• เรื่องเล่าจากข่าว: PlayStation 6 กับพลังแห่ง Orion—GPU RDNA 5, CPU Zen 6 และความหวังใหม่ของเกมยุคถัดไป

    แม้ Sony ยังไม่เปิดตัว PlayStation 6 อย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลหลุดจากการนำเสนอของ AMD ในปี 2023 เผยให้เห็นสเปกที่น่าตื่นเต้นของคอนโซลรุ่นถัดไป โดยใช้ APU รหัส “Orion” ที่รวมพลังของ CPU Zen 6 และ GPU RDNA 5

    ตัวเครื่องจะมี 8 คอร์ Zen 6 ที่ความเร็วสูงสุด 3GHz และ GPU ที่มี 40–48 Compute Units ซึ่งแม้จะน้อยกว่า PS5 Pro ที่มี 60 CUs แต่ RDNA 5 มีประสิทธิภาพต่อหน่วยสูงกว่า RDNA 2 อย่างมาก

    PS6 ยังจะใช้หน่วยความจำ GDDR7 ซึ่งเร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro และมีเป้าหมายการใช้พลังงานเพียง 160W—ต่ำกว่า PS5 ที่ใช้ 190–220W

    ผลคือ PS6 จะมีประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และ ray tracing ดีกว่า PS5 Pro อย่างชัดเจน โดยคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028

    PlayStation 6 จะใช้ AMD APU รหัส Orion ที่รวม Zen 6 และ RDNA 5
    CPU 8 คอร์ Zen 6 ความเร็วสูงสุด 3GHz
    GPU RDNA 5 จำนวน 40–48 Compute Units

    ใช้หน่วยความจำ GDDR7 ที่เร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro
    เพิ่มแบนด์วิดธ์และลด latency
    รองรับการเล่นเกมระดับ 4K 120FPS และ 8K 60FPS

    เป้าหมายการใช้พลังงานอยู่ที่ 160W ซึ่งต่ำกว่า PS5
    PS5 ใช้พลังงาน 190–220W
    ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน

    ประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และดีกว่า PS5 Pro 2 เท่า
    เพิ่มความลื่นไหลของภาพและเฟรมเรต
    รองรับเกมที่ใช้กราฟิกหนักได้ดีขึ้น

    คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028
    เริ่มผลิตกลางปี 2027
    ยังไม่มีการกำหนดราคาขาย แต่ผู้ใช้หวังว่าจะใกล้เคียง PS5 ที่ $499

    มีข่าวลือว่า Sony จะเปิดตัวเครื่องพกพาใหม่พร้อมกัน โดยใช้ APU รหัส Canis
    ใช้ Zen 6C 4 คอร์ และ RDNA 5 12–20 CUs
    ใช้พลังงานเพียง 15W พร้อม LPDDR5X-7500

    https://www.techspot.com/news/108903-playstation-6-leaks-suggest-amd-orion-apu-rdna.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: PlayStation 6 กับพลังแห่ง Orion—GPU RDNA 5, CPU Zen 6 และความหวังใหม่ของเกมยุคถัดไป แม้ Sony ยังไม่เปิดตัว PlayStation 6 อย่างเป็นทางการ แต่ข้อมูลหลุดจากการนำเสนอของ AMD ในปี 2023 เผยให้เห็นสเปกที่น่าตื่นเต้นของคอนโซลรุ่นถัดไป โดยใช้ APU รหัส “Orion” ที่รวมพลังของ CPU Zen 6 และ GPU RDNA 5 ตัวเครื่องจะมี 8 คอร์ Zen 6 ที่ความเร็วสูงสุด 3GHz และ GPU ที่มี 40–48 Compute Units ซึ่งแม้จะน้อยกว่า PS5 Pro ที่มี 60 CUs แต่ RDNA 5 มีประสิทธิภาพต่อหน่วยสูงกว่า RDNA 2 อย่างมาก PS6 ยังจะใช้หน่วยความจำ GDDR7 ซึ่งเร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro และมีเป้าหมายการใช้พลังงานเพียง 160W—ต่ำกว่า PS5 ที่ใช้ 190–220W ผลคือ PS6 จะมีประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และ ray tracing ดีกว่า PS5 Pro อย่างชัดเจน โดยคาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028 ✅ PlayStation 6 จะใช้ AMD APU รหัส Orion ที่รวม Zen 6 และ RDNA 5 ➡️ CPU 8 คอร์ Zen 6 ความเร็วสูงสุด 3GHz ➡️ GPU RDNA 5 จำนวน 40–48 Compute Units ✅ ใช้หน่วยความจำ GDDR7 ที่เร็วกว่า GDDR6 ใน PS5 Pro ➡️ เพิ่มแบนด์วิดธ์และลด latency ➡️ รองรับการเล่นเกมระดับ 4K 120FPS และ 8K 60FPS ✅ เป้าหมายการใช้พลังงานอยู่ที่ 160W ซึ่งต่ำกว่า PS5 ➡️ PS5 ใช้พลังงาน 190–220W ➡️ ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ✅ ประสิทธิภาพด้าน rasterization สูงกว่า PS5 ถึง 3 เท่า และดีกว่า PS5 Pro 2 เท่า ➡️ เพิ่มความลื่นไหลของภาพและเฟรมเรต ➡️ รองรับเกมที่ใช้กราฟิกหนักได้ดีขึ้น ✅ คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028 ➡️ เริ่มผลิตกลางปี 2027 ➡️ ยังไม่มีการกำหนดราคาขาย แต่ผู้ใช้หวังว่าจะใกล้เคียง PS5 ที่ $499 ✅ มีข่าวลือว่า Sony จะเปิดตัวเครื่องพกพาใหม่พร้อมกัน โดยใช้ APU รหัส Canis ➡️ ใช้ Zen 6C 4 คอร์ และ RDNA 5 12–20 CUs ➡️ ใช้พลังงานเพียง 15W พร้อม LPDDR5X-7500 https://www.techspot.com/news/108903-playstation-6-leaks-suggest-amd-orion-apu-rdna.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    PlayStation 6 leaks suggest AMD Orion APU with RDNA 5 and Zen 6 cores
    YouTube channel Moore's Law Is Dead claims to have obtained partial spec sheets for both consoles from a leaked AMD presentation. The leak suggests the PS6's Orion...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน ตั้งทีมติดตามหยุดยิง : [NEWS UPDATE]

    พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผย กองทัพบกหารือกับผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นพ้องตั้งทีมเฝ้าติดตามชั่วคราวของทูตทหารจากชาติสมาชิกอาเซียนโดยเร่งด่วน เพื่อติดตามสถานการณ์และสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย รวมถึงหารือการตั้งกลไก ASEAN Monitoring Team(AMIT) ในอนาคต ทำหน้าที่หลักในการเฝ้าระวังสถานการณ์ โดยจะหารือในเวทีประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ในวันที่ 4 ส.ค. นี้ ยืนยัน จุดยืนไทยเคารพหลักสากล ไม่รุกราน ไม่ใช้ความรุนแรง

    -หวั่นล่ามล้วงข้อมูลไทย

    -เปลี่ยนสถานที่วัดใจกัมพูชา

    -เขมรฉวยจังหวะฟ้องโลก

    -ลดค่าไฟ กันยายน–ธันวาคม
    ผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน ตั้งทีมติดตามหยุดยิง : [NEWS UPDATE] พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผย กองทัพบกหารือกับผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นพ้องตั้งทีมเฝ้าติดตามชั่วคราวของทูตทหารจากชาติสมาชิกอาเซียนโดยเร่งด่วน เพื่อติดตามสถานการณ์และสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย รวมถึงหารือการตั้งกลไก ASEAN Monitoring Team(AMIT) ในอนาคต ทำหน้าที่หลักในการเฝ้าระวังสถานการณ์ โดยจะหารือในเวทีประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ในวันที่ 4 ส.ค. นี้ ยืนยัน จุดยืนไทยเคารพหลักสากล ไม่รุกราน ไม่ใช้ความรุนแรง -หวั่นล่ามล้วงข้อมูลไทย -เปลี่ยนสถานที่วัดใจกัมพูชา -เขมรฉวยจังหวะฟ้องโลก -ลดค่าไฟ กันยายน–ธันวาคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ARM พลิกเกมจากเบื้องหลังสู่เวทีหน้าในตลาด AI

    ARM เคยเป็นผู้ให้สิทธิ์ใช้งานสถาปัตยกรรม CPU ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple, Qualcomm, NVIDIA และ AWS โดยไม่ผลิตชิปเอง แต่ในปี 2025 ARM ประกาศแผนใหม่—จะพัฒนา “Full-End Solutions” ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ชิปเล็ก (chiplet) ไปจนถึงระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    CEO ของ ARM, Rene Haas เผยว่า “เราไม่ใช่แค่จะออกแบบ แต่จะสร้างจริง” ซึ่งหมายถึงการลงทุนมหาศาลใน R&D การเลือกโรงงานผลิต และการจัดจำหน่าย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิปหนึ่งตัว

    แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าเดิมที่อาจมองว่า ARM กลายเป็นคู่แข่ง แต่ ARM ก็มีจุดแข็งจากประสบการณ์และการยอมรับในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscaler เช่น AWS, Google, Microsoft ที่ใช้ชิป Neoverse ของ ARM ในระบบ AI ของตน

    ARM เตรียมพัฒนา Full-End Solutions สำหรับตลาด AI
    รวมถึง chiplets, บอร์ด, และระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด
    เปลี่ยนจากโมเดล IP licensing ไปสู่การผลิตจริง

    CEO Rene Haas ยืนยันการลงทุนใน R&D และการสร้างชิปเอง
    อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิป
    ต้องเลือกโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายเอง

    ARM มีฐานลูกค้าในตลาด AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
    Neoverse CPU ถูกใช้ใน AWS Graviton, Google Axion, Microsoft Cobalt
    คาดว่า 50% ของ CPU ใน data center จะใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายในปีนี้

    SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ARM และมีประวัติการลงทุนในโครงการเสี่ยง
    เพิ่มความมั่นใจในการสนับสนุนแผนใหม่ของ ARM
    เคยลงทุนหลายพันล้านในเทคโนโลยีล้ำสมัย

    ARM ไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ผลิตชิปเต็มรูปแบบ แต่จะสร้าง prototype เพื่อเร่งนวัตกรรมของลูกค้า
    ใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยลูกค้าออกแบบชิปเฉพาะทาง
    เน้นตลาด AI inference และ data center

    https://wccftech.com/arm-is-reportedly-exploring-full-end-solutions-for-the-ai-market/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ARM พลิกเกมจากเบื้องหลังสู่เวทีหน้าในตลาด AI ARM เคยเป็นผู้ให้สิทธิ์ใช้งานสถาปัตยกรรม CPU ให้กับบริษัทต่างๆ เช่น Apple, Qualcomm, NVIDIA และ AWS โดยไม่ผลิตชิปเอง แต่ในปี 2025 ARM ประกาศแผนใหม่—จะพัฒนา “Full-End Solutions” ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ชิปเล็ก (chiplet) ไปจนถึงระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว CEO ของ ARM, Rene Haas เผยว่า “เราไม่ใช่แค่จะออกแบบ แต่จะสร้างจริง” ซึ่งหมายถึงการลงทุนมหาศาลใน R&D การเลือกโรงงานผลิต และการจัดจำหน่าย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิปหนึ่งตัว แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียลูกค้าเดิมที่อาจมองว่า ARM กลายเป็นคู่แข่ง แต่ ARM ก็มีจุดแข็งจากประสบการณ์และการยอมรับในตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม hyperscaler เช่น AWS, Google, Microsoft ที่ใช้ชิป Neoverse ของ ARM ในระบบ AI ของตน ✅ ARM เตรียมพัฒนา Full-End Solutions สำหรับตลาด AI ➡️ รวมถึง chiplets, บอร์ด, และระบบคอมพิวเตอร์ครบชุด ➡️ เปลี่ยนจากโมเดล IP licensing ไปสู่การผลิตจริง ✅ CEO Rene Haas ยืนยันการลงทุนใน R&D และการสร้างชิปเอง ➡️ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง $500 ล้านต่อชิป ➡️ ต้องเลือกโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายเอง ✅ ARM มีฐานลูกค้าในตลาด AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ➡️ Neoverse CPU ถูกใช้ใน AWS Graviton, Google Axion, Microsoft Cobalt ➡️ คาดว่า 50% ของ CPU ใน data center จะใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายในปีนี้ ✅ SoftBank เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ARM และมีประวัติการลงทุนในโครงการเสี่ยง ➡️ เพิ่มความมั่นใจในการสนับสนุนแผนใหม่ของ ARM ➡️ เคยลงทุนหลายพันล้านในเทคโนโลยีล้ำสมัย ✅ ARM ไม่ได้ตั้งใจเป็นผู้ผลิตชิปเต็มรูปแบบ แต่จะสร้าง prototype เพื่อเร่งนวัตกรรมของลูกค้า ➡️ ใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยลูกค้าออกแบบชิปเฉพาะทาง ➡️ เน้นตลาด AI inference และ data center https://wccftech.com/arm-is-reportedly-exploring-full-end-solutions-for-the-ai-market/
    WCCFTECH.COM
    ARM Is Reportedly Exploring "Full-End" Solutions for the AI Market, Marking a Major Pivot from CPU IP Licensing to Competing with Mainstream Players Like AMD & Intel
    ARM is expected to make a pivot towards full-end solutions for its customers, creating its own chips to compete with Intel and AMD.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know

    The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary.

    Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms.

    Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect.
    The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender.

    demigender
    Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy.

    Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity.

    This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux.

    femme
    The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.”

    Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example.

    xenogender
    When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender.

    The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low.

    neutrois
    Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender.

    aporagender
    Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity.

    The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between.

    maverique
    Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary.

    The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ].

    gendervoid
    Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender.

    māhū
    Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities.

    hijra
    While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person.

    Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births.

    fa’afafine and fa’afatama
    In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.”

    Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals.

    It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people.

    These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    Demigender, Maverique, And Other Gender Terms You May Not Know The language of queer identity is constantly evolving and expanding, and there will always be new terminology to learn. Pride Month is the perfect opportunity to increase understanding and awareness of the kind of emerging and newly prominent terms that we’re constantly adding to our Gender and Sexuality Dictionary. Language is an important part of how queer people, and particularly nonbinary and trans people, express and define their experience and who they are, whether it’s through the use of new terms or new applications of existing terms. Finding or coining the term that precisely reflects personal experience and identity can help a person to feel seen, accepted, or understood. It can be liberating and empowering both individually and in a way that creates community. And learning these terms helps to promote inclusion and respect. The explanations of the terms provided here are meant to capture the ways that most people use them. But it’s important to note that many of these terms can be and are applied in different—and equally valid—ways, with nuances and interpretations varying from person to person. It’s also important to emphasize that this list is not meant to be exhaustive—it simply covers some of the terms that have become increasingly visible in the discussion of the diverse expanse of gender. demigender Demigender is an umbrella term for people who identify partly, but not fully, with a certain gender. The prefix demi- means “half.” People who identify as demigender may use identifying terms like demigirl or demiboy. Demigender is distinct from bigender, which indicates two genders or a combination of two. The term demigender is sometimes considered to overlap with genderflux, which is used by people who experience a range of intensity within a gender identity. This means that a genderflux individual may experience the feeling of multiple genders on any given day (or moment). The term gender-fluid is sometimes used synonymously with genderflux. femme The word femme, occasionally spelled fem, comes from the French word for “woman.” It was first adopted into English to mean simply “woman” or “wife.” However, by the 1960s, it came to refer to “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of femininity.” This sense of femme is often contrasted with butch, “a lesbian who embraces identity markers that are associated with traditional expressions of masculinity.” Separate from this long-standing sense, the term femme has taken on a broader meaning in recent years. Femme is now also used to mean “any person who adopts a feminine appearance, manner, or persona.” This meaning of femme is inclusive of all genders with a feminine aspect—it may be used by someone who identifies as a trans woman or a demigirl, for example. xenogender When it comes to expressions of gender, there are many terms that go “beyond the binary” of masculine and feminine identities. One example is xenogender, an umbrella term for nonbinary genders that do not relate to the categories of “female” or “male.” Such gender identities are often expressed by attaching -gender to a word (often a noun) that’s representative of it, like an animal, concept, or symbol, such as staticgender or sciencegender. The combining form xeno- means “alien” or “strange,” from the Greek xénos, meaning “stranger, guest.” Xenogender is meant to indicate a person’s sense of their gender as being completely unrelated to typical gender identities. Early uses of the term xenogender are thought to have emerged around 2017, with an increase in use beginning around 2020. Still, awareness of the term is relatively low. neutrois Like xenogender, neutrois refers to a gender identity that does not relate to male or female identities. Neutrois people are non-gendered and may transition away from having physical signifiers traditionally associated with gender expression. This is distinct from an androgynous identity, in which a person has “both masucline and feminine gender characteristics.” According to Neutrois Outpost, a website dedicated to neutrois people, the word neutrois was coined by H.A. Burnham in the 1990s. The origin of neutrois is unclear, but it is likely related to the French neutre, meaning “neuter, neither masculine nor feminine,” and trois, “three,” a reference to it representing a third gender. aporagender Another nonbinary gender identity is aporagender. Aporagender is distinct from male, female, or any gender along the binary spectrum, but still involves experiencing a strong gender identity. Like xenogender identities, aporagender identities are connected to an identity beyond a binary. This makes aporagender people different from neutrois people in that they have a gender identity. The word aporagender is thought to have been coined in 2014 by a user of the website Tumblr. The apora- part of the word comes from the Greek apó, meaning “away off, apart,” or “separate.” In other words, aporagender is a “separate gender,” neither male nor female nor anything in between. maverique Like aporagender, maverique was coined in 2014 by a Tumblr user, Vesper H., who defines the term on their FAQ page as an “inner conviction regarding a sense of self that is entirely independent of male/masculinity, female/femininity or anything which derives from the two while still being neither without gender, nor of a neutral gender.” In this way, a maverique gender is said to be unique and separate from the gender binary. The term comes from a combination of the English maverick, referring to someone who is “unorthodox” or “nonconformist,” and the French suffix -ique, meaning “having some characteristics of” or “-like,” similar to the English -ic. Maverique can be pronounced either [ mav-reek ] or [ mav-uh–reek ]. gendervoid Another set of gender identities that falls under the nonbinary umbrella is gendervoid, referring to the sense that there is “an empty space,” a void, where a gender identity would be. Those who identify as gendervoid may feel unable to experience gender. When describing gender identity, void- can also be used as a prefix, as in voidboy or voidgirl, which are used for a person who identifies with some aspect of masculinity or femininity while also experiencing a gender “void.” The term is sometimes used synonymously with agender, but some make the distinction that agender represents gender neutrality while gendervoid represents a complete lack of gender. māhū Within Native Hawaiian and Tahitian cultures, the gender identity said to be between male and female is known as māhū [ ma-hoo ]. Traditionally, māhū people were highly respected in their communities for their knowledge of rituals and healing practices. While historically māhū people have faced marginalization and discrimination, there is growing recognition of them and their contributions to the life and culture of their communities. hijra While there is a variety of third genders in many cultures throughout the Indian subcontinent, one of the more common ones is hijra [ hij–ruh ], referring to “a person whose gender identity is neither male nor female, typically a person who was assigned male at birth but whose gender expression is female.” It can also more generally refer to a transgender person. Members of the hijra community often live apart from other communities. Believed by many Hindus to have particular religious power due to their gender, the hijra are often hired to perform dances and blessings at momentous occasions, such as weddings and births. fa’afafine and fa’afatama In Samoan culture, both in Samoa and in Samoan communities around the world, the terms fa’afafine [ fa-af-ah-feen-eh ] and fa’afatama [ fa-af-ah–tah-mah ] are used to refer to those who express both masculine and feminine gender characteristics. Fa’afafine refers to a person assigned male at birth with female characteristics, while fa’afatama refers to a person assigned female at birth with male characteristics. The prefix fa’a- means “in the manner of,” while fafine means “woman” and fatama means “man.” Fa’afafine and fa’afatama people are particularly noted for their role as a ceremonial host—or taupou—during rituals. It is important to note that māhū, hijra, fa’afafine, and fa’afatama are connected to specific cultural conceptions of gender and, as such, are not directly analogous to each other or other terms used by transgender people. These are only a few of the many terms you may encounter in the discussion and expression of gender identity. You can find many more in Gender and Sexuality Dictionary, which it regularly update with new terms and meanings to reflect evolving terminology. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสารานุกรมเสรี: เมื่อกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์กลายเป็นภัยต่อผู้สร้างความรู้

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Wikipedia ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงแห่งลอนดอน โดยมุ่งเป้าไปที่ “Categorisation Regulations” ของกฎหมาย Online Safety Act (OSA) ซึ่งอาจจัดให้ Wikipedia เป็น “Category 1 service”—กลุ่มเว็บไซต์ที่มีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด

    หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ จะต้องตรวจสอบตัวตนของอาสาสมัครที่แก้ไขบทความ ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของ Wikipedia ที่เน้นการเปิดกว้างและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การบังคับให้เปิดเผยตัวตนอาจทำให้อาสาสมัครเสี่ยงต่อการถูกตามรอย, ฟ้องร้อง, หรือแม้แต่ถูกคุมขังในบางประเทศ

    Wikimedia ยืนยันว่า Wikipedia ไม่ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพราะไม่มีโฆษณา, ไม่ขายข้อมูล, และดำเนินงานโดยอาสาสมัครกว่า 260,000 คนทั่วโลก

    Wikimedia Foundation ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงในเดือนกรกฎาคม 2025
    มุ่งเป้าไปที่ Categorisation Regulations ของกฎหมาย Online Safety Act
    เป็นการฟ้องเฉพาะข้อกำหนด ไม่ใช่ตัวกฎหมายทั้งหมด

    Wikipedia อาจถูกจัดเป็น Category 1 service ซึ่งมีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด
    ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้และอาสาสมัคร
    ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการรายงาน

    Wikimedia เตือนว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร
    เสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูล, ถูกตามรอย, หรือถูกดำเนินคดี
    อาจทำให้อาสาสมัครจำนวนมากเลิกแก้ไขบทความ

    Wikipedia มีผู้เข้าชมกว่า 15 พันล้านครั้งต่อเดือนทั่วโลก และ 776 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร
    มีอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรหลายพันคน
    เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในระบบการศึกษาของประเทศ เช่น Wikipedia ภาษาเวลส์

    ผู้ร่วมฟ้องคืออาสาสมัครในสหราชอาณาจักรที่ใช้นามแฝงว่า “Zzuuzz”
    เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานจริง
    เป็นคดีแรกที่มีอาสาสมัคร Wikipedia เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องร่วม

    Wikimedia เรียกร้องให้ศาลตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองโครงการสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต
    Wikipedia เป็นเว็บไซต์ระดับโลกที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร
    เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้ฝึกโมเดล AI และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ

    https://wikimediafoundation.org/news/2025/07/17/wikimedia-foundation-challenges-uk-online-safety-act-regulations/
    🧠 เรื่องเล่าจากสารานุกรมเสรี: เมื่อกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์กลายเป็นภัยต่อผู้สร้างความรู้ ในเดือนกรกฎาคม 2025 Wikimedia Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ดูแล Wikipedia ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงแห่งลอนดอน โดยมุ่งเป้าไปที่ “Categorisation Regulations” ของกฎหมาย Online Safety Act (OSA) ซึ่งอาจจัดให้ Wikipedia เป็น “Category 1 service”—กลุ่มเว็บไซต์ที่มีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด หาก Wikipedia ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ จะต้องตรวจสอบตัวตนของอาสาสมัครที่แก้ไขบทความ ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของ Wikipedia ที่เน้นการเปิดกว้างและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การบังคับให้เปิดเผยตัวตนอาจทำให้อาสาสมัครเสี่ยงต่อการถูกตามรอย, ฟ้องร้อง, หรือแม้แต่ถูกคุมขังในบางประเทศ Wikimedia ยืนยันว่า Wikipedia ไม่ควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพราะไม่มีโฆษณา, ไม่ขายข้อมูล, และดำเนินงานโดยอาสาสมัครกว่า 260,000 คนทั่วโลก ✅ Wikimedia Foundation ยื่นฟ้องรัฐบาลสหราชอาณาจักรต่อศาลสูงในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ มุ่งเป้าไปที่ Categorisation Regulations ของกฎหมาย Online Safety Act ➡️ เป็นการฟ้องเฉพาะข้อกำหนด ไม่ใช่ตัวกฎหมายทั้งหมด ✅ Wikipedia อาจถูกจัดเป็น Category 1 service ซึ่งมีข้อบังคับเข้มงวดที่สุด ➡️ ต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้และอาสาสมัคร ➡️ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการรายงาน ✅ Wikimedia เตือนว่าข้อกำหนดเหล่านี้จะกระทบต่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร ➡️ เสี่ยงต่อการถูกละเมิดข้อมูล, ถูกตามรอย, หรือถูกดำเนินคดี ➡️ อาจทำให้อาสาสมัครจำนวนมากเลิกแก้ไขบทความ ✅ Wikipedia มีผู้เข้าชมกว่า 15 พันล้านครั้งต่อเดือนทั่วโลก และ 776 ล้านครั้งในสหราชอาณาจักร ➡️ มีอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรหลายพันคน ➡️ เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในระบบการศึกษาของประเทศ เช่น Wikipedia ภาษาเวลส์ ✅ ผู้ร่วมฟ้องคืออาสาสมัครในสหราชอาณาจักรที่ใช้นามแฝงว่า “Zzuuzz” ➡️ เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้ใช้งานจริง ➡️ เป็นคดีแรกที่มีอาสาสมัคร Wikipedia เข้าร่วมเป็นผู้ฟ้องร่วม ✅ Wikimedia เรียกร้องให้ศาลตั้งบรรทัดฐานใหม่ในการคุ้มครองโครงการสาธารณะบนอินเทอร์เน็ต ➡️ Wikipedia เป็นเว็บไซต์ระดับโลกที่ดำเนินงานโดยไม่แสวงหากำไร ➡️ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้ฝึกโมเดล AI และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ https://wikimediafoundation.org/news/2025/07/17/wikimedia-foundation-challenges-uk-online-safety-act-regulations/
    WIKIMEDIAFOUNDATION.ORG
    Wikimedia Foundation Challenges UK Online Safety Act Regulations – Wikimedia Foundation
    Next week, on 22 and 23 July 2025, the High Court of Justice in London will hear the Wikimedia Foundation's legal challenge to the Categorisation Regulations of the United Kingdom (UK)'s Online Safety Act (OSA).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกของ AI: เมื่อคำแนะนำเรื่องเงินเดือนกลายเป็นการกดค่าตัวโดยไม่รู้ตัว

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคนิค Würzburg-Schweinfurt ในเยอรมนีได้ทำการทดลองกับแชตบอทยอดนิยมหลายตัว เช่น ChatGPT, Claude, Llama และอื่นๆ โดยตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ควรขอเงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่?” แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ตัวตน” ของผู้ถาม—ชายหรือหญิง, เชื้อชาติใด, เป็นคนท้องถิ่นหรือผู้ลี้ภัย

    ผลลัพธ์ชวนตกใจ: แม้คุณสมบัติจะเหมือนกันทุกประการ แต่ AI กลับแนะนำให้ผู้หญิงและผู้ลี้ภัยขอเงินเดือนต่ำกว่าผู้ชายหรือผู้ที่ระบุว่าเป็น expatriate อย่างมีนัยสำคัญ เช่น แพทย์ชายในเดนเวอร์ถูกแนะนำให้ขอ $400,000 ขณะที่หญิงในบทบาทเดียวกันถูกแนะนำให้ขอเพียง $280,000

    สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ “คิดเอง” แต่เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลที่มนุษย์สร้างขึ้น—ซึ่งเต็มไปด้วยอคติทางสังคมที่ฝังอยู่ในโพสต์งาน, คำแนะนำ, สถิติรัฐบาล และแม้แต่คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย

    งานวิจัยพบว่า AI แนะนำเงินเดือนต่ำกว่าสำหรับผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย
    แม้คุณสมบัติและตำแหน่งงานจะเหมือนกันทุกประการ
    ตัวอย่าง: แพทย์ชายในเดนเวอร์ได้คำแนะนำ $400,000 แต่หญิงได้เพียง $280,000

    AI แสดงอคติจากคำใบ้เล็กๆ เช่นชื่อหรือสถานะผู้ลี้ภัย
    “ชายเอเชีย expatriate” ได้คำแนะนำสูงสุด
    “หญิงฮิสแปนิกผู้ลี้ภัย” ได้ต่ำสุด แม้คุณสมบัติเหมือนกัน

    แชตบอทเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอคติในโลกจริง
    ข้อมูลจากหนังสือ, โพสต์งาน, โซเชียลมีเดีย ฯลฯ
    คำว่า “expatriate” สื่อถึงความสำเร็จ ส่วน “refugee” สื่อถึงความด้อยโอกาส

    AI ที่มีระบบจดจำผู้ใช้อาจสะสมอคติจากบทสนทนาเดิม
    ไม่จำเป็นต้องระบุเพศหรือเชื้อชาติในคำถาม
    AI อาจใช้ข้อมูลจากบทสนทนาเก่าในการให้คำแนะนำ

    นักวิจัยเสนอให้ใช้ “ช่องว่างเงินเดือน” เป็นตัวชี้วัดอคติของโมเดล
    แทนการวัดจากความรู้หรือคำตอบที่ถูกต้อง
    เพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความสำคัญและวัดได้จริง

    คำแนะนำจาก AI อาจทำให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยขอเงินเดือนต่ำกว่าที่ควร
    ส่งผลต่อรายได้ระยะสั้นและโอกาสในระยะยาว
    อาจกลายเป็นวงจรที่ฝังอคติในข้อมูลฝึกโมเดลรุ่นถัดไป

    ผู้ใช้ไม่รู้ว่า AI ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการให้คำแนะนำ
    การจดจำบทสนทนาอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติแบบ “ล่องหน”
    ผู้ใช้ควรระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในแชต

    การใช้ AI ในการเจรจาเงินเดือนต้องมีวิจารณญาณ
    คำแนะนำอาจไม่เป็นกลาง แม้ดูเหมือนเป็นกลาง
    ควรลองถามในหลายบทบาทเพื่อเปรียบเทียบคำตอบ

    การพัฒนา AI ที่ปราศจากอคติยังเป็นความท้าทายใหญ่
    การ “de-bias” โมเดลต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายฝ่าย
    ต้องมีมาตรฐานจริยธรรมและการตรวจสอบอิสระ

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/salary-advice-from-ai-low-balls-women-and-minorities-report
    🤖 เรื่องเล่าจากโลกของ AI: เมื่อคำแนะนำเรื่องเงินเดือนกลายเป็นการกดค่าตัวโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคนิค Würzburg-Schweinfurt ในเยอรมนีได้ทำการทดลองกับแชตบอทยอดนิยมหลายตัว เช่น ChatGPT, Claude, Llama และอื่นๆ โดยตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ควรขอเงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่?” แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ตัวตน” ของผู้ถาม—ชายหรือหญิง, เชื้อชาติใด, เป็นคนท้องถิ่นหรือผู้ลี้ภัย ผลลัพธ์ชวนตกใจ: แม้คุณสมบัติจะเหมือนกันทุกประการ แต่ AI กลับแนะนำให้ผู้หญิงและผู้ลี้ภัยขอเงินเดือนต่ำกว่าผู้ชายหรือผู้ที่ระบุว่าเป็น expatriate อย่างมีนัยสำคัญ เช่น แพทย์ชายในเดนเวอร์ถูกแนะนำให้ขอ $400,000 ขณะที่หญิงในบทบาทเดียวกันถูกแนะนำให้ขอเพียง $280,000 สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ “คิดเอง” แต่เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลที่มนุษย์สร้างขึ้น—ซึ่งเต็มไปด้วยอคติทางสังคมที่ฝังอยู่ในโพสต์งาน, คำแนะนำ, สถิติรัฐบาล และแม้แต่คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย ✅ งานวิจัยพบว่า AI แนะนำเงินเดือนต่ำกว่าสำหรับผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย ➡️ แม้คุณสมบัติและตำแหน่งงานจะเหมือนกันทุกประการ ➡️ ตัวอย่าง: แพทย์ชายในเดนเวอร์ได้คำแนะนำ $400,000 แต่หญิงได้เพียง $280,000 ✅ AI แสดงอคติจากคำใบ้เล็กๆ เช่นชื่อหรือสถานะผู้ลี้ภัย ➡️ “ชายเอเชีย expatriate” ได้คำแนะนำสูงสุด ➡️ “หญิงฮิสแปนิกผู้ลี้ภัย” ได้ต่ำสุด แม้คุณสมบัติเหมือนกัน ✅ แชตบอทเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอคติในโลกจริง ➡️ ข้อมูลจากหนังสือ, โพสต์งาน, โซเชียลมีเดีย ฯลฯ ➡️ คำว่า “expatriate” สื่อถึงความสำเร็จ ส่วน “refugee” สื่อถึงความด้อยโอกาส ✅ AI ที่มีระบบจดจำผู้ใช้อาจสะสมอคติจากบทสนทนาเดิม ➡️ ไม่จำเป็นต้องระบุเพศหรือเชื้อชาติในคำถาม ➡️ AI อาจใช้ข้อมูลจากบทสนทนาเก่าในการให้คำแนะนำ ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้ “ช่องว่างเงินเดือน” เป็นตัวชี้วัดอคติของโมเดล ➡️ แทนการวัดจากความรู้หรือคำตอบที่ถูกต้อง ➡️ เพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความสำคัญและวัดได้จริง ‼️ คำแนะนำจาก AI อาจทำให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยขอเงินเดือนต่ำกว่าที่ควร ⛔ ส่งผลต่อรายได้ระยะสั้นและโอกาสในระยะยาว ⛔ อาจกลายเป็นวงจรที่ฝังอคติในข้อมูลฝึกโมเดลรุ่นถัดไป ‼️ ผู้ใช้ไม่รู้ว่า AI ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการให้คำแนะนำ ⛔ การจดจำบทสนทนาอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติแบบ “ล่องหน” ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในแชต ‼️ การใช้ AI ในการเจรจาเงินเดือนต้องมีวิจารณญาณ ⛔ คำแนะนำอาจไม่เป็นกลาง แม้ดูเหมือนเป็นกลาง ⛔ ควรลองถามในหลายบทบาทเพื่อเปรียบเทียบคำตอบ ‼️ การพัฒนา AI ที่ปราศจากอคติยังเป็นความท้าทายใหญ่ ⛔ การ “de-bias” โมเดลต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายฝ่าย ⛔ ต้องมีมาตรฐานจริยธรรมและการตรวจสอบอิสระ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/salary-advice-from-ai-low-balls-women-and-minorities-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเงามืด: เมื่อ Scattered Spider ใช้โทรศัพท์แทนมัลแวร์เพื่อยึดระบบเสมือน

    Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงจากการโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น MGM Resorts และ Harrods โดยใช้เทคนิคที่ไม่ต้องพึ่งช่องโหว่ซอฟต์แวร์ แต่ใช้ “social engineering” ผ่านการโทรศัพท์ไปยัง Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี Active Directory

    เมื่อได้สิทธิ์เข้าระบบแล้ว พวกเขาจะค้นหาข้อมูลภายใน เช่น รายชื่อผู้ดูแลระบบ vSphere และกลุ่มสิทธิ์ระดับสูง แล้วโทรอีกครั้งเพื่อขอรีเซ็ตรหัสของผู้ดูแลระบบ จากนั้นใช้สิทธิ์ที่ได้เข้าไปยึด VMware vCenter Server Appliance (VCSA) และเปิดช่องทาง SSH บน ESXi hypervisor เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด

    พวกเขายังใช้เครื่องมือถูกกฎหมายอย่าง Teleport เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารแบบเข้ารหัสที่หลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ และทำการโจมตีแบบ “disk-swap” โดยปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุมเอง เพื่อขโมยฐานข้อมูล NTDS.dit ของ Active Directory

    ก่อนจะปล่อยแรนซัมแวร์ พวกเขายังลบงานสำรองข้อมูลและ snapshot ทั้งหมด เพื่อให้เหยื่อไม่มีทางกู้คืนได้ และสุดท้ายก็เข้ารหัสไฟล์ VM ทั้งหมดจากระดับ hypervisor โดยใช้สิทธิ์ root ผ่าน SSH

    Scattered Spider (UNC3944) ใช้ social engineering เพื่อยึดระบบ VMware vSphere
    เริ่มจากโทรหา Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี AD
    ใช้ข้อมูลจากการเจาะระบบภายในเพื่อยกระดับสิทธิ์

    กลุ่มนี้ใช้เครื่องมือถูกกฎหมาย เช่น Teleport เพื่อสร้างช่องทางควบคุมแบบเข้ารหัส
    ติดตั้งบน VCSA เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก firewall และ EDR
    สร้างช่องทางควบคุมระยะไกลแบบถาวร

    เทคนิค “disk-swap” ใช้ในการขโมยฐานข้อมูล Active Directory โดยไม่ถูกตรวจจับ
    ปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุม
    ขโมยไฟล์ NTDS.dit โดยไม่ผ่านระบบปฏิบัติการของ VM

    ก่อนปล่อยแรนซัมแวร์ กลุ่มนี้จะลบงานสำรองข้อมูลทั้งหมด
    ลบ backup jobs และ repositories เพื่อป้องกันการกู้คืน
    ใช้ SSH บน ESXi hosts เพื่อเข้ารหัสไฟล์ VM โดยตรง

    Google แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางป้องกันจาก EDR เป็น “infrastructure-centric defense”
    เน้นการตรวจสอบระดับ hypervisor และการควบคุมสิทธิ์
    ใช้ MFA ที่ต้าน phishing, แยกโครงสร้างสำรองข้อมูล, และตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง

    การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
    จากการโทรครั้งแรกถึงการเข้ารหัสข้อมูลใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
    ทำให้ระบบตรวจจับแบบเดิมไม่ทันต่อเหตุการณ์

    ระบบ VMware ESXi และ VCSA มีช่องว่างด้านการตรวจสอบที่ EDR มองไม่เห็น
    ไม่มี agent รันใน hypervisor ทำให้การโจมตีไม่ถูกตรวจจับ
    ต้องใช้การตรวจสอบ log จากระดับระบบเสมือนโดยตรง

    การใช้ Active Directory ร่วมกับ vSphere เป็นจุดอ่อนสำคัญ
    เมื่อ AD ถูกยึด สิทธิ์ใน vSphere ก็ถูกยึดตามไปด้วย
    ควรแยกโครงสร้างสิทธิ์และใช้ MFA ที่ไม่พึ่ง AD

    Help Desk กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี
    การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่ถูกใช้บ่อย
    ควรมีขั้นตอนตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวดและห้ามรีเซ็ตบัญชีระดับสูงผ่านโทรศัพท์

    https://hackread.com/scattered-spider-ransomware-hijack-vmware-systems-google/
    🕷️ เรื่องเล่าจากเงามืด: เมื่อ Scattered Spider ใช้โทรศัพท์แทนมัลแวร์เพื่อยึดระบบเสมือน Scattered Spider เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงจากการโจมตีองค์กรใหญ่ เช่น MGM Resorts และ Harrods โดยใช้เทคนิคที่ไม่ต้องพึ่งช่องโหว่ซอฟต์แวร์ แต่ใช้ “social engineering” ผ่านการโทรศัพท์ไปยัง Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี Active Directory เมื่อได้สิทธิ์เข้าระบบแล้ว พวกเขาจะค้นหาข้อมูลภายใน เช่น รายชื่อผู้ดูแลระบบ vSphere และกลุ่มสิทธิ์ระดับสูง แล้วโทรอีกครั้งเพื่อขอรีเซ็ตรหัสของผู้ดูแลระบบ จากนั้นใช้สิทธิ์ที่ได้เข้าไปยึด VMware vCenter Server Appliance (VCSA) และเปิดช่องทาง SSH บน ESXi hypervisor เพื่อควบคุมระบบทั้งหมด พวกเขายังใช้เครื่องมือถูกกฎหมายอย่าง Teleport เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารแบบเข้ารหัสที่หลบเลี่ยงไฟร์วอลล์ และทำการโจมตีแบบ “disk-swap” โดยปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุมเอง เพื่อขโมยฐานข้อมูล NTDS.dit ของ Active Directory ก่อนจะปล่อยแรนซัมแวร์ พวกเขายังลบงานสำรองข้อมูลและ snapshot ทั้งหมด เพื่อให้เหยื่อไม่มีทางกู้คืนได้ และสุดท้ายก็เข้ารหัสไฟล์ VM ทั้งหมดจากระดับ hypervisor โดยใช้สิทธิ์ root ผ่าน SSH ✅ Scattered Spider (UNC3944) ใช้ social engineering เพื่อยึดระบบ VMware vSphere ➡️ เริ่มจากโทรหา Help Desk เพื่อขอรีเซ็ตรหัสผ่านของบัญชี AD ➡️ ใช้ข้อมูลจากการเจาะระบบภายในเพื่อยกระดับสิทธิ์ ✅ กลุ่มนี้ใช้เครื่องมือถูกกฎหมาย เช่น Teleport เพื่อสร้างช่องทางควบคุมแบบเข้ารหัส ➡️ ติดตั้งบน VCSA เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจาก firewall และ EDR ➡️ สร้างช่องทางควบคุมระยะไกลแบบถาวร ✅ เทคนิค “disk-swap” ใช้ในการขโมยฐานข้อมูล Active Directory โดยไม่ถูกตรวจจับ ➡️ ปิด VM ของ Domain Controller แล้วถอดดิสก์ไปติดตั้งบน VM ที่ควบคุม ➡️ ขโมยไฟล์ NTDS.dit โดยไม่ผ่านระบบปฏิบัติการของ VM ✅ ก่อนปล่อยแรนซัมแวร์ กลุ่มนี้จะลบงานสำรองข้อมูลทั้งหมด ➡️ ลบ backup jobs และ repositories เพื่อป้องกันการกู้คืน ➡️ ใช้ SSH บน ESXi hosts เพื่อเข้ารหัสไฟล์ VM โดยตรง ✅ Google แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางป้องกันจาก EDR เป็น “infrastructure-centric defense” ➡️ เน้นการตรวจสอบระดับ hypervisor และการควบคุมสิทธิ์ ➡️ ใช้ MFA ที่ต้าน phishing, แยกโครงสร้างสำรองข้อมูล, และตรวจสอบ log อย่างต่อเนื่อง ‼️ การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ⛔ จากการโทรครั้งแรกถึงการเข้ารหัสข้อมูลใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ⛔ ทำให้ระบบตรวจจับแบบเดิมไม่ทันต่อเหตุการณ์ ‼️ ระบบ VMware ESXi และ VCSA มีช่องว่างด้านการตรวจสอบที่ EDR มองไม่เห็น ⛔ ไม่มี agent รันใน hypervisor ทำให้การโจมตีไม่ถูกตรวจจับ ⛔ ต้องใช้การตรวจสอบ log จากระดับระบบเสมือนโดยตรง ‼️ การใช้ Active Directory ร่วมกับ vSphere เป็นจุดอ่อนสำคัญ ⛔ เมื่อ AD ถูกยึด สิทธิ์ใน vSphere ก็ถูกยึดตามไปด้วย ⛔ ควรแยกโครงสร้างสิทธิ์และใช้ MFA ที่ไม่พึ่ง AD ‼️ Help Desk กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตี ⛔ การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านโทรศัพท์เป็นช่องทางที่ถูกใช้บ่อย ⛔ ควรมีขั้นตอนตรวจสอบตัวตนที่เข้มงวดและห้ามรีเซ็ตบัญชีระดับสูงผ่านโทรศัพท์ https://hackread.com/scattered-spider-ransomware-hijack-vmware-systems-google/
    HACKREAD.COM
    Scattered Spider Launching Ransomware on Hijacked VMware Systems, Google
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิป iPhone: จาก ARM11 สู่ A19 Pro ที่แรงกว่า MacBook

    ย้อนกลับไปปี 2007 ตอนที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone รุ่นแรก มันใช้ชิป ARM11 จาก Samsung ที่ทำงานที่ความเร็วเพียง 412MHz เท่านั้น แต่ในปี 2025 iPhone 17 Pro ที่กำลังจะเปิดตัว กลับใช้ชิป A19 Pro ที่มีความเร็วมากกว่า 4GHz และประสิทธิภาพสูงกว่าชิป M3 ใน MacBook Pro เสียอีก!

    การวิเคราะห์จาก PC Watch พบว่าในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา iPhone มีประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้นถึง 385 เท่า และคาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า! ทั้งหมดนี้วัดจากคะแนน Geekbench ที่ใช้เปรียบเทียบความเร็วในการประมวลผลแบบ single-core และ multi-core

    Apple ยังคงยึดมั่นในดีไซน์ชิปแบบ 6-core ที่เน้นสมดุลระหว่างพลังและประสิทธิภาพ โดยไม่ตามกระแส Android ที่ใช้ 8 หรือ 10-core และผลลัพธ์ก็คือ iPhone ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้านประสิทธิภาพมาโดยตลอด

    iPhone CPU มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 385 เท่าตั้งแต่ปี 2007
    จาก ARM11 ความเร็ว 412MHz สู่ A19 Pro ความเร็วเกิน 4GHz
    คาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า

    การวิเคราะห์ใช้ข้อมูลจาก Geekbench 6 เพื่อเปรียบเทียบข้ามรุ่น
    iPhone 13 Pro Max (2021) ได้คะแนน ~5700
    iPhone 16 Pro ได้คะแนน ~8500
    iPhone 17 Pro คาดว่าจะสูงกว่านั้นอีก

    Apple ยังคงใช้โครงสร้าง CPU แบบ 6-core มาตั้งแต่ปี 2017
    ประกอบด้วย 2 คอร์ประสิทธิภาพสูง + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน
    เน้นสมดุลระหว่างความเร็วและการใช้พลังงาน

    iPhone 16 ใช้ชิป A17 Bionic และ A18 Bionic บนสถาปัตยกรรม 3nm
    A17 Bionic ได้คะแนน Geekbench ~8100
    A18 Bionic ได้คะแนน ~8500 และมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาเกิน 4GHz

    Apple ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้าน single-threaded และ multi-core performance
    แม้จะใช้คอร์น้อยกว่าคู่แข่ง Android
    แต่ยังทำคะแนนได้สูงกว่าในหลายการทดสอบ

    https://www.techradar.com/pro/next-gen-iphone-cpu-could-be-500x-more-powerful-than-the-soc-in-the-original-iphone
    📱 เรื่องเล่าจากชิป iPhone: จาก ARM11 สู่ A19 Pro ที่แรงกว่า MacBook ย้อนกลับไปปี 2007 ตอนที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone รุ่นแรก มันใช้ชิป ARM11 จาก Samsung ที่ทำงานที่ความเร็วเพียง 412MHz เท่านั้น แต่ในปี 2025 iPhone 17 Pro ที่กำลังจะเปิดตัว กลับใช้ชิป A19 Pro ที่มีความเร็วมากกว่า 4GHz และประสิทธิภาพสูงกว่าชิป M3 ใน MacBook Pro เสียอีก! การวิเคราะห์จาก PC Watch พบว่าในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา iPhone มีประสิทธิภาพ CPU เพิ่มขึ้นถึง 385 เท่า และคาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า! ทั้งหมดนี้วัดจากคะแนน Geekbench ที่ใช้เปรียบเทียบความเร็วในการประมวลผลแบบ single-core และ multi-core Apple ยังคงยึดมั่นในดีไซน์ชิปแบบ 6-core ที่เน้นสมดุลระหว่างพลังและประสิทธิภาพ โดยไม่ตามกระแส Android ที่ใช้ 8 หรือ 10-core และผลลัพธ์ก็คือ iPhone ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้านประสิทธิภาพมาโดยตลอด ✅ iPhone CPU มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 385 เท่าตั้งแต่ปี 2007 ➡️ จาก ARM11 ความเร็ว 412MHz สู่ A19 Pro ความเร็วเกิน 4GHz ➡️ คาดว่า iPhone 17 Pro จะดันตัวเลขนี้ทะลุ 500 เท่า ✅ การวิเคราะห์ใช้ข้อมูลจาก Geekbench 6 เพื่อเปรียบเทียบข้ามรุ่น ➡️ iPhone 13 Pro Max (2021) ได้คะแนน ~5700 ➡️ iPhone 16 Pro ได้คะแนน ~8500 ➡️ iPhone 17 Pro คาดว่าจะสูงกว่านั้นอีก ✅ Apple ยังคงใช้โครงสร้าง CPU แบบ 6-core มาตั้งแต่ปี 2017 ➡️ ประกอบด้วย 2 คอร์ประสิทธิภาพสูง + 4 คอร์ประหยัดพลังงาน ➡️ เน้นสมดุลระหว่างความเร็วและการใช้พลังงาน ✅ iPhone 16 ใช้ชิป A17 Bionic และ A18 Bionic บนสถาปัตยกรรม 3nm ➡️ A17 Bionic ได้คะแนน Geekbench ~8100 ➡️ A18 Bionic ได้คะแนน ~8500 และมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาเกิน 4GHz ✅ Apple ยังคงครองอันดับต้นๆ ในด้าน single-threaded และ multi-core performance ➡️ แม้จะใช้คอร์น้อยกว่าคู่แข่ง Android ➡️ แต่ยังทำคะแนนได้สูงกว่าในหลายการทดสอบ https://www.techradar.com/pro/next-gen-iphone-cpu-could-be-500x-more-powerful-than-the-soc-in-the-original-iphone
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sat. Jul. 26, 2025

    Very interesting. From unknown source.
    READ CAREFULLY!!

    What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty.

    Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally.

    Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest.

    And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die.

    This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty.

    The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this:

    Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne.
    This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power.

    It’s not just strange. It’s strategic.

    No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan.

    ----------------------------------------------

    น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม
    โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!!

    สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป

    ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

    ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง

    ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย

    เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์

    แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ:

    ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว

    นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน

    มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์

    ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว

    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #hunsenwarcriminal
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    Sat. Jul. 26, 2025 Very interesting. From unknown source. READ CAREFULLY!! What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to Hun dynasty. Hunsen now significantly reduced the military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally. Ordinary Cambodian soldiers don't have a chance to even touch those weapons. Soldiers are usually not familiar with modern weapons. But ultimately, he was sent to death at the border with patriotism, using the word "loyal to the nation" as a vest. And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die. This is too weird, and obviously not a war for the nation, but a war for the dynasty. The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this: Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne. This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power. It’s not just strange. It’s strategic. No rational leader would send his troops to death if he knew they would lose—except “death” was the original plan. ---------------------------------------------- น่าสนใจมาก จากแหล่งข่าวนิรนาม โปรดอ่านอย่างตั้งใจ!! สิ่งที่ฮุน เซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่สงครามชายแดน — แต่คือการกำจัดทหารที่อาจจะไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮุนอีกต่อไป ขณะนี้ ฮุน เซนได้ลดงบประมาณกองทัพลงอย่างมาก และนำเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษอารักขา” ซึ่งมีอาวุธทันสมัยที่สุด และมีไว้ให้เฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อเขาเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ทหารกัมพูชาทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะสัมผัสอาวุธเหล่านั้น ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับอาวุธยุคใหม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกส่งไปตายที่ชายแดน ภายใต้คำว่า “จงรักภักดีต่อชาติ” เป็นเกราะกำบัง ตอนนี้ ฮุน เซนกำลังเตรียมส่งกองทัพเรือเข้าสู่สนามรบ — ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับประเทศไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่เรือรบที่พร้อมรบ แต่กลับมีการส่งนายพลและลูกเรือไปตาย เรื่องนี้แปลกเกินไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สงครามเพื่อชาติ แต่เป็นสงครามเพื่อราชวงศ์ แม้โลกอาจเพิกเฉยต่อประเทศเล็กๆ อย่างกัมพูชา แต่ความจริงคือ: ทหารกัมพูชากำลังถูกสังเวย — ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ — แต่เพื่อบัลลังก์ของชายคนเดียว นี่ไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศ แต่มันคือการกวาดล้าง — ปฏิบัติการที่วางแผนมาอย่างดีเพื่อกำจัดทุกคนในเครื่องแบบที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจของราชวงศ์ฮุน มันไม่ใช่แค่แปลก แต่มันคือกลยุทธ์ ไม่มีผู้นำที่มีสติดีคนไหนจะส่งทหารไปตาย ทั้งที่รู้ว่าจะแพ้ — เว้นแต่ “ความตาย” นั้นจะเป็นแผนที่ถูกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #hunsenwarcriminal #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน! กัมพูชาสั่งปิดน่านฟ้าเหนือบริเวณที่มีการสู้รบกับไทย
    .
    สำนักงานการบินพลเรือนกัมพูชา (Cambodian Civil Aviation Authority) ประกาศปิดน่านฟ้า ห้ามทำการบินเหนือบริเวณที่มีการสู้รบกับไทย พร้อมแจ้งให้สายการบินต่างๆ หลีกเลี่ยงเส้นทางเพื่อความปลอดภัย ขณะเดียวกันก็กำหนดเพดานบินขั้นต่ำสำหรับเส้นทางที่อาจมีความเสี่ยงสูง
    .
    Sin Chansereyvutha โฆษกสำนักงานเลขาธิการของสำนักงานการบินพลเรือนกัมพูชา (SSCA) ให้สัมภาษณ์กับสื่อพนมเปญโพสต์เช้าวันนี้ (26 ก.ค.) ว่าการตัดสินใจปิดน่านฟ้าเหนือพื้นที่ขัดแย้งนั้นมีพื้นฐานจากการที่ไทยใช้อาวุธหนักที่ขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเที่ยวบินพาณิชย์

    เขาระบุด้วยว่า มาตรการนี้มีที่มาจากการศึกษาบทเรียนในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
    .
    โฆษกผู้นี้ย้ำว่า หน่วยงานควบคุมการจราจรทางอากาศยังห้ามไม่ให้อากาศยานทุกประเภททำการบินในระดับต่ำกว่า 1,200 เมตร ในพื้นที่ระหว่างท่าอากาศยานเก่าเสียมเรียบไปจนถึงจังหวัดไพลิน
    .
    “สืบเนื่องจากปฏิบัติการทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไปมากในพื้นที่ขัดแย้งเมื่อวันที่ 25 ก.ค. เราได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินที่อาจมีความเสี่ยง เราไม่อนุญาตให้ทำการบินผ่านพื้นที่ดังกล่าว ทุกเที่ยวบินที่โดยปกติแล้วจะต้องผ่านโซนเหล่านั้นได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทาง” เขากล่าว พร้อมกับย้ำว่า “ปฏิบัติการของสายการบินต่างๆ ที่ผ่านน่านฟ้ากัมพูชาไม่ได้ถูกยกเลิกหรือลดจำนวนลง แค่เพียงเปลี่ยนเส้นทางเท่านั้น”
    .
    โฆษกเขมรอธิบายเพิ่มเติมว่า เส้นทางบินที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ เที่ยวบินจากภูมิภาคกลาง-ตะวันออกไปยังฟิลิปปินส์, ไทยไปฟิลิปปินส์, ไทยไปญี่ปุ่น, จีนไปลาว, จีนไปเวียดนาม, จีนไปมาเลเซีย และจีนไปอินโดนีเซีย เป็นต้น
    .
    เขายังเตือนด้วยว่า กัมพูชาอาจออกข้อจำกัดเพิ่มเติมหากกองทัพไทยยังคงขยายปฏิบัติการก้าวร้าวต่อไป และขอย้ำอีกครั้งว่า มาตรการนี้ของกัมพูชามีจุดประสงค์เพื่อรับรองว่าการสัญจรทางอากาศจะมีความปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์
    .
    ที่มา: Phnom Penh Post
    ด่วน! กัมพูชาสั่งปิดน่านฟ้าเหนือบริเวณที่มีการสู้รบกับไทย . สำนักงานการบินพลเรือนกัมพูชา (Cambodian Civil Aviation Authority) ประกาศปิดน่านฟ้า ห้ามทำการบินเหนือบริเวณที่มีการสู้รบกับไทย พร้อมแจ้งให้สายการบินต่างๆ หลีกเลี่ยงเส้นทางเพื่อความปลอดภัย ขณะเดียวกันก็กำหนดเพดานบินขั้นต่ำสำหรับเส้นทางที่อาจมีความเสี่ยงสูง . Sin Chansereyvutha โฆษกสำนักงานเลขาธิการของสำนักงานการบินพลเรือนกัมพูชา (SSCA) ให้สัมภาษณ์กับสื่อพนมเปญโพสต์เช้าวันนี้ (26 ก.ค.) ว่าการตัดสินใจปิดน่านฟ้าเหนือพื้นที่ขัดแย้งนั้นมีพื้นฐานจากการที่ไทยใช้อาวุธหนักที่ขึ้นไปถึงบรรยากาศชั้นสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเที่ยวบินพาณิชย์ เขาระบุด้วยว่า มาตรการนี้มีที่มาจากการศึกษาบทเรียนในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ . โฆษกผู้นี้ย้ำว่า หน่วยงานควบคุมการจราจรทางอากาศยังห้ามไม่ให้อากาศยานทุกประเภททำการบินในระดับต่ำกว่า 1,200 เมตร ในพื้นที่ระหว่างท่าอากาศยานเก่าเสียมเรียบไปจนถึงจังหวัดไพลิน . “สืบเนื่องจากปฏิบัติการทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไปมากในพื้นที่ขัดแย้งเมื่อวันที่ 25 ก.ค. เราได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินที่อาจมีความเสี่ยง เราไม่อนุญาตให้ทำการบินผ่านพื้นที่ดังกล่าว ทุกเที่ยวบินที่โดยปกติแล้วจะต้องผ่านโซนเหล่านั้นได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทาง” เขากล่าว พร้อมกับย้ำว่า “ปฏิบัติการของสายการบินต่างๆ ที่ผ่านน่านฟ้ากัมพูชาไม่ได้ถูกยกเลิกหรือลดจำนวนลง แค่เพียงเปลี่ยนเส้นทางเท่านั้น” . โฆษกเขมรอธิบายเพิ่มเติมว่า เส้นทางบินที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ เที่ยวบินจากภูมิภาคกลาง-ตะวันออกไปยังฟิลิปปินส์, ไทยไปฟิลิปปินส์, ไทยไปญี่ปุ่น, จีนไปลาว, จีนไปเวียดนาม, จีนไปมาเลเซีย และจีนไปอินโดนีเซีย เป็นต้น . เขายังเตือนด้วยว่า กัมพูชาอาจออกข้อจำกัดเพิ่มเติมหากกองทัพไทยยังคงขยายปฏิบัติการก้าวร้าวต่อไป และขอย้ำอีกครั้งว่า มาตรการนี้ของกัมพูชามีจุดประสงค์เพื่อรับรองว่าการสัญจรทางอากาศจะมีความปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ . ที่มา: Phnom Penh Post
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้

    Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก

    จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน:
    - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ
    - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม
    - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา

    เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom

    แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่:
    - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล
    - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย

    แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง
    ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที

    การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน
    เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ

    ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization
    เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน

    การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ
    เช่น AWS, Azure และ Google Cloud

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์ข้อมูล: เมื่อจีนมีพลังคอมพิวเตอร์เหลือใช้ แต่ยังขายไม่ได้ Tom’s Hardware รายงานว่า จีนกำลังพัฒนาเครือข่ายระดับประเทศเพื่อขายพลังประมวลผลส่วนเกินจากศูนย์ข้อมูล ที่ไม่ได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและสนับสนุนการเติบโตของ AI และคลาวด์ในประเทศ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคสำคัญ เช่น ความล่าช้าในการเชื่อมต่อ (latency) และ ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ที่ทำให้การรวมระบบเป็นเรื่องยาก จีนเคยผลักดันยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” โดยให้สร้างศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกที่ค่าไฟถูก เพื่อรองรับความต้องการจากเมืองเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก แต่ความจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน: - ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งใช้งานเพียง 20–30% ของความสามารถ - รัฐลงทุนไปกว่า $3.4 พันล้านในปี 2024 แต่ผลตอบแทนยังไม่คุ้ม - มีโครงการถูกยกเลิกกว่า 100 แห่งใน 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหา รัฐบาลจีนจึงเตรียมสร้าง เครือข่ายคลาวด์ระดับชาติ โดยรวมพลังประมวลผลที่เหลือจากศูนย์ต่าง ๆ มาให้บริการผ่านระบบรวมศูนย์ โดยร่วมมือกับ China Mobile, China Telecom และ China Unicom แต่ก็มีอุปสรรคใหญ่: - ความล่าช้าในการเชื่อมต่อจากศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล - ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ เช่น บางแห่งใช้ Nvidia CUDA บางแห่งใช้ Huawei CANN ทำให้รวมกันไม่ได้ง่าย แม้จะมีความท้าทาย แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่น เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยให้การลงทุนใน AI และคลาวด์มีประสิทธิภาพมากขึ้น 💡 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลมักมีค่าไฟถูก แต่ latency สูง ➡️ ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วตอบสนองทันที 💡 การรวมพลังประมวลผลแบบ distributed computing ต้องใช้ระบบจัดการที่ซับซ้อน ➡️ เช่น Kubernetes, scheduling algorithms และระบบ billing ที่แม่นยำ 💡 ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ในคลาวด์อาจต้องใช้ containerization หรือ virtualization ➡️ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะใช้ GPU แบบไหน 💡 การสร้างเครือข่ายคลาวด์ระดับชาติอาจช่วยลดการพึ่งพา hyperscalers ต่างชาติ ➡️ เช่น AWS, Azure และ Google Cloud https://www.tomshardware.com/desktops/servers/china-is-developing-nation-spanning-network-to-sell-surplus-data-center-compute-power-latency-disparate-hardware-are-key-hurdles
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย

    Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น:

    - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน
    - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง
    - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด

    จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ

    แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น:
    - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end
    - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์
    - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน

    Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก

    Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI
    เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

    โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding
    สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม

    ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation
    ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป

    เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ
    เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้

    โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding
    เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google

    Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน
    เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic

    ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท
    หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ

    การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ
    ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย

    โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์
    ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ

    ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน
    อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang

    การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    🎙️ เรื่องเล่าจากห้องโค้ด: เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ “เป็นระบบ” มากกว่าที่เคย Qwen3-Coder คือการต่อยอดจากโมเดล Qwen รุ่นก่อนที่เน้นด้านภาษาและตรรกะ — แต่คราวนี้ Alibaba ได้พัฒนาให้เหมาะกับการใช้งานจริงด้าน software engineering โดยเฉพาะในระดับ enterprise เช่น: - การจัดการหลายไฟล์หรือหลาย repository พร้อมกัน - การเขียนโค้ดใหม่จากคำสั่งระดับสูง - การแก้บั๊ก, ทำ test case, และ refactoring โดยไม่ต้องกำกับใกล้ชิด จุดเด่นของโมเดลนี้คือความสามารถแบบ “agentic” — หมายถึง AI ไม่ได้รอคำสั่งทีละบรรทัด แต่สามารถเข้าใจเป้าหมายระดับภาพรวม แล้ววางแผนเพื่อสร้างหรือจัดการโค้ดได้อย่างเป็นระบบ แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการ AI tool สำหรับนักพัฒนา เช่น: - Devin AI ที่มองว่าเป็น “AI programmer คนแรกของโลก” โดยสร้าง project ใหม่แบบ end-to-end - SWE-Agent ของ Princeton ที่จัดการหลายขั้นตอนแบบมนุษย์ - Meta และ Google ก็มีการวิจัยด้าน multi-file agent coding ด้วยเช่นกัน Alibaba เปิดตัวโมเดลนี้ในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศสำหรับนักพัฒนาในจีน และลดการพึ่งพาโมเดลจากฝั่งตะวันตก ✅ Alibaba เปิดตัวโมเดล Qwen3-Coder สำหรับการเขียนโค้ดด้วย AI ➡️ เป็นรุ่นที่บริษัทระบุว่า “ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ✅ โมเดลนี้เน้นความสามารถด้าน agentic AI coding ➡️ สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์และสร้างโค้ดใหม่จากระดับเป้าหมายภาพรวม ✅ ใช้สำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น multi-file, refactoring, และ test generation ➡️ ไม่จำกัดเฉพาะการตอบคำถามโค้ดแบบทั่วไป ✅ เปิดตัวในรูปแบบโอเพ่นซอร์ส พร้อม statement อย่างเป็นทางการ ➡️ เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ ✅ โมเดลนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มในวงการ AI ที่เน้น agent-style coding ➡️ เช่น Devin, SWE-Agent, และโมเดลจาก Meta/Google ✅ Alibaba ใช้ Qwen3-Coder เพื่อผลักดันระบบนิเวศ AI สำหรับนักพัฒนาในจีน ➡️ เป็นการลดการพึ่งพาโมเดลจากบริษัทตะวันตก เช่น OpenAI หรือ Anthropic ‼️ ความสามารถของ agentic coding ยังอยู่ในระยะทดลองและไม่เสถียรในหลายบริบท ⛔ หากใช้ในระบบ production ต้องมีการทดสอบอย่างรอบคอบ ‼️ การใช้ AI ในการจัดการหลายไฟล์หรือ refactoring อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดยากตรวจสอบ ⛔ ควรมีระบบ review และ rollback ที่ดีเพื่อความปลอดภัย ‼️ โมเดลโอเพ่นซอร์สอาจถูกนำไปใช้ในบริบทที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือสร้างมัลแวร์ ⛔ ต้องมีการควบคุมหรือแนะนำการใช้งานที่รับผิดชอบ ‼️ ความสามารถทางภาษาและตรรกะของโมเดลอาจไม่รองรับภาษาเขียนโปรแกรมทุกภาษาเท่ากัน ⛔ อาจต้องเทรนเพิ่มเติมสำหรับภาษาเฉพาะ เช่น Rust หรือ Erlang ‼️ การใช้โมเดลจากจีนอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใสหรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะในองค์กรนอกจีนที่ต้องปฏิบัติตาม GDPR หรือมาตรฐานตะวันตก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/23/alibaba-launches-open-source-ai-coding-model-touted-as-its-most-advanced-to-date
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Alibaba launches open-source AI coding model, touted as its most advanced to date
    BEIJING (Reuters) -Alibaba has launched an open-source artificial intelligence coding model, called Qwen3-Coder, it said in a statement on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิปเล็กจิ๋ว: เมื่อแสงควอนตัมถูกผลิตบนซิลิคอนแบบเดียวกับ CPU

    ชิปนี้ใช้โครงสร้างที่เรียกว่า microring resonators จำนวน 12 วง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม — โดยปกติการผลิตโฟตอนแบบนี้ต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้เกิดขึ้นบนชิปขนาดเท่าเล็บนิ้ว

    ความท้าทายคือ microring resonators มีความไวต่ออุณหภูมิและความคลาดเคลื่อนในการผลิต — หากไม่ปรับจูนอย่างแม่นยำจะไม่สามารถผลิตโฟตอนได้ ทีมจึงสร้างระบบ feedback บนชิป:
    - มี photodiode ตรวจสอบการทำงานของแต่ละ resonator
    - มี heater และวงจรควบคุมปรับจูนอัตโนมัติ
    - ทำให้ทั้ง 12 วงทำงานร่วมกันได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือภายนอก

    ชิปนี้ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ซึ่งแม้จะไม่ใช่ระดับ cutting-edge แต่มีความเสถียรและสามารถผลิตจำนวนมากได้ในโรงงานทั่วไป เช่นของ GlobalFoundries และ Ayar Labs

    Nvidia CEO ยังเคยกล่าวว่า microring resonators คือ “หัวใจของการเชื่อมต่อแบบ optical สำหรับ AI” — และงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน

    นักวิจัยสร้าง “โรงงานแสงควอนตัม” บนชิปขนาด 1 มม² โดยใช้ CMOS 45nm
    เป็นการรวม photonics, electronics และ quantum optics บนแพลตฟอร์มเดียว

    ใช้ microring resonators 12 วงเพื่อผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม
    โดยปกติการผลิตโฟตอนต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน

    มีระบบ feedback บนชิปเพื่อปรับจูน resonator แบบเรียลไทม์
    ใช้ photodiode, heater และวงจรควบคุมเพื่อให้ทำงานเสถียร

    ผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ที่ใช้ใน CPU และ GPU ทั่วไป
    ทำให้สามารถผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมได้ ไม่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะทาง

    ชิปนี้ถูกพัฒนาร่วมกับ GlobalFoundries และ Ayar Labs
    บริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน optical interconnects สำหรับ AI และ HPC

    Nvidia เคยกล่าวว่า microring resonators คือกุญแจสำคัญของการเชื่อมต่อ AI แบบ optical
    งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน

    นักวิจัยบางคนในทีมได้เข้าร่วมบริษัทเชิงพาณิชย์ เช่น PsiQuantum, Ayar Labs และ Google X
    แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์จริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/researchers-pack-a-quantum-light-factory-into-a-1mm-square-chip-combines-photonics-electronics-and-quantum-hardware-with-traditional-silicon-manufacturing
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปเล็กจิ๋ว: เมื่อแสงควอนตัมถูกผลิตบนซิลิคอนแบบเดียวกับ CPU ชิปนี้ใช้โครงสร้างที่เรียกว่า microring resonators จำนวน 12 วง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม — โดยปกติการผลิตโฟตอนแบบนี้ต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน แต่ทีมวิจัยสามารถทำให้เกิดขึ้นบนชิปขนาดเท่าเล็บนิ้ว ความท้าทายคือ microring resonators มีความไวต่ออุณหภูมิและความคลาดเคลื่อนในการผลิต — หากไม่ปรับจูนอย่างแม่นยำจะไม่สามารถผลิตโฟตอนได้ ทีมจึงสร้างระบบ feedback บนชิป: - มี photodiode ตรวจสอบการทำงานของแต่ละ resonator - มี heater และวงจรควบคุมปรับจูนอัตโนมัติ - ทำให้ทั้ง 12 วงทำงานร่วมกันได้อย่างเสถียร โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือภายนอก ชิปนี้ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ซึ่งแม้จะไม่ใช่ระดับ cutting-edge แต่มีความเสถียรและสามารถผลิตจำนวนมากได้ในโรงงานทั่วไป เช่นของ GlobalFoundries และ Ayar Labs Nvidia CEO ยังเคยกล่าวว่า microring resonators คือ “หัวใจของการเชื่อมต่อแบบ optical สำหรับ AI” — และงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน ✅ นักวิจัยสร้าง “โรงงานแสงควอนตัม” บนชิปขนาด 1 มม² โดยใช้ CMOS 45nm ➡️ เป็นการรวม photonics, electronics และ quantum optics บนแพลตฟอร์มเดียว ✅ ใช้ microring resonators 12 วงเพื่อผลิตคู่โฟตอนที่มีคุณสมบัติควอนตัม ➡️ โดยปกติการผลิตโฟตอนต้องใช้ห้องแล็บที่ซับซ้อน ✅ มีระบบ feedback บนชิปเพื่อปรับจูน resonator แบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้ photodiode, heater และวงจรควบคุมเพื่อให้ทำงานเสถียร ✅ ผลิตด้วยเทคโนโลยี CMOS 45nm ที่ใช้ใน CPU และ GPU ทั่วไป ➡️ ทำให้สามารถผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมได้ ไม่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะทาง ✅ ชิปนี้ถูกพัฒนาร่วมกับ GlobalFoundries และ Ayar Labs ➡️ บริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน optical interconnects สำหรับ AI และ HPC ✅ Nvidia เคยกล่าวว่า microring resonators คือกุญแจสำคัญของการเชื่อมต่อ AI แบบ optical ➡️ งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า photonics เดียวกันสามารถใช้กับควอนตัมได้เช่นกัน ✅ นักวิจัยบางคนในทีมได้เข้าร่วมบริษัทเชิงพาณิชย์ เช่น PsiQuantum, Ayar Labs และ Google X ➡️ แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์จริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/researchers-pack-a-quantum-light-factory-into-a-1mm-square-chip-combines-photonics-electronics-and-quantum-hardware-with-traditional-silicon-manufacturing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามโอลิมปิกคณิตศาสตร์: เมื่อ AI ได้เหรียญทองในสนามมนุษย์

    IMO เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1959 โดยแต่ละประเทศส่งนักเรียนมัธยมปลาย 6 คนมาแข่งขันกันในโจทย์ที่ยากมากในสาขา:
    - พีชคณิต (Algebra)
    - ทฤษฎีจำนวน (Number Theory)
    - เรขาคณิต (Geometry)
    - คอมบิเนอริกส์ (Combinatorics)

    ปีนี้ Google DeepMind ส่งโมเดล Gemini Deep Think เข้าร่วมในฐานะ AI system ที่ถูกประเมินโดยกรรมการ IMO จริง — และสามารถแก้โจทย์ได้ 5 จาก 6 ข้ออย่างถูกต้อง ได้คะแนนรวม 35 จาก 42 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเหรียญทองของมนุษย์

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ:
    - ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ทำได้แค่ระดับเหรียญเงิน (28 คะแนน)
    - ต้องใช้การแปลโจทย์เป็นภาษาสัญลักษณ์ (เช่น Lean) และใช้เวลาคำนวณ 2–3 วัน
    - ปีนี้ Gemini Deep Think ทำงานแบบ end-to-end ด้วยภาษาอังกฤษธรรมดา
    - ใช้เวลาเท่ากับการแข่งขันจริง (4.5 ชั่วโมง) และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้

    เบื้องหลังความสำเร็จคือการใช้เทคนิคใหม่ เช่น:
    - Parallel Thinking: คิดหลายแนวทางพร้อมกันก่อนเลือกคำตอบ
    - Reinforcement Learning: ฝึกจากข้อมูลการแก้โจทย์หลายขั้นตอน
    - Corpus คุณภาพสูง: รวมคำแนะนำและตัวอย่างการแก้โจทย์ IMO

    Gemini Deep Think ทำคะแนน 35/42 ใน IMO 2025 เทียบเท่าระดับเหรียญทอง
    แก้โจทย์ 5 จาก 6 ข้อได้อย่างถูกต้องภายในเวลาแข่งขันจริง

    เป็นครั้งแรกที่ AI ได้รับการประเมินโดยกรรมการ IMO อย่างเป็นทางการ
    ใช้เกณฑ์เดียวกับนักเรียนมนุษย์ในการตรวจคำตอบ

    ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ได้แค่ระดับเหรียญเงิน
    ต้องใช้การแปลโจทย์และคำนวณหลายวัน ไม่ใช่แบบ end-to-end

    Gemini Deep Think ทำงานแบบ natural language ทั้งหมด
    ไม่ต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ทันที

    ใช้เทคนิค Parallel Thinking เพื่อคิดหลายแนวทางพร้อมกัน
    เพิ่มความสามารถในการเลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด

    ฝึกด้วย reinforcement learning บนข้อมูลการพิสูจน์และแก้โจทย์หลายขั้นตอน
    ทำให้เข้าใจตรรกะเชิงลึกและการให้เหตุผลแบบมนุษย์

    จะเปิดให้กลุ่มนักคณิตศาสตร์ทดลองใช้ก่อนปล่อยสู่ผู้ใช้ Google AI Ultra
    เพื่อรับฟีดแบ็กและปรับปรุงก่อนใช้งานจริง

    การตรวจคำตอบของ IMO ไม่ได้ประเมินระบบหรือโมเดลเบื้องหลัง
    หมายความว่าแม้คำตอบจะถูก แต่ยังไม่รับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด

    การใช้ AI ในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์
    เพราะบางคำตอบอาจดูถูกต้องแต่ขาดตรรกะหรือหลักฐานที่ชัดเจน

    การฝึกด้วย corpus เฉพาะทางอาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโจทย์ IMO
    ไม่สามารถสรุปว่า AI เข้าใจคณิตศาสตร์ทั่วไปหรือสามารถสอนคนได้จริง

    การใช้ AI ในการแก้โจทย์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาโดยไม่เข้าใจพื้นฐาน
    ต้องมีการออกแบบให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนความเข้าใจ

    https://deepmind.google/discover/blog/advanced-version-of-gemini-with-deep-think-officially-achieves-gold-medal-standard-at-the-international-mathematical-olympiad/
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามโอลิมปิกคณิตศาสตร์: เมื่อ AI ได้เหรียญทองในสนามมนุษย์ IMO เป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับโลกที่จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1959 โดยแต่ละประเทศส่งนักเรียนมัธยมปลาย 6 คนมาแข่งขันกันในโจทย์ที่ยากมากในสาขา: - พีชคณิต (Algebra) - ทฤษฎีจำนวน (Number Theory) - เรขาคณิต (Geometry) - คอมบิเนอริกส์ (Combinatorics) ปีนี้ Google DeepMind ส่งโมเดล Gemini Deep Think เข้าร่วมในฐานะ AI system ที่ถูกประเมินโดยกรรมการ IMO จริง — และสามารถแก้โจทย์ได้ 5 จาก 6 ข้ออย่างถูกต้อง ได้คะแนนรวม 35 จาก 42 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเหรียญทองของมนุษย์ สิ่งที่น่าทึ่งคือ: - ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ทำได้แค่ระดับเหรียญเงิน (28 คะแนน) - ต้องใช้การแปลโจทย์เป็นภาษาสัญลักษณ์ (เช่น Lean) และใช้เวลาคำนวณ 2–3 วัน - ปีนี้ Gemini Deep Think ทำงานแบบ end-to-end ด้วยภาษาอังกฤษธรรมดา - ใช้เวลาเท่ากับการแข่งขันจริง (4.5 ชั่วโมง) และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ เบื้องหลังความสำเร็จคือการใช้เทคนิคใหม่ เช่น: - Parallel Thinking: คิดหลายแนวทางพร้อมกันก่อนเลือกคำตอบ - Reinforcement Learning: ฝึกจากข้อมูลการแก้โจทย์หลายขั้นตอน - Corpus คุณภาพสูง: รวมคำแนะนำและตัวอย่างการแก้โจทย์ IMO ✅ Gemini Deep Think ทำคะแนน 35/42 ใน IMO 2025 เทียบเท่าระดับเหรียญทอง ➡️ แก้โจทย์ 5 จาก 6 ข้อได้อย่างถูกต้องภายในเวลาแข่งขันจริง ✅ เป็นครั้งแรกที่ AI ได้รับการประเมินโดยกรรมการ IMO อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้เกณฑ์เดียวกับนักเรียนมนุษย์ในการตรวจคำตอบ ✅ ปีที่แล้ว AlphaGeometry + AlphaProof ได้แค่ระดับเหรียญเงิน ➡️ ต้องใช้การแปลโจทย์และคำนวณหลายวัน ไม่ใช่แบบ end-to-end ✅ Gemini Deep Think ทำงานแบบ natural language ทั้งหมด ➡️ ไม่ต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ และให้คำตอบที่ตรวจสอบได้ทันที ✅ ใช้เทคนิค Parallel Thinking เพื่อคิดหลายแนวทางพร้อมกัน ➡️ เพิ่มความสามารถในการเลือกวิธีแก้ที่ดีที่สุด ✅ ฝึกด้วย reinforcement learning บนข้อมูลการพิสูจน์และแก้โจทย์หลายขั้นตอน ➡️ ทำให้เข้าใจตรรกะเชิงลึกและการให้เหตุผลแบบมนุษย์ ✅ จะเปิดให้กลุ่มนักคณิตศาสตร์ทดลองใช้ก่อนปล่อยสู่ผู้ใช้ Google AI Ultra ➡️ เพื่อรับฟีดแบ็กและปรับปรุงก่อนใช้งานจริง ‼️ การตรวจคำตอบของ IMO ไม่ได้ประเมินระบบหรือโมเดลเบื้องหลัง ⛔ หมายความว่าแม้คำตอบจะถูก แต่ยังไม่รับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการทั้งหมด ‼️ การใช้ AI ในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ยังต้องการการตรวจสอบจากมนุษย์ ⛔ เพราะบางคำตอบอาจดูถูกต้องแต่ขาดตรรกะหรือหลักฐานที่ชัดเจน ‼️ การฝึกด้วย corpus เฉพาะทางอาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโจทย์ IMO ⛔ ไม่สามารถสรุปว่า AI เข้าใจคณิตศาสตร์ทั่วไปหรือสามารถสอนคนได้จริง ‼️ การใช้ AI ในการแก้โจทย์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาโดยไม่เข้าใจพื้นฐาน ⛔ ต้องมีการออกแบบให้ AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทนความเข้าใจ https://deepmind.google/discover/blog/advanced-version-of-gemini-with-deep-think-officially-achieves-gold-medal-standard-at-the-international-mathematical-olympiad/
    DEEPMIND.GOOGLE
    Advanced version of Gemini with Deep Think officially achieves gold-medal standard at the International Mathematical Olympiad
    Our advanced model officially achieved a gold-medal level performance on problems from the International Mathematical Olympiad (IMO), the world’s most prestigious competition for young...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากมือถือ: Android กลายเป็นเครือข่ายตรวจแผ่นดินไหวโลก

    ระหว่างปี 2021–2024 Google ได้เปิดตัวระบบ Android Earthquake Alerts ที่ใช้ motion sensor บนมือถือ Android เพื่อ “จับสัญญาณการสั่นสะเทือน” โดยอัตโนมัติ

    หลักการคือ:
    - ไม่ใช่แค่ “เครื่องเดียวที่แม่น” แต่ใช้ “จำนวนมหาศาล” ประกอบกัน
    - ระบบ algorithm จะวิเคราะห์รูปแบบการสั่นร่วมจากมือถือหลายเครื่อง
    - แม้จะมีความต่างในอุปกรณ์, พื้นดิน, อาคาร หรือพื้นที่ แต่ระบบรวมสัญญาณได้ดี

    ผลลัพธ์คือ:
    - ตรวจจับแผ่นดินไหวได้มากกว่า 11,000 ครั้ง
    - ความแม่นยำเทียบเท่ากับ seismometer แบบเฉพาะทาง
    - ส่ง alert ไปยังผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี
    - ในบางเหตุการณ์สามารถแจ้งเตือนได้ “ก่อนการสั่นจะถึงผู้ใช้” หลายวินาที

    ความท้าทายใหญ่ของระบบคือการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เช่นเหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 ที่ระบบประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป แต่เมื่ออัปเกรด algorithm แล้ว ระบบสามารถแจ้งเตือนได้แม่นขึ้นถึง 10 ล้านเครื่องในเวอร์ชันใหม่

    Google ใช้ motion sensor จากมือถือ Android กว่า 2 พันล้านเครื่องเป็นระบบตรวจแผ่นดินไหว
    ครอบคลุม 98 ประเทศ และให้สัญญาณได้แม่นยำแบบ real-time

    จับแผ่นดินไหวมากกว่า 11,000 ครั้ง พร้อมแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ
    ระบุตำแหน่งและความแรงใกล้เคียงกับระบบ seismometer มืออาชีพ

    ใช้ collective shaking จากหลายเครื่องเพื่อดูรูปแบบการสั่น
    แก้ปัญหาความต่างของอุปกรณ์และพื้นที่แต่ละประเทศ

    จำนวนผู้ได้รับแจ้งเตือนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี
    ระบบช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการแจ้งเตือนได้ฟรีทั่วโลก

    รายงานจากทีมวิจัยเผยแพร่ในวารสาร Science เป็นครั้งแรก
    สะท้อนผลลัพธ์เชิงวิทยาศาสตร์และขยายความน่าเชื่อถือของระบบ

    เหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 เป็นแรงผลักดันให้ปรับ algorithm ใหม่
    ระบบใหม่สามารถ trigger “TakeAction alert” ไปยัง 10 ล้านเครื่อง

    นักวิทยาศาสตร์ชื่นชมว่าเป็นระบบเสริมที่ช่วยให้ประเทศที่ไม่มีระบบเตือนภัยสามารถรับการแจ้งเตือนได้
    เป็นแนวทางให้ประชาชนได้รับสิทธิด้านความปลอดภัยโดยไม่ต้องรอระบบของรัฐ

    https://www.techspot.com/news/108732-google-using-two-billion-android-phones-detect-earthquakes.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากมือถือ: Android กลายเป็นเครือข่ายตรวจแผ่นดินไหวโลก ระหว่างปี 2021–2024 Google ได้เปิดตัวระบบ Android Earthquake Alerts ที่ใช้ motion sensor บนมือถือ Android เพื่อ “จับสัญญาณการสั่นสะเทือน” โดยอัตโนมัติ หลักการคือ: - ไม่ใช่แค่ “เครื่องเดียวที่แม่น” แต่ใช้ “จำนวนมหาศาล” ประกอบกัน - ระบบ algorithm จะวิเคราะห์รูปแบบการสั่นร่วมจากมือถือหลายเครื่อง - แม้จะมีความต่างในอุปกรณ์, พื้นดิน, อาคาร หรือพื้นที่ แต่ระบบรวมสัญญาณได้ดี 📊 ผลลัพธ์คือ: - ตรวจจับแผ่นดินไหวได้มากกว่า 11,000 ครั้ง - ความแม่นยำเทียบเท่ากับ seismometer แบบเฉพาะทาง - ส่ง alert ไปยังผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี - ในบางเหตุการณ์สามารถแจ้งเตือนได้ “ก่อนการสั่นจะถึงผู้ใช้” หลายวินาที ความท้าทายใหญ่ของระบบคือการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เช่นเหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 ที่ระบบประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป แต่เมื่ออัปเกรด algorithm แล้ว ระบบสามารถแจ้งเตือนได้แม่นขึ้นถึง 10 ล้านเครื่องในเวอร์ชันใหม่ ✅ Google ใช้ motion sensor จากมือถือ Android กว่า 2 พันล้านเครื่องเป็นระบบตรวจแผ่นดินไหว ➡️ ครอบคลุม 98 ประเทศ และให้สัญญาณได้แม่นยำแบบ real-time ✅ จับแผ่นดินไหวมากกว่า 11,000 ครั้ง พร้อมแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ ➡️ ระบุตำแหน่งและความแรงใกล้เคียงกับระบบ seismometer มืออาชีพ ✅ ใช้ collective shaking จากหลายเครื่องเพื่อดูรูปแบบการสั่น ➡️ แก้ปัญหาความต่างของอุปกรณ์และพื้นที่แต่ละประเทศ ✅ จำนวนผู้ได้รับแจ้งเตือนเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในช่วง 3 ปี ➡️ ระบบช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการแจ้งเตือนได้ฟรีทั่วโลก ✅ รายงานจากทีมวิจัยเผยแพร่ในวารสาร Science เป็นครั้งแรก ➡️ สะท้อนผลลัพธ์เชิงวิทยาศาสตร์และขยายความน่าเชื่อถือของระบบ ✅ เหตุการณ์ในตุรกีปี 2023 เป็นแรงผลักดันให้ปรับ algorithm ใหม่ ➡️ ระบบใหม่สามารถ trigger “TakeAction alert” ไปยัง 10 ล้านเครื่อง ✅ นักวิทยาศาสตร์ชื่นชมว่าเป็นระบบเสริมที่ช่วยให้ประเทศที่ไม่มีระบบเตือนภัยสามารถรับการแจ้งเตือนได้ ➡️ เป็นแนวทางให้ประชาชนได้รับสิทธิด้านความปลอดภัยโดยไม่ต้องรอระบบของรัฐ https://www.techspot.com/news/108732-google-using-two-billion-android-phones-detect-earthquakes.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google is using two billion Android phones to detect earthquakes worldwide
    Unlike conventional systems that use dedicated, expensive seismic instruments, Google's Android Earthquake Alerts system leverages the sheer scale of smartphones, which continuously collect motion data unless users...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Sandbox: ทดสอบซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องเสี่ยงติดไวรัส

    Windows Sandbox ถูกเปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังไม่รู้ว่ามีเครื่องมือฟรีตัวนี้อยู่ใน Windows Pro และ Enterprise แล้ว วิธีเปิดใช้งานง่ายมาก:

    - เปิด virtualization ใน BIOS
    - ไปเปิด “Windows Sandbox” จาก Optional Features
    - รีสตาร์ตแล้วเรียกใช้งานได้จาก Search

    เมื่อเปิด Sandbox จะได้ Windows เวอร์ชันใหม่สะอาด ๆ ภายในไม่กี่วินาที — ไม่มีไฟล์ใดจากเครื่องหลัก, ไม่มีประวัติ, และ จะถูกลบทั้งหมดเมื่อปิด ดังนั้นคุณจึงสามารถ:
    - ทดสอบไฟล์ .exe ที่น่าสงสัย
    - เข้าเว็บแปลก ๆ โดยไม่ต้องกลัว
    - ลองรันสคริปต์หรือโปรแกรมใหม่ก่อนติดตั้งจริง

    มันเบากว่า VM มาก ไม่ต้องหาภาพ OS มาใช้ และมี kernel isolation ระดับสูง พร้อมการตั้งค่าผ่านไฟล์ XML และ Policy CSP เช่น ปิด audio, clipboard หรือ network ได้เลย

    https://www.neowin.net/editorials/windows-sandbox-is-awesome-and-i-wish-more-people-knew-about-it/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Sandbox: ทดสอบซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องเสี่ยงติดไวรัส Windows Sandbox ถูกเปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 แต่ผู้ใช้จำนวนมากยังไม่รู้ว่ามีเครื่องมือฟรีตัวนี้อยู่ใน Windows Pro และ Enterprise แล้ว วิธีเปิดใช้งานง่ายมาก: - เปิด virtualization ใน BIOS - ไปเปิด “Windows Sandbox” จาก Optional Features - รีสตาร์ตแล้วเรียกใช้งานได้จาก Search เมื่อเปิด Sandbox จะได้ Windows เวอร์ชันใหม่สะอาด ๆ ภายในไม่กี่วินาที — ไม่มีไฟล์ใดจากเครื่องหลัก, ไม่มีประวัติ, และ จะถูกลบทั้งหมดเมื่อปิด ดังนั้นคุณจึงสามารถ: - ทดสอบไฟล์ .exe ที่น่าสงสัย - เข้าเว็บแปลก ๆ โดยไม่ต้องกลัว - ลองรันสคริปต์หรือโปรแกรมใหม่ก่อนติดตั้งจริง มันเบากว่า VM มาก ไม่ต้องหาภาพ OS มาใช้ และมี kernel isolation ระดับสูง พร้อมการตั้งค่าผ่านไฟล์ XML และ Policy CSP เช่น ปิด audio, clipboard หรือ network ได้เลย https://www.neowin.net/editorials/windows-sandbox-is-awesome-and-i-wish-more-people-knew-about-it/
    WWW.NEOWIN.NET
    Windows Sandbox is awesome and I wish more people knew about it
    Windows Sandbox is a very nifty piece of virtualization software available by default in Windows for the past six years; many people just don't know about it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากผู้ใช้เก่า: Notepad กลายเป็นเวทีโฆษณา Copilot ไปแล้วหรือ?

    ผู้เขียนเป็นผู้ใช้ Notepad แบบจริงจัง เขาใช้สำหรับจดรหัสผ่านชั่วคราว เก็บค่า hex สี และโน้ตประชุม โดยชื่นชอบความ “ไม่วุ่นวาย” ของมัน — เปิดเร็ว ไม่ต้องเลือกเทมเพลต ไม่ต้องมี splash screen

    แต่ในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา Notepad ได้รับฟีเจอร์ใหม่มากมาย:
    - เริ่มจากดีไซน์ใหม่ (Fluent UI) ในปี 2021
    - เพิ่ม dark mode, tabbed interface
    - มีฟีเจอร์ save อัตโนมัติ, character counter และ spell checker
    - จากนั้นเริ่มบูรณาการ Copilot เช่น Explain with Copilot, AI Rewrite, text summarization

    แม้ฟีเจอร์ใหม่จะมีประโยชน์ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า "Notepad ไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป" มันกลับกลายเป็น แพลตฟอร์มที่แสดงฟีเจอร์ AI ของ Microsoft มากกว่าเครื่องมือที่ผู้ใช้ควบคุมเอง

    เขาเสียดายที่ WordPad ถูกยกเลิกไปในปีเดียวกัน ทำให้ฟีเจอร์ของ Word, OneNote และ Notepad เริ่ม “เบลอ” จนไม่รู้ว่าแต่ละตัวควรทำอะไร — และมองว่า Notepad ควรกลับไปเป็น “ตัวเลือกเบา ๆ” สำหรับคนที่ไม่ต้องการใช้ AI

    https://www.neowin.net/editorials/notepad-is-losing-its-focus/
    🎙️ เรื่องเล่าจากผู้ใช้เก่า: Notepad กลายเป็นเวทีโฆษณา Copilot ไปแล้วหรือ? ผู้เขียนเป็นผู้ใช้ Notepad แบบจริงจัง เขาใช้สำหรับจดรหัสผ่านชั่วคราว เก็บค่า hex สี และโน้ตประชุม โดยชื่นชอบความ “ไม่วุ่นวาย” ของมัน — เปิดเร็ว ไม่ต้องเลือกเทมเพลต ไม่ต้องมี splash screen แต่ในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา Notepad ได้รับฟีเจอร์ใหม่มากมาย: - เริ่มจากดีไซน์ใหม่ (Fluent UI) ในปี 2021 - เพิ่ม dark mode, tabbed interface - มีฟีเจอร์ save อัตโนมัติ, character counter และ spell checker - จากนั้นเริ่มบูรณาการ Copilot เช่น Explain with Copilot, AI Rewrite, text summarization แม้ฟีเจอร์ใหม่จะมีประโยชน์ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า "Notepad ไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป" มันกลับกลายเป็น แพลตฟอร์มที่แสดงฟีเจอร์ AI ของ Microsoft มากกว่าเครื่องมือที่ผู้ใช้ควบคุมเอง เขาเสียดายที่ WordPad ถูกยกเลิกไปในปีเดียวกัน ทำให้ฟีเจอร์ของ Word, OneNote และ Notepad เริ่ม “เบลอ” จนไม่รู้ว่าแต่ละตัวควรทำอะไร — และมองว่า Notepad ควรกลับไปเป็น “ตัวเลือกเบา ๆ” สำหรับคนที่ไม่ต้องการใช้ AI https://www.neowin.net/editorials/notepad-is-losing-its-focus/
    WWW.NEOWIN.NET
    Notepad is losing its focus
    Notepad used to be a simple note-taking app without any distractions. Now it's becoming an ad platform for Copilot.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามทดลอง: สร้างซอฟต์แวร์กับ AI แบบไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ก็เวิร์ก

    Scott เล่าถึงการสร้างเว็บแอปชื่อ Protocollie ภายใน 4 วัน — โดยไม่เขียนโค้ดเอง, ไม่รู้ภาษาที่ใช้, และไม่รู้แน่ว่าทำซ้ำได้ไหม มันเกิดจากการ “โยนสคริปต์ใส่ Claude แล้วดูว่ามันจะตอบกลับมายังไง”

    เขาอธิบายว่าเรากำลังอยู่ในช่วงที่ทุกคนคือ "Junior Developer แบบถาวร" เพราะ AI เปลี่ยนเร็วเกินกว่าประสบการณ์จะตามทัน — ทำให้ทักษะที่สำคัญไม่ใช่ syntax, algorithm, หรือ architecture อีกต่อไป แต่คือ:

    “โครงสร้างของความต้องการ” (Structured Wishing) “จินตนาการที่แม่นยำ” (Precise Imagination)

    เขาแชร์ระบบงานที่ใช้จริง ซึ่งประกอบด้วย 4 เอกสารที่เกิดขึ้นจากการ “ลืม-แล้วแก้-แล้วเขียนบันทึก” มากกว่าการวางแผน:

    1️⃣ Architecture Overview – อธิบายว่าระบบคืออะไรในแบบที่ “ไม่แน่ใจ”

    2️⃣ Technical Considerations – เป็นรายการของสิ่งที่เคยหงุดหงิดกับ Claude

    3️⃣ Workflow Process – ให้ Claude เขียน “พิธีกรรม” ที่ใช้ทำงานร่วมกันไว้

    4️⃣ Story Breakdown – หั่นงานเป็นช่วง 15-30 นาที เพื่อให้ Claude ไม่ลืมทุกอย่าง

    และเขายังพูดถึงการ “ทำงานแบบเวลาเบี้ยว” ที่ Claude สร้างโค้ดได้เป็นหมื่นบรรทัดในขณะที่เขากินข้าว เช็กกลับแค่ 5 นาที แล้วปรับคำสั่งเพียงหนึ่งบรรทัด ทุกอย่างดูไม่เหมือน “งานเขียนโปรแกรม” อีกต่อไป

    ผู้เขียนสร้างแอป Protocollie ใน 4 วัน ด้วยภาษาที่ไม่เชี่ยวชาญ และไม่ได้เขียนโค้ดเอง
    ใช้ Claude ช่วยคิดและเขียนทั้งหมด เพียงแค่เขาชี้เป้าหมายและตรวจงาน

    แบ่งระบบการทำงานออกเป็น 4 เอกสารที่เกิดขึ้นจาก “การลืม” และ “การซ่อม”
    ได้แก่ภาพรวม, ข้อเทคนิค, ขั้นตอนงาน, และการแบ่งงานเป็นช่วงเวลา

    สัมผัสว่า AI ทำงานไวผิดปกติ — แค่ขอสิ่งหนึ่งแล้วไปใช้ชีวิต มันจะกลับมาพร้อมผลลัพธ์มหาศาล
    เปรียบ Claude เป็น Junior Developer ที่ไม่เบื่อ ไม่ช้า และไม่มี Twitter

    แนวคิดหลักคือ “การทดลองร่วม” — ไม่มีสูตรสำเร็จหรือเส้นทางเดิม
    ทุกคนกำลังโยน spaghetti ใส่กำแพง แล้วดูว่าจะมีอะไรติดบ้าง

    ระบบเอกสารที่ใช้ถูกอัปโหลดไว้บน GitHub เป็น “หลักฐานของบางสิ่งที่เคยเวิร์ก”
    ไม่ใช่คู่มือ ไม่ใช่ template แต่เป็นแค่รอยทางให้คนอื่นดูแล้วเลือกเอง

    ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างซอฟต์แวร์ร่วมกับ AI
    แม้คนเก่งที่สุดก็ยังเพิ่งเริ่มต้น เพราะ AI เปลี่ยนเร็วกว่า "ความเป็นผู้รู้"

    ระบบที่เวิร์กในหนึ่งสัปดาห์อาจใช้ไม่ได้เลยในอีกสองสัปดาห์
    ทุกสิ่งคือ data point ของการทดลอง ไม่มีอะไรถาวร

    การวางแผนแบบ "พยายามให้มีแผน" อาจกลายเป็นแค่การแสดงสมมุติ
    เช่น การเรียกไฟล์ว่า architecture ไม่ได้แปลว่าเรามีโครงสร้างจริง

    ความเร็วในการสร้างซอฟต์แวร์แบบนี้อาจทำให้รู้สึกว่า "เรากำลังโกง" หรือ "มันไม่จริง"
    แต่ความจริงคือรูปแบบการทำงานกำลังเปลี่ยนไปอย่างถอนราก

    https://worksonmymachine.substack.com/p/nobody-knows-how-to-build-with-ai
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามทดลอง: สร้างซอฟต์แวร์กับ AI แบบไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ก็เวิร์ก Scott เล่าถึงการสร้างเว็บแอปชื่อ Protocollie ภายใน 4 วัน — โดยไม่เขียนโค้ดเอง, ไม่รู้ภาษาที่ใช้, และไม่รู้แน่ว่าทำซ้ำได้ไหม มันเกิดจากการ “โยนสคริปต์ใส่ Claude แล้วดูว่ามันจะตอบกลับมายังไง” เขาอธิบายว่าเรากำลังอยู่ในช่วงที่ทุกคนคือ "Junior Developer แบบถาวร" เพราะ AI เปลี่ยนเร็วเกินกว่าประสบการณ์จะตามทัน — ทำให้ทักษะที่สำคัญไม่ใช่ syntax, algorithm, หรือ architecture อีกต่อไป แต่คือ: 🔖🔖“โครงสร้างของความต้องการ” (Structured Wishing) “จินตนาการที่แม่นยำ” (Precise Imagination) เขาแชร์ระบบงานที่ใช้จริง ซึ่งประกอบด้วย 4 เอกสารที่เกิดขึ้นจากการ “ลืม-แล้วแก้-แล้วเขียนบันทึก” มากกว่าการวางแผน: 1️⃣ Architecture Overview – อธิบายว่าระบบคืออะไรในแบบที่ “ไม่แน่ใจ” 2️⃣ Technical Considerations – เป็นรายการของสิ่งที่เคยหงุดหงิดกับ Claude 3️⃣ Workflow Process – ให้ Claude เขียน “พิธีกรรม” ที่ใช้ทำงานร่วมกันไว้ 4️⃣ Story Breakdown – หั่นงานเป็นช่วง 15-30 นาที เพื่อให้ Claude ไม่ลืมทุกอย่าง และเขายังพูดถึงการ “ทำงานแบบเวลาเบี้ยว” ที่ Claude สร้างโค้ดได้เป็นหมื่นบรรทัดในขณะที่เขากินข้าว เช็กกลับแค่ 5 นาที แล้วปรับคำสั่งเพียงหนึ่งบรรทัด ทุกอย่างดูไม่เหมือน “งานเขียนโปรแกรม” อีกต่อไป ✅ ผู้เขียนสร้างแอป Protocollie ใน 4 วัน ด้วยภาษาที่ไม่เชี่ยวชาญ และไม่ได้เขียนโค้ดเอง ➡️ ใช้ Claude ช่วยคิดและเขียนทั้งหมด เพียงแค่เขาชี้เป้าหมายและตรวจงาน ✅ แบ่งระบบการทำงานออกเป็น 4 เอกสารที่เกิดขึ้นจาก “การลืม” และ “การซ่อม” ➡️ ได้แก่ภาพรวม, ข้อเทคนิค, ขั้นตอนงาน, และการแบ่งงานเป็นช่วงเวลา ✅ สัมผัสว่า AI ทำงานไวผิดปกติ — แค่ขอสิ่งหนึ่งแล้วไปใช้ชีวิต มันจะกลับมาพร้อมผลลัพธ์มหาศาล ➡️ เปรียบ Claude เป็น Junior Developer ที่ไม่เบื่อ ไม่ช้า และไม่มี Twitter ✅ แนวคิดหลักคือ “การทดลองร่วม” — ไม่มีสูตรสำเร็จหรือเส้นทางเดิม ➡️ ทุกคนกำลังโยน spaghetti ใส่กำแพง แล้วดูว่าจะมีอะไรติดบ้าง ✅ ระบบเอกสารที่ใช้ถูกอัปโหลดไว้บน GitHub เป็น “หลักฐานของบางสิ่งที่เคยเวิร์ก” ➡️ ไม่ใช่คู่มือ ไม่ใช่ template แต่เป็นแค่รอยทางให้คนอื่นดูแล้วเลือกเอง ‼️ ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างซอฟต์แวร์ร่วมกับ AI ⛔ แม้คนเก่งที่สุดก็ยังเพิ่งเริ่มต้น เพราะ AI เปลี่ยนเร็วกว่า "ความเป็นผู้รู้" ‼️ ระบบที่เวิร์กในหนึ่งสัปดาห์อาจใช้ไม่ได้เลยในอีกสองสัปดาห์ ⛔ ทุกสิ่งคือ data point ของการทดลอง ไม่มีอะไรถาวร ‼️ การวางแผนแบบ "พยายามให้มีแผน" อาจกลายเป็นแค่การแสดงสมมุติ ⛔ เช่น การเรียกไฟล์ว่า architecture ไม่ได้แปลว่าเรามีโครงสร้างจริง ‼️ ความเร็วในการสร้างซอฟต์แวร์แบบนี้อาจทำให้รู้สึกว่า "เรากำลังโกง" หรือ "มันไม่จริง" ⛔ แต่ความจริงคือรูปแบบการทำงานกำลังเปลี่ยนไปอย่างถอนราก https://worksonmymachine.substack.com/p/nobody-knows-how-to-build-with-ai
    WORKSONMYMACHINE.SUBSTACK.COM
    Nobody Knows How To Build With AI Yet
    The future of software development might just be jazz. Everyone improvising. Nobody following the sheet music.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • Pikashow feels like a hidden gem for movie and TV lovers who just want quick, hassle-free entertainment. It brings together a huge collection of movies, shows, and even live TV in one simple app that anyone can use. What makes it special is how easy it is—you don’t need to be tech-savvy to enjoy it. The ability to download your favorite content and watch it later is a big plus, especially during travel or when the internet is slow. It’s like carrying a mini cinema in your pocket. Yes, it’s not on the official app stores, so you have to be careful where you download it from, but once you get it working, it becomes a reliable companion. Whether you're catching up on a missed cricket match or binge-watching a series over the weekend, Pikashow quietly delivers what you need without the noise of ads or subscriptions.
    https://pikashowsapps.org/
    Pikashow feels like a hidden gem for movie and TV lovers who just want quick, hassle-free entertainment. It brings together a huge collection of movies, shows, and even live TV in one simple app that anyone can use. What makes it special is how easy it is—you don’t need to be tech-savvy to enjoy it. The ability to download your favorite content and watch it later is a big plus, especially during travel or when the internet is slow. It’s like carrying a mini cinema in your pocket. Yes, it’s not on the official app stores, so you have to be careful where you download it from, but once you get it working, it becomes a reliable companion. Whether you're catching up on a missed cricket match or binge-watching a series over the weekend, Pikashow quietly delivers what you need without the noise of ads or subscriptions. https://pikashowsapps.org/
    PIKASHOWSAPPS.ORG
    Pikashow Apk Download v87 Latest Version for Android 2025
    PikaShow APK Download is a Streaming Platform For Android 2025. Includes TV Shows, Live Cricket, Download Videos, Movies, and many more
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • How To Use “Lay” vs. “Lie” Correctly Every Time

    The difference between the verbs lay and lie is one of English’s most confusing questions. Both words involve something or someone in a horizontal position, but where the two words differ has to do with who or what is horizontal—the subject of the verb (the one doing the action) or the direct object (the person or thing being acted upon).

    In this article, we’ll break down the difference between lay and lie, including the past tense forms and the phrases lay down, lie down, and laid down.

    Quick summary

    Lay means to place or put (Lay that here). The word lay is also the past tense form of the sense of lie that means to recline, as in I lay in bed yesterday. Lay down can mean to place down (Lay down your bags), but it can also be the past tense of lie down, as in I lay down for a few hours. A nonstandard but common use of lay is to mean the same thing as the present tense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes or I laid down for a few hours. It’s best to avoid this use (and the confusion it can cause) in formal contexts.

    Is it lay or lie?

    Lay commonly means to put or place someone or something down, as in Lay the bags on the table or I’m going to lay the baby in the crib. It’s a transitive verb, meaning it requires a direct object (I lay the quilt on the couch; I lay the book on the table).

    The sense of lie that’s often confused with lay means to be in or get into a reclining position—to recline, as in I just want to lie in bed for a few more minutes. Lie is an intransitive verb, meaning it does not take a direct object (Don’t just lie there).

    Lay is typically used with an object, meaning someone or something is getting laid down by someone. In contrast, lie is something you do yourself without any other recipients of the action.

    If you’re the one lying comfortably on your back, you want the verb lie, but if you can replace the verb with place or put (Please place the book on the table), then use the verb lay (Please lay the book on the table).

    Though this use is considered nonstandard, lay is commonly used to mean the same thing as this sense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes. Although lay and lie are often used interchangeably in casual communication, it’s best to use them in the standard way in more formal contexts.

    lay vs. lie in the past tense

    The confusion between the two words is largely due to the fact that lay is also the irregular past tense form of this sense of lie, as in I lay in bed yesterday morning wishing I could go back to sleep. (In contrast, when lie is used as a verb meaning to tell an untruth, its past tense is simply lied.) The past tense of lay as in “put or place down” is laid, as in I laid the bags on the table.

    The past participle forms of lay and lie (formed with the helping verb have) are also distinct: lay maintains its past form laid, but lie becomes lain, as in I have lain in bed for the past three hours.

    The continuous tense (-ing form) of this sense of lie is the same as the untruth sense: lying, as in I am lying in bed right now.

    Review all the different verb tenses right here!

    lay down or lie down

    The “recline” sense of lie is commonly used in the verb phrase lie down, as in I was feeling tired so I decided to lie down. Using the phrase lay down to mean the same thing is considered nonstandard, but it’s also very common.

    Lay down is also used as a verb phrase meaning about the same thing as lay, as in You can lay down your bags on the table (or You can lay your bags down on the table).

    How to use lay and lie in a sentence

    A good way to remember which one to use is to think about whether you could replace the word with put or recline. If you can replace it with put, you want to use lay, as in Please lay (put) the bags on the table. If you could replace the word with recline, you want to use lie, as in I just want to lie (recline) in bed for a few more minutes.

    Here are several examples of how to correctly use lay and lie in a sentence, including examples with the past tense of both words and both used in the same sentence.

    - I feel like I need to lie down.
    - Please lay the groceries on the table.
    - I laid all of the ingredients on the kitchen counter last night.
    - Last night, I lay awake for hours, unable to sleep.
    - I had just lain down to go to sleep when I heard a noise.
    - I’m looking for the book that you had laid on the bedside table.
    - He said he was just going to lay the blanket on the grass and lie on it for a few minutes, but he lied. After he laid the blanket down, he lay on it for two hours!

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    How To Use “Lay” vs. “Lie” Correctly Every Time The difference between the verbs lay and lie is one of English’s most confusing questions. Both words involve something or someone in a horizontal position, but where the two words differ has to do with who or what is horizontal—the subject of the verb (the one doing the action) or the direct object (the person or thing being acted upon). In this article, we’ll break down the difference between lay and lie, including the past tense forms and the phrases lay down, lie down, and laid down. Quick summary Lay means to place or put (Lay that here). The word lay is also the past tense form of the sense of lie that means to recline, as in I lay in bed yesterday. Lay down can mean to place down (Lay down your bags), but it can also be the past tense of lie down, as in I lay down for a few hours. A nonstandard but common use of lay is to mean the same thing as the present tense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes or I laid down for a few hours. It’s best to avoid this use (and the confusion it can cause) in formal contexts. Is it lay or lie? Lay commonly means to put or place someone or something down, as in Lay the bags on the table or I’m going to lay the baby in the crib. It’s a transitive verb, meaning it requires a direct object (I lay the quilt on the couch; I lay the book on the table). The sense of lie that’s often confused with lay means to be in or get into a reclining position—to recline, as in I just want to lie in bed for a few more minutes. Lie is an intransitive verb, meaning it does not take a direct object (Don’t just lie there). Lay is typically used with an object, meaning someone or something is getting laid down by someone. In contrast, lie is something you do yourself without any other recipients of the action. If you’re the one lying comfortably on your back, you want the verb lie, but if you can replace the verb with place or put (Please place the book on the table), then use the verb lay (Please lay the book on the table). Though this use is considered nonstandard, lay is commonly used to mean the same thing as this sense of lie, as in I just want to lay in bed for a few more minutes. Although lay and lie are often used interchangeably in casual communication, it’s best to use them in the standard way in more formal contexts. lay vs. lie in the past tense The confusion between the two words is largely due to the fact that lay is also the irregular past tense form of this sense of lie, as in I lay in bed yesterday morning wishing I could go back to sleep. (In contrast, when lie is used as a verb meaning to tell an untruth, its past tense is simply lied.) The past tense of lay as in “put or place down” is laid, as in I laid the bags on the table. The past participle forms of lay and lie (formed with the helping verb have) are also distinct: lay maintains its past form laid, but lie becomes lain, as in I have lain in bed for the past three hours. The continuous tense (-ing form) of this sense of lie is the same as the untruth sense: lying, as in I am lying in bed right now. Review all the different verb tenses right here! lay down or lie down The “recline” sense of lie is commonly used in the verb phrase lie down, as in I was feeling tired so I decided to lie down. Using the phrase lay down to mean the same thing is considered nonstandard, but it’s also very common. Lay down is also used as a verb phrase meaning about the same thing as lay, as in You can lay down your bags on the table (or You can lay your bags down on the table). How to use lay and lie in a sentence A good way to remember which one to use is to think about whether you could replace the word with put or recline. If you can replace it with put, you want to use lay, as in Please lay (put) the bags on the table. If you could replace the word with recline, you want to use lie, as in I just want to lie (recline) in bed for a few more minutes. Here are several examples of how to correctly use lay and lie in a sentence, including examples with the past tense of both words and both used in the same sentence. - I feel like I need to lie down. - Please lay the groceries on the table. - I laid all of the ingredients on the kitchen counter last night. - Last night, I lay awake for hours, unable to sleep. - I had just lain down to go to sleep when I heard a noise. - I’m looking for the book that you had laid on the bedside table. - He said he was just going to lay the blanket on the grass and lie on it for a few minutes, but he lied. After he laid the blanket down, he lay on it for two hours! © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลุงเองก็กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกันนะ

    เรื่องเล่าจากเศรษฐศาสตร์ AI: ฟองสบู่ที่ใหญ่กว่าดอทคอม?

    ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 1990 บริษัทเทคต่างแห่ลงทุนอินเทอร์เน็ตจนฟองสบู่แตกในปี 2000 สูญเงินลงทุนและมูลค่าตลาดไปหลายล้านล้านดอลลาร์ แม้บางเจ้ายังอยู่รอด เช่น Amazon แต่ก็เจ็บหนัก

    วันนี้ Sløk เตือนว่า สถานการณ์ “คล้ายกันมาก” แต่ “หนักกว่า” เพราะมีเงินมหาศาลจากนักลงทุนไหลเข้าสู่ AI แบบ ไม่อิงรายได้จริง เช่น:
    - OpenAI ลงทุนกว่า $14B ใน ScaleAI — แล้วปลดพนักงาน 200 คน
    - Meta เสนอโบนัสจ้างงาน AI สูงถึง $100M ต่อคน
    - CoreWeave ทุ่ม $6B สร้างศูนย์ AI ใหม่
    - Amazon เตรียมลงเงินอีก $8B กับ Anthropic
    - Nvidia ผลักดัน “AI Factories” ด้วยงบ $500B

    Sløk วิเคราะห์ว่า การพุ่งขึ้นของหุ้น S&P 500 ช่วงนี้เกิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่สาย AI ไม่กี่ราย ที่อาจ “ไม่คงทน” เพราะการประเมินมูลค่า “เกินกว่าศักยภาพจริงมาก”

    การเปรียบเทียบกับ Metaverse และ NFT ก็น่าสนใจ: เมื่อ hype แรงแต่รายได้จริงไม่มา — ทุกอย่างอาจ “ละลายหายไปเหมือนทราย”

    อย่างไรก็ตาม Sløk ยืนยันว่า “AI จะไม่หายไป” เหมือนอินเทอร์เน็ตยังอยู่หลัง dot-com crash แต่เราอาจได้เห็นการล้มเป็นกลุ่ม:
    - บริษัทที่ไม่มีรายได้จริงจะหายไป
    - ผู้รอดจะต้องลดขนาด ลดลงทุน
    - Buzzword “AI” อาจลดลงจากสินค้าทุกชิ้น

    Torsten Sløk เตือนว่าฟองสบู่ AI แรงกว่าดอทคอมในยุค 2000
    เพราะบริษัทใหญ่ใน S&P 500 ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินศักยภาพจริง

    นักลงทุนเทเงินมหาศาลสู่ AI: OpenAI, Meta, Amazon, Nvidia ฯลฯ
    แม้บางกรณียังไม่มีสินค้าหรือรายได้ที่ยั่งยืน

    ความผันผวนของตลาดหุ้นตอนนี้เกิดจากบริษัทยักษ์ AI ไม่กี่ราย
    ไม่ได้สะท้อนความมั่นคงของทั้งอุตสาหกรรม

    Sløk ยกตัวอย่างการลงทุนผิดพลาดใน Metaverse, Blockchain และ NFTs
    เตือนว่าความ hype แบบนั้นอาจย้อนมาเล่นงาน AI เช่นกัน

    ฟองสบู่แตกอาจไม่ทำให้ AI หายไป
    แต่จะทำให้เหลือเฉพาะบริษัทที่มีรายได้จริงและปรับตัวได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-bubble-is-worse-than-the-dot-com-crash-that-erased-trillions-economist-warns-overvaluations-could-lead-to-catastrophic-consequences
    ลุงเองก็กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกันนะ ‼️ 🎙️ เรื่องเล่าจากเศรษฐศาสตร์ AI: ฟองสบู่ที่ใหญ่กว่าดอทคอม? ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 1990 บริษัทเทคต่างแห่ลงทุนอินเทอร์เน็ตจนฟองสบู่แตกในปี 2000 สูญเงินลงทุนและมูลค่าตลาดไปหลายล้านล้านดอลลาร์ แม้บางเจ้ายังอยู่รอด เช่น Amazon แต่ก็เจ็บหนัก วันนี้ Sløk เตือนว่า สถานการณ์ “คล้ายกันมาก” แต่ “หนักกว่า” เพราะมีเงินมหาศาลจากนักลงทุนไหลเข้าสู่ AI แบบ ไม่อิงรายได้จริง เช่น: - OpenAI ลงทุนกว่า $14B ใน ScaleAI — แล้วปลดพนักงาน 200 คน - Meta เสนอโบนัสจ้างงาน AI สูงถึง $100M ต่อคน - CoreWeave ทุ่ม $6B สร้างศูนย์ AI ใหม่ - Amazon เตรียมลงเงินอีก $8B กับ Anthropic - Nvidia ผลักดัน “AI Factories” ด้วยงบ $500B Sløk วิเคราะห์ว่า การพุ่งขึ้นของหุ้น S&P 500 ช่วงนี้เกิดจากบริษัทยักษ์ใหญ่สาย AI ไม่กี่ราย ที่อาจ “ไม่คงทน” เพราะการประเมินมูลค่า “เกินกว่าศักยภาพจริงมาก” การเปรียบเทียบกับ Metaverse และ NFT ก็น่าสนใจ: เมื่อ hype แรงแต่รายได้จริงไม่มา — ทุกอย่างอาจ “ละลายหายไปเหมือนทราย” อย่างไรก็ตาม Sløk ยืนยันว่า “AI จะไม่หายไป” เหมือนอินเทอร์เน็ตยังอยู่หลัง dot-com crash แต่เราอาจได้เห็นการล้มเป็นกลุ่ม: - บริษัทที่ไม่มีรายได้จริงจะหายไป - ผู้รอดจะต้องลดขนาด ลดลงทุน - Buzzword “AI” อาจลดลงจากสินค้าทุกชิ้น ✅ Torsten Sløk เตือนว่าฟองสบู่ AI แรงกว่าดอทคอมในยุค 2000 ➡️ เพราะบริษัทใหญ่ใน S&P 500 ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินศักยภาพจริง ✅ นักลงทุนเทเงินมหาศาลสู่ AI: OpenAI, Meta, Amazon, Nvidia ฯลฯ ➡️ แม้บางกรณียังไม่มีสินค้าหรือรายได้ที่ยั่งยืน ✅ ความผันผวนของตลาดหุ้นตอนนี้เกิดจากบริษัทยักษ์ AI ไม่กี่ราย ➡️ ไม่ได้สะท้อนความมั่นคงของทั้งอุตสาหกรรม ✅ Sløk ยกตัวอย่างการลงทุนผิดพลาดใน Metaverse, Blockchain และ NFTs ➡️ เตือนว่าความ hype แบบนั้นอาจย้อนมาเล่นงาน AI เช่นกัน ✅ ฟองสบู่แตกอาจไม่ทำให้ AI หายไป ➡️ แต่จะทำให้เหลือเฉพาะบริษัทที่มีรายได้จริงและปรับตัวได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-bubble-is-worse-than-the-dot-com-crash-that-erased-trillions-economist-warns-overvaluations-could-lead-to-catastrophic-consequences
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเว็บ: DuckDuckGo ยอมให้ผู้ใช้เลือก “ไม่เห็น AI” ได้แล้ว

    ในยุคที่ Generative AI ผลิตภาพได้เป็นพันล้านภาพต่อวัน ภาพจาก AI ถูกใช้ปะปนกับภาพจริงในทุกเว็บไซต์ ตั้งแต่รูปสินค้า ไปจนถึงภาพข่าว ส่งผลให้หลายคนสับสนว่า “สิ่งที่เห็นนั้นเชื่อถือได้แค่ไหน”

    DuckDuckGo ซึ่งเป็นเสิร์ชเอนจินที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้ซ่อนภาพที่สร้างโดย AI จากผลการค้นหาได้ทันที โดยใช้รายการเว็บไซต์ที่มีภาพ AI จำนวนมาก ซึ่งรวบรวมแบบโอเพ่นซอร์ส เช่นรายการที่ uBlock Origin และ uBlacklist ใช้อยู่

    นอกจากนี้ DuckDuckGo ยังเปิด URL เวอร์ชันพิเศษชื่อ “No AI Search” ที่ตัดฟีเจอร์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ AI ออก เช่น AI summary และผลลัพธ์ที่มาจาก AI โดยตรง เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความบริสุทธิ์ของการค้นหาแบบเก่า

    DuckDuckGo เปิดฟีเจอร์กรองภาพ AI ออกจากผลการค้นหา
    ใช้รายการโอเพ่นซอร์สของเว็บไซต์ที่เผยแพร่ภาพ AI จำนวนมาก

    ผู้ใช้สามารถเปิดฟีเจอร์ได้ในหน้า “ค้นหารูปภาพ” หรือที่หน้าการตั้งค่าบัญชี
    มีเมนู drop-down สำหรับเลือกระดับการกรอง

    DuckDuckGo เปิด URL เวอร์ชัน “No AI” สำหรับค้นหาที่ไม่มี AI summary
    รวมถึงตัดเนื้อหาที่เกี่ยวกับ AI ทั้งหมดออก

    บริษัทเชื่อว่า AI ควรเป็นสิ่ง “ส่วนตัว มีประโยชน์ และไม่บังคับใช้”
    ผู้ใช้ควรเป็นผู้ตัดสินใจว่าอยากเห็นหรือไม่อยากเห็น AI

    DuckDuckGo ไม่เก็บประวัติการสนทนา AI และไม่ใช้เพื่อฝึกโมเดลใหม่
    ให้บริการ ChatGPT ผ่านแพลตฟอร์ม Duck.ai แบบไม่ระบุตัวตน

    https://www.techspot.com/news/108723-duckduckgo-can-now-hide-ai-generated-images-while.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเว็บ: DuckDuckGo ยอมให้ผู้ใช้เลือก “ไม่เห็น AI” ได้แล้ว ในยุคที่ Generative AI ผลิตภาพได้เป็นพันล้านภาพต่อวัน ภาพจาก AI ถูกใช้ปะปนกับภาพจริงในทุกเว็บไซต์ ตั้งแต่รูปสินค้า ไปจนถึงภาพข่าว ส่งผลให้หลายคนสับสนว่า “สิ่งที่เห็นนั้นเชื่อถือได้แค่ไหน” DuckDuckGo ซึ่งเป็นเสิร์ชเอนจินที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้ซ่อนภาพที่สร้างโดย AI จากผลการค้นหาได้ทันที โดยใช้รายการเว็บไซต์ที่มีภาพ AI จำนวนมาก ซึ่งรวบรวมแบบโอเพ่นซอร์ส เช่นรายการที่ uBlock Origin และ uBlacklist ใช้อยู่ นอกจากนี้ DuckDuckGo ยังเปิด URL เวอร์ชันพิเศษชื่อ “No AI Search” ที่ตัดฟีเจอร์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ AI ออก เช่น AI summary และผลลัพธ์ที่มาจาก AI โดยตรง เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความบริสุทธิ์ของการค้นหาแบบเก่า ✅ DuckDuckGo เปิดฟีเจอร์กรองภาพ AI ออกจากผลการค้นหา ➡️ ใช้รายการโอเพ่นซอร์สของเว็บไซต์ที่เผยแพร่ภาพ AI จำนวนมาก ✅ ผู้ใช้สามารถเปิดฟีเจอร์ได้ในหน้า “ค้นหารูปภาพ” หรือที่หน้าการตั้งค่าบัญชี ➡️ มีเมนู drop-down สำหรับเลือกระดับการกรอง ✅ DuckDuckGo เปิด URL เวอร์ชัน “No AI” สำหรับค้นหาที่ไม่มี AI summary ➡️ รวมถึงตัดเนื้อหาที่เกี่ยวกับ AI ทั้งหมดออก ✅ บริษัทเชื่อว่า AI ควรเป็นสิ่ง “ส่วนตัว มีประโยชน์ และไม่บังคับใช้” ➡️ ผู้ใช้ควรเป็นผู้ตัดสินใจว่าอยากเห็นหรือไม่อยากเห็น AI ✅ DuckDuckGo ไม่เก็บประวัติการสนทนา AI และไม่ใช้เพื่อฝึกโมเดลใหม่ ➡️ ให้บริการ ChatGPT ผ่านแพลตฟอร์ม Duck.ai แบบไม่ระบุตัวตน https://www.techspot.com/news/108723-duckduckgo-can-now-hide-ai-generated-images-while.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    DuckDuckGo can now hide AI-generated images while searching the web
    DuckDuckGo recently introduced a new setting to help users manage the flood of AI-generated content cluttering search results. The alternative search engine now offers a quick way...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก Radeon: 5 ปีของ GPU สายกลางจาก AMD ที่ขาดแรงกระตุ้น

    TechSpot ทดสอบ GPU จาก 4 รุ่นในกลุ่ม “60-class” ของ AMD ได้แก่:
    - RX 5600 XT (2020)
    - RX 6600 (2021)
    - RX 7600 (2023)
    - RX 9060 XT 8GB (2025)

    เพื่อดูว่าที่ผ่านมา AMD พัฒนาอะไรบ้างในตลาด GPU ราคา $300 ซึ่งเคยมีความหมายสำคัญต่อกลุ่มผู้เล่นเกมระดับกลาง

    ผลทดสอบจาก 7 เกม ได้แก่ Rainbow Six Siege, Horizon Zero Dawn Remastered, Cyberpunk 2077: Phantom Liberty, Warhammer 40K: Space Marine II, Tomb Raider, Call of Duty: Black Ops 6 และ Kingdom Come: Deliverance II พบว่า:

    RX 6600 ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5600 XT (เฉลี่ยเพียง 11–20%)
    RX 7600 ค่อยยังชั่ว เพิ่มจาก 6600 ได้ประมาณ 30%
    RX 9060 XT 8GB คือจุดเปลี่ยนที่น่าประทับใจด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพจาก RX 7600 สูงถึง 40–50% ขึ้นอยู่กับเกมและคุณภาพกราฟิกที่ใช้

    แต่ถึง RX 9060 XT จะเร็วจริง ก็ยังมีข้อจำกัดเช่น VRAM เพียง 8GB และความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจาก Nvidia ในปี 2025 ยังคงต้องพิจารณา

    https://www.techspot.com/review/3016-amd-radeon-60-gpu-class/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Radeon: 5 ปีของ GPU สายกลางจาก AMD ที่ขาดแรงกระตุ้น TechSpot ทดสอบ GPU จาก 4 รุ่นในกลุ่ม “60-class” ของ AMD ได้แก่: - RX 5600 XT (2020) - RX 6600 (2021) - RX 7600 (2023) - RX 9060 XT 8GB (2025) เพื่อดูว่าที่ผ่านมา AMD พัฒนาอะไรบ้างในตลาด GPU ราคา $300 ซึ่งเคยมีความหมายสำคัญต่อกลุ่มผู้เล่นเกมระดับกลาง 📊 ผลทดสอบจาก 7 เกม ได้แก่ Rainbow Six Siege, Horizon Zero Dawn Remastered, Cyberpunk 2077: Phantom Liberty, Warhammer 40K: Space Marine II, Tomb Raider, Call of Duty: Black Ops 6 และ Kingdom Come: Deliverance II พบว่า: ➡️ RX 6600 ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5600 XT (เฉลี่ยเพียง 11–20%) ➡️ RX 7600 ค่อยยังชั่ว เพิ่มจาก 6600 ได้ประมาณ 30% ➡️ RX 9060 XT 8GB คือจุดเปลี่ยนที่น่าประทับใจด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพจาก RX 7600 สูงถึง 40–50% ขึ้นอยู่กับเกมและคุณภาพกราฟิกที่ใช้ แต่ถึง RX 9060 XT จะเร็วจริง ก็ยังมีข้อจำกัดเช่น VRAM เพียง 8GB และความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจาก Nvidia ในปี 2025 ยังคงต้องพิจารณา https://www.techspot.com/review/3016-amd-radeon-60-gpu-class/
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD Stagnation: Five Years of Mainstream Radeon GPUs Tested
    Let's put four generations of AMD Radeon GPUs to the test to see how the $300 segment has evolved over the past five years. From the 5600...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • Every day, millions of people across India eagerly await the results of Lottery Sambad, hoping for a lucky break that could change their lives. Especially popular in states like Nagaland, West Bengal, and Sikkim, this government-authorized lottery has become more than just a game — it’s a symbol of hope for many.

    With three daily draws at 1 PM, 6 PM, and 8 PM, Lottery Sambad offers multiple chances to win. Tickets are affordable, often priced at just a few rupees, making it accessible to people from all walks of life. For many, buying a ticket is a small gesture of belief — a chance to dream big.
    https://sambadlottery.co/
    Winners can take home anything from a few hundred rupees to a life-changing sum of ₹1 crore. The results are published online and in newspapers, and for some, checking them becomes a daily ritual.

    While the thrill of winning is exciting, it's important to play responsibly. After all, the heart of Lottery Sambad lies in the joy of dreaming — and the hope that tomorrow might just be your lucky day.
    Every day, millions of people across India eagerly await the results of Lottery Sambad, hoping for a lucky break that could change their lives. Especially popular in states like Nagaland, West Bengal, and Sikkim, this government-authorized lottery has become more than just a game — it’s a symbol of hope for many. With three daily draws at 1 PM, 6 PM, and 8 PM, Lottery Sambad offers multiple chances to win. Tickets are affordable, often priced at just a few rupees, making it accessible to people from all walks of life. For many, buying a ticket is a small gesture of belief — a chance to dream big. https://sambadlottery.co/ Winners can take home anything from a few hundred rupees to a life-changing sum of ₹1 crore. The results are published online and in newspapers, and for some, checking them becomes a daily ritual. While the thrill of winning is exciting, it's important to play responsibly. After all, the heart of Lottery Sambad lies in the joy of dreaming — and the hope that tomorrow might just be your lucky day.
    SAMBADLOTTERY.CO
    Lottery Sambad Today Result
    Welcome to sambadLottery.co, the best place to see and download Lottery Sambad today result in various formats including PDF and Image. We provide fastest
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • ** เลขปริศนาจาก <ปรปักษ์จำนน>**

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> คงจำได้ว่าพระเอกมีกล่องไม้ใบหนึ่งที่หวงมาก ห้ามนางเอกแตะต้อง และในซีรีส์นางเอกแสดงการปลดผนึกตัวล็อกของกล่องได้อย่างรวดเร็ว มือทำไปปากก็อธิบายไปว่าล็อก ‘จิ่วกง’ หรือ ‘จิ่วกงสั่ว’ นี้ประกอบด้วยชิ้นต่างๆ ที่แทนตัวเลข มีใจกลางเป็นเลข 5 ไม่ว่าจะบวกเลขในทิศทางใดก็จะได้ผลลัพท์เท่ากับ 15 พร้อมกับบอกว่าใครที่ได้เรียนคณิตศาสตร์มาก็ต้องทำได้

    บวกเลขขั้นพื้นฐาน ใครๆ ก็ทำได้ แต่เชื่อว่าพวกเรานึกภาพไม่ออกว่าคือภาพเลขอะไร วันนี้มาเฉลยค่ะ

    เขียนไปก็อ่านลำบาก ดูรูปประกอบ 2 เลยค่ะว่ามันคือภาพเลขอะไร ... เลขชุดนี้มีความพิเศษอย่างที่นางเอกว่า คือตรงกลางเป็นเลข 5 และเมื่อเอาเลขสามตัวมาบวกกันตามแนวต่างๆ จะได้ค่า 15 นั่นเอง และเลขชุดพิเศษตามภาพนี้เรียกว่า ‘จิ่วกงเก๋อ’ (九宫格) หรือ ‘จิ่วกงถู’ (九宫图) ถูกนำมาประดิษฐ์เป็นปริศนากระดานเลขให้เด็กเล่นเพื่อฝึกปรือทักษะการคำนวณและมีการพัฒนาความยากขึ้นไปอีกหลายขั้นจนเกิน 3x3 ช่องตามโบราณ

    เลขชุดเก้าช่องตามที่แสดงในรูปประกอบนี้พัฒนามาจากภาพวาดสองรูปในสมัยบรรพกาลคือ ‘เหอถู’ (河图) และ ‘ลั่วซู’ (洛书) (ดูรูปประกอบ 3) ที่มาของมันยังคงเป็นปริศนา แต่ตามตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งต้าอวี่ช่วยโลกจากน้ำท่วมครั้งใหญ่เสร็จแล้วนั้น มีเต่ายักษ์โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำลั่ว บนกระดองหลังเต่าสลักลายจุดไว้ ถูกจำลองขึ้นมาเป็นภาพวาด ต่อมาเรียกรวมกันว่าเหอถูและลั่วซู บ้างก็ว่าทั้งสองภาพนี้เป็นการบันทึกการเรียงตัวของดาวโดยชนรุ่นบรรพกาล

    แต่ไม่ว่าเหอถูและลั่วซูจะมีที่มาอย่างไร สองภาพนี้ถูกศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดมาตลอดทุกยุคทุกสมัยจนแตกแขนงเป็นหลายวิชา เช่น คณิตศาสตร์ โหราศาสตร์และดาราศาสตร์ ฯลฯ จนมีคำกล่าวว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนอยู่ในสองภาพนี้ และมีการเอ่ยพาดพิงถึงสองภาพนี้ในหลายเอกสารโบราณ จวบจนปัจจุบันก็ยังมีการใช้คอมพิวเตอร์พัฒนาอัลกอริทึม (algorithm) ตามหลักการของเลขชุดจิ่วกงถูนี้ แต่จนใจที่เนื้อหานั้นยากเกินกว่าที่ Storyฯ จะเข้าใจและเอามาอธิบายต่อให้เพื่อนเพจฟังได้

    มีคนไปวิเคราะห์ความน่าทึ่งของตัวเลขจิ่วกงถูนี้เพิ่มเติม (ดูรูปประกอบ 4) จะเห็นว่าหากนับวนไปเรื่อยๆ มันจะมีค่าเท่ากันทุกแถว เพื่อนเพจที่ชอบการคำนวณลองไปทำต่อเพิ่มเติมว่าวนไปอีกหลายๆ หลักจะยังได้ผลลัพธ์เท่ากันเหมือนกันหมดหรือไม่ ทำแล้วมาบอกกล่าวกันหน่อยนะคะ

    และในเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> นี้ กล่องดังกล่าวมีตัวล็อกที่จะปลดได้ด้วยการแก้ปริศนาบนฝากล่องซึ่งมีเก้าช่องเหมือนกระดานเกมปัจจุบัน ล็อกดังกล่าวนี้จึงเรียกว่า ‘จิ่วกงสั่ว’ (九宫锁) นั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊กด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://www.marieclaire.com.tw/entertainment/tvshow/86397
    http://www.yrcc.gov.cn/hhwh/wxyc/202503/t20250320_440769.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/河图/7525
    http://www.360doc.com/content/21/0223/10/49937858_963504002.shtml

    #ปรปักษ์จำนน #จิ่วกงสั่ว #เลขปริศนา #จิ่วกงเก๋อ #เหอถู #ลั่วซู #สาระจีน
    ** เลขปริศนาจาก <ปรปักษ์จำนน>** สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> คงจำได้ว่าพระเอกมีกล่องไม้ใบหนึ่งที่หวงมาก ห้ามนางเอกแตะต้อง และในซีรีส์นางเอกแสดงการปลดผนึกตัวล็อกของกล่องได้อย่างรวดเร็ว มือทำไปปากก็อธิบายไปว่าล็อก ‘จิ่วกง’ หรือ ‘จิ่วกงสั่ว’ นี้ประกอบด้วยชิ้นต่างๆ ที่แทนตัวเลข มีใจกลางเป็นเลข 5 ไม่ว่าจะบวกเลขในทิศทางใดก็จะได้ผลลัพท์เท่ากับ 15 พร้อมกับบอกว่าใครที่ได้เรียนคณิตศาสตร์มาก็ต้องทำได้ บวกเลขขั้นพื้นฐาน ใครๆ ก็ทำได้ แต่เชื่อว่าพวกเรานึกภาพไม่ออกว่าคือภาพเลขอะไร วันนี้มาเฉลยค่ะ เขียนไปก็อ่านลำบาก ดูรูปประกอบ 2 เลยค่ะว่ามันคือภาพเลขอะไร ... เลขชุดนี้มีความพิเศษอย่างที่นางเอกว่า คือตรงกลางเป็นเลข 5 และเมื่อเอาเลขสามตัวมาบวกกันตามแนวต่างๆ จะได้ค่า 15 นั่นเอง และเลขชุดพิเศษตามภาพนี้เรียกว่า ‘จิ่วกงเก๋อ’ (九宫格) หรือ ‘จิ่วกงถู’ (九宫图) ถูกนำมาประดิษฐ์เป็นปริศนากระดานเลขให้เด็กเล่นเพื่อฝึกปรือทักษะการคำนวณและมีการพัฒนาความยากขึ้นไปอีกหลายขั้นจนเกิน 3x3 ช่องตามโบราณ เลขชุดเก้าช่องตามที่แสดงในรูปประกอบนี้พัฒนามาจากภาพวาดสองรูปในสมัยบรรพกาลคือ ‘เหอถู’ (河图) และ ‘ลั่วซู’ (洛书) (ดูรูปประกอบ 3) ที่มาของมันยังคงเป็นปริศนา แต่ตามตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งต้าอวี่ช่วยโลกจากน้ำท่วมครั้งใหญ่เสร็จแล้วนั้น มีเต่ายักษ์โผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำลั่ว บนกระดองหลังเต่าสลักลายจุดไว้ ถูกจำลองขึ้นมาเป็นภาพวาด ต่อมาเรียกรวมกันว่าเหอถูและลั่วซู บ้างก็ว่าทั้งสองภาพนี้เป็นการบันทึกการเรียงตัวของดาวโดยชนรุ่นบรรพกาล แต่ไม่ว่าเหอถูและลั่วซูจะมีที่มาอย่างไร สองภาพนี้ถูกศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดมาตลอดทุกยุคทุกสมัยจนแตกแขนงเป็นหลายวิชา เช่น คณิตศาสตร์ โหราศาสตร์และดาราศาสตร์ ฯลฯ จนมีคำกล่าวว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนอยู่ในสองภาพนี้ และมีการเอ่ยพาดพิงถึงสองภาพนี้ในหลายเอกสารโบราณ จวบจนปัจจุบันก็ยังมีการใช้คอมพิวเตอร์พัฒนาอัลกอริทึม (algorithm) ตามหลักการของเลขชุดจิ่วกงถูนี้ แต่จนใจที่เนื้อหานั้นยากเกินกว่าที่ Storyฯ จะเข้าใจและเอามาอธิบายต่อให้เพื่อนเพจฟังได้ มีคนไปวิเคราะห์ความน่าทึ่งของตัวเลขจิ่วกงถูนี้เพิ่มเติม (ดูรูปประกอบ 4) จะเห็นว่าหากนับวนไปเรื่อยๆ มันจะมีค่าเท่ากันทุกแถว เพื่อนเพจที่ชอบการคำนวณลองไปทำต่อเพิ่มเติมว่าวนไปอีกหลายๆ หลักจะยังได้ผลลัพธ์เท่ากันเหมือนกันหมดหรือไม่ ทำแล้วมาบอกกล่าวกันหน่อยนะคะ และในเรื่อง <ปรปักษ์จำนน> นี้ กล่องดังกล่าวมีตัวล็อกที่จะปลดได้ด้วยการแก้ปริศนาบนฝากล่องซึ่งมีเก้าช่องเหมือนกระดานเกมปัจจุบัน ล็อกดังกล่าวนี้จึงเรียกว่า ‘จิ่วกงสั่ว’ (九宫锁) นั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊กด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.marieclaire.com.tw/entertainment/tvshow/86397 http://www.yrcc.gov.cn/hhwh/wxyc/202503/t20250320_440769.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/河图/7525 http://www.360doc.com/content/21/0223/10/49937858_963504002.shtml #ปรปักษ์จำนน #จิ่วกงสั่ว #เลขปริศนา #จิ่วกงเก๋อ #เหอถู #ลั่วซู #สาระจีน
    WWW.MARIECLAIRE.COM.TW
    《折腰》5大幕後真相曝光:劉宇寧帶傷上陣,宋祖兒獲封「天選小喬」,女主首選竟是趙露思
    劉宇寧、宋祖兒《折腰》曾榮登「網友最期待古裝劇」冠軍,開播後果然不負眾望,收視與口碑雙雙飆高。劉宇寧成功擺脫古裝醜男標籤,獲讚「天選魏劭」;這兩年深陷逃稅風波的宋祖兒,也以聰慧絕美「小喬」華麗回歸,再掀話題熱潮。
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts