• “Corsair โดนแฉ! พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง 3 ตัว เพราะไม่อัปเดต BIOS”

    เรื่องเล่าที่สะเทือนใจสายเกมมิ่งและเทคโนโลยี! Matthew Wieland ช่างคอมพิวเตอร์และยูทูบเบอร์ชื่อดังจากช่อง Matt’s Computer Services ได้ออกมาเปิดเผยว่า Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ที่ลูกค้าของเขาซื้อไป กลับทำให้ซีพียู Intel Core i9-14900K พังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว เพราะ Corsair ไม่ยอมอัปเดต BIOS ให้รองรับแพตช์แก้ปัญหาจาก Intel

    ปัญหานี้เริ่มต้นจากบั๊ก Vmin instability ที่ทำให้ซีพียู Intel 13th และ 14th Gen เกิดความไม่เสถียรและร้อนจัดจนพัง ซึ่ง Intel ได้ออกแพตช์แก้ไขในชื่อ “0x12F” ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 แต่ Corsair กลับยังใช้ BIOS เวอร์ชันเก่า “0x12B” อยู่ และไม่เปิดให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง เพราะระบบถูกล็อกไว้

    แม้ Corsair จะมีฝ่ายบริการลูกค้าที่ช่วยเหลือดี แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวิศวกรยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่ออกมา ทำให้ Wieland ต้องแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนเมนบอร์ดแทน เพื่อไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำอีก

    Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง
    ใช้ Intel Core i9-14900K ที่มีปัญหา Vmin instability
    ซีพียูพังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว
    เมนบอร์ดใช้ Asus Prime Z790-P WIFI แต่ BIOS ถูกล็อก

    Intel ออกแพตช์แก้ไขชื่อ “0x12F”
    แก้ปัญหา Vmin instability ที่ทำให้ซีพียูร้อนและพัง
    ปล่อยแพตช์ในเดือนพฤษภาคม 2025
    Corsair ยังใช้ BIOS เวอร์ชัน “0x12B” ที่ไม่มีแพตช์นี้

    Corsair ไม่เปิดให้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง
    ระบบ BIOS ถูกล็อกในพีซีแบบ pre-built
    ต้องรอ BIOS จาก Corsair เท่านั้น
    Corsair ยังไม่ปล่อยเวอร์ชันใหม่ที่มีแพตช์ 0x12F

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนเมนบอร์ด
    เพื่อป้องกันไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำ
    Intel ขยายระยะเวลารับประกันให้กับซีพียูที่ได้รับผลกระทบ

    ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดต BIOS
    อาจทำให้ซีพียูเกิดความไม่เสถียรและพัง
    ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่อง

    การล็อก BIOS ในพีซีแบบ pre-built
    ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง BIOS จากผู้ผลิตเมนบอร์ดได้
    ต้องพึ่งพาผู้ผลิตพีซีในการอัปเดตเท่านั้น

    ความล่าช้าในการตอบสนองจากผู้ผลิต
    แม้จะมีแพตช์จาก Intel แล้ว แต่ Corsairยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่
    ทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/usd5-000-corsair-pre-built-keeps-on-frying-intel-cpus-due-to-lack-of-bios-update-tech-alleges-kills-three-intel-core-i9-chips-because-latest-version-still-doesnt-have-fix-for-intel-crashing-issues
    🔥 “Corsair โดนแฉ! พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง 3 ตัว เพราะไม่อัปเดต BIOS” เรื่องเล่าที่สะเทือนใจสายเกมมิ่งและเทคโนโลยี! Matthew Wieland ช่างคอมพิวเตอร์และยูทูบเบอร์ชื่อดังจากช่อง Matt’s Computer Services ได้ออกมาเปิดเผยว่า Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ที่ลูกค้าของเขาซื้อไป กลับทำให้ซีพียู Intel Core i9-14900K พังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว เพราะ Corsair ไม่ยอมอัปเดต BIOS ให้รองรับแพตช์แก้ปัญหาจาก Intel ปัญหานี้เริ่มต้นจากบั๊ก Vmin instability ที่ทำให้ซีพียู Intel 13th และ 14th Gen เกิดความไม่เสถียรและร้อนจัดจนพัง ซึ่ง Intel ได้ออกแพตช์แก้ไขในชื่อ “0x12F” ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 แต่ Corsair กลับยังใช้ BIOS เวอร์ชันเก่า “0x12B” อยู่ และไม่เปิดให้ผู้ใช้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง เพราะระบบถูกล็อกไว้ แม้ Corsair จะมีฝ่ายบริการลูกค้าที่ช่วยเหลือดี แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวิศวกรยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่ออกมา ทำให้ Wieland ต้องแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนเมนบอร์ดแทน เพื่อไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำอีก ✅ Corsair พีซีเกมมิ่งราคา $5,000 ทำซีพียู Intel พัง ➡️ ใช้ Intel Core i9-14900K ที่มีปัญหา Vmin instability ➡️ ซีพียูพังถึง 3 ตัวในรอบปีเดียว ➡️ เมนบอร์ดใช้ Asus Prime Z790-P WIFI แต่ BIOS ถูกล็อก ✅ Intel ออกแพตช์แก้ไขชื่อ “0x12F” ➡️ แก้ปัญหา Vmin instability ที่ทำให้ซีพียูร้อนและพัง ➡️ ปล่อยแพตช์ในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ Corsair ยังใช้ BIOS เวอร์ชัน “0x12B” ที่ไม่มีแพตช์นี้ ✅ Corsair ไม่เปิดให้ติดตั้ง BIOS จาก Asus โดยตรง ➡️ ระบบ BIOS ถูกล็อกในพีซีแบบ pre-built ➡️ ต้องรอ BIOS จาก Corsair เท่านั้น ➡️ Corsair ยังไม่ปล่อยเวอร์ชันใหม่ที่มีแพตช์ 0x12F ✅ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เปลี่ยนเมนบอร์ด ➡️ เพื่อป้องกันไม่ให้ซีพียูตัวใหม่พังซ้ำ ➡️ Intel ขยายระยะเวลารับประกันให้กับซีพียูที่ได้รับผลกระทบ ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่อัปเดต BIOS ⛔ อาจทำให้ซีพียูเกิดความไม่เสถียรและพัง ⛔ ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่อง ‼️ การล็อก BIOS ในพีซีแบบ pre-built ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง BIOS จากผู้ผลิตเมนบอร์ดได้ ⛔ ต้องพึ่งพาผู้ผลิตพีซีในการอัปเดตเท่านั้น ‼️ ความล่าช้าในการตอบสนองจากผู้ผลิต ⛔ แม้จะมีแพตช์จาก Intel แล้ว แต่ Corsairยังไม่ปล่อย BIOS ใหม่ ⛔ ทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/usd5-000-corsair-pre-built-keeps-on-frying-intel-cpus-due-to-lack-of-bios-update-tech-alleges-kills-three-intel-core-i9-chips-because-latest-version-still-doesnt-have-fix-for-intel-crashing-issues
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    $5,000 Corsair pre-built keeps on frying Intel CPUs due to lack of BIOS update, tech alleges — kills three Intel Core i9 chips because latest version still doesn’t have fix for Intel crashing issues
    It's been five months, but Corsair has yet to release the BIOS update with Intel's 0x12F fix to prevent its pre-built systems from frying Intel 13th- and 14th-gen chips.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KDE Gear 25.08.3 มาแล้ว! แก้บั๊กหลายจุด – เตรียมพบเวอร์ชัน 25.12 วันที่ 11 ธันวาคมนี้”
    ถ้าคุณใช้แอปจาก KDE อยู่เป็นประจำ เช่น Dolphin, NeoChat หรือ Kdenlive ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด! KDE Gear 25.08.3 ได้ถูกปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียรของแอปยอดนิยมในระบบ KDE

    ในเวอร์ชันนี้มีการแก้ไขปัญหาหลายจุด เช่น:
    Dolphin ไม่แครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ
    NeoChat แก้ปัญหาการสืบทอดห้องสนทนา
    Merkuro แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยใช้งานไม่ได้

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง KItinerary ให้รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ เช่น Flixbus, RyanAir, NH Hotels และ Wiener Linien รวมถึงการปรับปรุง Kdenlive ให้รองรับ SVG และแก้ไขพรีวิว timeline, subtitle styles และเอฟเฟกต์ resize

    KDE ยังประกาศว่าเวอร์ชันถัดไปคือ KDE Gear 25.12 จะเปิดตัวในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 ซึ่งอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการรองรับฮาร์ดแวร์ AI PC ที่กำลังมาแรง

    KDE Gear 25.08.3 เป็นอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08
    เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียร
    ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่ปรับปรุงหลายแอปหลัก

    แอปที่ได้รับการแก้ไขในเวอร์ชันนี้
    Dolphin: แก้ปัญหาแครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ
    NeoChat: แก้การสืบทอดห้องสนทนา
    Merkuro: แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยเสีย
    Kdenlive: รองรับ SVG และแก้ subtitle styles

    KItinerary รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ
    เพิ่มสคริปต์สำหรับ citycity.se, CFR, Comboios de Portugal และ Wiener Linien
    ปรับปรุงการแยกข้อมูลจาก RyanAir และ NH Hotels

    KDE Gear 25.12 จะเปิดตัววันที่ 11 ธันวาคม 2025
    คาดว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่และรองรับ AI PC มากขึ้น
    อาจแยกเวอร์ชันสำหรับ Snapdragon X2 และ x86

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KDE Gear คือชุดแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดย KDE เช่น Dolphin, Kate, Okular, Kdenlive
    การอัปเดต Gear มักออกทุก 4 เดือน โดยมีอัปเดตย่อยเพื่อแก้บั๊ก
    KDE เป็นหนึ่งใน desktop environment ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux

    https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-3-is-out-with-more-bug-fixes-kde-gear-25-12-coming-december-11th
    🧰 “KDE Gear 25.08.3 มาแล้ว! แก้บั๊กหลายจุด – เตรียมพบเวอร์ชัน 25.12 วันที่ 11 ธันวาคมนี้” ถ้าคุณใช้แอปจาก KDE อยู่เป็นประจำ เช่น Dolphin, NeoChat หรือ Kdenlive ข่าวนี้คือสิ่งที่คุณไม่ควรพลาด! KDE Gear 25.08.3 ได้ถูกปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียรของแอปยอดนิยมในระบบ KDE ในเวอร์ชันนี้มีการแก้ไขปัญหาหลายจุด เช่น: 🎗️ Dolphin ไม่แครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ 🎗️ NeoChat แก้ปัญหาการสืบทอดห้องสนทนา 🎗️ Merkuro แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง KItinerary ให้รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ เช่น Flixbus, RyanAir, NH Hotels และ Wiener Linien รวมถึงการปรับปรุง Kdenlive ให้รองรับ SVG และแก้ไขพรีวิว timeline, subtitle styles และเอฟเฟกต์ resize KDE ยังประกาศว่าเวอร์ชันถัดไปคือ KDE Gear 25.12 จะเปิดตัวในวันที่ 11 ธันวาคม 2025 ซึ่งอาจมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และการรองรับฮาร์ดแวร์ AI PC ที่กำลังมาแรง ✅ KDE Gear 25.08.3 เป็นอัปเดตสุดท้ายของซีรีส์ 25.08 ➡️ เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเสถียร ➡️ ไม่มีฟีเจอร์ใหม่ แต่ปรับปรุงหลายแอปหลัก ✅ แอปที่ได้รับการแก้ไขในเวอร์ชันนี้ ➡️ Dolphin: แก้ปัญหาแครชเมื่อเปิดพรีวิววิดีโอ ➡️ NeoChat: แก้การสืบทอดห้องสนทนา ➡️ Merkuro: แก้ปุ่ม “Today” ที่เคยเสีย ➡️ Kdenlive: รองรับ SVG และแก้ subtitle styles ✅ KItinerary รองรับการแยกข้อมูลจากตั๋วเดินทางหลายรูปแบบ ➡️ เพิ่มสคริปต์สำหรับ citycity.se, CFR, Comboios de Portugal และ Wiener Linien ➡️ ปรับปรุงการแยกข้อมูลจาก RyanAir และ NH Hotels ✅ KDE Gear 25.12 จะเปิดตัววันที่ 11 ธันวาคม 2025 ➡️ คาดว่าจะมีฟีเจอร์ใหม่และรองรับ AI PC มากขึ้น ➡️ อาจแยกเวอร์ชันสำหรับ Snapdragon X2 และ x86 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KDE Gear คือชุดแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดย KDE เช่น Dolphin, Kate, Okular, Kdenlive ➡️ การอัปเดต Gear มักออกทุก 4 เดือน โดยมีอัปเดตย่อยเพื่อแก้บั๊ก ➡️ KDE เป็นหนึ่งใน desktop environment ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux https://9to5linux.com/kde-gear-25-08-3-is-out-with-more-bug-fixes-kde-gear-25-12-coming-december-11th
    9TO5LINUX.COM
    KDE Gear 25.08.3 Is Out with More Bug Fixes, KDE Gear 25.12 Coming December 11th - 9to5Linux
    KDE Gear 25.08.3 open-source software suite is out now with more bug fixes and improvements for your favorite KDE applications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • บั๊ก Apple Maps กินพื้นที่เกือบ 14GB บน iPhone — วิธีแก้ที่ได้ผลคือรีเซ็ตเครื่องใหม่

    ผู้ใช้ iPhone หลายรายพบปัญหาแปลกประหลาด: แอป Apple Maps กินพื้นที่เก็บข้อมูลมากถึง 13.93GB แม้จะลบ Offline Maps และ Documents & Data แล้วก็ตาม — ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับแอปแผนที่ทั่วไปที่ไม่ได้เก็บไฟล์ขนาดใหญ่

    แม้จะลองวิธีต่างๆ เช่น:

    ล้างประวัติ Maps ผ่าน Settings > Privacy & Security > Location Services > System Services > Significant Locations & Routes > Clear History
    ลบแล้วติดตั้งใหม่ พร้อมเปิด Optimize Storage

    แต่ปัญหายังอยู่ จึงเชื่อว่าเป็น บั๊กที่ฝังอยู่ในระบบ iOS 26 โดยเฉพาะบน iPhone 14 Plus และรุ่นอื่นๆ ที่อัปเดตแล้ว

    วิธีที่ได้ผลจริง: Backup แล้ว Reset
    วิธีเดียวที่ได้ผลคือ:
    1️⃣ Backup เครื่องผ่าน iCloud หรือ Mac/PC
    2️⃣ Factory Reset เครื่อง ผ่าน Settings > General > Transfer or Reset iPhone > Erase All Content and Settings
    3️⃣ Restore ข้อมูลจาก Backup

    หลังจากรีเซ็ตแล้ว ขนาดของ Apple Maps ลดลงเหลือเพียง 68.7MB ซึ่งเป็นขนาดที่สมเหตุสมผล

    Apple Maps กินพื้นที่เกินจริง
    พบขนาดแอปสูงถึง 13.93GB
    ลบ Offline Maps และ Documents & Data แล้วก็ไม่ลด

    วิธีแก้เบื้องต้นที่ไม่สำเร็จ
    ล้างประวัติ Significant Locations
    ลบแล้วติดตั้งใหม่พร้อม Optimize Storage

    วิธีที่ได้ผลจริง
    Backup เครื่องผ่าน iCloud หรือ Mac/PC
    Factory Reset แล้ว Restore ข้อมูล
    ขนาด Maps ลดเหลือ 68.7MB

    ความเสี่ยงจากบั๊กนี้
    ทำให้ไม่สามารถอัปเดต iOS ได้เพราะพื้นที่ไม่พอ
    อาจเกิดกับผู้ใช้หลายรุ่นที่ใช้ iOS 26

    ข้อควรระวังในการรีเซ็ตเครื่อง
    ต้องแน่ใจว่า Backup ครบทุกข้อมูลสำคัญ
    อาจใช้เวลานานในการ Restore และตั้งค่าใหม่

    https://www.techradar.com/phones/iphone/a-nasty-apple-maps-bug-is-eating-up-a-ridiculous-amount-of-storage-on-some-iphones-heres-how-to-get-rid-of-it
    🗺️📱 บั๊ก Apple Maps กินพื้นที่เกือบ 14GB บน iPhone — วิธีแก้ที่ได้ผลคือรีเซ็ตเครื่องใหม่ ผู้ใช้ iPhone หลายรายพบปัญหาแปลกประหลาด: แอป Apple Maps กินพื้นที่เก็บข้อมูลมากถึง 13.93GB แม้จะลบ Offline Maps และ Documents & Data แล้วก็ตาม — ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับแอปแผนที่ทั่วไปที่ไม่ได้เก็บไฟล์ขนาดใหญ่ แม้จะลองวิธีต่างๆ เช่น: 🎗️ ล้างประวัติ Maps ผ่าน Settings > Privacy & Security > Location Services > System Services > Significant Locations & Routes > Clear History 🎗️ ลบแล้วติดตั้งใหม่ พร้อมเปิด Optimize Storage แต่ปัญหายังอยู่ จึงเชื่อว่าเป็น บั๊กที่ฝังอยู่ในระบบ iOS 26 โดยเฉพาะบน iPhone 14 Plus และรุ่นอื่นๆ ที่อัปเดตแล้ว 🧼 วิธีที่ได้ผลจริง: Backup แล้ว Reset วิธีเดียวที่ได้ผลคือ: 1️⃣ Backup เครื่องผ่าน iCloud หรือ Mac/PC 2️⃣ Factory Reset เครื่อง ผ่าน Settings > General > Transfer or Reset iPhone > Erase All Content and Settings 3️⃣ Restore ข้อมูลจาก Backup หลังจากรีเซ็ตแล้ว ขนาดของ Apple Maps ลดลงเหลือเพียง 68.7MB ซึ่งเป็นขนาดที่สมเหตุสมผล ✅ Apple Maps กินพื้นที่เกินจริง ➡️ พบขนาดแอปสูงถึง 13.93GB ➡️ ลบ Offline Maps และ Documents & Data แล้วก็ไม่ลด ✅ วิธีแก้เบื้องต้นที่ไม่สำเร็จ ➡️ ล้างประวัติ Significant Locations ➡️ ลบแล้วติดตั้งใหม่พร้อม Optimize Storage ✅ วิธีที่ได้ผลจริง ➡️ Backup เครื่องผ่าน iCloud หรือ Mac/PC ➡️ Factory Reset แล้ว Restore ข้อมูล ➡️ ขนาด Maps ลดเหลือ 68.7MB ‼️ ความเสี่ยงจากบั๊กนี้ ⛔ ทำให้ไม่สามารถอัปเดต iOS ได้เพราะพื้นที่ไม่พอ ⛔ อาจเกิดกับผู้ใช้หลายรุ่นที่ใช้ iOS 26 ‼️ ข้อควรระวังในการรีเซ็ตเครื่อง ⛔ ต้องแน่ใจว่า Backup ครบทุกข้อมูลสำคัญ ⛔ อาจใช้เวลานานในการ Restore และตั้งค่าใหม่ https://www.techradar.com/phones/iphone/a-nasty-apple-maps-bug-is-eating-up-a-ridiculous-amount-of-storage-on-some-iphones-heres-how-to-get-rid-of-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Maps x Gemini” — ผู้ช่วยอัจฉริยะบนท้องถนน

    Google กำลังเปลี่ยนโฉม Maps ด้วยการฝัง Gemini AI เข้าไปในระบบนำทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถโต้ตอบกับแอปได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังทยอยเปิดตัวมีทั้งหมด 4 อย่าง:

    1️⃣ Gemini Voice Assistance
    รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น “หาร้านอาหารมังสวิรัติราคาประหยัดในเส้นทางนี้”
    สามารถถามต่อได้ เช่น “มีที่จอดรถไหม” หรือ “เมนูแนะนำคืออะไร”
    เชื่อมต่อกับ Google Calendar เพื่อเพิ่มกิจกรรมได้ทันที
    รองรับการรายงานเหตุการณ์จราจรด้วยเสียง

    2️⃣ การนำทางด้วยจุดสังเกต
    ใช้ภาพจาก Street View และข้อมูลสถานที่กว่า 250 ล้านแห่ง
    แทนคำสั่งแบบ “เลี้ยวขวาใน 500 ฟุต” ด้วย “เลี้ยวขวาหลังร้าน Thai Siam”
    เพิ่มความแม่นยำและลดความสับสนในการขับขี่

    3️⃣ การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง
    แจ้งเตือนเหตุการณ์บนถนนล่วงหน้า เช่น อุบัติเหตุหรือการปิดถนน
    ทำงานแม้ไม่ได้เปิดโหมดนำทาง
    ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ติดขัดในชีวิตประจำวัน

    4️⃣ Gemini-powered Google Lens
    ใช้กล้องในแอป Maps เพื่อสแกนร้านค้าและสถานที่รอบตัว
    ถาม Maps ได้ว่า “นี่คือที่ไหน” หรือ “ทำไมถึงเป็นที่นิยม”
    เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ใช้สมาร์ทแว่นตา

    Gemini Voice Assistance
    รองรับคำสั่งซับซ้อนและโต้ตอบแบบธรรมชาติ
    เพิ่มกิจกรรมใน Calendar และรายงานจราจรด้วยเสียง

    การนำทางด้วยจุดสังเกต
    ใช้สถานที่จริงเป็นจุดอ้างอิงในการเลี้ยว
    ลดความสับสนจากคำสั่งแบบระยะทาง

    การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง
    แจ้งเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้า
    ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางติดขัด

    Gemini-powered Lens ใน Maps
    สแกนสถานที่ด้วยกล้อง
    ถามข้อมูลสถานที่แบบเรียลไทม์

    ข้อจำกัดของการใช้งาน
    ฟีเจอร์บางอย่างยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐฯ
    ต้องรอการอัปเดตใน Android Auto และ iOS

    ความเสี่ยงจากการใช้ AI ขณะขับรถ
    การพูดคุยกับ AI อาจรบกวนสมาธิ
    ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/google-maps-is-getting-a-big-gemini-upgrade-for-drivers-here-are-4-new-features-coming-soon
    🚗🧠 “Google Maps x Gemini” — ผู้ช่วยอัจฉริยะบนท้องถนน Google กำลังเปลี่ยนโฉม Maps ด้วยการฝัง Gemini AI เข้าไปในระบบนำทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถโต้ตอบกับแอปได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังทยอยเปิดตัวมีทั้งหมด 4 อย่าง: 1️⃣ 🗣️ Gemini Voice Assistance 🔖 รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น “หาร้านอาหารมังสวิรัติราคาประหยัดในเส้นทางนี้” 🔖 สามารถถามต่อได้ เช่น “มีที่จอดรถไหม” หรือ “เมนูแนะนำคืออะไร” 🔖 เชื่อมต่อกับ Google Calendar เพื่อเพิ่มกิจกรรมได้ทันที 🔖 รองรับการรายงานเหตุการณ์จราจรด้วยเสียง 2️⃣ 🧭 การนำทางด้วยจุดสังเกต 🔖 ใช้ภาพจาก Street View และข้อมูลสถานที่กว่า 250 ล้านแห่ง 🔖 แทนคำสั่งแบบ “เลี้ยวขวาใน 500 ฟุต” ด้วย “เลี้ยวขวาหลังร้าน Thai Siam” 🔖 เพิ่มความแม่นยำและลดความสับสนในการขับขี่ 3️⃣🚦 การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง 🔖 แจ้งเตือนเหตุการณ์บนถนนล่วงหน้า เช่น อุบัติเหตุหรือการปิดถนน 🔖 ทำงานแม้ไม่ได้เปิดโหมดนำทาง 🔖 ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ติดขัดในชีวิตประจำวัน 4️⃣ 📷 Gemini-powered Google Lens 🔖 ใช้กล้องในแอป Maps เพื่อสแกนร้านค้าและสถานที่รอบตัว 🔖 ถาม Maps ได้ว่า “นี่คือที่ไหน” หรือ “ทำไมถึงเป็นที่นิยม” 🔖 เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวหรือผู้ใช้สมาร์ทแว่นตา ✅ Gemini Voice Assistance ➡️ รองรับคำสั่งซับซ้อนและโต้ตอบแบบธรรมชาติ ➡️ เพิ่มกิจกรรมใน Calendar และรายงานจราจรด้วยเสียง ✅ การนำทางด้วยจุดสังเกต ➡️ ใช้สถานที่จริงเป็นจุดอ้างอิงในการเลี้ยว ➡️ ลดความสับสนจากคำสั่งแบบระยะทาง ✅ การแจ้งเตือนจราจรแม้ไม่เปิดนำทาง ➡️ แจ้งเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้า ➡️ ช่วยหลีกเลี่ยงเส้นทางติดขัด ✅ Gemini-powered Lens ใน Maps ➡️ สแกนสถานที่ด้วยกล้อง ➡️ ถามข้อมูลสถานที่แบบเรียลไทม์ ‼️ ข้อจำกัดของการใช้งาน ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังจำกัดเฉพาะในสหรัฐฯ ⛔ ต้องรอการอัปเดตใน Android Auto และ iOS ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ AI ขณะขับรถ ⛔ การพูดคุยกับ AI อาจรบกวนสมาธิ ⛔ ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/google-maps-is-getting-a-big-gemini-upgrade-for-drivers-here-are-4-new-features-coming-soon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Siri เวอร์ชันใหม่” จะขับเคลื่อนด้วย Gemini AI จาก Google
    Apple กำลังพลิกโฉม Siri ด้วยการใช้โมเดล AI ขนาดมหึมา 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ จาก Google Gemini ซึ่งถือว่าใหญ่กว่ารุ่นเดิมที่ Apple ใช้ถึง 800 เท่า (จาก 1.5 พันล้านพารามิเตอร์) โดยโมเดลใหม่นี้จะทำงานภายใต้ระบบ Private Cloud Compute ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    Apple ได้ทดสอบโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ก่อนจะเลือก Gemini เป็นแกนหลักในการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อน ซึ่งจะถูกส่งไปยังคลาวด์แบบเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้

    Siri ใหม่มี 3 ส่วนหลัก
    1️⃣ Query Planner — ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อมูลจากแหล่งใด เช่น ปฏิทิน, รูปภาพ, แอป หรือเว็บ
    2️⃣ Knowledge Search System — ตอบคำถามทั่วไปโดยไม่ต้องพึ่ง ChatGPT หรือเว็บ
    3️⃣ Summarizer — สรุปข้อความหรือเสียง เช่น การแจ้งเตือน, หน้าเว็บ, หรือข้อความใน Safari

    Gemini จะรับหน้าที่ในส่วน Query Planner และ Summarizer ส่วน Knowledge Search จะใช้โมเดล LLM ที่อยู่ในเครื่องของ Apple เอง

    ความร่วมมือมูลค่าพันล้านดอลลาร์
    Apple เตรียมจ่าย Google ราว $1 พันล้านต่อปี เพื่อใช้ Gemini ใน Siri ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว เช่น Google จ่าย Apple $20 พันล้านต่อปี เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นใน Safari

    โครงการนี้มีชื่อภายในว่า Glenwood และนำโดย Mike Rockwell (ผู้สร้าง Vision Pro) และ Craig Federighi (หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์)

    Apple ใช้ Gemini AI จาก Google
    ขนาดโมเดล 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์
    ใหญ่กว่ารุ่นเดิมของ Apple ถึง 800 เท่า
    ทำงานภายใต้ระบบ Private Cloud Compute

    Siri ใหม่มี 3 ส่วนหลัก
    Query Planner: ตัดสินใจเส้นทางการตอบ
    Knowledge Search: ใช้ LLM ในเครื่อง
    Summarizer: สรุปข้อความ เสียง และเนื้อหา

    ความร่วมมือระหว่าง Apple และ Google
    Apple จ่าย Google $1 พันล้านต่อปีเพื่อใช้ Gemini
    Google จ่าย Apple $20 พันล้านต่อปีเพื่อสิทธิ์ค้นหาใน Safari

    เปิดตัวพร้อม iOS 26.4
    Siri ใหม่จะมาพร้อมฟีเจอร์ in-app actions และ context awareness
    ใช้โมเดล Gemini เป็น “ไม้เท้า” ชั่วคราวก่อนพัฒนาโมเดลของตัวเอง

    ข้อจำกัดของ Siri เดิม
    ใช้โมเดลขนาดเล็กเพียง 1.5 พันล้านพารามิเตอร์
    ไม่สามารถจัดการคำสั่งซับซ้อนได้ดี

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโมเดลภายนอก
    Apple ยังไม่มีโมเดลขนาดใหญ่ของตัวเอง
    ต้องพึ่งพา Google ในการประมวลผลคำสั่งสำคัญ

    https://wccftech.com/apple-will-use-a-1-2-trillion-parameter-very-expensive-ai-model-from-google-as-a-crutch-for-siri/
    🧠📱 “Siri เวอร์ชันใหม่” จะขับเคลื่อนด้วย Gemini AI จาก Google Apple กำลังพลิกโฉม Siri ด้วยการใช้โมเดล AI ขนาดมหึมา 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ จาก Google Gemini ซึ่งถือว่าใหญ่กว่ารุ่นเดิมที่ Apple ใช้ถึง 800 เท่า (จาก 1.5 พันล้านพารามิเตอร์) โดยโมเดลใหม่นี้จะทำงานภายใต้ระบบ Private Cloud Compute ที่เน้นความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Apple ได้ทดสอบโมเดลจาก OpenAI และ Anthropic ก่อนจะเลือก Gemini เป็นแกนหลักในการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อน ซึ่งจะถูกส่งไปยังคลาวด์แบบเข้ารหัสและไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ 🧩 Siri ใหม่มี 3 ส่วนหลัก 1️⃣ Query Planner — ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อมูลจากแหล่งใด เช่น ปฏิทิน, รูปภาพ, แอป หรือเว็บ 2️⃣ Knowledge Search System — ตอบคำถามทั่วไปโดยไม่ต้องพึ่ง ChatGPT หรือเว็บ 3️⃣ Summarizer — สรุปข้อความหรือเสียง เช่น การแจ้งเตือน, หน้าเว็บ, หรือข้อความใน Safari Gemini จะรับหน้าที่ในส่วน Query Planner และ Summarizer ส่วน Knowledge Search จะใช้โมเดล LLM ที่อยู่ในเครื่องของ Apple เอง 💰 ความร่วมมือมูลค่าพันล้านดอลลาร์ Apple เตรียมจ่าย Google ราว $1 พันล้านต่อปี เพื่อใช้ Gemini ใน Siri ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว เช่น Google จ่าย Apple $20 พันล้านต่อปี เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นใน Safari โครงการนี้มีชื่อภายในว่า Glenwood และนำโดย Mike Rockwell (ผู้สร้าง Vision Pro) และ Craig Federighi (หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์) ✅ Apple ใช้ Gemini AI จาก Google ➡️ ขนาดโมเดล 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ ➡️ ใหญ่กว่ารุ่นเดิมของ Apple ถึง 800 เท่า ➡️ ทำงานภายใต้ระบบ Private Cloud Compute ✅ Siri ใหม่มี 3 ส่วนหลัก ➡️ Query Planner: ตัดสินใจเส้นทางการตอบ ➡️ Knowledge Search: ใช้ LLM ในเครื่อง ➡️ Summarizer: สรุปข้อความ เสียง และเนื้อหา ✅ ความร่วมมือระหว่าง Apple และ Google ➡️ Apple จ่าย Google $1 พันล้านต่อปีเพื่อใช้ Gemini ➡️ Google จ่าย Apple $20 พันล้านต่อปีเพื่อสิทธิ์ค้นหาใน Safari ✅ เปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ➡️ Siri ใหม่จะมาพร้อมฟีเจอร์ in-app actions และ context awareness ➡️ ใช้โมเดล Gemini เป็น “ไม้เท้า” ชั่วคราวก่อนพัฒนาโมเดลของตัวเอง ‼️ ข้อจำกัดของ Siri เดิม ⛔ ใช้โมเดลขนาดเล็กเพียง 1.5 พันล้านพารามิเตอร์ ⛔ ไม่สามารถจัดการคำสั่งซับซ้อนได้ดี ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโมเดลภายนอก ⛔ Apple ยังไม่มีโมเดลขนาดใหญ่ของตัวเอง ⛔ ต้องพึ่งพา Google ในการประมวลผลคำสั่งสำคัญ https://wccftech.com/apple-will-use-a-1-2-trillion-parameter-very-expensive-ai-model-from-google-as-a-crutch-for-siri/
    WCCFTECH.COM
    Apple Will Use A 1.2 Trillion-Parameter, Very Expensive AI Model From Google As A Crutch For Siri
    The customized Gemini model would "dwarf" the 1.5 billion-parameter, bespoke AI model that Apple currently uses to power Siri in the cloud.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola – เปลี่ยนขยะให้เป็นเครดิตอาหาร”

    Coca-Cola กำลังพลิกโฉมภาพลักษณ์ของตนเองจากบริษัทน้ำอัดลมที่ถูกวิจารณ์เรื่องสิ่งแวดล้อม มาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัว “Reverse Vending Machine” หรือ “ตู้ขายของย้อนกลับ” ที่รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้วจากผู้ใช้ แล้วให้รางวัลตอบแทนเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า

    ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่การนำมาใช้จริงในวงกว้าง โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศ เช่น สกอตแลนด์ ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

    ผู้ใช้เพียงแค่นำภาชนะเปล่ามาหยอดลงในช่องของตู้ เครื่องจะใช้สายพานและระบบสแกนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือไม่ จากนั้นจะทำการแยกประเภท และบางรุ่นยังสามารถบดขยะให้เล็กลงเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ก่อนจะส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิล

    นอกจากจะช่วยลดขยะ ตู้เหล่านี้ยังสร้างแรงจูงใจให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียนและนักศึกษา หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะทุกขวดที่หยอดลงไปคือ “เงิน” ในรูปแบบเครดิตที่ใช้ซื้ออาหารหรือสินค้าได้

    Coca-Cola เปิดตัวตู้ขายของย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการรีไซเคิล
    รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้ว
    ให้รางวัลเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า

    ระบบทำงานอัตโนมัติและชาญฉลาด
    ใช้สายพานและระบบสแกนตรวจสอบวัสดุ
    แยกประเภทวัสดุและบดขยะเพื่อลดขนาด
    ส่งต่อวัสดุไปยังโรงงานรีไซเคิล

    ขยายการใช้งานในระดับนานาชาติ
    มีการติดตั้งในมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์
    นักเรียนได้รับเครดิตเพื่อใช้จ่ายในโรงอาหาร
    ส่งเสริมพฤติกรรมรักษ์โลกในชีวิตประจำวัน

    ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
    ลดปริมาณขยะที่หลุดรอดสู่ธรรมชาติ
    เพิ่มการเข้าถึงวัสดุรีไซเคิลสำหรับอุตสาหกรรม
    สร้างแรงจูงใจผ่านระบบรางวัล

    ความท้าทายของระบบรีไซเคิลอัตโนมัติ
    ต้องการการบำรุงรักษาและการจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง
    ความแม่นยำของระบบสแกนต้องสูงเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
    ต้องมีระบบขนส่งวัสดุรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ

    นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะ แต่ยังเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคต่อ “ขยะ” ให้กลายเป็น “ทรัพยากร” ที่มีมูลค่า และอาจเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั่วโลก

    https://www.slashgear.com/2017652/coca-cola-reverse-vending-machine-advanced-kiosk-innovative-environmental-tech/
    ♻️ “ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola – เปลี่ยนขยะให้เป็นเครดิตอาหาร” Coca-Cola กำลังพลิกโฉมภาพลักษณ์ของตนเองจากบริษัทน้ำอัดลมที่ถูกวิจารณ์เรื่องสิ่งแวดล้อม มาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ด้วยการเปิดตัว “Reverse Vending Machine” หรือ “ตู้ขายของย้อนกลับ” ที่รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้วจากผู้ใช้ แล้วให้รางวัลตอบแทนเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า ตู้ขายของย้อนกลับของ Coca-Cola ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่การนำมาใช้จริงในวงกว้าง โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศ เช่น สกอตแลนด์ ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้ใช้เพียงแค่นำภาชนะเปล่ามาหยอดลงในช่องของตู้ เครื่องจะใช้สายพานและระบบสแกนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือไม่ จากนั้นจะทำการแยกประเภท และบางรุ่นยังสามารถบดขยะให้เล็กลงเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ก่อนจะส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิล นอกจากจะช่วยลดขยะ ตู้เหล่านี้ยังสร้างแรงจูงใจให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียนและนักศึกษา หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะทุกขวดที่หยอดลงไปคือ “เงิน” ในรูปแบบเครดิตที่ใช้ซื้ออาหารหรือสินค้าได้ ✅ Coca-Cola เปิดตัวตู้ขายของย้อนกลับเพื่อส่งเสริมการรีไซเคิล ➡️ รับขวดพลาสติก กระป๋อง และขวดแก้ว ➡️ ให้รางวัลเป็นเครดิตสำหรับใช้ในโรงอาหารหรือร้านค้า ✅ ระบบทำงานอัตโนมัติและชาญฉลาด ➡️ ใช้สายพานและระบบสแกนตรวจสอบวัสดุ ➡️ แยกประเภทวัสดุและบดขยะเพื่อลดขนาด ➡️ ส่งต่อวัสดุไปยังโรงงานรีไซเคิล ✅ ขยายการใช้งานในระดับนานาชาติ ➡️ มีการติดตั้งในมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์ ➡️ นักเรียนได้รับเครดิตเพื่อใช้จ่ายในโรงอาหาร ➡️ ส่งเสริมพฤติกรรมรักษ์โลกในชีวิตประจำวัน ✅ ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ➡️ ลดปริมาณขยะที่หลุดรอดสู่ธรรมชาติ ➡️ เพิ่มการเข้าถึงวัสดุรีไซเคิลสำหรับอุตสาหกรรม ➡️ สร้างแรงจูงใจผ่านระบบรางวัล ‼️ ความท้าทายของระบบรีไซเคิลอัตโนมัติ ⛔ ต้องการการบำรุงรักษาและการจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง ⛔ ความแม่นยำของระบบสแกนต้องสูงเพื่อป้องกันการปนเปื้อน ⛔ ต้องมีระบบขนส่งวัสดุรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะ แต่ยังเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคต่อ “ขยะ” ให้กลายเป็น “ทรัพยากร” ที่มีมูลค่า และอาจเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั่วโลก https://www.slashgear.com/2017652/coca-cola-reverse-vending-machine-advanced-kiosk-innovative-environmental-tech/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Coca-Cola's 'Reverse Vending Machine' Is Environmental Tech Many Can Get Behind - SlashGear
    Coca-Cola's reverse vending machines help recycle used bottles and cans, and have now made their way to New Lanarkshire College in Scotland.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fwupd 2.0.17 มาแล้ว! เพิ่มการรองรับ SSD และอุปกรณ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์อัปเดตสุดล้ำ

    Fwupd 2.0.17 เวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมืออัปเดตเฟิร์มแวร์บน Linux ได้เปิดตัวแล้ว โดยมาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลายชนิด รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้การอัปเดตปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อย่างมืออาชีพ.

    Fwupd เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเวอร์ชัน 2.0.17 นี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น SSD จาก Lexar และ Maxio, เมาส์ Primax Ryder 2, กล้อง Huddly C1, คีย์บอร์ด Framework Copilot และชิป Genesys GL352530/GL352360

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการอัปเดตแบบ phased deployment ฝั่ง client, การใช้ลายเซ็น post-quantum เพื่อความปลอดภัยในอนาคต, และการ dump ข้อมูล eventlog แบบ raw เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก

    เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
    Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการถอดรหัสโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต
    Phased deployment ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตผิดพลาด โดยทยอยปล่อยอัปเดตให้กลุ่มผู้ใช้ทีละส่วน
    การ dump eventlog แบบ raw ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาเฟิร์มแวร์ได้อย่างละเอียด

    รองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลาย
    Lexar และ Maxio NVMe SSDs, ASUS CX9406, Framework Copilot keyboard, Primax Ryder 2 mouse, Huddly C1, Genesys GL352530/GL352360

    เพิ่มฟีเจอร์ client-side phased update deployment
    ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและควบคุมได้

    รองรับ post-quantum signatures
    เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจาก quantum computing

    เพิ่มคำสั่ง fwupdtpmevlog สำหรับ dump eventlog
    เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ดูแลเครือข่าย

    รองรับ UDisks รุ่นเก่าและปรับปรุง manpage
    เพิ่มความเข้ากันได้และความเข้าใจในการใช้งาน

    รองรับการ parsing VSS/FTW จาก EFI volumes
    ช่วยให้การจัดการ BIOS และ EFI มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ปรับปรุงการจัดการ composite devices และ BIOS region
    ลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งและอัปเดต

    ปรับปรุงการอัปเดต Logitech peripherals และ Dell dock firmware
    เพิ่มความเสถียรและลดข้อผิดพลาดในการใช้งานจริง

    ผู้ใช้ควรอัปเดตผ่าน repository ที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ

    การใช้งานฟีเจอร์ใหม่อาจต้องศึกษาคำสั่งเพิ่มเติม เช่น fwupdtpmevlog หรือการจัดการ GUID จาก serial number

    https://9to5linux.com/fwupd-2-0-17-released-with-support-for-lexar-and-maxio-nvme-ssds
    🛠️ Fwupd 2.0.17 มาแล้ว! เพิ่มการรองรับ SSD และอุปกรณ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์อัปเดตสุดล้ำ Fwupd 2.0.17 เวอร์ชันล่าสุดของเครื่องมืออัปเดตเฟิร์มแวร์บน Linux ได้เปิดตัวแล้ว โดยมาพร้อมการรองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลายชนิด รวมถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้การอัปเดตปลอดภัยและแม่นยำยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการควบคุมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อย่างมืออาชีพ. Fwupd เป็นเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย โดยเวอร์ชัน 2.0.17 นี้ถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่เพิ่มการรองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น SSD จาก Lexar และ Maxio, เมาส์ Primax Ryder 2, กล้อง Huddly C1, คีย์บอร์ด Framework Copilot และชิป Genesys GL352530/GL352360 นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น การรองรับการอัปเดตแบบ phased deployment ฝั่ง client, การใช้ลายเซ็น post-quantum เพื่อความปลอดภัยในอนาคต, และการ dump ข้อมูล eventlog แบบ raw เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก 📚 เกร็ดความรู้เพิ่มเติม 💠 Post-quantum cryptography คือการเข้ารหัสที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการถอดรหัสโดยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต 💠 Phased deployment ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตผิดพลาด โดยทยอยปล่อยอัปเดตให้กลุ่มผู้ใช้ทีละส่วน 💠 การ dump eventlog แบบ raw ช่วยให้สามารถตรวจสอบปัญหาเฟิร์มแวร์ได้อย่างละเอียด ✅ รองรับอุปกรณ์ใหม่หลากหลาย ➡️ Lexar และ Maxio NVMe SSDs, ASUS CX9406, Framework Copilot keyboard, Primax Ryder 2 mouse, Huddly C1, Genesys GL352530/GL352360 ✅ เพิ่มฟีเจอร์ client-side phased update deployment ➡️ ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นไปอย่างปลอดภัยและควบคุมได้ ✅ รองรับ post-quantum signatures ➡️ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจาก quantum computing ✅ เพิ่มคำสั่ง fwupdtpmevlog สำหรับ dump eventlog ➡️ เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ระบบและผู้ดูแลเครือข่าย ✅ รองรับ UDisks รุ่นเก่าและปรับปรุง manpage ➡️ เพิ่มความเข้ากันได้และความเข้าใจในการใช้งาน ✅ รองรับการ parsing VSS/FTW จาก EFI volumes ➡️ ช่วยให้การจัดการ BIOS และ EFI มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ปรับปรุงการจัดการ composite devices และ BIOS region ➡️ ลดข้อผิดพลาดในการติดตั้งและอัปเดต ✅ ปรับปรุงการอัปเดต Logitech peripherals และ Dell dock firmware ➡️ เพิ่มความเสถียรและลดข้อผิดพลาดในการใช้งานจริง ‼️ ผู้ใช้ควรอัปเดตผ่าน repository ที่ปลอดภัย ⛔ หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ ‼️ การใช้งานฟีเจอร์ใหม่อาจต้องศึกษาคำสั่งเพิ่มเติม ⛔ เช่น fwupdtpmevlog หรือการจัดการ GUID จาก serial number https://9to5linux.com/fwupd-2-0-17-released-with-support-for-lexar-and-maxio-nvme-ssds
    9TO5LINUX.COM
    Fwupd 2.0.17 Released with Support for Lexar and Maxio NVMe SSDs - 9to5Linux
    Fwupd 2.0.17 Linux firmware updater is now available for download with support for ASUS CX9406 touch controller, Framework Copilot keyboard.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sora เปิดตัวบน Android! สร้างวิดีโอ AI พร้อมเสียงพากย์ได้ทันที

    OpenAI เปิดตัว Sora เวอร์ชัน Android อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 โดยให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI ได้ฟรีวันละ 30 คลิป พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ในแอปเดียว

    Sora เป็นเครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบน iOS และตอนนี้ก็พร้อมให้ผู้ใช้ Android ได้สัมผัสแล้ว จุดเด่นคือ:
    สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป ต่อบัญชี
    หากต้องการเพิ่มจำนวนการสร้างวิดีโอ สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ (10 คลิป ราคา $4) ซึ่งตอนนี้ยังจำกัดเฉพาะ iOS แต่จะขยายไป Android เร็วๆ นี้
    เครดิตที่ซื้อสามารถใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้ ทั้ง iOS และ Android
    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน Android คือ การมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเสียงบรรยายโดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม

    Sora จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ครบวงจรสำหรับการสร้างวิดีโอ AI ทั้งภาพและเสียงในแอปเดียว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    การสร้างเสียงพากย์ด้วย AI ช่วยลดต้นทุนการผลิตวิดีโอสำหรับครีเอเตอร์และนักการตลาด
    ฟีเจอร์ audio mixing ทำให้สามารถรวมเสียงหลายแหล่ง เช่น เพลงประกอบ เสียงพูด และเอฟเฟกต์ ได้อย่างลงตัว
    การใช้ AI สร้างวิดีโอเริ่มกลายเป็นเทรนด์ในวงการโฆษณา การศึกษา และคอนเทนต์ออนไลน์ เพราะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิต

    การเปิดตัว Sora บน Android
    เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2025
    สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป
    ซื้อเครดิตเพิ่มได้ (เฉพาะ iOS ในตอนนี้)
    เครดิตใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้

    ฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน Android
    Audio Mixing รวมเสียงหลายแหล่ง
    Voiceover สร้างเสียงบรรยายอัตโนมัติ
    ไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม

    ประโยชน์สำหรับผู้ใช้
    ลดต้นทุนการผลิตวิดีโอ
    สร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น
    เหมาะสำหรับนักการตลาด ครีเอเตอร์ และนักการศึกษา

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android
    ยังไม่สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ในเวอร์ชัน Android
    ต้องรอการอัปเดตจาก OpenAI เพื่อเปิดฟีเจอร์นี้
    ควรตรวจสอบจำนวนคลิปที่ใช้ในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกินโควตา

    Sora บน Android ไม่ใช่แค่การเปิดตัวแอปใหม่ แต่คือการเปิดประตูสู่การสร้างวิดีโอ AI ที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง… ในมือคุณ.

    https://securityonline.info/openai-launches-sora-ai-video-generator-with-audio-mixing/
    🎬 Sora เปิดตัวบน Android! สร้างวิดีโอ AI พร้อมเสียงพากย์ได้ทันที OpenAI เปิดตัว Sora เวอร์ชัน Android อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2025 โดยให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอ AI ได้ฟรีวันละ 30 คลิป พร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ในแอปเดียว Sora เป็นเครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI ที่ได้รับความนิยมอย่างมากบน iOS และตอนนี้ก็พร้อมให้ผู้ใช้ Android ได้สัมผัสแล้ว จุดเด่นคือ: 💠 สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป ต่อบัญชี 💠 หากต้องการเพิ่มจำนวนการสร้างวิดีโอ สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ (10 คลิป ราคา $4) ซึ่งตอนนี้ยังจำกัดเฉพาะ iOS แต่จะขยายไป Android เร็วๆ นี้ 💠 เครดิตที่ซื้อสามารถใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้ ทั้ง iOS และ Android 💠 ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน Android คือ การมิกซ์เสียงและสร้างเสียงพากย์ ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอที่มีเสียงบรรยายโดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม Sora จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ครบวงจรสำหรับการสร้างวิดีโอ AI ทั้งภาพและเสียงในแอปเดียว 📚 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔖 การสร้างเสียงพากย์ด้วย AI ช่วยลดต้นทุนการผลิตวิดีโอสำหรับครีเอเตอร์และนักการตลาด 🔖 ฟีเจอร์ audio mixing ทำให้สามารถรวมเสียงหลายแหล่ง เช่น เพลงประกอบ เสียงพูด และเอฟเฟกต์ ได้อย่างลงตัว 🔖 การใช้ AI สร้างวิดีโอเริ่มกลายเป็นเทรนด์ในวงการโฆษณา การศึกษา และคอนเทนต์ออนไลน์ เพราะช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิต ✅ การเปิดตัว Sora บน Android ➡️ เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน 2025 ➡️ สร้างวิดีโอได้ฟรีวันละ 30 คลิป ➡️ ซื้อเครดิตเพิ่มได้ (เฉพาะ iOS ในตอนนี้) ➡️ เครดิตใช้ข้ามแพลตฟอร์มได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในเวอร์ชัน Android ➡️ Audio Mixing รวมเสียงหลายแหล่ง ➡️ Voiceover สร้างเสียงบรรยายอัตโนมัติ ➡️ ไม่ต้องใช้แอปตัดต่อเพิ่มเติม ✅ ประโยชน์สำหรับผู้ใช้ ➡️ ลดต้นทุนการผลิตวิดีโอ ➡️ สร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับนักการตลาด ครีเอเตอร์ และนักการศึกษา ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android ⛔ ยังไม่สามารถซื้อเครดิตเพิ่มได้ในเวอร์ชัน Android ⛔ ต้องรอการอัปเดตจาก OpenAI เพื่อเปิดฟีเจอร์นี้ ⛔ ควรตรวจสอบจำนวนคลิปที่ใช้ในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกินโควตา Sora บน Android ไม่ใช่แค่การเปิดตัวแอปใหม่ แต่คือการเปิดประตูสู่การสร้างวิดีโอ AI ที่สมบูรณ์แบบทั้งภาพและเสียง… ในมือคุณ. https://securityonline.info/openai-launches-sora-ai-video-generator-with-audio-mixing/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android Debut: OpenAI Launches Sora AI Video Generator with Audio Mixing & Voiceover
    OpenAI officially launched Sora for Android, allowing users to create 30 free AI-generated videos daily. The app includes audio mixing and voiceover features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD เปิดตัว EPYC Venice 2nm และ MI400 GPU — แรงทะลุขีดจำกัด พร้อมลุยตลาด AI ปี 2026!”

    ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 AMD ประกาศข่าวใหญ่ที่เขย่าวงการเซิร์ฟเวอร์และ AI — การเปิดตัวซีพียู EPYC Venice ที่ใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตร พร้อมสถาปัตยกรรม Zen 6 และ GPU รุ่นใหม่ Instinct MI400 ที่จะเปิดตัวพร้อมกันในปี 2026

    Dr. Lisa Su ซีอีโอของ AMD เผยว่า Venice silicon ได้เข้าสู่ห้องแล็บแล้ว และแสดงผลลัพธ์ที่ “ยอดเยี่ยม” ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความ密度 และการใช้พลังงาน โดย Venice จะมาแทนที่รุ่น Turin (Zen 5) และมี OEM รายใหญ่หลายรายเริ่มใช้งานแพลตฟอร์มนี้แล้ว

    ในฝั่ง AI, Instinct MI400 จะมาพร้อมพลังประมวลผลสูงถึง 40 PFLOPs และหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB ที่วิ่งด้วยแบนด์วิดธ์ 19.6 TB/s ซึ่งจะใช้ในระบบ Helios rack-scale ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI training และ inference ระดับสูง โดยจะชนกับแพลตฟอร์ม Rubin ของ NVIDIA โดยตรง

    Oracle, OpenAI และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) ได้เซ็นสัญญาใช้งาน MI450 และ MI430X แล้ว โดย OpenAI จะใช้พลังงานถึง 6 Gigawatts สำหรับ GPU จาก AMD ซึ่ง 1 Gigawatt จะเป็น MI450 รุ่นใหม่โดยเฉพาะ

    AMD เปิดตัว EPYC Venice 2nm CPU
    ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6
    ผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 2nm
    ประสิทธิภาพเหนือกว่า Zen 5 (Turin) อย่างชัดเจน
    OEM รายใหญ่เริ่มใช้งานแล้ว

    เปิดตัว Instinct MI400 GPU สำหรับงาน AI
    พลังประมวลผลสูงถึง 40 PFLOPs
    หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB
    แบนด์วิดธ์ 19.6 TB/s
    ใช้ในระบบ Helios rack-scale

    ลูกค้ารายใหญ่ที่ร่วมใช้งาน
    Oracle จะใช้ MI450 ใน Oracle Cloud
    DOE เลือก MI430X และ Venice CPU สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Discovery
    OpenAI เซ็นสัญญาใช้ GPU จาก AMD รวม 6 Gigawatts

    ผลประกอบการ AMD ไตรมาส 3 ปี 2025
    รายได้รวม $9.2 พันล้าน เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน
    รายได้จากกลุ่ม Client & Gaming เพิ่มขึ้น 73%
    Ryzen 9000 และ Radeon RX 9000 ขายดีต่อเนื่อง

    คำเตือนด้านการแข่งขันกับ NVIDIA
    MI400 ต้องชนกับ Rubin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ระดับสูงของ NVIDIA
    ตลาด AI มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงเร็ว

    คำเตือนด้านการเปิดตัวจริง
    Venice และ MI400 ยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัว
    ต้องรอการทดสอบจริงในระบบคลาวด์และซูเปอร์คอมพิวเตอร์

    https://wccftech.com/amd-epyc-venice-2nm-cpus-instinct-mi400-gpus-q3-2025-earnings-lisa-su/
    🧠🚀 “AMD เปิดตัว EPYC Venice 2nm และ MI400 GPU — แรงทะลุขีดจำกัด พร้อมลุยตลาด AI ปี 2026!” ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 AMD ประกาศข่าวใหญ่ที่เขย่าวงการเซิร์ฟเวอร์และ AI — การเปิดตัวซีพียู EPYC Venice ที่ใช้เทคโนโลยี 2 นาโนเมตร พร้อมสถาปัตยกรรม Zen 6 และ GPU รุ่นใหม่ Instinct MI400 ที่จะเปิดตัวพร้อมกันในปี 2026 Dr. Lisa Su ซีอีโอของ AMD เผยว่า Venice silicon ได้เข้าสู่ห้องแล็บแล้ว และแสดงผลลัพธ์ที่ “ยอดเยี่ยม” ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความ密度 และการใช้พลังงาน โดย Venice จะมาแทนที่รุ่น Turin (Zen 5) และมี OEM รายใหญ่หลายรายเริ่มใช้งานแพลตฟอร์มนี้แล้ว ในฝั่ง AI, Instinct MI400 จะมาพร้อมพลังประมวลผลสูงถึง 40 PFLOPs และหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB ที่วิ่งด้วยแบนด์วิดธ์ 19.6 TB/s ซึ่งจะใช้ในระบบ Helios rack-scale ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI training และ inference ระดับสูง โดยจะชนกับแพลตฟอร์ม Rubin ของ NVIDIA โดยตรง Oracle, OpenAI และกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ (DOE) ได้เซ็นสัญญาใช้งาน MI450 และ MI430X แล้ว โดย OpenAI จะใช้พลังงานถึง 6 Gigawatts สำหรับ GPU จาก AMD ซึ่ง 1 Gigawatt จะเป็น MI450 รุ่นใหม่โดยเฉพาะ ✅ AMD เปิดตัว EPYC Venice 2nm CPU ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ➡️ ผลิตด้วยเทคโนโลยี TSMC 2nm ➡️ ประสิทธิภาพเหนือกว่า Zen 5 (Turin) อย่างชัดเจน ➡️ OEM รายใหญ่เริ่มใช้งานแล้ว ✅ เปิดตัว Instinct MI400 GPU สำหรับงาน AI ➡️ พลังประมวลผลสูงถึง 40 PFLOPs ➡️ หน่วยความจำ HBM4 ขนาด 432 GB ➡️ แบนด์วิดธ์ 19.6 TB/s ➡️ ใช้ในระบบ Helios rack-scale ✅ ลูกค้ารายใหญ่ที่ร่วมใช้งาน ➡️ Oracle จะใช้ MI450 ใน Oracle Cloud ➡️ DOE เลือก MI430X และ Venice CPU สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Discovery ➡️ OpenAI เซ็นสัญญาใช้ GPU จาก AMD รวม 6 Gigawatts ✅ ผลประกอบการ AMD ไตรมาส 3 ปี 2025 ➡️ รายได้รวม $9.2 พันล้าน เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน ➡️ รายได้จากกลุ่ม Client & Gaming เพิ่มขึ้น 73% ➡️ Ryzen 9000 และ Radeon RX 9000 ขายดีต่อเนื่อง ‼️ คำเตือนด้านการแข่งขันกับ NVIDIA ⛔ MI400 ต้องชนกับ Rubin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม AI ระดับสูงของ NVIDIA ⛔ ตลาด AI มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงเร็ว ‼️ คำเตือนด้านการเปิดตัวจริง ⛔ Venice และ MI400 ยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจมีการเปลี่ยนแปลงก่อนเปิดตัว ⛔ ต้องรอการทดสอบจริงในระบบคลาวด์และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ https://wccftech.com/amd-epyc-venice-2nm-cpus-instinct-mi400-gpus-q3-2025-earnings-lisa-su/
    WCCFTECH.COM
    AMD's 2nm EPYC Venice "Zen 6" CPUs Are Performing Really Well & Delivering Substantial Gains, Will Launch Alongside Instinct MI400 In 2026, Confirms CEO Lisa Su
    AMD has announced its Q3 2025 earnings and stated that 2nm EPYC Venice "Zen 6" CPUs & Instinct MI400 GPUs are on track for a 2026 launch.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • “You Can’t cURL a Border” – เมื่อการเดินทางกลายเป็นปัญหาทางรัฐศาสตร์และโปรแกรมมิ่ง

    Vadim Drobinin นักพัฒนา iOS และนักเดินทางตัวยง เผชิญกับปัญหาที่หลายคนอาจไม่เคยคิด—การเดินทางระหว่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องของตั๋วเครื่องบินและวีซ่า แต่คือการจัดการ “สถานะ” ที่ซับซ้อนระหว่างระบบราชการหลายประเทศ เช่น กฎ Schengen, การนับวันภาษีของ UK, การหมดอายุของพาสปอร์ต หรือแม้แต่การเปลี่ยนเขตเวลาในช่วงรอมฎอนของโมร็อกโก

    เขาเล่าว่า ก่อนจะกดซื้อไฟลต์ราคาถูกไปไอซ์แลนด์ เขาต้องใช้เวลา 20 นาทีตรวจสอบว่า “ทริปนี้จะทำให้สถานะอะไรพังไหม” เช่น ทำให้หมดสิทธิ์เป็นผู้มีถิ่นฐานภาษีใน UK หรือทำให้เกินจำนวนวันที่อนุญาตใน Schengen

    จากความยุ่งยากนี้ เขาสร้างแอปชื่อ “Residency” ที่ทำหน้าที่เหมือน “ลินเตอร์” หรือเครื่องตรวจสอบข้อผิดพลาดก่อนเดินทาง โดยจำลองสถานะจากข้อมูลการเดินทาง, เอกสาร, เขตเวลา และกฎของแต่ละประเทศ เพื่อบอกว่า “ถ้าทำแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น”

    ปัญหาการเดินทางข้ามประเทศ
    ระบบราชการแต่ละประเทศมีเกณฑ์ต่างกันในการนับ “วัน”
    Schengen ใช้ระบบ rolling window, UK นับเที่ยงคืน, Morocco เปลี่ยนเขตเวลาในรอมฎอน
    พาสปอร์ตมีเงื่อนไขเช่น “ต้องมีหน้าเปล่า” หรือ “ต้องมีอายุเกิน 6 เดือน”

    การสร้างแอป Residency
    แอปทำงานแบบ local ไม่ต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์
    จำลองสถานะจากข้อมูลจริง เช่น รูปถ่าย, GPS, เอกสาร
    ใช้ “state machine” เพื่อจัดการกฎของแต่ละประเทศ
    รองรับการเปลี่ยนแปลง เช่น timezone database หรือกฎใหม่

    การใช้งานจริง
    แอปช่วยตรวจสอบก่อนซื้อไฟลต์ไปไอซ์แลนด์
    บอกได้ว่าไม่ต้องใช้ IDP, ไม่เกินวันใน Schengen, และจะหมดสถานะภาษี UK
    เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเห็นข้อมูลตรงกันกับแอป

    แนวคิดเบื้องหลัง
    “You can’t cURL a border” หมายถึง API ไม่สามารถบอกสถานะคุณได้
    ต้องสร้างระบบที่เข้าใจ “state” ของคุณเอง
    เป้าหมายไม่ใช่โน้มน้าวเจ้าหน้าที่ แต่คือ “ไม่พลาดในสิ่งที่เขาจะจับผิดคุณได้”

    ความซับซ้อนของระบบราชการ
    ไม่มีระบบกลางที่บอกสถานะคุณได้ครบทุกมิติ
    การนับวัน, เขตเวลา, และเงื่อนไขเอกสารแตกต่างกันมาก

    ความเสี่ยงจากการไม่ตรวจสอบก่อนเดินทาง
    อาจทำให้หมดสิทธิ์เป็นผู้มีถิ่นฐานภาษี
    อาจถูกปฏิเสธเข้าเมืองเพราะพาสปอร์ตหมดอายุหรือไม่ตรงเงื่อนไข
    การเดินทางผ่านประเทศอาจนับเป็น “อยู่” แม้จะไม่ได้ออกจากสนามบิน

    https://drobinin.com/posts/you-cant-curl-a-border/
    📰 “You Can’t cURL a Border” – เมื่อการเดินทางกลายเป็นปัญหาทางรัฐศาสตร์และโปรแกรมมิ่ง Vadim Drobinin นักพัฒนา iOS และนักเดินทางตัวยง เผชิญกับปัญหาที่หลายคนอาจไม่เคยคิด—การเดินทางระหว่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องของตั๋วเครื่องบินและวีซ่า แต่คือการจัดการ “สถานะ” ที่ซับซ้อนระหว่างระบบราชการหลายประเทศ เช่น กฎ Schengen, การนับวันภาษีของ UK, การหมดอายุของพาสปอร์ต หรือแม้แต่การเปลี่ยนเขตเวลาในช่วงรอมฎอนของโมร็อกโก เขาเล่าว่า ก่อนจะกดซื้อไฟลต์ราคาถูกไปไอซ์แลนด์ เขาต้องใช้เวลา 20 นาทีตรวจสอบว่า “ทริปนี้จะทำให้สถานะอะไรพังไหม” เช่น ทำให้หมดสิทธิ์เป็นผู้มีถิ่นฐานภาษีใน UK หรือทำให้เกินจำนวนวันที่อนุญาตใน Schengen จากความยุ่งยากนี้ เขาสร้างแอปชื่อ “Residency” ที่ทำหน้าที่เหมือน “ลินเตอร์” หรือเครื่องตรวจสอบข้อผิดพลาดก่อนเดินทาง โดยจำลองสถานะจากข้อมูลการเดินทาง, เอกสาร, เขตเวลา และกฎของแต่ละประเทศ เพื่อบอกว่า “ถ้าทำแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น” ✅ ปัญหาการเดินทางข้ามประเทศ ➡️ ระบบราชการแต่ละประเทศมีเกณฑ์ต่างกันในการนับ “วัน” ➡️ Schengen ใช้ระบบ rolling window, UK นับเที่ยงคืน, Morocco เปลี่ยนเขตเวลาในรอมฎอน ➡️ พาสปอร์ตมีเงื่อนไขเช่น “ต้องมีหน้าเปล่า” หรือ “ต้องมีอายุเกิน 6 เดือน” ✅ การสร้างแอป Residency ➡️ แอปทำงานแบบ local ไม่ต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ ➡️ จำลองสถานะจากข้อมูลจริง เช่น รูปถ่าย, GPS, เอกสาร ➡️ ใช้ “state machine” เพื่อจัดการกฎของแต่ละประเทศ ➡️ รองรับการเปลี่ยนแปลง เช่น timezone database หรือกฎใหม่ ✅ การใช้งานจริง ➡️ แอปช่วยตรวจสอบก่อนซื้อไฟลต์ไปไอซ์แลนด์ ➡️ บอกได้ว่าไม่ต้องใช้ IDP, ไม่เกินวันใน Schengen, และจะหมดสถานะภาษี UK ➡️ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเห็นข้อมูลตรงกันกับแอป ✅ แนวคิดเบื้องหลัง ➡️ “You can’t cURL a border” หมายถึง API ไม่สามารถบอกสถานะคุณได้ ➡️ ต้องสร้างระบบที่เข้าใจ “state” ของคุณเอง ➡️ เป้าหมายไม่ใช่โน้มน้าวเจ้าหน้าที่ แต่คือ “ไม่พลาดในสิ่งที่เขาจะจับผิดคุณได้” ‼️ ความซับซ้อนของระบบราชการ ⛔ ไม่มีระบบกลางที่บอกสถานะคุณได้ครบทุกมิติ ⛔ การนับวัน, เขตเวลา, และเงื่อนไขเอกสารแตกต่างกันมาก ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่ตรวจสอบก่อนเดินทาง ⛔ อาจทำให้หมดสิทธิ์เป็นผู้มีถิ่นฐานภาษี ⛔ อาจถูกปฏิเสธเข้าเมืองเพราะพาสปอร์ตหมดอายุหรือไม่ตรงเงื่อนไข ⛔ การเดินทางผ่านประเทศอาจนับเป็น “อยู่” แม้จะไม่ได้ออกจากสนามบิน https://drobinin.com/posts/you-cant-curl-a-border/
    DROBININ.COM
    You can't cURL a Border
    Country borders don't return JSON, they return judgment. So I built a state machine for travel when governments won't expose your state.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Translate เปิดโหมดใหม่ “Advanced” ใช้ Gemini AI แปลแม่นยำขึ้น—แต่ยังจำกัดภาษาและอุปกรณ์

    Google Translate ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “AI Model Picker” ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่างโหมด “Fast” และ “Advanced” โดยโหมด Advanced ใช้ Gemini AI เพื่อให้การแปลมีความแม่นยำและเข้าใจบริบทมากขึ้น แม้จะแลกกับความเร็วที่ลดลงบ้าง แต่ผลลัพธ์ก็ใกล้เคียงกับการใช้ Gemini โดยตรงในการแปล

    จุดเด่นของโหมด Advanced
    ใช้ Gemini AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแปล โดยเฉพาะข้อความที่มีความซับซ้อนหรือมีบริบทเฉพาะ
    มีตัวเลือกให้ผู้ใช้เลือกโหมดได้เอง ผ่านปุ่ม “Model Picker” ที่อยู่ด้านบนของแอป
    โหมด Fast ยังคงเน้นความเร็วและประสิทธิภาพ เหมาะกับการแปลทั่วไปที่ไม่ต้องการความละเอียดสูง

    ข้อจำกัดของการใช้งาน
    รองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส และอังกฤษ-สเปน เท่านั้นในช่วงแรก
    เปิดให้ใช้งานเฉพาะบน iOS ก่อน โดย Android ยังต้องรอการอัปเดตในอนาคต
    ใช้ได้เฉพาะการแปลข้อความพิมพ์เท่านั้น ไม่ครอบคลุมโหมดสนทนา หรือการแปลผ่านกล้อง

    Google Translate เพิ่มฟีเจอร์ “Model Picker”
    ให้เลือกโหมด Fast หรือ Advanced ได้ตามต้องการ
    Advanced ใช้ Gemini AI เพื่อความแม่นยำสูงขึ้น

    โหมด Advanced เหมาะกับข้อความซับซ้อน
    แปลได้ใกล้เคียงกับการใช้ Gemini โดยตรง
    เข้าใจบริบทและสำนวนได้ดีขึ้น

    การเปิดใช้งาน
    กดเลือกที่ปุ่ม Model Picker ใต้โลโก้ Google Translate
    ใช้ได้เฉพาะข้อความพิมพ์ ไม่รวมโหมดสนทนาหรือกล้อง

    ข้อจำกัดของโหมด Advanced
    รองรับแค่ภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส และอังกฤษ-สเปน
    ใช้ได้เฉพาะบน iOS ยังไม่เปิดให้ Android
    อาจต้องใช้ทรัพยากรเครื่องสูง ทำให้ช้ากว่าโหมด Fast

    ความเสี่ยงจากการใช้ AI แปลภาษา
    แม้ Gemini จะแม่นยำ แต่ยังมีโอกาส “hallucinate” หรือแปลผิด
    ควรตรวจสอบความถูกต้องเมื่อใช้กับเนื้อหาสำคัญ

    นี่คือก้าวสำคัญของ Google ในการนำ AI มาเพิ่มความสามารถในการแปลภาษาอย่างลึกซึ้งและแม่นยำมากขึ้น แม้จะยังจำกัดการใช้งาน แต่ก็สะท้อนแนวโน้มที่ผู้ใช้จะมีสิทธิเลือก “ความเร็ว” หรือ “ความแม่นยำ” ได้ตามบริบทของงานที่ต้องการ

    https://securityonline.info/google-translate-debuts-gemini-powered-advanced-mode-for-higher-accuracy-translations/
    🌐 Google Translate เปิดโหมดใหม่ “Advanced” ใช้ Gemini AI แปลแม่นยำขึ้น—แต่ยังจำกัดภาษาและอุปกรณ์ Google Translate ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “AI Model Picker” ที่ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่างโหมด “Fast” และ “Advanced” โดยโหมด Advanced ใช้ Gemini AI เพื่อให้การแปลมีความแม่นยำและเข้าใจบริบทมากขึ้น แม้จะแลกกับความเร็วที่ลดลงบ้าง แต่ผลลัพธ์ก็ใกล้เคียงกับการใช้ Gemini โดยตรงในการแปล 🧠 จุดเด่นของโหมด Advanced 🔖 ใช้ Gemini AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแปล โดยเฉพาะข้อความที่มีความซับซ้อนหรือมีบริบทเฉพาะ 🔖 มีตัวเลือกให้ผู้ใช้เลือกโหมดได้เอง ผ่านปุ่ม “Model Picker” ที่อยู่ด้านบนของแอป 🔖 โหมด Fast ยังคงเน้นความเร็วและประสิทธิภาพ เหมาะกับการแปลทั่วไปที่ไม่ต้องการความละเอียดสูง 📱 ข้อจำกัดของการใช้งาน ❗ รองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส และอังกฤษ-สเปน เท่านั้นในช่วงแรก ❗ เปิดให้ใช้งานเฉพาะบน iOS ก่อน โดย Android ยังต้องรอการอัปเดตในอนาคต ❗ ใช้ได้เฉพาะการแปลข้อความพิมพ์เท่านั้น ไม่ครอบคลุมโหมดสนทนา หรือการแปลผ่านกล้อง ✅ Google Translate เพิ่มฟีเจอร์ “Model Picker” ➡️ ให้เลือกโหมด Fast หรือ Advanced ได้ตามต้องการ ➡️ Advanced ใช้ Gemini AI เพื่อความแม่นยำสูงขึ้น ✅ โหมด Advanced เหมาะกับข้อความซับซ้อน ➡️ แปลได้ใกล้เคียงกับการใช้ Gemini โดยตรง ➡️ เข้าใจบริบทและสำนวนได้ดีขึ้น ✅ การเปิดใช้งาน ➡️ กดเลือกที่ปุ่ม Model Picker ใต้โลโก้ Google Translate ➡️ ใช้ได้เฉพาะข้อความพิมพ์ ไม่รวมโหมดสนทนาหรือกล้อง ‼️ ข้อจำกัดของโหมด Advanced ⛔ รองรับแค่ภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส และอังกฤษ-สเปน ⛔ ใช้ได้เฉพาะบน iOS ยังไม่เปิดให้ Android ⛔ อาจต้องใช้ทรัพยากรเครื่องสูง ทำให้ช้ากว่าโหมด Fast ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ AI แปลภาษา ⛔ แม้ Gemini จะแม่นยำ แต่ยังมีโอกาส “hallucinate” หรือแปลผิด ⛔ ควรตรวจสอบความถูกต้องเมื่อใช้กับเนื้อหาสำคัญ นี่คือก้าวสำคัญของ Google ในการนำ AI มาเพิ่มความสามารถในการแปลภาษาอย่างลึกซึ้งและแม่นยำมากขึ้น แม้จะยังจำกัดการใช้งาน แต่ก็สะท้อนแนวโน้มที่ผู้ใช้จะมีสิทธิเลือก “ความเร็ว” หรือ “ความแม่นยำ” ได้ตามบริบทของงานที่ต้องการ https://securityonline.info/google-translate-debuts-gemini-powered-advanced-mode-for-higher-accuracy-translations/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Translate Debuts Gemini-Powered "Advanced" Mode for Higher Accuracy Translations
    Google Translate rolled out a Gemini-powered "Advanced" mode that sacrifices speed for higher accuracy and contextual fluency. The feature is currently limited to select language pairs like English/French/Spanish.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที!

    หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้!

    Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน
    Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ
    VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา
    ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด
    เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์
    VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง
    หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน

    Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome
    Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น
    รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า
    มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์
    มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ
    หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม
    ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า

    Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ
    Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ
    ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux
    ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง
    รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก
    ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end
    หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว

    Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร
    แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ
    วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss
    ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go”
    แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้
    หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน

    Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ
    แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล
    ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ
    สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า
    ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก
    แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก
    ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    📱 แอปฟรีที่ควรมีติดเครื่อง Android เครื่องใหม่ทันที! หากคุณเพิ่งซื้อสมาร์ทโฟน Android เครื่องใหม่ หรือกำลังมองหาแอปฟรีที่คุ้มค่าและปลอดภัยในการใช้งาน นี่คือ 5 แอปที่ได้รับการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสาระเสริมที่คุณอาจยังไม่รู้! 🛡️ Proton VPN: ปลอดภัยไว้ก่อน Proton VPN เป็นหนึ่งใน VPN ฟรีที่น่าเชื่อถือที่สุด เพราะไม่มีโฆษณา ไม่ขายข้อมูล และมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ ✅ VPN ฟรีที่ไม่เก็บ log และไม่มีโฆษณา ➡️ ให้ความเร็วและแบนด์วิดธ์ไม่จำกัด ➡️ เหมาะสำหรับการใช้งาน Wi-Fi สาธารณะและปลดล็อกคอนเทนต์ ‼️ VPN ไม่สามารถทำให้คุณ “นิรนาม” ได้จริง ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัวขั้นสูง ควรใช้ Tor Browser แทน 🌐 Vivaldi Browser: เบราว์เซอร์ที่เหนือกว่า Chrome Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อมฟีเจอร์จัดการแท็บและโน้ตที่เหนือชั้น ✅ รองรับการจัดการแท็บแบบซ้อน, จดโน้ต, ถ่ายภาพหน้าจอเต็มหน้า ➡️ มีระบบซิงค์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ ➡️ มีตัวบล็อกโฆษณาในตัวและแปลภาษาอัตโนมัติ ‼️ หากใช้ Chrome อาจเสี่ยงต่อการถูกติดตามพฤติกรรม ⛔ ควรเปลี่ยนมาใช้เบราว์เซอร์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า 📤 Blip: ส่งไฟล์ข้ามอุปกรณ์แบบไร้รอยต่อ Blip คือทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่า AirDrop และ Quick Share เพราะรองรับทุกระบบปฏิบัติการ ✅ ส่งไฟล์ได้ทุกขนาด ข้ามแพลตฟอร์ม Android, iOS, Windows, macOS, Linux ➡️ ไม่ต้องยืนยันการรับไฟล์จากอีกเครื่อง ➡️ รองรับการส่งไฟล์ระยะไกลทั่วโลก ‼️ ไม่มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ⛔ หลีกเลี่ยงการส่งไฟล์ที่มีข้อมูลอ่อนไหว 📶 Speedtest by Ookla: ตรวจสอบความเร็วเน็ตแบบมือโปร แอปนี้ช่วยให้คุณตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างแม่นยำ ✅ วัดความเร็วดาวน์โหลด/อัปโหลด, ping, jitter และ packet loss ➡️ ใช้งานง่าย แค่กดปุ่ม “Go” ‼️ แอปมีโฆษณาและเก็บข้อมูลผู้ใช้ ⛔ หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรใช้ LibreSpeed ผ่านเว็บแทน 📊 Loop Habit Tracker: ตัวช่วยสร้างนิสัยดีๆ แอปติดตามนิสัยที่เรียบง่าย ไม่มีโฆษณา และไม่เก็บข้อมูล ✅ ใช้งานฟรี 100% พร้อมฟีเจอร์ครบ ➡️ สร้างรายการนิสัย, ตั้งเตือน, ดูสถิติความก้าวหน้า ➡️ ข้อมูลเก็บไว้ในเครื่อง ไม่แชร์ออกภายนอก ‼️ แอปติดตามนิสัยบางตัวอาจบังคับให้สมัครสมาชิก ⛔ ระวังแอปที่เก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต https://www.slashgear.com/2010815/free-apps-you-should-install-on-any-android-device/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Free Apps You Should Install ASAP On A New Android Device - SlashGear
    Setting up your Android? Don’t waste time digging through the Play Store. These free apps are the ones actually worth keeping.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “ASRock B850 ฆ่า Ryzen 7 9700X ไป 3 ตัว – ผู้ใช้เกาหลีใต้สูญกว่า $1,000 แม้ใช้ BIOS ล่าสุดและไม่เคยโอเวอร์คล็อก”

    ผู้ใช้ในเกาหลีใต้รายงานว่าเมนบอร์ด ASRock B850 Pro RS ทำให้ CPU Ryzen 7 9700X พังถึง 3 ตัวติดต่อกัน แม้จะใช้ BIOS เวอร์ชันล่าสุดและไม่เคยโอเวอร์คล็อกเลยก็ตาม โดยรวมมูลค่าความเสียหายกว่า $1,000 เหตุการณ์นี้จุดกระแสความกังวลในวงการ DIY PC ทั่วโลก

    เรื่องเริ่มจากผู้ใช้ชื่อ “OnOr” บนฟอรั่ม QuasarZone ในเกาหลีใต้ ที่ใช้เมนบอร์ด ASRock B850 Pro RS กับ CPU Ryzen 7 9700X ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ในซีรีส์ Ryzen 9000 โดย CPU ตัวแรกและตัวที่สองที่ซื้อจาก AliExpress พังไปอย่างรวดเร็ว เจ้าของจึงส่งเมนบอร์ดไปตรวจสอบ แต่ร้านค้าและ ASRock แจ้งว่า “ไม่มีปัญหา”

    เมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้งกับ CPU ตัวที่สามที่ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศ ก็ยังคงพังเหมือนเดิม แม้จะใช้ BIOS เวอร์ชัน 3.40 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่ ASRock อ้างว่าแก้ปัญหาความเสถียรของ CPU แล้วก็ตาม

    กรณีนี้ไม่ใช่รายแรก เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับเมนบอร์ด ASRock ที่ทำให้ CPU Ryzen 9000 พัง โดยเฉพาะรุ่น X3D แต่ครั้งนี้เป็นรุ่นธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น

    Gamers Nexus เคยรายงานว่า กว่า 80% ของเคส CPU พังในซีรีส์นี้มาจากเมนบอร์ด ASRock ซึ่งทำให้แบรนด์ถูกจับตามองอย่างหนัก แม้ ASRock จะออก BIOS ใหม่และปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็นปัญหาจาก AMD แต่ AMD ก็ปฏิเสธกลับเช่นกัน

    ผู้ใช้ในเกาหลีใต้สูญเสีย CPU Ryzen 7 9700X ไป 3 ตัวจากเมนบอร์ด ASRock B850 Pro RS
    มูลค่าความเสียหายรวมกว่า $1,000

    ใช้ BIOS เวอร์ชันล่าสุด 3.40 และไม่เคยโอเวอร์คล็อก
    ยังเกิดปัญหา CPU พังซ้ำถึง 3 ครั้ง

    เคสนี้ไม่ใช่รายแรก – มีรายงานจำนวนมากใน subreddit r/ASRock
    โดยเฉพาะกับ CPU Ryzen 9000 และรุ่น X3D

    Gamers Nexus รายงานว่า 80% ของเคส CPU พังมาจากเมนบอร์ด ASRock
    ทำให้แบรนด์ถูกจับตามองอย่างหนัก

    ASRock ออก BIOS ใหม่เพื่อแก้ปัญหา แต่ยังไม่ชัดเจนว่าได้ผลจริง
    เวอร์ชัน 3.40 เน้นเรื่อง “CPU stability” แต่ยังมีเคสพังหลังอัปเดต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/the-same-asrock-b850-motherboard-kills-three-ryzen-7-9700x-cpus-worth-usd1-000-one-by-one-in-south-korea-victim-used-updated-bios-and-never-overclocked-but-still-lost-all-their-processors
    ⚠️🔥 หัวข้อข่าว: “ASRock B850 ฆ่า Ryzen 7 9700X ไป 3 ตัว – ผู้ใช้เกาหลีใต้สูญกว่า $1,000 แม้ใช้ BIOS ล่าสุดและไม่เคยโอเวอร์คล็อก” ผู้ใช้ในเกาหลีใต้รายงานว่าเมนบอร์ด ASRock B850 Pro RS ทำให้ CPU Ryzen 7 9700X พังถึง 3 ตัวติดต่อกัน แม้จะใช้ BIOS เวอร์ชันล่าสุดและไม่เคยโอเวอร์คล็อกเลยก็ตาม โดยรวมมูลค่าความเสียหายกว่า $1,000 เหตุการณ์นี้จุดกระแสความกังวลในวงการ DIY PC ทั่วโลก เรื่องเริ่มจากผู้ใช้ชื่อ “OnOr” บนฟอรั่ม QuasarZone ในเกาหลีใต้ ที่ใช้เมนบอร์ด ASRock B850 Pro RS กับ CPU Ryzen 7 9700X ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ในซีรีส์ Ryzen 9000 โดย CPU ตัวแรกและตัวที่สองที่ซื้อจาก AliExpress พังไปอย่างรวดเร็ว เจ้าของจึงส่งเมนบอร์ดไปตรวจสอบ แต่ร้านค้าและ ASRock แจ้งว่า “ไม่มีปัญหา” เมื่อกลับมาใช้งานอีกครั้งกับ CPU ตัวที่สามที่ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศ ก็ยังคงพังเหมือนเดิม แม้จะใช้ BIOS เวอร์ชัน 3.40 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่ ASRock อ้างว่าแก้ปัญหาความเสถียรของ CPU แล้วก็ตาม กรณีนี้ไม่ใช่รายแรก เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับเมนบอร์ด ASRock ที่ทำให้ CPU Ryzen 9000 พัง โดยเฉพาะรุ่น X3D แต่ครั้งนี้เป็นรุ่นธรรมดา ซึ่งทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น Gamers Nexus เคยรายงานว่า กว่า 80% ของเคส CPU พังในซีรีส์นี้มาจากเมนบอร์ด ASRock ซึ่งทำให้แบรนด์ถูกจับตามองอย่างหนัก แม้ ASRock จะออก BIOS ใหม่และปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็นปัญหาจาก AMD แต่ AMD ก็ปฏิเสธกลับเช่นกัน ✅ ผู้ใช้ในเกาหลีใต้สูญเสีย CPU Ryzen 7 9700X ไป 3 ตัวจากเมนบอร์ด ASRock B850 Pro RS ➡️ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า $1,000 ✅ ใช้ BIOS เวอร์ชันล่าสุด 3.40 และไม่เคยโอเวอร์คล็อก ➡️ ยังเกิดปัญหา CPU พังซ้ำถึง 3 ครั้ง ✅ เคสนี้ไม่ใช่รายแรก – มีรายงานจำนวนมากใน subreddit r/ASRock ➡️ โดยเฉพาะกับ CPU Ryzen 9000 และรุ่น X3D ✅ Gamers Nexus รายงานว่า 80% ของเคส CPU พังมาจากเมนบอร์ด ASRock ➡️ ทำให้แบรนด์ถูกจับตามองอย่างหนัก ✅ ASRock ออก BIOS ใหม่เพื่อแก้ปัญหา แต่ยังไม่ชัดเจนว่าได้ผลจริง ➡️ เวอร์ชัน 3.40 เน้นเรื่อง “CPU stability” แต่ยังมีเคสพังหลังอัปเดต https://www.tomshardware.com/pc-components/motherboards/the-same-asrock-b850-motherboard-kills-three-ryzen-7-9700x-cpus-worth-usd1-000-one-by-one-in-south-korea-victim-used-updated-bios-and-never-overclocked-but-still-lost-all-their-processors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน – ผู้ใช้มั่นใจมากกว่า iOS ถึง 58%

    Google เผยความสำเร็จของระบบป้องกันภัยหลอกลวงบน Android ที่ใช้ AI ตรวจจับและสกัดข้อความและสายโทรศัพท์อันตรายได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน พร้อมผลสำรวจจาก YouGov ที่ชี้ว่า ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงได้มากกว่า iOS ถึง 58%.

    ในยุคที่ AI ถูกใช้สร้างข้อความหลอกลวงได้แนบเนียนมากขึ้น Google จึงพัฒนา Android ให้มีระบบป้องกันหลายชั้น ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบเครือข่าย และการใช้ AI บนอุปกรณ์โดยตรง

    หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ RCS Safety Checks ที่สามารถบล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบ Google Messages ที่กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา และระบบ Call Screen ที่สามารถรับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบว่าเป็นสายหลอกลวงหรือไม่

    ผลสำรวจจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ อินเดีย และบราซิล พบว่า:
    ผู้ใช้ Android มีโอกาสได้รับข้อความหลอกลวงน้อยกว่า iOS ถึง 58%
    ผู้ใช้ Pixel มีความมั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96%
    ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65%

    Google ยังใช้ LLM (Large Language Models) ในการตรวจจับเว็บไซต์ฟิชชิ่งและมัลแวร์ผ่าน Chrome และ Play Protect เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการป้องกันภัยไซเบอร์

    Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน
    ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์และ AI บนอุปกรณ์
    บล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว

    ฟีเจอร์เด่นของ Android
    Google Messages กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา
    Call Screen รับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบภัยหลอกลวง
    Scam Detection ตรวจจับคำพูดหลอกลวงระหว่างการสนทนา

    ผลสำรวจจาก YouGov
    ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงมากกว่า iOS ถึง 58%
    ผู้ใช้ Pixel มั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96%
    ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65%

    https://securityonline.info/android-ai-scam-defense-blocks-10-billion-monthly-threats-users-58-more-likely-to-avoid-scam-texts-than-ios/
    📱 Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน – ผู้ใช้มั่นใจมากกว่า iOS ถึง 58% Google เผยความสำเร็จของระบบป้องกันภัยหลอกลวงบน Android ที่ใช้ AI ตรวจจับและสกัดข้อความและสายโทรศัพท์อันตรายได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน พร้อมผลสำรวจจาก YouGov ที่ชี้ว่า ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงได้มากกว่า iOS ถึง 58%. ในยุคที่ AI ถูกใช้สร้างข้อความหลอกลวงได้แนบเนียนมากขึ้น Google จึงพัฒนา Android ให้มีระบบป้องกันหลายชั้น ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์ การตรวจสอบเครือข่าย และการใช้ AI บนอุปกรณ์โดยตรง หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือ RCS Safety Checks ที่สามารถบล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบ Google Messages ที่กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา และระบบ Call Screen ที่สามารถรับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบว่าเป็นสายหลอกลวงหรือไม่ ผลสำรวจจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ อินเดีย และบราซิล พบว่า: 💠 ผู้ใช้ Android มีโอกาสได้รับข้อความหลอกลวงน้อยกว่า iOS ถึง 58% 💠 ผู้ใช้ Pixel มีความมั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96% 💠 ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65% Google ยังใช้ LLM (Large Language Models) ในการตรวจจับเว็บไซต์ฟิชชิ่งและมัลแวร์ผ่าน Chrome และ Play Protect เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการป้องกันภัยไซเบอร์ ✅ Android ป้องกันภัยหลอกลวงด้วย AI ได้มากกว่า 10 พันล้านครั้งต่อเดือน ➡️ ใช้การวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์และ AI บนอุปกรณ์ ➡️ บล็อกเบอร์ต้องสงสัยได้มากกว่า 100 ล้านเบอร์ในเดือนเดียว ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Android ➡️ Google Messages กรองข้อความสแปมโดยดูจากชื่อผู้ส่งและเนื้อหา ➡️ Call Screen รับสายแทนผู้ใช้เพื่อตรวจสอบภัยหลอกลวง ➡️ Scam Detection ตรวจจับคำพูดหลอกลวงระหว่างการสนทนา ✅ ผลสำรวจจาก YouGov ➡️ ผู้ใช้ Android มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงข้อความหลอกลวงมากกว่า iOS ถึง 58% ➡️ ผู้ใช้ Pixel มั่นใจในระบบป้องกันมากกว่า iPhone ถึง 96% ➡️ ผู้ใช้ iOS มีแนวโน้มได้รับข้อความหลอกลวงมากกว่า Android ถึง 65% https://securityonline.info/android-ai-scam-defense-blocks-10-billion-monthly-threats-users-58-more-likely-to-avoid-scam-texts-than-ios/
    SECURITYONLINE.INFO
    Android AI Scam Defense Blocks 10 Billion Monthly Threats; Users 58% More Likely to Avoid Scam Texts Than iOS
    Google reveals Android’s AI defense blocks 10B+ monthly scams. A YouGov survey found Android users 58% more likely to report zero scam texts than iOS users due to on-device AI protection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kodi 21.3 อัปเดตใหม่! เล่น Blu-ray บน Linux ลื่นขึ้น พร้อมรองรับ HDR บน Xbox One แล้ว

    Kodi 21.3 “Omega” ปล่อยอัปเดตล่าสุดที่เน้นปรับปรุงการเล่น Blu-ray บนระบบ Linux และเพิ่มการรองรับ HDR สำหรับ Xbox One ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงข้ามแพลตฟอร์ม

    Kodi เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับจัดการและเล่นสื่อที่ได้รับความนิยมสูง โดยเวอร์ชัน 21.3 นี้ยังคงใช้ชื่อรหัสว่า “Omega” และเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานมากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่

    จุดเด่นของเวอร์ชันนี้:

    ปรับปรุงการเล่น Blu-ray บน Linux การเล่นแผ่น Blu-ray บน Linux เคยมีปัญหาเรื่องการอ่านเมนูและการถอดรหัสเสียงบางรูปแบบ ซึ่ง Kodi 21.3 ได้แก้ไขให้รองรับได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับระบบเสียง multichannel และ subtitle ที่ซับซ้อน

    รองรับ HDR บน Xbox One Kodi บน Xbox One สามารถแสดงภาพ HDR ได้แล้ว ซึ่งช่วยให้ภาพยนตร์และซีรีส์ที่รองรับ HDR มีสีสันและความคมชัดมากขึ้น โดยใช้ API ของ Microsoft ในการจัดการ dynamic range

    แก้บั๊กและปรับปรุงเสถียรภาพ มีการแก้ไขบั๊กหลายจุด เช่น การแสดงผล subtitle, การจัดการ playlist, และการเชื่อมต่อกับ add-on ภายนอก

    รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย Kodi 21.3 รองรับ Windows, Linux, macOS, Android, iOS และ Xbox One โดยสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์หลักหรือผ่าน store ของแต่ละแพลตฟอร์ม

    จุดเด่นของ Kodi 21.3 “Omega”
    ปรับปรุงการเล่น Blu-ray บน Linux ให้ลื่นไหลและแม่นยำขึ้น
    รองรับ HDR บน Xbox One เป็นครั้งแรก
    แก้บั๊ก subtitle, playlist, และการเชื่อมต่อ add-on
    รองรับหลายระบบปฏิบัติการ: Windows, Linux, macOS, Android, iOS, Xbox

    ประโยชน์สำหรับผู้ใช้
    ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นแผ่น Blu-ray ได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมเสริม
    ผู้ใช้ Xbox One ได้ภาพ HDR ที่คมชัดขึ้นสำหรับคอนเทนต์ที่รองรับ
    ประสบการณ์ใช้งาน Kodi โดยรวมเสถียรขึ้น

    https://9to5linux.com/kodi-21-3-improves-blu-ray-playback-on-linux-adds-hdr-support-on-xbox-one
    🖥️🎬 Kodi 21.3 อัปเดตใหม่! เล่น Blu-ray บน Linux ลื่นขึ้น พร้อมรองรับ HDR บน Xbox One แล้ว Kodi 21.3 “Omega” ปล่อยอัปเดตล่าสุดที่เน้นปรับปรุงการเล่น Blu-ray บนระบบ Linux และเพิ่มการรองรับ HDR สำหรับ Xbox One ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงข้ามแพลตฟอร์ม Kodi เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับจัดการและเล่นสื่อที่ได้รับความนิยมสูง โดยเวอร์ชัน 21.3 นี้ยังคงใช้ชื่อรหัสว่า “Omega” และเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานมากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ จุดเด่นของเวอร์ชันนี้: 🎗️ ปรับปรุงการเล่น Blu-ray บน Linux การเล่นแผ่น Blu-ray บน Linux เคยมีปัญหาเรื่องการอ่านเมนูและการถอดรหัสเสียงบางรูปแบบ ซึ่ง Kodi 21.3 ได้แก้ไขให้รองรับได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกับระบบเสียง multichannel และ subtitle ที่ซับซ้อน 🎗️ รองรับ HDR บน Xbox One Kodi บน Xbox One สามารถแสดงภาพ HDR ได้แล้ว ซึ่งช่วยให้ภาพยนตร์และซีรีส์ที่รองรับ HDR มีสีสันและความคมชัดมากขึ้น โดยใช้ API ของ Microsoft ในการจัดการ dynamic range 🎗️ แก้บั๊กและปรับปรุงเสถียรภาพ มีการแก้ไขบั๊กหลายจุด เช่น การแสดงผล subtitle, การจัดการ playlist, และการเชื่อมต่อกับ add-on ภายนอก 🎗️ รองรับระบบปฏิบัติการหลากหลาย Kodi 21.3 รองรับ Windows, Linux, macOS, Android, iOS และ Xbox One โดยสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์หลักหรือผ่าน store ของแต่ละแพลตฟอร์ม ✅ จุดเด่นของ Kodi 21.3 “Omega” ➡️ ปรับปรุงการเล่น Blu-ray บน Linux ให้ลื่นไหลและแม่นยำขึ้น ➡️ รองรับ HDR บน Xbox One เป็นครั้งแรก ➡️ แก้บั๊ก subtitle, playlist, และการเชื่อมต่อ add-on ➡️ รองรับหลายระบบปฏิบัติการ: Windows, Linux, macOS, Android, iOS, Xbox ✅ ประโยชน์สำหรับผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ Linux สามารถเล่นแผ่น Blu-ray ได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมเสริม ➡️ ผู้ใช้ Xbox One ได้ภาพ HDR ที่คมชัดขึ้นสำหรับคอนเทนต์ที่รองรับ ➡️ ประสบการณ์ใช้งาน Kodi โดยรวมเสถียรขึ้น https://9to5linux.com/kodi-21-3-improves-blu-ray-playback-on-linux-adds-hdr-support-on-xbox-one
    9TO5LINUX.COM
    Kodi 21.3 Improves Blu-Ray Playback on Linux, Adds HDR Support on Xbox One - 9to5Linux
    Kodi 21.3 open-source media center and home theater software is now available for download with improved Blu-ray playback on Linux.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลสหรัฐฯ บังคับ Google เปิด Google Play ให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้แล้ว — แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น!

    Google ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งให้เปิดทางให้แอปบน Google Play ใช้ระบบชำระเงินภายนอกได้ โดยนักพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชันของ Google และเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ — แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว

    ก่อนหน้านี้ทั้ง Apple และ Google ต่างก็ไม่อนุญาตให้นักพัฒนาแอปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก เพราะต้องการเก็บค่าคอมมิชชันจากทุกธุรกรรมในแอป แต่เมื่อ Epic Games ฟ้องร้องทั้งสองบริษัทในข้อหาผูกขาด ศาลสหรัฐฯ จึงมีคำตัดสินให้ทั้งสองบริษัทต้องเปิดระบบมากขึ้น

    แม้ทั้ง Apple และ Google จะแพ้คดี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างกัน — Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะระบบปิดของ iOS แต่ Google ซึ่งใช้ระบบ Android ที่เปิดกว้างกว่า กลับต้องปรับนโยบายมากกว่า

    ผลลัพธ์คือ Google ต้องเปิดให้แอปใน Google Play สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ในสหรัฐฯ นักพัฒนาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google อีกต่อไป และสามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้

    นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้นักพัฒนาชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นนอก Google Play ได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะมีผลถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 เท่านั้น เพราะ Google ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสิน

    แม้จะเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ แต่ Google ก็ยังมีแผนจะเรียกเก็บ “ค่าบริการเสริม” เช่น ค่าตรวจสอบตัวตนหรือค่าความปลอดภัย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าคอมมิชชัน

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
    ค่าคอมมิชชันของ Google Play อยู่ที่ประมาณ 15–30% ต่อธุรกรรม
    Apple เคยถูกศาลสั่งให้อนุญาตลิงก์ไปยังระบบจ่ายเงินภายนอกเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดมาก
    การเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในตลาดแอป

    นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของแอปมือถือ — แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องจับตาดูผลของการอุทธรณ์จาก Google ต่อไป

    คำสั่งศาลสหรัฐฯ ต่อ Google
    บังคับให้ Google เปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกในแอป
    มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น
    มีผลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027

    ผลกระทบต่อนักพัฒนา
    ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google
    สามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้
    ชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นได้

    ท่าทีของ Google
    ปรับนโยบายตามคำสั่งศาลแบบชั่วคราว
    อยู่ระหว่างการอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำสั่ง
    เตรียมเก็บค่าบริการเสริมแม้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก

    https://securityonline.info/court-mandate-google-play-opens-to-external-payments-in-the-us/
    🏛️ ศาลสหรัฐฯ บังคับ Google เปิด Google Play ให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้แล้ว — แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น! Google ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งให้เปิดทางให้แอปบน Google Play ใช้ระบบชำระเงินภายนอกได้ โดยนักพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชันของ Google และเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ — แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ก่อนหน้านี้ทั้ง Apple และ Google ต่างก็ไม่อนุญาตให้นักพัฒนาแอปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก เพราะต้องการเก็บค่าคอมมิชชันจากทุกธุรกรรมในแอป แต่เมื่อ Epic Games ฟ้องร้องทั้งสองบริษัทในข้อหาผูกขาด ศาลสหรัฐฯ จึงมีคำตัดสินให้ทั้งสองบริษัทต้องเปิดระบบมากขึ้น แม้ทั้ง Apple และ Google จะแพ้คดี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างกัน — Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะระบบปิดของ iOS แต่ Google ซึ่งใช้ระบบ Android ที่เปิดกว้างกว่า กลับต้องปรับนโยบายมากกว่า ผลลัพธ์คือ Google ต้องเปิดให้แอปใน Google Play สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ในสหรัฐฯ นักพัฒนาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google อีกต่อไป และสามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้นักพัฒนาชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นนอก Google Play ได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะมีผลถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 เท่านั้น เพราะ Google ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสิน แม้จะเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ แต่ Google ก็ยังมีแผนจะเรียกเก็บ “ค่าบริการเสริม” เช่น ค่าตรวจสอบตัวตนหรือค่าความปลอดภัย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าคอมมิชชัน 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ค่าคอมมิชชันของ Google Play อยู่ที่ประมาณ 15–30% ต่อธุรกรรม 💠 Apple เคยถูกศาลสั่งให้อนุญาตลิงก์ไปยังระบบจ่ายเงินภายนอกเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดมาก 💠 การเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในตลาดแอป นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของแอปมือถือ — แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องจับตาดูผลของการอุทธรณ์จาก Google ต่อไป ✅ คำสั่งศาลสหรัฐฯ ต่อ Google ➡️ บังคับให้ Google เปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกในแอป ➡️ มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น ➡️ มีผลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 ✅ ผลกระทบต่อนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google ➡️ สามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ ➡️ ชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นได้ ✅ ท่าทีของ Google ➡️ ปรับนโยบายตามคำสั่งศาลแบบชั่วคราว ➡️ อยู่ระหว่างการอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำสั่ง ➡️ เตรียมเก็บค่าบริการเสริมแม้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก https://securityonline.info/court-mandate-google-play-opens-to-external-payments-in-the-us/
    SECURITYONLINE.INFO
    Court Mandate: Google Play Opens to External Payments in the US
    Google opened the US Play Store to external payment methods and alternative app downloads, a temporary measure following a US court mandate in the Epic Games antitrust case.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ

    บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น

    ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid
    Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป
    ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง
    เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส

    F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย
    แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย
    ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ

    การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล
    บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน
    Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU

    Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก
    ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser
    มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading

    F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย
    ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build
    สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build

    การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ
    แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility
    ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid

    การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น
    ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์
    อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต

    https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    📲🔓 Sideloading บน Android: เสรีภาพหรือช่องโหว่? F-Droid ชวนคิดใหม่เรื่องการติดตั้งแอปนอกระบบ บทความจาก F-Droid ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ sideloading — การติดตั้งแอป Android จากแหล่งนอก Play Store — ว่าเป็นทั้งเครื่องมือแห่งเสรีภาพและจุดอ่อนด้านความปลอดภัยที่กำลังถูกจับตามอง โดยเฉพาะในยุคที่รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีเริ่มควบคุมการเข้าถึงแอปมากขึ้น 📰 ประเด็นสำคัญจากบทความของ F-Droid ✅ Sideloading คือเสรีภาพในการเลือกใช้แอป ➡️ ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ได้ เช่น แอปโอเพ่นซอร์ส, แอปที่ถูกแบน, หรือแอปทดลอง ➡️ เป็นช่องทางสำคัญสำหรับนักพัฒนาอิสระและชุมชนโอเพ่นซอร์ส ✅ F-Droid คือแพลตฟอร์มที่สนับสนุน sideloading อย่างปลอดภัย ➡️ แอปทั้งหมดใน F-Droid ผ่านการ build จาก source และตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ไม่มีโฆษณา, ไม่มี tracking, และไม่มีการฝังโค้ดลับ ✅ การควบคุม sideloading อาจกระทบเสรีภาพดิจิทัล ➡️ บางประเทศเริ่มจำกัดการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก เช่น อินเดีย, จีน ➡️ Apple ยังไม่อนุญาต sideloading บน iOS แม้จะถูกกดดันจาก EU ✅ Android 15 เริ่มเพิ่มข้อจำกัดในการติดตั้งแอปจากแหล่งนอก ➡️ ต้องเปิดสิทธิ์เฉพาะแอปที่ใช้ติดตั้ง เช่น File Manager หรือ Browser ➡️ มีการแจ้งเตือนมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของ sideloading ✅ F-Droid เสนอแนวทางสร้างระบบ sideloading ที่ปลอดภัย ➡️ ใช้ระบบตรวจสอบแบบ reproducible build ➡️ สร้าง community trust ผ่านการเปิดเผย source และกระบวนการ build ‼️ การติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยอาจเปิดช่องให้มัลแวร์เข้าสู่ระบบ ⛔ แอปบางตัวอาจขอสิทธิ์เกินความจำเป็น เช่น SMS, Location, หรือ Accessibility ⛔ ควรตรวจสอบ source และใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ เช่น F-Droid ‼️ การเปลี่ยนแปลงใน Android รุ่นใหม่อาจทำให้ sideloading ยากขึ้น ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าไปตั้งค่าหลายขั้นตอนเพื่อเปิดสิทธิ์ ⛔ อาจมีการบล็อกแอปบางประเภทโดยอัตโนมัติในอนาคต https://f-droid.org/2025/10/28/sideloading.html
    F-DROID.ORG
    What We Talk About When We Talk About Sideloading | F-Droid - Free and Open Source Android App Repository
    We recently published a blog post with our reaction to the new Google Developer Program and how it impacts your freedom to use the devices that you own in th...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง”

    Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว

    จุดเด่นของ Grokipedia

    สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์
    ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด
    ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม

    จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ
    แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่
    Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า”

    เน้นความจริงและลดอคติ
    Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ
    Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์

    มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน
    หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0”
    Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต

    อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk
    หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ
    ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด

    ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม
    ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา
    ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข

    เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง
    รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง
    บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia

    ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ
    ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์
    ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android

    https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    📚🤖 Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง” Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว ✅ จุดเด่นของ Grokipedia ✅ สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์ ➡️ ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด ➡️ ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม ✅ จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ ➡️ แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่ ➡️ Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า” ✅ เน้นความจริงและลดอคติ ➡️ Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ ➡️ Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์ ✅ มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน ➡️ หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0” ➡️ Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต ✅ อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk ➡️ หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ ➡️ ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด ‼️ ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม ⛔ ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา ⛔ ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข ‼️ เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง ⛔ รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง ⛔ บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia ‼️ ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ ⛔ ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์ ⛔ ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grokipedia Launches: Elon Musk's xAI Debuts AI Encyclopedia to Rival Wikipedia
    Elon Musk's xAI launched Grokipedia, an AI-generated encyclopedia powered by Grok that aims to challenge Wikipedia's bias with transparent sourcing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น

    บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root

    ประเด็นหลักของบทความ

    การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader

    การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย

    ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย

    การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้

    ข้อคิดจากบทความ

    คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง
    การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก
    การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย

    https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    🖥️ บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root 🔍 ประเด็นหลักของบทความ ⚖️ การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader ⚖️ การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย ⚖️ ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย ⚖️ การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้ 📌 ข้อคิดจากบทความ ✅ คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง ✅ การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ✅ การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก ✅ การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    HACKADAY.COM
    What Happened To Running What You Wanted On Your Own Machine?
    When the microcomputer first landed in homes some forty years ago, it came with a simple freedom—you could run whatever software you could get your hands on. Floppy disk from a friend? Pop it in. S…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI ซื้อกิจการ Sky – แอปอัตโนมัติบน Mac เพื่อยกระดับ ChatGPT สู่การควบคุมระบบ”

    ลองนึกภาพว่า ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่สามารถควบคุมแอปต่าง ๆ บนเครื่อง Mac ของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ จัดการงาน หรือแม้แต่สั่งการข้ามแอปแบบอัตโนมัติ… นี่คือวิสัยทัศน์ใหม่ของ OpenAI หลังจากเข้าซื้อกิจการบริษัท Software Applications ผู้พัฒนาแอป Sky

    Sky เป็นแอปอัตโนมัติบน macOS ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2025 โดยทีมผู้สร้าง Workflow ซึ่งเคยถูก Apple ซื้อไปในปี 2017 และกลายเป็นฟีเจอร์ Shortcuts ที่เราคุ้นเคยกันดีใน iOS และ macOS การกลับมาครั้งนี้ในรูปแบบ Sky ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถ “เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ” และ “ใช้แอปเพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้” ได้อย่างชาญฉลาด

    OpenAI วางแผนจะนำเทคโนโลยีของ Sky มาผนวกเข้ากับ ChatGPT เพื่อให้สามารถควบคุมระบบ macOS ได้ในระดับลึก เช่น การสั่งงานข้ามแอป การจัดการไฟล์ หรือแม้แต่การวางแผนงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณได้จริง ไม่ใช่แค่ให้คำแนะนำ

    การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถลงมือทำแทนมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ Apple กำลังพัฒนา Siri รุ่นใหม่ ที่จะสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ในปี 2026

    นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่งเปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของบริษัท และซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ OpenAI ในการสร้างระบบ AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

    การเข้าซื้อกิจการ Software Applications โดย OpenAI
    บริษัทผู้พัฒนาแอป Sky สำหรับระบบอัตโนมัติบน macOS
    ทีมผู้สร้างเคยพัฒนา Workflow ที่ Apple ซื้อไปในปี 2017

    แอป Sky มีความสามารถโดดเด่น
    เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ
    ใช้แอปต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้
    รองรับการทำงานข้ามแอปแบบอัตโนมัติ

    แผนของ OpenAI กับ ChatGPT
    ผนวกความสามารถของ Sky เข้ากับ ChatGPT
    เพิ่มความสามารถในการควบคุมระบบ macOS ระดับลึก
    เปลี่ยน ChatGPT ให้เป็นผู้ช่วยที่ “ลงมือทำ” ได้จริง

    แนวโน้ม Agentic AI
    AI ที่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ
    เป็นทิศทางเดียวกับ Siri รุ่นใหม่ของ Apple ที่จะเปิดตัวในปี 2026

    การขยายตัวของ OpenAI
    เปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรก
    ซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติ

    https://securityonline.info/openai-buys-mac-automation-app-to-give-chatgpt-system-level-control/
    📰 “OpenAI ซื้อกิจการ Sky – แอปอัตโนมัติบน Mac เพื่อยกระดับ ChatGPT สู่การควบคุมระบบ” ลองนึกภาพว่า ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยตอบคำถาม แต่สามารถควบคุมแอปต่าง ๆ บนเครื่อง Mac ของคุณได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ จัดการงาน หรือแม้แต่สั่งการข้ามแอปแบบอัตโนมัติ… นี่คือวิสัยทัศน์ใหม่ของ OpenAI หลังจากเข้าซื้อกิจการบริษัท Software Applications ผู้พัฒนาแอป Sky Sky เป็นแอปอัตโนมัติบน macOS ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2025 โดยทีมผู้สร้าง Workflow ซึ่งเคยถูก Apple ซื้อไปในปี 2017 และกลายเป็นฟีเจอร์ Shortcuts ที่เราคุ้นเคยกันดีใน iOS และ macOS การกลับมาครั้งนี้ในรูปแบบ Sky ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะสามารถ “เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ” และ “ใช้แอปเพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้” ได้อย่างชาญฉลาด OpenAI วางแผนจะนำเทคโนโลยีของ Sky มาผนวกเข้ากับ ChatGPT เพื่อให้สามารถควบคุมระบบ macOS ได้ในระดับลึก เช่น การสั่งงานข้ามแอป การจัดการไฟล์ หรือแม้แต่การวางแผนงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ ChatGPT กลายเป็นผู้ช่วยที่ทำงานแทนคุณได้จริง ไม่ใช่แค่ให้คำแนะนำ การเข้าซื้อกิจการนี้ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถลงมือทำแทนมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่ Apple กำลังพัฒนา Siri รุ่นใหม่ ที่จะสามารถควบคุมแอปของบุคคลที่สามได้ในปี 2026 นอกจากนี้ OpenAI ยังเพิ่งเปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของบริษัท และซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติไปก่อนหน้านี้ไม่นาน แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ OpenAI ในการสร้างระบบ AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ✅ การเข้าซื้อกิจการ Software Applications โดย OpenAI ➡️ บริษัทผู้พัฒนาแอป Sky สำหรับระบบอัตโนมัติบน macOS ➡️ ทีมผู้สร้างเคยพัฒนา Workflow ที่ Apple ซื้อไปในปี 2017 ✅ แอป Sky มีความสามารถโดดเด่น ➡️ เข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ➡️ ใช้แอปต่าง ๆ เพื่อดำเนินการแทนผู้ใช้ ➡️ รองรับการทำงานข้ามแอปแบบอัตโนมัติ ✅ แผนของ OpenAI กับ ChatGPT ➡️ ผนวกความสามารถของ Sky เข้ากับ ChatGPT ➡️ เพิ่มความสามารถในการควบคุมระบบ macOS ระดับลึก ➡️ เปลี่ยน ChatGPT ให้เป็นผู้ช่วยที่ “ลงมือทำ” ได้จริง ✅ แนวโน้ม Agentic AI ➡️ AI ที่สามารถดำเนินการแทนมนุษย์โดยอัตโนมัติ ➡️ เป็นทิศทางเดียวกับ Siri รุ่นใหม่ของ Apple ที่จะเปิดตัวในปี 2026 ✅ การขยายตัวของ OpenAI ➡️ เปิดตัว ChatGPT Atlas เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรก ➡️ ซื้อกิจการ Roi แอปลงทุนอัตโนมัติ https://securityonline.info/openai-buys-mac-automation-app-to-give-chatgpt-system-level-control/
    SECURITYONLINE.INFO
    OpenAI Buys Mac Automation App to Give ChatGPT System-Level Control
    OpenAI acquired Software Applications, the team behind the Mac app Sky, to integrate system-level automation and agentic AI capabilities into ChatGPT.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง

    OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน

    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน

    น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน

    การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4

    การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated
    เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS
    แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง
    ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT
    Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้

    ความสามารถของ Sky
    สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages
    สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป
    เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์
    พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple

    ความเคลื่อนไหวของ Apple
    Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026
    มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน
    หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta
    Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน

    https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    🧠 OpenAI เข้าซื้อบริษัทผู้สร้างแอป Sky บน macOS – เตรียมผสาน AI เข้ากับระบบของ Apple อย่างลึกซึ้ง OpenAI ประกาศเข้าซื้อ Software Applications Incorporated ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS แอปนี้เป็นผู้ช่วย AI ที่สามารถเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของผู้ใช้ และดำเนินการตามคำสั่งได้โดยตรง เช่น สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนผ่านแอป Messages หรือสร้างสคริปต์อัตโนมัติที่เชื่อมโยงหลายแอปเข้าด้วยกัน Sky ทำงานในหน้าต่างลอยขนาดเล็กที่อยู่เหนือแอปอื่น ๆ และมีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับระบบ macOS อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง OpenAI มองว่าเป็นโอกาสในการนำความสามารถนี้มาเสริมให้กับ ChatGPT โดยทีมงานทั้งหมดของ Sky จะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน น่าสนใจว่า ทีมที่สร้าง Sky เคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอป Workflow ซึ่ง Apple เคยซื้อไปในปี 2017 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shortcuts ดังนั้น Sky จึงถือเป็นวิวัฒนาการต่อยอดที่ก้าวข้ามความสามารถของ Siri และ Apple Intelligence ในปัจจุบัน การเข้าซื้อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น การลาออกของหัวหน้าทีม AKI (Answers, Knowledge and Information) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่นาน และความกังวลของวิศวกรบางส่วนต่อประสิทธิภาพของ Siri รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวใน iOS 26.4 ✅ การเข้าซื้อบริษัท Software Applications Incorporated ➡️ เป็นผู้พัฒนาแอป Sky บน macOS ➡️ แอป Sky เป็นผู้ช่วย AI ที่เข้าใจหน้าจอและดำเนินการตามคำสั่ง ➡️ ทีมงานทั้งหมดจะเข้าร่วมกับ OpenAI เพื่อพัฒนา ChatGPT ➡️ Sky ทำงานในหน้าต่างลอยและเชื่อมโยงหลายแอปได้ ✅ ความสามารถของ Sky ➡️ สรุปเนื้อหาเว็บไซต์แล้วส่งผ่าน Messages ➡️ สร้างสคริปต์อัตโนมัติและคำสั่งเฉพาะสำหรับแต่ละแอป ➡️ เข้าใจบริบทบนหน้าจอและดำเนินการแบบเรียลไทม์ ➡️ พัฒนาโดยทีมเดียวกับ Workflow ซึ่งกลายเป็น Shortcuts ของ Apple ✅ ความเคลื่อนไหวของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่จะเปิดตัวพร้อม iOS 26.4 ในปี 2026 ➡️ มีความกังวลเรื่องประสิทธิภาพของ Siri จากวิศวกรภายใน ➡️ หัวหน้าทีม AKI ลาออกไปเข้าร่วมกับ Meta ➡️ Apple Intelligence ยังตามหลังความสามารถของ Sky ในบางด้าน https://wccftech.com/openai-acquires-the-company-behind-the-new-apple-mac-app-sky/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI Acquires The Company Behind The New Apple Mac App Sky
    OpenAI is trying to encroach into Apple's sprawling ecosystem by acquiring a company that is championing enhanced automation on the Mac.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS

    มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7

    แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต

    แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน
    ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS
    เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน
    อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7

    ผลกระทบต่อจีน
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS
    อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน
    ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้
    มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน
    อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต
    การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    🇺🇸 สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7 แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ✅ แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน ➡️ ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS ➡️ เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7 ✅ ผลกระทบต่อจีน ➡️ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS ➡️ อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน ➡️ ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้ ➡️ มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน ⛔ อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต ⛔ การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ⛔ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวมาตรฐานใหม่ “UBIOS” แทน BIOS และ UEFI เดิม – ก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี

    จีนเดินหน้าสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ล่าสุดได้เปิดตัวมาตรฐานเฟิร์มแวร์ใหม่ชื่อว่า “UBIOS” (Unified Basic Input/Output System) เพื่อแทนที่ BIOS และ UEFI ที่ใช้กันมายาวนานในคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยมาตรฐานนี้ถูกพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจีน 13 แห่ง รวมถึง Huawei และ CESI โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ และสนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86 เช่น ARM, RISC-V และ LoongArch

    UBIOS ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่ได้พัฒนาต่อจาก UEFI ซึ่งจีนมองว่ามีความซับซ้อนเกินไปและถูกควบคุมโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Intel และ AMD การพัฒนาใหม่นี้ยังรองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing เช่น เมนบอร์ดที่มี CPU ต่างรุ่นกัน และระบบที่ใช้ชิปแบบ chiplet ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการคอมพิวเตอร์

    การเปิดตัว UBIOS ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของจีนตามแผน “Document 79” ที่มีเป้าหมายให้ประเทศเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่การมีมาตรฐานเฟิร์มแวร์ของตัวเองก็เป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมในอนาคต

    การเปิดตัวมาตรฐาน UBIOS
    เป็นเฟิร์มแวร์ใหม่ที่ใช้แทน BIOS และ UEFI
    พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทจีน 13 แห่ง เช่น Huawei, CESI
    ไม่พัฒนาต่อจาก UEFI แต่สร้างใหม่ทั้งหมดจาก BIOS เดิม
    รองรับการใช้งานกับ CPU ที่หลากหลาย เช่น ARM, RISC-V, LoongArch
    รองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing และ chiplet
    เตรียมเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Global Computing Conference ปี 2025 ที่เซินเจิ้น

    เป้าหมายของจีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี
    ลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ เช่น UEFI ที่ควบคุมโดย Intel และ AMD
    สนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86
    เป็นส่วนหนึ่งของแผน “Document 79” ที่จะเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    ยังไม่แน่ชัดว่า UBIOS จะได้รับการยอมรับในระดับสากลหรือไม่
    อาจเผชิญกับปัญหาความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่
    การเปลี่ยนมาตรฐานเฟิร์มแวร์อาจส่งผลต่อความมั่นคงของระบบในระยะเริ่มต้น
    หากไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงได้ อาจมีชะตากรรมแบบเดียวกับ LoongArch ที่ไม่เป็นที่นิยม

    https://www.tomshardware.com/software/china-releases-ubios-standard-to-replace-uefi-huawei-backed-bios-firmware-replacement-charges-chinas-domestic-computing-goals
    🇨🇳 จีนเปิดตัวมาตรฐานใหม่ “UBIOS” แทน BIOS และ UEFI เดิม – ก้าวสำคัญสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี จีนเดินหน้าสู่การพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ล่าสุดได้เปิดตัวมาตรฐานเฟิร์มแวร์ใหม่ชื่อว่า “UBIOS” (Unified Basic Input/Output System) เพื่อแทนที่ BIOS และ UEFI ที่ใช้กันมายาวนานในคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยมาตรฐานนี้ถูกพัฒนาโดยกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจีน 13 แห่ง รวมถึง Huawei และ CESI โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ และสนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86 เช่น ARM, RISC-V และ LoongArch UBIOS ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่ได้พัฒนาต่อจาก UEFI ซึ่งจีนมองว่ามีความซับซ้อนเกินไปและถูกควบคุมโดยบริษัทอเมริกันอย่าง Intel และ AMD การพัฒนาใหม่นี้ยังรองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing เช่น เมนบอร์ดที่มี CPU ต่างรุ่นกัน และระบบที่ใช้ชิปแบบ chiplet ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในวงการคอมพิวเตอร์ การเปิดตัว UBIOS ถือเป็นหนึ่งในความพยายามของจีนตามแผน “Document 79” ที่มีเป้าหมายให้ประเทศเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่การมีมาตรฐานเฟิร์มแวร์ของตัวเองก็เป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมในอนาคต ✅ การเปิดตัวมาตรฐาน UBIOS ➡️ เป็นเฟิร์มแวร์ใหม่ที่ใช้แทน BIOS และ UEFI ➡️ พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทจีน 13 แห่ง เช่น Huawei, CESI ➡️ ไม่พัฒนาต่อจาก UEFI แต่สร้างใหม่ทั้งหมดจาก BIOS เดิม ➡️ รองรับการใช้งานกับ CPU ที่หลากหลาย เช่น ARM, RISC-V, LoongArch ➡️ รองรับการใช้งานแบบ heterogeneous computing และ chiplet ➡️ เตรียมเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในงาน Global Computing Conference ปี 2025 ที่เซินเจิ้น ✅ เป้าหมายของจีนในการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี ➡️ ลดการพึ่งพามาตรฐานจากสหรัฐฯ เช่น UEFI ที่ควบคุมโดย Intel และ AMD ➡️ สนับสนุนการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ x86 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของแผน “Document 79” ที่จะเลิกใช้เทคโนโลยีตะวันตกภายในปี 2027 ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่แน่ชัดว่า UBIOS จะได้รับการยอมรับในระดับสากลหรือไม่ ⛔ อาจเผชิญกับปัญหาความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ ⛔ การเปลี่ยนมาตรฐานเฟิร์มแวร์อาจส่งผลต่อความมั่นคงของระบบในระยะเริ่มต้น ⛔ หากไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงได้ อาจมีชะตากรรมแบบเดียวกับ LoongArch ที่ไม่เป็นที่นิยม https://www.tomshardware.com/software/china-releases-ubios-standard-to-replace-uefi-huawei-backed-bios-firmware-replacement-charges-chinas-domestic-computing-goals
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China releases 'UBIOS' standard to replace UEFI — Huawei-backed BIOS firmware replacement charges China's domestic computing goals
    Support for chiplets, heterogeneous computing, and a step away from U.S.-based standards are key features of China's BIOS replacement.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple กับคำถามที่ยังค้างคา: “ความใส่ใจในรายละเอียดหายไปไหน?”

    หากคุณเคยหลงรัก Apple เพราะความเรียบง่าย ความสวยงาม และความใส่ใจในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ คุณอาจรู้สึกเหมือนถูกหักหลังในยุคหลังๆ โดยเฉพาะเมื่อได้สัมผัสกับ iOS 26 และ macOS 26 ที่เต็มไปด้วยความไม่ลงตัว ความไม่สอดคล้อง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ชวนให้หงุดหงิด

    John Ozbay นักพัฒนาและนักออกแบบที่เคยหลงใหลใน Apple ได้เขียนบล็อกที่สะท้อนความผิดหวังอย่างลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงของ Apple ในช่วง 8–10 ปีที่ผ่านมา เขายกตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่า Apple อาจละเลยหลักการออกแบบที่เคยเป็นหัวใจของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวาง search bar ที่ไม่สอดคล้องกันในแต่ละแอป การแจ้งเตือนที่รบกวนการทำงาน การออกแบบ UI ที่ไม่เหมาะกับ dark mode หรือแม้แต่การบังคับให้เบราว์เซอร์ third-party ใช้ WebKit ที่เต็มไปด้วยบั๊ก

    สิ่งที่น่าตกใจคือ Apple ไม่เพียงแค่ไม่แก้ไขปัญหาเก่า แต่ยังเพิ่มปัญหาใหม่ๆ เข้ามาอีก เช่น การออกแบบ “liquid glass” ที่ทำให้ข้อความใน iMessage อ่านยาก การจัดวาง UI ที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างแอป และการทำให้ control center กลายเป็น “ดิสโก้บอล” ที่ใช้งานยาก

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงคำถามสำคัญว่า Apple ยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้อยู่หรือไม่ หรือกำลังหลงทางไปกับการออกแบบที่เน้นความฉูดฉาดมากกว่าความเรียบง่ายที่เคยเป็นจุดแข็ง

    ความเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์ Apple
    iOS 26 และ macOS 26 มีปัญหาด้าน UI/UX มากมาย
    Search bar ถูกวางไว้ต่างกันในแต่ละแอป ทำให้ใช้งานยาก
    Reminders app รบกวนผู้ใช้ด้วย popup ขอสิทธิ์ซ้ำๆ
    Dark mode ใน Files app ทำให้บางองค์ประกอบมองไม่เห็น
    Share sheet และ Settings มีปัญหาในการแสดงผลไอคอน
    Safari และเบราว์เซอร์อื่นมีปัญหา viewport และปุ่มกระพริบ
    iMessage มีพื้นหลังที่ทำให้ข้อความอ่านยาก
    App Library แสดงไอคอนไม่ครบหรือไม่เสถียร

    ปัญหาด้านเทคโนโลยีและการบังคับใช้
    Apple บังคับให้เบราว์เซอร์ third-party ใช้ WebKit ที่มีบั๊ก
    การเปลี่ยน tab ใน Safari ต้องใช้สองขั้นตอนและมีเอฟเฟกต์รบกวน
    Liquid glass UI ไม่เหมาะกับหน้าจอขนาดเล็ก เช่น iPhone mini

    มุมมองจากนักพัฒนา
    John Ozbay และนักออกแบบหลายคนเริ่มหมดศรัทธาใน Apple
    Nielsen Norman Group ก็วิจารณ์ liquid glass ว่าเป็นการออกแบบที่ไม่เหมาะสม
    การออกแบบที่ไม่สอดคล้องกันสะท้อนถึงการขาดแนวทางร่วมของทีม

    https://blog.johnozbay.com/what-happened-to-apples-attention-to-detail.html
    🍎 Apple กับคำถามที่ยังค้างคา: “ความใส่ใจในรายละเอียดหายไปไหน?” หากคุณเคยหลงรัก Apple เพราะความเรียบง่าย ความสวยงาม และความใส่ใจในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ คุณอาจรู้สึกเหมือนถูกหักหลังในยุคหลังๆ โดยเฉพาะเมื่อได้สัมผัสกับ iOS 26 และ macOS 26 ที่เต็มไปด้วยความไม่ลงตัว ความไม่สอดคล้อง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ชวนให้หงุดหงิด John Ozbay นักพัฒนาและนักออกแบบที่เคยหลงใหลใน Apple ได้เขียนบล็อกที่สะท้อนความผิดหวังอย่างลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงของ Apple ในช่วง 8–10 ปีที่ผ่านมา เขายกตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่า Apple อาจละเลยหลักการออกแบบที่เคยเป็นหัวใจของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวาง search bar ที่ไม่สอดคล้องกันในแต่ละแอป การแจ้งเตือนที่รบกวนการทำงาน การออกแบบ UI ที่ไม่เหมาะกับ dark mode หรือแม้แต่การบังคับให้เบราว์เซอร์ third-party ใช้ WebKit ที่เต็มไปด้วยบั๊ก สิ่งที่น่าตกใจคือ Apple ไม่เพียงแค่ไม่แก้ไขปัญหาเก่า แต่ยังเพิ่มปัญหาใหม่ๆ เข้ามาอีก เช่น การออกแบบ “liquid glass” ที่ทำให้ข้อความใน iMessage อ่านยาก การจัดวาง UI ที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างแอป และการทำให้ control center กลายเป็น “ดิสโก้บอล” ที่ใช้งานยาก ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงคำถามสำคัญว่า Apple ยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้อยู่หรือไม่ หรือกำลังหลงทางไปกับการออกแบบที่เน้นความฉูดฉาดมากกว่าความเรียบง่ายที่เคยเป็นจุดแข็ง ✅ ความเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์ Apple ➡️ iOS 26 และ macOS 26 มีปัญหาด้าน UI/UX มากมาย ➡️ Search bar ถูกวางไว้ต่างกันในแต่ละแอป ทำให้ใช้งานยาก ➡️ Reminders app รบกวนผู้ใช้ด้วย popup ขอสิทธิ์ซ้ำๆ ➡️ Dark mode ใน Files app ทำให้บางองค์ประกอบมองไม่เห็น ➡️ Share sheet และ Settings มีปัญหาในการแสดงผลไอคอน ➡️ Safari และเบราว์เซอร์อื่นมีปัญหา viewport และปุ่มกระพริบ ➡️ iMessage มีพื้นหลังที่ทำให้ข้อความอ่านยาก ➡️ App Library แสดงไอคอนไม่ครบหรือไม่เสถียร ✅ ปัญหาด้านเทคโนโลยีและการบังคับใช้ ➡️ Apple บังคับให้เบราว์เซอร์ third-party ใช้ WebKit ที่มีบั๊ก ➡️ การเปลี่ยน tab ใน Safari ต้องใช้สองขั้นตอนและมีเอฟเฟกต์รบกวน ➡️ Liquid glass UI ไม่เหมาะกับหน้าจอขนาดเล็ก เช่น iPhone mini ✅ มุมมองจากนักพัฒนา ➡️ John Ozbay และนักออกแบบหลายคนเริ่มหมดศรัทธาใน Apple ➡️ Nielsen Norman Group ก็วิจารณ์ liquid glass ว่าเป็นการออกแบบที่ไม่เหมาะสม ➡️ การออกแบบที่ไม่สอดคล้องกันสะท้อนถึงการขาดแนวทางร่วมของทีม https://blog.johnozbay.com/what-happened-to-apples-attention-to-detail.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ”

    Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT

    นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg

    ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON

    ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น

    สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด

    ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33
    รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode
    เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device
    เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา
    เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd
    เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON

    การปรับปรุงระบบและ UI
    เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ
    ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm
    ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel
    เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP
    ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info

    แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน
    เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base
    ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ
    อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs)
    ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0
    เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต

    https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    💾 “Clonezilla Live 3.3.0-33 มาแล้ว! รองรับการโคลน MTD และ eMMC พร้อมเครื่องมือใหม่เพียบ” Clonezilla Live เวอร์ชัน 3.3.0-33 เพิ่งเปิดตัว โดยเป็นระบบ live OS สำหรับการโคลนดิสก์และพาร์ทิชันที่อิงจาก Debian และใช้ Linux kernel 6.16 จุดเด่นของเวอร์ชันนี้คือการเพิ่มการรองรับการโคลนอุปกรณ์ MTD block และ eMMC boot ในโหมดผู้เชี่ยวชาญ (expert mode) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับงาน embedded system และอุปกรณ์ IoT นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือใหม่ชื่อว่า ocs-blkdev-sorter ที่ช่วยให้ udev สร้าง alias block device ใน /dev/ocs-disks/ ได้สะดวกขึ้น และ ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลาในระบบผ่าน ocs-live-netcfg ยังมีการเพิ่มตัวเลือก -uoab ใน ocs-sr และ ocs-live-feed-img เพื่อให้เลือก alias block device ได้จาก UI แบบข้อความ และเครื่องมือใหม่อีกหลายตัว เช่น ocs-cmd-screen-sample, ocs-live-gen-ubrd, และ ocs-blk-dev-info ที่ให้ข้อมูล block device ในรูปแบบ JSON ด้านระบบยังมีการเพิ่มแพ็กเกจสำคัญ เช่น atd, cron, upower, และ dhcpcd-base รวมถึงปรับปรุงการตั้งค่า locale และ keymap ให้เลือกได้จาก shell login โดยใช้ fbterm เป็นค่าเริ่มต้น สุดท้าย Clonezilla Live 3.3.0-33 ยังอัปเดตสคริปต์ต่าง ๆ เช่น ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, และ ocs-live-swap-kernel เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้บั๊กหลายจุด ✅ ความสามารถใหม่ใน Clonezilla Live 3.3.0-33 ➡️ รองรับการโคลน MTD block และ eMMC boot device ใน expert mode ➡️ เพิ่ม ocs-blkdev-sorter สำหรับสร้าง alias block device ➡️ เพิ่ม ocs-live-time-sync สำหรับซิงค์เวลา ➡️ เพิ่ม ocs-cmd-screen-sample และ ocs-live-gen-ubrd ➡️ เพิ่ม ocs-blk-dev-info สำหรับแสดงข้อมูล block device แบบ JSON ✅ การปรับปรุงระบบและ UI ➡️ เพิ่มตัวเลือก -uoab ใน UI แบบข้อความ ➡️ ปรับ locale และ keymap ให้เลือกจาก shell login ด้วย fbterm ➡️ ปรับปรุง ocs-iso-2-onie, ocs-cvt-dev, ocs-live-swap-kernel ➡️ เพิ่มการรองรับ CPU architecture ในชื่อไฟล์ ISO/ZIP ➡️ ปรับปรุงการแสดงผลของ ocs-scan-disk และ ocs-get-dev-info ✅ แพ็กเกจและระบบพื้นฐาน ➡️ เพิ่มแพ็กเกจ atd, cron, upower, dhcpcd-base ➡️ ใช้ Debian Sid (ณ วันที่ 17 ต.ค. 2025) เป็นฐานระบบ ➡️ อัปเดต Partclone เป็นเวอร์ชัน 0.3.38 (แก้บั๊กเกี่ยวกับ btrfs) ➡️ ปรับ grub.cfg ให้ใช้ efitextmode 0 ➡️ เพิ่มกลไกตั้งค่า timezone จาก BIOS หากไม่มีอินเทอร์เน็ต https://9to5linux.com/clonezilla-live-3-3-0-33-adds-support-for-cloning-mtd-block-and-emmc-boot-devices
    9TO5LINUX.COM
    Clonezilla Live 3.3.0-33 Adds Support for Cloning MTD Block and eMMC Boot Devices - 9to5Linux
    Clonezilla Live 3.3.0-33 open-source and free disk cloning/imaging tool is now available for download with various changes and updated components.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts