหนียวและหนัก น่าจะดีกว่า สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 4 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 7

    ผ่านไป 5 ปี ถึง ค.ศ.2013 ทั้ง Ukraine และ Georgia ก็ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ใครนะ มันกักกันได้เด็ดขาดขนาดนั้น อเมริกาหงุดหงิด ก็ท่อส่งไงคุณพี่ มันเป็นเครื่องมือที่ได้ผลชะงัด เรื่อง Georgia ยังพอทน แต่เรื่อง Ukraine นี่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นการวัดกำลัง ระหว่างอเมริกากับรัสเซียอย่างเห็นชัด เรียกว่าเป็นรายการชกโชว์ ก่อนรายการชกชิงแชมป์แล้วกัน แล้วอเมริกาจะอยู่เฉยๆได้หรือ

    เมื่ออเมริกาเอากองทัพของ NATO เข้าไปอยู่ใน Ukraine ตรงๆไม่ได้ อเมริกาก็ต้องใช้แผนเข้าทางหลังบ้าน แผนสกปรกเดิมๆที่อเมริกาถนัดใช้ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution รอบ 2 จึงถูกนำไปใช้อีกรอบ คราวนี้อเมริกาส่งนางเหยี่ยว Victoria Nuland อดีตที่ปรึกษา **** Cheney และเป็นผู้ชำนาญด้านรัสเซียมาคุมเกม Ukraine เอง เพื่อให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ของ Ukraine เป็นคนของอเมริกาให้ได้

    แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนคราวก่อนๆ เพราะสหภาพยุโรปเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใน Ukraine ด้วย ปัญหาของ Ukraine อันที่จริงมีผลกระทบกับชาวยุโรปโดยตรง หาก Ukraine ถูก แทรกแซงจนทำให้รัสเซียระงับการส่งแก๊ส ชาวยุโรปเป็นฝ่ายเดือดร้อน ไม่ใช่อเมริกา ครั้งนี้สหภาพยุโรปกับอเมริกา จึงไม่ได้ร้องเพลงเดียวกันที่ Ukraine

    เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2014 ชาว Ukraine ออก มาทำการประท้วงใหญ่ เป็นการประท้วงที่รุนแรง แต่สับสน ไม่รู้ว่าผู้ประท้วงต้องการอะไรกันแน่ ผู้กำกับเพียงบอกว่า ออกมากันให้เยอะๆและให้มีความรุนแรง ขนาด NATO หน่วย Gladio ซึ่งเป็นกองกำลังนอกระบบของตนมารวมด้วย ความรุนแรงจึงยกระดับ การเผาตึกรามบ้านช่องขยายวง มันต่างกันกับปฏิวัติสีส้ม เมื่อปี ค.ศ.2004 อย่างมาก มันเป็นการเดินหมากที่มุ่งจะเขี่ยรัสเซียให้ออกไปจาก Ukraine ให้จงได้ อเมริกาคิดว่ารัสเซียกล้ามยังไม่ขึ้น ไม่แน่ว่าอเมริกาเดินหมากตานี้ถูก !

    แม้จะมีข่าวว่า จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2014 ซึ่งรัสเซียก็มีสิทธิลุ้น ส่งคนของตัวเองเข้าประกวดเหมือ นกัน แต่ปูตินไม่เสี่ยงรอ รัสเซียไม่มีทางเลือกมาก หากเสีย Ukraine หมายถึงเสีย Crimea ด้วย การแก้เกม โดยปูตินให้ชาว Crimea ทำประชามติว่า ต้องการจะแยกตัวจาก Ukraine หรือไม่ จึงเกิดขึ้น และเมื่อชาว Crimea ต้องการกลับมาสู่อ้อมอกรัสเซีย รัสเซียจึงยกกองทัพเข้าไปปกป้อง Crimea และยึด Crimea กลับมาสู่รัสเซีย เมื่อ 21 มีนาคม 2014

    Crimea นอก จากเป็นฐานทัพเรือใหญ่ของรัสเซียแล้ว ซึ่งที่รัสเซียพยายามปิดปากเงียบคือ รัสเซียยังมีคลังอาวุธใหญ่ ที่ลือกันว่าเป็นคลังอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และมีคลังน้ำมันใหญ่อยู่ที่ Crimea ด้วย เสีย Crimea คงเหมือนเสียแขนขวา รัสเซียจึงไม่ยอมเสี่ยง การตัดสินใจของปูตินในการยึด Crimea เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 จึงไม่ต่างกับการจับตัวนาย Kho เมื่อปี 2003 เมื่อนาย Kho กำลัง จะเอาพลังงานของรัสเซียไปยกให้อเมริกา ปูตินและรัสเซียยอมถูกชาวโลกด่าประนาม และยอมถูกคว่ำบาตร ดีกว่าที่จะต้องเสียมากกว่า ถึงขนาดเสียประเทศ
    การยึด Crimea ของ รัสเซีย จึงเป็นการส่งสัญญาณยืนยันกับอเมริกาครั้งที่ 2 ว่า รัสเซียแม้หลังชนฝา แต่พร้อมที่จะสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวก ทุกรูปแบบ และคำตอบของอเมริกาคืออะไร?

    คำตอบเบื้องต้น ตามฟอร์มของอเมริกาและพวกคือ จัดการบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม บาตรวางเรียงตั้งแต่ Crimea ไปถึงรัสเซีย รวมทั้งการประนามด่ารัสเซีย โดยสาระพัดสื่อของค่ายตะวันตก ไม่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของรัสเซีย

    หลังจากนั้น เรื่อง Crimea ก็ดูจะจืด ทำท่าจะดังสู้เรื่อง Ukraine กับท่อแก๊สของรัสเซียไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่มีปฎิกริยาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากอเมริกา….

    ผ่านไปอีก 3 เดือน สิ่งที่โลกเห็นคือ ข่าวการเปิดตัวของ ISIS ในตะวันออกกลางในช่วงเดือนมิถุนาย น ค.ศ.2014 ที่บุกเข้าไปยึด Mosul เมืองน้ำมันดกของอิรัก และมีการขยายตัวของ ISIS ไปส่วนต่างๆของอิรัก หลังจากนั้นมีการเรียกร้อง จากพวกเสี่ยน้ำมันอาหรับค่ายอเมริกา ให้อเมริกาจัดการอย่างเด็ดขาดกับพวก ISIS ขณะที่ข้อเท็จจริงต่างชี้บอกว่า ISIS คือเมล็ดพันธุ์ที่อเมริกาเป็นผู้หว่านและเลี้ยงดูนั่นแหละ

    เมื่อทนเสียงเรียกร้องและความกดดันจากพวกเสี่ยน้ำมันไม่ไหว อเมริกาและพวก ก็ตกลงเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ.2014 ที่จะส่งปฏิบัติการถล่ม ISIS ทางอากาศ จนถึงวันนี้การเล่นไล่จับระหว่างอเมริกากับพวกและ ISIS ยังมีอยู่ โดยยังไม่มีผลสรุปว่าใครได้เปรียบ เสียบเปรียบกันชัดเจน จะแปลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการกลับไปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลางของอเมริกาและพวก ซึ่งอาจจะขยายจากอิรักไปซีเรียและอิหร่าน และอาจจะถึงตุรกี (ขึ้นอยู่กับตุรกีจะเลือกเล่นกับฝ่ายใด) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ใช่บ้านของพวกอเมริกา

    มันอาจเป็นคำตอบแบบหนึ่งของอเมริกาด้วยว่า จากการเดินหมาก Crimea ของรัสเซีย อเมริกาก็คิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่ใช่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย แต่ที่อาจเกินความคาดหมายของอเมริกา คืออเมริกาคิดว่า อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเกมรุกเป็น….ดังนั้นอเมริกาคงต้องเตรียมพร้อม

    ดูได้จากฝั่งของ 2 คู่หู รัสเซียและจีน แสดงการรุกคืบด้านการค้าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการทำสัญญาสร้างท่อส่งแก๊สและน้ำมันเพิ่ม การตกลงซื้อขายพลังงาน โดยตกลงชำระค่าซื้อขายกันเป็นรูเบิล/หยวน ดอลล่าร์ไม่เกี่ยว ปูตินเดินหน้า ชักชวนคู่ค้าทั้งหลายให้ชำระเงินซื้อขายเป็นสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลล่าร์

    มันเป็นการส่งสัญญาณจากฝั่งรัสเซียและจีนว่า เราไม่ง้อดอลล่าร์ และเป็นการคว่ำบาตรดอลล่าร์ เป็นการตอบแทน จากฝ่ายที่ถูกอเมริกาและพวกหาเรื่องคว่ำบาตรข้างเดียวมาตลอด นี่นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ความเป็นเจ้าของดอลล่าร์ ถูกหักเสียหน้าแหก เสียตำแหน่ง อย่างน่าเอาปี๊บคลุมหัว

    อย่างนี้กลิ่นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะจาง หรือยิ่งส่งกลิ่นฟุ้งกระจาย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 7 ผ่านไป 5 ปี ถึง ค.ศ.2013 ทั้ง Ukraine และ Georgia ก็ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ใครนะ มันกักกันได้เด็ดขาดขนาดนั้น อเมริกาหงุดหงิด ก็ท่อส่งไงคุณพี่ มันเป็นเครื่องมือที่ได้ผลชะงัด เรื่อง Georgia ยังพอทน แต่เรื่อง Ukraine นี่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันเป็นการวัดกำลัง ระหว่างอเมริกากับรัสเซียอย่างเห็นชัด เรียกว่าเป็นรายการชกโชว์ ก่อนรายการชกชิงแชมป์แล้วกัน แล้วอเมริกาจะอยู่เฉยๆได้หรือ เมื่ออเมริกาเอากองทัพของ NATO เข้าไปอยู่ใน Ukraine ตรงๆไม่ได้ อเมริกาก็ต้องใช้แผนเข้าทางหลังบ้าน แผนสกปรกเดิมๆที่อเมริกาถนัดใช้ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution รอบ 2 จึงถูกนำไปใช้อีกรอบ คราวนี้อเมริกาส่งนางเหยี่ยว Victoria Nuland อดีตที่ปรึกษา Dick Cheney และเป็นผู้ชำนาญด้านรัสเซียมาคุมเกม Ukraine เอง เพื่อให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ของ Ukraine เป็นคนของอเมริกาให้ได้ แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนคราวก่อนๆ เพราะสหภาพยุโรปเริ่มยื่นหน้าเข้ามาใน Ukraine ด้วย ปัญหาของ Ukraine อันที่จริงมีผลกระทบกับชาวยุโรปโดยตรง หาก Ukraine ถูก แทรกแซงจนทำให้รัสเซียระงับการส่งแก๊ส ชาวยุโรปเป็นฝ่ายเดือดร้อน ไม่ใช่อเมริกา ครั้งนี้สหภาพยุโรปกับอเมริกา จึงไม่ได้ร้องเพลงเดียวกันที่ Ukraine เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2014 ชาว Ukraine ออก มาทำการประท้วงใหญ่ เป็นการประท้วงที่รุนแรง แต่สับสน ไม่รู้ว่าผู้ประท้วงต้องการอะไรกันแน่ ผู้กำกับเพียงบอกว่า ออกมากันให้เยอะๆและให้มีความรุนแรง ขนาด NATO หน่วย Gladio ซึ่งเป็นกองกำลังนอกระบบของตนมารวมด้วย ความรุนแรงจึงยกระดับ การเผาตึกรามบ้านช่องขยายวง มันต่างกันกับปฏิวัติสีส้ม เมื่อปี ค.ศ.2004 อย่างมาก มันเป็นการเดินหมากที่มุ่งจะเขี่ยรัสเซียให้ออกไปจาก Ukraine ให้จงได้ อเมริกาคิดว่ารัสเซียกล้ามยังไม่ขึ้น ไม่แน่ว่าอเมริกาเดินหมากตานี้ถูก ! แม้จะมีข่าวว่า จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2014 ซึ่งรัสเซียก็มีสิทธิลุ้น ส่งคนของตัวเองเข้าประกวดเหมือ นกัน แต่ปูตินไม่เสี่ยงรอ รัสเซียไม่มีทางเลือกมาก หากเสีย Ukraine หมายถึงเสีย Crimea ด้วย การแก้เกม โดยปูตินให้ชาว Crimea ทำประชามติว่า ต้องการจะแยกตัวจาก Ukraine หรือไม่ จึงเกิดขึ้น และเมื่อชาว Crimea ต้องการกลับมาสู่อ้อมอกรัสเซีย รัสเซียจึงยกกองทัพเข้าไปปกป้อง Crimea และยึด Crimea กลับมาสู่รัสเซีย เมื่อ 21 มีนาคม 2014 Crimea นอก จากเป็นฐานทัพเรือใหญ่ของรัสเซียแล้ว ซึ่งที่รัสเซียพยายามปิดปากเงียบคือ รัสเซียยังมีคลังอาวุธใหญ่ ที่ลือกันว่าเป็นคลังอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และมีคลังน้ำมันใหญ่อยู่ที่ Crimea ด้วย เสีย Crimea คงเหมือนเสียแขนขวา รัสเซียจึงไม่ยอมเสี่ยง การตัดสินใจของปูตินในการยึด Crimea เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 จึงไม่ต่างกับการจับตัวนาย Kho เมื่อปี 2003 เมื่อนาย Kho กำลัง จะเอาพลังงานของรัสเซียไปยกให้อเมริกา ปูตินและรัสเซียยอมถูกชาวโลกด่าประนาม และยอมถูกคว่ำบาตร ดีกว่าที่จะต้องเสียมากกว่า ถึงขนาดเสียประเทศ การยึด Crimea ของ รัสเซีย จึงเป็นการส่งสัญญาณยืนยันกับอเมริกาครั้งที่ 2 ว่า รัสเซียแม้หลังชนฝา แต่พร้อมที่จะสู้กับการรุมกินโต๊ะของอเมริกาและพวก ทุกรูปแบบ และคำตอบของอเมริกาคืออะไร? คำตอบเบื้องต้น ตามฟอร์มของอเมริกาและพวกคือ จัดการบีบให้สหประชาชาติคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม บาตรวางเรียงตั้งแต่ Crimea ไปถึงรัสเซีย รวมทั้งการประนามด่ารัสเซีย โดยสาระพัดสื่อของค่ายตะวันตก ไม่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของรัสเซีย หลังจากนั้น เรื่อง Crimea ก็ดูจะจืด ทำท่าจะดังสู้เรื่อง Ukraine กับท่อแก๊สของรัสเซียไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่มีปฎิกริยาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากอเมริกา…. ผ่านไปอีก 3 เดือน สิ่งที่โลกเห็นคือ ข่าวการเปิดตัวของ ISIS ในตะวันออกกลางในช่วงเดือนมิถุนาย น ค.ศ.2014 ที่บุกเข้าไปยึด Mosul เมืองน้ำมันดกของอิรัก และมีการขยายตัวของ ISIS ไปส่วนต่างๆของอิรัก หลังจากนั้นมีการเรียกร้อง จากพวกเสี่ยน้ำมันอาหรับค่ายอเมริกา ให้อเมริกาจัดการอย่างเด็ดขาดกับพวก ISIS ขณะที่ข้อเท็จจริงต่างชี้บอกว่า ISIS คือเมล็ดพันธุ์ที่อเมริกาเป็นผู้หว่านและเลี้ยงดูนั่นแหละ เมื่อทนเสียงเรียกร้องและความกดดันจากพวกเสี่ยน้ำมันไม่ไหว อเมริกาและพวก ก็ตกลงเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ค.ศ.2014 ที่จะส่งปฏิบัติการถล่ม ISIS ทางอากาศ จนถึงวันนี้การเล่นไล่จับระหว่างอเมริกากับพวกและ ISIS ยังมีอยู่ โดยยังไม่มีผลสรุปว่าใครได้เปรียบ เสียบเปรียบกันชัดเจน จะแปลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการกลับไปยึดพื้นที่ในตะวันออกกลางของอเมริกาและพวก ซึ่งอาจจะขยายจากอิรักไปซีเรียและอิหร่าน และอาจจะถึงตุรกี (ขึ้นอยู่กับตุรกีจะเลือกเล่นกับฝ่ายใด) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ใช่บ้านของพวกอเมริกา มันอาจเป็นคำตอบแบบหนึ่งของอเมริกาด้วยว่า จากการเดินหมาก Crimea ของรัสเซีย อเมริกาก็คิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่ใช่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย แต่ที่อาจเกินความคาดหมายของอเมริกา คืออเมริกาคิดว่า อเมริกาเท่านั้นที่เล่นเกมรุกเป็น….ดังนั้นอเมริกาคงต้องเตรียมพร้อม ดูได้จากฝั่งของ 2 คู่หู รัสเซียและจีน แสดงการรุกคืบด้านการค้าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการทำสัญญาสร้างท่อส่งแก๊สและน้ำมันเพิ่ม การตกลงซื้อขายพลังงาน โดยตกลงชำระค่าซื้อขายกันเป็นรูเบิล/หยวน ดอลล่าร์ไม่เกี่ยว ปูตินเดินหน้า ชักชวนคู่ค้าทั้งหลายให้ชำระเงินซื้อขายเป็นสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ มันเป็นการส่งสัญญาณจากฝั่งรัสเซียและจีนว่า เราไม่ง้อดอลล่าร์ และเป็นการคว่ำบาตรดอลล่าร์ เป็นการตอบแทน จากฝ่ายที่ถูกอเมริกาและพวกหาเรื่องคว่ำบาตรข้างเดียวมาตลอด นี่นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ความเป็นเจ้าของดอลล่าร์ ถูกหักเสียหน้าแหก เสียตำแหน่ง อย่างน่าเอาปี๊บคลุมหัว อย่างนี้กลิ่นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะจาง หรือยิ่งส่งกลิ่นฟุ้งกระจาย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 142 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 6

    ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป

    Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ

    – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป

    – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017

    – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย

    สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ

    – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ !

    – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา
    นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan

    ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง

    – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว

    เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน

    เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย

    แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช
    ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา

    เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน

    สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า

    ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง !

    Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด

    สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย
    ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2
    แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร

    ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย

    มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO

    รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว

    เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน

    ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 ธค. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 6 ในบรรดารัฐเล็กรัฐน้อย ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อเมริกามองว่า Ukraine มี ความสำคัญต่อรัสเซียและอเมริกาไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นอเมริกาจึงคิดเอา Ukraine มาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองอย่างมิดชิด ก่อนที่รัสเซียจะรวบเอาไป Ukraine มีอาณาเขตติดต่อกับรัสเซีย มีความสำคัญที่เปิดเผยรู้กันทั่วคือ – เป็นเส้นทางวางท่อส่งแก๊ส เส้นสำคัญของรัสเซียมาสู่ตลาดยุโรป ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองสูงกับสหภาพยุโรป – รัสเซียมีกองเรือรบฝูงใหญ่ อยู่ที่ทะเลดำ โดยเช่า Stevastopol ของ Ukraine เป็นฐานทัพเรือ สัญญาเช่านี้ถ้าไม่ต่ออายุ จะสิ้นสุดในปี ค.ศ.2017 – แหลม Crimea ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว Crimea กลายเป็นอยู่ในอาณาเขตของ Ukraine Crimea ซึ่งมีประชาชนประมาณ 2.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่ยังนึกว่าตนเองเป็นคนรัสเซีย พูดภาษารัสเซีย และรัสเซียอ้างว่าถือ passport รัสเซียเสียด้วย สิ่งที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้กัน เกี่ยวกับความสำคัญของ Ukraine คือ – แหลม Crimea เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เป็นเหมือนประตูเข้าหลังบ้านรัสเซีย หากใครไปตั้งฐานยิงจรวดหันหัวให้ถูกทาง รัสเซียอาจไม่เหลือ ! – ลึกลงใต้ทะเลดำ ด้านหน้าของแหลม Crimea เต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ที่ประมาณว่า มีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญ Exxon Mobil, Royal Dutch Shell หรือ BP และ หลายบริษัทน้ำมัน ได้ไปทำการสำรวจเรียบร้อยแล้ว และมีผลสำรวจออกมาว่า น่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่สู้กับแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือได้ ซึ่งแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือนั้น มีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจของอังกฤษ นอร์เวย์ และหลายประเทศในยุโรปมาตั้งแต่เมื่อแหล่งน้ำมันที่ทะเลเหนือทำการผลิตน้ำมัน ได้ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1970 กว่าเป็นต้นมา นอกจาก Ukraine ที่อเมริกาต้องการเก็บมาอยู่ในกระเป๋าแล้ว อเมริกายังต้องได้ Greorgia ซึ่งมีอาณาเขตด้านหนึ่งติดกับ Ukraine โดยมีเทือกเขา Caucasus กั้นอยู่ และอีกด้านหนึ่งติดกับรัสเซียและรัฐ Azerbijan ความสำคัญของ Georgia มีความต่างกับ Ukraine แม้จะน้อยกว่า แต่ถ้าฝ่ายใดได้ทั้ง Ukraine และ Georgia ไปด้วยกัน ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างยิ่ง – ปี ค.ศ.2002 BP ซึ่งมีประธานกรรมการชื่อ Tony Blair นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ได้ทำสัญญาที่จะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 1,762 กิโลเมตร ที่ มีมูลค่าประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญ จาก Baku ของ Azerbijan ผ่าน Tbilisi ของ Georgia มาสุดทางที่ Ceyhan ของตุรกี โดยมี Unocal ของอเมริกาและ Turkish Petroleum ของตุรกีร่วมทุนด้วย Ceyhan นี้อยู่ใกล้กับฐานทัพอากาศของอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่ Incirlik เป็นโครงการที่อังกฤษภาคภูมิใจหนักหนา เพราะเป็นผู้ริเริ่มร่วมกับรัฐบาล Bill Clinton ถึงขนาดนาย Blair เพ้อว่าเป็น Project of the Century ทีเดียว เมื่อท่อส่ง BTC ( Baku-Tbilisi-Ceyhan) นี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.2005 การดูแลท่อส่งจะต้องได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก Georgia ซึ่งไม่ได้ร่วมลงทุนในการสร้างท่อส่งด้วย ดังนั้นการมีอิทธิพลเหนือรัฐบาล Greorgia จึงเป็นเรื่องสำคัญของกลุ่มผู้ลงทุน เพื่อให้มีอิทธิพลเหนือ Ukraine และ Greorgia อเมริกาจึงวางแผนครอบงำทั้ง 2 รัฐ โดยส่งคนของตนเอง หรือที่ตัวเองเลือก ไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองทั้ง 2 รัฐ โดยมีเป้าหมายหลัก จะให้ทั้ง 2 รัฐ เข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพื่อเปิดทางให้กองทัพของ NATO เข้าไปตั้งฐานทัพใน 2 รัฐ กุมคอหอยทั้ง 2 รัฐไว้ และเป็นการวางกองทัพของ NATO จ่ออยู่หน้าประตูหลังบ้านรัสเซียอีกด้วย เป็นการปิดล้อม Containment รัสเซียรอบใหม่ ที่อันตรายสำหรับรัสเซีย แต่การจัดฉากของ Washington เพื่อส่งคนของตน เอาไปปกครอง 2 รัฐ ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของ ปฏิวัติหลากสี Color Revolution เพื่อความเป็นประชาธิปไตยของทั้ง 2 รัฐ ตามที่สื่อย้อมสีของฝั่งตะวันตกเรียก ตอแหลซ้ำซากจริงๆ แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็ยังให้ความเขื่อถืออย่างน่าสมเพช ปี ค.ศ.2003 อเมริกาจัดส่งนาย Saakashvili หนุ่มน้อยอายุ 37 ปี ! เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากนาย Shevardnadze ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 โดยการสร้างฉากปฏิวัติดอกกุหลาบ Rose Revolution ชื่อเพราะ แต่แรงเด็ด เขี่ยนาย Shevardnadze เสียกระเด็นจากทำเนียบประธานาธิบดี หายวับไปกับตา เมื่อนาย Saakashvili ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีเรียบร้อยในปี ค.ศ.2003 อเมริกาส่งของขวัญเป็นอาวุธและการฝึกอบรมจาก Pentagon เต็มรูปแบบไปให้ แค่นั้นยังไม่พอ อิสราเอลส่งที่ปรึกษาการทหาร (ก็ทหารรับจ้างนั่นแหละ !) ไปให้อีกหนึ่งพันคน เพื่อไปทำการฝึกให้แก่กองทัพ Greorgia ด้านการจู่โจมทางบกและทางอากาศ รวมทั้งการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นลูกกระเป๋งเศรษฐีมันดีอย่างนี้เอง ถึงไม่ยอมเลิกเป็นกัน สำหรับ Ukraine ปี ค.ศ.2004 อเมริกาจัดส่งนาย Viktor Yushchenko อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของUkraine ที่มีเมียเป็นคนอเมริกันจาก Chicago และเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกัน เข้าไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ โดยใช้ปฏิบัติการ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution (รอบ 1) ชาว Uraine คงคล้ายๆกับสมันน้อยนะ ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาว่าอะไรมันพิกลหรือเปล่า ทุกอย่างทำท่าเหมือนจะเป็นไปตาม แผนที่อเมริกาวางไว้ แต่พอถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2008 กองทัพของ Georgia ก็ดันยกทัพเข้าไปยึดแคว้น South Ossetia ที่อยู่ในรัฐของตนเอง ! Georgia มีปัญหาภายในมานานแล้ว เกี่ยวกับความต้องการแยกตัวของแคว้น South Ossetiaและ Abkhazia ซึ่ง เคยเป็นแคว้นที่ปกครองตนเอง สมัยยังขึ้นกับสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย การแบ่งเขตแดนใหม่ ตาม Warsow Pact ทำให้ 2 แคว้นต้องไปรวมกับ Georgia ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีต่างกัน และมักจะใช้ความรุนแรงกับ 2 รัฐเสมอ จึงมีเรื่องขัดแย้งและปะทะกันตลอด สำหรับรัสเซีย Ossetia เป็น เสมือนฐานทัพหนึ่งของรัสเซีย ที่คอยช่วยดูแลแนวเขตแดนระหว่างรัสเซียกับตุรกีและอิหร่าน ตั้งแต่สมัยซาร์ นอกจากเรื่องท่อส่งน้ำมันของ BP แล้ว ยังมีข่าวว่า Washington อาจจะมาตั้งฐานทัพใน Georgia อีกด้วย สำหรับรัสเซีย การบุกยึด Ossetia จึงเป็นข่าวร้าย ปูตินนำเรื่องเข้าสภา เพื่อให้สภาสนับสนุนการแยกตัวของแคว้น Ossetia และ Abkhazia เมื่อสภาให้ความเห็นชอบ ปูตินประกาศสนับสนุนการแยกตัวของทั้ง 2 แคว้น ประธานาธิบดี Saakashvili ประท้วงรัสเซีย บอกว่าอเมริกาและตะวันตกเห็นว่าทั้ง 2 แค้วนเป็นของ Georgia ให้รัสเซียถอนการประกาศสนับสนุน แต่รัสเซียไม่ยอมถอน และประกาศเพิ่มว่าพร้อมที่จะส่งกำลังไปปกป้องทั้ง 2 รัฐ ปูตินกำลังคิดอะไร ช่วงนั้นคณะมนตรีของ NATO กำลังพิจารณาเรื่องการรับ Ukraineและ Georgia เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ตามใบสั่งของ Washington สมาชิก NATO เห็นว่าถ้ารับ Georgia เข้าเป็นสมาชิก และหาก Georgia มีปัญหากับรัสเซีย ตามกฎบัตรของ NATO สมาชิก NATO ต้องทำสงครามกับรัสเซียเพื่อปกป้อง Georgia ด้วย มีสมาชิก 10 รายของ NATO ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Georgia ซึ่งผู้ไม่เห็นด้วยมีทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาลี่ อเมริกาจึงจำเป็นต้องคลายมือที่บีบ NATO ชั่วคราว ด้วยความขัดใจ และทั้ง Ukraineและ Georgia จึงยังไม่ได้ร่วมอยู่ในคอก NATO รัสเซียรอดจากการมีกองทัพของ NATO มาอยู่ที่ประตูหน้าบ้านไปอย่างเฉียดฉิว เยอรมันคงยังไม่พร้อม หรือคิดอยากทำสงครามกับรัสเซี ย เพราะขณะนั้น ท่อส่งแก๊ส Baltic Pipeline System (BPS) ยาว 1,200 กิโลเมตรใต้ทะเล Baltic ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย เพื่อส่งแก๊สของรัสเซีย จาก West Siberia มายังตลาดยุโรปตะวันตกก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำสงครามกับผู้ร่วมทุนเกี่ยวกับพลังงาน คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดของเยอรมัน ยุทธศาสตร์ท่อส่งของปูติน ได้ผลดีเกินกว่าที่อเมริกาประเมิน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 ธค. 2557
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3”
    ตอนที่ 1

    กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง

    อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 !

    รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ

    ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

    คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์

    Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ)

    ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน !
    รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่

    แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู!

    ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก

    บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ

    Who rules East Europe commands the Heartland
    Who rules the Heartland commands the World Island
    Who rules the World Island commands the World

    นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia

    แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ)

    คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 พย. 2557
    แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3” ตอนที่ 1 กลิ่นสงครามโลกฉุนขึ้นทุกวัน สงครามชิงความเป็นเจ้าของโลกถ้าจะเลี่ยงยาก จะเริ่มเมื่อไหร่และจะเริ่มที่ไหนเท่านั้นเอง อันที่จริง สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มส่งสัญญาณ ส่งกลิ่นครั้งแรกมาแล้วตั้งแต่ วันที่รัสเซียยกกองทัพเข้าไปยึด Crimea เมื่อ 21 มีนาคม ค.ศ.2014 ! รัสเซียเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างนั้นหรือ อย่าเพิ่งลงความเห็น ใจเย็น ตามอ่านกันไปเรื่อยๆก่อนครับ ถ้าสังเกตกัน ผมเริ่มเขียนนิทานและเอาลงให้อ่านในเพจนิทานฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว (ค.ศ.2013) แต่ ละเรื่องที่ผมเขียน เกี่ยวเนื่องและขยายความซึ่งกันและกัน เป็นการปูพื้นเรื่องราว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ท่านผู้อ่าน ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเราและนอกบ้าน ซึ่งในที่สุดแล้ว จะนำไปสู่เหตุการณ์วิกฤติสำคัญของโลก ซึ่งผมคาดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป คงจำกันได้ (ถ้าจำไม่ได้โปรดกลับไปอ่านนิทานเรื่อง หักหน้า หักหลัง ใหม่ นะครับ) ผมได้เล่าให้ฟังว่า Sir Halford Mackinder หรือครู Mac ครูใหญ่ชาวอังกฤษด้านภูมิศาสตร์ การเมือง (Geopolitics) บอกมา 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ในการสัมมนาของ Rayal Geographic Society ที่ London ว่า ใครก็ตาม ที่มีอำนาจควบคุมเหนือรัสเซีย ผู้นั้นจะเป็นผู้ตัดสิน หรือควบคุมบริเวณ Eurasia อันกว้างใหญ่ และนั่นหมายความว่า จะเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ Eurasia คือบริเวณที่เริ่มตั้งแต่แม่น้ำ Elbe ในเยอรมัน ยาวลงมาถึงทะเล Adriatic ผ่าน Sofia, Bulgaria ข้ามมา Black Sea และ Caspian Sea จน มาถึงเอเซียกลาง ยาวไปถึงจีน เป็นบริเวณที่กว้างใหญ่และอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุชั้นดีต่างๆ (คร่าวๆก็คือสหภาพโซเวียตและส่วนเหนือของตะวันออกกลางน่ะครับ) ครู Mac เรียกใจกลาง Eurasia ว่า Heartland กล่องดวงใจ ซึ่งเป็นอาณาบริเวณปัจจุบัน ของรัสเซียและยูเครน ! รอบกล่องดวงใจ จะมีประเทศที่สำคัญเช่น เยอรมัน ออสเตรีย ตุรกี อินเดีย และจีน ล้อมรอบอยู่ แต่ถ้าเอา Eurasia ยุโรป และเอเซียมารวมกัน ครู Mac เรียกอาณาบริเวณทั้งหมดนั้น ว่า World Island ซึ่ง World Island นี่ ครู Mac ไม่นับรวมอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เข้าไปด้วย เพราะครู Mac วางแผนให้อังกฤษเท่านั้น เป็นผู้ครอบครอง World Island ทั้งหมด! แน่จริงครู! ครู Mac บอกว่า สหภาพโซเวียต เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เข้มแข็งที่สุดโดยสภาพของธรรมชาติ ที่ทำให้สามารถป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี และมีความได้เปรียบอย่างสำคัญ นอกจากนี้สหภาพโซเวียต ยังเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง เป็นจำนวนมาก บทเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์สำคัญของครู Mac ที่ก้องอยู่ ในรูหู ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งอยู่ทั้งในอังกฤษและอเมริกา ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1904 และกลายเป็นต้นกำเนิดของยุทธศาสตร์การชิงโลก หรือการทำสงครามโลก ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2 และอาจจะครั้งที่ 3 ด้วย คือ Who rules East Europe commands the Heartland Who rules the Heartland commands the World Island Who rules the World Island commands the World นอกจากนี้ครู Mac ยังบอกกับอังกฤษศิษย์รักว่า ยุทธศาสตร์ที่อังกฤษจะต้องยึดถือเป็นหลัก จำใส่หัวไว้อย่าได้ลืมเป็นอันขาด คือต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้มีการรวมตัวกันระหว่าง Poland, Czecho, Austria, Hungary และ Russia แนวความคิดของครู Mac เป็น เสมือนเข็มทิศ แรงผลักดันที่สำคัญ ที่ทำให้อังกฤษคิดครองโลก และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 เมื่ออังกฤษรู้ว่า “น้ำมัน” คืออาวุธสำคัญในการครองโลก และขณะนั้นอังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง แม้แต่แหล่งเดียว ขณะ เดียวกัน อังกฤษก็เตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายเยอรมัน ซึ่งอังกฤษคิดว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในแผนการครองโลกของอังกฤษ (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในนิทานชุดเหยื่อ) คงไม่เกินไป ถ้าจะบอกว่า ความหายนะของโลกนี้ ที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เริ่มต้นจากทฤษฎีครู Mac ตัณหาและความอยากครองโลกของอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าของเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 พย. 2557
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย
    การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก
    นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!!
    หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม
    Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้
    Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด)
    Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ
    “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก”
    ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว”
    ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้”
    นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง”
    Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda”
    นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย
    CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน
    สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2%
    สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55%
    เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)
การ ปรับนโยบาย Right Sizing ของอเมริกา น่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน พิจารณาจากข่าวของ นสพ. วอชิงตันโพสต์ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ.2014 ว่า ได้มีการประชุมลับที่ Pentagon ในช่วงดังกล่าว เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายของสหรัฐในอิรัก และตะวันออกลาง โดยมีนาย John J. Hamre ประธาน ของ The Defense Policy Board ซึ่งทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ รมว.กลาโหม Chuck Hagel เกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนทั้งปวง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลระดับสุดยอดให้ด้วย นาย Hamre ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของถังความคิด think tank ทรงอิทธิพลของอเมริกาคือ Centre for Strategic and International Studies (CSIS) อีกด้วย การประชุมดังกล่าวกำหนดไว้ 2 วัน ผู้เข้าร่วมประชุม มีระดับหัวกะทิข้นคลั่กของอเมริกาเข้าร่วมด้วยคือ นาย Zbigniew Brzezinski ตัวแสบ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง สมัยประธานาธิบดี Carter คนขายถั่ว และเป็น trustee ของ CSIS และประธานร่วมของคณะที่ปรึกษา CSIS (ตำแหน่งมันยาวเหยียด เขียนไม่หมด เอาแค่นี้ก็พอเห็นฤทธิ์ และความใหญ่ของมันนะครับ) นอกจากนี้ ยังมีอดีต รมว.ต่างประเทศ Madeleine K. Albright (ซึ่งแม้จะเป็น รมว ต่างประเทศสมัย Clinton แต่เมื่อคาวบอย Bush จะขี่ช้างไปขยี้อิรัก เขาได้เชิญให้ Albright เป็นที่ปรึกษาด้วย) อดีตวุฒิสมาชิก Sam Nunn ประธาน Board of Trustee ของ CSIS และปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถาบัน Nuclear Threat Initiative (NTI) อืม น่าสนใจ! (มีเมียเป็น CIA ตัวใหญ่ และเขาเคยเป็นตัวเลือกที่จะเป็นผู้เข้าแข่งเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ Obama แต่ Obama กลับเลือก Joe Biden แทน) นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมยังมี Jane Harman ประธานถังความคิด think tank อีกใบ ที่มีอิทธิพลไม่น้อยกว่ากันคือ the Woodlow Wilson International Centre for Scholars และนาย Ryan Crocker อดีตฑูตอเมริกันในอิรัก นอกเหนือ จากผู้เข้าประชุมข้างต้น ซึ่งใหญ่คับห้องและน่าสนใจแล้ว Washington Post ยังบอกว่า ในการประชุม มีแขกพิเศษ 2 คน เข้าร่วมด้วย คนหนึ่งคือฑูตจาก UAE อีกคนคือ ฑูตของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่านิ้วก้อยข้างซ้าย ฯ !!! หลัง จากการประชุมลับจบ นักข่าวถามนาย Hamre ว่า ประชุมเรื่องอะไรกัน เห็นต่างชาติเข้ามาประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงของอเมริกาด้วย นาย Hamre ตอบว่า รมว.กลาโหม ขอให้คณะนโยบายฯ(ของผม) พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศที่มีความสำคัญยิ่ง และผมก็เชิญคนที่เก่งที่สุด (ในเรื่องนี้) มาเข้าประชุม Washington Post บอกว่า UAE และอังกฤษ เป็นพันธมิตรต่างชาติ ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ร่วมกับรัฐบาล Obama ในการวางนโยบายต้านกลุ่มกองกำลังต่างๆ (Islamic State, the Jihadist ฯลฯ) ที่กำลังครอบครองส่วนใหญ่ของอิรักและซีเรียขณะนี้ Washington Post อ้างด้วยว่า New York Times เองก็แสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลของต่างประเทศ กำลังใช้เงินอุดหนุนแก่พวก think tank เป็นใบเบิกทาง เข้ามาในประตูของ Washington โดยผ่านการวิเคราะห์ของพวก think tank ที่มีส่วนในการเสนอนโยบาย (UAE และหลายประเทศในตะวันออกกลาง เป็นผู้สนับสนุนกระเป๋าหนักของ CSIS และอีกหลายถังความคิด) Washington Post รายงานต่อว่า ข่าวนี้ทำให้ นาย Hamre ควันออกจมูก เขาอีเมล์แถลงอย่างเป็นทางการว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ที่จะคิดว่าฑูต UAE นาย Yousef al-Otaiba ได้รับเชิญมาเข้าร่วมประชุมที่ ไม่เปิดเผย เพราะ UAE เป็นผู้บริจาคเงินให้ CSIS แต่เขายอมรับว่า การที่ผู้มาเข้าประชุม มีบทบาททับซ้อนกัน อาจทำให้รู้สึกเกิดความไม่สบายใจ “ผมเชิญเขามา หารือใน เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างสูง และสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา (ฑูต UAE ) แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในบริเวณนั้นมากที่สุด ที่ผมจะหาได้ และเขารู้ว่า UAE และรัฐอื่นๆ จะมีบทบาทอย่างไร ในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก” ส่วนนาย Otaiba บอกว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ผมพบหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน Pentagon เกือบทุกวันอยู่แล้ว” ส่วน โฆษกของสถานฑูตอังกฤษ ยืนยันว่า นาย Peter Westmacott ฑูตอังกฤษ เข้าร่วมในการประชุมที่เป็นข่าวด้วย “แต่เราไม่สามารถแจ้งรายละเอียดของการประชุมที่เป็นส่วนตัวของฑูตได้” นาย Hamre บอกในคำแถลงของเขาว่า เขาเชิญ นาย Westmacott เพราะ “เขาเคยเป็นฑูตในอิหร่านและตุรกี และน่าจะมีมุมมองจากทางกลุ่มยุโรป เกี่ยวกับตะวันออกกลาง” Washington Post ระบุอีกด้วยว่า คณะที่ปรึกษาเช่นคณะ Defense Policy นี้ ตามกฏหมายต้องประกาศการประชุมล่วงหน้า 15 วัน แต่การประชุมที่เป็นข่าวนี่ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า มีเพียงการแจ้งในวันประชุมนั้น เองว่า จะมีการประชุมภายใน ที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และได้รับการอนุญาตจาก Pentagon ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า เนื่องจากความยากลำบากในการสรุปวาระการประชุม “due to diffcultics finalizing the meeting agenda” นอกจากนี้ ก่อนที่นาย Obama จะประกาศ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 เกี่ยวกับการรวมกำลังกับพรรคพวกอาหรับ เพื่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจัดการ ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิลาม IS ในซีเรีย CSIS ได้นำเอกสารชื่อ The Islamic State Campaign : Key Strategic and Tactical Challenges ลงวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.2014 มาว่อนให้อ่านกัน ถึงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งเป็นการเขียนอย่างคร่าวๆ แต่มีตารางการสำรวจความเห็น น่าเอามาเล่าสู่กันฟัง เป็นตารางที่อ้างว่าทำโดย Washington Post ร่วมกับ ABC สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนการให้อเมริกาใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกก่อความไม่สงบโดยพวกสุนหนี่ในอิรักหรือไม่
คำตอบในเดือน มิถุนายน 45% สนับสนุน
คำตอบในเดือน สิงหาคม 54% สนับสนุน
คำตอบในเดือน ปัจจุบัน 71% สนับสนุน สำหรับคำถามเกี่ยวกับ Isalamic State ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) เห็นว่า Isalamic State คุกคามต่อผลประโยชน์ของอเมริกาขนาดไหน
คำตอบ คุกคามอย่างรุนแรง 59%
คำตอบ รุนแรงเหมือนกัน 31%
คำตอบ ไม่รุนแรง 5%
คำตอบ ไม่รุนแรงเลย 2% ไม่ออกความเห็น 2% สำหรับคำถามว่า ท่าน (ประชาชนอเมริกัน) สนับสนุนหรือคัดค้าน……..
การที่อเมริกาจะใช้กำลังทางอากาศจัดการกับพวกสุนหนี่ย์ที่ก่อความไม่สงบในอิรัก เห็นด้วย 71%
ขยายการใช้กำลังไปถึงพวกก่อความไม่สงบในซีเรีย เห็นด้วย 65%
ให้อเมริกาติดอาวุธให้กับพวกกองกำลังชาว Kurd ที่ต่อต้านพวกก่อความไม่สงบ เห็นด้วย 55% เห็นตัวเลขการสำรวจที่ถังความคิดค่ายนี้ เอามาแจงแล้ว ก็คงพอเดากันออก ถึงที่มาและที่จะไปกันนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 248 Views 0 Reviews
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 2
ก่อน หน้าวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 อเมริกาบอกยังไม่มียุทธศาสตร์ เกี่ยวกับตะวันออกกลางประกาศอ อกมาให้โลกรู้ แต่โลกก็รู้ว่า อเมริกากำลังอึดอัดเต็มแก่ บรรดาถังความคิด think tank ต่างๆ ออกมาบอกว่า ขณะนี้อเมริกาใช้นโยบาย “Right Sizing” ขนาดกำลังดี คือกระบวนท่าที่อเมริกาใช้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง พูดแบบนี้ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เดาออก ว่าอเมริกากำลังอาการหนัก กระเป๋าแห้ง และน่าจะยังรักษาแผล จากการไปถล่มอิรักและล้มละลายกลับมาไม่หายดี มันเป็นการล้มละลายทางสังคม ทางการเมือง ทางการเงิน และทางยุทธศาสตร์ ครบทุกประการ แผลนี้น่าจะใหญ่และลึก ถึงขนาดคุณโอบามา หน้าดำ โทรม ผมหงอกโผล่กระจายเต็มหัว หมดราศีคนเป็นประธานาธิบดีหมายเลขหนึ่งของโลก เมื่อถูกถามว่าเรื่องซีเรียจะเอายังไง 3 ปีมาแล้วยังตีกรรเชียงไม่เลิก เรื่องซีเรียยังจัดการไม่ได้ เรื่องอิรักรอบสองกำลังจะโผล่มา คุณโอบามาแทบจะอยากกลับไปนุ่งโสร่งนอนเล่นที่อินโดนีเซียเหมือนตอนเป็นรุ่น กะทง
    รัฐบาล โอบามาถอนทหารประมาณ 100,000 นาย ออกจากอิรัก ลดขนาดกองกำลังในอาฟกานิสถาน เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ตรงกันข้ามกับคาวบอย Bush ทั้งๆที่รู้ว่าขณะนี้ มีเจ้าพ่อทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ อย่างคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าหนัก กำลังยืนจ้องดูตาเขม็งอยู่ แม้จะยังไม่ขยับหมาก แต่อเมริกาอย่าได้เผลอเชียว
    การเดินหมาก ขี่ช้างจับตั้กกะแตนที่อิรัก ของสายเหยี่ยวคาวบอย Bush ทำให้อเมริกาต้องกลับมาใช้นโยบาย Right Sizing บวกกับนโยบาย ให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอง ตามที่เรายุ แผน Arab Spring จึงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า คาวบอย Bush จะพลาดรายเดียว รัฐบาล Obama ก็พลาด เช่นเดียวกัน แม้คนละแบบ แต่ผลลัพธ์สาหัสไม่แพ้กัน Arab Spring ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านอเมริกา และตะวันตกมากขึ้น และ Arab Spring ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง ที่อิยิปต์ และ ลิเบีย และที่กำลังตามมา คือ ซีเรีย และ อิรัก อาจกลายเป็นสนามฆ่าที่โหดน่ากลัว
    และถึงบัดนี้ แม้คนในบ้านอเมริกาจะออกมาส่งเสียงว่า เรื่องตะวันออกกลางให้คนตะวันออกกลางจัดการกันเอง แต่ดูเหมือนโอบามาจะน้ำท่วมปาก หรือเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคนตะวันออกกลาง อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นค่ายที่สนับสนุนอเมริกา เรียกร้องให้อเมริกาจัดการ เรื่องซีเรียกับอิรักให้ “เรียบร้อย” เรียบร้อยแบบไหนล่ะ ก็แบบที่คาวบอย Bush เคยทำไงล่ะ ถล่มมันให้เหี้ยนเลย
    เสี่ย ใหญ่ซาอุดิ ยื่นรายการต่อว่า ยาวเป็นหางว่าว ตะแคงข้างส่งให้ลูกพี่ด้วยความขัดใจ เรื่องอะไรบ้าง ก็ทุกเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ เสี่ยใหญ่ไม่ถูกใจเลยสักเรื่อง อเมริกายังจะเดินหน้าใช้ Right Sizing ขนาดกำลังพอดีอยู่อีกหรือ อย่างนี้พวกเราก็ม่อยกระรอกแหลกเกลื่อนกันหมด
    อเมริกาคิดหนัก ไม่ใช่ห่วงเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกหรอก อเมริกาห่วงไอ้ที่อยู่ใต้ดินของพวกเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกต่างหาก เรื่องลามมาถึงตรงนี้ ไม่ยกทัพกรีฑาไปกวาดทะเลทรายอีกรอบ ก็คงมีหวังเสร็จกลุ่ม เสี่ยนิวเคลียร์กับพวก และเพื่อนตัวใหญ่ที่กอดอกดูอยู่เงียบๆ อีก 2 ราย คุณพี่ปูตินและอาเฮีย จะปล่อยให้โอกาสทอง ลอยผ่านหน้าไปเฉยๆอย่างงั้นหรือ แต่ถ้าจะรบ อเมริกาจะไปแบบ Right Sizing ก็นอนอยู่บ้าน กอดคุณนายมิเชล (ถ้าคุณนายแกยอมนะ) ดีกว่า เพราะมันสู้เขาไม่ได้แน่ ถ้าจะไป มันต้องให้ใหญ่โต อลังการ กระเทือนโลก สมฐานะ ของพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก แล้วจะไปเดี่ยวๆได้อย่างอย่างไร เรามันคนใหญ่คนโต จะไปไหนที่ยังต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง บางทีมากกว่าประชาชนที่ถูกเกณท์มาคอยรับซะอีก นี่จะยกทัพไปชิงแเดน อาจยาวไปถึงชิงโลก แบบนี้ต้องสั่งให้พรรคพวกและลูกกระเป๋ง ไม่ว่า หัวทอง หัวดำ หัวด่าง หัวล้าน ขานชื่อเอาไปให้ครบ เอ้อ เขียนแล้วเหนื่อยใจแทน
    แล้วก็เหมือนฉากหนัง Hollywood สร้าง ทยอยออกมาแสดงให้ดูกัน
    เมื่อ วันที่ 12 ,13 พฤษภาคม ค.ศ.2014 สถาบันข่าวกรองเกี่ยวกับความมั่นคงของแคนาดา Canadian Security Intelligence Service (CSIS) หน่วยงานของรัฐบาลแคนาดา จัดรายการสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับตะวัน ออกกลาง โดยบอกว่า เป็นการจัดตามการกำกับของ Chatham House ถ้ายังจำกันได้ Chatham House เป็น think tank ที่มีอิทธิพลสูงสุดของอังกฤษ ที่เกิดคู่กับ Council for Foreign Relation (CFR) ของอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919
    หลัง จากการสัมมนา CSIS แคนาดา เพิ่งออกรายงานเผยแพร่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้เอง กระดาษพิมพ์ยังร้อนอยู่เลย ยาวประมาณ 100 หน้า ส่วนที่วิเคราะห์อื่นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ค่ายต่างๆวิเคราะห์กัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ที่น่าสนใจคือ รายงานนี้ระบุว่า ขบวนการ Al-Qaeda ยังไม่ตาย นอกจากยังไม่ตายแล้ว ยังฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง !! ว้าว มาแล้ว หนังตื่นเต้น
    ตลอดช่วงปี ค.ศ.2009-2012 อเมริกาบอกว่าใช้ drone ถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม Al-Qaeda จนทำให้ระดับหัวหน้าของขบวนการตายเกลื่อน รวมทั้งลูกน้องระดับสำคัญอีกก ว่า 200 นาย ทำให้ขบวนการแตกกระเจิง ที่ไหนได้ ถึงถูกตัดหัวทิ้ง แต่ตัวยังอยู่ พวกที่เหลือ ค่อยๆย้ายฐาน แอบไปซ่อนตัว กระจายอยู่บริเวณอาฟริกาเหนือ อาฟริกาตะวันตก Sinai และที่ Levant
    Levant คือส่วนที่ชาวคริสต์เคยอยู่ในออตโตมาน ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณที่ประกอบด้วย ไซปรัส อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย และทางใต้ของตุรกี อืม! แดนเดือดเกือบทั้งนั้น
    ซีเรีย กำลังเป็นหัวหาดใหม่ของ Al-Qaeda เพื่อบุกกลับเข้าไปในตะวันออกกลาง ซีเรีย กลายเป็นแดนเดือดเหมือนที่อาฟกานิสถานเคยเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นแม่เหล็กดึงดูด ให้พวกนักสู้หัวเห็ดกระหายเลือดทั้งหลาย หลั่งไหลเข้าไปจับจองพื้นที่ เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์
    แม้จะมี ข่าวว่ากลุ่ม Al-Qaeda เอง ก็ไม่ได้ลงรอยกันนัก ระหว่างกลุ่มที่เป็นซีอ่ะห์กับสุนหนี่ แตกแยกเป็นกลุ่ม Jabhat al-Nusra และ Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) และกลุ่มเดิมคือพวกที่อยู่ในความดูแลของ Aymarn al-Zawahiri ซึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการแทนหลัง Bin Laden ถูกเก็บ แต่การแตกแยก กลับกลายเป็นการแข่งขัน สร้างความรุนแรงให้เพิ่มขึ้น
    นอกจากนี้ รายงานยังบอกว่า ขบวนการ Al-Qaeda ได้เริ่มมีการแตกหน่อรับสมาชิกเพิ่ม โดยเล็งไปที่กลุ่มชนชั้นกลางและ ชั้นสูงในปากีสถาน โดนเฉพาะพวกมีปริญญา วิศวฯ และวิทยาศาสตร์ Ahmad Faruq, Asim Lumar และ Abu Zar Assami ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน ได้ก้าวขึ้นเป็นระดับหัวหน้าของขบวนการแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ
    รายงาน บอกว่าขณะนี้แม้ Al-Qaeda จะมีฐานใหม่ อยู่ที่ตะวันออกกลาง (Levant) และฐานที่เอเซียใต้ (South Asian) แต่เป้าหมายเดิม ที่จะทำลายล้างอเมริกาและตะวัน ตกไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า การที่ Al-Qaeda สร้างฉากตื่นเต้นขึ้นที่ North Africa และ Levant เป็นการออกบัตรเชิญ พวกหนุ่มห้าวทั้งหลายให้มาร่วม รายการ ขณะนี้มีหนุ่มห้าวประมาณ 8,000 คน จากอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน และสวีเดน เข้ามาร่วมขบวนการด้วย และเป็นไปได้ว่าพวกหนุ่มห้าวนี้แหละ เมื่อกลับไปบ้าน ก็จะสร้างแผน เตรียมการในการก่อการร้ายในประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ เพราะกลุ่มหนุ่มห้าว 8,000 คนนี้ สามารถเดินทางเข้าออกผ่านประเทศในสหภาพยุโรป และอเมริกาได้ อย่างยากต่อการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคง
    นี่! อย่างนี้ต้องปรบมือให้ ดังๆ ถือว่าเป็นการออกรายงาน ที่ใช้เรื่องและเวลาที่เหมาะสม แก่ยุทธศาสตร์ เพื่อการเปลี่ยนนโยบาย Right Sizing ยิ่งนัก แบบนี้ทั้งคนอเมริกา คนยุโรป ไม่แคล้วหน้าซีด หูตก หางจุก จมูกชื้น กันหมด ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องให้รัฐบาลโอบามา เดินหน้าถล่มซีเรียลูกเดียว แถมย้อนหลังมาแถมอิรัก และบวกอิหร่านรายสำคัญ หมากจริงด้วย ไม่งั้นอาจโดนขบวนการ Al-Qaeda ถล่มตึกอีกรอบ ถ้าเกิดจริง รอบนี้น่าเป็นห่วง กลัวหวยจะออกที่ทำเนียบขาว และรัฐสภาอังกฤษเหลือเกินครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 2
ก่อน หน้าวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.2014 อเมริกาบอกยังไม่มียุทธศาสตร์ เกี่ยวกับตะวันออกกลางประกาศอ อกมาให้โลกรู้ แต่โลกก็รู้ว่า อเมริกากำลังอึดอัดเต็มแก่ บรรดาถังความคิด think tank ต่างๆ ออกมาบอกว่า ขณะนี้อเมริกาใช้นโยบาย “Right Sizing” ขนาดกำลังดี คือกระบวนท่าที่อเมริกาใช้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง พูดแบบนี้ชาวบ้านที่ไม่ใช่ตาสีตาสาก็เดาออก ว่าอเมริกากำลังอาการหนัก กระเป๋าแห้ง และน่าจะยังรักษาแผล จากการไปถล่มอิรักและล้มละลายกลับมาไม่หายดี มันเป็นการล้มละลายทางสังคม ทางการเมือง ทางการเงิน และทางยุทธศาสตร์ ครบทุกประการ แผลนี้น่าจะใหญ่และลึก ถึงขนาดคุณโอบามา หน้าดำ โทรม ผมหงอกโผล่กระจายเต็มหัว หมดราศีคนเป็นประธานาธิบดีหมายเลขหนึ่งของโลก เมื่อถูกถามว่าเรื่องซีเรียจะเอายังไง 3 ปีมาแล้วยังตีกรรเชียงไม่เลิก เรื่องซีเรียยังจัดการไม่ได้ เรื่องอิรักรอบสองกำลังจะโผล่มา คุณโอบามาแทบจะอยากกลับไปนุ่งโสร่งนอนเล่นที่อินโดนีเซียเหมือนตอนเป็นรุ่น กะทง รัฐบาล โอบามาถอนทหารประมาณ 100,000 นาย ออกจากอิรัก ลดขนาดกองกำลังในอาฟกานิสถาน เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ตรงกันข้ามกับคาวบอย Bush ทั้งๆที่รู้ว่าขณะนี้ มีเจ้าพ่อทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ อย่างคุณพี่ปูตินกับอาเฮียกระเป๋าหนัก กำลังยืนจ้องดูตาเขม็งอยู่ แม้จะยังไม่ขยับหมาก แต่อเมริกาอย่าได้เผลอเชียว การเดินหมาก ขี่ช้างจับตั้กกะแตนที่อิรัก ของสายเหยี่ยวคาวบอย Bush ทำให้อเมริกาต้องกลับมาใช้นโยบาย Right Sizing บวกกับนโยบาย ให้คนในบ้านเขาจัดการกันเอง ตามที่เรายุ แผน Arab Spring จึงเกิดขึ้น แต่ใช่ว่า คาวบอย Bush จะพลาดรายเดียว รัฐบาล Obama ก็พลาด เช่นเดียวกัน แม้คนละแบบ แต่ผลลัพธ์สาหัสไม่แพ้กัน Arab Spring ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านอเมริกา และตะวันตกมากขึ้น และ Arab Spring ทำให้เกิดผึ้งแตกรัง ที่อิยิปต์ และ ลิเบีย และที่กำลังตามมา คือ ซีเรีย และ อิรัก อาจกลายเป็นสนามฆ่าที่โหดน่ากลัว และถึงบัดนี้ แม้คนในบ้านอเมริกาจะออกมาส่งเสียงว่า เรื่องตะวันออกกลางให้คนตะวันออกกลางจัดการกันเอง แต่ดูเหมือนโอบามาจะน้ำท่วมปาก หรือเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อคนตะวันออกกลาง อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นค่ายที่สนับสนุนอเมริกา เรียกร้องให้อเมริกาจัดการ เรื่องซีเรียกับอิรักให้ “เรียบร้อย” เรียบร้อยแบบไหนล่ะ ก็แบบที่คาวบอย Bush เคยทำไงล่ะ ถล่มมันให้เหี้ยนเลย เสี่ย ใหญ่ซาอุดิ ยื่นรายการต่อว่า ยาวเป็นหางว่าว ตะแคงข้างส่งให้ลูกพี่ด้วยความขัดใจ เรื่องอะไรบ้าง ก็ทุกเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั่นแหละ เสี่ยใหญ่ไม่ถูกใจเลยสักเรื่อง อเมริกายังจะเดินหน้าใช้ Right Sizing ขนาดกำลังพอดีอยู่อีกหรือ อย่างนี้พวกเราก็ม่อยกระรอกแหลกเกลื่อนกันหมด อเมริกาคิดหนัก ไม่ใช่ห่วงเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกหรอก อเมริกาห่วงไอ้ที่อยู่ใต้ดินของพวกเสี่ยใหญ่ซาอุดิกับพวกต่างหาก เรื่องลามมาถึงตรงนี้ ไม่ยกทัพกรีฑาไปกวาดทะเลทรายอีกรอบ ก็คงมีหวังเสร็จกลุ่ม เสี่ยนิวเคลียร์กับพวก และเพื่อนตัวใหญ่ที่กอดอกดูอยู่เงียบๆ อีก 2 ราย คุณพี่ปูตินและอาเฮีย จะปล่อยให้โอกาสทอง ลอยผ่านหน้าไปเฉยๆอย่างงั้นหรือ แต่ถ้าจะรบ อเมริกาจะไปแบบ Right Sizing ก็นอนอยู่บ้าน กอดคุณนายมิเชล (ถ้าคุณนายแกยอมนะ) ดีกว่า เพราะมันสู้เขาไม่ได้แน่ ถ้าจะไป มันต้องให้ใหญ่โต อลังการ กระเทือนโลก สมฐานะ ของพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก แล้วจะไปเดี่ยวๆได้อย่างอย่างไร เรามันคนใหญ่คนโต จะไปไหนที่ยังต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง บางทีมากกว่าประชาชนที่ถูกเกณท์มาคอยรับซะอีก นี่จะยกทัพไปชิงแเดน อาจยาวไปถึงชิงโลก แบบนี้ต้องสั่งให้พรรคพวกและลูกกระเป๋ง ไม่ว่า หัวทอง หัวดำ หัวด่าง หัวล้าน ขานชื่อเอาไปให้ครบ เอ้อ เขียนแล้วเหนื่อยใจแทน แล้วก็เหมือนฉากหนัง Hollywood สร้าง ทยอยออกมาแสดงให้ดูกัน เมื่อ วันที่ 12 ,13 พฤษภาคม ค.ศ.2014 สถาบันข่าวกรองเกี่ยวกับความมั่นคงของแคนาดา Canadian Security Intelligence Service (CSIS) หน่วยงานของรัฐบาลแคนาดา จัดรายการสัมมนาใหญ่เกี่ยวกับตะวัน ออกกลาง โดยบอกว่า เป็นการจัดตามการกำกับของ Chatham House ถ้ายังจำกันได้ Chatham House เป็น think tank ที่มีอิทธิพลสูงสุดของอังกฤษ ที่เกิดคู่กับ Council for Foreign Relation (CFR) ของอเมริกา เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919 หลัง จากการสัมมนา CSIS แคนาดา เพิ่งออกรายงานเผยแพร่เมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้เอง กระดาษพิมพ์ยังร้อนอยู่เลย ยาวประมาณ 100 หน้า ส่วนที่วิเคราะห์อื่นๆ ส่วนใหญ่ เหมือนที่ค่ายต่างๆวิเคราะห์กัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ที่น่าสนใจคือ รายงานนี้ระบุว่า ขบวนการ Al-Qaeda ยังไม่ตาย นอกจากยังไม่ตายแล้ว ยังฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง !! ว้าว มาแล้ว หนังตื่นเต้น ตลอดช่วงปี ค.ศ.2009-2012 อเมริกาบอกว่าใช้ drone ถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม Al-Qaeda จนทำให้ระดับหัวหน้าของขบวนการตายเกลื่อน รวมทั้งลูกน้องระดับสำคัญอีกก ว่า 200 นาย ทำให้ขบวนการแตกกระเจิง ที่ไหนได้ ถึงถูกตัดหัวทิ้ง แต่ตัวยังอยู่ พวกที่เหลือ ค่อยๆย้ายฐาน แอบไปซ่อนตัว กระจายอยู่บริเวณอาฟริกาเหนือ อาฟริกาตะวันตก Sinai และที่ Levant Levant คือส่วนที่ชาวคริสต์เคยอยู่ในออตโตมาน ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณที่ประกอบด้วย ไซปรัส อิสราเอล จอร์แดน เลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย และทางใต้ของตุรกี อืม! แดนเดือดเกือบทั้งนั้น ซีเรีย กำลังเป็นหัวหาดใหม่ของ Al-Qaeda เพื่อบุกกลับเข้าไปในตะวันออกกลาง ซีเรีย กลายเป็นแดนเดือดเหมือนที่อาฟกานิสถานเคยเป็นเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นแม่เหล็กดึงดูด ให้พวกนักสู้หัวเห็ดกระหายเลือดทั้งหลาย หลั่งไหลเข้าไปจับจองพื้นที่ เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์ แม้จะมี ข่าวว่ากลุ่ม Al-Qaeda เอง ก็ไม่ได้ลงรอยกันนัก ระหว่างกลุ่มที่เป็นซีอ่ะห์กับสุนหนี่ แตกแยกเป็นกลุ่ม Jabhat al-Nusra และ Islamic State of Iraq and the Levant (ISIL) และกลุ่มเดิมคือพวกที่อยู่ในความดูแลของ Aymarn al-Zawahiri ซึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าขบวนการแทนหลัง Bin Laden ถูกเก็บ แต่การแตกแยก กลับกลายเป็นการแข่งขัน สร้างความรุนแรงให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายงานยังบอกว่า ขบวนการ Al-Qaeda ได้เริ่มมีการแตกหน่อรับสมาชิกเพิ่ม โดยเล็งไปที่กลุ่มชนชั้นกลางและ ชั้นสูงในปากีสถาน โดนเฉพาะพวกมีปริญญา วิศวฯ และวิทยาศาสตร์ Ahmad Faruq, Asim Lumar และ Abu Zar Assami ซึ่งเป็นชาวปากีสถาน ได้ก้าวขึ้นเป็นระดับหัวหน้าของขบวนการแล้ว พวกเขาคิดจะทำอะไรกันนะ รายงาน บอกว่าขณะนี้แม้ Al-Qaeda จะมีฐานใหม่ อยู่ที่ตะวันออกกลาง (Levant) และฐานที่เอเซียใต้ (South Asian) แต่เป้าหมายเดิม ที่จะทำลายล้างอเมริกาและตะวัน ตกไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า การที่ Al-Qaeda สร้างฉากตื่นเต้นขึ้นที่ North Africa และ Levant เป็นการออกบัตรเชิญ พวกหนุ่มห้าวทั้งหลายให้มาร่วม รายการ ขณะนี้มีหนุ่มห้าวประมาณ 8,000 คน จากอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมัน และสวีเดน เข้ามาร่วมขบวนการด้วย และเป็นไปได้ว่าพวกหนุ่มห้าวนี้แหละ เมื่อกลับไปบ้าน ก็จะสร้างแผน เตรียมการในการก่อการร้ายในประเทศที่ตนเองพำนักอยู่ เพราะกลุ่มหนุ่มห้าว 8,000 คนนี้ สามารถเดินทางเข้าออกผ่านประเทศในสหภาพยุโรป และอเมริกาได้ อย่างยากต่อการตรวจสอบของฝ่ายความมั่นคง นี่! อย่างนี้ต้องปรบมือให้ ดังๆ ถือว่าเป็นการออกรายงาน ที่ใช้เรื่องและเวลาที่เหมาะสม แก่ยุทธศาสตร์ เพื่อการเปลี่ยนนโยบาย Right Sizing ยิ่งนัก แบบนี้ทั้งคนอเมริกา คนยุโรป ไม่แคล้วหน้าซีด หูตก หางจุก จมูกชื้น กันหมด ไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องให้รัฐบาลโอบามา เดินหน้าถล่มซีเรียลูกเดียว แถมย้อนหลังมาแถมอิรัก และบวกอิหร่านรายสำคัญ หมากจริงด้วย ไม่งั้นอาจโดนขบวนการ Al-Qaeda ถล่มตึกอีกรอบ ถ้าเกิดจริง รอบนี้น่าเป็นห่วง กลัวหวยจะออกที่ทำเนียบขาว และรัฐสภาอังกฤษเหลือเกินครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
    ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ
    ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน
    ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน
    อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ
    เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว
    เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง
    ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม
    ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ
    หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก !
    Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้
    แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน
    เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว
    แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง
    เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น
    แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่
    ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ
    เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก
    นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย
    ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย
    แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ตอนที่ 1
ตะวัน ออกกลาง อยู่กลางแดด แต่เหมือนแดนสนธยา เรื่องราวของคนกลางแดดน่าพิศวง ชวนงง ไม่ง่ายสำหรับคนนอกแดดจะเข้าใจ โดยเฉพาะพวกฝรั่งตะวันตกที่เข้าไปยึดครองครอบงำ ถึงขนาดมีการพูดถึงชาวตะวันออกกลางว่า มิตรภาพของพวกเขามีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) แต่ไม่ได้มีไว้ขาย (ถาวร) แม้จะเป็นชาวทะเลทรายด้วยกัน แต่ความต่างเผ่า ต่างพันธุ์ ต่างนิกาย ต่างประเพณี ทำให้วิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต และการเดินนโยบายประเทศของพวกเขา แตกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ ความแตกต่างของชาวตะวันออกกลาง มีมานานแล้ว แต่ปัจจุบัน ความแตกต่างดูเหมือนจะกลายเป็นความแตกแยก แบ่งกันเห็นชัดเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งนิยมและนอนนิ่ง อยู่ในอุ้งมือของนักล่าฝรั่งตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา นักล่าใบตองแห้ง กับอังกฤษ นักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย ค่ายนี้นำโดย ซาอุดิอารเบีย เสี่ยใหญ่แห่งทะเลทราย มีพรรคพวกในสังกัด เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประเภทชอบพกกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ เป็นปึก คือ ยูไนเต็ดอาหรับเอมิเรต (UAE) คูเวต บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และอิรัก บวกด้วย เศษของ เศรษฐีอีกหนึ่งราย คือ จอร์แดน ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่พวกบ้านติดอ่าวด้วยกัน แต่ก็เป็นประเภทนอนสบาย ไม่เดือดร้อนอยู่ในอุ้งมือนักล่าด้วยเช่นกัน ส่วน อีกค่ายหนึ่ง เข้าใจว่า ขณะนี้ไม่นิยมใช้ใบตองแห้ง และไม่ชอบอยู่เกาะ หลังจากเคยนิยมกันมาพักใหญ่ค่ายนี้นำโดยอิหร่าน ซึ่งกำลังถูกกล่าวหา (หรือกล่าวจริง) ว่ามีนิวเคลียร์พกติดกระเป๋ากางเกงไว้ตลอดเวลาอย่างน้อย 2 ลูก ส่วนพรรคพวกที่อิหร่านเพียรเกี้ยว และเกี่ยวมาเข้าค่ายเดียวกันมี ซีเรีย เลบานอน และกำลังล่อเอาอิรักออกมาจากค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ ลูกน้องตัวโปรดของนักล่าใบตองแห้งด้วย นอกจากนี้ ข่าวลือว่าตุรกี ซึ่งเคยเสพติดกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์ ก็กำลังลังเล อาจจะย้ายมาอยู่ค่ายนี้ด้วย แต่อย่างว่า นักไต่ลวดพันธ์ลูกครึ่งชอบเกมเสี่ยง คงยังไม่ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ต้องรอให้เสียวจัดกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยแสดงฉากผาดโผน อะไรทำให้พวกอยู่กลางแดด แตกแยกกันถึงขนาดนี้ พวกเขาจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องๆ ในมุมของแต่ละค่าย ซึ่งแน่นอน คนละเรื่องเดียวกันเสมอ เรื่อง การบุกเข้าไปถล่มอิรัก ของอเมริกานักล่าใบตองแห้ง และเก็บซัดดัมใส่ห่อฝังลืม ตั้งแต่ ค.ศ.2003 ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ บอกเป็นของขวัญอันล้ำค่า ที่อเมริกาดันมอบให้อิหร่านโดยประมาท หรือประเมินผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ การทำให้อิรักแหลก ซัดดัมเละ เกิดช่องว่างในอิรัก ให้อิหร่านแทรกตัวเข้าไปได้อย่างไม่ยาก อิรักมีพวกซีอ่ะห์อยู่เกือบ 60% ของพลเมือง มีเพื่อนซีอ่ะห์อย่าง อิหร่านมาสนับสนุน ประโลมใจ ยามบ้านแตกสาแหรกหาย ย่อมดีกว่ามีพวกฝรั่งนักล่ามา ไล่ถล่มทิ้งระเบิดใส่ ไม่ต้องวิเคราะห์มาก เรื่องตรงไปตรงมา แน่นอน เสี่ยใหญ่ย่อมไม่พอใจ มันฉวยโอกาสฉกเด็กของเราไป จะพูด จะบ่น เรื่องอะไรกับลูกพี่ เสี่ยใหญ่เป็นต้องเอาเรื่องนี้ ขึ้นต้นเป็น แผ่นเสียงตกร่องก่อนเสมอ ทำให้ลูกพี่แสนจะเอือม เลิกพูดซ้ำซากได้มั้ยเสี่ย มันพลาดไปแล้ว อย่าย้ำหัวตะปูมาก นี่ถ้าไม่ติดพันกันเรื่องน้ำมัน ป่านนี้ตอกตะปูหัวให้แล้ว เรื่อง Arab Spring จากการรดน้ำใส่ปุ๋ย เอาต้นไม้ประชาธิปไตย ปลูกลงดินแดนทะเลทรายมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ค.ศ.2011 ก็เริ่มเห็นผล ต้นไม้ประชาธิปไตยเริ่มทยอยกันงอกกลางทะเลทราย เริ่มตั้งแต่ตูนีเซีย เรื่องของเด็กขายผลไม้เผาตัวเอง เป็นตำนานที่โลกจะไม่มีวันลืม กัดดาฟี่เผด็จการตัวร้าย ถูกขยี้อยู่ในที่หลบภัยพร้อมกับ ลูกรัก โลกตบมือ ไชโย ดีใจ เผด็จการตัวร้ายไปอีกหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น อียิปต์ก็ลุกฮือเอาอย่าง มูบารักกุมบังเหียนมากว่า 30 ปี ก็มีวันที่ลงจากม้าแทบไม่ทัน แถมยังต้องถูกนอนเปลห้ามไปขึ้นศาลข้อหาฆ่าประชาชน อนิจจา อนิจจัง ต้นไม้ ประชาธิปไตยงอกงาม Arab Spring งามจริงๆ พร้อมกับการอ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศล่มสลาย ประชาชนล้มตาย พิการเท่าไหร่ น้อยคนจะติดตาม เรื่องช่อง 3 จอดำคงมีคนติดตามมากกว่า สมันน้อย ก็คงตามดูข่าว อ้าปากหวอ สลับดูละครน้ำเน่าเหมือนเดิม ผู้ปกครอง ประเทศ ที่เป็นเผด็จการ ก็สมควรอยู่ที่จะต้องถูกกำจัด แต่มันคงไม่ง่ายเหมือนใจนึก หลังจากเด็ดหัวทิ้งแล้ว จะจัดการกับตัวอย่างไร ประเทศนะ ไม่ใช่ต้นกล้วย จะได้ฟันฉับแล้วจบ ถึงเป็นต้นกล้วยหน่อมันยังงอกเลย แล้วประเทศมันจะเปลี่ยน แบบฉากละครง่ายๆอย่างนั้นหรือ ใครที่คิดว่า จะเปลี่ยนอะไร แบบง่ายๆ ได้ง่ายๆ ก็คิดทบทวนให้มากๆหน่อยนะครับ หลัง Arab Spring ทำให้เกิดอาการผึ้งแตกรัง หัวหน้าไม่มี ฝูงผึ้งก็บินกระจัดกระจาย แต่มันไม่ใช่แค่ผึ้งรังเดียว มันทยอยกันแตกไม่รู้กี่รัง ไปทั่วทะเลทราย ไอ้คนที่ทำผึ้งแตกรัง ดันหดหัว หางตก กลับบ้าน เพราะยังตั้งตัวไม่ติด ถุด ! เก่งดีนัก ! Arab Spring ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ซาอุดิ หงุดหงิด บอกมันเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้เราจะไม่เหมือน กัดดาฟี่ มูบารัก ซัดดัม เพราะคนพวกนี้กดขี่ประชาชนตนเอง แต่พวกเราคนรวย เราดูแลประชาชนของเราดี ไปดูตัวเลขที่ CIA แต่งให้ซิ รายได้ต่อหัวของพลเมืองเราอยู่อันดับไหน (หากันเอาเองนะครับ ผมขี้เกียจเข้าไปค้นตัวเลขปลอมๆของ CIA ) แต่นั่นล่ะนะ มันทำให้คนในบ้านเรา อดเกิดความคิดเฟื่องด้วยไม่ได้ ทำให้พวกเราต้องเพิ่มการดูแล และแลดูเขามากขึ้น มันเป็นการเพิ่มรายจ่ายให้กับเรานะ แล้วกัน เสี่ยใหญ่ เสียแรงเป็นลูกน้องระดับแถวหน้า ของเจ้าของผู้ผลิตสินค้ายี่ห้อประชาธิปไตย ยังไม่ชื่นชมนิยมยินดีเลย แบบนี้เจ้าของเขาจะไปหลอกขายสินค้าใครได้ แต่ สำหรับอิหร่านเจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก บอก Arab Spring ไม่มีปัญหาสำหรับบ้านเรา เพราะคนบ้านเราเขาดูออกว่าเป็นสินค้าปลอม เขาเคยใช้สินค้านี้มาหลายสิบปี รู้ฤทธิ์ของปลอม ว่ามันทำพิษพวกเขาขนาดไหน และดีเสียอีก มีคนขายของปลอมกันมากๆ เป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าตราอื่นไปขายแข่งบ้าง และดูเหมือนการตลาด หรือสินค้าของอิหร่านจะเข้าตา ตอนนี้ลูกค้าเพิ่มทุกวัน เรื่อง ซีเรีย ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ มองเหตุการณ์ที่ซีเรีย เหมือนฝันร้าย เล่นเอาตอนนี้นอนตาโพลง กลัวว่าถ้าหลับตา จะต้องฝันร้ายเรื่องเดียวกับซีเรีย สนามรบซีเรีย มีนักรบเพิ่มขึ้นมากมาย หลายพวก หลายกลุ่ม ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝั่งต่อต้านรัฐบาล ต่างฝ่ายใช้วิธีการตลาดผ่านหน้า social media เหมือนสร้างหนังสด เล่นเอาพวกที่ชมดูอยู่ทางบ้าน อดใจไม่ไหว สะพายเป้เข้าไปร่วมรายการด้วยมากมาย มีการประกาศรายชื่อกลุ่มเพิ่มเกือบทุกวัน จนตามไม่ทัน กลุ่มเสี่ยใหญ่นั่งไม่ติด แล้วอเมริกาจะทำอะไรบ้างไหม ทำไมอเมริกาไม่ยกทัพไปปราบ เหมือนตอนปราบซัดดัม เหมือนตอนปราบบินลาเดน เหมือนตอนปราบกัดดาฟี่ เหมือนตอนปราบมูบารัก กลุ่มเสี่ยใหญ่กลุ้มใจ จนกรดไหลย้อนบ้านหมุน นี่ถ้าพวกไปหนุนซีเรีย ไม่ว่าข้างไหน มันชนะ ความวุ่นวายมันจะต้องลามมาถึงบ้านอันใหญ่โต หรูหรา เย็นฉ่ำ ของเราแน่นอน เราจะนิ่งเฉยๆดู อเมริกาอยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ะหรือ !? คงต้องคิดทำอะไรบ้างแล้ว แต่สำหรับ อิหร่าน ซึ่งสานสัมพันธ์กับ Assad ของซีเรียมานานแล้ว รวมทั้งเลบานอนและอิรัก คงไม่ถึงกับนอนไม่หลับฝันร้าย แต่ในเมื่อเขาว่า ในตะวันออกกลาง มิตรภาพมีไว้ให้เช่า (ชั่วคราว) ไม่มีไว้ให้ขาย(ถาวร) วันหนึ่งเพื่อนหายหน้าหมด แต่การคว่ำบาตรของฝ่ายนักล่าตะวันตก ยังคงมีค้างอยู่กลางแดด อิหร่านก็ต้องคิดหนัก จะเดินหน้าเต็มตัวหนุน Assad ก็ต้องแน่ใจ และใจแน่ แต่ดูเหมือนอิหร่านจะเลือกใช้ถนน One way ถอยลำบากเสียแล้วกระมัง เรื่อง ศักยภาพทางอาวุธ หน่วยข่าวกรองรับจ๊อบ กระซิบบอกค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิว่า อิหร่านมีจรวดพิสัยกลางแน่นอน ขนาดกำลังพอดีกับเป้าหมายแถวอ่าว และเชื่อว่าอาวุธของอิหร่าน มีอานุภาพขั้นทำลายได้รุนแรง จริงจัง ไม่ใช่แค่ลำลายตึกและประชาชนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ค่ายเสี่ยใหญ่ ฮึดสู้ทุ่มทุนซื้ออาวุธจากลูกพี่เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี เงินหนานี่ จะเอาอะไรล่ะ ลูกพี่มีให้ทั้งนั้น แต่ที่ สำคัญ ตราบใดที่ลูกพี่มหามิตร นักล่าใบตองแห้ง ยังเป็นมหามิตรยืนอยู่ข้างหลังค่ายเสี่ยใหญ่อยู่ตลอดกาล อิหร่านต่างหาก จะกลายเป็นใบตองแห้งเสียเอง ดังนั้นค่ายเสี่ยใหญ่จึงต้องทำทุกอย่าง ให้ลูกพี่ประกาศออกมาต่อหน้าโลก ไม่ใช่มาทำกระซิบกระซาบเบาๆ แบบเหนียมอาย ว่าลูกพี่พร้อมที่จะปกป้องค่ายเสี่ยใหญ่ มายืนติดอยู่ข้างหลังเหมือนเอากาวทาติดตัวไว้ตลอด ได้ยินไหมคร๊าบ ลูกพี่ ส่วน ค่ายอิหร่าน เจ้าของนิวเคลียร์ 2 ลูก ตอบขรึมๆว่า ก็คอยดูไปก็แล้วกัน เรื่องอาวุธไม่จำเป็นต้องคุย ใครๆก็รู้ว่าเสือซุ่มน่ากลัวแค่ไหน ส่วนจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องใช้กาวทาติดไว้ ก็คอยดูไปอีกเช่นกัน แหม! ตอบแบบพระเอกเลยนะ เรื่อง อาวุธนิวเคลียร์ ค่ายเสี่ยใหญ่ซาอุดิ คิดว่า เราก็เป็นเสี่ยใหญ่มีเงินหนา ทำไมเราจะซื้อหามามั่งไม่ได้ ข่าวเขาว่า ซาอุดิ กำลังปรับสมรรถนะเครื่องยิงจรวดวิถีไกล ที่ซื้อมาจากจีนอยู่อย่างเคร่งเครียด ข่าวนี้เขียนไปแล้วแต่หาเครื่องกรองไม่เจอ จึงไม่รับรองความแม่นยำนะครับ และมีข่าวว่า ปากีสถานก็อาจจะแบ่งขายอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้เสี่ยซาอุดิด้วย เพราะเป็นมิตรรักร่วมใช้กระเป๋าของเสี่ยซาอุดิมานานแล้ว แค่นี้ทำไมจะปันแบ่งกันให้ไม่ได้ นี่พูดแบบหนังแขกเลยนะ ยังกะมันแบ่ง มันขายกันให้ง่ายๆงั้นแหละ เฮ้อ! พูดกับคนรวยนี่เหนื่อยนะ เอะอะก็เรามีเงิน เดี๋ยวซื้อนี่ ซื้อนั่น คำว่าสร้างน่ะรู้จักกันบ้างไหม นิวเคลียร์นะเขาสร้างกันนานแค่ไหน บารมี ก็เหมือนกัน ซื้อไม่ได้ นะครับ เขาต้องสร้างเอง สร้างนานด้วย ไอ้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ปุ๊บปั๊บ ดังคับจอ บอกบารมีเต็มเปี่ยมน่ะ ถูกหลอกต้มทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวก็รู้สึก นอก เรื่องไปหน่อย กลับมาเรื่องเสี่ยซาอุดิ ซึ่งยังเชื่อว่า เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน น่าจะยังอยู่ในขั้นพัฒนา ไม่ใช่อยู่ในขั้นใช้การได้จริงๆ และถ้าจะใช้จริง ของดีที่อิสราเอลมีอยู่ ก็น่าจะมีอานุภาพมากกว่าของอิหร่าน ในฐานะสังกัดลูกพี่เดียวกัน ใจคออิสราเอลจะทิ้งให้ซาอุดิลำบากหรือ แหม! เสี่ยใหญ่คิดแบบนี้ละซิ มันถึงจะเจ๊งเอาจนได้ เวลาจะใช้นิวเคลียร์ของเขาก็ดันนับญาติ เวลาหมั่นไส้ ก็หาว่ายิวฮุบแผ่นดินอาหรับแล้วก็ส่งลูกกระเป๋งไปโซ๊ย ลูกพี่ใบตองแห้งฝากเตือนมานะเสี่ย ส่วนค่ายอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์ 2 ลูกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เหมือนเดิม พูดเรื่องอาวุธทีไร ต้องทำหน้าขรึม บอกว่า เราจะมีถึงขั้นใช้การได้หรือไม่ อีกหน่อยก็คงรู้กัน พูดซะหล่อเลย แม้ ทั้ง 2 ค่ายกลางทะเลทราย จะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ คนละทิศกัน แต่ทั้ง 2 ค่าย ต่างก็เป็นหมากในกระดานของเกมชิงโลก แม้สถานะของหมากจะต่างกัน แต่มันขึ้นกับลูกพี่ใหญ่คนเดินหมาก ที่มีเป้าชิงโลกใบนี้ ให้อยู่ในมือตนแต่ผู้เดียว จะเดินหมากต่อไปอย่างไร สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ตุลาคม 2557
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 Reviews
  • ฮามาสส่งรายชื่อนักโทษปาเลสไตน์ที่ต้องการให้ปล่อยตัวเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกันอิสราเอล เผยการเจรจาที่อียิปต์เป็นไปด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรีกาตาร์ ตลอดจนถึงผู้แทนอาวุโสของอเมริกาและตุรกีจะร่วมหารือด้วย ขณะที่ทรัมป์เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสันติภาพในตะวันออกกลาง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000096487

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ฮามาสส่งรายชื่อนักโทษปาเลสไตน์ที่ต้องการให้ปล่อยตัวเพื่อแลกเปลี่ยนกับตัวประกันอิสราเอล เผยการเจรจาที่อียิปต์เป็นไปด้วยดี โดยนายกรัฐมนตรีกาตาร์ ตลอดจนถึงผู้แทนอาวุโสของอเมริกาและตุรกีจะร่วมหารือด้วย ขณะที่ทรัมป์เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสันติภาพในตะวันออกกลาง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000096487 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 2
ชาวเกาะใหญ่ฯ ใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company (APOC) และ Turkish Petroleum Company (TPC) เป็นตัวแทนในการควบคุมแหล่งน้ำมันที่ตัวเองฮุบมาในอิหร่านและอิรัก
    ใน ส่วนของ Turkish Petroleum เอง อังกฤษใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company ถือหุ้น 47.5% ที่เหลือเป็นของพวกดัชท์ 22.5% ฝรั่งเศส 25% และอาร์มาเนียน 5% เมื่อแบ่งให้อเมริกาไป 23.75% ส่วนของอังกฤษอย่างเป็นทางการจึงเหลือ 23.75% เท่ากับอเมริกา เหมือนนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯจะใจดีกับอเมริกานักล่ารุ่นใหม่ เกินสันดาน
    อังกฤษ ไม่ได้แบ่งหุ้นให้อเมริกาด้วยความเสน่หา แต่เป็นการล่อให้อเมริกาเดินเข้า ไปติดกับดัก ที่วางเอาล่อไว้ ผู้ถือหุ้นใน Turkish Petroleum Company (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company) ต้องเซ็นสัญญาเรียกว่า Red Line Agreement ห้ามผู้ถือหุ้นแข่งขันกันขุดน้ำมัน ในบริเวณต้องห้าม คือ ตุรกี อิรัก เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และซาอุดิอารเบีย รายหลังนี่สำคัญ แหม! คุณพี่ชาวเกาะฯ แบบนี้มันก็เกือบหมดตะวันออกกลางไปแล้ว ถึงว่า เหมือนจะใจดีกับน้องใหม่ ที่ไหนได้ เขารักกันแบบนี้เอง !
    บังเอิญ Gulf Oil บริษัทน้ำมัน ไม่ใหญ่ไม่เล็กของอเมริกา เกิดไปได้สัมปทานจากบาห์เรน และคูเวต อังกฤษชาวเกาะใหญ่ฯ ก็คัดค้านอีก อ้าว ! ก็ไม่อยู่ในเขตเส้นแดงต้องห้ามนี่หว่า จะมาโวยวายได้ไง Gulf Oil ขอให้กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา เข้ามาช่วยจัดการ
    ในที่สุด Gulf Oil ก็โอนสิทธิสัมปทานที่ได้มาจากบาห์เรน ให้แก่ Standard Oil of California (SOCAL) ที่ไม่อยู่ในสัญญา Red Line อังกฤษถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นี่ถ้ารู้ว่า Gulf Oil ก็คือหน้าม้าของ Standard Oil ที่ตั้งขึ้น เพื่อแอบยื่นเท้าเข้าไปในบาห์เรน ไม่ให้อังกฤษรู้ตัว อังกฤษคงถึงกับช้ำใน SOCAL ใส่เสื้อเกราะหลายชั้น ทั้งปลอมตัว ทั้งเลี่ยงกฏหมาย ตั้งบริษัท ใหม่ ชื่อ Bahrain Petroleum Company ตามกฏหมายของแคนาดา มารับสัมปทานจากบาห์เรนแทน ค.ศ.1932 Bahrain Petroleum Company ก็เริ่มขุดน้ำมันได้
    อเมริกาเร่งเครื่อง รุกต่อที่คูเวต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐที่อยู่ในอาณัติปกครองของอังกฤษ อังกฤษเองกำลังปวดหัว กับการเริ่มลุกขึ้นมาแข็งข้อของ พวกอาหรับ คิดยี่ต๋อกแล้ว มีอเมริกามาเป็นพวก แถมมีโอกาสได้น้ำมันเพิ่ม น่าจะแสดงเดี่ยว ในที่สุด ค.ศ.1934 อเมริกา อังกฤษ ก็จับมือกันตั้ง Kuwait Oil Company ถือหุ้นฝ่ายละ 50 เท่ากัน
    น้ำมันในบาห์เรน ทำให้อเมริกานักล่าหน้าใหม่ถึงกับซูดปาก ฉวยโอกาสขณะที่อังกฤษกำลังโดนศอกจากเหยื่อ เอะ ! หรืออเมริกาช่วยสอนวิธีศอกกลับ ให้พวกเหยื่อของชาวเกาะใหญ่ด้วย Standard Oil of California (SOCAL) ไม่ได้ถูกล็อคคอทำสัญญาเขตเส้นแดง แอบไปคอยดักคำนับ สวัสดีกับ King Ibn Saud ของซาอุดิอารเบีย
    แม้ซาอุดิอารเบียจะตั้งเป็นรัฐเอกราชตั้งแต่ ค.ศ.1931 แต่อเมริกาก็ยังไม่เคยมีสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วย อเมริกาถือว่าเป็นนักล่าหน้าใหม่ กำลังเรียนงาน เรียนวิธีล่าเหยื่อจากลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ การเรียนวิธีการล่าเหยื่อของอเมริกาน่าสนใจ
    ขณะนั้นอเมริกาส่งนาย Bert Fish เข้าเป็นกงสุลอยู่ในอิยิปต์ มีหน้าที่สอดส่องกิจกรรมแถบตะวันออกกลาง คุณ Fish คงเคยอยู่แต่ในน้ำ มาว่ายแถวทะเลทรายเลยไม่คล่องตัว เขาเคยไปเยี่ยมเมือง Jidda ของซาอุดิอารเบีย 1 ครั้ง ได้มีโอกาสพบผู้ก่อตั้งและผู้นำรัฐ คือ กษัตริย์ Alb al-Aziz bin al-Rahman al-Saud หรือเรียกย่อๆว่า Ibn Saud แต่คุณปลามองผ่าน โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปสะดุดเอาเจ้าของแหล่งใหญ่ ของสิ่งมหัศจรรย์มีค่าของโลก คงนั่งรอให้น้ำขึ้นกลางทะเลทรายไปเรื่อยๆ
    แต่กลับกลายเป็น กษัตริย์ Ibn Saud เองที่เล็งเห็นอาวุธที่มองหามานาน
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 2
ชาวเกาะใหญ่ฯ ใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company (APOC) และ Turkish Petroleum Company (TPC) เป็นตัวแทนในการควบคุมแหล่งน้ำมันที่ตัวเองฮุบมาในอิหร่านและอิรัก ใน ส่วนของ Turkish Petroleum เอง อังกฤษใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company ถือหุ้น 47.5% ที่เหลือเป็นของพวกดัชท์ 22.5% ฝรั่งเศส 25% และอาร์มาเนียน 5% เมื่อแบ่งให้อเมริกาไป 23.75% ส่วนของอังกฤษอย่างเป็นทางการจึงเหลือ 23.75% เท่ากับอเมริกา เหมือนนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯจะใจดีกับอเมริกานักล่ารุ่นใหม่ เกินสันดาน อังกฤษ ไม่ได้แบ่งหุ้นให้อเมริกาด้วยความเสน่หา แต่เป็นการล่อให้อเมริกาเดินเข้า ไปติดกับดัก ที่วางเอาล่อไว้ ผู้ถือหุ้นใน Turkish Petroleum Company (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company) ต้องเซ็นสัญญาเรียกว่า Red Line Agreement ห้ามผู้ถือหุ้นแข่งขันกันขุดน้ำมัน ในบริเวณต้องห้าม คือ ตุรกี อิรัก เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และซาอุดิอารเบีย รายหลังนี่สำคัญ แหม! คุณพี่ชาวเกาะฯ แบบนี้มันก็เกือบหมดตะวันออกกลางไปแล้ว ถึงว่า เหมือนจะใจดีกับน้องใหม่ ที่ไหนได้ เขารักกันแบบนี้เอง ! บังเอิญ Gulf Oil บริษัทน้ำมัน ไม่ใหญ่ไม่เล็กของอเมริกา เกิดไปได้สัมปทานจากบาห์เรน และคูเวต อังกฤษชาวเกาะใหญ่ฯ ก็คัดค้านอีก อ้าว ! ก็ไม่อยู่ในเขตเส้นแดงต้องห้ามนี่หว่า จะมาโวยวายได้ไง Gulf Oil ขอให้กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา เข้ามาช่วยจัดการ ในที่สุด Gulf Oil ก็โอนสิทธิสัมปทานที่ได้มาจากบาห์เรน ให้แก่ Standard Oil of California (SOCAL) ที่ไม่อยู่ในสัญญา Red Line อังกฤษถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นี่ถ้ารู้ว่า Gulf Oil ก็คือหน้าม้าของ Standard Oil ที่ตั้งขึ้น เพื่อแอบยื่นเท้าเข้าไปในบาห์เรน ไม่ให้อังกฤษรู้ตัว อังกฤษคงถึงกับช้ำใน SOCAL ใส่เสื้อเกราะหลายชั้น ทั้งปลอมตัว ทั้งเลี่ยงกฏหมาย ตั้งบริษัท ใหม่ ชื่อ Bahrain Petroleum Company ตามกฏหมายของแคนาดา มารับสัมปทานจากบาห์เรนแทน ค.ศ.1932 Bahrain Petroleum Company ก็เริ่มขุดน้ำมันได้ อเมริกาเร่งเครื่อง รุกต่อที่คูเวต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐที่อยู่ในอาณัติปกครองของอังกฤษ อังกฤษเองกำลังปวดหัว กับการเริ่มลุกขึ้นมาแข็งข้อของ พวกอาหรับ คิดยี่ต๋อกแล้ว มีอเมริกามาเป็นพวก แถมมีโอกาสได้น้ำมันเพิ่ม น่าจะแสดงเดี่ยว ในที่สุด ค.ศ.1934 อเมริกา อังกฤษ ก็จับมือกันตั้ง Kuwait Oil Company ถือหุ้นฝ่ายละ 50 เท่ากัน น้ำมันในบาห์เรน ทำให้อเมริกานักล่าหน้าใหม่ถึงกับซูดปาก ฉวยโอกาสขณะที่อังกฤษกำลังโดนศอกจากเหยื่อ เอะ ! หรืออเมริกาช่วยสอนวิธีศอกกลับ ให้พวกเหยื่อของชาวเกาะใหญ่ด้วย Standard Oil of California (SOCAL) ไม่ได้ถูกล็อคคอทำสัญญาเขตเส้นแดง แอบไปคอยดักคำนับ สวัสดีกับ King Ibn Saud ของซาอุดิอารเบีย แม้ซาอุดิอารเบียจะตั้งเป็นรัฐเอกราชตั้งแต่ ค.ศ.1931 แต่อเมริกาก็ยังไม่เคยมีสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วย อเมริกาถือว่าเป็นนักล่าหน้าใหม่ กำลังเรียนงาน เรียนวิธีล่าเหยื่อจากลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ การเรียนวิธีการล่าเหยื่อของอเมริกาน่าสนใจ ขณะนั้นอเมริกาส่งนาย Bert Fish เข้าเป็นกงสุลอยู่ในอิยิปต์ มีหน้าที่สอดส่องกิจกรรมแถบตะวันออกกลาง คุณ Fish คงเคยอยู่แต่ในน้ำ มาว่ายแถวทะเลทรายเลยไม่คล่องตัว เขาเคยไปเยี่ยมเมือง Jidda ของซาอุดิอารเบีย 1 ครั้ง ได้มีโอกาสพบผู้ก่อตั้งและผู้นำรัฐ คือ กษัตริย์ Alb al-Aziz bin al-Rahman al-Saud หรือเรียกย่อๆว่า Ibn Saud แต่คุณปลามองผ่าน โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปสะดุดเอาเจ้าของแหล่งใหญ่ ของสิ่งมหัศจรรย์มีค่าของโลก คงนั่งรอให้น้ำขึ้นกลางทะเลทรายไปเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็น กษัตริย์ Ibn Saud เองที่เล็งเห็นอาวุธที่มองหามานาน สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง
    หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น
    ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913
    อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม
    การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก
    ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน
    ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ
    คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85%
    ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ
    เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น
    เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913 อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85% ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย
    ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม
    ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง
    แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ
    ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน
    แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein
    อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ !
    แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน !
    Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย
    อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ
    อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด
    เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง
    ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ
    นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด
    Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ ! แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน ! Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 314 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 6”
    รัสเซียเองก็มีความฝัน ฝันของรัสเซียยิ่งเฟื่องจัดกว่าฝรั่งเศส รัสเซียอยากสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberian ยาว 5,400 กิโลเมตร ยาวที่สุดที่มีใครเคยคิด ผู้ที่เสนอความคิดนี้คือ Count Sergei Witte รัฐมนตรีคลังของรัสเซีย เส้นทางนี้จะเริ่มที่เมือง Vladivostok วิ่งข้ามภูเขา เขตแดนโซบีเรียไปจบที่จีน โดยปลอดจากการมีส่วนร่วม อิทธิพล และการขัดขวางของอังกฤษ

เค้าท์ Witte บอกว่ารัสเซียควรจะเปลี่ยนสภาพจากการเป็น “ตะกร้าขนมปัง” (bread basket) ให้กับอังกฤษเสียที รัสเซียได้แต่ทำหน้าที่ส่งแป้งสาลีให้อังกฤษมากี่นานแล้ว เปลี่ยนมาทำให้ประเทศของตนเองรวยบ้างเถิด ลืมบอกไป เค้าท์ Witte นี้ ก็เป็นสหายรักกับนาย Hanotaux นักฝันเฟื่องเพื่อให้ประเทศเฟื่องฟูด้วยกัน
    ข่าวเรื่องทางรถไฟ Trans Siberian แน่นอนต้องหลุดไปถึงหูของอังก ฤษ คนแพ้ทางรถไฟ เส้นทาง Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 กิโลเมตร อังกฤษแพ้ขนาดไหน นี่มัน 5,400 กิโลเมตร อาการแพ้ก็ต้องมากกว่า ยิ่งรู้ว่าคนช่วยคิดมันเป็นกลุ่ม ไหน อังกฤษนั่งไม่ติด คันไปหมดทั้งตัว ยิ่งกว่าลมพิษขึ้น มันเป็นพิษของความอิจฉา ที่แรงกว่าพิษใดๆ ยกเว้นลมพิษหึง ตามตำราเขาว่างั้นครับ
    สื่อใหญ่ชื่อ นาย A Colqhum ออกมาแสดงความเห็นทุกวัน “เส้นทางนี้ คงจะเป็นเส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกจะเคยรู้จัก และแน่นอนมันจะเป็นอาวุธทรงอานุภาพในมือของรัสเซีย ซึ่งมีอำนาจและมีความหมายอย่างยากที่จะประเมิน มันจะทำให้รัสเซียเพียงชาติเดียวลำพัง ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าน Dardanelles หรือคลองสุเอช (ที่อังกฤษควบคุม) มันจะทำให้รัสเซียเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความกดดันของใคร เข้มแข็งอย่างชนิดที่รัสเซียไม่เคยฝันว่าจะเป็นได้ถึงขนาดนี้” โอ้โห ช่างสรรหาถ้อยคำมาพูดจริง พูดออกข่าวทุกวันแบบนี้ ชาวเกาะอยู่เฉยได้ให้มันรู้ไป
    เป็นเวลาหลาย ๆ สิบปีมาแล้ว ที่อังกฤษจัดการวางไม้เสี้ยมและไม้ขวาง เพื่อดุลยอำนาจในยุโรป เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง อังกฤษขวางทางความเจริญของเยอรมันทางด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนตุรกีให้ควบคุม Dardanelles ทางที่รัสเซียจะเข้าไปยังแหล่งน้ำอุ่น และแม้ตุรกีจะอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับอังกฤษในการใช้เป็นสนามเล่นวิทยายุทธแม่ไม้ต่าง ๆ แต่เมื่อเยอรมันโตเกิน เกินกว่าที่อังกฤษจะเล่นลำพังได้ อย่างที่เคยเล่าไว้แล้ว อังกฤษจึงจำเป็นต้องมีเพื่อน (หรือเหยื่อ) มาร่วมรายการขยี้เยอรมัน
    อังกฤษพยายามจะขวางการสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียนี้ สาระพัดไม้ที่จะวาง แต่เส้นทางมันไกลกัน ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง ไปไม่ถึง รัสเซียสร้างทางนี้เกือบสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1903 และอังกฤษก็ฉวยโอกาส ขณะที่รัสเซียกำลังหน้าแตก ช้ำใจแพ้ญี่ปุ่นในสงคราม Russo – Japan ค.ศ. 1905 อังกฤษ ผู้ชำนาญในการทูตแบบตวัดลิ้น จึงกลับไปเกี้ยวรัสเซีย ให้มาถล่มเยอรมันด้วยกัน โดยยอมถีบออตโตมานทิ้ง และพร้อมจะยกออตโตมานให้รัสเซีย แต่รัสเซียไม่รู้เลยว่า อังกฤษนั้นอยู่ข้างญี่ปุ่นและสนับสนุนญี่ปุ่นในการสู้รบกับรัสเซีย
    ค.ศ. 1905 เค้าท์ Witte ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และผู้มาแทนเขา แนะนำพระเจ้าชาร์นิโคลัสให้ยอมรับ กลับไปสมานไมตรีกับอังกฤษ โดยรัสเซียบอกเพื่อแสดงไมตรีอันดียิ่ง เราขอยกอาฟกานิสถานและบริเวณส่วนใหญ่ของเปอร์เซียให้แก่อังกฤษ และรับปากว่าจะลดความอยากในเอเซียของรัสเซียลงไปหลายส่วน
    หลังจากนั้นสัญญา 3 ฝ่าย ระหว่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ก็มีการทำขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1907 ผนึกประเทศทั้ง 3 ไว้ด้วยกัน ด้วยกาวยี่ห้อขวางเยอรมัน เป็นการเตรียมพร้อม ในการปฎิบัติการขยี้เยอรมัน ให้แหลกไปจากเส้นทางเดินเข้าไปกินเค้ก ชิ้นโอชะที่ชื่อ ตะวันออกกลาง
    หลังจากอังกฤษใช้ ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง และกาว สำเร็จตามเป้าหมาย ฉากละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะลงโรง
    ละครฉากแรก เปิดฉากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1914 เป็นเวลาเพียง 3 เดือน หลังจากการใช้กาวทาเรียบร้อย อาร์คดยุก เฟอร์ดินานท์ มงกุฎราชกุมารของออสเตรีย ก็ถูกยิงกลางแดด โดยพวกเซิร์บ ละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มต้นแสดง
    การทะยานขึ้นมาทาบรัศมีของเยอ รมัน โดยความเจริญทางอุตสาหกรรม กองเรือขนส่งสินค้า กองทัพเรือ ทางรถไฟ ข้ามตะวันออกกลาง โดยเฉพาะรางรถไฟ ซึ่งวิ่งผ่านแหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษ ไม่อยากให้ใครมาชิงตัดหน้าไปก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคู่แข่ง เป็นสิ่งที่อังกฤษ ชาติมหาอำนาจ นักล่าอาณานิคมหมายเลขหนึ่ง แม้จะเป็นชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อย แต่ฝีมือสูงส่ง นอกเหนือจากการเสี้ยมแล้ว ฝีมือการขวางยิ่งล้ำเลิศ อังกฤษจึงต้อง ทั้งขัด และขวาง ไม่ให้เยอรมันแซงหน้าไปได้
    อังกฤษพร้อมที่จะเปลี่ยนนโยบายจาก โปรออตโตมาน ขวางรัสเซีย เป็นโปรรัสเซีย ขวางเยอรมัน ได้อย่างง่ายดาย เหมือนพลิกฝ่ามือ นโยบายการทูตของอังกฤษแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยคิดถึงน้ำใจไมตรีที่แท้จริง อังกฤษ มีแต่คำว่า ผลประโยชน์และผลประโยชน์
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 6” รัสเซียเองก็มีความฝัน ฝันของรัสเซียยิ่งเฟื่องจัดกว่าฝรั่งเศส รัสเซียอยากสร้างทางรถไฟสาย Trans-Siberian ยาว 5,400 กิโลเมตร ยาวที่สุดที่มีใครเคยคิด ผู้ที่เสนอความคิดนี้คือ Count Sergei Witte รัฐมนตรีคลังของรัสเซีย เส้นทางนี้จะเริ่มที่เมือง Vladivostok วิ่งข้ามภูเขา เขตแดนโซบีเรียไปจบที่จีน โดยปลอดจากการมีส่วนร่วม อิทธิพล และการขัดขวางของอังกฤษ

เค้าท์ Witte บอกว่ารัสเซียควรจะเปลี่ยนสภาพจากการเป็น “ตะกร้าขนมปัง” (bread basket) ให้กับอังกฤษเสียที รัสเซียได้แต่ทำหน้าที่ส่งแป้งสาลีให้อังกฤษมากี่นานแล้ว เปลี่ยนมาทำให้ประเทศของตนเองรวยบ้างเถิด ลืมบอกไป เค้าท์ Witte นี้ ก็เป็นสหายรักกับนาย Hanotaux นักฝันเฟื่องเพื่อให้ประเทศเฟื่องฟูด้วยกัน ข่าวเรื่องทางรถไฟ Trans Siberian แน่นอนต้องหลุดไปถึงหูของอังก ฤษ คนแพ้ทางรถไฟ เส้นทาง Berlin Bagdad ยาวประมาณ 2,500 กิโลเมตร อังกฤษแพ้ขนาดไหน นี่มัน 5,400 กิโลเมตร อาการแพ้ก็ต้องมากกว่า ยิ่งรู้ว่าคนช่วยคิดมันเป็นกลุ่ม ไหน อังกฤษนั่งไม่ติด คันไปหมดทั้งตัว ยิ่งกว่าลมพิษขึ้น มันเป็นพิษของความอิจฉา ที่แรงกว่าพิษใดๆ ยกเว้นลมพิษหึง ตามตำราเขาว่างั้นครับ สื่อใหญ่ชื่อ นาย A Colqhum ออกมาแสดงความเห็นทุกวัน “เส้นทางนี้ คงจะเป็นเส้นทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกจะเคยรู้จัก และแน่นอนมันจะเป็นอาวุธทรงอานุภาพในมือของรัสเซีย ซึ่งมีอำนาจและมีความหมายอย่างยากที่จะประเมิน มันจะทำให้รัสเซียเพียงชาติเดียวลำพัง ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าน Dardanelles หรือคลองสุเอช (ที่อังกฤษควบคุม) มันจะทำให้รัสเซียเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความกดดันของใคร เข้มแข็งอย่างชนิดที่รัสเซียไม่เคยฝันว่าจะเป็นได้ถึงขนาดนี้” โอ้โห ช่างสรรหาถ้อยคำมาพูดจริง พูดออกข่าวทุกวันแบบนี้ ชาวเกาะอยู่เฉยได้ให้มันรู้ไป เป็นเวลาหลาย ๆ สิบปีมาแล้ว ที่อังกฤษจัดการวางไม้เสี้ยมและไม้ขวาง เพื่อดุลยอำนาจในยุโรป เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง อังกฤษขวางทางความเจริญของเยอรมันทางด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนตุรกีให้ควบคุม Dardanelles ทางที่รัสเซียจะเข้าไปยังแหล่งน้ำอุ่น และแม้ตุรกีจะอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับอังกฤษในการใช้เป็นสนามเล่นวิทยายุทธแม่ไม้ต่าง ๆ แต่เมื่อเยอรมันโตเกิน เกินกว่าที่อังกฤษจะเล่นลำพังได้ อย่างที่เคยเล่าไว้แล้ว อังกฤษจึงจำเป็นต้องมีเพื่อน (หรือเหยื่อ) มาร่วมรายการขยี้เยอรมัน อังกฤษพยายามจะขวางการสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียนี้ สาระพัดไม้ที่จะวาง แต่เส้นทางมันไกลกัน ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง ไปไม่ถึง รัสเซียสร้างทางนี้เกือบสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1903 และอังกฤษก็ฉวยโอกาส ขณะที่รัสเซียกำลังหน้าแตก ช้ำใจแพ้ญี่ปุ่นในสงคราม Russo – Japan ค.ศ. 1905 อังกฤษ ผู้ชำนาญในการทูตแบบตวัดลิ้น จึงกลับไปเกี้ยวรัสเซีย ให้มาถล่มเยอรมันด้วยกัน โดยยอมถีบออตโตมานทิ้ง และพร้อมจะยกออตโตมานให้รัสเซีย แต่รัสเซียไม่รู้เลยว่า อังกฤษนั้นอยู่ข้างญี่ปุ่นและสนับสนุนญี่ปุ่นในการสู้รบกับรัสเซีย ค.ศ. 1905 เค้าท์ Witte ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และผู้มาแทนเขา แนะนำพระเจ้าชาร์นิโคลัสให้ยอมรับ กลับไปสมานไมตรีกับอังกฤษ โดยรัสเซียบอกเพื่อแสดงไมตรีอันดียิ่ง เราขอยกอาฟกานิสถานและบริเวณส่วนใหญ่ของเปอร์เซียให้แก่อังกฤษ และรับปากว่าจะลดความอยากในเอเซียของรัสเซียลงไปหลายส่วน หลังจากนั้นสัญญา 3 ฝ่าย ระหว่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ก็มีการทำขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1907 ผนึกประเทศทั้ง 3 ไว้ด้วยกัน ด้วยกาวยี่ห้อขวางเยอรมัน เป็นการเตรียมพร้อม ในการปฎิบัติการขยี้เยอรมัน ให้แหลกไปจากเส้นทางเดินเข้าไปกินเค้ก ชิ้นโอชะที่ชื่อ ตะวันออกกลาง หลังจากอังกฤษใช้ ไม้เสี้ยม ไม้ขวาง และกาว สำเร็จตามเป้าหมาย ฉากละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะลงโรง ละครฉากแรก เปิดฉากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 1914 เป็นเวลาเพียง 3 เดือน หลังจากการใช้กาวทาเรียบร้อย อาร์คดยุก เฟอร์ดินานท์ มงกุฎราชกุมารของออสเตรีย ก็ถูกยิงกลางแดด โดยพวกเซิร์บ ละครเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มต้นแสดง การทะยานขึ้นมาทาบรัศมีของเยอ รมัน โดยความเจริญทางอุตสาหกรรม กองเรือขนส่งสินค้า กองทัพเรือ ทางรถไฟ ข้ามตะวันออกกลาง โดยเฉพาะรางรถไฟ ซึ่งวิ่งผ่านแหล่งน้ำมัน ที่อังกฤษ ไม่อยากให้ใครมาชิงตัดหน้าไปก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคู่แข่ง เป็นสิ่งที่อังกฤษ ชาติมหาอำนาจ นักล่าอาณานิคมหมายเลขหนึ่ง แม้จะเป็นชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อย แต่ฝีมือสูงส่ง นอกเหนือจากการเสี้ยมแล้ว ฝีมือการขวางยิ่งล้ำเลิศ อังกฤษจึงต้อง ทั้งขัด และขวาง ไม่ให้เยอรมันแซงหน้าไปได้ อังกฤษพร้อมที่จะเปลี่ยนนโยบายจาก โปรออตโตมาน ขวางรัสเซีย เป็นโปรรัสเซีย ขวางเยอรมัน ได้อย่างง่ายดาย เหมือนพลิกฝ่ามือ นโยบายการทูตของอังกฤษแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยคิดถึงน้ำใจไมตรีที่แท้จริง อังกฤษ มีแต่คำว่า ผลประโยชน์และผลประโยชน์ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4”
    ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน
    เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย
    อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร
    มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ !
    อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) !
    อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้
    แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ !
    ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน
    ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่
    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ
    ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง
    ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ
    การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน
    อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ
    อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง !
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 2 : “ขวาง 4” ค.ศ. 1889 กลุ่มนักธุรกิจอุตสาหกรรมของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank ไปได้สัมปทานจากรัฐบาลออตโตมาน ให้สร้างทางรถไฟจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลไปถึงแคว้นอนาโตเลีย (Anatolia) ซึ่งต่อมาตกลงขยายเส้นทาง เป็น Berlin Bagdad

เยอรมันนั้นอยากคบค้ากับออตโตมานมานานแล้ว เพื่อให้เป็นตลาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศทางด้านอุตสาหกรรม ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์การค้าที่ดี แต่การหาแหล่งน้ำมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่เยอรมันแอบซ่อนอยู่ อังกฤษคิดระแวงและพร้อมที่จะขวางทุกกระบวนท่า ความรู้สึกชิงชังเยอรมันที่อังกฤษแสดงในช่วง ค.ศ. 1890 เป็นต้นมาในตะวันออกกลาง ก็น่าจะงอกเงยมาจากทางรถไฟสายชิงชัง Berlin Bagdad และความระแวงเยอรมันเรื่องน้ำมัน เป็นครั้งแรกที่ทางรถไฟจะเชื่อมอาณาจักรออตโตมานด้วยกันได้หมด และเมื่อไปถึง Bagdad จะทำให้เป็นการเดินทางภาคพื้นดินที่เร็วที่สุด และถูกที่สุดด้วย อังกฤษก็มองเห็นจุดนี้และเห็นมากกว่า อังกฤษบอกว่าแบบนี้ผู้คนก็แห่กันไปใช้รถไฟหมด แล้วเรือเราจะขนอะไร และถ้าเยอรมันกับพวกเตอร์กเกิดเล่นกล จับมือกันบุกอียิปต์ ซึ่งอังกฤษมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่ ผลประโยชน์ในอียิปต์เราจะเป็นอย่างไร มองดูจากแผนที่ เส้นทางที่รถไฟ Berlin Bagdad จะวิ่งผ่านเมืองใหญ่อะไรบ้าง เริ่มที่อาณาจักรเยอรมัน อาณาจักรออสเตรีย บูลกาเรีย และออตโตมาน (ตุรกี) และมีเมืองเล็ก ๆ คือ เซอร์เบีย (Serbia) ที่กั้นขวางระหว่าง ต้นทางกับปลายทางเซอร์เบีย อยู่ระหว่างเยอรมันกับทางเข้ากรุงแสตนติโนเปิลและ Salonika เหมือนเป็นประตูสู่ตะวันออก ถ้าเซอร์เบีย ถูกถล่ม หรือถูกนำเข้าไปเป็นตัวแสดง ขัดขวางทางเดินของรางรถไฟ Berlin Bagdad อาณานิคมอันกว้างใหญ่ของเรา คงถูกเยอรมันบุกเข้ามาขยี้แน่นอน… R.G.D Laffan ที่ปรึกษาการทหารของอังกฤษประจำกองทัพที่เซอร์เบีย รำพึง อึ่ม ! น่าสนใจ ! อันที่จริงตลอดเวลาที่คิดก่อสร้างทางรถไฟสายชิงชังนี้ เยอรมันรู้ว่าอังกฤษไม่พอใจ และถ้าไม่มีอังกฤษร่วม เยอรมันก็เหนื่อยแน่ในการหาเงินมาสนับสนุนการก่อสร้าง Deutsche Bank รับรายเดียวคงหลังแอ่น เยอรมันลงทุนง้องอนอังกฤษให้ร่วมมือ ถึงขนาดปลายปี ค.ศ. 1899 พระเจ้า Kaiser Wilhelm ที่ II อุตส่าห์ไปหา พระนาง Victoria เป็นการส่วนตัวที่วังวินด์เซอร์ เพื่อขอให้แนะนำรัฐบาลอังกฤษ เข้าร่วมในการสร้างรถไฟรายนี้ แต่อังกฤษไม่รับไมตรี
ตลอดเวลา 15 ปี อังกฤษได้พยายาม ทั้งเสี้ยม ทั้งขวาง ทั้งขัด ทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ทางรถไฟนี้เกิดขึ้นได้ นักเขียนประวัติศาสตร์ต่างบอกว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 อันที่จริงอังกฤษก็ขวางเกือบสำเร็จ หมากตัวสำคัญที่อังกฤษนำมาใช้ ชื่อคูเวต (Kuwait) ! อังกฤษเลี้ยงดูคูเวตมานาน โดยเอาเรือรบมาจอดขวางอยู่ปากอ่าว เมื่อ ค.ศ. 1901 และประกาศให้ท่าเรือที่อยู่ใต้ไปนั้น Shaat al Arab ซึ่งปกครองโดย Sheikh Mubarak al-Sabah ให้เป็นรัฐที่อยู่ในความดูแลของอังกฤษ อย่างด้านๆ (British Protectorate) ระหว่างนั้น ออตโตมานป่วยเกินกว่าจะประท้วง ปล่อยเลยตามเลยและเห็นว่า Kuwait อยู่ไกลตัว Kuwait จึงเป็นหมากที่อังกฤษนำมาขวางไม่ให้ ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ผ่านเข้ามาที่อ่าว Persia ได้ แต่นั่นคือหมากเปิด ที่อังกฤษปล่อยออกไปขู่เยอรมัน เกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟ ! ค.ศ. 1902 อังกฤษรู้แล้วว่า ดินแดนที่อังกฤษเรียกว่าเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรักและคูเวต นั้น เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมัน มีมากแค่ไหน และจะเข้าไปเอาอย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ว่ากันที่หลัง ที่สำคัญ ต้องกัน ต้องขวาง อย่าให้ใครเข้ามายุ่งไว้ก่อน โดยเฉพาะเยอรมัน ค.ศ. 1907 Sheikh Mubarak Al Sabah (ซึ่งยึดอำนาจปกครองทั้งแคว้นได้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1896 โดยฆ่าพี่ชายน้องชาย 2 คน ขณะที่นอนหลับอยู่ในวัง และคงมีคนช่วยที่เราน่าจะพอเดาออก) ได้ตกลงทำสัญญาให้อังกฤษเช่าที่ดินบริเวณ Bander Shwaikh เป็นสัญญาเช่าประเภทที่ไม่วันหมดอายุ ! มีรายงานว่า Sheikh จอมโหด ได้ค่าทำสัญญาเป็นทองคำและปืนไรเฟิลจากรัฐบาลอังกฤษเป็นค่าลงลายมือไปโขอยู่ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1913 Sir Percy Cox ตัวแทนรัฐบาลอังกฤษ ยังจับมือให้ Sheikh ทำสัญญาสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่ทั้งผูกทั้งมัดคูเวต ว่าจะไม่ให้หน้าไหน มาได้สัมปทานน้ำมันในแถบนั้นไป เว้นแต่เป็นผู้ที่รัฐบาลอังกฤษส่งมา เข้าใจไหม Sheikh บอกเข้าใจแล้วนายท่าน ว่าแล้วก็ลูบคลำทองแท่งนุ่มมือชื่นใจ ในที่สุดในปี ค.ศ. 1912 Deutsche bank ก็สามารถเจรจาให้ ออตโตมานลงนามให้ Bagdad Rail Co. ได้รับสิทธิในพื้นที่ (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟยาวไปตลอดทาง เส้นทางนี้ยาวไปถึง Mosul ซึ่งเป็นอิรักในปัจจุบัน ถึงตอนนี้ เยอรมันรู้แล้วว่า น้ำมันเป็นสิ่งมีค่าและจำเป็น และเยอรมันแม้มีเหล็ก มีอุตสาหกรรมเข้มแข็งอยู่เต็มประเทศ แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง ทำให้ตนเองตกอยู่ในกำมือของบริษัทน้ำมันใหญ่ของอเมริกา Standard Oil Company ของนาย Rockefeller โคตรรวยนั่นเอง ค.ศ. 1912 เยอรมันตั้งบริษัทร่วมกับ Standard Oil โดยฝ่ายอเมริกัน ถือหุ้น 91% และ Deutsche ถือหุ้น 9% เป็นการเจรจาทางธุรกิจที่ล้มเหลวสุดแย่ของเยอรมัน และเยอรมันก็รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกในตอนนั้น เรื่องการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ใครก็คงยอมไม่ได้นาน ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปเต็มบ้านเมือง แต่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง มิน่า ชาวเกาะใหญ่ เขาถึงได้ว่า เฟอะฟะ ! น่าจะโดนด่ามากกว่านั้นนะ การสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ก็ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางไปหาจมูกหายใจ ให้กับตนเองของเยอรมัน ที่ต้องไม่มีส่วนผสมของ Standard Oil เจือปนอีกต่อไป และไม่มีการอุดปากปิดจมูกขัดขวาง จากอังกฤษด้วยเช่นเดียวกัน อังกฤษเองก็ใช่ว่าจะมีแหล่งน้ำมันของตนเอง แต่อาศัยความเก๋าและการวางหมาก ที่แยบยล จึงหลอกได้แหล่งน้ำมัน Anglo Persian Oil มา และในค.ศ. 1915 ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยหลอด Churchill อังกฤษก็ซื้อหุ้นเพิ่มกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Anglo Persian Oil ซึ่งปัจจุบัน คือ British Petroleum นั่นแหละ อังกฤษบอกกับตัวเองว่า ถ้าเราไม่สามารถจะสร้าง Daimler ได้อย่างเยอรมัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ควบคุมวัตถุดิบ ที่ Daimler จำเป็นต้องใช้ในการวิ่ง เท่านั้นเอง ! สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • ปูตินพูดถึงอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (Tactical nuclear) ด้วยการยอมรับว่า รัสเซียมีอยู่ในครอบครองจำนวนมาก:

    “อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีเหล่านั้นมีอำนาจทำลายล้างมากกว่าที่อเมริกาทิ้งลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากิหลายเท่า เราไม่ได้ติดตั้งอาวุธเหล่านี้ที่ไหนเลย...อ่อ... ใช่! มันมีในเบลารุส แต่นอกจากเบลารุสแล้ว ไม่มีเลย

    ไม่เหมือนกับอเมริกา ที่ติดตั้งอาวุธเหล่านี้ไว้ทั่วโลก ทั้งในยุโรป ในตุรกี และที่อื่นๆ แต่เรื่องที่ว่าเรามีมากกว่านั้น มันเป็นเรื่องจริง!”
    ปูตินพูดถึงอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี (Tactical nuclear) ด้วยการยอมรับว่า รัสเซียมีอยู่ในครอบครองจำนวนมาก: “อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีเหล่านั้นมีอำนาจทำลายล้างมากกว่าที่อเมริกาทิ้งลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากิหลายเท่า เราไม่ได้ติดตั้งอาวุธเหล่านี้ที่ไหนเลย...อ่อ... ใช่! มันมีในเบลารุส แต่นอกจากเบลารุสแล้ว ไม่มีเลย ไม่เหมือนกับอเมริกา ที่ติดตั้งอาวุธเหล่านี้ไว้ทั่วโลก ทั้งในยุโรป ในตุรกี และที่อื่นๆ แต่เรื่องที่ว่าเรามีมากกว่านั้น มันเป็นเรื่องจริง!”
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 0 Reviews
  • “Klopatra: มัลแวร์ Android ตัวใหม่ปลอมเป็นแอป VPN/IPTV — ขโมยเงินแม้ตอนหน้าจอดับ พร้อมหลบแอนตี้ไวรัสแบบเหนือชั้น”

    นักวิจัยจาก Cleafy ได้เปิดโปงมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีความสามารถเหนือกว่ามัลแวร์ทั่วไปอย่างชัดเจน โดย Klopatra ถูกปล่อยผ่านแอปปลอมชื่อ “Modpro IP TV + VPN” ที่ไม่ได้อยู่บน Google Play Store แต่ถูกแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตรายโดยตรง

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปนี้ มัลแวร์จะขอสิทธิ์ Accessibility Services ซึ่งเปิดทางให้มันควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เช่น อ่านหน้าจอ, จำลองการแตะ, ขโมยรหัสผ่าน, และแม้แต่ควบคุมอุปกรณ์ขณะหน้าจอดับผ่านโหมด VNC แบบ “หน้าจอดำ” ที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยว่ามีการใช้งานอยู่

    Klopatra ยังมีความสามารถในการตรวจสอบว่าเครื่องกำลังชาร์จหรือหน้าจอดับ เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย และสามารถจำลองการแตะ, ปัด, กดค้าง เพื่อทำธุรกรรมธนาคารหรือขโมยคริปโตได้แบบเรียลไทม์

    เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ มัลแวร์ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การเข้ารหัสด้วย NP Manager, การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin, การฝัง Virbox ซึ่งเป็นระบบป้องกันโค้ดระดับเชิงพาณิชย์ และมีระบบตรวจจับ emulator, anti-debugging, และ integrity check เพื่อป้องกันนักวิจัยไม่ให้วิเคราะห์ได้ง่าย

    จนถึงตอนนี้ Klopatra ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีการพบครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2025 และมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Klopatra เป็นมัลแวร์ Android ที่ปลอมตัวเป็นแอป IPTV และ VPN
    แจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตราย ไม่ใช่ Google Play Store
    ขอสิทธิ์ Accessibility Services เพื่อควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ
    ใช้โหมด VNC แบบหน้าจอดำเพื่อควบคุมเครื่องขณะผู้ใช้ไม่รู้ตัว
    ตรวจสอบสถานะการชาร์จและหน้าจอเพื่อเลือกเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี
    ใช้ Virbox, NP Manager, native libraries และเทคนิค anti-debugging เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025
    มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี
    กลุ่มผู้พัฒนาเป็นแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีโครงสร้าง C2 ที่ซับซ้อน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Accessibility Services เป็นช่องทางที่มัลแวร์นิยมใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ Android
    Virbox เป็นระบบป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ เช่น เกมหรือแอปที่ต้องการป้องกันการแครก
    VNC (Virtual Network Computing) เป็นระบบควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลที่ใช้ในงาน IT แต่ถูกนำมาใช้ในมัลแวร์
    NP Manager เป็นเครื่องมือที่ใช้เข้ารหัส string เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์โค้ด
    การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin ช่วยลดการตรวจจับจากระบบวิเคราะห์มัลแวร์อัตโนมัติ

    https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-android-malware-disguises-itself-as-a-vpn-or-iptv-app-so-be-on-your-guard
    📱💀 “Klopatra: มัลแวร์ Android ตัวใหม่ปลอมเป็นแอป VPN/IPTV — ขโมยเงินแม้ตอนหน้าจอดับ พร้อมหลบแอนตี้ไวรัสแบบเหนือชั้น” นักวิจัยจาก Cleafy ได้เปิดโปงมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีความสามารถเหนือกว่ามัลแวร์ทั่วไปอย่างชัดเจน โดย Klopatra ถูกปล่อยผ่านแอปปลอมชื่อ “Modpro IP TV + VPN” ที่ไม่ได้อยู่บน Google Play Store แต่ถูกแจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตรายโดยตรง เมื่อผู้ใช้ติดตั้งแอปนี้ มัลแวร์จะขอสิทธิ์ Accessibility Services ซึ่งเปิดทางให้มันควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เช่น อ่านหน้าจอ, จำลองการแตะ, ขโมยรหัสผ่าน, และแม้แต่ควบคุมอุปกรณ์ขณะหน้าจอดับผ่านโหมด VNC แบบ “หน้าจอดำ” ที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัวเลยว่ามีการใช้งานอยู่ Klopatra ยังมีความสามารถในการตรวจสอบว่าเครื่องกำลังชาร์จหรือหน้าจอดับ เพื่อเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีโดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย และสามารถจำลองการแตะ, ปัด, กดค้าง เพื่อทำธุรกรรมธนาคารหรือขโมยคริปโตได้แบบเรียลไทม์ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ มัลแวร์ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การเข้ารหัสด้วย NP Manager, การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin, การฝัง Virbox ซึ่งเป็นระบบป้องกันโค้ดระดับเชิงพาณิชย์ และมีระบบตรวจจับ emulator, anti-debugging, และ integrity check เพื่อป้องกันนักวิจัยไม่ให้วิเคราะห์ได้ง่าย จนถึงตอนนี้ Klopatra ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีการพบครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2025 และมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Klopatra เป็นมัลแวร์ Android ที่ปลอมตัวเป็นแอป IPTV และ VPN ➡️ แจกจ่ายผ่านเว็บไซต์อันตราย ไม่ใช่ Google Play Store ➡️ ขอสิทธิ์ Accessibility Services เพื่อควบคุมเครื่องแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้โหมด VNC แบบหน้าจอดำเพื่อควบคุมเครื่องขณะผู้ใช้ไม่รู้ตัว ➡️ ตรวจสอบสถานะการชาร์จและหน้าจอเพื่อเลือกเวลาที่เหมาะสมในการโจมตี ➡️ ใช้ Virbox, NP Manager, native libraries และเทคนิค anti-debugging เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ถูกพัฒนาไปแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 ➡️ มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 รายในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ➡️ กลุ่มผู้พัฒนาเป็นแฮกเกอร์ที่พูดภาษาตุรกี และมีโครงสร้าง C2 ที่ซับซ้อน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Accessibility Services เป็นช่องทางที่มัลแวร์นิยมใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ Android ➡️ Virbox เป็นระบบป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ เช่น เกมหรือแอปที่ต้องการป้องกันการแครก ➡️ VNC (Virtual Network Computing) เป็นระบบควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลที่ใช้ในงาน IT แต่ถูกนำมาใช้ในมัลแวร์ ➡️ NP Manager เป็นเครื่องมือที่ใช้เข้ารหัส string เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์โค้ด ➡️ การใช้ native libraries แทน Java/Kotlin ช่วยลดการตรวจจับจากระบบวิเคราะห์มัลแวร์อัตโนมัติ https://www.techradar.com/pro/security/this-dangerous-new-android-malware-disguises-itself-as-a-vpn-or-iptv-app-so-be-on-your-guard
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • นานาชาติรุมประณาม 'อิสราเอล' หลังขัดขวางขบวนเรือ 40 ลำกลางทะเล ขณะมุ่งหน้าสู่กาซาในภารกิจมนุษยธรรม
    https://www.thai-tai.tv/news/21730/
    .
    #GlobalSumudFlotilla #ความขัดแย้งอิสราเอลปาเลสไตน์ #ปิดล้อมกาซา #ภารกิจมนุษยธรรม #ตุรกี #โคลอมเบียขับนักการทูต #เกรียตา ทุนแบร์ย #ไทยไท #การเมือง
    นานาชาติรุมประณาม 'อิสราเอล' หลังขัดขวางขบวนเรือ 40 ลำกลางทะเล ขณะมุ่งหน้าสู่กาซาในภารกิจมนุษยธรรม https://www.thai-tai.tv/news/21730/ . #GlobalSumudFlotilla #ความขัดแย้งอิสราเอลปาเลสไตน์ #ปิดล้อมกาซา #ภารกิจมนุษยธรรม #ตุรกี #โคลอมเบียขับนักการทูต #เกรียตา ทุนแบร์ย #ไทยไท #การเมือง
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • อิตาลี สเปน และตุรกี ถอนการคุ้มครองขบวนเรือ "Global Sumud Flotilla" ก่อนที่จะเข้าสู่น่านน้ำของกาซา โดยอ้างเหตุผลไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหาร และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับกองกำลังอิสราเอล!

    ทั้งอิตาลี สเปน และตุรกี ประกาศยุติบทบาทการคุ้มกัน ขบวนเรือ "Global Sumud Flotilla" ก่อนที่ขบวนเรือทั้งหมดจะถูกกองกำลังอิสราเอลเข้าสกัดกั้น

    อิตาลี ได้แจ้งอย่างชัดเจนว่าเรือฟริเกตที่ส่งมาจะยุติการคุ้มครองขบวนเรือเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งกาซาในระยะ 150 ไมล์ทะเล (ประมาณ 278 กม.) เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการทูตกับอิสราเอล

    สเปน ระบุว่าเรือรบที่ส่งมามีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือและกู้ภัยกองเรือ "Global Sumud Flotilla" กรณีเหตุจำเป็นเท่านั้น และจะไม่เข้าไปในทะเลที่อิสราเอลกำหนดไว้

    ตุรกี แม้ว่าจะไม่ได้ส่งเรือรบไปคุ้มกันในภารกิจนี้เหมือนอิตาลีและสเปน แต่บทบาทของตุรกีคือการให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนการเฝ้าระวัง ซึ่งได้ถอนตัวออกไปในช่วงเวลาเดียวกัน

    นอกจากนี้ ประเทศทั้งสามยังเรียกร้องให้นักเคลื่อนไหวของขบวนเรือ "Global Sumud Flotilla" หันหลังกลับเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอิสราเอลอีกด้วย
    อิตาลี สเปน และตุรกี ถอนการคุ้มครองขบวนเรือ "Global Sumud Flotilla" ก่อนที่จะเข้าสู่น่านน้ำของกาซา โดยอ้างเหตุผลไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหาร และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับกองกำลังอิสราเอล! ทั้งอิตาลี สเปน และตุรกี ประกาศยุติบทบาทการคุ้มกัน ขบวนเรือ "Global Sumud Flotilla" ก่อนที่ขบวนเรือทั้งหมดจะถูกกองกำลังอิสราเอลเข้าสกัดกั้น 👉อิตาลี ได้แจ้งอย่างชัดเจนว่าเรือฟริเกตที่ส่งมาจะยุติการคุ้มครองขบวนเรือเมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งกาซาในระยะ 150 ไมล์ทะเล (ประมาณ 278 กม.) เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการทูตกับอิสราเอล 👉สเปน ระบุว่าเรือรบที่ส่งมามีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือและกู้ภัยกองเรือ "Global Sumud Flotilla" กรณีเหตุจำเป็นเท่านั้น และจะไม่เข้าไปในทะเลที่อิสราเอลกำหนดไว้ 👉ตุรกี แม้ว่าจะไม่ได้ส่งเรือรบไปคุ้มกันในภารกิจนี้เหมือนอิตาลีและสเปน แต่บทบาทของตุรกีคือการให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนการเฝ้าระวัง ซึ่งได้ถอนตัวออกไปในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ประเทศทั้งสามยังเรียกร้องให้นักเคลื่อนไหวของขบวนเรือ "Global Sumud Flotilla" หันหลังกลับเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอิสราเอลอีกด้วย
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (1)

The Three Pasha ที่โค่นสุลต่าน Abdulhamid ในปี ค.ศ. 1908 และจัดการตัวเองขึ้นปกครองออตโตมาน ปาชา พวกนี้คือรุ่นแรกของกลุ่ม Young Turk ที่โด่งดัง เหล่ายังเตอร์กพวกนี้ ส่วนใหญ่เรียนจบมาจากลอนดอนหรือปารีส (แปลกใจไหมครับ ? !) เมื่อสงครามโลกใกล้จะเกิดเต็มแก่ และอังกฤษแสดงท่ารังเกียจ (จริง ๆ คืออิจฉาน่ะ) เยอรมัน อย่างออกนอกหน้า สามปาชาก็ร้อนใจ พยายามจะเอาใจอังกฤษ โดยแสดงอาการผลักหลังดันไหล่ ให้เยอรมันออกไปห่าง ๆ อีกประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วกลับไปทอดสะพานยาวเพิ่มขึ้นให้กับอังกฤษ
    สามปาชา ยินยอมทำสัญญาให้อังกฤษต่อเรือรบให้ออตโตมาน การต่อเรือนี้จะอำนวยการแสดงโดยท่านหลอด Winston Churchill เอง ในฐานะท่านแม่ทัพเรือ (ฉากใหญ่มาก !) แต่อู่ต่อเรือนี้ อังกฤษบอกต้องอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเบิลนะ
    สามปาชาให้เกียรติยกย่อง อังกฤษ ให้มีอำนาจเหนือออตโตมาน อย่างที่ไม่เคยมีชาติไหนได้รับมาก่อน ยอมให้อังกฤษเข้านอกออกใน ร่วมตัดสินปัญหาราชการร่วมกับรัฐบาลตุรกี ที่สำคัญ อังกฤษส่งนายพลเรือ Gamble และนายพลเรือ Limpus มาดูแลกองทัพเรือให้ออตโตมาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการวางระเบิดใต้น้ำแถวช่องแคบ Golden Horn รวมทั้งเส้นทางที่ควรยิงตอร์ปิโด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันตุรกี
    เป็น การวางแผนยุทธศาสตร์แบบเซียนเหยียบเมฆ ไร้ร่องรอย ความชั่วร้ายไม่มีหลุดออกมาให้เห็น (เท่าไหร่เลย) ฉากหน้าเหมือนมาดูแลออตโตมานคนป่วยด้วยความห่วงใย ระวังนะลมแรงใส่เสื้อหนาวซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัด แต่แท้จริงหมออังกฤษเอายาพิษมาผสมอาหารให้คนป่วยกิน เพื่อจะได้ไปเร็วขึ้น
    การ ที่อังกฤษโหมทั้งมาต่อเรือให้ตุรกี และมาดูแลกองทัพเรือให้ตุรกี แน่นอน เป็นการเร่งเครื่องให้เยอรมันทนไม่ได้ ละครฉากนี้เนียนมาก ปาชาศิษย์เอก จะทันเหลี่ยมของครูที่สอนลูกศิษย์มาเองหรือ บางทีครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหมดหรอกนะ (เอะ ! หรือเขาร่วมมือกัน ไม่น่า! คงไม่ใช่กรณีออตโตมาน!)
    ก่อนหน้าที่ออตโตมานจะตัดสินใจ ประกาศเข้าสู่สงครามโลก โดยอยู่ฝ่ายเยอรมัน นาย Edward Grey รมต.ต่างประเทศของอังกฤษขณะนั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมขั้นตอนการส่งมอบกรุงแสตนติโนเปิล ให้กับรัสเซียหลังสงครามเลิก เป็นค่าสินบนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้นั้น นาย Grey ได้ทำบันทึกถึงกระทรวงต่างประเทศว่า “จงถ่วงเวลาที่จะทำให้สงครามโลกระเบิด ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลานานที่สุด ในการที่จะบอกกับทุกฝ่าย เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นแล้วว่า เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ให้สงครามโลกเกิดขึ้น แต่ออตโตมานเป็นฝ่ายที่ทำให้มันเกิดขึ้น”
    นี่ ก็น่าจะเป็นใบเสร็จ ให้เห็นถึงความร้ายกาจของการฑูตของอังกฤษ ที่สามารถแสดงการปลิ้นปล้อน ตอแหล ได้อย่างเยี่ยมยอด นอกเหนือจากสัญญา ซ้งกะบ๊วย Sykes-Picot และ Balfour Declaration ที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว ฝีมือการใช้ไม้เสี้ยมจากสำนักชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้าย นี่ถือว่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ เยี่ยงนี้ออตโตมานหรือจะรอดพ้น จากการหลอกไปขึ้นเขียง แล้วสับละเอียดเป็นหมูบะช่อ
    ไม้เสี้ยมมีเท่านี้หรือ คงไม่ใช่! จอมยุทธระดับนี้แล้วต้องพกมาหลายไม้ ขณะที่อังกฤษแพ้หมดรูปในการรบที่ Gallipoli ระหว่างทาง แทนที่จะรีบเคลื่อนพลกลับเกาะ กองทัพเรืออังกฤษกลับแวะพักเลียแผลอยู่ที่อียิปต์และกรีก ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ส่วนกองทัพภาคพื้นดินของอังกฤษ ก็มุ่งหน้าไปทางปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย (อีรัค) และยึดเมืองทั้ง 2 มาจากชาวพื้นเมืองที่มีอาวุธ อานุภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม้สุดท้ายนี้เป็นไปตามแผน หาบ้านให้ยิว
    แผนการหาบ้านให้ยิวนี้ ดูเหมือนจะเป็นการซ้อนแผน คนโคตรรวย Rothschild ที่ขุนนางอังกฤษมองว่า ถึงจะโคตรรวย แต่ก็เป็นแค่พ่อค้า จะคิดมาเป็นระดับผู้ปกครองประเทศ (ruling class) คงเป็นการคิดใหญ่เกินสถานะไปหน่อย พวกขุนนางบอกว่า พวกยิวไม่มีสำนึกของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอันตราย ถ้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในประเทศ หวังว่าสมันน้อยจะอ่านความตรงนี้ให้แตก
    เมื่อสงครามโลกเริ่มติด เครื่อง อเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลาง แถมออกจะมองอังกฤษอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่าจะมีแผนลวงล่อ อะไรอีกเกี่ยวกับการเข้าสู่สงคราม ถึงเขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่นักล่าหน้าใหม่ก็มีพี่เลี้ยงดูแล ติวเข้มกันมานานแล้ว คนอ่านนิทานแกะรอยนักล่าคงจะจำกันได้
    เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษ ตั้งหน่วยงาน ชื่อ War Propaganda Bureau ซึ่งตั้งอยู่ที่ Wellington House หน่วยงานนี้ จึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อของ Wellington House หน่วยงานนี้ ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างประเทศ มีหน้าที่ชัดเจนคือปฏิบัติการใส่สีต่อเป้าหมาย ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม และฟอกย้อมความคิดของฝ่ายเป็นกลาง โดยเฉพาะอเมริกาที่แม้จะพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่น้ำหนักมาก พอที่จะทำให้ตาชั่งหมุนกลับได้ กลางแบบนี้ จึงทิ้งไว้ข้างสนามไม่ได้ ให้ใครมาฉกไปไม่ได้
    กระทรวง ต่างประเทศมอบหมายให้ นาย David Lloyd George เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้ Lloyd George มอบให้นักเขียนและสมาชิกรัฐสภาพรรคลิเบอรัล Charles Masterman เป็นหัวหน้าดูแลอีกต่อหนึ่ง
    นาย Masterman ได้เชิญนักเขียนชื่อดังของอังกฤษขณะนั้นมา 25 คน มาประชุม เพื่อช่วยกันคิดแผนใส่สีฟ้อกย้อมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการทำสงครามของ อังกฤษ ผู้ที่เข้ามาร่วมมี ทั้ง William Archer, Arthur Conan Doyle (คนเขียนนิยาย เชอร์ลอคโฮม) Arnold Bennett, John Masefield, Ford Madox Ford, G. K. Chesterton, Henry Newbolt, John Galsworthy, Thomas Hardy, Rudyard Kipling (คนเขียนนิยายชื่อดัง ระดับได้รางวัล Noble) Gilbert Parker, G. M. Trevelyan and H. G. Wells (คนเขียนหนังสือดัง เช่น the Time Machine, the Invisible Man เป็นต้น)
    ทั้งหมด ตกลงที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ (ความลับเพิ่งมาแตกเอาปี 1935) แต่ละคนต่างรับหน้าที่ไปเขียนเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับเยอร มัน จริงบ้าง เท็จบ้าง และมีสำนักพิมพ์อย่าง Hodder & Stoughton, Methuen, Oxford University Press, John Murray, Macmillan and Thomas Nelson เป็นผู้รับหน้าที่พิมพ์ จำชื่อสำนักพิมพ์พวกนี้ไว้บ้างนะครับ ใครที่เป็นนักอ่านหนังสือรุ่นเก่า จะได้รู้ว่าเรื่องไหนมันถูกย้อมมาแล้วหรือเปล่า หน่วยงาน War Prepaganda นี้ ผลิตงานทั้งหมด 1,160 รายการ ระหว่างสงคราม ผู้ที่โดนใส่สีย้อมหนักที่สุด คงไม่มีใครเกินเยอรมันและตุรกี
    หนังสือ กว่า 2.5 ล้านเล่ม รวมทั้งแผ่นพับส่งไป 13,000 จุดหมายและหน่วยงานสำคัญในอเมริกา ขณะนั้นอเมริกาไม่ไว้ใจว่าอังกฤษ กำลังเล่นละครเรื่องใดในตะวันออกกลาง เบื้องหน้าฉากเป็นอย่าง แล้วเบื้องหลังฉากเป็นอย่างไร อเมริกาจึงยังไม่เข้าร่วมสงครามรายการถล่มตุรกี
    แต่หลังจากมีสื่อ และแผ่นพับทยอยไปสู่ประชาชนชาวอเมริกันมากขึ้น คนอเมริกันเริ่มมีความเห็นออกมาว่า ตุรกีน่าจะป่วยหนัก ร่างกายและความคิด คงหลวมหลุดไปแยะ ไม่สมควรจะปกครองอาณาจักรออตโตมานต่อไป และการที่อังกฤษจะเข้าไปในอาหรับ ก็เหมือนเป็นพระผู้มาโปรดคนอาหรับ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะคนอาหรับไม่ฉลาดไม่มั่นคง ไม่เหมาะที่จะปกครองดินแดนของตัวเองอย่างยิ่ง !
    แล้วความเป็นกลางของอเมริกาก็เริ่มจะเอียง และเอียงมากขึ้นไปทางสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ
    อเมริกาเริ่มด้วยการส่งเสบียงสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ แท้จริงแล้ว มันเป็นโอกาสทอง ของการทำมาค้าขายครั้งสำคัญของอเมริกานั่นแหละ
    ใน ที่สุดอเมริกา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงคราม สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเมษายน ค.ศ. 1917 เหล่าพี่เลี้ยงและผู้อยู่หลังฉากของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหม ! ลุ้นกันเกือบตาย กว่าจะเป็นตามแผน!
    ไม่รู้ใครหลอกใคร ใครต้มใคร ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องแหกคอก อีกรอบนะครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (1)

The Three Pasha ที่โค่นสุลต่าน Abdulhamid ในปี ค.ศ. 1908 และจัดการตัวเองขึ้นปกครองออตโตมาน ปาชา พวกนี้คือรุ่นแรกของกลุ่ม Young Turk ที่โด่งดัง เหล่ายังเตอร์กพวกนี้ ส่วนใหญ่เรียนจบมาจากลอนดอนหรือปารีส (แปลกใจไหมครับ ? !) เมื่อสงครามโลกใกล้จะเกิดเต็มแก่ และอังกฤษแสดงท่ารังเกียจ (จริง ๆ คืออิจฉาน่ะ) เยอรมัน อย่างออกนอกหน้า สามปาชาก็ร้อนใจ พยายามจะเอาใจอังกฤษ โดยแสดงอาการผลักหลังดันไหล่ ให้เยอรมันออกไปห่าง ๆ อีกประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วกลับไปทอดสะพานยาวเพิ่มขึ้นให้กับอังกฤษ สามปาชา ยินยอมทำสัญญาให้อังกฤษต่อเรือรบให้ออตโตมาน การต่อเรือนี้จะอำนวยการแสดงโดยท่านหลอด Winston Churchill เอง ในฐานะท่านแม่ทัพเรือ (ฉากใหญ่มาก !) แต่อู่ต่อเรือนี้ อังกฤษบอกต้องอยู่ที่กรุงคอนแสตนติโนเบิลนะ สามปาชาให้เกียรติยกย่อง อังกฤษ ให้มีอำนาจเหนือออตโตมาน อย่างที่ไม่เคยมีชาติไหนได้รับมาก่อน ยอมให้อังกฤษเข้านอกออกใน ร่วมตัดสินปัญหาราชการร่วมกับรัฐบาลตุรกี ที่สำคัญ อังกฤษส่งนายพลเรือ Gamble และนายพลเรือ Limpus มาดูแลกองทัพเรือให้ออตโตมาน โดยเฉพาะเกี่ยวกับการวางระเบิดใต้น้ำแถวช่องแคบ Golden Horn รวมทั้งเส้นทางที่ควรยิงตอร์ปิโด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันตุรกี เป็น การวางแผนยุทธศาสตร์แบบเซียนเหยียบเมฆ ไร้ร่องรอย ความชั่วร้ายไม่มีหลุดออกมาให้เห็น (เท่าไหร่เลย) ฉากหน้าเหมือนมาดูแลออตโตมานคนป่วยด้วยความห่วงใย ระวังนะลมแรงใส่เสื้อหนาวซะนะ เดี๋ยวเป็นหวัด แต่แท้จริงหมออังกฤษเอายาพิษมาผสมอาหารให้คนป่วยกิน เพื่อจะได้ไปเร็วขึ้น การ ที่อังกฤษโหมทั้งมาต่อเรือให้ตุรกี และมาดูแลกองทัพเรือให้ตุรกี แน่นอน เป็นการเร่งเครื่องให้เยอรมันทนไม่ได้ ละครฉากนี้เนียนมาก ปาชาศิษย์เอก จะทันเหลี่ยมของครูที่สอนลูกศิษย์มาเองหรือ บางทีครูเขาก็ไม่ได้สอนมาหมดหรอกนะ (เอะ ! หรือเขาร่วมมือกัน ไม่น่า! คงไม่ใช่กรณีออตโตมาน!) ก่อนหน้าที่ออตโตมานจะตัดสินใจ ประกาศเข้าสู่สงครามโลก โดยอยู่ฝ่ายเยอรมัน นาย Edward Grey รมต.ต่างประเทศของอังกฤษขณะนั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เตรียมขั้นตอนการส่งมอบกรุงแสตนติโนเปิล ให้กับรัสเซียหลังสงครามเลิก เป็นค่าสินบนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้นั้น นาย Grey ได้ทำบันทึกถึงกระทรวงต่างประเทศว่า “จงถ่วงเวลาที่จะทำให้สงครามโลกระเบิด ให้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลานานที่สุด ในการที่จะบอกกับทุกฝ่าย เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นแล้วว่า เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะไม่ให้สงครามโลกเกิดขึ้น แต่ออตโตมานเป็นฝ่ายที่ทำให้มันเกิดขึ้น” นี่ ก็น่าจะเป็นใบเสร็จ ให้เห็นถึงความร้ายกาจของการฑูตของอังกฤษ ที่สามารถแสดงการปลิ้นปล้อน ตอแหล ได้อย่างเยี่ยมยอด นอกเหนือจากสัญญา ซ้งกะบ๊วย Sykes-Picot และ Balfour Declaration ที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้ว ฝีมือการใช้ไม้เสี้ยมจากสำนักชาวเกาะ ใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยเท้าซ้าย นี่ถือว่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ เยี่ยงนี้ออตโตมานหรือจะรอดพ้น จากการหลอกไปขึ้นเขียง แล้วสับละเอียดเป็นหมูบะช่อ ไม้เสี้ยมมีเท่านี้หรือ คงไม่ใช่! จอมยุทธระดับนี้แล้วต้องพกมาหลายไม้ ขณะที่อังกฤษแพ้หมดรูปในการรบที่ Gallipoli ระหว่างทาง แทนที่จะรีบเคลื่อนพลกลับเกาะ กองทัพเรืออังกฤษกลับแวะพักเลียแผลอยู่ที่อียิปต์และกรีก ซึ่งประกาศตัวเป็นกลาง ส่วนกองทัพภาคพื้นดินของอังกฤษ ก็มุ่งหน้าไปทางปาเลสไตน์ และเมโสโปเตเมีย (อีรัค) และยึดเมืองทั้ง 2 มาจากชาวพื้นเมืองที่มีอาวุธ อานุภาพต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม้สุดท้ายนี้เป็นไปตามแผน หาบ้านให้ยิว แผนการหาบ้านให้ยิวนี้ ดูเหมือนจะเป็นการซ้อนแผน คนโคตรรวย Rothschild ที่ขุนนางอังกฤษมองว่า ถึงจะโคตรรวย แต่ก็เป็นแค่พ่อค้า จะคิดมาเป็นระดับผู้ปกครองประเทศ (ruling class) คงเป็นการคิดใหญ่เกินสถานะไปหน่อย พวกขุนนางบอกว่า พวกยิวไม่มีสำนึกของความเป็นชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอันตราย ถ้าให้มาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองในประเทศ หวังว่าสมันน้อยจะอ่านความตรงนี้ให้แตก เมื่อสงครามโลกเริ่มติด เครื่อง อเมริกาประกาศวางตัวเป็นกลาง แถมออกจะมองอังกฤษอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ว่าจะมีแผนลวงล่อ อะไรอีกเกี่ยวกับการเข้าสู่สงคราม ถึงเขี้ยวจะเพิ่งงอก แต่นักล่าหน้าใหม่ก็มีพี่เลี้ยงดูแล ติวเข้มกันมานานแล้ว คนอ่านนิทานแกะรอยนักล่าคงจะจำกันได้ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 อังกฤษ ตั้งหน่วยงาน ชื่อ War Propaganda Bureau ซึ่งตั้งอยู่ที่ Wellington House หน่วยงานนี้ จึงเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อของ Wellington House หน่วยงานนี้ ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างประเทศ มีหน้าที่ชัดเจนคือปฏิบัติการใส่สีต่อเป้าหมาย ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม และฟอกย้อมความคิดของฝ่ายเป็นกลาง โดยเฉพาะอเมริกาที่แม้จะพยายามทำตัวเป็นกลาง แต่น้ำหนักมาก พอที่จะทำให้ตาชั่งหมุนกลับได้ กลางแบบนี้ จึงทิ้งไว้ข้างสนามไม่ได้ ให้ใครมาฉกไปไม่ได้ กระทรวง ต่างประเทศมอบหมายให้ นาย David Lloyd George เป็นผู้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานนี้ Lloyd George มอบให้นักเขียนและสมาชิกรัฐสภาพรรคลิเบอรัล Charles Masterman เป็นหัวหน้าดูแลอีกต่อหนึ่ง นาย Masterman ได้เชิญนักเขียนชื่อดังของอังกฤษขณะนั้นมา 25 คน มาประชุม เพื่อช่วยกันคิดแผนใส่สีฟ้อกย้อมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ในการทำสงครามของ อังกฤษ ผู้ที่เข้ามาร่วมมี ทั้ง William Archer, Arthur Conan Doyle (คนเขียนนิยาย เชอร์ลอคโฮม) Arnold Bennett, John Masefield, Ford Madox Ford, G. K. Chesterton, Henry Newbolt, John Galsworthy, Thomas Hardy, Rudyard Kipling (คนเขียนนิยายชื่อดัง ระดับได้รางวัล Noble) Gilbert Parker, G. M. Trevelyan and H. G. Wells (คนเขียนหนังสือดัง เช่น the Time Machine, the Invisible Man เป็นต้น) ทั้งหมด ตกลงที่จะเก็บเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ (ความลับเพิ่งมาแตกเอาปี 1935) แต่ละคนต่างรับหน้าที่ไปเขียนเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับเยอร มัน จริงบ้าง เท็จบ้าง และมีสำนักพิมพ์อย่าง Hodder & Stoughton, Methuen, Oxford University Press, John Murray, Macmillan and Thomas Nelson เป็นผู้รับหน้าที่พิมพ์ จำชื่อสำนักพิมพ์พวกนี้ไว้บ้างนะครับ ใครที่เป็นนักอ่านหนังสือรุ่นเก่า จะได้รู้ว่าเรื่องไหนมันถูกย้อมมาแล้วหรือเปล่า หน่วยงาน War Prepaganda นี้ ผลิตงานทั้งหมด 1,160 รายการ ระหว่างสงคราม ผู้ที่โดนใส่สีย้อมหนักที่สุด คงไม่มีใครเกินเยอรมันและตุรกี หนังสือ กว่า 2.5 ล้านเล่ม รวมทั้งแผ่นพับส่งไป 13,000 จุดหมายและหน่วยงานสำคัญในอเมริกา ขณะนั้นอเมริกาไม่ไว้ใจว่าอังกฤษ กำลังเล่นละครเรื่องใดในตะวันออกกลาง เบื้องหน้าฉากเป็นอย่าง แล้วเบื้องหลังฉากเป็นอย่างไร อเมริกาจึงยังไม่เข้าร่วมสงครามรายการถล่มตุรกี แต่หลังจากมีสื่อ และแผ่นพับทยอยไปสู่ประชาชนชาวอเมริกันมากขึ้น คนอเมริกันเริ่มมีความเห็นออกมาว่า ตุรกีน่าจะป่วยหนัก ร่างกายและความคิด คงหลวมหลุดไปแยะ ไม่สมควรจะปกครองอาณาจักรออตโตมานต่อไป และการที่อังกฤษจะเข้าไปในอาหรับ ก็เหมือนเป็นพระผู้มาโปรดคนอาหรับ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะคนอาหรับไม่ฉลาดไม่มั่นคง ไม่เหมาะที่จะปกครองดินแดนของตัวเองอย่างยิ่ง ! แล้วความเป็นกลางของอเมริกาก็เริ่มจะเอียง และเอียงมากขึ้นไปทางสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ อเมริกาเริ่มด้วยการส่งเสบียงสนับสนุนฝ่ายอังกฤษ แท้จริงแล้ว มันเป็นโอกาสทอง ของการทำมาค้าขายครั้งสำคัญของอเมริกานั่นแหละ ใน ที่สุดอเมริกา ก็ประกาศอย่างเป็นทางการเข้าร่วมสงคราม สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อเมษายน ค.ศ. 1917 เหล่าพี่เลี้ยงและผู้อยู่หลังฉากของการประกาศเข้าสู่สงครามของอเมริกา ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหม ! ลุ้นกันเกือบตาย กว่าจะเป็นตามแผน! ไม่รู้ใครหลอกใคร ใครต้มใคร ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องแหกคอก อีกรอบนะครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 4”
    ก่อนที่พวกกบฎอาหรับจะเริ่มปฏิบัติการ และก่อนที่ Sharif Hussein จะได้สร้างอาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่ McMahon ทำสัญญาหลอกให้ sharif Hussein มารบมาตายแทนอังกฤษ อังกฤษกับฝรั่งเศส มีแผนอื่นที่ตกลงกันไปเรียบร้อย แล้ว ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1915 – ค.ศ. 1916 นักการทูต 2 นาย คือ Sir Mark Sykes ของอังกฤษกับ Francois Georges–Picot ของฝรั่งเศส ได้แอบหารือกันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมาน หลังการล่มสลาย ! หวังว่าคงจำกันได้ อังกฤษได้วางแผนให้ฝรั่งเศสมาร่วมรายการสลายออตโตมาน ขยี้เยอรมันด้วยกัน (อยู่ในตอนแถมของนิทาน “ลูกครึ่งหรือนกสองตัว”) เพราะฉะนั้นก็จำเป็นต้องมีสัญญาแบ่งเค้ก แบ่งรางวัลที่จะได้มาจากการปล้นเมืองเขากัน
    สัญญานี้ต่อมาเรียกว่า Sykes-Picot Agreement อังกฤษกับฝรั่งเศส ตกลงที่จะแบ่งโลกอาหรับระหว่างพวกเขากันเอง อังกฤษบอกว่าเราจะเอาบริเวณ ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรัค คูเวต และจอร์แดน ส่วนฝรั่งเศสบอก งั้นเราเอาส่วนที่ทันสมัยหน่อย คือ ซีเรีย เลบาบอน และทางใต้ของตุรกี ส่วนสถานะของปาเลสไตน์ ยังไม่ตกลงกันเอาไว้ว่ากันที่หลัง เพราะจะต้องถามพวกยิวก่อน แต่ส่วนดินแดนที่ควรจะเป็นอาณาจักรอาหรับในความฝันของ Sharif Hussein ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศส อืม ! รบเกือบตาย ได้แต่ความฝัน ! สมันน้อยมีเรื่องให้เรียนรู้แยะนะ !
    สัญญา Sykes-Picot นี้ อังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด สำหรับการแบ่งขนมเค้กชิ้นที่เรี ยกว่าตะวันออกกลาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ขึ้นชื่อว่าความลับ ยังไงก็ต้องมีรั่ว ไม่เคยปิดมิดหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปมีเลยความลับ เปิดซะให้หมดนะครับ เปิดเองดีกว่าให้คนอื่นมาเปิด นี่ผมบอกกับตัวเองนะ ใครอย่าเหมาว่าผมบอกใบ้ใครก็แล้วกัน
    สัญญาลับนี่เกิดรั่วมาถึงสาธารณะ เมื่อปี ค.ศ 1917 เมื่อหลังสงครามโลก หลังรัสเซียเกิดปฏิวัติ รัฐบาล
บอลเชวิกนำสัญญาแบ่งเค้กมาเปิดเผย เพราะอยากจะหักหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส มันขัดกับสัญญาที่อังกฤษทำให้ไว้กับ Sharif Hussein และก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงระหว่างชาวอาหรับกับอังกฤษ แต่สัญญานี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้ง ฉบับเดียวที่อังกฤษสร้างไว้ให้แก่ชาวอาหรับ
    อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับดินแดนในตะวันออกกลาง คือกลุ่มสนับสนุนชาวยิว Zionism เป็นขบวนการทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปาเลสไตน์ มันเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 กว่า ขบวนการนี้พยายามจะหาที่ลงให้แก่ชาวยิว ที่หนีหรือถูกไล่ออกมาจากยุโรป ซึ่งส่วนมากเคยอาศัยอยู่ในเยอรมัน โปแลนด์ และรัสเซีย (เบื้องหลังของการที่พวกยิวถูกให้ออกมาจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียนั้น ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธนะครับ)
    ในที่สุดพวกนิยมชาวยิว Zionist ก็ กดดันรัฐบาลอังกฤษระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ให้ยินยอมให้พวกเขา ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ เมื่อสงครามจบสิ้น ด้านรัฐบาลอังกฤษเอง ก็มีพวกที่เห็นใจชาวยิว เช่น นาย Arthur Balfour รมว.ต่างประเทศของอังกฤษเอง ซึ่งถึงกับเขียนจดหมายลงวันที่ 2 พ.ย 1912 ไปหา หัวหน้ายิวตัวใหญ่ คือ Baron Rothschild (ตัวแสบ) แจ้งว่ารัฐบาลอังกฤษ ยินดีสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ ชาวยิวได้มีสถานที่ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ โดยจะพยายามผลักดันเต็มความสามารถ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ้งชัดว่า การสนับสนุนนี้ ย่อมไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิอันเสมอภาคของประชาชน และสิทธิทางศาสนาที่มีอยู่ของชุมชนที่มิใช่ชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ ในขณะเดียวกัน สิทธิของชาวยิวหรือสถานะทางการเมืองของชาวยิว ที่มีอยู่ในประเทศอื่น ก็ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยเช่นเดียวกัน
    จดหมายนี้ประวัติศาสตร์ เรียกว่า The Balfour Declaration ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นการฑูตแบบตวัดลิ้นของอังกฤษได้ชัดเจนดี
    ขณะนั้นนาย Woodlow Wilson ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริการอบ 2 ประกาศว่า มนุษย์ควรมีสิทธิเลือกระบบการปกครองของตนเอง พัฒนาตนเองโดยไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการข่มขู่ และไม่ต้องมีความเกรงกลัว นักประวัติศาสตร์ฝรั่งบันทึกว่า ในขณะที่ประกาศ ประธานาธิบดี Wilson ไม่รู้เลยว่าสัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot Agreement นั้น เกิดขึ้นแล้ว แต่อังกฤษก็ร้อนท้อง ไม่อยากให้มิตรใหม่มองเห็นความตะกละของตนชัดแจ้งนัก จึงรีบเดินหน้าเรื่องข้อตกลง Balfour กับยิว (เป็นการเปิดตัวแสดงของอเมริกา ผู้พิทักษ์ที่สวยหรูมาก ควรจะมีไฟส่องและเพลงชาติอเมริกันประกอบ จะดูเนียนมาก)
    เมื่อประธานาธิบดี Wilson เดินทางมาถึงปารีส เมื่อต้นปี ค.ศ. 1919 เพื่อเข้าร่วมเจรจากับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และหัวหน้าของฝ่ายฝรั่งเศส Clemenceau เขาได้เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังยื้อแย่งเค้กอาหรับกัน อย่างตะกระตะกราม ฝรั่งเศสยืนยันว่าตนเองควรได้ปกครองเลบานอน และดินแดนที่ยึดไปถึงแม่น้ำ Tigris ซึ่งปัจจุบันคือซีเรีย ตามที่สัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot กำหนดไว้
    อังกฤษขณะนั้น เพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันมหึมาแถวเมโสโปเตเมีย (หรืออิรัคในปัจจุบัน) จึงรีบเปลี่ยนบทเป็นคัดค้าน อ้างว่าถ้ายก Syria ให้ฝรั่งเศส แล้วเราจะไปตอบกับพวกอาหรับที่มาช่วยรบได้อย่างไร แล้วอันที่จริงเราอังกฤษน่ะ เป็นผู้ลงทุนลงแรงเกือบทั้งหมดในการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ใช้ทหารไปเกือบล้านคน ตายเจ็บไป 125,000 คน ดังนั้น ถ้าซีเรียจะเป็นของใครอื่นนอกจากชาวอาหรับแล้ว ก็ควรเป็น ของอังกฤษมากกว่า โอโห ! บทนี้มันอังกฤษของแท้ ตอแหลบิดเบือนได้อย่างยากที่ใครจะเลียนแบบ ขนมเค้กทำให้คู่หูเริ่มแตกคอกัดกันเอง
    ประธานาธิบดี Wilson เสนอทางออกว่า วิธีที่จะรู้ว่าชาวซีเรียยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสหรือไม่ และปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมีย จะรับการปกครองของอังกฤษหรือไม่นั้น ไม่ยากเลยเพื่อน ก็แค่ไปทำการสำรวจถามชาวบ้านแถวนั้นเขาดูว่า เขาต้องการอย่างไร เอ๊ะ ! ฉลาด เป็นกลาง หรือมีแผนซ้อน ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 4” ก่อนที่พวกกบฎอาหรับจะเริ่มปฏิบัติการ และก่อนที่ Sharif Hussein จะได้สร้างอาณาจักรอาหรับในฝัน ตามที่ McMahon ทำสัญญาหลอกให้ sharif Hussein มารบมาตายแทนอังกฤษ อังกฤษกับฝรั่งเศส มีแผนอื่นที่ตกลงกันไปเรียบร้อย แล้ว ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1915 – ค.ศ. 1916 นักการทูต 2 นาย คือ Sir Mark Sykes ของอังกฤษกับ Francois Georges–Picot ของฝรั่งเศส ได้แอบหารือกันอย่างลับ ๆ เกี่ยวกับการกำหนดอนาคตของอาณาจักรออตโตมาน หลังการล่มสลาย ! หวังว่าคงจำกันได้ อังกฤษได้วางแผนให้ฝรั่งเศสมาร่วมรายการสลายออตโตมาน ขยี้เยอรมันด้วยกัน (อยู่ในตอนแถมของนิทาน “ลูกครึ่งหรือนกสองตัว”) เพราะฉะนั้นก็จำเป็นต้องมีสัญญาแบ่งเค้ก แบ่งรางวัลที่จะได้มาจากการปล้นเมืองเขากัน สัญญานี้ต่อมาเรียกว่า Sykes-Picot Agreement อังกฤษกับฝรั่งเศส ตกลงที่จะแบ่งโลกอาหรับระหว่างพวกเขากันเอง อังกฤษบอกว่าเราจะเอาบริเวณ ซึ่งปัจจุบันเป็นอิรัค คูเวต และจอร์แดน ส่วนฝรั่งเศสบอก งั้นเราเอาส่วนที่ทันสมัยหน่อย คือ ซีเรีย เลบาบอน และทางใต้ของตุรกี ส่วนสถานะของปาเลสไตน์ ยังไม่ตกลงกันเอาไว้ว่ากันที่หลัง เพราะจะต้องถามพวกยิวก่อน แต่ส่วนดินแดนที่ควรจะเป็นอาณาจักรอาหรับในความฝันของ Sharif Hussein ให้อยู่ในความควบคุมดูแลของอังกฤษและฝรั่งเศส อืม ! รบเกือบตาย ได้แต่ความฝัน ! สมันน้อยมีเรื่องให้เรียนรู้แยะนะ ! สัญญา Sykes-Picot นี้ อังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด สำหรับการแบ่งขนมเค้กชิ้นที่เรี ยกว่าตะวันออกกลาง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ขึ้นชื่อว่าความลับ ยังไงก็ต้องมีรั่ว ไม่เคยปิดมิดหรอก เพราะฉะนั้นอย่าไปมีเลยความลับ เปิดซะให้หมดนะครับ เปิดเองดีกว่าให้คนอื่นมาเปิด นี่ผมบอกกับตัวเองนะ ใครอย่าเหมาว่าผมบอกใบ้ใครก็แล้วกัน สัญญาลับนี่เกิดรั่วมาถึงสาธารณะ เมื่อปี ค.ศ 1917 เมื่อหลังสงครามโลก หลังรัสเซียเกิดปฏิวัติ รัฐบาล
บอลเชวิกนำสัญญาแบ่งเค้กมาเปิดเผย เพราะอยากจะหักหน้าอังกฤษและฝรั่งเศส มันขัดกับสัญญาที่อังกฤษทำให้ไว้กับ Sharif Hussein และก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงระหว่างชาวอาหรับกับอังกฤษ แต่สัญญานี้ไม่ใช่เป็นข้อขัดแย้ง ฉบับเดียวที่อังกฤษสร้างไว้ให้แก่ชาวอาหรับ อีกกลุ่มหนึ่งที่อยากจะมีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับดินแดนในตะวันออกกลาง คือกลุ่มสนับสนุนชาวยิว Zionism เป็นขบวนการทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปาเลสไตน์ มันเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 กว่า ขบวนการนี้พยายามจะหาที่ลงให้แก่ชาวยิว ที่หนีหรือถูกไล่ออกมาจากยุโรป ซึ่งส่วนมากเคยอาศัยอยู่ในเยอรมัน โปแลนด์ และรัสเซีย (เบื้องหลังของการที่พวกยิวถูกให้ออกมาจากยุโรป โดยเฉพาะรัสเซียนั้น ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธนะครับ) ในที่สุดพวกนิยมชาวยิว Zionist ก็ กดดันรัฐบาลอังกฤษระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ให้ยินยอมให้พวกเขา ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ เมื่อสงครามจบสิ้น ด้านรัฐบาลอังกฤษเอง ก็มีพวกที่เห็นใจชาวยิว เช่น นาย Arthur Balfour รมว.ต่างประเทศของอังกฤษเอง ซึ่งถึงกับเขียนจดหมายลงวันที่ 2 พ.ย 1912 ไปหา หัวหน้ายิวตัวใหญ่ คือ Baron Rothschild (ตัวแสบ) แจ้งว่ารัฐบาลอังกฤษ ยินดีสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้ ชาวยิวได้มีสถานที่ตั้งรกฝังรากที่ปาเลสไตน์ โดยจะพยายามผลักดันเต็มความสามารถ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างแจ้งชัดว่า การสนับสนุนนี้ ย่อมไม่เป็นการกระทบต่อสิทธิอันเสมอภาคของประชาชน และสิทธิทางศาสนาที่มีอยู่ของชุมชนที่มิใช่ชาวยิว ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ ในขณะเดียวกัน สิทธิของชาวยิวหรือสถานะทางการเมืองของชาวยิว ที่มีอยู่ในประเทศอื่น ก็ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยเช่นเดียวกัน จดหมายนี้ประวัติศาสตร์ เรียกว่า The Balfour Declaration ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างให้เห็นการฑูตแบบตวัดลิ้นของอังกฤษได้ชัดเจนดี ขณะนั้นนาย Woodlow Wilson ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของอเมริการอบ 2 ประกาศว่า มนุษย์ควรมีสิทธิเลือกระบบการปกครองของตนเอง พัฒนาตนเองโดยไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการข่มขู่ และไม่ต้องมีความเกรงกลัว นักประวัติศาสตร์ฝรั่งบันทึกว่า ในขณะที่ประกาศ ประธานาธิบดี Wilson ไม่รู้เลยว่าสัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot Agreement นั้น เกิดขึ้นแล้ว แต่อังกฤษก็ร้อนท้อง ไม่อยากให้มิตรใหม่มองเห็นความตะกละของตนชัดแจ้งนัก จึงรีบเดินหน้าเรื่องข้อตกลง Balfour กับยิว (เป็นการเปิดตัวแสดงของอเมริกา ผู้พิทักษ์ที่สวยหรูมาก ควรจะมีไฟส่องและเพลงชาติอเมริกันประกอบ จะดูเนียนมาก) เมื่อประธานาธิบดี Wilson เดินทางมาถึงปารีส เมื่อต้นปี ค.ศ. 1919 เพื่อเข้าร่วมเจรจากับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และหัวหน้าของฝ่ายฝรั่งเศส Clemenceau เขาได้เห็นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังยื้อแย่งเค้กอาหรับกัน อย่างตะกระตะกราม ฝรั่งเศสยืนยันว่าตนเองควรได้ปกครองเลบานอน และดินแดนที่ยึดไปถึงแม่น้ำ Tigris ซึ่งปัจจุบันคือซีเรีย ตามที่สัญญาแบ่งเค้ก Sykes-Picot กำหนดไว้ อังกฤษขณะนั้น เพิ่งได้รับข่าวเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันมหึมาแถวเมโสโปเตเมีย (หรืออิรัคในปัจจุบัน) จึงรีบเปลี่ยนบทเป็นคัดค้าน อ้างว่าถ้ายก Syria ให้ฝรั่งเศส แล้วเราจะไปตอบกับพวกอาหรับที่มาช่วยรบได้อย่างไร แล้วอันที่จริงเราอังกฤษน่ะ เป็นผู้ลงทุนลงแรงเกือบทั้งหมดในการต่อสู้ในตะวันออกกลาง ใช้ทหารไปเกือบล้านคน ตายเจ็บไป 125,000 คน ดังนั้น ถ้าซีเรียจะเป็นของใครอื่นนอกจากชาวอาหรับแล้ว ก็ควรเป็น ของอังกฤษมากกว่า โอโห ! บทนี้มันอังกฤษของแท้ ตอแหลบิดเบือนได้อย่างยากที่ใครจะเลียนแบบ ขนมเค้กทำให้คู่หูเริ่มแตกคอกัดกันเอง ประธานาธิบดี Wilson เสนอทางออกว่า วิธีที่จะรู้ว่าชาวซีเรียยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสหรือไม่ และปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมีย จะรับการปกครองของอังกฤษหรือไม่นั้น ไม่ยากเลยเพื่อน ก็แค่ไปทำการสำรวจถามชาวบ้านแถวนั้นเขาดูว่า เขาต้องการอย่างไร เอ๊ะ ! ฉลาด เป็นกลาง หรือมีแผนซ้อน ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • “Klopatra: มัลแวร์ Android สุดแสบจากตุรกี ใช้ VNC ลับและโค้ดซ่อนระดับพาณิชย์ เจาะบัญชีธนาคารยุโรปขณะเหยื่อหลับ”

    Cleafy ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอิตาลีได้เปิดเผยมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่มีความซับซ้อนสูงและไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ตระกูลเดิมใด ๆ โดย Klopatra ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งมีอุปกรณ์ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 เครื่อง

    Klopatra เริ่มต้นด้วยการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอป IPTV ปลอมชื่อ “Mobdro Pro IP TV + VPN” ซึ่งขอสิทธิ์ REQUEST_INSTALL_PACKAGES เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปอื่นได้ เมื่อเหยื่ออนุญาต ตัว dropper จะติดตั้ง payload หลักของ Klopatra แบบเงียบ ๆ และเริ่มควบคุมอุปกรณ์ทันที

    มัลแวร์นี้ใช้ Accessibility Services เพื่อเข้าถึงหน้าจอ, บันทึกการพิมพ์, และควบคุมอุปกรณ์แบบไร้ร่องรอย โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Hidden VNC ที่ทำให้หน้าจอของเหยื่อกลายเป็นสีดำเหมือนปิดเครื่อง ขณะที่ผู้โจมตีสามารถเปิดแอปธนาคารและโอนเงินได้โดยไม่ถูกสังเกต

    Klopatra ยังใช้เทคนิค overlay attack โดยแสดงหน้าจอ login ปลอมที่เหมือนจริง เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูล ระบบจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที

    สิ่งที่ทำให้ Klopatra อันตรายยิ่งขึ้นคือการใช้ Virbox ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันโค้ดระดับพาณิชย์ที่ใช้ในซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก โดยโค้ดหลักถูกย้ายไปอยู่ใน native layer พร้อมกลไก anti-debugging และตรวจจับ emulator

    จากการวิเคราะห์ภาษาในโค้ดและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม พบว่าผู้พัฒนา Klopatra เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีการใช้คำว่า “etiket” และ “bot_notu” ในระบบหลังบ้าน รวมถึงข้อความหยาบคายที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดจากการโจรกรรมที่ล้มเหลว

    มีการระบุ botnet หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่

    สเปน: ควบคุมผ่าน adsservices[.]uk

    อิตาลี: ควบคุมผ่าน adsservice2[.]org และมีเซิร์ฟเวอร์ทดสอบชื่อ guncel-tv-player-lnat[.]com

    Klopatra ถูกติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Cleafy เตือนว่า นี่คือสัญญาณของการ “ยกระดับอาชญากรรมไซเบอร์บนมือถือ” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มกำไรสูงสุด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Klopatra เป็น Android RAT ที่ใช้ Hidden VNC และ overlay attack เพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร
    เริ่มต้นด้วย dropper ปลอมชื่อ Mobdro Pro IP TV + VPN ที่ขอสิทธิ์ติดตั้งแอป
    ใช้ Accessibility Services เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบสมบูรณ์
    Hidden VNC ทำให้หน้าจอเหยื่อกลายเป็นสีดำ ขณะผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์
    Overlay attack แสดงหน้าจอ login ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร
    ใช้ Virbox เพื่อป้องกันโค้ด ทำให้ตรวจจับและวิเคราะห์ได้ยาก
    โค้ดหลักถูกย้ายไป native layer พร้อมกลไก anti-debugging และ integrity check
    ผู้พัฒนาเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีคำในระบบหลังบ้านเป็นภาษาตุรกี
    มี botnet 2 กลุ่มในสเปนและอิตาลี และเซิร์ฟเวอร์ทดสอบอีก 1 แห่ง
    ติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Virbox เป็นเครื่องมือป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เช่น เกมหรือแอปองค์กร
    Hidden VNC เคยถูกใช้ในมัลแวร์ระดับองค์กร เช่น APT เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบลับ
    Accessibility Services เป็นช่องโหว่ที่มัลแวร์ Android ใช้บ่อยที่สุดในช่วงหลัง
    Overlay attack ถูกใช้ในมัลแวร์ธนาคารหลายตัว เช่น BRATA และ Octo
    การใช้ native code ทำให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้ดีขึ้น

    https://securityonline.info/klopatra-new-android-rat-uses-hidden-vnc-and-commercial-obfuscation-to-hijack-european-banking-accounts/
    📱 “Klopatra: มัลแวร์ Android สุดแสบจากตุรกี ใช้ VNC ลับและโค้ดซ่อนระดับพาณิชย์ เจาะบัญชีธนาคารยุโรปขณะเหยื่อหลับ” Cleafy ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามจากอิตาลีได้เปิดเผยมัลแวร์ Android ตัวใหม่ชื่อ “Klopatra” ซึ่งเป็น Remote Access Trojan (RAT) ที่มีความซับซ้อนสูงและไม่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์ตระกูลเดิมใด ๆ โดย Klopatra ถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีผู้ใช้ธนาคารในยุโรป โดยเฉพาะในสเปนและอิตาลี ซึ่งมีอุปกรณ์ติดเชื้อแล้วกว่า 3,000 เครื่อง Klopatra เริ่มต้นด้วยการหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอป IPTV ปลอมชื่อ “Mobdro Pro IP TV + VPN” ซึ่งขอสิทธิ์ REQUEST_INSTALL_PACKAGES เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปอื่นได้ เมื่อเหยื่ออนุญาต ตัว dropper จะติดตั้ง payload หลักของ Klopatra แบบเงียบ ๆ และเริ่มควบคุมอุปกรณ์ทันที มัลแวร์นี้ใช้ Accessibility Services เพื่อเข้าถึงหน้าจอ, บันทึกการพิมพ์, และควบคุมอุปกรณ์แบบไร้ร่องรอย โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ Hidden VNC ที่ทำให้หน้าจอของเหยื่อกลายเป็นสีดำเหมือนปิดเครื่อง ขณะที่ผู้โจมตีสามารถเปิดแอปธนาคารและโอนเงินได้โดยไม่ถูกสังเกต Klopatra ยังใช้เทคนิค overlay attack โดยแสดงหน้าจอ login ปลอมที่เหมือนจริง เมื่อเหยื่อกรอกข้อมูล ระบบจะส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตีทันที สิ่งที่ทำให้ Klopatra อันตรายยิ่งขึ้นคือการใช้ Virbox ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือป้องกันโค้ดระดับพาณิชย์ที่ใช้ในซอฟต์แวร์ถูกลิขสิทธิ์ ทำให้การวิเคราะห์และตรวจจับทำได้ยากมาก โดยโค้ดหลักถูกย้ายไปอยู่ใน native layer พร้อมกลไก anti-debugging และตรวจจับ emulator จากการวิเคราะห์ภาษาในโค้ดและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม พบว่าผู้พัฒนา Klopatra เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีการใช้คำว่า “etiket” และ “bot_notu” ในระบบหลังบ้าน รวมถึงข้อความหยาบคายที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดจากการโจรกรรมที่ล้มเหลว มีการระบุ botnet หลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ 🌍 สเปน: ควบคุมผ่าน adsservices[.]uk 🌍 อิตาลี: ควบคุมผ่าน adsservice2[.]org และมีเซิร์ฟเวอร์ทดสอบชื่อ guncel-tv-player-lnat[.]com Klopatra ถูกติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย Cleafy เตือนว่า นี่คือสัญญาณของการ “ยกระดับอาชญากรรมไซเบอร์บนมือถือ” ที่ใช้เทคโนโลยีระดับองค์กรเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับและเพิ่มกำไรสูงสุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Klopatra เป็น Android RAT ที่ใช้ Hidden VNC และ overlay attack เพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ เริ่มต้นด้วย dropper ปลอมชื่อ Mobdro Pro IP TV + VPN ที่ขอสิทธิ์ติดตั้งแอป ➡️ ใช้ Accessibility Services เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบสมบูรณ์ ➡️ Hidden VNC ทำให้หน้าจอเหยื่อกลายเป็นสีดำ ขณะผู้โจมตีควบคุมอุปกรณ์ ➡️ Overlay attack แสดงหน้าจอ login ปลอมเพื่อขโมยข้อมูลธนาคาร ➡️ ใช้ Virbox เพื่อป้องกันโค้ด ทำให้ตรวจจับและวิเคราะห์ได้ยาก ➡️ โค้ดหลักถูกย้ายไป native layer พร้อมกลไก anti-debugging และ integrity check ➡️ ผู้พัฒนาเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตุรกี โดยมีคำในระบบหลังบ้านเป็นภาษาตุรกี ➡️ มี botnet 2 กลุ่มในสเปนและอิตาลี และเซิร์ฟเวอร์ทดสอบอีก 1 แห่ง ➡️ ติดตามแล้วกว่า 40 เวอร์ชันตั้งแต่มีนาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Virbox เป็นเครื่องมือป้องกันโค้ดที่ใช้ในซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ เช่น เกมหรือแอปองค์กร ➡️ Hidden VNC เคยถูกใช้ในมัลแวร์ระดับองค์กร เช่น APT เพื่อควบคุมอุปกรณ์แบบลับ ➡️ Accessibility Services เป็นช่องโหว่ที่มัลแวร์ Android ใช้บ่อยที่สุดในช่วงหลัง ➡️ Overlay attack ถูกใช้ในมัลแวร์ธนาคารหลายตัว เช่น BRATA และ Octo ➡️ การใช้ native code ทำให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับจาก antivirus ได้ดีขึ้น https://securityonline.info/klopatra-new-android-rat-uses-hidden-vnc-and-commercial-obfuscation-to-hijack-european-banking-accounts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Klopatra: New Android RAT Uses Hidden VNC and Commercial Obfuscation to Hijack European Banking Accounts
    Cleafy uncovers Klopatra, a new Android RAT using commercial Virbox obfuscation and native code to target banks in Spain/Italy, allowing invisible remote device control.Export to Sheets
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”

    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 3”

    Hussein Bin Ali, Sharif of Hejaz และของ Mecca นครศักดิ์สิทธิ ท่าน Sharif และลูกชาย 2 คน Faisal และ Abduellah กำลังเบื่อหน่ายเต็มทีกับการปกครองของพวกออตโตมาน มีความฝันที่จะสร้างรัฐอาหรับยาวจากภูเขา Taurus ทางภาคใต้ของตุรกี ไปจนถึงทะเลแดง และจากเมดิเตอริเรเนียน ไปจนถึงเขตแดนของอิหร่าน Sir Henry McMahon ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ ได้เริ่มติดต่อกับ Sharif ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา และเป็นที่รู้จักกันในนาม McMahon Hussein Correspondence

    เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915 McMahon เขียนจดหมายไปหา Hussein บอกว่าเดินหน้าได้เลย อังกฤษรับรู้และพร้อมที่จะสนับสนุนการมีอิสรภาพของเหล่าอาหรับ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัดบางประการ และมีอาณาเขตตามที่ Sharif of Mecca ได้เสนอไป

    พวกอาหรับรักษาคำมั่นของพวกเขา มีนาคม 1916 Sharif Hussein เริ่มปฏิบัติการเป็นหัวหน้านำกลุ่ม ชนเผ่าพื้นเมืองติดอาวุธ (Bedouin) ประกาศตัวต่อต้าน ออตโตมาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชาวอาหรับที่แสดงการขัดขืนต่อต้านออตโตมาน ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปตามเมืองต่าง ๆ ในแดน Hejaz รวมทั้งใน Jeddah และ Makkah โดยการช่วยเหลือของกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษ นอกจากนั้นอังกฤษยังส่ง นาย Thomas Edward Lawrence ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ประจำอยู่ฝ่ายปฏิบัติการ (จารกรรม) ของอังกฤษ ให้ไปฝั่งตัวอยู่ในกลุ่มพวกอาหรับอีกด้วย

    อังกฤษในตอนแรก แม้ว่าจะได้ตกลงกับ Hussein ไปแล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกอาหรับจะสามารถทำอะไรได้จริง แต่จดหมายจากนาย Lawrence ส่งถึงเจ้านายเมื่อประมาณ ต้นปี ค.ศ. 1916 บอกอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้อังกฤษ ปรับแนวคิดเกี่ยวกับพวกอาหรับ นาย Lawrence บอกว่า “พวกอาหรับจะเดินตามแนวทางที่เราต้องการ และจะสามารถ “ทลาย” กลุ่มอิสลามที่ผนึกตัวกันได้ และจะสามารถเอาชนะ และทำให้ออตโตมานปั่นป่วนได้ แต่อังกฤษอย่าได้คิดเลยว่า ความฝันของ Hussein ที่จะรวมตัวพวกอาหรับเข้าด้วยกันได้ จะเป็นความจริง และถ้ารัฐอาหรับของ Sharif สามารถตั้งขึ้นได้เพื่อเอาชนะออตโตมานจริง ก็จะเป็นอันตรายกับทางอังกฤษต่อไป พวกอาหรับอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่อยู่กับร่องกับรอย ยิ่งกว่าพวกเตอร์กเสียอีก แต่ถ้าเราดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐอาหรับนี้จะกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ยากแก่การรวมตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาลต่อไป (เหมือนเราวางไม้เสี้ยมถาวรไว้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พวกเขาทะเลาะกันเอง ! น่าสนใจนะ สมันน้อย)

    เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแถมซักหน่อยว่า ไอ้หมอนี่ผู้แนะนำให้อังกฤษ วางไม้เสี้ยมถาวรไว้ คือคนที่เรารู้จักกันในนามของ Lawrence of Arabia หนังใหญ่ยาว 4 ชม.กว่า แสดงโดย Peter O’Toole ออกฉายเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บางท่านที่เกิดทันอาจจะร้อง อ๋อ ถ้าจะให้ดี ลองไปเอาหนังเรื่องนี้มาดู จะเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น แต่หนังก็คือหนัง มันไม่ได้บอกอะไรหมด แถมใส่สีใส่บทเพิ่มเติมกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญมันผิดความเป็นจริงอย่างยิ่ง อยู่หลายส่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับบทบาทของนาย Lawrence และแผนซ้อนของอังกฤษ แต่กระนั้นก็น่าเอามาดูกันครับ จะได้ซึ้งกับความเป็น Hollywood สื่อฟอกย้อมชิ้นสำคัญของนักล่า !

    เมื่อสงครามโลกยึดเยื้อไปถึงปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1918 กลุ่มกบฏอาหรับยึดได้เมืองสำคัญหลายเมืองของออตโตมาน ส่วนอังกฤษก็รุกเข้าไปถึง ปาเลสไตน์ และอิรัค ยึดเมือง เยรูซาเร็ม และแบกแดดได้ กลุ่มกบฎอาหรับช่วยให้กองทัพอังกฤษยึดเมืองอัมมานและดามัสคัสได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฎอาหรับนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นพ้องจากกลุ่มอาหรับส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงขบวนการของกลุ่มข้างน้อย ซึ่งมีหัวหน้าไม่กี่คน พวกอาหรับส่วนใหญ่ยังแยกตัวเอง ออกจากความขัดแย้ง และไม่สนับสนุนพวกกบฎหรือทางออตโตมาน แม้จะมีคนสนับสนุนไม่มาก แต่ความฝันของ Sharif Hussein ก็ชัดเจนว่า เขาอยากจะให้มีอาณาจักรอาหรับและมาถึงตอนนี้ ความฝันก็ดูใกล้ที่จะเป็นจริง ถ้าอังกฤษจะไม่ได้หักหลัง โดยไปมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น กับใครอื่นเสียก่อนแล้ว

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    18 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 3” Hussein Bin Ali, Sharif of Hejaz และของ Mecca นครศักดิ์สิทธิ ท่าน Sharif และลูกชาย 2 คน Faisal และ Abduellah กำลังเบื่อหน่ายเต็มทีกับการปกครองของพวกออตโตมาน มีความฝันที่จะสร้างรัฐอาหรับยาวจากภูเขา Taurus ทางภาคใต้ของตุรกี ไปจนถึงทะเลแดง และจากเมดิเตอริเรเนียน ไปจนถึงเขตแดนของอิหร่าน Sir Henry McMahon ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ ได้เริ่มติดต่อกับ Sharif ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1915 เป็นต้นมา และเป็นที่รู้จักกันในนาม McMahon Hussein Correspondence เดือนตุลาคม ค.ศ. 1915 McMahon เขียนจดหมายไปหา Hussein บอกว่าเดินหน้าได้เลย อังกฤษรับรู้และพร้อมที่จะสนับสนุนการมีอิสรภาพของเหล่าอาหรับ ภายใต้เงื่อนไข ข้อจำกัดบางประการ และมีอาณาเขตตามที่ Sharif of Mecca ได้เสนอไป พวกอาหรับรักษาคำมั่นของพวกเขา มีนาคม 1916 Sharif Hussein เริ่มปฏิบัติการเป็นหัวหน้านำกลุ่ม ชนเผ่าพื้นเมืองติดอาวุธ (Bedouin) ประกาศตัวต่อต้าน ออตโตมาน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ชาวอาหรับที่แสดงการขัดขืนต่อต้านออตโตมาน ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นไปตามเมืองต่าง ๆ ในแดน Hejaz รวมทั้งใน Jeddah และ Makkah โดยการช่วยเหลือของกองทัพบกและกองทัพเรือของอังกฤษ นอกจากนั้นอังกฤษยังส่ง นาย Thomas Edward Lawrence ผู้ชำนาญด้านโบราณคดี ประจำอยู่ฝ่ายปฏิบัติการ (จารกรรม) ของอังกฤษ ให้ไปฝั่งตัวอยู่ในกลุ่มพวกอาหรับอีกด้วย อังกฤษในตอนแรก แม้ว่าจะได้ตกลงกับ Hussein ไปแล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าพวกอาหรับจะสามารถทำอะไรได้จริง แต่จดหมายจากนาย Lawrence ส่งถึงเจ้านายเมื่อประมาณ ต้นปี ค.ศ. 1916 บอกอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้อังกฤษ ปรับแนวคิดเกี่ยวกับพวกอาหรับ นาย Lawrence บอกว่า “พวกอาหรับจะเดินตามแนวทางที่เราต้องการ และจะสามารถ “ทลาย” กลุ่มอิสลามที่ผนึกตัวกันได้ และจะสามารถเอาชนะ และทำให้ออตโตมานปั่นป่วนได้ แต่อังกฤษอย่าได้คิดเลยว่า ความฝันของ Hussein ที่จะรวมตัวพวกอาหรับเข้าด้วยกันได้ จะเป็นความจริง และถ้ารัฐอาหรับของ Sharif สามารถตั้งขึ้นได้เพื่อเอาชนะออตโตมานจริง ก็จะเป็นอันตรายกับทางอังกฤษต่อไป พวกอาหรับอารมณ์ไม่มั่นคงและไม่อยู่กับร่องกับรอย ยิ่งกว่าพวกเตอร์กเสียอีก แต่ถ้าเราดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐอาหรับนี้จะกลายเป็นรัฐเล็ก ๆ ที่แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ยากแก่การรวมตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเราอย่างมหาศาลต่อไป (เหมือนเราวางไม้เสี้ยมถาวรไว้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้พวกเขาทะเลาะกันเอง ! น่าสนใจนะ สมันน้อย) เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแถมซักหน่อยว่า ไอ้หมอนี่ผู้แนะนำให้อังกฤษ วางไม้เสี้ยมถาวรไว้ คือคนที่เรารู้จักกันในนามของ Lawrence of Arabia หนังใหญ่ยาว 4 ชม.กว่า แสดงโดย Peter O’Toole ออกฉายเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บางท่านที่เกิดทันอาจจะร้อง อ๋อ ถ้าจะให้ดี ลองไปเอาหนังเรื่องนี้มาดู จะเห็นภาพบางอย่างชัดขึ้น แต่หนังก็คือหนัง มันไม่ได้บอกอะไรหมด แถมใส่สีใส่บทเพิ่มเติมกว่าความเป็นจริง ที่สำคัญมันผิดความเป็นจริงอย่างยิ่ง อยู่หลายส่วน โดยเฉพาะเกี่ยวกับบทบาทของนาย Lawrence และแผนซ้อนของอังกฤษ แต่กระนั้นก็น่าเอามาดูกันครับ จะได้ซึ้งกับความเป็น Hollywood สื่อฟอกย้อมชิ้นสำคัญของนักล่า ! เมื่อสงครามโลกยึดเยื้อไปถึงปี ค.ศ. 1917 และ ค.ศ. 1918 กลุ่มกบฏอาหรับยึดได้เมืองสำคัญหลายเมืองของออตโตมาน ส่วนอังกฤษก็รุกเข้าไปถึง ปาเลสไตน์ และอิรัค ยึดเมือง เยรูซาเร็ม และแบกแดดได้ กลุ่มกบฎอาหรับช่วยให้กองทัพอังกฤษยึดเมืองอัมมานและดามัสคัสได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฎอาหรับนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นพ้องจากกลุ่มอาหรับส่วนใหญ่ มันเป็นเพียงขบวนการของกลุ่มข้างน้อย ซึ่งมีหัวหน้าไม่กี่คน พวกอาหรับส่วนใหญ่ยังแยกตัวเอง ออกจากความขัดแย้ง และไม่สนับสนุนพวกกบฎหรือทางออตโตมาน แม้จะมีคนสนับสนุนไม่มาก แต่ความฝันของ Sharif Hussein ก็ชัดเจนว่า เขาอยากจะให้มีอาณาจักรอาหรับและมาถึงตอนนี้ ความฝันก็ดูใกล้ที่จะเป็นจริง ถ้าอังกฤษจะไม่ได้หักหลัง โดยไปมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น กับใครอื่นเสียก่อนแล้ว สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 18 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2”
    Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว !
    เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว
    ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน
    ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ
    โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น
    อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น
    อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ
    เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
    ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย
    หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน
    อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย
    ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่
    กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 2” Istanbul ฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1914 เมืองหลวงของจักรวรรดิออตโตมาน เหมือนอยู่ไกลไปครึ่งโลกห่างวัง ฤดูร้อนใน Ischi ที่ Emperor Franz Joseph ที่ 1 ลงนามในแถลงการณ์ “To My People” เมื่อวันที่ 28 ก.ค 1914 แจ้งให้ชาวออสเตรียรู้ว่า ออสเตรียได้ประกาศสงครามกับ Serbia อย่างเป็นทางการแล้ว ! เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่อาณาจักรออตโตมานควบคุมทางใต้และตะวันออกของเมดิเตอเรเนียน ตั้งแต่เมือง Alexandretta ถึง Arish และจาก Maghreb ไปถึง Suez ส่วน Algeria และ Tunesia ตกอยู่ในการดูแลของฝรั่งเศส ในขณะที่อังกฤษงาบ อียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว ในปี ค.ศ. 1911 อิตาลีได้ยึดหัวหาดอยู่ที่ลิเบีย ก่อนที่จะเกิดสงครามโลก อาณาจักรออตโตมานถูกรุมทึ้งจนเหลือเพียงตุรกี (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ตะวันออกกลางและอิรัค (เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) และดินแดนยาวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แถบคาบสมุทรอารเบียยาวไปถึงเยเมน ตรงบริเวณนี้แหละ ตรงที่เป็นภาคใต้ของตุรกีปัจจุบัน ที่เป็นศูนย์กลางของสงครามในตะวันออกกลางในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนส่วนนี้ได้พยุงตัวด้วยความยากลำบาก เป็นเวลากว่า 400 ปี ที่จะให้อยู่รอดพ้นจากการเหลือแต่ชื่อ แต่แล้วพอถึงต้นศตวรรษที่ 20 ดินแดนส่วนนี้ก็ยิ่งอาการสาหัส กลายเป็นแดนวิกฤติ อย่างที่เรารู้อยู่ในปัจจุบัน บริเวณที่เมืองต่าง ๆ ในแถบนั้นต้องประสบกับความทุกข์ทรมานยาวหลายชั่วคน เช่น Basra, Bagdad, Aleppo, Damascus, Beirut, Gaza และ Suez ฯลฯ เมืองที่เราเห็นชื่อตามสื่อและ breaking news ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแทบจะเลิกสนใจเพราะนึกว่าเอาเทปของเก่ามาเล่นซ้ำ โชคดีที่พวกชักใยหรือตัวละครเอกที่แสดงอยู่ในฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า ที่สนามหลังบ้านของอาณาจักรออตโตมาน มีแหล่งพลังงานน้ำมันใหญ่ที่สุด ซ่อนตัวอยู่ ถ้าไอ้พวกนั้นได้รู้ การต่อสู้ที่ตะวันออกกลางช่วงนั้นคงจะยิ่งดุเดือดและทารุณโหดร้าย ป่าเถื่อนกว่าที่ได้เกิดขึ้นอีกมากมาย ในขณะนั้น คู่สงครามต่างแสดงบทที่ดูเหมือนจะต้องการเพียงแค่ กำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดไปจากทางเดินของตน ไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอิทธิพล มีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ และพยายามทุกอย่างที่จะขัดขวางกันและกันเท่านั้น อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าข้างซ้าย สบโอกาสที่จะสลายอาณาจักรออตโตมาน ของนักไต่ลวดชาวตุรกี และยึดเอามาเป็นของตน เพื่อขยายอิทธิพลของตนไปทางตะวันออกกลางมากขึ้น ขณะนั้นอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ อยู่แล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 และเหนืออินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857 ยังเหลืออาณาจักรออตโตมาน ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 อาณานิคมสำคัญ นี่ถ้าได้อาณาจักรออตโตมานอีกรายการ อาการฟันห่างระหว่างอียิปต์กับอินเดียก็จะแคบเข้ามา อังกฤษจะนั่งรอให้โอกาสวิ่งผ่านไป โดยไม่ฉวยได้อย่างไร ความคิดที่จะใช้สงครามโลกเป็นเครื่องมือถอนราก ถอนโคน อาณาจักรของนักไต่ลวด พร้อมกับการสกัดและทำลายเยอรมันที่คิดทาบรัศมีด้วยการสร้างทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ไปพร้อมกันจึงเกิดขึ้น อาณาจักรออตโตมาน ตัดสินใจว่าจะวางตัวเป็นกลาง ก็เป็นคนป่วยนี่ ไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อสู้กับใครได้ อยู่เฉย ๆ น่าจะดีและเหมาะกับสภาพของออตโตมานตอนนั้นมากกว่า สุลต่านผู้ครองจักรวรรดิออตโตมาน เป็นเสมือนหุ่นไม่มีอำนาจจริง หลังจากสุลต่าน Abdulhamid II ซึ่งเป็นสุลต่านที่มีอำนาจคนสุด ท้าย ถูกโค่นลงเมื่อปี 1908 แล้ว สุลต่านคนต่อ ๆ มา ก็หมกตัวอยู่แต่ในฮาเร็ม ให้รัฐบาลทหาร ซึ่งนำโดย Three Pasha เป็นผู้บริหารแทน ปาชาไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาและออกจะเป็นพวกนิยมตะวันตกด้วยซ้ำ เป็นทหารจะไปรู้เรื่องการค้ามากมายอะไร (ผมหมายถึงปาชานะครับ อย่าเข้าใจผิดว่าเขียนถึงทหารอื่น ซึ่งเก่งทั้งการทหาร การค้า การปกครอง และอื่น ๆ อีกมากมาย) แล้วอาณาจักรออตโตมานก็ถึงเวลากระเป๋าแห้ง และฉีกขาดต่อมา เป็นหนี้ฝรั่งตะวันตกบานตะเกียง ชนิดไม่มีทางจะใช้คืน นอกจากเบี้ยวเขา หรือเป็นทาสเขาไปเท่านั้น แล้วไงล่ะ ขอไปร่วมอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เขาก็ถีบทิ้ง นักไต่ลวดจึงถลาลงพื้น หัวฟาดอย่างเดียวไม่พอ กระเป๋าฉีกขาดอีกด้วย ทั้งเจ็บ ทั้งจนขนาดนี้ จะมีทางเลือกอะไร จึงจำใจไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ตุลาคม ค.ศ. 1914 ตุรกี (หรืออาณาจักรออตโตมานขณะนั้น) จึงประกาศตัวอยู่ฝ่ายเยอรมันกับพวก ที่น่าจะกระเป๋าตุงเพราะทำซ่า ว่าจะสร้างทางรถไฟข้ามทวีป เบอร์ลิน แบกแดด ท้าทายชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แต่ก่อนประกาศตัวอยู่กับฝ่ายเยอรมันเป็นทางการ คนป่วยตุรกีแอบทำสัญญาลับกับ คุณหมอเยอรมัน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือรบสัญชาติเยอรมัน 2 ลำ SMS Goeben และ SMS Breslau ก็วิ่งมาเงียบ ๆ จากฝั่งตะวันตกของเมดิเตอริเรเนียน ถึงกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อเทียบท่าเรียบร้อย ก็ทำพิธีส่งมอบให้ออตโตมาน ซึ่งขณะนั้นบอกว่ายังเป็นกลางอยู่ ออตโตมานตั้งชื่อเรือเสียใหม่ว่า Yavuz และ Midilli ให้มีกลิ่นแกะตุรกีติดเรือ แทนกลิ่นไส้กรอกกับผักดองเปรี้ยวของเยอรมัน พลประจำเรือชาวเยอรมันยังไม่ได้หายตัวไปไหน แค่เปลี่ยนชุดและใส่หมวกตุรกีแทนเท่านั้น เป็นคนป่วยที่ดูเหมือน ยังมีเหลี่ยมติดตัวอยู่ไม่น้อย หลังจากนั่นเรือรบ 2 ลำ เดินทางต่อไปถึง Golden Horn และต่อไปที่เมือง Dardanelles ปฏิบัติการยั่วยวนก็เกิดขึ้นทันที ออตโตมานและเยอรมัน ได้ปิดทางเชื่อมระหว่างรัสเซียออกจากพวก คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังจากนั้น เครื่องบินรบติดธงออตโตมาน ก็บินขึ้นจากเรือรบ Goeben ถล่มท่าเรือรัสเซียที่ทะเลดำ การยั่วยวนได้ผล ต้นเดือนพฤศจิกายน รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมาน อังกฤษพยายามที่จะทลายการปิดกั้นเส้นทางที่ Dardanelles และยึดเมืองคอนสแตนติโนเบิล ยกโขยงกองทัพเรือมาพร้อมกับของฝรั่งเศสมาทางแหลม Gallipoli การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งทางเรือและทางบก ผลสุดท้ายคนป่วย ออตโตมานที่มีหมอดียาดี ยี่ห้อเยอรมัน ลุกขึ้นกวาดกองทัพอังกฤษแตกกลับ ลงทะเล ผลของคนป่วยได้ยาดี ทำให้ท่านหลอด Winston Churchill แม่ทัพเรือ ยื่นใบลาออกเพราะแพ้คนป่วย จะแก้ตัวยังไงดี ลาออกง่ายกว่า ผลการประเมินคนป่วยผิดคาดนี้ ทำให้เกิดบาดแผลมากมาย ทหารของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ลูกกระเป๋งของอังกฤษตายเป็นเบือ จนเดี๋ยวนี้ทั้ง 2 ชาติ ก็ไม่มีวันลืมสงครามคนป่วย ความพ่ายแพ้ที่ Gallipoli ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยเฉพาะอังกฤษ เปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบใหม่ หลังจากแผนการตีกล่องดวงใจ ของออตโตมานล้มเหลว อังกฤษเปลี่ยนแผนเป็น ไล่เซิ้งเมืองรอบนอกให้ยับเยินแทน เป้าหมายมุ่งไปที่เมืองที่มีชาวอาหรับอ่อนแอดูแลอยู่ กลยุทธที่อังกฤษถนัดใช้และพกติดตัวไว้เสมอ คือไม้เสี้ยม ไม่ต้องลงทุนมาก ใช้ความคิดชั่ว ๆ กับปากก็พอ อังกฤษตั้งใจจะใช้ชาวอาหรับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน เป็นเครื่องมือในการช่วยทลายออตโตมานเอง ในที่สุดก็หาเครื่องมือนี้เจอที่เมือง Hejaz ที่บริเวณตะวันตกของคาบสมุทรอารเบีย สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ส.ค. 2557
    0 Comments 0 Shares 345 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 1”
    ตามประวัติศาสตร์ที่จารึกกันไว้ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 แต่ความรุนแรงที่สงครามโลก ได้สร้างทิ้งไว้ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะยังไม่จบ การโต้แย้งเรื่องเขตแดน ซึ่งกำหนดขึ้นโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอังกฤษ เพื่อสนองตัณหาของพวกนักล่า ได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้งและความเศร้าสลดใจไว้ในภูมิภาคนี้ อย่างยากที่จะหาทางเยียวยา
    ที่เมือง Damascus ในซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองมากว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่เห็นเค้าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ กองทัพภาคที่ 4 ของรัฐบาลซีเรีย ขึ้นไปตั้งมั่นอยู่บนภูเขา Kassioun ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติบอกว่า แก๊สพิษที่ถูกยิงลงมาฟุ้งกระจายอยู่บริเวณเมืองชายขอบของ Damascus เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2013 นั้น ถูกยิงมาจากภูเขาดังกล่าว ทำให้มีคนตายไปประมาณ 1,400 คน เป็นยอดคนตายเฉพาะใน 1 วันเท่านั้น ตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่ม จนถึงปัจจุบัน มีคนตายไปแล้วประมาณ 1.5 แสนคน
    Bagdad เมืองที่เคยเป็นวังเก่าในอิรัค 2 ปี หลังจากที่กองทัพอเมริกันถอนออกไป ชาวอิรัคได้มีโอกาสมาเดินเล่นในส่วนที่เรียกว่าเป็น Green – Zone ที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำ Tigris อีกครั้งหนึ่ง มันเป็นส่วนของเมืองแบกแดด ที่ทหารอเมริกันแอบใช้เป็นที่หลบภัย เมื่อทำให้ทั้งประเทศที่พวกเขาไปครอบครองอยู่ กลายเป็นแดนฆาตกรรมหมู่ ปัจจุบันสถานการณ์ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ การเดินเล่นใน Green Zone มีอายุสั้นจริง อีกด้านหนึ่งของกำแพงเป็น Red-Zone การถูกยิง การตายหมู่ กลับกลายมาเป็นเหตุการณ์ประจำวันอีกครั้ง แม้ทหารอเมริกันจะถอยทัพออกไปแล้ว ความสงบก็ไม่ได้กลับมา มีคนตายไปแล้วเป็นหมื่นคน
    Beirut เมืองหลวงของเลบานอน เมืองซึ่งเป็นที่ชื่นชมของชาวอาหรับ พวกเขาชอบใช้เบรุตเป็นสถานที่นัดพบ เป็นที่เดินเล่นทอดน่อง จูงมือกัน พักผ่อนหย่อนใจ และแข่งกันทำมาหากิน เป็นเส้นทางขนานคู่ระหว่างศาสนากับโลกีย์ มุสลิมกับคริสเตียน ชีอะห์กับสุหนี่ แล้วกลิ่นไอของการต่อสู้ที่ลิเบีย ซีเรีย และความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน อียิปต์ และอิรัค ก็โชยมาใส่จมูกของชาวเบรุตที่กำลังเดินจูงมือกันอีกครั้ง คำถามเดิม ๆ วนกลับมาเข้ามาในใจของชาวเลบานอน แล้วเบรุตจะรอดไหม เราจะเจอคลื่นความไม่สงบ ความรุนแรงโหมใส่เราอีกครั้งไหม หรือว่ามันมาคอยเราอยู่แล้ว ตรงหัวมุมถนนอันเป็นที่รักของเราในเบรุตนี้เอง
    2 ปี หลังจากการลุกฮือเหมือนนัดกันในปี ค.ศ. 2011 สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทางความสิ้นหวังและเปล่าเปลี่ยวเหมือนอย่างที่ผ่านมา แทบจะไม่มีประเทศใดเลยในภูมิภาคนี้ ที่ไม่เคยผจญกับสงคราม หรือความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีประเทศไหนเลยที่มีภูมิต้านทานแข็งแรงพอ ที่จะรับมือกับการจราจลรอบใหม่ ที่อาจจะระเบิดเป็นวงกว้างไปทั่วภูมิภาค ในอนาคตอันใกล้นี้ ขบวนการที่เรียกว่า Arab Spring ดูเหมือนจะจมโคลนไปแล้ว แทนที่จะงอกงาม หรือไม่ก็ถูกต่อต้าน หรือถูกโค่น ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น
    สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวภูมิภาคนี้จากสื่อฟอกย้อม คงมองเห็นว่าการต่อต้าน ลุกฮือที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ และซีเรีย ก็คงเป็นพัฒนาการทางการเมืองตามปรกติของภูมิภาค แต่เปล่าหรอก ความไม่สงบเหล่านั้น มันเป็นหน่อใหม่ที่แตกเพิ่ม มาจากรากเหง้าของความขัดแย้ง ที่เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดยั้งมา เป็นเวลาประมาณ 100 ปีแล้ว และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างไร
    ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ที่ผลของมันจะสามารถสร้างความตึงเครียดและขัดแย้ง ให้ใหม่สดเสมอ ต่อเนื่องและยาวนานในตะวันออกกลาง ได้เท่ากับผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
    การสู้รบ ที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า European Civil War ที่หมายถึงช่วงเวลาความรุนแรงที่เขย่ายุโรป ตั้งแต่ ค.ศ. 1914 เป็นต้นมาและสิ้นสุดเอาปี ค.ศ. 1945 ต่อด้วยสงครามเย็น ได้จบลงเมื่อ 1990 แต่สำหรับโลกอาหรับ ความตึงเครียดของพวกเขา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันยังคงค้างคาอยู่ บรรดาชาวตะวันออกกลาง พบว่าตัวเองจำเป็นต้องไปฝึกหัดเป็นนักไต่ลวดกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่ได้เป็นนักไต่ลวดธรรมดา เขาไต่ลวดและถือดาบไล่ฟันกันระหว่างไต่ลวดด้วย
    นัก (เขียน) ประวัติศาสตร์ฝรั่งบอกว่า ในภูมิภาคอันกว้างใหญ่ มี 2 ประเทศ คือ อียิปต์ และอิหร่าน ที่ดูเหมือนจะพอประคองตนเองให้อยู่รอดมาได้แม้จะโดนเขย่า โดนโค่นอยู่หลายครั้ง อีก 1 ประเทศ ที่ดูจะชำนาญในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แม้จะถูกบีบถูกถีบทิ้งหลายครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วคือตุรกี และอีก 1 ประเทศที่แม้ไม่ถนัด ในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แต่ใช้วิธีทำตัวอ่อน โอนไปตามกระแส เงินและน้ำมัน คือ Saudi Arabia ประเทศทั้ง 4 นี้ ล้อมรอบใจกลางของตะวันออกกลาง ซึ่งมี 5 ประเทศ และ 1 รัฐพิเศษ คือ เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อีรัค อิสราเอล และปาเลสไตน์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน Fromkin เรียกกลุ่มประเทศนี้ว่า ลูก ๆ ของอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ผมอยากจะแย้งนักประวัติศาสตร์ฝรั่งทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็น 4 ประเทศข้างต้น ก็ดูเหมือนจะเอาตัวรอดยาก แม้ว่าต่างจะฝึกเป็นนักไต่ลวดกันเป็นแถว และพวกประเทศที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นลูก ที่นักล่าอาณานิคม “สร้าง” ก็ดูจะเป็นการสร้างขึ้นมาใช้เป็น “ไม้เสี้ยม” ตะวันออกกลาง ให้แตกให้แย้งกันเองอยู่เสมอต่างหาก
    ไม่มีกลุ่มประเทศไหน แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากับกลุ่มเด็กถูกเสี้ยมข้างต้น ที่จะต้องผจญภัยสงคราม การขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง การโค่นล้ม การก่อการร้าย ได้มากเท่าที่กลุ่มเด็กถูกเสี้ยมโดน ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
    เพื่อที่จะเข้าใจความผิดปรกติของสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค นี้ เราคงจะต้องตามไปรู้จักหัวหางของเหตุการณ์บางอย่างก่อน เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งความล้มเหลวของเหล่าผู้ปกครองและการเมืองในตะวันออกกลางเอง ที่ไม่สามารถจะต้านทาน หรือแก้เกมการครอบครอง และครอบงำโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะชาติอังกฤษ และที่สำคัญ การค้นพบน้ำมัน การก่อตั้งอิสราเอล ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความขัดแย้งในภูมิภาคนี้
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 สค. 2557
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 1 : “เสี้ยม 1” ตามประวัติศาสตร์ที่จารึกกันไว้ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้จบสิ้นลงไปแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 แต่ความรุนแรงที่สงครามโลก ได้สร้างทิ้งไว้ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะยังไม่จบ การโต้แย้งเรื่องเขตแดน ซึ่งกำหนดขึ้นโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอังกฤษ เพื่อสนองตัณหาของพวกนักล่า ได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้งและความเศร้าสลดใจไว้ในภูมิภาคนี้ อย่างยากที่จะหาทางเยียวยา ที่เมือง Damascus ในซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองมากว่า 3 ปีแล้ว และยังไม่เห็นเค้าว่าจะจบลงเมื่อไหร่ กองทัพภาคที่ 4 ของรัฐบาลซีเรีย ขึ้นไปตั้งมั่นอยู่บนภูเขา Kassioun ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติบอกว่า แก๊สพิษที่ถูกยิงลงมาฟุ้งกระจายอยู่บริเวณเมืองชายขอบของ Damascus เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2013 นั้น ถูกยิงมาจากภูเขาดังกล่าว ทำให้มีคนตายไปประมาณ 1,400 คน เป็นยอดคนตายเฉพาะใน 1 วันเท่านั้น ตั้งแต่สงครามกลางเมืองเริ่ม จนถึงปัจจุบัน มีคนตายไปแล้วประมาณ 1.5 แสนคน Bagdad เมืองที่เคยเป็นวังเก่าในอิรัค 2 ปี หลังจากที่กองทัพอเมริกันถอนออกไป ชาวอิรัคได้มีโอกาสมาเดินเล่นในส่วนที่เรียกว่าเป็น Green – Zone ที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำ Tigris อีกครั้งหนึ่ง มันเป็นส่วนของเมืองแบกแดด ที่ทหารอเมริกันแอบใช้เป็นที่หลบภัย เมื่อทำให้ทั้งประเทศที่พวกเขาไปครอบครองอยู่ กลายเป็นแดนฆาตกรรมหมู่ ปัจจุบันสถานการณ์ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ การเดินเล่นใน Green Zone มีอายุสั้นจริง อีกด้านหนึ่งของกำแพงเป็น Red-Zone การถูกยิง การตายหมู่ กลับกลายมาเป็นเหตุการณ์ประจำวันอีกครั้ง แม้ทหารอเมริกันจะถอยทัพออกไปแล้ว ความสงบก็ไม่ได้กลับมา มีคนตายไปแล้วเป็นหมื่นคน Beirut เมืองหลวงของเลบานอน เมืองซึ่งเป็นที่ชื่นชมของชาวอาหรับ พวกเขาชอบใช้เบรุตเป็นสถานที่นัดพบ เป็นที่เดินเล่นทอดน่อง จูงมือกัน พักผ่อนหย่อนใจ และแข่งกันทำมาหากิน เป็นเส้นทางขนานคู่ระหว่างศาสนากับโลกีย์ มุสลิมกับคริสเตียน ชีอะห์กับสุหนี่ แล้วกลิ่นไอของการต่อสู้ที่ลิเบีย ซีเรีย และความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน อียิปต์ และอิรัค ก็โชยมาใส่จมูกของชาวเบรุตที่กำลังเดินจูงมือกันอีกครั้ง คำถามเดิม ๆ วนกลับมาเข้ามาในใจของชาวเลบานอน แล้วเบรุตจะรอดไหม เราจะเจอคลื่นความไม่สงบ ความรุนแรงโหมใส่เราอีกครั้งไหม หรือว่ามันมาคอยเราอยู่แล้ว ตรงหัวมุมถนนอันเป็นที่รักของเราในเบรุตนี้เอง 2 ปี หลังจากการลุกฮือเหมือนนัดกันในปี ค.ศ. 2011 สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทางความสิ้นหวังและเปล่าเปลี่ยวเหมือนอย่างที่ผ่านมา แทบจะไม่มีประเทศใดเลยในภูมิภาคนี้ ที่ไม่เคยผจญกับสงคราม หรือความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา และก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีประเทศไหนเลยที่มีภูมิต้านทานแข็งแรงพอ ที่จะรับมือกับการจราจลรอบใหม่ ที่อาจจะระเบิดเป็นวงกว้างไปทั่วภูมิภาค ในอนาคตอันใกล้นี้ ขบวนการที่เรียกว่า Arab Spring ดูเหมือนจะจมโคลนไปแล้ว แทนที่จะงอกงาม หรือไม่ก็ถูกต่อต้าน หรือถูกโค่น ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวภูมิภาคนี้จากสื่อฟอกย้อม คงมองเห็นว่าการต่อต้าน ลุกฮือที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย ลิเบีย อียิปต์ และซีเรีย ก็คงเป็นพัฒนาการทางการเมืองตามปรกติของภูมิภาค แต่เปล่าหรอก ความไม่สงบเหล่านั้น มันเป็นหน่อใหม่ที่แตกเพิ่ม มาจากรากเหง้าของความขัดแย้ง ที่เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดยั้งมา เป็นเวลาประมาณ 100 ปีแล้ว และยังไม่เห็นทีท่าว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างไร ยังไม่มีเหตุการณ์ใด ที่ผลของมันจะสามารถสร้างความตึงเครียดและขัดแย้ง ให้ใหม่สดเสมอ ต่อเนื่องและยาวนานในตะวันออกกลาง ได้เท่ากับผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 การสู้รบ ที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า European Civil War ที่หมายถึงช่วงเวลาความรุนแรงที่เขย่ายุโรป ตั้งแต่ ค.ศ. 1914 เป็นต้นมาและสิ้นสุดเอาปี ค.ศ. 1945 ต่อด้วยสงครามเย็น ได้จบลงเมื่อ 1990 แต่สำหรับโลกอาหรับ ความตึงเครียดของพวกเขา ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันยังคงค้างคาอยู่ บรรดาชาวตะวันออกกลาง พบว่าตัวเองจำเป็นต้องไปฝึกหัดเป็นนักไต่ลวดกันถ้วนหน้า พวกเขาไม่ได้เป็นนักไต่ลวดธรรมดา เขาไต่ลวดและถือดาบไล่ฟันกันระหว่างไต่ลวดด้วย นัก (เขียน) ประวัติศาสตร์ฝรั่งบอกว่า ในภูมิภาคอันกว้างใหญ่ มี 2 ประเทศ คือ อียิปต์ และอิหร่าน ที่ดูเหมือนจะพอประคองตนเองให้อยู่รอดมาได้แม้จะโดนเขย่า โดนโค่นอยู่หลายครั้ง อีก 1 ประเทศ ที่ดูจะชำนาญในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แม้จะถูกบีบถูกถีบทิ้งหลายครั้ง แต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็วคือตุรกี และอีก 1 ประเทศที่แม้ไม่ถนัด ในการประคองตนเองอย่างหวาดเสียว แต่ใช้วิธีทำตัวอ่อน โอนไปตามกระแส เงินและน้ำมัน คือ Saudi Arabia ประเทศทั้ง 4 นี้ ล้อมรอบใจกลางของตะวันออกกลาง ซึ่งมี 5 ประเทศ และ 1 รัฐพิเศษ คือ เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน อีรัค อิสราเอล และปาเลสไตน์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน Fromkin เรียกกลุ่มประเทศนี้ว่า ลูก ๆ ของอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ผมอยากจะแย้งนักประวัติศาสตร์ฝรั่งทั้งหลายว่า ไม่ว่าจะเป็น 4 ประเทศข้างต้น ก็ดูเหมือนจะเอาตัวรอดยาก แม้ว่าต่างจะฝึกเป็นนักไต่ลวดกันเป็นแถว และพวกประเทศที่ฝรั่งเรียกว่าเป็นลูก ที่นักล่าอาณานิคม “สร้าง” ก็ดูจะเป็นการสร้างขึ้นมาใช้เป็น “ไม้เสี้ยม” ตะวันออกกลาง ให้แตกให้แย้งกันเองอยู่เสมอต่างหาก ไม่มีกลุ่มประเทศไหน แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากับกลุ่มเด็กถูกเสี้ยมข้างต้น ที่จะต้องผจญภัยสงคราม การขัดแย้งทางการเมือง สงครามกลางเมือง การโค่นล้ม การก่อการร้าย ได้มากเท่าที่กลุ่มเด็กถูกเสี้ยมโดน ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะเข้าใจความผิดปรกติของสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค นี้ เราคงจะต้องตามไปรู้จักหัวหางของเหตุการณ์บางอย่างก่อน เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งความล้มเหลวของเหล่าผู้ปกครองและการเมืองในตะวันออกกลางเอง ที่ไม่สามารถจะต้านทาน หรือแก้เกมการครอบครอง และครอบงำโดยเหล่านักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะชาติอังกฤษ และที่สำคัญ การค้นพบน้ำมัน การก่อตั้งอิสราเอล ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 สค. 2557
    0 Comments 0 Shares 335 Views 0 Reviews
More Results