• กลายเป็นประเด็นที่ร้อนระอุในเวลานี้เลยทีเดียว หลังจากที่นักร้องสาวลูกทุ่งสุดฮอต "ลำไย ไหทองคำ” (สุพรรณษา เวชกามา) ที่ออกมาประกาศข่าวโสดหลังเลิกรากับแฟนหนุ่ม “ปุ้ย” วงแอลกอฮอลล์ (ศรีสกล สมทรง) แถมมีภาพหลุดฝ่ายหญิงคบหากับแดนเซอร์ที่ชื่อ "บอส" เจ้าของฉายา “บอสเอวหวาน” ก่อนเลิกลากันไปเพราะอีกฝ่ายยังมีแฟนอยู่แล้ว งานนี้ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นโซเชียลมีเดีย

    ล่าสุด "ประจักษ์ชัย ไหทองคำ" เจ้าของค่ายได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมเผยตั้งทีมทนายเตรียมฟ้องแล้ว...."#ผมสร้างลำไยมากับมือ สิ่งไหนที่ผมพอจะปกป้องได้ ในทางกฎหมายจากนี้ ฝ่ายกม.จะรวบรวมหลักฐาน หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา-ผิด พรบ.คอมพิวเตอร์~เปลี่ยนแดนซ์ชายใหม่ เดินหน้าทำงาน ผิดเป็นครู อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ#ขอโทษสังคม ครับ!

    #MGROnline #ลําไยไหทองคํา #ประจักษ์ชัยไหทองคำ
    กลายเป็นประเด็นที่ร้อนระอุในเวลานี้เลยทีเดียว หลังจากที่นักร้องสาวลูกทุ่งสุดฮอต "ลำไย ไหทองคำ” (สุพรรณษา เวชกามา) ที่ออกมาประกาศข่าวโสดหลังเลิกรากับแฟนหนุ่ม “ปุ้ย” วงแอลกอฮอลล์ (ศรีสกล สมทรง) แถมมีภาพหลุดฝ่ายหญิงคบหากับแดนเซอร์ที่ชื่อ "บอส" เจ้าของฉายา “บอสเอวหวาน” ก่อนเลิกลากันไปเพราะอีกฝ่ายยังมีแฟนอยู่แล้ว งานนี้ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นโซเชียลมีเดีย • ล่าสุด "ประจักษ์ชัย ไหทองคำ" เจ้าของค่ายได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมเผยตั้งทีมทนายเตรียมฟ้องแล้ว...."#ผมสร้างลำไยมากับมือ สิ่งไหนที่ผมพอจะปกป้องได้ ในทางกฎหมายจากนี้ ฝ่ายกม.จะรวบรวมหลักฐาน หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา-ผิด พรบ.คอมพิวเตอร์~เปลี่ยนแดนซ์ชายใหม่ เดินหน้าทำงาน ผิดเป็นครู อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ#ขอโทษสังคม ครับ! • #MGROnline #ลําไยไหทองคํา #ประจักษ์ชัยไหทองคำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัทต้นสังกัดหนุ่มแว่น ที่มีพฤติกรรมขับรถสุดอันตราย เฉี่ยวจักรยานยนต์ โดนสั่งพักงานระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยืนยัน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

    จากกรณี ในโลกโซเชียลปรากฎคลิปวิดีโอที่กำลังได้รับความสนใจในโลกออนไลน์ของประเทศไทยในขณะนี้ โดยเป็นเรื่องราวของ "พี่แว่น มาสด้าแดง" ที่ชาวเน็ตตั้งฉายาให้ มีพฤติกรรมการขับรถที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพจดังอย่าง “อีซ่อขยี้ข่าว“ ได้นำคลิปวิดีโอการขับรถเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์มาเผยแพร่และข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการขับรถที่ไม่เหมาะสมของเขา และได้มีการรวบรวมวีรกรรมการขับรถที่อันตรายของ "พี่แว่น" จนเป็นกระเเสในโลกออนไลน์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020745

    #MGROnline #พี่แว่นมาสด้าแดง
    บริษัทต้นสังกัดหนุ่มแว่น ที่มีพฤติกรรมขับรถสุดอันตราย เฉี่ยวจักรยานยนต์ โดนสั่งพักงานระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยืนยัน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย • จากกรณี ในโลกโซเชียลปรากฎคลิปวิดีโอที่กำลังได้รับความสนใจในโลกออนไลน์ของประเทศไทยในขณะนี้ โดยเป็นเรื่องราวของ "พี่แว่น มาสด้าแดง" ที่ชาวเน็ตตั้งฉายาให้ มีพฤติกรรมการขับรถที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพจดังอย่าง “อีซ่อขยี้ข่าว“ ได้นำคลิปวิดีโอการขับรถเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์มาเผยแพร่และข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการขับรถที่ไม่เหมาะสมของเขา และได้มีการรวบรวมวีรกรรมการขับรถที่อันตรายของ "พี่แว่น" จนเป็นกระเเสในโลกออนไลน์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020745 • #MGROnline #พี่แว่นมาสด้าแดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
    #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
    #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย

    🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ

    ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹
    "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง

    เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น

    🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่"

    📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ สาวกาฬสินธุ์
    ✔ รักสองแผ่นดิน
    ✔ ขอแล้วไม่แต่ง

    ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

    🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535
    📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ

    💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน

    🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก

    👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ

    🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย

    📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน

    🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน"

    🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน

    🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้

    🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง

    📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ รักสองแผ่นดิน

    🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่

    🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568

    🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย 🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น 🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่" 📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ สาวกาฬสินธุ์ ✔ รักสองแผ่นดิน ✔ ขอแล้วไม่แต่ง ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ 🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535 📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน 🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก 👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ 🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย 📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน 🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน" 🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน 🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้ 🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง 📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ รักสองแผ่นดิน 🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ 🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568 🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมายเหตุ Newskit : ไซเบอร์อรรถ ทำงานรับใช้ใคร?

    กรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ถือเป็นการใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติแล้วคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เพียงแค่ตำรวจท้องที่นำหมายเรียกไปติดที่หน้าบ้านเพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ถือว่ามากพอแล้ว

    เราอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำเสนอข่าวบางอย่างของสำนักข่าวแห่งนี้ และโดยหลักการแล้วการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบกระทั่งกับบุคคลในข่าวหรือใครก็ตาม ก็สามารถตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่การที่ตำรวจไซเบอร์ใช้ยุทธวิธี นำตำรวจนับสิบนายบุกบ้านแต่เช้าตรู่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเล็กๆ อยู่กันเพียงสามคนแม่ลูก และยังมีพ่อที่มีโรคประจำตัวพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่มีหลักฐานทางและข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มของสำนักข่าวแห่งนั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบกับคนจำนวนมาก ถือเป็นวิธีการที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่?

    ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจไซเบอร์นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ที่สื่อมวลชนอาชญากรรมตั้งฉายาว่า "ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม" กระทำการเล่นใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 เคยนำกำลังจับกุมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่เผยแพร่ภาพตัดต่อนักการเมืองรายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามสมควร แต่การบุกบ้านผู้ประกาศข่าวแต่เช้า ว่ากันว่าทนายความของนักการเมืองรายเดียวกันแจ้งความก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ทำงานรับใช้ใคร นักการเมืองรายใดรายหนึ่งหรือไม่? ถือเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่?

    เราคงไม่คาดหวังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแสดงท่าทีใดๆ เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็นนักข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ และเป็นความเคยชินที่ใครไม่ใช่พวกเดียวกันมักจะไม่นับรวมเป็นสื่อมวลชน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าวันหนึ่งตำรวจใช้วิธีการดำเนินคดีที่ไม่ปกติต่อสื่อมวลชน เฉกเช่นครั้งนี้ใช้กำลังนับสิบนายบุกไปที่บ้าน ยึดมือถือ เพียงเพื่อเรียกตัวไปเป็นพยาน คำถามที่ตามมากับสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากพอก็คือ เราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ?

    #Newskit
    หมายเหตุ Newskit : ไซเบอร์อรรถ ทำงานรับใช้ใคร? กรณีที่ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ นำกำลังนับสิบนายตรวจค้นบ้าน น.ส.ไญยิกา อธิคุปต์ธนวัฒ ผู้ประกาศข่าวสำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics) ก่อนควบคุมตัวไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยาน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ เหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 20 ก.พ. ถือเป็นการใช้วิธีการที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติแล้วคดีหมิ่นประมาท ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เพียงแค่ตำรวจท้องที่นำหมายเรียกไปติดที่หน้าบ้านเพื่อให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ถือว่ามากพอแล้ว เราอาจไม่เห็นด้วยกับวิธีการนำเสนอข่าวบางอย่างของสำนักข่าวแห่งนี้ และโดยหลักการแล้วการที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวแล้วไปกระทบกระทั่งกับบุคคลในข่าวหรือใครก็ตาม ก็สามารถตรวจสอบและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตามสิทธิที่ตนเองมีอยู่ แต่การที่ตำรวจไซเบอร์ใช้ยุทธวิธี นำตำรวจนับสิบนายบุกบ้านแต่เช้าตรู่ ซึ่งอยู่ในชุมชนเล็กๆ อยู่กันเพียงสามคนแม่ลูก และยังมีพ่อที่มีโรคประจำตัวพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพียงแค่มีหลักฐานทางและข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มของสำนักข่าวแห่งนั้น ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรงที่กระทบกับคนจำนวนมาก ถือเป็นวิธีการที่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่? ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจไซเบอร์นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ที่สื่อมวลชนอาชญากรรมตั้งฉายาว่า "ไซเบอร์อรรถ จัดเต็ม" กระทำการเล่นใหญ่ เพราะเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 เคยนำกำลังจับกุมแอดมินเพจเฟซบุ๊ก ที่เผยแพร่ภาพตัดต่อนักการเมืองรายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ตามสมควร แต่การบุกบ้านผู้ประกาศข่าวแต่เช้า ว่ากันว่าทนายความของนักการเมืองรายเดียวกันแจ้งความก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน จึงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ทำงานรับใช้ใคร นักการเมืองรายใดรายหนึ่งหรือไม่? ถือเป็นปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือไม่? เราคงไม่คาดหวังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนแสดงท่าทีใดๆ เพราะหนึ่งในคู่กรณีเป็นนักข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ และเป็นความเคยชินที่ใครไม่ใช่พวกเดียวกันมักจะไม่นับรวมเป็นสื่อมวลชน แต่โดยหลักการแล้ว ถ้าวันหนึ่งตำรวจใช้วิธีการดำเนินคดีที่ไม่ปกติต่อสื่อมวลชน เฉกเช่นครั้งนี้ใช้กำลังนับสิบนายบุกไปที่บ้าน ยึดมือถือ เพียงเพื่อเรียกตัวไปเป็นพยาน คำถามที่ตามมากับสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงดังมากพอก็คือ เราจะอยู่กันอย่างนี้จริงๆ หรือ? #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 452 มุมมอง 0 รีวิว
  • 86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย

    📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา

    🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย
    หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย

    ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท

    ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย

    👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้

    เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา

    📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย"

    🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา
    ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น

    ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ
    ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ
    ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน

    ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า

    ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ?
    การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล

    ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า

    ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ
    ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่
    ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ
    ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง

    📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ

    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา
    1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
    ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์
    ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่
    ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม

    📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก

    - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง
    - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ
    - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ

    ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา

    🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
    แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย

    “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง

    หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน

    🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง

    ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป

    ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา
    ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง
    ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น
    ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568

    🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    86 ปี สิ้น “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา คณะสงฆ์ลำพูนขยาดบารมี ยัดอธิกรณ์ 8 ข้อ ความขัดแย้งที่บานปลาย 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ไปสู่เรื่องราวของ “ครูบาเจ้าศรีวิชัย” เจ้าตนบุญแห่งล้านนา ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเหนือ แม้กระทั่งเจ้าคณะสงฆ์ในยุคสมัยนั้น ยังต้องหวั่นเกรงในบารมี จนเกิดการตั้งอธิกรณ์ถึง 8 ข้อ นำไปสู่การควบคุมตัว และขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในหมู่คณะสงฆ์ล้านนา 🔎 86 ปี แห่งการมรณภาพ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 86 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (เมื่อก่อนนับศักราชใหม่ ในวันสงกรานต์ ถ้าเทียบปัจจุบันจะเป็นต้นปี พ.ศ. 2482) นับเป็นปีที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง เพราะเป็นวันมรณภาพของ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย" พระเกจิชื่อดังแห่งล้านนา ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และบูรณะพุทธศาสนสถาน ทั่วภาคเหนือของไทย ครูบาเจ้าศรีวิชัยละสังขาร ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สิริอายุได้ 60 ปี ก่อนที่ศพจะถูกตั้งไว้ ที่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน เป็นเวลาหลายปี กระทั่งวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 มีการพระราชทานเพลิงศพ โดยมีประชาชนจำนวนมหาศาลเข้าร่วมพิธี และเหตุการณ์ที่น่าตกใจคือ มีผู้แย่งชิงอัฐิของครูบาเจ้าศรีวิชัย ตั้งแต่เปลวไฟยังไม่มอดสนิท ✨ แม้แต่ดินตรงที่ถวายพระเพลิงศพ ยังถูกขุดเอาไปบูชา แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย 👶 วัยเยาว์ ชาติกำเนิดของตนบุญ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เกิดเมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ปีขาล ขณะที่เกิด มีพายุฟ้าร้องรุนแรง จึงถูกตั้งชื่อว่า อินตาเฟือน หรืออ้ายฟ้าร้อง บิดาชื่อ นายควาย มีเชื้อสายกะเหรี่ยงแดง มารดาชื่อ นางอุสา บ้างว่าเป็นชาวเชียงใหม่ บ้างว่าเป็นชาวเมืองลี้ เมื่ออายุได้ 18 ปี มีความคิดว่าความยากจนของตน เกิดจากกรรมในอดีต จึงตัดสินใจออกบวช เพื่อสร้างบุญกุศล และตอบแทนบุญคุณบิดามารดา 📌 ครูบาศรีวิชัยบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านปาง ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวัย 21 ปี ที่วัดบ้านโฮ่งหลวง จังหวัดลำพูน ได้รับฉายาทางธรรมว่า "พระศรีวิชัย" 🏯 บทบาทของครูบาเจ้าศรีวิชัย ในการพัฒนาพุทธศาสนาในล้านนา ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่ได้เป็นเพียงพระนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นพระนักพัฒนา สร้างและบูรณะวัดมากมาย รวมถึงเส้นทางคมนาคมสำคัญ เช่น ✔️ สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ✔️ บูรณะวัดพระธาตุหริภุญชัย วัดจามเทวี วัดสวนดอก ฯลฯ ✔️ เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ร่วมแรงร่วมใจ ในการก่อสร้างศาสนสถาน ✨ ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยสูงส่ง ถึงขนาดที่ว่า ชาวบ้านเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพียงเพื่อจะได้พบหน้า ⚖️ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ? การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้รับความศรัทธามาก ทำให้คณะสงฆ์ล้านนาบางกลุ่ม โดยเฉพาะเจ้าคณะจัวงหวัดลำพูน เริ่มไม่พอใจ และหวาดกลัวอิทธิพล ในที่สุด เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ได้นำการตั้งอธิกรณ์ หรือข้อกล่าวหา ต่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถึง 8 ข้อ โดยกล่าวหาว่า ❌ ทำตัวเป็น “ผีบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ ❌ ซ่องสุมกำลังประชาชน เสมือนเป็นผู้นำลัทธิใหม่ ❌ ขัดขืนอำนาจคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ❌ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบสงฆ์ ของสยามประเทศ ❌ จัดพิธีกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ❌ มีพฤติกรรมเสมือนเป็นผู้นำทางการเมือง 📌 ผลจากข้อกล่าวหาเหล่านี้ ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกควบคุมตัวส่งไปไต่สวนที่กรุงเทพฯ ⚔️ ความขัดแย้งระหว่างครูบาเจ้าศรีวิชัย กับคณะสงฆ์ล้านนา 1️⃣ คณะสงฆ์ล้านนาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ✔️ กลุ่มที่ยอมรับอำนาจของกรุงเทพฯ สนับสนุนการปกครองสงฆ์แบบรวมศูนย์ ✔️ กลุ่มประนีประนอม ไม่ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ร่วมมือเต็มที่ ✔️ กลุ่มต่อต้านกรุงเทพฯ ต้องการคงจารีตล้านนาแบบดั้งเดิม 📌 ครูบาศรีวิชัยถูกมองว่า เป็นผู้นำของกลุ่มที่สาม ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนัก - สร้างถนนขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ริเริ่มโครงการ โดยไม่ได้ปรึกษาคณะสงฆ์ ฝ่ายปกครอง - พระสงฆ์กว่า 50 วัด ลาออกจากการขึ้นตรง กับคณะสงฆ์กรุงเทพฯ - คณะสงฆ์ฝ่ายปกครองมองว่า เป็นการกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจ ⚖️ สุดท้าย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาคดี และได้รับโทษ ก่อนถูกปล่อยตัวกลับล้านนา 🙏 เจ้าตนบุญแห่งล้านนา กับแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา และความขัดแย้งมากมาย แต่ศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม่เคยเสื่อมคลาย “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงยกย่องว่า เป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในดินแดนล้านนา เป็นคติความเชื่อที่ถูกนำมาใช้ตลอดในประวัติศาสตร์ล้านนา แนวคิดดังกล่าว จะถูกหยิบนำมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้อ้างความชอบธรรม ของสถาบันกษัตริย์ล้านนา จนกระทั่งสามัญชน ที่ใช้คำว่า “ตนบุญ” เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านยามทุกข์เข็ญ เผชิญกับสภาพความสงบของบ้านเมือง หลังมรณภาพ ประชาชนยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระ วัดหลายแห่งยังคงยกย่อง และจัดงานรำลึกถึงครูบาเจ้าศรีวิชัย ตำนาน “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” ยังคงถูกกล่าวขานถึงปัจจุบัน 🛕 ปัจจุบัน รูปปั้นและอนุสรณ์สถาน ของครูบาเจ้าศรีวิชัย มีอยู่ทั่วภาคเหนือ เช่น บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และวัดบ้านปาง ✨ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 86 ปี แต่บารมีของครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงยิ่งใหญ่ และจะอยู่ในหัวใจ ของชาวล้านนาตลอดไป ✅ ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบารมีสูงสุดองค์หนึ่งในล้านนา ✅ ถูกตั้งอธิกรณ์ 8 ข้อ เนื่องจากความขัดแย้ง กับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง ✅ แม้จะถูกควบคุมตัว แต่ประชาชนยังคงศรัทธา นอย่างเหนียวแน่น ✅ ปัจจุบัน ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งศรัทธา ของชาวล้านนา ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 211017 ก.พ. 2568 🔖 #ครูบาศรีวิชัย #เจ้าตนบุญล้านนา #ประวัติศาสตร์ล้านนา #วัดบ้านปาง #ศรัทธาพระสงฆ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍎 The Heritage Apple Hunter
    🍏 คุณปู่ Tom Brown นักล่าแอปเปิลพันธุ์หายาก
    🍎 จากงานอดิเรกวัยเกษียณสู่การอนุรักษ์แอปเปิลกว่า 1,000 สายพันธุ์

    คุณปู่ Tom Brown อดีตวิศวกรเคมีวัย 80 ปี ใช้เวลา 20 ปีของชีวิตวัยเกษียณ ทำภารกิจค้นหาและรักษาพันธุ์แอปเปิลที่สูญหาย โดยเดินทางเสาะหาทั่วแอปพาเลเชีย (ภูมิภาคช่วงตะวันออกของสหรัฐอเมริกา) ทำให้คุณปู่ได้ค้นพบแอปเปิลที่หายากกว่า 1,000 สายพันธุ์ และนำมาจัดแสดงกว่า 600 รายการ ภารกิจของคุณปู่ที่เริ่มต้นจากความสนุกเพลิดเพลิน กลับกลายช่วยรักษาพันธุ์แอปเปิลเก่าแก่ในภูมิภาคแอปพาเลเชียเอาไว้ ไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา

    เดิมทีคุณปู่มีสวนผลไม้อยู่ในเมืองเคลมมอนส์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา และได้รู้จักกับเจ้าของสวนแอปเปิลคนหนึ่งซึ่งแนะนำให้ปู่ทอมรู้จักกับแอปเปิลพันธุ์หายากต่าง ๆ ซึ่งคุณปู่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน นั่นคือการจุดประกายให้คุณปู่เริ่มหลงใหลและตัดสินใจว่างานอดิเรกยามเกษียณคือการตามล่าแอปเปิ้ลที่สูญหายนี่แหละ

    คุณปู่ทอมเรียนรู้ศาสตร์แห่งการระบุ โคลน การต่อกิ่งและการดูแลรักษาต้นแอปเปิล จากนั้นเริ่มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสวนผลไม้เก่า สมาคมผู้ปลูกผลไม้ ชื่อของเจ้าของเดิมและคนงาน และข่าวเกี่ยวกับต้นไม้มรดกที่ยังเหลืออยู่ เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเกี่ยวกับแอปเปิลเก่าแก่หายาก คุณปู่และภรรยาจะเดินทางไปเสาะหาสวนผลไม้ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่นั้น เมื่อได้เห็นและชิมแอปเปิลแล้ว คุณปู่ก็จะยืนยันด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ค้นคว้ามา เพื่อคอนเฟิร์มว่าเป็นแอปเปิลพันธุ์นั้นจริง ๆ

    ความหลงใหลผลักดันให้คุณปู่ติดต่อกับผู้คน เดินทางไปเยี่ยมบ้านคนแปลกหน้าเพื่อสอบถามข้อมูลแอปเปิ้ล ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และอีกหลายวิธี เพื่อรวบรวมเบาะแสเพิ่มเติม ย้อนไปหาที่มาและตัวตนของแอปเปิลเหล่านั้น ด้วยความคิดที่ว่า มันคงจะเจ๋งมาก ถ้าได้ค้นพบแอปเปิ้ลที่ไม่มีใครได้ลิ้มรสในรอบ 50 ปีหรือ 100 ปีที่ผ่านมา

    งานอดิเรกที่ไม่เหมือนใครทำให้คุณปู่ทอมมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก แถมยังได้รับฉายาว่า Apple-Hunter คุณปู่ปลูกแอปเปิลในฟาร์มของตัวเองปีละประมาณ 60 สายพันธุ์ และขายต้นไปแล้วประมาณ 1,000 ต้น

    คุณปู่บอกว่า รู้สึกสนุกกับงานอดิเรกนี้มาก มันทำให้คุณปู่ตื่นเต้นกระชุ่มกระชวยลืมแก่กันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าจะไม่หยุดภารกิจนี้ เพราะยังมีแอปเปิลที่รอให้คุณปู่ค้นพบอีกมากมายหลายสายพันธุ์

    📸 Tom Brown
    ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี

    #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #goodstory #เรื่องราวดีดี #สุขใจวัยเกษียณ
    🍎 The Heritage Apple Hunter 🍏 คุณปู่ Tom Brown นักล่าแอปเปิลพันธุ์หายาก 🍎 จากงานอดิเรกวัยเกษียณสู่การอนุรักษ์แอปเปิลกว่า 1,000 สายพันธุ์ คุณปู่ Tom Brown อดีตวิศวกรเคมีวัย 80 ปี ใช้เวลา 20 ปีของชีวิตวัยเกษียณ ทำภารกิจค้นหาและรักษาพันธุ์แอปเปิลที่สูญหาย โดยเดินทางเสาะหาทั่วแอปพาเลเชีย (ภูมิภาคช่วงตะวันออกของสหรัฐอเมริกา) ทำให้คุณปู่ได้ค้นพบแอปเปิลที่หายากกว่า 1,000 สายพันธุ์ และนำมาจัดแสดงกว่า 600 รายการ ภารกิจของคุณปู่ที่เริ่มต้นจากความสนุกเพลิดเพลิน กลับกลายช่วยรักษาพันธุ์แอปเปิลเก่าแก่ในภูมิภาคแอปพาเลเชียเอาไว้ ไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา เดิมทีคุณปู่มีสวนผลไม้อยู่ในเมืองเคลมมอนส์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา และได้รู้จักกับเจ้าของสวนแอปเปิลคนหนึ่งซึ่งแนะนำให้ปู่ทอมรู้จักกับแอปเปิลพันธุ์หายากต่าง ๆ ซึ่งคุณปู่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน นั่นคือการจุดประกายให้คุณปู่เริ่มหลงใหลและตัดสินใจว่างานอดิเรกยามเกษียณคือการตามล่าแอปเปิ้ลที่สูญหายนี่แหละ คุณปู่ทอมเรียนรู้ศาสตร์แห่งการระบุ โคลน การต่อกิ่งและการดูแลรักษาต้นแอปเปิล จากนั้นเริ่มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสวนผลไม้เก่า สมาคมผู้ปลูกผลไม้ ชื่อของเจ้าของเดิมและคนงาน และข่าวเกี่ยวกับต้นไม้มรดกที่ยังเหลืออยู่ เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเกี่ยวกับแอปเปิลเก่าแก่หายาก คุณปู่และภรรยาจะเดินทางไปเสาะหาสวนผลไม้ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่นั้น เมื่อได้เห็นและชิมแอปเปิลแล้ว คุณปู่ก็จะยืนยันด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ค้นคว้ามา เพื่อคอนเฟิร์มว่าเป็นแอปเปิลพันธุ์นั้นจริง ๆ ความหลงใหลผลักดันให้คุณปู่ติดต่อกับผู้คน เดินทางไปเยี่ยมบ้านคนแปลกหน้าเพื่อสอบถามข้อมูลแอปเปิ้ล ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และอีกหลายวิธี เพื่อรวบรวมเบาะแสเพิ่มเติม ย้อนไปหาที่มาและตัวตนของแอปเปิลเหล่านั้น ด้วยความคิดที่ว่า มันคงจะเจ๋งมาก ถ้าได้ค้นพบแอปเปิ้ลที่ไม่มีใครได้ลิ้มรสในรอบ 50 ปีหรือ 100 ปีที่ผ่านมา งานอดิเรกที่ไม่เหมือนใครทำให้คุณปู่ทอมมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก แถมยังได้รับฉายาว่า Apple-Hunter คุณปู่ปลูกแอปเปิลในฟาร์มของตัวเองปีละประมาณ 60 สายพันธุ์ และขายต้นไปแล้วประมาณ 1,000 ต้น คุณปู่บอกว่า รู้สึกสนุกกับงานอดิเรกนี้มาก มันทำให้คุณปู่ตื่นเต้นกระชุ่มกระชวยลืมแก่กันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าจะไม่หยุดภารกิจนี้ เพราะยังมีแอปเปิลที่รอให้คุณปู่ค้นพบอีกมากมายหลายสายพันธุ์ 📸 Tom Brown ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #goodstory #เรื่องราวดีดี #สุขใจวัยเกษียณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • "สามพันโบก" อัศจรรย์แกรนด์แคนยอน แห่งลำน้ำโขง เที่ยวอุบลราชธานี สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌿🏞

    ✨ "สามพันโบก" คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะ ของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง จนเกิดเป็นแอ่งหินน้อยใหญ่จำนวนมาก ซึ่งมีมากถึง 3,000 แอ่ง 🌊 จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" โดยคำว่า "โบก" ในภาษาลาว หมายถึง "แอ่ง" หรือ "บ่อน้ำลึก"

    📍 ที่ตั้ง บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี
    📏 พื้นที่ ครอบคลุมหลายกิโลเมตร ใต้แม่น้ำโขง
    🏜 ฉายา "แกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง"

    ความสวยงามของสามพันโบ กจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เมื่อระดับน้ำลดลง เผยให้เห็นหินรูปร่างแปลกตา คล้ายกับ "หาดชมดาว" ที่อำเภอนาตาล 🌄

    ตำนานและเรื่องเล่าของสามพันโบก
    💠 ตำนานหินหัวสุนัข
    ณ ทางเข้าไปสู่สามพันโบก มีหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวสุนัข 🐶 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่ว่า...

    "ในอดีต มีเจ้าเมืองผู้หนึ่งที่เรืองอำนาจ ได้ส่งเสนาเข้ามาสำรวจสามพันโบก และพบขุมทรัพย์ล้ำค่าในบริเวณนี้ เจ้าเมืองจึงสั่งให้สุนัขตัวหนึ่ง เฝ้าทางเข้าไว้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แต่ด้วยความโลภ เจ้าเมืองกลับออกไปอีกทาง ปล่อยให้สุนัขเฝ้ารอจนตาย และกลายเป็นหินในที่สุด"

    💧 ตำนานพญานาคขุดลำน้ำ
    อีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับ พญานาค 🐉 ที่ต้องการสร้างเส้นทางน้ำใหม่ จึงขุดลำน้ำขึ้นมา และให้สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าทางเข้า จนในที่สุดสุนัขก็ตายลง กลายเป็นก้อนหิน ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

    ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวสามพันโบก
    🗓 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ธันวาคม - พฤษภาคม
    ⛅ สภาพอากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน ทำให้สามารถเดินสำรวจแก่งหิน ได้เต็มที่

    📸 ช่วงเวลาถ่ายรูปสวย
    เช้า 6.00 - 8.00 น. แสงอ่อน ๆ สาดกระทบหิน
    เย็น 16.00 - 18.00 น. พระอาทิตย์ตกสวยงาม

    จุดเด่น และไฮไลท์ของสามพันโบก
    🌊 "แอ่งน้ำมหัศจรรย์"
    หินที่นี่ถูกน้ำกัดเซาะ เป็นโพรงรูปร่างแปลกตา เช่น รูปหัวใจ 🧡 รูปเต่า 🐢 หรือแม้แต่รูปร่างคล้ายสัตว์ในจินตนาการ

    🦴 "หินหัวสุนัข"
    แลนด์มาร์คทางเข้าของสามพันโบก ที่ไม่ควรพลาด

    🚤 "ล่องเรือชมโบก"
    นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือของชาวบ้าน เพื่อล่องไปชมวิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ

    🌄 "พระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่แม่น้ำโขง"
    จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

    สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
    🏖 หาดสลึง
    หาดทรายขาวละเอียด ยาวกว่า 860 เมตร จุดพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดขึ้นเรือไปสามพันโบก

    ⛵ ปากบ้อง
    จุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุดในประเทศไทย กว้างเพียง 56 เมตร

    🗿 หินหัวพะเนียง
    หินรูปทรงแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำพัดผ่านหินทราย

    🏜 หาดหงส์
    "มินิซาฮาร่า" ของอุบลราชธานี ทะเลทรายกลางลำน้ำโขง

    🎨 หาดหินสี
    หินสีสวยงาม มันวาวเป็นเอกลักษณ์

    การเดินทางไปสามพันโบก
    🚗 โดยรถยนต์
    จากอุบลราชธานี → ใช้ทางหลวงหมายเลข 2050 → ผ่านอำเภอตระการพืชผล → อำเภอโพธิ์ไทร → ใช้ทางหลวงชนบท อบ. 4090 → ถึงสามพันโบก ระยะทาง 118 กม.

    🚕 รถสองแถวท้องถิ่น
    บริเวณทางเข้า มีรถสองแถวให้บริการ พาลงไปชมสามพันโบก ราคา 200 บาท

    🚶‍♂️ เดินเท้า
    ระยะทางจากจุดจอดรถ ไปยังสามพันโบก ประมาณ 250 เมตร

    ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว
    ✅ ควรเตรียมตัวให้พร้อม หมวก, ครีมกันแดด, น้ำดื่ม
    ✅ ใส่รองเท้าผ้าใบ เดินง่าย ปลอดภัย
    ✅ รักษาธรรมชาติ ไม่ขีดเขียนหิน ไม่ทิ้งขยะ
    ✅ ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น ช่วยสนับสนุนชุมชน

    FAQs คำถามที่พบบ่อย
    1. ไปสามพันโบกต้องเสียค่าเข้าไหม?
    💰 ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่ารถสองแถว 200 บาท

    2. สามพันโบกเปิดให้เข้าชมช่วงไหน?
    📅 เปิดตลอดทั้งปี แต่แนะนำให้ไปช่วง ธันวาคม - พฤษภาคม

    3. ควรไปเที่ยวกี่โมง?
    🌄 เช้าและเย็น จะดีที่สุด อากาศเย็นสบาย แสงสวย

    4. สามพันโบกเหมาะกับใคร?
    👨‍👩‍👧‍👦 เหมาะสำหรับทุกคนที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย

    สามพันโบก เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌍 หากกำลังมองหาที่เที่ยวสุด Unseen ที่ให้ทั้งความสนุก ประสบการณ์ และความตื่นตาตื่นใจ สามพันโบกคือคำตอบ!

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 10212 ก.พ. 2568

    📌 #สามพันโบก #เที่ยวอุบล #UnseenThailand #ลำน้ำโขง 🌊✨
    "สามพันโบก" อัศจรรย์แกรนด์แคนยอน แห่งลำน้ำโขง เที่ยวอุบลราชธานี สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌿🏞 ✨ "สามพันโบก" คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากการกัดเซาะ ของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง จนเกิดเป็นแอ่งหินน้อยใหญ่จำนวนมาก ซึ่งมีมากถึง 3,000 แอ่ง 🌊 จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" โดยคำว่า "โบก" ในภาษาลาว หมายถึง "แอ่ง" หรือ "บ่อน้ำลึก" 📍 ที่ตั้ง บ้านสองคอน ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี 📏 พื้นที่ ครอบคลุมหลายกิโลเมตร ใต้แม่น้ำโขง 🏜 ฉายา "แกรนด์แคนยอนแห่งลำน้ำโขง" ความสวยงามของสามพันโบ กจะปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม เมื่อระดับน้ำลดลง เผยให้เห็นหินรูปร่างแปลกตา คล้ายกับ "หาดชมดาว" ที่อำเภอนาตาล 🌄 ตำนานและเรื่องเล่าของสามพันโบก 💠 ตำนานหินหัวสุนัข ณ ทางเข้าไปสู่สามพันโบก มีหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายหัวสุนัข 🐶 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าที่ว่า... "ในอดีต มีเจ้าเมืองผู้หนึ่งที่เรืองอำนาจ ได้ส่งเสนาเข้ามาสำรวจสามพันโบก และพบขุมทรัพย์ล้ำค่าในบริเวณนี้ เจ้าเมืองจึงสั่งให้สุนัขตัวหนึ่ง เฝ้าทางเข้าไว้ รอจนกว่าเขาจะออกมา แต่ด้วยความโลภ เจ้าเมืองกลับออกไปอีกทาง ปล่อยให้สุนัขเฝ้ารอจนตาย และกลายเป็นหินในที่สุด" 💧 ตำนานพญานาคขุดลำน้ำ อีกเรื่องเล่าหนึ่งเกี่ยวกับ พญานาค 🐉 ที่ต้องการสร้างเส้นทางน้ำใหม่ จึงขุดลำน้ำขึ้นมา และให้สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าทางเข้า จนในที่สุดสุนัขก็ตายลง กลายเป็นก้อนหิน ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวสามพันโบก 🗓 ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ธันวาคม - พฤษภาคม ⛅ สภาพอากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่มีฝน ทำให้สามารถเดินสำรวจแก่งหิน ได้เต็มที่ 📸 ช่วงเวลาถ่ายรูปสวย เช้า 6.00 - 8.00 น. แสงอ่อน ๆ สาดกระทบหิน เย็น 16.00 - 18.00 น. พระอาทิตย์ตกสวยงาม จุดเด่น และไฮไลท์ของสามพันโบก 🌊 "แอ่งน้ำมหัศจรรย์" หินที่นี่ถูกน้ำกัดเซาะ เป็นโพรงรูปร่างแปลกตา เช่น รูปหัวใจ 🧡 รูปเต่า 🐢 หรือแม้แต่รูปร่างคล้ายสัตว์ในจินตนาการ 🦴 "หินหัวสุนัข" แลนด์มาร์คทางเข้าของสามพันโบก ที่ไม่ควรพลาด 🚤 "ล่องเรือชมโบก" นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือของชาวบ้าน เพื่อล่องไปชมวิวแม่น้ำโขงสุดอลังการ 🌄 "พระอาทิตย์ขึ้น-ตกที่แม่น้ำโขง" จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง 🏖 หาดสลึง หาดทรายขาวละเอียด ยาวกว่า 860 เมตร จุดพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นจุดขึ้นเรือไปสามพันโบก ⛵ ปากบ้อง จุดที่แม่น้ำโขง แคบที่สุดในประเทศไทย กว้างเพียง 56 เมตร 🗿 หินหัวพะเนียง หินรูปทรงแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำพัดผ่านหินทราย 🏜 หาดหงส์ "มินิซาฮาร่า" ของอุบลราชธานี ทะเลทรายกลางลำน้ำโขง 🎨 หาดหินสี หินสีสวยงาม มันวาวเป็นเอกลักษณ์ การเดินทางไปสามพันโบก 🚗 โดยรถยนต์ จากอุบลราชธานี → ใช้ทางหลวงหมายเลข 2050 → ผ่านอำเภอตระการพืชผล → อำเภอโพธิ์ไทร → ใช้ทางหลวงชนบท อบ. 4090 → ถึงสามพันโบก ระยะทาง 118 กม. 🚕 รถสองแถวท้องถิ่น บริเวณทางเข้า มีรถสองแถวให้บริการ พาลงไปชมสามพันโบก ราคา 200 บาท 🚶‍♂️ เดินเท้า ระยะทางจากจุดจอดรถ ไปยังสามพันโบก ประมาณ 250 เมตร ข้อแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว ✅ ควรเตรียมตัวให้พร้อม หมวก, ครีมกันแดด, น้ำดื่ม ✅ ใส่รองเท้าผ้าใบ เดินง่าย ปลอดภัย ✅ รักษาธรรมชาติ ไม่ขีดเขียนหิน ไม่ทิ้งขยะ ✅ ใช้บริการไกด์ท้องถิ่น ช่วยสนับสนุนชุมชน FAQs คำถามที่พบบ่อย 1. ไปสามพันโบกต้องเสียค่าเข้าไหม? 💰 ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่ารถสองแถว 200 บาท 2. สามพันโบกเปิดให้เข้าชมช่วงไหน? 📅 เปิดตลอดทั้งปี แต่แนะนำให้ไปช่วง ธันวาคม - พฤษภาคม 3. ควรไปเที่ยวกี่โมง? 🌄 เช้าและเย็น จะดีที่สุด อากาศเย็นสบาย แสงสวย 4. สามพันโบกเหมาะกับใคร? 👨‍👩‍👧‍👦 เหมาะสำหรับทุกคนที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย สามพันโบก เป็นสถานที่มหัศจรรย์ ที่เกิดจากธรรมชาติ ที่ควรไปเยือนสักครั้งในชีวิต 🌍 หากกำลังมองหาที่เที่ยวสุด Unseen ที่ให้ทั้งความสนุก ประสบการณ์ และความตื่นตาตื่นใจ สามพันโบกคือคำตอบ! ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 10212 ก.พ. 2568 📌 #สามพันโบก #เที่ยวอุบล #UnseenThailand #ลำน้ำโขง 🌊✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 526 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวจากMGR Chinaระบุว่าหลายคนงง! ทำไมจีนส่ง “นักรบหมาป่า” ประจำด่านยุโรป

    ข่าวจีนแต่งตั้งนายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส วัย 60 ปี เป็น #ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรป ทำเอานักการทูตรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งในช่วงที่ #ความสัมพันธ์จีน-ยุโรปมาถึงจุดเปลี่ยน แต่ด้วยสไตล์บู๊มากกว่าบุ๋นของนายหลู เขาจึงไม่น่าจะใช่กับช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้

    นายหลูขึ้นชื่อในเรื่องการออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างดุดัน จนได้รับฉายานักการทูต “นักรบหมาป่า” ( #Wolf Warrior) ตัวฉกาจ ฉายานี้ใช้เรียกบุคคลที่ออกมาตอบโต้นักวิจารณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูกับจีนได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

    ท่านทูตผู้นี้เอ่ยวาทะเด็ด แต่ไม่เข้าหูชาติในสหภาพยุโรป (อียู) บ่อยครั้ง เช่น เมื่อปี 2566 ขณะประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส นายหลูตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐอดีตสหภาพโซเวียต เขากล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า รัฐเหล่านี้ไม่มีสถานะที่มีผลบังคับใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ นายหลูมีนัยถึง #กลุ่มรัฐบอลติกคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียซึ่งเคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันเป็นสมาชิกอียูและองค์การนาโต

    “เรายังจำคำพูดเกี่ยวกับรัฐบอลติกนี้ได้ดี” นักการทูตยุโรปในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งระบุ

    มีอยู่คราวหนึ่งนาย อังตวน บงดาซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของมูลนิธิเพื่อการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (FRS) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิด บ่นจีนว่ากดดันไม่ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติฝรั่งเศสไปเยือนไต้หวัน ท่านทูตหลูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ประณามนายบงดาซ์ว่า เป็น “อันธพาลตัวกะเปี๊ยก” “หมาไนบ้า” และ “ตัวป่วนอุดมการณ์” ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านจีน กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออถแถลงการณ์ประณาม รับไม่ได้กับความคิดเห็นของนายหลู รวมถึง "การดูถูกและข่มขู่ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและนักวิจัยชาวฝรั่งเศส" เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564

    ต่อมาในปี 2565 นายหลูให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แนะให้ชาวไต้หวันเข้ารับการปรับทัศนติเมื่อจีนผนวกไต้หวัน ฝ่ายสนับสนุนเอกราชไต้หวันถึงกับเต้น

    นายหลูดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศสจนครบวาระ 5 ปีในเดือนธันวาคมปี 2567

    ก่อนหน้านั้น สมัยเป็นเอกอัครราชทูตประจำแคนาดา เขาเคยกล่าวหารัฐบาลแคนาดาเมื่อเดือนมกราคมปี 2562 ว่าเป็นคนผิวขาวที่วางอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น จากกรณีที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนซึ่งถูกจีนควบคุมตัว การจับกุมชาวแคนาดาเกิดขึ้น หลังจาก “เมิ่ง หวั่นโจว” ซีอีโอบริษัทหัวเว่ยถูกแคนาดาจับกุมตัวตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวการแต่งตั้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 ก.พ.) ว่า นายหลูจะช่วยเหลือและประสานงานการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเขาเป็นนักการทูตระดับสูงผู้รอบรู้สถานการณ์ในยุโรปเป็นอย่างดี

    ที่ว่าความสัมพันธ์จีน-ยุโรปเดินมาถึงจุดเปลี่ยนนั่นก็คือ พวกสายเหยี่ยวต้านจีนในอียู เช่น นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่งสัญญาณว่ายินดีที่จะทบทวนความสัมพันธ์จีน-อียู ที่กำลังย่ำแย่ อันเนื่องมาจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าและความไม่พอใจที่จีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย

    อียูเริ่มเปลี่ยนท่าทีท่ามกลางความตึงเครียดที่ส่อเค้าระหว่างอียู-สหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% และขู่ขึ้นภาษีกับยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปเป็นตำแหน่งที่จีนตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 โดยนายหลูรับตำแหน่งสืบต่อจากนายอู๋ หงปั๋ว วัย 72 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งคนแรก

    ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์
    ภาพประกอบข่าว
    นายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำฝรั่งเศสและผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปคนใหม่ - ภาพ : ซินหัว
    รายงานข่าวจากMGR Chinaระบุว่าหลายคนงง! ทำไมจีนส่ง “นักรบหมาป่า” ประจำด่านยุโรป ข่าวจีนแต่งตั้งนายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส วัย 60 ปี เป็น #ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรป ทำเอานักการทูตรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งในช่วงที่ #ความสัมพันธ์จีน-ยุโรปมาถึงจุดเปลี่ยน แต่ด้วยสไตล์บู๊มากกว่าบุ๋นของนายหลู เขาจึงไม่น่าจะใช่กับช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้ นายหลูขึ้นชื่อในเรื่องการออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างดุดัน จนได้รับฉายานักการทูต “นักรบหมาป่า” ( #Wolf Warrior) ตัวฉกาจ ฉายานี้ใช้เรียกบุคคลที่ออกมาตอบโต้นักวิจารณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูกับจีนได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ท่านทูตผู้นี้เอ่ยวาทะเด็ด แต่ไม่เข้าหูชาติในสหภาพยุโรป (อียู) บ่อยครั้ง เช่น เมื่อปี 2566 ขณะประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส นายหลูตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐอดีตสหภาพโซเวียต เขากล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า รัฐเหล่านี้ไม่มีสถานะที่มีผลบังคับใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ นายหลูมีนัยถึง #กลุ่มรัฐบอลติกคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียซึ่งเคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันเป็นสมาชิกอียูและองค์การนาโต “เรายังจำคำพูดเกี่ยวกับรัฐบอลติกนี้ได้ดี” นักการทูตยุโรปในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งระบุ มีอยู่คราวหนึ่งนาย อังตวน บงดาซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของมูลนิธิเพื่อการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (FRS) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิด บ่นจีนว่ากดดันไม่ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติฝรั่งเศสไปเยือนไต้หวัน ท่านทูตหลูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ประณามนายบงดาซ์ว่า เป็น “อันธพาลตัวกะเปี๊ยก” “หมาไนบ้า” และ “ตัวป่วนอุดมการณ์” ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านจีน กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออถแถลงการณ์ประณาม รับไม่ได้กับความคิดเห็นของนายหลู รวมถึง "การดูถูกและข่มขู่ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและนักวิจัยชาวฝรั่งเศส" เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ต่อมาในปี 2565 นายหลูให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แนะให้ชาวไต้หวันเข้ารับการปรับทัศนติเมื่อจีนผนวกไต้หวัน ฝ่ายสนับสนุนเอกราชไต้หวันถึงกับเต้น นายหลูดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศสจนครบวาระ 5 ปีในเดือนธันวาคมปี 2567 ก่อนหน้านั้น สมัยเป็นเอกอัครราชทูตประจำแคนาดา เขาเคยกล่าวหารัฐบาลแคนาดาเมื่อเดือนมกราคมปี 2562 ว่าเป็นคนผิวขาวที่วางอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น จากกรณีที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนซึ่งถูกจีนควบคุมตัว การจับกุมชาวแคนาดาเกิดขึ้น หลังจาก “เมิ่ง หวั่นโจว” ซีอีโอบริษัทหัวเว่ยถูกแคนาดาจับกุมตัวตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวการแต่งตั้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 ก.พ.) ว่า นายหลูจะช่วยเหลือและประสานงานการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเขาเป็นนักการทูตระดับสูงผู้รอบรู้สถานการณ์ในยุโรปเป็นอย่างดี ที่ว่าความสัมพันธ์จีน-ยุโรปเดินมาถึงจุดเปลี่ยนนั่นก็คือ พวกสายเหยี่ยวต้านจีนในอียู เช่น นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่งสัญญาณว่ายินดีที่จะทบทวนความสัมพันธ์จีน-อียู ที่กำลังย่ำแย่ อันเนื่องมาจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าและความไม่พอใจที่จีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย อียูเริ่มเปลี่ยนท่าทีท่ามกลางความตึงเครียดที่ส่อเค้าระหว่างอียู-สหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% และขู่ขึ้นภาษีกับยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปเป็นตำแหน่งที่จีนตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 โดยนายหลูรับตำแหน่งสืบต่อจากนายอู๋ หงปั๋ว วัย 72 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งคนแรก ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์ ภาพประกอบข่าว นายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำฝรั่งเศสและผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปคนใหม่ - ภาพ : ซินหัว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกือบ18 ปีแล้ว ผมเคยเขียนเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
    .
    บทความนั้นมีชื่อว่า ‘งักปุกคุ้ง’ แห่งเสียนหลอ (https://mgronline.com/daily/detail/9500000032355 เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550)
    .
    แต่วันนี้ไม่รู้ว่าตัวเองนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรเลยย้อนไปอ่าน แล้วอยากเอามารีไรท์ และนำมาแบ่งปันอีกครั้งนึง
    .
    ต้นปี 2568 นี้ มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายจีนกำลังภายในเรื่องอมตะ เรื่อง “กระบี่เย้ยยุทธจักร” (หรือ ยิ้มเย้ยยุทธจักร หรือ เดชคัมภีร์เทวดา หรือในภาษาจีนคือ 笑傲江湖 ส่วน ชื่ออังกฤษ Invincible Swordsman) ถูกนำมารีเมคใหม่อีกครั้ง โดยตอนนี้ลงจอฉายที่จีนไปแล้ว ในไทยก็กำลังจะเข้าฉายทาง WeTV กับ iQIYI
    .
    กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นนวนิยายกำลังภายในของสุดยอดปรมาจารย์ทางวรรณกรรมจีน “กิมย้ง” หรือจีนกลางอ่านว่า “จินยง (金庸)” ซึ่งท่านเสียชีวิตไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วเมื่อวัน 30 ตุลาคม 2561
    .
    กระบี่เย้ยยุทธจักรถือเป็นนิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของกิมย้งที่ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ของจีนในยุคใด แต่เป็นนวนิยายกำลังภายในแนวการเมืองที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง
    .
    เรื่องราวเขียนถึงคนที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายอธรรม และ วิญญูชนจอมปลอม ได้อย่างลึกซึ้ง และถ่องแท้ที่สุด!
    .
    ตัวละครหลักคือ เหล็งฮู้ชง ตัวเอกของเรื่อง ศิษย์คนโตและศิษย์ทรยศแห่งสำนักฮั้วซัว (หรือหัวซาน ที่เป็นยอดบรรพตในมณฑลส่านซี) สองคือ งักปุกคุ้ง ซือแป๋เจ้าสำนักฮั้วซัว
    .
    งักปุกคุ้ง (แซ่งัก นามปุกคุ้ง) เป็นเจ้าสำนักฮั้วซัว ผู้สืบทอดเพลงกระบี่และลมปราณเมฆม่วงแห่งสำนักฮั้วซัว หนึ่งในห้า ยอดสำนักกระบี่แห่งบู๊ลิ้ม ภาพภายนอกเป็นผู้กล้าที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม เป็นเจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสำนักมาตรฐานของยุทธจักร จนได้รับฉายาจากบรรดาจอมยุทธ์ว่า “กระบี่วิญญูชน”
    .
    งักปุกคุ้ง นอกจากจะเป็นเจ้าสำนักของยอดสำนักกระบี่แล้ว ในด้านของชาติพันธุ์ เจ้าตัวยังเชื่อมั่นด้วยว่า ต้นตระกูลงัก (หรือในภาษาจีนกลางคือแซ่เย่ว์ – 岳) ของตนมีวีรบุรุษกู้ชาติอยู่หลายคน โดยหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของตระกูลงักก็คือ ‘งักฮุย (เย่ว์เฟย)’ ยอดขุนพลแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ งักปุกคุ้งเชื่อมั่นใน ‘คุณธรรม’ ของตนจนถึงกับเดินทางรอนแรมพาเหล่าศิษย์ฮั้วซัวไปเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของงักฮุย
    .
    อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเจ้าสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะ ทั้งยังได้ฉายาว่าเป็น “กระบี่วิญญูชน” แต่ตลอดทั้งเรื่อง ชื่อเสียงและคำพูดของงักปุกคุ้ง กลับไม่ได้สอดคล้องกับการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น
     งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะหลบเลี่ยงเมื่อภัยมาถึงตัว
     งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะวางเฉย เมื่อประสบเห็นความไม่เป็นธรรมของยุทธจักร
     งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่พร้อมจะให้ร้ายป้ายสีและถีบหัวส่ง เหล็งฮู้ชง ศิษย์เอกมากกว่าที่จะยื่นมือเข้าปกป้องเมื่อเหล็งฮู้ชงถูกกล่าวหาว่าสมคบกับฝ่ายอธรรม
     งักปุกคุ้ง เป็นวิญญูชนที่แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจต่อลาภยศ หรือยอดวิชาแห่งยุทธจักร แต่กลับส่ง “งักเล้งซัง” บุตรีของตนเองไปแต่งกับ “ลิ้มเพ้งจือ” รวมถึงยินยอมสละอวัยวะเพศของตัวเอง เพียงเพื่อจะได้ครอบครองเพลงคัมภีร์กระบี่ตระกูลลิ้ม
    .
    กล่าวโดยสรุปแล้วงักปุกคุ้ง เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า “วิญญูชนจอมปลอม” ภายนอกดูเป็นคนดีที่มีชื่อเสียง เป็น “กระบี่วิญญูชน” เจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อ แต่แท้จริงแล้วกลับประพฤติตนยิ่งกว่าคนในสายอธรรมเสียอีก
    .
    เมื่อพลิกอ่าน “กระบี่เย้ยยุทธจักร” และพิจารณาความระหว่างบรรทัดที่กิมย้งสอดแทรกลงในนวนิยายกำลังภายในเล่มนี้ ผู้อ่านก็จะรับรู้ได้ถึงความเป็นอัจฉริยะของกิมย้ง ที่แม้จะเขียนถึงเรื่องราวในยุทธภพในยุคสมัยราชวงศ์หมิง (ตามการคาดเดาของผู้เขียนเอง) แต่เนื้อหาของนวนิยายกลับสามารถนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นไปทางการเมือง เสียดสีถึงพฤติกรรมของผู้คนในสังคมจีนในยุคสมัยที่ประเทศจีนวุ่นวายที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ คือ ในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรม (พ.ศ.2509-2519)
    .
    ส่วนเมื่อมองถึงเหตุการณ์บ้านเมืองไทยในยุคปัจจุบันแล้ว ใครจะเป็นงักปุกคุ้ง, ใครจะเป็นเหล็งฮู้ชง, ใครจะเป็นฝ่ายธรรมมะ, ใครจะเป็นฝ่ายอธรรม, ใครจะเป็นกระบี่วิญญูชน หรือ ใครจะเป็นวิญญูชนจอมปลอม ผมนั้นมิอาจจะตัดสินใจแทนใครได้จริง ๆ
    .
    ต่างคนต่างมุมมอง ต่างภูมิหลัง ต่างภูมิรู้ ต่างประสบการณ์ ต่างความคิด และเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละคน
    เกือบ18 ปีแล้ว ผมเคยเขียนเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง . บทความนั้นมีชื่อว่า ‘งักปุกคุ้ง’ แห่งเสียนหลอ (https://mgronline.com/daily/detail/9500000032355 เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550) . แต่วันนี้ไม่รู้ว่าตัวเองนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรเลยย้อนไปอ่าน แล้วอยากเอามารีไรท์ และนำมาแบ่งปันอีกครั้งนึง . ต้นปี 2568 นี้ มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายจีนกำลังภายในเรื่องอมตะ เรื่อง “กระบี่เย้ยยุทธจักร” (หรือ ยิ้มเย้ยยุทธจักร หรือ เดชคัมภีร์เทวดา หรือในภาษาจีนคือ 笑傲江湖 ส่วน ชื่ออังกฤษ Invincible Swordsman) ถูกนำมารีเมคใหม่อีกครั้ง โดยตอนนี้ลงจอฉายที่จีนไปแล้ว ในไทยก็กำลังจะเข้าฉายทาง WeTV กับ iQIYI . กระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นนวนิยายกำลังภายในของสุดยอดปรมาจารย์ทางวรรณกรรมจีน “กิมย้ง” หรือจีนกลางอ่านว่า “จินยง (金庸)” ซึ่งท่านเสียชีวิตไปเมื่อ 7 ปีที่แล้วเมื่อวัน 30 ตุลาคม 2561 . กระบี่เย้ยยุทธจักรถือเป็นนิยายกำลังภายในเรื่องเดียวของกิมย้งที่ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ของจีนในยุคใด แต่เป็นนวนิยายกำลังภายในแนวการเมืองที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง . เรื่องราวเขียนถึงคนที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายอธรรม และ วิญญูชนจอมปลอม ได้อย่างลึกซึ้ง และถ่องแท้ที่สุด! . ตัวละครหลักคือ เหล็งฮู้ชง ตัวเอกของเรื่อง ศิษย์คนโตและศิษย์ทรยศแห่งสำนักฮั้วซัว (หรือหัวซาน ที่เป็นยอดบรรพตในมณฑลส่านซี) สองคือ งักปุกคุ้ง ซือแป๋เจ้าสำนักฮั้วซัว . งักปุกคุ้ง (แซ่งัก นามปุกคุ้ง) เป็นเจ้าสำนักฮั้วซัว ผู้สืบทอดเพลงกระบี่และลมปราณเมฆม่วงแห่งสำนักฮั้วซัว หนึ่งในห้า ยอดสำนักกระบี่แห่งบู๊ลิ้ม ภาพภายนอกเป็นผู้กล้าที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม เป็นเจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสำนักมาตรฐานของยุทธจักร จนได้รับฉายาจากบรรดาจอมยุทธ์ว่า “กระบี่วิญญูชน” . งักปุกคุ้ง นอกจากจะเป็นเจ้าสำนักของยอดสำนักกระบี่แล้ว ในด้านของชาติพันธุ์ เจ้าตัวยังเชื่อมั่นด้วยว่า ต้นตระกูลงัก (หรือในภาษาจีนกลางคือแซ่เย่ว์ – 岳) ของตนมีวีรบุรุษกู้ชาติอยู่หลายคน โดยหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของตระกูลงักก็คือ ‘งักฮุย (เย่ว์เฟย)’ ยอดขุนพลแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ งักปุกคุ้งเชื่อมั่นใน ‘คุณธรรม’ ของตนจนถึงกับเดินทางรอนแรมพาเหล่าศิษย์ฮั้วซัวไปเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของงักฮุย . อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเจ้าสำนักกระบี่ฝ่ายธรรมะ ทั้งยังได้ฉายาว่าเป็น “กระบี่วิญญูชน” แต่ตลอดทั้งเรื่อง ชื่อเสียงและคำพูดของงักปุกคุ้ง กลับไม่ได้สอดคล้องกับการกระทำของเขาเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น  งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะหลบเลี่ยงเมื่อภัยมาถึงตัว  งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่มักจะวางเฉย เมื่อประสบเห็นความไม่เป็นธรรมของยุทธจักร  งักปุกคุ้งเป็นวิญญูชนที่พร้อมจะให้ร้ายป้ายสีและถีบหัวส่ง เหล็งฮู้ชง ศิษย์เอกมากกว่าที่จะยื่นมือเข้าปกป้องเมื่อเหล็งฮู้ชงถูกกล่าวหาว่าสมคบกับฝ่ายอธรรม  งักปุกคุ้ง เป็นวิญญูชนที่แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจต่อลาภยศ หรือยอดวิชาแห่งยุทธจักร แต่กลับส่ง “งักเล้งซัง” บุตรีของตนเองไปแต่งกับ “ลิ้มเพ้งจือ” รวมถึงยินยอมสละอวัยวะเพศของตัวเอง เพียงเพื่อจะได้ครอบครองเพลงคัมภีร์กระบี่ตระกูลลิ้ม . กล่าวโดยสรุปแล้วงักปุกคุ้ง เป็นบุคคลประเภทที่เรียกว่า “วิญญูชนจอมปลอม” ภายนอกดูเป็นคนดีที่มีชื่อเสียง เป็น “กระบี่วิญญูชน” เจ้าสำนักกระบี่อันเลื่องชื่อ แต่แท้จริงแล้วกลับประพฤติตนยิ่งกว่าคนในสายอธรรมเสียอีก . เมื่อพลิกอ่าน “กระบี่เย้ยยุทธจักร” และพิจารณาความระหว่างบรรทัดที่กิมย้งสอดแทรกลงในนวนิยายกำลังภายในเล่มนี้ ผู้อ่านก็จะรับรู้ได้ถึงความเป็นอัจฉริยะของกิมย้ง ที่แม้จะเขียนถึงเรื่องราวในยุทธภพในยุคสมัยราชวงศ์หมิง (ตามการคาดเดาของผู้เขียนเอง) แต่เนื้อหาของนวนิยายกลับสามารถนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นไปทางการเมือง เสียดสีถึงพฤติกรรมของผู้คนในสังคมจีนในยุคสมัยที่ประเทศจีนวุ่นวายที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ คือ ในช่วงของการปฏิวัติวัฒนธรรม (พ.ศ.2509-2519) . ส่วนเมื่อมองถึงเหตุการณ์บ้านเมืองไทยในยุคปัจจุบันแล้ว ใครจะเป็นงักปุกคุ้ง, ใครจะเป็นเหล็งฮู้ชง, ใครจะเป็นฝ่ายธรรมมะ, ใครจะเป็นฝ่ายอธรรม, ใครจะเป็นกระบี่วิญญูชน หรือ ใครจะเป็นวิญญูชนจอมปลอม ผมนั้นมิอาจจะตัดสินใจแทนใครได้จริง ๆ . ต่างคนต่างมุมมอง ต่างภูมิหลัง ต่างภูมิรู้ ต่างประสบการณ์ ต่างความคิด และเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละคน
    Like
    Love
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) เปิดตัวฐานทัพใต้ดินแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งตามแนวชายฝั่้งทางใต้ของประเทศ ฐานทัพใหม่นี้ได้รับฉายาว่า "เมืองขีปนาวุธ" เป็นแหล่งซ่อนตัวของรถบรรทุกหลายสิบคนที่ใช้เป็นแท่นยิงขีปนาวุธ อ้างอิงภาพจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยกองทัพอิหร่านเมื่อวันเสาร์(1ก.พ.)
    .
    ในวิดีโอความยาว 2 นาที พลตรีฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการ IRGC และพลเรือตรีอาลิเรซา ทังซิรี ผู้บัญชาการกองทัพเรือ กำลังตรวจตราเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดิน บริเวณที่แท่นยิงขีปนาวุธเคลื่อนที่ประจำการอยู่
    .
    ทังซีรี ระบุว่าฐานทัพแห่งนี้เป็นที่ตั้งของขีปนาวุธร่อน Qadr-380 ของอิหร่าน ซึ่งสามารถประจำการและยิงโจมตีได้ภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที ขีปนาวุธนี้มีพิสัยทำการกว่า 1,000 กิโลเมตรและติดตั้งระบบต่อต้านสัญญาณรบกวน เพื่อตอบโต้การทำสงครามอิเล็กทรอนิก ตามรายงานของสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ
    .
    ฐานทัพแห่งใหม่ที่อวดโฉมในวันเสาร์(1ก.พ.) ถือเป็นฐานทัพใต้ดินแห่งที่ 3 แล้วในอิหร่าน หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ทางกองทัพเรือแห่ง IRGC เพิ่้งเปิดตัวฐานทัพใต้ดินอีกแห่ง สำหรับขีปนาวุธต่อต้านเรือ ตามแนวชายฝั่งอ่าวเปอร์เซีย ขณะเดียวกันทางกองทัพอากาศของ IRGC ก็เคยเปิดเผยเกี่ยวกับฐานทัพแบบเดียวกันนี้ เมื่อวันที่ 10 มกราคม แต่ไม่ได้บอกตำแหน่งที่ตั้งอย่างชัดเจน
    .
    อิหร่าน บอกว่าโครงการขีปนาวุธของพวกเขามีไว้เพื่อป้องปรามบรรดาอริศัตรูอย่างสหรัฐฯและอิสราเอล และระหว่างการตรวจตราเมื่อวันเสาร์(1ก.พ.) ซาลามี เน้นย้ำว่าการเปิดตัวฐานทัพใต้ดินครั้งนี้ มีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูของเตหะราน คำนวณผิดพลาดจนนำมาซึ่งผลลัพธ์ร้ายแรง
    .
    ในช่วงต้นเดือนมกราคม อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน ยกย่องโครงการขีปนาวุธของประเทศ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องปรามภัยคุกคามจากต่างชาติ "ผมเคยบอกมาหลายครั้งแล้ว และเชื่อย่างหนักแน่นว่า ถ้าเราไม่มีแสนยานุภาพด้านขีปนาวุธ ก็คงไม่มีใครเจรจากับเรา"
    .
    อารากชี อ้างว่าสหรัฐฯและพันธมิตรมีแต่จะตอบสนองอย่างแข็งกร้าว แต่แสนยานุภาพด้านขีปนาวุธของอิหร่านจะบีบให้พวกเขาหันหน้ามาใช้หนทางด้านการทูต แทนการเลือกใช้กำลัง ความเห็นของเขามีขค้นตามหลังความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีตอบโต้กันไปมาระหว่าง 2 ชาติ เมื่อปีที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010796
    ..................
    Sondhi X
    กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) เปิดตัวฐานทัพใต้ดินแห่งใหม่ ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งตามแนวชายฝั่้งทางใต้ของประเทศ ฐานทัพใหม่นี้ได้รับฉายาว่า "เมืองขีปนาวุธ" เป็นแหล่งซ่อนตัวของรถบรรทุกหลายสิบคนที่ใช้เป็นแท่นยิงขีปนาวุธ อ้างอิงภาพจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยกองทัพอิหร่านเมื่อวันเสาร์(1ก.พ.) . ในวิดีโอความยาว 2 นาที พลตรีฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการ IRGC และพลเรือตรีอาลิเรซา ทังซิรี ผู้บัญชาการกองทัพเรือ กำลังตรวจตราเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดิน บริเวณที่แท่นยิงขีปนาวุธเคลื่อนที่ประจำการอยู่ . ทังซีรี ระบุว่าฐานทัพแห่งนี้เป็นที่ตั้งของขีปนาวุธร่อน Qadr-380 ของอิหร่าน ซึ่งสามารถประจำการและยิงโจมตีได้ภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที ขีปนาวุธนี้มีพิสัยทำการกว่า 1,000 กิโลเมตรและติดตั้งระบบต่อต้านสัญญาณรบกวน เพื่อตอบโต้การทำสงครามอิเล็กทรอนิก ตามรายงานของสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ . ฐานทัพแห่งใหม่ที่อวดโฉมในวันเสาร์(1ก.พ.) ถือเป็นฐานทัพใต้ดินแห่งที่ 3 แล้วในอิหร่าน หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม ทางกองทัพเรือแห่ง IRGC เพิ่้งเปิดตัวฐานทัพใต้ดินอีกแห่ง สำหรับขีปนาวุธต่อต้านเรือ ตามแนวชายฝั่งอ่าวเปอร์เซีย ขณะเดียวกันทางกองทัพอากาศของ IRGC ก็เคยเปิดเผยเกี่ยวกับฐานทัพแบบเดียวกันนี้ เมื่อวันที่ 10 มกราคม แต่ไม่ได้บอกตำแหน่งที่ตั้งอย่างชัดเจน . อิหร่าน บอกว่าโครงการขีปนาวุธของพวกเขามีไว้เพื่อป้องปรามบรรดาอริศัตรูอย่างสหรัฐฯและอิสราเอล และระหว่างการตรวจตราเมื่อวันเสาร์(1ก.พ.) ซาลามี เน้นย้ำว่าการเปิดตัวฐานทัพใต้ดินครั้งนี้ มีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูของเตหะราน คำนวณผิดพลาดจนนำมาซึ่งผลลัพธ์ร้ายแรง . ในช่วงต้นเดือนมกราคม อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน ยกย่องโครงการขีปนาวุธของประเทศ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องปรามภัยคุกคามจากต่างชาติ "ผมเคยบอกมาหลายครั้งแล้ว และเชื่อย่างหนักแน่นว่า ถ้าเราไม่มีแสนยานุภาพด้านขีปนาวุธ ก็คงไม่มีใครเจรจากับเรา" . อารากชี อ้างว่าสหรัฐฯและพันธมิตรมีแต่จะตอบสนองอย่างแข็งกร้าว แต่แสนยานุภาพด้านขีปนาวุธของอิหร่านจะบีบให้พวกเขาหันหน้ามาใช้หนทางด้านการทูต แทนการเลือกใช้กำลัง ความเห็นของเขามีขค้นตามหลังความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีตอบโต้กันไปมาระหว่าง 2 ชาติ เมื่อปีที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010796 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    19
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1302 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่หลบๆแล้ว "ทักษิณ" ยิ้มระรื่นมาศาลอาญาเซ็นสัญญาประกันออกนอกไทย บอกสื่อไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยว พร้อมเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งขาเข้าออก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010149

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ไม่หลบๆแล้ว "ทักษิณ" ยิ้มระรื่นมาศาลอาญาเซ็นสัญญาประกันออกนอกไทย บอกสื่อไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยว พร้อมเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งขาเข้าออก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010149 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    5
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1082 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉายาประจำตัวของทุกคนในเรื่องการเมืองในประเทศไทยที่ผมแต่งขึ้นเอง(ชายซัดชาย+หญิงตบหญิง)
    มาดูกันว่าจะมีใครบ้างที่จะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับฉายาติดประจำตัวไปกันนะครับ ผมรับรองว่างานนี้มันส์แน่ๆ ขนมากันเป็นคู่ดาราชายหญิงกันเลยทีเดียว และผมก็ได้เปรียบเทียบแต่ละคนแบบเอาให้เห็นกันจะๆกันเลยนะครับ มาเริ่มกันเลยไม่ต้องลีลา
    สีแดง
    ไอ้หน้าเหลี่ยม ฉายา โคตรโกง โกงทั้งโคตร(ทักษิณ ชินวัตร)
    อี๊ปูแดง ฉายา นกแก้วพกโพย แต่โง่(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
    สีฟ้า
    ไอ้หน้าหล่อ ฉายา กินไม่ได้ แถมชั่ว(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
    อี๊ปองฟ้า ฉายา ปากจัดหนัก มัดปากโวย(อัญชลี ไพรีรักษ์)
    สีเหลือง
    ลุงตั๊บ ฉายา เจ๊กกู้ชาติ กล้าท้าชน(สนธิ ลิ้มทองกุล)
    เจ๊แหม่ม ฉายา เหลืองสวย แต่ไม่โง่(นราวดี อินต๊ะวงค์)
    ของแถมท้ายผมเอง ฉายา แดนบ้ามืด ยิ่งดับยิ่งดิ้น(ไกรวิทย์ จรัสไพรัตน์)
    ฉายาประจำตัวของทุกคนในเรื่องการเมืองในประเทศไทยที่ผมแต่งขึ้นเอง(ชายซัดชาย+หญิงตบหญิง) มาดูกันว่าจะมีใครบ้างที่จะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับฉายาติดประจำตัวไปกันนะครับ ผมรับรองว่างานนี้มันส์แน่ๆ ขนมากันเป็นคู่ดาราชายหญิงกันเลยทีเดียว และผมก็ได้เปรียบเทียบแต่ละคนแบบเอาให้เห็นกันจะๆกันเลยนะครับ มาเริ่มกันเลยไม่ต้องลีลา สีแดง ไอ้หน้าเหลี่ยม ฉายา โคตรโกง โกงทั้งโคตร(ทักษิณ ชินวัตร) อี๊ปูแดง ฉายา นกแก้วพกโพย แต่โง่(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) สีฟ้า ไอ้หน้าหล่อ ฉายา กินไม่ได้ แถมชั่ว(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) อี๊ปองฟ้า ฉายา ปากจัดหนัก มัดปากโวย(อัญชลี ไพรีรักษ์) สีเหลือง ลุงตั๊บ ฉายา เจ๊กกู้ชาติ กล้าท้าชน(สนธิ ลิ้มทองกุล) เจ๊แหม่ม ฉายา เหลืองสวย แต่ไม่โง่(นราวดี อินต๊ะวงค์) ของแถมท้ายผมเอง ฉายา แดนบ้ามืด ยิ่งดับยิ่งดิ้น(ไกรวิทย์ จรัสไพรัตน์)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย

    มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru

    กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท)

    จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง

    ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง

    ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน

    สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท) จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 786 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย

    ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน

    หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก

    วัยเยาว์หลวงปู่
    หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน

    เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
    เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง

    เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี"

    ธุดงค์พบทางธรรม
    หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น

    หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม

    ตั้งวัดหนองป่าพง
    หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น

    วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา

    เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ
    หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า

    “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง”

    วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์

    คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง
    คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า

    “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม”

    ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    บั้นปลายชีวิต
    ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด

    หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก

    33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ

    หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568

    #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    33 ปี สิ้น “หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง” พระเถราจารย์แห่งอุบลราชธานี ผู้สร้างวัดสาขาต่างประเทศมากมาย ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และทั่วโลกต้องเศร้าโศก เมื่อหลวงปู่ชา สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระเถราจารย์ผู้เป็นที่เคารพรัก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ละสังขารอย่างสงบ หลังจากอาพาธ มายาวนาน หลวงปู่ชาไม่เพียงเป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณ แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญ ที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสู่ชาวต่างชาติ ผ่านการปฏิบัติธรรม และการสร้างวัดสาขามากมาย ทั้งในและนอกประเทศไทย แม้ว่าท่านจะพูดได้เพียงภาษาไทย แต่ด้วยคำสอน และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย กลับสร้างแรงศรัทธา ให้แก่คนทั่วโลก วัยเยาว์หลวงปู่ หลวงปู่ชา สุภัทโท เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ตามปฏิทินจันทรคติ ที่บ้านก่อ (เดิมชื่อบ้านก้นถ้วย) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดามารดาของท่านคือนายมา และนางพิมพ์ ช่วงโชติ หลวงปู่ชาเป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องทั้งหมด 10 คน เริ่มต้นชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อหลวงปู่ชามีอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาที่วัดบ้านก่อนอก ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกมา เพื่อช่วยครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ได้ผลักดันให้ท่าน หันกลับมาสู่เส้นทางธรรมอีกครั้ง เมื่ออายุครบ 21 ปี หลังทราบว่า ไม่ติดทหารเกณฑ์ หลวงปู่ชาจึงได้อุปสมบท เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 ณ วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ โดยมี พระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "สุภัทโท" ซึ่งแปลว่า "ผู้เจริญด้วยดี" ธุดงค์พบทางธรรม หลวงปู่ชาได้ออกเดินธุดงค์ เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้ทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ โดยเดินทางไกล ผ่านหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงการไปศึกษาธรรมกับ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ สายวิปัสสนากรรมฐาน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น หลวงปู่ชาเล่าถึงความประทับใจ เมื่อได้พบหลวงปู่มั่นว่า การได้ฟังธรรมะจากท่าน ทำให้จิตใจของหลวงปู่ชา สงบลึกในทันที และทำให้เกิดความมั่นใจ ในแนวทางการปฏิบัติธรรม ตั้งวัดหนองป่าพง หลังจากธุดงค์ ยาวนานกว่า 8 ปี ในที่สุดหลวงปู่ชา ได้กลับมาที่บ้านเกิด และก่อตั้งวัดหนองป่าพง ขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยพื้นที่ดั้งเดิมของวัด เป็นป่าอันเงียบสงบ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่ชาใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย และเน้นการปฏิบัติ เพื่อสร้างแบบอย่างให้ศิษย์เห็น วัดหนองป่าพง เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาศึกษาธรรม กับหลวงปู่ชา เผยแผ่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ หนึ่งในสิ่งที่น่าทึ่งที่สุด เกี่ยวกับหลวงปู่ชา คือความสามารถ ในการถ่ายทอดธรรมะ ให้แก่ชาวต่างชาติ แม้ว่าท่าน จะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษก็ตาม ท่านสอนด้วยการกระทำเป็นหลัก โดยมักกล่าวว่า “น้ำร้อนก็มี น้ำฮ้อนก็มี ฮอตวอเตอร์ก็มี มันเป็นแต่ชื่อหรอก ถ้าเอามือจุ่มลงไป ก็ไม่ต้องใช้ภาษาหรอก คนชาติไหนก็รู้ได้เอง” วัดหนองป่าพง และวัดสาขาของหลวงปู่ชา กลายเป็นจุดหมายของชาวต่างชาติ ที่สนใจปฏิบัติธรรม ปัจจุบันวัดหนองป่าพง มีวัดสาขาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศรวมกว่า 141 แห่ง โดยแบ่งเป็น 133 สาขา ในประเทศไทย และ 8 สาขา ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และสวิตเซอร์แลนด์ คำสอนเรียบง่ายลึกซึ้ง คำสอนของหลวงปู่ชา เน้นไปที่การปฏิบัติจริง ในชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้ศิษย์รักษาศีล เจริญสมาธิ และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาในชีวิต โดยหลวงปู่ชาเคยกล่าวไว้ว่า “พึงทำตน ให้ตั้งอยู่ในคุณธรรม อันสมควรเสียก่อน จึงค่อยสอนผู้อื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตทราม” ท่านยังเน้นย้ำว่า การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากการรักษาศีล เพราะศีลจะนำไปสู่สมาธิ และสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ ต้องเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน บั้นปลายชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 หลวงปู่ชาเริ่มอาพาธ และแม้ว่าท่าน จะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ และเผยแผ่ธรรมะจนถึงที่สุด หลวงปู่ชาได้ละสังขารเมื่อ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ณ วัดหนองป่าพง โดยทิ้งมรดกทางธรรม และวัตรปฏิบัติอันเรียบง่าย ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั่วโลก 33 ปี หลังการละสังขารของหลวงปู่ชา คำสอนและวัตรปฏิบัติของท่าน ยังคงมีชีวิตอยู่ในใจ ของศิษยานุศิษย์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั่วโลก วัดหนองป่าพง ยังคงเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา และแหล่งเผยแผ่ธรรมะ ที่ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปสู่ชาวต่างชาติ หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่าง ของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย และยึดมั่นในคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161017 ม.ค. 2568 #หลวงปู่ชา #วัดหนองป่าพง #ธรรมะ #พระป่ากรรมฐาน #ปฏิบัติธรรม #ศาสนาพุทธ #คำสอนหลวงปู่ชา #พระพุทธศาสนา #ธรรมะอินเตอร์ #วัดสาขาต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 715 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 736 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วัชระ” ข้องใจหลังมีกระแสข่าว สตช.เตรียมเสนอชื่อรองผู้การฯ ร้อยเอ็ด อดีตผู้ต้องหายิงวัดพระแก้วช่วงชุมนุมเสื้อแดง ขึ้นเป็นผู้การฯ กาฬสินธุ์จริง ร้อง "พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา" องคมนตรี ตรวจสอบก่อนเสนอโปรดเกล้าฯ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003679

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “วัชระ” ข้องใจหลังมีกระแสข่าว สตช.เตรียมเสนอชื่อรองผู้การฯ ร้อยเอ็ด อดีตผู้ต้องหายิงวัดพระแก้วช่วงชุมนุมเสื้อแดง ขึ้นเป็นผู้การฯ กาฬสินธุ์จริง ร้อง "พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา" องคมนตรี ตรวจสอบก่อนเสนอโปรดเกล้าฯ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003679 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 981 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Art of Pipop พิภพ บุษราคัมวดี

    “ไม่เหมาะ มิบังควรอย่างยิ่ง!
    เมื่อคืนนี้เราไปเจอสินค้าชิ้นหนึ่งในแอป Temu เป็นพรมที่วางอยู่บนพื้น รูปธนบัตรไทยด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10

    โดยเขียนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาไทยไว้ว่า
    “พรมห้องครัวดีไซน์เหรียญบาทไทย, โพลีเอสเตอร์ 100%, ไม่ลื่น, สามารถซักเครื่อง, ผูกผ้า, ทนทาน, ใช้ได้ทั้งประตู/ห้องน้ำ”

    ส่วนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาอังกฤษคือ
    “Thai Baht Coin Design Kitchen Mat, Soft Polyester 100%, Non-Slip, Machine Washable, Knit Weave, Durab”

    * หมายเหตุ: ขอเบลอภาพบางส่วนเพื่อความเหมาะสม

    ภาพทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสม เป็นการนำพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่ต่ำ ทั้งๆ ที่ควรประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง

    นอกจากนี้การนำพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาทำเป็นพรมหรือพรมเช็ดเท้า ถือเป็นการไม่เคารพและดูหมิ่น

    ใครที่ซื้อไปแล้วนำไปวางบนพื้น ก็มีโอกาสที่เท้าจะไปเหยียบย่ำ!

    ในขณะเดียวกัน พรมหรือพรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก และอาจเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา การนำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้ในลักษณะนี้ จึงเป็นการแสดงออกถึงความไม่เหมาะสมและไม่สมควรที่สุด

    ประชาชนชาวไทยมีความเคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจและความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนทั่วไป

    Temu และเจ้าของผลิตภัณฑ์ควรมีวิจารณญาณในการใช้พระบรมฉายาลักษณ์ในทุกกรณี

    ขอเรียกร้องให้ Temu ระงับการจำหน่ายสินค้านี้

    ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดต่อกับ Temu โดยด่วน

    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Art of Pipop พิภพ บุษราคัมวดี “ไม่เหมาะ มิบังควรอย่างยิ่ง! เมื่อคืนนี้เราไปเจอสินค้าชิ้นหนึ่งในแอป Temu เป็นพรมที่วางอยู่บนพื้น รูปธนบัตรไทยด้านที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 โดยเขียนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาไทยไว้ว่า “พรมห้องครัวดีไซน์เหรียญบาทไทย, โพลีเอสเตอร์ 100%, ไม่ลื่น, สามารถซักเครื่อง, ผูกผ้า, ทนทาน, ใช้ได้ทั้งประตู/ห้องน้ำ” ส่วนคำบรรยายผลิตภัณฑ์เป็นภาษาอังกฤษคือ “Thai Baht Coin Design Kitchen Mat, Soft Polyester 100%, Non-Slip, Machine Washable, Knit Weave, Durab” * หมายเหตุ: ขอเบลอภาพบางส่วนเพื่อความเหมาะสม ภาพทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสม เป็นการนำพระบรมฉายาลักษณ์ไว้ในที่ต่ำ ทั้งๆ ที่ควรประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในที่สูง นอกจากนี้การนำพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะมาทำเป็นพรมหรือพรมเช็ดเท้า ถือเป็นการไม่เคารพและดูหมิ่น ใครที่ซื้อไปแล้วนำไปวางบนพื้น ก็มีโอกาสที่เท้าจะไปเหยียบย่ำ! ในขณะเดียวกัน พรมหรือพรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก และอาจเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา การนำพระบรมฉายาลักษณ์มาใช้ในลักษณะนี้ จึงเป็นการแสดงออกถึงความไม่เหมาะสมและไม่สมควรที่สุด ประชาชนชาวไทยมีความเคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจและความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับประชาชนทั่วไป Temu และเจ้าของผลิตภัณฑ์ควรมีวิจารณญาณในการใช้พระบรมฉายาลักษณ์ในทุกกรณี ขอเรียกร้องให้ Temu ระงับการจำหน่ายสินค้านี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดต่อกับ Temu โดยด่วน
    Angry
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เปิดแผนปั่นข่าวอ้างพี่คิงส์โพธิ์แดง
    ได้เห็นละ มีทั้งไลฟ์ มีทั้งโพส
    อ้างว่าได้ข่าวจากพี่คิงส์ อ้างว่าได้คุยกับพี่คิงส์
    พี่คิงส์บอกว่า พระเอกเตรียมฟ๊องญาติ
    คือ พวกที่เป็นเครื่องมือนี่ก็ ไม่มีใครมาถามกรูซ๊ากคำ
    ว่ากรูรู้จัก หรือพวกมัน เข้าถึงพี่คิงส์จริงมั๊ย
    เพราะโพส กรูก็ไม่เคยโพส แปลว่า ต้องได้ข่าวจากการคุยส่วนตัว
    แต่คนที่สามารถคุยกับกรูส่วนตัว นับนิ้วมือได้แค่ข้างเดียว ก็หมดแล้ว
    ดังนั้น มาเปิดแผนแม่มเลย ว่ามันมีเป้าหมายอะไร
    1. 4 ป้าข้างบ้านพี่คิงส์ กลัวโดนฟ๊อง เยื่ยวแทบราด เพราะเล่นน้องชาไทยไปบานเบอะ ซึ่งวิธีการที่อิป้าศรีธัญญาคิดได้คือ ให้ปั่นไปก่อน เพื่อเป็นเกราะป้องกันว่า ถ้าอนาคต CL ฟ๊อง 4 ป้าขึ้นมา จะได้ถูกสื่อและสังคมประนาม
    ซึ่งจริงๆแล้ว คนเฮี้ย ไม่ได้แบ่งหญิง หรือชายนะ ไม่งั้้นเค้าจะมีครุกหญิงไว้ทำห่านจิกอะไร ทุกคนมีสิทธิ์รักษาสิทธิ์ของตัวเอง ขนาดสาวเกา ยังอ้างปกป้องศักดิ์ศรี ฟ๊องคนไทยที่ให้ข้าวให้น้ำ ให้มันได้ลืมตาอ้าปากจากเดิมที่แดรกแต่ม่าๆ อ้างหาตังเรียน ก็เงินคนไทยทั้งนัน พวกเมิงยังไม่เห็นปกป้องคนไทยเลย อิฉัด
    2. หวังให้ทัวร์มาลงพี่คิงส์ ว่าทำไมพี่คิงส์ไปบอกแบบนั้น
    3. ทำให้คนอื่นเชื่อ เพราะพี่คิงส์ ยืนหยันปกป้องCL มาตลอด ถ้ามาจากปากพี่ คือเชื่อได้
    4. ไอ่แผนฟินิกส์แรนเจอร์ อันนี้ก็น่าจะเป็นผลงานที่ 2 หลังการรวมตัวคนเฮี้ยไปเป็นทาสอิป้าโร๊คจิ๊ต
    5. ทำให้คนเข้าใจผิดว่าพี่คิงส์คือคนใกล้ตัว CL
    แผนตื่นๆของคนจิตป๋วย กรูอ่านขาดเสมอ
    แต่ที่สำคัญนะ คือ กรูจะไปรู้ว่า CL เค้าจะวางแผนฟ๊องใครได้ยังไง ตั้งแต่กรูจำความได้ จนถึงวันนี้ กรูสาบาน กรูไม่เคยคุยกับ CL หรือแม้กระทั่งแชทคุย กรูก็ยังไม่เคย พวกเมิงแม่มมโนเลยเถิด ส่วนที่พวกเมิงสงสัยเพราะกรูรู้เยอะ เพราะสัน ดานกรู คือกรูขุดลึกยันก้นเหวนรกแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือเรื่องแบบนี้ ฉายา ผู้มาก่อนกาล กรูไม่ได้เพิ่งได้ กรูได้มาตั้งแต่เรื่องCL ยังไม่เกิด สาวเกายังไม่รู้จักกับ CL เลย
    ถึงกรูจะหน้าตาค่อนข้างดี แต่ยังไงก็ไม่ใช่CL
    สื่อใหญ่ระดับนี้ เชื่อโดยไม่สอบถามข้อมูล
    คุณภาพต่ำลงเรื่อยๆแล้วนะฮ๊าฟ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เปิดแผนปั่นข่าวอ้างพี่คิงส์โพธิ์แดง ได้เห็นละ มีทั้งไลฟ์ มีทั้งโพส อ้างว่าได้ข่าวจากพี่คิงส์ อ้างว่าได้คุยกับพี่คิงส์ พี่คิงส์บอกว่า พระเอกเตรียมฟ๊องญาติ คือ พวกที่เป็นเครื่องมือนี่ก็ ไม่มีใครมาถามกรูซ๊ากคำ ว่ากรูรู้จัก หรือพวกมัน เข้าถึงพี่คิงส์จริงมั๊ย เพราะโพส กรูก็ไม่เคยโพส แปลว่า ต้องได้ข่าวจากการคุยส่วนตัว แต่คนที่สามารถคุยกับกรูส่วนตัว นับนิ้วมือได้แค่ข้างเดียว ก็หมดแล้ว ดังนั้น มาเปิดแผนแม่มเลย ว่ามันมีเป้าหมายอะไร 1. 4 ป้าข้างบ้านพี่คิงส์ กลัวโดนฟ๊อง เยื่ยวแทบราด เพราะเล่นน้องชาไทยไปบานเบอะ ซึ่งวิธีการที่อิป้าศรีธัญญาคิดได้คือ ให้ปั่นไปก่อน เพื่อเป็นเกราะป้องกันว่า ถ้าอนาคต CL ฟ๊อง 4 ป้าขึ้นมา จะได้ถูกสื่อและสังคมประนาม ซึ่งจริงๆแล้ว คนเฮี้ย ไม่ได้แบ่งหญิง หรือชายนะ ไม่งั้้นเค้าจะมีครุกหญิงไว้ทำห่านจิกอะไร ทุกคนมีสิทธิ์รักษาสิทธิ์ของตัวเอง ขนาดสาวเกา ยังอ้างปกป้องศักดิ์ศรี ฟ๊องคนไทยที่ให้ข้าวให้น้ำ ให้มันได้ลืมตาอ้าปากจากเดิมที่แดรกแต่ม่าๆ อ้างหาตังเรียน ก็เงินคนไทยทั้งนัน พวกเมิงยังไม่เห็นปกป้องคนไทยเลย อิฉัด 2. หวังให้ทัวร์มาลงพี่คิงส์ ว่าทำไมพี่คิงส์ไปบอกแบบนั้น 3. ทำให้คนอื่นเชื่อ เพราะพี่คิงส์ ยืนหยันปกป้องCL มาตลอด ถ้ามาจากปากพี่ คือเชื่อได้ 4. ไอ่แผนฟินิกส์แรนเจอร์ อันนี้ก็น่าจะเป็นผลงานที่ 2 หลังการรวมตัวคนเฮี้ยไปเป็นทาสอิป้าโร๊คจิ๊ต 5. ทำให้คนเข้าใจผิดว่าพี่คิงส์คือคนใกล้ตัว CL แผนตื่นๆของคนจิตป๋วย กรูอ่านขาดเสมอ แต่ที่สำคัญนะ คือ กรูจะไปรู้ว่า CL เค้าจะวางแผนฟ๊องใครได้ยังไง ตั้งแต่กรูจำความได้ จนถึงวันนี้ กรูสาบาน กรูไม่เคยคุยกับ CL หรือแม้กระทั่งแชทคุย กรูก็ยังไม่เคย พวกเมิงแม่มมโนเลยเถิด ส่วนที่พวกเมิงสงสัยเพราะกรูรู้เยอะ เพราะสัน ดานกรู คือกรูขุดลึกยันก้นเหวนรกแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือเรื่องแบบนี้ ฉายา ผู้มาก่อนกาล กรูไม่ได้เพิ่งได้ กรูได้มาตั้งแต่เรื่องCL ยังไม่เกิด สาวเกายังไม่รู้จักกับ CL เลย ถึงกรูจะหน้าตาค่อนข้างดี แต่ยังไงก็ไม่ใช่CL สื่อใหญ่ระดับนี้ เชื่อโดยไม่สอบถามข้อมูล คุณภาพต่ำลงเรื่อยๆแล้วนะฮ๊าฟ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา
    มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก)
    ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง
    แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที
    ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว
    เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง

    ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : -

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
    บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน
    ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ
    แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ”
    วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑

    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย

    ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว

    จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.....

    ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓

    อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

    ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
    เบญจา สุภานนท์
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕
    ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่....

    ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕
    อุโรวษา เพชรวารี
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า

    “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...”

    คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า
    “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย”
    และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า
    “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก”
    ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว

    เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว
    ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย
    กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ

    พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
    ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด”
    กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที

    ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข)

    ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์

    เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น

    อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ
    “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร”
    วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒

    ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า

    พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ
    กุฏฐัง นัตถิ ภันเต
    คัณโฑ นัตถิ ภันเต
    กิลาโส นัตถิ ภันเต
    โสโส นัตถิ ภันเต
    อะปะมาโร นัตถิ ภันเต
    มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต
    นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต
    อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต
    กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ
    โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ

    (๑) บอกฉายาของตนเอง
    (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์

    ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย
    “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก) ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : - “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ” วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่..... ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เบญจา สุภานนท์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.... ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ อุโรวษา เพชรวารี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...” คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย” และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก” ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด” กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข) ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์ เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร” วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒ ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ กุฏฐัง นัตถิ ภันเต คัณโฑ นัตถิ ภันเต กิลาโส นัตถิ ภันเต โสโส นัตถิ ภันเต อะปะมาโร นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ (๑) บอกฉายาของตนเอง (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์ ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 744 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไตรรงค์ นำตร.ไซเบอร์ ปราบคอนเทนต์ขยะ ดับซ่า แอล โอรส
    .
    การตายสุดดราม่าของ “แบงค์ เลสเตอร์” ที่ตกเป็นเหยื่อของ “คอนเทนต์ขยะ” จนต้องสังเวยชีวิต
    ไปๆ มาๆ บานปลาย มีคนที่ต้องโดนคดีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
    .
    ไม่ใช่แค่แก๊งอินฟลูฯ เจ้าของคอนเทนต์ขยะเท่านั้น แต่ลามไปถึงคนที่เข้ามาล้างแค้นให้ แบงค์ เลสเตอร์ ด้วย
    .
    คนๆ นั้น ก็คือ นักเลงดังนาม “แอล โอรส” เจ้าของฉายา “รถถังฝั่งธน” ซึ่งปรากฏตัวที่วัดออเงิน ในงานศพวันแรกของแบงค์ เลสเตอร์ พร้อมกับชาวแก๊งตัวลายพร้อย
    แอล โอรส ประกาศจองกฐิน “เบิร์ด วันว่างๆ” กลางวัด โทษฐานที่เบิร์ดเป็นตัวพ่อของคอนเทนต์ขยะ ชอบเอาแบงค์ เลสเตอร์ เป็นตัวชูโรง
    .
    แม้ “เบิร์ด วันว่างๆ” จะนกรู้ไม่ยอมย่างกรายไปวัด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอดอยู่ดี โดนชาวแก๊ง ตามไปยำตีน ถ่ายคลิปเอามาแพร่
    .
    พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ เลยต้องออกโรง ใช้กฎหมายดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
    ไล่ตั้งแต่พวกทำคอนเทนต์ขยะ อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” หรือนายธีระวัฒน์ ศรีรอง โดนข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามก
    .
    เพราะตำรวจเจอหลักฐาน เบิร์ดโพสต์ภาพแบงค์ เลสเตอร์ โดนกลั่นแกล้งให้เปลือยกายล่อนจ้อน
    และ บก.ปคม. ก็จะจัดการ “เบิร์ด วันว่างๆ” ข้อหาค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าได้รับประโยชน์โดยมิชอบ จากการแพร่ภาพเปลือยของแบงค์ เลสเตอร์
    .
    ส่วน “เอ็ม เอกชาติ” หรือนายเอกชาติ มีพร้อม ที่จ้างแบงค์ เลสเตอร์ กินเหล้า จนเสียชีวิต โดนข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
    พ่วงด้วยข้อหาโฆษณาเว็บพนัน เพราะมีพฤติกรรมแปะลิงค์เชิญชวนเล่นพนัน บนคอนเทนต์ขยะของตัว
    .
    ทั้งนี้ ประวัติของเอ็ม เอกชาติ เป็นคนสีเทาชัดเจน เคยถูก ป.ป.ง. ยึดทรัพย์รถซุเปอร์คาร์และอื่นๆ รวม 45 ล้านบาท
    จากพฤติกรรมเป็นเครือข่ายให้เว็บพนันของ “อั้ม” นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สามีของนางเอก “แยม” ธมลพรรณ ซึ่งตอนนี้ สองผัวเมียก็ยังติดคุกคดีเว็บพนันอยู่
    .
    ตำรวจไซเบอร์ ยังตามไปจัดการนักเลงอย่างแอล โอรส หรือนายศราวุธ ศรีกำเนิด เอาผิดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการปล่อยคลิปยำตีนเบิร์ด วันว่างๆ
    .
    ส่วนตำรวจนครบาลก็มุ่งขยายผล เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเบิร์ด วันว่างๆ เบื้องต้น เหยื่อตีนอ้างว่า จำได้ มีใครบ้างที่ทำร้ายเขา
    .
    นี่คือบทบาทที่น่าชื่นชมของ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ผู้มาใหม่ อย่าง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ที่รีบใช้กฎหมายออกมาปรามอย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เหล่าคนสีเทา แสดงตัวครองเมือง จัดการกันเอง
    จนเป็น “คอนเทนต์ขยะ” ซ้อน “คอนเทนต์ขยะ” แบบว่า มึงรังแกคนอ่อนแอก่อนเหรอ กูก็จะมารังแกมึงมั่ง ถ่ายคลิปมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
    .
    ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กล้าในการนำทีมบุกค้นบ้านของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชื่อชั้นใหญ่กว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ อย่างเทียบกันไม่ได้
    .
    งานแบบนี้ ไม่กล้าหาญจริง ทำไม่ได้ และหากพยานหลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอจะมัดบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ก็มีสิทธิ์ถูกเอาคืนถึงหมดอนาคต
    .
    แต่รู้ทั้งรู้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ก็กล้าเดินเข้าบ้านบิ๊กโจ๊ก และเก็บหลักฐานสำคัญในคดีฟอกเงินและรับส่วยเว็บพนัน กลับออกมาเพียบ
    .
    ทั้งนี้ การตายของแบงค์ เลสเตอร์ อย่างน้อยก็มีคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ใช่การตายที่สูญเปล่า
    เพราะช่วยเปิดโปงให้เห็นถึงเครือข่ายคนสีเทา ที่มีวิธีการปั่นกระแสด้วยชีวิตคน เพื่อโกยเงินจากการพนันออนไลน์
    .
    เปิดโอกาสให้ตำรวจไซเบอร์เข้าไปกวาดล้างคนสีเทาพวกนี้ ไม่ให้ลอยหน้าลอยตา เป็นคนเด่นดัง ทั้งที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชีวิตคน และหากินกับความฉิบหายของลูกหลานไทย
    ..............
    Sondhi X
    ไตรรงค์ นำตร.ไซเบอร์ ปราบคอนเทนต์ขยะ ดับซ่า แอล โอรส . การตายสุดดราม่าของ “แบงค์ เลสเตอร์” ที่ตกเป็นเหยื่อของ “คอนเทนต์ขยะ” จนต้องสังเวยชีวิต ไปๆ มาๆ บานปลาย มีคนที่ต้องโดนคดีต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ . ไม่ใช่แค่แก๊งอินฟลูฯ เจ้าของคอนเทนต์ขยะเท่านั้น แต่ลามไปถึงคนที่เข้ามาล้างแค้นให้ แบงค์ เลสเตอร์ ด้วย . คนๆ นั้น ก็คือ นักเลงดังนาม “แอล โอรส” เจ้าของฉายา “รถถังฝั่งธน” ซึ่งปรากฏตัวที่วัดออเงิน ในงานศพวันแรกของแบงค์ เลสเตอร์ พร้อมกับชาวแก๊งตัวลายพร้อย แอล โอรส ประกาศจองกฐิน “เบิร์ด วันว่างๆ” กลางวัด โทษฐานที่เบิร์ดเป็นตัวพ่อของคอนเทนต์ขยะ ชอบเอาแบงค์ เลสเตอร์ เป็นตัวชูโรง . แม้ “เบิร์ด วันว่างๆ” จะนกรู้ไม่ยอมย่างกรายไปวัด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอดอยู่ดี โดนชาวแก๊ง ตามไปยำตีน ถ่ายคลิปเอามาแพร่ . พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. หรือตำรวจไซเบอร์ เลยต้องออกโรง ใช้กฎหมายดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไล่ตั้งแต่พวกทำคอนเทนต์ขยะ อย่าง “เบิร์ด วันว่างๆ” หรือนายธีระวัฒน์ ศรีรอง โดนข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะอันลามก . เพราะตำรวจเจอหลักฐาน เบิร์ดโพสต์ภาพแบงค์ เลสเตอร์ โดนกลั่นแกล้งให้เปลือยกายล่อนจ้อน และ บก.ปคม. ก็จะจัดการ “เบิร์ด วันว่างๆ” ข้อหาค้ามนุษย์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าได้รับประโยชน์โดยมิชอบ จากการแพร่ภาพเปลือยของแบงค์ เลสเตอร์ . ส่วน “เอ็ม เอกชาติ” หรือนายเอกชาติ มีพร้อม ที่จ้างแบงค์ เลสเตอร์ กินเหล้า จนเสียชีวิต โดนข้อหาประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พ่วงด้วยข้อหาโฆษณาเว็บพนัน เพราะมีพฤติกรรมแปะลิงค์เชิญชวนเล่นพนัน บนคอนเทนต์ขยะของตัว . ทั้งนี้ ประวัติของเอ็ม เอกชาติ เป็นคนสีเทาชัดเจน เคยถูก ป.ป.ง. ยึดทรัพย์รถซุเปอร์คาร์และอื่นๆ รวม 45 ล้านบาท จากพฤติกรรมเป็นเครือข่ายให้เว็บพนันของ “อั้ม” นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ สามีของนางเอก “แยม” ธมลพรรณ ซึ่งตอนนี้ สองผัวเมียก็ยังติดคุกคดีเว็บพนันอยู่ . ตำรวจไซเบอร์ ยังตามไปจัดการนักเลงอย่างแอล โอรส หรือนายศราวุธ ศรีกำเนิด เอาผิดข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการปล่อยคลิปยำตีนเบิร์ด วันว่างๆ . ส่วนตำรวจนครบาลก็มุ่งขยายผล เอาผิดข้อหาทำร้ายร่างกายเบิร์ด วันว่างๆ เบื้องต้น เหยื่อตีนอ้างว่า จำได้ มีใครบ้างที่ทำร้ายเขา . นี่คือบทบาทที่น่าชื่นชมของ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ผู้มาใหม่ อย่าง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ที่รีบใช้กฎหมายออกมาปรามอย่างทันท่วงที เพื่อไม่ให้เหล่าคนสีเทา แสดงตัวครองเมือง จัดการกันเอง จนเป็น “คอนเทนต์ขยะ” ซ้อน “คอนเทนต์ขยะ” แบบว่า มึงรังแกคนอ่อนแอก่อนเหรอ กูก็จะมารังแกมึงมั่ง ถ่ายคลิปมั่ง ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง . ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ถือเป็นหน้าตาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้กล้าในการนำทีมบุกค้นบ้านของบิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชื่อชั้นใหญ่กว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ อย่างเทียบกันไม่ได้ . งานแบบนี้ ไม่กล้าหาญจริง ทำไม่ได้ และหากพยานหลักฐานไม่แน่นหนาเพียงพอจะมัดบิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ก็มีสิทธิ์ถูกเอาคืนถึงหมดอนาคต . แต่รู้ทั้งรู้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ก็กล้าเดินเข้าบ้านบิ๊กโจ๊ก และเก็บหลักฐานสำคัญในคดีฟอกเงินและรับส่วยเว็บพนัน กลับออกมาเพียบ . ทั้งนี้ การตายของแบงค์ เลสเตอร์ อย่างน้อยก็มีคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ใช่การตายที่สูญเปล่า เพราะช่วยเปิดโปงให้เห็นถึงเครือข่ายคนสีเทา ที่มีวิธีการปั่นกระแสด้วยชีวิตคน เพื่อโกยเงินจากการพนันออนไลน์ . เปิดโอกาสให้ตำรวจไซเบอร์เข้าไปกวาดล้างคนสีเทาพวกนี้ ไม่ให้ลอยหน้าลอยตา เป็นคนเด่นดัง ทั้งที่ก่อกรรมทำเข็ญกับชีวิตคน และหากินกับความฉิบหายของลูกหลานไทย .............. Sondhi X
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1798 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9 ปัญหาฉุดอเมริกา "ยุคทรัมป์ 2.0" ตามหลังจีน
    .
    ปีหน้า วันที่ 20 มกราคม 2568 นายโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี จะเข้าปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 เป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุด ขึ้นครองอำนาจสมัยที่ 2 สื่ออเมริกาตั้งฉายา ว่า "รัฐบาลทรัมป์ 2.0"ที่ต้องเข้ามาบริหาร จะเจอปัญหารุมเร้าหลักๆ ไม่ต่ำกว่า 9 ประการ ที่บีบรัดและฉุดรั้ง ทำให้อเมริกาต้องเดินตามหลังจีนไปอีกหลายทศวรรษ
    .
    ปัญหาข้อที่ 1. คือ ความเสื่อมถอยทางเทคโนโลยีของอเมริกา สหรัฐฯ กำลังสูญเสียความได้เปรียบและความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถจัดหาสินค้าและบริการที่จำเป็นให้โลกได้ ตั้งแต่เข็มหมุดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสถานีอวกาศ
    .
    2.ยุทธศาสตร์ของจีน ที่ชื่อว่า 'Made in China 2025' ปีหน้ากำหนดเป้าหมายเปลี่ยนจีนให้กลายเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูง ลดการพึ่งพาบริษัทอเมริกา และอัปเกรดศักยภาพส่งเสริมนวัตกรรมในภาคส่วนสำคัญ เช่น หุ่นยนต์อวกาศ พลังงานสะอาด ยานยนต์ วัสดุใหม่ และปัญญาประดิษฐ์ และยกระดับห่วงโซ่มูลค่าระดับโลกผ่านความคิดริเริ่มทาง Made in China 2025 นี้
    .
    ข้อที่ 3. ปัญหาการลงทุนด้านวิจัยพัฒนานวัตกรรมของสหรัฐฯ นั้นยังมีไม่เพียงพอ ทำให้บริษัทสหรัฐฯ ไม่สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้ และประสบปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ระบบนิเวศเทคโนโลยีไม่สมบูรณ์
    .
    ปัญหาข้อที่ 4. ปัญหาสมองไหลจากอเมริกาที่สูญเสียนักวิจัยและพัฒนาเก่งๆ และขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ และข้อ 5 ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ ไม่สามารถผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีได้เพียงพอ
    .
    ปัญหาข้อที่6 ปัญหาแนวทางและจุดมุ่งหมายขององค์กรเอกชนต่องานวิจัยและพัฒนาเพื่อกำไรเช่นApple ในขณะที่บริษัทของจีน เช่น Huawei ลงทุนอย่างหนักในนวัตกรรมและการวิจัยพื้นฐาน
    .
    ประเด็นต่อมาข้อที่ 7 นโยบายสหรัฐฯของรัฐบาลแต่ละชุดไม่สอดคล้องและขัดแย้งกัน ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจของบริษัทต่างๆ ที่จะลงทุน เพราะความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ การเมืองสหรัฐฯ
    .
    ข้อที่8. ลัทธิโดดเดี่ยวและอยู่แบบข้าใหญ่คนเดียวของอเมริกา บั่นทอนความก้าวหน้าของสหรัฐฯ ที่ขาดความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ขับเคลื่อนนวัตกรรม ไม่เหมือนกับจีนและประเทศอื่นๆ ที่ส่งเสริมความร่วมมือระดับโลก จัดตั้งห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกขึ้นมาและดำเนินยุทธศาสตร์การค้าที่ฉลาดเฉลียว
    .
    ข้อที่9. เรียกร้องเสนอให้สหรัฐฯ ต้องปฏิรูปทั้งด้านการศึกษา นโยบาย และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อหยุดความเสื่อมถอย
    .
    ผู้นำสหรัฐฯตกยุคอย่างทรัมป์ ไม่ควรหลอกตัวเองว่า เพียงแค่ใช้ปากกาลงนามประกาศอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็สามารถจะสู้กับจีน ทรัมป์ อายุ 78 ปี จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ อาจจะจนกระทั่งหลังจากตัวเองตายไปแล้ว ถึงจะสามารถก้าวตามจีนได้ทัน
    9 ปัญหาฉุดอเมริกา "ยุคทรัมป์ 2.0" ตามหลังจีน . ปีหน้า วันที่ 20 มกราคม 2568 นายโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี จะเข้าปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 เป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุด ขึ้นครองอำนาจสมัยที่ 2 สื่ออเมริกาตั้งฉายา ว่า "รัฐบาลทรัมป์ 2.0"ที่ต้องเข้ามาบริหาร จะเจอปัญหารุมเร้าหลักๆ ไม่ต่ำกว่า 9 ประการ ที่บีบรัดและฉุดรั้ง ทำให้อเมริกาต้องเดินตามหลังจีนไปอีกหลายทศวรรษ . ปัญหาข้อที่ 1. คือ ความเสื่อมถอยทางเทคโนโลยีของอเมริกา สหรัฐฯ กำลังสูญเสียความได้เปรียบและความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถจัดหาสินค้าและบริการที่จำเป็นให้โลกได้ ตั้งแต่เข็มหมุดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสถานีอวกาศ . 2.ยุทธศาสตร์ของจีน ที่ชื่อว่า 'Made in China 2025' ปีหน้ากำหนดเป้าหมายเปลี่ยนจีนให้กลายเป็นมหาอำนาจด้านการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูง ลดการพึ่งพาบริษัทอเมริกา และอัปเกรดศักยภาพส่งเสริมนวัตกรรมในภาคส่วนสำคัญ เช่น หุ่นยนต์อวกาศ พลังงานสะอาด ยานยนต์ วัสดุใหม่ และปัญญาประดิษฐ์ และยกระดับห่วงโซ่มูลค่าระดับโลกผ่านความคิดริเริ่มทาง Made in China 2025 นี้ . ข้อที่ 3. ปัญหาการลงทุนด้านวิจัยพัฒนานวัตกรรมของสหรัฐฯ นั้นยังมีไม่เพียงพอ ทำให้บริษัทสหรัฐฯ ไม่สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้ และประสบปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ระบบนิเวศเทคโนโลยีไม่สมบูรณ์ . ปัญหาข้อที่ 4. ปัญหาสมองไหลจากอเมริกาที่สูญเสียนักวิจัยและพัฒนาเก่งๆ และขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ และข้อ 5 ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ ไม่สามารถผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีได้เพียงพอ . ปัญหาข้อที่6 ปัญหาแนวทางและจุดมุ่งหมายขององค์กรเอกชนต่องานวิจัยและพัฒนาเพื่อกำไรเช่นApple ในขณะที่บริษัทของจีน เช่น Huawei ลงทุนอย่างหนักในนวัตกรรมและการวิจัยพื้นฐาน . ประเด็นต่อมาข้อที่ 7 นโยบายสหรัฐฯของรัฐบาลแต่ละชุดไม่สอดคล้องและขัดแย้งกัน ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจของบริษัทต่างๆ ที่จะลงทุน เพราะความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ การเมืองสหรัฐฯ . ข้อที่8. ลัทธิโดดเดี่ยวและอยู่แบบข้าใหญ่คนเดียวของอเมริกา บั่นทอนความก้าวหน้าของสหรัฐฯ ที่ขาดความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ขับเคลื่อนนวัตกรรม ไม่เหมือนกับจีนและประเทศอื่นๆ ที่ส่งเสริมความร่วมมือระดับโลก จัดตั้งห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกขึ้นมาและดำเนินยุทธศาสตร์การค้าที่ฉลาดเฉลียว . ข้อที่9. เรียกร้องเสนอให้สหรัฐฯ ต้องปฏิรูปทั้งด้านการศึกษา นโยบาย และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อหยุดความเสื่อมถอย . ผู้นำสหรัฐฯตกยุคอย่างทรัมป์ ไม่ควรหลอกตัวเองว่า เพียงแค่ใช้ปากกาลงนามประกาศอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็สามารถจะสู้กับจีน ทรัมป์ อายุ 78 ปี จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ อาจจะจนกระทั่งหลังจากตัวเองตายไปแล้ว ถึงจะสามารถก้าวตามจีนได้ทัน
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉายาสภา ปี 67 ใครเด่น ใครดับ : [News story]

    สื่อมวลชนประจำรัฐสภา สะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง สส.และ สว.ด้วยฉายาปี 67
    ฉายาสภา ปี 67 ใครเด่น ใครดับ : [News story] สื่อมวลชนประจำรัฐสภา สะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง สส.และ สว.ด้วยฉายาปี 67
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1077 มุมมอง 51 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.101 : ยามเมื่อสายลมพัดหวน จาก “ฮ่องกง” สู่ “จีนแผ่นดินใหญ่”
    .
    ขณะนี้ ฮ่องกงกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างน้อย 2 เรื่อง....เรื่องแรก คือ ฮ่องกงต้องแข่งกับประเทศอื่น ๆ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือ แม้กระทั่ง จีนแผ่นดินใหญ่ ที่ทุกวันนี้ต่างก็ใช้นโยบาย “ฟรีวีซ่า” เช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากจีนให้ฟรีวีซ่า คนไทยไปเที่ยวเมืองจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกเรื่องหนึ่ง คือ คนฮ่องกงเอง ก็เดินทางไปท่องเที่ยว และพักผ่อนในจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้น สถานะของจีนแผ่นดินใหญ่ในวันนี้ ดีกว่าฮ่องกงอย่างมาก หรือจะเรียกได้ว่ากลับตาลปัตร จากในอดีตเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราจะเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในฮ่องกง ที่เคยเป็นเมืองท่า เป็นฮับการบิน ศูนย์กลางการค้า ธุรกิจ และการท่องเที่ยว จนเคยได้รับฉายาว่า “ไข่มุกบูรพา”....แต่วันนี้ ฮ่องกง กำลังเผชิญกับสายลมพัดหวน จากฮ่องกงกลับไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=TrRxhW-uETs
    บูรพาไม่แพ้ Ep.101 : ยามเมื่อสายลมพัดหวน จาก “ฮ่องกง” สู่ “จีนแผ่นดินใหญ่” . ขณะนี้ ฮ่องกงกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างน้อย 2 เรื่อง....เรื่องแรก คือ ฮ่องกงต้องแข่งกับประเทศอื่น ๆ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือ แม้กระทั่ง จีนแผ่นดินใหญ่ ที่ทุกวันนี้ต่างก็ใช้นโยบาย “ฟรีวีซ่า” เช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากจีนให้ฟรีวีซ่า คนไทยไปเที่ยวเมืองจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกเรื่องหนึ่ง คือ คนฮ่องกงเอง ก็เดินทางไปท่องเที่ยว และพักผ่อนในจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้น สถานะของจีนแผ่นดินใหญ่ในวันนี้ ดีกว่าฮ่องกงอย่างมาก หรือจะเรียกได้ว่ากลับตาลปัตร จากในอดีตเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ ในวันนี้ เราจะเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในฮ่องกง ที่เคยเป็นเมืองท่า เป็นฮับการบิน ศูนย์กลางการค้า ธุรกิจ และการท่องเที่ยว จนเคยได้รับฉายาว่า “ไข่มุกบูรพา”....แต่วันนี้ ฮ่องกง กำลังเผชิญกับสายลมพัดหวน จากฮ่องกงกลับไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่ . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=TrRxhW-uETs
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 530 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts