• หัวข้อข่าว: “Microsoft ยอมรับปัญหาไดรเวอร์ Error 0x80070103 – เตรียมปล่อยอัปเดตแก้ไขใน Windows 11”

    Microsoft ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการถึงปัญหาไดรเวอร์ที่ไม่สามารถติดตั้งผ่าน Windows Update โดยเฉพาะ Error 0x80070103 ซึ่งสร้างความปวดหัวให้ผู้ใช้จำนวนมาก ล่าสุดมีการปรับปรุงในอัปเดต Preview และเตรียมปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนนี้

    หลายคนที่ใช้ Windows 11 อาจเคยเจอปัญหาอัปเดตไดรเวอร์ไม่ผ่าน พร้อมขึ้นรหัส Error 0x80070103 ซึ่งเป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงบ่อยใน Feedback Hub ของ Microsoft โดยก่อนหน้านี้ Microsoft แนะนำให้ “เคลียร์แคชอัปเดต” แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

    ล่าสุด Microsoft ได้ออกเอกสารสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจริง และได้ทำการปรับปรุงในอัปเดต Preview KB5067036 (Build 26200.7019/26100.1079) ที่ปล่อยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อ “ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะเจอ Error 0x80070103”

    แม้จะยังไม่ใช่การแก้ไขแบบถาวร แต่ Microsoft ระบุว่าการปรับปรุงนี้จะช่วยให้การติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update มีความเสถียรมากขึ้น และจะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปในอัปเดต “B release” เดือนพฤศจิกายน

    นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Error อื่นๆ เช่น 0x800f0983 ก็เกิดขึ้นในบางกรณี ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขเฉพาะของระบบแต่ละเครื่อง

    Microsoft ยอมรับปัญหา Error 0x80070103 ใน Windows 11
    เกิดจากการติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update ล้มเหลว

    เคยแนะนำให้เคลียร์แคชอัปเดต แต่ไม่ได้ผลจริง
    ผู้ใช้ยังเจอปัญหาซ้ำแม้ทำตามคำแนะนำ

    มีการปรับปรุงในอัปเดต Preview KB5067036
    Build 26200.7019/26100.1079 ปล่อยเมื่อ 28 ตุลาคม 2025

    การแก้ไขจะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปในอัปเดตเดือนพฤศจิกายน
    คาดว่าจะช่วยให้การติดตั้งไดรเวอร์เสถียรมากขึ้น

    ยังมี Error อื่นๆ เช่น 0x800f0983 ที่เกิดในบางกรณี
    อาจเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขเฉพาะของระบบแต่ละเครื่อง

    https://securityonline.info/the-fix-is-coming-microsoft-acknowledges-and-mitigates-widespread-driver-error-0x80070103/
    🛠️💻 หัวข้อข่าว: “Microsoft ยอมรับปัญหาไดรเวอร์ Error 0x80070103 – เตรียมปล่อยอัปเดตแก้ไขใน Windows 11” Microsoft ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการถึงปัญหาไดรเวอร์ที่ไม่สามารถติดตั้งผ่าน Windows Update โดยเฉพาะ Error 0x80070103 ซึ่งสร้างความปวดหัวให้ผู้ใช้จำนวนมาก ล่าสุดมีการปรับปรุงในอัปเดต Preview และเตรียมปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลายคนที่ใช้ Windows 11 อาจเคยเจอปัญหาอัปเดตไดรเวอร์ไม่ผ่าน พร้อมขึ้นรหัส Error 0x80070103 ซึ่งเป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงบ่อยใน Feedback Hub ของ Microsoft โดยก่อนหน้านี้ Microsoft แนะนำให้ “เคลียร์แคชอัปเดต” แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ล่าสุด Microsoft ได้ออกเอกสารสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ยอมรับว่าปัญหานี้เกิดขึ้นจริง และได้ทำการปรับปรุงในอัปเดต Preview KB5067036 (Build 26200.7019/26100.1079) ที่ปล่อยเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อ “ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะเจอ Error 0x80070103” แม้จะยังไม่ใช่การแก้ไขแบบถาวร แต่ Microsoft ระบุว่าการปรับปรุงนี้จะช่วยให้การติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update มีความเสถียรมากขึ้น และจะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปในอัปเดต “B release” เดือนพฤศจิกายน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Error อื่นๆ เช่น 0x800f0983 ก็เกิดขึ้นในบางกรณี ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขเฉพาะของระบบแต่ละเครื่อง ✅ Microsoft ยอมรับปัญหา Error 0x80070103 ใน Windows 11 ➡️ เกิดจากการติดตั้งไดรเวอร์ผ่าน Windows Update ล้มเหลว ✅ เคยแนะนำให้เคลียร์แคชอัปเดต แต่ไม่ได้ผลจริง ➡️ ผู้ใช้ยังเจอปัญหาซ้ำแม้ทำตามคำแนะนำ ✅ มีการปรับปรุงในอัปเดต Preview KB5067036 ➡️ Build 26200.7019/26100.1079 ปล่อยเมื่อ 28 ตุลาคม 2025 ✅ การแก้ไขจะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปในอัปเดตเดือนพฤศจิกายน ➡️ คาดว่าจะช่วยให้การติดตั้งไดรเวอร์เสถียรมากขึ้น ✅ ยังมี Error อื่นๆ เช่น 0x800f0983 ที่เกิดในบางกรณี ➡️ อาจเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขเฉพาะของระบบแต่ละเครื่อง https://securityonline.info/the-fix-is-coming-microsoft-acknowledges-and-mitigates-widespread-driver-error-0x80070103/
    SECURITYONLINE.INFO
    The Fix is Coming: Microsoft Acknowledges and Mitigates Widespread Driver Error 0x80070103
    Microsoft officially acknowledged and fixed Windows 11 driver installation error 0x80070103 in Build 26200.7019. The update is expected to roll out to all users in November.
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • ศึก AI สะเทือนวงการ: Elon Musk กล่าวหา Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร”

    เรื่องราวดราม่าระหว่างสองผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการ AI กลับมาเดือดอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X กล่าวหาว่า Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” หลังจากเกิดข้อพิพาทเรื่องการคืนเงินมัดจำ $50,000 สำหรับการจอง Tesla Roadster รุ่นใหม่ที่ล่าช้ามาหลายปี

    Altman ยกเลิกการจองและขอเงินคืน แต่พบว่าอีเมลสำหรับติดต่อไม่สามารถใช้งานได้ ขณะที่ Musk ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อนว่าเงินคืนให้ภายใน 24 ชั่วโมง และกล่าวหาว่า Altman “มีนิสัยชอบบิดเบือน” พร้อมเสริมว่าเขา “ขโมย OpenAI” ซึ่งเดิมเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่ Musk ร่วมก่อตั้งในปี 2015 ก่อนจะถอนตัวในปี 2018 เพราะไม่เห็นด้วยกับทิศทางเชิงพาณิชย์ขององค์กร

    ดราม่านี้สะท้อนความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่าง Musk กับ Altman ที่ยืดเยื้อมาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อ OpenAI เปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ และกลายเป็นผู้นำด้าน AI ด้วย ChatGPT ขณะที่ Musk ก็เปิดตัว xAI เพื่อแข่งขันโดยตรง และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโมเดลของตัวเอง

    เกร็ดน่ารู้จากวงการ AI:
    OpenAI Foundation ยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร แต่ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์
    Microsoft เข้ามาสนับสนุน OpenAI ทั้งด้านเงินทุนและโครงสร้าง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ
    xAI ของ Musk พัฒนาโมเดล Grok และมีแผนสร้าง GPU เองในอนาคต

    จุดเริ่มต้นของดราม่า
    Altman ยกเลิกจอง Tesla Roadster และขอคืนเงินมัดจำ
    Musk ตอบกลับว่าเงินคืนแล้ว และกล่าวหาว่า “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร”

    ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman
    Musk ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 และถอนตัวในปี 2018
    ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยน OpenAI เป็นบริษัทเชิงพาณิชย์

    โครงสร้างของ OpenAI ในปัจจุบัน
    OpenAI Foundation ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์
    ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft เพื่อเพิ่มความคล่องตัว

    การแข่งขันระหว่าง xAI และ OpenAI
    xAI พัฒนาโมเดล Grok และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
    Musk วางแผนผลิต GPU เองเพื่อแข่งขันในตลาด AI

    ความเสี่ยงจากความขัดแย้งในวงการ AI
    อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ใช้งาน
    การแข่งขันเชิงอุดมการณ์อาจเบี่ยงเบนจากเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ

    ความไม่ชัดเจนของโครงสร้างองค์กร AI
    การผสมระหว่างไม่แสวงกำไรกับเชิงพาณิชย์อาจสร้างความสับสน
    อาจเกิดข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและเจตนารมณ์ขององค์กร

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การคืนเงินจองรถ แต่เป็นการเปิดฉาก “สงครามอุดมการณ์” ระหว่างสองผู้นำที่กำลังขับเคลื่อนอนาคตของปัญญาประดิษฐ์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-alleges-sam-altman-stole-a-non-profit-as-ai-bros-spat-over-cancelled-tesla-roadster-order
    🤖 ศึก AI สะเทือนวงการ: Elon Musk กล่าวหา Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” เรื่องราวดราม่าระหว่างสองผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการ AI กลับมาเดือดอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X กล่าวหาว่า Sam Altman “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” หลังจากเกิดข้อพิพาทเรื่องการคืนเงินมัดจำ $50,000 สำหรับการจอง Tesla Roadster รุ่นใหม่ที่ล่าช้ามาหลายปี Altman ยกเลิกการจองและขอเงินคืน แต่พบว่าอีเมลสำหรับติดต่อไม่สามารถใช้งานได้ ขณะที่ Musk ตอบกลับอย่างเผ็ดร้อนว่าเงินคืนให้ภายใน 24 ชั่วโมง และกล่าวหาว่า Altman “มีนิสัยชอบบิดเบือน” พร้อมเสริมว่าเขา “ขโมย OpenAI” ซึ่งเดิมเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่ Musk ร่วมก่อตั้งในปี 2015 ก่อนจะถอนตัวในปี 2018 เพราะไม่เห็นด้วยกับทิศทางเชิงพาณิชย์ขององค์กร ดราม่านี้สะท้อนความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ระหว่าง Musk กับ Altman ที่ยืดเยื้อมาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อ OpenAI เปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ และกลายเป็นผู้นำด้าน AI ด้วย ChatGPT ขณะที่ Musk ก็เปิดตัว xAI เพื่อแข่งขันโดยตรง และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาโมเดลของตัวเอง 💡 เกร็ดน่ารู้จากวงการ AI: 📍 OpenAI Foundation ยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร แต่ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ 📍 Microsoft เข้ามาสนับสนุน OpenAI ทั้งด้านเงินทุนและโครงสร้าง เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระ 📍 xAI ของ Musk พัฒนาโมเดล Grok และมีแผนสร้าง GPU เองในอนาคต ✅ จุดเริ่มต้นของดราม่า ➡️ Altman ยกเลิกจอง Tesla Roadster และขอคืนเงินมัดจำ ➡️ Musk ตอบกลับว่าเงินคืนแล้ว และกล่าวหาว่า “ขโมยองค์กรไม่แสวงกำไร” ✅ ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman ➡️ Musk ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 และถอนตัวในปี 2018 ➡️ ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยน OpenAI เป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ ✅ โครงสร้างของ OpenAI ในปัจจุบัน ➡️ OpenAI Foundation ควบคุม OpenAI PBC ซึ่งเป็นบริษัทเชิงพาณิชย์ ➡️ ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ✅ การแข่งขันระหว่าง xAI และ OpenAI ➡️ xAI พัฒนาโมเดล Grok และสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ Musk วางแผนผลิต GPU เองเพื่อแข่งขันในตลาด AI ‼️ ความเสี่ยงจากความขัดแย้งในวงการ AI ⛔ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ใช้งาน ⛔ การแข่งขันเชิงอุดมการณ์อาจเบี่ยงเบนจากเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติ ‼️ ความไม่ชัดเจนของโครงสร้างองค์กร AI ⛔ การผสมระหว่างไม่แสวงกำไรกับเชิงพาณิชย์อาจสร้างความสับสน ⛔ อาจเกิดข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและเจตนารมณ์ขององค์กร เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การคืนเงินจองรถ แต่เป็นการเปิดฉาก “สงครามอุดมการณ์” ระหว่างสองผู้นำที่กำลังขับเคลื่อนอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ 🌐🔥 https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-alleges-sam-altman-stole-a-non-profit-as-ai-bros-spat-over-cancelled-tesla-roadster-order
    0 Comments 0 Shares 122 Views 0 Reviews
  • ภารกิจชำแหละ GPU: เมื่อ RTX 4090 งอ-ไหม้-พังเกินเยียวยา!

    เรื่องนี้เริ่มต้นเหมือนภารกิจซ่อมทั่วไป แต่จบลงแบบ “ชันสูตรศพ” GPU! Tony จากช่อง Northwest Repair ได้รับการ์ดจอ Aorus RTX 4090 ที่มีอาการงออย่างหนักและคอนเนกเตอร์ละลายมาให้ซ่อม แต่เมื่อเริ่มแกะออกทีละชั้น เขากลับพบว่า...มันพังเกินกว่าจะเยียวยาได้

    ตัวการ์ดงอจนผิดรูป ฝาหลังใช้สกรูพลาสติกแทนของเดิม และซิงก์ระบายความร้อนแยกจากแผ่น vapor chamber ทำให้แผ่นนำความร้อนไม่สัมผัสกับ VRAM และ MOSFET เลย เมื่อทดสอบด้วยกล้องความร้อน พบว่าไฟ 12V ลัดวงจรไปยังหน่วยความจำ และสุดท้าย “เผา” GPU core จนเสียหาย

    แม้จะพยายามเปลี่ยน MOSFET และตรวจสอบทุกจุด แต่สุดท้ายเมื่อฉีดกระแสเข้า VRAM แล้วพบว่าแกน GPU ร้อนขึ้นเอง นั่นคือสัญญาณว่า “มันตายแล้ว” และนี่ไม่ใช่การซ่อม แต่เป็นการชันสูตรอย่างแท้จริง

    เกร็ดน่ารู้จากวงการซ่อม:
    MOSFET (Metal-Oxide-Semiconductor Field-Effect Transistor) เป็นส่วนสำคัญในการควบคุมพลังงานใน GPU หากเสียหายอาจทำให้ไฟลัดวงจรไปยังส่วนอื่น
    การ์ดจอระดับสูงอย่าง RTX 4090 มีความซับซ้อนสูง การซ่อมต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น กล้องความร้อน, ไมโครสโคป และ multimeter

    การ์ดจอ RTX 4090 ที่เสียหายหนัก
    โครงสร้างงอผิดรูป, คอนเนกเตอร์ละลาย, ซิงก์แยกจาก vapor chamber
    Thermal pad ไม่สัมผัสกับ VRAM และ MOSFET

    การตรวจสอบและซ่อมโดย Northwest Repair
    พบไฟลัดวงจรใน 12V, 1.8V และหน่วยความจำ
    ใช้กล้องความร้อนตรวจสอบจุดร้อน
    เปลี่ยน MOSFET แล้วตรวจสอบใหม่

    สรุปผลการตรวจสอบ
    ไฟ 12V ลัดวงจรไปยัง VRAM และ GPU core
    การ์ดไม่สามารถซ่อมได้ ถือเป็นการ “ชันสูตร” มากกว่าการซ่อม

    ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOSFET และการซ่อม GPU
    MOSFET เป็นตัวควบคุมพลังงานหลักในวงจร
    การซ่อมต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและความชำนาญสูง

    ความเสี่ยงจากการใช้งานหรือซ่อม GPU ที่เสียหาย
    อาจเกิดไฟลัดวงจรและทำลายส่วนอื่นของระบบ
    การซ่อมโดยไม่มีความรู้หรือเครื่องมือที่เหมาะสมอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง

    การซื้อการ์ดมือสองโดยไม่ตรวจสอบ
    อาจได้การ์ดที่ผ่านการซ่อมหรือมีความเสียหายซ่อนอยู่
    ควรตรวจสอบประวัติการใช้งานและสภาพภายนอกอย่างละเอียด

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...แม้จะมีฝีมือระดับเทพ แต่บางครั้งการ์ดจอก็พังเกินจะเยียวยา และการซ่อมก็กลายเป็นการ “อำลา” อย่างสง่างามแทน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/gpu-surgeon-attempts-to-rescue-fatally-bent-rtx-4090-that-came-in-for-a-melted-power-connector-fix-autopsy-reveals-shorted-mosfet-that-killed-the-gpu-core-rare-failed-repair-attempt-from-skilled-technician
    🔧 ภารกิจชำแหละ GPU: เมื่อ RTX 4090 งอ-ไหม้-พังเกินเยียวยา! เรื่องนี้เริ่มต้นเหมือนภารกิจซ่อมทั่วไป แต่จบลงแบบ “ชันสูตรศพ” GPU! Tony จากช่อง Northwest Repair ได้รับการ์ดจอ Aorus RTX 4090 ที่มีอาการงออย่างหนักและคอนเนกเตอร์ละลายมาให้ซ่อม แต่เมื่อเริ่มแกะออกทีละชั้น เขากลับพบว่า...มันพังเกินกว่าจะเยียวยาได้ ตัวการ์ดงอจนผิดรูป ฝาหลังใช้สกรูพลาสติกแทนของเดิม และซิงก์ระบายความร้อนแยกจากแผ่น vapor chamber ทำให้แผ่นนำความร้อนไม่สัมผัสกับ VRAM และ MOSFET เลย เมื่อทดสอบด้วยกล้องความร้อน พบว่าไฟ 12V ลัดวงจรไปยังหน่วยความจำ และสุดท้าย “เผา” GPU core จนเสียหาย แม้จะพยายามเปลี่ยน MOSFET และตรวจสอบทุกจุด แต่สุดท้ายเมื่อฉีดกระแสเข้า VRAM แล้วพบว่าแกน GPU ร้อนขึ้นเอง นั่นคือสัญญาณว่า “มันตายแล้ว” และนี่ไม่ใช่การซ่อม แต่เป็นการชันสูตรอย่างแท้จริง 💡 เกร็ดน่ารู้จากวงการซ่อม: 📍 MOSFET (Metal-Oxide-Semiconductor Field-Effect Transistor) เป็นส่วนสำคัญในการควบคุมพลังงานใน GPU หากเสียหายอาจทำให้ไฟลัดวงจรไปยังส่วนอื่น 📍 การ์ดจอระดับสูงอย่าง RTX 4090 มีความซับซ้อนสูง การซ่อมต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น กล้องความร้อน, ไมโครสโคป และ multimeter ✅ การ์ดจอ RTX 4090 ที่เสียหายหนัก ➡️ โครงสร้างงอผิดรูป, คอนเนกเตอร์ละลาย, ซิงก์แยกจาก vapor chamber ➡️ Thermal pad ไม่สัมผัสกับ VRAM และ MOSFET ✅ การตรวจสอบและซ่อมโดย Northwest Repair ➡️ พบไฟลัดวงจรใน 12V, 1.8V และหน่วยความจำ ➡️ ใช้กล้องความร้อนตรวจสอบจุดร้อน ➡️ เปลี่ยน MOSFET แล้วตรวจสอบใหม่ ✅ สรุปผลการตรวจสอบ ➡️ ไฟ 12V ลัดวงจรไปยัง VRAM และ GPU core ➡️ การ์ดไม่สามารถซ่อมได้ ถือเป็นการ “ชันสูตร” มากกว่าการซ่อม ✅ ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOSFET และการซ่อม GPU ➡️ MOSFET เป็นตัวควบคุมพลังงานหลักในวงจร ➡️ การซ่อมต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและความชำนาญสูง ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้งานหรือซ่อม GPU ที่เสียหาย ⛔ อาจเกิดไฟลัดวงจรและทำลายส่วนอื่นของระบบ ⛔ การซ่อมโดยไม่มีความรู้หรือเครื่องมือที่เหมาะสมอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง ‼️ การซื้อการ์ดมือสองโดยไม่ตรวจสอบ ⛔ อาจได้การ์ดที่ผ่านการซ่อมหรือมีความเสียหายซ่อนอยู่ ⛔ ควรตรวจสอบประวัติการใช้งานและสภาพภายนอกอย่างละเอียด เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...แม้จะมีฝีมือระดับเทพ แต่บางครั้งการ์ดจอก็พังเกินจะเยียวยา และการซ่อมก็กลายเป็นการ “อำลา” อย่างสง่างามแทน 😢💻 https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/gpu-surgeon-attempts-to-rescue-fatally-bent-rtx-4090-that-came-in-for-a-melted-power-connector-fix-autopsy-reveals-shorted-mosfet-that-killed-the-gpu-core-rare-failed-repair-attempt-from-skilled-technician
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated

    เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น
    แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end

    ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ
    ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing

    Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง
    เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า

    ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด

    Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption
    แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager

    Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption
    ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน

    หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด
    เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์

    เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม
    ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย

    มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า
    เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage

    https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    🔐 “อย่าเก็บรหัสผ่านไว้ในเบราว์เซอร์” — คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย หลายคนอาจรู้สึกสะดวกเมื่อเบราว์เซอร์เสนอให้ “บันทึกรหัสผ่านไว้ใช้ครั้งหน้า” แต่ความสะดวกนั้นอาจแลกมาด้วยความเสี่ยงที่คุณไม่ทันระวัง บทความจาก SlashGear ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของการใช้เบราว์เซอร์เป็นตัวจัดการรหัสผ่าน พร้อมแนะนำทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอย่างการใช้ password manager โดยเฉพาะแบบ dedicated ✅ เบราว์เซอร์จัดเก็บรหัสผ่านในโฟลเดอร์โปรไฟล์ท้องถิ่น ➡️ แล้วซิงก์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Google หรือ Microsoft โดยไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ✅ ไม่มีระบบ vault ที่เข้ารหัสลับแบบเต็มรูปแบบ ➡️ ทำให้รหัสผ่านเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหากบัญชีถูกแฮกหรือมีมัลแวร์ ✅ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในเว็บไซต์ปลอม ➡️ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ phishing ✅ Dedicated password manager ใช้การเข้ารหัสระดับสูง ➡️ เช่น AES-256 และ zero-knowledge architecture ที่ปลอดภัยกว่า ✅ ตัวจัดการรหัสผ่านแบบเฉพาะมีระบบแจ้งเตือนการรั่วไหล ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้ทันเมื่อข้อมูลถูกละเมิด ✅ Apple Keychain ใช้ end-to-end encryption ➡️ แม้จะปลอดภัยกว่าเบราว์เซอร์ทั่วไป แต่ยังไม่เทียบเท่า dedicated password manager ✅ Google Password Manager มีฟีเจอร์ on-device encryption ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกให้รหัสผ่านถูกเข้ารหัสเฉพาะในอุปกรณ์ของตน ‼️ หากบัญชี Google ถูกล็อกหรือสูญหาย อาจสูญเสียรหัสผ่านทั้งหมด ⛔ เพราะการเข้ารหัสผูกกับบัญชีและอุปกรณ์ ‼️ เบราว์เซอร์อาจ autofill รหัสผ่านในหน้าเว็บปลอม ⛔ ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ phishing ได้ง่าย ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยรหัสผ่านจากเบราว์เซอร์ได้ง่ายกว่า ⛔ เช่น RedLine Stealer และ Raccoon ที่เจาะข้อมูลจาก browser storage https://www.slashgear.com/2010389/you-shouldnt-store-passwords-in-web-browser/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    You Shouldn't Store Passwords In Your Web Browser — Here's Why - SlashGear
    It's easy to think that the password managers your web browser recommends you to use are secure enough, but it's not as simple as you might imagine.
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI

    Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่

    ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี

    ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่

    ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max

    Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026
    ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home
    ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท

    ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026
    iPhone 17e รุ่นประหยัด
    iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4)
    MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max)
    จอภาพภายนอกใหม่

    ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่
    Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง

    ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี
    iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง
    iPhone พับได้รุ่นแรก
    Apple Watch รุ่นใหม่
    MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max
    พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses

    https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    📱 Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 นำโดย iPhone พับได้และบ้านอัจฉริยะ AI Apple วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 15 รายการในปี 2026 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ iPhone พับได้, MacBook Pro จอ OLED รองรับระบบสัมผัส, และอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะที่ใช้ Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ปี 2026 จะเป็นปีที่ Apple เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในทุกสายผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจาก iPhone 17e รุ่นประหยัด, iPad Gen 12, iPad Air และ MacBook Air ที่ใช้ชิป M5 ใหม่ทั้งหมดในช่วงต้นปี ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.–เม.ย.) จะเปิดตัวบริการ Siri และ Apple Intelligence แบบเต็มรูปแบบ พร้อมอุปกรณ์ Smart Home Display ที่ติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ช่วงปลายปีจะเป็นไฮไลต์สำคัญกับ iPhone 18 Pro ที่มาพร้อมโมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเองแทน Qualcomm และ iPhone พับได้รุ่นแรกของบริษัท รวมถึง Apple Watch รุ่นใหม่ ตลอดปีจะมีการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องรักษาความปลอดภัยบ้าน, Mac mini, Mac Studio, iPad mini จอ OLED และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่บางลง รองรับจอสัมผัสและใช้ชิป M6 Pro / M6 Max ✅ Apple เตรียมเปิดตัว 15 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2026 ➡️ ครอบคลุมทุกสายผลิตภัณฑ์: iPhone, iPad, Mac, Smart Home ➡️ ฉลองครบรอบ 50 ปีของบริษัท ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงต้นปี 2026 ➡️ iPhone 17e รุ่นประหยัด ➡️ iPad Gen 12 (ชิป A18), iPad Air (ชิป M4) ➡️ MacBook Air และ MacBook Pro (ชิป M5 / M5 Pro / M5 Max) ➡️ จอภาพภายนอกใหม่ ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ➡️ เปิดตัว Siri และ Apple Intelligence รุ่นใหม่ ➡️ Smart Home Display แบบตั้งโต๊ะและติดผนัง ✅ ผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี ➡️ iPhone 18 Pro ใช้โมเด็มที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ➡️ iPhone พับได้รุ่นแรก ➡️ Apple Watch รุ่นใหม่ ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่: บางลง, จอ OLED, รองรับสัมผัส, ชิป M6 Pro / M6 Max ➡️ พรีวิวแว่นตาอัจฉริยะ Smart Glasses https://securityonline.info/the-2026-surge-apples-15-product-roadmap-includes-foldable-iphone-ai-smart-home/
    SECURITYONLINE.INFO
    The 2026 Surge: Apple's 15-Product Roadmap Includes Foldable iPhone & AI Smart Home
    Apple’s ambitious 2026 roadmap features 15+ major products: iPhone 18, a foldable iPhone, M6 MacBooks with touchscreens, and a massive Apple Intelligence rollout.
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • MIT พัฒนา “คอนกรีตเก็บพลังงาน” ได้จริง! อนาคตที่อาคารทั้งหลังอาจกลายเป็นแบตเตอรี่ยักษ์

    นักวิจัยจาก MIT ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนคอนกรีตให้กลายเป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้า โดยใช้วัสดุที่เรียกว่า “ec³” ซึ่งเป็นคอนกรีตผสมคาร์บอนแบล็กและอิเล็กโทรไลต์ ทำให้สามารถเก็บและปล่อยพลังงานได้เหมือนแบตเตอรี่

    เรื่องนี้เริ่มจากการทดลองของนักวิจัย MIT ที่ผสม “คาร์บอนแบล็ก” ซึ่งเป็นผงคาร์บอนบริสุทธิ์ที่ได้จากการเผาปิโตรเลียม เข้ากับอิเล็กโทรไลต์ในคอนกรีต ผลลัพธ์คือวัสดุที่สามารถเก็บพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเวอร์ชันล่าสุดสามารถจ่ายไฟให้บ้านหนึ่งหลังได้จากคอนกรีตเพียง 5 ลูกบาศก์เมตร — เทียบเท่ากับผนังชั้นใต้ดินหนึ่งด้าน!

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ใช้เก็บพลังงาน แต่ยังสามารถตรวจสอบสุขภาพโครงสร้างได้ด้วย เช่น เมื่อสร้างโค้งคอนกรีตขนาดเล็กที่จ่ายไฟให้ LED ได้ หากมีแรงกดเพิ่ม LED จะกระพริบ แสดงถึงความเสียหายภายในโครงสร้าง

    นักวิจัยยังค้นพบว่า ec³ ทำงานคล้าย “ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์” ซึ่งสามารถเก็บพลังงานได้หนาแน่นมาก และมีอายุการใช้งานยาวนานเท่ากับคอนกรีตทั่วไป ทำให้เหมาะกับการใช้งานระยะยาว เช่น ทางเท้า สะพาน ลานจอดรถ หรือแม้แต่ฐานบ้านที่สามารถจ่ายไฟให้บ้านแบบออฟกริดได้

    เทคโนโลยี ec³ จาก MIT
    ผสมคาร์บอนแบล็กกับอิเล็กโทรไลต์ในคอนกรีต
    สามารถเก็บและปล่อยพลังงานไฟฟ้าได้
    พัฒนาให้มีความจุพลังงานเพิ่มขึ้น 9 เท่าตั้งแต่ปี 2023
    คอนกรีต 5 ลูกบาศก์เมตรสามารถจ่ายไฟให้บ้านหนึ่งหลังได้

    การใช้งานในชีวิตจริง
    ใช้ในทางเท้าร้อนในญี่ปุ่นแทนการโรยเกลือ
    สร้างโครงสร้างที่ตรวจสอบสุขภาพตัวเองได้
    วางแผนใช้ในลานจอดรถ สะพาน และฐานบ้าน

    คุณสมบัติพิเศษ
    ทำงานคล้ายซุปเปอร์คาปาซิเตอร์
    อายุการใช้งานเท่ากับคอนกรีตทั่วไป
    ปรับสูตรอิเล็กโทรไลต์ให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละแบบ

    ข้อจำกัดของ ec³
    ความจุพลังงานยังต่ำกว่าลิเธียมไอออน
    ต้องใช้พื้นที่มากในการเก็บพลังงานเทียบเท่าแบตเตอรี่ทั่วไป
    ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและพัฒนา

    เทคโนโลยีนี้อาจเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บพลังงานของโลกไปตลอดกาล — ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่ในมือถือหรือรถยนต์ แต่เป็น “เมืองทั้งเมือง” ที่กลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดยักษ์

    https://www.slashgear.com/2009844/mit-one-step-closer-building-sized-concrete-batteries/
    🧱 MIT พัฒนา “คอนกรีตเก็บพลังงาน” ได้จริง! อนาคตที่อาคารทั้งหลังอาจกลายเป็นแบตเตอรี่ยักษ์ นักวิจัยจาก MIT ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนคอนกรีตให้กลายเป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้า โดยใช้วัสดุที่เรียกว่า “ec³” ซึ่งเป็นคอนกรีตผสมคาร์บอนแบล็กและอิเล็กโทรไลต์ ทำให้สามารถเก็บและปล่อยพลังงานได้เหมือนแบตเตอรี่ เรื่องนี้เริ่มจากการทดลองของนักวิจัย MIT ที่ผสม “คาร์บอนแบล็ก” ซึ่งเป็นผงคาร์บอนบริสุทธิ์ที่ได้จากการเผาปิโตรเลียม เข้ากับอิเล็กโทรไลต์ในคอนกรีต ผลลัพธ์คือวัสดุที่สามารถเก็บพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเวอร์ชันล่าสุดสามารถจ่ายไฟให้บ้านหนึ่งหลังได้จากคอนกรีตเพียง 5 ลูกบาศก์เมตร — เทียบเท่ากับผนังชั้นใต้ดินหนึ่งด้าน! เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ใช้เก็บพลังงาน แต่ยังสามารถตรวจสอบสุขภาพโครงสร้างได้ด้วย เช่น เมื่อสร้างโค้งคอนกรีตขนาดเล็กที่จ่ายไฟให้ LED ได้ หากมีแรงกดเพิ่ม LED จะกระพริบ แสดงถึงความเสียหายภายในโครงสร้าง นักวิจัยยังค้นพบว่า ec³ ทำงานคล้าย “ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์” ซึ่งสามารถเก็บพลังงานได้หนาแน่นมาก และมีอายุการใช้งานยาวนานเท่ากับคอนกรีตทั่วไป ทำให้เหมาะกับการใช้งานระยะยาว เช่น ทางเท้า สะพาน ลานจอดรถ หรือแม้แต่ฐานบ้านที่สามารถจ่ายไฟให้บ้านแบบออฟกริดได้ ✅ เทคโนโลยี ec³ จาก MIT ➡️ ผสมคาร์บอนแบล็กกับอิเล็กโทรไลต์ในคอนกรีต ➡️ สามารถเก็บและปล่อยพลังงานไฟฟ้าได้ ➡️ พัฒนาให้มีความจุพลังงานเพิ่มขึ้น 9 เท่าตั้งแต่ปี 2023 ➡️ คอนกรีต 5 ลูกบาศก์เมตรสามารถจ่ายไฟให้บ้านหนึ่งหลังได้ ✅ การใช้งานในชีวิตจริง ➡️ ใช้ในทางเท้าร้อนในญี่ปุ่นแทนการโรยเกลือ ➡️ สร้างโครงสร้างที่ตรวจสอบสุขภาพตัวเองได้ ➡️ วางแผนใช้ในลานจอดรถ สะพาน และฐานบ้าน ✅ คุณสมบัติพิเศษ ➡️ ทำงานคล้ายซุปเปอร์คาปาซิเตอร์ ➡️ อายุการใช้งานเท่ากับคอนกรีตทั่วไป ➡️ ปรับสูตรอิเล็กโทรไลต์ให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละแบบ ‼️ ข้อจำกัดของ ec³ ⛔ ความจุพลังงานยังต่ำกว่าลิเธียมไอออน ⛔ ต้องใช้พื้นที่มากในการเก็บพลังงานเทียบเท่าแบตเตอรี่ทั่วไป ⛔ ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและพัฒนา เทคโนโลยีนี้อาจเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บพลังงานของโลกไปตลอดกาล — ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่ในมือถือหรือรถยนต์ แต่เป็น “เมืองทั้งเมือง” ที่กลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดยักษ์ https://www.slashgear.com/2009844/mit-one-step-closer-building-sized-concrete-batteries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    MIT Is One Step Closer To Having Building-Sized Batteries With This Innovative Tech - SlashGear
    Moving, storing, and managing electric power is a major logistical challenge, but a new concrete-based battery could help mitigate those issues.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • Meebhoomi is an inventive online stage propelled by the Government of Andhra Pradesh to digitize and rearrange get to to arrive records. Presented in June 2015 by the state’s Income Division, the entrance gives citizens with straightforward, speedy, https://meebhoomii.net/
    Meebhoomi is an inventive online stage propelled by the Government of Andhra Pradesh to digitize and rearrange get to to arrive records. Presented in June 2015 by the state’s Income Division, the entrance gives citizens with straightforward, speedy, https://meebhoomii.net/
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • โปรเจกต์สุดบ้าระห่ำ: รีเมค Xbox รุ่นต้นแบบจากโลหะทั้งก้อน พร้อมอัปเกรด HDMI และหัวใจดิจิทัล

    กลุ่มนักโมดิฟายสายฮาร์ดคอร์นำต้นแบบ Xbox รุ่นแรกสุดที่เคยมีแค่ในตำนานกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการสร้างเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน มูลค่ากว่า $6,000 พร้อมใส่ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม และอัปเกรดให้ทันสมัยด้วย HDMI และหน้าจอวงกลมตรงกลางที่เคยเป็นแค่ไฟ LED กลายเป็นจอแสดงผลแบบมีแอนิเมชัน!

    เรื่องราวเบื้องหลังโปรเจกต์สุดโหด
    ย้อนกลับไปปี 2001 ก่อนที่ Xbox ตัวจริงจะเปิดตัว Microsoft เคยสร้างต้นแบบที่มีรูปร่างเป็น “X” ขนาดใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ และใช้เงินสร้างกว่า $18,000 (เทียบเท่า $36,000 ในปัจจุบัน) แต่ไม่เคยวางขายจริง

    Macho Nacho Productions จับมือกับนักโมดิฟายหลายคน สร้าง CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับที่จัดแสดงใน Microsoft Experience Center แล้วส่งให้ PCBWay กลึงเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน พร้อมออกแบบภายในให้ใส่ฮาร์ดแวร์จริงของ Xbox ได้

    นอกจากนั้นยังมีการออกแบบระบบจ่ายไฟใหม่แบบ USB-C PD ที่ปลอดภัยและเล็กลงกว่าเดิม และโมดิฟายซอฟต์แวร์ให้สามารถรัน Homebrew ได้ พร้อมอัปเกรดพอร์ตภาพจาก composite เป็น HDMI

    ไฮไลต์คือ “จิวเวล” ตรงกลางที่เคยเป็นไฟ LED สีเขียว ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอวงกลมที่แสดงแอนิเมชันแบบกำหนดเองผ่าน Raspberry Pi Pico 2 ซึ่งจะเปิดเมื่อเครื่องเปิด และดับเมื่อปิดเครื่อง

    สุดท้าย Macho Nacho เตรียมนำเครื่องนี้ไปโชว์ตามงานเกมทั่วโลก พร้อมกล่องพกพาแบบสั่งทำพิเศษ

    Xbox รุ่นต้นแบบถูกสร้างใหม่จากอลูมิเนียมทั้งก้อน
    ใช้ CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับใน Microsoft Experience Center
    กลึงโดย PCBWay ด้วยงบประมาณ ~$6,000

    ใช้ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม
    มีเมนบอร์ด, ไดรฟ์, คอนโทรลเลอร์ครบ
    โมดิฟายให้รองรับ Homebrew และ HDMI

    ระบบไฟใหม่แบบ USB-C PD
    ปลอดภัยกว่า PSU เดิม
    ใช้เพาเวอร์แบงก์ขนาดเล็กจ่ายไฟได้

    “จิวเวล” กลางเครื่องกลายเป็นหน้าจอวงกลม
    ใช้ Raspberry Pi Pico 2 ควบคุม
    แสดงแอนิเมชันเปิด-ปิดเครื่องแบบกำหนดเอง

    ต้นแบบเดิมของ Xbox ไม่เคยวางขาย
    สร้างเพื่อโชว์ศักยภาพ Microsoft ในตลาดเกม
    มีเพียง 3 เครื่องที่จัดแสดงในสำนักงานทั่วโลก

    การสร้างใหม่ต้องใช้ความร่วมมือหลายฝ่าย
    ต้องวัดขนาดจากกระจกโชว์จริง
    ต้องออกแบบภายในใหม่ทั้งหมดให้ใส่ฮาร์ดแวร์ได้

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/modders-recreate-original-xbox-prototype-with-a-solid-block-of-metal-in-ambitious-project-modern-makeover-features-real-xbox-hardware-and-hdmi-upgrades
    🎮 โปรเจกต์สุดบ้าระห่ำ: รีเมค Xbox รุ่นต้นแบบจากโลหะทั้งก้อน พร้อมอัปเกรด HDMI และหัวใจดิจิทัล กลุ่มนักโมดิฟายสายฮาร์ดคอร์นำต้นแบบ Xbox รุ่นแรกสุดที่เคยมีแค่ในตำนานกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการสร้างเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน มูลค่ากว่า $6,000 พร้อมใส่ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม และอัปเกรดให้ทันสมัยด้วย HDMI และหน้าจอวงกลมตรงกลางที่เคยเป็นแค่ไฟ LED กลายเป็นจอแสดงผลแบบมีแอนิเมชัน! 🧠 เรื่องราวเบื้องหลังโปรเจกต์สุดโหด ย้อนกลับไปปี 2001 ก่อนที่ Xbox ตัวจริงจะเปิดตัว Microsoft เคยสร้างต้นแบบที่มีรูปร่างเป็น “X” ขนาดใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ และใช้เงินสร้างกว่า $18,000 (เทียบเท่า $36,000 ในปัจจุบัน) แต่ไม่เคยวางขายจริง Macho Nacho Productions จับมือกับนักโมดิฟายหลายคน สร้าง CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับที่จัดแสดงใน Microsoft Experience Center แล้วส่งให้ PCBWay กลึงเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน พร้อมออกแบบภายในให้ใส่ฮาร์ดแวร์จริงของ Xbox ได้ นอกจากนั้นยังมีการออกแบบระบบจ่ายไฟใหม่แบบ USB-C PD ที่ปลอดภัยและเล็กลงกว่าเดิม และโมดิฟายซอฟต์แวร์ให้สามารถรัน Homebrew ได้ พร้อมอัปเกรดพอร์ตภาพจาก composite เป็น HDMI ไฮไลต์คือ “จิวเวล” ตรงกลางที่เคยเป็นไฟ LED สีเขียว ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอวงกลมที่แสดงแอนิเมชันแบบกำหนดเองผ่าน Raspberry Pi Pico 2 ซึ่งจะเปิดเมื่อเครื่องเปิด และดับเมื่อปิดเครื่อง สุดท้าย Macho Nacho เตรียมนำเครื่องนี้ไปโชว์ตามงานเกมทั่วโลก พร้อมกล่องพกพาแบบสั่งทำพิเศษ ✅ Xbox รุ่นต้นแบบถูกสร้างใหม่จากอลูมิเนียมทั้งก้อน ➡️ ใช้ CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับใน Microsoft Experience Center ➡️ กลึงโดย PCBWay ด้วยงบประมาณ ~$6,000 ✅ ใช้ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม ➡️ มีเมนบอร์ด, ไดรฟ์, คอนโทรลเลอร์ครบ ➡️ โมดิฟายให้รองรับ Homebrew และ HDMI ✅ ระบบไฟใหม่แบบ USB-C PD ➡️ ปลอดภัยกว่า PSU เดิม ➡️ ใช้เพาเวอร์แบงก์ขนาดเล็กจ่ายไฟได้ ✅ “จิวเวล” กลางเครื่องกลายเป็นหน้าจอวงกลม ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico 2 ควบคุม ➡️ แสดงแอนิเมชันเปิด-ปิดเครื่องแบบกำหนดเอง ‼️ ต้นแบบเดิมของ Xbox ไม่เคยวางขาย ⛔ สร้างเพื่อโชว์ศักยภาพ Microsoft ในตลาดเกม ⛔ มีเพียง 3 เครื่องที่จัดแสดงในสำนักงานทั่วโลก ‼️ การสร้างใหม่ต้องใช้ความร่วมมือหลายฝ่าย ⛔ ต้องวัดขนาดจากกระจกโชว์จริง ⛔ ต้องออกแบบภายในใหม่ทั้งหมดให้ใส่ฮาร์ดแวร์ได้ https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/modders-recreate-original-xbox-prototype-with-a-solid-block-of-metal-in-ambitious-project-modern-makeover-features-real-xbox-hardware-and-hdmi-upgrades
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 1

    ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan

    มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross

    เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว

    นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson
    อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด !
    ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด

    แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย

    หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป

    เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้

    คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย

    Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller
    นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan

    ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks)

    คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต

    เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company

    Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank

    ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran

    Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม

    นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson

    ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน
    อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller

    นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks

    Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank

    บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 2

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน
    คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน

    วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่

    ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย

    มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan

    เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง

    Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้
    ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป

    J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd

    แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย !

    หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย

    ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร”

    หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า
    “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan”

    ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 1 ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด ! ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks) คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่ ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้ ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย ! หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร” หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan” ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/yo6eg64ETyo?si=eugaaddLEdqHj2sb
    https://youtu.be/yo6eg64ETyo?si=eugaaddLEdqHj2sb
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง

    WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล

    ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล

    เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล

    WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร

    WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB
    รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX
    ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล
    WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน

    ลักษณะของเทคโนโลยี SMR
    เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา
    เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ
    มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง

    ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021
    WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น
    ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน
    ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร ✅ WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB ➡️ รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX ➡️ ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล ➡️ WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน ✅ ลักษณะของเทคโนโลยี SMR ➡️ เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา ➡️ เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ ➡️ มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง ✅ ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021 ➡️ WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น ➡️ ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน ➡️ ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7 https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • MOVEit โดนอีกแล้ว! ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ในโมดูล AS2 เสี่ยงทำระบบล่ม — Progress เร่งออกแพตช์อุดช่องโหว่

    Progress Software ออกแพตช์ด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน MOVEit Transfer ที่อาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS ผ่านโมดูล AS2 ซึ่งเป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัยในองค์กร

    MOVEit Transfer คือระบบจัดการไฟล์ที่องค์กรทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือคู่ค้า ล่าสุดพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-10932 ซึ่งเป็นช่องโหว่ “Uncontrolled Resource Consumption” หรือการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำกัด

    ช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล AS2 (Applicability Statement 2) ซึ่งใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบเข้ารหัสและลงลายเซ็นดิจิทัล หากถูกโจมตีด้วยคำขอ AS2 ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเจาะจง อาจทำให้ระบบล่มหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างรุนแรง

    Progress ได้ออกแพตช์สำหรับ MOVEit Transfer ทุกเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มฟีเจอร์ whitelist IP เพื่อจำกัดการเข้าถึงโมดูล AS2 โดยเฉพาะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ AS2 แนะนำให้ลบไฟล์ endpoint ที่เกี่ยวข้องออกชั่วคราวเพื่อปิดช่องทางโจมตี

    ช่องโหว่นี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่เนื่องจาก MOVEit เคยถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีในกรณี Clop ransomware มาก่อน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง

    ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ใน MOVEit Transfer
    เป็นช่องโหว่ Uncontrolled Resource Consumption
    อยู่ในโมดูล AS2 ที่ใช้แลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัย
    เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ DoS หากถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    2025.0.0 ก่อน 2025.0.3
    2024.1.0 ก่อน 2024.1.7
    2023.1.0 ก่อน 2023.1.16

    วิธีแก้ไขและป้องกัน
    อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ล่าสุด
    เพิ่ม whitelist IP สำหรับโมดูล AS2
    สำหรับผู้ไม่ใช้ AS2 ให้ลบไฟล์ AS2Rec2.ashx และ AS2Receiver.aspx ชั่วคราว

    https://securityonline.info/progress-patches-high-severity-vulnerability-in-moveit-transfer-as2-module-cve-2025-10932/
    🛡️ MOVEit โดนอีกแล้ว! ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ในโมดูล AS2 เสี่ยงทำระบบล่ม — Progress เร่งออกแพตช์อุดช่องโหว่ Progress Software ออกแพตช์ด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน MOVEit Transfer ที่อาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS ผ่านโมดูล AS2 ซึ่งเป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัยในองค์กร MOVEit Transfer คือระบบจัดการไฟล์ที่องค์กรทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือคู่ค้า ล่าสุดพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-10932 ซึ่งเป็นช่องโหว่ “Uncontrolled Resource Consumption” หรือการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำกัด ช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล AS2 (Applicability Statement 2) ซึ่งใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบเข้ารหัสและลงลายเซ็นดิจิทัล หากถูกโจมตีด้วยคำขอ AS2 ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเจาะจง อาจทำให้ระบบล่มหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างรุนแรง Progress ได้ออกแพตช์สำหรับ MOVEit Transfer ทุกเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มฟีเจอร์ whitelist IP เพื่อจำกัดการเข้าถึงโมดูล AS2 โดยเฉพาะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ AS2 แนะนำให้ลบไฟล์ endpoint ที่เกี่ยวข้องออกชั่วคราวเพื่อปิดช่องทางโจมตี ช่องโหว่นี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่เนื่องจาก MOVEit เคยถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีในกรณี Clop ransomware มาก่อน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ใน MOVEit Transfer ➡️ เป็นช่องโหว่ Uncontrolled Resource Consumption ➡️ อยู่ในโมดูล AS2 ที่ใช้แลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัย ➡️ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ DoS หากถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ 2025.0.0 ก่อน 2025.0.3 ➡️ 2024.1.0 ก่อน 2024.1.7 ➡️ 2023.1.0 ก่อน 2023.1.16 ✅ วิธีแก้ไขและป้องกัน ➡️ อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ล่าสุด ➡️ เพิ่ม whitelist IP สำหรับโมดูล AS2 ➡️ สำหรับผู้ไม่ใช้ AS2 ให้ลบไฟล์ AS2Rec2.ashx และ AS2Receiver.aspx ชั่วคราว https://securityonline.info/progress-patches-high-severity-vulnerability-in-moveit-transfer-as2-module-cve-2025-10932/
    SECURITYONLINE.INFO
    Progress Patches High-Severity Vulnerability in MOVEit Transfer AS2 Module (CVE-2025-10932)
    Progress patched a High-severity DoS flaw (CVE-2025-10932) in MOVEit Transfer’s AS2 module. The vulnerability allows unauthenticated attackers to exhaust server resources. Patch to v2025.0.3 immediately.
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • Examples Of Every Letter Being Silent, With The Exception Of…

    You probably already know that English features many, many words with silent letters—letters that appear in the word but aren’t pronounced and often make us wonder what they are even doing there. For example, the letter B in the words debt and thumb. Or whatever the heck is going on in the words colonel, queue, and bourgeoisie.

    Even though you’re probably already familiar with silent letters, you might not realize just how many words in English actually use them. To demonstrate just how common these silent letters actually are, we quietly gathered up a list of as many examples of silent letters as we could find.

    It should be noted that silent letters often depend on pronunciation and regional accents, which we have noted at points in our list.

    Silent A words

    The letter A is silent in a bunch of words that include -ea, such as bread, dread, head, thread, and spread. The letter A also remains quiet in a bunch of adverbs that end in -ically, such as basically, stoically, logically, frantically, fanatically, magically, and tragically. A few words also have a silent A at the beginning that doesn’t seem to do much of anything, such as aisle and aesthetic.

    Silent B words

    The letter B likes to silently follow the letter M at the end of many words, such as in dumb, plumb, crumb, thumb, numb, succumb, lamb, limb, climb, tomb, comb, bomb, and womb. The letter B also seems to also slip in silently before the letter T in words like debt, doubt, and subtle.

    Silent C words

    When it comes to the letter C, it seems to remain silent when it follows the letter S. There are many examples of this, such as science, scissors, scent, ascent, crescent, descent, descend, disciple, scene, obscene, fluorescent, abscess, fascinate, and muscle.

    The silent C also shows up in a few other weird words such as czar, acquire, indict, and yacht. Yacht is so fancy that it even slips a silent H in there too.

    Silent D words

    The letter D is silent in some words that pair it up with the letter G, as in bridge, ridge, edge, ledge, and hedge. It also doesn’t have much to say in some pronunciations of the words handsome and handkerchief. Lastly, the first D in the word Wednesday seems to have taken the day off.

    Silent E words

    The letter E quietly resides in the middle of the word vegetable. However, there are tons and tons more silent E‘s out there. The letter E often goes unpronounced at the end of many, many words that include but are certainly not limited to the words imagine, plaque, brute, debate, excite, make, due, true, crime, grace, goose, axe, die, dye, bike, eke, pie, use, toe, cage, dude, mute, candle, and adore.

    Silent F words

    This one will depend on how you pronounce the word fifth, which has two common pronunciations: one in which both F‘s are pronounced and one in which the second F is not (as if it were spelled “fith”). As far as we know, this silent F pronunciation of fifth is the only example in English of a word with a silent F.

    Silent G words

    For whatever reason, the letter G likes to stay quiet when it is paired up with the letter N. Examples include gnaw, gnarly, gnostic, gnat, gnash, gnome, champagne, cologne, align, assign, benign, sign, feign, foreign, and reign. The letter G also often keeps quiet when it sees the letter H, as in sigh, high, sight, light, bright, night, fight, though, and thorough.

    Silent H words

    We have already listed quite a few words with silent Hs but there are plenty more to find. The letter H is sometimes silent when placed at the beginning of words such as hour, heir, honor, herb, homage, and honest. The letter H is silent in many words where it follows the letter C, such as anchor, archive, chaos, character, Christmas, charisma, chemical, choreography, chorus, choir, and echo. The letter H is also silent in words where it follows the letter W, as in when, where, which, why, whine, whistle, and white. Finally, the letter H doesn’t seem to be doing much at all in the words ghost and rhyme.

    Silent I words

    Compared to the other vowels, the letter I seems to love to be heard. We could only find a few words that feature a silent I, such as business, suit, and fruit.

    Silent J words

    Based on our, ahem, totally professional research, the only English word to have a silent J is … marijuana. And interestingly, it’s tough to find a language with a silent J. J just loves to be heard.

    Silent K words

    The letter K is silent at the beginning of lots of words where it is followed by the letter N. Some examples of this include knife, knight, knob, knock, knit, knuckle, knee, kneel, knick-knack, knowledge, know, knot, and knoll.

    Silent L words

    The letter L is silent in the words including should, could, would, half, calf, chalk, talk, walk, folk, and yolk. The silent L in the word salmon is also pretty fishy.

    Silent M words

    After looking high and low, the only words we could find with a silent M are ones that begin with mn, such as mnemonic and similarly derived terms, but maybe we just need something to help us remember others.

    Silent N words

    The letter N seems to be shy around the letter M as it doesn’t speak up in words like autumn, column, condemn, solemn, and hymn.

    Silent O words

    The letter O is silent in some words that pair it with fellow vowels E and U, such as people, jeopardy, leopard, rough, tough, enough, trouble, and double.

    Silent P words

    The letter P is often silent in words that pair it with the letter S, as in psalm, psyche, psychology, pseudoscience, pseudonym, and corps. It is also silent in many technical words that include the prefixes pneumato-, pneumano-, and pneumo-, such as pneumonia and pneumatic. The letter P is also silent in a few other oddball words such as raspberry, receipt, and pterodactyl.

    Silent Q words

    The letter Q mostly makes its presence felt whenever it appears. The word lacquer seems to be the sole example of a word with a silent Q that we could manage to find.

    Silent R words

    Besides the common pronunciation of the word February that leaves out the first R, the existence (or nonexistence) of silent R’s largely depends on whether you have a rhotic or non-rhotic accent. For example, a person with a non-rhotic Boston accent will likely employ several silent R’s following vowels in the sentence My sister parked her car near Harvard Yard.

    Silent S words

    The Silent S appears in several different words, including island, isle, aisle, apropos, debris, bourgeois, and viscount.

    Silent T words

    One pattern we could find for the Silent T occurs when it is paired with the letter L in words like whistle, bristle, thistle, bustle, hustle, and castle. The letter T is also silent in a lot of French loanwords such as ballet, gourmet, rapport, ricochet, buffet, crochet, valet, debut, and beret. Besides that, the silent T appears in a random assortment of other words, such as asthma, mortgage, tsunami, soften, listen, fasten, glisten, and moisten.

    Silent U words

    U must get nervous around G‘s because it can’t seem to say anything when it comes after them in words like guard, guide, guilt, guitar, guess, disguise, guest, guilt, guise, baguette, dialogue, monologue, league, colleague, rogue, vague, and tongue. You can also find a silent U in words like build, biscuit, circuit, and laugh.

    Silent V words

    We looked as hard as we could for words with a silent V, but we sadly came up empty. Some sources claim that V is the only letter in English that is never silent, and we couldn’t find any examples to prove that claim wrong. Poetic contractions like e’er and ne’er do cut it right out, though.

    Silent W words

    The letter W gets tongue-tied around the letter R and is often silent when placed before it in words like wrack, wrench, wreath, wrestle, wrangle, wrist, wrong, wring, wrought, write, writ, wrinkle, wraith, wrap, wrath, wretch, wreck, writhe, wry, wrapper, and playwright. A handful of other words also feature a silent W, such as answer, sword, two, and who.

    Silent X words

    Unless we made an embarrassing mistake, we are pretty sure the letter X is silent in the words faux and faux pas. As it is in other French-derived words, such as roux and doux and some plurals, like choux and reseaux (the plurals of chou and reseau, respectively).

    Silent Y words

    The letter Y is another one that depends on pronunciation to be silent. For example, one pronunciation of the word beyond [ bee-ond ] could be considered to contain a silent Y.

    Silent Z Words

    A handful of French loanwords have that special je ne sais quoi of a silent Z, including rendezvous and laissez-faire.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Examples Of Every Letter Being Silent, With The Exception Of… You probably already know that English features many, many words with silent letters—letters that appear in the word but aren’t pronounced and often make us wonder what they are even doing there. For example, the letter B in the words debt and thumb. Or whatever the heck is going on in the words colonel, queue, and bourgeoisie. Even though you’re probably already familiar with silent letters, you might not realize just how many words in English actually use them. To demonstrate just how common these silent letters actually are, we quietly gathered up a list of as many examples of silent letters as we could find. It should be noted that silent letters often depend on pronunciation and regional accents, which we have noted at points in our list. Silent A words The letter A is silent in a bunch of words that include -ea, such as bread, dread, head, thread, and spread. The letter A also remains quiet in a bunch of adverbs that end in -ically, such as basically, stoically, logically, frantically, fanatically, magically, and tragically. A few words also have a silent A at the beginning that doesn’t seem to do much of anything, such as aisle and aesthetic. Silent B words The letter B likes to silently follow the letter M at the end of many words, such as in dumb, plumb, crumb, thumb, numb, succumb, lamb, limb, climb, tomb, comb, bomb, and womb. The letter B also seems to also slip in silently before the letter T in words like debt, doubt, and subtle. Silent C words When it comes to the letter C, it seems to remain silent when it follows the letter S. There are many examples of this, such as science, scissors, scent, ascent, crescent, descent, descend, disciple, scene, obscene, fluorescent, abscess, fascinate, and muscle. The silent C also shows up in a few other weird words such as czar, acquire, indict, and yacht. Yacht is so fancy that it even slips a silent H in there too. Silent D words The letter D is silent in some words that pair it up with the letter G, as in bridge, ridge, edge, ledge, and hedge. It also doesn’t have much to say in some pronunciations of the words handsome and handkerchief. Lastly, the first D in the word Wednesday seems to have taken the day off. Silent E words The letter E quietly resides in the middle of the word vegetable. However, there are tons and tons more silent E‘s out there. The letter E often goes unpronounced at the end of many, many words that include but are certainly not limited to the words imagine, plaque, brute, debate, excite, make, due, true, crime, grace, goose, axe, die, dye, bike, eke, pie, use, toe, cage, dude, mute, candle, and adore. Silent F words This one will depend on how you pronounce the word fifth, which has two common pronunciations: one in which both F‘s are pronounced and one in which the second F is not (as if it were spelled “fith”). As far as we know, this silent F pronunciation of fifth is the only example in English of a word with a silent F. Silent G words For whatever reason, the letter G likes to stay quiet when it is paired up with the letter N. Examples include gnaw, gnarly, gnostic, gnat, gnash, gnome, champagne, cologne, align, assign, benign, sign, feign, foreign, and reign. The letter G also often keeps quiet when it sees the letter H, as in sigh, high, sight, light, bright, night, fight, though, and thorough. Silent H words We have already listed quite a few words with silent Hs but there are plenty more to find. The letter H is sometimes silent when placed at the beginning of words such as hour, heir, honor, herb, homage, and honest. The letter H is silent in many words where it follows the letter C, such as anchor, archive, chaos, character, Christmas, charisma, chemical, choreography, chorus, choir, and echo. The letter H is also silent in words where it follows the letter W, as in when, where, which, why, whine, whistle, and white. Finally, the letter H doesn’t seem to be doing much at all in the words ghost and rhyme. Silent I words Compared to the other vowels, the letter I seems to love to be heard. We could only find a few words that feature a silent I, such as business, suit, and fruit. Silent J words Based on our, ahem, totally professional research, the only English word to have a silent J is … marijuana. And interestingly, it’s tough to find a language with a silent J. J just loves to be heard. Silent K words The letter K is silent at the beginning of lots of words where it is followed by the letter N. Some examples of this include knife, knight, knob, knock, knit, knuckle, knee, kneel, knick-knack, knowledge, know, knot, and knoll. Silent L words The letter L is silent in the words including should, could, would, half, calf, chalk, talk, walk, folk, and yolk. The silent L in the word salmon is also pretty fishy. Silent M words After looking high and low, the only words we could find with a silent M are ones that begin with mn, such as mnemonic and similarly derived terms, but maybe we just need something to help us remember others. Silent N words The letter N seems to be shy around the letter M as it doesn’t speak up in words like autumn, column, condemn, solemn, and hymn. Silent O words The letter O is silent in some words that pair it with fellow vowels E and U, such as people, jeopardy, leopard, rough, tough, enough, trouble, and double. Silent P words The letter P is often silent in words that pair it with the letter S, as in psalm, psyche, psychology, pseudoscience, pseudonym, and corps. It is also silent in many technical words that include the prefixes pneumato-, pneumano-, and pneumo-, such as pneumonia and pneumatic. The letter P is also silent in a few other oddball words such as raspberry, receipt, and pterodactyl. Silent Q words The letter Q mostly makes its presence felt whenever it appears. The word lacquer seems to be the sole example of a word with a silent Q that we could manage to find. Silent R words Besides the common pronunciation of the word February that leaves out the first R, the existence (or nonexistence) of silent R’s largely depends on whether you have a rhotic or non-rhotic accent. For example, a person with a non-rhotic Boston accent will likely employ several silent R’s following vowels in the sentence My sister parked her car near Harvard Yard. Silent S words The Silent S appears in several different words, including island, isle, aisle, apropos, debris, bourgeois, and viscount. Silent T words One pattern we could find for the Silent T occurs when it is paired with the letter L in words like whistle, bristle, thistle, bustle, hustle, and castle. The letter T is also silent in a lot of French loanwords such as ballet, gourmet, rapport, ricochet, buffet, crochet, valet, debut, and beret. Besides that, the silent T appears in a random assortment of other words, such as asthma, mortgage, tsunami, soften, listen, fasten, glisten, and moisten. Silent U words U must get nervous around G‘s because it can’t seem to say anything when it comes after them in words like guard, guide, guilt, guitar, guess, disguise, guest, guilt, guise, baguette, dialogue, monologue, league, colleague, rogue, vague, and tongue. You can also find a silent U in words like build, biscuit, circuit, and laugh. Silent V words We looked as hard as we could for words with a silent V, but we sadly came up empty. Some sources claim that V is the only letter in English that is never silent, and we couldn’t find any examples to prove that claim wrong. Poetic contractions like e’er and ne’er do cut it right out, though. Silent W words The letter W gets tongue-tied around the letter R and is often silent when placed before it in words like wrack, wrench, wreath, wrestle, wrangle, wrist, wrong, wring, wrought, write, writ, wrinkle, wraith, wrap, wrath, wretch, wreck, writhe, wry, wrapper, and playwright. A handful of other words also feature a silent W, such as answer, sword, two, and who. Silent X words Unless we made an embarrassing mistake, we are pretty sure the letter X is silent in the words faux and faux pas. As it is in other French-derived words, such as roux and doux and some plurals, like choux and reseaux (the plurals of chou and reseau, respectively). Silent Y words The letter Y is another one that depends on pronunciation to be silent. For example, one pronunciation of the word beyond [ bee-ond ] could be considered to contain a silent Y. Silent Z Words A handful of French loanwords have that special je ne sais quoi of a silent Z, including rendezvous and laissez-faire. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ”

    ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง

    ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า

    ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน
    พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024)
    เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050
    หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน
    พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่
    โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต
    ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด
    ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด
    หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    🌱 หัวข้อข่าว: “TSMC นำทีมร้องรัฐบาลไต้หวันเร่งพลังงานสะอาด – โรงงานผลิตชิปเสี่ยงสะดุดเพราะไฟฟ้าไม่พอ” ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันกลับต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างหนัก Taiwan Semiconductor Industry Association (TSIA) ซึ่งนำโดย TSMC ได้ออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาลให้เร่งแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านไฟฟ้า พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง ปัจจุบันโรงงานผลิตชิปในไต้หวันใช้พลังงานหมุนเวียนเพียง 14.1% ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน RE100 ที่ตั้งเป้าไว้ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 หากไม่สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ทันเวลา อุตสาหกรรมอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพด้านพลังงานมากกว่า ความท้าทายของไต้หวันคือพื้นที่จำกัด ทำให้การสร้างฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังมีปัญหาข้อพิพาทด้านที่ดินและการประสานงานในท้องถิ่น ส่งผลให้โครงการพลังงานสะอาดต้องใช้เวลานานถึง 4 ปีจึงจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งช้าเกินไปสำหรับความต้องการของโรงงานชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSIA นำโดย TSMC เรียกร้องรัฐบาลไต้หวันให้เร่งแก้ปัญหาพลังงาน ➡️ พลังงานหมุนเวียนในโรงงานชิปอยู่ที่ 14.1% (ปี 2024) ➡️ เป้าหมาย RE100 คือ 60% ภายในปี 2030 และ 100% ภายในปี 2050 ➡️ หากถึงเป้าหมาย 60% ในปี 2030 อุตสาหกรรมชิปจะใช้ไฟฟ้าถึง 35–40% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ ✅ ความท้าทายด้านพลังงานของไต้หวัน ➡️ พื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับฟาร์มโซลาร์หรือกังหันลมขนาดใหญ่ ➡️ โครงการพลังงานสะอาดใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเริ่มผลิต ➡️ ปัญหาด้านการประสานงานในท้องถิ่นและข้อพิพาทที่ดิน ✅ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ โรงงานผลิตชิปต้องการไฟฟ้าเสถียรและสะอาด ➡️ ความผันผวนของแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้เวเฟอร์เสียหายทั้งชุด ➡️ หากไม่มีไฟฟ้าพอ อาจต้องย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/tmsc-led-semiconductor-association-begs-taiwan-government-for-clean-green-energy-as-demand-skyrockets-fabs-are-struggling-to-keep-up-with-power-needs
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยเยอรมันสร้างพิกเซล OLED ขนาดเล็กที่สุดในโลก — เล็กเพียง 300 นาโนเมตร อาจใช้สร้างจอ 1080p ขนาดแค่ 1 มม.

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Julius-Maximilians-Universität Würzburg ประเทศเยอรมนี พัฒนา OLED พิกเซลขนาดจิ๋วเพียง 300 x 300 นาโนเมตร ซึ่งเล็กกว่าพิกเซลของ micro-OLED ปัจจุบันถึง 10 เท่า และยังให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาดปกติ

    ในโลกของอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR หรือสมาร์ตวอทช์ ความต้องการจอแสดงผลที่เล็ก เบา และคมชัดสูงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิจัยกลุ่มนี้จึงพัฒนา OLED แบบใหม่ที่ใช้ “เสาอากาศทองคำ” (gold antenna) ขนาดนาโนเมตร เพื่อฉีดกระแสไฟและขยายแสงในพื้นที่เล็กมาก

    พิกเซลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงแสงสีส้มได้ และมีความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาด 5x5 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของ micro-OLED ในปัจจุบัน หากนำพิกเซลขนาด 300 นาโนเมตรนี้มาจัดเรียงเป็นจอ 1080p จะได้จอที่มีขนาดเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น!

    อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นต้น โดยพิกเซลสามารถทำงานได้เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสื่อมสภาพ นักวิจัยจึงกำลังพัฒนาให้รองรับสี RGB เต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 1%)

    พิกเซล OLED ขนาด 300 x 300 นาโนเมตร
    เล็กกว่าพิกเซล micro-OLED ปัจจุบันกว่า 10 เท่า
    ให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซลขนาด 5x5 ไมโครเมตร

    เทคโนโลยีที่ใช้
    เสาอากาศทองคำฉีดกระแสไฟและขยายแสง
    มีฉนวนพิเศษป้องกันการรั่วของทองคำเข้าสู่วัสดุอินทรีย์

    ศักยภาพของเทคโนโลยี
    สร้างจอ 1080p ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร
    เหมาะกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR
    ความหนาแน่นของพิกเซลสูงมาก อาจให้ภาพสมจริงระดับใหม่

    ข้อจำกัดปัจจุบัน
    อายุการใช้งานยังสั้น (ประมาณ 2 สัปดาห์)
    ยังแสดงได้เพียงสีส้ม
    ประสิทธิภาพพลังงานต่ำ (1%)

    https://www.tomshardware.com/monitors/researchers-create-worlds-smallest-pixel-measuring-just-300-nanometers-across-could-be-used-to-create-a-1080p-display-measuring-1mm
    🧬 นักวิจัยเยอรมันสร้างพิกเซล OLED ขนาดเล็กที่สุดในโลก — เล็กเพียง 300 นาโนเมตร อาจใช้สร้างจอ 1080p ขนาดแค่ 1 มม. ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Julius-Maximilians-Universität Würzburg ประเทศเยอรมนี พัฒนา OLED พิกเซลขนาดจิ๋วเพียง 300 x 300 นาโนเมตร ซึ่งเล็กกว่าพิกเซลของ micro-OLED ปัจจุบันถึง 10 เท่า และยังให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาดปกติ ในโลกของอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR หรือสมาร์ตวอทช์ ความต้องการจอแสดงผลที่เล็ก เบา และคมชัดสูงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิจัยกลุ่มนี้จึงพัฒนา OLED แบบใหม่ที่ใช้ “เสาอากาศทองคำ” (gold antenna) ขนาดนาโนเมตร เพื่อฉีดกระแสไฟและขยายแสงในพื้นที่เล็กมาก พิกเซลต้นแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถแสดงแสงสีส้มได้ และมีความสว่างเทียบเท่าพิกเซล OLED ขนาด 5x5 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานของ micro-OLED ในปัจจุบัน หากนำพิกเซลขนาด 300 นาโนเมตรนี้มาจัดเรียงเป็นจอ 1080p จะได้จอที่มีขนาดเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น! อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นต้น โดยพิกเซลสามารถทำงานได้เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสื่อมสภาพ นักวิจัยจึงกำลังพัฒนาให้รองรับสี RGB เต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 1%) ✅ พิกเซล OLED ขนาด 300 x 300 นาโนเมตร ➡️ เล็กกว่าพิกเซล micro-OLED ปัจจุบันกว่า 10 เท่า ➡️ ให้ความสว่างเทียบเท่าพิกเซลขนาด 5x5 ไมโครเมตร ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ ➡️ เสาอากาศทองคำฉีดกระแสไฟและขยายแสง ➡️ มีฉนวนพิเศษป้องกันการรั่วของทองคำเข้าสู่วัสดุอินทรีย์ ✅ ศักยภาพของเทคโนโลยี ➡️ สร้างจอ 1080p ขนาดเพียง 1 มิลลิเมตร ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์สวมใส่ เช่น แว่นตา AR/VR ➡️ ความหนาแน่นของพิกเซลสูงมาก อาจให้ภาพสมจริงระดับใหม่ ✅ ข้อจำกัดปัจจุบัน ➡️ อายุการใช้งานยังสั้น (ประมาณ 2 สัปดาห์) ➡️ ยังแสดงได้เพียงสีส้ม ➡️ ประสิทธิภาพพลังงานต่ำ (1%) https://www.tomshardware.com/monitors/researchers-create-worlds-smallest-pixel-measuring-just-300-nanometers-across-could-be-used-to-create-a-1080p-display-measuring-1mm
    0 Comments 0 Shares 135 Views 0 Reviews
  • ถ้า Pixel Watch 4 แพงเกินไป — นี่คือ 5 สมาร์ตวอทช์ทางเลือกที่คุ้มค่า ฟีเจอร์ครบ ราคาเบากว่า

    บทความจาก SlashGear แนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า Pixel Watch 4 แต่ยังให้ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ $99 ถึง $185

    OnePlus Watch 3
    ดีไซน์พรีเมียม จอ OLED 1.32 นิ้ว พร้อม Always-on
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 60 ชั่วโมง
    รองรับ Wear OS และแอปยอดนิยม เช่น Spotify, WhatsApp
    ไม่มี ECG/BP แต่ฟีเจอร์สุขภาพหลักครบ

    Samsung Galaxy Watch 7
    รองรับ ECG, BP, body composition, และ sleep tracking
    มีรุ่น LTE และขนาด 40/44mm ให้เลือก
    ใช้ Wear OS + One UI Watch ที่ลื่นไหล
    ราคาเพียง $185 ถูกกว่ารุ่นใหม่แต่ฟีเจอร์ใกล้เคียง

    CMF Watch 3 Pro
    ราคาเพียง $99 เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ใช้ RTOS ไม่รองรับแอปภายนอก แต่มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ
    ดีไซน์ดูดี ใช้งานได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
    ไม่มี ECG/BP แต่รองรับการแจ้งเตือนและรับสาย

    TicWatch Pro 5
    ใช้จอคู่ OLED + monochrome ประหยัดแบต
    ใช้งานได้ถึง 90 ชั่วโมง และชาร์จเร็ว
    รองรับ NFC, GPS, และแอป Wear OS
    ราคาเหลือประมาณ $150 จากเดิมที่แพงกว่านี้

    Samsung Galaxy Watch FE
    รุ่นอัปเดตจาก Watch 4 ในราคาประมาณ $100
    รองรับ ECG, BP, และฟีเจอร์สุขภาพครบ
    ใช้ Wear OS และมีแอปให้เลือกมากมาย
    แบตเตอรี่ค่อนข้างสั้น ต้องชาร์จทุกวัน

    https://www.slashgear.com/2005004/cheaper-pixel-watch-4-alternatives/
    ⌚ ถ้า Pixel Watch 4 แพงเกินไป — นี่คือ 5 สมาร์ตวอทช์ทางเลือกที่คุ้มค่า ฟีเจอร์ครบ ราคาเบากว่า บทความจาก SlashGear แนะนำสมาร์ตวอทช์ 5 รุ่นที่เป็นทางเลือกที่ถูกกว่า Pixel Watch 4 แต่ยังให้ฟีเจอร์ด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และการใช้งานทั่วไปได้ครบถ้วน โดยมีราคาตั้งแต่ประมาณ $99 ถึง $185 ✅ OnePlus Watch 3 ➡️ ดีไซน์พรีเมียม จอ OLED 1.32 นิ้ว พร้อม Always-on ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 60 ชั่วโมง ➡️ รองรับ Wear OS และแอปยอดนิยม เช่น Spotify, WhatsApp ➡️ ไม่มี ECG/BP แต่ฟีเจอร์สุขภาพหลักครบ ✅ Samsung Galaxy Watch 7 ➡️ รองรับ ECG, BP, body composition, และ sleep tracking ➡️ มีรุ่น LTE และขนาด 40/44mm ให้เลือก ➡️ ใช้ Wear OS + One UI Watch ที่ลื่นไหล ➡️ ราคาเพียง $185 ถูกกว่ารุ่นใหม่แต่ฟีเจอร์ใกล้เคียง ✅ CMF Watch 3 Pro ➡️ ราคาเพียง $99 เหมาะกับผู้เริ่มต้น ➡️ ใช้ RTOS ไม่รองรับแอปภายนอก แต่มีฟีเจอร์พื้นฐานครบ ➡️ ดีไซน์ดูดี ใช้งานได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ➡️ ไม่มี ECG/BP แต่รองรับการแจ้งเตือนและรับสาย ✅ TicWatch Pro 5 ➡️ ใช้จอคู่ OLED + monochrome ประหยัดแบต ➡️ ใช้งานได้ถึง 90 ชั่วโมง และชาร์จเร็ว ➡️ รองรับ NFC, GPS, และแอป Wear OS ➡️ ราคาเหลือประมาณ $150 จากเดิมที่แพงกว่านี้ ✅ Samsung Galaxy Watch FE ➡️ รุ่นอัปเดตจาก Watch 4 ในราคาประมาณ $100 ➡️ รองรับ ECG, BP, และฟีเจอร์สุขภาพครบ ➡️ ใช้ Wear OS และมีแอปให้เลือกมากมาย ➡️ แบตเตอรี่ค่อนข้างสั้น ต้องชาร์จทุกวัน https://www.slashgear.com/2005004/cheaper-pixel-watch-4-alternatives/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Cheaper Alternatives To The Pixel Watch 4 - SlashGear
    Looking for a solid smartwatch without spending $400? These Android-friendly options balance features, battery life, and style for less.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • “Caminho” มัลแวร์สายลับจากบราซิล ใช้ภาพจาก Archive.org ซ่อนโค้ดอันตรายด้วยเทคนิคลับ LSB Steganography

    นักวิจัยจาก Arctic Wolf Labs เปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ใหม่ชื่อ “Caminho” ซึ่งเป็นบริการ Loader-as-a-Service (LaaS) ที่มีต้นกำเนิดจากบราซิล โดยใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในภาพจากเว็บไซต์ Archive.org ผ่านวิธีการที่เรียกว่า LSB Steganography ซึ่งมักพบในงานจารกรรมมากกว่าการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน

    Caminho เป็นมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบ “ไร้ร่องรอย” โดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์ แต่โหลดโค้ดอันตรายเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรง ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนตี้ไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    วิธีการทำงานของ Caminho: 1️⃣ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ JavaScript หรือ VBScript ในรูปแบบ ZIP/RAR 2️⃣ เมื่อเปิดไฟล์ สคริปต์จะเรียกใช้ PowerShell เพื่อดึงภาพจาก Archive.org 3️⃣ ภาพเหล่านั้นมีโค้ด .NET ที่ถูกซ่อนไว้ในบิตต่ำสุดของพิกเซล (LSB) 4️⃣ PowerShell จะถอดรหัสโค้ดและโหลดเข้าสู่หน่วยความจำ 5️⃣ จากนั้นมัลแวร์จะถูกฉีดเข้าไปในโปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    มัลแวร์นี้ยังมีระบบตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำ และมีฟีเจอร์ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์จากนักวิจัย

    Arctic Wolf พบว่า Caminho ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาโปรตุเกส และมีเป้าหมายในหลายประเทศ เช่น บราซิล แอฟริกาใต้ ยูเครน และโปแลนด์ โดยมีการให้บริการแบบ “เช่าใช้” ซึ่งลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการได้ เช่น REMCOS RAT, XWorm หรือ Katz Stealer

    ลักษณะของ Caminho Loader
    เป็นบริการ Loader-as-a-Service จากบราซิล
    ใช้เทคนิค LSB Steganography ซ่อนโค้ดในภาพ
    โหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์
    ฉีดโค้ดเข้าสู่โปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    วิธีการแพร่กระจาย
    เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์สคริปต์
    ใช้ PowerShell ดึงภาพจาก Archive.org
    ถอดรหัส payload จากภาพแล้วโหลดเข้าสู่ระบบ

    ความสามารถพิเศษของมัลแวร์
    ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug
    ตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำผ่าน scheduled tasks
    รองรับการโหลด payload หลายชนิดตามความต้องการของลูกค้า

    การใช้บริการแบบเช่า
    ลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการ
    ใช้ภาพเดียวกันในหลายแคมเปญเพื่อประหยัดต้นทุน
    ใช้บริการเว็บที่น่าเชื่อถือ เช่น Archive.org, paste.ee เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก

    คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก Caminho
    อีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ ZIP/RAR อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการติดมัลแวร์
    ภาพจากเว็บที่ดูปลอดภัยอาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่
    การโหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรงทำให้ตรวจจับได้ยาก

    https://securityonline.info/caminho-loader-as-a-service-uses-lsb-steganography-to-hide-net-payloads-in-archive-org-images/
    🕵️‍♂️ “Caminho” มัลแวร์สายลับจากบราซิล ใช้ภาพจาก Archive.org ซ่อนโค้ดอันตรายด้วยเทคนิคลับ LSB Steganography นักวิจัยจาก Arctic Wolf Labs เปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ใหม่ชื่อ “Caminho” ซึ่งเป็นบริการ Loader-as-a-Service (LaaS) ที่มีต้นกำเนิดจากบราซิล โดยใช้เทคนิคซ่อนโค้ดอันตรายไว้ในภาพจากเว็บไซต์ Archive.org ผ่านวิธีการที่เรียกว่า LSB Steganography ซึ่งมักพบในงานจารกรรมมากกว่าการโจมตีเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน Caminho เป็นมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบ “ไร้ร่องรอย” โดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์ แต่โหลดโค้ดอันตรายเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรง ทำให้หลบเลี่ยงการตรวจจับจากแอนตี้ไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔍 วิธีการทำงานของ Caminho: 1️⃣ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ JavaScript หรือ VBScript ในรูปแบบ ZIP/RAR 2️⃣ เมื่อเปิดไฟล์ สคริปต์จะเรียกใช้ PowerShell เพื่อดึงภาพจาก Archive.org 3️⃣ ภาพเหล่านั้นมีโค้ด .NET ที่ถูกซ่อนไว้ในบิตต่ำสุดของพิกเซล (LSB) 4️⃣ PowerShell จะถอดรหัสโค้ดและโหลดเข้าสู่หน่วยความจำ 5️⃣ จากนั้นมัลแวร์จะถูกฉีดเข้าไปในโปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ มัลแวร์นี้ยังมีระบบตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำ และมีฟีเจอร์ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug เพื่อหลบเลี่ยงการวิเคราะห์จากนักวิจัย Arctic Wolf พบว่า Caminho ถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาโปรตุเกส และมีเป้าหมายในหลายประเทศ เช่น บราซิล แอฟริกาใต้ ยูเครน และโปแลนด์ โดยมีการให้บริการแบบ “เช่าใช้” ซึ่งลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการได้ เช่น REMCOS RAT, XWorm หรือ Katz Stealer ✅ ลักษณะของ Caminho Loader ➡️ เป็นบริการ Loader-as-a-Service จากบราซิล ➡️ ใช้เทคนิค LSB Steganography ซ่อนโค้ดในภาพ ➡️ โหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยไม่เขียนไฟล์ลงดิสก์ ➡️ ฉีดโค้ดเข้าสู่โปรเซส calc.exe เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ วิธีการแพร่กระจาย ➡️ เริ่มจากอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์สคริปต์ ➡️ ใช้ PowerShell ดึงภาพจาก Archive.org ➡️ ถอดรหัส payload จากภาพแล้วโหลดเข้าสู่ระบบ ✅ ความสามารถพิเศษของมัลแวร์ ➡️ ตรวจจับ sandbox, VM และเครื่องมือ debug ➡️ ตั้งเวลาให้กลับมาทำงานซ้ำผ่าน scheduled tasks ➡️ รองรับการโหลด payload หลายชนิดตามความต้องการของลูกค้า ✅ การใช้บริการแบบเช่า ➡️ ลูกค้าสามารถเลือก payload ที่ต้องการ ➡️ ใช้ภาพเดียวกันในหลายแคมเปญเพื่อประหยัดต้นทุน ➡️ ใช้บริการเว็บที่น่าเชื่อถือ เช่น Archive.org, paste.ee เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก Caminho ⛔ อีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ ZIP/RAR อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการติดมัลแวร์ ⛔ ภาพจากเว็บที่ดูปลอดภัยอาจมีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่ ⛔ การโหลดโค้ดเข้าสู่หน่วยความจำโดยตรงทำให้ตรวจจับได้ยาก https://securityonline.info/caminho-loader-as-a-service-uses-lsb-steganography-to-hide-net-payloads-in-archive-org-images/
    SECURITYONLINE.INFO
    Caminho Loader-as-a-Service Uses LSB Steganography to Hide .NET Payloads in Archive.org Images
    Arctic Wolf exposed Caminho, a Brazilian Loader-as-a-Service that hides .NET payloads in images via LSB steganography. It operates filelessly and is deployed via phishing and legitimate Archive.org.
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด

    แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง

    แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง

    หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง

    จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro
    เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025
    ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4
    ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm
    แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง
    หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K
    ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม

    ความแตกต่างจากรุ่นจีน
    รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W)
    รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh
    ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่

    ราคาโดยประมาณ
    รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700
    รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800
    รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000

    https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    📱 RedMagic 11 Pro – สมาร์ทโฟนเกมมิ่งเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ถ้าคุณเป็นสายเกมมือถือที่กำลังมองหาเครื่องแรงๆ RedMagic 11 Pro อาจเป็นคำตอบที่คุณรอคอย เพราะมันมาพร้อมกับชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังมีชิปกราฟิกเฉพาะ RedCore R4 ที่ช่วยให้ภาพลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่ไฮไลต์เด็ดจริงๆ คือระบบระบายความร้อน “AquaCore” ที่ใช้ของเหลวหมุนเวียนผ่านท่อใสด้านหลังเครื่อง พร้อมพัดลมหมุนเร็วถึง 24,000 รอบต่อนาที! นี่ไม่ใช่แค่เท่ แต่ช่วยให้เครื่องไม่ร้อนแม้เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องหลายชั่วโมง แม้จะอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี แต่ตัวเครื่องยังบางเพียง 8.9 มม. และหนักแค่ 230 กรัม พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 7,500mAh ที่เล่นเกมได้ต่อเนื่องถึง 13 ชั่วโมง หน้าจอก็ไม่ธรรมดา เป็น AMOLED รีเฟรชเรต 144Hz ความละเอียด 1.5K (2,688 x 1,216 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี “ใต้หน้าจอ” และ “ถนอมสายตา” สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง ✅ จุดเด่นของ RedMagic 11 Pro ➡️ เปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้ชิป Snapdragon 8 Elite Gen5 + RedCore R4 ➡️ ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว + พัดลม 24,000rpm ➡️ แบตเตอรี่ 7,500mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง ➡️ หน้าจอ AMOLED 144Hz ความละเอียด 1.5K ➡️ ดีไซน์บาง 8.9 มม. น้ำหนัก 230 กรัม ✅ ความแตกต่างจากรุ่นจีน ➡️ รุ่นจีนมี 2 แบบ: Pro (80W) และ Pro+ (120W) ➡️ รุ่น Global ลดแบตจาก 8,000mAh เหลือ 7,500mAh ➡️ ยังไม่ยืนยันว่าจะวางขายรุ่น Pro+ ทั่วโลกหรือไม่ ✅ ราคาโดยประมาณ ➡️ รุ่น 12GB RAM + 256GB ราคา ~ $700 ➡️ รุ่น 16GB RAM + 512GB ราคา ~ $800 ➡️ รุ่น Pro+ (เฉพาะจีน) มีถึง 24GB RAM + 1TB ราคาเกิน $1,000 https://www.slashgear.com/2003821/redmagic-11-pro-liquid-cooled-smartphone-details/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The World's First Liquid-Cooled Smartphone Is About To Hit The Market - SlashGear
    RedMagic is coming out with a new smartphone with a liquid-cooled processor, enabling the Snapdragon 8 Gen 5 chip to run even harder for optimal gaming.
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ”

    ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน

    โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

    แนวคิดหลักของ Montessori
    การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก
    ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม
    รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom)
    ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ
    ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน

    งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ

    ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า

    ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน

    ผลการศึกษาระดับชาติ
    ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori
    ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ

    ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้
    เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม
    ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น

    ความคุ้มค่าทางงบประมาณ
    ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน
    โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน
    ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง

    ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม
    เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
    เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori

    ความหมายเชิงนโยบาย
    โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น
    เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย

    https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    📰 “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ” ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 🧠 แนวคิดหลักของ Montessori 🎗️ การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก 🎗️ ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม 🎗️ รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom) 🎗️ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ 🎗️ ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน ✅ ผลการศึกษาระดับชาติ ➡️ ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ➡️ ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ ✅ ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ ➡️ เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม ➡️ ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น ✅ ความคุ้มค่าทางงบประมาณ ➡️ ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน ➡️ โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน ➡️ ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง ✅ ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม ➡️ เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ➡️ เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori ✅ ความหมายเชิงนโยบาย ➡️ โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น ➡️ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    PHYS.ORG
    National study finds public Montessori programs strengthen early learning outcomes—at sharply lower costs
    The first national randomized trial of public Montessori preschool students showed stronger long-term outcomes by kindergarten, including elevated reading, memory, and executive function as compared to non-Montessori preschoolers.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • “Synadia และ TigerBeetle ร่วมสนับสนุน Zig Foundation ด้วยเงินทุนกว่า 512,000 ดอลลาร์ – หนุนอนาคตซอฟต์แวร์ระบบที่เชื่อถือได้”

    ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบที่ต้องการความแม่นยำ ความเสถียร และประสิทธิภาพสูง ภาษาโปรแกรม Zig กำลังกลายเป็นดาวรุ่งที่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและองค์กรชั้นนำ ล่าสุด Synadia และ TigerBeetle ได้ประกาศร่วมกันสนับสนุน Zig Software Foundation ด้วยเงินทุนรวมกว่า 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 2 ปี

    Synadia เป็นบริษัทเบื้องหลังแพลตฟอร์ม NATS.io ที่ให้บริการระบบสื่อสารแบบกระจายตัวสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการแบบปลอดภัยและเชื่อถือได้ ส่วน TigerBeetle เป็นฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระดับสูงสุด

    ทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ “ถูกต้อง ชัดเจน และเชื่อถือได้” โดยเฉพาะในระบบที่ต้องการความแม่นยำแบบ deterministic และการทำงานที่คาดการณ์ได้ ซึ่งตรงกับแนวทางของ Zig ที่เน้นการควบคุม การออกแบบเรียบง่าย และประสิทธิภาพสูง

    การสนับสนุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุน แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันอนาคตของการเขียนโปรแกรมระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมี Andrew Kelley ผู้ก่อตั้ง Zig Foundation เป็นผู้นำในการพัฒนาภาษา Zig และชุมชนที่แข็งแกร่ง

    การสนับสนุน Zig Software Foundation
    Synadia และ TigerBeetle ร่วมกันสนับสนุนเงินทุนรวม 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
    ระยะเวลา 2 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและขยายชุมชนของภาษา Zig

    วิสัยทัศน์ของ Synadia
    เชื่อมโยงระบบและข้อมูลแบบปลอดภัยทั่วคลาวด์และ edge
    พัฒนาแพลตฟอร์มบน NATS.io สำหรับระบบกระจายตัวที่เชื่อถือได้

    จุดเด่นของ TigerBeetle
    ฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำ
    ใช้แนวทาง “TigerStyle” ที่เน้นความถูกต้อง ความชัดเจน และความน่าเชื่อถือ

    ความสำคัญของภาษา Zig
    ออกแบบเพื่อความเสถียร ความสามารถในการควบคุม และประสิทธิภาพ
    เหมาะสำหรับงานระบบฝังตัว ซอฟต์แวร์ระบบ และแอปพลิเคชันที่ต้องการความแม่นยำ

    ผู้นำของ Zig Foundation
    Andrew Kelley เป็นผู้ก่อตั้งและประธาน
    มีบทบาทสำคัญในการผลักดันชุมชนและแนวทางการพัฒนาภาษา Zig

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาที่สนใจ Zig
    Zig ยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีการเปลี่ยนแปลง syntax และ behavior
    การนำไปใช้ในระบบ production ต้องพิจารณาเรื่องความเสถียรและการสนับสนุนระยะยาว
    การพัฒนาเครื่องมือและ ecosystem ยังไม่เทียบเท่าภาษาหลักอื่น ๆ เช่น Rust หรือ Go

    https://www.synadia.com/blog/synadia-tigerbeetle-zig-foundation-pledge
    📰 “Synadia และ TigerBeetle ร่วมสนับสนุน Zig Foundation ด้วยเงินทุนกว่า 512,000 ดอลลาร์ – หนุนอนาคตซอฟต์แวร์ระบบที่เชื่อถือได้” ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบที่ต้องการความแม่นยำ ความเสถียร และประสิทธิภาพสูง ภาษาโปรแกรม Zig กำลังกลายเป็นดาวรุ่งที่ได้รับความสนใจจากนักพัฒนาและองค์กรชั้นนำ ล่าสุด Synadia และ TigerBeetle ได้ประกาศร่วมกันสนับสนุน Zig Software Foundation ด้วยเงินทุนรวมกว่า 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 2 ปี Synadia เป็นบริษัทเบื้องหลังแพลตฟอร์ม NATS.io ที่ให้บริการระบบสื่อสารแบบกระจายตัวสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการแบบปลอดภัยและเชื่อถือได้ ส่วน TigerBeetle เป็นฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระดับสูงสุด ทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ “ถูกต้อง ชัดเจน และเชื่อถือได้” โดยเฉพาะในระบบที่ต้องการความแม่นยำแบบ deterministic และการทำงานที่คาดการณ์ได้ ซึ่งตรงกับแนวทางของ Zig ที่เน้นการควบคุม การออกแบบเรียบง่าย และประสิทธิภาพสูง การสนับสนุนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทุน แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันอนาคตของการเขียนโปรแกรมระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมี Andrew Kelley ผู้ก่อตั้ง Zig Foundation เป็นผู้นำในการพัฒนาภาษา Zig และชุมชนที่แข็งแกร่ง ✅ การสนับสนุน Zig Software Foundation ➡️ Synadia และ TigerBeetle ร่วมกันสนับสนุนเงินทุนรวม 512,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ➡️ ระยะเวลา 2 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและขยายชุมชนของภาษา Zig ✅ วิสัยทัศน์ของ Synadia ➡️ เชื่อมโยงระบบและข้อมูลแบบปลอดภัยทั่วคลาวด์และ edge ➡️ พัฒนาแพลตฟอร์มบน NATS.io สำหรับระบบกระจายตัวที่เชื่อถือได้ ✅ จุดเด่นของ TigerBeetle ➡️ ฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เน้นความปลอดภัยและความแม่นยำ ➡️ ใช้แนวทาง “TigerStyle” ที่เน้นความถูกต้อง ความชัดเจน และความน่าเชื่อถือ ✅ ความสำคัญของภาษา Zig ➡️ ออกแบบเพื่อความเสถียร ความสามารถในการควบคุม และประสิทธิภาพ ➡️ เหมาะสำหรับงานระบบฝังตัว ซอฟต์แวร์ระบบ และแอปพลิเคชันที่ต้องการความแม่นยำ ✅ ผู้นำของ Zig Foundation ➡️ Andrew Kelley เป็นผู้ก่อตั้งและประธาน ➡️ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันชุมชนและแนวทางการพัฒนาภาษา Zig ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาที่สนใจ Zig ⛔ Zig ยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีการเปลี่ยนแปลง syntax และ behavior ⛔ การนำไปใช้ในระบบ production ต้องพิจารณาเรื่องความเสถียรและการสนับสนุนระยะยาว ⛔ การพัฒนาเครื่องมือและ ecosystem ยังไม่เทียบเท่าภาษาหลักอื่น ๆ เช่น Rust หรือ Go https://www.synadia.com/blog/synadia-tigerbeetle-zig-foundation-pledge
    WWW.SYNADIA.COM
    Synadia and TigerBeetle Pledge $512K to the Zig Software Foundation
    Announcing a shared commitment to advancing the future of systems programming and reliable distributed software. Synadia and TigerBeetle have together pledged a combined $512,000 USD to the Zig Software Foundation over the next two years.
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • Apple กำลังเตรียมเปิดตัว iPhone 18 ในปี 2026 พร้อมชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด A20 และ A20 Pro ซึ่งจะเป็นชิปขนาด 2nm รุ่นแรกของบริษัท โดยมีการเปิดเผยโค้ดเนมของแต่ละรุ่นดังนี้:

    รายละเอียดชิป A20 และ A20 Pro
    A20 (โค้ดเนม: Borneo): ใช้ใน iPhone 18 รุ่นพื้นฐาน
    A20 Pro (โค้ดเนม: Borneo Ultra): ใช้ใน iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max และ iPhone รุ่นพับได้

    แม้จะมีเพียงสองชื่อชิป แต่คาดว่าจะมี สามเวอร์ชัน เหมือนกับ A19 ที่มีรุ่น “Air” ซึ่งใช้ชิป A19 Pro แบบลดสเปก และรุ่น Pro/Pro Max ที่ใช้ชิปแบบเต็มประสิทธิภาพ

    สเปกที่คาดการณ์
    CPU แบบ 6-core: 2 คอร์ประสิทธิภาพ + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 2nm N2 process
    ชิป A20 และ A20 Pro จะถูกใช้ทั้งใน iPhone และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มีหน้าจอ OLED แบบสัมผัส

    ความเคลื่อนไหวล่าสุด
    Apple ได้สั่งซื้อ DRAM ขนาด 10nm LPDDR5X จำนวน 13 ล้านชิ้นจาก Samsung เพื่อเตรียมการผลิต iPhone 18 ล่วงหน้า

    https://wccftech.com/apple-a20-pro-codenames-revealed-which-iphone-18-will-feature-which-soc/
    Apple กำลังเตรียมเปิดตัว iPhone 18 ในปี 2026 พร้อมชิปเซ็ตใหม่ล่าสุด A20 และ A20 Pro ซึ่งจะเป็นชิปขนาด 2nm รุ่นแรกของบริษัท โดยมีการเปิดเผยโค้ดเนมของแต่ละรุ่นดังนี้: 🔍 รายละเอียดชิป A20 และ A20 Pro 🔊 A20 (โค้ดเนม: Borneo): ใช้ใน iPhone 18 รุ่นพื้นฐาน 🔊 A20 Pro (โค้ดเนม: Borneo Ultra): ใช้ใน iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max และ iPhone รุ่นพับได้ แม้จะมีเพียงสองชื่อชิป แต่คาดว่าจะมี สามเวอร์ชัน เหมือนกับ A19 ที่มีรุ่น “Air” ซึ่งใช้ชิป A19 Pro แบบลดสเปก และรุ่น Pro/Pro Max ที่ใช้ชิปแบบเต็มประสิทธิภาพ ⚙️ สเปกที่คาดการณ์ 📐 CPU แบบ 6-core: 2 คอร์ประสิทธิภาพ + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน 📐 ผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 2nm N2 process 📐 ชิป A20 และ A20 Pro จะถูกใช้ทั้งใน iPhone และ MacBook Pro รุ่นใหม่ที่มีหน้าจอ OLED แบบสัมผัส 📦 ความเคลื่อนไหวล่าสุด ⚡ Apple ได้สั่งซื้อ DRAM ขนาด 10nm LPDDR5X จำนวน 13 ล้านชิ้นจาก Samsung เพื่อเตรียมการผลิต iPhone 18 ล่วงหน้า https://wccftech.com/apple-a20-pro-codenames-revealed-which-iphone-18-will-feature-which-soc/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s A20, A20 Pro Chipset Codenames Revealed - Rumor Provides Details On Which SoC Will Power The iPhone 18 Next Year
    A rumor not only sheds light on the A20 and A20 Pro codenames, but also which iPhone 18 model will be treated to which silicon
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • How To Refer To Little People: The Terms To Know

    Most people are familiar with the use of the term little people in reference to people who have dwarfism—people whose short stature is the result of a medical or genetic condition. But it’s not the only term.

    In this article, we’ll note the range of terms and preferences and explain some of the notable reasons behind these preferences.

    Content warning: The end of this article includes an explicit mention of an offensive slur. As part of our mission to educate about words and their impact on people, we believe it is important to include information about this word, especially since some people may be unaware that it is considered offensive.

    What is dwarfism?

    An important aspect of understanding dwarfism is understanding that dwarfism is a general term and doesn’t refer to one specific medical condition that causes short stature. Instead, the term is used to refer to shortness of stature that can be caused by many different medical or genetic conditions.

    Generally, an adult is considered to have dwarfism if they have a height measured at 4 feet 10 inches or lower.

    What causes dwarfism?

    The most common cause of dwarfism is achondroplasia, a condition that impairs the growth of bones and causes an atypical skeletal structure, especially in the limbs. While this condition can be inherited, it is often caused by genetic mutations. This means that parents who do not have achondroplasia can have children who do, and parents who do have achondroplasia can have children who don’t.
    What do people with dwarfism prefer to be called?

    First, remember that discussing a condition or physical difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    Of course, it is sometimes necessary and important to use generally identifying terms, such as when discussing accessibility in the workplace or a person’s membership in a community. And whenever such things are being discussed, it’s important to use the terms that people themselves prefer when referring to themselves and being referred to.

    Because preferences vary widely, the best approach is always to ask. Preferences may also overlap—some people may use certain terms interchangeably or be OK with multiple terms.

    Here are some of the most common and widely accepted terms.

    dwarf and person with dwarfism

    Some people with dwarfism prefer to be referred to—and to refer to themselves—with the standalone term dwarf. In contrast, some people prefer the term person with dwarfism, an example of what’s called person-first language, which is terminology that places the person before a mention of a specific characteristic (usually literally using the word person or the plural people as the first words in an identifying phrase). Preferring to be referred to as a dwarf is an example of what’s called identity-first language, which places emphasis on a characteristic that a person considers an inherent part of their identity.

    Both terms are considered catch-all terms that encompass all medical and genetic causes of dwarfism. Both versions are also commonly used in the medical community when discussing dwarfism.

    While organizations within the community often use such terms in discussing their members and those they advocate for, such terms are not commonly used in names of such organizations (though there are exceptions).

    It’s important to note that some people may not be comfortable using either term for a variety of reasons. One reason is that they may consider them as too technical outside of a medical context. Furthermore, some people may prefer to avoid the word dwarf’s associations with characters in folklore and pop culture (which in many cases have had the effect of demeaning people of short stature).

    little person, little people

    Out of all of the terms that refer to people with dwarfism, the straightforward little person (and its plural little people) is now likely the most common and the one most people are familiar with.

    Around the world, many organizations focused on people with dwarfism use the term little people in their name and in their communications, including Little People of America, Little People UK, and Little People of British Columbia.

    The increase in the awareness of this terminology is often attributed in part to the high visibility of such terms in notable aspects of pop culture, such as the title of the long-running TV series Little People, Big World.

    Although such terms are now widely used and preferred, keep in mind that personal preferences vary.

    person of short stature and short-statured person

    Although less common, the terms person of short stature and short-statured person (sometimes unhyphenated as short statured) are also used (along with their plural forms that use people). Preferences around person-first or identity-first constructions also apply in this case.

    These phrases are used by groups and organizations focused on little people, often interchangeably with previously mentioned options. They are sometimes also used in the names of such organizations, such as Short Statured People of Australia and Short Stature Scotland.

    Which term should I use?

    Remember that specifying whether or not a person has dwarfism is often completely unnecessary. See the person first—and don’t assume that their size defines them. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name.

    In cases when it’s important to identify someone as being short in stature in the ways we’ve discussed here, all of the terms we’ve listed can be suitable. Many are often used interchangeably. Little person and little people are the most common. But no preference is universal, so be sure to respect a person’s preferences.

    Offensive terms

    Although preferences vary around the terms that have been discussed thus far, there are some terms that should never be used. Notably, one term considered extremely offensive is the disparaging word midget. Like other slurs, its explicit mention is often avoided in discussions about the term by instead using the phrase the M word. (We feel it is important to explicitly state it here so as to leave no confusion about which word we’re referring to.)

    Though the term once came to be used by some as a way to distinguish various forms of dwarfism, members of the community and advocacy organizations now note that its history is rooted in demeaning usage—and that it should be avoided altogether.

    That push for avoidance and elimination of use also extends to contexts in which the term has traditionally been applied not to people but to things in reference to their small size (such as certain types of racing cars, as one example).

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    How To Refer To Little People: The Terms To Know Most people are familiar with the use of the term little people in reference to people who have dwarfism—people whose short stature is the result of a medical or genetic condition. But it’s not the only term. In this article, we’ll note the range of terms and preferences and explain some of the notable reasons behind these preferences. Content warning: The end of this article includes an explicit mention of an offensive slur. As part of our mission to educate about words and their impact on people, we believe it is important to include information about this word, especially since some people may be unaware that it is considered offensive. What is dwarfism? An important aspect of understanding dwarfism is understanding that dwarfism is a general term and doesn’t refer to one specific medical condition that causes short stature. Instead, the term is used to refer to shortness of stature that can be caused by many different medical or genetic conditions. Generally, an adult is considered to have dwarfism if they have a height measured at 4 feet 10 inches or lower. What causes dwarfism? The most common cause of dwarfism is achondroplasia, a condition that impairs the growth of bones and causes an atypical skeletal structure, especially in the limbs. While this condition can be inherited, it is often caused by genetic mutations. This means that parents who do not have achondroplasia can have children who do, and parents who do have achondroplasia can have children who don’t. What do people with dwarfism prefer to be called? First, remember that discussing a condition or physical difference is in many cases unnecessary. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. Of course, it is sometimes necessary and important to use generally identifying terms, such as when discussing accessibility in the workplace or a person’s membership in a community. And whenever such things are being discussed, it’s important to use the terms that people themselves prefer when referring to themselves and being referred to. Because preferences vary widely, the best approach is always to ask. Preferences may also overlap—some people may use certain terms interchangeably or be OK with multiple terms. Here are some of the most common and widely accepted terms. dwarf and person with dwarfism Some people with dwarfism prefer to be referred to—and to refer to themselves—with the standalone term dwarf. In contrast, some people prefer the term person with dwarfism, an example of what’s called person-first language, which is terminology that places the person before a mention of a specific characteristic (usually literally using the word person or the plural people as the first words in an identifying phrase). Preferring to be referred to as a dwarf is an example of what’s called identity-first language, which places emphasis on a characteristic that a person considers an inherent part of their identity. Both terms are considered catch-all terms that encompass all medical and genetic causes of dwarfism. Both versions are also commonly used in the medical community when discussing dwarfism. While organizations within the community often use such terms in discussing their members and those they advocate for, such terms are not commonly used in names of such organizations (though there are exceptions). It’s important to note that some people may not be comfortable using either term for a variety of reasons. One reason is that they may consider them as too technical outside of a medical context. Furthermore, some people may prefer to avoid the word dwarf’s associations with characters in folklore and pop culture (which in many cases have had the effect of demeaning people of short stature). little person, little people Out of all of the terms that refer to people with dwarfism, the straightforward little person (and its plural little people) is now likely the most common and the one most people are familiar with. Around the world, many organizations focused on people with dwarfism use the term little people in their name and in their communications, including Little People of America, Little People UK, and Little People of British Columbia. The increase in the awareness of this terminology is often attributed in part to the high visibility of such terms in notable aspects of pop culture, such as the title of the long-running TV series Little People, Big World. Although such terms are now widely used and preferred, keep in mind that personal preferences vary. person of short stature and short-statured person Although less common, the terms person of short stature and short-statured person (sometimes unhyphenated as short statured) are also used (along with their plural forms that use people). Preferences around person-first or identity-first constructions also apply in this case. These phrases are used by groups and organizations focused on little people, often interchangeably with previously mentioned options. They are sometimes also used in the names of such organizations, such as Short Statured People of Australia and Short Stature Scotland. Which term should I use? Remember that specifying whether or not a person has dwarfism is often completely unnecessary. See the person first—and don’t assume that their size defines them. Most of the time, the first thing you should ask a person is their name. In cases when it’s important to identify someone as being short in stature in the ways we’ve discussed here, all of the terms we’ve listed can be suitable. Many are often used interchangeably. Little person and little people are the most common. But no preference is universal, so be sure to respect a person’s preferences. Offensive terms Although preferences vary around the terms that have been discussed thus far, there are some terms that should never be used. Notably, one term considered extremely offensive is the disparaging word midget. Like other slurs, its explicit mention is often avoided in discussions about the term by instead using the phrase the M word. (We feel it is important to explicitly state it here so as to leave no confusion about which word we’re referring to.) Though the term once came to be used by some as a way to distinguish various forms of dwarfism, members of the community and advocacy organizations now note that its history is rooted in demeaning usage—and that it should be avoided altogether. That push for avoidance and elimination of use also extends to contexts in which the term has traditionally been applied not to people but to things in reference to their small size (such as certain types of racing cars, as one example). สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง

    OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน

    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน

    น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน

    การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4

    การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated
    เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS
    แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง
    ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT
    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้

    ความสามารถของ Sky
    สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages
    สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป
    เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์
    พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple

    ความเคลื่อนไหวของ Apple
    Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026
    มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน
    หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta
    Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน

    https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    🧠 OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4 ✅ การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated ➡️ เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS ➡️ แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง ➡️ ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT ➡️ Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้ ✅ ความสามารถของ Sky ➡️ สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages ➡️ สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป ➡️ เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์ ➡️ พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026 ➡️ มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน ➡️ หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta ➡️ Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI Acquires The Company Behind The New Apple Mac App Sky
    OpenAI is trying to encroach into Apple's sprawling ecosystem by acquiring a company that is championing enhanced automation on the Mac.
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google

    ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70%

    บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว

    แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์
    แนวโน้มใหม่
    เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้
    ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง
    เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine”

    คำเตือน
    ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล
    ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

    2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search
    เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว
    Atlas จาก OpenAI
    Comet จาก Perplexity
    Copilot-enabled Edge จาก Microsoft
    Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่

    คำเตือน
    บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว

    3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google
    จุดแข็งของ Google
    Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70%
    Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล
    มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search

    จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย
    ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้
    คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า

    4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    มุมมองจากนักวิเคราะห์
    Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว”
    Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์”
    Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่”

    คำเตือน
    การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก
    การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    🔍 สงครามค้นหายุคใหม่: AI กำลังเปลี่ยนโฉมการท่องเว็บ และท้าทายอำนาจของ Google ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยประจำตัวของผู้คนทั่วโลก การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บทความจาก The Star เผยว่า “การค้นหาออนไลน์” กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI ที่พยายามเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูล และท้าทายอำนาจของ Google Chrome ที่ครองตลาดมากกว่า 70% บริษัทอย่าง OpenAI, Microsoft, Perplexity และ Dia ต่างเปิดตัว “เบราว์เซอร์ AI” ที่สามารถค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ และดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาแบบเดิมอีกต่อไป เช่น Atlas ของ OpenAI สามารถสร้างรายการซื้อของตามเมนูและจำนวนแขกได้ทันทีจากคำสั่งเดียว แม้ Google จะมีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ที่ใช้ reasoning และ multimodal แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “agentic AI” ที่สามารถทำงานแทนผู้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ การเปลี่ยนแปลงของการค้นหาออนไลน์ ✅ แนวโน้มใหม่ ➡️ เบราว์เซอร์ AI สามารถค้นหาและดำเนินการแทนผู้ใช้ได้ ➡️ ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่สามารถจัดการงาน เช่น จองร้านอาหารหรือวางแผนการเดินทาง ➡️ เปลี่ยนจาก “search engine” เป็น “action engine” ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้อาจพึ่งพา AI มากเกินไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูล ⛔ ความผิดพลาดจาก AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง 2️⃣ ผู้เล่นหลักในสมรภูมิ AI Search ✅ เบราว์เซอร์ AI ที่เปิดตัวแล้ว ➡️ Atlas จาก OpenAI ➡️ Comet จาก Perplexity ➡️ Copilot-enabled Edge จาก Microsoft ➡️ Dia และ Neon จากผู้พัฒนารายใหม่ ‼️ คำเตือน ⛔ บางเบราว์เซอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง อาจมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ⛔ การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อปรับปรุง AI อาจกระทบความเป็นส่วนตัว 3️⃣ จุดแข็งและจุดอ่อนของ Google ✅ จุดแข็งของ Google ➡️ Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์มากกว่า 70% ➡️ Google Search ยังเป็นเครื่องมือหลักในการค้นหาข้อมูล ➡️ มีฟีเจอร์ AI Overviews และโหมด AI Search ‼️ จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย ⛔ ยังไม่เข้าสู่ระดับ “agentic AI” ที่ทำงานแทนผู้ใช้ได้ ⛔ คู่แข่งสามารถรวบรวมข้อมูลจากการใช้งาน AI เพื่อพัฒนาโมเดลได้เร็วกว่า 4️⃣ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ✅ มุมมองจากนักวิเคราะห์ ➡️ Avi Greengart: “AI acting in the browser makes sense เพราะแอปส่วนใหญ่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์อยู่แล้ว” ➡️ Evan Schlossman: “AI กำลังควบคุมอินเทอร์เฟซของผู้ใช้ เพื่อ streamline ประสบการณ์” ➡️ Thomas Thiele: “การรวมข้อมูลจาก ChatGPT และ Atlas อาจสร้าง Google ใหม่” ‼️ คำเตือน ⛔ การควบคุมอินเทอร์เฟซโดย AI อาจทำให้ผู้ใช้เสียอำนาจในการเลือก ⛔ การรวบรวมข้อมูลมากเกินไปอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/online-search-a-battleground-for-ai-titans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online search a battleground for AI titans
    Tech firms battling for supremacy in artificial intelligence are out to transform how people search the web, challenging the dominance of the Chrome browser at the heart of Google's empire.
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • กำลังจะปั่นเชื้อโรคในช่วงฤดูหนาวฝั่งเอเชียอีกแล้ว,เป้าหมายพยายามลดประชากรฝั่งเอเชียให้มากที่สุด โดยเฉพาะคนจีน คนอินเดีย
    https://x.com/toobaffled/status/1981508333246042276?t=_QpqQWeTjdBlZxmMxxYIqw&s=19
    กำลังจะปั่นเชื้อโรคในช่วงฤดูหนาวฝั่งเอเชียอีกแล้ว,เป้าหมายพยายามลดประชากรฝั่งเอเชียให้มากที่สุด โดยเฉพาะคนจีน คนอินเดีย https://x.com/toobaffled/status/1981508333246042276?t=_QpqQWeTjdBlZxmMxxYIqw&s=19
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
More Results