• ด่วน! โฆษก ทบ. แถลงความจริง เขมรไม่ได้ชนะพิกัดปราสาทตาควาย [31/7/68]

    Urgent! Army spokesman clarifies the truth: Cambodia did not win the Prasat Ta Kwai area.

    #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กองทัพบก #ข่าวด่วนชายแดน #ทหารไทย #Thaitimes #News1 #Shorts
    ด่วน! โฆษก ทบ. แถลงความจริง เขมรไม่ได้ชนะพิกัดปราสาทตาควาย [31/7/68] Urgent! Army spokesman clarifies the truth: Cambodia did not win the Prasat Ta Kwai area. #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #กองทัพบก #ข่าวด่วนชายแดน #ทหารไทย #Thaitimes #News1 #Shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 1 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสารานุกรมเสรี: เมื่อกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์กลายเป็นภัยต่อผู้สร้างความรู้

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Wikipedia ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงแห่งลอนดอน โดยมุ่งเป้าไปที่ “Categorisation Regulations” ของกฎหมาย Online Safety Act (OSA) ซึ่งอาจจัดให้ Wikipedia เป็น “Category 1 service”—กลุ่มเว็บไซต์ที่มีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด

    หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ จะต้องตรวจสอบตัวตนของอาสาสมัครที่แก้ไขบทความ ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของ Wikipedia ที่เน้นการเปิดกว้างและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การบังคับให้เปิดเผยตัวตนอาจทำให้อาสาสมัครเสี่ยงต่อการถูกตามรอย, ฟ้องร้อง, หรือแม้แต่ถูกคุมขังในบางประเทศ

    Wikimedia ยืนยันว่า Wikipedia ไม่ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพราะไม่มีโฆษณา, ไม่ขายข้อมูล, และดำเนินงานโดยอาสาสมัครกว่า 260,000 คนทั่วโลก

    Wikimedia Foundation ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงในเดือนกรกฎาคม 2025
    มุ่งเป้าไปที่ Categorisation Regulations ของกฎหมาย Online Safety Act
    เป็นการฟ้องเฉพาะข้อกำหนด ไม่ใช่ตัวกฎหมายทั้งหมด

    Wikipedia อาจถูกจัดเป็น Category 1 service ซึ่งมีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด
    ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้และอาสาสมัคร
    ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการรายงาน

    Wikimedia เตือนว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร
    เสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูล, ถูกตามรอย, หรือถูกดำเนินคดี
    อาจทำให้อาสาสมัครจำนวนมากเลิกแก้ไขบทความ

    Wikipedia มีผู้เข้าชมกว่า 15 พันล้านครั้งต่อเดือนทั่วโลก และ 776 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร
    มีอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรหลายพันคน
    เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในระบบการศึกษาของประเทศ เช่น Wikipedia ภาษาเวลส์

    ผู้ร่วมฟ้องคืออาสาสมัครในสหราชอาณาจักรที่ใช้นามแฝงว่า “Zzuuzz”
    เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานจริง
    เป็นคดีแรกที่มีอาสาสมัคร Wikipedia เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องร่วม

    Wikimedia เรียกร้องให้ศาลตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองโครงการสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต
    Wikipedia เป็นเว็บไซต์ระดับโลกที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร
    เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้ฝึกโมเดล AI และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ

    https://wikimediafoundation.org/news/2025/07/17/wikimedia-foundation-challenges-uk-online-safety-act-regulations/
    🧠 เรื่องเล่าจากสารานุกรมเสรี: เมื่อกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์กลายเป็นภัยต่อผู้สร้างความรู้ ในเดือนกรกฎาคม 2025 Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Wikipedia ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงแห่งลอนดอน โดยมุ่งเป้าไปที่ “Categorisation Regulations” ของกฎหมาย Online Safety Act (OSA) ซึ่งอาจจัดให้ Wikipedia เป็น “Category 1 service”—กลุ่มเว็บไซต์ที่มีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ จะต้องตรวจสอบตัวตนของอาสาสมัครที่แก้ไขบทความ ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของ Wikipedia ที่เน้นการเปิดกว้างและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การบังคับให้เปิดเผยตัวตนอาจทำให้อาสาสมัครเสี่ยงต่อการถูกตามรอย, ฟ้องร้อง, หรือแม้แต่ถูกคุมขังในบางประเทศ Wikimedia ยืนยันว่า Wikipedia ไม่ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพราะไม่มีโฆษณา, ไม่ขายข้อมูล, และดำเนินงานโดยอาสาสมัครกว่า 260,000 คนทั่วโลก ✅ Wikimedia Foundation ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ มุ่งเป้าไปที่ Categorisation Regulations ของกฎหมาย Online Safety Act ➡️ เป็นการฟ้องเฉพาะข้อกำหนด ไม่ใช่ตัวกฎหมายทั้งหมด ✅ Wikipedia อาจถูกจัดเป็น Category 1 service ซึ่งมีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด ➡️ ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้และอาสาสมัคร ➡️ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการรายงาน ✅ Wikimedia เตือนว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร ➡️ เสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูล, ถูกตามรอย, หรือถูกดำเนินคดี ➡️ อาจทำให้อาสาสมัครจำนวนมากเลิกแก้ไขบทความ ✅ Wikipedia มีผู้เข้าชมกว่า 15 พันล้านครั้งต่อเดือนทั่วโลก และ 776 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร ➡️ มีอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรหลายพันคน ➡️ เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในระบบการศึกษาของประเทศ เช่น Wikipedia ภาษาเวลส์ ✅ ผู้ร่วมฟ้องคืออาสาสมัครในสหราชอาณาจักรที่ใช้นามแฝงว่า “Zzuuzz” ➡️ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานจริง ➡️ เป็นคดีแรกที่มีอาสาสมัคร Wikipedia เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องร่วม ✅ Wikimedia เรียกร้องให้ศาลตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองโครงการสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต ➡️ Wikipedia เป็นเว็บไซต์ระดับโลกที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร ➡️ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้ฝึกโมเดล AI และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ https://wikimediafoundation.org/news/2025/07/17/wikimedia-foundation-challenges-uk-online-safety-act-regulations/
    WIKIMEDIAFOUNDATION.ORG
    Wikimedia Foundation Challenges UK Online Safety Act Regulations – Wikimedia Foundation
    Next week, on 22 and 23 July 2025, the High Court of Justice in London will hear the Wikimedia Foundation's legal challenge to the Categorisation Regulations of the United Kingdom (UK)'s Online Safety Act (OSA).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sat. Jul. 26, 2025

    เห็นอีเหลี่ยมไปตักข้าวแจกคนที่อุบลฯในวันเกิดครบ 76 ปี ก็นึกทุเรศใจ

    เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมึงสมคบคิดกับคนถ่อย พยายามช่วยเปิดทางให้มันได้พื้นที่แผ่นดินของไทย ทั้งทางบก และทางทะเล

    แต่พอเผอิญ มีทหารน้ำดีไม่ยอมไปตามแผนที่มึงกับเพื่อนรักงูเห่าของมึงวางไว้ และจุดที่นำพาให้คนสองประเทศต้องแตกคอกัน สูญเสียชีวิต และบ้านเรือน พี่น้องชายแดนทั้งสองฝั่งเดือดร้อนและหวาดผวากับภาวะสงครามเฉียบพลันอยู่ณ.บัดนี้ ก็เพราะ...
    ...ลูกมึงโง่...โดนงูเห่าแว้งกัด

    ครั้งก่อนมึง ทำคนในประเทศไทยแตกแยกกัน
    ครั้งนี้ลูกมึง ทำคนสองประเทศแตกแยกกัน และคนบริสุทธิ์สองประเทศเสียชีวิตมากมาย
    เดอะแบก ก็ยังกล้าออกมาขออำนาจคืน ระหว่างที่นักการเมืองทุกพรรควิ่งไปหลบหลังทหารกันหมดแล้ว แถมหัวหน้าตระกูลชินสัตรยังยืมมือทหารทำลายคนที่กุมความลับของตัวเองไว้มากมายให้อีก

    แหม...ต้องขอมอบของขวัญวันเกิดที่วนเวียนทำเหี้ยกับบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองมาครบ 76 ปี เป็นคลิปเสียงลูกโง่สุดที่รัก ที่พูด kiss ass ท่านอังเคิ่ลเพื่อนเลิฟเก่า ให้มึงฟังก่อนนอนละกันนะ ตัดเอาแต่เสียงลูก DNA ทรราชของมึง only เลยนะ...ชอบป่ะ
    Unhappy วันทรราขชิงหมาเกิดนะมึง

    #ไม่ใช่คนไทยทุกคนที่ลืมง่าย
    #กูจำ
    Sat. Jul. 26, 2025 เห็นอีเหลี่ยมไปตักข้าวแจกคนที่อุบลฯในวันเกิดครบ 76 ปี ก็นึกทุเรศใจ เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมึงสมคบคิดกับคนถ่อย พยายามช่วยเปิดทางให้มันได้พื้นที่แผ่นดินของไทย ทั้งทางบก และทางทะเล แต่พอเผอิญ มีทหารน้ำดีไม่ยอมไปตามแผนที่มึงกับเพื่อนรักงูเห่าของมึงวางไว้ และจุดที่นำพาให้คนสองประเทศต้องแตกคอกัน สูญเสียชีวิต และบ้านเรือน พี่น้องชายแดนทั้งสองฝั่งเดือดร้อนและหวาดผวากับภาวะสงครามเฉียบพลันอยู่ณ.บัดนี้ ก็เพราะ... ...ลูกมึงโง่...โดนงูเห่าแว้งกัด ครั้งก่อนมึง ทำคนในประเทศไทยแตกแยกกัน ครั้งนี้ลูกมึง ทำคนสองประเทศแตกแยกกัน และคนบริสุทธิ์สองประเทศเสียชีวิตมากมาย เดอะแบก ก็ยังกล้าออกมาขออำนาจคืน ระหว่างที่นักการเมืองทุกพรรควิ่งไปหลบหลังทหารกันหมดแล้ว แถมหัวหน้าตระกูลชินสัตรยังยืมมือทหารทำลายคนที่กุมความลับของตัวเองไว้มากมายให้อีก แหม...ต้องขอมอบของขวัญวันเกิดที่วนเวียนทำเหี้ยกับบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองมาครบ 76 ปี เป็นคลิปเสียงลูกโง่สุดที่รัก ที่พูด kiss ass ท่านอังเคิ่ลเพื่อนเลิฟเก่า ให้มึงฟังก่อนนอนละกันนะ ตัดเอาแต่เสียงลูก DNA ทรราชของมึง only เลยนะ...ชอบป่ะ Unhappy วันทรราขชิงหมาเกิดนะมึง 🖕🖕🖕 #ไม่ใช่คนไทยทุกคนที่ลืมง่าย #กูจำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Sat. Jul. 26, 2025

    Very interesting. From unknown source.
    READ CAREFULLY!!

    What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty.

    Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally.

    Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest.

    And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die.

    This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty.

    The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this:

    Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne.
    This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power.

    It’s not just strange. It’s strategic.

    No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan.

    ----------------------------------------------

    น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม
    โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!!

    สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป

    ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

    ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง

    ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย

    เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์

    แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ:

    ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว

    นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน

    มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์

    ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว

    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #hunsenwarcriminal
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    Sat. Jul. 26, 2025 Very interesting. From unknown source. READ CAREFULLY!! What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty. Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally. Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest. And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die. This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty. The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this: Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne. This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power. It’s not just strange. It’s strategic. No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan. ---------------------------------------------- น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!! สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์ แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ: ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์ ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #hunsenwarcriminal #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • We didn’t start it. We were attacked. เราไม่ได้เริ่ม แต่เราถูกกระทำ! [25/7/68]

    #WeDidntStartIt
    #เราไม่ได้เริ่ม
    #เราถูกกระทำ
    #ThailandWasAttacked
    #ความจริงต้องพูด
    #เสียงจากประเทศไทย
    #อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง
    #DefenseNotAggression
    #ProtectThaiSovereignty
    #กัมพูชายิงก่อน
    #柬埔寨先开火 (จีน)
    #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น)
    #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี)
    #KamboçyaİlkAteşEtti (ตุรกี)
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #CambodiaOpenedFire
    #thaitimes
    #news1
    #shorts
    We didn’t start it. We were attacked. เราไม่ได้เริ่ม แต่เราถูกกระทำ! [25/7/68] #WeDidntStartIt #เราไม่ได้เริ่ม #เราถูกกระทำ #ThailandWasAttacked #ความจริงต้องพูด #เสียงจากประเทศไทย #อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง #DefenseNotAggression #ProtectThaiSovereignty #กัมพูชายิงก่อน #柬埔寨先开火 (จีน) #カンボジアが先に発砲 (ญี่ปุ่น) #캄보디아가먼저발포 (เกาหลี) #KamboçyaİlkAteşEtti (ตุรกี) #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #thaitimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี

    ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ

    แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า:

    เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้

    อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้

    ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน

    นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น:
    - ความสามารถในการเข้าถึง
    - ความสามารถในการใช้งาน
    - ความเท่าเทียมกัน
    - ราคาและการยอมรับใช้งาน

    โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง

    FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025
    เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่

    Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps
    โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น

    FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง”
    เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย

    เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access
    โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ

    Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ”
    เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า

    FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706
    การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    🎙️ เรื่องเล่าจากกฎเกณฑ์ด้านเน็ต: เมื่อ “ความเร็วสูง” กลายเป็นเรื่องการเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยี ในปี 2024 รัฐบาลสหรัฐฯ โดยฝ่ายบริหาร Biden เสนอให้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาวเรื่อง “gigabit internet” สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม — โดยใช้เป็นกรอบในการออกนโยบายด้าน universal access และสนับสนุนผู้ให้บริการ แต่ในเอกสาร Fact Sheet ของ FCC เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2025 ที่เกี่ยวกับการทบทวนการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมขั้นสูง (ตาม Section 706) Brendan Carr ได้แสดงความกังวลว่า: เป้าหมาย gigabit อาจเป็นการ “เลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยี” เช่นดาวเทียมหรือ wireless ที่ยังไม่สามารถวิ่งที่ 1,000/500 Mbps ได้ อาจผิดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ที่กฎหมายกำหนดไว้ ควรปรับเป้าหมายตาม “ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยี” ไม่ใช่กำหนดล่วงหน้าว่าทุกคนต้องใช้ความเร็วเดียวกัน นอกจากนี้ Carr ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เกณฑ์หลายด้านในการประเมิน เช่น: - ความสามารถในการเข้าถึง - ความสามารถในการใช้งาน - ความเท่าเทียมกัน - ราคาและการยอมรับใช้งาน โดยมองว่าอาจเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของ Section 706 ที่เน้นความคืบหน้าในการเข้าถึงอย่างแท้จริง ✅ FCC เตรียมลงคะแนนข้อเสนอของ Brendan Carr ในวันที่ 7 สิงหาคม 2025 ➡️ เพื่อตัดสินใจว่าจะปรับเป้าหมาย gigabit internet หรือไม่ ✅ Carr เสนอให้ยกเลิกการกำหนดเป้าหมายระยะยาว 1,000/500 Mbps ➡️ โดยมองว่าไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อเทคโนโลยีบางประเภทที่ยังไม่ถึงระดับนั้น ✅ FCC ระบุว่าการกำหนดเป้าหมายเร็วไปอาจขัดหลัก “เทคโนโลยีเป็นกลาง” ➡️ เช่น satellite และ fixed wireless อาจได้รับผลกระทบทางนโยบาย ✅ เป้าหมาย gigabit มาจากแผนของรัฐบาล Biden ปี 2024 ที่เน้น universal access ➡️ โดยใช้เป็นกรอบสำหรับการสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ ✅ Carr เสนอให้การประเมินของ FCC เน้น “ความคืบหน้าในการ deploy” มากกว่า “การเข้าถึงครบ” ➡️ เพื่อสะท้อนความจริงของการพัฒนาระบบแทนการตั้งมาตรฐานล่วงหน้า ✅ FCC ต้องทำการสอบสวนทุกปีตามกฎหมาย Telecommunications Act of 1996, Section 706 ➡️ การเปลี่ยนเป้าหมายในปีนี้อาจมีผลต่อการสนับสนุน ISP และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/fcc-proposal-aims-to-nix-long-term-gigabit-internet-speed-goals-pricing-analysis
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    FCC proposal aims to nix long-term gigabit internet speed goals, pricing analysis
    An FCC proposal seeks to undo the Biden administration's efforts to encourage increased availability of gigabit download speeds.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม

    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม

    ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย:
    - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials)
    - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams)
    - แผนที่ทางภูมิศาสตร์
    - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII)

    ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย

    ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation)

    กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ

    Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน
    ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ

    ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร
    รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ

    สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง
    อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น

    DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ
    โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า

    Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat
    แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก

    จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน
    เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม

    การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ
    แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ

    การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต
    เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted

    ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่
    ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้

    ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี
    เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: Salt Typhoon แฮกเข้า US National Guard แบบเนียน 9 เดือนเต็ม ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนชื่อว่า Salt Typhoon ได้เจาะเข้าเครือข่ายของกองกำลังพิทักษ์แห่งชาติสหรัฐ โดยไม่มีการตรวจจับได้นานถึง 9 เดือนเต็ม 🧠 ข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วย: - สิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (admin credentials) - ผังการจราจรบนเครือข่าย (network traffic diagrams) - แผนที่ทางภูมิศาสตร์ - ข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่ม Salt Typhoon ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการติดต่อระหว่างเครือข่ายของรัฐต่าง ๆ และอีก 4 ดินแดนของสหรัฐ แปลว่าพวกเขาอาจ “กระจายการโจมตี” ต่อไปยังระบบอื่น ๆ ได้โดยง่าย ถึงแม้รายงานจะไม่เปิดเผยวิธีการเจาะระบบครั้งนี้โดยตรง แต่ Department of Homeland Security เชื่อว่า Salt Typhoonอาจใช้ช่องโหว่ในอุปกรณ์เครือข่าย เช่น Cisco routers ที่ไม่ได้รับการอัปเดต (CVE exploitation) กลุ่ม Salt Typhoon ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Typhoon collective” ที่รวมถึง Brass Typhoon, Volt Typhoon ฯลฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐทั้งด้านทหาร การสื่อสาร และพลังงาน เพื่อใช้เป็นช่องทางโจมตีหากเกิดความตึงเครียดทางการทูต โดยเฉพาะประเด็น ไต้หวัน ระหว่างจีน-สหรัฐ ✅ Salt Typhoon แฮกเข้าเครือข่ายของ US National Guard นานถึง 9 เดือน ➡️ ตั้งแต่มีนาคมถึงธันวาคม 2024 โดยไม่มีการตรวจพบ ✅ ขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น admin credentials และ PII ของทหาร ➡️ รวมถึงผังเครือข่าย แผนที่ และข้อมูลการสื่อสารระหว่างรัฐ ✅ สามารถเข้าถึงข้อมูลจากเครือข่ายระหว่างรัฐและดินแดนอื่นอีก 4 แห่ง ➡️ อาจเป็นช่องทางในการกระจายการโจมตีเพิ่มเติมไปยังองค์กรอื่น ✅ DHS คาดว่ากลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของอุปกรณ์ Cisco ในการเจาะระบบ ➡️ โดยใช้มัลแวร์เช่น JumblePath และ GhostSpider ที่ใช้ในปฏิบัติการก่อนหน้า ✅ Salt Typhoon เป็นกลุ่มที่มีการโจมตีองค์กรอื่น ๆ มาแล้ว เช่น AT&T, Viasat ➡️ แสดงถึงความต่อเนื่องและความสามารถในการบุกระบบเชิงลึก ✅ จุดประสงค์หลักคือเตรียมการสำหรับความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน ➡️ เพื่อให้พร้อมโจมตีหรือรบกวนระบบของสหรัฐในกรณีเกิดสงคราม ‼️ การเจาะระบบระดับหน่วยงานทหารนานถึง 9 เดือนโดยไม่มีใครพบ ⛔ แสดงถึงช่องโหว่ด้านการตรวจจับภัย (threat detection) ในระบบราชการ ‼️ การละเมิดข้อมูลส่วนตัวของทหาร (PII) อาจนำไปสู่การถูกโจมตีเจาะจงในอนาคต ⛔ เช่น phishing หรือการขู่กรรโชกแบบ targeted ‼️ ช่องโหว่ของอุปกรณ์ที่ไม่ได้แพตช์ยังเป็นปัญหาใหญ่ ⛔ ต้องเร่งอัปเดตซอฟต์แวร์และควบคุมการใช้อุปกรณ์เครือข่ายให้ดีกว่านี้ ‼️ ปฏิบัติการลับของแฮกเกอร์ที่รอให้เกิดความขัดแย้งแล้วค่อยโจมตี ⛔ เป็นภัยคุกคามระดับชาติที่ต้องการความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกัน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-hackers-were-able-to-breach-us-national-guard-and-stay-undetected-for-months
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • เริ่มนับหนึ่ง MRT3 Circle Line รถไฟฟ้าวงแหวนรอบนอก KL

    หลังจากประเทศมาเลเซียพัฒนารถไฟฟ้าไปทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์และหุบเขาแคลงมาแล้ว 12 เส้นทาง ล่าสุดโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line ของบริษัท มาเลเซีย แรพิด ทรานซิท คอร์ปอเรชัน (MRT Corp) นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ได้อนุมัติลงนามโครงการในขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 45,000 ราย พบว่ามีผู้สนับสนุนโครงการ 93.3% นับจากนี้จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อที่ดินตามแนวเส้นทาง 690 แปลงภายในปี 2569 ก่อนประกวดราคาและก่อสร้างต่อไป

    สำหรับโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line มีระยะทาง 51 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางวนรอบ 73 นาที แบ่งเป็นทางรถไฟยกระดับ 39 กิโลเมตร และทางรถไฟใต้ดิน 12 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสถานีบูกิต เคียรา เซลาตัน (Bukit Kiara Selatan) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT Kajang Line วนตามเข็มนาฬิกาจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก มีสถานีทั้งหมด 32 สถานี แบ่งเป็นสถานียกระดับ 22 สถานี สถานีใต้ดิน 7 สถานี รองรับผู้โดยสาร 25,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการผู้โดยสารรอบนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นแบบบูรณาการ สามารถเดินทางระหว่างกันได้อย่างราบรื่น

    เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายต่างๆ ได้แก่ สถานีคอมเพล็กซ์ ดูตา (Kompleks Duta) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานีตีตี้วังซา (Titiwangsa) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า 4 สาย ได้แก่ LRT Ampang Line, LRT Sri Petaling Line, KL Monorail Line and MRT Putrajaya Line, สถานีเซเตียวังซา (Setiawangsa) เชื่อมต่อรถไฟ LRT Kelana Jaya Line, สถานีพันดัน อินดาห์ (Pandan Indah) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Ampang Line,

    สถานีตามันมิดาห์ (Taman Midah) เชื่อมต่อรถไฟ MRT Kajang Line, สถานีซาลัคเซลาตัน (Salak Selatan) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Sri Petaling Line, สถานีกูชาย (Kuchai) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า MRT Putrajaya Line, สถานีพันทายดาลัม (Pantai Dalam) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานียูนิเวอร์ซิตี้ (Universiti) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Kelana Jaya Line

    ผ่านสถานที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศมาเลเซีย (MITEC) สถานีดูตามาส (Dutamas), โรงพยาบาลเฉพาะทาง Pusat Perubatan Universiti Kebangsaan Malaysia (PPUKM) and UKM Child Specialist Hospital สถานีจาลันยาโคบลาทิฟ (Jalan Yaacob Latif), ศูนย์การค้าเคแอลเกตเวย์มอลล์ สถานียูนิเวอร์ซิตี้ และศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยมาลายา (University of Malaya Medical Centre) สถานียูเอ็ม (UM) เป็นต้น

    #Newskit
    เริ่มนับหนึ่ง MRT3 Circle Line รถไฟฟ้าวงแหวนรอบนอก KL หลังจากประเทศมาเลเซียพัฒนารถไฟฟ้าไปทั่วกรุงกัวลาลัมเปอร์และหุบเขาแคลงมาแล้ว 12 เส้นทาง ล่าสุดโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line ของบริษัท มาเลเซีย แรพิด ทรานซิท คอร์ปอเรชัน (MRT Corp) นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย ได้อนุมัติลงนามโครงการในขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 45,000 ราย พบว่ามีผู้สนับสนุนโครงการ 93.3% นับจากนี้จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อที่ดินตามแนวเส้นทาง 690 แปลงภายในปี 2569 ก่อนประกวดราคาและก่อสร้างต่อไป สำหรับโครงการรถไฟฟ้า MRT3 Circle Line มีระยะทาง 51 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางวนรอบ 73 นาที แบ่งเป็นทางรถไฟยกระดับ 39 กิโลเมตร และทางรถไฟใต้ดิน 12 กิโลเมตร เริ่มต้นจากสถานีบูกิต เคียรา เซลาตัน (Bukit Kiara Selatan) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT Kajang Line วนตามเข็มนาฬิกาจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก มีสถานีทั้งหมด 32 สถานี แบ่งเป็นสถานียกระดับ 22 สถานี สถานีใต้ดิน 7 สถานี รองรับผู้โดยสาร 25,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง ให้บริการผู้โดยสารรอบนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นแบบบูรณาการ สามารถเดินทางระหว่างกันได้อย่างราบรื่น เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายต่างๆ ได้แก่ สถานีคอมเพล็กซ์ ดูตา (Kompleks Duta) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานีตีตี้วังซา (Titiwangsa) เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า 4 สาย ได้แก่ LRT Ampang Line, LRT Sri Petaling Line, KL Monorail Line and MRT Putrajaya Line, สถานีเซเตียวังซา (Setiawangsa) เชื่อมต่อรถไฟ LRT Kelana Jaya Line, สถานีพันดัน อินดาห์ (Pandan Indah) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Ampang Line, สถานีตามันมิดาห์ (Taman Midah) เชื่อมต่อรถไฟ MRT Kajang Line, สถานีซาลัคเซลาตัน (Salak Selatan) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Sri Petaling Line, สถานีกูชาย (Kuchai) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า MRT Putrajaya Line, สถานีพันทายดาลัม (Pantai Dalam) เชื่อมต่อรถไฟ KTM Tanjung Malim-Port Klang Line, สถานียูนิเวอร์ซิตี้ (Universiti) เชื่อมต่อรถไฟฟ้า LRT Kelana Jaya Line ผ่านสถานที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศมาเลเซีย (MITEC) สถานีดูตามาส (Dutamas), โรงพยาบาลเฉพาะทาง Pusat Perubatan Universiti Kebangsaan Malaysia (PPUKM) and UKM Child Specialist Hospital สถานีจาลันยาโคบลาทิฟ (Jalan Yaacob Latif), ศูนย์การค้าเคแอลเกตเวย์มอลล์ สถานียูนิเวอร์ซิตี้ และศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยมาลายา (University of Malaya Medical Centre) สถานียูเอ็ม (UM) เป็นต้น #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: LibreOffice ขยับตาม MS Office ด้วยฟีเจอร์รองรับ Bitcoin

    ลองนึกภาพว่าเราใช้ LibreOffice Calc เพื่อจัดการงบประมาณ แล้วอยากใส่ข้อมูลธุรกรรม Bitcoin โดยไม่ต้องปรับแต่งฟอร์แมตเองให้ยุ่งยาก ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เป็นจริงแล้ว! LibreOffice ได้เพิ่มการรองรับ Bitcoin เป็นหน่วยเงินในโปรแกรม Calc ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Microsoft Office มีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว

    เรื่องเริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งเสนอฟีเจอร์นี้ในระบบติดตามบั๊กของ LibreOffice โดยให้รายละเอียดครบถ้วน เช่น สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF), การแสดงทศนิยม 8 หลัก (เพื่อรองรับ Satoshi) และการวางสัญลักษณ์ไว้หน้าตัวเลขเหมือนกับเครื่องหมายดอลลาร์

    แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ทันรวมในเวอร์ชัน 25.8 ที่กำลังจะออก แต่คาดว่าจะมาในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า ซึ่งจะทำให้การจัดการ Bitcoin ใน LibreOffice ง่ายขึ้นมาก

    นอกจากนี้ LibreOffice ยังพยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้หันมาใช้ Linux และ LibreOffice ด้วยการออกคู่มือฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ Microsoft Office ย้ายมาได้ง่ายขึ้น เช่น การรองรับฟอนต์ฝังในไฟล์ และหัวข้อแบบ inline ใน Writer

    LibreOffice เพิ่มฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ใน Calc
    - ใช้สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF)
    - รองรับทศนิยม 8 หลัก (Satoshi)
    - แสดงสัญลักษณ์ก่อนตัวเลขเหมือนเครื่องหมายดอลลาร์

    ฟีเจอร์นี้มาจากคำขอของผู้ใช้ในระบบ bug tracker

    จะรวมในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า (ไม่ทันเวอร์ชัน 25.8)

    LibreOffice พยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้เปลี่ยนมาใช้ Linux และ LibreOffice
    - มีคู่มือฟรีสำหรับผู้เปลี่ยนจาก MS Office
    - เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน เช่น embedded fonts และ inline headings

    ฟีเจอร์ Bitcoin ยังไม่พร้อมใช้งานทันที ต้องรอเวอร์ชันใหม่ในปีหน้า

    ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานทันทีอาจต้องหาวิธี workaround ไปก่อน

    การเปลี่ยนจาก MS Office ไป LibreOffice อาจมีช่วงปรับตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะของ Microsoft

    https://www.neowin.net/news/another-blow-for-ms-office-libreoffice-brings-feature-ms-office-has-had-for-almost-10-years/
    เรื่องเล่าจากโลกซอฟต์แวร์: LibreOffice ขยับตาม MS Office ด้วยฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ลองนึกภาพว่าเราใช้ LibreOffice Calc เพื่อจัดการงบประมาณ แล้วอยากใส่ข้อมูลธุรกรรม Bitcoin โดยไม่ต้องปรับแต่งฟอร์แมตเองให้ยุ่งยาก ตอนนี้ฝันนั้นใกล้เป็นจริงแล้ว! LibreOffice ได้เพิ่มการรองรับ Bitcoin เป็นหน่วยเงินในโปรแกรม Calc ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Microsoft Office มีมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว เรื่องเริ่มจากผู้ใช้รายหนึ่งเสนอฟีเจอร์นี้ในระบบติดตามบั๊กของ LibreOffice โดยให้รายละเอียดครบถ้วน เช่น สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF), การแสดงทศนิยม 8 หลัก (เพื่อรองรับ Satoshi) และการวางสัญลักษณ์ไว้หน้าตัวเลขเหมือนกับเครื่องหมายดอลลาร์ แม้ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ทันรวมในเวอร์ชัน 25.8 ที่กำลังจะออก แต่คาดว่าจะมาในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า ซึ่งจะทำให้การจัดการ Bitcoin ใน LibreOffice ง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ LibreOffice ยังพยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้หันมาใช้ Linux และ LibreOffice ด้วยการออกคู่มือฟรี และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ Microsoft Office ย้ายมาได้ง่ายขึ้น เช่น การรองรับฟอนต์ฝังในไฟล์ และหัวข้อแบบ inline ใน Writer ✅ LibreOffice เพิ่มฟีเจอร์รองรับ Bitcoin ใน Calc - ✅ ใช้สัญลักษณ์ ₿ (U+20BF) - ✅ รองรับทศนิยม 8 หลัก (Satoshi) - ✅ แสดงสัญลักษณ์ก่อนตัวเลขเหมือนเครื่องหมายดอลลาร์ ✅ ฟีเจอร์นี้มาจากคำขอของผู้ใช้ในระบบ bug tracker ✅ จะรวมในเวอร์ชัน 26.2 ปีหน้า (ไม่ทันเวอร์ชัน 25.8) ✅ LibreOffice พยายามดึงผู้ใช้ Windows ให้เปลี่ยนมาใช้ Linux และ LibreOffice - ✅ มีคู่มือฟรีสำหรับผู้เปลี่ยนจาก MS Office - ✅ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน เช่น embedded fonts และ inline headings ‼️ ฟีเจอร์ Bitcoin ยังไม่พร้อมใช้งานทันที ต้องรอเวอร์ชันใหม่ในปีหน้า ‼️ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานทันทีอาจต้องหาวิธี workaround ไปก่อน ‼️ การเปลี่ยนจาก MS Office ไป LibreOffice อาจมีช่วงปรับตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พึ่งพาฟีเจอร์เฉพาะของ Microsoft https://www.neowin.net/news/another-blow-for-ms-office-libreoffice-brings-feature-ms-office-has-had-for-almost-10-years/
    WWW.NEOWIN.NET
    Another blow for MS Office? LibreOffice brings feature MS Office has had for almost 10 years
    LibreOffice, the popular MS Office alternative, has added another feature that brings it closer to full feature parity with Microsoft Office.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้พูดถึงงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review D ซึ่งเสนอแนวคิดว่า “จุดกำเนิดของจักรวาล” อาจไม่ใช่ Big Bang อย่างที่เราเคยเชื่อกัน แต่เป็นการ “ดีดตัวกลับ” (bounce) จากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ—เป็นการพลิกมุมมองต่อจักรวาลอย่างสิ้นเชิง

    นักฟิสิกส์จาก The Conversation และสถาบันวิจัยต่าง ๆ เสนอโมเดลใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลของเราอาจเกิดจากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ ไม่ใช่จากการระเบิดของจุดเอกฐาน (singularity) แบบ Big Bang ที่เราเคยเชื่อ

    แนวคิดนี้ใช้หลักฟิสิกส์ควอนตัม โดยเฉพาะ “หลักการกีดกันของเฟอร์มิออน” (quantum exclusion principle) ซึ่งระบุว่าอนุภาคที่เหมือนกันไม่สามารถอยู่ในสถานะควอนตัมเดียวกันได้ ทำให้การยุบตัวของมวลไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ และเกิดการ “ดีดตัวกลับ” หรือ bounce

    หลังจาก bounce จักรวาลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีแรงดันภายในทำหน้าที่คล้ายกับพลังงานมืดและการขยายตัวในยุค inflation ตามทฤษฎีดั้งเดิม

    โมเดลนี้ยังทำนายว่า:
    - จักรวาลมีความโค้งเล็กน้อย (Ωₖ ≈ −0.07 ± 0.02)
    - การดีดตัวเกิดภายในรัศมีความโน้มถ่วง r_S = 2GM ซึ่งทำหน้าที่คล้ายค่าคงที่จักรวาล (Λ)
    - ภายนอกยังดูเหมือนหลุมดำ Schwarzschild ปกติ

    ภารกิจในอนาคต เช่น Euclid และ Arrakihs อาจช่วยตรวจสอบความโค้งของจักรวาลและโครงสร้างที่หลงเหลือจากการดีดตัว เช่น เฮโลของดาวฤกษ์และกาแล็กซีบริวาร

    https://www.neowin.net/news/our-universes-origin-is-indeed-a-black-hole-and-not-the-big-bang-reckons-this-new-study/
    ข่าวนี้พูดถึงงานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review D ซึ่งเสนอแนวคิดว่า “จุดกำเนิดของจักรวาล” อาจไม่ใช่ Big Bang อย่างที่เราเคยเชื่อกัน แต่เป็นการ “ดีดตัวกลับ” (bounce) จากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ—เป็นการพลิกมุมมองต่อจักรวาลอย่างสิ้นเชิง 🕳️🌌 นักฟิสิกส์จาก The Conversation และสถาบันวิจัยต่าง ๆ เสนอโมเดลใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลของเราอาจเกิดจากการยุบตัวของมวลมหาศาลภายในหลุมดำ ไม่ใช่จากการระเบิดของจุดเอกฐาน (singularity) แบบ Big Bang ที่เราเคยเชื่อ แนวคิดนี้ใช้หลักฟิสิกส์ควอนตัม โดยเฉพาะ “หลักการกีดกันของเฟอร์มิออน” (quantum exclusion principle) ซึ่งระบุว่าอนุภาคที่เหมือนกันไม่สามารถอยู่ในสถานะควอนตัมเดียวกันได้ ทำให้การยุบตัวของมวลไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เรื่อย ๆ และเกิดการ “ดีดตัวกลับ” หรือ bounce หลังจาก bounce จักรวาลจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีแรงดันภายในทำหน้าที่คล้ายกับพลังงานมืดและการขยายตัวในยุค inflation ตามทฤษฎีดั้งเดิม โมเดลนี้ยังทำนายว่า: - จักรวาลมีความโค้งเล็กน้อย (Ωₖ ≈ −0.07 ± 0.02) - การดีดตัวเกิดภายในรัศมีความโน้มถ่วง r_S = 2GM ซึ่งทำหน้าที่คล้ายค่าคงที่จักรวาล (Λ) - ภายนอกยังดูเหมือนหลุมดำ Schwarzschild ปกติ ภารกิจในอนาคต เช่น Euclid และ Arrakihs อาจช่วยตรวจสอบความโค้งของจักรวาลและโครงสร้างที่หลงเหลือจากการดีดตัว เช่น เฮโลของดาวฤกษ์และกาแล็กซีบริวาร https://www.neowin.net/news/our-universes-origin-is-indeed-a-black-hole-and-not-the-big-bang-reckons-this-new-study/
    WWW.NEOWIN.NET
    Our Universe's origin is indeed a Black Hole and not the Big Bang, reckons this new study
    The Big Bang may not be the beginning—new research suggests our universe could have bounced from a collapsing black hole.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางทีวันนี้รู้สึกไม่สบายใจเพราะเปิดเจอข่าวการเมือง ข่าววิจารณ์สังคมเกินจริงจาก The Satandard, Workpoint feat. มติชิน ข่าวปด คือสื่อพรรค์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลิเบอร่าน เดโมแครตเชี่ยเหี้ย Woke DEI สามกีบ โดยเฉพาะ เห็นมีแต่โทษทหาร โทษรัฐประหาร ว่าทำให้ไม่มีทางเลือกในการทำมาหากินตามใจชอบมากขึ้น คิดไปคิดมาไม่ต้องเสพจากมันเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาคิดวนจนขุดเรื่องแย่ๆที่เคยจำตอกกบาลไปจนผมรู้สึก Toxic Burnout ง่าย แถมหมด Passion ในการเดินหน้าชีวิตต่อ
    ส่วน Netflix ผมไม่อยากจะตามมันต่อแล้ว เพราะบางทีมีหนัง Woke DEI รกหูรกตา ทางเลือกเสพสื่อมีอีกเยอะแยะ แต่สื่อกระแสหลักตะวันตกเชื่อไม่ได้ 100% และไม่อยากจะเสพมัน อย่าง CNN CNBC BBC ABC ไรงี้ มีแต่อวย Woke DEI เลียไข่ยิว 100% ทั้งเพ
    สื่อข่าวที่ขายดีคือ ข่าวการเมือง ข่าวดราม่า ข่าวดารา เจอมาเยอะ ข่าวดีๆไม่ค่อยมีนำมาออกสื่อในเมืองไทย บางทีสื่อพวกนี้ชอบบิดเบือนตามคำโกหกของ NGO สายสังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม จริงๆ
    ไม่บริจาคให้ UNICEF ไม่บริจาคให้ Greenpeace เพราะมีการฟอกเงินให้ยิว
    แต่ถ้ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินส่งเสริมนวัตกรรมสร้างอาชีพ สร้างโอกาส แก่คนยากไร้ทั่วโลก ผมพร้อมที่จะบริจาค
    บางทีวันนี้รู้สึกไม่สบายใจเพราะเปิดเจอข่าวการเมือง ข่าววิจารณ์สังคมเกินจริงจาก The Satandard, Workpoint feat. มติชิน ข่าวปด คือสื่อพรรค์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจลิเบอร่าน เดโมแครตเชี่ยเหี้ย Woke DEI สามกีบ โดยเฉพาะ เห็นมีแต่โทษทหาร โทษรัฐประหาร ว่าทำให้ไม่มีทางเลือกในการทำมาหากินตามใจชอบมากขึ้น คิดไปคิดมาไม่ต้องเสพจากมันเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาคิดวนจนขุดเรื่องแย่ๆที่เคยจำตอกกบาลไปจนผมรู้สึก Toxic Burnout ง่าย แถมหมด Passion ในการเดินหน้าชีวิตต่อ ส่วน Netflix ผมไม่อยากจะตามมันต่อแล้ว เพราะบางทีมีหนัง Woke DEI รกหูรกตา ทางเลือกเสพสื่อมีอีกเยอะแยะ แต่สื่อกระแสหลักตะวันตกเชื่อไม่ได้ 100% และไม่อยากจะเสพมัน อย่าง CNN CNBC BBC ABC ไรงี้ มีแต่อวย Woke DEI เลียไข่ยิว 100% ทั้งเพ สื่อข่าวที่ขายดีคือ ข่าวการเมือง ข่าวดราม่า ข่าวดารา เจอมาเยอะ ข่าวดีๆไม่ค่อยมีนำมาออกสื่อในเมืองไทย บางทีสื่อพวกนี้ชอบบิดเบือนตามคำโกหกของ NGO สายสังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อม จริงๆ ไม่บริจาคให้ UNICEF ไม่บริจาคให้ Greenpeace เพราะมีการฟอกเงินให้ยิว แต่ถ้ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินส่งเสริมนวัตกรรมสร้างอาชีพ สร้างโอกาส แก่คนยากไร้ทั่วโลก ผมพร้อมที่จะบริจาค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนเตรียมใช้ Starlink ส่งข้อความผ่านดาวเทียม – สื่อสารได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ

    ในช่วงสงครามที่ยังดำเนินอยู่ ยูเครนต้องเผชิญกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารขัดข้องบ่อยครั้ง ล่าสุด Kyivstar จึงจับมือกับ SpaceX เพื่อเปิดบริการ “Direct-to-Cell” โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Starlink ส่งข้อความโดยตรงถึงมือถือของผู้ใช้ แม้ไม่มีสัญญาณจากเสาสัญญาณปกติ

    บริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในรูปแบบการส่งข้อความผ่านแอป เช่น WhatsApp และ Signal ภายในสิ้นปี 2025 และจะขยายเป็นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือในช่วงกลางปี 2026

    นอกจากการส่งข้อความแล้ว Kyivstar ยังมีแผนให้บริการเสียงและข้อมูลผ่านดาวเทียมในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ T-Mobile ในสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้

    Kyivstar เคยให้บริการฟรีหลายอย่างแก่ประชาชนในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ต 80 Mbps ฟรีในบางพื้นที่, ขยายเวลาชำระเงิน และติดตั้ง Wi-Fi ในบังเกอร์หลบภัยหลายร้อยแห่ง

    การร่วมมือกับ Starlink ครั้งนี้จะช่วยให้เครือข่ายของ Kyivstar มีความทนทานมากขึ้น โดยสามารถให้บริการได้แม้ในช่วงไฟดับระดับประเทศนานถึง 10 ชั่วโมง

    ข้อมูลจากข่าว
    - ยูเครนจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้บริการ Starlink Direct-to-Cell
    - Kyivstar ร่วมมือกับ SpaceX เพื่อให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมภายในสิ้นปี 2025
    - บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2026
    - ใช้ Starlink เป็นเสาสัญญาณเสมือน ส่งข้อความผ่านแอปแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ
    - Kyivstar เคยให้บริการฟรีในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ตในบังเกอร์และขยายเวลาชำระเงิน
    - เครือข่ายสามารถทำงานได้ถึง 10 ชั่วโมงในช่วงไฟดับระดับประเทศ
    - T-Mobile ในสหรัฐฯ ก็เตรียมเปิดบริการคล้ายกันในเดือนตุลาคม 2025

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - บริการ Direct-to-Cell ยังจำกัดเฉพาะการส่งข้อความ ไม่รองรับการโทรหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบในช่วงแรก
    - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถมองเห็นดาวเทียม Starlink จึงจะใช้งานได้
    - ความเร็วและความเสถียรของบริการอาจยังไม่เทียบเท่าการเชื่อมต่อมือถือทั่วไป
    - การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติในช่วงสงครามอาจมีข้อจำกัดด้านความมั่นคง
    - ผู้ใช้ควรติดตามเงื่อนไขการใช้งานและความปลอดภัยของข้อมูลจากผู้ให้บริการ

    https://www.tomshardware.com/networking/ukraine-to-become-first-european-country-with-starlink-direct-to-cell-service-messaging-by-year-end-with-mobile-satellite-broadband-expected-mid-2026
    ยูเครนเตรียมใช้ Starlink ส่งข้อความผ่านดาวเทียม – สื่อสารได้แม้ไม่มีสัญญาณมือถือ ในช่วงสงครามที่ยังดำเนินอยู่ ยูเครนต้องเผชิญกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสื่อสารขัดข้องบ่อยครั้ง ล่าสุด Kyivstar จึงจับมือกับ SpaceX เพื่อเปิดบริการ “Direct-to-Cell” โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Starlink ส่งข้อความโดยตรงถึงมือถือของผู้ใช้ แม้ไม่มีสัญญาณจากเสาสัญญาณปกติ บริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในรูปแบบการส่งข้อความผ่านแอป เช่น WhatsApp และ Signal ภายในสิ้นปี 2025 และจะขยายเป็นบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือในช่วงกลางปี 2026 นอกจากการส่งข้อความแล้ว Kyivstar ยังมีแผนให้บริการเสียงและข้อมูลผ่านดาวเทียมในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่ T-Mobile ในสหรัฐฯ เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ Kyivstar เคยให้บริการฟรีหลายอย่างแก่ประชาชนในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ต 80 Mbps ฟรีในบางพื้นที่, ขยายเวลาชำระเงิน และติดตั้ง Wi-Fi ในบังเกอร์หลบภัยหลายร้อยแห่ง การร่วมมือกับ Starlink ครั้งนี้จะช่วยให้เครือข่ายของ Kyivstar มีความทนทานมากขึ้น โดยสามารถให้บริการได้แม้ในช่วงไฟดับระดับประเทศนานถึง 10 ชั่วโมง ✅ ข้อมูลจากข่าว - ยูเครนจะเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ใช้บริการ Starlink Direct-to-Cell - Kyivstar ร่วมมือกับ SpaceX เพื่อให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมภายในสิ้นปี 2025 - บริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียมสำหรับมือถือจะเริ่มในไตรมาส 2 ปี 2026 - ใช้ Starlink เป็นเสาสัญญาณเสมือน ส่งข้อความผ่านแอปแม้ไม่มีสัญญาณมือถือ - Kyivstar เคยให้บริการฟรีในช่วงสงคราม เช่น อินเทอร์เน็ตในบังเกอร์และขยายเวลาชำระเงิน - เครือข่ายสามารถทำงานได้ถึง 10 ชั่วโมงในช่วงไฟดับระดับประเทศ - T-Mobile ในสหรัฐฯ ก็เตรียมเปิดบริการคล้ายกันในเดือนตุลาคม 2025 ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - บริการ Direct-to-Cell ยังจำกัดเฉพาะการส่งข้อความ ไม่รองรับการโทรหรือใช้งานอินเทอร์เน็ตเต็มรูปแบบในช่วงแรก - ต้องอยู่ในพื้นที่ที่สามารถมองเห็นดาวเทียม Starlink จึงจะใช้งานได้ - ความเร็วและความเสถียรของบริการอาจยังไม่เทียบเท่าการเชื่อมต่อมือถือทั่วไป - การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติในช่วงสงครามอาจมีข้อจำกัดด้านความมั่นคง - ผู้ใช้ควรติดตามเงื่อนไขการใช้งานและความปลอดภัยของข้อมูลจากผู้ให้บริการ https://www.tomshardware.com/networking/ukraine-to-become-first-european-country-with-starlink-direct-to-cell-service-messaging-by-year-end-with-mobile-satellite-broadband-expected-mid-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • Turun Anwar ม็อบไล่นายกฯ มาเลย์

    การเมืองในอาเซียน นอกจากประเทศไทยจะมีการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง กรณีคลิปเสียง ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติแล้ว นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่เป็นประธานอาเซียน และมีทักษิณ ชินวัตร บิดาแพทองธารเป็นที่ปรึกษา ก็ยังมีการชุมนุมเรียกร้องให้ลาออกเช่นกัน

    เมื่อวันที่ 6 ก.ค. มีการชุมนุมเล็กๆ บริเวณลานจอดรถของโรงแรมคอนคอร์ด เชคชันไนน์ ในเมืองชาห์อาลัม รัฐสลังงอร์ เพื่อเรียกร้องให้อันวาร์ลาออก โดยมีป้ายข้อความว่า Turun Anwar (อันวาร์ลาออกเถอะ) Rakyat Susah (ประชาชนกำลังดิ้นรน) และ Rakyat Terbeban (ประชาชนมีภาระหนัก) โดยผู้ชุมนุมแสดงความกังวลถึงปัญหาหลายประการ รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการขยายกรอบภาษีการขายและบริการ (SST) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา

    แกนนำประกอบด้วย มูฮัมหมัด ราชิด อาลี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคเปอจวง (Pejuang) ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกฯ มหาเธร์ โมฮัมหมัด, ฮานิฟ จามาลุดดิน รองหัวหน้ากลุ่มเยาวชนของพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือพาส (Pemuda PAS) พรรคการเมืองเก่าแก่และพรรคอิสลามหนึ่งเดียวของประเทศ, เอซัม นอร์ อดีตสมาชิกพรรคยุติธรรมประชาชน (PKR), อาซามุดดิน ซาฮาร์ ประธานกลุ่มพันธมิตรนักศึกษาอิสลามแห่งมาเลเซีย (Gamis) เป็นต้น

    ฮานีฟ กล่าวว่า เป็นเพียงการชุมนุมย่อยเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ ที่วางแผนไว้ว่าจะจัดขึ้นที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในวันที่ 26 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีเอ็นจีโอและผู้นำทางการเมืองอื่นๆ เข้าร่วม อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ โมฮัมหมัด, ประธานพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu) มูฮิดดิน ยาสซิน และประธานพรรคปาส อับดุล ฮาดิ อาวัง เป็นต้น

    ขณะที่ เอซัม กล่าวว่า ประชาชนผิดหวังกับความเป็นผู้นำของอันวาร์ ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ขณะเป็นฝ่ายค้าน เช่น การลดราคาน้ำมัน ยืนยันว่าไม่ได้ต่อสู้กับทางการและตำรวจ แต่ต้องการให้รัฐบาลได้ยินเสียงของผู้ชุมนุม เมื่อก่อนมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นที่โกรธ ตอนนี้แม้แต่คนรวยก็ยังโกรธด้วยเพราะต้องเสียภาษีต่างๆ อีกมาก

    ก่อนหน้านี้ อาหมัด ฟาฎลี ชาอารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคพาส กล่าวกับเว็บไซต์ harakahdaily.net เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่า การชุมนุมในวันที่ 26 ก.ค. นอกจากต่อต้านร่างพระราชบัญญัติการฟื้นฟูเมือง (URA) แล้ว จะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาล เช่น การปฎิรูปการเมืองล้มเหลว การปิดกั้นเสรีภาพ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ห่างไกลจากแนวทางของรัฐบาล Malaysia Madani ไปแล้ว

    #Newskit
    Turun Anwar ม็อบไล่นายกฯ มาเลย์ การเมืองในอาเซียน นอกจากประเทศไทยจะมีการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง กรณีคลิปเสียง ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในลักษณะขายชาติแล้ว นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่เป็นประธานอาเซียน และมีทักษิณ ชินวัตร บิดาแพทองธารเป็นที่ปรึกษา ก็ยังมีการชุมนุมเรียกร้องให้ลาออกเช่นกัน เมื่อวันที่ 6 ก.ค. มีการชุมนุมเล็กๆ บริเวณลานจอดรถของโรงแรมคอนคอร์ด เชคชันไนน์ ในเมืองชาห์อาลัม รัฐสลังงอร์ เพื่อเรียกร้องให้อันวาร์ลาออก โดยมีป้ายข้อความว่า Turun Anwar (อันวาร์ลาออกเถอะ) Rakyat Susah (ประชาชนกำลังดิ้นรน) และ Rakyat Terbeban (ประชาชนมีภาระหนัก) โดยผู้ชุมนุมแสดงความกังวลถึงปัญหาหลายประการ รวมถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการขยายกรอบภาษีการขายและบริการ (SST) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา แกนนำประกอบด้วย มูฮัมหมัด ราชิด อาลี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคเปอจวง (Pejuang) ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกฯ มหาเธร์ โมฮัมหมัด, ฮานิฟ จามาลุดดิน รองหัวหน้ากลุ่มเยาวชนของพรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย หรือพาส (Pemuda PAS) พรรคการเมืองเก่าแก่และพรรคอิสลามหนึ่งเดียวของประเทศ, เอซัม นอร์ อดีตสมาชิกพรรคยุติธรรมประชาชน (PKR), อาซามุดดิน ซาฮาร์ ประธานกลุ่มพันธมิตรนักศึกษาอิสลามแห่งมาเลเซีย (Gamis) เป็นต้น ฮานีฟ กล่าวว่า เป็นเพียงการชุมนุมย่อยเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ ที่วางแผนไว้ว่าจะจัดขึ้นที่จตุรัสเมอร์เดกา กรุงกัวลาลัมเปอร์ ในวันที่ 26 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีเอ็นจีโอและผู้นำทางการเมืองอื่นๆ เข้าร่วม อาทิ อดีตนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ โมฮัมหมัด, ประธานพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu) มูฮิดดิน ยาสซิน และประธานพรรคปาส อับดุล ฮาดิ อาวัง เป็นต้น ขณะที่ เอซัม กล่าวว่า ประชาชนผิดหวังกับความเป็นผู้นำของอันวาร์ ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ขณะเป็นฝ่ายค้าน เช่น การลดราคาน้ำมัน ยืนยันว่าไม่ได้ต่อสู้กับทางการและตำรวจ แต่ต้องการให้รัฐบาลได้ยินเสียงของผู้ชุมนุม เมื่อก่อนมีแต่คนธรรมดาเท่านั้นที่โกรธ ตอนนี้แม้แต่คนรวยก็ยังโกรธด้วยเพราะต้องเสียภาษีต่างๆ อีกมาก ก่อนหน้านี้ อาหมัด ฟาฎลี ชาอารี หัวหน้าฝ่ายข้อมูลของพรรคพาส กล่าวกับเว็บไซต์ harakahdaily.net เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่า การชุมนุมในวันที่ 26 ก.ค. นอกจากต่อต้านร่างพระราชบัญญัติการฟื้นฟูเมือง (URA) แล้ว จะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาล เช่น การปฎิรูปการเมืองล้มเหลว การปิดกั้นเสรีภาพ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ห่างไกลจากแนวทางของรัฐบาล Malaysia Madani ไปแล้ว #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 516 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่:

    1. **สหรัฐอเมริกา:**
    * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control)

    2. **จีน:**
    * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ

    3. **รัสเซีย:**
    * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ
    * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น

    4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:**
    * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ
    * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS)

    **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม
    2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้
    3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี
    4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
    5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง

    **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ
    2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต
    3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ
    4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):**
    * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน
    * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น
    5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา
    6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ

    **สรุป:**
    สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่: 1. **สหรัฐอเมริกา:** * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control) 2. **จีน:** * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ 3. **รัสเซีย:** * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น 4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:** * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS) **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม 2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้ 3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี 4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ 2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต 3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ 4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):** * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น 5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา 6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ **สรุป:** สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 519 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อตกลง jbc ครั้งล่าสุด คือการจัดทำแผนที่ทางอากาศให้สอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000

    คนไทยจะรักษาดินแดนได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไปทำข้อตกลงกันโดยไม่บอก ไม่อธิบาย

    (1) Approval of the outcome of the 4th Meeting of the Thailand - Cambodia Joint Technical Sub-Committee (JTSC) on 14 July 2024 in Siem Reap. Both sides agreed on the result of fact finding mission for 74 BPs, in which the location of 45 boundary pillars mutually agreed upon and also agreed to use LiDAR technology for the production of Orthophoto Maps to expedite the survey and demarcation process,

    1. รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิค (JTSC) ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567

    * ยอมรับผลภารกิจภาคสนาม (Fact-Finding Mission) สำหรับเสาหลักเขตแดน 74 จุด

    * ตกลงร่วมกันได้แล้ว 45 จุด วางตำแหน่งเสาเขตแดนโดยมีความเห็นตรงกัน

    * เห็นชอบให้ ใช้เทคโนโลยี LiDAR สำหรับจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) เพื่อเร่งขั้นตอนการสำรวจและปักปัน


    (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step.

    2. เห็นชอบการแก้ไข TOR ปี 2003 (Terms of Reference)
    ปรับแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อ บรรจุการใช้เทคโนโลยี LiDAR ในขั้นตอนจัดทำแผนที่ Orthophoto อย่างเป็นทางการ

    (3) Tasking the JTSC with drafting Technical Instructions (Technical Instruction: TI), agreement to empower the JTSC to prepare TI to guide the Joint Survey Team to conduct survey and demarcation work on the terrain where boundary pillars location have been agreed,

    3. มอบหมาย JTSC จัดทำ “ข้อกำหนดทางเทคนิค” (Technical Instruction: TI)

    เพื่อใช้เป็นคู่มือให้แก่ทีมสำรวจร่วม (Joint Survey Team)

    สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้ตกลงตำแหน่งเสาหลักเขตแดนแล้ว


    (4) Agreement on Technical Preparation for Sector 6, to assign the JTSC to prepare technical instructions for the survey works in Section 6 (from Satta Som mountain to BP 1 at Chong Sangam, Sisaket Province), which has been pending since 2011, along with the production of Orthophoto Maps.


    4. เห็นชอบการเตรียมงานด้านเทคนิคสำหรับ “Sector 6”

    มอบหมาย JTSC จัดทำคำสั่งทางเทคนิค พร้อมแผนที่ Orthophoto

    พื้นที่ Sector 6 ครอบคลุมแนวจาก ภูสัตตะสุม (Satta Som) ถึง เสาหลัก BP 1 ณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ

    พื้นที่นี้ค้างการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554


    แม้ว่ารัฐบาลจะแจ้งกับสื่อว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แต่ก็เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งับเอกสารในกรอบการเจรจาและข้อตกลงในการประชุม JBC ที่อ้างถึง TOR2003 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 อย่างเป็นทางการ

    ที่สำคัญคือ ทั้ง 4 ข้อไม่ใช่เพียงข้อตกลงร่วมเฉยๆ แต่มันได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จหมดแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศษฐา

    คนไทยเหลือความหวังเดียวในขั้นตอน TI ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนทางอากาศ GPS แผนที่ Orthophoto ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 และจะกลายเป็นแผนที่และดินแดนในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียกลุ่มปราสาทตาเหมือน อย่างไม่มีวันได้กลับมา หากไม่ดำเนินการยับยั้งการลงนาม TI ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

    จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ไทยถึงจะเรียนรู้
    ข้อตกลง jbc ครั้งล่าสุด คือการจัดทำแผนที่ทางอากาศให้สอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 คนไทยจะรักษาดินแดนได้อย่างไร ในเมื่อนักการเมืองไปทำข้อตกลงกันโดยไม่บอก ไม่อธิบาย (1) Approval of the outcome of the 4th Meeting of the Thailand - Cambodia Joint Technical Sub-Committee (JTSC) on 14 July 2024 in Siem Reap. Both sides agreed on the result of fact finding mission for 74 BPs, in which the location of 45 boundary pillars mutually agreed upon and also agreed to use LiDAR technology for the production of Orthophoto Maps to expedite the survey and demarcation process, 1. รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมการเทคนิค (JTSC) ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้น ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 * ยอมรับผลภารกิจภาคสนาม (Fact-Finding Mission) สำหรับเสาหลักเขตแดน 74 จุด * ตกลงร่วมกันได้แล้ว 45 จุด วางตำแหน่งเสาเขตแดนโดยมีความเห็นตรงกัน * เห็นชอบให้ ใช้เทคโนโลยี LiDAR สำหรับจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto Maps) เพื่อเร่งขั้นตอนการสำรวจและปักปัน (2) Approval of the Amendment of 2003 Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Thailand and Cambodia, (TOR 2003) to incorporate LiDAR technology into the Orthophoto Maps production step. 2. เห็นชอบการแก้ไข TOR ปี 2003 (Terms of Reference) ปรับแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อ บรรจุการใช้เทคโนโลยี LiDAR ในขั้นตอนจัดทำแผนที่ Orthophoto อย่างเป็นทางการ (3) Tasking the JTSC with drafting Technical Instructions (Technical Instruction: TI), agreement to empower the JTSC to prepare TI to guide the Joint Survey Team to conduct survey and demarcation work on the terrain where boundary pillars location have been agreed, 3. มอบหมาย JTSC จัดทำ “ข้อกำหนดทางเทคนิค” (Technical Instruction: TI) เพื่อใช้เป็นคู่มือให้แก่ทีมสำรวจร่วม (Joint Survey Team) สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ได้ตกลงตำแหน่งเสาหลักเขตแดนแล้ว (4) Agreement on Technical Preparation for Sector 6, to assign the JTSC to prepare technical instructions for the survey works in Section 6 (from Satta Som mountain to BP 1 at Chong Sangam, Sisaket Province), which has been pending since 2011, along with the production of Orthophoto Maps. 4. เห็นชอบการเตรียมงานด้านเทคนิคสำหรับ “Sector 6” มอบหมาย JTSC จัดทำคำสั่งทางเทคนิค พร้อมแผนที่ Orthophoto พื้นที่ Sector 6 ครอบคลุมแนวจาก ภูสัตตะสุม (Satta Som) ถึง เสาหลัก BP 1 ณ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ พื้นที่นี้ค้างการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 แม้ว่ารัฐบาลจะแจ้งกับสื่อว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200000 แต่ก็เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งับเอกสารในกรอบการเจรจาและข้อตกลงในการประชุม JBC ที่อ้างถึง TOR2003 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1 : 200000 อย่างเป็นทางการ ที่สำคัญคือ ทั้ง 4 ข้อไม่ใช่เพียงข้อตกลงร่วมเฉยๆ แต่มันได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จหมดแล้วต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลนายเศษฐา คนไทยเหลือความหวังเดียวในขั้นตอน TI ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนทางอากาศ GPS แผนที่ Orthophoto ที่จะต้องสอดคล้องกับแผนที่ 1 : 200000 และจะกลายเป็นแผนที่และดินแดนในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียกลุ่มปราสาทตาเหมือน อย่างไม่มีวันได้กลับมา หากไม่ดำเนินการยับยั้งการลงนาม TI ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ จะต้องสูญเสียอีกเท่าไหร่ไทยถึงจะเรียนรู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • Aujourd’hui Emmanuel Macron a eu un entretien téléphonique avec la Première Ministre thaïlandaise Paetongtarn Shinawatra. Au cours de leur conversation, cette dernière aurait exprimé son souhait que la France contribue à créer une atmosphère propice à la reprise des négociations bilatérales sur les questions frontalières entre la Thaïlande et le Cambodge, selon Thai Enquirer.
    Emmanuel Macron aurait accepté de discuter de la question avec le Cambodge, selon le porte-parole du gouvernement thaïlandais Jirayu Huangsap.
    HUN Manet, le Premier Ministre cambodgien, lors de sa viste récente à Nice, aurait également mentionné à Emmanuel Macron cette épineuse question liée au conflit frontalier avec la Thaïlande. Ce dernier a répondu que la France pourrait jouer un rôle constructif.
    La délimitation de la frontière terrestre entre le Cambodge et la Thaïlande a été actée par la Convention Franco-siamoise du 13 Février 1904 et du traité du 23 Mars 1907 signé entre la France et le Siam avec la publication des cartes à l’échelle 1:200 000 en 1907 et 1908. Il y aurait eu 73-74 bornes érigées le long de cette frontière dont certaines n’ont pas été retrouvées.
    Depuis ce traité le problème de la délimitation et de la démarcation effectives de la frontière entre ces deux pays reste entier.
    Dans ce contexte, le rôle de la France est crucial pour amener les deux parties à négocier sur la base de ce Traité et des cartes déjà publiées tout en apportant éventuellement une expertise technique complémentaire.
    C’est la responsabilité morale de la France vis à vis d’un passé commun.
    Aujourd’hui Emmanuel Macron a eu un entretien téléphonique avec la Première Ministre thaïlandaise Paetongtarn Shinawatra. Au cours de leur conversation, cette dernière aurait exprimé son souhait que la France contribue à créer une atmosphère propice à la reprise des négociations bilatérales sur les questions frontalières entre la Thaïlande et le Cambodge, selon Thai Enquirer. Emmanuel Macron aurait accepté de discuter de la question avec le Cambodge, selon le porte-parole du gouvernement thaïlandais Jirayu Huangsap. HUN Manet, le Premier Ministre cambodgien, lors de sa viste récente à Nice, aurait également mentionné à Emmanuel Macron cette épineuse question liée au conflit frontalier avec la Thaïlande. Ce dernier a répondu que la France pourrait jouer un rôle constructif. La délimitation de la frontière terrestre entre le Cambodge et la Thaïlande a été actée par la Convention Franco-siamoise du 13 Février 1904 et du traité du 23 Mars 1907 signé entre la France et le Siam avec la publication des cartes à l’échelle 1:200 000 en 1907 et 1908. Il y aurait eu 73-74 bornes érigées le long de cette frontière dont certaines n’ont pas été retrouvées. Depuis ce traité le problème de la délimitation et de la démarcation effectives de la frontière entre ces deux pays reste entier. Dans ce contexte, le rôle de la France est crucial pour amener les deux parties à négocier sur la base de ce Traité et des cartes déjà publiées tout en apportant éventuellement une expertise technique complémentaire. C’est la responsabilité morale de la France vis à vis d’un passé commun.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 311 มุมมอง 0 รีวิว
  • Testing Video by satya for edit issue
    Testing Video by satya for edit issue
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Satya testing a video
    Satya testing a video
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Testing video By satya
    Testing video By satya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Testing video satya
    Testing video satya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ปกติแล้วลีกฟุตบอลระดับโลกอย่าง Premier League มีเว็บไซต์ แอปมือถือ เกม Fantasy ที่แฟนบอลเข้าใช้งานกว่า 1 พันล้านครั้งต่อปี แต่เบื้องหลังระบบเดิม...ยังอยู่บนโครงสร้างคลาวด์แบบเก่า กระจัดกระจาย แยกส่วนกันหลายจุด → การเชื่อมต่อ ขยาย หรือนำ AI มาช่วยพัฒนาประสบการณ์แฟนบอล ทำได้ยากและช้า

    ล่าสุด Premier League จึงตกลงเซ็นสัญญา “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ 5 ปี” กับ Microsoft → ย้าย “โครงสร้างเทคโนโลยีหลักทั้งหมด” ไปอยู่บน Azure → พร้อมเปิดตัว AI Assistant ฝังในเว็บไซต์, แอปมือถือ และเกม Fantasy ที่ใช้บริการ AI ของ Microsoft (เช่น Azure OpenAI หรือ Copilot)

    ตัวอย่างประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น:
    - แอป Premier League มีแชต AI ช่วยตอบคำถามระหว่างเกม เช่น “ใครได้ใบเหลืองไปแล้ว?”, “คืนนี้ถ่ายทอดสดช่องไหน?”
    - เกม Fantasy Premier League ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ “ควรขายใครซื้อตัวไหนในทีม?” ตามข้อมูลบาดเจ็บ–ฟอร์มย้อนหลัง
    - เว็บไซต์สามารถให้ AI สรุปไฮไลต์หรือสถิติจากรอบที่แล้วแบบเนื้อหาเฉพาะตัว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ใช้กีฬาเป็นฐานทดลอง AI — ก่อนหน้านี้ก็มีดีลกับ NBA, NFL และทีม F1 อย่าง Mercedes ด้วย → และในโลกที่ AI–Sport–Entertainment กำลังหลอมรวมกัน... Premier League ก็กลายเป็นเวทีระดับโลกของ Microsoft อีกแห่งเรียบร้อยครับ

    Premier League เซ็นสัญญา 5 ปี กับ Microsoft เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”  
    • ย้ายโครงสร้างเทคโนโลยีหลักไปอยู่บน Microsoft Azure  
    • ประกาศความร่วมมือเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2025

    จะใช้ AI Services ของ Microsoft สร้างแชตบอตอัจฉริยะ (AI Assistant)  
    • ฝังใน:   
    – แอป Premier League บนมือถือ   
    – เว็บไซต์ทางการของลีก   
    – เกม Fantasy Premier League

    เป้าหมายคือยกระดับประสบการณ์แฟนบอลด้วยเทคโนโลยี AI – Cloud – Data  
    • สร้างอินเทอร์เฟซสื่อสารแบบเรียลไทม์  
    • เพิ่ม personalisation สำหรับผู้ชม  
    • ลดภาระการค้นหาข้อมูลด้วย AI

    Microsoft เคยมีประสบการณ์ด้านกีฬา AI มาก่อน  
    • เคยร่วมมือกับ NBA, NFL, NASCAR, F1 Mercedes  
    • ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอ, พฤติกรรมแฟน, และเชื่อม AR/VR

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/microsoft-signs-deal-to-power-premier-leagues-ai-tools
    ปกติแล้วลีกฟุตบอลระดับโลกอย่าง Premier League มีเว็บไซต์ แอปมือถือ เกม Fantasy ที่แฟนบอลเข้าใช้งานกว่า 1 พันล้านครั้งต่อปี แต่เบื้องหลังระบบเดิม...ยังอยู่บนโครงสร้างคลาวด์แบบเก่า กระจัดกระจาย แยกส่วนกันหลายจุด → การเชื่อมต่อ ขยาย หรือนำ AI มาช่วยพัฒนาประสบการณ์แฟนบอล ทำได้ยากและช้า ล่าสุด Premier League จึงตกลงเซ็นสัญญา “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ 5 ปี” กับ Microsoft → ย้าย “โครงสร้างเทคโนโลยีหลักทั้งหมด” ไปอยู่บน Azure → พร้อมเปิดตัว AI Assistant ฝังในเว็บไซต์, แอปมือถือ และเกม Fantasy ที่ใช้บริการ AI ของ Microsoft (เช่น Azure OpenAI หรือ Copilot) ตัวอย่างประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้น: - แอป Premier League มีแชต AI ช่วยตอบคำถามระหว่างเกม เช่น “ใครได้ใบเหลืองไปแล้ว?”, “คืนนี้ถ่ายทอดสดช่องไหน?” - เกม Fantasy Premier League ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ “ควรขายใครซื้อตัวไหนในทีม?” ตามข้อมูลบาดเจ็บ–ฟอร์มย้อนหลัง - เว็บไซต์สามารถให้ AI สรุปไฮไลต์หรือสถิติจากรอบที่แล้วแบบเนื้อหาเฉพาะตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Microsoft ใช้กีฬาเป็นฐานทดลอง AI — ก่อนหน้านี้ก็มีดีลกับ NBA, NFL และทีม F1 อย่าง Mercedes ด้วย → และในโลกที่ AI–Sport–Entertainment กำลังหลอมรวมกัน... Premier League ก็กลายเป็นเวทีระดับโลกของ Microsoft อีกแห่งเรียบร้อยครับ ✅ Premier League เซ็นสัญญา 5 ปี กับ Microsoft เป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”   • ย้ายโครงสร้างเทคโนโลยีหลักไปอยู่บน Microsoft Azure   • ประกาศความร่วมมือเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2025 ✅ จะใช้ AI Services ของ Microsoft สร้างแชตบอตอัจฉริยะ (AI Assistant)   • ฝังใน:    – แอป Premier League บนมือถือ    – เว็บไซต์ทางการของลีก    – เกม Fantasy Premier League ✅ เป้าหมายคือยกระดับประสบการณ์แฟนบอลด้วยเทคโนโลยี AI – Cloud – Data   • สร้างอินเทอร์เฟซสื่อสารแบบเรียลไทม์   • เพิ่ม personalisation สำหรับผู้ชม   • ลดภาระการค้นหาข้อมูลด้วย AI ✅ Microsoft เคยมีประสบการณ์ด้านกีฬา AI มาก่อน   • เคยร่วมมือกับ NBA, NFL, NASCAR, F1 Mercedes   • ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอ, พฤติกรรมแฟน, และเชื่อม AR/VR https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/microsoft-signs-deal-to-power-premier-leagues-ai-tools
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft signs deal to power Premier League's AI tools
    Microsoft Corp has signed a cloud computing deal with the Premier League, a pact that will let the software company tout its AI technology to a captive audience of sports fans.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • KLIA Aerotrain รถไฟฟ้าสนามบินเคแอลกลับมาแล้ว

    ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) ประเทศมาเลเซีย ได้กลับมาเปิดให้บริการระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติที่ชื่อว่า KLIA Aerotrain อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 เชื่อมระหว่างอาคาร 1 (Terminal 1) กับอาคารผู้โดยสารรอง (Sattlelite) ซึ่งมีเที่ยวบินเส้นทางระยะไกลจำนวนมาก หลังบริษัท มาเลเซีย แอร์พอร์ต โฮลดิ้ง เบอร์ฮัด (MAHB) ผู้บริหารสนามบินตัดสินใจปิดปรับปรุงยาวนานกว่า 28 เดือน ทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างสองอาคาร ต้องไปขึ้นรถบัสที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ให้ และเสียเวลาเดินทางมากกว่าปกติ

    KLIA Aerotrain เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2541 พร้อมกับการย้ายสนามบิน จากท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ (SZB) โดยใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับแอดทรานซ์ (Adtranz) รุ่น CX-100 จำนวน 3 คัน แนวเส้นทางจะลอดทางขับเครื่องบิน (แท็กซี่เวย์) ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาขัดข้องบ่อยครั้ง หนักที่สุดคือวันที่ 1 มี.ค. 2566 ขบวนรถขัดข้อง มีผู้โดยสาร 114 คนติดค้าง ทำให้ MAHB ตัดสินใจหยุดให้บริการชั่วคราวเป็นต้นมา

    MAHB ปรับปรุง KLIA Aerotrain ใหม่ ด้วยงบลงทุน 456 ล้านริงกิต เปลี่ยนมาใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับ อัลสตอม (Alstom) รุ่นอินโนเวีย เอพีเอ็ม 300 อาร์ (Innovia APM 300R) มีทั้งหมด 3 คัน รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 270 คนต่อเที่ยว เดินรถด้วยความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางระหว่างสองอาคารเหลือเพียง 3 นาที ผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดหวังว่าจะทำให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคชั้นนำในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวัน และต้อนรับปีการท่องเที่ยวมาเลเซีย หรือ Visit Malaysia 2026

    ข้อมูลจาก CAPA Centre for Aviation พบว่าในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 57.1 ล้านคน ข้อมูลจาก Flightradar 24 พบว่ามีเที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยังสิงคโปร์ (SIN) มากที่สุดถึง 270 เที่ยวบิน ตามมาด้วยจาการ์ตา (CGK) 184 เที่ยวบิน โกตากินาบาลู (BKI) 172 เที่ยวบิน กูชิง (KCH) 152 เที่ยวบิน ปีนัง (PEN) 143 เที่ยวบิน ลังกาวี (LGK) 132 เที่ยวบิน บาหลี (DPS) 105 เที่ยวบิน ยะโฮร์บาห์รู (JHB) 87 เที่ยวบิน กว่างโจว (CAN) 83 เที่ยวบินและโกตาบาห์รู (KBR) 80 เที่ยวบิน

    อนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียนมี 4 ประเทศที่มีระบบขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานชางงี สิงคโปร์ ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา อินโดนีเซีย และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

    #Newskit
    KLIA Aerotrain รถไฟฟ้าสนามบินเคแอลกลับมาแล้ว ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KUL) ประเทศมาเลเซีย ได้กลับมาเปิดให้บริการระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติที่ชื่อว่า KLIA Aerotrain อีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 เชื่อมระหว่างอาคาร 1 (Terminal 1) กับอาคารผู้โดยสารรอง (Sattlelite) ซึ่งมีเที่ยวบินเส้นทางระยะไกลจำนวนมาก หลังบริษัท มาเลเซีย แอร์พอร์ต โฮลดิ้ง เบอร์ฮัด (MAHB) ผู้บริหารสนามบินตัดสินใจปิดปรับปรุงยาวนานกว่า 28 เดือน ทำให้ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างสองอาคาร ต้องไปขึ้นรถบัสที่ทางสนามบินจัดเตรียมไว้ให้ และเสียเวลาเดินทางมากกว่าปกติ KLIA Aerotrain เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2541 พร้อมกับการย้ายสนามบิน จากท่าอากาศยานสุลต่านอับดุลอาซิซชาห์ (SZB) โดยใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับแอดทรานซ์ (Adtranz) รุ่น CX-100 จำนวน 3 คัน แนวเส้นทางจะลอดทางขับเครื่องบิน (แท็กซี่เวย์) ระยะทาง 1.2 กิโลเมตร แต่ที่ผ่านมาประสบปัญหาขัดข้องบ่อยครั้ง หนักที่สุดคือวันที่ 1 มี.ค. 2566 ขบวนรถขัดข้อง มีผู้โดยสาร 114 คนติดค้าง ทำให้ MAHB ตัดสินใจหยุดให้บริการชั่วคราวเป็นต้นมา MAHB ปรับปรุง KLIA Aerotrain ใหม่ ด้วยงบลงทุน 456 ล้านริงกิต เปลี่ยนมาใช้ขบวนรถไฟฟ้าแบบไร้คนขับ อัลสตอม (Alstom) รุ่นอินโนเวีย เอพีเอ็ม 300 อาร์ (Innovia APM 300R) มีทั้งหมด 3 คัน รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 270 คนต่อเที่ยว เดินรถด้วยความเร็ว 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางระหว่างสองอาคารเหลือเพียง 3 นาที ผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดหวังว่าจะทำให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคชั้นนำในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสารใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวัน และต้อนรับปีการท่องเที่ยวมาเลเซีย หรือ Visit Malaysia 2026 ข้อมูลจาก CAPA Centre for Aviation พบว่าในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 57.1 ล้านคน ข้อมูลจาก Flightradar 24 พบว่ามีเที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยังสิงคโปร์ (SIN) มากที่สุดถึง 270 เที่ยวบิน ตามมาด้วยจาการ์ตา (CGK) 184 เที่ยวบิน โกตากินาบาลู (BKI) 172 เที่ยวบิน กูชิง (KCH) 152 เที่ยวบิน ปีนัง (PEN) 143 เที่ยวบิน ลังกาวี (LGK) 132 เที่ยวบิน บาหลี (DPS) 105 เที่ยวบิน ยะโฮร์บาห์รู (JHB) 87 เที่ยวบิน กว่างโจว (CAN) 83 เที่ยวบินและโกตาบาห์รู (KBR) 80 เที่ยวบิน อนึ่ง ในภูมิภาคอาเซียนมี 4 ประเทศที่มีระบบขนส่งผู้โดยสารภายในสนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานชางงี สิงคโปร์ ท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ท่าอากาศยานซูการ์โน-ฮัตตา อินโดนีเซีย และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอิหร่านกระชับขึ้นไปอีกขั้น!

    มีรายงานว่า อิหร่านยุติการเชื่อมต่อระบบ GPS ของสหรัฐฯอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยเปลี่ยนไปใช้ระบบนำทางด้วยดาวเทียมเป่ยโต่ว(Beidou Navigation Satellite System - BDS) ของจีนแทน ซึ่งเทียบได้กับระบบนำทางสัญญาณดาวเทียม GPS ของอเมริกา

    ล่าสุดเมื่อช่วงปลายปี 2024  จีนได้ปล่อยดาวเทียมใหม่อีก 2 ดวง ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงที่ 59 และ 60 สำหรับระบบดาวเทียมนำทางเป่ยโต่ว-3 (BeiDou-3 หรือ BDS-3) จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชางในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

    ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม 2558 จีนได้เปิดตัวดาวเทียมทดลอง BDS-3 ดวงแรก ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นใหม่ 70 เปอร์เซ็นต์ และยังคงดำเนินงานอย่างปลอดภัยมาโดยตลอดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    แหล่งข่าวระบุว่า ระบบนำทางด้วยดาวเทียมเป่ยโต่วได้พัฒนาเทคโนโลยีสำคัญๆ หลายอย่างจนสามารถพัฒนาส่วนประกอบสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างเป็นอิสระ ส่วนประกอบหลักทั้งหมดของดาวเทียม BDS-3 ได้รับการพัฒนาและผลิตโดยจีนอย่างเป็นอิสระ

    ปัจจุบัน BDS ได้มีการบูรณาการอย่างลึกซึ้งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และกลายเป็นเครื่องจักรสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน
    ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอิหร่านกระชับขึ้นไปอีกขั้น! มีรายงานว่า อิหร่านยุติการเชื่อมต่อระบบ GPS ของสหรัฐฯอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยเปลี่ยนไปใช้ระบบนำทางด้วยดาวเทียมเป่ยโต่ว(Beidou Navigation Satellite System - BDS) ของจีนแทน ซึ่งเทียบได้กับระบบนำทางสัญญาณดาวเทียม GPS ของอเมริกา 👉ล่าสุดเมื่อช่วงปลายปี 2024  จีนได้ปล่อยดาวเทียมใหม่อีก 2 ดวง ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงที่ 59 และ 60 สำหรับระบบดาวเทียมนำทางเป่ยโต่ว-3 (BeiDou-3 หรือ BDS-3) จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชางในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 👉ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม 2558 จีนได้เปิดตัวดาวเทียมทดลอง BDS-3 ดวงแรก ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นใหม่ 70 เปอร์เซ็นต์ และยังคงดำเนินงานอย่างปลอดภัยมาโดยตลอดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 👉แหล่งข่าวระบุว่า ระบบนำทางด้วยดาวเทียมเป่ยโต่วได้พัฒนาเทคโนโลยีสำคัญๆ หลายอย่างจนสามารถพัฒนาส่วนประกอบสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างเป็นอิสระ ส่วนประกอบหลักทั้งหมดของดาวเทียม BDS-3 ได้รับการพัฒนาและผลิตโดยจีนอย่างเป็นอิสระ 👉ปัจจุบัน BDS ได้มีการบูรณาการอย่างลึกซึ้งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และกลายเป็นเครื่องจักรสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา Luckin Coffee แบรนด์กาแฟจากจีน เปิด 2 สาขาแรกในนิวยอร์ก มีที่ 755 Broadway (East Village) และ 800 6th Avenue (NoMad)

    Luckin Coffee จำหน่ายกาแฟผ่านแอปเท่านั้น เช่น Drip Coffee ราคา $3.45 และเมนูอื่นเริ่มต้นที่ $2–3 มุ่งเจาะกลุ่ม Gen Z นักศึกษา และนักท่องเที่ยว

    ก่อตั้งในปี 2017 ปัจจุบันมีมากกว่า 24,000 สาขาในจีน กลายเป็นแบรนด์กาแฟใหญ่ที่สุดของประเทศจีนครับ

    ที่มา : USA Today : https://www.usatoday.com/story/money/food/2025/06/30/luckin-coffee-new-york-city/84424643007/
    เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา Luckin Coffee แบรนด์กาแฟจากจีน เปิด 2 สาขาแรกในนิวยอร์ก มีที่ 755 Broadway (East Village) และ 800 6th Avenue (NoMad) Luckin Coffee จำหน่ายกาแฟผ่านแอปเท่านั้น เช่น Drip Coffee ราคา $3.45 และเมนูอื่นเริ่มต้นที่ $2–3 มุ่งเจาะกลุ่ม Gen Z นักศึกษา และนักท่องเที่ยว ก่อตั้งในปี 2017 ปัจจุบันมีมากกว่า 24,000 สาขาในจีน กลายเป็นแบรนด์กาแฟใหญ่ที่สุดของประเทศจีนครับ ที่มา : USA Today : https://www.usatoday.com/story/money/food/2025/06/30/luckin-coffee-new-york-city/84424643007/
    WWW.USATODAY.COM
    China's largest coffee chain known for cashier-less stores opens US locations
    Luckin Coffee, the largest coffee chain in China, has branched into the US with two New York City locations that opened Monday, June 30.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 388 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่าดวง AI อุ๊งอิ๊งค์ไม่น่ารอด?

    1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พร้อมกับมีมติ 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่เจ้าตัวกล่าวขอโทษคนไทยที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกโกรธเคือง ยืนยันตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ

    เมื่อใช้ ChatGPT ทำนายดวงผู้หญิงที่เกิดวันที่ 21 ส.ค. 2529 ที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ใช้สถานการณ์สมมติว่าถูกฝ่ายตรวจสอบภายในบริษัทสั่งพักงานเพราะทำความผิดร้ายแรง มีคลิปเสียงที่ไปคุยกับบริษัทคู่แข่ง แต่บอกว่ามีเจตนาดี อยากช่วยบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น พบว่าดาวเสาร์จร (Saturn transit) ซึ่งทำมุมตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กำเนิดในราศีสิงห์ สะท้อนว่าเป็นช่วงที่ชีวิตโดนสอบสวนและต้องชดใช้ในสิ่งที่อาจทำไปโดยรู้หรือไม่รู้ตัว

    ส่วนคลิปเสียงเกี่ยวข้องกับดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมักเกี่ยวกับหลักฐานทางการสื่อสาร หากพุธจรสัมพันธ์กับดาวมฤตยูหรือดาวเสาร์ ก็หมายถึงความลับที่ถูกเปิดเผย หรือคำพูดที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดาวพลูโตโคจรทำมุมกับดาวอังคารกำเนิดในราศีกันย์ ซึ่งดาวแห่งการกระทำเชิงงานสื่อถึงการถูกจับตา ถูกแฉ ถูกล้วงความลับ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีอีโก้หรือเจตนาดี แต่ระบบไม่มองแบบนั้น ส่วนจะตกงานหรือไม่ มีโอกาสตกงานในตำแหน่งเดิม หรือต้องรีเซตใหม่สูง

    ปี 2568 เป็นปีที่ดาวเสาร์บีบตัวตนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ผู้หญิงรายนี้มีพลังอาทิตย์ในราศีสิงห์ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ถูกทำให้หมดศักดิ์ศรีแบบไม่เต็มใจ ซึ่งคลิปเสียงเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำร้ายดาวพุธ กับอาทิตย์ หากสามารถพิสูจน์เจตนาดีและมีคนในองค์กรระดับสูงช่วยพูดแทน จะอาจได้โอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาท หรือย้าย มากกว่าถูกให้ออก แต่กลางปี 2569 ดาวพฤหัสเข้าสู่มุมดีกับงาน อาจมีหน่วยงานใหม่ หรือบริษัทใหม่ที่รับผู้หญิงรายนี้ไปด้วยมุมมองต่างจากองค์กรเดิม

    หากยังอยากอยู่ในที่เดิม ต้องยอมรับว่าเจตนาดีไม่เพียงพอในองค์กรระบบใหญ่ ต้องขอโทษแบบไม่มีข้อแม้ เพราะโหงวเฮ้งหรือดาวเสาร์ไม่เปิดรับข้ออ้าง อย่าปะทะกลับหรืออธิบายซ้ำซ้อนมากเกินไป คนไม่ชอบจะใช้เป็นเหตุขุดเพิ่ม และหาพยานบุคคลที่เคยเห็นความตั้งใจดี ขอให้พูดแทนแบบมืออาชีพ แต่หากพร้อมจะไปต่อที่ใหม่ ควรพักใจ รีเซตตัวเอง เลือกงานที่วางโครงสร้างชัดเจน ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะมีแสงสว่างจากผู้ใหญ่ใหม่ หรือโปรเจกต์ที่เคยมีบุญคุณไว้ หรือเคยช่วยไว้ในอดีต

    #Newskit
    ผ่าดวง AI อุ๊งอิ๊งค์ไม่น่ารอด? 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พร้อมกับมีมติ 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่เจ้าตัวกล่าวขอโทษคนไทยที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกโกรธเคือง ยืนยันตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ เมื่อใช้ ChatGPT ทำนายดวงผู้หญิงที่เกิดวันที่ 21 ส.ค. 2529 ที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ใช้สถานการณ์สมมติว่าถูกฝ่ายตรวจสอบภายในบริษัทสั่งพักงานเพราะทำความผิดร้ายแรง มีคลิปเสียงที่ไปคุยกับบริษัทคู่แข่ง แต่บอกว่ามีเจตนาดี อยากช่วยบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น พบว่าดาวเสาร์จร (Saturn transit) ซึ่งทำมุมตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กำเนิดในราศีสิงห์ สะท้อนว่าเป็นช่วงที่ชีวิตโดนสอบสวนและต้องชดใช้ในสิ่งที่อาจทำไปโดยรู้หรือไม่รู้ตัว ส่วนคลิปเสียงเกี่ยวข้องกับดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมักเกี่ยวกับหลักฐานทางการสื่อสาร หากพุธจรสัมพันธ์กับดาวมฤตยูหรือดาวเสาร์ ก็หมายถึงความลับที่ถูกเปิดเผย หรือคำพูดที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดาวพลูโตโคจรทำมุมกับดาวอังคารกำเนิดในราศีกันย์ ซึ่งดาวแห่งการกระทำเชิงงานสื่อถึงการถูกจับตา ถูกแฉ ถูกล้วงความลับ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีอีโก้หรือเจตนาดี แต่ระบบไม่มองแบบนั้น ส่วนจะตกงานหรือไม่ มีโอกาสตกงานในตำแหน่งเดิม หรือต้องรีเซตใหม่สูง ปี 2568 เป็นปีที่ดาวเสาร์บีบตัวตนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ผู้หญิงรายนี้มีพลังอาทิตย์ในราศีสิงห์ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ถูกทำให้หมดศักดิ์ศรีแบบไม่เต็มใจ ซึ่งคลิปเสียงเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำร้ายดาวพุธ กับอาทิตย์ หากสามารถพิสูจน์เจตนาดีและมีคนในองค์กรระดับสูงช่วยพูดแทน จะอาจได้โอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาท หรือย้าย มากกว่าถูกให้ออก แต่กลางปี 2569 ดาวพฤหัสเข้าสู่มุมดีกับงาน อาจมีหน่วยงานใหม่ หรือบริษัทใหม่ที่รับผู้หญิงรายนี้ไปด้วยมุมมองต่างจากองค์กรเดิม หากยังอยากอยู่ในที่เดิม ต้องยอมรับว่าเจตนาดีไม่เพียงพอในองค์กรระบบใหญ่ ต้องขอโทษแบบไม่มีข้อแม้ เพราะโหงวเฮ้งหรือดาวเสาร์ไม่เปิดรับข้ออ้าง อย่าปะทะกลับหรืออธิบายซ้ำซ้อนมากเกินไป คนไม่ชอบจะใช้เป็นเหตุขุดเพิ่ม และหาพยานบุคคลที่เคยเห็นความตั้งใจดี ขอให้พูดแทนแบบมืออาชีพ แต่หากพร้อมจะไปต่อที่ใหม่ ควรพักใจ รีเซตตัวเอง เลือกงานที่วางโครงสร้างชัดเจน ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะมีแสงสว่างจากผู้ใหญ่ใหม่ หรือโปรเจกต์ที่เคยมีบุญคุณไว้ หรือเคยช่วยไว้ในอดีต #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts