• การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน

    ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell

    ความท้าทายจาก Huawei
    Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การกลับลำของสหรัฐ
    อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน
    เก็บค่าธรรมเนียม 25%

    ความท้าทายจาก Huawei
    เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C
    แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72

    กลยุทธ์ของสหรัฐ
    พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด
    เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA
    Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน
    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
    อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    🇺🇸 การกลับลำของสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกชิป Nvidia H200 ไปยังจีน ทำเนียบขาวอนุญาตให้ Nvidia ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แม้ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเข้มงวด โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียม 25% การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของ “American tech stack” และยังคงควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงสถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดอย่าง Blackwell 🇨🇳 ความท้าทายจาก Huawei Huawei เปิดตัวระบบ CloudMatrix 384 ที่ใช้ชิป Ascend 910C จำนวน 384 ตัว ซึ่งถูกวางตำแหน่งแข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 แม้ยังมีข้อด้อยด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้จีนมีทางเลือกนอกเหนือจาก CUDA ของ Nvidia ⚡ กลยุทธ์ของสหรัฐ รายงานเผยว่ามีการพิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่การห้ามส่งออกทั้งหมด ไปจนถึงการ “ท่วมตลาด” ด้วยชิป Nvidia เพื่อกดดัน Huawei สุดท้ายเลือกแนวทางกลาง ๆ คืออนุญาตให้ส่งออก H200 แต่ไม่ใช่ Blackwell เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงสถาปัตยกรรม 🔍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง Nvidia ยังคงครองความได้เปรียบด้วย CUDA แต่ Huawei กำลังเร่งผลิตชิป 910C ให้ได้ถึง 600,000 ตัวในปีหน้า และอาจแตะระดับ “หลายล้านตัว” ภายในปี 2026 ซึ่งจะเป็นการท้าทายอำนาจผูกขาดของ Nvidia 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การกลับลำของสหรัฐ ➡️ อนุญาตส่งออก Nvidia H200 ไปจีน ➡️ เก็บค่าธรรมเนียม 25% ✅ ความท้าทายจาก Huawei ➡️ เปิดตัว CloudMatrix 384 ใช้ชิป Ascend 910C ➡️ แข่งกับ Nvidia GB200 NVL72 ✅ กลยุทธ์ของสหรัฐ ➡️ พิจารณาหลายทางเลือก ตั้งแต่ห้ามส่งออกจนถึงท่วมตลาด ➡️ เลือกอนุญาต H200 แต่ห้าม Blackwell ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ➡️ Nvidia ยังคงครองตลาดด้วย CUDA ➡️ Huawei ตั้งเป้าผลิตชิป 910C หลายล้านตัวในปี 2026 ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ การแข่งขันอาจทำให้ตลาด AI แบ่งขั้วชัดเจน ⛔ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ⛔ อาจกระทบต่อซัพพลายเชนและราคาชิปทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/white-house-u-turn-on-nvidia-h200-ai-accelerator-exports-down-to-huaweis-powerful-new-ascend-chips-report-claims-u-s-committed-to-dominance-of-the-american-tech-stack
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • "ทรัมป์อนุมัติส่งออก Nvidia H200 ไปจีน พร้อมค่าธรรมเนียม 25%"
    รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งออกชิป H200 Hopper-class AI accelerators ไปยังลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติในจีน . การตัดสินใจครั้งนี้มาพร้อมเงื่อนไขว่าต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และชิปจะถูกตรวจสอบความปลอดภัยในสหรัฐก่อนส่งต่อไปจีน

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI
    ชิป H200 ถือเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ที่จีนเคยได้รับอนุญาตให้ใช้ แต่ยังต่ำกว่ารุ่น Blackwell ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด . การอนุมัติครั้งนี้ช่วยให้บริษัทจีน เช่น Alibaba, Tencent และ ByteDance สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการฝึกและดูแลโมเดล AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องพึ่งพาการประมวลผลในต่างประเทศ

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    แม้จะเป็นการเปิดตลาด แต่หลายฝ่ายในสหรัฐฯ มองว่าการส่งออก H200 อาจเป็น ภัยต่อความมั่นคง เพราะยังคงมีศักยภาพสูงในการพัฒนา AI กลุ่มวุฒิสมาชิกได้เสนอร่างกฎหมาย SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออกชิปขั้นสูงไปจีนเป็นเวลา 30 เดือน

    มุมมองจากจีน
    ฝ่ายจีนเองยังคงระมัดระวัง โดยมีรายงานว่ากำลังพิจารณาอนุญาตให้ใช้ H200 เฉพาะในกรณีที่ชิปภายในประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ได้ . นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะห้ามหน่วยงานภาครัฐซื้อชิป Nvidia เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ

    สรุปสาระสำคัญ
    การอนุมัติส่งออก H200
    ต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย

    ศักยภาพของ H200
    แรงกว่ารุ่น H20 แต่ยังต่ำกว่า Blackwell

    ผลต่อบริษัทจีน
    Alibaba, Tencent, ByteDance ได้ประโยชน์ในการฝึกโมเดล AI

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    วุฒิสมาชิกสหรัฐเสนอ SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออก

    คำเตือนจากจีน
    อาจจำกัดการใช้งาน H200 และห้ามภาครัฐซื้อชิป Nvidia

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/trump-approves-nvidia-h20-exports-to-china-25percent-fee-applies
    🏛️ "ทรัมป์อนุมัติส่งออก Nvidia H200 ไปจีน พร้อมค่าธรรมเนียม 25%" รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอนุญาตให้บริษัท Nvidia ส่งออกชิป H200 Hopper-class AI accelerators ไปยังลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติในจีน . การตัดสินใจครั้งนี้มาพร้อมเงื่อนไขว่าต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และชิปจะถูกตรวจสอบความปลอดภัยในสหรัฐก่อนส่งต่อไปจีน ⚡ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI ชิป H200 ถือเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่น H20 ที่จีนเคยได้รับอนุญาตให้ใช้ แต่ยังต่ำกว่ารุ่น Blackwell ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด . การอนุมัติครั้งนี้ช่วยให้บริษัทจีน เช่น Alibaba, Tencent และ ByteDance สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการฝึกและดูแลโมเดล AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องพึ่งพาการประมวลผลในต่างประเทศ 🛡️ ความกังวลด้านความมั่นคง แม้จะเป็นการเปิดตลาด แต่หลายฝ่ายในสหรัฐฯ มองว่าการส่งออก H200 อาจเป็น ภัยต่อความมั่นคง เพราะยังคงมีศักยภาพสูงในการพัฒนา AI กลุ่มวุฒิสมาชิกได้เสนอร่างกฎหมาย SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออกชิปขั้นสูงไปจีนเป็นเวลา 30 เดือน 🌍 มุมมองจากจีน ฝ่ายจีนเองยังคงระมัดระวัง โดยมีรายงานว่ากำลังพิจารณาอนุญาตให้ใช้ H200 เฉพาะในกรณีที่ชิปภายในประเทศไม่สามารถตอบโจทย์ได้ . นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะห้ามหน่วยงานภาครัฐซื้อชิป Nvidia เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอนุมัติส่งออก H200 ➡️ ต้องเสียค่าธรรมเนียม 25% และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย ✅ ศักยภาพของ H200 ➡️ แรงกว่ารุ่น H20 แต่ยังต่ำกว่า Blackwell ✅ ผลต่อบริษัทจีน ➡️ Alibaba, Tencent, ByteDance ได้ประโยชน์ในการฝึกโมเดล AI ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ วุฒิสมาชิกสหรัฐเสนอ SAFE CHIPS Act เพื่อระงับการส่งออก ‼️ คำเตือนจากจีน ⛔ อาจจำกัดการใช้งาน H200 และห้ามภาครัฐซื้อชิป Nvidia https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/trump-approves-nvidia-h20-exports-to-china-25percent-fee-applies
    0 Comments 0 Shares 168 Views 0 Reviews
  • Nvidia ได้ไฟเขียวส่งออก H200 GPU ไปจีน

    ตามรายงานจาก Tom’s Hardware และแหล่งข่าวของ Semafor กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DoC) เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 AI GPU ไปยังจีน แม้ยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายควบคุมการส่งออกปี 2023 แต่จะมีการตีความที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น

    รายละเอียดของ H200
    เปิดตัวปี 2022 เป็นรุ่น Hopper architecture
    มาพร้อม 144 GB HBM3 memory เหมาะสำหรับการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่
    ประสิทธิภาพเหนือกว่า HGX H20 ที่ถูกออกแบบให้ “ลดสเปก” เพื่อตามข้อจำกัดการส่งออก

    เหตุผลที่สหรัฐฯ ผ่อนปรน
    การจำกัดการส่งออกก่อนหน้านี้ไม่ได้หยุดความก้าวหน้าของจีน
    บริษัทอย่าง Alibaba, DeepSeek และ Huawei ยังคงพัฒนาโมเดล AI ขั้นสูงได้
    จีนสามารถผลิตฮาร์ดแวร์ทดแทนเองและเผยแพร่มาตรฐาน AI ของตน

    การอนุญาต H200 จึงเป็นการ “ยกเพดานประสิทธิภาพ” โดยไม่แก้ไขกฎหมายเดิม แต่ให้ใบอนุญาตพิเศษ

    ปฏิกิริยาจากจีน
    จีนเคยปฏิเสธ H20 เพราะมองว่าเป็นรุ่นลดสเปกที่ “ไม่จริงใจ”
    H200 เป็นรุ่นเต็มสมรรถนะ จึงมีโอกาสที่จีนจะยอมรับมากกว่า
    อย่างไรก็ตาม จีนอาจลังเล เพราะการพึ่งพา Nvidia อาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกตัดขาดอีกครั้ง และอาจชะลอการพัฒนาฮาร์ดแวร์ในประเทศ เช่นของ Huawei

    สรุปประเด็นสำคัญ
    DoC สหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 GPU ไปจีน
    H200 มี 144 GB HBM3 และแรงกว่ารุ่น H20 ที่ถูกลดสเปก
    การผ่อนปรนสะท้อนว่าข้อจำกัดเดิมไม่หยุดความก้าวหน้าของจีน
    จีนอาจยอมรับ H200 แต่ยังเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ
    การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลต่อการแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในระยะยาว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-wins-h200-exports-to-china-us-department-of-commerce-set-to-ease-restrictions-for-full-hopper-ai-gpu
    🇨🇳 Nvidia ได้ไฟเขียวส่งออก H200 GPU ไปจีน ตามรายงานจาก Tom’s Hardware และแหล่งข่าวของ Semafor กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DoC) เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 AI GPU ไปยังจีน แม้ยังคงอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายควบคุมการส่งออกปี 2023 แต่จะมีการตีความที่ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น ⚙️ รายละเอียดของ H200 💠 เปิดตัวปี 2022 เป็นรุ่น Hopper architecture 💠 มาพร้อม 144 GB HBM3 memory เหมาะสำหรับการเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ 💠 ประสิทธิภาพเหนือกว่า HGX H20 ที่ถูกออกแบบให้ “ลดสเปก” เพื่อตามข้อจำกัดการส่งออก 🎯 เหตุผลที่สหรัฐฯ ผ่อนปรน การจำกัดการส่งออกก่อนหน้านี้ไม่ได้หยุดความก้าวหน้าของจีน 🎗️ บริษัทอย่าง Alibaba, DeepSeek และ Huawei ยังคงพัฒนาโมเดล AI ขั้นสูงได้ 🎗️ จีนสามารถผลิตฮาร์ดแวร์ทดแทนเองและเผยแพร่มาตรฐาน AI ของตน การอนุญาต H200 จึงเป็นการ “ยกเพดานประสิทธิภาพ” โดยไม่แก้ไขกฎหมายเดิม แต่ให้ใบอนุญาตพิเศษ 🇨🇳 ปฏิกิริยาจากจีน 🎗️ จีนเคยปฏิเสธ H20 เพราะมองว่าเป็นรุ่นลดสเปกที่ “ไม่จริงใจ” 🎗️ H200 เป็นรุ่นเต็มสมรรถนะ จึงมีโอกาสที่จีนจะยอมรับมากกว่า 🎗️ อย่างไรก็ตาม จีนอาจลังเล เพราะการพึ่งพา Nvidia อาจทำให้เสี่ยงต่อการถูกตัดขาดอีกครั้ง และอาจชะลอการพัฒนาฮาร์ดแวร์ในประเทศ เช่นของ Huawei 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ DoC สหรัฐฯ เตรียมอนุญาตให้ Nvidia ส่งออก H200 GPU ไปจีน ✅ H200 มี 144 GB HBM3 และแรงกว่ารุ่น H20 ที่ถูกลดสเปก ✅ การผ่อนปรนสะท้อนว่าข้อจำกัดเดิมไม่หยุดความก้าวหน้าของจีน ✅ จีนอาจยอมรับ H200 แต่ยังเสี่ยงต่อการพึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ ✅ การตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลต่อการแข่งขัน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในระยะยาว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-reportedly-wins-h200-exports-to-china-us-department-of-commerce-set-to-ease-restrictions-for-full-hopper-ai-gpu
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia reportedly wins H200 exports to China
    The U.S. government is reportedly preparing to let Nvidia ship its H200 accelerators to China, a move that could restore Nvidia in the Chinese AI market.
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: SAFE Chips Act จำกัดการส่งออกชิป AI ไปจีน

    ร่างกฎหมาย SAFE Chips Act (Secure and Feasible Exports of Chips Act of 2025) ถูกเสนอโดยกลุ่มวุฒิสมาชิกทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต มีเป้าหมายเพื่อ ล็อกกฎควบคุมการส่งออกชิป AI และ HPC ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เคยออกไว้แล้วให้กลายเป็นกฎหมายถาวร หากผ่าน จะทำให้บริษัทอย่าง Nvidia และ AMD ไม่สามารถขายชิปสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น Blackwell หรือ MI355X ให้กับจีนได้ในช่วง 30 เดือนข้างหน้า

    รายละเอียดทางเทคนิคของข้อจำกัด
    ชิปที่ถูกจัดว่าเป็น “ขั้นสูง” จะถูกควบคุมตามเกณฑ์ ECCN 3A090/4A090
    เกณฑ์ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ เช่น TPP ≥ 4,800, แบนด์วิดท์ DRAM ≥ 4,100 GB/s, และแบนด์วิดท์รวม DRAM+Interconnect ≥ 5,000 GB/s
    Nvidia และ AMD จึงสามารถขายได้เพียง H20 และ MI308 ที่ถูกออกแบบให้ต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าว

    ผลกระทบต่อการแข่งขัน
    แม้ Nvidia และ AMD จะยังสามารถขายรุ่นลดสเปกให้จีน แต่คู่แข่งในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910C และ Ascend 950 กำลังพัฒนาได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้จีนอาจลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเร่งสร้างระบบนิเวศของตัวเอง ขณะที่ Nvidia เตือนว่าการห้ามขายชิปขั้นสูงอาจทำให้บริษัทสูญเสียตลาดและเปิดโอกาสให้จีนครองความเป็นผู้นำในอนาคต

    ความเสี่ยงและข้อกังวล
    ร่างกฎหมายนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส แต่หากบังคับใช้จริง อาจกระทบต่อรายได้ของบริษัทสหรัฐฯ และการลงทุนด้าน R&D ขณะเดียวกันก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเร็วขึ้น ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SAFE Chips Act เสนอจำกัดการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปจีน
    อนุญาตให้ขายเฉพาะ Nvidia H20 และ AMD MI308 จนถึงปี 2028

    ข้อจำกัดทางเทคนิคตาม ECCN 3A090/4A090
    ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ TPP, DRAM และ Interconnect bandwidth

    ผลกระทบต่อการแข่งขัน
    จีนเร่งพัฒนา Huawei Ascend ที่แรงกว่า H20 และ MI308

    คำเตือนและข้อกังวล
    Nvidia อาจสูญเสียตลาดและรายได้มหาศาล
    การห้ามขายอาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีเร็วขึ้นและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/senators-lobby-for-safe-chips-act-which-would-curb-leading-edge-ai-chip-exports-to-china-proposed-bill-would-restrict-amd-and-nvidia-to-h20-mi308-class-accelerator-sales-until-2028
    🏛️ ข่าวใหญ่: SAFE Chips Act จำกัดการส่งออกชิป AI ไปจีน ร่างกฎหมาย SAFE Chips Act (Secure and Feasible Exports of Chips Act of 2025) ถูกเสนอโดยกลุ่มวุฒิสมาชิกทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต มีเป้าหมายเพื่อ ล็อกกฎควบคุมการส่งออกชิป AI และ HPC ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เคยออกไว้แล้วให้กลายเป็นกฎหมายถาวร หากผ่าน จะทำให้บริษัทอย่าง Nvidia และ AMD ไม่สามารถขายชิปสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น Blackwell หรือ MI355X ให้กับจีนได้ในช่วง 30 เดือนข้างหน้า 🔧 รายละเอียดทางเทคนิคของข้อจำกัด 💠 ชิปที่ถูกจัดว่าเป็น “ขั้นสูง” จะถูกควบคุมตามเกณฑ์ ECCN 3A090/4A090 💠 เกณฑ์ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ เช่น TPP ≥ 4,800, แบนด์วิดท์ DRAM ≥ 4,100 GB/s, และแบนด์วิดท์รวม DRAM+Interconnect ≥ 5,000 GB/s 💠 Nvidia และ AMD จึงสามารถขายได้เพียง H20 และ MI308 ที่ถูกออกแบบให้ต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าว 🌍 ผลกระทบต่อการแข่งขัน แม้ Nvidia และ AMD จะยังสามารถขายรุ่นลดสเปกให้จีน แต่คู่แข่งในประเทศ เช่น Huawei Ascend 910C และ Ascend 950 กำลังพัฒนาได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้จีนอาจลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเร่งสร้างระบบนิเวศของตัวเอง ขณะที่ Nvidia เตือนว่าการห้ามขายชิปขั้นสูงอาจทำให้บริษัทสูญเสียตลาดและเปิดโอกาสให้จีนครองความเป็นผู้นำในอนาคต ⚠️ ความเสี่ยงและข้อกังวล ร่างกฎหมายนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรส แต่หากบังคับใช้จริง อาจกระทบต่อรายได้ของบริษัทสหรัฐฯ และการลงทุนด้าน R&D ขณะเดียวกันก็อาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเร็วขึ้น ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SAFE Chips Act เสนอจำกัดการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปจีน ➡️ อนุญาตให้ขายเฉพาะ Nvidia H20 และ AMD MI308 จนถึงปี 2028 ✅ ข้อจำกัดทางเทคนิคตาม ECCN 3A090/4A090 ➡️ ครอบคลุมค่าประสิทธิภาพ TPP, DRAM และ Interconnect bandwidth ✅ ผลกระทบต่อการแข่งขัน ➡️ จีนเร่งพัฒนา Huawei Ascend ที่แรงกว่า H20 และ MI308 ‼️ คำเตือนและข้อกังวล ⛔ Nvidia อาจสูญเสียตลาดและรายได้มหาศาล ⛔ การห้ามขายอาจผลักดันให้จีนพัฒนาเทคโนโลยีเร็วขึ้นและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/senators-lobby-for-safe-chips-act-which-would-curb-leading-edge-ai-chip-exports-to-china-proposed-bill-would-restrict-amd-and-nvidia-to-h20-mi308-class-accelerator-sales-until-2028
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • ไต้หวันรอดภาษีลงโทษ 300%

    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขู่จะเก็บภาษีสูงถึง 300% ต่อการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน แต่ล่าสุด Wu Cheng-wen รัฐมนตรีสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไต้หวันยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่เดินหน้ามาตรการดังกล่าว เนื่องจากการลงโทษไต้หวันไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ

    โมเดล “Silicon Shield” และการลงทุนในสหรัฐฯ
    ไต้หวันมีระบบ science parks และ industrial parks ที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า ทำให้บริษัทอย่าง TSMC กลายเป็นผู้นำโลกด้านการผลิตชิป ขณะเดียวกัน ไต้หวันยังลงทุนมหาศาลในสหรัฐฯ เช่น TSMC ลงทุน $165 พันล้านใน Arizona เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ R&D

    ข้อตกลงการค้าใหม่และการลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์
    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าข้อตกลงการค้าใหม่จะนำไปสู่การลงทุนจากไต้หวันกว่า 400 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการขยายธุรกิจของบริษัท GlobalWafers และผู้ผลิตเทคโนโลยีอื่น ๆ การลงทุนนี้จะช่วยเสริมสร้าง “Silicon Shield” ที่สองในสหรัฐฯ และลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากไต้หวันเพียงอย่างเดียว

    การเปลี่ยนแปลงสู่ “AI Island”
    นอกจากการลงทุนในสหรัฐฯ ไต้หวันยังทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI, หุ่นยนต์, โดรน และเทคโนโลยีการแพทย์ พร้อมทั้งจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สหรัฐฯ ไม่เดินหน้าภาษี 300% ต่อการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน
    Wu Cheng-wen ยืนยันว่าการลงโทษไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ

    ไต้หวันมีโมเดล science parks และ industrial parks
    ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า

    TSMC ลงทุนกว่า $165 พันล้านใน Arizona
    สร้างโรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัยพัฒนาในสหรัฐฯ

    ข้อตกลงการค้าใหม่อาจนำไปสู่การลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์จากไต้หวัน
    รวมถึงการขยายธุรกิจของ GlobalWafers และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ

    ไต้หวันทุ่มงบ $3 พันล้านเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI และหุ่นยนต์
    สร้างภาพลักษณ์ใหม่เป็น “AI Island”

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากเทคโนโลยีขั้นสูงรั่วไหล
    รัฐบาลไต้หวันจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC

    ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงสูง
    การลงทุนและข้อตกลงใหม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-set-to-avoid-punishing-300-percent-tariffs-on-semiconductor-exports-says-report-new-trade-deal-could-spur-usd400-billion-investment-commitment-from-island-nation
    🇹🇼 ไต้หวันรอดภาษีลงโทษ 300% รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขู่จะเก็บภาษีสูงถึง 300% ต่อการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน แต่ล่าสุด Wu Cheng-wen รัฐมนตรีสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไต้หวันยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่เดินหน้ามาตรการดังกล่าว เนื่องจากการลงโทษไต้หวันไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ 🏭 โมเดล “Silicon Shield” และการลงทุนในสหรัฐฯ ไต้หวันมีระบบ science parks และ industrial parks ที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า ทำให้บริษัทอย่าง TSMC กลายเป็นผู้นำโลกด้านการผลิตชิป ขณะเดียวกัน ไต้หวันยังลงทุนมหาศาลในสหรัฐฯ เช่น TSMC ลงทุน $165 พันล้านใน Arizona เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ R&D 💵 ข้อตกลงการค้าใหม่และการลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าข้อตกลงการค้าใหม่จะนำไปสู่การลงทุนจากไต้หวันกว่า 400 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการขยายธุรกิจของบริษัท GlobalWafers และผู้ผลิตเทคโนโลยีอื่น ๆ การลงทุนนี้จะช่วยเสริมสร้าง “Silicon Shield” ที่สองในสหรัฐฯ และลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากไต้หวันเพียงอย่างเดียว 🤖 การเปลี่ยนแปลงสู่ “AI Island” นอกจากการลงทุนในสหรัฐฯ ไต้หวันยังทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI, หุ่นยนต์, โดรน และเทคโนโลยีการแพทย์ พร้อมทั้งจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สหรัฐฯ ไม่เดินหน้าภาษี 300% ต่อการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน ➡️ Wu Cheng-wen ยืนยันว่าการลงโทษไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ ✅ ไต้หวันมีโมเดล science parks และ industrial parks ➡️ ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า ✅ TSMC ลงทุนกว่า $165 พันล้านใน Arizona ➡️ สร้างโรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัยพัฒนาในสหรัฐฯ ✅ ข้อตกลงการค้าใหม่อาจนำไปสู่การลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์จากไต้หวัน ➡️ รวมถึงการขยายธุรกิจของ GlobalWafers และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ✅ ไต้หวันทุ่มงบ $3 พันล้านเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI และหุ่นยนต์ ➡️ สร้างภาพลักษณ์ใหม่เป็น “AI Island” ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากเทคโนโลยีขั้นสูงรั่วไหล ⛔ รัฐบาลไต้หวันจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC ‼️ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงสูง ⛔ การลงทุนและข้อตกลงใหม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-set-to-avoid-punishing-300-percent-tariffs-on-semiconductor-exports-says-report-new-trade-deal-could-spur-usd400-billion-investment-commitment-from-island-nation
    0 Comments 0 Shares 479 Views 0 Reviews
  • 20 ปีของความพยายามในการถอดรหัสไฟล์ .lin

    บทความ A File Format Uncracked for 20 Years โดย Lander เล่าประสบการณ์การพยายาม รีเวิร์สเอนจิเนียร์ไฟล์ .lin ของเกม Splinter Cell (2002) ซึ่งใช้ Unreal Engine 2 และยังคงเป็นปริศนามากว่าสองทศวรรษ แม้จะมีการศึกษามากมาย แต่โครงสร้างไฟล์ยังไม่ถูกถอดรหัสอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลแบบบีบอัดและการอ่านที่ซับซ้อน

    จุดเริ่มต้นจาก Splinter Cell
    ผู้เขียนเล่าว่า Splinter Cell บน Xbox ดั้งเดิมเป็นเกมที่ทำให้เขาสนใจการแฮ็กและการเขียนโปรแกรม เขาพยายามค้นหาคอนเทนต์ที่ถูกตัดออกจากเกม เช่น debug menu, voice lines หรือด่านที่ไม่ถูกปล่อย แต่พบว่าไฟล์ที่สำคัญคือ .lin ซึ่งไม่เคยมีใครถอดรหัสได้ชัดเจน

    โครงสร้างไฟล์ .lin
    ไฟล์ .lin มีลักษณะคล้าย container ที่บรรจุข้อมูลหลายส่วน เช่น maps, textures และ scripts โดยใช้ zlib compression และมีการจัดเรียงข้อมูลแบบไม่สามารถ seek ได้ (ต้องอ่านต่อเนื่อง) ทำให้การวิเคราะห์ยากมาก นอกจากนี้ยังมี file table ที่บันทึก offset และ length ของไฟล์ย่อย แต่ค่าที่บันทึกไว้กลับไม่ตรงกับข้อมูลจริง

    ความพยายามในการรีเวิร์สเอนจิเนียร์
    ผู้เขียนใช้ emulator (xemu) และ debugger เพื่อติดตามการอ่านไฟล์ พบว่า engine ใช้วิธี lazy loading และ interleaving data ระหว่าง object exports ทำให้ไม่สามารถอ่านไฟล์แบบตรงไปตรงมาได้ ต้องเข้าใจการ deserialize ของแต่ละ class ใน C++ ที่ engine ใช้ ซึ่งซับซ้อนและไม่เคยมีเอกสารชัดเจนมาก่อน

    เหตุผลที่ไฟล์ถูกออกแบบเช่นนี้
    การออกแบบ .lin สะท้อนข้อจำกัดของ Xbox รุ่นแรกที่มี RAM เพียง 64MB และต้องโหลดข้อมูลจากแผ่นดิสก์อย่างรวดเร็ว การบีบอัดและการจัดเรียงข้อมูลแบบ sequential read ช่วยลดการ seek บนสื่อจริงและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ก็ทำให้การถอดรหัสไฟล์ในภายหลังแทบเป็นไปไม่ได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ไฟล์ .lin ของ Splinter Cell เป็น container format
    ใช้ zlib compression และเก็บ maps, textures, scripts

    file table มีข้อมูล offset และ length
    แต่ค่าที่บันทึกไม่ตรงกับข้อมูลจริง ทำให้ parsing ยาก

    engine ใช้ lazy loading และ interleaving data
    ต้องเข้าใจการ deserialize ของ object ใน C++

    การออกแบบไฟล์สะท้อนข้อจำกัดของ Xbox รุ่นแรก
    RAM 64MB และการอ่านจากแผ่นดิสก์ต้องเร็วและมีประสิทธิภาพ

    การถอดรหัสไฟล์ .lin ยังไม่สมบูรณ์
    ต้องใช้ความเข้าใจลึกใน Unreal Engine 2 และโครงสร้างภายในเกม

    การ reverse engineer มีความเสี่ยงด้านเวลาและความซับซ้อนสูง
    อาจไม่สามารถนำไปใช้กับเกมอื่น ๆ ได้โดยตรง

    https://landaire.net/a-file-format-uncracked-for-20-years/
    📁 20 ปีของความพยายามในการถอดรหัสไฟล์ .lin บทความ A File Format Uncracked for 20 Years โดย Lander เล่าประสบการณ์การพยายาม รีเวิร์สเอนจิเนียร์ไฟล์ .lin ของเกม Splinter Cell (2002) ซึ่งใช้ Unreal Engine 2 และยังคงเป็นปริศนามากว่าสองทศวรรษ แม้จะมีการศึกษามากมาย แต่โครงสร้างไฟล์ยังไม่ถูกถอดรหัสอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลแบบบีบอัดและการอ่านที่ซับซ้อน 🎮 จุดเริ่มต้นจาก Splinter Cell ผู้เขียนเล่าว่า Splinter Cell บน Xbox ดั้งเดิมเป็นเกมที่ทำให้เขาสนใจการแฮ็กและการเขียนโปรแกรม เขาพยายามค้นหาคอนเทนต์ที่ถูกตัดออกจากเกม เช่น debug menu, voice lines หรือด่านที่ไม่ถูกปล่อย แต่พบว่าไฟล์ที่สำคัญคือ .lin ซึ่งไม่เคยมีใครถอดรหัสได้ชัดเจน 🗂️ โครงสร้างไฟล์ .lin ไฟล์ .lin มีลักษณะคล้าย container ที่บรรจุข้อมูลหลายส่วน เช่น maps, textures และ scripts โดยใช้ zlib compression และมีการจัดเรียงข้อมูลแบบไม่สามารถ seek ได้ (ต้องอ่านต่อเนื่อง) ทำให้การวิเคราะห์ยากมาก นอกจากนี้ยังมี file table ที่บันทึก offset และ length ของไฟล์ย่อย แต่ค่าที่บันทึกไว้กลับไม่ตรงกับข้อมูลจริง 🔍 ความพยายามในการรีเวิร์สเอนจิเนียร์ ผู้เขียนใช้ emulator (xemu) และ debugger เพื่อติดตามการอ่านไฟล์ พบว่า engine ใช้วิธี lazy loading และ interleaving data ระหว่าง object exports ทำให้ไม่สามารถอ่านไฟล์แบบตรงไปตรงมาได้ ต้องเข้าใจการ deserialize ของแต่ละ class ใน C++ ที่ engine ใช้ ซึ่งซับซ้อนและไม่เคยมีเอกสารชัดเจนมาก่อน 💡 เหตุผลที่ไฟล์ถูกออกแบบเช่นนี้ การออกแบบ .lin สะท้อนข้อจำกัดของ Xbox รุ่นแรกที่มี RAM เพียง 64MB และต้องโหลดข้อมูลจากแผ่นดิสก์อย่างรวดเร็ว การบีบอัดและการจัดเรียงข้อมูลแบบ sequential read ช่วยลดการ seek บนสื่อจริงและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ก็ทำให้การถอดรหัสไฟล์ในภายหลังแทบเป็นไปไม่ได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ไฟล์ .lin ของ Splinter Cell เป็น container format ➡️ ใช้ zlib compression และเก็บ maps, textures, scripts ✅ file table มีข้อมูล offset และ length ➡️ แต่ค่าที่บันทึกไม่ตรงกับข้อมูลจริง ทำให้ parsing ยาก ✅ engine ใช้ lazy loading และ interleaving data ➡️ ต้องเข้าใจการ deserialize ของ object ใน C++ ✅ การออกแบบไฟล์สะท้อนข้อจำกัดของ Xbox รุ่นแรก ➡️ RAM 64MB และการอ่านจากแผ่นดิสก์ต้องเร็วและมีประสิทธิภาพ ‼️ การถอดรหัสไฟล์ .lin ยังไม่สมบูรณ์ ⛔ ต้องใช้ความเข้าใจลึกใน Unreal Engine 2 และโครงสร้างภายในเกม ‼️ การ reverse engineer มีความเสี่ยงด้านเวลาและความซับซ้อนสูง ⛔ อาจไม่สามารถนำไปใช้กับเกมอื่น ๆ ได้โดยตรง https://landaire.net/a-file-format-uncracked-for-20-years/
    LANDAIRE.NET
    A File Format Uncracked for 20 Years
    "I’ve had enough reasonable file formats fired at me in my time to tell you that wasn’t one" - Sam Fisher
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • ดราม่าชิปโลกสะเทือน: Nexperia ได้ไฟเขียวส่งออกจากจีน หลังผู้นำสองชาติจับมือเจรจา

    เรื่องนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับเนเธอร์แลนด์ ที่ลุกลามไปถึงสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เมื่อจีนประกาศแบนการส่งออกชิปจากบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปยานยนต์รายใหญ่ที่ถือครองตลาดถึง 40% โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ใช้ชิปกว่า 1,500 ตัวต่อคัน การหยุดส่งออกจึงเท่ากับหยุดสายการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ

    แต่หลังจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเวที APEC ที่ปูซาน จีนก็เปิดช่องให้บริษัทต่างชาติสามารถขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง โดยต้องผ่านการพิจารณาแบบกรณีต่อกรณีจากกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM)

    อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบ เพราะสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ยังคงหยุดส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในจีน ทำให้แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก แต่การผลิตก็ยังติดขัดอยู่ดี

    นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องกฎใหม่ของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว

    จีนเปิดให้บริษัทต่างชาติขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง
    ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนแบบกรณีต่อกรณี
    เป็นผลจากการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC

    Nexperia ถือครองตลาดชิปยานยนต์ถึง 40%
    รถยนต์หนึ่งคันใช้ชิปเฉลี่ย 1,500 ตัว
    การหยุดส่งออกส่งผลให้สายการผลิตทั่วโลกหยุดชะงัก

    สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ
    Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ถูกขึ้นบัญชีดำ
    ส่งผลให้ Nexperia เสี่ยงสูญเสียการเข้าถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ

    โรงงาน Nexperia ในจีนผลิตชิปถึง 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก
    แต่ยังขาดวัตถุดิบจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์
    ทำให้การผลิตยังไม่สามารถกลับมาเต็มรูปแบบได้

    ความขัดแย้งระหว่างจีน-เนเธอร์แลนด์ยังไม่คลี่คลาย
    สำนักงานใหญ่ของ Nexperia ยังไม่ส่งวัตถุดิบไปจีน
    อาจทำให้การผลิตชิปยังติดขัด แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก

    กฎใหม่ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก
    บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในบัญชีดำต้องปรับโครงสร้าง
    อาจต้องหาซัพพลายเชนใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

    เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ชิป” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง


    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nexperia-allowed-to-resume-exports-from-china-following-trump-xi-talks-companies-may-seek-exemptions-from-the-ministry-of-commerce-to-restart-international-deliveries
    🧩 ดราม่าชิปโลกสะเทือน: Nexperia ได้ไฟเขียวส่งออกจากจีน หลังผู้นำสองชาติจับมือเจรจา เรื่องนี้เริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับเนเธอร์แลนด์ ที่ลุกลามไปถึงสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก เมื่อจีนประกาศแบนการส่งออกชิปจากบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปยานยนต์รายใหญ่ที่ถือครองตลาดถึง 40% โดยเฉพาะในรถยนต์ที่ใช้ชิปกว่า 1,500 ตัวต่อคัน การหยุดส่งออกจึงเท่ากับหยุดสายการผลิตรถยนต์ในหลายประเทศ แต่หลังจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเวที APEC ที่ปูซาน จีนก็เปิดช่องให้บริษัทต่างชาติสามารถขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง โดยต้องผ่านการพิจารณาแบบกรณีต่อกรณีจากกระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบ เพราะสำนักงานใหญ่ของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ยังคงหยุดส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานในจีน ทำให้แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก แต่การผลิตก็ยังติดขัดอยู่ดี นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องกฎใหม่ของสหรัฐฯ ที่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปแล้ว ✅ จีนเปิดให้บริษัทต่างชาติขออนุญาตส่งออกชิปจาก Nexperia ได้อีกครั้ง ➡️ ต้องขออนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์จีนแบบกรณีต่อกรณี ➡️ เป็นผลจากการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในเวที APEC ✅ Nexperia ถือครองตลาดชิปยานยนต์ถึง 40% ➡️ รถยนต์หนึ่งคันใช้ชิปเฉลี่ย 1,500 ตัว ➡️ การหยุดส่งออกส่งผลให้สายการผลิตทั่วโลกหยุดชะงัก ✅ สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ถือหุ้นโดยบริษัทในบัญชีดำเกิน 50% ทำธุรกรรมกับสหรัฐฯ ➡️ Wingtech บริษัทแม่ของ Nexperia ถูกขึ้นบัญชีดำ ➡️ ส่งผลให้ Nexperia เสี่ยงสูญเสียการเข้าถึงเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ✅ โรงงาน Nexperia ในจีนผลิตชิปถึง 70% ของกำลังการผลิตทั่วโลก ➡️ แต่ยังขาดวัตถุดิบจากสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ➡️ ทำให้การผลิตยังไม่สามารถกลับมาเต็มรูปแบบได้ ‼️ ความขัดแย้งระหว่างจีน-เนเธอร์แลนด์ยังไม่คลี่คลาย ⛔ สำนักงานใหญ่ของ Nexperia ยังไม่ส่งวัตถุดิบไปจีน ⛔ อาจทำให้การผลิตชิปยังติดขัด แม้จะมีใบอนุญาตส่งออก ‼️ กฎใหม่ของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ⛔ บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทในบัญชีดำต้องปรับโครงสร้าง ⛔ อาจต้องหาซัพพลายเชนใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ชิป” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างลึกซึ้ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/nexperia-allowed-to-resume-exports-from-china-following-trump-xi-talks-companies-may-seek-exemptions-from-the-ministry-of-commerce-to-restart-international-deliveries
    0 Comments 0 Shares 498 Views 0 Reviews
  • Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก

    ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่

    Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป

    หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที

    ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia

    ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

    เหตุการณ์หลักจากข่าว
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน
    สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน
    Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน
    อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์
    ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี
    กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes
    Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
    ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน

    ความสำคัญของ Nexperia
    ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์
    แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    🚗💥 Nexperia หยุดส่งออกชิปไปจีน! อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันชะงัก ผลกระทบลามทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเนเธอร์แลนด์และจีนเรื่องการควบคุมบริษัท Nexperia ส่งผลให้การส่งออกชิปไปจีนถูกระงับทันที ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันอย่าง VW, BMW และ Mercedes ต้องลดกำลังการผลิต ขณะที่ญี่ปุ่นและยุโรปเตรียมรับมือกับวิกฤตชิปครั้งใหม่ Nexperia ซึ่งเคยเป็นบริษัทลูกของจีน ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 หลังพบว่าอดีต CEO พยายามใช้เงินบริษัทไปสนับสนุนโรงงานชิปส่วนตัวในจีน โดยมีแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้จำกัดอิทธิพลจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ยุโรป หลังจากการยึดกิจการ Nexperia ได้หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในเมืองตงกวน ประเทศจีน โดยอ้างว่า “ฝ่ายบริหารท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา” ส่งผลให้สายการผลิตในจีนหยุดชะงักทันที ผลกระทบลามไปถึงเยอรมนี เมื่อบริษัท ZF Friedrichshafen AG ซึ่งผลิตระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้กับ VW, BMW, Ford และ Mercedes ต้องลดกะการผลิตลง เพราะขาดชิปจาก Nexperia ญี่ปุ่นเองก็เริ่มเตรียมรับมือ โดย Nissan ระบุว่ามีสต็อกชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่ Toyota และผู้ผลิตรายอื่นกำลังพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกันเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ✅ เหตุการณ์หลักจากข่าว ➡️ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia จากบริษัทแม่จีน ➡️ สหรัฐฯ มีบทบาทในการกดดันให้จำกัดอิทธิพลจีน ➡️ Nexperia หยุดส่งเวเฟอร์ไปยังโรงงานในจีน ➡️ อ้างว่าฝ่ายบริหารจีนไม่ชำระเงินตามสัญญา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ➡️ ZF Friedrichshafen AG ลดกำลังผลิตในเยอรมนี ➡️ กระทบ VW, BMW, Ford, Mercedes ➡️ Nissan มีชิปพอใช้ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ➡️ ญี่ปุ่นพิจารณาการใช้ชิปมาตรฐานเดียวกัน ✅ ความสำคัญของ Nexperia ➡️ ผลิตชิปรุ่นเก่าแต่จำเป็นต่อระบบรถยนต์ ➡️ แม้ไม่ใช่ชิปล้ำสมัยแบบ TSMC แต่ขาดไม่ได้ในสายการผลิต https://www.tomshardware.com/tech-industry/nexperia-conflict-spills-overseas-as-it-halts-exports-to-china-german-automotive-manufacturers-slow-production-due-to-semiconductor-shortages-from-dutch-chipmaker
    0 Comments 0 Shares 360 Views 0 Reviews
  • จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ

    จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

    ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง

    แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030)
    เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI
    ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่
    รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
    ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024
    กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP
    ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์
    เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค

    ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี
    บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ
    ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    🇨🇳 จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง ✅ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030) ➡️ เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI ➡️ ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ ➡️ รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ✅ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ➡️ ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024 ➡️ กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP ➡️ ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ➡️ เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค ✅ ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย ➡️ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ ⛔ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ⛔ การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    0 Comments 0 Shares 509 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า

    ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency

    นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก

    ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS
    ใช้ import/export แทน require/module.exports
    รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น

    ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages
    เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises'
    ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency

    รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function
    ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น
    เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์

    Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch
    รองรับการเรียก HTTP แบบ native
    มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว

    แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream
    เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs
    ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก

    Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive
    ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state
    ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ

    Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js
    ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น
    มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า

    Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025
    รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers
    เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น

    JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native
    คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง
    อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง

    https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Node.js 2025 – จาก CommonJS สู่โลกใหม่ที่สะอาดกว่าและฉลาดกว่า ในปี 2025 Node.js ได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมากจากยุคที่เต็มไปด้วย callback และ require แบบ CommonJS สู่ยุคใหม่ที่ใช้ ES Modules (ESM) เป็นมาตรฐาน พร้อมรองรับฟีเจอร์ระดับเว็บเบราว์เซอร์ เช่น fetch API และ top-level await โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีภายนอกอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง syntax แต่เป็นการปรับแนวคิดการพัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานเว็บสมัยใหม่ ทำให้โค้ดสะอาดขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และลดความซับซ้อนในการจัดการ dependency นอกจากนี้ Node.js ยังนำเสนอแนวทางใหม่ในการจัดการกับ asynchronous data ผ่าน async iteration และการใช้ Proxy-based observables เพื่อสร้างระบบ reactive โดยไม่ต้องพึ่ง state management ที่ยุ่งยาก ✅ ES Modules (ESM) กลายเป็นมาตรฐานใหม่แทน CommonJS ➡️ ใช้ import/export แทน require/module.exports ➡️ รองรับ static analysis และ tree-shaking ได้ดีขึ้น ✅ ใช้ node: prefix เพื่อแยก built-in modules ออกจาก npm packages ➡️ เช่น import { readFile } from 'node:fs/promises' ➡️ ลดความสับสนและเพิ่มความชัดเจนในการจัดการ dependency ✅ รองรับ top-level await โดยไม่ต้องใช้ async wrapper function ➡️ ทำให้โค้ด initialization ง่ายขึ้นและอ่านง่ายขึ้น ➡️ เหมาะกับการโหลด config หรือข้อมูลก่อนเริ่มเซิร์ฟเวอร์ ✅ Fetch API ถูกนำมาใช้ใน Node.js โดยไม่ต้องติดตั้ง axios หรือ node-fetch ➡️ รองรับการเรียก HTTP แบบ native ➡️ มีฟีเจอร์ timeout และ cancellation ในตัว ✅ แนวคิด async iteration และ for-await-of กลายเป็นมาตรฐานในการจัดการ stream ➡️ เหมาะกับ real-time data และ paginated APIs ➡️ ลดการพึ่งพาไลบรารีภายนอก ✅ Proxy-based observables เริ่มได้รับความนิยมในการสร้างระบบ reactive ➡️ ใช้ JavaScript Proxy เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ state ➡️ ลด boilerplate และไม่ต้องใช้ state management library หนัก ๆ ✅ Deno กำลังกลายเป็น runtime เสริมที่น่าสนใจควบคู่กับ Node.js ➡️ ใช้ ESM เป็นหลักตั้งแต่ต้น ➡️ มีระบบ permission และ security ที่เข้มงวดกว่า ✅ Serverless architecture ยังคงนิยมใช้ Node.js เป็นหลักในปี 2025 ➡️ รองรับ AWS Lambda, Vercel, Cloudflare Workers ➡️ เหมาะกับแอปพลิเคชันที่ต้องการความเร็วและความยืดหยุ่น ✅ JavaScript กำลังพัฒนา pattern matching แบบ native ➡️ คล้ายกับ switch statement ที่อ่านง่ายและทรงพลัง ➡️ อยู่ในขั้น proposal แต่เป็นเทรนด์ที่ควรจับตามอง https://kashw1n.com/blog/nodejs-2025/
    0 Comments 0 Shares 444 Views 0 Reviews
  • ไต้หวันแบนการส่งออกชิปให้ Huawei และ SMIC
    รัฐบาลไต้หวันได้เพิ่ม Huawei และ SMIC เข้าไปในรายชื่อบริษัทที่ถูกควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นมาตรการที่เข้มงวดขึ้นหลังจากพบว่า Huaweiใช้บริษัทตัวกลางเพื่อหลอกให้ TSMC ผลิตชิป AI จำนวน 2 ล้านตัว แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไปแล้ว

    รายละเอียดมาตรการแบน
    - Huawei และ SMIC ต้อง ขอใบอนุญาตส่งออก จากบริษัทไต้หวันก่อนรับสินค้า
    - รายชื่อบริษัทที่ถูกแบนของไต้หวันรวมถึง Taliban, al-Qaeda, อิหร่าน, รัสเซีย, อัฟกานิสถาน และเกาหลีเหนือ
    - การแบนนี้เกิดขึ้นหลังจาก TSMC ถูกปรับเงินจำนวนมาก เนื่องจากผลิตชิปให้ Huawei โดยไม่ได้ตั้งใจ
    - บริษัทอื่นๆ เช่น UMC, ASE, SPIL และ Nanya ก็ต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดใหม่

    ข้อควรระวัง
    - Huawei อาจหาทางเลี่ยงมาตรการแบน โดยใช้บริษัทตัวกลางอื่นๆ
    - การแบนอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ทำให้ต้องพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้น
    - อาจเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    แนวโน้มตลาดชิป
    - สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หยุดส่งออกชิปขั้นสูงให้จีน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
    - มีการคาดการณ์ว่า จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ
    - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันอาจได้รับผลกระทบ จากการลดคำสั่งซื้อจากจีน

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาดชิป
    - การควบคุมการส่งออกอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าชิป ผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ
    - จีนอาจตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่ใช้ผลิตชิป
    - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ว่าจะสามารถแข่งขันกับไต้หวันและสหรัฐฯ ได้หรือไม่

    แนวทางการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูง
    มาตรการของสหรัฐฯ และไต้หวัน
    - สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการ ห้ามใช้ชิป Huawei Ascend ในหลายประเทศ
    - ไต้หวันกำลังพิจารณา เพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง
    - มีการคาดการณ์ว่า มาตรการแบนอาจขยายไปถึงบริษัทอื่นๆ ในจีน ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี
    - อาจเกิดการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น ระหว่างจีนและตะวันตก
    - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดกั้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม
    - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้การควบคุมเทคโนโลยีเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-bans-chip-exports-to-huawei-smic-ban-comes-after-huawei-tricked-tsmc-into-making-one-million-ai-processors-despite-us-restrictions
    🔍 ไต้หวันแบนการส่งออกชิปให้ Huawei และ SMIC รัฐบาลไต้หวันได้เพิ่ม Huawei และ SMIC เข้าไปในรายชื่อบริษัทที่ถูกควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นมาตรการที่เข้มงวดขึ้นหลังจากพบว่า Huaweiใช้บริษัทตัวกลางเพื่อหลอกให้ TSMC ผลิตชิป AI จำนวน 2 ล้านตัว แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไปแล้ว ✅ รายละเอียดมาตรการแบน - Huawei และ SMIC ต้อง ขอใบอนุญาตส่งออก จากบริษัทไต้หวันก่อนรับสินค้า - รายชื่อบริษัทที่ถูกแบนของไต้หวันรวมถึง Taliban, al-Qaeda, อิหร่าน, รัสเซีย, อัฟกานิสถาน และเกาหลีเหนือ - การแบนนี้เกิดขึ้นหลังจาก TSMC ถูกปรับเงินจำนวนมาก เนื่องจากผลิตชิปให้ Huawei โดยไม่ได้ตั้งใจ - บริษัทอื่นๆ เช่น UMC, ASE, SPIL และ Nanya ก็ต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดใหม่ ‼️ ข้อควรระวัง - Huawei อาจหาทางเลี่ยงมาตรการแบน โดยใช้บริษัทตัวกลางอื่นๆ - การแบนอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน ทำให้ต้องพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้น - อาจเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ✅ แนวโน้มตลาดชิป - สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หยุดส่งออกชิปขั้นสูงให้จีน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา - มีการคาดการณ์ว่า จีนอาจเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชิปของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ - บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันอาจได้รับผลกระทบ จากการลดคำสั่งซื้อจากจีน ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาดชิป - การควบคุมการส่งออกอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าชิป ผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ - จีนอาจตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่ใช้ผลิตชิป - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ว่าจะสามารถแข่งขันกับไต้หวันและสหรัฐฯ ได้หรือไม่ 🛡️ แนวทางการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูง ✅ มาตรการของสหรัฐฯ และไต้หวัน - สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการ ห้ามใช้ชิป Huawei Ascend ในหลายประเทศ - ไต้หวันกำลังพิจารณา เพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง - มีการคาดการณ์ว่า มาตรการแบนอาจขยายไปถึงบริษัทอื่นๆ ในจีน ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุมเทคโนโลยี - อาจเกิดการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น ระหว่างจีนและตะวันตก - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบบปิดกั้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้การควบคุมเทคโนโลยีเป็นไปอย่างโปร่งใสและยุติธรรม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-bans-chip-exports-to-huawei-smic-ban-comes-after-huawei-tricked-tsmc-into-making-one-million-ai-processors-despite-us-restrictions
    0 Comments 0 Shares 517 Views 0 Reviews
  • CEO ของ Nvidia วิจารณ์นโยบายสหรัฐฯ เรื่องการห้ามส่งออกชิป AI

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเขาระบุว่า มาตรการนี้เป็น "ความล้มเหลว" และส่งผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายของรัฐบาล เนื่องจาก กระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการห้ามส่งออกชิป AI
    สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป AI เช่น Nvidia H20 ไปยังจีน
    - ส่งผลให้ ส่วนแบ่งตลาดของ Nvidia ในจีนลดลงจาก 95% เหลือ 50%

    จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
    - บริษัทใหญ่ เช่น Tencent และ Alibaba หันไปใช้ชิปที่ผลิตในประเทศ

    Jensen Huang เชื่อว่าการแพร่กระจายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะช่วยรักษาความเป็นผู้นำ
    - เขากล่าวว่า "หากเป้าหมายคือให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำ การจำกัดเทคโนโลยีจะให้ผลตรงกันข้าม"

    อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ Gina Raimondo เห็นด้วยกับ Huang
    - เธอเคยกล่าวว่า "การพยายามหยุดจีนด้วยมาตรการห้ามส่งออกเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์"

    Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์จากการห้ามส่งออก
    - รวมถึง รายได้ภาษีที่สหรัฐฯ สูญเสียไปกว่า 3 พันล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-ceo-jensen-huang-says-u-s-ban-on-ai-chip-exports-a-failure-says-spread-of-u-s-chips-vital-to-competitive-advantage
    CEO ของ Nvidia วิจารณ์นโยบายสหรัฐฯ เรื่องการห้ามส่งออกชิป AI Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ห้ามส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยเขาระบุว่า มาตรการนี้เป็น "ความล้มเหลว" และส่งผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายของรัฐบาล เนื่องจาก กระตุ้นให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการห้ามส่งออกชิป AI ✅ สหรัฐฯ ห้ามส่งออกชิป AI เช่น Nvidia H20 ไปยังจีน - ส่งผลให้ ส่วนแบ่งตลาดของ Nvidia ในจีนลดลงจาก 95% เหลือ 50% ✅ จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ - บริษัทใหญ่ เช่น Tencent และ Alibaba หันไปใช้ชิปที่ผลิตในประเทศ ✅ Jensen Huang เชื่อว่าการแพร่กระจายเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะช่วยรักษาความเป็นผู้นำ - เขากล่าวว่า "หากเป้าหมายคือให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำ การจำกัดเทคโนโลยีจะให้ผลตรงกันข้าม" ✅ อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ Gina Raimondo เห็นด้วยกับ Huang - เธอเคยกล่าวว่า "การพยายามหยุดจีนด้วยมาตรการห้ามส่งออกเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์" ✅ Nvidia สูญเสียรายได้กว่า 15 พันล้านดอลลาร์จากการห้ามส่งออก - รวมถึง รายได้ภาษีที่สหรัฐฯ สูญเสียไปกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-ceo-jensen-huang-says-u-s-ban-on-ai-chip-exports-a-failure-says-spread-of-u-s-chips-vital-to-competitive-advantage
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Nvidia CEO Jensen Huang says U.S. ban on AI chip exports "a failure," says spread of U.S. chips vital to competitive advantage
    Jensen Huang believes that the U.S. should diffuse its AI tech across the globe instead of stopping its rivals from getting it.
    0 Comments 0 Shares 342 Views 0 Reviews
  • พบอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่ในเทคโนโลยีพลังงานจากจีน: สหรัฐฯ เร่งประเมินความเสี่ยง

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ อุปกรณ์สื่อสารที่ถูกซ่อนอยู่ในอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีน ซึ่งอาจมีศักยภาพในการ ก่อกวนโครงข่ายไฟฟ้า และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

    อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีนถูกพบว่ามีอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่
    - อุปกรณ์เหล่านี้ สามารถเปลี่ยนค่าการตั้งค่าและปิดระบบจากระยะไกล

    อินเวอร์เตอร์มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อแหล่งพลังงานหมุนเวียนกับโครงข่ายไฟฟ้า
    - ใช้ใน แผงโซลาร์เซลล์, กังหันลม, ปั๊มความร้อน, แบตเตอรี่ และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    พบอุปกรณ์สื่อสาร เช่น วิทยุเซลลูลาร์ในแบตเตอรี่ที่นำเข้าจากจีน
    - การค้นพบนี้ เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา

    กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กำลังประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีจากจีน
    - มีความกังวลเกี่ยวกับ การเปิดเผยข้อมูลและฟังก์ชันที่ไม่ได้รับการรายงานจากผู้ผลิต

    Huawei เป็นผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 29% ของตลาดในปี 2022
    - อาจมีผลกระทบต่อ การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน

    https://www.techradar.com/pro/security/chinese-energy-tech-exports-found-to-contain-hidden-comms-and-radio-devices
    พบอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่ในเทคโนโลยีพลังงานจากจีน: สหรัฐฯ เร่งประเมินความเสี่ยง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบ อุปกรณ์สื่อสารที่ถูกซ่อนอยู่ในอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีน ซึ่งอาจมีศักยภาพในการ ก่อกวนโครงข่ายไฟฟ้า และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ✅ อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์จากจีนถูกพบว่ามีอุปกรณ์สื่อสารซ่อนอยู่ - อุปกรณ์เหล่านี้ สามารถเปลี่ยนค่าการตั้งค่าและปิดระบบจากระยะไกล ✅ อินเวอร์เตอร์มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อแหล่งพลังงานหมุนเวียนกับโครงข่ายไฟฟ้า - ใช้ใน แผงโซลาร์เซลล์, กังหันลม, ปั๊มความร้อน, แบตเตอรี่ และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ✅ พบอุปกรณ์สื่อสาร เช่น วิทยุเซลลูลาร์ในแบตเตอรี่ที่นำเข้าจากจีน - การค้นพบนี้ เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ✅ กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ กำลังประเมินความเสี่ยงของเทคโนโลยีจากจีน - มีความกังวลเกี่ยวกับ การเปิดเผยข้อมูลและฟังก์ชันที่ไม่ได้รับการรายงานจากผู้ผลิต ✅ Huawei เป็นผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็น 29% ของตลาดในปี 2022 - อาจมีผลกระทบต่อ การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน https://www.techradar.com/pro/security/chinese-energy-tech-exports-found-to-contain-hidden-comms-and-radio-devices
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • ลุงคิดว่าเป็นแนวทางที่ฉลาดมาก ไม่งั้นอเมริกาจะได้ทุกอย่างแล้วทิ้งไต้หวันไว้กลางทางได้ แต่ลุงก็คิดว่าทรัมป์ก็คงไม่ยอมเช่นกัน

    รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อเสริมสร้าง "โล่ซิลิคอน" โดยการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC และการลงทุนในต่างประเทศ มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ โดยมีการบังคับใช้ข้อจำกัด "N-1" ซึ่งอนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น

    มาตรการนี้จะมีผลกระทบต่อการผลิตชิปในสหรัฐฯ ของ TSMC ซึ่งจะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนในต่างประเทศหากพบว่ามีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ

    ข้อจำกัด "N-1"
    - จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC
    - อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น

    ผลกระทบต่อ TSMC
    - การผลิตชิปในสหรัฐฯ จะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่น
    - TSMC วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น $165 พันล้าน

    การควบคุมการลงทุนในต่างประเทศ
    - รัฐบาลมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ
    - บริษัทที่ลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถูกปรับสูงสุด NT$10 ล้าน

    เป้าหมายของมาตรการ
    - ปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwans-government-strengthens-silicon-shield-restricts-exports-of-tsmcs-most-advanced-process-technologies
    ลุงคิดว่าเป็นแนวทางที่ฉลาดมาก ไม่งั้นอเมริกาจะได้ทุกอย่างแล้วทิ้งไต้หวันไว้กลางทางได้ แต่ลุงก็คิดว่าทรัมป์ก็คงไม่ยอมเช่นกัน รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อเสริมสร้าง "โล่ซิลิคอน" โดยการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC และการลงทุนในต่างประเทศ มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ โดยมีการบังคับใช้ข้อจำกัด "N-1" ซึ่งอนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น มาตรการนี้จะมีผลกระทบต่อการผลิตชิปในสหรัฐฯ ของ TSMC ซึ่งจะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในไต้หวัน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนในต่างประเทศหากพบว่ามีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ ✅ ข้อจำกัด "N-1" - จำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC - อนุญาตให้ส่งออกเทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่นเท่านั้น ✅ ผลกระทบต่อ TSMC - การผลิตชิปในสหรัฐฯ จะถูกจำกัดให้ใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลังไปหนึ่งรุ่น - TSMC วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น $165 พันล้าน ✅ การควบคุมการลงทุนในต่างประเทศ - รัฐบาลมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยกเลิกการลงทุนที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ - บริษัทที่ลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถูกปรับสูงสุด NT$10 ล้าน ✅ เป้าหมายของมาตรการ - ปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwans-government-strengthens-silicon-shield-restricts-exports-of-tsmcs-most-advanced-process-technologies
    0 Comments 0 Shares 401 Views 0 Reviews
  • จีนได้ระงับการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การบิน และการป้องกันประเทศ การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทในสหรัฐอเมริกา ที่อาจประสบกับการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ

    จีนระงับการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็ก
    - การส่งออกถูกจำกัดตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2025
    - จีนกำลังร่างกรอบกฎหมายใหม่ในการออกใบอนุญาตส่งออก
    - มาตรการนี้มีผลกระทบต่อบริษัทในหลายอุตสาหกรรม

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ
    - แร่หายากใช้ในการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า โดรน หุ่นยนต์ และขีปนาวุธ
    - การขาดแคลนส่งผลต่ออุตสาหกรรมอเมริกัน โดยเฉพาะผู้รับเหมาด้านกลาโหม

    การตอบสนองของบริษัทต่างประเทศ
    - บางบริษัทเตรียมรับมือกับปัญหานี้โดยสะสมสต็อกแร่ไว้ล่วงหน้า
    - การผลิตแร่หายากนอกประเทศจีน เช่น ในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ยังไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้

    จีนครองตลาดแร่หายากของโลก
    - จีนผลิตแร่หายากหนัก 99% ของปริมาณทั้งหมดในปี 2023
    - กระบวนการสกัดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง

    ข้อมูลเสริมที่ควรระวัง
    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    - การขาดแคลนแร่หายากอาจทำให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น
    - บริษัทที่พึ่งพาวัสดุจากจีนต้องหาทางเลือกใหม่ เช่น หันไปใช้วัสดุทดแทน

    ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์
    - การระงับส่งออกครั้งนี้อาจเป็นยุทธศาสตร์ตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ
    - อาจเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคแร่หายาก

    อนาคตของอุตสาหกรรมแร่หายาก
    - อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลแม่เหล็กหายากมากขึ้น
    - ประเทศอื่นอาจเร่งพัฒนากำลังการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง

    https://www.techspot.com/news/107534-china-halts-exports-rare-earth-exports-sparking-fears.html
    จีนได้ระงับการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การบิน และการป้องกันประเทศ การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยเฉพาะบริษัทในสหรัฐอเมริกา ที่อาจประสบกับการขาดแคลนวัตถุดิบสำคัญ ✅ จีนระงับการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็ก - การส่งออกถูกจำกัดตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2025 - จีนกำลังร่างกรอบกฎหมายใหม่ในการออกใบอนุญาตส่งออก - มาตรการนี้มีผลกระทบต่อบริษัทในหลายอุตสาหกรรม ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ - แร่หายากใช้ในการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า โดรน หุ่นยนต์ และขีปนาวุธ - การขาดแคลนส่งผลต่ออุตสาหกรรมอเมริกัน โดยเฉพาะผู้รับเหมาด้านกลาโหม ✅ การตอบสนองของบริษัทต่างประเทศ - บางบริษัทเตรียมรับมือกับปัญหานี้โดยสะสมสต็อกแร่ไว้ล่วงหน้า - การผลิตแร่หายากนอกประเทศจีน เช่น ในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ยังไม่สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ ✅ จีนครองตลาดแร่หายากของโลก - จีนผลิตแร่หายากหนัก 99% ของปริมาณทั้งหมดในปี 2023 - กระบวนการสกัดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ⚠️ ข้อมูลเสริมที่ควรระวัง ℹ️ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก - การขาดแคลนแร่หายากอาจทำให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น - บริษัทที่พึ่งพาวัสดุจากจีนต้องหาทางเลือกใหม่ เช่น หันไปใช้วัสดุทดแทน ℹ️ ข้อกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ - การระงับส่งออกครั้งนี้อาจเป็นยุทธศาสตร์ตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ - อาจเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคแร่หายาก ℹ️ อนาคตของอุตสาหกรรมแร่หายาก - อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลแม่เหล็กหายากมากขึ้น - ประเทศอื่นอาจเร่งพัฒนากำลังการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยง https://www.techspot.com/news/107534-china-halts-exports-rare-earth-exports-sparking-fears.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China halts rare earth exports, sparking fears of shortages in critical industries
    The suspension comes as Beijing drafts a new regulatory framework for issuing export licenses, a process expected to restrict access to these vital materials for specific companies,...
    0 Comments 0 Shares 658 Views 0 Reviews
  • หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 54% จีนได้ตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 34% และประกาศ ห้ามส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ที่สำคัญต่อการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน

    แร่หายากที่ถูกห้ามส่งออก
    - จีนระบุแร่ 7 ชนิดที่ห้ามส่งออก ได้แก่ Samarium, Gadolinium, Terbium, Dysprosium, Lutetium, Scandium และ Yttrium
    - แร่เหล่านี้มีความสำคัญต่อ มอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า, การผลิตตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด (superconductors), สื่อบันทึกข้อมูล, และ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ
    - การขาดแคลนแร่หายากจะทำให้ผู้ผลิตต้องพึ่งพาแหล่งทรัพยากรที่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
    - หลายบริษัทในสหรัฐฯ เช่น ผู้ผลิตชิปและอุปกรณ์เทคโนโลยี จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน

    ยุทธศาสตร์ตอบโต้แบบสองจังหวะของจีน
    - จีนใช้กลยุทธ์การตอบโต้ด้วยภาษีและข้อจำกัดด้านส่งออก เพื่อต่อรองในการเจรจาทางเศรษฐกิจ
    - นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นี่อาจเป็นความพยายามที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ในกรณีความขัดแย้งอื่น ๆ เช่น การบังคับขาย TikTok

    ข้อยกเว้นสำหรับอุตสาหกรรมบางส่วน
    - อุตสาหกรรมชิปและทองแดงในสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นจากภาษีรอบนี้ แต่ภาษีสำหรับอุปกรณ์การผลิตชิปกลับยังส่งผลกระทบหนัก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-strikes-back-on-trump-tariffs-bans-rare-earth-exports-to-the-u-s
    หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงสุดถึง 54% จีนได้ตอบโต้ด้วยการตั้งภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 34% และประกาศ ห้ามส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด ที่สำคัญต่อการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงาน ✅ แร่หายากที่ถูกห้ามส่งออก - จีนระบุแร่ 7 ชนิดที่ห้ามส่งออก ได้แก่ Samarium, Gadolinium, Terbium, Dysprosium, Lutetium, Scandium และ Yttrium - แร่เหล่านี้มีความสำคัญต่อ มอเตอร์ยานยนต์ไฟฟ้า, การผลิตตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด (superconductors), สื่อบันทึกข้อมูล, และ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในสหรัฐฯ - การขาดแคลนแร่หายากจะทำให้ผู้ผลิตต้องพึ่งพาแหล่งทรัพยากรที่มีราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น - หลายบริษัทในสหรัฐฯ เช่น ผู้ผลิตชิปและอุปกรณ์เทคโนโลยี จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทาน ✅ ยุทธศาสตร์ตอบโต้แบบสองจังหวะของจีน - จีนใช้กลยุทธ์การตอบโต้ด้วยภาษีและข้อจำกัดด้านส่งออก เพื่อต่อรองในการเจรจาทางเศรษฐกิจ - นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นี่อาจเป็นความพยายามที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ในกรณีความขัดแย้งอื่น ๆ เช่น การบังคับขาย TikTok ✅ ข้อยกเว้นสำหรับอุตสาหกรรมบางส่วน - อุตสาหกรรมชิปและทองแดงในสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นจากภาษีรอบนี้ แต่ภาษีสำหรับอุปกรณ์การผลิตชิปกลับยังส่งผลกระทบหนัก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-strikes-back-on-trump-tariffs-bans-rare-earth-exports-to-the-u-s
    0 Comments 0 Shares 435 Views 0 Reviews
  • ราคาของแร่ Gallium ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิตชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นถึง $595 ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่ปี 2011

    การเพิ่มขึ้นของราคานี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนได้ประกาศห้ามส่งออกแร่สำคัญไปยังสหรัฐฯ รวมถึง Gallium, Germanium, และ Antimony ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิต Gallium หลักของโลก โดยมีส่วนแบ่งการผลิตถึง 94% การเพิ่มขึ้นของราคานี้สะท้อนถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของ Gallium ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูง

    มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของจีนในการรักษาความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ ท่ามกลางการแข่งขันและข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ

    คนธรรมดาอย่างเราๆ ก็ต้องรับกรรมกับของใช้ที่ราคาจะสูงขึ้นครับ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/pricing-for-key-chipmaking-material-hits-13-year-high-following-chinese-export-restrictions-chinas-restrictions-on-gallium-exports-hit-hard
    ราคาของแร่ Gallium ซึ่งเป็นแร่สำคัญในการผลิตชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้นถึง $595 ต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่ปี 2011 การเพิ่มขึ้นของราคานี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนได้ประกาศห้ามส่งออกแร่สำคัญไปยังสหรัฐฯ รวมถึง Gallium, Germanium, และ Antimony ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิต Gallium หลักของโลก โดยมีส่วนแบ่งการผลิตถึง 94% การเพิ่มขึ้นของราคานี้สะท้อนถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของ Gallium ในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ประสิทธิภาพสูง มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของจีนในการรักษาความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ ท่ามกลางการแข่งขันและข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่น ๆ คนธรรมดาอย่างเราๆ ก็ต้องรับกรรมกับของใช้ที่ราคาจะสูงขึ้นครับ https://www.tomshardware.com/tech-industry/pricing-for-key-chipmaking-material-hits-13-year-high-following-chinese-export-restrictions-chinas-restrictions-on-gallium-exports-hit-hard
    0 Comments 0 Shares 372 Views 0 Reviews
  • รัสเซียสร้างสถิติใหม่ในการส่งออกก๊าซไปยังจีนในแต่ละวัน
    .
    JUST IN: Russia sets new daily record in gas exports to China.
    .
    1:40 AM · Dec 10, 2024 · 148.1K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1866191201868689863
    🇷🇺🇨🇳 รัสเซียสร้างสถิติใหม่ในการส่งออกก๊าซไปยังจีนในแต่ละวัน . JUST IN: 🇷🇺🇨🇳 Russia sets new daily record in gas exports to China. . 1:40 AM · Dec 10, 2024 · 148.1K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1866191201868689863
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 354 Views 0 Reviews
  • คุณเชื่อไหมว่าเมื่อ ๒๕ ปีก่อน, สหรัฐฯส่งออกสินค้ามากกว่าจีนถึง ๓ เท่า?!

    จากนั้น, วอลล์สตรีทก็ทำให้ภาคอุตสาหกรรมของอเมริกาลดลง, และจีนก็กลายเป็นเทพเจ้าแห่งการผลิต

    ปัจจุบัน, จีนส่งออกมากกว่าสหรัฐฯถึง ๗๐%

    หากนำน้ำมัน, ก๊าซ, ถั่วเหลือง ฯลฯ ออกไป, จีนจะมีส่วนแบ่งการตลาดเหนือกว่าสหรัฐฯเยอะมาก
    .
    Can you believe that just 25 years ago, US was exporting 3x as much goods as China did?!

    Then, Wall Street deindustrialized America, and China became the manufacturing God.

    Now, China exports 70% more than the US does.

    If you take away oil, gas, soybeans etc., China’s lead over the US is much bigger.
    .
    Last edited 10:15 PM · Dec 5, 2024 · 44.4K Views
    https://x.com/Kanthan2030/status/1864690136249692290
    คุณเชื่อไหมว่าเมื่อ ๒๕ ปีก่อน, สหรัฐฯส่งออกสินค้ามากกว่าจีนถึง ๓ เท่า?! จากนั้น, วอลล์สตรีทก็ทำให้ภาคอุตสาหกรรมของอเมริกาลดลง, และจีนก็กลายเป็นเทพเจ้าแห่งการผลิต ปัจจุบัน, จีนส่งออกมากกว่าสหรัฐฯถึง ๗๐% หากนำน้ำมัน, ก๊าซ, ถั่วเหลือง ฯลฯ ออกไป, จีนจะมีส่วนแบ่งการตลาดเหนือกว่าสหรัฐฯเยอะมาก . Can you believe that just 25 years ago, US was exporting 3x as much goods as China did?! Then, Wall Street deindustrialized America, and China became the manufacturing God. Now, China exports 70% more than the US does. If you take away oil, gas, soybeans etc., China’s lead over the US is much bigger. . Last edited 10:15 PM · Dec 5, 2024 · 44.4K Views https://x.com/Kanthan2030/status/1864690136249692290
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 523 Views 0 Reviews
  • ⚡️ชัยศังกร (Jaishankar) เรียกร้องให้เพิ่มการส่งออกของอินเดียไปยังรัสเซีย

    "คุณรู้ไหมว่า, เราเป็นลูกค้าที่ดี, เราเป็นลูกค้าระยะยาว ดังนั้นลูกค้าที่ดีก็มีสิทธิ์เช่นกัน เรายังต้องการการเข้าถึงเศรษฐกิจของรัสเซียได้ดีขึ้นด้วย"
    .
    ⚡️Jaishankar Calls for Boost in Indian Exports to Russia

    "You know, we are good customers. We are long term customers. So good customer also has a right. We also need a better access to the Russian economy."
    .
    7:12 PM · Dec 5, 2024 · 157 Views
    https://x.com/Sputnik_India/status/1864643972192198871
    ⚡️🇮🇳ชัยศังกร (Jaishankar) เรียกร้องให้เพิ่มการส่งออกของอินเดียไปยังรัสเซีย🇷🇺 🗯️"คุณรู้ไหมว่า, เราเป็นลูกค้าที่ดี, เราเป็นลูกค้าระยะยาว ดังนั้นลูกค้าที่ดีก็มีสิทธิ์เช่นกัน เรายังต้องการการเข้าถึงเศรษฐกิจของรัสเซียได้ดีขึ้นด้วย" . ⚡️🇮🇳Jaishankar Calls for Boost in Indian Exports to Russia🇷🇺 🗯️"You know, we are good customers. We are long term customers. So good customer also has a right. We also need a better access to the Russian economy." . 7:12 PM · Dec 5, 2024 · 157 Views https://x.com/Sputnik_India/status/1864643972192198871
    Like
    Wow
    2
    0 Comments 0 Shares 639 Views 6 0 Reviews
  • จีนห้ามการส่งออกวัสดุไฮเทคที่สำคัญ รวมถึงแกลเลียมและเจอร์เมเนียมซึ่งอาจนำไปใช้ทางการทหารกับสหรัฐอเมริกา
    .
    JUST IN: China bans exports of key high-tech materials including gallium and germanium with potential military applications to the United States.
    .
    2:10 AM · Dec 4, 2024 · 299.7K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1864024542865236149
    🇨🇳 จีนห้ามการส่งออกวัสดุไฮเทคที่สำคัญ รวมถึงแกลเลียมและเจอร์เมเนียมซึ่งอาจนำไปใช้ทางการทหารกับสหรัฐอเมริกา . JUST IN: 🇨🇳 China bans exports of key high-tech materials including gallium and germanium with potential military applications to the United States. . 2:10 AM · Dec 4, 2024 · 299.7K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1864024542865236149
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 358 Views 0 Reviews
  • ๕ ประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก* (มูลค่าพันล้านดอลลาร์) :

    จีน : ๓,๔๐๐ พันล้านดอลลาร์
    สหรัฐอเมริกา : ๒,๐๐๐ พันล้านดอลลาร์
    เยอรมนี : ๑,๗๐๐ พันล้านดอลลาร์
    เนเธอร์แลนด์ : ๙๓๐ พันล้านดอลลาร์
    ญี่ปุ่น : ๗๒๐ พันล้านดอลลาร์

    *รวมถึงสินค้าการผลิต ตลอดจนวัตถุดิบ และ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร - น้ำมัน, ก๊าซ, ถั่วเหลือง

    #การส่งออก #เศรษฐกิจ
    .
    World’s top 5 biggest exporters of goods* (in billions of dollars):

    China : $3,400
    USA : $2,000
    Germany : $1,700
    Netherlands : $930
    Japan : $720

    *includes manufacturing goods as well as raw materials & agricultural products - oil, gas, soybeans.

    #exports #economy
    .
    11:23 AM · Nov 27, 2024 · 16.3K Views
    https://x.com/Kanthan2030/status/1861626875900289322
    ๕ ประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก* (มูลค่าพันล้านดอลลาร์) : จีน 🇨🇳: ๓,๔๐๐ พันล้านดอลลาร์ สหรัฐอเมริกา 🇺🇸: ๒,๐๐๐ พันล้านดอลลาร์ เยอรมนี 🇩🇪: ๑,๗๐๐ พันล้านดอลลาร์ เนเธอร์แลนด์ 🇳🇱: ๙๓๐ พันล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่น 🇯🇵: ๗๒๐ พันล้านดอลลาร์ *รวมถึงสินค้าการผลิต ตลอดจนวัตถุดิบ และ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร - น้ำมัน, ก๊าซ, ถั่วเหลือง #การส่งออก #เศรษฐกิจ . World’s top 5 biggest exporters of goods* (in billions of dollars): China 🇨🇳: $3,400 USA 🇺🇸: $2,000 Germany 🇩🇪: $1,700 Netherlands 🇳🇱: $930 Japan 🇯🇵: $720 *includes manufacturing goods as well as raw materials & agricultural products - oil, gas, soybeans. #exports #economy . 11:23 AM · Nov 27, 2024 · 16.3K Views https://x.com/Kanthan2030/status/1861626875900289322
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 977 Views 0 Reviews