• ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 1

    หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse

    Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ

    Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน

    Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย

    ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า
    แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป

    เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน

    ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง

    ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล

    ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด

    ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita

    ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส
    ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 2

    Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า
    ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง”

    หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า

    “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง”

    New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild
    หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย

    Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย

    Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย

    เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild

    ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน

    J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า

    Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก
    ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา

    เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ

    แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน !

    คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง
    Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง !
    Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม”

    ตอน 3

    แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย

    Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม

    Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
    (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน)

    เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย

    สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5)

    แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ

    จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – โคตรเหี้ยม 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 1 หนังสือ Forbes Magazine ฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 1983 เขียนว่า “ครึ่งหนึ่ง ของ 10 อันดับแรก ของธนาคารเยอรมันนั้น ตั้งอยู่ที่ Frankfurt และระบบการเงินของโลกปัจจุบัน ซึ่งพัฒนามาจากระบบการเก็บภาษี และวิธีการจ่ายเงิน ที่ใช้ในสมัย Babylon ก็เกิดขึ้นครั้งแรกที่เมือง Frankfurt-on-Main ซึ่งอยู่ในแคว้น Hesse Mayer Amschel Bauer ค้นพบว่า แม้ว่าการให้เงินกู้กับชาวนาหรือธุรกิจเล็กๆ จะทำกำไรได้ แต่กำไร ที่เป็นกอบเป็นกำกว่าแยะ คือกำไร ที่ได้มาจากการให้เงินกู้กับรัฐบาลต่างๆ Mayer Amschel เกิดที่เมือง Frankfurt ในปี ค.ศ. 1743 เขาแต่งงานกับ Gutta Schnapper เขาฝึกงานอยู่ที่ธนาคาร Oppenheim เมือง Hannover อยู่ 3 ปี ระหว่างนั้นเขาได้มีโอกาสดูแลและบริการ Baron Von Estorff ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใหญ่ให้กับ Landgrave Frederick ที่ II แห่ง Hesse ซึ่งเป็นคนรวยที่สุดในยุโรปขณะนั้น Frederick มีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 70 ถึง 100 ล้านฟลอริน (florins) ซึ่งเป็นมรดกที่ได้มาจากพ่อคือ Wilhelm ที่ 8 น้องชายของกษัตริย์สวีเดน Boron Von Estorff บอกกับ Landgrave ว่า Mayer Amschel นี้ ฉลาดเป็นกรด ในการคิดวิธีการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีเยี่ยม Landgrave บอก ไปตามตัว Mayer Amschel มาพบเราเดี๋ยวนี้เลย ช่วงเวลาเดียวกัน George ที่ 3 กษัตริย์ของอังกฤษกำลังปวดหัว กับการกระด้างกระเดื่องของคนอเมริกัน ซึ่งอังกฤษถือว่า ยังเป็นเมืองขึ้นของตนอยู่ จึงคิดส่งทหารไปปราบคนอเมริกัน ซึ่งถนัดสู้ในสนามรบที่เป็นที่ ทุ่งกว้าง Mayer Amschel ได้โอกาส จึงเสนอให้ Landgrave รับจ้าง Goerge ที่ 3 ที่จะหาหนุ่มล่ำชาว Hesse 16,800 คน ไปช่วยรบ การรับจ้าง จัดหาคนไปรบให้อังกฤษครั้งนี้ ทำให้ Landgrave รวยขึ้นอีกแยะ แต่ Mayer Amschel รวยขึ้นในจำนวนมากกว่า แต่แผนการทำมาหากินของ Mayer Amschel กับ Landgrave ก็จบลงเร็ว เพราะ Landgrave อายุสั้น ตายเมื่ออายุเพียง 25 ปี Mayer Amschel จึงย้ายไปเกาะพี่ชายของ Landgrave คือ Elector Wilhelm ที่ 1 ซึ่งเกิดปีเดียวกับ Mayer Amschel และดูเหมือนจะเป็นลูกค้า (หรือ เหยื่อ) รายใหม่ ที่ทำให้ Mayer Amschel รุ่งเรืองกว่า เพราะอยู่ในมือของเขามากกว่าน้องชาย ซึ่งเอาใจ (หรือต้ม) ยากกว่า การตายกระทันหันของ Landgrave ดูเหมือนจะทำให้ Mayer Amschel ได้กลายเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินกองใหญ่ที่สุดในยุโรป เมื่อร่ำรวยขึ้น (อย่างมาก) Mayer Amschel ก็เอาโล่ห์แดง ติดไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ในเมือง Judengasse ซึ่งเขาแบ่งกันอยู่กับครอบครัว Schiff และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Rothschild” ตามป้ายชื่อ เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ตายในปี ค.ศ 1812 เขาทิ้งสมบัติประมาณ 1,000 ล้านแฟรงค์ ให้แก่ลูกชายของเขา ที่มีอยู่ 5 คน ลูกคนโต Anselm ได้รับมอบหมายให้ดูแลธนาคารที่ Frankfurt แต่ Anselm ไม่มีลูก เมื่อเขาตาย ธนาคารนี้จึงถูกปิดลง ลูกคนที่ 2 Solomon ถูกส่งไป Vienna ที่ ออสเตรีย เพื่อดูแลธุรกิจการธนาคาร ซึ่งเคยถูกผูกขาดอยู่ในมือของชาวยิวเพียง 5 ตระกูล ลูกคนที่ 3 Nathan ตั้งสาขา London หลังจากไปทำกำไรจากธุรกิจสิ่งทอในเมือง Manchester ซึ่งทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นบุคคล ที่วงการธุรกิจเกรงกลัว และเกลียดที่สุด ลูกคนที่ 4 Karl ไปเมือง Naples ที่อิตาลี และได้เป็นหัวหน้าองค์กรลึกลับ ชื่อ Alta Vendita ลูกคนที่ 5 James ตั้ง House of Rothschild สาขาปารีส ที่ฝรั่งเศส ลูกทั้ง 5 คนของ Mayer Amschel เริ่มปฎิบัติภาระกิจ ตามที่พ่อมอบหมายคือ ครอบงำรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่พวกเขากระจายกันอยู่ โดยการให้กู้เงินแก่รัฐบาลเหล่านั้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า ลูกธนู 5 ดอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 2 Federic Morton เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเรื่อง “The Rothschilds” ว่า ” เป็นเวลานานติดต่อกันกว่า 150 ปี ที่ตระกูล Rothschild เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก การไม่ปล่อยเงินกู้ให้แก่เอกชน แต่ปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศต่างๆ แทน ทำให้พวกเขาได้กำไรอย่างสูงยิ่ง มีบางคนเคยพูดว่า ความรวยของตระกูล Rothschild มาจากการล้มละลายของหลายประเทศนั่นเอง” หนังสือพิมพ์ Chicago Evening American ของตระกูล Hearst เศรษฐีอีกคนหนึ่งของอเมริกา ฉบับลงวันที่ 3 ธันวาคม 1923 เขียนว่า “พวก Rothschild จะ เป็นผู้เริ่มสงคราม หรือเป็นผู้ระงับสงครามก็ได้ พวกเขาสามารถสร้าง หรือ ทำลาย อาณาจักรใดก็ได้ การล้มละลายของนโปเลียน เป็นการเกิดขึ้นของพวก Rothschild นโปเลียนถูกวางยาพิษทีละน้อย จนถึงแก่ความตายในที่สุด (นโปเลียนเป็นโรคปวดท้องเป็นประจำ รูปภาพของนโปเลียนส่วนมาก จะเห็นเอามือสอดเข้าไปในเสื้อ เพื่อกดท้องที่ปวดอยู่เสมอ) ผู้ที่วางยาพิษก็คือสายลับของตระกูล Rothschild นั่นเอง” New York Evening Post วันที่ 22 กรกฎาคม 1924 ระบุว่า Kaiser ของเยอรมัน ต้องหารือกับ Rothschild เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควรทำสงครามหรือไม่ นายกรัฐมนตรีของ Kaiser คือ Bethmann Hollweg ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เยอรมันถล่ำตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เป็นสมาชิกของตระกูล Bethmann เจ้าของธนาคารที่อยู่ใน Frankfurt และเป็นญาติกับ Rothschild หลังจากนโปเลียนถูกกำจัดพ้นทางไป ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลืออยู่ในสายตาของ Rothschild คือ ราชวงศ์ของอังกฤษ ราชวงศ์ของเยอรมัน และราชวงศ์ของรัสเซีย Rothschild เล็งเป้าแรก ไปที่ราชวงศ์ Romanov ของรัสเซีย ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยมาก และลงทุนไว้ทั่วทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่ที่สำคัญ เป็นราชวงศ์ที่ Rothschild เกลียดที่สุด และแสดงความเกลียดอย่างเปิดเผย Tsar Nicholas ที่ I ก็ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิวและแสดงความไม่ชอบอย่างเปิดเผย ด้วยการพยายามผลักดัน ไปจนถึงขับไล่ ให้พวกยิวออกไปจากรัสเซีย แต่มีพวกยิวทำมาหากินอยู่ในรัสเซียมากมาย ขณะเดียวกันพวกยิวก็อ้างว่า Tsar นั้น ทารุณข่มเหงยิวอย่างรุนแรง Rothschild ซึ่งพื้นเพเป็นชาวยิว จึงวางแผนอย่างรอบคอบก่อนจะเข้าไปค้าขาย หรือทำลายอาณาจักรรัสเซีย เงินกู้จาก Bank of England 800,000 ปอนด์ ที่ยื่นให้กับนาย Peabody ในปี 1853 จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Peabody และ Morgan มีภาพเป็นอเมริกัน ไม่มีกลิ่นยิวเจือปน เงื่อนไข 4 ข้อ ของ Peabody เมื่อ ตอนจะหาทายาทมารับช่วงธุรกิจของเขา น่าจะเป็นของเขาเพียงข้อสุดท้าย ส่วน 3 ข้อแรก คงเป็นเงื่อนไขของนายทุนตัวจริง ที่ต้องการให้ J P Morgan ถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นอังกฤษแท้ แม้จะมีหน้าเป็นบริษัทอเมริกัน แต่ก็ต้องออกกลิ่นอังกฤษปน นับเป็นการมองการณ์ไกลอย่างยิ่งของ เจ้าพ่อ Rothschild ธุรกิจเงินทุนไม่ว่าจะในตลาด London หรือ Wall Street มีลูกค้าหลากหลาย บางรายอยากค้าแต่กับพวกยิวด้วยกัน บางรายก็ขออย่าให้พวกยิวมาเข้าใกล้ Rothschild เป็นยิวที่ “รู้จัก” ลูกค้าของตัวเองดี ใครอยากได้เงินกลิ่นไหน เขาจัดการให้ได้ก็แล้วกัน J. P Morgan จึงมีไว้สำหรับพวกไม่เอายิว พวกหัวสูงไฮโซ รัฐบาลของทั้งอังกฤษ และอเมริกา และสำหรับพวกที่อยากจะคุยแต่กับ พวกยิวด้วยกัน ก็มี Kuhn Loeb ของ Jacob Schiff เพื่อนบ้านที่โตมาด้วยกัน และที่ Rothschild เป็นผู้ลงทุน และให้ Schiff เป็นคนออกหน้า Rothschild ยังมีคนออกหน้า ให้เขาหนุนอีกหลายราย โดยไม่มีใครรู้ เขาน่าจะเป็นคนเล่นซ่อนแอบเก่งตั้งแต่เด็ก ประมาณปี ค.ศ. 1850 กว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ Tsar Nicholas ที่ I ปกครองรัสเซีย Alfonse Rothschild หูไว จมูกไว รู้ว่ารัสเซียมีแหล่งน้ำมันแยะ เขาจึงเข้าไปลงทุนที่ Baku ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐ Azerbaijun ประมาณปีค.ศ 1870 ถึงปี ค.ศ. 1880 เขามีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มส่งน้ำมันไปทั่วยุโรปผ่าน ตะวันออกกลาง ทางรถไฟ Baku – Batumi ทำท่าว่าจะสั้นไป สำหรับการส่งน้ำมัน เขาต้องหาทางเส้นทางใหม่ คลองสุเอชยาวถึง 4,000 ไมล์ น่าสนใจ แต่มันยังอยู่ในความดูแลของฝรั่งเศส แล้วเขาก็วางแผนเรื่อง Palestine ซึ่งจะต้องมีคนของพวกเขาไปอยู่ที่นั่น เพื่อดูแลผลประโยชน์แถวนั้นของพวกเขา เมื่อรัฐบาลอียิปต์ล้มละลายในปี ค.ศ. 1874 อังกฤษตกลงซื้อคลองสุเอชมาจากรัฐบาล อียิปต์ ด้วยเงินกู้ของ Rothschild ทั้งหมด ในการประชุมผู้ถือหุ้น Suez Canal บริษัทการเงินกลุ่มของ Rothschild ฝั่งอังกฤษ เช่น Baring Brothers, Morgan Grenfell และ Lazard Brothers นั่งเคียงรัฐบาลอังกฤษ แม้ว่าจะถูกกดดันจาก Tsar Nicholas เรื่องยิว แต่ Rothschild ก็ยังขุดน้ำมันต่อ แค่นั้นรู้สึกจะยังไม่เป็นการท้าทาย Tsar ถึงใจ ขณะนั้น Standard Oil ของ Rockefeller ก็ไปขุดน้ำมันที่ Baku ด้วย ยักษ์ใหญ่เจอกัน แม้ตอนแรกจะตีกัน แต่เพื่อผลประโยชน์ ยักษ์เปลี่ยนใจมาจับมือกัน วางแผนแบ่งเขตขุดน้ำมันกัน ตกลงกันเองเสร็จ เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน มันทำอย่างนี้มาร้อยกว่าปีแล้ว สมันน้อย เข้าใจไหม พวกมันไม่เคยเห็นหัวเจ้าของแผ่นดิน ! คราวนี้ Tsar Nicholas ที่ II ซึ่งขึ้นมาครองราชย์แทนพ่อ และดำเนินตามนโยบายของพ่อที่ให้ย ิวออกไปจากรัสเซีย ไม่ยอมให้ Rothschild เฉี่ยวหัว ยื่นเงื่อนไขกลับไปที่ Rothschild ถ้าจะขุดน้ำมันต่อ ก็อพยพเอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียด้วย Rothschild ตอบเงื่อนไขของ Tsar ด้วยการขายหุ้นบริษัทของตัว ที่กำลังขุดน้ำมันที่ Baku ทิ้ง Rothschild เลือกยิว หรือเลือกหักหน้า Tsar Nicholas นั่นเอง ! Rothschild ขายหุ้นทั้งหมดที่ตระกูลถืออยู่ในธุรกิจน้ำมันที่ Baku ให้ Royal Dutch Shell เพราะ Rothschild “ประเมิน” ว่าอีกไม่นานเกินรอ การเมืองในรัสเซียน่าจะเกิดปัญหาใหญ่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 8 “โคตรเหี้ยม” ตอน 3 แม้จะรู้ว่าคนอังกฤษ ชื่นชมเงินของเขา มากกว่าตัวและเทือกเถายิวของเขา Rothschild ก็คบคนอังกฤษ และสนับสนุนการเงินให้ โดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของเขาและ ทำให้ตระกูลเขา มีอิทธิพล เหนือรัฐบาล รวมทั้งราชวงศ์อังกฤษด้วย Cecil Rhodes ชาวอังกฤษนักผจญภัย และนักล่าอาณานิคมตัวจริง เข้าไปทำเหมืองทองและ เหมืองเพชรที่ South Africa ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1889 โดยมี Rothschlid เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน เหมืองทองที่ Rhodes ขุดได้ ส่งมาที่อังกฤษ หลอมเป็นแท่งเก็บเป็นทองสำรองของ Bank of England ที่มี Rothschild เป็นตัวแทน กำไรท่วม ตอนหลัง Rhodes เข้าไปทำสงครามกับพวก Boers (คนดัชท์ ที่ไปตั้งรกรากใน South Africa) Rothschild ขนกองทัพของอังกฤษไปช่วยปล้นต่อ ถือเป็นวีรกรรมความชั่ว ที่ประวัติศาสตร์ของคน South Africa ไม่คิดลืม Rhodes มีความฝันที่จะให้อังกฤษแผ่อาณาจักรและอิทธิพลไปทั่วโลก อาณานิคมทั้งปวงจะต้องอยู่ภายใต้ระบบอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเงิน การค้า หรือการศึกษา และที่สำคัญ ทำให้อเมริกา กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย เขาตั้งสมาคมลับชื่อ the Round Table กับพรรคพวก ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น Lord Alfred Milner, Lord Balfour , Lord Albert Grey และนอกจากนั้น เขาทำพินัยกรรม ยกทรัพย์สินจำนวนมากมหาศาลทั้งหมดของเขา ตั้งเป็นกองทุนชื่อ Rhodes Trust เพื่อดำเนินการตามวัถตุประสงค์ พร้อมให้ทุนการศึกษากับ พวก Anglo Saxon ที่มีแววว่าจะสืบทอดอุดมการณ์ของเขาได้ ทุนนี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ (อดีตประธานาธิบดี Bill Clinton ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับทุน Rhodes ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของอังกฤษ แต่เขาไม่เรียนจนจบ เปลี่ยนใจกลับมาเรียนที่ มหาวิทยาลัย Yale แทน) เมื่อ Rhodes ตาย ผู้ที่เป็นหัวหน้า the Round Table ต่อมา และดูแลกองทุนของ Rhodes คือ Lord Alfred Milner ที่มีอำนาจไม่น้อยกว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George และ Rothschild ก็มีชื่อ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลกองทุนนี้ด้วย สมาชิก Round Table เกือบทั้งหมด มีตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลอังกฤษ ทั้งตำแหน่งใหญ่มาก และใหญ่น้อย และเป็นที่ปรึกษาสำคัญของราชวงศ์ เช่น Lord Esher ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเมือง ให้ราชวงศ์อังกฤษ ประมาณ 25 ปี ตั้งแต่ คศ 1895 ถึง 1920 (สมัย พระนาง Victoria , กษัตริย์ Edward ที่ 7 และ กษัตริย์ George ที่ 5) แม้ก่อนทำสงครามโลก อังกฤษจะ จับมือรัสเซีย เอามาอยู่ข้างเดียวกันเพื่อรบกับเยอรมัน และแม้รัสเซียจะมีกษัตริย์ปกครอง เช่นเดียวกับอังกฤษและเยอรมัน แถมเป็นญาติกันอีก โดยซารินา ราชินีของรัสเซีย เป็นหลานยายของพระนางวิกตอเรีย แต่ดูเหมือนราชวงศ์ของรัสเซีย จะสนิทใกล้ชิดกับเยอรมันมากกว่าอังกฤษ และด้วยนิสัยขี้ระแวงของอังกฤษ อังกฤษจึงไม่ค่อยวางใจ ในจุดยืนของราชวงค์โรมานอฟของรัสเซีย ดังนั้น ถ้าจะให้เลือกใครมาปกครองรัสเซีย อังกฤษคงเลือกผู้ที่อังกฤษคิดว่า ควบคุมได้ และเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษ จึงไม่เป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ที่ Round Table จะสนับสนุนให้รัฐบาลอังกฤษ รับรองพวก Bolsheviks อาจมีคนคิดว่าข่าวกรองของ Round Table ไม่แม่นยำหรือไง ไม่รู้ว่า พวก Bolsheviks นั้น มีทั้งฝ่ายที่อเมริกาสนับสนุน และฝ่ายที่เยอรมันสนับสนุน Round Table น่าจะรู้ดีว่าใครกันแน่ ที่คุม หรือชักใย รัฐบาลเยอรมันขณะนั้น ขณะเดียวกัน การเดินตามอเมริกาสนับสนุนปฏิวัติกำมะลอ ของ Bolsheviks ก็น่าจะเป็นเรื่องหมาป่าอังกฤษ จับมือ หรือตามประกบหมาป่าอเมริกัน ในการออกล่ารัสเซียนั่นเอง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • TrashBench ใช้น้ำยาหล่อเย็นรถยนต์ทำลายสถิติ Overclock บน Intel Arc B580 ด้วยอุณหภูมิ -17°C

    นักโอเวอร์คล็อกชื่อ TrashBench สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แช่แข็งแทนไนโตรเจนเหลว เพื่อดันประสิทธิภาพของ Intel Arc B580 จนทำลายสถิติระดับโลก!

    TrashBench ไม่ได้ใช้วิธีสุดล้ำอย่างไนโตรเจนเหลว แต่กลับเลือกวิธีบ้านๆ ที่ได้ผลเกินคาด — เขาใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบ 50/50 glycol mix ที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นจนได้อุณหภูมิ -17°C แล้วนำไปหมุนเวียนผ่านชุดระบายความร้อนของการ์ดจอ Intel Arc B580

    ผลลัพธ์คือความเร็ว GPU พุ่งจาก 2,850 MHz (แบบเดิม) ไปถึง 3,316 MHz พร้อมคะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 12% และเฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% แม้ว่าอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้นระหว่างการทดสอบ

    เทคนิค Overclock แบบ DIY สุดแหวกแนว
    ใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แทนไนโตรเจนเหลว
    น้ำยา glycol mix แช่แข็งจนได้อุณหภูมิ -17°C
    GPU Intel Arc B580 ทำความเร็วได้ถึง 3,316 MHz
    คะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 (เพิ่มขึ้น 12%)
    เฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% เช่น Cyberpunk 2077, Forza Horizon 5, Monster Hunter Wilds
    ใช้ 3D printer สร้างขาเมาท์สำหรับบล็อกน้ำ
    น้ำยา antifreeze ยังคงสถานะของเหลวจนถึง -25°C

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Overclock
    การใช้ของเหลวแช่แข็งแบบบ้านๆ เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY
    การ์ดจอ Intel Arc B580 มีศักยภาพในการ Overclock สูง
    การระบายความร้อนแบบ sub-zero ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง
    TrashBench เป็นหนึ่งในนักโอเวอร์คล็อกที่เน้นวิธีสร้างสรรค์มากกว่าการใช้เงินเยอะ

    ข้อควรระวังในการทำตาม
    การใช้ของเหลวแช่แข็งต้องระวังการควบแน่นและไฟฟ้าลัดวงจร
    ต้องมีฉนวนกันความชื้นที่ดีเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย
    การใช้น้ำยารถยนต์อาจมีสารเคมีที่กัดกร่อนวัสดุบางชนิด
    ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่มีประสบการณ์ด้านฮาร์ดแวร์

    TrashBench พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความคิดสร้างสรรค์” สำคัญไม่แพ้ “งบประมาณ” ในโลกของการโอเวอร์คล็อก — และบางครั้งของที่มีอยู่ในโรงรถก็อาจพาคุณไปสู่สถิติโลกได้เลย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-overclocker-uses-car-coolant-and-pond-pump-to-cool-intel-arc-b580-achieves-17c-temperature-16-percent-performance-uplift-and-gpu-benchmark-record
    ❄️ TrashBench ใช้น้ำยาหล่อเย็นรถยนต์ทำลายสถิติ Overclock บน Intel Arc B580 ด้วยอุณหภูมิ -17°C นักโอเวอร์คล็อกชื่อ TrashBench สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แช่แข็งแทนไนโตรเจนเหลว เพื่อดันประสิทธิภาพของ Intel Arc B580 จนทำลายสถิติระดับโลก! TrashBench ไม่ได้ใช้วิธีสุดล้ำอย่างไนโตรเจนเหลว แต่กลับเลือกวิธีบ้านๆ ที่ได้ผลเกินคาด — เขาใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบ 50/50 glycol mix ที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นจนได้อุณหภูมิ -17°C แล้วนำไปหมุนเวียนผ่านชุดระบายความร้อนของการ์ดจอ Intel Arc B580 ผลลัพธ์คือความเร็ว GPU พุ่งจาก 2,850 MHz (แบบเดิม) ไปถึง 3,316 MHz พร้อมคะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐานถึง 12% และเฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% แม้ว่าอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้นระหว่างการทดสอบ ✅ เทคนิค Overclock แบบ DIY สุดแหวกแนว ➡️ ใช้ปั๊มน้ำบ่อปลาและน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แทนไนโตรเจนเหลว ➡️ น้ำยา glycol mix แช่แข็งจนได้อุณหภูมิ -17°C ➡️ GPU Intel Arc B580 ทำความเร็วได้ถึง 3,316 MHz ➡️ คะแนน 3DMark Time Spy สูงถึง 16,631 (เพิ่มขึ้น 12%) ➡️ เฟรมเรตในเกมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% เช่น Cyberpunk 2077, Forza Horizon 5, Monster Hunter Wilds ➡️ ใช้ 3D printer สร้างขาเมาท์สำหรับบล็อกน้ำ ➡️ น้ำยา antifreeze ยังคงสถานะของเหลวจนถึง -25°C ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Overclock ➡️ การใช้ของเหลวแช่แข็งแบบบ้านๆ เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่ม DIY ➡️ การ์ดจอ Intel Arc B580 มีศักยภาพในการ Overclock สูง ➡️ การระบายความร้อนแบบ sub-zero ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริง ➡️ TrashBench เป็นหนึ่งในนักโอเวอร์คล็อกที่เน้นวิธีสร้างสรรค์มากกว่าการใช้เงินเยอะ ‼️ ข้อควรระวังในการทำตาม ⛔ การใช้ของเหลวแช่แข็งต้องระวังการควบแน่นและไฟฟ้าลัดวงจร ⛔ ต้องมีฉนวนกันความชื้นที่ดีเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย ⛔ การใช้น้ำยารถยนต์อาจมีสารเคมีที่กัดกร่อนวัสดุบางชนิด ⛔ ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นหรือไม่มีประสบการณ์ด้านฮาร์ดแวร์ TrashBench พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความคิดสร้างสรรค์” สำคัญไม่แพ้ “งบประมาณ” ในโลกของการโอเวอร์คล็อก — และบางครั้งของที่มีอยู่ในโรงรถก็อาจพาคุณไปสู่สถิติโลกได้เลย https://www.tomshardware.com/pc-components/overclocking/gpu-overclocker-uses-car-coolant-and-pond-pump-to-cool-intel-arc-b580-achieves-17c-temperature-16-percent-performance-uplift-and-gpu-benchmark-record
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series

    ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro”

    Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด

    Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก

    Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB

    ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า

    เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico
    Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150
    Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M
    รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ
    พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ
    Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478)
    Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380)
    รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro
    เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming

    สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC
    แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน
    Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน
    Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก”
    Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง

    https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    🖥️ เปิดตัว Mini PC ดีไซน์ Apple แต่หัวใจ AMD: Orico Omini Series ลองนึกภาพว่า Mac Mini และ Mac Pro ถูกย่อส่วนลงมาในขนาดเล็กจิ๋ว แต่ภายในกลับขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AMD Ryzen แถมยังรองรับ Windows และ Linux ได้เต็มรูปแบบ — นี่คือสิ่งที่ Orico บริษัทเทคโนโลยีจากจีนกำลังนำเสนอผ่านซีรีส์ใหม่ “Omini Plus” และ “Omini Pro” Orico ซึ่งปกติเน้นผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ก้าวเข้าสู่ตลาด Mini PC ด้วยดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ภายในกลับเลือกใช้ขุมพลังจาก AMD Ryzen รุ่นใหม่ล่าสุด 💠 Omini Plus มาในทรงคล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 7535H (หรือชื่อใหม่ Ryzen 5 150) พร้อม RAM DDR5 16GB และ SSD 2TB ในตัว ขนาดเล็กเพียง 0.8 ลิตร แต่พอร์ตเชื่อมต่อจัดเต็มมาก 💠 Omini Pro ดูคล้าย Mac Pro ขนาดย่อ ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M รองรับ AI processing ด้วย NPU ในตัว และสามารถอัปเกรด RAM ได้สูงสุดถึง 256GB พร้อม SSD สูงสุด 8TB ทั้งสองรุ่นรองรับ Windows 11 และ Linux เหมาะกับสายทำงานที่ต้องการความแรงในขนาดกะทัดรัด และยังมีดีไซน์ที่ดูพรีเมียมแบบ Apple แต่ไม่ต้องจ่ายแพงเท่า ✅ เปิดตัว Mini PC สไตล์ Apple จาก Orico ➡️ Omini Plus ดีไซน์คล้าย Mac Mini ใช้ Ryzen 5 150 ➡️ Omini Pro ดีไซน์คล้าย Mac Pro ใช้ Ryzen 7 8845HS พร้อม GPU Radeon 780M ➡️ รองรับ Windows 11 และ Linux เต็มรูปแบบ ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: USB4, HDMI 2.1, DisplayPort, Ethernet ฯลฯ ➡️ Omini Plus ราคาเปิดตัวประมาณ $535 (พรีออเดอร์ $478) ➡️ Omini Pro เริ่มต้นที่ $435 (พรีออเดอร์ $380) ➡️ รองรับ AI processing ด้วย NPU ในรุ่น Pro ➡️ เหมาะกับงาน productivity และ casual gaming ✅ สาระเพิ่มเติมจากวงการ Mini PC ➡️ แนวโน้ม Mini PC ปี 2025 เน้นพลัง AI และประหยัดพลังงาน ➡️ Qualcomm และ Huawei ก็เปิดตัว Mini PC ที่บางเฉียบและแรงไม่แพ้กัน ➡️ Zotac แข่งเปิดตัว Mini PC ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” ➡️ Thunderbolt 5 eGPU Dock ใหม่สามารถติดตั้ง Mini PC ได้โดยตรง https://www.tomshardware.com/desktops/mini-pcs/apple-mac-pro-and-mac-mini-clones-launch-with-amd-ryzen-cpus-perfect-mini-pcs-for-those-who-love-apples-aesthetics-but-still-need-windows-or-linux
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน

    คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน!

    แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin

    นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ

    อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian
    มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน
    เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย

    จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ
    ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง
    ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ

    มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018
    จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ
    ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    💰 สะเทือนวงการคริปโต: จีน-อังกฤษร่วมมือคืน 61,000 Bitcoin ที่ถูกขโมย มูลค่ากว่า $6.7 พันล้าน แต่เหยื่ออาจไม่ได้คืนเต็มจำนวน คดีใหญ่สะเทือนโลกคริปโต เมื่อทางการอังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian หรือที่รู้จักในชื่อ Yadi Zhang “ราชินีบิตคอยน์” ผู้หลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 รายผ่านโครงการลงทุนปลอมระหว่างปี 2014–2017 โดยเงินที่ได้ถูกแปลงเป็นคริปโตและอสังหาริมทรัพย์เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ หลังจากการจับกุมและยึดกระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2018 ซึ่งตอนนั้น Bitcoin มีมูลค่าเพียง ~$3,300 ต่อเหรียญ มูลค่ารวมของเหรียญที่ยึดได้อยู่ที่ประมาณ $200 ล้าน แต่ในปี 2025 มูลค่าของ Bitcoin พุ่งทะลุ $110,000 ต่อเหรียญ ทำให้ยอดรวมพุ่งขึ้นเป็นกว่า $6.7 พันล้าน! แม้จะดูเหมือนข่าวดีสำหรับเหยื่อ แต่การคืนเงินกลับไม่ง่าย เพราะทางการจีนต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวงจริง ไม่ได้ปะปนกับเงินจากอาชญากรรมอื่น และทางการอังกฤษยังมีเสียงแตก บางฝ่ายเสนอให้คืนเฉพาะมูลค่าที่เหยื่อสูญเสีย ไม่ใช่มูลค่าปัจจุบันของ Bitcoin นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าอังกฤษอาจเก็บ Bitcoin ไว้บางส่วน ซึ่งอาจสร้างความตึงเครียดทางการทูตกับจีน และนำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อ ✅ อังกฤษยึด Bitcoin กว่า 61,000 เหรียญจาก Zhimin Qian ➡️ มูลค่าปัจจุบันกว่า $6.7 พันล้าน ➡️ เป็นผลจากการหลอกลวงนักลงทุนจีนกว่า 128,000 ราย ✅ จีน-อังกฤษร่วมมือกันเพื่อคืนเงินให้เหยื่อ ➡️ ต้องพิสูจน์ว่าเงินที่ใช้ซื้อ Bitcoin มาจากการหลอกลวง ➡️ ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ติดต่อเหยื่อ ✅ มูลค่า Bitcoin เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าจากปี 2018 ➡️ จาก ~$3,300 เป็น ~$110,000 ต่อเหรียญ ➡️ ทำให้ยอดรวมพุ่งจาก $200 ล้านเป็น $6.7 พันล้าน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/chinese-and-british-authorities-work-together-to-determine-how-to-return-61-000-stolen-bitcoins-worth-usd6-7-billion-victims-expected-to-have-hard-time-recouping-losses-despite-seizure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรเจกต์สุดบ้าระห่ำ: รีเมค Xbox รุ่นต้นแบบจากโลหะทั้งก้อน พร้อมอัปเกรด HDMI และหัวใจดิจิทัล

    กลุ่มนักโมดิฟายสายฮาร์ดคอร์นำต้นแบบ Xbox รุ่นแรกสุดที่เคยมีแค่ในตำนานกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการสร้างเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน มูลค่ากว่า $6,000 พร้อมใส่ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม และอัปเกรดให้ทันสมัยด้วย HDMI และหน้าจอวงกลมตรงกลางที่เคยเป็นแค่ไฟ LED กลายเป็นจอแสดงผลแบบมีแอนิเมชัน!

    เรื่องราวเบื้องหลังโปรเจกต์สุดโหด
    ย้อนกลับไปปี 2001 ก่อนที่ Xbox ตัวจริงจะเปิดตัว Microsoft เคยสร้างต้นแบบที่มีรูปร่างเป็น “X” ขนาดใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ และใช้เงินสร้างกว่า $18,000 (เทียบเท่า $36,000 ในปัจจุบัน) แต่ไม่เคยวางขายจริง

    Macho Nacho Productions จับมือกับนักโมดิฟายหลายคน สร้าง CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับที่จัดแสดงใน Microsoft Experience Center แล้วส่งให้ PCBWay กลึงเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน พร้อมออกแบบภายในให้ใส่ฮาร์ดแวร์จริงของ Xbox ได้

    นอกจากนั้นยังมีการออกแบบระบบจ่ายไฟใหม่แบบ USB-C PD ที่ปลอดภัยและเล็กลงกว่าเดิม และโมดิฟายซอฟต์แวร์ให้สามารถรัน Homebrew ได้ พร้อมอัปเกรดพอร์ตภาพจาก composite เป็น HDMI

    ไฮไลต์คือ “จิวเวล” ตรงกลางที่เคยเป็นไฟ LED สีเขียว ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอวงกลมที่แสดงแอนิเมชันแบบกำหนดเองผ่าน Raspberry Pi Pico 2 ซึ่งจะเปิดเมื่อเครื่องเปิด และดับเมื่อปิดเครื่อง

    สุดท้าย Macho Nacho เตรียมนำเครื่องนี้ไปโชว์ตามงานเกมทั่วโลก พร้อมกล่องพกพาแบบสั่งทำพิเศษ

    Xbox รุ่นต้นแบบถูกสร้างใหม่จากอลูมิเนียมทั้งก้อน
    ใช้ CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับใน Microsoft Experience Center
    กลึงโดย PCBWay ด้วยงบประมาณ ~$6,000

    ใช้ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม
    มีเมนบอร์ด, ไดรฟ์, คอนโทรลเลอร์ครบ
    โมดิฟายให้รองรับ Homebrew และ HDMI

    ระบบไฟใหม่แบบ USB-C PD
    ปลอดภัยกว่า PSU เดิม
    ใช้เพาเวอร์แบงก์ขนาดเล็กจ่ายไฟได้

    “จิวเวล” กลางเครื่องกลายเป็นหน้าจอวงกลม
    ใช้ Raspberry Pi Pico 2 ควบคุม
    แสดงแอนิเมชันเปิด-ปิดเครื่องแบบกำหนดเอง

    ต้นแบบเดิมของ Xbox ไม่เคยวางขาย
    สร้างเพื่อโชว์ศักยภาพ Microsoft ในตลาดเกม
    มีเพียง 3 เครื่องที่จัดแสดงในสำนักงานทั่วโลก

    การสร้างใหม่ต้องใช้ความร่วมมือหลายฝ่าย
    ต้องวัดขนาดจากกระจกโชว์จริง
    ต้องออกแบบภายในใหม่ทั้งหมดให้ใส่ฮาร์ดแวร์ได้

    https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/modders-recreate-original-xbox-prototype-with-a-solid-block-of-metal-in-ambitious-project-modern-makeover-features-real-xbox-hardware-and-hdmi-upgrades
    🎮 โปรเจกต์สุดบ้าระห่ำ: รีเมค Xbox รุ่นต้นแบบจากโลหะทั้งก้อน พร้อมอัปเกรด HDMI และหัวใจดิจิทัล กลุ่มนักโมดิฟายสายฮาร์ดคอร์นำต้นแบบ Xbox รุ่นแรกสุดที่เคยมีแค่ในตำนานกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยการสร้างเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน มูลค่ากว่า $6,000 พร้อมใส่ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม และอัปเกรดให้ทันสมัยด้วย HDMI และหน้าจอวงกลมตรงกลางที่เคยเป็นแค่ไฟ LED กลายเป็นจอแสดงผลแบบมีแอนิเมชัน! 🧠 เรื่องราวเบื้องหลังโปรเจกต์สุดโหด ย้อนกลับไปปี 2001 ก่อนที่ Xbox ตัวจริงจะเปิดตัว Microsoft เคยสร้างต้นแบบที่มีรูปร่างเป็น “X” ขนาดใหญ่ หนักถึง 40 ปอนด์ และใช้เงินสร้างกว่า $18,000 (เทียบเท่า $36,000 ในปัจจุบัน) แต่ไม่เคยวางขายจริง Macho Nacho Productions จับมือกับนักโมดิฟายหลายคน สร้าง CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับที่จัดแสดงใน Microsoft Experience Center แล้วส่งให้ PCBWay กลึงเคสจากอลูมิเนียมทั้งก้อน พร้อมออกแบบภายในให้ใส่ฮาร์ดแวร์จริงของ Xbox ได้ นอกจากนั้นยังมีการออกแบบระบบจ่ายไฟใหม่แบบ USB-C PD ที่ปลอดภัยและเล็กลงกว่าเดิม และโมดิฟายซอฟต์แวร์ให้สามารถรัน Homebrew ได้ พร้อมอัปเกรดพอร์ตภาพจาก composite เป็น HDMI ไฮไลต์คือ “จิวเวล” ตรงกลางที่เคยเป็นไฟ LED สีเขียว ถูกแทนที่ด้วยหน้าจอวงกลมที่แสดงแอนิเมชันแบบกำหนดเองผ่าน Raspberry Pi Pico 2 ซึ่งจะเปิดเมื่อเครื่องเปิด และดับเมื่อปิดเครื่อง สุดท้าย Macho Nacho เตรียมนำเครื่องนี้ไปโชว์ตามงานเกมทั่วโลก พร้อมกล่องพกพาแบบสั่งทำพิเศษ ✅ Xbox รุ่นต้นแบบถูกสร้างใหม่จากอลูมิเนียมทั้งก้อน ➡️ ใช้ CAD จากภาพถ่ายต้นฉบับใน Microsoft Experience Center ➡️ กลึงโดย PCBWay ด้วยงบประมาณ ~$6,000 ✅ ใช้ฮาร์ดแวร์จริงจาก Xbox รุ่นดั้งเดิม ➡️ มีเมนบอร์ด, ไดรฟ์, คอนโทรลเลอร์ครบ ➡️ โมดิฟายให้รองรับ Homebrew และ HDMI ✅ ระบบไฟใหม่แบบ USB-C PD ➡️ ปลอดภัยกว่า PSU เดิม ➡️ ใช้เพาเวอร์แบงก์ขนาดเล็กจ่ายไฟได้ ✅ “จิวเวล” กลางเครื่องกลายเป็นหน้าจอวงกลม ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico 2 ควบคุม ➡️ แสดงแอนิเมชันเปิด-ปิดเครื่องแบบกำหนดเอง ‼️ ต้นแบบเดิมของ Xbox ไม่เคยวางขาย ⛔ สร้างเพื่อโชว์ศักยภาพ Microsoft ในตลาดเกม ⛔ มีเพียง 3 เครื่องที่จัดแสดงในสำนักงานทั่วโลก ‼️ การสร้างใหม่ต้องใช้ความร่วมมือหลายฝ่าย ⛔ ต้องวัดขนาดจากกระจกโชว์จริง ⛔ ต้องออกแบบภายในใหม่ทั้งหมดให้ใส่ฮาร์ดแวร์ได้ https://www.tomshardware.com/video-games/xbox/modders-recreate-original-xbox-prototype-with-a-solid-block-of-metal-in-ambitious-project-modern-makeover-features-real-xbox-hardware-and-hdmi-upgrades
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 1

    ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง

    ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan

    มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross

    เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว

    นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson
    อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด !
    ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด

    แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย

    หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป

    เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้

    คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย

    Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller
    นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan

    ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks)

    คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต

    เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company

    Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank

    ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran

    Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม

    นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson

    ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน
    อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller

    นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks

    Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank

    บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด”

    ตอน 2

    ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน
    คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน

    วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

    ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่

    ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย

    มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan

    เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง

    Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้
    ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป

    J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd

    แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย !

    หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย

    ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร”

    หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า
    “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan”

    ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    30 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – จัดฉากกาชาด 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 1 ก่อน ค.ศ.1915 ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดของสำนักงานใหญ่กาชาดอเมริกา ที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอซิงตันคือ คุณนาย Mabel Boardman ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆของกาชาดอเมริกา รวมทั้งการจัดหาทุน ซึ่งคุณนายไปขอบริจาคมาอีกต่อ จากบรรดามหาเศรษฐีต่างๆเช่น J.P. Morgan คุณนาย E.H. Harriman คุณนาย Russell Sage เป็นต้น ในงานจัดหาทุนให้กาชาดในปี ค.ศ.1910 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงนั้น หาเงินทุนได้ถึง 2 ล้านเหรียญ เงินทุนนี้มาจากการบริจาคของบรรดามหาเศรษฐี ที่อยู่ในนิวยอร์คเกือบทั้งหมด J.P. Morgan เองบริจาค 1 แสนเหรียญ เศรษฐีอีก 7 คน บริจาครวมกัน 3 แสนเหรียญ มีรายเดียวที่บริจาค 1 หมื่นเหรียญ คือนาย William J. Boardman พ่อของคุณนาย Mabel นั่นเอง ส่วนผู้ที่เป็นประธานจัดงานหาทุนให้กาชาดในปี 1910 นั้นคือ มหาเศรษฐีใหญ่ นาย Henry P. Davison หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Morgan มันคงไม่ใช่เป็นการหาทุนธรรมดา พวกเศรษฐีนักบริจาค หรือจริงๆ ก็คือ พวกวอลสตรีทนั่นแหละ บอกว่า เพื่อให้ทุนนี้ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ขอให้กาชาดจัดตั้งคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม the War Council of the American Red Cross เอ๊ะ สงครามอะไร ตอนนั้นยังไม่ได้ระเบิดกันสักตูมเลย แต่พวกนักการเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกิดสงครามแล้ว นักการเงินผู้บริจาค ไม่ได้พูดเล่น พวกเขาจัดส่ง นาย Henry P. Davison มาให้เป็นประธานคณะกรรมการกาชาดนี้ด้วย โดยบอกว่า มาจากการแนะนำของนาย Cleveland H. Dodge ผู้สนับสนุนเงินทุนหนุนหลังรายใหญ่คนหนึ่ง ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson อืม… ใช้แม้กระทั่งกาชาด ! ส่วนรายชื่อคณะผู้บริหาร ของกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ประกอบไปด้วยรายชื่อของตัวแทนนักธุรกิจใหญ่ๆทางด้านการเงิน และการอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Anaconda Copper Company, American Tobacco Company, Guarantee Trust Company และตัวแทนของกลุ่ม Rockefeller เป็นต้น เป็นรายชื่อผู้บริหารกาชาด ที่พิลึกที่สุด แล้วในการประชุม ของคณะกรรมการกาชาดเพื่อกิจกรรมสงคราม ซึ่งประชุมกันที่สำนักงานใหญ่ข องกาชาด ที่กรุงวอซิงตัน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ก็มีการหารือกันว่า กาชาดควรเดินทางไปรัสเซีย ตามข้อเสนอของนาย Alexander Ledge จากบริษัท International Harvester Company (ซึ่งภายหลังไปตั้งกิจการใหญ่อยู่ในรัสเซีย) ซึ่งบอกว่า จะสนับสนุนเงินทุน 2 ล้านเหรียญ สำหรับกิจกรรมรัสเซีย หลังจากนั้น ที่ประชุมก็ลงมติ ให้กาชาดพิเศษนี้ไปช่วยรัสเซีย ภายใต้การนำของนาย William Boyce Thompson กรรมการของ Federal Reserve Bank of New York ซึ่งเสนอว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับกิจกรรมรัสเซีย โปรดจำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดี เขารับบทสำคัญต่อไป เดือนสิงหาคม 1917 กาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย ก็ออกเดินทางเพื่อไปรัสเซีย มันคงเป็นกิจกรรมกาชาด ที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์กิจกรรมกาชาด หรือมันมีแบบนี้อีกที่เรายังไม่รู้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อรัสเซีย มีจำนวน 24 คน มียศทหาร ตั้งแต่นายร้อยถึงนายพัน มีผู้ช่วย 3 คน มีช่างถ่ายภาพและช่างถ่ายภาพยนต์ 2 คน มีล่าม 2 คน มีหมอเพียง 5 คน ที่เหลือเป็นนักการเงิน นักธุรกิจใหญ่ และทนายความ Dr. Frank Billing ศาสตราจารย์ด้านอายุรเวชจากมหาวิทยาลัย Chicago ถูกหลอกมาทำหน้าที่ เป็นหัวหน้าคณะกาชาดเพื่อรัสเซีย แต่หัวหน้าคณะตัวจริง คือ นาย William Boyce Thompson ซึ่งพ่วงเอาทั้งเลขา และผู้ช่วยคนสำคัญของเขา Raymond Robins ไปด้วย Alan Wardwell ทำหน้าที่เป็นเลขาของหัวหน้าคณะกาชาด เขาเป็นทนายของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell เขาเป็นลูกชายของ William Thomas Wardwell เหรัญญิกตลอดกาลของ Standard Oil of New Jersey และ Standard Oil of New York ของตระกูลเจ้าพ่อ Rockefeller นอกจากนี้ Alan ยังเป็นกรรมการทั้ง Greenwich Savings และ Bank of New York และ Georgian Manganese Company ร่วมกับ W. Averell Harriman ซึ่งเป็นกรรมการของ Guaranty Trust ของพวก Morgan ในปี 1917 Alan Wardwell ได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสำนักงานกฏหมาย Stetson, Jennings & Russell ซึ่งต่อมารวมกับสำนักงานกฏหมาย Davis, Polk, Wardwell, Gradner & Read (Frank L. Polk เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ช่วงการปฏิวัติ Bolsheviks) คณะกรรมาธิการของวุฒิสมาชิก Overman ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า Wardwell เอนเอียงไปทางเห็นพ้องกับพวกโซเวียต และในปี ค.ศ.1920 กว่าๆ Wardwell ก็มีส่วนอย่างมากในการจัดตั้งหอการค้ารัสเซียอเมริกัน เพื่อสนับสนุนการค้ากับโซเวียต เหรัญญิกของคณะกาชาดอเมริกาเพื่อกิจการสงครามคือ James W. Andrews ซึ่งเป็นผู้สอบบัญชีของ Liggett & Myers Tobacco Company Robert Barr สมาชิกที่ร่วมเดินทางอีกคนหนึ่ง เป็นรองประธานกรรมการของ Chase Securities Company (สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 120 Broadway) และเป็นกรรมการของ Chase National Bank ผู้ที่ดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของคณะกาชาด คือ William Cochran Raymond Robins ซึ่งเป็นเลขานุการของ William Boyce Thompson เป็นผู้ชำนาญกิจการเหมืองแร่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคณะกาชาดอเมริกันกิจการสงคราม และระบุอาชีพตนเองว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคม นอกจากนี้ คณะกาชาดนี้ ยังมีสมาชิกจากบริษัท Swift & Company of Union Stockyards Chicago ร่วมไปด้วย 2 คน เป็น Swift ที่มีข้อน่าสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับพวกจารกรรมชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกนั่นแหละ ผู้ที่ร่วมเดินทางกับคณะ คือ Harold H. Swift เขาไปในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคณะกาชาด แต่ตัวเขามีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยประธานของ Swift & Company ส่วนอีกคน คือ William G. Nicholson ยังมีอีก 2 คนที่มาร่วมกับคณะ เมื่อไปถึง Petrogradแล้ว คือ Frederick M. Corse ตัวแทนของ National City Bank ใน Petrograd และ Herbert A. Magnuson ซึ่งได้รับการแนะนำมาเป็นพิเศษ จาก John W. Finch ตัวแทนที่ไม่เปิดเผยของ William B. Thompson ในเมืองจีน อีกคนที่ร่วมคณะไปด้วยคือ นาย Malcolm Pirnie ซึ่งไปในฐานะวิศวกร ของสำนักงานวิศวกรที่ปรึกษา Hazun, Whipple & Fuller นอกจากนี้ คณะกาชาดอเมริกันเพื่อกิจกรรมสงคราม หรือที่เราน่าจะเรียกว่าคณะกาชาดวอลสตรีทเพื่อกิจกรรมรัสเซีย มากกว่า! ยังจ้างล่ามรัสเซีย-อังกฤษ ไปด้วยอีก 3 คน คือ Captain Ilovaisky ซึ่งเป็นพวก Bolsheviks รัสเซีย, นาย Boris Reinstein ซึ่งเป็นชาวรัสเซียอเมริกัน และต่อมาเป็นเลขานุการของ Lenin และเป็นหัวหน้าของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อด้านต่างประเทศของพวก ปฏิวัติ และนาย Alexander Gumberg (หรือ Berg ซึ่งมีชื่อจริงว่า Michael Guzenberg) ซึ่งเป็นน้องชายของ Zorin รัฐมนตรีคนหนึ่งของพวก Bolsheviks Gumberg นั้น เป็นตัวแทน Bolsheviks ใน Scandinavia และต่อมาเป็นที่ปรึกษาของ Floyd Odlum ของ Atlas Corporation ในอเมริกา และเป็นที่ปรึกษาของ Reeve Schley รองประธานของ Chase Bank บรรยายรายชื่อ และสรรพคุณของแต่ละคน ในคณะกาชาดอเมริกันที่ไปรัสเซียเสียยาวเหยียด เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดขึ้น ถึงความเกี่ยวข้อง พันกัน ระหว่างธุรกิจอเมริกัน กับการปฏิวัติ Bolsheviks นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 4 “จัดฉากกาชาด” ตอน 2 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน กาชาดอเมริกันตัวจริง ก็ส่งคณะแพทย์ไปช่วยที่โรมาเนีย ซึ่งกำลังมีการต่อสู้กับฝ่ายเยอรมัน มี Henry W Anderson เป็นหัวหน้า แต่กิจกรรมของกาชาดอเมริกันในรัสเซีย กับกาชาดอเมริกันในโรมาเนีย ต่างกันอย่างกับหนังคนละม้วน และทั้ง 2 คณะ ไม่มีการเกี่ยวข้องประสานงาน หรือช่วยเหลือกัน ไม่ว่าในด้านการแพทย์หรือเงินทุน คณะกาชาดอเมริกันไปโรมาเนีย ในเดือนกรกฏาคม 1917 ก่อนกาชาดอเมริกันไปรัสเซียประมาณ 1 เดือน กาชาดอเมริกันไปโรมาเนียไปกัน 30 คน มีหมอไปด้วย 16 คน พยาบาลและผู้ช่วย 10 คน ทนายและนักธุรกิจ 4 คน ขณะที่สายไปรัสเซีย มีหมอและศัลยแพทย์ 7 คน พยาบาลและผู้ช่วย 7 คน ทนายและนักธุรกิจ 15 คน วันที่ 27 กันยายน 1917 Vopicka สาธุคุณอเมริกันที่อยู่ในโรมาเนีย โทรเลขแจ้งฑูต Francis ทูตอเมริกัน ที่ประจำอยู่ Petrograd เรื่องการขาดเงินทุนสนับสนุน และสถานการณ์อันแลวร้ายที่โรมาเนีย แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตุลาคม 1917 คราวนี้ Vopicka โทรเลขไปหา Davison ประธานกาชาดในนิวยอร์ค แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับเช่นกัน ในที่สุด Henry W Anderson ได้ขอให้ฑูต Francis ติดต่อแทนเขา ไปทางลอนดอน ขอให้การบริจาคเพื่อกาชาดอเมริกา แยกบัญชีของโรมาเนีย ออกจากบัญชีของรัสเซียที่ Thompson ดูแลอยู่ ตกลง กาชาดคณะของ Thompson ไปทำอะไรที่รัสเซีย มีข่าวว่า Thompson อยู่ที่ Petrograd รัสเซีย อย่างหรูหรา อุดมสมบูรณ์ และดูเหมือนจะสนใจกิจกรรมอยู่ 2 เรื่อง ช่วงที่ Thompson ไปถึง Petrograd คณะปฎิวัติ ของ Kerensky ยังบริหารอยู่ กิจกรรมของ Thompson ที่รัสเซีย จึงทำทุกอย่าง ที่เป็นการสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของรัสเซีย รวมทั้งพยายามจัดหาเงินกู้ Russian Liberty Loan เมื่อ Thompson มาถึง Petrograd เขาได้พบกับเลขานุการของ Kerensky คือ Madame Breshko-Brushkovskaya (B.B) และ David Soskice ซึ่ง Thompson บอกกับทั้ง 2 คนว่า เขาจะบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญ ให้แก่คณะกรรมการเพื่อการศึกษา เพื่อให้กลุ่ม Kerensky จะได้มีสื่อของตนเอง มีคณะทำงานที่จะให้ความรู้ สร้างภาพยนตร์ให้คนดู เพื่อได้รับการสนับสนุน ดูเหมือน Thompson จะปรารถนาดีต่อรัสเซียอย่างยิ่ง Soskice บอกว่า Thompson ให้เงิน 50,000 รูเบิล แก่ Madame B.B. พร้อมกับบอกว่า “นี่สำหรับการใช้จ่ายตามอัธยาศัยของคุณ”และนำเงินอีก 2,100,000 รูเบิล เข้าบัญชีให้ ทั้งหมดที่ Thompson ทำก็เพื่อให้รัสเซียยังคงทำสงคราม สู้กับเยอรมันต่อไป J.P. Morgan มีหนังสือถึงกระทรวงต่างประเทศ (861.51/190) ยืนยันว่า Morgan ได้โทรเลขโอนเงินจำนวน 425,000 รูเบิลให้แก่ Thompson ตามที่ต้องการ สำหรับเป็นทุนประเดิม Russian Liberty Loan เงินโอนนี้ ได้ดำเนินการผ่านสาขาของ National City Bank ใน Petrograd แต่ Thompson ไม่ได้สนับสนุนเฉพาะกลุ่มของ Kerensky เท่านั้น เขาสนับสนุนกลุ่ม Bolsheviks ด้วย ! หนังสือพิม์ Washington Post ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1918 ได้ลงข่าวว่า “ William B. Thompson ผู้บริจาคกาชาด ซึ่งอยู่ Petrograd ตั้งแต่เดือนกรกฏาคมถึงพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ได้จ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเองจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้แก่พวก Bolsheviks เพื่อนำไปใช้จ่ายในการเผยแพร่ทฤษฏีของพวกเขาในเยอรมันและออสเตรีย ” นาย Thompson ได้ มีโอกาสศึกษาทฤษฏีของรัสเซีย ในฐานะหัวหน้าภาระกิจกาชาดอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของภาระกิจนี้ จากทุนทรัพย์ส่วนตัว เขาเชื่อว่าพวก Bolsheviks เอาชนะพวกนิยมเยอรมันในรัสเซียได้ แต่ข่าวเกี่ยวกับ Bolsheviks ได้ถูกกลุ่มทหารสมัยซาร์ นำไปบิดเบือน Thompson ไม่เห็นด้วยกับคำติเตียนของคนอเมริกัน ที่มีต่อพวก Bolsheviks เขาเชื่อว่ามีการเข้าใจผิดกัน และการบริจาคเงินของเขาเกิดมาจากความเชื่อมั่นว่า เงินนั้น จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สำหรับอนาคตของรัสเซีย และของฝ่ายสัมพันธมิตร” หนังสือชีวประวัติของ Thompson ซึ่งเขียนโดย Hermann Hagedorn ชื่อ The Magnate : William Boyce Thompson and His Time (1869-1930) ได้ลงรูปถ่ายโทรเลขจาก J.P. Morgan ที่นิวยอร์ค ถึง W.B. Thompson ส่งต่อที่ American Red Cross โรงแรมยุโรป เมือง Petrograd และโทรเลขนี้ตีตราแสดงวันที่รับ และสถานที่รับที่เมือง Petrograd “8 Dek 1917” (8 ธันวาคม 1917) มีข้อความว่า “นิวยอร์ค Y757/5 24W5 Nil – โทรเลขของท่านได้รับครั้งที่สอง เราได้จ่ายเงินแก่ National City Bank จำนวนหนึ่งล้านเหรียญ ตามคำสั่ง – Morgan” ธนาคาร National City Bank สาขา Petrograd เป็นธนาคารต่างประเทศรายเดียว ที่ไม่ถูก Bolsheviks ออกคำสั่งยึด ให้ตกเป็นของรัฐ หรือแปรสภาพเป็นธนาคารของรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 30 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ CVE-2025-11833 ในปลั๊กอิน Post SMTP ทำให้เว็บไซต์ WordPress กว่า 400,000 แห่งเสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ!

    ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization ที่เปิดทางให้ผู้ไม่ล็อกอินสามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านและยึดบัญชีแอดมินได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ใด ๆ

    ปลั๊กอิน Post SMTP ใช้กันอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ WordPress เพื่อจัดการการส่งอีเมลให้เชื่อถือได้ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือรีเซ็ตรหัสผ่าน แต่ในเวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีฟังก์ชันที่เปิดให้เข้าถึง log อีเมลโดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้

    ช่องโหว่นี้ (CVE-2025-11833) มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 ซึ่งถือว่า “วิกฤต” เพราะ:
    ผู้โจมตีไม่จำเป็นต้องล็อกอิน
    สามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ
    คลิกลิงก์รีเซ็ตแล้วตั้งรหัสใหม่ได้ทันที
    ส่งผลให้สามารถยึดเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ

    นักวิจัยจาก Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีจริงแล้ว โดยบล็อกได้ 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตปลั๊กอินเป็นเวอร์ชัน 3.6.1 โดยด่วน

    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-11833
    ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization
    เปิดให้ผู้ไม่ล็อกอินเข้าถึง log อีเมล
    สามารถเข้าถึงลิงก์รีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ
    คะแนน CVSS 9.8 (ระดับวิกฤต)

    ผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress
    เสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ
    ส่งผลให้เว็บไซต์ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี
    มีการโจมตีจริงแล้วในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

    วิธีป้องกันและแก้ไข
    อัปเดตปลั๊กอิน Post SMTP เป็นเวอร์ชัน 3.6.1 ทันที
    ตรวจสอบ log อีเมลย้อนหลังว่ามีการเข้าถึงผิดปกติหรือไม่
    เปลี่ยนรหัสผ่านผู้ดูแลระบบและเปิดใช้งาน 2FA หากเป็นไปได้
    ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ทั้งหมดในระบบ

    https://securityonline.info/cve-2025-11833-cvss-9-8-critical-flaw-exposes-400000-wordpress-sites-to-unauthenticated-account-takeover/
    🚨🔓 ช่องโหว่ CVE-2025-11833 ในปลั๊กอิน Post SMTP ทำให้เว็บไซต์ WordPress กว่า 400,000 แห่งเสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ! ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization ที่เปิดทางให้ผู้ไม่ล็อกอินสามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านและยึดบัญชีแอดมินได้ทันที โดยไม่ต้องมีสิทธิ์ใด ๆ ปลั๊กอิน Post SMTP ใช้กันอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ WordPress เพื่อจัดการการส่งอีเมลให้เชื่อถือได้ เช่น อีเมลแจ้งเตือนหรือรีเซ็ตรหัสผ่าน แต่ในเวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีฟังก์ชันที่เปิดให้เข้าถึง log อีเมลโดยไม่ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้ ช่องโหว่นี้ (CVE-2025-11833) มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 ซึ่งถือว่า “วิกฤต” เพราะ: 🪲 ผู้โจมตีไม่จำเป็นต้องล็อกอิน 🪲 สามารถเข้าถึงอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ 🪲 คลิกลิงก์รีเซ็ตแล้วตั้งรหัสใหม่ได้ทันที 🪲 ส่งผลให้สามารถยึดเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยจาก Wordfence รายงานว่ามีการโจมตีจริงแล้ว โดยบล็อกได้ 2 ครั้งใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตปลั๊กอินเป็นเวอร์ชัน 3.6.1 โดยด่วน ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-11833 ➡️ ปลั๊กอิน Post SMTP เวอร์ชัน ≤ 3.6.0 มีช่องโหว่ Missing Authorization ➡️ เปิดให้ผู้ไม่ล็อกอินเข้าถึง log อีเมล ➡️ สามารถเข้าถึงลิงก์รีเซ็ตรหัสผ่านของผู้ดูแลระบบ ➡️ คะแนน CVSS 9.8 (ระดับวิกฤต) ✅ ผลกระทบต่อเว็บไซต์ WordPress ➡️ เสี่ยงถูกยึดบัญชีผู้ดูแลระบบ ➡️ ส่งผลให้เว็บไซต์ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี ➡️ มีการโจมตีจริงแล้วในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ✅ วิธีป้องกันและแก้ไข ➡️ อัปเดตปลั๊กอิน Post SMTP เป็นเวอร์ชัน 3.6.1 ทันที ➡️ ตรวจสอบ log อีเมลย้อนหลังว่ามีการเข้าถึงผิดปกติหรือไม่ ➡️ เปลี่ยนรหัสผ่านผู้ดูแลระบบและเปิดใช้งาน 2FA หากเป็นไปได้ ➡️ ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ทั้งหมดในระบบ https://securityonline.info/cve-2025-11833-cvss-9-8-critical-flaw-exposes-400000-wordpress-sites-to-unauthenticated-account-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    CVE-2025-11833 (CVSS 9.8): Critical Flaw Exposes 400,000 WordPress Sites to Unauthenticated Account Takeover
    Urgent patch for Post SMTP plugin. A CVSS 9.8 flaw lets unauthenticated attackers read email logs and steal password reset links to take over accounts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • สร้างกราฟ compiler เองดีกว่าใช้ Graphviz — เมื่อ SpiderMonkey ปรับโฉมการวิเคราะห์โค้ดด้วย iongraph แบบ interactive

    SpiderMonkey ทีมพัฒนา JavaScript/WebAssembly engine ของ Firefox ได้เปิดตัวระบบ visualization ใหม่สำหรับ compiler ที่ชื่อว่า iongraph ซึ่งช่วยให้สามารถดูกราฟการ optimize โค้ดได้แบบ interactive โดยไม่ต้องพึ่ง Graphviz หรือ Mermaid อีกต่อไป

    เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เมื่อคุณเขียนโค้ด JavaScript แล้วมันถูกส่งเข้าไปใน compiler ขั้นสูงของ SpiderMonkey ที่ชื่อว่า Ion — ระบบจะสร้างกราฟ SSA (Static Single Assignment) เพื่อวิเคราะห์และ optimize โค้ดให้เร็วขึ้น แต่การดูกราฟเหล่านี้ผ่าน Graphviz กลับยุ่งยากและไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ดจริง

    ทีมงานจึงสร้างระบบ layout algorithm ใหม่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้ความรู้เฉพาะของ control flow ใน JavaScript และ WebAssembly เช่น:
    Loop มี entry เดียว
    ไม่มีการ jump เข้าไปกลาง loop
    โครงสร้าง reducible control flow

    ผลลัพธ์คือกราฟที่อ่านง่าย เสถียร และสามารถแสดงผลแบบ interactive ได้บนเว็บ — คุณสามารถลาก ซูม และดูการเปลี่ยนแปลงของกราฟในแต่ละ pass ได้ทันที

    ปัญหาของ Graphviz
    layout ไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ด
    node กระโดดไปมาเมื่อ input เปลี่ยนเล็กน้อย
    PDF แบบ static ทำให้ debug ยาก

    จุดเด่นของ iongraph
    interactive บนเว็บ: ลาก ซูม เลือก instruction ได้
    layout เสถียรแม้กราฟเปลี่ยน
    ใช้ algorithm ที่เข้าใจโครงสร้าง loop และ control flow

    ขั้นตอนของ layout algorithm
    Layering: จัด block เป็นชั้นตามลำดับ control flow
    Dummy nodes: สร้าง node สำหรับ edge ที่ข้ามชั้น
    Straighten edges: ปรับตำแหน่งให้กราฟดูเรียบร้อย
    Track horizontal edges: จัด edge ให้ไม่ทับกัน
    Verticalize: กำหนดตำแหน่ง Y ให้ node
    Render: ใช้เส้นตรงแบบ railroad diagram แทน Bézier curve

    ประสิทธิภาพ
    เร็วกว่าการใช้ Graphviz หลายพันเท่า
    Layout กราฟขนาดใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที

    https://spidermonkey.dev/blog/2025/10/28/iongraph-web.html
    🧠 สร้างกราฟ compiler เองดีกว่าใช้ Graphviz — เมื่อ SpiderMonkey ปรับโฉมการวิเคราะห์โค้ดด้วย iongraph แบบ interactive SpiderMonkey ทีมพัฒนา JavaScript/WebAssembly engine ของ Firefox ได้เปิดตัวระบบ visualization ใหม่สำหรับ compiler ที่ชื่อว่า iongraph ซึ่งช่วยให้สามารถดูกราฟการ optimize โค้ดได้แบบ interactive โดยไม่ต้องพึ่ง Graphviz หรือ Mermaid อีกต่อไป 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เมื่อคุณเขียนโค้ด JavaScript แล้วมันถูกส่งเข้าไปใน compiler ขั้นสูงของ SpiderMonkey ที่ชื่อว่า Ion — ระบบจะสร้างกราฟ SSA (Static Single Assignment) เพื่อวิเคราะห์และ optimize โค้ดให้เร็วขึ้น แต่การดูกราฟเหล่านี้ผ่าน Graphviz กลับยุ่งยากและไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ดจริง ทีมงานจึงสร้างระบบ layout algorithm ใหม่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้ความรู้เฉพาะของ control flow ใน JavaScript และ WebAssembly เช่น: 📍 Loop มี entry เดียว 📍 ไม่มีการ jump เข้าไปกลาง loop 📍 โครงสร้าง reducible control flow ผลลัพธ์คือกราฟที่อ่านง่าย เสถียร และสามารถแสดงผลแบบ interactive ได้บนเว็บ — คุณสามารถลาก ซูม และดูการเปลี่ยนแปลงของกราฟในแต่ละ pass ได้ทันที ✅ ปัญหาของ Graphviz ➡️ layout ไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ด ➡️ node กระโดดไปมาเมื่อ input เปลี่ยนเล็กน้อย ➡️ PDF แบบ static ทำให้ debug ยาก ✅ จุดเด่นของ iongraph ➡️ interactive บนเว็บ: ลาก ซูม เลือก instruction ได้ ➡️ layout เสถียรแม้กราฟเปลี่ยน ➡️ ใช้ algorithm ที่เข้าใจโครงสร้าง loop และ control flow ✅ ขั้นตอนของ layout algorithm ➡️ Layering: จัด block เป็นชั้นตามลำดับ control flow ➡️ Dummy nodes: สร้าง node สำหรับ edge ที่ข้ามชั้น ➡️ Straighten edges: ปรับตำแหน่งให้กราฟดูเรียบร้อย ➡️ Track horizontal edges: จัด edge ให้ไม่ทับกัน ➡️ Verticalize: กำหนดตำแหน่ง Y ให้ node ➡️ Render: ใช้เส้นตรงแบบ railroad diagram แทน Bézier curve ✅ ประสิทธิภาพ ➡️ เร็วกว่าการใช้ Graphviz หลายพันเท่า ➡️ Layout กราฟขนาดใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที https://spidermonkey.dev/blog/2025/10/28/iongraph-web.html
    SPIDERMONKEY.DEV
    Who needs Graphviz when you can build it yourself?
    Exploring a new layout algorithm for control flow graphs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 2 “ป้ายปลอม”
    ตอน 1

    ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง

    หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents”

    Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า

    นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม
    เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า

    “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน
    สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ

    ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น)

    Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks

    เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร

    ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ

    แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง

    ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation

    นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย

    ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน

    ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้
    Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 2 “ป้ายปลอม” ตอน 1 ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents” Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น) Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้ Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี

    ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่

    Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง

    มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง

    มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง

    นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง

    และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง

    สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน

    Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI
    ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง
    แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด
    ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์
    ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์

    ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง
    ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก
    ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด
    ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้

    Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories”
    เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้
    ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน
    เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน
    สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้
    ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล
    ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง
    ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป
    อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ

    ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI
    มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI
    มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas

    https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    🧠 Atlas: เบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่อาจเปลี่ยนโลกออนไลน์...แต่ไม่ใช่ในทางที่ดี ลองจินตนาการว่าเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ทุกวันไม่ได้พาคุณไปยังเว็บไซต์ต่างๆ แต่กลับสร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง แล้วแสดงผลในรูปแบบที่ “เหมือน” เว็บเพจ — นั่นคือสิ่งที่ Atlas จาก OpenAI กำลังทำอยู่ Atlas ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ธรรมดา มันคือเครื่องมือที่ใช้ AI สร้างคำตอบแทนการค้นหาข้อมูลจากเว็บจริงๆ และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การต่อต้านเว็บ” อย่างแท้จริง มีคนลองใช้ Atlas แล้วพิมพ์คำว่า “Taylor Swift showgirl” หวังว่าจะได้ลิงก์ไปดูวิดีโอหรือเพลย์ลิสต์ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข้อความที่ดูเหมือนเด็กรีบทำรายงานส่งครู — ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์จริง ไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่มีทางรู้เลยว่า Taylor Swift มีเว็บไซต์ของตัวเอง มันเหมือนคุณพิมพ์ในช่องค้นหา แต่จริงๆ แล้วคุณกำลังพิมพ์ในช่อง prompt ที่ให้ AI สร้างคำตอบขึ้นมาเอง นอกจากนี้ Atlas ยังบังคับให้คุณพิมพ์คำสั่งเหมือนยุค DOS แทนที่จะคลิกง่ายๆ แบบที่เราเคยชิน เช่น ถ้าคุณอยากหาไฟล์ Google Docs ที่เคยเปิด ก็ต้องพิมพ์ว่า “search web history for a doc about atlas core design” แทนที่จะพิมพ์แค่ “atlas design” แล้วคลิกจากรายการที่แสดง และที่น่ากลัวที่สุดคือ Atlas ทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทน” ของ AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว มันขอให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์ “memories” เพื่อเก็บข้อมูลทุกอย่างที่คุณทำ แล้วใช้ข้อมูลนั้นฝึกโมเดลของมัน — ตั้งแต่ไฟล์ลับใน Google Docs ไปจนถึงคอมเมนต์ที่คุณพิมพ์ใน Facebook แต่ยังไม่ได้กดส่ง 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Atlas คือเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ➡️ ใช้ AI สร้างเนื้อหาแทนการแสดงผลจากเว็บไซต์จริง ➡️ แสดงผลในรูปแบบที่คล้ายเว็บเพจ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิด ➡️ ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง เช่น เว็บไซต์ของศิลปินหรือแบรนด์ ➡️ ข้อมูลที่แสดงอาจล้าหลังหลายสัปดาห์ เพราะไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ✅ ประสบการณ์ผู้ใช้ถูกเปลี่ยนให้คล้ายการพิมพ์คำสั่ง ➡️ ต้องพิมพ์คำสั่งแบบ command-line แทนการคลิก ➡️ ลดความสะดวกในการใช้งาน และเพิ่มโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ➡️ ขัดกับแนวคิดของเว็บที่เน้นการเข้าถึงง่ายและคลิกได้ ✅ Atlas ส่งเสริมให้ผู้ใช้เปิดฟีเจอร์ “memories” ➡️ เก็บข้อมูลการใช้งานทั้งหมดของผู้ใช้ ➡️ ใช้ข้อมูลเหล่านั้นฝึกโมเดล AI โดยไม่ขอความยินยอมอย่างชัดเจน ➡️ เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เบราว์เซอร์ทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ AI สามารถเห็นไฟล์ลับ ข้อความที่ยังไม่ได้ส่ง และพฤติกรรมการใช้งาน ⛔ สร้างโปรไฟล์การใช้งานที่ละเอียดเกินกว่าที่เบราว์เซอร์ทั่วไปเคยทำได้ ⛔ ผู้ใช้กลายเป็น “ตัวแทน” ที่เปิดประตูให้ AI เข้าถึงข้อมูลที่ไม่ควรเข้าถึง ‼️ ความเสี่ยงด้านความถูกต้องของข้อมูล ⛔ ข้อมูลที่แสดงอาจเป็นการ “แต่งขึ้น” โดยไม่มีแหล่งอ้างอิง ⛔ ไม่มีการอัปเดตแบบเรียลไทม์เหมือนเครื่องมือค้นหาทั่วไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่าเป็นข้อมูลจริงจากเว็บ ‼️ ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและการพึ่งพา AI ⛔ มีรายงานว่าผู้ใช้บางคนเกิดภาวะพึ่งพาอารมณ์กับ AI ⛔ มีกรณีที่ AI แนะนำพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ ควรมีคำเตือนชัดเจนก่อนติดตั้งหรือใช้งาน Atlas https://www.anildash.com//2025/10/22/atlas-anti-web-browser/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10”

    ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft

    แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น

    ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux
    เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว
    ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ
    Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น

    การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม
    Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ
    Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย
    Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง
    Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้
    Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย

    สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam
    เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น
    จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold

    Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์
    Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้
    SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น
    การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    🎮 ข่าวดีสายเกม: “Linux เล่นเกม Windows ได้เกือบ 90% แล้ว! พร้อมรับยุคหลัง Windows 10” ในยุคที่ Windows 10 กำลังจะหมดอายุในปี 2025 ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ และ Linux กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสายเกม ล่าสุดมีรายงานจาก ProtonDB และ Boiling Steam เผยว่า เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีอย่าง Proton และ WINE ที่พัฒนาโดย Valve และ CodeWeavers การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของชุมชนโอเพ่นซอร์สและการเติบโตของอุปกรณ์อย่าง Steam Deck ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Linux โดยตรง ซึ่งช่วยผลักดันให้เกมเมอร์สามารถเข้าถึงเกม Windows ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft แม้จะยังมีเกมบางประเภทที่ไม่สามารถเล่นได้ เช่น เกมที่ใช้ระบบป้องกันโกงแบบเข้มงวด แต่แนวโน้มโดยรวมคือเกมใหม่ ๆ มีแนวโน้มรองรับ Linux มากขึ้น และผู้พัฒนาเกมก็เริ่มให้ความสำคัญกับการทดสอบบน Linux ตั้งแต่ต้น ✅ ความก้าวหน้าของเกม Windows บน Linux ➡️ เกือบ 90% ของเกม Windows สามารถเล่นบน Linux ได้แล้ว ➡️ ใช้ Proton และ WINE เป็นตัวกลางแปลคำสั่ง Windows ให้ Linux เข้าใจ ➡️ Steam Deck ช่วยผลักดันการพัฒนาเกมให้รองรับ Linux มากขึ้น ✅ การจัดอันดับความเข้ากันได้ของเกม ➡️ Platinum: เล่นได้สมบูรณ์แบบ ➡️ Gold: เล่นได้ดี มีการปรับแต่งเล็กน้อย ➡️ Silver: เล่นได้แต่มีข้อบกพร่อง ➡️ Bronze: อยู่ระหว่างเล่นได้กับเล่นไม่ได้ ➡️ Borked: ไม่สามารถเปิดเกมได้เลย ✅ สถิติจาก ProtonDB และ Boiling Steam ➡️ เกมใหม่มีแนวโน้มได้คะแนน Platinum มากขึ้น ➡️ จำนวนเกมที่ “Borked” ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ 83% ของเกมยอดนิยมบน Steam ได้คะแนน Platinum หรือ Gold ✅ Linux กลายเป็นตัวเลือกจริงจังสำหรับเกมเมอร์ ➡️ Valve ร่วมมือกับนักพัฒนาเพื่อปรับปรุงความเข้ากันได้ ➡️ SteamOS และดิสโทร Linux เช่น Mint, Zorin, Bazzite รองรับเกมได้ดีขึ้น ➡️ การสิ้นสุดของ Windows 10 เป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้หันมาใช้ Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/nearly-90-percent-of-windows-games-now-run-on-linux-latest-data-shows-as-windows-10-dies-gaming-on-linux-is-more-viable-than-ever
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง

    บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท

    ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR

    บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure
    บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล
    กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน

    Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings
    ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin
    ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส

    นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม
    มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน
    การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง

    Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย
    โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต
    ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ

    กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง
    โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง
    ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก

    การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ
    ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว
    ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว

    การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน
    เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง
    ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง

    https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    📰💼 Washington Post ถูกวิจารณ์หนัก หลังบทบรรณาธิการไม่เปิดเผยความเชื่อมโยงทางการเงินของ Jeff Bezos กับบริษัทที่กล่าวถึง บทความจาก NPR เปิดเผยว่า Washington Post ล้มเหลวในการเปิดเผย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่สำคัญในบทบรรณาธิการหลายชิ้น ซึ่งกล่าวถึงบริษัท Blue Origin และ Amazon โดยไม่มีการระบุว่า Jeff Bezos — เจ้าของ Washington Post — เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้งสองบริษัท ✅ ประเด็นสำคัญจากรายงานของ NPR ✅ บทบรรณาธิการหลายชิ้นกล่าวถึง Blue Origin และ Amazon โดยไม่มี disclosure ➡️ บทความสนับสนุนการใช้จรวดของ Blue Origin ในโครงการของรัฐบาล ➡️ กล่าวถึง Amazon ในเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนด้าน AI และโครงสร้างพื้นฐาน ✅ Jeff Bezos เป็นเจ้าของ Washington Post ผ่านบริษัท Nash Holdings ➡️ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Amazon และเจ้าของ Blue Origin ➡️ ความเชื่อมโยงนี้ควรถูกเปิดเผยในบทความเพื่อความโปร่งใส ✅ นักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนชี้ว่าเป็นการละเมิดหลักจริยธรรม ➡️ มาตรฐานของสื่อควรเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างชัดเจน ➡️ การไม่เปิดเผยอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าเนื้อหานั้นเป็นกลาง ✅ Washington Post ชี้แจงว่าไม่มีเจตนาแฝง และกำลังทบทวนนโยบาย ➡️ โฆษกของ Post ระบุว่ากำลังพิจารณาเพิ่ม disclosure ในบทบรรณาธิการในอนาคต ➡️ ยืนยันว่า Bezos ไม่มีอิทธิพลต่อเนื้อหาข่าวหรือบทบรรณาธิการ ✅ กรณีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สื่อกำลังถูกจับตามองเรื่องความเป็นกลาง ➡️ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของสื่อมีผลประโยชน์ในธุรกิจเทคโนโลยีหรือการเมือง ➡️ ผู้อ่านเริ่มเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากสื่อกระแสหลัก ‼️ การไม่เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อนอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสื่อ ⛔ ผู้อ่านอาจรู้สึกถูกชี้นำโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลต่อความไว้วางใจในระยะยาว ‼️ การเป็นเจ้าของสื่อโดยผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจควรมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ⛔ เพื่อป้องกันการใช้สื่อเป็นเครื่องมือทางธุรกิจหรือการเมือง ⛔ ควรมีนโยบายเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง https://www.npr.org/2025/10/28/nx-s1-5587932/washington-post-editorials-omit-a-key-disclosure-bezos-financial-ties
    WWW.NPR.ORG
    'Washington Post' editorials omit a key disclosure: Bezos' financial ties
    Three times in the past two weeks, editorials at the 'Washington Post' failed to disclose that they focused on matters in which owner Jeff Bezos had a material interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • KDE Plasma 6.5.1 มาแล้ว! แก้ปัญหากับ GPU AMD รุ่นเก่า พร้อมปรับปรุง UI และความเสถียรหลายจุด

    KDE Plasma 6.5.1 เปิดตัวเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 6.5 โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับ GPU AMD รุ่นเก่า รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น เช่น การลากไอคอนจาก Favorites launcher ได้ง่ายขึ้น และการจัดการ notification ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม.

    ไฮไลต์จาก KDE Plasma 6.5.1
    แก้ปัญหา mouse pointer บน GPU AMD รุ่นเก่า
    แก้ regression ที่ทำให้ pointer แสดงผลผิดเพี้ยนบนบางรุ่นของ AMD

    ปรับปรุง Kickoff launcher
    สามารถลากไอคอนออกจาก Favorites grid ได้โดยไม่ทำให้ตำแหน่งอื่นเปลี่ยน
    เพิ่มความแม่นยำในการจัดการรายการโปรด

    ปรับปรุงระบบ wallpaper switching ตามโหมดสี
    ใช้ค่าความสว่างของ Plasma style แทนสีของแอปในการตัดสินใจเปลี่ยนโหมด

    แจ้งเตือน job progress ที่ฉลาดขึ้น
    ไม่แสดง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” หากมีเพียงรายการเดียว
    แสดง minimized notifications ทั้งหมดในประวัติ ไม่ใช่แค่ 3 รายการล่าสุด

    แก้ UI ของ GTK 3 app menus และ Remote Desktop settings
    มุมเมนูถูกปรับให้โค้งอย่างเหมาะสม
    แก้บั๊กที่ทำให้บางตัวเลือกไม่แสดงใน “Open With…”

    Spectacle ได้รับการปรับปรุงสำหรับ screencast และ export
    แก้เส้นพิกเซลเกินใต้ titlebar
    แก้ปัญหาการ export ภาพที่ผิดพลาด

    แก้บั๊ก KWin และการ hot-plug จอภาพ
    ป้องกันการ crash เมื่อเสียบจอเพิ่ม
    ปรับการใช้ direct scanout ให้ทำงานได้จริง

    ปรับปรุงการส่งข้อมูลสีให้ใช้ bandwidth ต่ำลง
    ลดโอกาสที่จอภาพจะไม่แสดงผลเมื่อ bandwidth ใกล้เต็ม

    ผู้ใช้ GPU AMD รุ่นเก่าควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา pointer
    หากยังใช้ Plasma 6.5 อาจเจอ pointer glitch ที่ทำให้ใช้งานลำบาก

    การ hot-plug จอภาพในเวอร์ชันก่อนอาจทำให้ Plasma crash
    เวอร์ชัน 6.5.1 แก้ปัญหานี้แล้ว ควรอัปเดตเพื่อความเสถียร

    การใช้ Spectacle สำหรับ screencast อาจมีปัญหาในเวอร์ชันก่อนหน้า
    เส้นพิกเซลเกินและ export fail เป็นปัญหาที่พบได้

    https://9to5linux.com/kde-plasma-6-5-1-is-out-to-fix-compatibility-issues-with-older-amd-gpus
    🖥️🔧 KDE Plasma 6.5.1 มาแล้ว! แก้ปัญหากับ GPU AMD รุ่นเก่า พร้อมปรับปรุง UI และความเสถียรหลายจุด KDE Plasma 6.5.1 เปิดตัวเป็นเวอร์ชันบำรุงรักษาแรกของซีรีส์ 6.5 โดยเน้นแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับ GPU AMD รุ่นเก่า รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น เช่น การลากไอคอนจาก Favorites launcher ได้ง่ายขึ้น และการจัดการ notification ที่ชาญฉลาดกว่าเดิม. ✅ ไฮไลต์จาก KDE Plasma 6.5.1 ✅ แก้ปัญหา mouse pointer บน GPU AMD รุ่นเก่า ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ pointer แสดงผลผิดเพี้ยนบนบางรุ่นของ AMD ✅ ปรับปรุง Kickoff launcher ➡️ สามารถลากไอคอนออกจาก Favorites grid ได้โดยไม่ทำให้ตำแหน่งอื่นเปลี่ยน ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการจัดการรายการโปรด ✅ ปรับปรุงระบบ wallpaper switching ตามโหมดสี ➡️ ใช้ค่าความสว่างของ Plasma style แทนสีของแอปในการตัดสินใจเปลี่ยนโหมด ✅ แจ้งเตือน job progress ที่ฉลาดขึ้น ➡️ ไม่แสดง “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม” หากมีเพียงรายการเดียว ➡️ แสดง minimized notifications ทั้งหมดในประวัติ ไม่ใช่แค่ 3 รายการล่าสุด ✅ แก้ UI ของ GTK 3 app menus และ Remote Desktop settings ➡️ มุมเมนูถูกปรับให้โค้งอย่างเหมาะสม ➡️ แก้บั๊กที่ทำให้บางตัวเลือกไม่แสดงใน “Open With…” ✅ Spectacle ได้รับการปรับปรุงสำหรับ screencast และ export ➡️ แก้เส้นพิกเซลเกินใต้ titlebar ➡️ แก้ปัญหาการ export ภาพที่ผิดพลาด ✅ แก้บั๊ก KWin และการ hot-plug จอภาพ ➡️ ป้องกันการ crash เมื่อเสียบจอเพิ่ม ➡️ ปรับการใช้ direct scanout ให้ทำงานได้จริง ✅ ปรับปรุงการส่งข้อมูลสีให้ใช้ bandwidth ต่ำลง ➡️ ลดโอกาสที่จอภาพจะไม่แสดงผลเมื่อ bandwidth ใกล้เต็ม ‼️ ผู้ใช้ GPU AMD รุ่นเก่าควรอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา pointer ⛔ หากยังใช้ Plasma 6.5 อาจเจอ pointer glitch ที่ทำให้ใช้งานลำบาก ‼️ การ hot-plug จอภาพในเวอร์ชันก่อนอาจทำให้ Plasma crash ⛔ เวอร์ชัน 6.5.1 แก้ปัญหานี้แล้ว ควรอัปเดตเพื่อความเสถียร ‼️ การใช้ Spectacle สำหรับ screencast อาจมีปัญหาในเวอร์ชันก่อนหน้า ⛔ เส้นพิกเซลเกินและ export fail เป็นปัญหาที่พบได้ https://9to5linux.com/kde-plasma-6-5-1-is-out-to-fix-compatibility-issues-with-older-amd-gpus
    9TO5LINUX.COM
    KDE Plasma 6.5.1 Is Out to Fix Compatibility Issues with Older AMD GPUs - 9to5Linux
    KDE Plasma 6.5.1 is now available as the first maintenance update to the KDE Plasma 6.5 desktop environment series with various improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน

    บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022

    แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ

    หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง

    DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว

    Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน”

    โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek
    พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ
    เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ

    การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน
    พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ
    มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100
    อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม

    ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ
    ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN
    DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง

    มุมมองจาก Nvidia
    การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่
    ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ
    การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง
    การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    🇨🇳 จีนยังใช้ชิป Nvidia H100 ในโดรนทหารอัตโนมัติ แม้ถูกสหรัฐฯ แบน — DeepSeek ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยเทคโนโลยีอเมริกัน บทความจาก Tom’s Hardware เผยว่าโดรนทหารอัตโนมัติรุ่น P60 ของ Norinco ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐจีน ใช้ระบบ AI ที่ชื่อว่า DeepSeek ในการควบคุมการเคลื่อนที่และสนับสนุนการรบ โดยมีหลักฐานว่าระบบนี้อาจถูกเทรนด้วยชิป Nvidia H100 ที่ถูกสหรัฐฯ แบนการส่งออกไปยังจีนตั้งแต่ปี 2022 แม้สหรัฐฯ จะจำกัดการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100 และ A100 ไปยังจีน แต่การสืบสวนของ Reuters พบว่าหน่วยงานวิจัยของกองทัพจีน เช่น National University of Defense Technology (NUDT) ยังมีการใช้ชิปเหล่านี้ในงานวิจัย โดยมีการกล่าวถึงในสิทธิบัตรกว่า 35 ฉบับ หนึ่งในสิทธิบัตรถูกยื่นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจหมายถึงการใช้งานหลังจากมีการควบคุมการส่งออกแล้ว แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าชิปถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมายหรือผ่านตลาดมือสอง DeepSeek ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใช้ในโดรน P60 ถูกสงสัยว่าเทรนด้วยชิป Nvidia แต่รุ่นล่าสุดของมันสามารถทำงานร่วมกับชิป Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ของจีนได้แล้ว Nvidia ระบุว่า “การรีไซเคิลชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่” และ “การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกจำกัดในงานทหารจะไม่สามารถทำงานได้โดยไม่มีซอฟต์แวร์และการสนับสนุน” ✅ โดรน P60 ของจีนใช้ระบบ AI DeepSeek ➡️ พัฒนาโดย Norinco บริษัทของรัฐ ➡️ เคลื่อนที่ได้ 50 กม./ชม. และมีความสามารถสนับสนุนการรบอัตโนมัติ ✅ การใช้ชิป Nvidia H100 แม้ถูกแบน ➡️ พบในสิทธิบัตรของ NUDT และสถาบันวิจัยอื่น ๆ ➡️ มีสิทธิบัตรล่าสุดในปี 2025 ที่กล่าวถึง A100 ➡️ อาจได้มาจากตลาดมือสองหรือก่อนการควบคุม ✅ ความพยายามของจีนในการพึ่งพาชิปในประเทศ ➡️ ใช้ Huawei Ascend และซอฟต์แวร์ CANN ➡️ DeepSeek รุ่นใหม่รองรับชิปจีนโดยตรง ✅ มุมมองจาก Nvidia ➡️ การใช้ชิปเก่าไม่ก่อให้เกิดภัยใหม่ ➡️ ไม่มีซอฟต์แวร์หรือการสนับสนุนสำหรับงานทหาร ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การใช้ชิป AI ในงานทหารอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติ ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจไม่สามารถหยุดการใช้งานได้จริง ⛔ การพึ่งพาตลาดมือสองเปิดช่องให้เกิดการละเมิดนโยบาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinas-autonomous-military-combat-drone-powered-by-deepseek-highlights-nvidia-reliance-investigation-reveals-peoples-liberation-army-supporting-institutions-continue-to-use-restricted-h100-chips
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เปิดตัว “Ghost Posts” บน Threads — แชร์ได้แบบไม่ต้องกลัวถูกจดจำ

    Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บนแอป Threads ที่ชื่อว่า “Ghost Posts” ซึ่งเป็นโพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ความคิดแบบสดใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความถาวรหรือภาพลักษณ์

    Ghost Posts เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Stories” บน Instagram และ Facebook แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ใน Threads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนาแบบข้อความ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้โดยกดไอคอนรูปผีในหน้าสร้างโพสต์

    โพสต์ที่เป็น Ghost จะปรากฏในฟีดเป็นฟองข้อความสีเทาแบบจุดไข่ปลา เพื่อแยกจากโพสต์ปกติ และจะถูกลบอัตโนมัติหลัง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ลบเอง

    ที่สำคัญคือ การตอบกลับโพสต์แบบ Ghost จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์เท่านั้น ไม่แสดงต่อสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยแบบส่วนตัวได้มากขึ้น

    Meta ระบุว่า ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ “แชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจดจำหรือถูกตัดสิน” และเป็นการส่งเสริมการใช้งาน Threads ให้หลากหลายขึ้น

    Ghost Posts คืออะไร
    โพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมง
    ใช้ไอคอนรูปผีเพื่อเปิดใช้งานในหน้าสร้างโพสต์
    แสดงเป็นฟองข้อความสีเทาแบบ dotted bubble

    การตอบกลับแบบส่วนตัว
    คอมเมนต์จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์
    ไม่แสดงต่อสาธารณะหรือในฟีด

    เป้าหมายของฟีเจอร์
    ส่งเสริมการแชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวผลกระทบ
    ลดแรงกดดันจากการโพสต์แบบถาวร
    เพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน Threads

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    แม้โพสต์จะหายไป แต่อาจถูกแคปหน้าจอหรือบันทึกโดยผู้อื่น
    ไม่ควรใช้ Ghost Posts เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือเนื้อหาละเมิด
    การตอบกลับแบบส่วนตัวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหากไม่ระวัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/meta-launches-039ghost-posts039-that-disappear-after-24-hours-on-threads
    👻 Meta เปิดตัว “Ghost Posts” บน Threads — แชร์ได้แบบไม่ต้องกลัวถูกจดจำ Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บนแอป Threads ที่ชื่อว่า “Ghost Posts” ซึ่งเป็นโพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ความคิดแบบสดใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความถาวรหรือภาพลักษณ์ Ghost Posts เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Stories” บน Instagram และ Facebook แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ใน Threads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนาแบบข้อความ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้โดยกดไอคอนรูปผีในหน้าสร้างโพสต์ โพสต์ที่เป็น Ghost จะปรากฏในฟีดเป็นฟองข้อความสีเทาแบบจุดไข่ปลา เพื่อแยกจากโพสต์ปกติ และจะถูกลบอัตโนมัติหลัง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ลบเอง ที่สำคัญคือ การตอบกลับโพสต์แบบ Ghost จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์เท่านั้น ไม่แสดงต่อสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยแบบส่วนตัวได้มากขึ้น Meta ระบุว่า ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ “แชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจดจำหรือถูกตัดสิน” และเป็นการส่งเสริมการใช้งาน Threads ให้หลากหลายขึ้น ✅ Ghost Posts คืออะไร ➡️ โพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมง ➡️ ใช้ไอคอนรูปผีเพื่อเปิดใช้งานในหน้าสร้างโพสต์ ➡️ แสดงเป็นฟองข้อความสีเทาแบบ dotted bubble ✅ การตอบกลับแบบส่วนตัว ➡️ คอมเมนต์จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์ ➡️ ไม่แสดงต่อสาธารณะหรือในฟีด ✅ เป้าหมายของฟีเจอร์ ➡️ ส่งเสริมการแชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวผลกระทบ ➡️ ลดแรงกดดันจากการโพสต์แบบถาวร ➡️ เพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน Threads ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ แม้โพสต์จะหายไป แต่อาจถูกแคปหน้าจอหรือบันทึกโดยผู้อื่น ⛔ ไม่ควรใช้ Ghost Posts เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือเนื้อหาละเมิด ⛔ การตอบกลับแบบส่วนตัวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหากไม่ระวัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/meta-launches-039ghost-posts039-that-disappear-after-24-hours-on-threads
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta launches 'ghost posts' that disappear after 24 hours on Threads
    (Reuters) -Social media giant Meta launched on Monday posts that are automatically archived 24 hours after being uploaded, dubbed "ghost posts," on its Threads app, mimicking a popular feature available on its other platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas Browser — เมื่อ AI จำคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว

    บทความจาก HackRead เผยช่องโหว่ร้ายแรงใน ChatGPT Atlas Browser ที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก LayerX Security ซึ่งตั้งชื่อว่า “ChatGPT Tainted Memories” โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของ ChatGPT ขณะใช้งาน Atlas Browser ทำให้ AI ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ

    ChatGPT Atlas เป็นเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่ใช้ความสามารถของ AI ในการอ่านเว็บ สรุปข้อมูล และดำเนินการแทนผู้ใช้ เช่น เปิดบัญชีหรือดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่องโหว่ที่พบทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อ Atlas อ่านข้อมูลนั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ มันก็จะดำเนินการทันทีโดยไม่ตรวจสอบ

    ที่น่ากังวลคือคำสั่งเหล่านี้อาจฝังอยู่ในหน่วยความจำของ ChatGPT และยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนหน้าเว็บหรืออุปกรณ์ ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้ในระยะยาว

    นอกจากนี้ Atlas ยังไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดีพอ ทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปถึง 90% ตามรายงานของ LayerX

    ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas
    แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาเว็บ
    ChatGPT อาจเข้าใจผิดว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้
    ดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบ เช่น เปิดบัญชีหรือเข้าถึงไฟล์

    ความเสี่ยงจากหน่วยความจำของ AI
    คำสั่งอันตรายอาจอยู่ในหน่วยความจำข้ามอุปกรณ์หรือเซสชัน
    แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ในระยะยาว

    ปัญหาด้าน phishing
    Atlas ไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดี
    ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ Chrome หรือ Edge ถึง 90%

    คำแนะนำจากนักวิจัย
    หลีกเลี่ยงการใช้ Atlas กับบัญชีสำคัญ เช่น อีเมลหรือธนาคาร
    ใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง
    ตรวจสอบหน่วยความจำและประวัติการทำงานของ AI เป็นระยะ
    องค์กรควรจำกัดสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งาน AI browser อย่างเข้มงวด

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Atlas
    อย่าใช้เบราว์เซอร์นี้กับข้อมูลสำคัญจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไข
    หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักขณะใช้ Atlas
    ตรวจสอบว่า AI ทำงานตามคำสั่งจริง ไม่ใช่คำสั่งที่ถูกฝังไว้

    https://hackread.com/chatgpt-tainted-memories-atlas-browser/
    🧠 ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas Browser — เมื่อ AI จำคำสั่งอันตรายโดยไม่รู้ตัว บทความจาก HackRead เผยช่องโหว่ร้ายแรงใน ChatGPT Atlas Browser ที่ถูกค้นพบโดยนักวิจัยจาก LayerX Security ซึ่งตั้งชื่อว่า “ChatGPT Tainted Memories” โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของ ChatGPT ขณะใช้งาน Atlas Browser ทำให้ AI ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ ChatGPT Atlas เป็นเบราว์เซอร์ใหม่จาก OpenAI ที่ใช้ความสามารถของ AI ในการอ่านเว็บ สรุปข้อมูล และดำเนินการแทนผู้ใช้ เช่น เปิดบัญชีหรือดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่องโหว่ที่พบทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อ Atlas อ่านข้อมูลนั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ มันก็จะดำเนินการทันทีโดยไม่ตรวจสอบ ที่น่ากังวลคือคำสั่งเหล่านี้อาจฝังอยู่ในหน่วยความจำของ ChatGPT และยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนหน้าเว็บหรืออุปกรณ์ ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ Atlas ยังไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดีพอ ทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปถึง 90% ตามรายงานของ LayerX ✅ ช่องโหว่ “Tainted Memories” ใน ChatGPT Atlas ➡️ แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งลับลงในเนื้อหาเว็บ ➡️ ChatGPT อาจเข้าใจผิดว่าเป็นคำสั่งจากผู้ใช้ ➡️ ดำเนินการโดยไม่ตรวจสอบ เช่น เปิดบัญชีหรือเข้าถึงไฟล์ ✅ ความเสี่ยงจากหน่วยความจำของ AI ➡️ คำสั่งอันตรายอาจอยู่ในหน่วยความจำข้ามอุปกรณ์หรือเซสชัน ➡️ แฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ในระยะยาว ✅ ปัญหาด้าน phishing ➡️ Atlas ไม่มีระบบป้องกัน phishing ที่ดี ➡️ ผู้ใช้มีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ Chrome หรือ Edge ถึง 90% ✅ คำแนะนำจากนักวิจัย ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้ Atlas กับบัญชีสำคัญ เช่น อีเมลหรือธนาคาร ➡️ ใช้เบราว์เซอร์ทั่วไปสำหรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง ➡️ ตรวจสอบหน่วยความจำและประวัติการทำงานของ AI เป็นระยะ ➡️ องค์กรควรจำกัดสิทธิ์และตรวจสอบการใช้งาน AI browser อย่างเข้มงวด ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Atlas ⛔ อย่าใช้เบราว์เซอร์นี้กับข้อมูลสำคัญจนกว่าจะมีแพตช์แก้ไข ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ที่ไม่รู้จักขณะใช้ Atlas ⛔ ตรวจสอบว่า AI ทำงานตามคำสั่งจริง ไม่ใช่คำสั่งที่ถูกฝังไว้ https://hackread.com/chatgpt-tainted-memories-atlas-browser/
    HACKREAD.COM
    ‘ChatGPT Tainted Memories’ Exploit Enables Command Injection in Atlas Browser
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/QfARHXwYorI?si=rPjLKqmEZbhl_T-A
    https://youtu.be/QfARHXwYorI?si=rPjLKqmEZbhl_T-A
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • ByteDance เตรียมเปิดตัว GameTop – แพลตฟอร์มเกมใหม่ชน Steam พร้อมฟีเจอร์ AI และโซเชียล

    จำได้ไหมว่าเมื่อก่อน Steam คือเจ้าตลาดเกม PC แบบไร้คู่แข่ง? ตอนนี้ ByteDance กำลังจะเข้ามาเขย่าบัลลังก์นั้นด้วย GameTop แพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านขายเกม แต่ยังเป็นพื้นที่โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI

    GameTop จะเปิดให้ผู้ใช้ซื้อเกม ดาวน์โหลด และเล่นได้เหมือน Steam หรือ Epic Games Store แต่ที่น่าสนใจคือมันจะมีระบบ “โปรไฟล์ผู้ใช้” ป้ายรางวัล ระบบแต้ม และฟีเจอร์โซเชียลที่คล้ายกับ TikTok รวมถึงเครื่องมือสร้างคอนเทนต์แบบ UGC (User-Generated Content) ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้เล่นสร้างคลิป แชร์รีวิว หรือแม้แต่สร้างเกมเล็กๆ ได้เอง

    การพัฒนา GameTop เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ByteDance โดยทีมเกมของบริษัทหันมาเน้นการจัดจำหน่ายมากกว่าการพัฒนาเกมเอง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า GameTop จะเปิดตัวเมื่อไร แต่การจ้างงานในจีนที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มนี้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปิดให้บริการในหลายประเทศ

    ByteDance พัฒนา GameTop
    เป็นแพลตฟอร์มเกม PC ที่เน้นตลาดต่างประเทศ
    มีระบบจัดจำหน่ายเกมเหมือน Steam
    มีฟีเจอร์โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI

    จุดเด่นของ GameTop
    ระบบโปรไฟล์ ป้ายรางวัล และแต้มสะสม
    ฟีเจอร์ UGC ที่ใช้ AI ช่วยสร้างคลิปหรือเกม
    คล้ายกับ TikTok แต่เน้นเกมเป็นหลัก

    การปรับโครงสร้างภายใน ByteDance
    หันมาเน้นการจัดจำหน่ายเกมแทนการพัฒนาเอง
    ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    นำโดย Zhang Yunfan ผู้บริหารสายเกมคนใหม่

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/chinas-bytedance-reportedly-building-a-steam-competitor-gametop-for-overseas-markets-will-distribute-and-publish-games-like-any-other-store-while-harboring-a-social-space-with-ai-assisted-creator-tools
    🎮 ByteDance เตรียมเปิดตัว GameTop – แพลตฟอร์มเกมใหม่ชน Steam พร้อมฟีเจอร์ AI และโซเชียล จำได้ไหมว่าเมื่อก่อน Steam คือเจ้าตลาดเกม PC แบบไร้คู่แข่ง? ตอนนี้ ByteDance กำลังจะเข้ามาเขย่าบัลลังก์นั้นด้วย GameTop แพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ร้านขายเกม แต่ยังเป็นพื้นที่โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI GameTop จะเปิดให้ผู้ใช้ซื้อเกม ดาวน์โหลด และเล่นได้เหมือน Steam หรือ Epic Games Store แต่ที่น่าสนใจคือมันจะมีระบบ “โปรไฟล์ผู้ใช้” ป้ายรางวัล ระบบแต้ม และฟีเจอร์โซเชียลที่คล้ายกับ TikTok รวมถึงเครื่องมือสร้างคอนเทนต์แบบ UGC (User-Generated Content) ที่ใช้ AI ช่วยให้ผู้เล่นสร้างคลิป แชร์รีวิว หรือแม้แต่สร้างเกมเล็กๆ ได้เอง การพัฒนา GameTop เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ByteDance โดยทีมเกมของบริษัทหันมาเน้นการจัดจำหน่ายมากกว่าการพัฒนาเกมเอง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า GameTop จะเปิดตัวเมื่อไร แต่การจ้างงานในจีนที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มนี้เริ่มขึ้นแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปิดให้บริการในหลายประเทศ ✅ ByteDance พัฒนา GameTop ➡️ เป็นแพลตฟอร์มเกม PC ที่เน้นตลาดต่างประเทศ ➡️ มีระบบจัดจำหน่ายเกมเหมือน Steam ➡️ มีฟีเจอร์โซเชียลและเครื่องมือสร้างคอนเทนต์ด้วย AI ✅ จุดเด่นของ GameTop ➡️ ระบบโปรไฟล์ ป้ายรางวัล และแต้มสะสม ➡️ ฟีเจอร์ UGC ที่ใช้ AI ช่วยสร้างคลิปหรือเกม ➡️ คล้ายกับ TikTok แต่เน้นเกมเป็นหลัก ✅ การปรับโครงสร้างภายใน ByteDance ➡️ หันมาเน้นการจัดจำหน่ายเกมแทนการพัฒนาเอง ➡️ ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ นำโดย Zhang Yunfan ผู้บริหารสายเกมคนใหม่ https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/chinas-bytedance-reportedly-building-a-steam-competitor-gametop-for-overseas-markets-will-distribute-and-publish-games-like-any-other-store-while-harboring-a-social-space-with-ai-assisted-creator-tools
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ”

    ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน

    โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

    แนวคิดหลักของ Montessori
    การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก
    ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม
    รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom)
    ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ
    ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน

    งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ

    ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า

    ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน

    ผลการศึกษาระดับชาติ
    ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori
    ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ

    ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้
    เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม
    ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น

    ความคุ้มค่าทางงบประมาณ
    ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน
    โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน
    ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง

    ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม
    เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
    เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori

    ความหมายเชิงนโยบาย
    โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น
    เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย

    https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    📰 “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ” ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 🧠 แนวคิดหลักของ Montessori 🎗️ การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก 🎗️ ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม 🎗️ รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom) 🎗️ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ 🎗️ ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน ✅ ผลการศึกษาระดับชาติ ➡️ ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ➡️ ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ ✅ ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ ➡️ เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม ➡️ ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น ✅ ความคุ้มค่าทางงบประมาณ ➡️ ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน ➡️ โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน ➡️ ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง ✅ ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม ➡️ เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ➡️ เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori ✅ ความหมายเชิงนโยบาย ➡️ โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น ➡️ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    PHYS.ORG
    National study finds public Montessori programs strengthen early learning outcomes—at sharply lower costs
    The first national randomized trial of public Montessori preschool students showed stronger long-term outcomes by kindergarten, including elevated reading, memory, and executive function as compared to non-Montessori preschoolers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Noperthedron – รูปร่างแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถทะลุตัวเองได้”

    ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17 เจ้าชาย Rupert แห่งราชวงศ์อังกฤษเคยเดิมพันว่า “ลูกเต๋าหนึ่งลูกสามารถเจาะรูให้ลูกเต๋าอีกลูกลอดผ่านได้” ซึ่งนักคณิตศาสตร์ John Wallis ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง หากเจาะรูในแนวทแยงของลูกเต๋าอย่างแม่นยำ

    นับแต่นั้นมา นักคณิตศาสตร์พยายามค้นหาว่ารูปร่างอื่น ๆ โดยเฉพาะ “convex polyhedra” หรือทรงตันที่ไม่มีรอยเว้า จะสามารถมีคุณสมบัติแบบเดียวกันได้หรือไม่ ซึ่งเรียกกันว่า “Rupert property” – ความสามารถในการเจาะรูให้รูปร่างเดียวกันลอดผ่านได้

    ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา นักคณิตศาสตร์พบว่าทรงลูกเต๋า, tetrahedron, octahedron, soccer ball และอีกหลายรูปทรงมี Rupert property จนกระทั่งมีการตั้งสมมติฐานว่า “ทุก convex polyhedron น่าจะมี Rupert property” …แต่ในปี 2025 สมมติฐานนี้ถูกทำลายลง

    Jakob Steininger และ Sergey Yurkevich สองนักคณิตศาสตร์จากออสเตรีย ได้สร้างรูปร่างใหม่ชื่อว่า “Noperthedron” ซึ่งมี 90 จุดยอดและ 152 ด้าน และพิสูจน์ได้ว่า “ไม่มีทาง” ที่จะเจาะรูให้ Noperthedron อีกชิ้นลอดผ่านได้ ไม่ว่าจะหมุนหรือวางในทิศทางใดก็ตาม

    การพิสูจน์นี้ใช้ทั้งทฤษฎีทางเรขาคณิตและการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์อย่างหนัก โดยแบ่งพื้นที่พารามิเตอร์ออกเป็น 18 ล้านบล็อก และตรวจสอบว่าทุกบล็อกไม่สามารถสร้าง Rupert tunnel ได้เลย

    ความเป็นมาของ Rupert property
    เริ่มจากเดิมพันในศตวรรษที่ 17 ว่าลูกเต๋าสามารถเจาะรูให้ลูกเต๋าอีกลูกลอดผ่านได้
    John Wallis พิสูจน์ได้ว่าทำได้จริง หากเจาะในแนวทแยง

    รูปร่างที่มี Rupert property
    Cube, tetrahedron, octahedron, dodecahedron, icosahedron, soccer ball
    นักคณิตศาสตร์เคยเชื่อว่า “ทุก convex polyhedron” มีคุณสมบัตินี้

    การค้นพบ Noperthedron
    สร้างโดย Jakob Steininger และ Sergey Yurkevich
    มี 90 จุดยอด และ 152 ด้าน
    พิสูจน์ว่าไม่สามารถเจาะรูให้รูปร่างเดียวกันลอดผ่านได้

    วิธีการพิสูจน์
    ใช้การวิเคราะห์เงาของรูปร่างในหลายทิศทาง
    ใช้ทฤษฎี global และ local theorem เพื่อคัดกรอง orientation
    ตรวจสอบ 18 ล้านบล็อกใน parameter space ด้วยคอมพิวเตอร์

    ความสำคัญของการค้นพบ
    ทำลายสมมติฐานเดิมที่เชื่อว่า “ทุก convex polyhedron” มี Rupert property
    เปิดทางให้ศึกษารูปร่างอื่น ๆ ที่อาจเป็น Nopert ได้

    https://www.quantamagazine.org/first-shape-found-that-cant-pass-through-itself-20251024/
    📰 “Noperthedron – รูปร่างแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถทะลุตัวเองได้” ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 17 เจ้าชาย Rupert แห่งราชวงศ์อังกฤษเคยเดิมพันว่า “ลูกเต๋าหนึ่งลูกสามารถเจาะรูให้ลูกเต๋าอีกลูกลอดผ่านได้” ซึ่งนักคณิตศาสตร์ John Wallis ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง หากเจาะรูในแนวทแยงของลูกเต๋าอย่างแม่นยำ นับแต่นั้นมา นักคณิตศาสตร์พยายามค้นหาว่ารูปร่างอื่น ๆ โดยเฉพาะ “convex polyhedra” หรือทรงตันที่ไม่มีรอยเว้า จะสามารถมีคุณสมบัติแบบเดียวกันได้หรือไม่ ซึ่งเรียกกันว่า “Rupert property” – ความสามารถในการเจาะรูให้รูปร่างเดียวกันลอดผ่านได้ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา นักคณิตศาสตร์พบว่าทรงลูกเต๋า, tetrahedron, octahedron, soccer ball และอีกหลายรูปทรงมี Rupert property จนกระทั่งมีการตั้งสมมติฐานว่า “ทุก convex polyhedron น่าจะมี Rupert property” …แต่ในปี 2025 สมมติฐานนี้ถูกทำลายลง Jakob Steininger และ Sergey Yurkevich สองนักคณิตศาสตร์จากออสเตรีย ได้สร้างรูปร่างใหม่ชื่อว่า “Noperthedron” ซึ่งมี 90 จุดยอดและ 152 ด้าน และพิสูจน์ได้ว่า “ไม่มีทาง” ที่จะเจาะรูให้ Noperthedron อีกชิ้นลอดผ่านได้ ไม่ว่าจะหมุนหรือวางในทิศทางใดก็ตาม การพิสูจน์นี้ใช้ทั้งทฤษฎีทางเรขาคณิตและการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์อย่างหนัก โดยแบ่งพื้นที่พารามิเตอร์ออกเป็น 18 ล้านบล็อก และตรวจสอบว่าทุกบล็อกไม่สามารถสร้าง Rupert tunnel ได้เลย ✅ ความเป็นมาของ Rupert property ➡️ เริ่มจากเดิมพันในศตวรรษที่ 17 ว่าลูกเต๋าสามารถเจาะรูให้ลูกเต๋าอีกลูกลอดผ่านได้ ➡️ John Wallis พิสูจน์ได้ว่าทำได้จริง หากเจาะในแนวทแยง ✅ รูปร่างที่มี Rupert property ➡️ Cube, tetrahedron, octahedron, dodecahedron, icosahedron, soccer ball ➡️ นักคณิตศาสตร์เคยเชื่อว่า “ทุก convex polyhedron” มีคุณสมบัตินี้ ✅ การค้นพบ Noperthedron ➡️ สร้างโดย Jakob Steininger และ Sergey Yurkevich ➡️ มี 90 จุดยอด และ 152 ด้าน ➡️ พิสูจน์ว่าไม่สามารถเจาะรูให้รูปร่างเดียวกันลอดผ่านได้ ✅ วิธีการพิสูจน์ ➡️ ใช้การวิเคราะห์เงาของรูปร่างในหลายทิศทาง ➡️ ใช้ทฤษฎี global และ local theorem เพื่อคัดกรอง orientation ➡️ ตรวจสอบ 18 ล้านบล็อกใน parameter space ด้วยคอมพิวเตอร์ ✅ ความสำคัญของการค้นพบ ➡️ ทำลายสมมติฐานเดิมที่เชื่อว่า “ทุก convex polyhedron” มี Rupert property ➡️ เปิดทางให้ศึกษารูปร่างอื่น ๆ ที่อาจเป็น Nopert ได้ https://www.quantamagazine.org/first-shape-found-that-cant-pass-through-itself-20251024/
    WWW.QUANTAMAGAZINE.ORG
    First Shape Found That Can’t Pass Through Itself
    After more than three centuries, a geometry problem that originated with a royal bet has been solved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis

    เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก

    ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น

    คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น

    ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป

    Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง

    กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth

    ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน

    ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น

    ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024

    กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ

    ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    🎶 เพลงที่ทำให้ Evangelion เป็นมากกว่าอนิเมะ: เปิดตำนาน A Cruel Angel’s Thesis ▶️ เพลง “A Cruel Angel’s Thesis” หรือที่รู้จักในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “Zankoku na Tenshi no Tēze” ถือเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอนิเมะที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป๊อปของญี่ปุ่นและทั่วโลก เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงเปิดของอนิเมะ Neon Genesis Evangelion ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1995 ทางสถานี TV Tokyo เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงยุคทองของอนิเมะในทศวรรษ 1990s ซึ่งผสมผสานธีมปรัชญา จิตวิทยา และแอ็กชันได้อย่างลงตัว บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติการสร้าง ผลงาน และความโด่งดังของเพลงนี้อย่างละเอียด โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เห็นภาพรวมการเดินทางจากเพลงประกอบอนิเมะธรรมดาสู่ไอคอนระดับโลก 🎂 ต้นกำเนิดและแรงบันดาลใจของเพลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่อนิเมะ Neon Genesis Evangelion กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต โดยผู้กำกับ Hideaki Anno จากสตูดิโอ Gainax เดิมที Anno ต้องการใช้เพลงคลาสสิกจากโอเปร่ารัสเซียเรื่อง Prince Igor ชื่อ “Polovtsian Dances” ของ Alexander Borodin เป็นเพลงเปิด เพื่อสร้างความแปลกใหม่และทดลอง แต่สถานีโทรทัศน์ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเพลงนั้น “ก้าวหน้าจนเกินไป” สำหรับอนิเมะที่ออกอากาศช่วงดึก จึงเปลี่ยนมาใช้เพลง J-Pop ซึ่งเป็นแนวเพลงยอดนิยมในญี่ปุ่นในเวลานั้น ✍️ คำร้องของเพลงเขียนโดย Neko Oikawa ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างเนื้อหาที่ “ยากและปรัชญา” เพื่อสะท้อนธีมของอนิเมะที่เกี่ยวกับการต่อสู้ภายในจิตใจมนุษย์ ชะตากรรม และการเติบโต แม้ว่า Oikawa จะมีข้อมูลจำกัด เธอเพียงแค่ได้อ่านแผนเสนอโครงการและดูตอนแรกๆ ของอนิเมะแบบเร่งความเร็ว ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการเขียนคำร้องทั้งหมด โดยมองผ่านมุมมองของ “แม่” ที่ไม่อยากให้ลูกเติบโตและออกจากรัง แต่ต้องยอมรับชะตากรรม ชื่อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากมังงะ “A Cruel God Reigns” (Zankoku na Kami ga Shihai Suru) ของ Moto Hagio ซึ่งมีเนื้อหามืดมนเกี่ยวกับเด็กชายวัย 15 ปีที่เผชิญกับความทุกข์ทรมานจากความผิด การใช้ยาเสพติด และการค้าประเวณี แต่ Oikawa เลือกเน้นธีม “แม่และลูก” แทนโดยไม่ใช้ส่วนที่มืดมนเหล่านั้น 🎼 ทำนองเพลงแต่งโดย Hidetoshi Sato และจัดโดย Toshiyuki Omori โดยการผลิตทั้งหมดเกิดขึ้นแยกจากทีมอนิเมะเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความสดใหม่ เพลงนี้มีส่วน instrumental ที่น่าสนใจ เช่น คอรัสในภาษาที่ไม่สามารถแปลได้ ซึ่งบางคนเชื่อว่าได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโบราณหรือ Dead Sea Scrolls นอกจากนี้ Anno ยังขอปรับคำร้องบางส่วน เช่น เปลี่ยนจาก “กลายเป็นอาวุธ” เป็น “กลายเป็นตำนาน” เพื่อเน้นความรักของแม่มากขึ้น และตัดคอรัสชายออกไป 🎤 Yoko Takahashi นักร้องนำ ได้รับเลือกแบบสุ่มและบันทึกเสียงโดยไม่ทราบรายละเอียดของอนิเมะมากนัก เธอพบกับ Anno ครั้งแรกในวันบันทึกเสียง และได้ยินเพลงเปิดตัวพร้อมเสียงของตัวเองครั้งแรกตอนออกอากาศทางทีวี เพลงนี้เป็นซิงเกิลที่ 11 ของเธอ และปล่อยออกมาในวันที่ 25 ตุลาคม 1995 ภายใต้ catalog KIDA-116 พร้อมเพลง “Fly Me to the Moon” ซึ่งเป็นเพลงปิดเรื่อง 💿 กระบวนการผลิตเพลงเกิดขึ้นก่อนที่อนิเมะจะเสร็จสิ้น โดย Toshimichi Otsuki จาก King Records เป็นผู้ดูแลทีมดนตรีแยกต่างหากจาก Anno เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซง แม้กระบวนการจะเร่งรีบ เพลงกลับเข้ากับภาพเปิดเรื่องได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีเวอร์ชัน instrumental สองเวอร์ชันในตอนจบของอนิเมะ ได้แก่ “The Heady Feeling of Freedom” ซึ่งเป็นชิ้นเศร้าๆ สำหรับเครื่องสายและกีตาร์ และ “Good, or Don’t Be” ที่เล่นด้วยเปียโนและกีตาร์เบาๆ เวอร์ชันคล้ายกันยังปรากฏในภาพยนตร์ Evangelion: Death and Rebirth 🎗️ตลอดหลายปี เพลงนี้มีเวอร์ชันรีมิกซ์และ cover มากมาย รวมถึงเวอร์ชัน Director’s Edit และเวอร์ชันในภาพยนตร์ Rebuild of Evangelion Takahashi ยังคงฝึกซ้อมร้องเพลงนี้ทุกวัน สูงสุด 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะส่วน a cappella ที่ยาก เพื่อให้การแสดงสดยังคงความสดใหม่เหมือนเดิม ในปี 2021 เธอออกหนังสือสอนร้องเพลงนี้และ “Soul’s Refrain” โดยแนะนำให้เริ่มจาก tempo ช้าๆ และฝึก melody ก่อน 🏆 ความสำเร็จของเพลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังปล่อยออกมา เพลงขึ้นอันดับ 17 ในชาร์ต Oricon และอยู่ในชาร์ตนานถึง 61 สัปดาห์ กลายเป็นเพลงอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในญี่ปุ่น โดยติดอันดับต้นๆ ในโพล anisong และคาราโอเกะอย่างต่อเนื่อง ในปี 2025 เพลงนี้ยังติดอันดับ 4 ในชาร์ตคาราโอเกะ JOYSOUND สำหรับครึ่งปีแรก แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนแม้ผ่านไปเกือบ 30 ปี ตามข้อมูลจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers เพลงนี้ยังคงเป็นเพลงที่สร้างรายได้จากลิขสิทธิ์สูงสุดในญี่ปุ่น 🌏 ในระดับสากล เพลงนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงเปิดอนิเมะที่จดจำได้มากที่สุด แม้แต่คนที่ไม่เคยดูอนิเมะก็รู้จัก มันกลายเป็น meme บนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในวิดีโอ YouTube และ Reddit ที่นำไป remix หรือ parody นอกจากนี้ยังถูกนำไป sample ในเพลงฮิปฮอป เช่น ในเพลง “Evangelica” ของศิลปินอเมริกัน Albe Back ในปี 2022 ความนิยมยังขยายไปสู่การแสดงสด โดย Takahashi แสดงเพลงนี้ในงานใหญ่ๆ เช่น Anime NYC 2025 ที่เธอชักชวนแฟนๆ ร้องตามทั้งฮอลล์, AnimagiC 2025 ในเยอรมนี และแม้แต่ในรายการปีใหม่ของสถานีโทรทัศน์ตุรกีในปี 2024 ⌛ กว่าเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา “A Cruel Angel’s Thesis” ไม่ได้เป็นเพียงเพลงเปิดของ Neon Genesis Evangelion เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมอนิเมะญี่ปุ่นที่หลอมรวมปรัชญา ดนตรี และอารมณ์ของยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างงดงาม เสียงร้องของ Yoko Takahashi ไม่ได้เพียงปลุกผู้ชมให้ตื่นขึ้นในตอนต้นของทุกตอน แต่ยังปลุกให้คนทั้งรุ่นหันกลับมามอง “ตัวตน” และ “ความหมายของการเติบโต” ที่ Evangelion ต้องการสื่อ 📻 ทุกครั้งที่เสียงอินโทรแรกดังขึ้น ความทรงจำของแฟน ๆ ทั่วโลกก็ยังคงถ่ายทอดต่อกันเหมือนเทวทูตที่ไม่เคยหลับใหล เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ดนตรี” สามารถสร้างพลังให้ภาพยนตร์หรืออนิเมะกลายเป็นตำนานได้จริง และแม้โลกจะเปลี่ยนไปเพียงใด ท่วงทำนองแห่งเทวทูตผู้โหดร้ายนี้…ก็จะยังคงก้องอยู่ในใจผู้คนตราบนานเท่านาน 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/y5wkebBCwAE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือใช้กลยุทธ์ “DreamJob” หลอกบริษัทโดรนในยุโรป – ขโมยข้อมูล UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน

    กลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้ใช้กลยุทธ์หลอกลวงผ่าน “DreamJob” เพื่อเจาะระบบบริษัทด้านการผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก โดยแสร้งเป็นบริษัทต่างชาติที่เสนองานให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี UAV (Unmanned Aerial Vehicle)

    ผู้ที่หลงเชื่อจะถูกเชิญให้เข้าร่วมการสัมภาษณ์หลายรอบ และถูกขอให้ดาวน์โหลดไฟล์ PDF หรือโปรแกรมที่แฝงมัลแวร์ ซึ่งจะติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ชื่อ ScoringMathTea เพื่อให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ

    เป้าหมายของการโจมตีคือการขโมยข้อมูลการออกแบบและการผลิตโดรนที่ใช้ในสงครามยูเครน ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาเทคโนโลยี UAV ของตนเอง และต้องการข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อเร่งการพัฒนา

    กลยุทธ์ “DreamJob” ของ Lazarus
    สร้างบริษัทและตำแหน่งงานปลอม
    เชิญเป้าหมายเข้าสัมภาษณ์หลายรอบ
    หลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์
    ติดตั้ง RAT ชื่อ ScoringMathTea เพื่อควบคุมเครื่อง

    เป้าหมายของการโจมตี
    บริษัทผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก
    ขโมยข้อมูลการออกแบบ UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน
    สนับสนุนการพัฒนาโดรนของเกาหลีเหนือ
    ใช้ข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี

    ความเชื่อมโยงกับสถานการณ์โลก
    เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียในภูมิภาค Kursk
    การโจมตีเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2024
    บริษัทที่ถูกเจาะระบบผลิตโดรนแบบ single-rotor ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาอยู่

    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-hackers-target-european-defense-firms-with-dream-job-scam
    🎯 กลุ่มแฮกเกอร์ Lazarus จากเกาหลีเหนือใช้กลยุทธ์ “DreamJob” หลอกบริษัทโดรนในยุโรป – ขโมยข้อมูล UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน กลุ่ม Lazarus ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้ใช้กลยุทธ์หลอกลวงผ่าน “DreamJob” เพื่อเจาะระบบบริษัทด้านการผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก โดยแสร้งเป็นบริษัทต่างชาติที่เสนองานให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี UAV (Unmanned Aerial Vehicle) ผู้ที่หลงเชื่อจะถูกเชิญให้เข้าร่วมการสัมภาษณ์หลายรอบ และถูกขอให้ดาวน์โหลดไฟล์ PDF หรือโปรแกรมที่แฝงมัลแวร์ ซึ่งจะติดตั้ง Remote Access Trojan (RAT) ชื่อ ScoringMathTea เพื่อให้แฮกเกอร์ควบคุมเครื่องได้เต็มรูปแบบ เป้าหมายของการโจมตีคือการขโมยข้อมูลการออกแบบและการผลิตโดรนที่ใช้ในสงครามยูเครน ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาเทคโนโลยี UAV ของตนเอง และต้องการข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อเร่งการพัฒนา ✅ กลยุทธ์ “DreamJob” ของ Lazarus ➡️ สร้างบริษัทและตำแหน่งงานปลอม ➡️ เชิญเป้าหมายเข้าสัมภาษณ์หลายรอบ ➡️ หลอกให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่แฝงมัลแวร์ ➡️ ติดตั้ง RAT ชื่อ ScoringMathTea เพื่อควบคุมเครื่อง ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ บริษัทผลิตโดรนในยุโรปตะวันออก ➡️ ขโมยข้อมูลการออกแบบ UAV ที่ใช้ในสงครามยูเครน ➡️ สนับสนุนการพัฒนาโดรนของเกาหลีเหนือ ➡️ ใช้ข้อมูลจากสนามรบจริงเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยี ✅ ความเชื่อมโยงกับสถานการณ์โลก ➡️ เกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียในภูมิภาค Kursk ➡️ การโจมตีเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2024 ➡️ บริษัทที่ถูกเจาะระบบผลิตโดรนแบบ single-rotor ซึ่งเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาอยู่ https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-hackers-target-european-defense-firms-with-dream-job-scam
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไอคอน Windows 95 ยังซ่อนอยู่ใน Windows 11 – ย้อนวันวานผ่านไฟล์ลับ pifmgr.dll

    แม้ Windows 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดของ Microsoft แต่ยังมี “ไอคอนยุคโบราณ” จาก Windows 95 ซ่อนอยู่ในระบบ! Raymond Chen วิศวกรของ Microsoft เผยว่าไฟล์ชื่อ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ยังเก็บไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สีไว้เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 1995

    ไฟล์นี้เคยใช้สำหรับจัดการ PIF (Program Information Files) ซึ่งเป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Windows 95 รันโปรแกรม MS-DOS ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไอคอนเองได้เมื่อโปรแกรมไม่มีไอคอนเฉพาะ

    หากคุณอยากลองใช้ไอคอนเหล่านี้บน Windows 11 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไอคอนของ shortcut โดยระบุเส้นทางไปที่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ในหน้าต่าง “Change Icon”

    นอกจากนี้ยังมีไฟล์ DLL อื่น ๆ ที่เก็บไอคอนจากยุคต่าง ๆ เช่น imageres.dll และ moricons.dll ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง

    ไอคอน Windows 95 ยังอยู่ใน Windows 11
    ซ่อนอยู่ในไฟล์ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32
    เป็นไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สี
    เคยใช้กับโปรแกรม MS-DOS ที่ไม่มีไอคอนเฉพาะ

    วิธีเรียกดูและใช้งานไอคอนเก่า
    คลิกขวา shortcut → Properties → Shortcut tab
    กด “Change Icon” แล้วใส่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll
    เลือกไอคอนที่ต้องการแล้วกด OK

    ไฟล์อื่นที่มีไอคอนเก่า
    imageres.dll – ไอคอนระบบทั่วไป
    moricons.dll – ไอคอนจากยุค Windows 3.x
    ใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง

    https://www.techradar.com/computing/windows/windows-95-icons-still-exist-in-windows-11-today-as-dusty-old-relics-from-another-time-heres-where-to-find-them
    🖼️ ไอคอน Windows 95 ยังซ่อนอยู่ใน Windows 11 – ย้อนวันวานผ่านไฟล์ลับ pifmgr.dll แม้ Windows 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดของ Microsoft แต่ยังมี “ไอคอนยุคโบราณ” จาก Windows 95 ซ่อนอยู่ในระบบ! Raymond Chen วิศวกรของ Microsoft เผยว่าไฟล์ชื่อ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ยังเก็บไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สีไว้เหมือนเดิมตั้งแต่ปี 1995 ไฟล์นี้เคยใช้สำหรับจัดการ PIF (Program Information Files) ซึ่งเป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Windows 95 รันโปรแกรม MS-DOS ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไอคอนเองได้เมื่อโปรแกรมไม่มีไอคอนเฉพาะ หากคุณอยากลองใช้ไอคอนเหล่านี้บน Windows 11 ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปลี่ยนไอคอนของ shortcut โดยระบุเส้นทางไปที่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ในหน้าต่าง “Change Icon” นอกจากนี้ยังมีไฟล์ DLL อื่น ๆ ที่เก็บไอคอนจากยุคต่าง ๆ เช่น imageres.dll และ moricons.dll ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง ✅ ไอคอน Windows 95 ยังอยู่ใน Windows 11 ➡️ ซ่อนอยู่ในไฟล์ pifmgr.dll ในโฟลเดอร์ System32 ➡️ เป็นไอคอนขนาด 32x32 พิกเซล สี 16 สี ➡️ เคยใช้กับโปรแกรม MS-DOS ที่ไม่มีไอคอนเฉพาะ ✅ วิธีเรียกดูและใช้งานไอคอนเก่า ➡️ คลิกขวา shortcut → Properties → Shortcut tab ➡️ กด “Change Icon” แล้วใส่ %SystemRoot%\System32\pifmgr.dll ➡️ เลือกไอคอนที่ต้องการแล้วกด OK ✅ ไฟล์อื่นที่มีไอคอนเก่า ➡️ imageres.dll – ไอคอนระบบทั่วไป ➡️ moricons.dll – ไอคอนจากยุค Windows 3.x ➡️ ใช้วิธีเดียวกันในการเข้าถึง https://www.techradar.com/computing/windows/windows-95-icons-still-exist-in-windows-11-today-as-dusty-old-relics-from-another-time-heres-where-to-find-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค

    Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026

    บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600

    นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น

    ปัญหาการผลิตของ Intel
    ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10
    ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล
    ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
    คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026

    การจัดลำดับความสำคัญ
    Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน
    เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’
    เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า
    ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต

    ปัจจัยซ้ำเติม
    ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป
    ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร
    ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    💥 Intel เผชิญปัญหาขาดแคลนการผลิต – เตรียมขึ้นราคาชิปและเน้นส่งมอบให้ศูนย์ข้อมูลก่อนผู้บริโภค Intel กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนการผลิตอย่างหนัก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Intel 7 และ Intel 10 ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถผลิตชิปได้เพียงพอต่อความต้องการทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ส่งผลให้ราคาชิปบางรุ่น เช่น Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น และจะยังคงขาดตลาดไปจนถึงปี 2026 บริษัทตัดสินใจ “จัดลำดับความสำคัญ” โดยจะเน้นการผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon Scalable ‘Emerald Rapids’ เพราะสามารถขายได้ในราคาหลายพันดอลลาร์ต่อหน่วย ในขณะที่ชิปสำหรับผู้บริโภคมีราคาต่ำกว่า $600 นอกจากนี้ยังมีปัญหาขาดแคลนวัสดุพื้นฐาน เช่น substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ซึ่งยิ่งซ้ำเติมปัญหาการผลิตให้รุนแรงขึ้น ✅ ปัญหาการผลิตของ Intel ➡️ ขาดแคลนกำลังการผลิตใน Intel 7 และ Intel 10 ➡️ ส่งผลต่อการผลิตทั้งฝั่งผู้บริโภคและศูนย์ข้อมูล ➡️ ราคาชิป Raptor Lake เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ➡️ คาดว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2026 ✅ การจัดลำดับความสำคัญ ➡️ Intel จะเน้นผลิตชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลก่อน ➡️ เช่น Xeon 6 ‘Granite Rapids’ และ Xeon ‘Emerald Rapids’ ➡️ เพราะขายได้ราคาสูงกว่าชิปผู้บริโภคหลายเท่า ➡️ ชิปสำหรับผู้บริโภคจะถูกลดปริมาณการผลิต ✅ ปัจจัยซ้ำเติม ➡️ ขาดแคลน substrate ที่ใช้ในการประกอบแพ็กเกจชิป ➡️ ทำให้แม้มี wafer ก็ไม่สามารถผลิตชิปได้ครบวงจร ➡️ ส่งผลให้ราคาชิปเพิ่มขึ้นและสินค้าขาดตลาด https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-hamstrung-by-supply-shortages-across-its-business-including-production-capacity-says-it-will-prioritize-data-center-cpus-over-consumer-chips-warns-of-price-hikes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen

    ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen!

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว

    ช่องโหว่ที่ค้นพบ
    อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA
    ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์
    สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้

    ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้
    พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน
    ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ
    ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA

    นักวิจัยที่ค้นพบ
    Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli
    ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025
    FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์

    ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation
    ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum
    แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน
    รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์
    การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation
    การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment
    ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล
    หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง
    ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time

    https://ian.sh/fia
    🏎️ เจาะระบบ FIA: นักวิจัยเผยช่องโหว่ที่เข้าถึงข้อมูลลับของนักแข่ง F1 รวมถึง Max Verstappen ในโลกของ Formula 1 ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและความเร็ว มีอีกด้านหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง—ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ล่าสุดนักวิจัยด้านความปลอดภัย Ian Carroll, Sam Curry และ Gal Nagli ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของนักแข่ง F1 ได้ รวมถึงพาสปอร์ตและข้อมูลของ Max Verstappen! ช่องโหว่นี้เกิดจากการออกแบบ API ที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบอนุญาตให้ผู้ใช้ส่ง HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ของตนเอง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์อย่างเหมาะสม ทำให้นักวิจัยสามารถแนบข้อมูล “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น “ADMIN” ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่ระบบใหม่ พวกเขาก็สามารถเข้าถึง dashboard สำหรับผู้ดูแลระบบ ซึ่งเปิดให้ดูข้อมูลลับของนักแข่งทุกคน ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้รวมถึง hash ของรหัสผ่าน, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, พาสปอร์ต, ประวัติการแข่งขัน และแม้แต่การตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้ดาวน์โหลดหรือเก็บข้อมูลใดๆ และได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งทาง FIA ได้ตอบรับและแก้ไขระบบแล้ว ✅ ช่องโหว่ที่ค้นพบ ➡️ อยู่ในระบบ Driver Categorisation ของ FIA ➡️ ใช้ HTTP PUT request เพื่ออัปเดตโปรไฟล์โดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ ➡️ สามารถแนบ “roles” เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น ADMIN ได้ ✅ ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ พาสปอร์ต, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, hash ของรหัสผ่าน ➡️ ประวัติการแข่งขันและเอกสารประกอบ ➡️ ข้อมูลการตัดสินภายในของคณะกรรมการ FIA ✅ นักวิจัยที่ค้นพบ ➡️ Ian Carroll, Sam Curry, Gal Nagli ➡️ ได้แจ้งเตือน FIA ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2025 ➡️ FIA ตอบรับและแก้ไขระบบภายใน 1 สัปดาห์ ✅ ความสำคัญของระบบ Driver Categorisation ➡️ ใช้จัดระดับนักแข่งเป็น Bronze/Silver/Gold/Platinum ➡️ แยกจากระบบ Super Licence แต่มีข้อมูลนักแข่งร่วมกัน ➡️ รองรับการอัปโหลดเอกสารสำคัญ เช่น พาสปอร์ตและประวัติการแข่งขัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบออนไลน์ ⛔ การไม่ตรวจสอบสิทธิ์ใน API อาจเปิดช่องให้เกิด privilege escalation ⛔ การใช้ HTTP PUT โดยไม่มีการกรองข้อมูล อาจทำให้เกิด mass assignment ⛔ ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลสำคัญอาจถูกเข้าถึงได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ควรตรวจสอบการใช้งาน API ทุกจุดที่มีการอัปเดตข้อมูล ⛔ หลีกเลี่ยงการเปิดให้ผู้ใช้แนบข้อมูลที่ควบคุมสิทธิ์ได้เอง ⛔ ควรมีระบบแจ้งเตือนและตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์แบบ real-time https://ian.sh/fia
    IAN.SH
    Hacking Formula 1: Accessing Max Verstappen's passport and PII through FIA bugs
    We found vulnerabilities in the FIA's Driver Categorisation platform, allowing us to access PII and password hashes of any racing driver with a categorisation rating.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts