• ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6:2 เดินหน้าวินิจฉัยคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมใช้ DSI แทรกแซงการเลือกตั้ง สว. ขัดหลักจริยธรรม
    https://www.thai-tai.tv/news/21689/
    .
    #ศาลรัฐธรรมนูญ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #สว #DSI #แทรกแซงการเมือง #มาตรฐานจริยธรรม #ความซื่อสัตย์สุจริต

    ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6:2 เดินหน้าวินิจฉัยคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมใช้ DSI แทรกแซงการเลือกตั้ง สว. ขัดหลักจริยธรรม https://www.thai-tai.tv/news/21689/ . #ศาลรัฐธรรมนูญ #ภูมิธรรมเวชยชัย #ทวีสอดส่อง #สว #DSI #แทรกแซงการเมือง #มาตรฐานจริยธรรม #ความซื่อสัตย์สุจริต
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • “ฮุน มาเนต” ยืนยัน กัมพูชาไม่ได้แทรกแซงการเมืองไทย กัมพูชาอดทนแม้ถูกไทยใส่ร้าย-ดูถูก
    https://www.thai-tai.tv/news/19943/
    .
    #ฮุนมาเนต #กัมพูชา #ไม่แทรกแซง #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #อำนาจอธิปไตย #การเมืองไทย #ข่าวต่างประเทศ #ตอบโต้ #ศักดิ์ศรีชาติ

    “ฮุน มาเนต” ยืนยัน กัมพูชาไม่ได้แทรกแซงการเมืองไทย กัมพูชาอดทนแม้ถูกไทยใส่ร้าย-ดูถูก https://www.thai-tai.tv/news/19943/ . #ฮุนมาเนต #กัมพูชา #ไม่แทรกแซง #ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา #อำนาจอธิปไตย #การเมืองไทย #ข่าวต่างประเทศ #ตอบโต้ #ศักดิ์ศรีชาติ
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์สั่งยุบ NED องค์กรบังหน้า CIA หลังถูกเปิดโปงบทบาทแทรกแซงการเมืองโลก พร้อมลดขนาดสถานทูตทั่วโลก เดินหน้าปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศ

    รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เริ่มจากการระงับงบประมาณทั้งหมดของ National Endowment for Democracy (NED) องค์กรที่ก่อตั้งปี 1983 ภายใต้การอ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยบังหน้าของ CIA ในการแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ

    โดย Elon Musk หัวหน้าแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เรียก NED ว่าเป็น "องค์กรชั่วร้าย" ที่ต้องถูกยุบ สอดคล้องกับรายงานของ Center for Renewal America ที่เปิดโปงบทบาท NED ในฐานะ "ปลายหอก" ของ CIA ซึ่งจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สนับสนุนการปฏิวัติในยูเครน ทั้ง "ปฏิวัติสีส้ม" และ "ปฏิวัติไมดาน" รวมถึงสนับสนุน "การปฏิวัติสี" ในจอร์เจีย คีร์กีซสถาน และให้ทุนกลุ่มต่อต้านในเบลารุส เซอร์เบีย และอียิปต์ การตัดงบครั้งนี้ส่งผลให้ NED ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานและปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินได้

    นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้สถานทูตอเมริกันทั่วโลกลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งชาวอเมริกันและท้องถิ่นลง 10% ภายในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงานไปแล้ว 60 คน เพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์

    .
    https://www.imctnews.com/news_details-news-6728.html
    ทรัมป์สั่งยุบ NED องค์กรบังหน้า CIA หลังถูกเปิดโปงบทบาทแทรกแซงการเมืองโลก พร้อมลดขนาดสถานทูตทั่วโลก เดินหน้าปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เริ่มจากการระงับงบประมาณทั้งหมดของ National Endowment for Democracy (NED) องค์กรที่ก่อตั้งปี 1983 ภายใต้การอ้างว่าเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยบังหน้าของ CIA ในการแทรกแซงการเมืองต่างประเทศ โดย Elon Musk หัวหน้าแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) เรียก NED ว่าเป็น "องค์กรชั่วร้าย" ที่ต้องถูกยุบ สอดคล้องกับรายงานของ Center for Renewal America ที่เปิดโปงบทบาท NED ในฐานะ "ปลายหอก" ของ CIA ซึ่งจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สนับสนุนการปฏิวัติในยูเครน ทั้ง "ปฏิวัติสีส้ม" และ "ปฏิวัติไมดาน" รวมถึงสนับสนุน "การปฏิวัติสี" ในจอร์เจีย คีร์กีซสถาน และให้ทุนกลุ่มต่อต้านในเบลารุส เซอร์เบีย และอียิปต์ การตัดงบครั้งนี้ส่งผลให้ NED ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานและปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินได้ นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้สถานทูตอเมริกันทั่วโลกลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งชาวอเมริกันและท้องถิ่นลง 10% ภายในสัปดาห์นี้ โดยเริ่มจากการเลิกจ้างพนักงานสัญญาจ้างด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และแรงงานไปแล้ว 60 คน เพื่อปรับโครงสร้างกระทรวงการต่างประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ . https://www.imctnews.com/news_details-news-6728.html
    Haha
    Like
    5
    1 Comments 0 Shares 829 Views 0 Reviews
  • วันนี้ผมได้ทดลองเล่น Deepseek AI app. ของจีน ต้องนับว่าเป็น Large Language Model ที่เก่งมากไม่แพ้ Open AI หรือ Perplexity ที่ผมใช้อยู่ประจำ

    วันก่อนเห็นว่ามีคนอยากจะโจมตีจีนและ Deepseek โดยการให้ Deepseek ลองตอบดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วโชว์คำตอบว่า Deepseek ไม่อยากอ้างถึง

    วันนี้ผมเลยลองถาม Deepseek บ้างว่า แล้วมีประเทศไหนบ้างที่อเมริกาใช้กำลังบุกเข้าไปแทรกแซงการเมือง

    Deekseek ตอบได้อย่างน่าสนใจโดยเริ่มจากความหมายของคำว่ารุกรานก่อนจะให้คำตอบ ลองดูรายละเอียดกันนะครับ

    Me: How many countries has America invaded without legitimate reasons?
    Deepseek: The question of how many countries the United States has "invaded" (or intervened in) without "legitimate reasons" is highly subjective and depends on one's perspective, interpretation of international law, and the definition of "legitimate reasons." The U.S. has been involved in numerous military interventions, coups, and covert operations throughout its history, often justified by reasons such as national security, promoting democracy, or protecting allies. However, critics argue that many of these actions were driven by economic interests, geopolitical dominance, or ideological goals rather than legitimate justifications.

    Here are some notable examples of U.S. interventions that have been criticized as lacking legitimate reasons:

    Vietnam War (1955–1975) - Critics argue the U.S. intervention was based on Cold War fears rather than a direct threat to national security.

    Iraq War (2003–2011) - The invasion was justified by claims of weapons of mass destruction (WMDs), which were never found, leading to accusations of illegitimate motives.

    Guatemala (1954) - The CIA-backed coup overthrew the democratically elected government, allegedly to protect U.S. corporate interests (e.g., United Fruit Company).

    Chile (1973) - The U.S. supported the coup against President Salvador Allende, which was seen as undermining democracy to prevent the spread of socialism.

    Nicaragua (1980s) - The U.S. supported the Contras in their fight against the Sandinista government, which critics saw as an illegitimate interference in sovereign affairs.

    Grenada (1983) - The U.S. invasion was criticized as disproportionate and lacking a clear legal basis.

    Panama (1989) - The invasion to remove Manuel Noriega was seen by some as an overreach of U.S. power.

    Libya (2011) - While part of a NATO intervention, critics argued the U.S. involvement exceeded the UN mandate to protect civilians.

    Syria (2014–present) - U.S. military actions in Syria have been criticized for lacking clear legal authority under international law.

    The exact number of such interventions is debated, but estimates range from dozens to over 100, depending on how one defines "intervention" and "legitimate reasons." Many of these actions remain controversial, with ongoing debates about their legality, morality, and long-term consequences.

    ต้องยอมรับว่า Deepseek เก่งพอตัวเลยครับ คราวนี้มาลองดูว่าคำถามเดียวกัน ChatGPT จะว่าไง

    ChatGPT: The number of countries the United States has invaded without widely recognized legitimate reasons is debated, depending on what is considered "legitimate." Legitimacy often depends on perspective—some see interventions as necessary for security or humanitarian reasons, while others view them as violations of sovereignty.

    However, if we look at cases where U.S. military interventions were controversial, lacked UN approval, or were widely criticized as unjustified, some examples include:

    Mexico (1846–1848) – The U.S. invaded Mexico, leading to the Mexican-American War, which resulted in the U.S. annexing nearly half of Mexico’s territory.

    Hawaii (1893) – The U.S. backed the overthrow of the Hawaiian monarchy, leading to its annexation.

    The Philippines (1899–1902) – After the Spanish-American War, the U.S. took control of the Philippines, leading to a brutal war against Filipino independence fighters.

    Guatemala (1954) – The CIA orchestrated a coup to overthrow a democratically elected government, fearing communist influence.

    Cuba (Bay of Pigs, 1961) – The U.S. attempted to overthrow Fidel Castro’s government through a failed invasion.

    Dominican Republic (1965) – The U.S. invaded to prevent what it saw as a communist takeover.

    Vietnam (1955–1975) – The U.S. involvement in Vietnam is widely debated, as it escalated without a formal declaration of war and was based on controversial justifications.

    Cambodia & Laos (1960s–1970s) – Secret bombings and invasions occurred as part of the Vietnam War without clear justification.

    Grenada (1983) – The U.S. invaded after a coup, but the necessity of military action was questioned.

    Panama (1989) – The U.S. invaded to remove Manuel Noriega, a former ally, under the pretext of protecting U.S. citizens and fighting drugs.

    Iraq (2003) – The invasion was based on false claims of weapons of mass destruction, widely seen as unjustified.

    Libya (2011) – The U.S. and NATO intervened, leading to the fall of Gaddafi, but this resulted in chaos and instability.

    These are just a few of the most debated examples. Some argue other interventions, like in Afghanistan (2001), had stronger justifications, while others still question their legitimacy. What counts as "legitimate" is ultimately a matter of perspective and historical debate.

    สงคราม AI คงจะเพิ่งเริ่มแต่น่าสนใจครับ
    วันนี้ผมได้ทดลองเล่น Deepseek AI app. ของจีน ต้องนับว่าเป็น Large Language Model ที่เก่งมากไม่แพ้ Open AI หรือ Perplexity ที่ผมใช้อยู่ประจำ วันก่อนเห็นว่ามีคนอยากจะโจมตีจีนและ Deepseek โดยการให้ Deepseek ลองตอบดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นที่จตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วโชว์คำตอบว่า Deepseek ไม่อยากอ้างถึง วันนี้ผมเลยลองถาม Deepseek บ้างว่า แล้วมีประเทศไหนบ้างที่อเมริกาใช้กำลังบุกเข้าไปแทรกแซงการเมือง Deekseek ตอบได้อย่างน่าสนใจโดยเริ่มจากความหมายของคำว่ารุกรานก่อนจะให้คำตอบ ลองดูรายละเอียดกันนะครับ Me: How many countries has America invaded without legitimate reasons? Deepseek: The question of how many countries the United States has "invaded" (or intervened in) without "legitimate reasons" is highly subjective and depends on one's perspective, interpretation of international law, and the definition of "legitimate reasons." The U.S. has been involved in numerous military interventions, coups, and covert operations throughout its history, often justified by reasons such as national security, promoting democracy, or protecting allies. However, critics argue that many of these actions were driven by economic interests, geopolitical dominance, or ideological goals rather than legitimate justifications. Here are some notable examples of U.S. interventions that have been criticized as lacking legitimate reasons: Vietnam War (1955–1975) - Critics argue the U.S. intervention was based on Cold War fears rather than a direct threat to national security. Iraq War (2003–2011) - The invasion was justified by claims of weapons of mass destruction (WMDs), which were never found, leading to accusations of illegitimate motives. Guatemala (1954) - The CIA-backed coup overthrew the democratically elected government, allegedly to protect U.S. corporate interests (e.g., United Fruit Company). Chile (1973) - The U.S. supported the coup against President Salvador Allende, which was seen as undermining democracy to prevent the spread of socialism. Nicaragua (1980s) - The U.S. supported the Contras in their fight against the Sandinista government, which critics saw as an illegitimate interference in sovereign affairs. Grenada (1983) - The U.S. invasion was criticized as disproportionate and lacking a clear legal basis. Panama (1989) - The invasion to remove Manuel Noriega was seen by some as an overreach of U.S. power. Libya (2011) - While part of a NATO intervention, critics argued the U.S. involvement exceeded the UN mandate to protect civilians. Syria (2014–present) - U.S. military actions in Syria have been criticized for lacking clear legal authority under international law. The exact number of such interventions is debated, but estimates range from dozens to over 100, depending on how one defines "intervention" and "legitimate reasons." Many of these actions remain controversial, with ongoing debates about their legality, morality, and long-term consequences. ต้องยอมรับว่า Deepseek เก่งพอตัวเลยครับ คราวนี้มาลองดูว่าคำถามเดียวกัน ChatGPT จะว่าไง ChatGPT: The number of countries the United States has invaded without widely recognized legitimate reasons is debated, depending on what is considered "legitimate." Legitimacy often depends on perspective—some see interventions as necessary for security or humanitarian reasons, while others view them as violations of sovereignty. However, if we look at cases where U.S. military interventions were controversial, lacked UN approval, or were widely criticized as unjustified, some examples include: Mexico (1846–1848) – The U.S. invaded Mexico, leading to the Mexican-American War, which resulted in the U.S. annexing nearly half of Mexico’s territory. Hawaii (1893) – The U.S. backed the overthrow of the Hawaiian monarchy, leading to its annexation. The Philippines (1899–1902) – After the Spanish-American War, the U.S. took control of the Philippines, leading to a brutal war against Filipino independence fighters. Guatemala (1954) – The CIA orchestrated a coup to overthrow a democratically elected government, fearing communist influence. Cuba (Bay of Pigs, 1961) – The U.S. attempted to overthrow Fidel Castro’s government through a failed invasion. Dominican Republic (1965) – The U.S. invaded to prevent what it saw as a communist takeover. Vietnam (1955–1975) – The U.S. involvement in Vietnam is widely debated, as it escalated without a formal declaration of war and was based on controversial justifications. Cambodia & Laos (1960s–1970s) – Secret bombings and invasions occurred as part of the Vietnam War without clear justification. Grenada (1983) – The U.S. invaded after a coup, but the necessity of military action was questioned. Panama (1989) – The U.S. invaded to remove Manuel Noriega, a former ally, under the pretext of protecting U.S. citizens and fighting drugs. Iraq (2003) – The invasion was based on false claims of weapons of mass destruction, widely seen as unjustified. Libya (2011) – The U.S. and NATO intervened, leading to the fall of Gaddafi, but this resulted in chaos and instability. These are just a few of the most debated examples. Some argue other interventions, like in Afghanistan (2001), had stronger justifications, while others still question their legitimacy. What counts as "legitimate" is ultimately a matter of perspective and historical debate. สงคราม AI คงจะเพิ่งเริ่มแต่น่าสนใจครับ
    0 Comments 0 Shares 1314 Views 0 Reviews
  • ไฟป่า LA เผาศักดิ์ศรีอเมริกาเป็นจุณ
    นักการเมืองอเมริกันดับไฟด้วยน้ำลาย
    .
    ผมเคยเรียนอยู่ที่ UCLA เคยอยู่อาศัยและคุ้นเคยกับลอสแอสเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้วอดใจหายไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก 750 แห่ง มีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกหลายแสนคน เรือบรรทุกเครื่องบินประจำการอยู่นับสิบลำ สามารถแทรกแซงการเมืองทุกๆ จุดในโลกภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่กลับไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองจากไฟป่าได้ ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
    .
    ไฟป่าลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว่า 1 แสนไร่ ถูกทำลายอย่างราบคาบสภาพความเสียหายร้ายแรงพอๆ กับสมรภูมิสงครามขนาดใหญ่ เหมือนดินแดนที่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ บ้านเรือนหรูหราในย่านมาลิบูของเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงถูกเผาวอดวาย เหลือแต่ตอ กว่า 13,400 หลัง พร้อมทรัพย์สินมีคุณค่าสูงแต่ละบ้านยังประเมินไม่ได้ บ้านหรูราคา 125 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,200 ล้านบาท ผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพ ไร้บ้าน ไฟฟ้าดับกว่า 4 แสนราย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารในวงกว้าง
    .
    ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งๆที่อเมริกามีกองกำลังดับเพลิงจำนวนมากถึง 29,452 แห่งทั่วประเทศ สามารถระดมมาช่วยเหลือบรรทุกข์ จากอัคคีภัยไฟป่านี้ได้ แต่การตอบสนองที่ล่าช้าของประธานาธิบดีไบเดนและกองทัพสหรัฐฯกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) รวมทั้งถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติบรรเทาภัยพิบัติ และความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Stafford) ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย
    .
    แต่ที่ตลกบ้าและโง่สิ้นดีคือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถ้าใครขโมยของมูลค่าต่ำกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 33,000 บาท ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีหรือจับกุมหัวขโมยที่ปล้นผู้ประสบภัยได้ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อความยากจน ชาวเมืองแอลเอต่างมองอย่างสิ้นหวังกับนักการเมืองที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน และที่น่าหงุดหงิดคือเรื่องนักดับเพลิงชาวอเมริกันที่เสี่ยงชีวิตดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด อยู่ระหว่างซ่อมแซม ต้องปล่อยน้ำจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนเกิดเพลิงไหม้
    .
    ทรัมป์ อ้างว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่ผันน้ำจืดไปรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและอนุรักษ์สัตว์น้ำ เช่น ปลาแซลมอน และอีลอน มัสก์บอกว่ากฎหมายรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ต้องการปกป้องอนุรักษ์กบขาแดงทำให้หน่วยดับเพลิงขาดแคลนน้ำดับไฟป่า ทรัมป์ไล่ให้นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลาออก เพราะนายนิวซัมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต และเป็นความหวังในการชิงประธานาธิบดีครั้งต่อไปของพรรคในปี 2571
    .
    ตลกร้ายอีกอันหนึ่ง คือโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับDJIซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยดับไฟหายไปไหน? ปรากฏว่า DJIของจีนที่หน่วยกู้ภัยใช้กันในโลก ถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ห้ามนำเข้าสหรัฐฯ พอห้ามโดรนจีนที่ราคาถูกและใช้งานได้จริงแล้ว อเมริกาไม่มีโดรนดีๆ ที่ใช้ดับไฟป่า
    .
    ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบวิกฤตการณ์ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียล่าสุด กับแนวทางจัดการวิกฤตจากภัยพิบัติของจีน ที่รัฐตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นระบบในกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองชิกัตเซ ที่ทิเบตประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มันยากมากที่จะเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและทันการณ์วิกฤตกู้ภัยไฟป่าของแคลิฟอร์เนียที่เกิดซ้ำซากวอดวายทุกปี แต่กลไกการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของอเมริกานั้นต้องถือว่าล้าสมัยมาก ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
    .
    บางทีอเมริกาอาจจะต้องหยุดเผชิญหน้าอย่างสุดโต่งกับจีน เพราะถึงอย่างไรจีนไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้โดยตรง แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำลายอเมริกาได้จริงๆ คือความเย่อหยิ่ง ความไม่รู้ และความไร้ความสามารถภายใน ขั้นตอนแรกที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็คือการหลีกเลี่ยงการเลือกประธานาธิบดีที่โง่แต่อวดฉลาดและบ้าอำนาจ อย่างเช่นนายไบเดน และ นายทรัมป์ นั่นเอง
    .
    ถ้าท่านผู้ชมดูภาพที่อเมริกาโดนไฟป่าในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบกับฉนวนกาซาในอิสราเอล เอาระเบิดไปถล่มกัน เวรกรรมมีจริง ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำไว้ว่า สวรรค์มีตา บางเรื่องเสียงร้องไห้ของเด็ก ผู้หญิงและชาวปาเลสไตน์ อาจจะทำให้สวรรค์ทรงพิโรธก็ได้ และเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์เรื่อง "กรรม" กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองกลับมาเหมือนบูมเมอแรง
    ไฟป่า LA เผาศักดิ์ศรีอเมริกาเป็นจุณ นักการเมืองอเมริกันดับไฟด้วยน้ำลาย . ผมเคยเรียนอยู่ที่ UCLA เคยอยู่อาศัยและคุ้นเคยกับลอสแอสเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้วอดใจหายไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่ประเทศที่อ้างตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างอเมริกา มีฐานทัพกระจายอยู่ทั่วโลก 750 แห่ง มีทหารประจำการอยู่ทั่วโลกหลายแสนคน เรือบรรทุกเครื่องบินประจำการอยู่นับสิบลำ สามารถแทรกแซงการเมืองทุกๆ จุดในโลกภายในเวลาไม่กี่อึดใจ แต่กลับไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองจากไฟป่าได้ ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา . ไฟป่าลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร หรือกว่า 1 แสนไร่ ถูกทำลายอย่างราบคาบสภาพความเสียหายร้ายแรงพอๆ กับสมรภูมิสงครามขนาดใหญ่ เหมือนดินแดนที่ถูกถล่มด้วยนิวเคลียร์ บ้านเรือนหรูหราในย่านมาลิบูของเศรษฐีและคนมีชื่อเสียงถูกเผาวอดวาย เหลือแต่ตอ กว่า 13,400 หลัง พร้อมทรัพย์สินมีคุณค่าสูงแต่ละบ้านยังประเมินไม่ได้ บ้านหรูราคา 125 ล้านดอลลาร์ หรือ 4,200 ล้านบาท ผู้คนหลายแสนคนต้องอพยพ ไร้บ้าน ไฟฟ้าดับกว่า 4 แสนราย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่ออุปกรณ์สื่อสารในวงกว้าง . ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาวิกฤตไฟป่าที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ทั้งๆที่อเมริกามีกองกำลังดับเพลิงจำนวนมากถึง 29,452 แห่งทั่วประเทศ สามารถระดมมาช่วยเหลือบรรทุกข์ จากอัคคีภัยไฟป่านี้ได้ แต่การตอบสนองที่ล่าช้าของประธานาธิบดีไบเดนและกองทัพสหรัฐฯกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) รวมทั้งถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย พระราชบัญญัติบรรเทาภัยพิบัติ และความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Stafford) ที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย . แต่ที่ตลกบ้าและโง่สิ้นดีคือ กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ถ้าใครขโมยของมูลค่าต่ำกว่า 950 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 33,000 บาท ตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีหรือจับกุมหัวขโมยที่ปล้นผู้ประสบภัยได้ เนื่องจากกฎหมายระบุว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อความยากจน ชาวเมืองแอลเอต่างมองอย่างสิ้นหวังกับนักการเมืองที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน และที่น่าหงุดหงิดคือเรื่องนักดับเพลิงชาวอเมริกันที่เสี่ยงชีวิตดับไฟป่าที่กำลังโหมกระหน่ำ ไม่มีน้ำดับไฟ เพราะอ่างเก็บน้ำชำรุด อยู่ระหว่างซ่อมแซม ต้องปล่อยน้ำจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ก่อนเกิดเพลิงไหม้ . ทรัมป์ อ้างว่านโยบายสิ่งแวดล้อมที่ผันน้ำจืดไปรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำและอนุรักษ์สัตว์น้ำ เช่น ปลาแซลมอน และอีลอน มัสก์บอกว่ากฎหมายรักษาสิ่งแวดล้อมที่นี่ต้องการปกป้องอนุรักษ์กบขาแดงทำให้หน่วยดับเพลิงขาดแคลนน้ำดับไฟป่า ทรัมป์ไล่ให้นายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลาออก เพราะนายนิวซัมเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของพรรคเดโมแครต และเป็นความหวังในการชิงประธานาธิบดีครั้งต่อไปของพรรคในปี 2571 . ตลกร้ายอีกอันหนึ่ง คือโดรนหรืออากาศยานไร้คนขับDJIซึ่งเป็นเครื่องมือในการช่วยดับไฟหายไปไหน? ปรากฏว่า DJIของจีนที่หน่วยกู้ภัยใช้กันในโลก ถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ห้ามนำเข้าสหรัฐฯ พอห้ามโดรนจีนที่ราคาถูกและใช้งานได้จริงแล้ว อเมริกาไม่มีโดรนดีๆ ที่ใช้ดับไฟป่า . ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบวิกฤตการณ์ไฟป่าที่แคลิฟอร์เนียล่าสุด กับแนวทางจัดการวิกฤตจากภัยพิบัติของจีน ที่รัฐตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นระบบในกรณีเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเมืองชิกัตเซ ที่ทิเบตประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับการเกิดเหตุการณ์ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย มันทำให้เราเห็นชัดเจนว่า มันยากมากที่จะเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วและทันการณ์วิกฤตกู้ภัยไฟป่าของแคลิฟอร์เนียที่เกิดซ้ำซากวอดวายทุกปี แต่กลไกการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของอเมริกานั้นต้องถือว่าล้าสมัยมาก ไม่สมกับที่ตัวเองเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก . บางทีอเมริกาอาจจะต้องหยุดเผชิญหน้าอย่างสุดโต่งกับจีน เพราะถึงอย่างไรจีนไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้โดยตรง แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำลายอเมริกาได้จริงๆ คือความเย่อหยิ่ง ความไม่รู้ และความไร้ความสามารถภายใน ขั้นตอนแรกที่จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ก็คือการหลีกเลี่ยงการเลือกประธานาธิบดีที่โง่แต่อวดฉลาดและบ้าอำนาจ อย่างเช่นนายไบเดน และ นายทรัมป์ นั่นเอง . ถ้าท่านผู้ชมดูภาพที่อเมริกาโดนไฟป่าในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เปรียบเทียบกับฉนวนกาซาในอิสราเอล เอาระเบิดไปถล่มกัน เวรกรรมมีจริง ผมอยากให้ท่านผู้ชมจำไว้ว่า สวรรค์มีตา บางเรื่องเสียงร้องไห้ของเด็ก ผู้หญิงและชาวปาเลสไตน์ อาจจะทำให้สวรรค์ทรงพิโรธก็ได้ และเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์เรื่อง "กรรม" กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนองกลับมาเหมือนบูมเมอแรง
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 804 Views 0 Reviews
  • อิสราเอลประกาศโจมตีทางอากาศเล่นงานคลังอาวุธหนักในซีเรียต่อ รวมทั้งคงกำลังทหารภาคพื้นดินใน “จำนวนจำกัด” เข้าเขตปลอดทหารในซีเรีย โดยอ้างว่าเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศหลังรัฐบาลอัสซาดถูกโค่นล้ม ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งทำเนียบเครมลินยืนยันว่า ปูตินไฟเขียวอดีตผู้นำซีเรียลี้ภัยทางการเมืองในรัสเซีย
    .
    สำหรับบรรยากาศในกรุงดามัสกัสของซีเรียตอนเช้าวันจันทร์ (9 ธ.ค.) พวกผู้สื่อข่าวรายงานว่าค่อนข้างเงียบสงบ หลังกลุ่มกบฏประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา โดยที่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดและถนนว่างเปล่า มีเพียงสมาชิกกลุ่มกบฏและรถที่ติดป้ายทะเบียนเมืองอิดลิบ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและเป็นที่มั่นสำคัญของพวกกบฏที่นำโดยกลุ่ม ฮายัต ตอห์รีร์ อัล-ชาม (เอชทีเอส) ซึ่งเปิดฉากบุกสายฟ้าแลบเมื่อ 12 วันก่อน จากเมืองอะเลปโป ที่อยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย จนสามารถบุกเข้าสู่ดามัสกัส ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ และโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เมื่อวันอาทิตย์ (8)
    .
    ชัยชนะดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากการปกครองแบบเผด็จการรวบอำนาจของตระกูลอัสซาดที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ รวมทั้งสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เมื่อ 13 ปีก่อนซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ คร่าชีวิตผู้คนนับแสน และนำไปสู่หนึ่งในวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยใหม่
    .
    อบู โมฮัมเหม็ด อัล-กอลานี ผู้นำของเอชทีเอส ประกาศต่อหน้าฝูงชนที่ออกมาร่วมเฉลิมฉลองการโค่นล้มระบอบปกครองอัสซาด ที่มัสยิดอุมัยยัด ในดามัสกัสเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะฟื้นฟูและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่ซีเรีย และทำให้ซีเรียเป็นแรงบันดาลใจสำหรับประเทศอิสลาม
    .
    อย่างไรก็ดี เอชทีเอสซึ่งเป็นแกนนำของแนวร่วมกลุ่มกบฏบุกเข้าตึดามัสกัสสำเร็จคราวนี้ เดิมทีมีชื่อว่าอัล นุสรา ฟรอนต์ ที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ และถึงแม้ กอลานีได้ประกาศสะบั้นสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังกลุ่มนี้ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทว่าจนถึงเวลานี้ยังคงถูกยูเอ็นตลอดจนประเทศส่วนใหญ่ประทับตราว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ดังนั้นอนาคตของซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป ยังเป็นที่จับตามองกันด้วยความระแวดระวังทั้งจากชาติเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง และจากโลกตะวันตก
    .
    ขณะเดียวกัน อิสราเอลซึ่งมีชายแดนติดต่อกับซีเรีย รวมทั้งได้เข้ายึดครองที่ราบสูงโกลาน และต่อมาก็ประกาศผนวกดินแดนแห่งนี้เป็นของตน ถึงแม้ไม่เป็นที่รับรองของนานาชาติ ก็เฝ้ามองวิกฤตการณ์ในซีเรียด้วยความหวังระคนความกังวล สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพลิกผันรวดเร็วครั้งนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดในตะวันออกกลางในรอบหลายปีที่ผ่านมา
    .
    ถึงแม้การที่ซีเรียหลุดจากอำนาจของอัสซาด ได้ช่วยทำลายป้อมปราการสำคัญแห่งหนึ่งที่อิหร่าน ศัตรูตัวกลั่นของอิสราเอล ใช้ในการขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง ทว่า ชัยชนะของกลุ่มกบฏที่แกนนำมีรากเหง้ามาจากกลุ่มก่อการร้ายอิสลามิสต์ ซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงสำคัญ
    .
    รัฐมนตรีกลาโหม อิสราเอล แคตซ์ ของรัฐยิว เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ว่า กองทัพอิสราเอลจะเข้าทำลายอาวุธหนักเชิงยุทธศาสตร์ในตลอดทั่วซีเรีย โดยรวมถึงพวกขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่ภาคพื้น ขีปนาวุธร่อน จรวดยุทธวิธีพิสัยไกล ขีปนาวุธที่ติดตั้งตามแนวชายฝั่ง และอาวุธเคมี
    .
    เจ้าหน้าที่อาวุโสอิสราเอลคนหนึ่งระบุว่า จะมีการโจมตีทางอากาศต่อเนื่องอีกหลายวัน ขณะที่ กีเดียน ซาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่า อิสราเอลไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของซีเรีย แต่ต้องการเพียงปกป้องประชาชนของตน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำลายอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในซีเรียเพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของกลุ่มลัทธิสุดโต่ง แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่า อิสราเอลโจมตีที่ไหนและเมื่อใด
    .
    นอกจากนั้น มีรายงานว่าเมื่อวันอาทิตย์ (8) กองทัพอิสราเอลยังส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าสู่เขตปลอดทหารในซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่กันชนขนาด 400 ตารางกิโลเมตรที่ตั้งขึ้นตามข้อตกลงแบ่งแยกกองกำลังปี 1974 ที่มุ่งแบ่งแยกกำลังของอิสราเอลและซีเรียให้ห่างจากกัน แล้วให้กองกำลังสังเกตการณ์การยุติการสู้รบขัดแย้งของสหประชาชาติเป็นผู้เข้าไปควบคุมดูแล
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า อนาคตของฐานทัพรัสเซียที่ตั้งอยู่ในซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่แน่นอนว่า สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อกับผู้มีอำนาจด้านความมั่นคงในซีเรีย นอกจากนั้น กองทัพรัสเซียยังกำลังดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนที่จำเป็นทั้งหมด
    .
    รัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญของอัสซาด มีฐานทัพอากาศฮไมมิม ตั้งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย รวมทั้งมีฐานทัพเรือที่จังหวัดทาร์ตัสของซีเรีย และมีโรงงานในทาร์ตัส ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเติมเสบียงเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นที่ผ่านมารัสเซียยังใช้ซีเรียเป็นจุดแวะพัก ในการขนส่งพวกผู้รับเหมาด้านกลาโหมเดินทางเข้าและออกจากแอฟริกา
    .
    เปสคอฟยังยืนยันว่า อัสซาดได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ลี้ภัยในรัสเซีย ทว่าไม่ยอมตอบว่าตอนนี้อัสซาดอยู่ที่ไหน บอกเพียงว่า ยังไม่มีกำหนดการการพบกันระหว่างปูตินกับอัสซาดในขณะนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118429
    ..............
    Sondhi X
    อิสราเอลประกาศโจมตีทางอากาศเล่นงานคลังอาวุธหนักในซีเรียต่อ รวมทั้งคงกำลังทหารภาคพื้นดินใน “จำนวนจำกัด” เข้าเขตปลอดทหารในซีเรีย โดยอ้างว่าเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสุญญากาศหลังรัฐบาลอัสซาดถูกโค่นล้ม ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งทำเนียบเครมลินยืนยันว่า ปูตินไฟเขียวอดีตผู้นำซีเรียลี้ภัยทางการเมืองในรัสเซีย . สำหรับบรรยากาศในกรุงดามัสกัสของซีเรียตอนเช้าวันจันทร์ (9 ธ.ค.) พวกผู้สื่อข่าวรายงานว่าค่อนข้างเงียบสงบ หลังกลุ่มกบฏประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา โดยที่ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดและถนนว่างเปล่า มีเพียงสมาชิกกลุ่มกบฏและรถที่ติดป้ายทะเบียนเมืองอิดลิบ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและเป็นที่มั่นสำคัญของพวกกบฏที่นำโดยกลุ่ม ฮายัต ตอห์รีร์ อัล-ชาม (เอชทีเอส) ซึ่งเปิดฉากบุกสายฟ้าแลบเมื่อ 12 วันก่อน จากเมืองอะเลปโป ที่อยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย จนสามารถบุกเข้าสู่ดามัสกัส ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ และโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เมื่อวันอาทิตย์ (8) . ชัยชนะดังกล่าวนับเป็นการปิดฉากการปกครองแบบเผด็จการรวบอำนาจของตระกูลอัสซาดที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ รวมทั้งสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เมื่อ 13 ปีก่อนซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วประเทศ คร่าชีวิตผู้คนนับแสน และนำไปสู่หนึ่งในวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยใหม่ . อบู โมฮัมเหม็ด อัล-กอลานี ผู้นำของเอชทีเอส ประกาศต่อหน้าฝูงชนที่ออกมาร่วมเฉลิมฉลองการโค่นล้มระบอบปกครองอัสซาด ที่มัสยิดอุมัยยัด ในดามัสกัสเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะฟื้นฟูและสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่ซีเรีย และทำให้ซีเรียเป็นแรงบันดาลใจสำหรับประเทศอิสลาม . อย่างไรก็ดี เอชทีเอสซึ่งเป็นแกนนำของแนวร่วมกลุ่มกบฏบุกเข้าตึดามัสกัสสำเร็จคราวนี้ เดิมทีมีชื่อว่าอัล นุสรา ฟรอนต์ ที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ และถึงแม้ กอลานีได้ประกาศสะบั้นสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังกลุ่มนี้ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทว่าจนถึงเวลานี้ยังคงถูกยูเอ็นตลอดจนประเทศส่วนใหญ่ประทับตราว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ดังนั้นอนาคตของซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป ยังเป็นที่จับตามองกันด้วยความระแวดระวังทั้งจากชาติเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง และจากโลกตะวันตก . ขณะเดียวกัน อิสราเอลซึ่งมีชายแดนติดต่อกับซีเรีย รวมทั้งได้เข้ายึดครองที่ราบสูงโกลาน และต่อมาก็ประกาศผนวกดินแดนแห่งนี้เป็นของตน ถึงแม้ไม่เป็นที่รับรองของนานาชาติ ก็เฝ้ามองวิกฤตการณ์ในซีเรียด้วยความหวังระคนความกังวล สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพลิกผันรวดเร็วครั้งนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดในตะวันออกกลางในรอบหลายปีที่ผ่านมา . ถึงแม้การที่ซีเรียหลุดจากอำนาจของอัสซาด ได้ช่วยทำลายป้อมปราการสำคัญแห่งหนึ่งที่อิหร่าน ศัตรูตัวกลั่นของอิสราเอล ใช้ในการขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง ทว่า ชัยชนะของกลุ่มกบฏที่แกนนำมีรากเหง้ามาจากกลุ่มก่อการร้ายอิสลามิสต์ ซึ่งถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงสำคัญ . รัฐมนตรีกลาโหม อิสราเอล แคตซ์ ของรัฐยิว เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ว่า กองทัพอิสราเอลจะเข้าทำลายอาวุธหนักเชิงยุทธศาสตร์ในตลอดทั่วซีเรีย โดยรวมถึงพวกขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่อากาศ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นสู่ภาคพื้น ขีปนาวุธร่อน จรวดยุทธวิธีพิสัยไกล ขีปนาวุธที่ติดตั้งตามแนวชายฝั่ง และอาวุธเคมี . เจ้าหน้าที่อาวุโสอิสราเอลคนหนึ่งระบุว่า จะมีการโจมตีทางอากาศต่อเนื่องอีกหลายวัน ขณะที่ กีเดียน ซาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศบอกว่า อิสราเอลไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของซีเรีย แต่ต้องการเพียงปกป้องประชาชนของตน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำลายอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในซีเรียเพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของกลุ่มลัทธิสุดโต่ง แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่า อิสราเอลโจมตีที่ไหนและเมื่อใด . นอกจากนั้น มีรายงานว่าเมื่อวันอาทิตย์ (8) กองทัพอิสราเอลยังส่งกำลังภาคพื้นดินเข้าสู่เขตปลอดทหารในซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่กันชนขนาด 400 ตารางกิโลเมตรที่ตั้งขึ้นตามข้อตกลงแบ่งแยกกองกำลังปี 1974 ที่มุ่งแบ่งแยกกำลังของอิสราเอลและซีเรียให้ห่างจากกัน แล้วให้กองกำลังสังเกตการณ์การยุติการสู้รบขัดแย้งของสหประชาชาติเป็นผู้เข้าไปควบคุมดูแล . ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า อนาคตของฐานทัพรัสเซียที่ตั้งอยู่ในซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่แน่นอนว่า สิ่งที่ต้องทำคือติดต่อกับผู้มีอำนาจด้านความมั่นคงในซีเรีย นอกจากนั้น กองทัพรัสเซียยังกำลังดำเนินมาตรการป้องกันไว้ก่อนที่จำเป็นทั้งหมด . รัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญของอัสซาด มีฐานทัพอากาศฮไมมิม ตั้งอยู่ในจังหวัดลาตาเกีย รวมทั้งมีฐานทัพเรือที่จังหวัดทาร์ตัสของซีเรีย และมีโรงงานในทาร์ตัส ซึ่งเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเติมเสบียงเพียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนั้นที่ผ่านมารัสเซียยังใช้ซีเรียเป็นจุดแวะพัก ในการขนส่งพวกผู้รับเหมาด้านกลาโหมเดินทางเข้าและออกจากแอฟริกา . เปสคอฟยังยืนยันว่า อัสซาดได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้ลี้ภัยในรัสเซีย ทว่าไม่ยอมตอบว่าตอนนี้อัสซาดอยู่ที่ไหน บอกเพียงว่า ยังไม่มีกำหนดการการพบกันระหว่างปูตินกับอัสซาดในขณะนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118429 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    3
    0 Comments 0 Shares 1348 Views 0 Reviews
  • ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง

    13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

    กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

    ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

    ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี

    เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

    แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ

    ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง

    ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ

    ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ

    โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette

    #Thaitimes
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง 13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" ฟ้อง"ณัฐพล-ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ ชี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
    ศาลแพ่งยกฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนาฟ้องณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 1936 Views 0 Reviews
  • ชัยชนะของทรัมป์ทำให้โซรอสต้องโศกเศร้า: นี่คือสาเหตุ

    กองทุนป้องกันความเสี่ยงมหาเศรษฐี จากฉลามที่ผันตัวมาเป็น “นักการกุศล” เสรีนิยมที่มีแนวคิดฉ้อฉล ผลประโยชน์ทางการเงินของจอร์จ โซรอส และโครงการทางการเมืองอาจประสบปัญหาเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาที่ทำเนียบขาว.
    .
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา, Bloomberg รายงานว่า Soros Fund Management มีแผนจะปิดสำนักงานในฮ่องกง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "การปรับโครงสร้างองค์กร" แบบกะทันหัน หลังจากดำเนินกิจการมาเป็นเวลา ๑๔ ปี
    .
    ในขณะเดียวกัน, แคมเปญของเฒ่าโซรอสผู้เป็นพ่อและอเล็กซ์ลูกชายของเขาเพื่อให้พรรคเดโมแครตยังคงอยู่ในทำเนียบขาวก็ล้มเหลวในการจ่ายเงินปันผล, แม้ว่ากองทุนเพื่อการปฏิรูปนโยบายของโซรอสจะโอนเงิน ๖๐ ล้านดอลลาร์ให้กับ Future Forward, ซึ่งเป็นกลุ่มซูเปอร์ PAC ที่บริจาคเงินมืดสนับสนุนพรรคเดโมแครต นอกเหนือจากเงินบริจาค ๑๕ ล้านดอลลาร์จากบริษัทในเครือ Open Society Foundations ในปี ๒๐๒๓
    .
    นอกจากเงินแล้ว ครอบครัว Soros ยังได้ลงทุนส่วนตัวจำนวนมากในการรณรงค์ต่อต้าน “พรรครีพับลิกันแบบ MAGA” ในปี ๒๐๒๔ ในช่วงต้นปี ๒๐๒๓, Alex Soros ได้ประกาศลดขนาดการดำเนินงานของ OSF ในยุโรปตะวันตกลงอย่างมาก เพื่อมุ่งเน้นไปที่ยูเครน, มอลโดวา, บอลข่านตะวันตก, และสหรัฐอเมริกา โดยพยายามหยุดยั้งไม่ให้ทรัมป์กลายเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด
    .
    จอร์จ โซรอส ส่งสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์เป็นครั้งแรกในปี ๒๐๑๖, เมื่อเขาทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฮิลลารี คลินตัน หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง, โซรอสได้ให้ทุนสนับสนุน “ขบวนการต่อต้าน” ต่อต้านทรัมป์ โดยแสดงออกผ่านการประท้วงบนท้องถนน, การท้าทายวาระในประเทศของทรัมป์ในศาล, การล็อบบี้ลับๆ ของสมาชิกในรัฐบาลของเขา, การสนับสนุนสมาชิกรัฐสภาที่ส่งเสริมนโยบายต่างประเทศแบบเสรีนิยมใหม่, และแม้แต่เงินสด ๑ ล้านดอลลาร์ที่ใช้ไปกับเอกสาร “สมคบคิดระหว่างทรัมป์-รัสเซีย” ที่ฉาวโฉ่
    .
    ในช่วงวาระแรกของทรัมป์, โซรอสได้ล็อบบี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ให้ควบคุมโซเชียลมีเดีย จัดหาเงินทุนสำหรับแคมเปญเพื่อสนับสนุนอัยการและผู้พิพากษาสายเสรีนิยม, ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ, ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา, และเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและท้องถิ่นอื่นๆ หลายสิบหรือหลายร้อยคนในปี ๒๐๑๘ และ ๒๐๒๐
    .
    การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของ Soros และ OSF จากการแทรกแซงในต่างประเทศไปสู่การแทรกแซงการเมืองภายในประเทศของสหรัฐฯ ทำให้ผู้สนับสนุนทรัมป์โกรธแค้น, ซึ่งพยายามประกาศว่าเขาเป็น “ผู้ก่อการร้ายในประเทศ,” ริบทรัพย์สินของเขา, และขับไล่มหาเศรษฐีชาวฮังการีผู้นี้ออกจากประเทศ
    .
    เมื่อโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งในปี ๒๐๒๐, กลุ่มนักวิจัยที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้ล็อบบี้รัฐบาลของเขาให้สนับสนุนนโยบายที่สนับสนุนหลักการ OSF ในนโยบายด้านที่แตกต่างกันเกือบสองโหล, และจัดสรรเงิน ๒๐ ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง "องค์กรระดับรากหญ้า" เพื่อขายร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า ๑.๒ ล้านล้านดอลลาร์ของไบเดน
    .
    ในปี ๒๐๒๒, โซรอสได้จัดสรรเงิน ๑๒๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯให้กับ “Democracy PAC” เพื่อสนับสนุนผู้สมัครที่ต่อต้าน MAGA ในช่วงกลางเทอม
    .
    ในปี ๒๐๒๓, เมื่อเริ่มมีการฟ้องร้องทางอาญากับทรัมป์, อดีตประธานาธิบดีเชื่อมโยงการ "ล่าแม่มด" ทางการเมืองต่อตัวเขาเข้ากับโซรอส และอัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตันที่ "คัดเลือกและจัดหาเงินทุนเอง" ของเขาทันที ซึ่งแคมเปญหาเสียงในปี ๒๐๒๑ โซรอสเป็นที่รู้จักว่าบริจาคเงินให้อย่างน้อย ๑ ล้านดอลลาร์
    .
    “ผมคาดว่าทรัมป์จะถูกตัดสินว่ามีความผิดอย่างน้อยในบางกรณี, และจะต้องติดคุกในวันเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ๒๐๒๔,” โซรอสกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๐๒๓ “ถ้าผมพูดถูก, เขาไม่น่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ถ้าผมพูดผิด, สหรัฐฯ จะเผชิญกับวิกฤตรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน”
    .
    ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรงในการคำนวณของมหาเศรษฐี, โดยอดีตผู้จัดการด้านการเงินของโซรอส, สแตน ดรัคเคนมิลเลอร์, ได้เตือนเมื่อกลางเดือนตุลาคมว่าตลาด "มั่นใจมาก" ว่าทรัมป์จะชนะ
    .
    TRUMP’S TRIUMPH SOWS SORROW FOR SOROS: HERE’S WHY

    Billionaire hedge fund shark-turned liberal “philanthropist” George Soros’ financial interests and political projects may be in trouble when Donald Trump returns to the Oval Office.
    .
    On Friday, Bloomberg reported that Soros Fund Management plans to shut down its Hong Kong office as part of a surprise “administrative reorganization” after 14 years of operations.
    .
    Meanwhile, the campaign by the elder Soros and his son Alex to keep a Democrat in the White House has failed to pay dividends, despite the Soros’ Fund for Policy Reform’s transfer of $60 million to Future Forward, a pro-Democrat dark money super PAC. That’s on top of a $15 million donation by an Open Society Foundations subsidiary in 2023.
    .
    Along with money, the Soros family invested significant personal capital into the campaign against “MAGA-style Republicans” in 2024. In early 2023, Alex Soros announced a dramatic scaling back of the OSF’s operations in Western Europe to focus on Ukraine, Moldova, the Western Balkans, and the United States, with the effort to stop Trump becoming a top priority.
    .
    George Soros first sounded the alarm over Trump’s “America First” foreign policy in 2016, when he pumped millions into Hillary Clinton’s presidential campaign. After Trump won, Soros funded an anti-Trump “resistance movement,” manifesting itself in street protests, court challenges to his domestic agenda, secret lobbying of members of his administration, support for lawmakers promoting a neoliberal foreign policy, and even $1 million in cash spent on the infamous “Trump-Russia collusion” dossier.
    .
    During Trump’s first term, Soros lobbied tech giants to regulate social media, funded a campaign to support dozens, if not hundreds, of liberal prosecutors and judges, gubernatorial candidates, congressional hopefuls, and other state and local officials in 2018 and 2020.
    .
    Soros and the OSF’s noticeable shift away from meddling abroad to interfering in US domestic politics earned the ire of Trump backers, who sought to declare him a “domestic terrorist,” strip him of his assets, and expel the Hungarian-born billionaire from the country.
    .
    When Joe Biden won in 2020, a Soros-linked think tank lobbied his administration to support policies favoring OSF principles in nearly two dozen different policy areas, and laid out $20 million to create “grass roots organizations” to sell Biden’s $1.2 trillion infrastructure bill.
    .
    In 2022, Soros channeled $125 million into a “Democracy PAC” to support anti-MAGA candidates in the midterms.
    .
    In 2023, as criminal indictments began to come down on Trump, the former president immediately linked the political “witch hunt” against him to Soros and his “hand-picked and funded” Manhattan DA Alvin Bragg, to whose 2021 campaign Soros is known to have donated at least $1 million.
    .
    “I expect that Trump will be found guilty at least in some cases, and will be in jail by election day in November 2024,” Soros said in an August 2023 interview. “If I am right, he is unlikely to win the election. But if I am wrong, the US will face a constitutional crisis that is likely to bring on an economic crisis as well.”
    .
    Something seems to have gone terribly wrong in the billionaire’s calculations, with Soros’ ex-money manager, Stan Druckenmiller, warning in mid-October that the markets were “very convinced” that Trump would win.
    .
    8:20 PM · Nov 9, 2024 · 28.4K Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1855239000606265400
    🧵ชัยชนะของทรัมป์ทำให้โซรอสต้องโศกเศร้า: นี่คือสาเหตุ กองทุนป้องกันความเสี่ยงมหาเศรษฐี จากฉลามที่ผันตัวมาเป็น “นักการกุศล” เสรีนิยมที่มีแนวคิดฉ้อฉล ผลประโยชน์ทางการเงินของจอร์จ โซรอส และโครงการทางการเมืองอาจประสบปัญหาเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาที่ทำเนียบขาว. . เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา, Bloomberg รายงานว่า Soros Fund Management มีแผนจะปิดสำนักงานในฮ่องกง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "การปรับโครงสร้างองค์กร" แบบกะทันหัน หลังจากดำเนินกิจการมาเป็นเวลา ๑๔ ปี . ในขณะเดียวกัน, แคมเปญของเฒ่าโซรอสผู้เป็นพ่อและอเล็กซ์ลูกชายของเขาเพื่อให้พรรคเดโมแครตยังคงอยู่ในทำเนียบขาวก็ล้มเหลวในการจ่ายเงินปันผล, แม้ว่ากองทุนเพื่อการปฏิรูปนโยบายของโซรอสจะโอนเงิน ๖๐ ล้านดอลลาร์ให้กับ Future Forward, ซึ่งเป็นกลุ่มซูเปอร์ PAC ที่บริจาคเงินมืดสนับสนุนพรรคเดโมแครต นอกเหนือจากเงินบริจาค ๑๕ ล้านดอลลาร์จากบริษัทในเครือ Open Society Foundations ในปี ๒๐๒๓ . นอกจากเงินแล้ว ครอบครัว Soros ยังได้ลงทุนส่วนตัวจำนวนมากในการรณรงค์ต่อต้าน “พรรครีพับลิกันแบบ MAGA” ในปี ๒๐๒๔ ในช่วงต้นปี ๒๐๒๓, Alex Soros ได้ประกาศลดขนาดการดำเนินงานของ OSF ในยุโรปตะวันตกลงอย่างมาก เพื่อมุ่งเน้นไปที่ยูเครน, มอลโดวา, บอลข่านตะวันตก, และสหรัฐอเมริกา โดยพยายามหยุดยั้งไม่ให้ทรัมป์กลายเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด . จอร์จ โซรอส ส่งสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์เป็นครั้งแรกในปี ๒๐๑๖, เมื่อเขาทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฮิลลารี คลินตัน หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง, โซรอสได้ให้ทุนสนับสนุน “ขบวนการต่อต้าน” ต่อต้านทรัมป์ โดยแสดงออกผ่านการประท้วงบนท้องถนน, การท้าทายวาระในประเทศของทรัมป์ในศาล, การล็อบบี้ลับๆ ของสมาชิกในรัฐบาลของเขา, การสนับสนุนสมาชิกรัฐสภาที่ส่งเสริมนโยบายต่างประเทศแบบเสรีนิยมใหม่, และแม้แต่เงินสด ๑ ล้านดอลลาร์ที่ใช้ไปกับเอกสาร “สมคบคิดระหว่างทรัมป์-รัสเซีย” ที่ฉาวโฉ่ . ในช่วงวาระแรกของทรัมป์, โซรอสได้ล็อบบี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ให้ควบคุมโซเชียลมีเดีย จัดหาเงินทุนสำหรับแคมเปญเพื่อสนับสนุนอัยการและผู้พิพากษาสายเสรีนิยม, ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ, ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา, และเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและท้องถิ่นอื่นๆ หลายสิบหรือหลายร้อยคนในปี ๒๐๑๘ และ ๒๐๒๐ . การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของ Soros และ OSF จากการแทรกแซงในต่างประเทศไปสู่การแทรกแซงการเมืองภายในประเทศของสหรัฐฯ ทำให้ผู้สนับสนุนทรัมป์โกรธแค้น, ซึ่งพยายามประกาศว่าเขาเป็น “ผู้ก่อการร้ายในประเทศ,” ริบทรัพย์สินของเขา, และขับไล่มหาเศรษฐีชาวฮังการีผู้นี้ออกจากประเทศ . เมื่อโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งในปี ๒๐๒๐, กลุ่มนักวิจัยที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้ล็อบบี้รัฐบาลของเขาให้สนับสนุนนโยบายที่สนับสนุนหลักการ OSF ในนโยบายด้านที่แตกต่างกันเกือบสองโหล, และจัดสรรเงิน ๒๐ ล้านดอลลาร์เพื่อจัดตั้ง "องค์กรระดับรากหญ้า" เพื่อขายร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า ๑.๒ ล้านล้านดอลลาร์ของไบเดน . ในปี ๒๐๒๒, โซรอสได้จัดสรรเงิน ๑๒๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯให้กับ “Democracy PAC” เพื่อสนับสนุนผู้สมัครที่ต่อต้าน MAGA ในช่วงกลางเทอม . ในปี ๒๐๒๓, เมื่อเริ่มมีการฟ้องร้องทางอาญากับทรัมป์, อดีตประธานาธิบดีเชื่อมโยงการ "ล่าแม่มด" ทางการเมืองต่อตัวเขาเข้ากับโซรอส และอัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตันที่ "คัดเลือกและจัดหาเงินทุนเอง" ของเขาทันที ซึ่งแคมเปญหาเสียงในปี ๒๐๒๑ โซรอสเป็นที่รู้จักว่าบริจาคเงินให้อย่างน้อย ๑ ล้านดอลลาร์ . “ผมคาดว่าทรัมป์จะถูกตัดสินว่ามีความผิดอย่างน้อยในบางกรณี, และจะต้องติดคุกในวันเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ๒๐๒๔,” โซรอสกล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๐๒๓ “ถ้าผมพูดถูก, เขาไม่น่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ถ้าผมพูดผิด, สหรัฐฯ จะเผชิญกับวิกฤตรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน” . ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรงในการคำนวณของมหาเศรษฐี, โดยอดีตผู้จัดการด้านการเงินของโซรอส, สแตน ดรัคเคนมิลเลอร์, ได้เตือนเมื่อกลางเดือนตุลาคมว่าตลาด "มั่นใจมาก" ว่าทรัมป์จะชนะ . 🧵TRUMP’S TRIUMPH SOWS SORROW FOR SOROS: HERE’S WHY Billionaire hedge fund shark-turned liberal “philanthropist” George Soros’ financial interests and political projects may be in trouble when Donald Trump returns to the Oval Office. . On Friday, Bloomberg reported that Soros Fund Management plans to shut down its Hong Kong office as part of a surprise “administrative reorganization” after 14 years of operations. . Meanwhile, the campaign by the elder Soros and his son Alex to keep a Democrat in the White House has failed to pay dividends, despite the Soros’ Fund for Policy Reform’s transfer of $60 million to Future Forward, a pro-Democrat dark money super PAC. That’s on top of a $15 million donation by an Open Society Foundations subsidiary in 2023. . Along with money, the Soros family invested significant personal capital into the campaign against “MAGA-style Republicans” in 2024. In early 2023, Alex Soros announced a dramatic scaling back of the OSF’s operations in Western Europe to focus on Ukraine, Moldova, the Western Balkans, and the United States, with the effort to stop Trump becoming a top priority. . George Soros first sounded the alarm over Trump’s “America First” foreign policy in 2016, when he pumped millions into Hillary Clinton’s presidential campaign. After Trump won, Soros funded an anti-Trump “resistance movement,” manifesting itself in street protests, court challenges to his domestic agenda, secret lobbying of members of his administration, support for lawmakers promoting a neoliberal foreign policy, and even $1 million in cash spent on the infamous “Trump-Russia collusion” dossier. . During Trump’s first term, Soros lobbied tech giants to regulate social media, funded a campaign to support dozens, if not hundreds, of liberal prosecutors and judges, gubernatorial candidates, congressional hopefuls, and other state and local officials in 2018 and 2020. . Soros and the OSF’s noticeable shift away from meddling abroad to interfering in US domestic politics earned the ire of Trump backers, who sought to declare him a “domestic terrorist,” strip him of his assets, and expel the Hungarian-born billionaire from the country. . When Joe Biden won in 2020, a Soros-linked think tank lobbied his administration to support policies favoring OSF principles in nearly two dozen different policy areas, and laid out $20 million to create “grass roots organizations” to sell Biden’s $1.2 trillion infrastructure bill. . In 2022, Soros channeled $125 million into a “Democracy PAC” to support anti-MAGA candidates in the midterms. . In 2023, as criminal indictments began to come down on Trump, the former president immediately linked the political “witch hunt” against him to Soros and his “hand-picked and funded” Manhattan DA Alvin Bragg, to whose 2021 campaign Soros is known to have donated at least $1 million. . “I expect that Trump will be found guilty at least in some cases, and will be in jail by election day in November 2024,” Soros said in an August 2023 interview. “If I am right, he is unlikely to win the election. But if I am wrong, the US will face a constitutional crisis that is likely to bring on an economic crisis as well.” . Something seems to have gone terribly wrong in the billionaire’s calculations, with Soros’ ex-money manager, Stan Druckenmiller, warning in mid-October that the markets were “very convinced” that Trump would win. . 8:20 PM · Nov 9, 2024 · 28.4K Views https://x.com/SputnikInt/status/1855239000606265400
    Like
    Haha
    2
    1 Comments 0 Shares 1560 Views 0 Reviews
  • หม่อมโจ้
    สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส
    เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร
    ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้
    เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด
    ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน
    แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
    อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง
    'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น
    ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล
    ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
    ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
    ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ :
    (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist'
    ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist'
    เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น
    การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา
    ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น
    ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน
    ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย
    (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
    การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง
    วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542)
    ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank
    Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ
    แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO
    โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่
    (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ
    เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ
    ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น
    หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร)
    ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย
    ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก
    ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร
    จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่
    ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
    ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น
    ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้
    ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด
    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    หม่อมโจ้ สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้ เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง 'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ : (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist' เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542) ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่ (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร) ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่ ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด จึงเรียนมาเพื่อทราบ ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    0 Comments 0 Shares 2579 Views 0 Reviews
  • Newsstory : ขุดความ "ง่าว" ขิ่นแก้วตา อภิปรายแทรกแซงการเมืองพม่า ราวกับตัวเองอยู่ในทุ่งดอกไม้
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #แก้วตา #ธิษะณา #ขิ่นแก้วตา
    Newsstory : ขุดความ "ง่าว" ขิ่นแก้วตา อภิปรายแทรกแซงการเมืองพม่า ราวกับตัวเองอยู่ในทุ่งดอกไม้ #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #แก้วตา #ธิษะณา #ขิ่นแก้วตา
    Like
    Sad
    9
    0 Comments 0 Shares 3278 Views 1929 0 Reviews
  • Newsstory : เปิดเรื่องน่าสังเวช ของพรรคส้มเปิดประตูให้เมกา แทรกแซงการเมืองไทย
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #แก้วตา #ธิษะณา #ขิ่นแก้วตา #ขอสไลด์
    Newsstory : เปิดเรื่องน่าสังเวช ของพรรคส้มเปิดประตูให้เมกา แทรกแซงการเมืองไทย #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #แก้วตา #ธิษะณา #ขิ่นแก้วตา #ขอสไลด์
    Like
    Angry
    5
    0 Comments 0 Shares 3394 Views 1661 0 Reviews
  • ไม่แปลกหรอกถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย:

    ๑.ผมสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ทำรัฐประหาร เพราะช่วงนั้น คุณทักษิณ ชินวัตรโกงชาติโกงแผ่นดินมากมายแล้วกฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้

    คุณทักษิณคุมทหาร คุมตำรวจ คุมอัยการ คุมกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เมื่อกฎหมายเอาผิดคุณทักษิณไม่ได้ ประชาชนก็ออกถนน กลายเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง พอเห็นเสื้อเหลืองออกถนน คุณทักษิณก็สร้างมวลชนเสื้อแดงมาต่อต้าน ถึงขั้นเผาศาลากลางจังหวัดด้วย

    เมื่อประชาธิปไตยเดินหน้าไม่ได้ ทหารก็จำเป็นต้องทำรัฐประหาร ผมมองว่าการทำรัฐประหารเป็นการผ่าทางตันและนำหลักนิติธรรมนิติรัฐกลับมา

    ถ้าพรรคประชาชนหรือนักการเมืองพรรคนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็เป็นเรื่องของท่าน อเมริกาทำรัฐประหารในประเทศอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดตนเองเป็นประจำ เช่น ที่ปากีสถาน บังกลาเทศ ตอนนี้ กำลังหาทางทำที่บราซิลและเวเนซุเอล่า ทำไมคนไทยจะทำไม่ได้บ้างละครับ เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคงกลับคืนมา?

    รัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ก็ทำโครงการดีๆ หลายเรื่อง เอาคนเก่งมาทำงาน สร้างถนนหนทางในต่างจังหวัดดีขึ้นจนผิดหูผิดตา เศรษฐกิจไม่ดี ท่านก็มีเป๋าตังค์หรือโครงการคนละครึ่งช่วยเหลือประชาชน

    ข้อสำคัญ ไม่มีใครสงสัยในความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของท่าน และอีกข้อคือท่านไม่มีประเด็นด่างพร้อยเรื่องทุจริต อย่างน้อยก็ไม่มีใครเอาผิดท่านได้

    จึงไม่แปลกหรอกที่ประชาชนไทยจำนวนมากจะคิดถึงท่านพลเอกประยุทธ์ แม้ท่านจะหมดอำนาจจากรัฐบาลไปแล้ว

    ๒.ปัญหาก็คือพอทำรัฐประหารได้อำนาจมา พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตั้งใจหาทางแก้กฎหมายด้านความมั่นคงหลายๆ ด้านให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น

    ไม่ออกกฎหมายกวาดล้าง NGOs ที่แทรกแซงการเมืองภายในประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการคนที่ไลฟ์สดคุยกับนักโทษที่หลบหนีไปต่างประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการสื่อโซเชียลมิเดียที่หมิ่นประมาทต่อสถาบันกษัตริย์เหมือนรัฐบาลประเทศอื่นๆ หลายปรเทศ ไม่ออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมิเดียที่โฆษณาบ่อนพนันเป็นอาจิณ ฯลฯ คุณทักษิณจึงไลฟ์สดเข้าประเทศไทย หาเสียงได้อย่างสบายๆ ต่างชาติก็ยังใช้ NGOs ปลุกระดมประชาชนช่วยพรรคฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบายๆ เหมือนเดิม

    ในขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์หันไปเน้นสร้างถนนและรถไฟฟ้ามากมายหลายเส้นสายแทน

    ผมเคยวิจารณ์ว่าแค่สร้างรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศก็พอแล้ว หันไปเน้นขุดคลองส่งน้ำในชนบทภาคอีสานและภาคอื่นๆ อย่างทั่วถึงจะดีกว่า ประชาชนจะได้อยู่ดีกินดีมากยิ่งขึ้นเพราะรายได้ประชาชนยังมีไม่มาก ถ้าสร้างรถไฟฟ้าหลายเส้นสายแล้วประชาชนไม่มีเงินนั่ง จะเจ๊งเอาได้

    ตอนนี้ก็มีข่าวว่าเริ่มเป็นปัญหาคือรถไฟฟ้าหลายเส้นทางก่อหนี้สิ้นมากขึ้นแล้ว เพราะค่ารถไฟฟ้าแพง คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังจะไปนั่ง

    แถมรัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ยังเปิดทาง ปล่อยคุณยิ่งลักษณ์ให้หลบหนีไปต่างประเทศอย่างสะดวกสบายอีกด้วย

    ๓.ต่อมา พอมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคท่านพลเอกประยุทธ์พ่ายแพ้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ก็มีดีลพาคุณทักษิณ ชินวัตรกลับบ้าน มีการเสนออภัยโทษคุณทักษิณ ชินวัตร โดยพลเอกประยุทธ์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชการโองการ มีวุฒิสมาชิกสายพลเอกประยุทธ์โหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายก

    แล้วคุณทักษิณ ชินวัตรก็กลับประเทศไทย และทำผิดกติกา ไม่ยอมเข้าคุกแม้แต่วันเดียว เป็นการทำลายระบบนิติธรรมนิติรัฐ คุณทักษิณกลายเป็นผู้กว้างขวางนอกรัฐธรรมนูญหรืออภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยขึ้นมา

    ตอนนี้ คุณทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล เป็นผู้นัดพบนักการเมืองพรรคต่างๆ ไปพบ แล้วเอาลูกตัวเองเป็นนายิการัฐมนตรี

    จะแปลกอะไรถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย?


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ไม่แปลกหรอกถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย: ๑.ผมสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ทำรัฐประหาร เพราะช่วงนั้น คุณทักษิณ ชินวัตรโกงชาติโกงแผ่นดินมากมายแล้วกฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้ คุณทักษิณคุมทหาร คุมตำรวจ คุมอัยการ คุมกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เมื่อกฎหมายเอาผิดคุณทักษิณไม่ได้ ประชาชนก็ออกถนน กลายเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง พอเห็นเสื้อเหลืองออกถนน คุณทักษิณก็สร้างมวลชนเสื้อแดงมาต่อต้าน ถึงขั้นเผาศาลากลางจังหวัดด้วย เมื่อประชาธิปไตยเดินหน้าไม่ได้ ทหารก็จำเป็นต้องทำรัฐประหาร ผมมองว่าการทำรัฐประหารเป็นการผ่าทางตันและนำหลักนิติธรรมนิติรัฐกลับมา ถ้าพรรคประชาชนหรือนักการเมืองพรรคนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็เป็นเรื่องของท่าน อเมริกาทำรัฐประหารในประเทศอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดตนเองเป็นประจำ เช่น ที่ปากีสถาน บังกลาเทศ ตอนนี้ กำลังหาทางทำที่บราซิลและเวเนซุเอล่า ทำไมคนไทยจะทำไม่ได้บ้างละครับ เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคงกลับคืนมา? รัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ก็ทำโครงการดีๆ หลายเรื่อง เอาคนเก่งมาทำงาน สร้างถนนหนทางในต่างจังหวัดดีขึ้นจนผิดหูผิดตา เศรษฐกิจไม่ดี ท่านก็มีเป๋าตังค์หรือโครงการคนละครึ่งช่วยเหลือประชาชน ข้อสำคัญ ไม่มีใครสงสัยในความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของท่าน และอีกข้อคือท่านไม่มีประเด็นด่างพร้อยเรื่องทุจริต อย่างน้อยก็ไม่มีใครเอาผิดท่านได้ จึงไม่แปลกหรอกที่ประชาชนไทยจำนวนมากจะคิดถึงท่านพลเอกประยุทธ์ แม้ท่านจะหมดอำนาจจากรัฐบาลไปแล้ว ๒.ปัญหาก็คือพอทำรัฐประหารได้อำนาจมา พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ตั้งใจหาทางแก้กฎหมายด้านความมั่นคงหลายๆ ด้านให้รัดกุมยิ่งขึ้น เช่น ไม่ออกกฎหมายกวาดล้าง NGOs ที่แทรกแซงการเมืองภายในประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการคนที่ไลฟ์สดคุยกับนักโทษที่หลบหนีไปต่างประเทศ ไม่ออกกฎหมายจัดการสื่อโซเชียลมิเดียที่หมิ่นประมาทต่อสถาบันกษัตริย์เหมือนรัฐบาลประเทศอื่นๆ หลายปรเทศ ไม่ออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมิเดียที่โฆษณาบ่อนพนันเป็นอาจิณ ฯลฯ คุณทักษิณจึงไลฟ์สดเข้าประเทศไทย หาเสียงได้อย่างสบายๆ ต่างชาติก็ยังใช้ NGOs ปลุกระดมประชาชนช่วยพรรคฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบายๆ เหมือนเดิม ในขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์หันไปเน้นสร้างถนนและรถไฟฟ้ามากมายหลายเส้นสายแทน ผมเคยวิจารณ์ว่าแค่สร้างรถไฟทางคู่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศก็พอแล้ว หันไปเน้นขุดคลองส่งน้ำในชนบทภาคอีสานและภาคอื่นๆ อย่างทั่วถึงจะดีกว่า ประชาชนจะได้อยู่ดีกินดีมากยิ่งขึ้นเพราะรายได้ประชาชนยังมีไม่มาก ถ้าสร้างรถไฟฟ้าหลายเส้นสายแล้วประชาชนไม่มีเงินนั่ง จะเจ๊งเอาได้ ตอนนี้ก็มีข่าวว่าเริ่มเป็นปัญหาคือรถไฟฟ้าหลายเส้นทางก่อหนี้สิ้นมากขึ้นแล้ว เพราะค่ารถไฟฟ้าแพง คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังจะไปนั่ง แถมรัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์ยังเปิดทาง ปล่อยคุณยิ่งลักษณ์ให้หลบหนีไปต่างประเทศอย่างสะดวกสบายอีกด้วย ๓.ต่อมา พอมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคท่านพลเอกประยุทธ์พ่ายแพ้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ก็มีดีลพาคุณทักษิณ ชินวัตรกลับบ้าน มีการเสนออภัยโทษคุณทักษิณ ชินวัตร โดยพลเอกประยุทธ์ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชการโองการ มีวุฒิสมาชิกสายพลเอกประยุทธ์โหวตให้คุณเศรษฐาเป็นนายก แล้วคุณทักษิณ ชินวัตรก็กลับประเทศไทย และทำผิดกติกา ไม่ยอมเข้าคุกแม้แต่วันเดียว เป็นการทำลายระบบนิติธรรมนิติรัฐ คุณทักษิณกลายเป็นผู้กว้างขวางนอกรัฐธรรมนูญหรืออภิสิทธิ์ชนในสังคมไทยขึ้นมา ตอนนี้ คุณทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งรัฐบาล เป็นผู้นัดพบนักการเมืองพรรคต่างๆ ไปพบ แล้วเอาลูกตัวเองเป็นนายิการัฐมนตรี จะแปลกอะไรถ้าคุณทักษิณจะหลุดคดี ๑๑๒ ด้วย? ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 Comments 0 Shares 1091 Views 0 Reviews