• USAID คงต้องผิดหวังอีกครั้ง!

    คณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของจอร์เจียเผยแพร่การนับคะแนนล่าสุดเมื่อเช้านี้
    เมื่อนับคะแนนได้ 99%:

    - Georgian Dream 54%
    - Coalition for Change 11%
    - Unity to save Georgia 10%
    - Strong Georgia 9%
    - For Georgia 8%

    พรรค Georgian Dream ของนายกรัฐมนตรีจอร์เจีย (คนขวามือในรูป) ชนะการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งล่าสุดด้วยคะแนนเสียง 54.24% ตามข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง หลังจากนับคะแนนไปแล้ว 99%
    USAID คงต้องผิดหวังอีกครั้ง! คณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของจอร์เจียเผยแพร่การนับคะแนนล่าสุดเมื่อเช้านี้ เมื่อนับคะแนนได้ 99%: - Georgian Dream 54% - Coalition for Change 11% - Unity to save Georgia 10% - Strong Georgia 9% - For Georgia 8% พรรค Georgian Dream ของนายกรัฐมนตรีจอร์เจีย (คนขวามือในรูป) ชนะการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งล่าสุดด้วยคะแนนเสียง 54.24% ตามข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง หลังจากนับคะแนนไปแล้ว 99%
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!!

    ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!!

    ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก
    คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน
    และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย……
    เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ
    พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า

    กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน
    เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล
    ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี……

    กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา
    แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี
    เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ)
    แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร

    สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว

    ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์
    ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย

    ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน
    นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินตอบว่า……
    “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..??
    แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน)
    จากนั้นกลุ่ม ***** Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ

    ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO
    ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย…
    ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!!

    การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร
    เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…??
    เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!!

    ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……)
    ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……)
    และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้)

    มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง
    เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill
    จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว…
    ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่
    แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น

    ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin
    เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม…

    เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี……
    ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง
    ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว
    ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์

    ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม

    และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน
    จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda”
    ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า
    “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?”
    ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า
    “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..”
    ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า…
    “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
    นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง

    ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010)
    ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน
    ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง)
    เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ)
    คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก
    บานมาเป็น 260 ล้าน…
    ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ)
    แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…???
    คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!!
    ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……”
    แล้วเขาก็เดินออกไป….

    วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี
    ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน……
    ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff
    (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน)

    ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ
    หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี
    ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด
    เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ
    เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา
    ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย
    แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป………
    รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร
    เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว..


    Wiwanda W. Vichit
    ช้าไปนิด ไม่ว่าอะไรนะติ่งขา………พี่ปูเขาเรื่องแยะ เลยต้องค้นหาข้อมูลมาเม้าท์กันเยอะหน่อยค่าาาา…!!! ตอนยี่สิบเอ็ด………งานหลวงงานราษฎร์……งานปราบปิดจ๊อบเป็นงานถนัด…!!! ในการกลับมาในครั้งนี้ ปูตินผ่านสารพัดม็อบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในช่วงนี้ของชีวิตที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคสังคมเปิดทางโลกออนไลน์……เขาพบว่ากลุ่มต่อต้านได้เติบโตไปมาก คราวนี้ เขามีอายุ ห้าสิบเก้า……สุขภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะนำพาประเทศไปยังจุดที่สูงสุด จะต้องเป็นมหาอำนาจในทุกด้าน และจะต้องเป็นศูนย์กลางของยูเรเชีย…… เขาเดินออกมาจากพระวิหารในวันที่เข้าพบกับ พระอธิการคิริลล์ หลังจากการเข้าสาบานตน ด้วยท่าทางที่พร้อมที่จะรับมือกับฝ่ายตรงข้ามทุกหมู่เหล่า กลุ่มแรก…คือ กลุ่มที่ชุมนุมอยู่ที่จตุรัส Bolotnaya กลางกรุงมอสโคว์ ที่ปูตินต้องการแค่ผู้นำ Leonid Razvozzhayev (ซ้ายจัด) ที่ไหวตัวทัน หนีไปกบดานที่ยูเครน เพียงไม่กี่วันต่อมา ……ก็มีกลุ่มคนมา”อุ้ม” เขาไปจากที่พัก นำตัวกลับไปยังรัสเซีย ขึ้นศาล ถูกตัดสินให้ไปนอนเล่นที่ไซบีเรียห้าปี…… กลุ่มหัวหอกอื่นๆ เช่น Aleksei Navalny ทนายความนักการเมืองที่มีฐานเสียงพอสมควร ที่ไม่ยอมรับผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะต้องรับข้อหาในการก่อความไม่สงบตามมา แต่.……สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ หนึ่งในหัวหอกที่ต่อต้านปูตินในขบวนการเดียวกัน คือ Ksena Sobchak ธิดาสาวของ อนาโตลี เจ้านายและผู้สนับสนุนที่สำคัญของปูติน ที่ได้ช่วยเหลือและตอบแทนกันมาตั้งแต่สมัยที่ปูตินเพิ่มเริ่มเตาะแตะทางการเมือง ในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่แม้แต่อนาโตลีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปูตินก็ยังคือว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ที่เขาต้องให้ความสงเคราะห์ เช่น ภริยาของอนาโตลี ได้เป็นกรรมการบริหารในเทศบาล (ข้าราชการประจำ) แม้แต่ตัว เซน่าเอง……ก็ได้เข้ามาทำงานในสถานีโทรทัศน์ (ด้วยการสนับสนุนของปูติน) ตั้งแต่ปี 2014 ตามสายงานที่เรียนมา จนมาเป็นผู้ดำเนินรายการที่มีชื่อเสียงพอสมควร สรุปว่า…ชีวิตทางการงานของเธอและมารดา……ได้สิ้นสุดลงแค่นั้น (2012) แต่เหมือนกับส่งเสือเข้าป่า เพราะเซน่าได้หันไปซบกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มตัว ส่วนเรื่องคดีสาวห่ามทั้งหลาย ที่ขึ้นไปเต้นเหยงๆอยู่บนพระวิหาร ได้ถูกตัดสินจำคุก ในข้อหา……ลบหลู่ศาสนาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์……และเนื่องจากหลายคนเป็นนักดนตรีแนวพั้งค์ ข่าวในทางตะวันตกจึงตีไปในทิศทางที่ว่า “จำกัดอิสรภาพของศิลปิน…” ที่เหล่าดาราใหญ่ๆ เช่น Paul McCartney ก็พลอยบ้าจี้ตามไปด้วย ปูตินได้ไปร่วมประชุมในวาระงานโอลิมปิกภาคฤดูร้อนที่ลอนดอน นายกรัฐมนตรี David Cameron ได้เข้ามาถามถึงเรื่องนี้ ปูตินตอบว่า…… “เรื่องนี้ดูยังไงก็ผิด ไม่ว่าเขาจะแย้งว่าอะไร ชาติไหนก็ต้องมีขอบเขตในเรื่องศาสนา ถ้าพวกก่อการพวกนี้ลองไปเต้นที่มัสยิด….คุณคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาหรือ..?? แน่นอนว่า…ในวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล การตัดสินคือ จำคุก 2 ปี (ติดจริงๆแค่ เจ็ดเดือน) จากนั้นกลุ่ม Pussy Riot ก็สลายตัวลงไปจากบนดิน แต่ยังพอมีกระแสทางลับๆ ทางด้านการต่างประเทศระหว่างสหรัฐ เริ่มตึงเครียด เข้ามาทุกที เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า ในกลุ่มผู้ชุมนุมระดับหัวหน้า ได้มีกลุ่มตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลุ่มสนับสนุนพวกนั้นมาในรูปแบบขององค์กร เช่น USAID, NGO ปูตินได้วางนโยบายไว้ว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในลิเบีย… ที่เขาได้เห็นกลุ่มนาโต้ได้เข้ารุมย่ำยีเพราะเพียงเพื่อหวังจะเอากัดดาฟีลงจากอำนาจนั้น เขาจะไม่ยอมให้สหรัฐและพรรคพวกที่เรียกว่า NATO มาเป็นคนชี้ชะตาของชาติไหนในโลกนี้อีก……พอกันที……!! การแก้และออกกฎหมายใหม่ได้ทำขึ้นรัวๆ เริ่มจาก……ห้ามการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจากรัสเซีย (จากต่างประเทศ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่ขอไปเลี้ยงมากสุด) แม้ว่าบางรายที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการทางเอกสาร เมื่อถูกซักถามหนักๆจากสื่อ ในเรื่องว่าเป็นการดับอนาคตของเด็กหรือไม่…?? เขาตอบว่า…”คุณคิดว่านี่คือการดับอนาคตหรือ มันน่าอับอายและเป็นรอยบาปให้กับเด็กของเราต่างหาก……นี่คุณบ้าไปหรือเปล่า…?!! ในวันคล้ายวันเกิดของปูตินที่ครบหกสิบปี………เขาเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ตัวเองอย่างรัวๆ เช่น ดำน้ำในทะเลดำ หาไหโบราณ (ถึงแม้จะเป็นการจัดฉาก ก็ดูเนียน……) ขี่ม้า เปลือยอก…(ถึงจะจัด……ก็โอเค) ขี่เครื่องร่อน……มีนกบินตาม (อันนี้ก็ดูเก๋ไปอีกแบบ…) ไปสมทบกับกลุ่มบิ๊กไบค์ที่เป็นเกลอกัน ( ก็ดูแพง……เพราะใช้ Harley Davidson สามล้ออย่างใหญ่……) และที่ต้องกรี๊ดดด…คือ ปูตินไปแอบหัดเล่นไอซ์ ฮ๊อกกี้ ที่ค่อนข้างจะดูแอ๊บสักหน่อย แต่พอออกงานได้ มีสะดุดล้มพังพาบให้เห็น…ก็ยังน่าเอ็นดู (แต่คนถ่าย……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้) มีการให้ทำคลิปรายการของความเป็นอยู่ในบ้านพัก ที่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า ท่านผู้นำตื่นในเวลาแปดโมงครึ่ง จากเตียงก็ออกกำลังกายเลย คือเข้าห้องยิม และดูข่าวไปด้วย จากนั้นไปว่ายน้ำระยะ 1000 เมตร เริ่มอาหารเช้าในเวลาเที่ยง เป็นพวกโจ๊กด้วยธัญพืช ไข่นกกระทา สลัดและน้ำผลไม้คั้นสดส่วนประกอบจะมาจากสวนในพระวิหารของพระอธิการ Kirill จากนั้นจะทำงานจนถึงดึก การประชุมมักจะเป็นในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว… ที่บ้าน…ไม่มีวี่แววของผู้อาศัยคนอื่น ไม่มีลุดมิลา และ บุตรสาวทั้งสอง นอกจาก Koni สุนัขข้างกายที่ตามติดไปทุกที่ แต่…อย่างไรก็ตาม ในยุคเขานั้น รายได้ของประชาชนจากปีละจำนวนพันดอลล่าร์ พุ่งขึ้นมาเป็นหลักหมื่น ธิดาทั้งสองของปูติน คนโต คือ มาเรีย ได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวดัทช์ Jorrit Faassen ที่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในอนุกรรมการของ Gazprom แทบไม่มีใครรู้จักเขาเลยจนกระทั่ง วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่เขาไปเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถอีกคันหนึ่งที่เป็นรถเบ๊นซ์ของมหาเศรษฐีหนุ่ม Matvei Urin เหล่าบอดี้การ์ดของมหาเศรษฐีที่ตามมาในรถตู้ ได้กรูกันมาทำร้าย Faassen จนถึงขั้นหาม… เรื่องได้ไปถึงปูติน (เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ผลคือ เหล่าบอดี้การ์ดติดคุกกันพร้อมหน้า ส่วน Urin โดนหลายคดี…… ทำร้ายร่างกาย และ ยกเลิกใบอนุญาตทำธนาคาร เพราะตรวจสอบบัญชีในการดำเนินการพบว่ามีการทุจริต……ติดคุก สี่ปีครึ่ง ทั้งมาเรียและฟาสเซ่น ได้แต่งงานกันที่กรีซ ในปี 2012 และมีบุตรชาย ที่ปูตินได้เป็นพ่อทูนหัว ส่วนบุตรสาวคนเล็ก Katya มีข่าวลือว่ามีคู่รักเป็นลูกชายนายพลเกาหลีเหนือ (ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน) แต่เธอชอบศิลปการแสดง และเคยเป็นผู้อำนวยการในองค์กรพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยมอสโคว์ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่บ่อยครั้งที่ปูตินจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มเพื่อนเก่าๆที่เคยกอดคอสู้กันมา จัดปาร์ตี้และได้มีคอนเสิร์ตเล็กๆจากวงดุริยางค์จากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มาขับกล่อม และในวันที่ปูตินเข้าสาบานตนในฐานะประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมนั้น คือวันที่ทุกคนได้เห็นลุดมิลายืนเคียงข้างกับเขา แต่ทุกคนก็ได้รับรู้แล้วว่า ทั้งคู่นี้แยกกันอยู่มานานแสนนาน จนในเดือนมิถุนายน ที่เขาทั้งคู่ไปในงานบัลเล่ต์ “Esmeralda” ที่นักข่าวได้ยิงคำถามตรง ว่า “ไม่เห็นท่านมาด้วยกันบ่อยๆ แล้วข่าวลือที่ว่าท่านได้แยกกันอยู่มันเท็จจริงประการใด?” ปูติน เหลือบไปมองลุดมิลา ก่อนที่จะตอบว่า “เป็นเรื่องจริง ลุดมิลาต้องทนกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาของผมมานานแสนนาน เราแทบไม่มีเวลาพบกันเลย ต่างคนต่างอยู่มาแปดเก้าปีแล้ว..” ลุดมิลาได้พูดขึ้นมาว่า… “เราหย่ากันก็จริง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” นั่นคือการยืนยันจากคนทั้งสองด้วยตัวเอง ปูตินมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้งานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi เป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของรัสเซียสู่สายตาชาวโลก โดยทุ่มทุนถึง หกหมื่นล้านดอลล่าร์ (เทียบเท่า) ที่นับว่าเป็นงบที่ใช้สำหรับโอลิมปิกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เจ็ดเท่าเหนือกว่าแคนาดาในปี 2010) ที่ทุกคนทางทีมฝ่ายเศรษฐกิจเริ่มอึดอัด เพราะยังไม่นับทางรถไฟเชื่อมสู่เขา และ เส้นทางถนน ผู้รับเหมาต่างพากันอิ่มเอมในการบวกราคา (เพราะยิ่งเร่งยิ่งแพง) เรื่องนี้ถึงหูปูติน……เขาเรียกคณะกรรมการมาถามว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบส่วนที่ล่าช้า (คือ เส้นทางของสกีสลาลอม หรือ ลงเขาที่ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ……ที่ปูตินเห็นว่า……งานไม่เนี๊ยบ) คำตอบคือ Akhmed Bilalov รองประธานคณะมนตรี ที่มีผลประโยชน์แอบแฝงคือมีที่ทางอยู่ทางด้านล่างของภูเขา เลยกินเศษกินเลยกับบริษัทก่อสร้าง งบประมาณ 40 ล้านในทีแรก บานมาเป็น 260 ล้าน… ปูตินเรียกให้มาพบพร้อมกับประธานงานโอลิมปิก(ออกสื่อ) แล้วถามตรงๆว่า……อธิบายมา……ช้าแล้วยังไม่ดีสมราคา เพราะ…??? คำอธิบายทั้งหมดที่ยกมา……ฟังไม่ขึ้น……!! ปูตินเลยสั่งแบบสั้นๆแต่ได้ใจความว่า……”งั้นก็คงต้องจัดการกันใหม่……” แล้วเขาก็เดินออกไป…. วันรุ่งขึ้น…Akhmed ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในคณะมนตรี ปูตินได้ให้ฝ่ายบัญชีทำการตรวจสอบย้อนหลังในทุกงานที่เขารับทำมา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่ออกจะเว่อร์ในการไปดูงานประชุมที่ลอนดอน…… ผู้ที่มารับหน้าที่แทนคือ ผู้ที่ชนะการประกวดราคาประมูล ธนาคาร Sberbank ที่มีประธานคือ German Greff (ที่งานนี้ต้องเข้าเนื้อไปอย่างมากมาย เพราะต้องยอมขาดทุน) ~~-ต้องเล่าต่อถึง Akhmed Bilalov ไม่งั้นจะค้างคาในใจ หลังจากที่โดนการตรวจสอบบัญชีแบบเข้ม อาเหมดถูกข้อหาฉ้อโกง คอรัปชั่น ตามมาติดๆ ที่มีโทษถึงจำคุกสี่ถึงสิบปี ไม่ใช่เขาคนเดียว ……แต่พี่น้องสองคนและผู้บริหารทุกคนในบริษัทโดนคดีหมด เขาหนีออกจากรัสเซีย ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาลโดยอ้างว่าจะถูกคุกคามเอาชีวิต เพราะในที่ทำงานของเขามีร่องรอยของผงยาพิษ เขาหนีไปที่เยอรมัน และ ไปปักหลักที่ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา ที่เขาถูกจับกุมเพราะไม่มีเอกสารการอนุญาตให้ต่อวีซ่า (2019) ที่ตามกฏแล้ว……เขาอาจจะต้องส่งกลับไปที่รัสเซีย แต่จากนั้น ข่าวของเขาก็เงียบหายไป……… รัสเซียได้ทวงถามไปที่อเมริกา….ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร เชื่อว่า…คงใช้เงินซื้อเส้นทางใบเขียวไปแล้ว.. Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇺🇦 🇺🇸 เซเลนสกี กล่าวว่า : ความช่วยเหลือทางทหารล่าสุดของสหรัฐฯ จะช่วยให้บรรลุชัยชนะ😁
    .
    #Zelensky กล่าวใน X : ความช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 7,900 ล้านดอลลาร์ ที่สหรัฐประกาศเมื่อ 26 ก.ย. จะช่วยให้ยูเครนได้รับชัยชนะเหนือรัสเซีย😆

    📄ในโพสต์บน #X Zelenskyy เขียนว่า : ขอบคุณโจ ไบเดน รัฐสภาสหรัฐฯ และพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย ตลอดจนคนอเมริกันทั้งหมด สำหรับการประกาศในวันนี้เกี่ยวกับความช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ สำหรับยูเครนเป็นมูลค่ารวม 7,900 ล้านดอลลาร์ .......

    ....... ขอชื่นชมการตัดสินใจขยายโครงการ เพื่อฝึกนักบินของเราให้บินเครื่องบิน F-16 มากขึ้น
    .
    🇺🇸 ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับคำมั่นสัญญาของโจ ไบเดน ที่จะมอบความช่วยเหลือด้านการทหาร 7,900 ล้านดอลลาร์แก่ยูเครน ผ่าน Agence France-Presse (AFP)

    🔺 จำนวนเงินดังกล่าวรวมถึง #PDA (Presidential Drawdown Authority) หรือ อำนาจเบิกถอนของประธานาธิบดี 5,500 ล้านดอลลาร์ที่ต้องอนุมัติก่อนจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นปีงบประมาณของสหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย.
    • PDA จะเปิดทางให้เพนตากอนส่งทุกอย่างจากคลังอาวุธของกองทัพสหรัฐฯ ให้ยูเครนโดยตรงได้

    ◉ เพนตากอนเปิดเผยว่า กำลังทำงานร่วมกับสภาคองเกรสเพื่อขยายอำนาจการใช้งบก้อนที่เหลือในช่วงปีงบประมาณหน้าซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.
    • มีการเตรียมแผนสำรอง ในกรณีที่สภาคองเกรสไม่อนุมัติการยืดอายุเวลาการใช้งบช่วยเหลือยูเครนไปปีหน้าแล้วด้วย
    .
    🔺 มีการให้คำมั่นเงินอีก 2,400 ล้านดอลลาร์ผ่านทาง #USAI (โครงการความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยของยูเครน )
    • ซึ่งหมายความว่า : "เงินจำนวนนี้จะไม่ถูกส่งไปยังสนามรบทันที" เนื่องจาก 📍 อาวุธจะต้องได้รับการจัดหาจากอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ หรือหุ้นส่วน .... ไม่ใช่มาจากคลังอาวุธของสหรัฐฯ😆
    • ไบเดนยังประกาศด้วยว่า : วอชิงตันจะจัดหาอาวุธระยะไกล Joint Standoff Weapon (JSOW) ให้กับยูเครน "เพื่อเสริมศักยภาพในการโจมตีระยะไกลของยูเครน"
    #AGM-154 (JSOW) : อาวุธปล่อยนำวิถี เป็นขีปนาวุธอากาศสู่พื้น
    ระยะปฏิบัติการ 130 ก.ม.
    .
    🇺🇸 #สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางทหาร และเศรษฐกิจแก่ยูเครน ในช่วงสงครามไปแล้ว ราว ๆ
    💸••• 175,000 ล้านดอลลาร์💸 หรือ 5.69 ล้านล้านบาท •••😆
    .
    เมื่อ 25 ก.ย. #ทรัมป์ เรียกโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ว่า : “#อาจเป็นนักขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” 🤣🤣🤣



    Noraseth Tuntasiri
    🇺🇦 🇺🇸 เซเลนสกี กล่าวว่า : ความช่วยเหลือทางทหารล่าสุดของสหรัฐฯ จะช่วยให้บรรลุชัยชนะ😁 . #Zelensky กล่าวใน X : ความช่วยเหลือทางทหารมูลค่า 7,900 ล้านดอลลาร์ ที่สหรัฐประกาศเมื่อ 26 ก.ย. จะช่วยให้ยูเครนได้รับชัยชนะเหนือรัสเซีย😆 📄ในโพสต์บน #X Zelenskyy เขียนว่า : ขอบคุณโจ ไบเดน รัฐสภาสหรัฐฯ และพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย ตลอดจนคนอเมริกันทั้งหมด สำหรับการประกาศในวันนี้เกี่ยวกับความช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ สำหรับยูเครนเป็นมูลค่ารวม 7,900 ล้านดอลลาร์ ....... ....... ขอชื่นชมการตัดสินใจขยายโครงการ เพื่อฝึกนักบินของเราให้บินเครื่องบิน F-16 มากขึ้น . 🇺🇸 ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับคำมั่นสัญญาของโจ ไบเดน ที่จะมอบความช่วยเหลือด้านการทหาร 7,900 ล้านดอลลาร์แก่ยูเครน ผ่าน Agence France-Presse (AFP) 🔺 จำนวนเงินดังกล่าวรวมถึง #PDA (Presidential Drawdown Authority) หรือ อำนาจเบิกถอนของประธานาธิบดี 5,500 ล้านดอลลาร์ที่ต้องอนุมัติก่อนจะหมดอายุลงในช่วงสิ้นปีงบประมาณของสหรัฐฯ ในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย. • PDA จะเปิดทางให้เพนตากอนส่งทุกอย่างจากคลังอาวุธของกองทัพสหรัฐฯ ให้ยูเครนโดยตรงได้ ◉ เพนตากอนเปิดเผยว่า กำลังทำงานร่วมกับสภาคองเกรสเพื่อขยายอำนาจการใช้งบก้อนที่เหลือในช่วงปีงบประมาณหน้าซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. • มีการเตรียมแผนสำรอง ในกรณีที่สภาคองเกรสไม่อนุมัติการยืดอายุเวลาการใช้งบช่วยเหลือยูเครนไปปีหน้าแล้วด้วย . 🔺 มีการให้คำมั่นเงินอีก 2,400 ล้านดอลลาร์ผ่านทาง #USAI (โครงการความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยของยูเครน ) • ซึ่งหมายความว่า : "เงินจำนวนนี้จะไม่ถูกส่งไปยังสนามรบทันที" เนื่องจาก 📍 อาวุธจะต้องได้รับการจัดหาจากอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ หรือหุ้นส่วน .... ไม่ใช่มาจากคลังอาวุธของสหรัฐฯ😆 • ไบเดนยังประกาศด้วยว่า : วอชิงตันจะจัดหาอาวุธระยะไกล Joint Standoff Weapon (JSOW) ให้กับยูเครน "เพื่อเสริมศักยภาพในการโจมตีระยะไกลของยูเครน" • #AGM-154 (JSOW) : อาวุธปล่อยนำวิถี เป็นขีปนาวุธอากาศสู่พื้น ระยะปฏิบัติการ 130 ก.ม. . 🇺🇸 #สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางทหาร และเศรษฐกิจแก่ยูเครน ในช่วงสงครามไปแล้ว ราว ๆ 💸••• 175,000 ล้านดอลลาร์💸 หรือ 5.69 ล้านล้านบาท •••😆 . เมื่อ 25 ก.ย. #ทรัมป์ เรียกโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ว่า : “#อาจเป็นนักขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” 🤣🤣🤣 Noraseth Tuntasiri
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงมีหนึ่งเดียว
    ความชั่วเผย ประจักษ์

    เช้าวันนี้ 11 กันยายน ได้รับอีเมลจากคุณเดวิด วิลแมน (David Willman) นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ที่สัมภาษณ์เรา และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    เรื่องที่เรายุติการรับทุน จาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐ CDC USAID DARPA DTRA ผ่านทาง EcoHealth alliance หาไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่ารวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมดสิ้น

    โดยเช้านี้ ได้ส่งเรื่องของ คุณ Matt Ridley และ Alina Chan ตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงไวรัสโควิดจากห้องแลป การตัดต่อพันธุกรรม ให้ไวรัสธรรมดา รุนแรงขึ้นและจนกระทั่งหลุดออกไประบาดทั่วโลก คนตายหลาย 10,000,000 คน

    และเหตุผลว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐรวมทั้งบรรณาธิการของวารสารดัง อันดับหนึ่งของสหรัฐและอังกฤษ ปิดปากเงียบ และเอนเอียงเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกมาจากห้อง แลป และมีการสร้างตัดต่อไวรัสใหม่

    โยงความเกี่ยวพันไปถึง NIH NIAID Fauci Collins Daszak ที่ถูกสอบสวนไปแล้วในรัฐสภาสหรัฐ และEcoHealth alliance ถูกยุติระงับการให้ทุนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2567

    คนที่ตีแผ่เรื่องนี้ในหนังสือที่เขียน ท้าดีเบต กับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ แต่คนดังๆหลบหมด และเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการเชื่อมโยงการให้ทุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างไวรัสใหม่ปรากฏชัดแจ่มแจ้ง

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าวัคซีนโควิดนั้นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018 ก่อนหน้าการระบาดในปลายปี 2019 และเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบข้างเคียงต่อเนื่องยาวนานซึ่งทั่วโลกดำเนินการฟ้องร้องอยู่

    และเทคโนโลยีนี้ นำมาใช้กับวัคซีนอื่นๆในทุกเชื้อโรค โดยปฏิเสธว่าไม่ต้องทำการประเมินความปลอดภัยอีก เพราะเทคโนโลยีนี้ใช้ไปแล้วกับ วัคซีนโควิด ทั่วโลก และ เป็นที่มา ที่ไม่มีใครยอมรับผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีน

    แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขของไทยประกาศเมื่อ เดือนมกราคม 2567 นี้ว่า วัคซีนโควิดเกิดผลกระทบร้ายแรงเพียงห้ารายเท่านั้นในประเทศไทย

    หมายเหตุ:
    หมอได้ไปบรรยายในที่ต่างๆ เรื่องที่ เราได้รับทุน ทั้งนี้ เราได้รับทราบข้อมูลโดยตรงว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่และมีจุดมุ่งหมายสร้างไวรัสตัวอื่นที่ร้ายแรงขึ้น ทั้งไวรัสในกลุ่มไข้หวัดใหญ่ อีโบลา นิปาห์ โคโรนา

    ทั้งนี้ ไวรัสฝีดาษลิง มีการให้ทุนจาก Fauci แก่ Moss ใน NIH ในปี 2015 ทำให้ฝีดาษลิงรุนแรงและแพร่ได้ดีกว่าเดิมและทำสำเร็จในปี 2021 และการวางแผนจำลองว่ามีการระบาดทั่วโลกในปี 2021 และ 2022 รวมทั้งเริ่มจัดเตรียมวัคซีนฝีดาษลิง และ ถึงกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2024 จาก clade Ib
    ทั้งที่อัตราการระบาดต่ำและไม่ได้สูงมาก อย่างที่หวัง และเกิดจากการสัมผัสต้องใกล้ชิดแนบแน่นนัวเนียและเพศสัมพันธ์ และแน่นอนไม่มีการติดต่อทางอากาศ airborne เหมือนที่พยายามจะให้มีการจำกัดเขตและใส่หน้ากากเว้นระยะห่างกันอีก

    และมีความพยายามที่จะให้ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งถึงสูงวัย โดยประกาศว่าคนในประเทศไทยมีความเสี่ยง และให้ติดต่อขอรับวัคซีนโดยเสียเงินและ จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศว่าฉีดเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ และฉีดคนที่สัมผัสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว และคนจะเดินทางไปยังทวีปที่มีการระบาดต้นตอ
    โดยที่วัคซีนฝีดาษลิงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวใหม่สุดยังมีอัตราหัวใจอักเสบอยู่ที่แปดใน 10,000 รายไม่นับผลแทรกซ้อนอื่น

    ส่วน ไข้หวัดนกมีการให้ทุนเช่นเดียวกันจาก Fauci และทำสำเร็จในปี 2012 และ พัฒนาต่อเรื่อยๆ
    รวมทั้งพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับไข้หวัดนกและมีการประกาศให้เตรียมตัวการระบาดไข้หวัดนกรวมทั้งฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับฝีดาษลิง

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า
    ในประเทศไทย มีรายงานการรับทุนจากต่างประเทศในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    อายุรกรรม และ ระบบสมองและประสาทและโรคติดเชื้อทางสมอง

    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/cr5oyzaPKk9qo29t/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ความจริงมีหนึ่งเดียว ความชั่วเผย ประจักษ์ เช้าวันนี้ 11 กันยายน ได้รับอีเมลจากคุณเดวิด วิลแมน (David Willman) นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ที่สัมภาษณ์เรา และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เรื่องที่เรายุติการรับทุน จาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐ CDC USAID DARPA DTRA ผ่านทาง EcoHealth alliance หาไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่ารวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมดสิ้น โดยเช้านี้ ได้ส่งเรื่องของ คุณ Matt Ridley และ Alina Chan ตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงไวรัสโควิดจากห้องแลป การตัดต่อพันธุกรรม ให้ไวรัสธรรมดา รุนแรงขึ้นและจนกระทั่งหลุดออกไประบาดทั่วโลก คนตายหลาย 10,000,000 คน และเหตุผลว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐรวมทั้งบรรณาธิการของวารสารดัง อันดับหนึ่งของสหรัฐและอังกฤษ ปิดปากเงียบ และเอนเอียงเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกมาจากห้อง แลป และมีการสร้างตัดต่อไวรัสใหม่ โยงความเกี่ยวพันไปถึง NIH NIAID Fauci Collins Daszak ที่ถูกสอบสวนไปแล้วในรัฐสภาสหรัฐ และEcoHealth alliance ถูกยุติระงับการให้ทุนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2567 คนที่ตีแผ่เรื่องนี้ในหนังสือที่เขียน ท้าดีเบต กับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ แต่คนดังๆหลบหมด และเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการเชื่อมโยงการให้ทุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างไวรัสใหม่ปรากฏชัดแจ่มแจ้ง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าวัคซีนโควิดนั้นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018 ก่อนหน้าการระบาดในปลายปี 2019 และเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบข้างเคียงต่อเนื่องยาวนานซึ่งทั่วโลกดำเนินการฟ้องร้องอยู่ และเทคโนโลยีนี้ นำมาใช้กับวัคซีนอื่นๆในทุกเชื้อโรค โดยปฏิเสธว่าไม่ต้องทำการประเมินความปลอดภัยอีก เพราะเทคโนโลยีนี้ใช้ไปแล้วกับ วัคซีนโควิด ทั่วโลก และ เป็นที่มา ที่ไม่มีใครยอมรับผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีน แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขของไทยประกาศเมื่อ เดือนมกราคม 2567 นี้ว่า วัคซีนโควิดเกิดผลกระทบร้ายแรงเพียงห้ารายเท่านั้นในประเทศไทย หมายเหตุ: หมอได้ไปบรรยายในที่ต่างๆ เรื่องที่ เราได้รับทุน ทั้งนี้ เราได้รับทราบข้อมูลโดยตรงว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่และมีจุดมุ่งหมายสร้างไวรัสตัวอื่นที่ร้ายแรงขึ้น ทั้งไวรัสในกลุ่มไข้หวัดใหญ่ อีโบลา นิปาห์ โคโรนา ทั้งนี้ ไวรัสฝีดาษลิง มีการให้ทุนจาก Fauci แก่ Moss ใน NIH ในปี 2015 ทำให้ฝีดาษลิงรุนแรงและแพร่ได้ดีกว่าเดิมและทำสำเร็จในปี 2021 และการวางแผนจำลองว่ามีการระบาดทั่วโลกในปี 2021 และ 2022 รวมทั้งเริ่มจัดเตรียมวัคซีนฝีดาษลิง และ ถึงกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2024 จาก clade Ib ทั้งที่อัตราการระบาดต่ำและไม่ได้สูงมาก อย่างที่หวัง และเกิดจากการสัมผัสต้องใกล้ชิดแนบแน่นนัวเนียและเพศสัมพันธ์ และแน่นอนไม่มีการติดต่อทางอากาศ airborne เหมือนที่พยายามจะให้มีการจำกัดเขตและใส่หน้ากากเว้นระยะห่างกันอีก และมีความพยายามที่จะให้ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งถึงสูงวัย โดยประกาศว่าคนในประเทศไทยมีความเสี่ยง และให้ติดต่อขอรับวัคซีนโดยเสียเงินและ จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศว่าฉีดเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ และฉีดคนที่สัมผัสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว และคนจะเดินทางไปยังทวีปที่มีการระบาดต้นตอ โดยที่วัคซีนฝีดาษลิงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวใหม่สุดยังมีอัตราหัวใจอักเสบอยู่ที่แปดใน 10,000 รายไม่นับผลแทรกซ้อนอื่น ส่วน ไข้หวัดนกมีการให้ทุนเช่นเดียวกันจาก Fauci และทำสำเร็จในปี 2012 และ พัฒนาต่อเรื่อยๆ รวมทั้งพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับไข้หวัดนกและมีการประกาศให้เตรียมตัวการระบาดไข้หวัดนกรวมทั้งฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับฝีดาษลิง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ในประเทศไทย มีรายงานการรับทุนจากต่างประเทศในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อายุรกรรม และ ระบบสมองและประสาทและโรคติดเชื้อทางสมอง ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/cr5oyzaPKk9qo29t/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2564 มุมมอง 0 รีวิว
  • พิมพ์เขียวของไวรัสโควิดมาจากโครงการ DEFUSE 2018
    และ PREEMPT
    แต่ที่สำคัญ อีกประการ คือรวมถึงการสร้างไวรัสใหม่เข้าไปติดเชื้อในค้างคาว ในโครงการแรกแต่ต้อง สเปรย์บ่อยๆ
    และในโครงการที่สองให้แพร่ติดในหมู่ค้างคาวเองก่อน แต่หลังจากนั้นให้ค้างคาวปล่อยเชื้อเข้าไปในฝูงอื่น ติดต่อไปเรื่อยๆทางละอองฝอย เป็นการติดเชื้อกันเองเป็นทอดๆ

    นัย ว่า เพื่อให้เป็นวัคซีนของค้างคาวในการป้องกันการแพร่ไวรัสโคโรนา

    โดยตัวที่จะเอามาติดในค้างคาวนั้น เป็นตัวที่จะครอบคลุมไวรัสโคโรนาทั้งหมดที่จะมีวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว นั่นคือร้ายแรงที่สุดแล้ว (ทั้งนี้ค้างคาวเมื่อติดเชื้อแล้วไม่เกิดอาการ)

    หลังจากนั้น มีการรวมโครงการทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียว คือ
    CREID และในตะวันออกเฉียงใต้ ตือ SEARCH

    โดยในโครงการหลักนี้ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะทำการหาเชื้อไวรัสที่ใกล้เคียงกับโควิดมากที่สุด และทำการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว และจากนั้นทำการ สร้างไวรัสโควิดใหม่ในห้องทดลองที่ร้ายแรงกว่าเก่า ทั้งนี้รวมการสร้างไวรัสอีโบลาใหม่และสร้างไวรัสนิปาห์ใหม่

    และหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆรวมในประเทศไทย ก็คือการหาไวรัสเหล่านี้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งให้องค์กรต่างประเทศ

    นี่คือ ธุรกิจสร้างไวรัสข้ามชาติให้เกิดเป็นการระบาดทั่วโลก pandemic ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัคซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    และคนตายไปเรื่อยๆ

    ข้อมูลเหล่านี้สามารถสืบค้นได้จากการสอบสวนของรัฐสภาสหรัฐที่มีต่อองค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องในการให้ทุนและการกำเนิดตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา และ จากข้อมูลที่ต้องเปิดเผยโดยผ่านทางกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลทำให้ได้รายละเอียดเหล่านี้มา

    ใครทำอยู่ในประเทศไทย สามารถสืบค้นได้จากทุนที่สหรัฐให้โดยผ่านทางองค์กรต่างๆ CDC NIH USAID DARPA DTRA EcoHealth alliance

    ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
    หวังเพียงแค่ทุน เศษเงินที่โยนมาให้และอ้างว่ามีประโยชน์เป็นวิทยาการชั้นสูง
    แล้วโควิดที่ระบาดไปแล้วปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้เกิดจากการสร้างในลักษณะนี้และปลดปล่อยออกมาโดยตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามโดยที่มีวัคซีนจดสิทธิบัตรเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2018

    และ NIH ได้รับเงินจากการจดสิทธิบัตรจากบริษัทวัคซีนโดยต้องจ่ายเงินให้ 400 ล้านเหรียญ

    ในขณะที่อีกบริษัทหนึ่งยังอยู่ในระหว่างการ“ไม่ยอมให้เงินต่อ ” โดยที่ได้จ่ายไปแล้วก่อนหน้า

    และถูกเปิดโปงอยู่ขณะนี้ว่า หน่วยงานกลางของประเทศแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในลักษณะนี้เป็นเรื่องต้องห้ามหรือไม่ และเป็นเหตุผลในการเซ็นเซอร์ข่าวสารทางด้านลบที่เกี่ยวกับวัคซีนมาตลอดดังที่มีการเปิดเผยเปิดโปงกันจนถึงปัจจุบันนี้

    ข้อมูลในการเก็บค่าต๋ง

    NIH ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลง ค่าลิขสิทธิ์วัคซีนโควิด-19

    หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว

    โดยแซคารี สตีเบอร์
    18/4/2024
    ข้อมูลข่าวสารจาก The Epoch Times

    สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงที่สถาบันทำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทวัคซีน ทั้งนี้ได้รับเงินไปอย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์

    NIH ปฏิเสธที่จะจัดหาเอกสารใดๆ ต่อคำขอ
    ตามกฏหมายข้อมูลความโปร่งใส

    กอร์กา การ์เซีย-มาลีน เจ้าหน้าที่ NIH บอกกับ The Epoch Times ในจดหมาย
    “NIH ระงับบันทึกทั้งหมด อ้างว่าได้รับการปกป้องไม่ให้ปล่อย”

    ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 Moderna ประกาศว่าได้จ่ายเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ให้กับ NIH และจะชำระเงินเพิ่มเติมในอนาคต โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงใบอนุญาตสำหรับโปรตีนขัดขวางที่ใช้ในวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท

    Epoch Times ได้รับสำเนาของสัญญา ซึ่งยืนยันการชำระเงิน แต่แก้ไขรายละเอียดการชำระเงินในอนาคตใหม่

    จากนั้น The Epoch Times ได้ยื่นคำขอใหม่โดยมองหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระเงินในอนาคต ซึ่งกล่าวกันว่าขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จำหน่ายได้
    นางสาวการ์เซีย-มาลีนกำลังตอบสนองต่อคำขอใหม่

    เจมส์ เลิฟ ผู้อำนวยการ Knowledge Ecology International ที่ไม่แสวงหากำไรกล่าวว่าข้อมูลดังกล่าวควรได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ

    “NIH ได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องค่าลิขสิทธิ์กับ Moderna และตอนนี้พวกเขาไม่ควรอ้างว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความลับบางอย่าง ในเมื่อเกี่ยวกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์
    ผลประโยชน์สาธารณะในเรื่องความโปร่ง เป็นเรื่องสำคัญ

    นายเลิฟบอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล
    “มีเจ้าหน้าที่ NIH จำนวนมากที่ไม่พอใจกับเรื่องความโปร่งใส” เขากล่าวเสริม

    Epoch Times วางแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของ NIH

    NIH เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งที่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ที่นั่น ต่อสู้กับความพยายามที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินเหล่านี้ ในปี 2566 พวกเขาเปิดเผยค่าลิขสิทธิ์จำนวน 325 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจนถึง 2563 หลังจากถูกฟ้อง
    ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนควรหยุดลง
    “ทั้งรัฐบาลและพนักงานของรัฐไม่ควรมีผลประโยชน์ทางการเงินในผลิตภัณฑ์ที่รัฐบาลมีส่วนร่วมในการออกใบอนุญาตหรือการส่งเสริม” Aaron Siri หุ้นส่วนผู้จัดการของ Siri & Glimstad LLP บอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล “มันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอันตราย”
    เดินหน้าต่อไป BioNTech

    NIH กำลังพยายามหาเงินเพิ่มเติมจากผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามเอกสารที่ยื่นล่าสุด
    BioNTech ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของไฟเซอร์ กล่าวในรูปแบบที่ NIH แจ้งไว้ล่วงหน้า เนื่องจากจุดยืนของ NIH คือ BioNTech เป็นหนี้เงินจากการขายวัคซีนโควิด-19

    BioNTech กล่าวว่าไม่คิดว่าจะเป็นหนี้เงินของ NIH แต่ "ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องเหล่านี้ไม่แน่นอน และเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าการตีความข้อตกลงใบอนุญาตเหล่านี้จะมีผลเหนือกว่า หรือในที่สุดเราจะไม่ต้องจ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด ค่าภาคหลวงและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่เป็นข้อพิพาท”
    NIH ไม่ได้ตอบกลับการสอบถามเกี่ยวกับเอกสารที่ยื่นต่อ BioNTech
    NIH เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ออกใบอนุญาตเทคโนโลยีโปรตีนขัดขวางให้กับ BioNTech สำหรับวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech
    Epoch Times ได้ส่งคำขอพระราชบัญญัติเสรีภาพด้านข้อมูลสำหรับการแจ้งการผิดนัดและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คำขออื่นจะค้นหาข้อมูลว่า NIH ได้ข่มขู่หรือให้บริการไฟเซอร์ด้วยการแจ้งเตือนที่คล้ายกันหรือไม่
    ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่าใด ก็จะน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายสำหรับวัคซีนมากเพียงใด รัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว
    กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์
    พิมพ์เขียวของไวรัสโควิดมาจากโครงการ DEFUSE 2018 และ PREEMPT แต่ที่สำคัญ อีกประการ คือรวมถึงการสร้างไวรัสใหม่เข้าไปติดเชื้อในค้างคาว ในโครงการแรกแต่ต้อง สเปรย์บ่อยๆ และในโครงการที่สองให้แพร่ติดในหมู่ค้างคาวเองก่อน แต่หลังจากนั้นให้ค้างคาวปล่อยเชื้อเข้าไปในฝูงอื่น ติดต่อไปเรื่อยๆทางละอองฝอย เป็นการติดเชื้อกันเองเป็นทอดๆ นัย ว่า เพื่อให้เป็นวัคซีนของค้างคาวในการป้องกันการแพร่ไวรัสโคโรนา โดยตัวที่จะเอามาติดในค้างคาวนั้น เป็นตัวที่จะครอบคลุมไวรัสโคโรนาทั้งหมดที่จะมีวิวัฒนาการสูงสุดแล้ว นั่นคือร้ายแรงที่สุดแล้ว (ทั้งนี้ค้างคาวเมื่อติดเชื้อแล้วไม่เกิดอาการ) หลังจากนั้น มีการรวมโครงการทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียว คือ CREID และในตะวันออกเฉียงใต้ ตือ SEARCH โดยในโครงการหลักนี้ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะทำการหาเชื้อไวรัสที่ใกล้เคียงกับโควิดมากที่สุด และทำการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว และจากนั้นทำการ สร้างไวรัสโควิดใหม่ในห้องทดลองที่ร้ายแรงกว่าเก่า ทั้งนี้รวมการสร้างไวรัสอีโบลาใหม่และสร้างไวรัสนิปาห์ใหม่ และหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆรวมในประเทศไทย ก็คือการหาไวรัสเหล่านี้ถอดรหัสพันธุกรรมและส่งให้องค์กรต่างประเทศ นี่คือ ธุรกิจสร้างไวรัสข้ามชาติให้เกิดเป็นการระบาดทั่วโลก pandemic ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัคซีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคนตายไปเรื่อยๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถสืบค้นได้จากการสอบสวนของรัฐสภาสหรัฐที่มีต่อองค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้องในการให้ทุนและการกำเนิดตั้งแต่โควิดเป็นต้นมา และ จากข้อมูลที่ต้องเปิดเผยโดยผ่านทางกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลทำให้ได้รายละเอียดเหล่านี้มา ใครทำอยู่ในประเทศไทย สามารถสืบค้นได้จากทุนที่สหรัฐให้โดยผ่านทางองค์กรต่างๆ CDC NIH USAID DARPA DTRA EcoHealth alliance ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังเพียงแค่ทุน เศษเงินที่โยนมาให้และอ้างว่ามีประโยชน์เป็นวิทยาการชั้นสูง แล้วโควิดที่ระบาดไปแล้วปฏิเสธได้หรือว่าไม่ได้เกิดจากการสร้างในลักษณะนี้และปลดปล่อยออกมาโดยตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามโดยที่มีวัคซีนจดสิทธิบัตรเรียบร้อยตั้งแต่ปี 2018 และ NIH ได้รับเงินจากการจดสิทธิบัตรจากบริษัทวัคซีนโดยต้องจ่ายเงินให้ 400 ล้านเหรียญ ในขณะที่อีกบริษัทหนึ่งยังอยู่ในระหว่างการ“ไม่ยอมให้เงินต่อ ” โดยที่ได้จ่ายไปแล้วก่อนหน้า และถูกเปิดโปงอยู่ขณะนี้ว่า หน่วยงานกลางของประเทศแต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในลักษณะนี้เป็นเรื่องต้องห้ามหรือไม่ และเป็นเหตุผลในการเซ็นเซอร์ข่าวสารทางด้านลบที่เกี่ยวกับวัคซีนมาตลอดดังที่มีการเปิดเผยเปิดโปงกันจนถึงปัจจุบันนี้ ข้อมูลในการเก็บค่าต๋ง NIH ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลง ค่าลิขสิทธิ์วัคซีนโควิด-19 หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยแซคารี สตีเบอร์ 18/4/2024 ข้อมูลข่าวสารจาก The Epoch Times สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIH) ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงที่สถาบันทำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทวัคซีน ทั้งนี้ได้รับเงินไปอย่างน้อย 400 ล้านดอลลาร์ NIH ปฏิเสธที่จะจัดหาเอกสารใดๆ ต่อคำขอ ตามกฏหมายข้อมูลความโปร่งใส กอร์กา การ์เซีย-มาลีน เจ้าหน้าที่ NIH บอกกับ The Epoch Times ในจดหมาย “NIH ระงับบันทึกทั้งหมด อ้างว่าได้รับการปกป้องไม่ให้ปล่อย” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 Moderna ประกาศว่าได้จ่ายเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ให้กับ NIH และจะชำระเงินเพิ่มเติมในอนาคต โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงใบอนุญาตสำหรับโปรตีนขัดขวางที่ใช้ในวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Epoch Times ได้รับสำเนาของสัญญา ซึ่งยืนยันการชำระเงิน แต่แก้ไขรายละเอียดการชำระเงินในอนาคตใหม่ จากนั้น The Epoch Times ได้ยื่นคำขอใหม่โดยมองหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระเงินในอนาคต ซึ่งกล่าวกันว่าขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จำหน่ายได้ นางสาวการ์เซีย-มาลีนกำลังตอบสนองต่อคำขอใหม่ เจมส์ เลิฟ ผู้อำนวยการ Knowledge Ecology International ที่ไม่แสวงหากำไรกล่าวว่าข้อมูลดังกล่าวควรได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ “NIH ได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับเกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องค่าลิขสิทธิ์กับ Moderna และตอนนี้พวกเขาไม่ควรอ้างว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความลับบางอย่าง ในเมื่อเกี่ยวกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ ผลประโยชน์สาธารณะในเรื่องความโปร่ง เป็นเรื่องสำคัญ นายเลิฟบอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล “มีเจ้าหน้าที่ NIH จำนวนมากที่ไม่พอใจกับเรื่องความโปร่งใส” เขากล่าวเสริม Epoch Times วางแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของ NIH NIH เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งที่ได้รับค่าลิขสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ที่นั่น ต่อสู้กับความพยายามที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินเหล่านี้ ในปี 2566 พวกเขาเปิดเผยค่าลิขสิทธิ์จำนวน 325 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจนถึง 2563 หลังจากถูกฟ้อง ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนควรหยุดลง “ทั้งรัฐบาลและพนักงานของรัฐไม่ควรมีผลประโยชน์ทางการเงินในผลิตภัณฑ์ที่รัฐบาลมีส่วนร่วมในการออกใบอนุญาตหรือการส่งเสริม” Aaron Siri หุ้นส่วนผู้จัดการของ Siri & Glimstad LLP บอกกับ The Epoch Times ทางอีเมล “มันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอันตราย” เดินหน้าต่อไป BioNTech NIH กำลังพยายามหาเงินเพิ่มเติมจากผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามเอกสารที่ยื่นล่าสุด BioNTech ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของไฟเซอร์ กล่าวในรูปแบบที่ NIH แจ้งไว้ล่วงหน้า เนื่องจากจุดยืนของ NIH คือ BioNTech เป็นหนี้เงินจากการขายวัคซีนโควิด-19 BioNTech กล่าวว่าไม่คิดว่าจะเป็นหนี้เงินของ NIH แต่ "ผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องเหล่านี้ไม่แน่นอน และเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าการตีความข้อตกลงใบอนุญาตเหล่านี้จะมีผลเหนือกว่า หรือในที่สุดเราจะไม่ต้องจ่ายบางส่วนหรือทั้งหมด ค่าภาคหลวงและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่เป็นข้อพิพาท” NIH ไม่ได้ตอบกลับการสอบถามเกี่ยวกับเอกสารที่ยื่นต่อ BioNTech NIH เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้ออกใบอนุญาตเทคโนโลยีโปรตีนขัดขวางให้กับ BioNTech สำหรับวัคซีนโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech Epoch Times ได้ส่งคำขอพระราชบัญญัติเสรีภาพด้านข้อมูลสำหรับการแจ้งการผิดนัดและเอกสารที่เกี่ยวข้อง คำขออื่นจะค้นหาข้อมูลว่า NIH ได้ข่มขู่หรือให้บริการไฟเซอร์ด้วยการแจ้งเตือนที่คล้ายกันหรือไม่ ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับค่าลิขสิทธิ์เท่าใด ก็จะน้อยกว่าที่รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายสำหรับวัคซีนมากเพียงใด รัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว กว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์
    Like
    10
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1209 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 2
    Stevens มาเมือง Benghazi ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2011 เขามาทางเรือบรรทุกสินค้า ซึ่งแล่นมาจาก Malta เป็นเรือเปล่า โดยซ่อนตัวอยู่ในเรือนั้นกับ Nathan Tek เจ้าหน้าด้านความปลอดภัย ทีมงานของ USAID และลูกเรือโดยชาวกรีกและโรมาเนีย ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร เคยมีคนถามเขาว่ามาทางอื่นไม่ได้หรือไง Stevens บอกว่าเส้นทางนี้มันน่าตื่นเต้นดี เหมือนการผจญภัยในหนังโรแมนติก
    Stevens เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ “Mission” เขาเป็นนักการฑูตที่ใช้ชีวิตการฑูตอยู่แถบตะวันออกกลางและอาฟริกา มาประมาณ 20 ปี เขาเป็นชาวแคลิฟอร์เนีย ท่าทางสบาย ๆ ยิ้มกว้าง เห็นฟันโตเต็มปาก มีชื่อเสียงว่าเป็นคนอดทนและใจเย็น และที่สำคัญเขารู้จักลิเบียอย่างดี เขาเคยเป็นผู้ช่วยฑูตอยู่ที่ Tripoli 2 ปี เมื่อประมาณปี 2007 ตอนนั้นอเมริกายังเป็นมิตรมีไมตรีกับ Qaddafi อยู่
    Stevens เติบโตมาที่ Northern California ย้ายมาเรื่อย จนในที่สุดอยู่ San Francisco เมื่อตอนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Berkley เขาเลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอก รวมทั้งวิชาตรรกวิทยา อิตาเลียน ฯลฯ เพื่อน ๆ บอกไอ้หมอนี้ มันเหมือนตู้หนังสือเดินได้ เขาตัดสินใจตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่ Berkley ว่าจะเป็นนักการฑูต เมื่อเรียนจบก็ไปสอบที่กระทรวงต่างประเทศ แต่ไม่ผ่าน เขาเลยสมัครเป็น Peace Corps และไปสอนภาษาอังกฤษอยู่แถวเมือ งบนภูเขาในโมรอคโค ซึ่งแถบจะไม่มีผู้คน มีแต่พรม และธรรมชาติที่แสนจะงดงาม ทำให้ Stevens หลงรักเมืองแถบอาหรับ เมื่อเขาจบเทอม 2 ปี ของการเป็น Peace Corps เขากลับมา California และเรียนกฎหมายต่อจบได้ปริญญา และทำงานในสำนักงานกฎหมายหรูหรามีชื่อเสียงอยู่ในกรุงวอชิงตัน
    แต่เขาไม่เคยลืมความฝันที่จะเป็นนัการฑูต เขาเลยกลับไปสอบกับกระทรวงต่างประเทศใหม่ คราวนี้สอบผ่าน ค.ศ. 1991 เขาเริ่มฝึกงานและไปประจำอยู่ Riyadh หลังจากนั้นก็ย้ายไปตามเมือง ต่าง ๆ ในแถบทะเลทราย ซึ่งพวกฑูตเรียกกันว่า “Sandbox” เขาเรียนภาษาอารบิคที่ Tunisia หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ Cairo, Damacus และ Jeusalem เมื่อย้ายกลับไปอยู่วอชิงตัน เขายังมีหน้าที่ดูแล Iran เขาวนเวียนอยู่แถว Sandbox นี้แหละ
    เขาไม่เคยได้รับตำแหน่งที่มาอยู่แถบ Asia หรือ Scandinavia เลย ระหว่างที่วนเวียนอยู่แถบนั้น เขามีแฟนเป็นชาวยุโรป ชื่อ Henritte ซึ่งเจอกับ Stevens ที่ Jerusarem ตั้งแต่ปี 2003 รักๆเลิกๆอยู่ 9 ปี เธอบอกว่าเมื่อถาม Stevens ว่า เธอชอบฉันตรงไหน Stevens ตอบว่าฉันชอบกลิ่นของเธอ กลิ่นที่ปนอยู่กับกาแฟและถั่ว กลิ่นยาเส้นผสมน้ำแอปเปิ้ล ชอบสีของคนอาหรับ ชอบความรู้สึกเวลาสัมผัสกับพรมและผ้าไหม ชอบเสียงเวลาพวกเขาสวดมนตร์ และชอบวิถีชีวิตที่วุ่นวายสับสนของพวกเขา ชอบทิวทัศน์ของบ้านเมือง ชอบเพลง ชอบภาษา ทั้งหมดนี้มันแสดงให้เห็นรากเหง้าของพวกเขา ที่ยาวนาน เมื่อดูพร้อมกับการเมืองที่วุ่นวายของพวกเขาแล้ว มันเป็นเรื่องยิ่งกว่าน่าสนใจและท้าทาย มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา สาวบอกตกลงเธอชอบฉัน หรือชอบเมืองอาหรับกันแน่
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 2 Stevens มาเมือง Benghazi ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2011 เขามาทางเรือบรรทุกสินค้า ซึ่งแล่นมาจาก Malta เป็นเรือเปล่า โดยซ่อนตัวอยู่ในเรือนั้นกับ Nathan Tek เจ้าหน้าด้านความปลอดภัย ทีมงานของ USAID และลูกเรือโดยชาวกรีกและโรมาเนีย ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร เคยมีคนถามเขาว่ามาทางอื่นไม่ได้หรือไง Stevens บอกว่าเส้นทางนี้มันน่าตื่นเต้นดี เหมือนการผจญภัยในหนังโรแมนติก Stevens เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ “Mission” เขาเป็นนักการฑูตที่ใช้ชีวิตการฑูตอยู่แถบตะวันออกกลางและอาฟริกา มาประมาณ 20 ปี เขาเป็นชาวแคลิฟอร์เนีย ท่าทางสบาย ๆ ยิ้มกว้าง เห็นฟันโตเต็มปาก มีชื่อเสียงว่าเป็นคนอดทนและใจเย็น และที่สำคัญเขารู้จักลิเบียอย่างดี เขาเคยเป็นผู้ช่วยฑูตอยู่ที่ Tripoli 2 ปี เมื่อประมาณปี 2007 ตอนนั้นอเมริกายังเป็นมิตรมีไมตรีกับ Qaddafi อยู่ Stevens เติบโตมาที่ Northern California ย้ายมาเรื่อย จนในที่สุดอยู่ San Francisco เมื่อตอนที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Berkley เขาเลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอก รวมทั้งวิชาตรรกวิทยา อิตาเลียน ฯลฯ เพื่อน ๆ บอกไอ้หมอนี้ มันเหมือนตู้หนังสือเดินได้ เขาตัดสินใจตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่ Berkley ว่าจะเป็นนักการฑูต เมื่อเรียนจบก็ไปสอบที่กระทรวงต่างประเทศ แต่ไม่ผ่าน เขาเลยสมัครเป็น Peace Corps และไปสอนภาษาอังกฤษอยู่แถวเมือ งบนภูเขาในโมรอคโค ซึ่งแถบจะไม่มีผู้คน มีแต่พรม และธรรมชาติที่แสนจะงดงาม ทำให้ Stevens หลงรักเมืองแถบอาหรับ เมื่อเขาจบเทอม 2 ปี ของการเป็น Peace Corps เขากลับมา California และเรียนกฎหมายต่อจบได้ปริญญา และทำงานในสำนักงานกฎหมายหรูหรามีชื่อเสียงอยู่ในกรุงวอชิงตัน แต่เขาไม่เคยลืมความฝันที่จะเป็นนัการฑูต เขาเลยกลับไปสอบกับกระทรวงต่างประเทศใหม่ คราวนี้สอบผ่าน ค.ศ. 1991 เขาเริ่มฝึกงานและไปประจำอยู่ Riyadh หลังจากนั้นก็ย้ายไปตามเมือง ต่าง ๆ ในแถบทะเลทราย ซึ่งพวกฑูตเรียกกันว่า “Sandbox” เขาเรียนภาษาอารบิคที่ Tunisia หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่ Cairo, Damacus และ Jeusalem เมื่อย้ายกลับไปอยู่วอชิงตัน เขายังมีหน้าที่ดูแล Iran เขาวนเวียนอยู่แถว Sandbox นี้แหละ เขาไม่เคยได้รับตำแหน่งที่มาอยู่แถบ Asia หรือ Scandinavia เลย ระหว่างที่วนเวียนอยู่แถบนั้น เขามีแฟนเป็นชาวยุโรป ชื่อ Henritte ซึ่งเจอกับ Stevens ที่ Jerusarem ตั้งแต่ปี 2003 รักๆเลิกๆอยู่ 9 ปี เธอบอกว่าเมื่อถาม Stevens ว่า เธอชอบฉันตรงไหน Stevens ตอบว่าฉันชอบกลิ่นของเธอ กลิ่นที่ปนอยู่กับกาแฟและถั่ว กลิ่นยาเส้นผสมน้ำแอปเปิ้ล ชอบสีของคนอาหรับ ชอบความรู้สึกเวลาสัมผัสกับพรมและผ้าไหม ชอบเสียงเวลาพวกเขาสวดมนตร์ และชอบวิถีชีวิตที่วุ่นวายสับสนของพวกเขา ชอบทิวทัศน์ของบ้านเมือง ชอบเพลง ชอบภาษา ทั้งหมดนี้มันแสดงให้เห็นรากเหง้าของพวกเขา ที่ยาวนาน เมื่อดูพร้อมกับการเมืองที่วุ่นวายของพวกเขาแล้ว มันเป็นเรื่องยิ่งกว่าน่าสนใจและท้าทาย มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา สาวบอกตกลงเธอชอบฉัน หรือชอบเมืองอาหรับกันแน่ คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว