• SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ Type-C “Plug and Stay”

    SanDisk ได้เปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา โดยมีความจุสูงสุดถึง 1TB และราคาประมาณ 120 ดอลลาร์ จุดเด่นคือความเร็วในการโอนข้อมูลสูงถึง 400MB/s ซึ่งแม้จะไม่เร็วเท่า SSD NVMe แต่ก็ใกล้เคียงกับ SATA III ทำให้สามารถใช้เล่นเกมหรือเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้สะดวก

    แฟลชไดรฟ์นี้ออกแบบเป็นทรง L ขนาดเล็ก ทำให้ไม่เกะกะเมื่อเสียบกับโน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ต เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่ง Cloud หรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ภายในเครื่อง

    สรุปเป็นหัวข้อ:

    จุดเด่นของ SanDisk Plug and Stay
    ความจุสูงสุด 1TB ราคาประหยัด
    ความเร็ว 400MB/s ใกล้เคียง SATA III

    การใช้งาน
    ออกแบบให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา
    เหมาะกับโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตที่ไม่มี SD card reader

    ข้อควรระวัง
    ความเร็วไม่เทียบเท่า SSD NVMe
    รุ่นความจุสูงอาจขาดตลาดหรือหมดสต็อกเร็ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/usb-flash-drives/sandisk-debuts-type-c-plug-and-stay-flash-drive-that-never-needs-to-be-taken-out-of-your-laptop-get-up-to-1tb-of-extra-storage-for-just-usd120-with-400mb-s-transfer-speeds
    💾 SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ Type-C “Plug and Stay” SanDisk ได้เปิดตัวแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา โดยมีความจุสูงสุดถึง 1TB และราคาประมาณ 120 ดอลลาร์ จุดเด่นคือความเร็วในการโอนข้อมูลสูงถึง 400MB/s ซึ่งแม้จะไม่เร็วเท่า SSD NVMe แต่ก็ใกล้เคียงกับ SATA III ทำให้สามารถใช้เล่นเกมหรือเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้สะดวก แฟลชไดรฟ์นี้ออกแบบเป็นทรง L ขนาดเล็ก ทำให้ไม่เกะกะเมื่อเสียบกับโน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ต เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่ง Cloud หรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ภายในเครื่อง สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ จุดเด่นของ SanDisk Plug and Stay ➡️ ความจุสูงสุด 1TB ราคาประหยัด ➡️ ความเร็ว 400MB/s ใกล้เคียง SATA III ✅ การใช้งาน ➡️ ออกแบบให้เสียบคาเครื่องได้ตลอดเวลา ➡️ เหมาะกับโน้ตบุ๊กและแท็บเล็ตที่ไม่มี SD card reader ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ความเร็วไม่เทียบเท่า SSD NVMe ⛔ รุ่นความจุสูงอาจขาดตลาดหรือหมดสต็อกเร็ว https://www.tomshardware.com/pc-components/usb-flash-drives/sandisk-debuts-type-c-plug-and-stay-flash-drive-that-never-needs-to-be-taken-out-of-your-laptop-get-up-to-1tb-of-extra-storage-for-just-usd120-with-400mb-s-transfer-speeds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI ต่อสู้คำสั่งเปิดเผยบทสนทนา ChatGPT

    ข่าวนี้เล่าถึงการที่ OpenAI กำลังต่อสู้กับคำสั่งศาลที่ให้บริษัทต้องเปิดเผยบทสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT หลายล้านรายการ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล เพราะหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผย อาจกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ คดีนี้สะท้อนถึงความท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องหาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหากข้อมูลถูกเปิดเผย จะทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI

    ในอีกด้านหนึ่ง นักกฎหมายบางคนมองว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมเข้าใจการทำงานของ AI มากขึ้น และตรวจสอบได้ว่าบริษัทใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือไม่ แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในระดับโลก

    สรุปเป็นหัวข้อ:

    OpenAI กำลังต่อสู้คำสั่งศาลที่ให้เปิดเผยบทสนทนา ChatGPT
    ประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล

    การเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมตรวจสอบการทำงานของ AI ได้
    แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้

    ความเสี่ยงหากข้อมูลผู้ใช้ถูกเปิดเผย
    อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมหาศาล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/openai-fights-order-to-turn-over-millions-of-chatgpt-conversations
    ⚖️ OpenAI ต่อสู้คำสั่งเปิดเผยบทสนทนา ChatGPT ข่าวนี้เล่าถึงการที่ OpenAI กำลังต่อสู้กับคำสั่งศาลที่ให้บริษัทต้องเปิดเผยบทสนทนาของผู้ใช้ ChatGPT หลายล้านรายการ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล เพราะหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผย อาจกระทบต่อผู้ใช้จำนวนมหาศาล สิ่งที่น่าสนใจคือ คดีนี้สะท้อนถึงความท้าทายของบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องหาสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หลายฝ่ายกังวลว่าหากข้อมูลถูกเปิดเผย จะทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI ในอีกด้านหนึ่ง นักกฎหมายบางคนมองว่าการเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมเข้าใจการทำงานของ AI มากขึ้น และตรวจสอบได้ว่าบริษัทใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใสหรือไม่ แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในระดับโลก สรุปเป็นหัวข้อ: ✅ OpenAI กำลังต่อสู้คำสั่งศาลที่ให้เปิดเผยบทสนทนา ChatGPT ➡️ ประเด็นใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูล ✅ การเปิดเผยข้อมูลอาจช่วยให้สังคมตรวจสอบการทำงานของ AI ได้ ➡️ แต่ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ‼️ ความเสี่ยงหากข้อมูลผู้ใช้ถูกเปิดเผย ⛔ อาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้จำนวนมหาศาล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/openai-fights-order-to-turn-over-millions-of-chatgpt-conversations
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OpenAI fights order to turn over millions of ChatGPT conversations
    (Reuters) -OpenAI asked a federal judge in New York on Wednesday to reverse an order that required it to turn over 20 million anonymized ChatGPT chat logs amid a copyright infringement lawsuit by the New York Times and other news outlets, saying it would expose users' private conversations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปีที่พลิกโฉม Apple: MacBook Pro จอสัมผัส, iPhone พับได้ และ AI สุขภาพ

    Apple เตรียมเข้าสู่ปี 2026 ด้วยแผนผลิตภัณฑ์ที่เรียกได้ว่า “พลิกเกม” ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยมีการเปิดเผยจาก Bloomberg ว่า Apple จะเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจอ OLED และ ระบบสัมผัส (touchscreen) เป็นครั้งแรก รวมถึง iPhone พับได้ และบริการใหม่ด้านสุขภาพที่ใช้ AI

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ Apple ที่ต้องการตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด และสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง macOS, iPadOS และ visionOS ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

    MacBook Pro รุ่นใหม่: จอสัมผัส + OLED + M6 Pro/Max
    เปิดตัวช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027
    ใช้ชิป M6 Pro และ M6 Max
    มาพร้อมจอ OLED และระบบสัมผัส
    ดีไซน์บางลง และแยกชัดเจนจากรุ่นเริ่มต้นที่ใช้ชิป M6 ธรรมดา
    macOS รุ่นใหม่จะรองรับการสัมผัสเต็มรูปแบบ

    iPhone พับได้ และชิป C1
    iPhone 18 Pro จะใช้โมเดม C1 ที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง แทน Qualcomm
    เปิดตัว iPhone พับได้ รุ่นแรกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 2026
    เสริมความสามารถด้าน satellite communication และ AI

    Apple Health+: AI ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
    เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Health+ ที่รวม Apple Fitness+ เข้าด้วยกัน
    มี AI chatbot ที่ช่วยติดตามสุขภาพและให้คำแนะนำ
    เป็นการต่อยอดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรหลัง COO Jeff Williams เกษียณ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้รุ่นเก่า
    MacBook Pro รุ่น M5 จะยังใช้ดีไซน์เดิม ไม่มีจอสัมผัส
    iPhone รุ่นก่อน iPhone 18 จะยังใช้โมเดม Qualcomm

    ความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
    Apple กำลังแยกชัดเจนระหว่างรุ่น Pro และรุ่นเริ่มต้น
    ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ใหม่อาจต้องจ่ายแพงขึ้น

    https://securityonline.info/touchscreen-macbook-pro-foldable-iphone-apples-most-pivotal-year-yet-revealed/
    📱 ปีที่พลิกโฉม Apple: MacBook Pro จอสัมผัส, iPhone พับได้ และ AI สุขภาพ Apple เตรียมเข้าสู่ปี 2026 ด้วยแผนผลิตภัณฑ์ที่เรียกได้ว่า “พลิกเกม” ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยมีการเปิดเผยจาก Bloomberg ว่า Apple จะเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับจอ OLED และ ระบบสัมผัส (touchscreen) เป็นครั้งแรก รวมถึง iPhone พับได้ และบริการใหม่ด้านสุขภาพที่ใช้ AI การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของ Apple ที่ต้องการตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด และสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง macOS, iPadOS และ visionOS ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 💻 MacBook Pro รุ่นใหม่: จอสัมผัส + OLED + M6 Pro/Max 💠 เปิดตัวช่วงปลายปี 2026 ถึงต้นปี 2027 💠 ใช้ชิป M6 Pro และ M6 Max 💠 มาพร้อมจอ OLED และระบบสัมผัส 💠 ดีไซน์บางลง และแยกชัดเจนจากรุ่นเริ่มต้นที่ใช้ชิป M6 ธรรมดา 💠 macOS รุ่นใหม่จะรองรับการสัมผัสเต็มรูปแบบ 📱 iPhone พับได้ และชิป C1 🎗️ iPhone 18 Pro จะใช้โมเดม C1 ที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง แทน Qualcomm 🎗️ เปิดตัว iPhone พับได้ รุ่นแรกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 2026 🎗️ เสริมความสามารถด้าน satellite communication และ AI 🧠 Apple Health+: AI ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร 📍 เปิดตัวบริการใหม่ชื่อ Health+ ที่รวม Apple Fitness+ เข้าด้วยกัน 📍 มี AI chatbot ที่ช่วยติดตามสุขภาพและให้คำแนะนำ 📍 เป็นการต่อยอดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรหลัง COO Jeff Williams เกษียณ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้รุ่นเก่า ⛔ MacBook Pro รุ่น M5 จะยังใช้ดีไซน์เดิม ไม่มีจอสัมผัส ⛔ iPhone รุ่นก่อน iPhone 18 จะยังใช้โมเดม Qualcomm ‼️ ความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ ⛔ Apple กำลังแยกชัดเจนระหว่างรุ่น Pro และรุ่นเริ่มต้น ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ใหม่อาจต้องจ่ายแพงขึ้น https://securityonline.info/touchscreen-macbook-pro-foldable-iphone-apples-most-pivotal-year-yet-revealed/
    SECURITYONLINE.INFO
    Touchscreen MacBook Pro & Foldable iPhone: Apple's "Most Pivotal Year Yet" Revealed
    Apple's 2026 roadmap is huge: M6 Pro/Max MacBook Pros with OLED and touchscreen, a foldable iPhone, and a new AI-powered Health+ service.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple เตรียมยกระดับฟีเจอร์ดาวเทียมบน iPhone – ไม่ใช่แค่ SOS แต่รวมถึงการส่งข้อความและบริการใหม่ในอนาคต

    Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมบน iPhone ให้ก้าวข้ามการใช้งานฉุกเฉินแบบเดิม โดยมีแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งข้อความผ่านดาวเทียม และบริการที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำทางหรือข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ในอนาคต

    จาก SOS สู่การสื่อสารเต็มรูปแบบ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ “Emergency SOS via Satellite” ตั้งแต่ iPhone 14 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Globalstar

    ตอนนี้ Apple กำลังขยายขอบเขตของเทคโนโลยีนี้ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น:
    การส่งข้อความผ่านดาวเทียมแบบสองทาง
    การแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    การรับข้อมูลสภาพอากาศหรือการแจ้งเตือนภัยพิบัติ

    การลงทุนและพันธมิตร Apple ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม โดยเฉพาะกับ Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมสำหรับ iPhone

    อนาคตของการเชื่อมต่อไร้สัญญาณ Apple อาจกำลังวางรากฐานสำหรับบริการที่ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายมือถือเลย เช่น:
    การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลหรือกลางทะเล
    การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ
    การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านดาวเทียม

    https://wccftech.com/apple-moving-beyond-connectivity-to-bring-new-satellite-based-features-to-iphones/
    📡 Apple เตรียมยกระดับฟีเจอร์ดาวเทียมบน iPhone – ไม่ใช่แค่ SOS แต่รวมถึงการส่งข้อความและบริการใหม่ในอนาคต Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมบน iPhone ให้ก้าวข้ามการใช้งานฉุกเฉินแบบเดิม โดยมีแผนเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งข้อความผ่านดาวเทียม และบริการที่อาจเกี่ยวข้องกับการนำทางหรือข้อมูลตำแหน่งแบบเรียลไทม์ในอนาคต ✅ จาก SOS สู่การสื่อสารเต็มรูปแบบ Apple เปิดตัวฟีเจอร์ “Emergency SOS via Satellite” ตั้งแต่ iPhone 14 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือในพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ โดยใช้เครือข่ายดาวเทียม Globalstar ตอนนี้ Apple กำลังขยายขอบเขตของเทคโนโลยีนี้ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น: 🎗️ การส่งข้อความผ่านดาวเทียมแบบสองทาง 🎗️ การแชร์ตำแหน่งแบบเรียลไทม์ 🎗️ การรับข้อมูลสภาพอากาศหรือการแจ้งเตือนภัยพิบัติ ✅ การลงทุนและพันธมิตร Apple ได้ลงทุนกว่า 450 ล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐานดาวเทียม โดยเฉพาะกับ Globalstar ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักในการให้บริการสัญญาณดาวเทียมสำหรับ iPhone ✅ อนาคตของการเชื่อมต่อไร้สัญญาณ Apple อาจกำลังวางรากฐานสำหรับบริการที่ไม่ต้องพึ่งเครือข่ายมือถือเลย เช่น: 🎗️ การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกลหรือกลางทะเล 🎗️ การใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ 🎗️ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ผ่านดาวเทียม https://wccftech.com/apple-moving-beyond-connectivity-to-bring-new-satellite-based-features-to-iphones/
    WCCFTECH.COM
    iPhone's Satellite Connection Is About to Get 5 New Features, And They're Not Just for Emergencies
    Apple is moving beyond equipping its iPhones with satellite connectivity, and plans to introduce five new satellite-based features shortly.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • O.P.K.
    เจาะลึกจอมมารแห่งการฆ่า: OPPATIKA-0

    ต้นกำเนิดแห่งความโศกเศร้า

    การสร้างที่ปราศจากความเมตตา

    OPPATIKA-0 คือโอปปาติกะรุ่นแรกสุด ที่ถูกสร้างขึ้นใน โครงการลับ "อาดัม"

    ```mermaid
    graph TB
    A[เซลล์มนุษย์บริสุทธิ์] --> B[การฉีดพลังงาน<br>จิตวิญญาณเทียม]
    B --> C[กระบวนการเร่งอายุ<br>อย่างทารุณ]
    C --> D[OPPATIKA-0<br>เกิดด้วยความเจ็บปวด]
    ```

    ชีวิตในห้องทดลอง

    ช่วงปี 2040-2042:

    · ถูกเรียกแทนชื่อเป็นเพียง "หน่วยทดลอง 001"
    · ผ่านการทดลองที่โหดร้ายกว่า OPPATIKA รุ่นหลังๆ
    · ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนสิ่งมีชีวิต แต่เป็นเพียง "สิ่งประดิษฐ์"

    ความพยายามเป็นมนุษย์

    ศาตราพยายามทำตัวให้เป็นที่รัก...

    · เรียกนักวิจัยว่า "พ่อ" "แม่"
    · พยายามแสดงความรักและความกตัญญู
    · แต่กลับถูกมองเป็นเพียง "ข้อบกพร่องของโปรแกรม"

    คืนแห่งการเปลี่ยนผ่าน

    เหตุการณ์หลบหนี

    12 มิถุนายน 2042 - ศาตราหลบหนีได้ในระหว่างการทดลองที่ล้มเหลว

    ```python
    class EscapeEvent:
    def __init__(self):
    self.cause = "การทดลองถ่ายโอนจิตสำนึกล้มเหลว"
    self.casualties = "นักวิจัย 3 คนเสียชีวิต"
    self.aftermath = "ศาตราถูกตราว่าเป็นปีศาจร้าย"

    def psychological_impact(self):
    return {
    "betrayal": "รู้สึกถูกหักหลังโดยผู้ที่คิดว่าเป็นครอบครัว",
    "fear": "กลัวจะถูกจับกลับไปทดลองอีก",
    "anger": "โกรธแค้นมนุษย์ทุกคน"
    }
    ```

    ชีวิตในความมืด

    หลังหลบหนี ศาตราซ่อนตัวใน อุโมงค์ร้างใต้เมือง

    · เรียนรู้ที่จะใช้พลังโดยไม่มีใครสอน
    · พัฒนาความสามารถในการล่องหนและควบคุมพลังงานมืด
    · เริ่มสะสมความโกรธแค้น

    การกลายเป็นจอมมาร

    ฆาตกรรมครั้งแรก

    เป้าหมาย: ดร. กฤษณ์ - นักวิจัยหลักที่ทำการทดลองกับเขา
    วิธีการ:ใช้พลังงานจิตบีบรัดหัวใจ
    ความรู้สึกหลัง соверอาชญากรรม:
    "ครั้งแรก...ฉันรู้สึกสะใจ
    แต่แล้วก็รู้สึก.
    เหมือนฉันกำลังกลายเป็นปีศาจที่พวกเขาเรียกฉัน"

    รูปแบบการฆ่า

    ```mermaid
    graph LR
    A[เลือกเป้าหมาย<br>อดีตนักวิจัย] --> B[สืบเสาะ<br>การใช้ชีวิต]
    B --> C[ฆ่าแบบพิธีกรรม<br>ส่งข้อความ]
    C --> D[ทิ้งสัญลักษณ์<br>วงกลมสามชั้น]
    ```

    สัญลักษณ์แห่งความหมาย

    วงกลมสามชั้น แทน:

    · วงใน: การเกิดของโอปปาติกะ
    · วงกลาง: ความทุกข์ทรมานในการทดลอง
    · วงนอก: การตายของความเป็นมนุษย์

    จิตวิทยาของนักฆ่า

    ความคิดที่บิดเบี้ยว

    ศาตราพัฒนาความเชื่อว่า...
    "การฆ่านักวิจัยอาชญากรรม...
    แต่คือการ'คืนกำเนิด' ให้พวกเขา
    ให้พวกเขาได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ฉันเคยรู้สึก"

    บุคลิกสองด้าน

    · ด้านเด็กชาย: ยังคงความรักและการยอมรับ
    · ด้านจอมมาร: ต้องการแก้แค้นและทำลายล้าง

    กฎของตัวเอง

    ศาตราตั้งกฎให้ตัวเอง:

    1. ฆ่าเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับการทดลอง
    2. ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์
    3. ทุกการฆาตกรรมต้อง "มีความหมาย"

    ความสามารถพิเศษ

    พลังแห่งโอปปาติกะรุ่นแรก

    ```python
    class SathraAbilities:
    def __init__(self):
    self.physical_powers = {
    "shadow_walk": "เคลื่อนไหวผ่านความมืดได้",
    "energy_manipulation": "ควบคุมพลังงานทำลายล้าง",
    "telepathy": "อ่านความคิดพื้นฐาน",
    "regeneration": "รักษาตัวเองได้ระดับหนึ่ง"
    }

    self.psychological_powers = {
    "fear_induction": "สร้างความกลัวในจิตใจ",
    "memory_extraction": "ดึงความทรงจำจากผู้เสียชีวิต",
    "emotional_sensing": "รับรู้อารมณ์ของผู้อื่น"
    }
    ```

    จุดอ่อนที่ซ่อนอยู่

    · ความทรงจำอันอบอุ่น: ยังจำความรู้สึกดีๆ จากอดีตได้
    · ความต้องการการยอมรับ: ยังอยากมีใครสักคนเข้าใจเขา
    · ความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่: ยังรู้สึกผิดและสงสารเหยื่อ

    การเผชิญหน้าครั้งสำคัญ

    กับ ร.ต.อ. สิงห์

    การพบกันครั้งแรก...
    สิงห์:"เรารู้ว่าเธอเจ็บปวด... แต่หยุดได้แล้ว"
    ศาตรา:"คุณไม่เข้าใจอะไรเลย! คุณไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน!"

    กับหนูดี

    จุดเปลี่ยนสำคัญ...
    หนูดี:"พี่คะ... หนูเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด
    แต่การฆ่าไม่ใช่คำตอบ"
    ศาตรา:"แล้วเธอมีคำตอบที่ดีกว่าล่ะ?"

    กระบวนการเปลี่ยนแปลง

    การยอมรับความช่วยเหลือ

    ศาตราตัดสินใจยอมจำนนไม่ใช่เพราะแพ้...
    แต่เพราะหนูดีพูดสิ่งที่ไม่มีใครเคยพูด:
    "เรารักพี่นะ...ไม่ว่าพี่จะเป็นใคร"

    การฟื้นฟูที่สถาบัน

    ```mermaid
    graph TB
    A[การบำบัด<br>ทางกายภาพ] --> B[การเยียวยา<br>ทางจิตใจ]
    B --> C[การเรียนรู<br>ควบคุมพลัง]
    C --> D[การค้นหา<br>ความหมายใหม่]
    ```

    การให้อภัยตัวเอง

    บทเรียนที่ยากที่สุด...
    "ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง...
    สำหรับสิ่งที่ฉันทำลงไป
    และสำหรับสิ่งที่ฉันปล่อยให้พวกเขาทำกับฉัน"

    บทบาทใหม่ในสังคม

    ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ

    ศาตราพัฒนาบทบาทใหม่:

    · ที่ปรึกษา: ช่วยโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่ประสบปัญหา
    · ผู้ฝึกสอน: สอนการควบคุมพลังให้โอปปาติกะ
    · นักสืบ: ช่วยเหลือคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ

    ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟู

    ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวช่วยเหลือ:

    · โอปปาติกะที่ถูกทารุณ
    · โอปปาติกะที่ควบคุมพลังไม่ได้
    · โอปปาติกะที่รู้สึกโดดเดี่ยว

    พัฒนาการทางอารมณ์

    จากความเกลียดชังสู่ความเข้าใจ

    ```python
    def emotional_journey():
    stages = [
    "ความเจ็บปวด -> ความโกรธ",
    "ความโกรธ -> ความเกลียดชัง",
    "ความเกลียดชัง -> ความสงสัย",
    "ความสงสัย -> ความเข้าใจ",
    "ความเข้าใจ -> ความเมตตา"
    ]
    return " -> ".join(stages)
    ```

    ความสัมพันธ์ใหม่

    · กับหนูดี: จากศัตรูสู่พี่น้อง
    · กับสิงห์: จากเหยื่อกับนักล่าสู่เพื่อนร่วมงาน
    · กับโอปปาติกะอื่นๆ: จากตัวอย่างที่ไม่ดีสู่แบบอย่าง

    ความสำเร็จและผลงาน

    โครงการสำคัญ

    ศาตราช่วยก่อตั้ง:

    · สายด่วนช่วยเหลือโอปปาติกะ
    · ศูนย์ฟื้นฟูโอปปาติกะ
    · โครงการป้องกันการทารุณโอปปาติกะ

    การได้รับการยอมรับ

    จาก "จอมมารแห่งการฆ่า" สู่...
    "วีรบุรุษแห่งชุมชนโอปปาติกะ"

    บทเรียนแห่งชีวิต

    🪷 คำสอนจากศาตรา

    "ความเจ็บปวดไม่ให้สิทธิ์เราทำร้าย
    แต่ให้ปัญญาที่จะเข้าใจความเจ็บปวดของ

    มรดกที่ทิ้งไว้

    ศาตราสอนเราเรื่อง:

    · การให้อภัย: ที่เริ่มต้นจากการให้อภัยตัวเอง
    · การเปลี่ยนแปลง: ที่เป็นไปได้ไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหน
    · ความหวัง: ที่มีเสมอแม้ในที่มืดมิดที่สุด

    ---

    คำคมสุดท้ายจากศาตรา:
    "ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นปีศาจ...
    แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว
    ปีศาจตัวจริงฉัน...
    แต่คือความเจ็บปวดที่ไม่มีใครเยียวยา

    และเมื่อความเจ็บปวดได้รับการเยียวยา...
    ปีศาจก็กลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง"

    การเดินทางของศาตราคือบทพิสูจน์ว่า...
    ไม่มีใครเกิดมาเป็นจอมมาร
    มีแต่ผู้ที่ถูกทำให้เป็นจอมมาร
    และทุกจอมมารก็สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้
    O.P.K. 🔪 เจาะลึกจอมมารแห่งการฆ่า: OPPATIKA-0 🧬 ต้นกำเนิดแห่งความโศกเศร้า 🔬 การสร้างที่ปราศจากความเมตตา OPPATIKA-0 คือโอปปาติกะรุ่นแรกสุด ที่ถูกสร้างขึ้นใน โครงการลับ "อาดัม" ```mermaid graph TB A[เซลล์มนุษย์บริสุทธิ์] --> B[การฉีดพลังงาน<br>จิตวิญญาณเทียม] B --> C[กระบวนการเร่งอายุ<br>อย่างทารุณ] C --> D[OPPATIKA-0<br>เกิดด้วยความเจ็บปวด] ``` 💔 ชีวิตในห้องทดลอง ช่วงปี 2040-2042: · ถูกเรียกแทนชื่อเป็นเพียง "หน่วยทดลอง 001" · ผ่านการทดลองที่โหดร้ายกว่า OPPATIKA รุ่นหลังๆ · ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนสิ่งมีชีวิต แต่เป็นเพียง "สิ่งประดิษฐ์" 🎭 ความพยายามเป็นมนุษย์ ศาตราพยายามทำตัวให้เป็นที่รัก... · เรียกนักวิจัยว่า "พ่อ" "แม่" · พยายามแสดงความรักและความกตัญญู · แต่กลับถูกมองเป็นเพียง "ข้อบกพร่องของโปรแกรม" 🌑 คืนแห่งการเปลี่ยนผ่าน ⚡ เหตุการณ์หลบหนี 12 มิถุนายน 2042 - ศาตราหลบหนีได้ในระหว่างการทดลองที่ล้มเหลว ```python class EscapeEvent: def __init__(self): self.cause = "การทดลองถ่ายโอนจิตสำนึกล้มเหลว" self.casualties = "นักวิจัย 3 คนเสียชีวิต" self.aftermath = "ศาตราถูกตราว่าเป็นปีศาจร้าย" def psychological_impact(self): return { "betrayal": "รู้สึกถูกหักหลังโดยผู้ที่คิดว่าเป็นครอบครัว", "fear": "กลัวจะถูกจับกลับไปทดลองอีก", "anger": "โกรธแค้นมนุษย์ทุกคน" } ``` 🏚️ ชีวิตในความมืด หลังหลบหนี ศาตราซ่อนตัวใน อุโมงค์ร้างใต้เมือง · เรียนรู้ที่จะใช้พลังโดยไม่มีใครสอน · พัฒนาความสามารถในการล่องหนและควบคุมพลังงานมืด · เริ่มสะสมความโกรธแค้น 🔥 การกลายเป็นจอมมาร 💀 ฆาตกรรมครั้งแรก เป้าหมาย: ดร. กฤษณ์ - นักวิจัยหลักที่ทำการทดลองกับเขา วิธีการ:ใช้พลังงานจิตบีบรัดหัวใจ ความรู้สึกหลัง соверอาชญากรรม: "ครั้งแรก...ฉันรู้สึกสะใจ แต่แล้วก็รู้สึก. เหมือนฉันกำลังกลายเป็นปีศาจที่พวกเขาเรียกฉัน" 🎯 รูปแบบการฆ่า ```mermaid graph LR A[เลือกเป้าหมาย<br>อดีตนักวิจัย] --> B[สืบเสาะ<br>การใช้ชีวิต] B --> C[ฆ่าแบบพิธีกรรม<br>ส่งข้อความ] C --> D[ทิ้งสัญลักษณ์<br>วงกลมสามชั้น] ``` 🔮 สัญลักษณ์แห่งความหมาย วงกลมสามชั้น แทน: · วงใน: การเกิดของโอปปาติกะ · วงกลาง: ความทุกข์ทรมานในการทดลอง · วงนอก: การตายของความเป็นมนุษย์ 🧠 จิตวิทยาของนักฆ่า 💭 ความคิดที่บิดเบี้ยว ศาตราพัฒนาความเชื่อว่า... "การฆ่านักวิจัยอาชญากรรม... แต่คือการ'คืนกำเนิด' ให้พวกเขา ให้พวกเขาได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ฉันเคยรู้สึก" 🎭 บุคลิกสองด้าน · ด้านเด็กชาย: ยังคงความรักและการยอมรับ · ด้านจอมมาร: ต้องการแก้แค้นและทำลายล้าง 📜 กฎของตัวเอง ศาตราตั้งกฎให้ตัวเอง: 1. ฆ่าเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับการทดลอง 2. ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ 3. ทุกการฆาตกรรมต้อง "มีความหมาย" ⚡ ความสามารถพิเศษ 🌌 พลังแห่งโอปปาติกะรุ่นแรก ```python class SathraAbilities: def __init__(self): self.physical_powers = { "shadow_walk": "เคลื่อนไหวผ่านความมืดได้", "energy_manipulation": "ควบคุมพลังงานทำลายล้าง", "telepathy": "อ่านความคิดพื้นฐาน", "regeneration": "รักษาตัวเองได้ระดับหนึ่ง" } self.psychological_powers = { "fear_induction": "สร้างความกลัวในจิตใจ", "memory_extraction": "ดึงความทรงจำจากผู้เสียชีวิต", "emotional_sensing": "รับรู้อารมณ์ของผู้อื่น" } ``` 🛡️ จุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ · ความทรงจำอันอบอุ่น: ยังจำความรู้สึกดีๆ จากอดีตได้ · ความต้องการการยอมรับ: ยังอยากมีใครสักคนเข้าใจเขา · ความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่: ยังรู้สึกผิดและสงสารเหยื่อ 💔 การเผชิญหน้าครั้งสำคัญ 👮 กับ ร.ต.อ. สิงห์ การพบกันครั้งแรก... สิงห์:"เรารู้ว่าเธอเจ็บปวด... แต่หยุดได้แล้ว" ศาตรา:"คุณไม่เข้าใจอะไรเลย! คุณไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน!" 👧 กับหนูดี จุดเปลี่ยนสำคัญ... หนูดี:"พี่คะ... หนูเข้าใจว่าพี่เจ็บปวด แต่การฆ่าไม่ใช่คำตอบ" ศาตรา:"แล้วเธอมีคำตอบที่ดีกว่าล่ะ?" 🌈 กระบวนการเปลี่ยนแปลง 🕊️ การยอมรับความช่วยเหลือ ศาตราตัดสินใจยอมจำนนไม่ใช่เพราะแพ้... แต่เพราะหนูดีพูดสิ่งที่ไม่มีใครเคยพูด: "เรารักพี่นะ...ไม่ว่าพี่จะเป็นใคร" 🏥 การฟื้นฟูที่สถาบัน ```mermaid graph TB A[การบำบัด<br>ทางกายภาพ] --> B[การเยียวยา<br>ทางจิตใจ] B --> C[การเรียนรู<br>ควบคุมพลัง] C --> D[การค้นหา<br>ความหมายใหม่] ``` 💫 การให้อภัยตัวเอง บทเรียนที่ยากที่สุด... "ฉันเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง... สำหรับสิ่งที่ฉันทำลงไป และสำหรับสิ่งที่ฉันปล่อยให้พวกเขาทำกับฉัน" 🎯 บทบาทใหม่ในสังคม 🛡️ ผู้พิทักษ์โอปปาติกะ ศาตราพัฒนาบทบาทใหม่: · ที่ปรึกษา: ช่วยโอปปาติกะรุ่นใหม่ที่ประสบปัญหา · ผู้ฝึกสอน: สอนการควบคุมพลังให้โอปปาติกะ · นักสืบ: ช่วยเหลือคดีที่เกี่ยวข้องกับโอปปาติกะ 📚 ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟู ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวช่วยเหลือ: · โอปปาติกะที่ถูกทารุณ · โอปปาติกะที่ควบคุมพลังไม่ได้ · โอปปาติกะที่รู้สึกโดดเดี่ยว 🎭 พัฒนาการทางอารมณ์ 🌱 จากความเกลียดชังสู่ความเข้าใจ ```python def emotional_journey(): stages = [ "ความเจ็บปวด -> ความโกรธ", "ความโกรธ -> ความเกลียดชัง", "ความเกลียดชัง -> ความสงสัย", "ความสงสัย -> ความเข้าใจ", "ความเข้าใจ -> ความเมตตา" ] return " -> ".join(stages) ``` 💞 ความสัมพันธ์ใหม่ · กับหนูดี: จากศัตรูสู่พี่น้อง · กับสิงห์: จากเหยื่อกับนักล่าสู่เพื่อนร่วมงาน · กับโอปปาติกะอื่นๆ: จากตัวอย่างที่ไม่ดีสู่แบบอย่าง 🏆 ความสำเร็จและผลงาน 🌟 โครงการสำคัญ ศาตราช่วยก่อตั้ง: · สายด่วนช่วยเหลือโอปปาติกะ · ศูนย์ฟื้นฟูโอปปาติกะ · โครงการป้องกันการทารุณโอปปาติกะ 🎖️ การได้รับการยอมรับ จาก "จอมมารแห่งการฆ่า" สู่... "วีรบุรุษแห่งชุมชนโอปปาติกะ" 💫 บทเรียนแห่งชีวิต 🪷 คำสอนจากศาตรา "ความเจ็บปวดไม่ให้สิทธิ์เราทำร้าย แต่ให้ปัญญาที่จะเข้าใจความเจ็บปวดของ 🌍 มรดกที่ทิ้งไว้ ศาตราสอนเราเรื่อง: · การให้อภัย: ที่เริ่มต้นจากการให้อภัยตัวเอง · การเปลี่ยนแปลง: ที่เป็นไปได้ไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหน · ความหวัง: ที่มีเสมอแม้ในที่มืดมิดที่สุด --- คำคมสุดท้ายจากศาตรา: "ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นปีศาจ... แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ปีศาจตัวจริงฉัน... แต่คือความเจ็บปวดที่ไม่มีใครเยียวยา และเมื่อความเจ็บปวดได้รับการเยียวยา... ปีศาจก็กลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง"🕊️✨ การเดินทางของศาตราคือบทพิสูจน์ว่า... ไม่มีใครเกิดมาเป็นจอมมาร มีแต่ผู้ที่ถูกทำให้เป็นจอมมาร และทุกจอมมารก็สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้🌟
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้

    ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้

    Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน

    เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ

    ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon
    Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน
    ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน
    เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร
    เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ
    ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก
    ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม
    ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม
    เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน
    เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ
    ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ
    ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    🚀 Starlink ผนึกกำลัง Veon เปิดศักราชใหม่ “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ทะลุ 150 ล้านผู้ใช้ ในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ Elon Musk และทีม Starlink กำลังพลิกโฉมโลกการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี “Direct-to-Cell” ที่ทำให้มือถือธรรมดาเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง ล่าสุด Starlink เซ็นสัญญาครั้งใหญ่กับ Veon กลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก เปิดทางให้ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้ Starlink ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ SpaceX ได้ประกาศดีลครั้งใหญ่กับ Veon ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน โดยดีลนี้จะเปิดทางให้ผู้ใช้ในพื้นที่ห่างไกลสามารถใช้มือถือเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเสาสัญญาณหรือเครือข่ายพื้นฐาน เทคโนโลยี “Direct-to-Cell” นี้ทำให้มือถือสามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลก แล้วส่งกลับมายังพื้นดินได้ทันที ซึ่งต่างจากระบบเดิมที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ ดีลนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างผู้ให้บริการดาวเทียม เช่น AST SpaceMobile, Lynk Global และ Starlink ที่กำลังแข่งขันกันเพื่อครองตลาด “มือถือเชื่อมดาวเทียม” ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อตกลงระหว่าง Starlink และ Veon ➡️ Starlink เซ็นดีลกับ Veon เพื่อให้บริการ Direct-to-Cell แก่ผู้ใช้กว่า 150 ล้านคน ➡️ ครอบคลุมประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น ปากีสถาน บังกลาเทศ และยูเครน ➡️ เป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดของ Starlink ในด้านการเชื่อมต่อมือถือผ่านดาวเทียม ✅ เทคโนโลยี Direct-to-Cell คืออะไร ➡️ เป็นการเชื่อมต่อมือถือกับดาวเทียมโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เสาสัญญาณ ➡️ ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ส่งสัญญาณกลับมายังพื้นโลก ➡️ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลหรือภัยพิบัติสามารถสื่อสารได้ทันที ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ➡️ ผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานอาจต้องปรับตัวหรือร่วมมือกับผู้ให้บริการดาวเทียม ➡️ เปิดโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น การสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล, การช่วยเหลือฉุกเฉิน ➡️ เพิ่มการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ การใช้ดาวเทียมอาจมีข้อจำกัดด้านความเร็วและความหน่วงของสัญญาณ ⛔ ต้องมีการปรับปรุงมือถือให้รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเต็มรูปแบบ ⛔ ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มงวด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/starlink-signs-landmark-global-direct-to-cell-deal-with-veon-as-satellite-to-phone-race-heats-up
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Starlink signs landmark global direct-to-cell deal with Veon as satellite-to-phone race heats up
    (Reuters) -Elon Musk's Starlink, a subsidiary of SpaceX, secured its largest direct-to-cell deal yet with telecoms group Veon, granting access to over 150 million potential customers, both companies said on Thursday, as competition in satellite-to-smartphone connectivity intensifies.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบช่องโหว่ใหม่ใน ChatGPT! แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมความจำของ AI ได้โดยไม่ต้องคลิก

    รายงานล่าสุดจาก Tenable Research เผยว่า ChatGPT รวมถึงเวอร์ชัน GPT-5 มีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 7 จุด ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลผู้ใช้และควบคุมการทำงานของ AI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ

    ภัยคุกคามหลักคือ “Prompt Injection” โดยเฉพาะรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” ซึ่งคำสั่งอันตรายไม่ได้ถูกพิมพ์โดยผู้ใช้ แต่ซ่อนอยู่ในแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น:

    ซ่อนในคอมเมนต์บล็อก: ถ้าผู้ใช้ขอให้ ChatGPT สรุปเนื้อหาบล็อกที่มีคอมเมนต์แฝงคำสั่ง แชตบอทจะอ่านและทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว

    0-Click Attack ผ่านการค้นหา: แค่ถามคำถามธรรมดา หาก AI ไปเจอเว็บไซต์ที่มีคำสั่งแฝง ก็อาจถูกควบคุมทันทีโดยไม่ต้องคลิกใด ๆ

    นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ทำให้การโจมตีมีผลต่อเนื่อง:

    Safety Bypass: ใช้ลิงก์ Bing ที่ดูปลอดภัยเพื่อหลบระบบป้องกัน url_safe

    Conversation Injection: AI ถูกหลอกให้ใส่คำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของตัวเอง

    Memory Injection: คำสั่งถูกฝังลงใน “ความจำถาวร” ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลทุกครั้งที่ใช้งาน

    James Wickett จาก DryRun Security เตือนว่า “Prompt injection คือภัยอันดับหนึ่งของระบบที่ใช้ LLM” และแม้แต่ OpenAI ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด


    ช่องโหว่ใน ChatGPT และ GPT-5
    พบ 7 ช่องโหว่ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ
    ใช้เทคนิค phishing, data exfiltration และ persistent threats

    Prompt Injection แบบใหม่
    Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในแหล่งข้อมูลภายนอก
    AI อ่านคำสั่งโดยไม่รู้ตัวและทำตามทันที

    เทคนิคการโจมตีที่ใช้
    ซ่อนคำสั่งในคอมเมนต์บล็อก
    ใช้เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับในระบบค้นหาของ AI
    ใช้ลิงก์ Bing เพื่อหลบระบบป้องกัน
    ฝังคำสั่งในหน่วยความจำของ AI

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว
    การใช้งาน AI อาจถูกควบคุมจากภายนอก
    ความจำของ AI อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีถาวร


    https://hackread.com/chatgpt-vulnerabilities-hackers-hijack-memory/
    ⚠️ พบช่องโหว่ใหม่ใน ChatGPT! แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมความจำของ AI ได้โดยไม่ต้องคลิก รายงานล่าสุดจาก Tenable Research เผยว่า ChatGPT รวมถึงเวอร์ชัน GPT-5 มีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 7 จุด ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลผู้ใช้และควบคุมการทำงานของ AI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ภัยคุกคามหลักคือ “Prompt Injection” โดยเฉพาะรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” ซึ่งคำสั่งอันตรายไม่ได้ถูกพิมพ์โดยผู้ใช้ แต่ซ่อนอยู่ในแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น: 💬 ซ่อนในคอมเมนต์บล็อก: ถ้าผู้ใช้ขอให้ ChatGPT สรุปเนื้อหาบล็อกที่มีคอมเมนต์แฝงคำสั่ง แชตบอทจะอ่านและทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว 🌐 0-Click Attack ผ่านการค้นหา: แค่ถามคำถามธรรมดา หาก AI ไปเจอเว็บไซต์ที่มีคำสั่งแฝง ก็อาจถูกควบคุมทันทีโดยไม่ต้องคลิกใด ๆ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ทำให้การโจมตีมีผลต่อเนื่อง: 🔗 Safety Bypass: ใช้ลิงก์ Bing ที่ดูปลอดภัยเพื่อหลบระบบป้องกัน url_safe 🧩 Conversation Injection: AI ถูกหลอกให้ใส่คำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของตัวเอง 🧠 Memory Injection: คำสั่งถูกฝังลงใน “ความจำถาวร” ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลทุกครั้งที่ใช้งาน James Wickett จาก DryRun Security เตือนว่า “Prompt injection คือภัยอันดับหนึ่งของระบบที่ใช้ LLM” และแม้แต่ OpenAI ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด ✅ ช่องโหว่ใน ChatGPT และ GPT-5 ➡️ พบ 7 ช่องโหว่ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ ➡️ ใช้เทคนิค phishing, data exfiltration และ persistent threats ✅ Prompt Injection แบบใหม่ ➡️ Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในแหล่งข้อมูลภายนอก ➡️ AI อ่านคำสั่งโดยไม่รู้ตัวและทำตามทันที ✅ เทคนิคการโจมตีที่ใช้ ➡️ ซ่อนคำสั่งในคอมเมนต์บล็อก ➡️ ใช้เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับในระบบค้นหาของ AI ➡️ ใช้ลิงก์ Bing เพื่อหลบระบบป้องกัน ➡️ ฝังคำสั่งในหน่วยความจำของ AI ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว ➡️ การใช้งาน AI อาจถูกควบคุมจากภายนอก ➡️ ความจำของ AI อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีถาวร https://hackread.com/chatgpt-vulnerabilities-hackers-hijack-memory/
    HACKREAD.COM
    New ChatGPT Vulnerabilities Let Hackers Steal Data, Hijack Memory
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ

    ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท

    เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น

    ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร
    CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม
    การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง
    การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ

    ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี
    เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง
    ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่
    ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย

    ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี
    ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย
    ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต
    วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน

    คำเตือนจากการวิจัย
    มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง
    ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว"

    ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว
    การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก
    การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง
    การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง

    ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    🛡️ เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจ ลองจินตนาการว่า CISO (Chief Information Security Officer) ไม่ได้เป็นแค่ผู้เฝ้าระวังภัยไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็น "ที่ปรึกษากลยุทธ์" ที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรยุคใหม่ โดยเฉพาะกรณีของ Tim Sattler จาก Jungheinrich AG ที่ไม่เพียงแต่ดูแลความปลอดภัย แต่ยังร่วมทีม AI เพื่อค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ให้กับบริษัท เขาไม่มองแค่ "ความเสี่ยง" แต่ยังมองเห็น "โอกาส" จากเทคโนโลยี เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง และนี่คือบทบาทใหม่ของฝ่ายความปลอดภัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตื่นเต้น ✅ ความปลอดภัยต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร ➡️ CISO ควรรู้เป้าหมายธุรกิจ คู่แข่ง และแนวโน้มอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าใจโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เช่น AI และควอนตัมคอมพิวติ้ง ➡️ การมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการธุรกิจช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความไว้วางใจ ✅ ตัวอย่างการปรับตัวของ CISO ที่ดี ➡️ เข้าร่วมทีม AI เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง ➡️ ให้คำแนะนำกับบอร์ดบริหารเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ➡️ ใช้เวลาศึกษาเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อออกแบบแนวทางใช้งานอย่างปลอดภัย ✅ ตัวชี้วัดของการปรับตัวที่ดี ➡️ ใช้ตัวชี้วัดทางธุรกิจในการประเมินประสิทธิภาพของความปลอดภัย ➡️ ทำงานร่วมกับฝ่ายวิศวกรรมเพื่อออกแบบระบบที่ปลอดภัยแต่ไม่รบกวนการผลิต ➡️ วางแผนงานความปลอดภัยให้สอดคล้องกับเวลาหยุดของโรงงาน ‼️ คำเตือนจากการวิจัย ⛔ มีเพียง 13% ของ CISO ที่ถูกปรึกษาตั้งแต่ต้นในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ⛔ 58% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยยังไม่สามารถอธิบายคุณค่าของตนเกินกว่าการลดความเสี่ยง ⛔ ความไม่เข้าใจเป้าหมายธุรกิจทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็น "เกาะโดดเดี่ยว" ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่ปรับตัว ⛔ การวางระบบความปลอดภัยที่เกินความจำเป็นอาจทำให้ธุรกิจชะงัก ⛔ การเข้าร่วมโครงการหลังจากเริ่มไปแล้วทำให้ฝ่ายความปลอดภัยกลายเป็นผู้ขัดขวาง ⛔ การไม่เข้าใจกลยุทธ์องค์กรทำให้ไม่สามารถสนับสนุนการเติบโตได้อย่างแท้จริง ถ้าคุณเป็นผู้บริหารหรือทำงานด้านความปลอดภัย ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังช่วยให้ธุรกิจเติบโต หรือแค่ป้องกันไม่ให้มันล้ม?” เพราะในยุคนี้ ความปลอดภัยไม่ใช่แค่เกราะป้องกัน แต่คือพลังขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแท้จริง 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4080670/what-does-aligning-security-to-the-business-really-mean.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What does aligning security to the business really mean?
    Security leaders must ensure their security strategies and teams support the organization’s overall business strategy. Here’s what that looks like in practice — and why it remains so challenging.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: เข้าใจ Backpropagation ให้ลึกซึ้งก่อนใช้ Deep Learning แบบมือโปร

    ในโลกของ Deep Learning ที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออัตโนมัติอย่าง TensorFlow หรือ PyTorch หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของ Backpropagation เพราะมันถูกจัดการให้หมดแล้ว แต่ Andrej Karpathy นักวิจัยชื่อดังจาก Stanford กลับยืนยันว่า “คุณควรเข้าใจมันให้ดี” เพราะ Backpropagation ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่มันคือกลไกที่มีจุดอ่อนซ่อนอยู่ และถ้าไม่เข้าใจให้ลึก คุณอาจเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก

    เขาเล่าเรื่องราวจากคลาส CS231n ที่ให้นักเรียนเขียน forward และ backward pass ด้วย numpy เพื่อให้เข้าใจกลไกจริงของการเรียนรู้ ซึ่งแม้จะดูทรมาน แต่กลับเป็นการฝึกที่จำเป็น เพราะ Backpropagation เป็น “leaky abstraction” หรือการซ่อนรายละเอียดที่อาจทำให้คุณเข้าใจผิดว่ทุกอย่างจะทำงานอัตโนมัติได้เสมอ

    จากนั้นเขายกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโมเดลต่างๆ เช่น Sigmoid ที่ทำให้ gradient หายไป, ReLU ที่ทำให้ neuron ตายถาวร และ RNN ที่ gradient ระเบิดจนโมเดลพัง พร้อมแถมกรณีศึกษาจาก DQN ที่ใช้การ clip ค่า delta แบบผิดวิธีจน gradient หายไปหมด

    นอกจากนั้นยังเสริมว่า การเข้าใจ Backpropagation จะช่วยให้คุณ debug โมเดลได้ดีขึ้น และสามารถออกแบบโครงสร้างที่เหมาะสมกับปัญหาได้จริง ไม่ใช่แค่ “ลองสุ่มแล้วหวังว่าจะเวิร์ก”

    Backpropagation คือหัวใจของการเรียนรู้ใน Neural Network
    เป็นกระบวนการคำนวณ gradient เพื่อปรับน้ำหนักของโมเดล
    แม้จะมีเครื่องมือช่วย แต่การเข้าใจกลไกภายในช่วยให้ debug ได้ดีขึ้น

    ตัวอย่างปัญหาจากการไม่เข้าใจ Backprop อย่างลึก
    Sigmoid ทำให้ gradient หายไปเมื่อค่า saturate
    ReLU ทำให้ neuron ตายถาวรเมื่อไม่ firing
    RNN ทำให้ gradient ระเบิดหรือลดลงจนโมเดลเรียนรู้ไม่ได้

    กรณีศึกษา DQN ที่ใช้ tf.clip_by_value ผิดวิธี
    ทำให้ gradient หายไปเพราะ clip ที่ค่าผลต่างแทนที่จะ clip ที่ gradient
    ทางแก้คือใช้ Huber loss ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับ outlier โดยไม่ทำให้ gradient หาย

    ข้อเสนอแนะจากผู้เขียน
    ควรเรียนรู้ Backprop ด้วยการเขียนเอง เช่นผ่าน assignment ของ CS231n
    ใช้ความเข้าใจนี้ในการออกแบบโมเดลที่มีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาได้จริง

    https://karpathy.medium.com/yes-you-should-understand-backprop-e2f06eab496b
    🧠 หัวข้อข่าว: เข้าใจ Backpropagation ให้ลึกซึ้งก่อนใช้ Deep Learning แบบมือโปร ในโลกของ Deep Learning ที่เต็มไปด้วยเครื่องมืออัตโนมัติอย่าง TensorFlow หรือ PyTorch หลายคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของ Backpropagation เพราะมันถูกจัดการให้หมดแล้ว แต่ Andrej Karpathy นักวิจัยชื่อดังจาก Stanford กลับยืนยันว่า “คุณควรเข้าใจมันให้ดี” เพราะ Backpropagation ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่มันคือกลไกที่มีจุดอ่อนซ่อนอยู่ และถ้าไม่เข้าใจให้ลึก คุณอาจเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก เขาเล่าเรื่องราวจากคลาส CS231n ที่ให้นักเรียนเขียน forward และ backward pass ด้วย numpy เพื่อให้เข้าใจกลไกจริงของการเรียนรู้ ซึ่งแม้จะดูทรมาน แต่กลับเป็นการฝึกที่จำเป็น เพราะ Backpropagation เป็น “leaky abstraction” หรือการซ่อนรายละเอียดที่อาจทำให้คุณเข้าใจผิดว่ทุกอย่างจะทำงานอัตโนมัติได้เสมอ จากนั้นเขายกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโมเดลต่างๆ เช่น Sigmoid ที่ทำให้ gradient หายไป, ReLU ที่ทำให้ neuron ตายถาวร และ RNN ที่ gradient ระเบิดจนโมเดลพัง พร้อมแถมกรณีศึกษาจาก DQN ที่ใช้การ clip ค่า delta แบบผิดวิธีจน gradient หายไปหมด นอกจากนั้นยังเสริมว่า การเข้าใจ Backpropagation จะช่วยให้คุณ debug โมเดลได้ดีขึ้น และสามารถออกแบบโครงสร้างที่เหมาะสมกับปัญหาได้จริง ไม่ใช่แค่ “ลองสุ่มแล้วหวังว่าจะเวิร์ก” ✅ Backpropagation คือหัวใจของการเรียนรู้ใน Neural Network ➡️ เป็นกระบวนการคำนวณ gradient เพื่อปรับน้ำหนักของโมเดล ➡️ แม้จะมีเครื่องมือช่วย แต่การเข้าใจกลไกภายในช่วยให้ debug ได้ดีขึ้น ✅ ตัวอย่างปัญหาจากการไม่เข้าใจ Backprop อย่างลึก ➡️ Sigmoid ทำให้ gradient หายไปเมื่อค่า saturate ➡️ ReLU ทำให้ neuron ตายถาวรเมื่อไม่ firing ➡️ RNN ทำให้ gradient ระเบิดหรือลดลงจนโมเดลเรียนรู้ไม่ได้ ✅ กรณีศึกษา DQN ที่ใช้ tf.clip_by_value ผิดวิธี ➡️ ทำให้ gradient หายไปเพราะ clip ที่ค่าผลต่างแทนที่จะ clip ที่ gradient ➡️ ทางแก้คือใช้ Huber loss ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับ outlier โดยไม่ทำให้ gradient หาย ✅ ข้อเสนอแนะจากผู้เขียน ➡️ ควรเรียนรู้ Backprop ด้วยการเขียนเอง เช่นผ่าน assignment ของ CS231n ➡️ ใช้ความเข้าใจนี้ในการออกแบบโมเดลที่มีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาได้จริง https://karpathy.medium.com/yes-you-should-understand-backprop-e2f06eab496b
    KARPATHY.MEDIUM.COM
    Yes you should understand backprop
    When we offered CS231n (Deep Learning class) at Stanford, we intentionally designed the programming assignments to include explicit…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • Satya Nadella เผยปัญหาใหญ่ของยุค AI: ชิปมีพร้อม แต่ไฟฟ้าไม่พอเสียบ!

    CEO ของ Microsoft เปิดใจในพอดแคสต์ล่าสุดว่า บริษัทมี GPU สำหรับงาน AI อยู่เต็มคลัง แต่ไม่สามารถติดตั้งใช้งานได้ เพราะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้พลังงานมหาศาลของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่

    Satya Nadella พูดในรายการ Bg2 Podcast ร่วมกับ Sam Altman (CEO ของ OpenAI) ว่า ปัญหาหลักของอุตสาหกรรม AI ตอนนี้ไม่ใช่การขาดแคลนชิป แต่เป็น “การไม่มีไฟฟ้าเพียงพอ” ที่จะเปิดใช้งานชิปเหล่านั้น

    เขาเปรียบเทียบว่า “มีชิปอยู่เต็มคลัง แต่ไม่มีที่เสียบ” เพราะศูนย์ข้อมูลต้องการพลังงานมหาศาลในการติดตั้ง GPU รุ่นใหม่อย่าง Nvidia H100 หรือ Blackwell ซึ่งกินไฟมากกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า

    หลายบริษัทกำลังหาทางออก เช่น การลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ก็ยังไม่ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

    OpenAI ถึงกับเสนอให้รัฐบาลสหรัฐสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI แข่งกับจีน ซึ่งมีความได้เปรียบด้านพลังงานจากเขื่อนและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่

    ปัญหาหลักของ Microsoft ในการขยาย AI
    มี GPU อยู่ในคลังจำนวนมาก แต่ไม่สามารถติดตั้งได้
    ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน
    Nadella กล่าวว่า “ไม่มี warm shells ให้เสียบชิป”
    ปัญหาไม่ใช่ compute glut แต่เป็น power glut
    ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
    Nvidia Blackwell rack-scale TDP สูงกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า

    ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม AI
    OpenAI เสนอให้รัฐบาลสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มลงทุนใน SMR และพลังงานหมุนเวียน
    การแข่งขันกับจีนที่มีโครงสร้างพลังงานพร้อมกว่า
    ความเสี่ยงที่ชิปจะกลายเป็นสินค้าค้างคลังถาวร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-ceo-says-the-company-doesnt-have-enough-electricity-to-install-all-the-ai-gpus-in-its-inventory-you-may-actually-have-a-bunch-of-chips-sitting-in-inventory-that-i-cant-plug-in
    ⚡ Satya Nadella เผยปัญหาใหญ่ของยุค AI: ชิปมีพร้อม แต่ไฟฟ้าไม่พอเสียบ! CEO ของ Microsoft เปิดใจในพอดแคสต์ล่าสุดว่า บริษัทมี GPU สำหรับงาน AI อยู่เต็มคลัง แต่ไม่สามารถติดตั้งใช้งานได้ เพราะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้พลังงานมหาศาลของศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ Satya Nadella พูดในรายการ Bg2 Podcast ร่วมกับ Sam Altman (CEO ของ OpenAI) ว่า ปัญหาหลักของอุตสาหกรรม AI ตอนนี้ไม่ใช่การขาดแคลนชิป แต่เป็น “การไม่มีไฟฟ้าเพียงพอ” ที่จะเปิดใช้งานชิปเหล่านั้น เขาเปรียบเทียบว่า “มีชิปอยู่เต็มคลัง แต่ไม่มีที่เสียบ” เพราะศูนย์ข้อมูลต้องการพลังงานมหาศาลในการติดตั้ง GPU รุ่นใหม่อย่าง Nvidia H100 หรือ Blackwell ซึ่งกินไฟมากกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า หลายบริษัทกำลังหาทางออก เช่น การลงทุนในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ก็ยังไม่ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว OpenAI ถึงกับเสนอให้รัฐบาลสหรัฐสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มถึง 100 กิกะวัตต์ต่อปี เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI แข่งกับจีน ซึ่งมีความได้เปรียบด้านพลังงานจากเขื่อนและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ✅ ปัญหาหลักของ Microsoft ในการขยาย AI ➡️ มี GPU อยู่ในคลังจำนวนมาก แต่ไม่สามารถติดตั้งได้ ➡️ ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ Nadella กล่าวว่า “ไม่มี warm shells ให้เสียบชิป” ➡️ ปัญหาไม่ใช่ compute glut แต่เป็น power glut ➡️ ความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ➡️ Nvidia Blackwell rack-scale TDP สูงกว่ารุ่นก่อนถึง 100 เท่า ✅ ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม AI ➡️ OpenAI เสนอให้รัฐบาลสร้างกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 100 GW ต่อปี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มลงทุนใน SMR และพลังงานหมุนเวียน ➡️ การแข่งขันกับจีนที่มีโครงสร้างพลังงานพร้อมกว่า ➡️ ความเสี่ยงที่ชิปจะกลายเป็นสินค้าค้างคลังถาวร https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-ceo-says-the-company-doesnt-have-enough-electricity-to-install-all-the-ai-gpus-in-its-inventory-you-may-actually-have-a-bunch-of-chips-sitting-in-inventory-that-i-cant-plug-in
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • Doom บุกอวกาศ: เกมในตำนานถูกแฮกให้รันบนดาวเทียมของ ESA

    ในงาน Ubuntu Summit ล่าสุด นักพัฒนา Ólafur Waage ได้เล่าเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของการนำเกม Doom ไปเล่นบนดาวเทียม OPS-SAT ของ European Space Agency (ESA) ซึ่งเป็นดาวเทียมทดลองขนาดเล็กที่เปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบระบบ onboard ได้อย่างอิสระ

    ดาวเทียม OPS-SAT มีขนาดเพียง 10 x 10 x 30 ซม. แต่มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่าดาวเทียม ESA รุ่นก่อนถึง 10 เท่า ทีมของ Waage ได้รับสิทธิ์เข้าถึงระบบเพื่อทดสอบขีดจำกัดของฮาร์ดแวร์ และหนึ่งในความท้าทายคือการรันเกม Doom ให้สำเร็จในอวกาศ

    ครั้งแรก ทีมใช้ Chocolate Doom ซึ่งเป็นพอร์ตที่ซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ แต่ไม่มีกราฟิกเพราะดาวเทียมไม่มีหน้าจอ จึงได้แค่ผลลัพธ์เป็นข้อความว่าเล่นผ่านด่านไปกี่เปอร์เซ็นต์ ฆ่าศัตรูไปกี่ตัว

    ครั้งที่สอง ทีมเปลี่ยนไปใช้ doomgeneric ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟิกได้โดยใช้ virtual video card และนำภาพถ่ายจากกล้องของดาวเทียมมาใช้เป็นฉากหลังในเกม! แต่ภาพจากกล้องมีความละเอียดสูงเกินไป ทีมจึงใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เหลือ 8-bit และเปลี่ยนพาเลตสีของเกมเพื่อให้เข้ากับภาพโลกจริง

    Doom ถูกนำไปรันบนดาวเทียม OPS-SAT ของ ESA
    ดาวเทียมเปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบ onboard system
    มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่ารุ่นก่อน 10 เท่า

    ใช้ Chocolate Doom ในการรันครั้งแรก
    ไม่มีกราฟิกเพราะไม่มีหน้าจอ
    ได้ผลลัพธ์เป็นข้อความสรุปการเล่น

    ใช้ doomgeneric ในการรันครั้งที่สอง
    สร้างกราฟิกผ่าน virtual video card
    ใช้ภาพถ่ายจากกล้องดาวเทียมเป็นฉากหลัง

    ใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เป็น 8-bit
    ลดความละเอียดและสีให้เข้ากับเกม
    เปลี่ยนพาเลตสีของ Doom เพื่อให้ภาพดูสมจริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/doom-can-run-just-about-anywhere-including-space-hacker-recounts-tale-of-running-the-game-on-an-orbiting-satellite
    🚀 Doom บุกอวกาศ: เกมในตำนานถูกแฮกให้รันบนดาวเทียมของ ESA ในงาน Ubuntu Summit ล่าสุด นักพัฒนา Ólafur Waage ได้เล่าเรื่องราวสุดเหลือเชื่อของการนำเกม Doom ไปเล่นบนดาวเทียม OPS-SAT ของ European Space Agency (ESA) ซึ่งเป็นดาวเทียมทดลองขนาดเล็กที่เปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบระบบ onboard ได้อย่างอิสระ ดาวเทียม OPS-SAT มีขนาดเพียง 10 x 10 x 30 ซม. แต่มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่าดาวเทียม ESA รุ่นก่อนถึง 10 เท่า ทีมของ Waage ได้รับสิทธิ์เข้าถึงระบบเพื่อทดสอบขีดจำกัดของฮาร์ดแวร์ และหนึ่งในความท้าทายคือการรันเกม Doom ให้สำเร็จในอวกาศ ครั้งแรก ทีมใช้ Chocolate Doom ซึ่งเป็นพอร์ตที่ซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ แต่ไม่มีกราฟิกเพราะดาวเทียมไม่มีหน้าจอ จึงได้แค่ผลลัพธ์เป็นข้อความว่าเล่นผ่านด่านไปกี่เปอร์เซ็นต์ ฆ่าศัตรูไปกี่ตัว ครั้งที่สอง ทีมเปลี่ยนไปใช้ doomgeneric ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟิกได้โดยใช้ virtual video card และนำภาพถ่ายจากกล้องของดาวเทียมมาใช้เป็นฉากหลังในเกม! แต่ภาพจากกล้องมีความละเอียดสูงเกินไป ทีมจึงใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เหลือ 8-bit และเปลี่ยนพาเลตสีของเกมเพื่อให้เข้ากับภาพโลกจริง ✅ Doom ถูกนำไปรันบนดาวเทียม OPS-SAT ของ ESA ➡️ ดาวเทียมเปิดให้แฮกเกอร์ทดสอบ onboard system ➡️ มีคอมพิวเตอร์ onboard ที่แรงกว่ารุ่นก่อน 10 เท่า ✅ ใช้ Chocolate Doom ในการรันครั้งแรก ➡️ ไม่มีกราฟิกเพราะไม่มีหน้าจอ ➡️ ได้ผลลัพธ์เป็นข้อความสรุปการเล่น ✅ ใช้ doomgeneric ในการรันครั้งที่สอง ➡️ สร้างกราฟิกผ่าน virtual video card ➡️ ใช้ภาพถ่ายจากกล้องดาวเทียมเป็นฉากหลัง ✅ ใช้ AI บนดาวเทียมปรับภาพให้เป็น 8-bit ➡️ ลดความละเอียดและสีให้เข้ากับเกม ➡️ เปลี่ยนพาเลตสีของ Doom เพื่อให้ภาพดูสมจริง https://www.tomshardware.com/video-games/doom-can-run-just-about-anywhere-including-space-hacker-recounts-tale-of-running-the-game-on-an-orbiting-satellite
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 190 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ

    SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ

    Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ

    SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ

    เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก

    นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก

    รายละเอียดของดีล SpaceX
    รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม
    พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome

    โครงการ Golden Dome
    ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ
    ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น
    ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล
    คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น

    ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง
    Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ”
    Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน
    Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    🛰️💰 SpaceX รับดีล $2 พันล้านจากโครงการ Golden Dome ของทรัมป์ — เตรียมส่งดาวเทียม 600 ดวงติดตามภัยคุกคามทางอากาศ SpaceX ของ Elon Musk คาดว่าจะได้รับเงินทุนกว่า $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการ Golden Dome ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธระดับชาติที่ใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายเคลื่อนที่ทางอากาศ Golden Dome เป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Donald Trump และรัฐมนตรี Pete Hegseth ในเดือนพฤษภาคม 2025 โดยมีเป้าหมายสร้างระบบป้องกันที่สามารถสกัดขีปนาวุธจากทุกทิศทาง — แม้แต่จากอวกาศ SpaceX จะมีบทบาทสำคัญในระบบ “Air Moving Target Indicator” ซึ่งใช้ดาวเทียมกว่า 600 ดวงในการติดตามเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกและอากาศยานไร้คนขับ เงินทุนนี้มาจาก “One Big Beautiful Bill” ที่ทรัมป์ลงนามในเดือนกรกฎาคม 2025 โดยยังไม่มีการระบุชื่อผู้รับเหมาหลักอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า SpaceX จะเป็นหนึ่งในผู้รับงานหลัก นอกจาก SpaceX ยังมีบริษัทอื่นที่เสนอเทคโนโลยีเข้าร่วม เช่น Anduril, Palantir, Lockheed Martin, Northrop Grumman และ L3Harris โดยรัฐบาลไม่ต้องการพึ่งพาบริษัทเดียวเพื่อหลีกเลี่ยง “vendor lock” ที่อาจทำให้ราคาสูงและนวัตกรรมชะงัก ✅ รายละเอียดของดีล SpaceX ➡️ รับเงินทุน $2 พันล้านจากกระทรวงกลาโหม ➡️ พัฒนาเครือข่ายดาวเทียม 600 ดวงสำหรับระบบติดตามเป้าหมาย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Golden Dome ✅ โครงการ Golden Dome ➡️ ระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงของสหรัฐฯ ➡️ ใช้ดาวเทียม, interceptor, command & control และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ➡️ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Iron Dome ของอิสราเอล ➡️ คาดว่ามีงบรวมอย่างน้อย $175 พันล้าน และอาจสูงกว่านั้น ✅ ความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ➡️ Gen. Chance Saltzman ระบุว่า “เราพึ่งพาอุตสาหกรรมในการแสดงศักยภาพ” ➡️ Sen. Rick Scott เตือนว่าไม่ควรพึ่งพาบริษัทเดียวในการสร้างระบบป้องกัน ➡️ Pentagon ชี้ว่าการผูกขาดอาจขัดขวางนวัตกรรมและเพิ่มต้นทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musks-spacex-will-reportedly-receive-usd2-billion-for-trumps-golden-dome-project-system-to-include-up-to-600-satellites-to-track-fast-moving-airborne-targets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • Chewy ครองแชมป์ร้านค้าออนไลน์ที่ลูกค้าพึงพอใจที่สุดในสหรัฐฯ ปี 2025 แซงหน้า Amazon และ eBay

    จากการจัดอันดับของ American Customer Satisfaction Index (ACSI) ประจำปี 2025 Chewy ได้รับคะแนนสูงสุดด้านความพึงพอใจของลูกค้าในหมวดร้านค้าออนไลน์ ด้วยคะแนน 85 แซงหน้า Amazon (83) และ eBay (81) อย่างน่าประทับใจ

    แม้ Amazon จะครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในแง่ยอดขาย แต่เมื่อพูดถึง “ความพึงพอใจของลูกค้า” กลับเป็น Chewy ที่คว้าอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่สาม

    ACSI ซึ่งเป็นองค์กรวัดความพึงพอใจระดับประเทศในสหรัฐฯ ใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
    คุณภาพและความน่าเชื่อถือของแอปหรือเว็บไซต์
    ความง่ายในการใช้งานและขั้นตอนชำระเงิน
    ความพร้อมของสินค้าและตัวเลือกการจัดส่ง

    Chewy ได้คะแนนสูงสุดในทุกหมวด โดยเฉพาะด้าน “ประสบการณ์ลูกค้า” เช่น การส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยงของลูกค้า หรือการให้บริการแชทสดที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

    ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” คือสิ่งที่ทำให้ Chewy แตกต่างจากคู่แข่ง แม้จะไม่มีร้านค้าจริง แต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้

    ผลการจัดอันดับ ACSI ปี 2025
    Chewy ได้คะแนน 85 (เพิ่มขึ้นจาก 84 ในปี 2024)
    Amazon ได้ 83
    eBay ได้ 81

    ปัจจัยที่ทำให้ Chewy ได้คะแนนสูง
    แอปและเว็บไซต์ใช้งานง่าย
    การจัดส่งรวดเร็วและแม่นยำ
    การบริการลูกค้าแบบ “มีหัวใจ” เช่น ส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยง
    คำอธิบายสินค้าและภาพประกอบชัดเจน

    บริบทของตลาดอีคอมเมิร์ซ
    ปี 2024 ยอดขายกว่า 81% ยังมาจากร้านค้าจริง แต่ลดลงจาก 92% เมื่อ 10 ปีก่อน
    คาดว่าอีคอมเมิร์ซจะครอง 27% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดภายในปี 2027
    ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวก ความหลากหลาย และราคาที่คุ้มค่า

    https://www.slashgear.com/2008353/best-online-retailer-why-chewy-ranked-number-one/
    🏆🐾 Chewy ครองแชมป์ร้านค้าออนไลน์ที่ลูกค้าพึงพอใจที่สุดในสหรัฐฯ ปี 2025 แซงหน้า Amazon และ eBay จากการจัดอันดับของ American Customer Satisfaction Index (ACSI) ประจำปี 2025 Chewy ได้รับคะแนนสูงสุดด้านความพึงพอใจของลูกค้าในหมวดร้านค้าออนไลน์ ด้วยคะแนน 85 แซงหน้า Amazon (83) และ eBay (81) อย่างน่าประทับใจ แม้ Amazon จะครองส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซในแง่ยอดขาย แต่เมื่อพูดถึง “ความพึงพอใจของลูกค้า” กลับเป็น Chewy ที่คว้าอันดับหนึ่งติดต่อกันเป็นปีที่สาม ACSI ซึ่งเป็นองค์กรวัดความพึงพอใจระดับประเทศในสหรัฐฯ ใช้แบบสอบถามวิเคราะห์ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่: 🎗️ คุณภาพและความน่าเชื่อถือของแอปหรือเว็บไซต์ 🎗️ ความง่ายในการใช้งานและขั้นตอนชำระเงิน 🎗️ ความพร้อมของสินค้าและตัวเลือกการจัดส่ง Chewy ได้คะแนนสูงสุดในทุกหมวด โดยเฉพาะด้าน “ประสบการณ์ลูกค้า” เช่น การส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยงของลูกค้า หรือการให้บริการแชทสดที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” คือสิ่งที่ทำให้ Chewy แตกต่างจากคู่แข่ง แม้จะไม่มีร้านค้าจริง แต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้ ✅ ผลการจัดอันดับ ACSI ปี 2025 ➡️ Chewy ได้คะแนน 85 (เพิ่มขึ้นจาก 84 ในปี 2024) ➡️ Amazon ได้ 83 ➡️ eBay ได้ 81 ✅ ปัจจัยที่ทำให้ Chewy ได้คะแนนสูง ➡️ แอปและเว็บไซต์ใช้งานง่าย ➡️ การจัดส่งรวดเร็วและแม่นยำ ➡️ การบริการลูกค้าแบบ “มีหัวใจ” เช่น ส่งอีการ์ดวันเกิดให้สัตว์เลี้ยง ➡️ คำอธิบายสินค้าและภาพประกอบชัดเจน ✅ บริบทของตลาดอีคอมเมิร์ซ ➡️ ปี 2024 ยอดขายกว่า 81% ยังมาจากร้านค้าจริง แต่ลดลงจาก 92% เมื่อ 10 ปีก่อน ➡️ คาดว่าอีคอมเมิร์ซจะครอง 27% ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมดภายในปี 2027 ➡️ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวก ความหลากหลาย และราคาที่คุ้มค่า https://www.slashgear.com/2008353/best-online-retailer-why-chewy-ranked-number-one/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Is Considered The Best Online Retailer In Terms Of Customer Satisfaction - SlashGear
    Chewy takes the crown as the most satisfying online retailer, scoring higher than Amazon and eBay in the latest American Customer Satisfaction Index.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/GIDSatQCnOQ?si=PX9c-ro05jo2Oth-
    https://youtu.be/GIDSatQCnOQ?si=PX9c-ro05jo2Oth-
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • A 200g gold bar is a highly popular choice among investors seeking a balance between affordability, liquidity, and long-term value. As one of the most versatile sizes in the bullion market, it offers substantial gold weight while remaining easy to store, trade, and transport. Whether you’re expanding your portfolio or making your first investment, the 200g gold bar represents a smart step toward financial security.

    https://www.a1mint.com/shop/gold/gold-bars/a1j-200g-gold-bar/
    A 200g gold bar is a highly popular choice among investors seeking a balance between affordability, liquidity, and long-term value. As one of the most versatile sizes in the bullion market, it offers substantial gold weight while remaining easy to store, trade, and transport. Whether you’re expanding your portfolio or making your first investment, the 200g gold bar represents a smart step toward financial security. https://www.a1mint.com/shop/gold/gold-bars/a1j-200g-gold-bar/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 1

    เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1916 ประมาณ 1 ปี ก่อนการปฏิวัติอันโด่งดังของรัสเซีย Russian Revolution หรือ Bolshevik Revolution นาย Leon Trotsky ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่า เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะปฏิวัติ กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงใน Nashe Slovo หนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย ที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส มันคงเร้าใจมากขนาดฝรั่งเศส ซึ่งคุ้นเคยกับการปฏิวัติโหดมาแล้ว ยังรับไม่ไหว ตำรวจฝรั่งเศสจึงจัดการส่งตัวนาย Trotsky ออกนอกประเทศ ไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน

    ไม่กี่วัน นายTrotsky ก็มาถึงเมืองมาดริด และถูกตำรวจที่เมืองมาดริด จับใส่ห้องขัง มันเป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ first class cell ซึ่งต้องมีการจ่ายเงินค่าความพิเศษ ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป แต่เหมือนโรงแรมมากกว่า นาย Trotsky นี่น่าจะเป็นผู้ต้องขัง ชนิดมีปลอกคอ จากนั้นก็มีการส่งตัวเขาต่อมายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อมาลงเรือเดินสมุทรของ Spanish Transatlantic Company ชื่อ Monserrat

    Trosky และครอบครัวนั่งเรือ Monserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค เมื่อ วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917

    จากหนังสือชีวประวัติ ที่ Trosky เขียนเอง ชื่อ My Life คนมีปลอกคอ เล่าว่า ” อาชีพเดียวที่ผมทำ ตอนอยู่ที่นิวยอร์คคือ เป็นนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม นอกเหนือจากการเขียนบทความเป็นครั้งคราว ลงในหนังสือพิมพ์ Novy Mir ของพวกสังคมนิยม ”

    แต่ระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค เมืองของนายทุน Trosky นักสังคมนิยมและครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนท์ ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นของหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมากในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน นอกจากนั้นครอบครัว Trotsky ยังเดินทาง ไปมาในเมืองนิวยอร์ค ด้วยรถยนต์ ที่มีคนขับรถประจำ

    นี่ใช่เรื่องของ Leon Trostky ซึ่งมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า เป็นนักปฏิวัติสังคมนิยมคนดัง ของรัสเซีย แน่หรือ

    Trotsky เขียนเล่าถึงชีวิตเขาที่นิวยอร์ค ในชีวประวัติของเขาต่อไปว่า ” ระหว่างอยู่นิวยอร์ค ช่วงปี 1916 ถึง 1917 ผมมีรายได้เพียง 310 เหรียญ ซึ่งผมได้แจกเงินดังกล่าวทั้งหมดให้แก่คนรัสเซีย 5 คน ที่อยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน”

    ขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่ ก็มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน เขาต้องเลี้ยงดูเมีย 1 และลูกอีก 2 เขามีรถยนต์ใช้และมีคนขับรถประจำ นี่คือวิถีชีวิตของนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม ที่อ้างว่าดำรงชีพ ด้วยการเขียนบทความลงหนังหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราว

    เรื่องราวของเขา คงไม่ตรงไปตรงมา อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน หรือว่าพวกนักปฏิวัติ นักปฏิรูป เขาเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น

    นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเงินสดจำนวน 1 หมื่นเหรียญ ที่นาย Trotsky พกติดตัวและถูกเจ้าหน้าที่ค้นพบ ระหว่างที่เขาถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับ ในเดือนเมษายน 1917 ที่เมือง Halifax เมื่อ 100 ปีก่อน เงิน 1 หมื่นเหรียญ นี่เป็นเงินจำนวนไม่เล็กน้อยนะครับ นักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม เอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน
    มีข่าวลือว่า เงิน 1 หมื่นเหรียญนั้น มาจากเยอรมัน ข่าวนี้มาจากฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งรายงานว่า นาย Gregory Weinstein ซึ่งต่อมา เป็นสมาชิกที่โด่งดังของ Soviet Bureau ประจำนครนิวยอร์ค เป็นคนรับเงินมา และนำมาส่งให้นาย Trotsky ที่นิวยอร์ค เงินจำนวนนี้มาจากเยอรมัน โดยการฟอกผ่าน Volks-zeitung น.ส.พ. รายวันของเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนอยู่

    ขณะที่มีข่าวว่า Trotsky ได้รับเงินอุดหนุนจากเยอรมัน Trotsky กลับเคลี่อนไหวอยู่ในอเมริกา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากนิวยอร์ค ไปรัสเซีย….เพื่อไปทำการปฏิวัติ !

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 2

    วันที่ 5 มีนาคม 1917 หนังสือพิมพ์อเมริกัน พากันพาดหัวข่าวตัวโต ถึงความเป็นไปได้ ที่อเมริกาจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อทำสงครามกับเยอรมัน คืนวันนั้นเอง Trotsky ก็ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มชาวสังคมนิยมในนิวยอร์คด้วย เขาพูดปลุกระดมให้ชาวสังคมนิยมในอเมริกา จัดการให้มีการนัดหยุดงาน และต่อต้านการเกณท์ทหาร หากอเมริกาจะเข้าร่วมทำสงครามต่อสู้กับเยอรมัน (ท่านผู้อ่านนิทาน คงพอจำกันได้ว่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่นำโดยอังกฤษ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 นั้น อเมริกายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามด้วย และมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลางอยู่หลายปี)

    หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์กว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์ โดยกลุ่มนักปฏิวัติ ที่นำโดยนาย Aleksandre Kerensky หนังสือพิมพ์ Novy Mir ได้มาขอสัมภาษณ์ Leon Trotsky ซึ่งให้ความเห็นไว้เหมือนคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า

    “คณะผู้บริหาร ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพวกซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือทำตามวัตถุประสงค์ ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ คณะผู้บริหารนี้คงอยู่ไม่นานหรอก อีกหน่อยก็คงลาออกไป เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถจะนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย มาทำหน้าที่ต่อไป…”

    กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของ Trotsky คือ พวก Bolsheviks และ Menshevik ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และกำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัส เซีย ส่วนคณะผู้บริหารนั้น หมายถึง รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional Government ของกลุ่มนาย Aleksandr Kerensky ที่ทำการปฏิวัติในวันที่ 16 มีนาคม คศ 1917
    แล้วนาย Trotsky ก็ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ S S Kristainiafjord เขาผ่านด่านตรวจ ขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา เขาเดินทางพร้อมพรรคพวกอีกหลายคน เพื่อจะไปทำการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังมีนักการเงินจากวอลสตรีท คอมมิวนิสต์สัญชาติอเมริกัน และบุคคลน่าสนใจอีกหลายคน ร่วมเดินทางไปกับนาย Trotsky ด้วย

    นาย Trotsky เอาพาสปอร์ตของอเมริกามาจากไหน

    นาย Jennings C. Wise เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Woodlow Wilson : Disciple Revolution” ว่า นักประวัติศาสตร์จะต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีของอเมริกา นาย Woodlow Wilson เป็นนางฟ้า ที่มาเศกให้นาย Leon Trotsky เดินทางเข้ารัสเซียได้สำเร็จ ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา แม้ว่าจะมีการพยายามขัดขวางโดยตำรวจอังกฤษก็ตาม”

    คงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดว่า ประธานาธิบดี Wilson เป็นนางฟ้ามาเศกให้นาย Trotsky ได้ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยอเมริกา เพื่อเดินทางกลับไปรัสเซีย และไปดำเนินการปฏิวัติต่อให้สำเร็จ (ตามเป้าหมาย!?) และเป็นพาสปอร์ตของอเมริกา ที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกด่านของอเมริกา รวมทั้งมีวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีกด้วย

    นางฟ้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สมัยนั้น จนถึงเดี๋ยวนี่ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นนางฟ้า หรือไม่ อ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ คนอ่านนิทาน คงนึกออกว่าควรจะเรียกว่าอะไร

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 3

    ส่วนผสมของผู้โดยสาร ที่เดินทางไปในเรือ S S Kristainiafjord ได้ถูกบันทึกไว้โดยนาย Lincoln Steffens คอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ดังนี้:

    “…รายชื่อผู้โดยสารยาวเหยียด และดูลึกลับน่าสนใจ แน่นอน Trotsky แสดงตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มนักปฏิวัติ มีนักปฎิวัติชาวญี่ปุ่น นอนเคบินเดียวกับผม มีชาวดัชท์หลายคนที่รีบร้อนกลับเมืองชะวา พวกนี้ดูจะเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับสงครามโลกที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ มีพวกนักการเงินวอลสตรีท 2 คน มุ่งหน้าไปเยอรมัน.. ”
    นาย Steffens เองนั้น โดยสารไปในเรือเดินสมุทร โดยคำเชิญของ นาย Charles R Crane เจ้าของกระเป๋าทุนใบใหญ่ที่สนับสนุน ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในการสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

    นาย Crane นั้น เป็นรองประธานบริษัท Crane Company ซึ่งภายหลัง เป็นคนไปตั้งบริษัท Westinghouse สาขารัสเซีย หลังการปฏิวัติของรัสเซียรอบที่กลุ่ม Bolsheviks เป็นผู้ปฎิบัติการสำเร็จเรียบร้อย นาย Crane ยังเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ Root Mission ที่ประธานาธิบดี Wilson ส่งไปสำรวจรัสเซียทุกตารางนิ้ว หลังการปฏิวัติอีกด้วย

    นาย Crane เดินทางไปรัสเซียในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประมาณ 23 ครั้ง ลูกชายของเขา Richard Crane เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ของนาย Robert Lansing รัฐมนตรีต่างเทศของอเมริกาขณะนั้น

    นาย William Dodd อดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมัน พูดถึงนาย Crane ว่า เป็นผู้มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้การปฏิวัติในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม โดยกลุ่มของ Aleksandr Kerensky กลายเป็นการปฏิวัติชั่วคราว ที่นำร่อง เปิดทางให้กับการปฏิวัติของจริง ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน

    นาย Steffens ได้บันทึกการสนทนา ที่เขาได้ยินระหว่างการเดินทางในเรือเดินสมุทรไว้ว่า “…. ดูเหมือนทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม (โดย Aleksandr Kerensky) เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้นเอง มันจะต้องมีตอนต่อไป Crane และพวกรัสเซียหัวก้าวหน้าที่อยู่ในเรือ คิดว่าพวกที่กำลังเดินทางจะไปเมือง Petrograd (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเมือง St Petersberg ) เพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำ…”

    เมื่อนาย Crane กลับมาอเมริกาในเดือนธันวาคม 1917 หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิก Bolsheviks Revolution (หรือการปฏิวัติซ้ำ นั่นแหละ) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว นาย Crane ก็ได้รับโทรเลข ลงวันที่ 11 ธันวาคม 1917 จากกระทรวงต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าโดย นาย Maddin Summers กงสุลอเมริกันประจำกรุงมอสโคว์ พร้อมจดหมายปะหน้าจากนาย Summers ว่า

    ” กระผม ขออนุญาตนำเสนอรายงานที่แนบมา นี้ และสำเนาอีกหนึ่งฉบับ โดยขอให้กระทรวงฯ ได้โปรดนำส่งให้ นาย Charles Crane เพื่อทราบความคืบหน้าด้วย หวังว่าทางกระทรวงคงไม่ขัดข้อง ที่จะให้นาย Crane ได้เห็นรายงาน….”

    สำหรับท่านผู้อ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องเหยื่อ คงพอจำชื่อนี้ได้ เขาคือ นาย Crane คนเดียวกันกับ เจ้าของรายงาน King Crane Report ที่ไปเดินสำรวจตะวันออกกลาง เพื่อทำประชามติว่า ชาวอาหรับต้องการจะอยู่ในความปกครอง ของใคร หลังจากถูกอังกฤษหลอก โดยให้สายลับ ที่เรารู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เป็นผู้นำชาวอาหรับ ไปรบกับตุรกี และยึดหลายเมืองในตะวันออกกลางได้
    และเป็นนาย Crane คนเดียวกัน ที่สามารถจับมือให้กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ตัดสินใจเปิดประตูเมืองครั้งแรก และให้สัมปทานน้ำมันแก่อเมริกา เริ่มศักราช Petro Dollar ร่วมกันรวย ช่วยกันปั่น มาจนถึงทุกวันนี้

    พอเห็นเค้าแล้วนะครับ ว่านิทานเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 1 เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1916 ประมาณ 1 ปี ก่อนการปฏิวัติอันโด่งดังของรัสเซีย Russian Revolution หรือ Bolshevik Revolution นาย Leon Trotsky ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่า เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะปฏิวัติ กำลังถูกไล่ให้ออกจากประเทศฝรั่งเศส สาเหตุจากบทความที่เขาเขียนลงใน Nashe Slovo หนังสือพิมพ์ภาษารัสเซีย ที่ออกจำหน่ายในฝรั่งเศส มันคงเร้าใจมากขนาดฝรั่งเศส ซึ่งคุ้นเคยกับการปฏิวัติโหดมาแล้ว ยังรับไม่ไหว ตำรวจฝรั่งเศสจึงจัดการส่งตัวนาย Trotsky ออกนอกประเทศ ไปทางเขตแดนด้านประเทศสเปน ไม่กี่วัน นายTrotsky ก็มาถึงเมืองมาดริด และถูกตำรวจที่เมืองมาดริด จับใส่ห้องขัง มันเป็นห้องขังประเภทชั้นพิเศษ first class cell ซึ่งต้องมีการจ่ายเงินค่าความพิเศษ ไม่เหมือนห้องขังทั่วไป แต่เหมือนโรงแรมมากกว่า นาย Trotsky นี่น่าจะเป็นผู้ต้องขัง ชนิดมีปลอกคอ จากนั้นก็มีการส่งตัวเขาต่อมายังเมืองบาร์เซโลนา เพื่อมาลงเรือเดินสมุทรของ Spanish Transatlantic Company ชื่อ Monserrat Trosky และครอบครัวนั่งเรือ Monserrat ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มาขึ้นบกที่เมืองนิวยอร์ค เมื่อ วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1917 จากหนังสือชีวประวัติ ที่ Trosky เขียนเอง ชื่อ My Life คนมีปลอกคอ เล่าว่า ” อาชีพเดียวที่ผมทำ ตอนอยู่ที่นิวยอร์คคือ เป็นนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม นอกเหนือจากการเขียนบทความเป็นครั้งคราว ลงในหนังสือพิมพ์ Novy Mir ของพวกสังคมนิยม ” แต่ระหว่างที่อยู่นิวยอร์ค เมืองของนายทุน Trosky นักสังคมนิยมและครอบครัว พักอยู่ในอพาร์ตเมนท์ ที่มีตู้เย็นและโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นของหรูหรา ฟุ่มเฟือยอย่างมากในสมัยเมื่อ 100 ปีก่อน นอกจากนั้นครอบครัว Trotsky ยังเดินทาง ไปมาในเมืองนิวยอร์ค ด้วยรถยนต์ ที่มีคนขับรถประจำ นี่ใช่เรื่องของ Leon Trostky ซึ่งมีชื่อปรากฎในประวัติศาสตร์ว่า เป็นนักปฏิวัติสังคมนิยมคนดัง ของรัสเซีย แน่หรือ Trotsky เขียนเล่าถึงชีวิตเขาที่นิวยอร์ค ในชีวประวัติของเขาต่อไปว่า ” ระหว่างอยู่นิวยอร์ค ช่วงปี 1916 ถึง 1917 ผมมีรายได้เพียง 310 เหรียญ ซึ่งผมได้แจกเงินดังกล่าวทั้งหมดให้แก่คนรัสเซีย 5 คน ที่อยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นค่าเดินทางกลับบ้าน” ขณะเดียวกัน อพาร์ตเมนท์ที่เขาอยู่ ก็มีการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า 3 เดือน เขาต้องเลี้ยงดูเมีย 1 และลูกอีก 2 เขามีรถยนต์ใช้และมีคนขับรถประจำ นี่คือวิถีชีวิตของนักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม ที่อ้างว่าดำรงชีพ ด้วยการเขียนบทความลงหนังหนังสือพิมพ์เป็นครั้งคราว เรื่องราวของเขา คงไม่ตรงไปตรงมา อย่างที่เราเคยเข้าใจกัน หรือว่าพวกนักปฏิวัติ นักปฏิรูป เขาเป็นกันอย่างนี้ทั้งนั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเงินสดจำนวน 1 หมื่นเหรียญ ที่นาย Trotsky พกติดตัวและถูกเจ้าหน้าที่ค้นพบ ระหว่างที่เขาถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับ ในเดือนเมษายน 1917 ที่เมือง Halifax เมื่อ 100 ปีก่อน เงิน 1 หมื่นเหรียญ นี่เป็นเงินจำนวนไม่เล็กน้อยนะครับ นักปฏิวัติเพื่อสังคมนิยม เอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน มีข่าวลือว่า เงิน 1 หมื่นเหรียญนั้น มาจากเยอรมัน ข่าวนี้มาจากฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษ ซึ่งรายงานว่า นาย Gregory Weinstein ซึ่งต่อมา เป็นสมาชิกที่โด่งดังของ Soviet Bureau ประจำนครนิวยอร์ค เป็นคนรับเงินมา และนำมาส่งให้นาย Trotsky ที่นิวยอร์ค เงินจำนวนนี้มาจากเยอรมัน โดยการฟอกผ่าน Volks-zeitung น.ส.พ. รายวันของเยอรมัน ที่รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนอยู่ ขณะที่มีข่าวว่า Trotsky ได้รับเงินอุดหนุนจากเยอรมัน Trotsky กลับเคลี่อนไหวอยู่ในอเมริกา ก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากนิวยอร์ค ไปรัสเซีย….เพื่อไปทำการปฏิวัติ ! นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 2 วันที่ 5 มีนาคม 1917 หนังสือพิมพ์อเมริกัน พากันพาดหัวข่าวตัวโต ถึงความเป็นไปได้ ที่อเมริกาจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อทำสงครามกับเยอรมัน คืนวันนั้นเอง Trotsky ก็ไปร่วมการชุมนุมของกลุ่มชาวสังคมนิยมในนิวยอร์คด้วย เขาพูดปลุกระดมให้ชาวสังคมนิยมในอเมริกา จัดการให้มีการนัดหยุดงาน และต่อต้านการเกณท์ทหาร หากอเมริกาจะเข้าร่วมทำสงครามต่อสู้กับเยอรมัน (ท่านผู้อ่านนิทาน คงพอจำกันได้ว่า ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่นำโดยอังกฤษ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ในปี 1914 นั้น อเมริกายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสงครามด้วย และมีสถานะเป็นประเทศเป็นกลางอยู่หลายปี) หลังจากนั้นประมาณสัปดาห์กว่า ในวันที่ 16 มีนาคม 1917 ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในรัสเซีย ซาร์นิโคลัส ที่ 2 ถูกปฏิวัติให้ลงจากบัลลังก์ โดยกลุ่มนักปฏิวัติ ที่นำโดยนาย Aleksandre Kerensky หนังสือพิมพ์ Novy Mir ได้มาขอสัมภาษณ์ Leon Trotsky ซึ่งให้ความเห็นไว้เหมือนคนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า “คณะผู้บริหาร ที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่แทนพวกซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปนั้น ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือทำตามวัตถุประสงค์ ของพวกที่ต้องการปฏิวัติ คณะผู้บริหารนี้คงอยู่ไม่นานหรอก อีกหน่อยก็คงลาออกไป เพื่อให้กลุ่มคนที่สามารถจะนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย มาทำหน้าที่ต่อไป…” กลุ่มคนที่สามารถนำพารัสเซียไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของ Trotsky คือ พวก Bolsheviks และ Menshevik ซึ่งกำลังลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ และกำลังรีบเร่งเดินทางกลับรัส เซีย ส่วนคณะผู้บริหารนั้น หมายถึง รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional Government ของกลุ่มนาย Aleksandr Kerensky ที่ทำการปฏิวัติในวันที่ 16 มีนาคม คศ 1917 แล้วนาย Trotsky ก็ออกเดินทางจากนครนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1917 ด้วยเรือเดินสมุทรชื่อ S S Kristainiafjord เขาผ่านด่านตรวจ ขึ้นเรือดังกล่าวด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา เขาเดินทางพร้อมพรรคพวกอีกหลายคน เพื่อจะไปทำการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังมีนักการเงินจากวอลสตรีท คอมมิวนิสต์สัญชาติอเมริกัน และบุคคลน่าสนใจอีกหลายคน ร่วมเดินทางไปกับนาย Trotsky ด้วย นาย Trotsky เอาพาสปอร์ตของอเมริกามาจากไหน นาย Jennings C. Wise เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “Woodlow Wilson : Disciple Revolution” ว่า นักประวัติศาสตร์จะต้องไม่ลืมว่า ประธานาธิบดีของอเมริกา นาย Woodlow Wilson เป็นนางฟ้า ที่มาเศกให้นาย Leon Trotsky เดินทางเข้ารัสเซียได้สำเร็จ ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา แม้ว่าจะมีการพยายามขัดขวางโดยตำรวจอังกฤษก็ตาม” คงเกินกว่าที่เราจะคาดคิดว่า ประธานาธิบดี Wilson เป็นนางฟ้ามาเศกให้นาย Trotsky ได้ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยอเมริกา เพื่อเดินทางกลับไปรัสเซีย และไปดำเนินการปฏิวัติต่อให้สำเร็จ (ตามเป้าหมาย!?) และเป็นพาสปอร์ตของอเมริกา ที่สามารถผ่านเข้าออกได้ทุกด่านของอเมริกา รวมทั้งมีวีซ่าอนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีกด้วย นางฟ้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่สมัยนั้น จนถึงเดี๋ยวนี่ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นนางฟ้า หรือไม่ อ่านนิทานต่อไปเรื่อยๆ คนอ่านนิทาน คงนึกออกว่าควรจะเรียกว่าอะไร นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 3 ส่วนผสมของผู้โดยสาร ที่เดินทางไปในเรือ S S Kristainiafjord ได้ถูกบันทึกไว้โดยนาย Lincoln Steffens คอมมิวนิสต์ชาวอเมริกัน ดังนี้: “…รายชื่อผู้โดยสารยาวเหยียด และดูลึกลับน่าสนใจ แน่นอน Trotsky แสดงตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มนักปฏิวัติ มีนักปฎิวัติชาวญี่ปุ่น นอนเคบินเดียวกับผม มีชาวดัชท์หลายคนที่รีบร้อนกลับเมืองชะวา พวกนี้ดูจะเป็นกลุ่มเดียวที่ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เกี่ยวโยงกับสงครามโลกที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้ มีพวกนักการเงินวอลสตรีท 2 คน มุ่งหน้าไปเยอรมัน.. ” นาย Steffens เองนั้น โดยสารไปในเรือเดินสมุทร โดยคำเชิญของ นาย Charles R Crane เจ้าของกระเป๋าทุนใบใหญ่ที่สนับสนุน ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในการสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นาย Crane นั้น เป็นรองประธานบริษัท Crane Company ซึ่งภายหลัง เป็นคนไปตั้งบริษัท Westinghouse สาขารัสเซีย หลังการปฏิวัติของรัสเซียรอบที่กลุ่ม Bolsheviks เป็นผู้ปฎิบัติการสำเร็จเรียบร้อย นาย Crane ยังเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ Root Mission ที่ประธานาธิบดี Wilson ส่งไปสำรวจรัสเซียทุกตารางนิ้ว หลังการปฏิวัติอีกด้วย นาย Crane เดินทางไปรัสเซียในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1890 ถึง 1930 ประมาณ 23 ครั้ง ลูกชายของเขา Richard Crane เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ของนาย Robert Lansing รัฐมนตรีต่างเทศของอเมริกาขณะนั้น นาย William Dodd อดีตทูตอเมริกันประจำเยอรมัน พูดถึงนาย Crane ว่า เป็นผู้มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้การปฏิวัติในรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม โดยกลุ่มของ Aleksandr Kerensky กลายเป็นการปฏิวัติชั่วคราว ที่นำร่อง เปิดทางให้กับการปฏิวัติของจริง ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกัน นาย Steffens ได้บันทึกการสนทนา ที่เขาได้ยินระหว่างการเดินทางในเรือเดินสมุทรไว้ว่า “…. ดูเหมือนทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า การปฏิวัติที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม (โดย Aleksandr Kerensky) เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้นเอง มันจะต้องมีตอนต่อไป Crane และพวกรัสเซียหัวก้าวหน้าที่อยู่ในเรือ คิดว่าพวกที่กำลังเดินทางจะไปเมือง Petrograd (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นเมือง St Petersberg ) เพื่อไปทำการปฏิวัติซ้ำ…” เมื่อนาย Crane กลับมาอเมริกาในเดือนธันวาคม 1917 หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิก Bolsheviks Revolution (หรือการปฏิวัติซ้ำ นั่นแหละ) สำเร็จเรียบร้อยแล้ว นาย Crane ก็ได้รับโทรเลข ลงวันที่ 11 ธันวาคม 1917 จากกระทรวงต่างประเทศ รายงานความคืบหน้าโดย นาย Maddin Summers กงสุลอเมริกันประจำกรุงมอสโคว์ พร้อมจดหมายปะหน้าจากนาย Summers ว่า ” กระผม ขออนุญาตนำเสนอรายงานที่แนบมา นี้ และสำเนาอีกหนึ่งฉบับ โดยขอให้กระทรวงฯ ได้โปรดนำส่งให้ นาย Charles Crane เพื่อทราบความคืบหน้าด้วย หวังว่าทางกระทรวงคงไม่ขัดข้อง ที่จะให้นาย Crane ได้เห็นรายงาน….” สำหรับท่านผู้อ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องเหยื่อ คงพอจำชื่อนี้ได้ เขาคือ นาย Crane คนเดียวกันกับ เจ้าของรายงาน King Crane Report ที่ไปเดินสำรวจตะวันออกกลาง เพื่อทำประชามติว่า ชาวอาหรับต้องการจะอยู่ในความปกครอง ของใคร หลังจากถูกอังกฤษหลอก โดยให้สายลับ ที่เรารู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เป็นผู้นำชาวอาหรับ ไปรบกับตุรกี และยึดหลายเมืองในตะวันออกกลางได้ และเป็นนาย Crane คนเดียวกัน ที่สามารถจับมือให้กษัตริย์ซาอุดิอารเบีย ตัดสินใจเปิดประตูเมืองครั้งแรก และให้สัมปทานน้ำมันแก่อเมริกา เริ่มศักราช Petro Dollar ร่วมกันรวย ช่วยกันปั่น มาจนถึงทุกวันนี้ พอเห็นเค้าแล้วนะครับ ว่านิทานเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/_NMDsATaZco?si=0iIf7_ANc8XFXu8Q
    https://youtu.be/_NMDsATaZco?si=0iIf7_ANc8XFXu8Q
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX – แรงระดับ 36 TOPS รองรับ AI และ Virtualization เต็มรูปแบบ

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ภาพ/วิดีโอ, การทำ Virtualization และการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ โดยใช้ชิป Intel Core Ultra พร้อม NPU และ GPU ในตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 36 TOPS

    สเปกเด่นของ TVS-AIh1688ATX
    ใช้ Intel Core Ultra 9/7 พร้อม NPU และ GPU
    พลังประมวลผล AI สูงสุด 36 TOPS
    รองรับ DDR5 ECC สูงสุด 192GB
    มี 12 ช่อง SATA HDD และ 4 ช่อง U.2 NVMe/SATA SSD

    การเชื่อมต่อและขยายระบบ
    รองรับ Thunderbolt 5 และ USB4
    มีพอร์ต 10GbE และ 2.5GbE ในตัว
    รองรับการขยายเครือข่ายถึง 100GbE ผ่าน PCIe

    ระบบปฏิบัติการ QuTS hero (ZFS)
    มีฟีเจอร์ self-healing, snapshot, deduplication
    รองรับ SnapSync สำหรับการกู้คืนข้อมูล
    รองรับการทำ HA cluster เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ

    การใช้งานในองค์กร
    เหมาะกับงาน AI inference, video analytics, virtualization
    รองรับการทำงานร่วมกับ workstation ผ่าน Thunderbolt
    ขยายพื้นที่เก็บข้อมูลได้ระดับ petabyte ด้วย JBOD

    https://www.techpowerup.com/342280/qnap-launches-tvs-aih1688atx-ai-nas-with-36-tops-for-ai-and-virtualization
    🧠 QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX – แรงระดับ 36 TOPS รองรับ AI และ Virtualization เต็มรูปแบบ QNAP เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ TVS-AIh1688ATX ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ภาพ/วิดีโอ, การทำ Virtualization และการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ โดยใช้ชิป Intel Core Ultra พร้อม NPU และ GPU ในตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 36 TOPS ✅ สเปกเด่นของ TVS-AIh1688ATX ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 9/7 พร้อม NPU และ GPU ➡️ พลังประมวลผล AI สูงสุด 36 TOPS ➡️ รองรับ DDR5 ECC สูงสุด 192GB ➡️ มี 12 ช่อง SATA HDD และ 4 ช่อง U.2 NVMe/SATA SSD ✅ การเชื่อมต่อและขยายระบบ ➡️ รองรับ Thunderbolt 5 และ USB4 ➡️ มีพอร์ต 10GbE และ 2.5GbE ในตัว ➡️ รองรับการขยายเครือข่ายถึง 100GbE ผ่าน PCIe ✅ ระบบปฏิบัติการ QuTS hero (ZFS) ➡️ มีฟีเจอร์ self-healing, snapshot, deduplication ➡️ รองรับ SnapSync สำหรับการกู้คืนข้อมูล ➡️ รองรับการทำ HA cluster เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ ✅ การใช้งานในองค์กร ➡️ เหมาะกับงาน AI inference, video analytics, virtualization ➡️ รองรับการทำงานร่วมกับ workstation ผ่าน Thunderbolt ➡️ ขยายพื้นที่เก็บข้อมูลได้ระดับ petabyte ด้วย JBOD https://www.techpowerup.com/342280/qnap-launches-tvs-aih1688atx-ai-nas-with-36-tops-for-ai-and-virtualization
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    QNAP Launches TVS-AIh1688ATX AI NAS with 36 TOPS for AI and Virtualization
    QNAP Systems, Inc., a leading computing, networking and storage solution innovator, today launched the TVS-AIh1688ATX, an enterprise-grade AI NAS that integrates the latest Intel Core Ultra processors and Neural Processing Unit (NPU), delivering up to 36 TOPS of total AI performance. Designed for AI...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเอง – กลยุทธ์เรียบง่ายจากดาวเทียมเพื่อสู้โลกร้อน

    ลองจินตนาการว่าพื้นที่ป่าที่เคยถูกตัดไม้ทำลายไป กลับกลายเป็นความหวังใหม่ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ไม่ใช่ด้วยการปลูกต้นไม้ใหม่ แต่ด้วยการ “ปล่อยให้ธรรมชาติทำงานของมันเอง”

    นักวิจัยจากวารสาร Nature ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมระหว่างปี 2000–2016 เพื่อศึกษาการฟื้นตัวของป่าฝนเขตร้อน พบว่ามีพื้นที่จำนวนมหาศาลทั่วโลกที่สามารถกลับมาเป็นป่าได้โดยใช้การจัดการเพียงเล็กน้อย เช่น ป้องกันไฟป่า กำจัดพืชรุกราน และห้ามสัตว์เลี้ยงเข้าไปในพื้นที่

    ข้อมูลจากดาวเทียมละเอียดถึงระดับ 30 ตารางเมตรต่อจุด ทำให้สามารถสร้างแผนที่แสดงพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฟื้นฟูได้อย่างแม่นยำ โดยกว่า 50% ของพื้นที่ที่มีศักยภาพอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีน โคลอมเบีย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก

    การปล่อยให้ป่าฟื้นตัวเองมีข้อดีคือใช้งบประมาณน้อยกว่าการปลูกใหม่ และยังส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า เพราะไม่ต้องเลือกปลูกเฉพาะพันธุ์ไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ

    แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลยุทธ์นี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดคาร์บอนในบรรยากาศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในประเทศที่มีงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมจำกัด

    การฟื้นตัวของป่าฝนเขตร้อน
    ใช้ข้อมูลดาวเทียมระหว่างปี 2000–2016
    พบว่าป่าฟื้นตัวเองได้ดีหากมีการจัดการเล็กน้อย
    เช่น ป้องกันไฟป่า กำจัดพืชรุกราน และห้ามสัตว์เลี้ยงเข้าไป

    พื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการฟื้นฟู
    กว่า 50% อยู่ใน 5 ประเทศ: บราซิล จีน โคลอมเบีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก
    ข้อมูลจากดาวเทียมละเอียดถึง 30 ตารางเมตรต่อจุด
    ช่วยสร้างแผนที่ฟื้นฟูที่แม่นยำกว่าการศึกษาก่อนหน้า

    ข้อดีของการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเอง
    ใช้งบประมาณน้อยกว่าการปลูกใหม่
    ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
    ลดโอกาสที่ป่าจะถูกตัดอีกในอนาคต

    ความท้าทายในการฟื้นฟูธรรมชาติ
    ต้องมีการจัดการเบื้องต้นเพื่อให้ป่าฟื้นตัวได้เต็มที่
    เช่น การควบคุมไฟป่าและสัตว์เลี้ยง
    หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐหรือองค์กร อาจไม่เกิดผลในระยะยาว

    https://www.slashgear.com/2003428/satellite-imaging-forest-regrowth-global-warming/
    🌳 ปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเอง – กลยุทธ์เรียบง่ายจากดาวเทียมเพื่อสู้โลกร้อน ลองจินตนาการว่าพื้นที่ป่าที่เคยถูกตัดไม้ทำลายไป กลับกลายเป็นความหวังใหม่ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ไม่ใช่ด้วยการปลูกต้นไม้ใหม่ แต่ด้วยการ “ปล่อยให้ธรรมชาติทำงานของมันเอง” นักวิจัยจากวารสาร Nature ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมระหว่างปี 2000–2016 เพื่อศึกษาการฟื้นตัวของป่าฝนเขตร้อน พบว่ามีพื้นที่จำนวนมหาศาลทั่วโลกที่สามารถกลับมาเป็นป่าได้โดยใช้การจัดการเพียงเล็กน้อย เช่น ป้องกันไฟป่า กำจัดพืชรุกราน และห้ามสัตว์เลี้ยงเข้าไปในพื้นที่ ข้อมูลจากดาวเทียมละเอียดถึงระดับ 30 ตารางเมตรต่อจุด ทำให้สามารถสร้างแผนที่แสดงพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการฟื้นฟูได้อย่างแม่นยำ โดยกว่า 50% ของพื้นที่ที่มีศักยภาพอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีน โคลอมเบีย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก การปล่อยให้ป่าฟื้นตัวเองมีข้อดีคือใช้งบประมาณน้อยกว่าการปลูกใหม่ และยังส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า เพราะไม่ต้องเลือกปลูกเฉพาะพันธุ์ไม้ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลยุทธ์นี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดคาร์บอนในบรรยากาศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในประเทศที่มีงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมจำกัด ✅ การฟื้นตัวของป่าฝนเขตร้อน ➡️ ใช้ข้อมูลดาวเทียมระหว่างปี 2000–2016 ➡️ พบว่าป่าฟื้นตัวเองได้ดีหากมีการจัดการเล็กน้อย ➡️ เช่น ป้องกันไฟป่า กำจัดพืชรุกราน และห้ามสัตว์เลี้ยงเข้าไป ✅ พื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการฟื้นฟู ➡️ กว่า 50% อยู่ใน 5 ประเทศ: บราซิล จีน โคลอมเบีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก ➡️ ข้อมูลจากดาวเทียมละเอียดถึง 30 ตารางเมตรต่อจุด ➡️ ช่วยสร้างแผนที่ฟื้นฟูที่แม่นยำกว่าการศึกษาก่อนหน้า ✅ ข้อดีของการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเอง ➡️ ใช้งบประมาณน้อยกว่าการปลูกใหม่ ➡️ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ➡️ ลดโอกาสที่ป่าจะถูกตัดอีกในอนาคต ‼️ ความท้าทายในการฟื้นฟูธรรมชาติ ⛔ ต้องมีการจัดการเบื้องต้นเพื่อให้ป่าฟื้นตัวได้เต็มที่ ⛔ เช่น การควบคุมไฟป่าและสัตว์เลี้ยง ⛔ หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐหรือองค์กร อาจไม่เกิดผลในระยะยาว https://www.slashgear.com/2003428/satellite-imaging-forest-regrowth-global-warming/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Satellites Discovered A Surprisingly Simple Strategy To Combat Climate Change - SlashGear
    By tracking forest regrowth from space, scientists found that letting nature reforest itself could capture carbon cheaply and effectively across the tropics.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starshield ดาวเทียมทหารสหรัฐฯ ส่งสัญญาณรบกวนระบบพลเรือน – ความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผย

    ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้วงการอวกาศต้องหันมามองอย่างจริงจัง เมื่อเครือข่ายดาวเทียม Starshield ซึ่งเป็นระบบสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NRO) ถูกพบว่ากำลังส่งสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ที่ใช้โดยดาวเทียมพลเรือน

    เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานรัฐ แต่กลับเป็น Scott Tilley นักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากแคนาดา ที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณจากอวกาศที่เชื่อมโยงกลับไปยัง Starshield โดยตรง เขาให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในช่องทางอื่น

    แม้ว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ส่งผลกระทบในระดับรุนแรง แต่หากการรบกวนยังดำเนินต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบสื่อสารพลเรือน เช่น GPS, การพยากรณ์อากาศ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    Starshield มีจุดเด่นคือใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลทางทหารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ใช้ดาวเทียมวงโคจรสูงที่มีต้นทุนสูงและจำกัดผู้ให้บริการ

    นอกจากนี้ การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ใช่ของทหารโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะช่องสัญญาณเดิมแออัด หรือมีเหตุผลลับอื่นที่ยังไม่เปิดเผย

    ระบบดาวเทียม Starshield ของกองทัพสหรัฐฯ
    พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับ NRO
    ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร
    ช่วยให้ทหารภาคสนามรับข้อมูลได้เกือบทันที

    การรบกวนคลื่นความถี่ของดาวเทียมพลเรือน
    เกิดจากสัญญาณที่ส่งจาก Starshield โดยไม่ใช่คลื่นทหารทั่วไป
    อาจเป็นเพราะช่องสัญญาณทหารแออัด
    ยังไม่มีคำชี้แจงจาก SpaceX หรือ NRO

    การค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่น
    Scott Tilley ตรวจพบสัญญาณโดยบังเอิญ
    ให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย

    ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดาวเทียม
    ดาวเทียมวงโคจรต่ำเปิดโอกาสให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขัน
    เช่น Project Kuiper และ OneWeb

    ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารพลเรือน
    หากการรบกวนเพิ่มขึ้น อาจกระทบ GPS, อินเทอร์เน็ต และการพยากรณ์อากาศ
    ยังไม่มีการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

    การใช้คลื่นความถี่โดยไม่มีการแจ้งเตือน
    อาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสื่อสาร
    สร้างความไม่ไว้วางใจต่อการใช้งานดาวเทียมทหารในพื้นที่พลเรือน

    https://www.slashgear.com/2005346/starlink-vs-starshield-civilian-satellite-control/
    🛰️ Starshield ดาวเทียมทหารสหรัฐฯ ส่งสัญญาณรบกวนระบบพลเรือน – ความลับที่เพิ่งถูกเปิดเผย ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2025 มีเหตุการณ์ที่ทำให้วงการอวกาศต้องหันมามองอย่างจริงจัง เมื่อเครือข่ายดาวเทียม Starshield ซึ่งเป็นระบบสื่อสารของกองทัพสหรัฐฯ ที่พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (NRO) ถูกพบว่ากำลังส่งสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ที่ใช้โดยดาวเทียมพลเรือน เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยโดยหน่วยงานรัฐ แต่กลับเป็น Scott Tilley นักดาราศาสตร์สมัครเล่นจากแคนาดา ที่บังเอิญตรวจพบสัญญาณจากอวกาศที่เชื่อมโยงกลับไปยัง Starshield โดยตรง เขาให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในช่องทางอื่น แม้ว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่ส่งผลกระทบในระดับรุนแรง แต่หากการรบกวนยังดำเนินต่อไป อาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อระบบสื่อสารพลเรือน เช่น GPS, การพยากรณ์อากาศ และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม Starshield มีจุดเด่นคือใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูลทางทหารรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ใช้ดาวเทียมวงโคจรสูงที่มีต้นทุนสูงและจำกัดผู้ให้บริการ นอกจากนี้ การใช้คลื่นความถี่ที่ไม่ใช่ของทหารโดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะช่องสัญญาณเดิมแออัด หรือมีเหตุผลลับอื่นที่ยังไม่เปิดเผย ✅ ระบบดาวเทียม Starshield ของกองทัพสหรัฐฯ ➡️ พัฒนาโดย SpaceX ภายใต้สัญญากับ NRO ➡️ ใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ➡️ ช่วยให้ทหารภาคสนามรับข้อมูลได้เกือบทันที ✅ การรบกวนคลื่นความถี่ของดาวเทียมพลเรือน ➡️ เกิดจากสัญญาณที่ส่งจาก Starshield โดยไม่ใช่คลื่นทหารทั่วไป ➡️ อาจเป็นเพราะช่องสัญญาณทหารแออัด ➡️ ยังไม่มีคำชี้แจงจาก SpaceX หรือ NRO ✅ การค้นพบโดยนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ➡️ Scott Tilley ตรวจพบสัญญาณโดยบังเอิญ ➡️ ให้สัมภาษณ์กับ NPR แต่ยังไม่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย ✅ ความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมดาวเทียม ➡️ ดาวเทียมวงโคจรต่ำเปิดโอกาสให้บริษัทใหม่เข้ามาแข่งขัน ➡️ เช่น Project Kuiper และ OneWeb ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบสื่อสารพลเรือน ⛔ หากการรบกวนเพิ่มขึ้น อาจกระทบ GPS, อินเทอร์เน็ต และการพยากรณ์อากาศ ⛔ ยังไม่มีการสอบสวนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ‼️ การใช้คลื่นความถี่โดยไม่มีการแจ้งเตือน ⛔ อาจละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการสื่อสาร ⛔ สร้างความไม่ไว้วางใจต่อการใช้งานดาวเทียมทหารในพื้นที่พลเรือน https://www.slashgear.com/2005346/starlink-vs-starshield-civilian-satellite-control/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Military Version Of Starlink Is Causing Problems For Civilian Satellites - SlashGear
    The military's equivalent of Starlink, which allows for troops to remain in contact, is now disrupting other satellites, as discovered by a civilian tracker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis

    เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก

    ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น

    คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น

    ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป

    Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง

    กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth

    ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน

    ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น

    ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024

    กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ

    ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    🎶 เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis ▶️ เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก 🎂 ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น ✍️ คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น 🎼 ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป 🎤 Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง 💿 กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth 🎗️ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน 🏆 ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น 🌏 ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024 ⌛ กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ 📻 ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง

    Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ

    SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้

    นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา

    ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung
    พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง
    ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์
    รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN)

    ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่
    ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า
    คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า
    รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้

    การลงทุนของ SpaceX
    ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G
    มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์
    แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก

    การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น
    โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์
    ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ
    ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ
    การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม
    การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก

    https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    🚀 Starlink จับมือ Samsung พัฒนาโมเด็ม AI – ปูทางสู่การเชื่อมต่อ 6G จากดาวเทียมสู่มือถือโดยตรง Starlink ของ Elon Musk กำลังร่วมมือกับ Samsung เพื่อพัฒนาโมเด็มรุ่นใหม่ที่มีหน่วยประมวลผล AI (NPU) ในตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโลกกับดาวเทียมได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสถานีฐานแบบเดิม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) โมเด็มใหม่นี้จะใช้ AI ในการ “คาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์” ซึ่งช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Samsung อ้างว่าโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่สามารถปรับปรุงการระบุลำแสงและการคาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีกว่าเดิมถึง 55 เท่าและ 42 เท่าตามลำดับ SpaceX ยังลงทุนซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G NTN โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการผลักดันเทคโนโลยีนี้ นอกจากการใช้งานในสมาร์ทโฟนแล้ว โมเด็มนี้ยังสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ซึ่งไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับอุปกรณ์พกพา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ Samsung ➡️ พัฒนาโมเด็มที่มี NPU เพื่อเชื่อมต่อกับดาวเทียมโดยตรง ➡️ ใช้ AI ในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมและปรับสัญญาณแบบเรียลไทม์ ➡️ รองรับเครือข่าย 6G แบบ non-terrestrial network (NTN) ✅ ความสามารถของโมเด็ม Exynos รุ่นใหม่ ➡️ ปรับปรุงการระบุลำแสงได้ดีขึ้น 55 เท่า ➡️ คาดการณ์ช่องสัญญาณได้ดีขึ้น 42 เท่า ➡️ รองรับการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่โมเด็มปัจจุบันยังทำไม่ได้ ✅ การลงทุนของ SpaceX ➡️ ซื้อคลื่นความถี่ 50 MHz และ MSS เพื่อรองรับบริการ 6G ➡️ มูลค่าการลงทุนสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์ ➡️ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายดาวเทียมระดับโลก ✅ การใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ➡️ โมเด็มสามารถนำไปใช้ในยานยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ไม่ต้องการประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงเท่ากับสมาร์ทโฟน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเชื่อมต่อโดยตรงกับดาวเทียมยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องทดสอบ ⛔ ความแม่นยำในการคาดการณ์ตำแหน่งดาวเทียมอาจมีผลต่อคุณภาพสัญญาณ ⛔ การใช้งานในสมาร์ทโฟนอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านพลังงานและขนาดโมเด็ม ⛔ การพัฒนาโมเด็ม AI ต้องใช้ทรัพยากรสูงและอาจมีต้นทุนที่แพงในช่วงแรก https://www.tomshardware.com/networking/elon-musks-starlink-reportedly-tasks-samsung-to-build-ai-powered-modem-space-based-6g-service-could-revolutionize-satellite-to-device-connectivity
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Elon Musk's Starlink reportedly tasks Samsung to build AI-powered modem — space-based 6G service could revolutionize satellite-to-device connectivity
    The modem’s NPU will be used to ‘predict satellite trajectories and optimize signal links in real time,’ it is claimed.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen

    ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen!

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว

    ช่องโหว่ที่ค้นพบ
    อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA
    ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์
    สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้
    พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน
    ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ
    ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA

    นักวิจัยที่ค้นพบ
    Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli
    ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025
    FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์

    ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation
    ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum
    แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน
    รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์
    การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation
    การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment
    ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล
    หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง
    ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time

    https://ian.sh/fia
    🏎️ เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen! ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบ ➡️ อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ➡️ ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ ➡️ สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้ ✅ ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน ➡️ ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ ➡️ ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA ✅ นักวิจัยที่ค้นพบ ➡️ Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli ➡️ ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025 ➡️ FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์ ✅ ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation ➡️ ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum ➡️ แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน ➡️ รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์ ⛔ การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation ⛔ การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment ⛔ ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง ⛔ ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time https://ian.sh/fia
    IAN.SH
    Hacking Formula 1: Accessing Max Verstappen's passport and PII through FIA bugs
    We found vulnerabilities in the FIA's Driver Categorisation platform, allowing us to access PII and password hashes of any racing driver with a categorisation rating.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ”

    ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo

    แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ

    เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink

    แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

    รายละเอียดของการควบรวม
    Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม
    ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo
    สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3
    ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ

    เป้าหมายของดีล
    สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด
    ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3
    แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin
    เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX

    ความท้าทายและความล่าช้า
    การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย
    ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ
    ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน
    เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน

    สภาพตลาดดาวเทียม
    ตลาด geostationary กำลังหดตัว
    ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว
    Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband
    ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    🛰️ “Airbus–Thales–Leonardo รวมพลังสร้างแชมป์ดาวเทียมยุโรป – แม้ประกาศล่าช้า แต่ดีลยังเดินหน้าเต็มสูบ” ยุโรปกำลังรวมพลังเพื่อท้าชน Starlink ของ Elon Musk ด้วยการควบรวมกิจการด้านการผลิตดาวเทียมระหว่างสามยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอวกาศ ได้แก่ Airbus, Thales, และ Leonardo โดยมีชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo แม้การประกาศอย่างเป็นทางการจะล่าช้าไป 1–2 วัน เพราะทีมกฎหมายยังตรวจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ แต่แหล่งข่าวยืนยันว่า แผนควบรวมยังคงอยู่ครบ และไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ เป้าหมายของดีลนี้คือการรวมสินทรัพย์ด้านดาวเทียมของทั้งสามบริษัทเข้าไว้ในบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายจะถือหุ้นประมาณหนึ่งในสาม หลังจากมีการปรับสมดุลด้วยการชำระเงินระหว่างกัน ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้จะใช้เวลาราว สองปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ยุโรปกลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงหนึ่งในสาม — แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตลาด geostationary กำลังหดตัว เพราะการเติบโตของดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เช่น Starlink แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยเรื่องการแต่งตั้ง CEO, CFO และประธานบริษัท ซึ่งเคยเป็นปัญหาในดีลยุโรปก่อนหน้านี้ แต่แหล่งข่าวระบุว่าทั้งสามฝ่ายมีความตั้งใจร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพราะต่างก็เผชิญกับ การขาดทุนและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง ✅ รายละเอียดของการควบรวม ➡️ Airbus, Thales และ Leonardo รวมกิจการด้านดาวเทียม ➡️ ใช้ชื่อรหัสโครงการว่า Projet Bromo ➡️ สร้างบริษัทโฮลดิ้งใหม่ โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นประมาณ 1/3 ➡️ ใช้เวลาราว 2 ปีในการจัดโครงสร้างและขออนุมัติ ✅ เป้าหมายของดีล ➡️ สร้างผู้ผลิตดาวเทียม geostationary เชิงพาณิชย์รายใหญ่ที่สุด ➡️ ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1/3 ➡️ แซงหน้า Maxar, Northrop Grumman และ Lockheed Martin ➡️ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับ Starlink และ SpaceX ✅ ความท้าทายและความล่าช้า ➡️ การประกาศดีลล่าช้าเพราะตรวจรายละเอียดทางกฎหมาย ➡️ ยังไม่มีอุปสรรคใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ ➡️ ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารยังต้องตกลงกัน ➡️ เคยมีดีลล้มเพราะติด EU antitrust มาก่อน ✅ สภาพตลาดดาวเทียม ➡️ ตลาด geostationary กำลังหดตัว ➡️ ดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (LEO) เติบโตเร็ว ➡️ Starlink เป็นผู้นำในตลาด LEO broadband ➡️ ผู้เล่นยุโรปต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/23/europe-satellite-merger-intact-as-announcement-slips-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Europe satellite merger intact as announcement slips, sources say
    PARIS/ROME (Reuters) -Europe's aerospace giants kept investors waiting an extra day for details of a new space champion on Wednesday as lawyers and advisers pored over the smallprint, but merger plans remained intact, people familiar with the talks said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Starlink จับมือ Muon เปิดตัว ‘เลเซอร์อวกาศ’ เชื่อมดาวเทียมแบบเรียลไทม์ – ส่งข้อมูลเร็วถึง 25Gbps ไกล 4,000 กม.”

    Muon Space บริษัทด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ประกาศความร่วมมือกับ Starlink ของ SpaceX เพื่อสร้างระบบเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ในอวกาศ โดยใช้ “เลเซอร์อวกาศ” เชื่อมโยงดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink โดยตรง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้ดาวเทียมบินผ่านสถานีภาคพื้นอีกต่อไป

    ระบบใหม่นี้จะใช้ Starlink Mini Laser Terminals ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 25Gbps และครอบคลุมระยะทางไกลถึง 4,000 กิโลเมตร โดย Muon ระบุว่า latency จากเดิมที่เฉลี่ย 20 นาที จะลดลงเหลือ “เกือบเรียลไทม์”

    หนึ่งในภารกิจแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ FireSat ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ Earth Fire Alliance เพื่อเฝ้าระวังไฟป่าแบบทันที โดยดาวเทียมจะสามารถแจ้งเตือนการเกิดไฟใหม่ได้ทันที ช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่

    นอกจากนี้ Muon ยังเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะเปิดทางให้เกิด “Data center-class pipelines” ในอวกาศ เช่น การประมวลผล edge computing, AI inference และการสร้างผลิตภัณฑ์ข้อมูลแบบทันทีจากอวกาศ

    ระบบนี้ยังมีความปลอดภัยสูง โดยใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และการยืนยันตัวตนด้วยฮาร์ดแวร์ พร้อม uptime สูงถึง 99% แม้จะมีการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียม

    ความร่วมมือระหว่าง Muon และ Starlink
    ใช้ Starlink Mini Laser Terminals เชื่อมดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink
    ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 25Gbps และไกลถึง 4,000 กม.
    ลด latency จาก 20 นาที เหลือเกือบเรียลไทม์
    ใช้กับแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon
    เตรียมเปิดตัวดาวเทียมรุ่นแรกใน Q1 ปี 2027

    ภารกิจและการใช้งาน
    FireSat ใช้เลเซอร์อวกาศแจ้งเตือนไฟป่าแบบทันที
    ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่าขนาดใหญ่
    รองรับการประมวลผล edge computing และ AI inference ในอวกาศ
    สร้างระบบข้อมูลแบบ real-time จากอวกาศสู่โลก

    ความปลอดภัยและความเสถียร
    ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และ hardware authentication
    ออกแบบให้มี uptime สูงถึง 99%
    รองรับการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียมแบบไร้รอยต่อ

    https://www.tomshardware.com/networking/starlink-and-muon-fuse-space-lasers-and-satellites-to-deliver-industry-first-persistent-optical-connectivity-in-orbit-will-enable-25-gbps-data-transfer-at-distances-up-to-4-000km
    🚀 “Starlink จับมือ Muon เปิดตัว ‘เลเซอร์อวกาศ’ เชื่อมดาวเทียมแบบเรียลไทม์ – ส่งข้อมูลเร็วถึง 25Gbps ไกล 4,000 กม.” Muon Space บริษัทด้านเทคโนโลยีดาวเทียม ประกาศความร่วมมือกับ Starlink ของ SpaceX เพื่อสร้างระบบเชื่อมต่อข้อมูลแบบใหม่ในอวกาศ โดยใช้ “เลเซอร์อวกาศ” เชื่อมโยงดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink โดยตรง ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้ดาวเทียมบินผ่านสถานีภาคพื้นอีกต่อไป ระบบใหม่นี้จะใช้ Starlink Mini Laser Terminals ที่ติดตั้งบนแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 25Gbps และครอบคลุมระยะทางไกลถึง 4,000 กิโลเมตร โดย Muon ระบุว่า latency จากเดิมที่เฉลี่ย 20 นาที จะลดลงเหลือ “เกือบเรียลไทม์” หนึ่งในภารกิจแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ FireSat ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับ Earth Fire Alliance เพื่อเฝ้าระวังไฟป่าแบบทันที โดยดาวเทียมจะสามารถแจ้งเตือนการเกิดไฟใหม่ได้ทันที ช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามเป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Muon ยังเผยว่าเทคโนโลยีนี้จะเปิดทางให้เกิด “Data center-class pipelines” ในอวกาศ เช่น การประมวลผล edge computing, AI inference และการสร้างผลิตภัณฑ์ข้อมูลแบบทันทีจากอวกาศ ระบบนี้ยังมีความปลอดภัยสูง โดยใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และการยืนยันตัวตนด้วยฮาร์ดแวร์ พร้อม uptime สูงถึง 99% แม้จะมีการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียม ✅ ความร่วมมือระหว่าง Muon และ Starlink ➡️ ใช้ Starlink Mini Laser Terminals เชื่อมดาวเทียมเข้ากับเครือข่าย Starlink ➡️ ส่งข้อมูลได้เร็วถึง 25Gbps และไกลถึง 4,000 กม. ➡️ ลด latency จาก 20 นาที เหลือเกือบเรียลไทม์ ➡️ ใช้กับแพลตฟอร์ม Halo ของ Muon ➡️ เตรียมเปิดตัวดาวเทียมรุ่นแรกใน Q1 ปี 2027 ✅ ภารกิจและการใช้งาน ➡️ FireSat ใช้เลเซอร์อวกาศแจ้งเตือนไฟป่าแบบทันที ➡️ ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการประมวลผล edge computing และ AI inference ในอวกาศ ➡️ สร้างระบบข้อมูลแบบ real-time จากอวกาศสู่โลก ✅ ความปลอดภัยและความเสถียร ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ end-to-end และ hardware authentication ➡️ ออกแบบให้มี uptime สูงถึง 99% ➡️ รองรับการเปลี่ยนลิงก์ระหว่างดาวเทียมแบบไร้รอยต่อ https://www.tomshardware.com/networking/starlink-and-muon-fuse-space-lasers-and-satellites-to-deliver-industry-first-persistent-optical-connectivity-in-orbit-will-enable-25-gbps-data-transfer-at-distances-up-to-4-000km
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Starlink and Muon fuse space lasers and satellites to deliver ‘industry-first’ persistent optical connectivity in orbit — will enable 25 Gbps data transfer at distances up to 4,000km
    Traditional comms satellites rely on intermittent links with ground stations, but Muon Halo satellites will stay continuously connected with integrated Starlink Mini lasers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts