• เรื่องเล่าจากบัตรเครดิตที่พูดได้: เมื่อ Alibaba เปลี่ยนเครื่องบันทึกเสียงให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ

    ในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Alibaba เปิดตัว DingTalk A1 ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกเสียงขนาดเท่าบัตรเครดิตที่อัดแน่นด้วยความสามารถด้าน AI โดยใช้โมเดลจาก Tongyi AI Lab ที่เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าใจได้มากกว่า 100 ภาษาและ 30 สำเนียงจีน รวมถึงศัพท์เฉพาะจากกว่า 200 อุตสาหกรรม

    A1 ไม่ได้แค่บันทึกเสียง แต่สามารถสรุปประชุม, แปลภาษาแบบเรียลไทม์, วิเคราะห์เนื้อหา และสร้างเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น minutes, to-do list หรือแม้แต่ mindmap โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Plaud Note Pro (US$179) และ Mobvoi TicNote (US$159.99) แล้ว DingTalk A1 มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่ 499–799 หยวน (US$69.98–111.8) และยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น OLED สี, USB-C, การเชื่อมต่อกับแอป DingTalk โดยตรง และการรองรับโมเดล AI ชั้นนำจากจีน เช่น Qwen3-235B, DeepSeek-V3

    ตลาด AI hardware ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล, การพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมแบบกว้างขวาง

    การเปิดตัว DingTalk A1
    เปิดตัวในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk
    ขนาดเท่าบัตรเครดิต หนาเพียง 3.8 มม. น้ำหนัก ~40 กรัม
    มี OLED สี, USB-C, รองรับการสรุป, แปล, วิเคราะห์, สร้าง mindmap

    ความสามารถด้าน AI
    เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมงจาก Tongyi AI Lab
    รองรับมากกว่า 100 ภาษา, 30 สำเนียงจีน, และศัพท์เฉพาะจาก 200 อุตสาหกรรม
    ใช้โมเดล AI ชั้นนำ เช่น Qwen, DeepSeek, QwQ-plus

    การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    Plaud Note Pro ราคา US$179, ใช้ GPT-4.1, Claude 4, Gemini 2.5
    TicNote ราคา US$159.99, ใช้ DeepSeek-V3, Kimi-k2, รองรับ mindmap และ insight
    DingTalk A1 ถูกกว่า, เชื่อมกับแอป DingTalk โดยตรง, ไม่ต้องติดตั้งแยก

    แนวโน้มตลาด AI hardware ในจีน
    มูลค่าตลาดปี 2025 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน
    คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030
    การเติบโตมาจากนโยบายรัฐ, การพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ, และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/chinas-latest-ai-gadget-is-a-credit-card-sized-recorder-from-alibabas-dingtalk
    🎙️ เรื่องเล่าจากบัตรเครดิตที่พูดได้: เมื่อ Alibaba เปลี่ยนเครื่องบันทึกเสียงให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Alibaba เปิดตัว DingTalk A1 ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกเสียงขนาดเท่าบัตรเครดิตที่อัดแน่นด้วยความสามารถด้าน AI โดยใช้โมเดลจาก Tongyi AI Lab ที่เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าใจได้มากกว่า 100 ภาษาและ 30 สำเนียงจีน รวมถึงศัพท์เฉพาะจากกว่า 200 อุตสาหกรรม A1 ไม่ได้แค่บันทึกเสียง แต่สามารถสรุปประชุม, แปลภาษาแบบเรียลไทม์, วิเคราะห์เนื้อหา และสร้างเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น minutes, to-do list หรือแม้แต่ mindmap โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Plaud Note Pro (US$179) และ Mobvoi TicNote (US$159.99) แล้ว DingTalk A1 มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่ 499–799 หยวน (US$69.98–111.8) และยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น OLED สี, USB-C, การเชื่อมต่อกับแอป DingTalk โดยตรง และการรองรับโมเดล AI ชั้นนำจากจีน เช่น Qwen3-235B, DeepSeek-V3 ตลาด AI hardware ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล, การพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมแบบกว้างขวาง ✅ การเปิดตัว DingTalk A1 ➡️ เปิดตัวในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk ➡️ ขนาดเท่าบัตรเครดิต หนาเพียง 3.8 มม. น้ำหนัก ~40 กรัม ➡️ มี OLED สี, USB-C, รองรับการสรุป, แปล, วิเคราะห์, สร้าง mindmap ✅ ความสามารถด้าน AI ➡️ เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมงจาก Tongyi AI Lab ➡️ รองรับมากกว่า 100 ภาษา, 30 สำเนียงจีน, และศัพท์เฉพาะจาก 200 อุตสาหกรรม ➡️ ใช้โมเดล AI ชั้นนำ เช่น Qwen, DeepSeek, QwQ-plus ✅ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ Plaud Note Pro ราคา US$179, ใช้ GPT-4.1, Claude 4, Gemini 2.5 ➡️ TicNote ราคา US$159.99, ใช้ DeepSeek-V3, Kimi-k2, รองรับ mindmap และ insight ➡️ DingTalk A1 ถูกกว่า, เชื่อมกับแอป DingTalk โดยตรง, ไม่ต้องติดตั้งแยก ✅ แนวโน้มตลาด AI hardware ในจีน ➡️ มูลค่าตลาดปี 2025 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน ➡️ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030 ➡️ การเติบโตมาจากนโยบายรัฐ, การพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ, และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/chinas-latest-ai-gadget-is-a-credit-card-sized-recorder-from-alibabas-dingtalk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China’s latest AI gadget is a credit card-sized recorder from Alibaba’s DingTalk
    Transcription capability developed with Alibaba's Tongyi AI lab, using over 100 million hours of audio content for training.
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Swift 16 AI: เมื่อแล็ปท็อปกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Swift 16 AI ซึ่งเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่ใช้ชิป Intel Panther Lake—สถาปัตยกรรมใหม่ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A node และมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของ Arrow Lake และ Lunar Lake เข้าด้วยกันในชื่อ Core Ultra 300

    Panther Lake มาพร้อมกับ Xe3 iGPU ที่แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50%, NPU รุ่นที่ 5 ที่ให้พลัง AI สูงถึง 180 TOPS และใช้ P-core แบบ Cougar Cove ร่วมกับ E-core แบบ Skymont เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน

    แต่สิ่งที่ทำให้ Swift 16 AI โดดเด่นไม่ใช่แค่ชิป—มันคือ trackpad ที่ Acer เรียกว่า “ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรองรับการเขียนด้วย stylus แบบ haptic feedback โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย เหมือนเขียนบนกระดาษที่ตอบสนองด้วยแรงสั่นสะเทือน

    หน้าจอ OLED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880 × 1800) รีเฟรชเรต 120Hz พร้อม LPDDR5X RAM สูงสุด 32GB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thunderbolt 4 (ยังไม่ใช่ Thunderbolt 5)

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัว Panther Lake อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 และจะเริ่มเห็นแล็ปท็อปรุ่นอื่น ๆ ตามมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดย Swift 16 AI จะเป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่วางจำหน่าย

    https://www.tomshardware.com/laptops/panther-lake-breaks-cover-in-acer-swift-16-ai-company-also-touts-worlds-largest-trackpad-with-stylus-support
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Swift 16 AI: เมื่อแล็ปท็อปกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Swift 16 AI ซึ่งเป็นแล็ปท็อปเครื่องแรกที่ใช้ชิป Intel Panther Lake—สถาปัตยกรรมใหม่ที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A node และมีเป้าหมายเพื่อรวมพลังของ Arrow Lake และ Lunar Lake เข้าด้วยกันในชื่อ Core Ultra 300 Panther Lake มาพร้อมกับ Xe3 iGPU ที่แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 50%, NPU รุ่นที่ 5 ที่ให้พลัง AI สูงถึง 180 TOPS และใช้ P-core แบบ Cougar Cove ร่วมกับ E-core แบบ Skymont เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการประมวลผลและการใช้พลังงาน แต่สิ่งที่ทำให้ Swift 16 AI โดดเด่นไม่ใช่แค่ชิป—มันคือ trackpad ที่ Acer เรียกว่า “ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมรองรับการเขียนด้วย stylus แบบ haptic feedback โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวเลย เหมือนเขียนบนกระดาษที่ตอบสนองด้วยแรงสั่นสะเทือน หน้าจอ OLED ขนาด 16 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880 × 1800) รีเฟรชเรต 120Hz พร้อม LPDDR5X RAM สูงสุด 32GB และการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thunderbolt 4 (ยังไม่ใช่ Thunderbolt 5) นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัว Panther Lake อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2025 และจะเริ่มเห็นแล็ปท็อปรุ่นอื่น ๆ ตามมาในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดย Swift 16 AI จะเป็นหนึ่งในเครื่องแรกที่วางจำหน่าย https://www.tomshardware.com/laptops/panther-lake-breaks-cover-in-acer-swift-16-ai-company-also-touts-worlds-largest-trackpad-with-stylus-support
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์

    ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม

    หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล

    GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์

    หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์

    ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป

    สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง
    ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร
    รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย
    GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5

    ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก
    รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง
    เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง
    ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว

    หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator
    Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี
    มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet
    เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ

    ระบบระบายความร้อนระดับสูง
    ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม.
    มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe
    ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling

    https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Helios 18P AI: เมื่อแล็ปท็อปเกมมิ่งกลายเป็นเครื่องมือของนักวิจัยและนักสร้างสรรค์ ในงาน IFA 2025 ที่เบอร์ลิน Acer เปิดตัว Predator Helios 18P AI ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนเกมมิ่งแล็ปท็อปทั่วไป—มีโลโก้ Predator, ไฟ RGB, และดีไซน์ดุดัน แต่เมื่อดูสเปกแล้ว มันคือ “AI workstation แบบพกพา” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นเกม หัวใจของเครื่องคือ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro ซึ่งให้ความสามารถด้านการจัดการระดับองค์กร และความเสถียรแบบ workstation ส่วน RAM ก็ไม่ธรรมดา เพราะรองรับ ECC (Error-Correcting Code) สูงสุดถึง 192GB—เทคโนโลยีที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายระหว่างการประมวลผล GPU ใช้ NVIDIA GeForce RTX 5090 Laptop ที่มีพลัง AI TOPS สูงถึง 1824 พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ซึ่งเหมาะกับทั้งการเล่นเกมระดับสูงและการประมวลผล AI เช่นการเทรนโมเดล, การเรนเดอร์ภาพ 3D, หรือการจำลองทางวิทยาศาสตร์ หน้าจอ Mini LED ขนาด 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400 รองรับ HDR 1000 nits และ DCI-P3 เต็มช่วงสี พร้อม refresh rate 120Hz ทำให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำด้านสี เช่นการตัดต่อวิดีโอหรือการทำงานด้านภาพยนตร์ ระบบระบายความร้อนใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 ที่บางเพียง 0.05 มม. พร้อม liquid metal และ heat pipe แบบ vector เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ร้อนเกินไป ✅ สเปกระดับ workstation ที่ใส่ในแล็ปท็อปเกมมิ่ง ➡️ ใช้ Intel Core Ultra 9 285HX พร้อม vPro สำหรับการจัดการระดับองค์กร ➡️ รองรับ ECC RAM สูงสุด 192GB เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหาย ➡️ GPU เป็น RTX 5090 Laptop พร้อม DLSS 4 และ Tensor Core รุ่นที่ 5 ✅ ความสามารถด้าน AI และการประมวลผลหนัก ➡️ รองรับ AI workload ด้วย NPU และ GPU ที่มี AI TOPS สูง ➡️ เหมาะกับงานเทรนโมเดล, simulation, และการเรนเดอร์ระดับสูง ➡️ ใช้ PCIe Gen 5 SSD สูงสุด 6TB สำหรับการเข้าถึงข้อมูลเร็ว ✅ หน้าจอและการเชื่อมต่อสำหรับ creator ➡️ Mini LED 18 นิ้ว ความละเอียด 3840 × 2400, HDR 1000 nits, DCI-P3 เต็มช่วงสี ➡️ มี Thunderbolt 5, HDMI 2.1, SD card reader, Wi-Fi 7 และ Killer Ethernet ➡️ เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ, color grading, และการทำงานแบบมืออาชีพ ✅ ระบบระบายความร้อนระดับสูง ➡️ ใช้พัดลม AeroBlade รุ่นที่ 6 บางเพียง 0.05 มม. ➡️ มี liquid metal thermal grease และ vector heat pipe ➡️ ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่เกิด thermal throttling https://www.tomshardware.com/laptops/gaming-laptops/acer-hedges-its-hardware-bets-puts-vpro-and-ecc-memory-in-new-high-end-gaming-laptop
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Acer hedges its hardware bets, puts vPro and ECC memory in new high-end gaming laptop
    The company says the Predator Helios 18P AI is also a local AI workstation.
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก reMarkable Paper Pro Move: เมื่อความเรียบง่ายกลายเป็นพลังของการจดจำและสร้างสรรค์

    ในยุคที่สมาร์ทโฟนทำได้ทุกอย่าง แต่ก็รบกวนทุกอย่างไปพร้อมกัน reMarkable จึงออกแบบอุปกรณ์ที่ “ทำได้น้อย แต่ทำได้ดี” โดยเฉพาะกับรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Paper Pro Move ซึ่งเป็นสมุดโน้ตดิจิทัลขนาด 7.3 นิ้ว ที่พกพาได้ง่ายเหมือนสมุดนักข่าว และให้สัมผัสการเขียนที่ใกล้เคียงกับปากกาบนกระดาษมากที่สุดในตลาดตอนนี้

    หน้าจอ Canvas Color ใช้เทคโนโลยี e-paper ที่สะท้อนแสงธรรมชาติ ลดอาการล้าตา พร้อมไฟอ่านในตัวสำหรับใช้งานในที่มืด และรองรับสีได้มากกว่า 20,000 เฉด แม้จะไม่สดใสเท่า OLED แต่กลับให้ความรู้สึก “จริง” มากกว่าเมื่อเขียนด้วย Marker stylus ที่มีแรงเสียดทานพอดี ๆ เหมือนปากกาบนกระดาษ4

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ handwriting search ที่ช่วยค้นหาข้อความจากลายมือ, การแปลงลายมือเป็นข้อความ, การส่งอีเมลจากอุปกรณ์โดยตรง, และการเชื่อมต่อกับบริการ cloud เช่น Dropbox, Google Drive และ OneDrive ผ่าน Wi-Fi

    ตัวเครื่องบางเพียง 6.5 มม. น้ำหนัก 235 กรัม ทำจากอะลูมิเนียมรีไซเคิลมากกว่า 50% และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 2 สัปดาห์ ชาร์จเพียง 10 นาทีได้พลังงานใช้งานถึง 3 วัน เหมาะกับการพกพาไปประชุม สนามบิน หรือคาเฟ่ โดยไม่ต้องพึ่งแล็ปท็อปหรือมือถือที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน

    https://www.slashgear.com/1957782/remarkable-paper-pro-move-first-look-epaper-notebook/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก reMarkable Paper Pro Move: เมื่อความเรียบง่ายกลายเป็นพลังของการจดจำและสร้างสรรค์ ในยุคที่สมาร์ทโฟนทำได้ทุกอย่าง แต่ก็รบกวนทุกอย่างไปพร้อมกัน reMarkable จึงออกแบบอุปกรณ์ที่ “ทำได้น้อย แต่ทำได้ดี” โดยเฉพาะกับรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Paper Pro Move ซึ่งเป็นสมุดโน้ตดิจิทัลขนาด 7.3 นิ้ว ที่พกพาได้ง่ายเหมือนสมุดนักข่าว และให้สัมผัสการเขียนที่ใกล้เคียงกับปากกาบนกระดาษมากที่สุดในตลาดตอนนี้ หน้าจอ Canvas Color ใช้เทคโนโลยี e-paper ที่สะท้อนแสงธรรมชาติ ลดอาการล้าตา พร้อมไฟอ่านในตัวสำหรับใช้งานในที่มืด และรองรับสีได้มากกว่า 20,000 เฉด แม้จะไม่สดใสเท่า OLED แต่กลับให้ความรู้สึก “จริง” มากกว่าเมื่อเขียนด้วย Marker stylus ที่มีแรงเสียดทานพอดี ๆ เหมือนปากกาบนกระดาษ4 ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ handwriting search ที่ช่วยค้นหาข้อความจากลายมือ, การแปลงลายมือเป็นข้อความ, การส่งอีเมลจากอุปกรณ์โดยตรง, และการเชื่อมต่อกับบริการ cloud เช่น Dropbox, Google Drive และ OneDrive ผ่าน Wi-Fi ตัวเครื่องบางเพียง 6.5 มม. น้ำหนัก 235 กรัม ทำจากอะลูมิเนียมรีไซเคิลมากกว่า 50% และมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 2 สัปดาห์ ชาร์จเพียง 10 นาทีได้พลังงานใช้งานถึง 3 วัน เหมาะกับการพกพาไปประชุม สนามบิน หรือคาเฟ่ โดยไม่ต้องพึ่งแล็ปท็อปหรือมือถือที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน https://www.slashgear.com/1957782/remarkable-paper-pro-move-first-look-epaper-notebook/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    It's Not Cheap, But This E-Paper Notebook Is Unexpectedly Delightful - SlashGear
    You can go with the iPad mini if you want, but maybe consider another option, because this E-paper notebook is worth considering.
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Nanjing: เมื่อ TSMC ต้องขออนุญาตทุกครั้งเพื่อส่งเครื่องมือไปยังโรงงานของตัวเอง

    ในช่วงปลายปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ์ Validated End User (VEU) ของ TSMC สำหรับโรงงาน Fab 16 ที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน ซึ่งเดิมทีอนุญาตให้ TSMC สามารถนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากบริษัทอเมริกัน เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง

    เมื่อ VEU ถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ทุกการส่งออกเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสารเคมีไปยัง Fab 16 จะต้องผ่านการตรวจสอบแบบรายรายการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมี “แนวโน้มปฏิเสธ” เป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานของโรงงานนี้

    แม้ TSMC จะยืนยันว่าจะพยายามดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบีบให้บริษัทต้องหันไปใช้เครื่องมือจากผู้ผลิตจีน เช่น AMEC, Naura, Kingsemi หรือ Piotech ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องมือระดับ 16nm ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ lithography ที่ยังไม่มีผู้ผลิตจีนรายใดสามารถทำได้ในระดับที่ TSMC ต้องการ

    ผลกระทบต่อ TSMC อาจไม่รุนแรงเท่ากับ Samsung หรือ SK hynix ที่มี footprint ในจีนมากกว่า แต่การลดกำลังผลิตของ Fab 16 จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตจีนอย่าง SMIC และ HuaHong ที่อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันนโยบาย self-sufficiency ของรัฐบาลจีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/u-s-govt-revokes-tsmcs-authorization-to-ship-tools-to-its-fabs-in-china-special-export-license-to-be-pulled-by-end-of-2025
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nanjing: เมื่อ TSMC ต้องขออนุญาตทุกครั้งเพื่อส่งเครื่องมือไปยังโรงงานของตัวเอง ในช่วงปลายปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ์ Validated End User (VEU) ของ TSMC สำหรับโรงงาน Fab 16 ที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน ซึ่งเดิมทีอนุญาตให้ TSMC สามารถนำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากบริษัทอเมริกัน เช่น Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง เมื่อ VEU ถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป ทุกการส่งออกเครื่องมือ, อะไหล่, หรือสารเคมีไปยัง Fab 16 จะต้องผ่านการตรวจสอบแบบรายรายการจากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมี “แนวโน้มปฏิเสธ” เป็นค่าเริ่มต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานของโรงงานนี้ แม้ TSMC จะยืนยันว่าจะพยายามดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบีบให้บริษัทต้องหันไปใช้เครื่องมือจากผู้ผลิตจีน เช่น AMEC, Naura, Kingsemi หรือ Piotech ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าในบางด้าน แต่ยังไม่สามารถทดแทนเครื่องมือระดับ 16nm ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของ lithography ที่ยังไม่มีผู้ผลิตจีนรายใดสามารถทำได้ในระดับที่ TSMC ต้องการ ผลกระทบต่อ TSMC อาจไม่รุนแรงเท่ากับ Samsung หรือ SK hynix ที่มี footprint ในจีนมากกว่า แต่การลดกำลังผลิตของ Fab 16 จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตจีนอย่าง SMIC และ HuaHong ที่อาจได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันนโยบาย self-sufficiency ของรัฐบาลจีนให้เดินหน้าเร็วขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/u-s-govt-revokes-tsmcs-authorization-to-ship-tools-to-its-fabs-in-china-special-export-license-to-be-pulled-by-end-of-2025
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 2
    จะดูว่านักล่ามันใหญ่จริงไหม ดูง่าย ๆ มีชาติไหนบ้างที่สามารถตั้งฐานทัพของตัวเอง
    ไว้ในประเทศอื่นได้บ้าง เอาประเทศที่ว่าใหญ่ ๆ นะ เล็ก ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า
    อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แค่ไหน พลเมืองมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอเมริกา
    แขกก็กำลังรวย แอบสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (เอ๊ะ ! ที่ยังงี้ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอ ส่งหน่วยตรวจสอบจาก UN มาเลยนะ เอ้าคนอ่านนิทานลองคิดหาคำตอบกันเองบ้าง) เกือบมีฐานทัพในบ้านคนอื่น คือ Tajikistan แต่แค่เกือบแปลว่ายังไม่สำเร็จ แขกยังต้มไม่เก่งเท่านักล่า
    แล้วจีนล่ะ อาเฮียรวยจะตาย เศรษฐกิจโตพุ่งพรวดเป็นอันดับ 2 ของดวงดาวนี้ ขยายบ้านสร้างเมือง ไปเซียงไฮ้ นึกว่าไปปารีส (ฮา !) แล้วไง มีไหมฐานทัพในประเทศอื่น ของจริงยังม่ายมี ! มีแต่ข่าวว่าจะไป ตั้งที่เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง แถวหมู่เกาะ
    Seychelles ในมหาสมุทรอินเดีย จิกโก๋บอกโถ ! แค่นี้ยังไม่มีปัญญา อย่ามาทำซ่ากะไอนะ !
    เอ้า ! รัสเซียของพี่ปูจอมอึด ว่าไง มีไหม ! อย่านะ ยุ่งกะจีนเรื่องนึง แต่รัสเซียของพี่ปูนี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่จำเป็นอย่ายุ่ง สงครามเย็นน่ะ มันทำให้เหนื่อย ให้จนกันขนาดไหน ยังไม่เข็ดหรือไง ขอโทษ ! นึกว่าพี่ปูไม่มีหรือไง พี่ปูก็มีนะอยู่แถวเอเซียกลาง ฐานเล็ก ๆ 4,5 ฐาน ก็จริงอยู่ แต่ต่อไปอาจจะมีใครตาละห้อยมอง เพราะ the Great Great Game ศึกชิงน้ำมันกำลังเข้มข้นอยู่แถวนั้น
    อังกฤษล่ะ ในฐานะนักล่ารุ่นเก่าต้องรักษาฟอร์ม มีอยู่บ้างในอาฟกานิสถาน และตามเมืองขี้ข้าเก่า ของตนเองประมาณ 10 ฐาน เป็นฐานขนาดเล็กที่เยอรมันกับ Falkland ที่เหลือเป็นขนาดจ้อย ๆ
    ส่วนฝรั่งเศสก็มาฟอร์มเดี๋ยวกับอังกฤษ มีฐานเล็ก จิ๋ว ๆ ตามเมืองขี้ข้าเก่า ประมาณ
    10 ฐาน มีกำลังประจำฐานละไม่กี่ร้อยคน บางฐานมี 15 คน (ฮา !)
    ญี่ปุ่นเองมี 1 ฐานที่ Djiboutiเป็นฐานเล็กเอาไว้สู้กับโจรสลัด
    และอีกประเทศคือ ตุรกีมี 1 ฐาน อยู่ที่ไซปรัส หมดแล้วทั้งโลกนี้นะ
    เบ่งกล้ามกันได้เท่านี้ แล้วจะไปสู้อะไรกับพี่เบิ้มนักล่าหมายเลขหนึ่งได้
    แล้วพี่เบิ้มเองมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง
    รายงานของแต่ละหน่วยงานของอเมริกา บอกตัวเลขไม่เหมือนกัน (ฝรั่งก็แต่งตัวเลข
    เหมือนกันน่า แต่งเก่งด้วย มันชอบเขียนให้ดูยุ่งยาก ต้องเอาบวกมาลบมารวมและมา
    แยกใหม่ อะไรทำนองนี้ ถึงจะได้ของจริง)
    รายงานของ Pentagon ผู้ที่น่าจะมีตัวเลขครบ แต่ไม่มีวันจะบอกความจริงกับโลก
    ตัวเลขของ Pentagon เมื่อปี ค.ศ. 2010 บอกว่าอเมริกามีฐานทัพในต่างประเทศ 662 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลก แปลว่าของจริง ต้องมีมากกว่านั้น คำถามคือมากกว่าอีกเท่าไหร่
    ในปี ค.ศ. 1955 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 10 ปี หนังสือพิมพ์ Chicago Daily Tribune สำรวจฐานทัพของอเมริกาแถบยุโรปและแปซิฟิกและรายงานว่า ธงชาติอเมริกันปลิวไสวอยู่บนเสาใน 300 กว่า ฐานทัพที่อยู่ต่างประเทศ ประมาณ 63 ประเทศ เออ ! ปี 1955 มันเข้าไป 63 ประเทศ พอ ค.ศ. 2010 เหลือ 38 ประเทศ ! มึน !
    ปัจจุบัน สรุปจากเอกสารประกอบเกือบ 10 สถาบัน ตัวเลขที่น่าเป็นไปได้ที่สุด คือ อเมริกามีประมาณ 1,077 ฐานทัพในประมาณ 130 ประเทศทั่วโลก !
    โฆษกของ US – led International Security Assistance Force (ISAF) บอกว่าในปี ค.ศ.2010 แค่ในอาฟกานิสถานเอง มีฐานทัพอเมริกาเกือบ 400 แห่ง นี่ยังไม่นับฐานลับ ที่อเมริกามีแอบในอิรักอีกเป็น 100 แห่ง
    สำหรับฐานทัพขนาดใหญ่ของอเมริกาตามรายงานของ Pentagon บอกว่าบางแห่งมีบ้านและโรงเรียนสำหรับครอบครัวทหาร โรงแรมแบบรีสอร์ท (ใช่ ! กระทรวงกลาโหมมีได้ มีปัญหาไหม ? ) ลานเล่นสกี (ใช่ ! มีได้เช่นกัน) และสนามกอล์ฟ ทหารอเมริกาคุยว่า พวกเขามีประมาณ 172 สนามกอล์ฟ ขนาดต่าง ๆ (ใช่ ! มิได้เช่นกัน อิจฉาไหม !)
    ใหญ่เสียขนาดนี้ สยายปีกเหยี่ยวไปทั่วโลก ตอนนี้บอกจะปรับกระบวนยุทธใหม่ มุ่งชิง
    รางวัลใหญ่ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ฝ่ายวิเคราะห์ก็ต้องทำการบ้าน อย่าลืม Research and Development หน่วยงานฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนของอเมริกา คือ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อนั่นเอง
    คราวนี้ใช้บริการของ Rand Corporation ซึ่งถือว่าเป็น think tank มือเก๋าของ Pentagon เรียกว่าใช้กันมานาน รู้ว่าเจ้านายต้องการให้เขียนอะไร

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 2 จะดูว่านักล่ามันใหญ่จริงไหม ดูง่าย ๆ มีชาติไหนบ้างที่สามารถตั้งฐานทัพของตัวเอง ไว้ในประเทศอื่นได้บ้าง เอาประเทศที่ว่าใหญ่ ๆ นะ เล็ก ๆ ไม่ต้องเสนอหน้า อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่แค่ไหน พลเมืองมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอเมริกา แขกก็กำลังรวย แอบสร้างอาวุธนิวเคลียร์ (เอ๊ะ ! ที่ยังงี้ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอ ส่งหน่วยตรวจสอบจาก UN มาเลยนะ เอ้าคนอ่านนิทานลองคิดหาคำตอบกันเองบ้าง) เกือบมีฐานทัพในบ้านคนอื่น คือ Tajikistan แต่แค่เกือบแปลว่ายังไม่สำเร็จ แขกยังต้มไม่เก่งเท่านักล่า แล้วจีนล่ะ อาเฮียรวยจะตาย เศรษฐกิจโตพุ่งพรวดเป็นอันดับ 2 ของดวงดาวนี้ ขยายบ้านสร้างเมือง ไปเซียงไฮ้ นึกว่าไปปารีส (ฮา !) แล้วไง มีไหมฐานทัพในประเทศอื่น ของจริงยังม่ายมี ! มีแต่ข่าวว่าจะไป ตั้งที่เกาะเล็ก ๆ เกาะหนึ่ง แถวหมู่เกาะ Seychelles ในมหาสมุทรอินเดีย จิกโก๋บอกโถ ! แค่นี้ยังไม่มีปัญญา อย่ามาทำซ่ากะไอนะ ! เอ้า ! รัสเซียของพี่ปูจอมอึด ว่าไง มีไหม ! อย่านะ ยุ่งกะจีนเรื่องนึง แต่รัสเซียของพี่ปูนี่ก็อีกเรื่องนึง ไม่จำเป็นอย่ายุ่ง สงครามเย็นน่ะ มันทำให้เหนื่อย ให้จนกันขนาดไหน ยังไม่เข็ดหรือไง ขอโทษ ! นึกว่าพี่ปูไม่มีหรือไง พี่ปูก็มีนะอยู่แถวเอเซียกลาง ฐานเล็ก ๆ 4,5 ฐาน ก็จริงอยู่ แต่ต่อไปอาจจะมีใครตาละห้อยมอง เพราะ the Great Great Game ศึกชิงน้ำมันกำลังเข้มข้นอยู่แถวนั้น อังกฤษล่ะ ในฐานะนักล่ารุ่นเก่าต้องรักษาฟอร์ม มีอยู่บ้างในอาฟกานิสถาน และตามเมืองขี้ข้าเก่า ของตนเองประมาณ 10 ฐาน เป็นฐานขนาดเล็กที่เยอรมันกับ Falkland ที่เหลือเป็นขนาดจ้อย ๆ ส่วนฝรั่งเศสก็มาฟอร์มเดี๋ยวกับอังกฤษ มีฐานเล็ก จิ๋ว ๆ ตามเมืองขี้ข้าเก่า ประมาณ 10 ฐาน มีกำลังประจำฐานละไม่กี่ร้อยคน บางฐานมี 15 คน (ฮา !) ญี่ปุ่นเองมี 1 ฐานที่ Djiboutiเป็นฐานเล็กเอาไว้สู้กับโจรสลัด และอีกประเทศคือ ตุรกีมี 1 ฐาน อยู่ที่ไซปรัส หมดแล้วทั้งโลกนี้นะ เบ่งกล้ามกันได้เท่านี้ แล้วจะไปสู้อะไรกับพี่เบิ้มนักล่าหมายเลขหนึ่งได้ แล้วพี่เบิ้มเองมีเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง รายงานของแต่ละหน่วยงานของอเมริกา บอกตัวเลขไม่เหมือนกัน (ฝรั่งก็แต่งตัวเลข เหมือนกันน่า แต่งเก่งด้วย มันชอบเขียนให้ดูยุ่งยาก ต้องเอาบวกมาลบมารวมและมา แยกใหม่ อะไรทำนองนี้ ถึงจะได้ของจริง) รายงานของ Pentagon ผู้ที่น่าจะมีตัวเลขครบ แต่ไม่มีวันจะบอกความจริงกับโลก ตัวเลขของ Pentagon เมื่อปี ค.ศ. 2010 บอกว่าอเมริกามีฐานทัพในต่างประเทศ 662 แห่งใน 38 ประเทศทั่วโลก แปลว่าของจริง ต้องมีมากกว่านั้น คำถามคือมากกว่าอีกเท่าไหร่ ในปี ค.ศ. 1955 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 10 ปี หนังสือพิมพ์ Chicago Daily Tribune สำรวจฐานทัพของอเมริกาแถบยุโรปและแปซิฟิกและรายงานว่า ธงชาติอเมริกันปลิวไสวอยู่บนเสาใน 300 กว่า ฐานทัพที่อยู่ต่างประเทศ ประมาณ 63 ประเทศ เออ ! ปี 1955 มันเข้าไป 63 ประเทศ พอ ค.ศ. 2010 เหลือ 38 ประเทศ ! มึน ! ปัจจุบัน สรุปจากเอกสารประกอบเกือบ 10 สถาบัน ตัวเลขที่น่าเป็นไปได้ที่สุด คือ อเมริกามีประมาณ 1,077 ฐานทัพในประมาณ 130 ประเทศทั่วโลก ! โฆษกของ US – led International Security Assistance Force (ISAF) บอกว่าในปี ค.ศ.2010 แค่ในอาฟกานิสถานเอง มีฐานทัพอเมริกาเกือบ 400 แห่ง นี่ยังไม่นับฐานลับ ที่อเมริกามีแอบในอิรักอีกเป็น 100 แห่ง สำหรับฐานทัพขนาดใหญ่ของอเมริกาตามรายงานของ Pentagon บอกว่าบางแห่งมีบ้านและโรงเรียนสำหรับครอบครัวทหาร โรงแรมแบบรีสอร์ท (ใช่ ! กระทรวงกลาโหมมีได้ มีปัญหาไหม ? ) ลานเล่นสกี (ใช่ ! มีได้เช่นกัน) และสนามกอล์ฟ ทหารอเมริกาคุยว่า พวกเขามีประมาณ 172 สนามกอล์ฟ ขนาดต่าง ๆ (ใช่ ! มิได้เช่นกัน อิจฉาไหม !) ใหญ่เสียขนาดนี้ สยายปีกเหยี่ยวไปทั่วโลก ตอนนี้บอกจะปรับกระบวนยุทธใหม่ มุ่งชิง รางวัลใหญ่ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ฝ่ายวิเคราะห์ก็ต้องทำการบ้าน อย่าลืม Research and Development หน่วยงานฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนของอเมริกา คือ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อนั่นเอง คราวนี้ใช้บริการของ Rand Corporation ซึ่งถือว่าเป็น think tank มือเก๋าของ Pentagon เรียกว่าใช้กันมานาน รู้ว่าเจ้านายต้องการให้เขียนอะไร คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ

    งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้

    นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ

    ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย
    คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13%
    สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development
    ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

    ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge
    AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย
    แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา

    สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน
    ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด
    การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม

    ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น
    งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ
    ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
    นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว


    https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสแตนฟอร์ด: เมื่อ AI กลายเป็นตัวกรองคนเข้าสู่โลกการทำงาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Generative AI อย่าง ChatGPT, Claude และเครื่องมืออัตโนมัติอื่น ๆ ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีทำงานในหลายอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบที่หลายคนยังไม่ทันตั้งตัว คือการ “ลดโอกาส” ของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพ งานวิจัยจาก Stanford Digital Economy Lab วิเคราะห์ข้อมูลจาก ADP ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2025 การจ้างงานของคนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI” เช่น customer service, accounting และ software development ลดลงถึง 13% ขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันกลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เหตุผลหลักคือ AI สามารถแทนที่ “ความรู้แบบท่องจำ” หรือ codified knowledge ที่คนรุ่นใหม่เพิ่งเรียนจบมาได้ง่าย แต่ยังไม่สามารถแทนที่ “ความรู้จากประสบการณ์” หรือ tacit knowledge ที่คนทำงานมานานสะสมไว้ได้ นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าในสายงานที่ AI “เสริม” การทำงาน เช่น การช่วยตรวจสอบโค้ดหรือจัดการข้อมูล การจ้างงานกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบของ AI ต่อแรงงานอายุน้อย ➡️ คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มีการจ้างงานลดลง 13% ➡️ สายงานที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ customer service, accounting, software development ➡️ ในขณะที่คนอายุ 35 ปีขึ้นไปในสายงานเดียวกันมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ✅ ความแตกต่างระหว่าง codified กับ tacit knowledge ➡️ AI สามารถแทนที่ความรู้แบบท่องจำจากการศึกษาได้ง่าย ➡️ แต่ยังไม่สามารถแทนที่ความรู้จากประสบการณ์ที่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา ✅ สายงานที่ AI เสริมมากกว่าทดแทน ➡️ ในงานที่ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือช่วยเขียนโค้ด ➡️ การจ้างงานยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีทักษะผสม ✅ ความพยายามควบคุมตัวแปรอื่น ➡️ งานวิจัยพยายามตัดปัจจัยแทรก เช่น remote work, การจ้างงานภายนอก, หรือภาวะเศรษฐกิจ ➡️ ผลลัพธ์ยังคงชี้ชัดว่า AI เป็นตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อการจ้างงานของคนรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ➡️ นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏในข้อมูลแรงงานแล้ว https://www.cnbc.com/2025/08/28/generative-ai-reshapes-us-job-market-stanford-study-shows-entry-level-young-workers.html
    WWW.CNBC.COM
    AI adoption linked to 13% decline in jobs for young U.S. workers, Stanford study reveals
    A Standford study has found evidence that the widespread adoption of generative AI is impacting the job prospects of early career workers.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • 19 Rare And Obscure Color Words Unlike Any Others

    Do you know all of your colors? No, we aren’t just talking about red and green. We mean color words like quercitron, puce, and dragon’s blood. There are so many unique and fascinating words that describe shades of color in our language. If you stop at the basics, you might just miss out on some of the most vivid and historically interesting shades that exist. Luckily, we’re here to prevent that. To celebrate all of the colors of the rainbow, and then some, we’ve put together a list of rare color words that are unlike any other. Keep reading for 19 obscure color words you may not have heard before.

    1. dragon’s blood
    This shade of red has a great name, but we’re sorry to disappoint you: it doesn’t actually come from dragons. Dragon’s blood is also sometimes called Pompeian red, and it’s a “dull, grayish red.” The color is associated with the deep-red resin that exudes from the fruit of palms, like the Malaysian palm and the dragon tree. It was first recorded in English in the 1590s.

    2. quercitron
    Quercitron might sound like a new type of robot technology, but it’s actually a shade of yellow. It’s named for the yellow dye produced by the bark of an oak tree that’s native to eastern North America. The word is a combination of the Latin quercus, or “oak,” and citron, “a grayish-green yellow color.”

    3. ultramarine
    If you’re imagining ultramarine as “a deep-blue color,” you are correct. In Medieval Latin, from which this word derives, ultramarinus literally means “beyond the sea.” This is because, historically, pigment from the mineral lapis lazuli was needed to make ultramarine dye, and this mineral had to be imported to Europe from Asia. Ultramarine has been in use in English since the late 1500s.

    4. annatto
    Annatto is a yellowish-red color, named for the dye that can be obtained from the pulp enclosing the seeds of the tree of the same name. This tree is also sometimes called the lipstick tree, and its dye is still used today to color cosmetics, butter, and cheese. The word annatto was borrowed into English from Carib.

    5. Tyrian purple
    Looking for “a vivid, purplish red”? Tyrian purple is your color. Tyrian purple was highly prized during the Byzantine empire, in part because of how difficult it was to obtain. The base to create this shade of purple had to be obtained from the secretions of a predatory sea snail. The term Tyrian purple has been in use in English since the late 1500s.

    6. Mazarine
    Mazarine is “a deep, rich blue,” most commonly associated with textiles and ceramics. The word first entered English between 1665 to 1675, but its origins aren’t fully known. The name may be an homage to a famous Italian cardinal, Cardinal Mazarin, who was culturally influential.

    7. cerulean
    Speaking of shades of blue, what about cerulean? Cerulean is best described as “deep blue; sky blue; azure.” In fact, it comes from the Latin caeruleus, meaning “dark blue.” The word has been in use in English since the mid-1600s, though the artist’s cerulean blue emerged closer to the late 1800s.

    8. greige
    What do you call “a warm beige color with gray undertones”? Greige, of course. This may sound like a trendy compound word that was invented by HGTV in the 2000s, but the color greige has actually been around for a while. Its name was first recorded in English as early as 1925, and it actually comes from the French grège, meaning “raw,” which was used to describe silk.

    9. citreous
    If the word citreous gives you visions of lemons and limes, you’re on the right track. This color is “lemon-yellow” or “greenish-yellow.” As you may have guessed, it is closely associated with citrus. In Latin, citreus means “of the citrus tree.” We’ve been using this term in English since at least 1865.

    10. ponceau
    You might see ponceau during a sunset. It means “a vivid reddish-orange color.” It may also make you think of poppies, as it likely derives from the Old French pouncel, or “poppy.” It was first recorded in English as early as 1825.

    11. sepia
    If you’ve ever used an Instagram filter, you’re probably familiar with sepia. This “brown, grayish brown, or olive brown” is often used in photography to give photos an old-fashioned vibe. The Latin sēpia, from which this word originates, means “cuttlefish” (and this is the creature that secretes the pigment used to create sepia).

    12. gamboge
    Gamboge is a “yellow or yellow-orange” color. It’s named for the yellow color of gum resin that comes from a type of tree native to Cambodia. Gamboge comes from Modern Latin cambogium, which is the Latin version of the place name Cambodia. This distinctive color name first appeared in English in the early 1600s.

    13. lovat
    Lovat doesn’t just describe one color. It means “a grayish blend of colors, especially of green, used in textiles, as for plaids.” First recorded between 1905 and 1910, lovat is likely named after Thomas Alexander Fraser, also known as Lord Lovat, who helped popularize tweeds in muted colors as attire for hunters.

    14. smaragdine
    If something is “emerald-green in color,” you can call it smaragdine. While this term is more rare, smaragd actually means “emerald” in Middle English. It’s likely that English speakers borrowed the term from the Greek smarágdinos, which was probably itself borrowed from Sanskrit marakata. The term has a long history and was first recorded in English as early as 1350.

    15. puce
    In French, puce means “flea” or “flea-colored.” In English, it’s most often used to describe “a dark or brownish purple.” Historically, it may also have been associated with the color of the scab or mark that a flea bite leaves behind. In any case, this creepy, crawly color word has existed in English since the 1780s.

    16. Viridian
    Let’s talk about green things, like Kermit the Frog, grass, or viridian. Viridian is the color of “a long-lasting bluish-green pigment.” Its name comes from the Latin viridi or viridis, which literally means “green.” Viridian entered English in the 1800s.

    17. heliotrope
    Heliotrope may sound like a chemical compound, but it’s actually a color that comes from a plant. It means “a light tint of purple; reddish lavender,” as found on the flowers of several plants belonging to the genus Heliotropium. These plants turn their leaves to the sun, hence their name, which can be traced to the Greek god Helios, or “sun.”

    18. sable
    Sable is another word for the color black. Typically it describes something “very dark or black,” that resembles the fur of an actual sable, an Old World weasel-like mammal. Sable entered English in the late 1200s or early 1300s.

    19. wheaten
    What color is wheaten? It might not surprise you to find out that this color word is pretty literal. It means “of the color of wheat, especially a pale yellow-brown color.” It’s also among the oldest words on our list, appearing in English before the year 900.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    19 Rare And Obscure Color Words Unlike Any Others Do you know all of your colors? No, we aren’t just talking about red and green. We mean color words like quercitron, puce, and dragon’s blood. There are so many unique and fascinating words that describe shades of color in our language. If you stop at the basics, you might just miss out on some of the most vivid and historically interesting shades that exist. Luckily, we’re here to prevent that. To celebrate all of the colors of the rainbow, and then some, we’ve put together a list of rare color words that are unlike any other. Keep reading for 19 obscure color words you may not have heard before. 1. dragon’s blood This shade of red has a great name, but we’re sorry to disappoint you: it doesn’t actually come from dragons. Dragon’s blood is also sometimes called Pompeian red, and it’s a “dull, grayish red.” The color is associated with the deep-red resin that exudes from the fruit of palms, like the Malaysian palm and the dragon tree. It was first recorded in English in the 1590s. 2. quercitron Quercitron might sound like a new type of robot technology, but it’s actually a shade of yellow. It’s named for the yellow dye produced by the bark of an oak tree that’s native to eastern North America. The word is a combination of the Latin quercus, or “oak,” and citron, “a grayish-green yellow color.” 3. ultramarine If you’re imagining ultramarine as “a deep-blue color,” you are correct. In Medieval Latin, from which this word derives, ultramarinus literally means “beyond the sea.” This is because, historically, pigment from the mineral lapis lazuli was needed to make ultramarine dye, and this mineral had to be imported to Europe from Asia. Ultramarine has been in use in English since the late 1500s. 4. annatto Annatto is a yellowish-red color, named for the dye that can be obtained from the pulp enclosing the seeds of the tree of the same name. This tree is also sometimes called the lipstick tree, and its dye is still used today to color cosmetics, butter, and cheese. The word annatto was borrowed into English from Carib. 5. Tyrian purple Looking for “a vivid, purplish red”? Tyrian purple is your color. Tyrian purple was highly prized during the Byzantine empire, in part because of how difficult it was to obtain. The base to create this shade of purple had to be obtained from the secretions of a predatory sea snail. The term Tyrian purple has been in use in English since the late 1500s. 6. Mazarine Mazarine is “a deep, rich blue,” most commonly associated with textiles and ceramics. The word first entered English between 1665 to 1675, but its origins aren’t fully known. The name may be an homage to a famous Italian cardinal, Cardinal Mazarin, who was culturally influential. 7. cerulean Speaking of shades of blue, what about cerulean? Cerulean is best described as “deep blue; sky blue; azure.” In fact, it comes from the Latin caeruleus, meaning “dark blue.” The word has been in use in English since the mid-1600s, though the artist’s cerulean blue emerged closer to the late 1800s. 8. greige What do you call “a warm beige color with gray undertones”? Greige, of course. This may sound like a trendy compound word that was invented by HGTV in the 2000s, but the color greige has actually been around for a while. Its name was first recorded in English as early as 1925, and it actually comes from the French grège, meaning “raw,” which was used to describe silk. 9. citreous If the word citreous gives you visions of lemons and limes, you’re on the right track. This color is “lemon-yellow” or “greenish-yellow.” As you may have guessed, it is closely associated with citrus. In Latin, citreus means “of the citrus tree.” We’ve been using this term in English since at least 1865. 10. ponceau You might see ponceau during a sunset. It means “a vivid reddish-orange color.” It may also make you think of poppies, as it likely derives from the Old French pouncel, or “poppy.” It was first recorded in English as early as 1825. 11. sepia If you’ve ever used an Instagram filter, you’re probably familiar with sepia. This “brown, grayish brown, or olive brown” is often used in photography to give photos an old-fashioned vibe. The Latin sēpia, from which this word originates, means “cuttlefish” (and this is the creature that secretes the pigment used to create sepia). 12. gamboge Gamboge is a “yellow or yellow-orange” color. It’s named for the yellow color of gum resin that comes from a type of tree native to Cambodia. Gamboge comes from Modern Latin cambogium, which is the Latin version of the place name Cambodia. This distinctive color name first appeared in English in the early 1600s. 13. lovat Lovat doesn’t just describe one color. It means “a grayish blend of colors, especially of green, used in textiles, as for plaids.” First recorded between 1905 and 1910, lovat is likely named after Thomas Alexander Fraser, also known as Lord Lovat, who helped popularize tweeds in muted colors as attire for hunters. 14. smaragdine If something is “emerald-green in color,” you can call it smaragdine. While this term is more rare, smaragd actually means “emerald” in Middle English. It’s likely that English speakers borrowed the term from the Greek smarágdinos, which was probably itself borrowed from Sanskrit marakata. The term has a long history and was first recorded in English as early as 1350. 15. puce In French, puce means “flea” or “flea-colored.” In English, it’s most often used to describe “a dark or brownish purple.” Historically, it may also have been associated with the color of the scab or mark that a flea bite leaves behind. In any case, this creepy, crawly color word has existed in English since the 1780s. 16. Viridian Let’s talk about green things, like Kermit the Frog, grass, or viridian. Viridian is the color of “a long-lasting bluish-green pigment.” Its name comes from the Latin viridi or viridis, which literally means “green.” Viridian entered English in the 1800s. 17. heliotrope Heliotrope may sound like a chemical compound, but it’s actually a color that comes from a plant. It means “a light tint of purple; reddish lavender,” as found on the flowers of several plants belonging to the genus Heliotropium. These plants turn their leaves to the sun, hence their name, which can be traced to the Greek god Helios, or “sun.” 18. sable Sable is another word for the color black. Typically it describes something “very dark or black,” that resembles the fur of an actual sable, an Old World weasel-like mammal. Sable entered English in the late 1200s or early 1300s. 19. wheaten What color is wheaten? It might not surprise you to find out that this color word is pretty literal. It means “of the color of wheat, especially a pale yellow-brown color.” It’s also among the oldest words on our list, appearing in English before the year 900. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 225 Views 0 Reviews
  • เจนัว เมืองท่าประวัติศาสตร์แห่งอิตาลี จุดเริ่มต้นของการเดินทางระดับโลก
    แหล่งรวมสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า 🛳

    Acquario di Genova ⭐️ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเจนัว
    พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเจนัว สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง งาน Expo 1992 ซึ่งเป็นนิทรรศการระดับโลกที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึง 500 ปีแห่งการเดินทางของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ไปยังทวีปอเมริกา

    Casa di Colombo ⭐️ บ้านคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
    บ้านหลังนี้เชื่อกันว่าเป็น บ้านที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อาศัยอยู่เมื่อตอนเด็ก นักเดินเรือที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์สเปนให้ออกเดินทางเพื่อค้นหาเส้นทางใหม่ไปยังเอเชีย

    Cattedrale di San Lorenzo ⭐️ มหาวิหารซานลอเรนโซ
    โบสถ์หลักของเมืองเจนัว สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยโรมัน มหาวิหารนี้เคยถูก ระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยระเบิดลูกหนึ่งตกลงมาแต่ ไม่ระเบิด ทำให้เกิดความเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์

    Boccadasse ⭐️ หมู่บ้านชาวประมง
    หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ อายุหลายร้อยปี โดยชื่อ Boccadasse หมายถึง “ปากของลา” มีเสน่ห์แบบดั้งเดิม บ้านสีพาสเทลริมทะเลของที่นี่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงมาก

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #GenoaCruisePort #ITALY #AcquariodiGenova #CasadiColombo #CattedralediSanLorenzo #Boccadasse #Genoa #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #แชร์ที่เที่ยว #ไอเดียทริป #EuropeTravel
    ⚓ เจนัว เมืองท่าประวัติศาสตร์แห่งอิตาลี จุดเริ่มต้นของการเดินทางระดับโลก แหล่งรวมสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า 🏰🛳 ✅ Acquario di Genova ⭐️ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเจนัว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเจนัว สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง งาน Expo 1992 ซึ่งเป็นนิทรรศการระดับโลกที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึง 500 ปีแห่งการเดินทางของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ไปยังทวีปอเมริกา ✅ Casa di Colombo ⭐️ บ้านคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส บ้านหลังนี้เชื่อกันว่าเป็น บ้านที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อาศัยอยู่เมื่อตอนเด็ก นักเดินเรือที่มีชื่อเสียงซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์สเปนให้ออกเดินทางเพื่อค้นหาเส้นทางใหม่ไปยังเอเชีย ✅ Cattedrale di San Lorenzo ⭐️ มหาวิหารซานลอเรนโซ โบสถ์หลักของเมืองเจนัว สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยโรมัน มหาวิหารนี้เคยถูก ระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยระเบิดลูกหนึ่งตกลงมาแต่ ไม่ระเบิด ทำให้เกิดความเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ ✅ Boccadasse ⭐️ หมู่บ้านชาวประมง หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ อายุหลายร้อยปี โดยชื่อ Boccadasse หมายถึง “ปากของลา” มีเสน่ห์แบบดั้งเดิม บ้านสีพาสเทลริมทะเลของที่นี่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงมาก 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #GenoaCruisePort #ITALY #AcquariodiGenova #CasadiColombo #CattedralediSanLorenzo #Boccadasse #Genoa #port #cruisedomain #thaitimes #News1 #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #แชร์ที่เที่ยว #ไอเดียทริป #EuropeTravel
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • Google กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ — เมื่อพลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจของคลาวด์และ AI

    ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นเส้นเลือดหลักของโลกดิจิทัล และ AI ต้องการพลังงานมหาศาล Google กำลังเดินเกมใหม่ด้วยการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ โดยร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก Hermes 2 ที่เมือง Oak Ridge รัฐเทนเนสซี

    โรงไฟฟ้า Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้ารุ่น Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยีหล่อเย็นด้วยเกลือฟลูออไรด์ (fluoride salt-cooled reactor) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

    โรงไฟฟ้านี้จะผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการในปี 2030 และส่งพลังงานเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่รัฐเทนเนสซีและแอละแบมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์ถึง 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035

    สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบความร่วมมือครั้งนี้เป็น Power Purchase Agreement (PPA) แบบใหม่ ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วน TVA รับผิดชอบด้านการซื้อไฟฟ้าและส่งต่อพลังงานสะอาดให้กับ Google

    นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ Oak Ridge ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการวิจัยนิวเคลียร์ในอดีต โดยมีแผนฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทนเนสซีเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับงานด้านเทคนิคในโรงไฟฟ้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Google ร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Hermes 2 ที่ Oak Ridge, Tennessee
    Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้า Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยี fluoride salt-cooled reactor
    เริ่มดำเนินการในปี 2030 และผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์
    พลังงานจะถูกส่งเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่ Tennessee และ Alabama
    ความร่วมมือเป็นรูปแบบ Power Purchase Agreement ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุน
    โครงการนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า Gen IV ครั้งแรกของสหรัฐฯ
    Google มีแผนเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์เป็น 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035
    Oak Ridge จะกลายเป็นศูนย์กลางนิวเคลียร์อีกครั้ง พร้อมโครงการฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัย
    Hermes 2 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับระบบคลาวด์
    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัฐเทนเนสซีและหน่วยงานด้านพลังงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Kairos Power เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่พัฒนาเทคโนโลยี KP-FHR มาตั้งแต่ปี 2016
    Hermes 2 ใช้เชื้อเพลิงแบบ TRISO pebble bed ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและทนความร้อนได้ดี
    โรงไฟฟ้าแบบ SMR (Small Modular Reactor) มีขนาดเล็กและสามารถสร้างได้เร็วกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม
    ศูนย์ข้อมูลอาจใช้ไฟฟ้าสูงถึง 9% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2030
    การใช้พลังงานนิวเคลียร์ช่วยให้ Google สามารถจัดการโหลดพลังงานของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techradar.com/pro/google-is-building-a-small-nuclear-reactor-in-tennessee-to-power-its-data-centers
    ⚛️ Google กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ — เมื่อพลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจของคลาวด์และ AI ในยุคที่ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นเส้นเลือดหลักของโลกดิจิทัล และ AI ต้องการพลังงานมหาศาล Google กำลังเดินเกมใหม่ด้วยการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ โดยร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก Hermes 2 ที่เมือง Oak Ridge รัฐเทนเนสซี โรงไฟฟ้า Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้ารุ่น Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยีหล่อเย็นด้วยเกลือฟลูออไรด์ (fluoride salt-cooled reactor) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากพลังงานแสงอาทิตย์และลมที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ โรงไฟฟ้านี้จะผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการในปี 2030 และส่งพลังงานเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่รัฐเทนเนสซีและแอละแบมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์ถึง 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035 สิ่งที่น่าสนใจคือรูปแบบความร่วมมือครั้งนี้เป็น Power Purchase Agreement (PPA) แบบใหม่ ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี ส่วน TVA รับผิดชอบด้านการซื้อไฟฟ้าและส่งต่อพลังงานสะอาดให้กับ Google นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ Oak Ridge ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการวิจัยนิวเคลียร์ในอดีต โดยมีแผนฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทนเนสซีเพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับงานด้านเทคนิคในโรงไฟฟ้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Google ร่วมมือกับ Kairos Power และ TVA สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Hermes 2 ที่ Oak Ridge, Tennessee ➡️ Hermes 2 เป็นโรงไฟฟ้า Generation IV ที่ใช้เทคโนโลยี fluoride salt-cooled reactor ➡️ เริ่มดำเนินการในปี 2030 และผลิตไฟฟ้าได้ 50 เมกะวัตต์ ➡️ พลังงานจะถูกส่งเข้าสู่ระบบของ TVA เพื่อใช้ในศูนย์ข้อมูลของ Google ที่ Tennessee และ Alabama ➡️ ความร่วมมือเป็นรูปแบบ Power Purchase Agreement ที่ Google รับความเสี่ยงด้านต้นทุน ➡️ โครงการนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า Gen IV ครั้งแรกของสหรัฐฯ ➡️ Google มีแผนเพิ่มกำลังผลิตนิวเคลียร์เป็น 500 เมกะวัตต์ภายในปี 2035 ➡️ Oak Ridge จะกลายเป็นศูนย์กลางนิวเคลียร์อีกครั้ง พร้อมโครงการฝึกอบรมแรงงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ➡️ Hermes 2 จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับระบบคลาวด์ ➡️ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรัฐเทนเนสซีและหน่วยงานด้านพลังงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Kairos Power เป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากแคลิฟอร์เนียที่พัฒนาเทคโนโลยี KP-FHR มาตั้งแต่ปี 2016 ➡️ Hermes 2 ใช้เชื้อเพลิงแบบ TRISO pebble bed ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและทนความร้อนได้ดี ➡️ โรงไฟฟ้าแบบ SMR (Small Modular Reactor) มีขนาดเล็กและสามารถสร้างได้เร็วกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม ➡️ ศูนย์ข้อมูลอาจใช้ไฟฟ้าสูงถึง 9% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2030 ➡️ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ช่วยให้ Google สามารถจัดการโหลดพลังงานของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techradar.com/pro/google-is-building-a-small-nuclear-reactor-in-tennessee-to-power-its-data-centers
    0 Comments 0 Shares 207 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้

    แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์

    MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย

    ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ

    ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้
    บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ
    ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์
    ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้
    MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย
    เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
    รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม
    ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้
    การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน
    การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้
    การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง
    การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    🚍 เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้ แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์ MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้ ➡️ บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ ➡️ ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์ ➡️ ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ➡️ รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม ➡️ ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้ ➡️ การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน ➡️ การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้ ➡️ การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง ➡️ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • UltraRAM — หน่วยความจำแห่งอนาคตที่อาจเปลี่ยนโลกดิจิทัลไปตลอดกาล

    ลองจินตนาการถึงหน่วยความจำที่เร็วเท่า DRAM แต่เก็บข้อมูลได้ยาวนานกว่าพันปี และทนทานกว่านานด์แฟลชถึง 4,000 เท่า — นั่นคือ UltraRAM ที่กำลังจะกลายเป็นจริง

    เทคโนโลยีนี้เริ่มต้นจากงานวิจัยในมหาวิทยาลัย Lancaster และพัฒนาโดยบริษัท Quinas Technology ซึ่งร่วมมือกับ IQE plc ผู้เชี่ยวชาญด้านเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสร้างกระบวนการผลิตแบบ epitaxy ด้วยวัสดุแปลกใหม่อย่าง gallium antimonide และ aluminum antimonide ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมสำหรับหน่วยความจำ

    UltraRAM ใช้หลักการ quantum resonant tunneling ในการสลับสถานะข้อมูล ซึ่งใช้พลังงานต่ำมาก (ต่ำกว่า 1 femtojoule) และสามารถสลับสถานะได้ในเวลาเพียง 100 นาโนวินาที ทำให้มันเป็นหน่วยความจำที่มีศักยภาพจะรวมข้อดีของ DRAM และ NAND ไว้ในชิ้นเดียว

    หลังจากการทดสอบต้นแบบในปี 2023 ตอนนี้ UltraRAM ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมผลิตในปริมาณมาก โดยมีแผนจะร่วมมือกับโรงงานผลิตชิปและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่ตลาดจริง

    หากประสบความสำเร็จ UltraRAM อาจกลายเป็น “หน่วยความจำสากล” ที่ใช้ได้ทั้งในอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลและระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile อีกต่อไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    UltraRAM เป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ที่รวมข้อดีของ DRAM และ NAND
    มีความเร็วระดับ DRAM, ความทนทานสูงกว่า NAND 4,000 เท่า และเก็บข้อมูลได้นานถึง 1,000 ปี
    ใช้พลังงานต่ำมากในการสลับสถานะข้อมูล (<1 femtojoule) และทำงานเร็ว (100 ns)
    พัฒนาโดย Quinas Technology ร่วมกับ IQE plc และมหาวิทยาลัย Lancaster
    ใช้วัสดุ gallium antimonide และ aluminum antimonide ในกระบวนการ epitaxy
    กระบวนการ epitaxy ที่พัฒนาได้ถูกยกระดับเป็นระดับอุตสาหกรรมแล้ว
    UltraRAM ได้รับรางวัลจาก WIPO และ Flash Memory Summit ในปี 2025
    มีแผนเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ร่วมกับโรงงานและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
    เป้าหมายคือการสร้าง “หน่วยความจำสากล” สำหรับทุกอุปกรณ์ดิจิทัล
    โครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษในการสร้างอธิปไตยด้านเซมิคอนดักเตอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DRAM ต้องใช้พลังงานในการรีเฟรชข้อมูลตลอดเวลา ขณะที่ UltraRAM ไม่ต้องรีเฟรช
    NAND มีข้อจำกัดด้านความเร็วและความทนทานในการเขียนข้อมูลซ้ำ
    Quantum resonant tunneling เป็นหลักการที่ใช้ใน UltraRAM ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้ในหน่วยความจำเชิงพาณิชย์มาก่อน
    หาก UltraRAM เข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ อาจลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอย่างมหาศาล
    การรวมหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile จะช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบคอมพิวเตอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/ultraram-scaled-for-volume-production-memory-that-promises-dram-like-speeds-4-000x-the-durability-of-nand-and-data-retention-for-up-to-a-thousand-years-is-now-ready-for-manufacturing
    🎙️ UltraRAM — หน่วยความจำแห่งอนาคตที่อาจเปลี่ยนโลกดิจิทัลไปตลอดกาล ลองจินตนาการถึงหน่วยความจำที่เร็วเท่า DRAM แต่เก็บข้อมูลได้ยาวนานกว่าพันปี และทนทานกว่านานด์แฟลชถึง 4,000 เท่า — นั่นคือ UltraRAM ที่กำลังจะกลายเป็นจริง เทคโนโลยีนี้เริ่มต้นจากงานวิจัยในมหาวิทยาลัย Lancaster และพัฒนาโดยบริษัท Quinas Technology ซึ่งร่วมมือกับ IQE plc ผู้เชี่ยวชาญด้านเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสร้างกระบวนการผลิตแบบ epitaxy ด้วยวัสดุแปลกใหม่อย่าง gallium antimonide และ aluminum antimonide ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมสำหรับหน่วยความจำ UltraRAM ใช้หลักการ quantum resonant tunneling ในการสลับสถานะข้อมูล ซึ่งใช้พลังงานต่ำมาก (ต่ำกว่า 1 femtojoule) และสามารถสลับสถานะได้ในเวลาเพียง 100 นาโนวินาที ทำให้มันเป็นหน่วยความจำที่มีศักยภาพจะรวมข้อดีของ DRAM และ NAND ไว้ในชิ้นเดียว หลังจากการทดสอบต้นแบบในปี 2023 ตอนนี้ UltraRAM ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมผลิตในปริมาณมาก โดยมีแผนจะร่วมมือกับโรงงานผลิตชิปและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่ตลาดจริง หากประสบความสำเร็จ UltraRAM อาจกลายเป็น “หน่วยความจำสากล” ที่ใช้ได้ทั้งในอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลและระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile อีกต่อไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ UltraRAM เป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ที่รวมข้อดีของ DRAM และ NAND ➡️ มีความเร็วระดับ DRAM, ความทนทานสูงกว่า NAND 4,000 เท่า และเก็บข้อมูลได้นานถึง 1,000 ปี ➡️ ใช้พลังงานต่ำมากในการสลับสถานะข้อมูล (<1 femtojoule) และทำงานเร็ว (100 ns) ➡️ พัฒนาโดย Quinas Technology ร่วมกับ IQE plc และมหาวิทยาลัย Lancaster ➡️ ใช้วัสดุ gallium antimonide และ aluminum antimonide ในกระบวนการ epitaxy ➡️ กระบวนการ epitaxy ที่พัฒนาได้ถูกยกระดับเป็นระดับอุตสาหกรรมแล้ว ➡️ UltraRAM ได้รับรางวัลจาก WIPO และ Flash Memory Summit ในปี 2025 ➡️ มีแผนเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ร่วมกับโรงงานและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ➡️ เป้าหมายคือการสร้าง “หน่วยความจำสากล” สำหรับทุกอุปกรณ์ดิจิทัล ➡️ โครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษในการสร้างอธิปไตยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DRAM ต้องใช้พลังงานในการรีเฟรชข้อมูลตลอดเวลา ขณะที่ UltraRAM ไม่ต้องรีเฟรช ➡️ NAND มีข้อจำกัดด้านความเร็วและความทนทานในการเขียนข้อมูลซ้ำ ➡️ Quantum resonant tunneling เป็นหลักการที่ใช้ใน UltraRAM ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้ในหน่วยความจำเชิงพาณิชย์มาก่อน ➡️ หาก UltraRAM เข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ อาจลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอย่างมหาศาล ➡️ การรวมหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile จะช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบคอมพิวเตอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/ultraram-scaled-for-volume-production-memory-that-promises-dram-like-speeds-4-000x-the-durability-of-nand-and-data-retention-for-up-to-a-thousand-years-is-now-ready-for-manufacturing
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • Jetson AGX Thor – mini PC ที่แรงเกินตัวสำหรับยุค AI

    ถ้าคุณเห็นเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนโต๊ะ คุณอาจคิดว่ามันคือการ์ดจอ RTX รุ่นใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ Jetson AGX Thor — mini PC ที่ Nvidia ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับสูงในรูปแบบ edge computing โดยเฉพาะ

    หัวใจของมันคือ Jetson T5000 system-on-module ที่ใช้ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ซึ่งเทียบเท่ากับระบบ data center ขนาดใหญ่

    นอกจาก GPU ยังมี CPU แบบ 14-core Arm Neoverse-V3AE และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB พร้อมระบบเชื่อมต่อระดับสูง เช่น 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB และพอร์ต HDMI/DisplayPort สำหรับงานวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีม

    แม้จะมีขนาดเพียง 24 x 11 x 5.6 ซม. แต่ Jetson AGX Thor ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในหุ่นยนต์, ระบบ AI ด้านภาพ, และการประมวลผลเซนเซอร์จำนวนมาก โดยรองรับซอฟต์แวร์จากแพลตฟอร์ม Isaac, Metropolis และ Holoscan ของ Nvidia

    สำหรับผู้ที่ต้องการรุ่นเล็กลง ยังมี Jetson T4000 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งให้พลัง 1200 TFLOPS และใช้ GPU 1536 คอร์ พร้อมแรม 64GB — เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพแต่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia เปิดตัว Jetson AGX Thor Developer Kit พร้อมโมดูล Jetson T5000
    ใช้ GPU Blackwell 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว
    ให้พลังประมวลผลสูงสุด 2070 TFLOPS (FP4, Sparse)
    มี CPU Arm Neoverse-V3AE 14 คอร์ และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB
    รองรับการเชื่อมต่อ 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB
    รองรับวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีมพร้อมพอร์ต HDMI 2.0b และ DisplayPort 1.4a
    ขนาดเครื่อง 243.19 x 112.4 x 56.88 มม. ใหญ่กว่าพีซีธุรกิจทั่วไปแต่ยังถือว่าเล็ก
    รองรับซอฟต์แวร์ Isaac, Metropolis และ Holoscan สำหรับงาน AI
    มีรุ่นเล็ก Jetson T4000 อยู่ระหว่างพัฒนา ให้พลัง 1200 TFLOPS และแรม 64GB
    เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $3,499 โดยจะเริ่มส่งมอบวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สถาปัตยกรรม Blackwell ถูกออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ
    Jetson AGX Thor ใช้เทคโนโลยี Multi-Instance GPU เพื่อแบ่งงานได้หลายส่วนพร้อมกัน
    Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยออกแบบชิประดับนี้
    การใช้ LPDDR5X ช่วยลด latency และเพิ่ม bandwidth สำหรับงาน AI
    Jetson AGX Thor เหมาะกับงาน edge robotics, autonomous systems และการประมวลผลภาพทางการแพทย์
    Nvidia วางตำแหน่ง Thor ไว้คู่กับ DGX Spark สำหรับงาน AI แบบ desktop และ edge

    https://www.techradar.com/pro/nvidia-quietly-unveiled-its-fastest-mini-pc-ever-capable-of-topping-2070-tflops-and-if-you-squint-enough-you-might-even-think-it-looks-like-an-rtx-5090
    🎙️ Jetson AGX Thor – mini PC ที่แรงเกินตัวสำหรับยุค AI ถ้าคุณเห็นเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนโต๊ะ คุณอาจคิดว่ามันคือการ์ดจอ RTX รุ่นใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ Jetson AGX Thor — mini PC ที่ Nvidia ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับสูงในรูปแบบ edge computing โดยเฉพาะ หัวใจของมันคือ Jetson T5000 system-on-module ที่ใช้ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ซึ่งเทียบเท่ากับระบบ data center ขนาดใหญ่ นอกจาก GPU ยังมี CPU แบบ 14-core Arm Neoverse-V3AE และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB พร้อมระบบเชื่อมต่อระดับสูง เช่น 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB และพอร์ต HDMI/DisplayPort สำหรับงานวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีม แม้จะมีขนาดเพียง 24 x 11 x 5.6 ซม. แต่ Jetson AGX Thor ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในหุ่นยนต์, ระบบ AI ด้านภาพ, และการประมวลผลเซนเซอร์จำนวนมาก โดยรองรับซอฟต์แวร์จากแพลตฟอร์ม Isaac, Metropolis และ Holoscan ของ Nvidia สำหรับผู้ที่ต้องการรุ่นเล็กลง ยังมี Jetson T4000 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งให้พลัง 1200 TFLOPS และใช้ GPU 1536 คอร์ พร้อมแรม 64GB — เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพแต่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia เปิดตัว Jetson AGX Thor Developer Kit พร้อมโมดูล Jetson T5000 ➡️ ใช้ GPU Blackwell 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ➡️ ให้พลังประมวลผลสูงสุด 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ➡️ มี CPU Arm Neoverse-V3AE 14 คอร์ และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB ➡️ รองรับวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีมพร้อมพอร์ต HDMI 2.0b และ DisplayPort 1.4a ➡️ ขนาดเครื่อง 243.19 x 112.4 x 56.88 มม. ใหญ่กว่าพีซีธุรกิจทั่วไปแต่ยังถือว่าเล็ก ➡️ รองรับซอฟต์แวร์ Isaac, Metropolis และ Holoscan สำหรับงาน AI ➡️ มีรุ่นเล็ก Jetson T4000 อยู่ระหว่างพัฒนา ให้พลัง 1200 TFLOPS และแรม 64GB ➡️ เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $3,499 โดยจะเริ่มส่งมอบวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สถาปัตยกรรม Blackwell ถูกออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ ➡️ Jetson AGX Thor ใช้เทคโนโลยี Multi-Instance GPU เพื่อแบ่งงานได้หลายส่วนพร้อมกัน ➡️ Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยออกแบบชิประดับนี้ ➡️ การใช้ LPDDR5X ช่วยลด latency และเพิ่ม bandwidth สำหรับงาน AI ➡️ Jetson AGX Thor เหมาะกับงาน edge robotics, autonomous systems และการประมวลผลภาพทางการแพทย์ ➡️ Nvidia วางตำแหน่ง Thor ไว้คู่กับ DGX Spark สำหรับงาน AI แบบ desktop และ edge https://www.techradar.com/pro/nvidia-quietly-unveiled-its-fastest-mini-pc-ever-capable-of-topping-2070-tflops-and-if-you-squint-enough-you-might-even-think-it-looks-like-an-rtx-5090
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • เมื่อคำสั่งเดียวใน Terminal เปลี่ยน Mac ให้กลายเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์

    ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ macOS ทั่วโลกที่กำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหาเล็ก ๆ เช่น “flush DNS cache” กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ช่วยเหลือปลอมที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง mac-safer.com และ rescue-mac.com ซึ่งปรากฏในผลการค้นหาผ่านโฆษณา Google

    เว็บไซต์เหล่านี้แนะนำให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวไปวางใน Terminal เพื่อ “แก้ปัญหา” แต่แท้จริงแล้ว คำสั่งนั้นคือกับดักที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ที่พัฒนาโดยกลุ่ม COOKIE SPIDER

    SHAMOS ไม่เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านจาก Keychain หรือข้อมูลจาก Apple Notes และเบราว์เซอร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถดึงข้อมูลจากกระเป๋าเงินคริปโต สร้างไฟล์ ZIP เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เช่น แอป Ledger Live ปลอม และบอตเน็ต

    แคมเปญนี้ยังใช้ GitHub ปลอม เช่น repo ของ iTerm2 เพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งที่ดูเหมือนเป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์จริง แต่กลับเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยตรง

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้ได้ผลคือความเรียบง่ายและการใช้เทคนิค “ClickFix” ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังแก้ปัญหา แต่จริง ๆ แล้วกำลังเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในระบบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม COOKIE SPIDER ใช้มัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer
    แคมเปญใช้ malvertising ผ่าน Google Ads เพื่อหลอกผู้ใช้ macOS
    เว็บไซต์ปลอม เช่น mac-safer.com และ rescue-mac.com ถูกใช้เป็นกับดัก
    คำสั่ง Terminal เพียงบรรทัดเดียวสามารถติดตั้งมัลแวร์โดยข้าม Gatekeeper
    SHAMOS ขโมยข้อมูลจาก Keychain, Apple Notes, เบราว์เซอร์ และกระเป๋าเงินคริปโต
    มัลแวร์บันทึกข้อมูลในไฟล์ ZIP และส่งออกผ่าน curl
    มีการติดตั้ง LaunchDaemons เพื่อให้มัลแวร์ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง
    SHAMOS สามารถดาวน์โหลด payload เพิ่มเติม เช่น แอปปลอมและบอตเน็ต
    GitHub ปลอมถูกใช้เป็นช่องทางเสริมในการหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์
    แคมเปญนี้โจมตีผู้ใช้ในกว่า 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคนิค “ClickFix” ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ รวมถึงใน TikTok และ Google Meet ปลอม
    คำสั่งแบบ one-liner เช่น curl | bash เป็นช่องโหว่ที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่
    Gatekeeper ของ macOS สามารถถูกข้ามได้ด้วยการลบ quarantine flag ผ่าน xattr
    การใช้ Base64 encoding ช่วยซ่อน URL ของมัลแวร์จากสายตาผู้ใช้
    การปลอมตัวเป็นร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ในโปรไฟล์โฆษณา Google เพิ่มความน่าเชื่อถือ

    https://hackread.com/cookie-spider-malvertising-new-shamos-macos-malware/
    🎙️ เมื่อคำสั่งเดียวใน Terminal เปลี่ยน Mac ให้กลายเป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์ ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2025 ผู้ใช้ macOS ทั่วโลกที่กำลังค้นหาวิธีแก้ปัญหาเล็ก ๆ เช่น “flush DNS cache” กลับถูกนำไปยังเว็บไซต์ช่วยเหลือปลอมที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง mac-safer.com และ rescue-mac.com ซึ่งปรากฏในผลการค้นหาผ่านโฆษณา Google เว็บไซต์เหล่านี้แนะนำให้ผู้ใช้คัดลอกคำสั่งเพียงบรรทัดเดียวไปวางใน Terminal เพื่อ “แก้ปัญหา” แต่แท้จริงแล้ว คำสั่งนั้นคือกับดักที่ดาวน์โหลดมัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ที่พัฒนาโดยกลุ่ม COOKIE SPIDER SHAMOS ไม่เพียงแค่ขโมยรหัสผ่านจาก Keychain หรือข้อมูลจาก Apple Notes และเบราว์เซอร์เท่านั้น แต่มันยังสามารถดึงข้อมูลจากกระเป๋าเงินคริปโต สร้างไฟล์ ZIP เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ และติดตั้งโมดูลเพิ่มเติม เช่น แอป Ledger Live ปลอม และบอตเน็ต แคมเปญนี้ยังใช้ GitHub ปลอม เช่น repo ของ iTerm2 เพื่อหลอกให้ผู้ใช้รันคำสั่งที่ดูเหมือนเป็นการติดตั้งซอฟต์แวร์จริง แต่กลับเป็นการติดตั้งมัลแวร์โดยตรง สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้ได้ผลคือความเรียบง่ายและการใช้เทคนิค “ClickFix” ที่หลอกให้ผู้ใช้คิดว่ากำลังแก้ปัญหา แต่จริง ๆ แล้วกำลังเปิดประตูให้แฮกเกอร์เข้ามาในระบบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม COOKIE SPIDER ใช้มัลแวร์ SHAMOS ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ของ AMOS infostealer ➡️ แคมเปญใช้ malvertising ผ่าน Google Ads เพื่อหลอกผู้ใช้ macOS ➡️ เว็บไซต์ปลอม เช่น mac-safer.com และ rescue-mac.com ถูกใช้เป็นกับดัก ➡️ คำสั่ง Terminal เพียงบรรทัดเดียวสามารถติดตั้งมัลแวร์โดยข้าม Gatekeeper ➡️ SHAMOS ขโมยข้อมูลจาก Keychain, Apple Notes, เบราว์เซอร์ และกระเป๋าเงินคริปโต ➡️ มัลแวร์บันทึกข้อมูลในไฟล์ ZIP และส่งออกผ่าน curl ➡️ มีการติดตั้ง LaunchDaemons เพื่อให้มัลแวร์ทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ➡️ SHAMOS สามารถดาวน์โหลด payload เพิ่มเติม เช่น แอปปลอมและบอตเน็ต ➡️ GitHub ปลอมถูกใช้เป็นช่องทางเสริมในการหลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ ➡️ แคมเปญนี้โจมตีผู้ใช้ในกว่า 9 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคนิค “ClickFix” ถูกใช้ในหลายแคมเปญมัลแวร์ รวมถึงใน TikTok และ Google Meet ปลอม ➡️ คำสั่งแบบ one-liner เช่น curl | bash เป็นช่องโหว่ที่นิยมในมัลแวร์ยุคใหม่ ➡️ Gatekeeper ของ macOS สามารถถูกข้ามได้ด้วยการลบ quarantine flag ผ่าน xattr ➡️ การใช้ Base64 encoding ช่วยซ่อน URL ของมัลแวร์จากสายตาผู้ใช้ ➡️ การปลอมตัวเป็นร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ในโปรไฟล์โฆษณา Google เพิ่มความน่าเชื่อถือ https://hackread.com/cookie-spider-malvertising-new-shamos-macos-malware/
    HACKREAD.COM
    COOKIE SPIDER’s Malvertising Drops New SHAMOS macOS Malware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • Mythic Words From Mythologies Around The World

    It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends.

    Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today.

    California

    While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today.

    chimeric

    Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent.

    hell

    While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE.

    hurricane

    When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s.

    Nike

    Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her.

    plutocracy

    Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655.

    protean

    The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea.

    quetzalcoatlus

    Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing.

    ragnarok

    Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok).

    Subaru

    Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another.

    Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday

    If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations.

    Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal.

    While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire.

    weird

    While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Mythic Words From Mythologies Around The World It’s in human nature to tell stories and in many ways, our stories—our mythologies—work their way into every aspect of our daily lives, from meme culture to the language we speak. You may be familiar with some of the words derived from the names of Greek and Roman gods and characters (herculean, echo, narcissist, to name a few). But some of the words with similar origins are more obscure and may surprise you, and still others are drawn from completely different cultural lineages! Many of our modern words are inspired not only by Greco-Roman mythos but also by West African, Indigenous, Far East Asian, and Nordic folktales, gods, heroes, and legends. Here’s a closer look at some of our everyday words and the many diverse mythologies that have contributed to their use and interpretation today. California While many of us might view the Golden State as the land of sunshine, mild winters, and plenty, this idyllic image of California is first glimpsed in Garci Rodríguez de Montalvo’s novel Las Sergas de Esplandián (“The Adventures of Esplandián”) from the 1500s. At a time when Spanish invasion and exploration of the Americas was at its peak, Las Sergas de Esplandián describes a fictional island ruled by Queen Calafia of the Indies, hence the name “California.” It’s possible Rodríguez de Montalvo derived California from the Arabic khalif or khalifa (a spiritual leader of Islam), or the term Califerne from the 11th-century epic French poem The Song of Roland. When the Spanish first encountered the Baja California peninsula, it was initially believed to be an island and so was dubbed for the fictional island in Rodríguez de Montalvo’s novel. Eventually, this name would apply to the region that we now know as California in the US and Baja California in Mexico today. chimeric Chimeric is an adjective used to describe something “imaginary, fanciful” or in the context of biology, chimeric describes an organism “having parts of different origins.” The word chimeric is derived from the name of an ancient Greek monster, the chimera. Typically depicted as a having both a goat and lion head sprouting from its back and a serpent as a tail, the chimera was a terrifying and formidable opponent. hell While this word may call to mind Christianity and the realm of demons and condemned souls, hell is also associated with another concept of the underworld. According to Norse mythology, the prominent god Odin appointed the goddess and daughter of Loki, Hel, to preside over the realm of the dead. Hel’s name subsequently became associated as the word for the underworld itself. The word hell entered Old English sometime before the year 900 CE. hurricane When a windstorm whips up torrential rains, it can definitely seem like a god’s fury has been called down. This might explain why hurricane is derived from a Taíno storm god, Hurakán. The Taíno were an Indigenous tribe of the Caribbean, so it certainly makes sense that their deities would hold the name now associated with major tropical storms. Working its way from Spanish into English, hurricane was likely first recorded in English around the mid-1500s. Nike Typically depicted with wings, Nike was the Greek goddess of victory. Her influence was not limited to athletics, and she could oversee any field from art to music to war. Nike is said to have earned this title as one of the first deities to offer her allegiance to Zeus during the Titanomachy, the great battle between the Titans and gods for Mount Olympus. Of course, with a winning streak like that, it’s no wonder a popular sports apparel company would name itself after her. plutocracy Plutocracy means “the rule or power of wealth” or “of the wealthy, particularly a government or state in which the wealthy class rules.” The pluto in plutocracy comes from the Roman god of wealth, Pluto. Often known best by his Greek name, Hades, Pluto also presided over the underworld. Where does the wealth factor in? Precious metals and gems are typically found underground. The word plutocracy was recorded in the English language around 1645–1655. protean The adjective protean [ proh-tee-uhn ] describes how something readily assumes different forms, shapes, or characteristics. Something that is protean is “extremely variable.” This word originates from the name of Proteus, a minor Greek sea god who served under Poseidon. Proteus was prophetic and said to be able to gaze into the past, present, and future. However, he was pretty stingy with his knowledge, so most challengers would have to surprise him and wrestle him—while Proteus continually transformed into different (usually dangerous) shapes, such as a lion or a snake! If the challenger held on throughout the transformations, Proteus would answer their question truthfully before jumping back into the sea. quetzalcoatlus Quetzalcoatlus is a genus of pterosaur from the Late Cretaceous period. Its remains were discovered in 1971 in Texas. As a flying dinosaur from the Americas, its name derives from the god Quetzalcóatl, or “the feathered serpent,” in Nahuatl. Often depicted as exactly that (in addition to having incarnations that ranged from axolotls to dogs to corn), Quetzalcóatl was a prominent god of creation and order in the pantheon of the Mexica people. His domain included powerful and sustaining forces such as the sun, the wind, agriculture, wisdom, and writing. ragnarok Popping up everywhere from video games to blockbuster movies, the word ragnarok [ rahg-nuh-rok ] just sounds cool. It’s typically used as a synonym for the end of the world—and that’s what it originally referred to. In Norse mythology, this apocalyptic moment will occur when three roosters crow and the monster hound, Garmr, breaks free of his cave. A frightening battle among gods ensues along with natural disasters. The Old Norse word Ragnarǫk that it derives from is a compound of “gods” (ragna) and “fate” (rok). Subaru Known in most of the English-speaking world as a popular car manufacturer, Subaru is a Japanese word for the Seven Sisters, or Pleiades, constellation. The Subaru logo even features the six stars visible to the naked eye in the constellation. In 2021, astronomers Ray and Barnaby Norris proposed that the constellation referred to as “Seven Sisters” by various ancient peoples (which today looks like six visible stars) once had a seventh visible star whose light has been swallowed up by the light of another. Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday/Saturday If we want an example of mythology rooted in our day-to-day, we needn’t look any further than the days of the week. Initially, Romans named their days of the week after the planets, which included the sun and the moon (Sunday and Monday). As the Roman Empire expanded to include Germanic-speaking peoples, the names of the weekdays were adapted to reflect the names of gods familiar to the local populations. Today, five out of seven days of the week are linked to the names of mythological gods, four of which are Old Germanic/Norse in origin. Tuesday is rooted in the name of the Norse god of war and justice, Tyr. Wednesday descends from Woden (alternatively, Odin), a widely revered Germanic-Norse god who presided over healing, wisdom, death, war, poetry, and sorcery. Thursday is derived from the thunder god Thor. Finally, Friday owes its name to Frigg, the goddess of marriage, prophecy, clairvoyance, and motherhood. The outlier of the weekday group is Saturday, which traces its name back to Saturn, the Roman god of time, wealth, and renewal. While scholars are uncertain as to when the Germanic-Norse adaptations of the days of the week were introduced, it is estimated to have occurred between 200-500 CE to predate the spread of Christianity and the final collapse of the Roman Empire. weird While weird today generally means “bizarre” or “unusual,” its older use has been to refer to something that is “uncanny” or relating to the supernatural. This links into the original definition of weird, or then wyrd, as being able to control fate or destiny. The Old English derivation of the Germanic word was first recorded before 900 CE as wyrd; then in Middle English as the phrase werde sisters, which referred to the Fates. According to Greek mythology, the three goddesses known as the Fates control the destinies of the lives of man. In the early 1600s, Shakespeare’s Macbeth, used werde sisters to refer to these witches in the play. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์

    ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App

    ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์

    Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที

    ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม
    ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น
    ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB)
    Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม
    ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed
    ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU
    เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025
    ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก
    Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต
    ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC
    Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า
    Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา
    การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน
    ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    🎙️ Microsoft ปฏิวัติการโหลดเกมด้วย “Advanced Shader Delivery” – เล่นเร็วขึ้น 10 เท่า ไม่ต้องรอคอมไพล์ ลองนึกภาพว่าคุณเปิดเกมใหม่บนเครื่อง ROG Xbox Ally หรือ Ally X แล้วเข้าเกมได้แทบจะทันที ไม่ต้องรอโหลดนาน ไม่ต้องเจออาการกระตุกตอนเริ่มเกม นั่นคือสิ่งที่ Microsoft กำลังทำให้เป็นจริงด้วยฟีเจอร์ใหม่ “Advanced Shader Delivery” ที่เปิดตัวผ่าน Xbox PC App ปัญหาเดิมของเกม PC คือการคอมไพล์ shader ซึ่งเป็นโค้ดกราฟิกที่ต้องปรับให้เข้ากับ GPU และไดรเวอร์ของแต่ละเครื่อง ทำให้เกิดการโหลดนานและกระตุกระหว่างเล่น โดยเฉพาะในเกมใหม่หรือเมื่ออัปเดตไดรเวอร์ Microsoft แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างระบบใหม่ที่เรียกว่า State Object Database (SODB) ซึ่งเก็บข้อมูล shader จากเกม แล้วนำไปคอมไพล์บนคลาวด์เป็น Precompiled Shader Database (PSDB) ที่พร้อมใช้งาน เมื่อผู้เล่นดาวน์โหลดเกมผ่าน Xbox PC App ระบบจะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่ตรงกับอุปกรณ์นั้นทันที ผลลัพธ์คือเวลาโหลดเกมลดลงสูงสุดถึง 85% (เช่นในเกม Avowed) และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องใช้พลังงานในการคอมไพล์ shader บนเครื่องเอง ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ ROG Xbox Ally และ Ally X ก่อนในวันที่ 16 ตุลาคม 2025 และจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต โดยไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมทำอะไรเพิ่มเติมในช่วงแรก แต่ Microsoft มีแผนจะรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมโดยตรงในอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ “Advanced Shader Delivery” เพื่อลดเวลาโหลดเกม ➡️ ฟีเจอร์นี้ใช้ระบบคลาวด์ในการคอมไพล์ shader แทนการทำบนอุปกรณ์ผู้เล่น ➡️ ใช้ฐานข้อมูลใหม่ชื่อ State Object Database (SODB) และ Precompiled Shader Database (PSDB) ➡️ Xbox PC App จะตรวจสอบสเปกเครื่องและดาวน์โหลด PSDB ที่เหมาะสม ➡️ ลดเวลาโหลดเกมได้สูงสุดถึง 85% เช่นในเกม Avowed ➡️ ช่วยลดการใช้แบตเตอรี่และพลังงานของ CPU/GPU ➡️ เริ่มใช้งานกับ ROG Xbox Ally และ Ally X วันที่ 16 ตุลาคม 2025 ➡️ ไม่ต้องให้ผู้พัฒนาเกมปรับแต่งเพิ่มเติมในช่วงแรก ➡️ Microsoft มีแผนรวมระบบนี้เข้ากับเอนจินเกมในอนาคต ➡️ ฟีเจอร์นี้จะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นและ storefronts ผ่าน AgilitySDK ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ปัญหาคอมไพล์ shader เป็นสาเหตุหลักของการโหลดนานและกระตุกในเกม PC ➡️ Steam Deck มีระบบคล้ายกันใน SteamOS แต่ยังไม่แพร่หลายเท่า ➡️ Microsoft เริ่มใช้ระบบ “Handheld Optimized” เพื่อจัดเรตเกมสำหรับเครื่องพกพา ➡️ การแยก shader compiler ออกจาก driver เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดความซับซ้อน ➡️ ฟีเจอร์นี้อาจเป็นการตอบโต้การแข่งขันจาก Steam Deck ที่ควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีกว่า https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/directx-speeds-up-game-loads-up-to-10x-with-new-advanced-shader-compiling-feature-debuts-with-xbox-pc-app-on-rog-xbox-ally-and-ally-x-more-devices-later
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • เปลวเทียนที่สั่นไหว – จากความไม่เสถียร สู่การจับเวลาอย่างแม่นยำ

    ใครจะคิดว่า “เปลวเทียน” ซึ่งถูกออกแบบมาให้ไม่สั่นไหวมานานนับพันปี จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณนาฬิกาได้?

    Tim นักพัฒนาฮาร์ดแวร์ได้ค้นพบว่า หากนำเทียนสามเล่มมาวางใกล้กัน เปลวไฟจะเริ่ม “สื่อสาร” กันและเกิดการสั่นไหวแบบประสานกันที่ความถี่คงที่ประมาณ 9.9Hz ซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟเป็นหลัก

    เขาใช้วิธีตรวจจับการสั่นไหวของเปลวไฟด้วย phototransistor และวิธีใหม่ที่น่าสนใจคือ “capacitive sensing” โดยแขวนลวดไว้ในเปลวไฟแล้ววัดการเปลี่ยนแปลงของค่าความจุไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากไอออนในเปลวไฟที่มีคุณสมบัติเป็นไดอิเล็กทริก

    จากนั้น Tim ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านสัญญาณและประมวลผลด้วยฟิลเตอร์ดิจิทัล เพื่อแปลงความถี่ 9.9Hz ให้กลายเป็นสัญญาณ 1Hz ที่ใช้กระพริบ LED ได้อย่างแม่นยำ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    การรวมเทียนสามเล่มทำให้เกิดการสั่นไหวของเปลวไฟที่ความถี่ ~9.9Hz
    ความถี่นี้ขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟ
    ใช้ phototransistor ตรวจจับความสว่างของเปลวไฟแบบง่ายและแม่นยำ
    ใช้ capacitive sensing ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของไอออนในเปลวไฟ
    ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านค่าความจุไฟฟ้าและประมวลผล
    ใช้ IIR filter และ zero-cross detection เพื่อแปลงสัญญาณเป็น 1Hz
    LED ถูกควบคุมให้กระพริบตามสัญญาณ 1Hz ที่ได้จากเปลวไฟ
    โครงการนี้เข้าร่วมการแข่งขัน “One Hertz Challenge” บน Hackaday.io

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yamanashi พบว่าการสั่นไหวของเปลวไฟสามารถซิงก์กันได้
    การลดระยะห่างระหว่างเทียนจะเปลี่ยนรูปแบบการสั่นไหว
    Capacitive flame sensing ถูกใช้ในอุตสาหกรรมตรวจจับไฟไหม้
    Phototransistor มี internal gain ทำให้ไม่ต้องใช้วงจรขยายเพิ่มเติม
    การใช้ zero-cross detection แบบมี dead-time ช่วยลดสัญญาณรบกวน
    การใช้ DPLL (Digital Phase-Locked Loop) อาจเพิ่มความเสถียรของสัญญาณได้

    https://cpldcpu.com/2025/08/13/candle-flame-oscillations-as-a-clock/
    🕯️ เปลวเทียนที่สั่นไหว – จากความไม่เสถียร สู่การจับเวลาอย่างแม่นยำ ใครจะคิดว่า “เปลวเทียน” ซึ่งถูกออกแบบมาให้ไม่สั่นไหวมานานนับพันปี จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดสัญญาณนาฬิกาได้? Tim นักพัฒนาฮาร์ดแวร์ได้ค้นพบว่า หากนำเทียนสามเล่มมาวางใกล้กัน เปลวไฟจะเริ่ม “สื่อสาร” กันและเกิดการสั่นไหวแบบประสานกันที่ความถี่คงที่ประมาณ 9.9Hz ซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟเป็นหลัก เขาใช้วิธีตรวจจับการสั่นไหวของเปลวไฟด้วย phototransistor และวิธีใหม่ที่น่าสนใจคือ “capacitive sensing” โดยแขวนลวดไว้ในเปลวไฟแล้ววัดการเปลี่ยนแปลงของค่าความจุไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากไอออนในเปลวไฟที่มีคุณสมบัติเป็นไดอิเล็กทริก จากนั้น Tim ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านสัญญาณและประมวลผลด้วยฟิลเตอร์ดิจิทัล เพื่อแปลงความถี่ 9.9Hz ให้กลายเป็นสัญญาณ 1Hz ที่ใช้กระพริบ LED ได้อย่างแม่นยำ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ การรวมเทียนสามเล่มทำให้เกิดการสั่นไหวของเปลวไฟที่ความถี่ ~9.9Hz ➡️ ความถี่นี้ขึ้นอยู่กับแรงโน้มถ่วงและขนาดของเปลวไฟ ➡️ ใช้ phototransistor ตรวจจับความสว่างของเปลวไฟแบบง่ายและแม่นยำ ➡️ ใช้ capacitive sensing ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของไอออนในเปลวไฟ ➡️ ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ CH32V003 อ่านค่าความจุไฟฟ้าและประมวลผล ➡️ ใช้ IIR filter และ zero-cross detection เพื่อแปลงสัญญาณเป็น 1Hz ➡️ LED ถูกควบคุมให้กระพริบตามสัญญาณ 1Hz ที่ได้จากเปลวไฟ ➡️ โครงการนี้เข้าร่วมการแข่งขัน “One Hertz Challenge” บน Hackaday.io ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Yamanashi พบว่าการสั่นไหวของเปลวไฟสามารถซิงก์กันได้ ➡️ การลดระยะห่างระหว่างเทียนจะเปลี่ยนรูปแบบการสั่นไหว ➡️ Capacitive flame sensing ถูกใช้ในอุตสาหกรรมตรวจจับไฟไหม้ ➡️ Phototransistor มี internal gain ทำให้ไม่ต้องใช้วงจรขยายเพิ่มเติม ➡️ การใช้ zero-cross detection แบบมี dead-time ช่วยลดสัญญาณรบกวน ➡️ การใช้ DPLL (Digital Phase-Locked Loop) อาจเพิ่มความเสถียรของสัญญาณได้ https://cpldcpu.com/2025/08/13/candle-flame-oscillations-as-a-clock/
    CPLDCPU.COM
    Candle Flame Oscillations as a Clock
    Todays candles have been optimized for millenia not to flicker. But it turns out when we bundle three of them together, we can undo all of these optimizations and the resulting triplet will start t…
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • Pixel 10 Series – สมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “เข้าใจคุณ”

    Google เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL ซึ่งเป็นรุ่นที่ 10 ของซีรีส์ Pixel โดยมาพร้อมดีไซน์ใหม่, วัสดุรีไซเคิลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และชิป Tensor G5 ที่ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก พร้อมระบบ AI Gemini Nano ที่ทำงานในเครื่องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์

    Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงถึง 50MP + 48MP + 48MP พร้อมฟีเจอร์ Pro Res Zoom ที่ใช้ AI สร้างภาพซูมแบบละเอียดสูงสุดถึง 100x โดยไม่สูญเสียคุณภาพ และสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ได้

    ฟีเจอร์ใหม่ Magic Cue จะช่วยดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาแสดงในแอปต่าง ๆ เช่น แสดงข้อมูลเที่ยวบินจากอีเมลเมื่อโทรหาสายการบิน หรือแนะนำภาพแมวให้แม่ในแชตโดยอัตโนมัติ

    Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่างสูงสุด 3,300 nits พร้อมแบตเตอรี่ 5,200mAh รองรับชาร์จไว 45W และชาร์จไร้สาย Qi2 ที่ 25W ส่วนรุ่น Pro ธรรมดามีหน้าจอ 6.3 นิ้วและแบตเตอรี่ 4,870mAh

    ระบบปฏิบัติการ Android 16 มาพร้อม Material 3 Expressive UI ที่ปรับแต่งได้มากขึ้น และ Google รับประกันอัปเดต OS และความปลอดภัยนานถึง 7 ปี

    ข้อมูลในข่าว
    เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL พร้อมชิป Tensor G5
    ใช้ Gemini Nano AI ทำงานในเครื่องแบบไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์
    ดีไซน์ใหม่พร้อมวัสดุรีไซเคิลมากที่สุดในซีรีส์ Pixel
    Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่าง 3,300 nits
    กล้องหลัง 3 ตัว: 50MP (wide), 48MP (ultrawide), 48MP (telephoto) พร้อม 100x Pro Res Zoom
    กล้องหน้า 42MP พร้อมระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic ในหน้าจอ
    รองรับชาร์จไว 45W และ Qi2 wireless charging 25W
    ฟีเจอร์ Magic Cue ช่วยดึงข้อมูลจากอีเมลหรือแชตมาแสดงในแอปต่าง ๆ
    ระบบปฏิบัติการ Android 16 พร้อมอัปเดต OS และความปลอดภัย 7 ปี
    เริ่มวางจำหน่าย 28 สิงหาคม 2025 ราคาเริ่มต้นที่ $799 (Pixel 10), $999 (Pro), $1,199 (Pro XL)

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tensor G5 ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก หลังจากใช้ Samsung มานาน
    ประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้น 34% และ AI เร็วขึ้น 60% จาก Tensor G4
    Pixel 10 Pro XL ไม่มีรุ่น 128GB แล้ว เริ่มต้นที่ 256GB
    Pixel 10 Pro XL มีระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber
    Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อม RAM 16GB และความจุสูงสุด 1TB
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Ultra-Wideband พร้อมมาตรฐานกันน้ำ IP68

    https://blog.google/products/pixel/google-pixel-10-pro-xl/
    📖 Pixel 10 Series – สมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “เข้าใจคุณ” Google เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL ซึ่งเป็นรุ่นที่ 10 ของซีรีส์ Pixel โดยมาพร้อมดีไซน์ใหม่, วัสดุรีไซเคิลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และชิป Tensor G5 ที่ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก พร้อมระบบ AI Gemini Nano ที่ทำงานในเครื่องโดยไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงถึง 50MP + 48MP + 48MP พร้อมฟีเจอร์ Pro Res Zoom ที่ใช้ AI สร้างภาพซูมแบบละเอียดสูงสุดถึง 100x โดยไม่สูญเสียคุณภาพ และสามารถถ่ายวิดีโอ 8K ได้ ฟีเจอร์ใหม่ Magic Cue จะช่วยดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาแสดงในแอปต่าง ๆ เช่น แสดงข้อมูลเที่ยวบินจากอีเมลเมื่อโทรหาสายการบิน หรือแนะนำภาพแมวให้แม่ในแชตโดยอัตโนมัติ Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่างสูงสุด 3,300 nits พร้อมแบตเตอรี่ 5,200mAh รองรับชาร์จไว 45W และชาร์จไร้สาย Qi2 ที่ 25W ส่วนรุ่น Pro ธรรมดามีหน้าจอ 6.3 นิ้วและแบตเตอรี่ 4,870mAh ระบบปฏิบัติการ Android 16 มาพร้อม Material 3 Expressive UI ที่ปรับแต่งได้มากขึ้น และ Google รับประกันอัปเดต OS และความปลอดภัยนานถึง 7 ปี ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ เปิดตัว Pixel 10, Pixel 10 Pro และ Pixel 10 Pro XL พร้อมชิป Tensor G5 ➡️ ใช้ Gemini Nano AI ทำงานในเครื่องแบบไม่ต้องเชื่อมต่อคลาวด์ ➡️ ดีไซน์ใหม่พร้อมวัสดุรีไซเคิลมากที่สุดในซีรีส์ Pixel ➡️ Pixel 10 Pro XL มีหน้าจอ 6.8 นิ้ว Super Actua OLED ความสว่าง 3,300 nits ➡️ กล้องหลัง 3 ตัว: 50MP (wide), 48MP (ultrawide), 48MP (telephoto) พร้อม 100x Pro Res Zoom ➡️ กล้องหน้า 42MP พร้อมระบบสแกนนิ้ว Ultrasonic ในหน้าจอ ➡️ รองรับชาร์จไว 45W และ Qi2 wireless charging 25W ➡️ ฟีเจอร์ Magic Cue ช่วยดึงข้อมูลจากอีเมลหรือแชตมาแสดงในแอปต่าง ๆ ➡️ ระบบปฏิบัติการ Android 16 พร้อมอัปเดต OS และความปลอดภัย 7 ปี ➡️ เริ่มวางจำหน่าย 28 สิงหาคม 2025 ราคาเริ่มต้นที่ $799 (Pixel 10), $999 (Pro), $1,199 (Pro XL) ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tensor G5 ผลิตโดย TSMC เป็นครั้งแรก หลังจากใช้ Samsung มานาน ➡️ ประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้น 34% และ AI เร็วขึ้น 60% จาก Tensor G4 ➡️ Pixel 10 Pro XL ไม่มีรุ่น 128GB แล้ว เริ่มต้นที่ 256GB ➡️ Pixel 10 Pro XL มีระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ➡️ Pixel 10 Pro และ Pro XL มาพร้อม RAM 16GB และความจุสูงสุด 1TB ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Ultra-Wideband พร้อมมาตรฐานกันน้ำ IP68 https://blog.google/products/pixel/google-pixel-10-pro-xl/
    BLOG.GOOGLE
    Powerful and proactive: Pixel 10 phones are here
    Learn more about the new Pixel 10, Pixel 10 Pro and Pixel 10 Pro XL phones announced today at Made by Google.
    0 Comments 0 Shares 181 Views 0 Reviews
  • เจาะมือถือสเปกเทพ ทหารเขมรทิ้งไว้บนภูมะเขือ

    ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม กองทัพเรือ (นปท.ทร.) ที่สนับสนุนการปฏิบัติงาน การเก็บกู้ และกวาดล้างฯ ได้ตรวจพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา ที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ภูมะเขือ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดศรีสะเกษ จึงนำไปใส่แบตเตอรี่ และตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ พบคลิปวีดีโอและภาพถ่ายจำนวนมาก ขณะทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ชนิดเดียวกับที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ

    ที่น่าสนใจก็คือ หนึ่งในภาพถ่ายบนโทรศัพท์มือถือระบุคำว่า POVA 6 Pro 5G ซึ่งพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือ TECNO รุ่น POVA 6 Pro 5G ซึ่งมีจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา เปิดตัวเมื่อเดือน มี.ค.2567 รุ่น RAM 8GB + ROM 256GB ราคา 9,999 บาท และรุ่น RAM 12GB + ROM 256GB ราคา 10,999 บาท แต่มือถือแบรนด์ดังกล่าวไม่ได้เป็นที่นิยมในไทย เมื่อเทียบกับแบรนด์ยอดนิยม ได้แก่ iPhone, Samsung, OPPO, VIVO, Xiaomi และ Realme แต่เมื่อดูจากสเปกแล้วคาดว่าเป็นการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะเกมเมอร์ เพราะได้ทำการตลาดร่วมกับเกม Free Fire

    สเปกเบื้องต้น ตัวเครื่องหนา 7.9 มิลลิเมตร หน้าจอ AMOLED 6.78 นิ้ว FHD 120 Hz ระบบเสียง Dolby Atmos ลำโพงคู่พร้อม AI ลดเสียงรบกวน ระบบช่วยระบายความร้อน POVA Supercooled แบตเตอรี่ 6000 mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง อายุการใช้งานแบตเตอรี่นานสูงสุด 6 ปี ระบบชาร์จรองรับ Ultra Charge กำลังไฟสูงสุด 70W สามารถชาร์จ 0-50% ได้ใน 20 นาที และเต็ม 100% ใน 50 นาที พร้อมระบบ Bypass Charge เล่นไปชาร์จไป การชาร์จแบบขั้นบันได Ladder Charge ชาร์จได้ในอุณหภูมิ -20 ถึง 60 องศาเซลเซียส และโหมดชาร์จแบบกันน้ำ ถ้าตรวจพบความชื้น ระบบชาร์จเร็วจะไม่ทำงาน

    ด้านหลังเครื่องมีไฟ LED ทั้งหมด 210 ดวง สามารถตั้งค่าให้กระพริบเมื่อมีสายเข้าขณะปิดเสียงได้ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 6080 ความเร็ว 5G สำหรับการเล่นเกมระดับสูง กล้องหลังแบบกล้องสามตัว 108 MP (มุมกว้าง), 0.7 μm PDAF 2 MP, 0.08 MP (เลนส์เสริม) กล้องหน้า 32 MP แต่ไม่มีระบบกันสั่น เมื่อเทียบกับไอโฟนหรือซัมซุงรุ่นราคา 15,000 บาทขึ้นไป ฟีเจอร์กันน้ำระดับ IP53 กันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง และกันละอองน้ำจากละอองฝน หรือน้ำที่กระเด็นใส่ แต่ไม่ป้องกันขณะมือถือจุ่มน้ำ มี 2 สีให้เลือก คือ สีเทา Meteorite Grey และสีเขียว Comet Green

    ปัจจุบันราคาขายในกัมพูชา รุ่น 12+256GB อยู่ที่ 239-259 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7,790-8,442 บาท) ส่วนในไทยราคาใน Shopee อยู่ที่ 7,399 บาท

    #Newskit
    เจาะมือถือสเปกเทพ ทหารเขมรทิ้งไว้บนภูมะเขือ ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม กองทัพเรือ (นปท.ทร.) ที่สนับสนุนการปฏิบัติงาน การเก็บกู้ และกวาดล้างฯ ได้ตรวจพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชา ที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ภูมะเขือ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดศรีสะเกษ จึงนำไปใส่แบตเตอรี่ และตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ พบคลิปวีดีโอและภาพถ่ายจำนวนมาก ขณะทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ชนิดเดียวกับที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นสูญเสียอวัยวะ ที่น่าสนใจก็คือ หนึ่งในภาพถ่ายบนโทรศัพท์มือถือระบุคำว่า POVA 6 Pro 5G ซึ่งพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือ TECNO รุ่น POVA 6 Pro 5G ซึ่งมีจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา เปิดตัวเมื่อเดือน มี.ค.2567 รุ่น RAM 8GB + ROM 256GB ราคา 9,999 บาท และรุ่น RAM 12GB + ROM 256GB ราคา 10,999 บาท แต่มือถือแบรนด์ดังกล่าวไม่ได้เป็นที่นิยมในไทย เมื่อเทียบกับแบรนด์ยอดนิยม ได้แก่ iPhone, Samsung, OPPO, VIVO, Xiaomi และ Realme แต่เมื่อดูจากสเปกแล้วคาดว่าเป็นการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะเกมเมอร์ เพราะได้ทำการตลาดร่วมกับเกม Free Fire สเปกเบื้องต้น ตัวเครื่องหนา 7.9 มิลลิเมตร หน้าจอ AMOLED 6.78 นิ้ว FHD 120 Hz ระบบเสียง Dolby Atmos ลำโพงคู่พร้อม AI ลดเสียงรบกวน ระบบช่วยระบายความร้อน POVA Supercooled แบตเตอรี่ 6000 mAh เล่นเกมได้ต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง อายุการใช้งานแบตเตอรี่นานสูงสุด 6 ปี ระบบชาร์จรองรับ Ultra Charge กำลังไฟสูงสุด 70W สามารถชาร์จ 0-50% ได้ใน 20 นาที และเต็ม 100% ใน 50 นาที พร้อมระบบ Bypass Charge เล่นไปชาร์จไป การชาร์จแบบขั้นบันได Ladder Charge ชาร์จได้ในอุณหภูมิ -20 ถึง 60 องศาเซลเซียส และโหมดชาร์จแบบกันน้ำ ถ้าตรวจพบความชื้น ระบบชาร์จเร็วจะไม่ทำงาน ด้านหลังเครื่องมีไฟ LED ทั้งหมด 210 ดวง สามารถตั้งค่าให้กระพริบเมื่อมีสายเข้าขณะปิดเสียงได้ ใช้ชิป MediaTek Dimensity 6080 ความเร็ว 5G สำหรับการเล่นเกมระดับสูง กล้องหลังแบบกล้องสามตัว 108 MP (มุมกว้าง), 0.7 μm PDAF 2 MP, 0.08 MP (เลนส์เสริม) กล้องหน้า 32 MP แต่ไม่มีระบบกันสั่น เมื่อเทียบกับไอโฟนหรือซัมซุงรุ่นราคา 15,000 บาทขึ้นไป ฟีเจอร์กันน้ำระดับ IP53 กันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง และกันละอองน้ำจากละอองฝน หรือน้ำที่กระเด็นใส่ แต่ไม่ป้องกันขณะมือถือจุ่มน้ำ มี 2 สีให้เลือก คือ สีเทา Meteorite Grey และสีเขียว Comet Green ปัจจุบันราคาขายในกัมพูชา รุ่น 12+256GB อยู่ที่ 239-259 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7,790-8,442 บาท) ส่วนในไทยราคาใน Shopee อยู่ที่ 7,399 บาท #Newskit
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 313 Views 0 Reviews
  • Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร

    Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ

    จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน

    Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก

    แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี
    รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น
    มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง
    Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ
    คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด

    https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    🧠 Bigme B13: จอ ePaper สีแบบพกพารุ่นแรกของโลกเพื่อสายตาและงานเอกสาร Bigme B13 คือจอมอนิเตอร์ขนาด 13.3 นิ้วที่ใช้เทคโนโลยี ePaper สี ซึ่งต่างจากจอ LCD หรือ OLED ตรงที่ให้ภาพเหมือนกระดาษจริง ลดแสงสะท้อนและความเมื่อยล้าของสายตา เหมาะสำหรับการอ่านเอกสาร, แก้ไขข้อความ และท่องเว็บ จอนี้มีความละเอียดสูงถึง 3200x2400 พิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบสาย (USB-C, HDMI) และไร้สาย (AirPlay, Miracast, DLNA) พร้อมโหมดการใช้งานหลายแบบ เช่น โหมดข้อความ, โหมดภาพ, โหมดวิดีโอ และโหมดเว็บ ที่ปรับ refresh rate และความคมชัดตามลักษณะงาน Bigme B13 ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบปรับแสงหน้าจอได้ทั้งความสว่างและอุณหภูมิสี, ลำโพงคู่ในตัว, ช่องเสียบหูฟัง และขาตั้งแม่เหล็กที่สามารถติดกับแล็ปท็อปเพื่อใช้งานแบบสองจอได้อย่างสะดวก แม้จะมีจุดเด่นเรื่องการถนอมสายตาและความพกพาสะดวก แต่จอนี้ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำของสี เช่น การออกแบบกราฟิกหรือการตัดต่อภาพ และราคาก็ยังค่อนข้างสูงที่ $699–$729 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้หน้าจอ Kaleido 3 ซึ่งให้ความละเอียด 300PPI สำหรับขาวดำ และ 150PPI สำหรับสี ➡️ รองรับการเล่นวิดีโอที่ 30Hz ด้วยเทคโนโลยี refresh เฉพาะของ Bigme ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Android และ iOS รวมถึง Linux บางรุ่น ➡️ มีรีโมตและเคสแถมมาในกล่อง พร้อมบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรง ➡️ Bigme ยังมีรุ่นจอใหญ่ 25.3 นิ้ว (B251) สำหรับงานระดับมืออาชีพ ➡️ คู่แข่งในตลาด ePaper monitor ได้แก่ Dasung และ Onyx ซึ่งมีรุ่นจำกัด https://www.techradar.com/pro/the-worlds-first-portable-color-epaper-monitor-has-gone-on-sale-but-dont-expect-it-to-be-affordable-just-yet
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • เปิดสาเหตุ วัน มรณา อินฟลูเขมร ถูกรวบเพราะ…?? [18/8/68]
    Revealed: Why Vann Morna, Cambodian influencer, was arrested…??

    #TruthFromThailand
    #scambodia
    #CambodiaCrisis
    #VannMorna
    #InfluencerArrest
    #ThaiTimes
    #news1
    #shorts
    เปิดสาเหตุ วัน มรณา อินฟลูเขมร ถูกรวบเพราะ…?? [18/8/68] Revealed: Why Vann Morna, Cambodian influencer, was arrested…?? #TruthFromThailand #scambodia #CambodiaCrisis #VannMorna #InfluencerArrest #ThaiTimes #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 269 Views 0 0 Reviews
  • CobraJet: โดรนสังหารอัจฉริยะที่บินเร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง

    ในยุคที่ฝูงโดรนราคาถูกกลายเป็นภัยคุกคามหลักในสนามรบ เช่นในสงครามยูเครน-รัสเซีย บริษัท SkyDefense LLC จากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว “CobraJet” โดรนขับเคลื่อนด้วย AI ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยเหล่านี้โดยเฉพาะ

    CobraJet เป็นโดรนแบบ eVTOL (บินขึ้นลงแนวดิ่ง) ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan ทำให้สามารถบินด้วยความเร็วสูงถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมความคล่องตัวระดับเครื่องบินขับไล่

    ตัวเครื่องทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D และมีดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35 พร้อมระบบ thrust vectoring เพื่อการหลบหลีกและโจมตีที่แม่นยำ

    ระบบ AI ของ CobraJet ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR ที่ไม่มีชิ้นส่วนจากประเทศต้องห้าม ทำให้สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ทั้งกลางวันและกลางคืน

    นอกจากนี้ยังมีระบบ VRAM (Visual Realtime Area Monitoring) ที่ช่วยให้ผู้ควบคุมสามารถสั่งการหรือปล่อยให้โดรนทำงานอัตโนมัติได้ และสามารถสื่อสารกับ CobraJet ตัวอื่นเพื่อทำงานเป็นฝูงแบบ “AI-powered unmanned Air Force”

    CobraJet สามารถติดอาวุธได้หลากหลาย ตั้งแต่โดรนกามิกาเซ่ ไปจนถึงระเบิดนำวิถี และสามารถปรับภารกิจได้ทั้งโจมตีทางอากาศ พื้นดิน หรือทางทะเล

    คุณสมบัติหลักของ CobraJet
    เป็นโดรน eVTOL ที่บินได้เร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง
    ใช้แบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan
    โครงสร้างทำจากคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D ดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35
    มีระบบ thrust vectoring เพื่อความคล่องตัวสูง
    ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR สำหรับการวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์
    มีระบบ VRAM ที่ให้ผู้ควบคุมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    สามารถทำงานร่วมกันเป็นฝูงแบบ AI-powered unmanned Air Force
    รองรับอาวุธหลากหลาย เช่น โดรนกามิกาเซ่ ระเบิดนำวิถี และมิสไซล์ขนาดเล็ก
    สามารถปล่อยจากรถบรรทุก เรือ หรือเครื่องบิน เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้ระบบ SmartVision และ anti-jam เพื่อทำงานในพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณ
    มีเวอร์ชัน V4, V6 และ V8 สำหรับภารกิจต่างระดับ
    ใช้ในภารกิจป้องกันชายแดน ฐานทัพ และสถานที่สาธารณะ
    มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นและทางทะเล
    ระบบ modular ทำให้สามารถอัปเกรดได้ตามเทคโนโลยีใหม่
    เหมาะสำหรับหน่วยงานความมั่นคง เช่น กองทัพ ตำรวจ และ Homeland Security

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cobrajet-nvidia-ai-powered-drone-killer-takes-out-overwhelming-enemy-drone-incursions-at-up-to-300mph
    🛡️ CobraJet: โดรนสังหารอัจฉริยะที่บินเร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ในยุคที่ฝูงโดรนราคาถูกกลายเป็นภัยคุกคามหลักในสนามรบ เช่นในสงครามยูเครน-รัสเซีย บริษัท SkyDefense LLC จากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว “CobraJet” โดรนขับเคลื่อนด้วย AI ที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยเหล่านี้โดยเฉพาะ CobraJet เป็นโดรนแบบ eVTOL (บินขึ้นลงแนวดิ่ง) ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan ทำให้สามารถบินด้วยความเร็วสูงถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมความคล่องตัวระดับเครื่องบินขับไล่ ตัวเครื่องทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D และมีดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35 พร้อมระบบ thrust vectoring เพื่อการหลบหลีกและโจมตีที่แม่นยำ ระบบ AI ของ CobraJet ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR ที่ไม่มีชิ้นส่วนจากประเทศต้องห้าม ทำให้สามารถตรวจจับ วิเคราะห์ และตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ยังมีระบบ VRAM (Visual Realtime Area Monitoring) ที่ช่วยให้ผู้ควบคุมสามารถสั่งการหรือปล่อยให้โดรนทำงานอัตโนมัติได้ และสามารถสื่อสารกับ CobraJet ตัวอื่นเพื่อทำงานเป็นฝูงแบบ “AI-powered unmanned Air Force” CobraJet สามารถติดอาวุธได้หลากหลาย ตั้งแต่โดรนกามิกาเซ่ ไปจนถึงระเบิดนำวิถี และสามารถปรับภารกิจได้ทั้งโจมตีทางอากาศ พื้นดิน หรือทางทะเล ✅ คุณสมบัติหลักของ CobraJet ➡️ เป็นโดรน eVTOL ที่บินได้เร็วถึง 300 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ ใช้แบตเตอรี่ solid-state และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ duct fan ➡️ โครงสร้างทำจากคาร์บอนไฟเบอร์พิมพ์ 3D ดีไซน์คล้าย F-22 และ F-35 ➡️ มีระบบ thrust vectoring เพื่อความคล่องตัวสูง ➡️ ใช้ชิป NVIDIA และกล้อง Teledyne FLIR สำหรับการวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์ ➡️ มีระบบ VRAM ที่ให้ผู้ควบคุมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ➡️ สามารถทำงานร่วมกันเป็นฝูงแบบ AI-powered unmanned Air Force ➡️ รองรับอาวุธหลากหลาย เช่น โดรนกามิกาเซ่ ระเบิดนำวิถี และมิสไซล์ขนาดเล็ก ➡️ สามารถปล่อยจากรถบรรทุก เรือ หรือเครื่องบิน เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้ระบบ SmartVision และ anti-jam เพื่อทำงานในพื้นที่ที่มีการรบกวนสัญญาณ ➡️ มีเวอร์ชัน V4, V6 และ V8 สำหรับภารกิจต่างระดับ ➡️ ใช้ในภารกิจป้องกันชายแดน ฐานทัพ และสถานที่สาธารณะ ➡️ มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นและทางทะเล ➡️ ระบบ modular ทำให้สามารถอัปเกรดได้ตามเทคโนโลยีใหม่ ➡️ เหมาะสำหรับหน่วยงานความมั่นคง เช่น กองทัพ ตำรวจ และ Homeland Security https://www.tomshardware.com/tech-industry/cobrajet-nvidia-ai-powered-drone-killer-takes-out-overwhelming-enemy-drone-incursions-at-up-to-300mph
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • SMÅ: เครื่องพิมพ์เล็กแต่ทรงพลัง ที่เปลี่ยนภาพจำของ “เครื่องพิมพ์ยุ่งยาก” ไปตลอดกาล

    ถ้าคุณเคยหงุดหงิดกับเครื่องพิมพ์ที่มีปุ่มเยอะ ถาดกระดาษหลายชั้น และต้องงัดแงะเวลาหมึกหมด—SMÅ คือคำตอบที่ตรงข้ามทุกอย่างนั้น

    Jakob Höxtermann นักออกแบบจากมหาวิทยาลัย Bergische Universität Wuppertal ได้สร้าง SMÅ ขึ้นมาโดยเน้น 3 สิ่ง: ความเรียบง่าย ความยั่งยืน และความกะทัดรัด

    เครื่องนี้มีแค่ 3 ปุ่ม: เปิด/ปิด, หยุด, และตั้งค่าเบื้องต้น พร้อมไฟ LED สีเดียวที่บอกสถานะได้ครบ—ขาวคือพร้อมใช้งาน, ส้มคือหมึกใกล้หมด, แดงคือกระดาษติด

    ดีไซน์แนวตั้งช่วยประหยัดพื้นที่โต๊ะ และสามารถใส่กระดาษได้ถึง 120 แผ่นโดยไม่ต้องมีถาดเสริม แถมมีแผ่นใสกันกระดาษหล่นอย่างชาญฉลาด

    การเปลี่ยนหมึกก็ง่ายสุด ๆ แค่ยกฝาครอบขึ้นแล้วสอดตลับใหม่ด้วยมือเดียว—ไม่มีเลอะ ไม่มีงัด ไม่มีปวดหัว

    ที่สำคัญคือ SMÅ ใช้สกรูแทนกาวในการประกอบ ทำให้แยกชิ้นส่วนเพื่อรีไซเคิลได้ง่าย และช่วยลดการใช้หมึกและกระดาษโดยรวม

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-most-exciting-printer-design-ive-seen-in-years-and-it-reminds-me-of-an-obscure-vertical-panasonic-printer
    🧠 SMÅ: เครื่องพิมพ์เล็กแต่ทรงพลัง ที่เปลี่ยนภาพจำของ “เครื่องพิมพ์ยุ่งยาก” ไปตลอดกาล ถ้าคุณเคยหงุดหงิดกับเครื่องพิมพ์ที่มีปุ่มเยอะ ถาดกระดาษหลายชั้น และต้องงัดแงะเวลาหมึกหมด—SMÅ คือคำตอบที่ตรงข้ามทุกอย่างนั้น Jakob Höxtermann นักออกแบบจากมหาวิทยาลัย Bergische Universität Wuppertal ได้สร้าง SMÅ ขึ้นมาโดยเน้น 3 สิ่ง: ความเรียบง่าย ความยั่งยืน และความกะทัดรัด เครื่องนี้มีแค่ 3 ปุ่ม: เปิด/ปิด, หยุด, และตั้งค่าเบื้องต้น พร้อมไฟ LED สีเดียวที่บอกสถานะได้ครบ—ขาวคือพร้อมใช้งาน, ส้มคือหมึกใกล้หมด, แดงคือกระดาษติด ดีไซน์แนวตั้งช่วยประหยัดพื้นที่โต๊ะ และสามารถใส่กระดาษได้ถึง 120 แผ่นโดยไม่ต้องมีถาดเสริม แถมมีแผ่นใสกันกระดาษหล่นอย่างชาญฉลาด การเปลี่ยนหมึกก็ง่ายสุด ๆ แค่ยกฝาครอบขึ้นแล้วสอดตลับใหม่ด้วยมือเดียว—ไม่มีเลอะ ไม่มีงัด ไม่มีปวดหัว ที่สำคัญคือ SMÅ ใช้สกรูแทนกาวในการประกอบ ทำให้แยกชิ้นส่วนเพื่อรีไซเคิลได้ง่าย และช่วยลดการใช้หมึกและกระดาษโดยรวม https://www.techradar.com/pro/this-is-the-most-exciting-printer-design-ive-seen-in-years-and-it-reminds-me-of-an-obscure-vertical-panasonic-printer
    0 Comments 0 Shares 159 Views 0 Reviews
  • เมื่อการควบคุมชิปกลายเป็นดาบสองคม: Nvidia โต้กลับว่านโยบายสหรัฐฯ ทำร้ายตัวเองมากกว่าจีน

    Nvidia ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนผ่านโพสต์บน X ว่าการควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน ไม่ได้หยุดยั้งความก้าวหน้า AI ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    Aaron Ginn ผู้ร่วมก่อตั้ง Hydra Host เขียนบทความใน Wall Street Journal ว่าการห้ามส่งออกชิปนั้น “ล้มเหลวในโลกจริง” เพราะจีนยังคงพัฒนา AI ต่อเนื่อง และมีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

    แม้ชิป H20 จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่จีนกลับมองว่าไม่ปลอดภัย และเริ่มหันไปใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Hygon ซึ่งทำให้ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนอย่างต่อเนื่อง

    Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม CUDA ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพัฒนา AI ยังเป็นจุดแข็งที่จีนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกระดับยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะใช้การควบคุมแบบเดิม

    ข้อมูลเสริมจากวงการ AI
    แพลตฟอร์ม CUDA เป็นหัวใจของการพัฒนาโมเดล AI ระดับสูง
    ชิป AI เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบต่อการเติบโตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-h20-export-controls-didnt-stop-chinas-ai-progress-claims-they-only-stifled-u-s-economic-and-technology-leadership
    🧠 เมื่อการควบคุมชิปกลายเป็นดาบสองคม: Nvidia โต้กลับว่านโยบายสหรัฐฯ ทำร้ายตัวเองมากกว่าจีน Nvidia ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนผ่านโพสต์บน X ว่าการควบคุมการส่งออกชิป H20 ไปยังจีน ไม่ได้หยุดยั้งความก้าวหน้า AI ของจีนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้สหรัฐฯ สูญเสียความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี Aaron Ginn ผู้ร่วมก่อตั้ง Hydra Host เขียนบทความใน Wall Street Journal ว่าการห้ามส่งออกชิปนั้น “ล้มเหลวในโลกจริง” เพราะจีนยังคงพัฒนา AI ต่อเนื่อง และมีการลักลอบนำเข้าชิป Nvidia มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แม้ชิป H20 จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อจำกัดของสหรัฐฯ แต่จีนกลับมองว่าไม่ปลอดภัย และเริ่มหันไปใช้ชิปจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei และ Hygon ซึ่งทำให้ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีนอย่างต่อเนื่อง Nvidia ยืนยันว่าแพลตฟอร์ม CUDA ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือพัฒนา AI ยังเป็นจุดแข็งที่จีนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกระดับยุทธศาสตร์ใหม่ แทนที่จะใช้การควบคุมแบบเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากวงการ AI ➡️ แพลตฟอร์ม CUDA เป็นหัวใจของการพัฒนาโมเดล AI ระดับสูง ➡️ ชิป AI เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ ➡️ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบต่อการเติบโตของนวัตกรรมในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-says-h20-export-controls-didnt-stop-chinas-ai-progress-claims-they-only-stifled-u-s-economic-and-technology-leadership
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
More Results