• Linux 2026: 9 เทรนด์ใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกเดสก์ท็อปโอเพ่นซอร์ส

    ปี 2025 เป็นปีที่เดสก์ท็อป Linux เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้ง Rust ที่เริ่มเข้ามาในเคอร์เนล, AI ที่เริ่มฝังในแอป, และการเปลี่ยนผ่านจาก X11 ไปสู่ Wayland อย่างจริงจัง บทความจาก It’s FOSS มองไปข้างหน้าและคาดการณ์ว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ Linux เดสก์ท็อป “เปลี่ยนหน้า” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี

    หนึ่งในเทรนด์สำคัญคือ Local AI ที่จะถูกฝังในแอปมากขึ้น ตั้งแต่ Calibre, ONLYOFFICE ไปจนถึง Kdenlive โดยใช้ LLM แบบรันบนเครื่อง เช่น Ollama หรือ LM Studio ทำให้ผู้ใช้สามารถสรุปเอกสาร ค้นไฟล์ หรือจัดการข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ นี่คือการเปลี่ยน Linux ให้เป็น “AI workstation ส่วนตัว” อย่างแท้จริง

    ด้านระบบกราฟิก Wayland จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ หลัง Ubuntu, Fedora และ KDE Plasma ต่างประกาศเดินหน้าเต็มตัวในปี 2025 ทำให้ปี 2026 จะเป็นปีที่ Xorg ถูกลดบทบาทอย่างชัดเจน แม้จะยังต้องพึ่ง XWayland สำหรับแอปเก่า แต่ทิศทางโดยรวมชัดเจนว่า Linux เดสก์ท็อปกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม

    นอกจากนี้ยังมีเทรนด์สำคัญอื่นๆ เช่น การเติบโตของ RISC‑V ในฮาร์ดแวร์ผู้ใช้ทั่วไป, GNOME ที่เดินหน้าปรับแอปดีฟอลต์ให้ทันสมัย, ดิสโทรแบบ Immutable ที่เริ่มกลายเป็นตัวเลือกหลัก, Hyprland ที่ยังคงครองใจสายแต่งเดสก์ท็อป และแนวโน้มรัฐบาลยุโรปที่หันมาใช้โอเพ่นซอร์สมากขึ้นเพื่อความมั่นคงและลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เทรนด์ Linux 2026 ที่โดดเด่นที่สุด
    Local AI ในแอป Linux เพิ่มขึ้น เช่น Calibre, ONLYOFFICE, Kdenlive
    Wayland กลายเป็นมาตรฐาน หลังดิสโทรใหญ่ทยอยเลิก Xorg
    Linux Gaming โตต่อเนื่อง จาก Proton, Wine, Rust‑based NVIDIA driver และ Steam Machine
    RISC‑V เข้าสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป เช่น Framework Mainboard และอุปกรณ์พกพาใหม่ๆ
    GNOME เปลี่ยนแอปดีฟอลต์หลายตัว ไปสู่ GTK4 + libadwaita
    Immutable Distros มาแรง เช่น Fedora Atomic, openSUSE MicroOS, Nitrux
    Hyprland ยังคงเติบโต และถูกดิสโทรหลายตัวเพิ่มเป็นตัวเลือกหลัก
    Rustification เพิ่มขึ้น ทั้งในเคอร์เนลและเครื่องมือระบบ เช่น sudo, coreutils
    รัฐบาลยุโรปหันมาใช้โอเพ่นซอร์ส เช่น เดนมาร์ก, เยอรมนี, แคนาดา

    ความเสี่ยงและข้อควรระวังในเทรนด์เหล่านี้
    แอปเก่าที่ไม่รองรับ Wayland อาจมีปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    Hyprland ยังต้องจัดการไฟล์คอนฟิกจำนวนมาก แม้จะดีขึ้นแล้วก็ตาม
    Rustification อาจทำให้เกิด fragmentation หากโครงการต่างๆ รีไรต์โดยไม่ประสานกัน
    Immutable Distros ต้องการการเรียนรู้ใหม่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    https://itsfoss.com/news/linux-future-prediction-2026/
    🐧🔮 Linux 2026: 9 เทรนด์ใหญ่ที่จะเปลี่ยนโลกเดสก์ท็อปโอเพ่นซอร์ส ปี 2025 เป็นปีที่เดสก์ท็อป Linux เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้ง Rust ที่เริ่มเข้ามาในเคอร์เนล, AI ที่เริ่มฝังในแอป, และการเปลี่ยนผ่านจาก X11 ไปสู่ Wayland อย่างจริงจัง บทความจาก It’s FOSS มองไปข้างหน้าและคาดการณ์ว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ Linux เดสก์ท็อป “เปลี่ยนหน้า” ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี หนึ่งในเทรนด์สำคัญคือ Local AI ที่จะถูกฝังในแอปมากขึ้น ตั้งแต่ Calibre, ONLYOFFICE ไปจนถึง Kdenlive โดยใช้ LLM แบบรันบนเครื่อง เช่น Ollama หรือ LM Studio ทำให้ผู้ใช้สามารถสรุปเอกสาร ค้นไฟล์ หรือจัดการข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ นี่คือการเปลี่ยน Linux ให้เป็น “AI workstation ส่วนตัว” อย่างแท้จริง ด้านระบบกราฟิก Wayland จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ หลัง Ubuntu, Fedora และ KDE Plasma ต่างประกาศเดินหน้าเต็มตัวในปี 2025 ทำให้ปี 2026 จะเป็นปีที่ Xorg ถูกลดบทบาทอย่างชัดเจน แม้จะยังต้องพึ่ง XWayland สำหรับแอปเก่า แต่ทิศทางโดยรวมชัดเจนว่า Linux เดสก์ท็อปกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีเทรนด์สำคัญอื่นๆ เช่น การเติบโตของ RISC‑V ในฮาร์ดแวร์ผู้ใช้ทั่วไป, GNOME ที่เดินหน้าปรับแอปดีฟอลต์ให้ทันสมัย, ดิสโทรแบบ Immutable ที่เริ่มกลายเป็นตัวเลือกหลัก, Hyprland ที่ยังคงครองใจสายแต่งเดสก์ท็อป และแนวโน้มรัฐบาลยุโรปที่หันมาใช้โอเพ่นซอร์สมากขึ้นเพื่อความมั่นคงและลดการพึ่งพาบริษัทต่างชาติ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เทรนด์ Linux 2026 ที่โดดเด่นที่สุด ➡️ Local AI ในแอป Linux เพิ่มขึ้น เช่น Calibre, ONLYOFFICE, Kdenlive ➡️ Wayland กลายเป็นมาตรฐาน หลังดิสโทรใหญ่ทยอยเลิก Xorg ➡️ Linux Gaming โตต่อเนื่อง จาก Proton, Wine, Rust‑based NVIDIA driver และ Steam Machine ➡️ RISC‑V เข้าสู่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป เช่น Framework Mainboard และอุปกรณ์พกพาใหม่ๆ ➡️ GNOME เปลี่ยนแอปดีฟอลต์หลายตัว ไปสู่ GTK4 + libadwaita ➡️ Immutable Distros มาแรง เช่น Fedora Atomic, openSUSE MicroOS, Nitrux ➡️ Hyprland ยังคงเติบโต และถูกดิสโทรหลายตัวเพิ่มเป็นตัวเลือกหลัก ➡️ Rustification เพิ่มขึ้น ทั้งในเคอร์เนลและเครื่องมือระบบ เช่น sudo, coreutils ➡️ รัฐบาลยุโรปหันมาใช้โอเพ่นซอร์ส เช่น เดนมาร์ก, เยอรมนี, แคนาดา ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวังในเทรนด์เหล่านี้ ⛔ แอปเก่าที่ไม่รองรับ Wayland อาจมีปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน ⛔ Hyprland ยังต้องจัดการไฟล์คอนฟิกจำนวนมาก แม้จะดีขึ้นแล้วก็ตาม ⛔ Rustification อาจทำให้เกิด fragmentation หากโครงการต่างๆ รีไรต์โดยไม่ประสานกัน ⛔ Immutable Distros ต้องการการเรียนรู้ใหม่สำหรับผู้ใช้ทั่วไป https://itsfoss.com/news/linux-future-prediction-2026/
    ITSFOSS.COM
    Here's Our Prediction for the Future of Desktop Linux in 2026
    Our take on the trends that will shape desktop Linux and open source in the year ahead.
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • LMS Cloud Model: โครงสร้างการเรียนรู้ยุคใหม่ที่ขยายตัวได้ไม่รู้จบ

    องค์กรทั่วโลกกำลังเร่งปรับตัวเข้าสู่ยุคที่การเรียนรู้ต้อง “ทันที ทันการณ์ และปรับขนาดได้” ทำให้ Cloud‑based LMS กลายเป็นโครงสร้างหลักของระบบพัฒนาทักษะยุคใหม่ บทความชี้ให้เห็นว่า LMS แบบคลาวด์ช่วยให้การเรียนรู้เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการเติบโตขององค์กร และลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีคลาวด์ยังเปิดประตูสู่การเรียนรู้แบบ MOOC ที่ผู้เรียนควบคุมจังหวะของตัวเองได้อย่างเต็มที่

    ความสามารถด้าน Scalability คือหัวใจสำคัญของโมเดลนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการขยายหลักสูตรตามความต้องการใหม่ของธุรกิจ ผู้ดูแลระบบสามารถเพิ่มคอร์ส ปรับเนื้อหา หรือขยายทรัพยากรได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่ม นี่คือเหตุผลที่องค์กรขนาดเล็กถึงใหญ่ต่างเลือกใช้ LMS บนคลาวด์เพื่อรองรับ Workforce ที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกปี

    นอกจากนี้ Cloud LMS ยังช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากร IT, ค่าเดินทางอบรม และค่าอุปกรณ์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้การวางงบประมาณด้านการเรียนรู้มีความคาดการณ์ได้มากขึ้น องค์กรสามารถนำทรัพยากรที่ประหยัดได้ไปลงทุนในเนื้อหาคุณภาพสูง เช่น Micro‑learning, Simulation หรือ Gamification ซึ่งช่วยเพิ่ม Engagement ของผู้เรียนอย่างชัดเจน

    สุดท้าย ระบบคลาวด์ยังเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมมากขึ้นผ่าน Q&A, Chat, Social Learning และระบบ Gamification เช่น Badges หรือ Leaderboards ขณะเดียวกัน Analytics ขั้นสูงช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นพฤติกรรมผู้เรียนแบบเรียลไทม์ ปรับกลยุทธ์การสอนให้ตรงจุด และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ “เฉพาะบุคคล” มากขึ้น ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของ EdTech ยุคถัดไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    จุดเด่นของ Cloud‑based LMS ที่ช่วยขยายการเรียนรู้
    เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการเรียนรู้แบบ MOOC
    ขยายจำนวนผู้ใช้และเนื้อหาได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มฮาร์ดแวร์
    ลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานและค่าเดินทางอบรม
    มีเครื่องมือ Collaboration เช่น Q&A, Chat, Social Learning
    Analytics ช่วยให้ปรับเนื้อหาและกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น

    ความเสี่ยงและข้อควรระวังของการใช้ LMS บนคลาวด์
    ต้องพึ่งพาความปลอดภัยของผู้ให้บริการคลาวด์
    หากอินเทอร์เน็ตล่ม ระบบการเรียนรู้จะหยุดชะงักทันที
    การปรับแต่งขั้นสูงอาจจำกัดตามแพลตฟอร์มที่เลือก
    ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้เรียนต้องได้รับการกำกับอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/how-lms-cloud-model-supports-learning/
    ☁️📚 LMS Cloud Model: โครงสร้างการเรียนรู้ยุคใหม่ที่ขยายตัวได้ไม่รู้จบ องค์กรทั่วโลกกำลังเร่งปรับตัวเข้าสู่ยุคที่การเรียนรู้ต้อง “ทันที ทันการณ์ และปรับขนาดได้” ทำให้ Cloud‑based LMS กลายเป็นโครงสร้างหลักของระบบพัฒนาทักษะยุคใหม่ บทความชี้ให้เห็นว่า LMS แบบคลาวด์ช่วยให้การเรียนรู้เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการเติบโตขององค์กร และลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีคลาวด์ยังเปิดประตูสู่การเรียนรู้แบบ MOOC ที่ผู้เรียนควบคุมจังหวะของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ความสามารถด้าน Scalability คือหัวใจสำคัญของโมเดลนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการขยายหลักสูตรตามความต้องการใหม่ของธุรกิจ ผู้ดูแลระบบสามารถเพิ่มคอร์ส ปรับเนื้อหา หรือขยายทรัพยากรได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่ม นี่คือเหตุผลที่องค์กรขนาดเล็กถึงใหญ่ต่างเลือกใช้ LMS บนคลาวด์เพื่อรองรับ Workforce ที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกปี นอกจากนี้ Cloud LMS ยังช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากร IT, ค่าเดินทางอบรม และค่าอุปกรณ์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้การวางงบประมาณด้านการเรียนรู้มีความคาดการณ์ได้มากขึ้น องค์กรสามารถนำทรัพยากรที่ประหยัดได้ไปลงทุนในเนื้อหาคุณภาพสูง เช่น Micro‑learning, Simulation หรือ Gamification ซึ่งช่วยเพิ่ม Engagement ของผู้เรียนอย่างชัดเจน สุดท้าย ระบบคลาวด์ยังเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมมากขึ้นผ่าน Q&A, Chat, Social Learning และระบบ Gamification เช่น Badges หรือ Leaderboards ขณะเดียวกัน Analytics ขั้นสูงช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นพฤติกรรมผู้เรียนแบบเรียลไทม์ ปรับกลยุทธ์การสอนให้ตรงจุด และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ “เฉพาะบุคคล” มากขึ้น ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของ EdTech ยุคถัดไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Cloud‑based LMS ที่ช่วยขยายการเรียนรู้ ➡️ เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการเรียนรู้แบบ MOOC ➡️ ขยายจำนวนผู้ใช้และเนื้อหาได้ทันทีโดยไม่ต้องเพิ่มฮาร์ดแวร์ ➡️ ลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานและค่าเดินทางอบรม ➡️ มีเครื่องมือ Collaboration เช่น Q&A, Chat, Social Learning ➡️ Analytics ช่วยให้ปรับเนื้อหาและกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น ‼️ ความเสี่ยงและข้อควรระวังของการใช้ LMS บนคลาวด์ ⛔ ต้องพึ่งพาความปลอดภัยของผู้ให้บริการคลาวด์ ⛔ หากอินเทอร์เน็ตล่ม ระบบการเรียนรู้จะหยุดชะงักทันที ⛔ การปรับแต่งขั้นสูงอาจจำกัดตามแพลตฟอร์มที่เลือก ⛔ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้เรียนต้องได้รับการกำกับอย่างเข้มงวด https://hackread.com/how-lms-cloud-model-supports-learning/
    HACKREAD.COM
    How an LMS Cloud Model Supports Scalable Learning
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • Raspberry Pi กู้วิกฤติค่า Subscription: 5 โปรเจกต์ที่ช่วยลดรายจ่ายดิจิทัล

    ในยุคที่บริการออนไลน์แทบทุกอย่างต้อง “สมัครรายเดือน” ไม่ว่าจะเป็นสตรีมมิง เพลง เกม ไปจนถึงบริการพื้นฐานอย่าง Password Manager หลายคนเริ่มมองหาวิธีลดค่าใช้จ่ายระยะยาว Raspberry Pi กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาไม่แพง ปรับแต่งได้สูง และมีคอมมูนิตี้ที่แชร์วิธีทำมากมายให้ทำตามได้ง่ายๆ

    หนึ่งในโปรเจกต์ยอดนิยมคือการเปลี่ยน Raspberry Pi ให้เป็นกล่องสตรีมมิงส่วนตัว ใช้ Kodi หรือ LibreELEC เพื่อเล่นไฟล์หนังของตัวเองแบบ 4K HDR ได้สบายๆ โดยไม่ต้องง้อบริการสตรีมมิงที่ขึ้นราคาเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมผ่านรีโมตเดิมของทีวีด้วย HDMI-CEC หรือควบคุมผ่านมือถือก็ได้ ทำให้ใช้งานแทนกล่องสตรีมมิงเชิงพาณิชย์ได้อย่างสมบูรณ์

    อีกโปรเจกต์ที่ได้รับความนิยมคือการสร้าง NAS ส่วนตัวเพื่อเก็บไฟล์แทนบริการ Cloud Storage แม้จะต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่ม เช่น SATA HAT หรือ HDD หลายลูก แต่เมื่อใช้งานระยะยาวจะคุ้มค่ากว่าการจ่ายรายเดือน และยังควบคุมความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องดูแลระบบเองทั้งหมด ทั้งการอัปเดต ความปลอดภัย และการสำรองข้อมูล

    สุดท้าย Raspberry Pi ยังสามารถกลายเป็น Password Manager แบบ Self‑hosted, Music Streaming Server หรือแม้แต่ Game Streaming Client ผ่าน Steam Link ได้อีกด้วย ทำให้มันเป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายดิจิทัลได้หลายด้าน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้เทคโนโลยีไปในตัว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวสำหรับสายประหยัดและสายไอทีเหมือนกัน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โปรเจกต์ Raspberry Pi ที่ช่วยลดค่า subscription
    กล่องสตรีมมิงส่วนตัว เล่นไฟล์ 4K HDR ผ่าน Kodi/LibreELEC
    NAS ส่วนตัว ใช้เก็บไฟล์แทน Cloud Storage รายเดือน
    Password Manager แบบ Self‑hosted ใช้ Bitwarden บน Docker
    Music Streaming Server ผ่าน Jellyfin หรือ Navidrome
    Game Streaming Client ผ่าน Steam Link หรือ Moonlight

    ข้อควรระวังและความเสี่ยงในการใช้งาน Raspberry Pi แทนบริการรายเดือน
    ต้องดูแลระบบเองทั้งหมด เช่น อัปเดต แพตช์ความปลอดภัย
    ความเสี่ยงด้านข้อมูลสูญหาย หาก NAS เสียหาย ไฟดับ น้ำท่วม หรือถูกขโมย
    การเข้าถึงจากนอกบ้านอาจยุ่งยาก ต้องตั้งค่า VPN หรือบริการเสริม
    ประสิทธิภาพอาจไม่เท่าบริการเชิงพาณิชย์ เช่น ความเร็ว NAS หรือการสตรีมเกม

    https://www.slashgear.com/2055727/raspberry-pi-projects-replace-subscription-services/
    📺🔧 Raspberry Pi กู้วิกฤติค่า Subscription: 5 โปรเจกต์ที่ช่วยลดรายจ่ายดิจิทัล ในยุคที่บริการออนไลน์แทบทุกอย่างต้อง “สมัครรายเดือน” ไม่ว่าจะเป็นสตรีมมิง เพลง เกม ไปจนถึงบริการพื้นฐานอย่าง Password Manager หลายคนเริ่มมองหาวิธีลดค่าใช้จ่ายระยะยาว Raspberry Pi กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาไม่แพง ปรับแต่งได้สูง และมีคอมมูนิตี้ที่แชร์วิธีทำมากมายให้ทำตามได้ง่ายๆ หนึ่งในโปรเจกต์ยอดนิยมคือการเปลี่ยน Raspberry Pi ให้เป็นกล่องสตรีมมิงส่วนตัว ใช้ Kodi หรือ LibreELEC เพื่อเล่นไฟล์หนังของตัวเองแบบ 4K HDR ได้สบายๆ โดยไม่ต้องง้อบริการสตรีมมิงที่ขึ้นราคาเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมผ่านรีโมตเดิมของทีวีด้วย HDMI-CEC หรือควบคุมผ่านมือถือก็ได้ ทำให้ใช้งานแทนกล่องสตรีมมิงเชิงพาณิชย์ได้อย่างสมบูรณ์ อีกโปรเจกต์ที่ได้รับความนิยมคือการสร้าง NAS ส่วนตัวเพื่อเก็บไฟล์แทนบริการ Cloud Storage แม้จะต้องลงทุนฮาร์ดแวร์เพิ่ม เช่น SATA HAT หรือ HDD หลายลูก แต่เมื่อใช้งานระยะยาวจะคุ้มค่ากว่าการจ่ายรายเดือน และยังควบคุมความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องดูแลระบบเองทั้งหมด ทั้งการอัปเดต ความปลอดภัย และการสำรองข้อมูล สุดท้าย Raspberry Pi ยังสามารถกลายเป็น Password Manager แบบ Self‑hosted, Music Streaming Server หรือแม้แต่ Game Streaming Client ผ่าน Steam Link ได้อีกด้วย ทำให้มันเป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายดิจิทัลได้หลายด้าน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้เทคโนโลยีไปในตัว ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวสำหรับสายประหยัดและสายไอทีเหมือนกัน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โปรเจกต์ Raspberry Pi ที่ช่วยลดค่า subscription ➡️ กล่องสตรีมมิงส่วนตัว เล่นไฟล์ 4K HDR ผ่าน Kodi/LibreELEC ➡️ NAS ส่วนตัว ใช้เก็บไฟล์แทน Cloud Storage รายเดือน ➡️ Password Manager แบบ Self‑hosted ใช้ Bitwarden บน Docker ➡️ Music Streaming Server ผ่าน Jellyfin หรือ Navidrome ➡️ Game Streaming Client ผ่าน Steam Link หรือ Moonlight ‼️ ข้อควรระวังและความเสี่ยงในการใช้งาน Raspberry Pi แทนบริการรายเดือน ⛔ ต้องดูแลระบบเองทั้งหมด เช่น อัปเดต แพตช์ความปลอดภัย ⛔ ความเสี่ยงด้านข้อมูลสูญหาย หาก NAS เสียหาย ไฟดับ น้ำท่วม หรือถูกขโมย ⛔ การเข้าถึงจากนอกบ้านอาจยุ่งยาก ต้องตั้งค่า VPN หรือบริการเสริม ⛔ ประสิทธิภาพอาจไม่เท่าบริการเชิงพาณิชย์ เช่น ความเร็ว NAS หรือการสตรีมเกม https://www.slashgear.com/2055727/raspberry-pi-projects-replace-subscription-services/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Raspberry Pi Projects That Can Replace Your Expensive Subscriptions - SlashGear
    Subscription services are everywhere these days, and they only seem to get more expensive. Luckily, with a Raspberry Pi, you can cut down on some of the bloat.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลทั่วโลกใช้ “ปิดอินเทอร์เน็ต” เป็นอาวุธใหม่ — และกำลังเกิดบ่อยขึ้นอย่างน่ากลัว

    บทความของ Bruce Schneier ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล: รัฐบาลจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้อินเทอร์เน็ตชัตดาวน์เป็นเครื่องมือควบคุมประชาชน ไม่ว่าจะเพื่อหยุดการประท้วง ปิดปากสื่อ หรือแม้แต่ควบคุมผลสอบของนักเรียนในบางประเทศ เหตุการณ์ล่าสุด เช่น อัฟกานิสถาน แทนซาเนีย แคเมอรูน ปากีสถาน และไนจีเรีย ต่างเผชิญการปิดอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาคหรือทั้งประเทศ โดยหลายครั้งไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากรัฐบาลเลย

    Schneier ระบุว่าการปิดอินเทอร์เน็ตไม่ใช่แค่ “ความไม่สะดวก” แต่เป็นการปิดระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสังคม — ตั้งแต่การสื่อสารฉุกเฉิน การเงิน การบิน ไปจนถึงความปลอดภัยของประชาชนในเขตสงคราม เช่น กาซา หรือยูเครน ที่เคยถูกตัดสัญญาณโดยเจตนาเพื่อทำให้ประชาชนไร้ความสามารถในการขอความช่วยเหลือหรือเผยแพร่หลักฐานการละเมิดสิทธิ

    ข้อมูลจาก Access Now ระบุว่า ปี 2024 มีการปิดอินเทอร์เน็ต 296 ครั้งใน 54 ประเทศ และปี 2025 ก็มีอย่างน้อย 244 ครั้งแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของรัฐบาลอำนาจนิยม

    ปัญหานี้รุนแรงขึ้นเพราะโครงสร้างอินเทอร์เน็ตในหลายประเทศ “รวมศูนย์” มากเกินไป เช่น มีผู้ให้บริการมือถือรายเดียว หรือมีสายเคเบิลเชื่อมต่อโลกภายนอกเพียง 1–2 เส้น ทำให้รัฐบาลสามารถสั่งปิดได้ง่ายเพียงออกคำสั่งเดียว ต่างจากประเทศที่มีโครงสร้างกระจายตัว เช่น สหรัฐฯ ที่การปิดอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศแทบเป็นไปไม่ได้

    Schneier เตือนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นสัญญาณของการถอยหลังทางประชาธิปไตยทั่วโลก แม้จะมีความพยายามจากองค์กรระหว่างประเทศในการกดดัน แต่รัฐบาลหลายแห่งกลับ “เรียนรู้จากกันและกัน” ทำให้แนวโน้มนี้ยิ่งแพร่กระจาย

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ
    การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    296 ครั้งในปี 2024
    244 ครั้งในปี 2025 (ยังไม่จบปี)

    เหตุผลที่รัฐบาลใช้ชัตดาวน์
    ปิดกั้นการประท้วง
    ควบคุมการเลือกตั้ง
    ปิดปากสื่อ
    ควบคุมข้อมูลในเขตสงคราม
    แม้แต่ “กันโกงข้อสอบ”

    ผลกระทบรุนแรงกว่าที่คิด
    ระบบฉุกเฉินล่ม
    การเงินหยุดชะงัก
    เที่ยวบินถูกยกเลิก
    ประชาชนในเขตสงครามไม่สามารถขอความช่วยเหลือ

    ประเทศที่ทำบ่อยที่สุด
    อินเดีย (855 ครั้ง)
    เมียนมา
    ปากีสถาน
    อิหร่าน

    ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง
    โครงสร้างอินเทอร์เน็ตแบบรวมศูนย์ทำให้ปิดได้ง่าย
    บริษัทเทคบางแห่ง “ร่วมมือ” กับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์
    การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็นอาวุธทางการเมือง

    https://www.schneier.com/blog/archives/2025/12/deliberate-internet-shutdowns.html
    🌐⚠️ รัฐบาลทั่วโลกใช้ “ปิดอินเทอร์เน็ต” เป็นอาวุธใหม่ — และกำลังเกิดบ่อยขึ้นอย่างน่ากลัว บทความของ Bruce Schneier ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวล: รัฐบาลจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้อินเทอร์เน็ตชัตดาวน์เป็นเครื่องมือควบคุมประชาชน ไม่ว่าจะเพื่อหยุดการประท้วง ปิดปากสื่อ หรือแม้แต่ควบคุมผลสอบของนักเรียนในบางประเทศ เหตุการณ์ล่าสุด เช่น อัฟกานิสถาน แทนซาเนีย แคเมอรูน ปากีสถาน และไนจีเรีย ต่างเผชิญการปิดอินเทอร์เน็ตระดับภูมิภาคหรือทั้งประเทศ โดยหลายครั้งไม่มีคำอธิบายใด ๆ จากรัฐบาลเลย Schneier ระบุว่าการปิดอินเทอร์เน็ตไม่ใช่แค่ “ความไม่สะดวก” แต่เป็นการปิดระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสังคม — ตั้งแต่การสื่อสารฉุกเฉิน การเงิน การบิน ไปจนถึงความปลอดภัยของประชาชนในเขตสงคราม เช่น กาซา หรือยูเครน ที่เคยถูกตัดสัญญาณโดยเจตนาเพื่อทำให้ประชาชนไร้ความสามารถในการขอความช่วยเหลือหรือเผยแพร่หลักฐานการละเมิดสิทธิ ข้อมูลจาก Access Now ระบุว่า ปี 2024 มีการปิดอินเทอร์เน็ต 296 ครั้งใน 54 ประเทศ และปี 2025 ก็มีอย่างน้อย 244 ครั้งแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของรัฐบาลอำนาจนิยม ปัญหานี้รุนแรงขึ้นเพราะโครงสร้างอินเทอร์เน็ตในหลายประเทศ “รวมศูนย์” มากเกินไป เช่น มีผู้ให้บริการมือถือรายเดียว หรือมีสายเคเบิลเชื่อมต่อโลกภายนอกเพียง 1–2 เส้น ทำให้รัฐบาลสามารถสั่งปิดได้ง่ายเพียงออกคำสั่งเดียว ต่างจากประเทศที่มีโครงสร้างกระจายตัว เช่น สหรัฐฯ ที่การปิดอินเทอร์เน็ตทั้งประเทศแทบเป็นไปไม่ได้ Schneier เตือนว่าการปิดอินเทอร์เน็ตคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นสัญญาณของการถอยหลังทางประชาธิปไตยทั่วโลก แม้จะมีความพยายามจากองค์กรระหว่างประเทศในการกดดัน แต่รัฐบาลหลายแห่งกลับ “เรียนรู้จากกันและกัน” ทำให้แนวโน้มนี้ยิ่งแพร่กระจาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ ✅ การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ 296 ครั้งในปี 2024 ➡️ 244 ครั้งในปี 2025 (ยังไม่จบปี) ✅ เหตุผลที่รัฐบาลใช้ชัตดาวน์ ➡️ ปิดกั้นการประท้วง ➡️ ควบคุมการเลือกตั้ง ➡️ ปิดปากสื่อ ➡️ ควบคุมข้อมูลในเขตสงคราม ➡️ แม้แต่ “กันโกงข้อสอบ” ✅ ผลกระทบรุนแรงกว่าที่คิด ➡️ ระบบฉุกเฉินล่ม ➡️ การเงินหยุดชะงัก ➡️ เที่ยวบินถูกยกเลิก ➡️ ประชาชนในเขตสงครามไม่สามารถขอความช่วยเหลือ ✅ ประเทศที่ทำบ่อยที่สุด ➡️ อินเดีย (855 ครั้ง) ➡️ เมียนมา ➡️ ปากีสถาน ➡️ อิหร่าน ‼️ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ➡️ โครงสร้างอินเทอร์เน็ตแบบรวมศูนย์ทำให้ปิดได้ง่าย ➡️ บริษัทเทคบางแห่ง “ร่วมมือ” กับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ ➡️ การปิดอินเทอร์เน็ตกำลังกลายเป็นอาวุธทางการเมือง https://www.schneier.com/blog/archives/2025/12/deliberate-internet-shutdowns.html
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “อาจารย์ช้าง” ออกโรงวิจารณ์ระบบการศึกษาไทย หลังพบข้อสอบแข่งขันวิทยาศาสตร์ระดับ ป.5 ใช้เนื้อหาฟิสิกส์ ม.4 ทั้งการแตกแรงเวกเตอร์ กฎของนิวตัน และตรีโกณมิติ ชี้ไม่ใช่ความเก่งของเด็ก แต่คือความล้มเหลวของผู้ใหญ่ที่ออกแบบการวัดผลผิดวัย

    อาจารย์ช้างระบุ ข้อสอบลักษณะนี้ไม่ได้วัดไหวพริบหรือการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ แต่กำลังวัดเพียงว่า “ใครมีเงินเรียนพิเศษล่วงหน้าได้มากกว่า” ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ และเปลี่ยนสนามแข่งขันทางปัญญาให้กลายเป็นการแข่งขันทางฐานะครอบครัว

    พร้อมเตือนว่าการออกข้อสอบยากเกินหลักสูตร คือวิธีที่มักง่ายที่สุดของผู้ออกข้อสอบ และกำลังทำลายทั้งความมั่นใจ ความรักในการเรียนรู้ และความเชื่อของเด็กว่า ความพยายามมีความหมาย

    อาจารย์ช้างย้ำว่า การศึกษาที่ดีไม่ใช่ทำให้เด็ก “อึ้ง” แต่ต้องทำให้เด็ก “คิดได้” ในระดับวัยของเขา หากระบบยังยึดติดว่าข้อสอบยากคือเด็กเก่ง สังคมอาจได้ผู้ใหญ่ที่ท่องสูตรได้เร็ว แต่ไม่เข้าใจความยุติธรรมของสังคมในวันข้างหน้า

    อ่านเพิ่มเติม >> https://news1live.com/detail/9680000123397

    #News1live #News1 #การศึกษาไทย #ข้อสอบผิดวัย #ความเหลื่อมล้ำ #เด็กไม่ใช่ปัญหา
    “อาจารย์ช้าง” ออกโรงวิจารณ์ระบบการศึกษาไทย หลังพบข้อสอบแข่งขันวิทยาศาสตร์ระดับ ป.5 ใช้เนื้อหาฟิสิกส์ ม.4 ทั้งการแตกแรงเวกเตอร์ กฎของนิวตัน และตรีโกณมิติ ชี้ไม่ใช่ความเก่งของเด็ก แต่คือความล้มเหลวของผู้ใหญ่ที่ออกแบบการวัดผลผิดวัย อาจารย์ช้างระบุ ข้อสอบลักษณะนี้ไม่ได้วัดไหวพริบหรือการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ แต่กำลังวัดเพียงว่า “ใครมีเงินเรียนพิเศษล่วงหน้าได้มากกว่า” ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ และเปลี่ยนสนามแข่งขันทางปัญญาให้กลายเป็นการแข่งขันทางฐานะครอบครัว พร้อมเตือนว่าการออกข้อสอบยากเกินหลักสูตร คือวิธีที่มักง่ายที่สุดของผู้ออกข้อสอบ และกำลังทำลายทั้งความมั่นใจ ความรักในการเรียนรู้ และความเชื่อของเด็กว่า ความพยายามมีความหมาย อาจารย์ช้างย้ำว่า การศึกษาที่ดีไม่ใช่ทำให้เด็ก “อึ้ง” แต่ต้องทำให้เด็ก “คิดได้” ในระดับวัยของเขา หากระบบยังยึดติดว่าข้อสอบยากคือเด็กเก่ง สังคมอาจได้ผู้ใหญ่ที่ท่องสูตรได้เร็ว แต่ไม่เข้าใจความยุติธรรมของสังคมในวันข้างหน้า อ่านเพิ่มเติม >> https://news1live.com/detail/9680000123397 #News1live #News1 #การศึกษาไทย #ข้อสอบผิดวัย #ความเหลื่อมล้ำ #เด็กไม่ใช่ปัญหา
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 328 Views 0 Reviews
  • จอมินิ 1.14 นิ้วราคา $10 ที่ใช้ ESP32 — เมื่อจอ “สำหรับมด” กลายเป็นเดสก์ท็อปเสริมจริงๆ

    โปรเจกต์ของ Tucker Shannon แสดงให้เห็นว่าการสร้าง “จอเสริม” ขนาดจิ๋วไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป ด้วยการใช้บอร์ด TENSTAR T‑Display ESP32‑D0WD ซึ่งมีจอ ST7789 ขนาด 1.14 นิ้ว ความละเอียด 135×240 พิกเซลในตัว แม้จะเล็กจนแทบต้องเพ่ง แต่ Shannon สามารถทำให้มันแสดงผลเดสก์ท็อปจริงแบบมิเรอร์จากเครื่องหลักได้อย่างน่าทึ่ง

    หัวใจของระบบคือการจับภาพหน้าจอจากคอมพิวเตอร์ แล้วส่งเฟรมผ่าน Wi‑Fi ไปยัง ESP32 ด้วยโปรโตคอลที่เขาออกแบบเอง โดยส่งเฉพาะ “พิกเซลที่เปลี่ยนไป” ทำให้เมื่อหน้าจอค่อนข้างนิ่ง สามารถเรนเดอร์ได้ถึง 60 FPS แต่ถ้าภาพเคลื่อนไหวมาก เฟรมเรตจะตกลงเหลือประมาณ 5 FPS ซึ่งยังถือว่าเร็วมากสำหรับจอขนาดนี้และข้อจำกัดของไมโครคอนโทรลเลอร์

    บนฝั่ง ESP32 ตัวบอร์ดทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณล้วนๆ ผ่าน SPI โดย Shannon เขียนเฟิร์มแวร์ด้วย Arduino IDE ส่วนฝั่งคอมพิวเตอร์ใช้ Python ทำงานเปรียบเทียบเฟรมก่อนส่ง ทำให้ระบบทั้งหมดทำงานได้แม้มี latency ต่ำกว่า 100 ms บน Wi‑Fi คุณภาพดี ถือว่าเร็วพอสำหรับการแสดงข้อมูลสถานะหรือ dashboard แบบเรียลไทม์

    แม้โปรเจกต์นี้จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานจริงจัง เช่น การทำงานเอกสารหรือเล่นเกม แต่ Shannon ชี้ว่ามันเหมาะมากสำหรับ IoT dashboards, จอแจ้งเตือน, หรือเป็นโปรเจกต์เรียนรู้การสตรีมภาพแบบ low‑bandwidth ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์และการเขียนโค้ดที่ฉลาด แม้แต่จอเล็กระดับ “ของเล่น” ก็สามารถกลายเป็นอุปกรณ์จริงได้

    โปรเจกต์ใช้บอร์ด TENSTAR T‑Display ESP32‑D0WD
    มีจอ ST7789 ขนาด 1.14 นิ้ว ความละเอียด 135×240
    ราคาเพียง $11 แต่ทำงานเป็นจอเสริมได้จริง

    ระบบสตรีมภาพผ่าน Wi‑Fi แบบส่งเฉพาะพิกเซลที่เปลี่ยน
    เฟรมเรตสูงสุด ~60 FPS เมื่อภาพนิ่ง
    ลดลงเหลือ ~5 FPS เมื่อภาพเคลื่อนไหวมาก

    โครงสร้างซอฟต์แวร์เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
    ESP32 รับเฟรมผ่าน SPI และแสดงผลทันที
    Python บน PC ทำ frame diffing และ batching ก่อนส่ง

    ข้อจำกัดที่ต้องระวัง
    จอเล็กมากจนใช้งานจริงจังไม่ได้
    เฟรมเรตตกหนักเมื่อมีการเคลื่อนไหวเยอะ

    ความเสี่ยงด้านเครือข่ายและ latency
    ประสิทธิภาพขึ้นกับคุณภาพ Wi‑Fi
    หากสัญญาณรบกวนมาก อาจเกิดอาการหน่วงหรือเฟรมขาด

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/microcontrollers/maker-builds-tiny-usd10-secondary-1-14-inch-display-using-an-esp32-you-could-play-crysis-on-it-if-you-squint
    🖥️ จอมินิ 1.14 นิ้วราคา $10 ที่ใช้ ESP32 — เมื่อจอ “สำหรับมด” กลายเป็นเดสก์ท็อปเสริมจริงๆ โปรเจกต์ของ Tucker Shannon แสดงให้เห็นว่าการสร้าง “จอเสริม” ขนาดจิ๋วไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป ด้วยการใช้บอร์ด TENSTAR T‑Display ESP32‑D0WD ซึ่งมีจอ ST7789 ขนาด 1.14 นิ้ว ความละเอียด 135×240 พิกเซลในตัว แม้จะเล็กจนแทบต้องเพ่ง แต่ Shannon สามารถทำให้มันแสดงผลเดสก์ท็อปจริงแบบมิเรอร์จากเครื่องหลักได้อย่างน่าทึ่ง หัวใจของระบบคือการจับภาพหน้าจอจากคอมพิวเตอร์ แล้วส่งเฟรมผ่าน Wi‑Fi ไปยัง ESP32 ด้วยโปรโตคอลที่เขาออกแบบเอง โดยส่งเฉพาะ “พิกเซลที่เปลี่ยนไป” ทำให้เมื่อหน้าจอค่อนข้างนิ่ง สามารถเรนเดอร์ได้ถึง 60 FPS แต่ถ้าภาพเคลื่อนไหวมาก เฟรมเรตจะตกลงเหลือประมาณ 5 FPS ซึ่งยังถือว่าเร็วมากสำหรับจอขนาดนี้และข้อจำกัดของไมโครคอนโทรลเลอร์ บนฝั่ง ESP32 ตัวบอร์ดทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณล้วนๆ ผ่าน SPI โดย Shannon เขียนเฟิร์มแวร์ด้วย Arduino IDE ส่วนฝั่งคอมพิวเตอร์ใช้ Python ทำงานเปรียบเทียบเฟรมก่อนส่ง ทำให้ระบบทั้งหมดทำงานได้แม้มี latency ต่ำกว่า 100 ms บน Wi‑Fi คุณภาพดี ถือว่าเร็วพอสำหรับการแสดงข้อมูลสถานะหรือ dashboard แบบเรียลไทม์ แม้โปรเจกต์นี้จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานจริงจัง เช่น การทำงานเอกสารหรือเล่นเกม แต่ Shannon ชี้ว่ามันเหมาะมากสำหรับ IoT dashboards, จอแจ้งเตือน, หรือเป็นโปรเจกต์เรียนรู้การสตรีมภาพแบบ low‑bandwidth ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์และการเขียนโค้ดที่ฉลาด แม้แต่จอเล็กระดับ “ของเล่น” ก็สามารถกลายเป็นอุปกรณ์จริงได้ ✅ โปรเจกต์ใช้บอร์ด TENSTAR T‑Display ESP32‑D0WD ➡️ มีจอ ST7789 ขนาด 1.14 นิ้ว ความละเอียด 135×240 ➡️ ราคาเพียง $11 แต่ทำงานเป็นจอเสริมได้จริง ✅ ระบบสตรีมภาพผ่าน Wi‑Fi แบบส่งเฉพาะพิกเซลที่เปลี่ยน ➡️ เฟรมเรตสูงสุด ~60 FPS เมื่อภาพนิ่ง ➡️ ลดลงเหลือ ~5 FPS เมื่อภาพเคลื่อนไหวมาก ✅ โครงสร้างซอฟต์แวร์เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ➡️ ESP32 รับเฟรมผ่าน SPI และแสดงผลทันที ➡️ Python บน PC ทำ frame diffing และ batching ก่อนส่ง ‼️ ข้อจำกัดที่ต้องระวัง ⛔ จอเล็กมากจนใช้งานจริงจังไม่ได้ ⛔ เฟรมเรตตกหนักเมื่อมีการเคลื่อนไหวเยอะ ‼️ ความเสี่ยงด้านเครือข่ายและ latency ⛔ ประสิทธิภาพขึ้นกับคุณภาพ Wi‑Fi ⛔ หากสัญญาณรบกวนมาก อาจเกิดอาการหน่วงหรือเฟรมขาด https://www.tomshardware.com/maker-stem/microcontrollers/maker-builds-tiny-usd10-secondary-1-14-inch-display-using-an-esp32-you-could-play-crysis-on-it-if-you-squint
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • ตราบใดที่อัตราส่วนแผนที่ ยังไม่เกิดการเรียนรู้สากล เรื่องอินโดจีน ได้มาด้วยดินแดนที่ไม่ถูกต้อง ตอนเขมรสามฝ่ายรบฆ่าคนกัมพูชาด้วยกัน แล้วหนีมาไทย อยู่อาศัยจนคิดว่าเป็นของตัว เครื่องมือให้นักการเมือง ก็ผูกปมแผลความขัดแย้งตลอดไป
    https://youtu.be/gOShNPyIiRs?si=tRh_zpq7BiXdyzKs
    ตราบใดที่อัตราส่วนแผนที่ ยังไม่เกิดการเรียนรู้สากล เรื่องอินโดจีน ได้มาด้วยดินแดนที่ไม่ถูกต้อง ตอนเขมรสามฝ่ายรบฆ่าคนกัมพูชาด้วยกัน แล้วหนีมาไทย อยู่อาศัยจนคิดว่าเป็นของตัว เครื่องมือให้นักการเมือง ก็ผูกปมแผลความขัดแย้งตลอดไป https://youtu.be/gOShNPyIiRs?si=tRh_zpq7BiXdyzKs
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • 2025: ปีที่ LLM เปลี่ยนรูปร่าง—จาก “โมเดลที่ถูกสอน” สู่ “สิ่งมีชีวิตเชิงตรรกะที่ถูกเรียกใช้”

    ปี 2025 เป็นปีที่วงการ LLM เปลี่ยนโฉมอย่างชัดเจนที่สุดตั้งแต่ยุค GPT‑3 เพราะเป็นปีที่ Reinforcement Learning from Verifiable Rewards (RLVR) กลายเป็นแกนกลางของการพัฒนาโมเดลแทนการพึ่ง SFT + RLHF แบบเดิม การฝึกด้วยรางวัลที่ตรวจสอบได้อัตโนมัติในโดเมนอย่างคณิตศาสตร์และโค้ด ทำให้โมเดล “ค้นพบ” กลยุทธ์การคิดด้วยตัวเอง เช่น การแตกโจทย์เป็นขั้นตอน การย้อนกลับไปตรวจคำตอบ และการสร้าง reasoning trace ที่ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ สิ่งนี้ทำให้ LLM ดูเหมือน “คิดเป็น” มากขึ้นในสายตาของมนุษย์

    นอกจากความก้าวหน้าทางเทคนิคแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีที่อุตสาหกรรมเริ่มเข้าใจ “รูปร่างของสติปัญญาแบบ LLM” ว่ามันไม่ใช่สัตว์วิวัฒนาการ แต่เป็น “ผี” ที่ถูกเรียกขึ้นมาจากการ optimize ตามแรงกดดันของข้อมูลและรางวัล ทำให้ความสามารถของโมเดลมีลักษณะ “เป็นหยัก” (jagged) เก่งมากในบางเรื่องและงงงวยในบางเรื่องอย่างสุดขั้ว สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อใน benchmark ลดลง เพราะโมเดลสามารถ “โตตาม benchmark” ได้ง่ายผ่าน RLVR และ synthetic data

    ปีนี้ยังเป็นปีที่ LLM apps เช่น Cursor และ Claude Code แสดงให้เห็นว่า “แอป LLM” คือเลเยอร์ใหม่ของซอฟต์แวร์—เป็นตัว orchestrate โมเดลหลายตัว, จัดการ context, เชื่อมต่อเครื่องมือ และสร้าง GUI เฉพาะงาน Cursor ทำให้เกิดคำว่า “Cursor for X” ส่วน Claude Code แสดงให้เห็นว่า agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้โดยตรงสามารถเปลี่ยน workflow ของนักพัฒนาได้อย่างสิ้นเชิง

    ท้ายที่สุด ปี 2025 คือปีที่ “vibe coding” กลายเป็นเรื่องปกติ—การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด ทำให้คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ และทำให้โปรแกรมเมอร์สร้างซอฟต์แวร์มากกว่าที่เคยเป็นไปได้ นอกจากนี้โมเดลอย่าง Gemini Nano Banana ยังเผยให้เห็นอนาคตของ “LLM GUI” ที่ผสานข้อความ ภาพ และความรู้เข้าด้วยกันในโมเดลเดียว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสถาปัตยกรรม LLM ในปี 2025
    RLVR กลายเป็นแกนหลักแทน SFT + RLHF
    โมเดลเรียนรู้กลยุทธ์ reasoning ด้วยตัวเองผ่านรางวัลที่ตรวจสอบได้
    ความสามารถเพิ่มขึ้นจาก “การคิดนานขึ้น” ไม่ใช่แค่โมเดลใหญ่ขึ้น

    ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “สติปัญญาแบบ LLM”
    LLM ไม่ได้วิวัฒน์แบบสัตว์ แต่ถูก optimize แบบ “ผี” ตามแรงกดดันข้อมูล
    ความสามารถเป็นหยัก—เก่งมากในบางเรื่อง งงมากในบางเรื่อง
    benchmark เริ่มไม่น่าเชื่อถือเพราะถูก optimize ทับซ้อนด้วย RLVR

    การเกิดขึ้นของเลเยอร์ใหม่: LLM Apps
    Cursor แสดงให้เห็นว่าแอป LLM คือ orchestration layer ใหม่ของซอฟต์แวร์
    Claude Code คือ agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ เปลี่ยน workflow นักพัฒนาโดยตรง
    LLM apps จะเป็นตัว “ประกอบทีม AI” สำหรับงานเฉพาะทาง

    Vibe Coding และการ democratize การเขียนโปรแกรม
    เขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด
    คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น
    นักพัฒนาสามารถสร้างซอฟต์แวร์แบบ “ใช้ครั้งเดียวทิ้ง” เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    สัญญาณของอนาคต: LLM GUI
    Gemini Nano Banana แสดงให้เห็นการรวม text + image + knowledge ในโมเดลเดียว
    อนาคตของ LLM จะไม่ใช่ “แชต” แต่เป็น “อินเทอร์เฟซภาพ” ที่มนุษย์ถนัดกว่า

    ประเด็นที่ต้องระวัง
    RLVR อาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโดเมนที่ตรวจสอบได้ แต่ยังอ่อนในโดเมนเปิด
    benchmark อาจหลอกตา ทำให้ประเมินความสามารถโมเดลผิด
    agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ต้องระวังเรื่องสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัย

    https://karpathy.bearblog.dev/year-in-review-2025/
    🤖 2025: ปีที่ LLM เปลี่ยนรูปร่าง—จาก “โมเดลที่ถูกสอน” สู่ “สิ่งมีชีวิตเชิงตรรกะที่ถูกเรียกใช้” ปี 2025 เป็นปีที่วงการ LLM เปลี่ยนโฉมอย่างชัดเจนที่สุดตั้งแต่ยุค GPT‑3 เพราะเป็นปีที่ Reinforcement Learning from Verifiable Rewards (RLVR) กลายเป็นแกนกลางของการพัฒนาโมเดลแทนการพึ่ง SFT + RLHF แบบเดิม การฝึกด้วยรางวัลที่ตรวจสอบได้อัตโนมัติในโดเมนอย่างคณิตศาสตร์และโค้ด ทำให้โมเดล “ค้นพบ” กลยุทธ์การคิดด้วยตัวเอง เช่น การแตกโจทย์เป็นขั้นตอน การย้อนกลับไปตรวจคำตอบ และการสร้าง reasoning trace ที่ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มความแม่นยำ สิ่งนี้ทำให้ LLM ดูเหมือน “คิดเป็น” มากขึ้นในสายตาของมนุษย์ นอกจากความก้าวหน้าทางเทคนิคแล้ว ปีนี้ยังเป็นปีที่อุตสาหกรรมเริ่มเข้าใจ “รูปร่างของสติปัญญาแบบ LLM” ว่ามันไม่ใช่สัตว์วิวัฒนาการ แต่เป็น “ผี” ที่ถูกเรียกขึ้นมาจากการ optimize ตามแรงกดดันของข้อมูลและรางวัล ทำให้ความสามารถของโมเดลมีลักษณะ “เป็นหยัก” (jagged) เก่งมากในบางเรื่องและงงงวยในบางเรื่องอย่างสุดขั้ว สิ่งนี้ทำให้ความเชื่อใน benchmark ลดลง เพราะโมเดลสามารถ “โตตาม benchmark” ได้ง่ายผ่าน RLVR และ synthetic data ปีนี้ยังเป็นปีที่ LLM apps เช่น Cursor และ Claude Code แสดงให้เห็นว่า “แอป LLM” คือเลเยอร์ใหม่ของซอฟต์แวร์—เป็นตัว orchestrate โมเดลหลายตัว, จัดการ context, เชื่อมต่อเครื่องมือ และสร้าง GUI เฉพาะงาน Cursor ทำให้เกิดคำว่า “Cursor for X” ส่วน Claude Code แสดงให้เห็นว่า agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้โดยตรงสามารถเปลี่ยน workflow ของนักพัฒนาได้อย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุด ปี 2025 คือปีที่ “vibe coding” กลายเป็นเรื่องปกติ—การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด ทำให้คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ และทำให้โปรแกรมเมอร์สร้างซอฟต์แวร์มากกว่าที่เคยเป็นไปได้ นอกจากนี้โมเดลอย่าง Gemini Nano Banana ยังเผยให้เห็นอนาคตของ “LLM GUI” ที่ผสานข้อความ ภาพ และความรู้เข้าด้วยกันในโมเดลเดียว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสถาปัตยกรรม LLM ในปี 2025 ➡️ RLVR กลายเป็นแกนหลักแทน SFT + RLHF ➡️ โมเดลเรียนรู้กลยุทธ์ reasoning ด้วยตัวเองผ่านรางวัลที่ตรวจสอบได้ ➡️ ความสามารถเพิ่มขึ้นจาก “การคิดนานขึ้น” ไม่ใช่แค่โมเดลใหญ่ขึ้น ✅ ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “สติปัญญาแบบ LLM” ➡️ LLM ไม่ได้วิวัฒน์แบบสัตว์ แต่ถูก optimize แบบ “ผี” ตามแรงกดดันข้อมูล ➡️ ความสามารถเป็นหยัก—เก่งมากในบางเรื่อง งงมากในบางเรื่อง ➡️ benchmark เริ่มไม่น่าเชื่อถือเพราะถูก optimize ทับซ้อนด้วย RLVR ✅ การเกิดขึ้นของเลเยอร์ใหม่: LLM Apps ➡️ Cursor แสดงให้เห็นว่าแอป LLM คือ orchestration layer ใหม่ของซอฟต์แวร์ ➡️ Claude Code คือ agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ เปลี่ยน workflow นักพัฒนาโดยตรง ➡️ LLM apps จะเป็นตัว “ประกอบทีม AI” สำหรับงานเฉพาะทาง ✅ Vibe Coding และการ democratize การเขียนโปรแกรม ➡️ เขียนโปรแกรมด้วยภาษาอังกฤษแทนโค้ด ➡️ คนทั่วไปสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น ➡️ นักพัฒนาสามารถสร้างซอฟต์แวร์แบบ “ใช้ครั้งเดียวทิ้ง” เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ✅ สัญญาณของอนาคต: LLM GUI ➡️ Gemini Nano Banana แสดงให้เห็นการรวม text + image + knowledge ในโมเดลเดียว ➡️ อนาคตของ LLM จะไม่ใช่ “แชต” แต่เป็น “อินเทอร์เฟซภาพ” ที่มนุษย์ถนัดกว่า ‼️ ประเด็นที่ต้องระวัง ⛔ RLVR อาจทำให้โมเดลเก่งเฉพาะโดเมนที่ตรวจสอบได้ แต่ยังอ่อนในโดเมนเปิด ⛔ benchmark อาจหลอกตา ทำให้ประเมินความสามารถโมเดลผิด ⛔ agent ที่รันบนเครื่องผู้ใช้ต้องระวังเรื่องสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและความปลอดภัย https://karpathy.bearblog.dev/year-in-review-2025/
    KARPATHY.BEARBLOG.DEV
    2025 LLM Year in Review
    2025 Year in Review of LLM paradigm changes
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • NitroGen: โมเดล AI เล่นเกมได้กว่า 1,000 เกม และอาจเป็นก้าวสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่

    งานวิจัย NitroGen จากทีมร่วมของ Nvidia, Stanford, Caltech และสถาบันอื่นๆ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการ AI และหุ่นยนต์ ด้วยการพัฒนาโมเดลที่สามารถเรียนรู้การเล่นเกมกว่า 1,000 เกมจากวิดีโอสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมง จุดเด่นคือ NitroGen ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เล่นเกมเก่ง” เพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นโมเดลที่เข้าใจการกระทำ (actions) ในโลกที่ซับซ้อน — แนวคิดที่คล้าย “GPT for actions” ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของ AI ที่มีร่างกาย (embodied AI) ในอนาคต.

    สิ่งที่น่าสนใจคือ NitroGen ถูกสร้างบนสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ซึ่งเดิมทีออกแบบมาสำหรับหุ่นยนต์โดยเฉพาะ การนำโมเดลนี้ไปฝึกในโลกเกมที่เต็มไปด้วยกฎ ฟิสิกส์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำกลับไปใช้ในโลกจริงได้ เช่น การควบคุมมอเตอร์ การตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คุ้นเคย และการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด.

    ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า NitroGen สามารถเล่นเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG, platformer, racing ไปจนถึง battle royale และยังทำงานได้ดีในเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% นี่เป็นสัญญาณว่าการเรียนรู้จาก “โลกจำลอง” อาจเป็นทางลัดสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานในโลกจริงได้อย่างยืดหยุ่น.

    ในมุมกว้างขึ้น นักวิจัยมองว่าโมเดลแบบ NitroGen จะช่วยลดต้นทุนการฝึกหุ่นยนต์ในโลกจริง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การใช้วิดีโอเกมเป็นสนามฝึกจึงเป็นทั้งทางเลือกที่ปลอดภัย เร็ว และมีความหลากหลายมากกว่าโลกจริงหลายเท่า นอกจากนี้ การเปิดซอร์สโค้ดและน้ำหนักโมเดลยังช่วยให้ชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกสามารถทดลอง ปรับแต่ง และสร้างนวัตกรรมต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    NitroGen คือโมเดล AI ที่ฝึกจากวิดีโอเกมกว่า 1,000 เกม
    ใช้ข้อมูลจากสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมงในการเรียนรู้การควบคุมเกม
    รองรับเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG ถึง battle royale

    พื้นฐานโมเดลมาจากสถาปัตยกรรม GROOT N1.5
    เดิมออกแบบเพื่อหุ่นยนต์ ทำให้โมเดลมีศักยภาพด้าน embodied AI

    ผลทดสอบแสดงให้เห็นความสามารถในการเล่นเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52%

    เปิดซอร์สเพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด
    ทั้งน้ำหนักโมเดล โค้ด และชุดข้อมูลพร้อมให้ทดลองใช้งาน

    คำเตือน / ประเด็นที่ควรจับตา
    การใช้วิดีโอเกมเป็นฐานฝึกอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมโลกจริงทั้งหมด
    ฟิสิกส์ในเกมอาจไม่ตรงกับโลกจริง ทำให้เกิดช่องว่างในการนำไปใช้กับหุ่นยนต์

    โมเดลที่เรียนรู้จากข้อมูลสาธารณะอาจมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์หรือความเป็นส่วนตัว
    โดยเฉพาะวิดีโอที่มีข้อมูลผู้เล่นหรือ UI เฉพาะเกม

    การพัฒนา embodied AI ที่มีความสามารถสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    หากระบบควบคุมไม่รัดกุม อาจเกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-led-nitrogen-is-a-generalist-video-gaming-ai-that-can-play-any-title-research-also-has-big-implications-for-robotics
    🎮 NitroGen: โมเดล AI เล่นเกมได้กว่า 1,000 เกม และอาจเป็นก้าวสำคัญของหุ่นยนต์ยุคใหม่ งานวิจัย NitroGen จากทีมร่วมของ Nvidia, Stanford, Caltech และสถาบันอื่นๆ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการ AI และหุ่นยนต์ ด้วยการพัฒนาโมเดลที่สามารถเรียนรู้การเล่นเกมกว่า 1,000 เกมจากวิดีโอสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมง จุดเด่นคือ NitroGen ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “เล่นเกมเก่ง” เพียงอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นโมเดลที่เข้าใจการกระทำ (actions) ในโลกที่ซับซ้อน — แนวคิดที่คล้าย “GPT for actions” ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของ AI ที่มีร่างกาย (embodied AI) ในอนาคต. สิ่งที่น่าสนใจคือ NitroGen ถูกสร้างบนสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ซึ่งเดิมทีออกแบบมาสำหรับหุ่นยนต์โดยเฉพาะ การนำโมเดลนี้ไปฝึกในโลกเกมที่เต็มไปด้วยกฎ ฟิสิกส์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ทำให้มันเรียนรู้ทักษะที่สามารถนำกลับไปใช้ในโลกจริงได้ เช่น การควบคุมมอเตอร์ การตอบสนองต่อสถานการณ์ไม่คุ้นเคย และการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด. ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า NitroGen สามารถเล่นเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG, platformer, racing ไปจนถึง battle royale และยังทำงานได้ดีในเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% นี่เป็นสัญญาณว่าการเรียนรู้จาก “โลกจำลอง” อาจเป็นทางลัดสำคัญในการสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานในโลกจริงได้อย่างยืดหยุ่น. ในมุมกว้างขึ้น นักวิจัยมองว่าโมเดลแบบ NitroGen จะช่วยลดต้นทุนการฝึกหุ่นยนต์ในโลกจริง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล การใช้วิดีโอเกมเป็นสนามฝึกจึงเป็นทั้งทางเลือกที่ปลอดภัย เร็ว และมีความหลากหลายมากกว่าโลกจริงหลายเท่า นอกจากนี้ การเปิดซอร์สโค้ดและน้ำหนักโมเดลยังช่วยให้ชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกสามารถทดลอง ปรับแต่ง และสร้างนวัตกรรมต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ NitroGen คือโมเดล AI ที่ฝึกจากวิดีโอเกมกว่า 1,000 เกม ➡️ ใช้ข้อมูลจากสตรีมเมอร์กว่า 40,000 ชั่วโมงในการเรียนรู้การควบคุมเกม ➡️ รองรับเกมหลากหลายแนว ตั้งแต่ RPG ถึง battle royale ✅ พื้นฐานโมเดลมาจากสถาปัตยกรรม GROOT N1.5 ➡️ เดิมออกแบบเพื่อหุ่นยนต์ ทำให้โมเดลมีศักยภาพด้าน embodied AI ✅ ผลทดสอบแสดงให้เห็นความสามารถในการเล่นเกมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ➡️ มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าโมเดลที่ฝึกจากศูนย์ถึง 52% ✅ เปิดซอร์สเพื่อให้นักพัฒนาทั่วโลกนำไปต่อยอด ➡️ ทั้งน้ำหนักโมเดล โค้ด และชุดข้อมูลพร้อมให้ทดลองใช้งาน ⚠️ คำเตือน / ประเด็นที่ควรจับตา ‼️ การใช้วิดีโอเกมเป็นฐานฝึกอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมโลกจริงทั้งหมด ⛔ ฟิสิกส์ในเกมอาจไม่ตรงกับโลกจริง ทำให้เกิดช่องว่างในการนำไปใช้กับหุ่นยนต์ ‼️ โมเดลที่เรียนรู้จากข้อมูลสาธารณะอาจมีความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์หรือความเป็นส่วนตัว ⛔ โดยเฉพาะวิดีโอที่มีข้อมูลผู้เล่นหรือ UI เฉพาะเกม ‼️ การพัฒนา embodied AI ที่มีความสามารถสูงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ หากระบบควบคุมไม่รัดกุม อาจเกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-led-nitrogen-is-a-generalist-video-gaming-ai-that-can-play-any-title-research-also-has-big-implications-for-robotics
    0 Comments 0 Shares 257 Views 0 Reviews
  • Thin Desires กำลังกัดกินชีวิตเรา

    บทความ Thin Desires Are Eating Your Life ของ Joan Westenberg วิเคราะห์ว่าโลกยุคดิจิทัลกำลังทำให้เราติดอยู่กับ “thin desires” หรือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริง เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพโซเชียลมีเดีย แทนที่จะลงทุนใน “thick desires” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและความหมาย เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือการสร้างชุมชน.

    Westenberg อธิบายว่า thin desires คือความปรารถนาที่ให้ความพึงพอใจชั่วคราวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพคอนเทนต์ออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม thick desires อย่างการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การฝึกฝนงานฝีมือ หรือการสร้างความสัมพันธ์จริง จะเปลี่ยนแปลงผู้คนในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความสามารถและมุมมองใหม่ ๆ.

    ธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมากใช้โมเดลที่ “แยกชิ้นส่วน” ความปรารถนาแบบหนา แล้วส่งมอบเฉพาะส่วนที่ให้รางวัลทางสมอง เช่น โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง, สื่อลามกให้ความพึงพอใจทางเพศโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์, แอป productivity ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำซ้ำ ขยาย และทำเงิน แต่กลับทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับวงจรความว่างเปล่า.

    ผลลัพธ์คือสังคมที่เต็มไปด้วยความเหงา ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า แม้เราจะ “เชื่อมต่อ” กันมากกว่าที่เคย แต่กลับรู้สึกขาดความหมาย Westenberg ชี้ว่า thick desires ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันที ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกทำลายลงเรื่อย ๆ เช่น การหายไปของเวิร์กช็อป การลดลงของการฝึกงาน และการแทนที่พื้นที่สาธารณะด้วยการใช้ชีวิตคนเดียวกับอุปกรณ์.

    ผู้เขียนเสนอแนวทางเล็ก ๆ ในการต่อต้าน เช่น การอบขนมปังที่ไม่สามารถเร่งเวลาได้, การเขียนจดหมายด้วยมือที่ไม่สามารถแก้ไขหรือ unsend ได้, หรือการสร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อนหนึ่งคน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ scale หรือ monetize ได้ แต่ช่วยให้เรากลับมาสัมผัสกับความอดทน ความหมาย และความสัมพันธ์ที่แท้จริง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิด Thin vs Thick Desires
    Thin = ความพึงพอใจชั่วคราว ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิต
    Thick = ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงตัวตนและสร้างความหมาย

    ธุรกิจเทคโนโลยีใช้ Thin Desires
    โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง
    Productivity apps ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง

    ผลกระทบต่อสังคม
    ความเหงา วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
    โครงสร้างสนับสนุน Thick Desires ถูกทำลาย เช่น เวิร์กช็อปและชุมชน

    แนวทางต่อต้าน Thin Desires
    อบขนมปัง ใช้เวลาและความอดทน
    เขียนจดหมายด้วยมือ สื่อสารนอกระบบ metrics
    สร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อน

    คำเตือน
    การเสพ Thin Desires อย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตว่างเปล่าและขาดความหมาย
    หากไม่สร้าง Thick Desires เราจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความอดทน

    https://www.joanwestenberg.com/thin-desires-are-eating-your-life/
    📱 Thin Desires กำลังกัดกินชีวิตเรา บทความ Thin Desires Are Eating Your Life ของ Joan Westenberg วิเคราะห์ว่าโลกยุคดิจิทัลกำลังทำให้เราติดอยู่กับ “thin desires” หรือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริง เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพโซเชียลมีเดีย แทนที่จะลงทุนใน “thick desires” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและความหมาย เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือการสร้างชุมชน. Westenberg อธิบายว่า thin desires คือความปรารถนาที่ให้ความพึงพอใจชั่วคราวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพคอนเทนต์ออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม thick desires อย่างการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การฝึกฝนงานฝีมือ หรือการสร้างความสัมพันธ์จริง จะเปลี่ยนแปลงผู้คนในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความสามารถและมุมมองใหม่ ๆ. ธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมากใช้โมเดลที่ “แยกชิ้นส่วน” ความปรารถนาแบบหนา แล้วส่งมอบเฉพาะส่วนที่ให้รางวัลทางสมอง เช่น โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง, สื่อลามกให้ความพึงพอใจทางเพศโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์, แอป productivity ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำซ้ำ ขยาย และทำเงิน แต่กลับทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับวงจรความว่างเปล่า. ผลลัพธ์คือสังคมที่เต็มไปด้วยความเหงา ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า แม้เราจะ “เชื่อมต่อ” กันมากกว่าที่เคย แต่กลับรู้สึกขาดความหมาย Westenberg ชี้ว่า thick desires ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันที ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกทำลายลงเรื่อย ๆ เช่น การหายไปของเวิร์กช็อป การลดลงของการฝึกงาน และการแทนที่พื้นที่สาธารณะด้วยการใช้ชีวิตคนเดียวกับอุปกรณ์. ผู้เขียนเสนอแนวทางเล็ก ๆ ในการต่อต้าน เช่น การอบขนมปังที่ไม่สามารถเร่งเวลาได้, การเขียนจดหมายด้วยมือที่ไม่สามารถแก้ไขหรือ unsend ได้, หรือการสร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อนหนึ่งคน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ scale หรือ monetize ได้ แต่ช่วยให้เรากลับมาสัมผัสกับความอดทน ความหมาย และความสัมพันธ์ที่แท้จริง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิด Thin vs Thick Desires ➡️ Thin = ความพึงพอใจชั่วคราว ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิต ➡️ Thick = ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงตัวตนและสร้างความหมาย ✅ ธุรกิจเทคโนโลยีใช้ Thin Desires ➡️ โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง ➡️ Productivity apps ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง ✅ ผลกระทบต่อสังคม ➡️ ความเหงา วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น ➡️ โครงสร้างสนับสนุน Thick Desires ถูกทำลาย เช่น เวิร์กช็อปและชุมชน ✅ แนวทางต่อต้าน Thin Desires ➡️ อบขนมปัง ใช้เวลาและความอดทน ➡️ เขียนจดหมายด้วยมือ สื่อสารนอกระบบ metrics ➡️ สร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อน ‼️ คำเตือน ⛔ การเสพ Thin Desires อย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตว่างเปล่าและขาดความหมาย ⛔ หากไม่สร้าง Thick Desires เราจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความอดทน https://www.joanwestenberg.com/thin-desires-are-eating-your-life/
    WWW.JOANWESTENBERG.COM
    Thin Desires Are Eating Your Life
    The defining experience of our age seems to be hunger. We're hungry for more, but we have more than we need. We're hungry for less, while more accumulates and multiplies. We're hungry and we don't have words to articulate why. We're hungry, and we're lacking and we're wanting. We are
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • “AI ออกแบบคอมพิวเตอร์เสร็จใน 1 สัปดาห์ – Project Speedrun สร้างสถิติใหม่”

    การออกแบบแผงวงจร (PCB) มักเป็นงานที่ใช้เวลานานและซับซ้อน โดยปกติวิศวกรต้องใช้เวลาหลายเดือนในการวางแผนและทดสอบ แต่ Quilter AI ได้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถลดเวลาจาก 430 ชั่วโมงเหลือเพียง 38.5 ชั่วโมง พร้อมสร้างคอมพิวเตอร์ที่บูตระบบปฏิบัติการ Debian ได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของ AI ในการออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Quilter AI ไม่ได้ถูกฝึกจากตัวอย่าง PCB ที่มนุษย์ออกแบบมาก่อน แต่ใช้การ “เล่นเกมกับกฎฟิสิกส์” เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ระบบไม่ถูกจำกัดด้วยข้อผิดพลาดที่มนุษย์เคยทำ และสามารถสร้างการออกแบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

    การทดลองนี้ยังสะท้อนถึงอนาคตของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ที่อาจเปิดโอกาสให้ สตาร์ทอัพหรือผู้เล่นรายเล็กเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น เพราะ AI สามารถลดต้นทุนเวลาและแรงงานลงอย่างมหาศาล ทำให้การสร้างคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ทีมวิศวกรขนาดใหญ่เสมอไป

    ในระยะยาว Quilter ตั้งเป้าว่า AI จะไม่เพียงแค่ “ทำงานแทนมนุษย์” แต่จะสามารถออกแบบ PCB ที่ดีกว่าที่มนุษย์เคยทำได้ ซึ่งหากสำเร็จจริง อาจเป็นการพลิกโฉมวงการอิเล็กทรอนิกส์และการผลิตคอมพิวเตอร์ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Project Speedrun ของ Quilter AI
    ออกแบบคอมพิวเตอร์ Linux แบบ Dual-PCB มีชิ้นส่วน 843 ชิ้น

    ลดเวลาออกแบบอย่างมหาศาล
    ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ และแรงงานมนุษย์ 38.5 ชั่วโมง จากเดิม 430 ชั่วโมง

    บูต Debian สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก
    แสดงถึงความแม่นยำและประสิทธิภาพของการออกแบบโดย AI

    แนวทางการฝึก AI
    ไม่ใช้ตัวอย่างมนุษย์ แต่เรียนรู้จากกฎฟิสิกส์โดยตรง

    ความท้าทายและความเสี่ยง
    หาก AI ออกแบบผิดพลาด อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวงจรหรือระบบที่ซับซ้อน
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะการออกแบบเชิงลึก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/dual-pcb-linux-computer-with-843-components-designed-by-ai-boots-on-first-attempt-project-speedrun-was-made-in-just-one-week-and-required-less-than-40-hours-of-human-work
    📰 “AI ออกแบบคอมพิวเตอร์เสร็จใน 1 สัปดาห์ – Project Speedrun สร้างสถิติใหม่” การออกแบบแผงวงจร (PCB) มักเป็นงานที่ใช้เวลานานและซับซ้อน โดยปกติวิศวกรต้องใช้เวลาหลายเดือนในการวางแผนและทดสอบ แต่ Quilter AI ได้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถลดเวลาจาก 430 ชั่วโมงเหลือเพียง 38.5 ชั่วโมง พร้อมสร้างคอมพิวเตอร์ที่บูตระบบปฏิบัติการ Debian ได้สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของ AI ในการออกแบบฮาร์ดแวร์ที่ซับซ้อน สิ่งที่น่าสนใจคือ Quilter AI ไม่ได้ถูกฝึกจากตัวอย่าง PCB ที่มนุษย์ออกแบบมาก่อน แต่ใช้การ “เล่นเกมกับกฎฟิสิกส์” เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ทำให้ระบบไม่ถูกจำกัดด้วยข้อผิดพลาดที่มนุษย์เคยทำ และสามารถสร้างการออกแบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม การทดลองนี้ยังสะท้อนถึงอนาคตของอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ ที่อาจเปิดโอกาสให้ สตาร์ทอัพหรือผู้เล่นรายเล็กเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น เพราะ AI สามารถลดต้นทุนเวลาและแรงงานลงอย่างมหาศาล ทำให้การสร้างคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้ทีมวิศวกรขนาดใหญ่เสมอไป ในระยะยาว Quilter ตั้งเป้าว่า AI จะไม่เพียงแค่ “ทำงานแทนมนุษย์” แต่จะสามารถออกแบบ PCB ที่ดีกว่าที่มนุษย์เคยทำได้ ซึ่งหากสำเร็จจริง อาจเป็นการพลิกโฉมวงการอิเล็กทรอนิกส์และการผลิตคอมพิวเตอร์ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Project Speedrun ของ Quilter AI ➡️ ออกแบบคอมพิวเตอร์ Linux แบบ Dual-PCB มีชิ้นส่วน 843 ชิ้น ✅ ลดเวลาออกแบบอย่างมหาศาล ➡️ ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์ และแรงงานมนุษย์ 38.5 ชั่วโมง จากเดิม 430 ชั่วโมง ✅ บูต Debian สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ➡️ แสดงถึงความแม่นยำและประสิทธิภาพของการออกแบบโดย AI ✅ แนวทางการฝึก AI ➡️ ไม่ใช้ตัวอย่างมนุษย์ แต่เรียนรู้จากกฎฟิสิกส์โดยตรง ‼️ ความท้าทายและความเสี่ยง ⛔ หาก AI ออกแบบผิดพลาด อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อวงจรหรือระบบที่ซับซ้อน ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้มนุษย์สูญเสียทักษะการออกแบบเชิงลึก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/dual-pcb-linux-computer-with-843-components-designed-by-ai-boots-on-first-attempt-project-speedrun-was-made-in-just-one-week-and-required-less-than-40-hours-of-human-work
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Dual-PCB Linux computer with 843 components designed by AI boots on first attempt — Project Speedrun was made in just one week and required less than 40 hours of human work
    Quilter, the LA-based startup behind this feat, says its dual-PCB Linux computer with 843 components was designed in just one week.
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷
    #รวมข่าวIT #20251216 #TechRadar

    LG เปิดตัวทีวี Micro RGB evo ที่ CES 2026
    LG กำลังสร้างความฮือฮาในงาน CES 2026 ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Micro RGB evo ซึ่งเปลี่ยนหลอดไฟ LED แบบเดิมไปเป็นหลอดไฟสีแดง เขียว และน้ำเงินขนาดจิ๋ว เพื่อควบคุมแสงและสีได้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์คือภาพที่สว่างสดใสและสีสันจัดเต็มใกล้เคียง OLED แต่ยังคงความสว่างสูงของ LCD จุดเด่นคือการครอบคลุมสีครบทั้ง BT.2020, DCI-P3 และ Adobe RGB พร้อมระบบประมวลผล α11 AI Gen 3 ที่ช่วยอัปสเกลภาพให้คมชัดขึ้น ถือเป็นการพยายามปิดช่องว่างระหว่าง LCD และ OLED ที่น่าสนใจมากสำหรับคนรักภาพคมชัดและสีสดใส
    https://www.techradar.com/televisions/lg-reveals-micro-rgb-evo-tv-with-bold-claims-of-perfect-color

    Netflix เลิกใช้ Google Cast แต่ Apple TV บน Android นำกลับมาอีกครั้ง
    Netflix เคยยกเลิกฟีเจอร์ Google Cast ที่ให้ผู้ใช้ส่งภาพจากมือถือขึ้นจอทีวี แต่ล่าสุด Apple TV บน Android กลับนำฟีเจอร์นี้กลับมา ทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีมคอนเทนต์จากมือถือไปยังทีวีได้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งที่ยังคงดุเดือด และการที่ Apple พยายามทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้ Android ได้สะดวกขึ้น
    https://www.techradar.com/streaming/apple-tv-plus/netflix-dropped-google-cast-now-apple-tv-for-android-just-brought-it-back

    NAS พกพาใส่ SSD 4 ตัว พร้อมพลัง Intel N150
    มีการเปิดตัวอุปกรณ์ NAS ขนาดเล็กที่ดูเหมือนวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า แต่ภายในบรรจุ SSD ได้ถึง 4 ตัว ใช้พลังจาก Intel N150 และมีพอร์ต LAN 2.5Gb สองช่อง รวมถึง RAM 12GB จุดขายคือความสามารถในการพกพาและเก็บข้อมูลได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเกินความคาดหมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่คล่องตัวและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร
    https://www.techradar.com/pro/is-that-your-grandads-transistor-radio-no-its-a-4-ssd-nas-with-two-2-5gb-lan-ports-12gb-ram-and-a-cracking-name-the-orange-colored-youyeetoo-nestdisk

    นักพัฒนาสร้างกล่องสำรองข้อมูล iPhone แบบออฟไลน์
    นักพัฒนารายหนึ่งได้สร้างอุปกรณ์สำรองข้อมูล iPhone ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB และเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเก็บไว้ในเครื่องโดยตรง ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายค่าบริการ iCloud หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ แม้จะยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความต้องการควบคุมข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/want-to-back-up-your-iphone-securely-without-paying-the-apple-tax-theres-a-hack-for-that-but-it-isnt-for-everyone-yet

    วิกฤติ RAM อาจกระทบหนักต่อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง
    ตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติ RAM ที่อาจทำให้เครื่องเล่นเกมประสิทธิภาพสูงมีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น เหตุผลมาจากความต้องการหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจาก AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเกมมิ่งต้องปรับตัวและอาจทำให้ผู้เล่นเกมต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพื่อได้เครื่องที่แรงพอ
    https://www.techradar.com/computing/memory/the-ram-crisis-will-be-a-disaster-for-gaming-laptops-heres-why

    Slop: คำแห่งปีที่สะท้อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยขยะดิจิทัล
    ปีนี้ Merriam-Webster เลือกคำว่า “Slop” เป็น Word of the Year 2025 เพื่ออธิบายเนื้อหาดิจิทัลคุณภาพต่ำที่ถูกผลิตขึ้นอย่างมหาศาลด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นบทความ ภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์ หลายอย่างดูเหมือนจะสร้างได้ง่ายแต่กลับทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสิ่งที่คนเรียกว่า “AI slop” จนยากจะแยกออกว่าอะไรคือผลงานมนุษย์จริงๆ และอะไรคือสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของเครื่องมือ AI ถูกส่งถึงมือผู้ใช้เร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันคิดถึงผลกระทบ ทำให้เราต้องเผชิญกับทะเลข้อมูลที่ปะปนทั้งคุณภาพและขยะไปพร้อมกัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/we-filled-the-internet-with-garbage-and-now-slop-is-the-word-of-the-year-nice-going-ai

    Super X: แท็บเล็ตลูกผสมที่แรงระดับเดสก์ท็อป
    OneXPlayer เปิดตัว Super X อุปกรณ์ลูกผสมที่รวมแท็บเล็ตกับพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อป หน้าจอใหญ่ถึง 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียู 16 คอร์ GPU ระดับ 5060-class และ RAM สูงสุด 128GB จุดเด่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องเล็กแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่อยากได้ความแรงแบบ PC แต่ยังพกพาได้สะดวก แม้ราคาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ แต่ถือเป็นการยกระดับแท็บเล็ตให้ก้าวไปอีกขั้น
    https://www.techradar.com/pro/a-water-cooled-amd-ai-14-inch-tablet-with-16-cpu-cores-a-5060-class-gpu-and-128gb-ram-is-exactly-what-i-need-for-christmas-i-dont-think-it-will-cost-less-than-usd2000-though

    SSD จิ๋วแต่แรง: Samsung เปิดตัว PCIe Gen5 รุ่นใหม่
    Samsung เผยโฉม SSD รุ่น PM9E1 ที่มาในขนาดเล็กเพียง 22 x 42 มม. แต่รองรับมาตรฐาน PCIe Gen5 ทำให้ได้ความเร็วสูงและความจุที่จริงจัง แม้จะมาแบบเงียบๆ แต่ถือเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็กแต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะกับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์พกพาที่ต้องการความเร็วระดับสูงสุดในพื้นที่จำกัด
    https://www.techradar.com/pro/samsungs-surprising-stealth-superfast-ssd-surfaces-silently-pm9e1-turns-out-to-be-a-mini-9100-pro-measuring-just-22-x-42mm-with-pcie-gen5-capabilities

    DoomScroll: เว็บไซต์ใหม่รวมแผนที่ Doom แบบไม่รู้จบ
    แฟนเกม Doom ได้เฮ เมื่อมีเว็บไซต์ใหม่ชื่อ DoomScroll ที่รวบรวมแผนที่เกม Doom ไว้ให้เลือกเล่นได้ไม่รู้จบผ่านเบราว์เซอร์ ผู้เล่นสามารถเข้าไปเลือกแผนที่ที่ชอบแล้วเล่นได้ทันที ถือเป็นการเปิดคลังเกมคลาสสิกให้เข้าถึงง่ายขึ้น และยังทำให้ชุมชนผู้เล่นสามารถแชร์ผลงานกันได้สะดวกขึ้นด้วย
    https://www.techradar.com/gaming/pc-gaming/new-doomscroll-website-is-an-endless-library-of-doom-maps-you-can-pick-from-and-play-in-your-browser

    หน่วยความจำแห่งอนาคต: Kioxia พัฒนา 3D DRAM
    Kioxia ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี 3D DRAM โดยใช้ stacked oxide-semiconductors ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความหนาแน่นของหน่วยความจำ แม้จะยังไม่พร้อมสู่ตลาดผู้บริโภคในทันที แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหน่วยความจำในทศวรรษหน้า ทำให้คาดหวังได้ว่าอนาคตเราจะได้เห็น RAM ที่เร็วขึ้นและราคาถูกลง
    https://www.techradar.com/pro/crying-over-expensive-ram-kioxia-may-have-cracked-the-3d-ram-puzzle-paving-the-way-for-cheaper-faster-memory-but-it-probably-wont-reach-the-market-till-the-next-decade

    Apple อุดช่องโหว่ Zero-Day สุดอันตราย
    Apple ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ที่ถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงบุคคลระดับสูง โดยช่องโหว่นี้อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ทีม Google TAG และ Apple ร่วมกันค้นพบและแก้ไข ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก การอัปเดตครอบคลุมทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, visionOS และ Safari ผู้ใช้ทั่วไปแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตเพื่อความปลอดภัยทันที
    https://www.techradar.com/pro/security/apple-says-it-fixed-zero-day-flaws-used-for-sophisticated-attacks

    CEO Windscribe วิจารณ์การแบน VPN สำหรับเด็ก
    Windscribe ผู้ให้บริการ VPN ออกมาแสดงความเห็นว่าการห้ามเด็กใช้ VPN เป็น “วิธีแก้ที่แย่ที่สุด” เพราะ VPN ไม่ใช่เครื่องมืออันตราย แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย การแบนอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และยังไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงของการใช้งานออนไลน์
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/banning-vpns-for-kids-is-the-dumbest-possible-fix-windscribe-ceo

    กล้องวงจรปิดแบตเตอรี่ไร้ขีดจำกัด
    มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่อง “แบตเตอรี่ไม่จำกัด” สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ ราคาก็ไม่สูงอย่างที่คิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กล้องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่
    https://www.techradar.com/home/smart-home/this-home-security-cam-monitors-your-property-24-7-with-unlimited-battery-life-and-it-costs-less-than-you-might-expect

    Garmin เผลอหลุดข้อมูล Vivosmart 6
    Garmin มีข่าวหลุดเกี่ยวกับสมาร์ทแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ Vivosmart 6 ที่คาดว่าจะมาพร้อมการอัปเกรดสำคัญเหนือรุ่นก่อน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเต็ม แต่คาดว่าจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำขึ้น การหลุดครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ติดตามอุปกรณ์สวมใส่ของ Garmin อยู่แล้ว
    https://www.techradar.com/health-fitness/fitness-trackers/garmin-just-leaked-its-vivosmart-6-tracker-and-it-might-come-with-one-major-upgrade-over-its-predecessor

    แอป Freedom Chat ทำข้อมูลผู้ใช้หลุด
    มีรายงานว่าแอปแชทชื่อ Freedom Chat เผยข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมายเลขโทรศัพท์และรายละเอียดอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แอปนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดมาตรการป้องกันที่รัดกุม และอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือการละเมิดข้อมูล
    https://www.techradar.com/pro/security/messaging-app-freedom-chat-exposes-user-phone-numbers-and-more-heres-what-we-know

    Google เปิดฟีเจอร์แปลสดผ่านหูฟัง
    Google กำลังยกระดับการสื่อสารข้ามภาษาให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “Live Translation” ที่สามารถใช้งานได้กับหูฟังทุกยี่ห้อ ไม่จำกัดเฉพาะ Pixel Buds อีกต่อไป โดยเริ่มทดสอบในสหรัฐฯ เม็กซิโก และอินเดีย ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลคำต่อคำ แต่ยังรักษาน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ของผู้พูด ทำให้การสนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังปรับปรุงระบบ Gemini ให้เข้าใจสำนวนและภาษาพูด เช่น “stealing my thunder” ที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือช่วยเรียนภาษา เช่น การให้คำแนะนำด้านการออกเสียง และระบบติดตามความก้าวหน้า ฟีเจอร์นี้รองรับกว่า 70 ภาษา และมีแผนจะขยายไปยัง iOS ในปี 2026
    https://www.techradar.com/computing/software/google-smashes-language-barriers-with-live-translation-for-any-earbuds-on-android-heres-how-it-works

    อีเมลไม่ใช่จุดอ่อน แต่การตั้งค่าคลาวด์ต่างหาก
    หลายครั้งที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล อีเมลมักถูกมองว่าเป็นตัวการ แต่จริง ๆ แล้วปัญหามาจากการตั้งค่าคลาวด์ที่ผิดพลาดมากกว่า กว่า 99% ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยเกิดจากผู้ใช้เอง เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ใช้รหัสผ่านซ้ำ หรือจัดการข้อมูลผิดพลาด การโทษอีเมลจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากต้นเหตุที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันควรเริ่มจากการเข้ารหัสข้อมูล การเสริมความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการฝึกอบรมผู้ใช้ให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ เมื่อผู้ใช้มีความรู้และระบบถูกเข้ารหัสอย่างดี อีเมลก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/your-email-app-isnt-the-weak-link-but-your-cloud-configuration-probably-is

    Microsoft ขยายโครงการ Bug Bounty
    Microsoft ประกาศปรับโครงการ Bug Bounty ครั้งใหญ่ เปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถส่งรายงานช่องโหว่ได้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์และบริการ แม้บางโปรแกรมจะไม่มีการตั้งค่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็ตาม แนวทางใหม่นี้เรียกว่า “In Scope by Default” ซึ่งหมายความว่าหากช่องโหว่มีผลกระทบต่อบริการออนไลน์ของ Microsoft ก็จะได้รับเงินรางวัลตามระดับความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา Microsoft จ่ายเงินรางวัลไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ มากกว่า Google ที่จ่ายราว 11.8 ล้านดอลลาร์ การขยายนี้ครอบคลุมทั้งโค้ดของ Microsoft โค้ดจากบุคคลที่สาม และโอเพ่นซอร์ส ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในวงกว้างยิ่งขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-will-expand-bug-bounties-even-on-programs-without-official-payouts

    Oracle ทุ่มมหาศาลกับดีลศูนย์ข้อมูล
    Oracle กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในโลกคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลและคลาวด์รวมมูลค่าถึง 248 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทยอยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2026 ไปจนถึง 2028 และกินเวลายาวนานถึง 15–19 ปี การขยายตัวนี้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Nvidia และ OpenAI ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 300 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Oracle ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าและลงทุนเพิ่มหนี้อีกหลายหมื่นล้าน แม้จะเป็นภาระ แต่ก็สะท้อนว่าบริษัทกำลังเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตของตลาด AI และคลาวด์อย่างเต็มที่
    https://www.techradar.com/pro/oracle-reportedly-signs-major-huge-cloud-data-center-deals-in-the-last-quarter-nearly-usd250-billion-in-new-commitments-revealed

    ChatGPT 5.2 vs Gemini 3
    มีการทดสอบเปรียบเทียบสองแชตบอทที่โด่งดังที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ChatGPT 5.2 และ Gemini 3 ผู้เขียนลองใช้งานจริงเพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ได้ดีกว่า ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจเพราะแต่ละตัวมีจุดแข็งต่างกัน ChatGPT 5.2 โดดเด่นเรื่องการให้คำตอบที่ละเอียดและมีความคิดเชิงลึก ส่วน Gemini 3 เน้นความเร็วและความกระชับในการสื่อสาร การแข่งขันนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังร้อนแรง และผู้ใช้ก็มีทางเลือกมากขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-5-2-vs-gemini-3-i-tried-the-worlds-most-popular-chatbots-to-see-which-is-best-and-the-result-might-surprise-you

    โลกเสมือนที่มีหัวใจมนุษย์
    เรื่องราวของ Victoria Fard ศิลปินที่ใช้พลังของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความทรงจำ ความรู้สึก และเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผลงานของเธอจึงไม่ใช่แค่ภาพสวย ๆ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง
    https://www.techradar.com/tech/memories-in-pixel-how-victoria-fard-uses-a-pc-powered-by-snapdragon-to-build-worlds-that-are-deeply-human

    ซีอีโอยังเดินหน้าลงทุน AI แม้ผลลัพธ์ไม่ชัด
    แม้หลายบริษัทจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI แต่ซีอีโอจำนวนมากก็ยังคงเดินหน้าทุ่มงบต่อไป เหตุผลคือพวกเขามองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ และหากหยุดลงทุนอาจเสียโอกาสในอนาคต ถึงแม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระยะยาว
    https://www.techradar.com/pro/ceos-seem-determined-to-keep-spending-on-ai-despite-mixed-success

    ศาลรัสเซียสั่งอายัดทรัพย์ Google ในฝรั่งเศส
    มีข่าวใหญ่จากยุโรป เมื่อศาลรัสเซียมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ Google ในฝรั่งเศสมูลค่ากว่า 129 ล้านดอลลาร์ สาเหตุเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อนในหลายประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญในระดับโลก ทั้งจากกฎระเบียบและความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน
    https://www.techradar.com/pro/security/russian-court-ruling-could-see-usd129-million-freeze-on-some-of-googles-french-assets

    Microsoft เจอศึกใหญ่เรื่อง Cloud Licensing ในสหราชอาณาจักร
    เรื่องนี้เริ่มจากการที่ Microsoft ถูกกล่าวหาว่ากำหนดเงื่อนไขการใช้งาน Windows Server บน Cloud ของคู่แข่งอย่าง AWS และ Google Cloud ให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง จนทำให้หลายองค์กรในสหราชอาณาจักรเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก คดีนี้ถูกยื่นต่อศาล Competition Appeal Tribunal โดยมีองค์กรกว่า 59,000 แห่งเข้าร่วมเป็นกลุ่มฟ้องร้อง หาก Microsoft ถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าชดเชยสูงถึง 2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ Microsoft ยืนยันว่าเป็นเพียงการกล่าวหาเกินจริงจากกลุ่มทนายและผู้สนับสนุน แต่แรงกดดันก็ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะ Google เองก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ EU มาก่อนแล้ว
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-back-in-court-in-the-uk-over-unfair-cloud-licensing-claims

    UGreen เปิดตัว eGPU Dock ท้าชน Razer ในตลาด eGPU ที่กำลังร้อนแรง
    UGreen ได้เปิดตัว Linkstation eGPU Dock ที่มาพร้อมพลังงานในตัวถึง 850W และพอร์ตเชื่อมต่อใหม่อย่าง Oculink และ USB4 จุดเด่นคือราคาประมาณ 325 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ Razer Core X V2 แต่เหนือกว่าตรงที่มี PSU ในตัวและรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 370 มม. อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ของ UGreen ยังเปิดโล่งมากกว่า Razer ที่มีโครงสร้างปิด ทำให้บางคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของการ์ดจอ ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่น่าจับตามองของ UGreen ที่เดิมทำอุปกรณ์เสริมอย่าง Dock และ Charger
    https://www.techradar.com/computing/gpu/its-a-great-time-to-buy-an-egpu-and-ugreens-new-razer-rival-has-two-major-tricks-up-its-sleeve

    วิกฤติ RAM อาจทำให้สมาร์ทโฟนถอยหลังในปี 2026
    นักวิเคราะห์เตือนว่าความต้องการ RAM ที่สูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังทำให้ราคาพุ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องลดสเปกลง แทนที่จะเพิ่ม RAM เป็น 16GB ในรุ่นเรือธงใหม่ อาจยังคงอยู่ที่ 12GB หรือบางรุ่นอาจลดลงเหลือ 8GB สำหรับรุ่นกลาง และ 4GB สำหรับรุ่นล่าง ทั้งนี้แม้จะเป็นการคาดการณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาด AI กำลังดูดซับทรัพยากรไปอย่างมหาศาล ซึ่งอาจย้อนแย้งกับการพัฒนา AI บนมือถือที่ต้องใช้ RAM มากเช่นกัน
    https://www.techradar.com/phones/the-ram-crisis-will-see-smartphone-specs-go-backwards-in-2026-experts-warn-heres-why

    Apple ควรทำ Smart Ring เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากของ Smartwatch
    ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าแม้ Apple Watch จะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็สร้างความลำบากใจเพราะเขาเป็นคนรักนาฬิกากลไกและไม่อยากละทิ้งการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม จนต้องใส่นาฬิกาสองเรือนบนข้อมือเดียวกัน ซึ่งทั้งไม่สะดวกและน่าขัน เขาจึงเสนอว่า Apple ควรทำ Smart Ring ที่สามารถติดตามสุขภาพได้เหมือน Apple Watch แต่เล็กกะทัดรัดและไม่รบกวนการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม หาก Apple ทำจริงก็อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกเกมในปี 2026
    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/apple-needs-to-make-a-smart-ring-to-save-me-from-this-ridiculous-situation

    รีวิวซอฟต์แวร์ Idea Spectrum Realtime Landscaping Pro 2025
    นี่คือโปรแกรมออกแบบภูมิทัศน์ที่ให้คุณสร้างสวนเสมือนจริงได้จากคอมพิวเตอร์ Windows จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีคลังพืชกว่า 6,000 ชนิด และวัตถุสามมิติหลากหลาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรถยนต์ พร้อมระบบแอนิเมชันที่ทำให้งานออกแบบดูมีชีวิตชีวา โปรแกรมยังมี Wizard ที่ช่วยให้การสร้างบ้าน สระน้ำ หรือสวนทำได้รวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดว่าใช้ได้เฉพาะ Windows และอาจหน่วงเมื่อโปรเจ็กต์ซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ
    https://www.techradar.com/pro/software-services/idea-spectrum-realtime-landscaping-pro-review

    📌📡🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷📡📌 #รวมข่าวIT #20251216 #TechRadar 🖥️ LG เปิดตัวทีวี Micro RGB evo ที่ CES 2026 LG กำลังสร้างความฮือฮาในงาน CES 2026 ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Micro RGB evo ซึ่งเปลี่ยนหลอดไฟ LED แบบเดิมไปเป็นหลอดไฟสีแดง เขียว และน้ำเงินขนาดจิ๋ว เพื่อควบคุมแสงและสีได้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์คือภาพที่สว่างสดใสและสีสันจัดเต็มใกล้เคียง OLED แต่ยังคงความสว่างสูงของ LCD จุดเด่นคือการครอบคลุมสีครบทั้ง BT.2020, DCI-P3 และ Adobe RGB พร้อมระบบประมวลผล α11 AI Gen 3 ที่ช่วยอัปสเกลภาพให้คมชัดขึ้น ถือเป็นการพยายามปิดช่องว่างระหว่าง LCD และ OLED ที่น่าสนใจมากสำหรับคนรักภาพคมชัดและสีสดใส 🔗 https://www.techradar.com/televisions/lg-reveals-micro-rgb-evo-tv-with-bold-claims-of-perfect-color 📺 Netflix เลิกใช้ Google Cast แต่ Apple TV บน Android นำกลับมาอีกครั้ง Netflix เคยยกเลิกฟีเจอร์ Google Cast ที่ให้ผู้ใช้ส่งภาพจากมือถือขึ้นจอทีวี แต่ล่าสุด Apple TV บน Android กลับนำฟีเจอร์นี้กลับมา ทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีมคอนเทนต์จากมือถือไปยังทีวีได้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งที่ยังคงดุเดือด และการที่ Apple พยายามทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้ Android ได้สะดวกขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/streaming/apple-tv-plus/netflix-dropped-google-cast-now-apple-tv-for-android-just-brought-it-back 💾 NAS พกพาใส่ SSD 4 ตัว พร้อมพลัง Intel N150 มีการเปิดตัวอุปกรณ์ NAS ขนาดเล็กที่ดูเหมือนวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า แต่ภายในบรรจุ SSD ได้ถึง 4 ตัว ใช้พลังจาก Intel N150 และมีพอร์ต LAN 2.5Gb สองช่อง รวมถึง RAM 12GB จุดขายคือความสามารถในการพกพาและเก็บข้อมูลได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเกินความคาดหมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่คล่องตัวและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-that-your-grandads-transistor-radio-no-its-a-4-ssd-nas-with-two-2-5gb-lan-ports-12gb-ram-and-a-cracking-name-the-orange-colored-youyeetoo-nestdisk 🔐 นักพัฒนาสร้างกล่องสำรองข้อมูล iPhone แบบออฟไลน์ นักพัฒนารายหนึ่งได้สร้างอุปกรณ์สำรองข้อมูล iPhone ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB และเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเก็บไว้ในเครื่องโดยตรง ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายค่าบริการ iCloud หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ แม้จะยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความต้องการควบคุมข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/want-to-back-up-your-iphone-securely-without-paying-the-apple-tax-theres-a-hack-for-that-but-it-isnt-for-everyone-yet 🎮 วิกฤติ RAM อาจกระทบหนักต่อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง ตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติ RAM ที่อาจทำให้เครื่องเล่นเกมประสิทธิภาพสูงมีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น เหตุผลมาจากความต้องการหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจาก AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเกมมิ่งต้องปรับตัวและอาจทำให้ผู้เล่นเกมต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพื่อได้เครื่องที่แรงพอ 🔗 https://www.techradar.com/computing/memory/the-ram-crisis-will-be-a-disaster-for-gaming-laptops-heres-why 🗑️ Slop: คำแห่งปีที่สะท้อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยขยะดิจิทัล ปีนี้ Merriam-Webster เลือกคำว่า “Slop” เป็น Word of the Year 2025 เพื่ออธิบายเนื้อหาดิจิทัลคุณภาพต่ำที่ถูกผลิตขึ้นอย่างมหาศาลด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นบทความ ภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์ หลายอย่างดูเหมือนจะสร้างได้ง่ายแต่กลับทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสิ่งที่คนเรียกว่า “AI slop” จนยากจะแยกออกว่าอะไรคือผลงานมนุษย์จริงๆ และอะไรคือสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของเครื่องมือ AI ถูกส่งถึงมือผู้ใช้เร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันคิดถึงผลกระทบ ทำให้เราต้องเผชิญกับทะเลข้อมูลที่ปะปนทั้งคุณภาพและขยะไปพร้อมกัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/we-filled-the-internet-with-garbage-and-now-slop-is-the-word-of-the-year-nice-going-ai 💻 Super X: แท็บเล็ตลูกผสมที่แรงระดับเดสก์ท็อป OneXPlayer เปิดตัว Super X อุปกรณ์ลูกผสมที่รวมแท็บเล็ตกับพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อป หน้าจอใหญ่ถึง 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียู 16 คอร์ GPU ระดับ 5060-class และ RAM สูงสุด 128GB จุดเด่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องเล็กแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่อยากได้ความแรงแบบ PC แต่ยังพกพาได้สะดวก แม้ราคาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ แต่ถือเป็นการยกระดับแท็บเล็ตให้ก้าวไปอีกขั้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/a-water-cooled-amd-ai-14-inch-tablet-with-16-cpu-cores-a-5060-class-gpu-and-128gb-ram-is-exactly-what-i-need-for-christmas-i-dont-think-it-will-cost-less-than-usd2000-though 💾 SSD จิ๋วแต่แรง: Samsung เปิดตัว PCIe Gen5 รุ่นใหม่ Samsung เผยโฉม SSD รุ่น PM9E1 ที่มาในขนาดเล็กเพียง 22 x 42 มม. แต่รองรับมาตรฐาน PCIe Gen5 ทำให้ได้ความเร็วสูงและความจุที่จริงจัง แม้จะมาแบบเงียบๆ แต่ถือเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็กแต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะกับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์พกพาที่ต้องการความเร็วระดับสูงสุดในพื้นที่จำกัด 🔗 https://www.techradar.com/pro/samsungs-surprising-stealth-superfast-ssd-surfaces-silently-pm9e1-turns-out-to-be-a-mini-9100-pro-measuring-just-22-x-42mm-with-pcie-gen5-capabilities 🎮 DoomScroll: เว็บไซต์ใหม่รวมแผนที่ Doom แบบไม่รู้จบ แฟนเกม Doom ได้เฮ เมื่อมีเว็บไซต์ใหม่ชื่อ DoomScroll ที่รวบรวมแผนที่เกม Doom ไว้ให้เลือกเล่นได้ไม่รู้จบผ่านเบราว์เซอร์ ผู้เล่นสามารถเข้าไปเลือกแผนที่ที่ชอบแล้วเล่นได้ทันที ถือเป็นการเปิดคลังเกมคลาสสิกให้เข้าถึงง่ายขึ้น และยังทำให้ชุมชนผู้เล่นสามารถแชร์ผลงานกันได้สะดวกขึ้นด้วย 🔗 https://www.techradar.com/gaming/pc-gaming/new-doomscroll-website-is-an-endless-library-of-doom-maps-you-can-pick-from-and-play-in-your-browser 🧠 หน่วยความจำแห่งอนาคต: Kioxia พัฒนา 3D DRAM Kioxia ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี 3D DRAM โดยใช้ stacked oxide-semiconductors ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความหนาแน่นของหน่วยความจำ แม้จะยังไม่พร้อมสู่ตลาดผู้บริโภคในทันที แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหน่วยความจำในทศวรรษหน้า ทำให้คาดหวังได้ว่าอนาคตเราจะได้เห็น RAM ที่เร็วขึ้นและราคาถูกลง 🔗 https://www.techradar.com/pro/crying-over-expensive-ram-kioxia-may-have-cracked-the-3d-ram-puzzle-paving-the-way-for-cheaper-faster-memory-but-it-probably-wont-reach-the-market-till-the-next-decade 🛡️ Apple อุดช่องโหว่ Zero-Day สุดอันตราย Apple ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ที่ถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงบุคคลระดับสูง โดยช่องโหว่นี้อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ทีม Google TAG และ Apple ร่วมกันค้นพบและแก้ไข ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก การอัปเดตครอบคลุมทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, visionOS และ Safari ผู้ใช้ทั่วไปแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตเพื่อความปลอดภัยทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/apple-says-it-fixed-zero-day-flaws-used-for-sophisticated-attacks 🌐 CEO Windscribe วิจารณ์การแบน VPN สำหรับเด็ก Windscribe ผู้ให้บริการ VPN ออกมาแสดงความเห็นว่าการห้ามเด็กใช้ VPN เป็น “วิธีแก้ที่แย่ที่สุด” เพราะ VPN ไม่ใช่เครื่องมืออันตราย แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย การแบนอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และยังไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงของการใช้งานออนไลน์ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/banning-vpns-for-kids-is-the-dumbest-possible-fix-windscribe-ceo 📷 กล้องวงจรปิดแบตเตอรี่ไร้ขีดจำกัด มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่อง “แบตเตอรี่ไม่จำกัด” สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ ราคาก็ไม่สูงอย่างที่คิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กล้องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/this-home-security-cam-monitors-your-property-24-7-with-unlimited-battery-life-and-it-costs-less-than-you-might-expect ⌚ Garmin เผลอหลุดข้อมูล Vivosmart 6 Garmin มีข่าวหลุดเกี่ยวกับสมาร์ทแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ Vivosmart 6 ที่คาดว่าจะมาพร้อมการอัปเกรดสำคัญเหนือรุ่นก่อน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเต็ม แต่คาดว่าจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำขึ้น การหลุดครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ติดตามอุปกรณ์สวมใส่ของ Garmin อยู่แล้ว 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/fitness-trackers/garmin-just-leaked-its-vivosmart-6-tracker-and-it-might-come-with-one-major-upgrade-over-its-predecessor 🔒 แอป Freedom Chat ทำข้อมูลผู้ใช้หลุด มีรายงานว่าแอปแชทชื่อ Freedom Chat เผยข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมายเลขโทรศัพท์และรายละเอียดอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แอปนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดมาตรการป้องกันที่รัดกุม และอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือการละเมิดข้อมูล 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/messaging-app-freedom-chat-exposes-user-phone-numbers-and-more-heres-what-we-know 🎧 Google เปิดฟีเจอร์แปลสดผ่านหูฟัง Google กำลังยกระดับการสื่อสารข้ามภาษาให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “Live Translation” ที่สามารถใช้งานได้กับหูฟังทุกยี่ห้อ ไม่จำกัดเฉพาะ Pixel Buds อีกต่อไป โดยเริ่มทดสอบในสหรัฐฯ เม็กซิโก และอินเดีย ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลคำต่อคำ แต่ยังรักษาน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ของผู้พูด ทำให้การสนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังปรับปรุงระบบ Gemini ให้เข้าใจสำนวนและภาษาพูด เช่น “stealing my thunder” ที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือช่วยเรียนภาษา เช่น การให้คำแนะนำด้านการออกเสียง และระบบติดตามความก้าวหน้า ฟีเจอร์นี้รองรับกว่า 70 ภาษา และมีแผนจะขยายไปยัง iOS ในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/computing/software/google-smashes-language-barriers-with-live-translation-for-any-earbuds-on-android-heres-how-it-works 📧 อีเมลไม่ใช่จุดอ่อน แต่การตั้งค่าคลาวด์ต่างหาก หลายครั้งที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล อีเมลมักถูกมองว่าเป็นตัวการ แต่จริง ๆ แล้วปัญหามาจากการตั้งค่าคลาวด์ที่ผิดพลาดมากกว่า กว่า 99% ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยเกิดจากผู้ใช้เอง เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ใช้รหัสผ่านซ้ำ หรือจัดการข้อมูลผิดพลาด การโทษอีเมลจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากต้นเหตุที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันควรเริ่มจากการเข้ารหัสข้อมูล การเสริมความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการฝึกอบรมผู้ใช้ให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ เมื่อผู้ใช้มีความรู้และระบบถูกเข้ารหัสอย่างดี อีเมลก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/your-email-app-isnt-the-weak-link-but-your-cloud-configuration-probably-is 🛡️ Microsoft ขยายโครงการ Bug Bounty Microsoft ประกาศปรับโครงการ Bug Bounty ครั้งใหญ่ เปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถส่งรายงานช่องโหว่ได้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์และบริการ แม้บางโปรแกรมจะไม่มีการตั้งค่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็ตาม แนวทางใหม่นี้เรียกว่า “In Scope by Default” ซึ่งหมายความว่าหากช่องโหว่มีผลกระทบต่อบริการออนไลน์ของ Microsoft ก็จะได้รับเงินรางวัลตามระดับความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา Microsoft จ่ายเงินรางวัลไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ มากกว่า Google ที่จ่ายราว 11.8 ล้านดอลลาร์ การขยายนี้ครอบคลุมทั้งโค้ดของ Microsoft โค้ดจากบุคคลที่สาม และโอเพ่นซอร์ส ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในวงกว้างยิ่งขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-will-expand-bug-bounties-even-on-programs-without-official-payouts 🏢 Oracle ทุ่มมหาศาลกับดีลศูนย์ข้อมูล Oracle กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในโลกคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลและคลาวด์รวมมูลค่าถึง 248 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทยอยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2026 ไปจนถึง 2028 และกินเวลายาวนานถึง 15–19 ปี การขยายตัวนี้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Nvidia และ OpenAI ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 300 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Oracle ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าและลงทุนเพิ่มหนี้อีกหลายหมื่นล้าน แม้จะเป็นภาระ แต่ก็สะท้อนว่าบริษัทกำลังเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตของตลาด AI และคลาวด์อย่างเต็มที่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/oracle-reportedly-signs-major-huge-cloud-data-center-deals-in-the-last-quarter-nearly-usd250-billion-in-new-commitments-revealed 🤖 ChatGPT 5.2 vs Gemini 3 มีการทดสอบเปรียบเทียบสองแชตบอทที่โด่งดังที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ChatGPT 5.2 และ Gemini 3 ผู้เขียนลองใช้งานจริงเพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ได้ดีกว่า ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจเพราะแต่ละตัวมีจุดแข็งต่างกัน ChatGPT 5.2 โดดเด่นเรื่องการให้คำตอบที่ละเอียดและมีความคิดเชิงลึก ส่วน Gemini 3 เน้นความเร็วและความกระชับในการสื่อสาร การแข่งขันนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังร้อนแรง และผู้ใช้ก็มีทางเลือกมากขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-5-2-vs-gemini-3-i-tried-the-worlds-most-popular-chatbots-to-see-which-is-best-and-the-result-might-surprise-you 🎨 โลกเสมือนที่มีหัวใจมนุษย์ เรื่องราวของ Victoria Fard ศิลปินที่ใช้พลังของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความทรงจำ ความรู้สึก และเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผลงานของเธอจึงไม่ใช่แค่ภาพสวย ๆ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง 🔗 https://www.techradar.com/tech/memories-in-pixel-how-victoria-fard-uses-a-pc-powered-by-snapdragon-to-build-worlds-that-are-deeply-human 💼 ซีอีโอยังเดินหน้าลงทุน AI แม้ผลลัพธ์ไม่ชัด แม้หลายบริษัทจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI แต่ซีอีโอจำนวนมากก็ยังคงเดินหน้าทุ่มงบต่อไป เหตุผลคือพวกเขามองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ และหากหยุดลงทุนอาจเสียโอกาสในอนาคต ถึงแม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระยะยาว 🔗 https://www.techradar.com/pro/ceos-seem-determined-to-keep-spending-on-ai-despite-mixed-success ⚖️ ศาลรัสเซียสั่งอายัดทรัพย์ Google ในฝรั่งเศส มีข่าวใหญ่จากยุโรป เมื่อศาลรัสเซียมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ Google ในฝรั่งเศสมูลค่ากว่า 129 ล้านดอลลาร์ สาเหตุเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อนในหลายประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญในระดับโลก ทั้งจากกฎระเบียบและความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/russian-court-ruling-could-see-usd129-million-freeze-on-some-of-googles-french-assets 📰 Microsoft เจอศึกใหญ่เรื่อง Cloud Licensing ในสหราชอาณาจักร เรื่องนี้เริ่มจากการที่ Microsoft ถูกกล่าวหาว่ากำหนดเงื่อนไขการใช้งาน Windows Server บน Cloud ของคู่แข่งอย่าง AWS และ Google Cloud ให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง จนทำให้หลายองค์กรในสหราชอาณาจักรเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก คดีนี้ถูกยื่นต่อศาล Competition Appeal Tribunal โดยมีองค์กรกว่า 59,000 แห่งเข้าร่วมเป็นกลุ่มฟ้องร้อง หาก Microsoft ถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าชดเชยสูงถึง 2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ Microsoft ยืนยันว่าเป็นเพียงการกล่าวหาเกินจริงจากกลุ่มทนายและผู้สนับสนุน แต่แรงกดดันก็ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะ Google เองก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ EU มาก่อนแล้ว 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-back-in-court-in-the-uk-over-unfair-cloud-licensing-claims 🎮 UGreen เปิดตัว eGPU Dock ท้าชน Razer ในตลาด eGPU ที่กำลังร้อนแรง UGreen ได้เปิดตัว Linkstation eGPU Dock ที่มาพร้อมพลังงานในตัวถึง 850W และพอร์ตเชื่อมต่อใหม่อย่าง Oculink และ USB4 จุดเด่นคือราคาประมาณ 325 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ Razer Core X V2 แต่เหนือกว่าตรงที่มี PSU ในตัวและรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 370 มม. อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ของ UGreen ยังเปิดโล่งมากกว่า Razer ที่มีโครงสร้างปิด ทำให้บางคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของการ์ดจอ ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่น่าจับตามองของ UGreen ที่เดิมทำอุปกรณ์เสริมอย่าง Dock และ Charger 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/its-a-great-time-to-buy-an-egpu-and-ugreens-new-razer-rival-has-two-major-tricks-up-its-sleeve 📱 วิกฤติ RAM อาจทำให้สมาร์ทโฟนถอยหลังในปี 2026 นักวิเคราะห์เตือนว่าความต้องการ RAM ที่สูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังทำให้ราคาพุ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องลดสเปกลง แทนที่จะเพิ่ม RAM เป็น 16GB ในรุ่นเรือธงใหม่ อาจยังคงอยู่ที่ 12GB หรือบางรุ่นอาจลดลงเหลือ 8GB สำหรับรุ่นกลาง และ 4GB สำหรับรุ่นล่าง ทั้งนี้แม้จะเป็นการคาดการณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาด AI กำลังดูดซับทรัพยากรไปอย่างมหาศาล ซึ่งอาจย้อนแย้งกับการพัฒนา AI บนมือถือที่ต้องใช้ RAM มากเช่นกัน 🔗 https://www.techradar.com/phones/the-ram-crisis-will-see-smartphone-specs-go-backwards-in-2026-experts-warn-heres-why 💍 Apple ควรทำ Smart Ring เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากของ Smartwatch ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าแม้ Apple Watch จะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็สร้างความลำบากใจเพราะเขาเป็นคนรักนาฬิกากลไกและไม่อยากละทิ้งการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม จนต้องใส่นาฬิกาสองเรือนบนข้อมือเดียวกัน ซึ่งทั้งไม่สะดวกและน่าขัน เขาจึงเสนอว่า Apple ควรทำ Smart Ring ที่สามารถติดตามสุขภาพได้เหมือน Apple Watch แต่เล็กกะทัดรัดและไม่รบกวนการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม หาก Apple ทำจริงก็อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกเกมในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/apple-needs-to-make-a-smart-ring-to-save-me-from-this-ridiculous-situation 🌳 รีวิวซอฟต์แวร์ Idea Spectrum Realtime Landscaping Pro 2025 นี่คือโปรแกรมออกแบบภูมิทัศน์ที่ให้คุณสร้างสวนเสมือนจริงได้จากคอมพิวเตอร์ Windows จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีคลังพืชกว่า 6,000 ชนิด และวัตถุสามมิติหลากหลาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรถยนต์ พร้อมระบบแอนิเมชันที่ทำให้งานออกแบบดูมีชีวิตชีวา โปรแกรมยังมี Wizard ที่ช่วยให้การสร้างบ้าน สระน้ำ หรือสวนทำได้รวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดว่าใช้ได้เฉพาะ Windows และอาจหน่วงเมื่อโปรเจ็กต์ซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/idea-spectrum-realtime-landscaping-pro-review
    0 Comments 0 Shares 876 Views 0 Reviews
  • Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย

    บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป

    จุดเด่นของ Hashcards
    Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

    หลักการสำคัญของ Spaced Repetition
    Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ
    Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ
    Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น
    Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น

    ความแตกต่างจากระบบปิด
    ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว

    ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน
    Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติของ Hashcards
    ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล
    รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป

    ข้อดีของระบบ
    โปร่งใสและยืดหยุ่น
    ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ
    ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

    ข้อควรระวัง
    ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที

    https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    📝 Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป ⚡ จุดเด่นของ Hashcards Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม 🧠 หลักการสำคัญของ Spaced Repetition 💠 Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ 💠 Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ 💠 Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น 💠 Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น 🔒 ความแตกต่างจากระบบปิด ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว 🌍 ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ Hashcards ➡️ ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล ➡️ รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป ✅ ข้อดีของระบบ ➡️ โปร่งใสและยืดหยุ่น ➡️ ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ ➡️ ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    BORRETTI.ME
    Hashcards: A Plain-Text Spaced Repetition System
    Announcing my latest open-source project.
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • Adafruit โต้ Arduino หลังเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานใหม่ที่ถูกมองว่า “ไม่สอดคล้องกับโอเพ่นซอร์ส”

    หลังจากที่ Arduino ถูก Qualcomm เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปรับปรุง Terms and Conditions ใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้ใช้ทำการ Reverse Engineering บริการคลาวด์, การกำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด และการเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ภายในแพลตฟอร์ม ข้อกำหนดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Adafruit ที่มองว่ากฎใหม่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้

    มุมมองจาก Arduino และ Adafruit
    Arduino ชี้แจงว่าการห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะกับ บริการ SaaS บนคลาวด์ ไม่ได้กระทบกับบอร์ดหรือเฟิร์มแวร์ที่ยังคงเปิดซอร์สเหมือนเดิม ขณะที่ Adafruit โดยผู้ก่อตั้ง Limor “Ladyada” Fried โต้ว่า การบังคับให้ผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือบนคลาวด์เป็นการจำกัดทางเลือก และทำให้การอ้างว่า “ยังคงโอเพ่นซอร์ส” ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ใช้ใหม่จำนวนมากถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก

    ประเด็นด้านสิทธิ์และข้อมูลผู้ใช้
    หนึ่งในข้อถกเถียงใหญ่คือการที่ Arduino กำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบ Irrevocable License เหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด เช่น โค้ดหรือโปรเจกต์ แม้ Arduino ยืนยันว่าผู้ใช้ยังคงเป็นเจ้าของเนื้อหา แต่สิทธิ์ที่ให้บริษัทถือครองอย่างถาวรทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการตรวจสอบการใช้งาน AI ที่อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    Adafruit และนักวิจัยจาก EFF เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดเช่นนี้อาจทำให้ Arduino สูญเสียความเชื่อมั่นจากชุมชนผู้พัฒนาและนักเรียนที่เคยใช้บอร์ด Arduino เป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้แบบเปิด หากบริษัทต้องการควบคุมการใช้งานมากขึ้น ควรซื่อสัตย์และประกาศว่าเป็น “Source-Available” ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ Arduino
    ห้าม Reverse Engineering บริการคลาวด์
    กำหนดสิทธิ์การใช้งานถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด
    เพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI

    การชี้แจงจาก Arduino
    ยืนยันว่าบอร์ดและเฟิร์มแวร์ยังคงเปิดซอร์ส
    การห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะบริการ SaaS

    ข้อกังวลจาก Adafruit และชุมชน
    ผู้ใช้ใหม่ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือคลาวด์เป็นหลัก
    สิทธิ์การใช้งานถาวรอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลเชิงพาณิชย์
    การตรวจสอบ AI อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่ออนาคตโอเพ่นซอร์ส
    เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้พัฒนาและนักเรียน
    อาจต้องเปลี่ยนการนิยามเป็น “Source-Available” แทนโอเพ่นซอร์ส

    https://thenewstack.io/adafruit-arduinos-rules-are-incompatible-with-open-source/
    ⚡ Adafruit โต้ Arduino หลังเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานใหม่ที่ถูกมองว่า “ไม่สอดคล้องกับโอเพ่นซอร์ส” หลังจากที่ Arduino ถูก Qualcomm เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปรับปรุง Terms and Conditions ใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้ใช้ทำการ Reverse Engineering บริการคลาวด์, การกำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด และการเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ภายในแพลตฟอร์ม ข้อกำหนดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Adafruit ที่มองว่ากฎใหม่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้ 🧩 มุมมองจาก Arduino และ Adafruit Arduino ชี้แจงว่าการห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะกับ บริการ SaaS บนคลาวด์ ไม่ได้กระทบกับบอร์ดหรือเฟิร์มแวร์ที่ยังคงเปิดซอร์สเหมือนเดิม ขณะที่ Adafruit โดยผู้ก่อตั้ง Limor “Ladyada” Fried โต้ว่า การบังคับให้ผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือบนคลาวด์เป็นการจำกัดทางเลือก และทำให้การอ้างว่า “ยังคงโอเพ่นซอร์ส” ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ใช้ใหม่จำนวนมากถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก 🔒 ประเด็นด้านสิทธิ์และข้อมูลผู้ใช้ หนึ่งในข้อถกเถียงใหญ่คือการที่ Arduino กำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบ Irrevocable License เหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด เช่น โค้ดหรือโปรเจกต์ แม้ Arduino ยืนยันว่าผู้ใช้ยังคงเป็นเจ้าของเนื้อหา แต่สิทธิ์ที่ให้บริษัทถือครองอย่างถาวรทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการตรวจสอบการใช้งาน AI ที่อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 🌍 ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส Adafruit และนักวิจัยจาก EFF เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดเช่นนี้อาจทำให้ Arduino สูญเสียความเชื่อมั่นจากชุมชนผู้พัฒนาและนักเรียนที่เคยใช้บอร์ด Arduino เป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้แบบเปิด หากบริษัทต้องการควบคุมการใช้งานมากขึ้น ควรซื่อสัตย์และประกาศว่าเป็น “Source-Available” ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ Arduino ➡️ ห้าม Reverse Engineering บริการคลาวด์ ➡️ กำหนดสิทธิ์การใช้งานถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด ➡️ เพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ✅ การชี้แจงจาก Arduino ➡️ ยืนยันว่าบอร์ดและเฟิร์มแวร์ยังคงเปิดซอร์ส ➡️ การห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะบริการ SaaS ‼️ ข้อกังวลจาก Adafruit และชุมชน ⛔ ผู้ใช้ใหม่ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือคลาวด์เป็นหลัก ⛔ สิทธิ์การใช้งานถาวรอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลเชิงพาณิชย์ ⛔ การตรวจสอบ AI อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่อง ✅ ผลกระทบต่ออนาคตโอเพ่นซอร์ส ➡️ เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้พัฒนาและนักเรียน ➡️ อาจต้องเปลี่ยนการนิยามเป็น “Source-Available” แทนโอเพ่นซอร์ส https://thenewstack.io/adafruit-arduinos-rules-are-incompatible-with-open-source/
    THENEWSTACK.IO
    Adafruit: Arduino's Rules Are 'Incompatible With Open Source'
    Arduino has defended the changes, claiming its commitment to open source hardware remains unchanged.
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop

    ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    อะไรที่ยังอนุญาตได้
    GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository

    สรุปประเด็นสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ GNOME
    ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง
    ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก
    สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    สิ่งที่ยังอนุญาต
    ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้
    ใช้ AI ทำ code completion ได้

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ
    โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ

    https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    🖥️ GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ ⚡ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 🔒 อะไรที่ยังอนุญาตได้ GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ 🌍 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ GNOME ➡️ ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง ➡️ ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ ✅ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ➡️ โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก ➡️ สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย ✅ สิ่งที่ยังอนุญาต ➡️ ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้ ➡️ ใช้ AI ทำ code completion ได้ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ ⛔ โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    ITSFOSS.COM
    No AI Slops! GNOME Now Forbids Vibe Coded Extensions
    New policy targets low-quality AI-generated code while still allowing AI as a learning tool.
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • สมองมนุษย์ยังเหนือกว่า AI ด้วย "เลโก้ทางปัญญา"

    งานวิจัยจาก Princeton University เผยว่าแม้ AI จะทำงานได้เก่งในงานเฉพาะ แต่สมองมนุษย์ยังมีความสามารถที่เหนือกว่าในการ โอนย้ายทักษะจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง ผ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “cognitive Legos” หรือบล็อกทางปัญญาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างการแก้ปัญหาใหม่ ๆ

    การทดลองกับลิง Rhesus
    ทีมวิจัยใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดลอง โดยให้พวกมันแยกแยะรูปทรงและสีบนหน้าจอ พร้อมตอบสนองด้วยการมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันมีการสแกนสมองเพื่อดูรูปแบบการทำงาน พบว่าเซลล์ประสาทในสมองสามารถจัดกลุ่มเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ในหลายงาน ซึ่งต่างจาก AI ที่มักเกิดปัญหา catastrophic forgetting คือเมื่อเรียนงานใหม่แล้วลืมงานเก่า

    ความยืดหยุ่นของสมอง
    นักวิจัยอธิบายว่า สมองสามารถ “ปิด” บล็อกที่ไม่จำเป็นในขณะทำงาน และ “เปิด” บล็อกที่เกี่ยวข้องได้ตามสถานการณ์ คล้ายกับการเรียกใช้ฟังก์ชันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับงานใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้เต็มที่

    ความหมายต่ออนาคต
    การค้นพบนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ แต่ยังอาจนำไปใช้ในการพัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้หลายงานโดยไม่ลืมงานเดิม รวมถึงการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับการขาดความสามารถในการปรับใช้ทักษะในบริบทใหม่ ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบจากงานวิจัย
    สมองมนุษย์ใช้ “cognitive Legos” เพื่อโอนย้ายทักษะ
    สามารถปรับตัวกับงานใหม่ได้ดีกว่า AI

    การทดลอง
    ใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดสอบ
    พบการจัดกลุ่มเซลล์สมองเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้

    ความหมาย
    อธิบายความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์
    ช่วยพัฒนา AI และการรักษาโรคทางสมอง

    ข้อจำกัด
    AI ยังมีปัญหา catastrophic forgetting
    ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประยุกต์ใช้กับมนุษย์และการแพทย์

    https://www.sciencealert.com/our-brains-can-still-outsmart-ai-using-one-clever-trick
    🧠 สมองมนุษย์ยังเหนือกว่า AI ด้วย "เลโก้ทางปัญญา" งานวิจัยจาก Princeton University เผยว่าแม้ AI จะทำงานได้เก่งในงานเฉพาะ แต่สมองมนุษย์ยังมีความสามารถที่เหนือกว่าในการ โอนย้ายทักษะจากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง ผ่านสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “cognitive Legos” หรือบล็อกทางปัญญาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างการแก้ปัญหาใหม่ ๆ 🔬 การทดลองกับลิง Rhesus ทีมวิจัยใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดลอง โดยให้พวกมันแยกแยะรูปทรงและสีบนหน้าจอ พร้อมตอบสนองด้วยการมองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันมีการสแกนสมองเพื่อดูรูปแบบการทำงาน พบว่าเซลล์ประสาทในสมองสามารถจัดกลุ่มเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ในหลายงาน ซึ่งต่างจาก AI ที่มักเกิดปัญหา catastrophic forgetting คือเมื่อเรียนงานใหม่แล้วลืมงานเก่า 🛠️ ความยืดหยุ่นของสมอง นักวิจัยอธิบายว่า สมองสามารถ “ปิด” บล็อกที่ไม่จำเป็นในขณะทำงาน และ “เปิด” บล็อกที่เกี่ยวข้องได้ตามสถานการณ์ คล้ายกับการเรียกใช้ฟังก์ชันในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวกับงานใหม่ ๆ ได้รวดเร็ว โดยอาศัยความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้เต็มที่ 🌍 ความหมายต่ออนาคต การค้นพบนี้ไม่เพียงช่วยให้เข้าใจความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ แต่ยังอาจนำไปใช้ในการพัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้หลายงานโดยไม่ลืมงานเดิม รวมถึงการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวชที่เกี่ยวข้องกับการขาดความสามารถในการปรับใช้ทักษะในบริบทใหม่ ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบจากงานวิจัย ➡️ สมองมนุษย์ใช้ “cognitive Legos” เพื่อโอนย้ายทักษะ ➡️ สามารถปรับตัวกับงานใหม่ได้ดีกว่า AI ✅ การทดลอง ➡️ ใช้ลิง Rhesus macaques ในการทดสอบ ➡️ พบการจัดกลุ่มเซลล์สมองเป็นบล็อกที่ใช้ซ้ำได้ ✅ ความหมาย ➡️ อธิบายความยืดหยุ่นของสมองมนุษย์ ➡️ ช่วยพัฒนา AI และการรักษาโรคทางสมอง ‼️ ข้อจำกัด ⛔ AI ยังมีปัญหา catastrophic forgetting ⛔ ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประยุกต์ใช้กับมนุษย์และการแพทย์ https://www.sciencealert.com/our-brains-can-still-outsmart-ai-using-one-clever-trick
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Our Brains Can Still Outsmart AI Using One Clever Trick
    Despite the rapid advances in artificial intelligence in recent years, the humble human brain still has the edge over computers in its ability to transfer skills and learn across tasks.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • Google Tensor G6 กำลังยืมแนวคิดจาก MediaTek Dimensity 9500

    รายงานล่าสุดเผยว่า Google Tensor G6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของ MediaTek Dimensity 9500 โดยมีการปรับปรุงโครงสร้าง CPU และการเลือกใช้คอร์รุ่นใหม่ เพื่อแก้ไขข้อจำกัดที่พบใน Tensor G5

    สถาปัตยกรรมใหม่ของ Tensor G6
    Tensor G6 จะใช้โครงสร้าง 1+6+1 cores แทนที่แบบ 1+5+2 cores ของ Tensor G5 ซึ่งหมายถึงการลดจำนวนคอร์ประหยัดพลังงาน (efficiency cores) และเพิ่มคอร์ประสิทธิภาพ (big cores) อีกหนึ่งตัว แนวทางนี้คล้ายกับ Dimensity 9500 ที่เลือกละทิ้ง efficiency cores เพื่อเพิ่มพลังประมวลผลโดยตรง นอกจากนี้ Tensor G6 ยังจะใช้ ARM Cortex-X930 Super Core และ Cortex-A730 Big Cores ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ต่างจาก Tensor G5 ที่ยังใช้ Cortex-X4 ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2023

    GPU และ AI
    แม้ CPU จะได้รับการปรับปรุง แต่ GPU ของ Tensor G6 กลับใช้ IMG CXT รุ่นเก่า ซึ่งด้อยกว่า GPU ใน Tensor G5 ที่เป็น IMG DXT รุ่นใหม่กว่า อย่างไรก็ตาม Tensor G6 จะมี nano-TPU เพิ่มเข้ามาเพื่อจัดการงาน AI ที่เบากว่า ทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน Google ยังเลือกใช้ MediaTek M90 modem ที่รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 12Gbps แทนโมเดมของ Samsung

    ความหมายต่อการแข่งขัน
    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่า Google กำลังเรียนรู้จาก MediaTek ที่กล้าเสี่ยงและใช้คอร์รุ่นใหม่ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ผลลัพธ์คือ Tensor G6 อาจมีพลังประมวลผลที่เหนือกว่า Tensor G5 อย่างชัดเจน แต่ยังคงมีข้อกังขาเรื่อง GPU ที่ล้าหลัง ซึ่งอาจเป็นจุดอ่อนเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Qualcomm และ MediaTek เอง

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับปรุง CPU
    โครงสร้างใหม่ 1+6+1 cores
    ใช้ ARM Cortex-X930 และ Cortex-A730

    การพัฒนา AI และโมเดม
    เพิ่ม nano-TPU สำหรับงานเบา
    ใช้ MediaTek M90 modem ความเร็วสูงสุด 12Gbps

    จุดแข็ง
    ประสิทธิภาพ CPU ดีขึ้นอย่างมาก
    เรียนรู้จากแนวทาง Dimensity 9500

    จุดอ่อน
    GPU ใช้รุ่นเก่ากว่า Tensor G5
    อาจเสียเปรียบคู่แข่งที่เน้นกราฟิกขั้นสูง

    https://wccftech.com/googles-tensor-g6-is-borrowing-ideas-from-mediateks-dimensity-9500/
    📱 Google Tensor G6 กำลังยืมแนวคิดจาก MediaTek Dimensity 9500 รายงานล่าสุดเผยว่า Google Tensor G6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของ MediaTek Dimensity 9500 โดยมีการปรับปรุงโครงสร้าง CPU และการเลือกใช้คอร์รุ่นใหม่ เพื่อแก้ไขข้อจำกัดที่พบใน Tensor G5 ⚙️ สถาปัตยกรรมใหม่ของ Tensor G6 Tensor G6 จะใช้โครงสร้าง 1+6+1 cores แทนที่แบบ 1+5+2 cores ของ Tensor G5 ซึ่งหมายถึงการลดจำนวนคอร์ประหยัดพลังงาน (efficiency cores) และเพิ่มคอร์ประสิทธิภาพ (big cores) อีกหนึ่งตัว แนวทางนี้คล้ายกับ Dimensity 9500 ที่เลือกละทิ้ง efficiency cores เพื่อเพิ่มพลังประมวลผลโดยตรง นอกจากนี้ Tensor G6 ยังจะใช้ ARM Cortex-X930 Super Core และ Cortex-A730 Big Cores ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ต่างจาก Tensor G5 ที่ยังใช้ Cortex-X4 ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2023 🎮 GPU และ AI แม้ CPU จะได้รับการปรับปรุง แต่ GPU ของ Tensor G6 กลับใช้ IMG CXT รุ่นเก่า ซึ่งด้อยกว่า GPU ใน Tensor G5 ที่เป็น IMG DXT รุ่นใหม่กว่า อย่างไรก็ตาม Tensor G6 จะมี nano-TPU เพิ่มเข้ามาเพื่อจัดการงาน AI ที่เบากว่า ทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน Google ยังเลือกใช้ MediaTek M90 modem ที่รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 12Gbps แทนโมเดมของ Samsung 🚀 ความหมายต่อการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่า Google กำลังเรียนรู้จาก MediaTek ที่กล้าเสี่ยงและใช้คอร์รุ่นใหม่ทันทีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ผลลัพธ์คือ Tensor G6 อาจมีพลังประมวลผลที่เหนือกว่า Tensor G5 อย่างชัดเจน แต่ยังคงมีข้อกังขาเรื่อง GPU ที่ล้าหลัง ซึ่งอาจเป็นจุดอ่อนเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Qualcomm และ MediaTek เอง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับปรุง CPU ➡️ โครงสร้างใหม่ 1+6+1 cores ➡️ ใช้ ARM Cortex-X930 และ Cortex-A730 ✅ การพัฒนา AI และโมเดม ➡️ เพิ่ม nano-TPU สำหรับงานเบา ➡️ ใช้ MediaTek M90 modem ความเร็วสูงสุด 12Gbps ✅ จุดแข็ง ➡️ ประสิทธิภาพ CPU ดีขึ้นอย่างมาก ➡️ เรียนรู้จากแนวทาง Dimensity 9500 ‼️ จุดอ่อน ⛔ GPU ใช้รุ่นเก่ากว่า Tensor G5 ⛔ อาจเสียเปรียบคู่แข่งที่เน้นกราฟิกขั้นสูง https://wccftech.com/googles-tensor-g6-is-borrowing-ideas-from-mediateks-dimensity-9500/
    WCCFTECH.COM
    Google's Tensor G6 Is Borrowing Ideas From MediaTek's Dimensity 9500
    The Dimensity 9500 chip has panache, and all of the bubbly effervescence of carefree youth, which is now rubbing off on the Tensor G6 chip.
    0 Comments 0 Shares 205 Views 0 Reviews
  • แนวทางใหม่ในการสร้าง HTML Tools

    Simon Willison ใช้คำว่า HTML tools เรียกแอปพลิเคชันที่เขาสร้างขึ้นกว่า 150 ตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เขียนขึ้นด้วยความช่วยเหลือจาก LLMs จุดเด่นคือ รวมทุกอย่างไว้ในไฟล์เดียว ทำให้สามารถ copy-paste ไปใช้งานหรือโฮสต์บน GitHub Pages ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ React หรือ build step ที่ซับซ้อน

    เทคนิคสำคัญในการพัฒนา
    เขาแนะนำให้ โหลด dependencies จาก CDN เพื่อลดความยุ่งยาก และใช้ copy-paste เป็นกลไกหลัก เช่น การสร้างปุ่ม “Copy to clipboard” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการใช้ localStorage สำหรับเก็บ state หรือ API keys และการเก็บข้อมูลใน URL เพื่อแชร์หรือ bookmark ได้ง่าย

    การต่อยอดด้วย Pyodide และ WebAssembly
    หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือการใช้ Pyodide เพื่อรัน Python ในเบราว์เซอร์ และการใช้ WebAssembly เพื่อเปิดโอกาสให้ซอฟต์แวร์จากภาษาอื่น ๆ ทำงานบน HTML tools ได้ เช่น OCR หรือการบีบอัดภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ HTML tools สามารถทำงานซับซ้อนโดยไม่ต้องพึ่ง server

    บทเรียนและแรงบันดาลใจ
    Simon ย้ำว่า การสร้าง HTML tools เป็นวิธีที่สนุกและทรงพลังในการเรียนรู้ความสามารถของ LLMs และยังช่วยให้เข้าใจศักยภาพของ Web APIs ได้ลึกขึ้น เขาแนะนำให้ทุกคนลองสร้างคอลเลกชันของตัวเอง โดยเริ่มจาก GitHub Pages และไฟล์ HTML ง่าย ๆ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิด HTML Tools
    แอปพลิเคชันเล็ก ๆ รวม HTML, CSS, JS ในไฟล์เดียว
    ไม่ต้องใช้ React หรือ build step

    เทคนิคการพัฒนา
    โหลด dependencies จาก CDN
    ใช้ copy-paste และปุ่ม clipboard
    เก็บข้อมูลใน URL และ localStorage

    การต่อยอดด้วยเทคโนโลยี
    Pyodide สำหรับรัน Python ในเบราว์เซอร์
    WebAssembly สำหรับ OCR และ image compression

    คำเตือนในการใช้งาน
    การฝัง API key ใน HTML อาจเสี่ยงถูกขโมย
    การพึ่งพา CDN ต้องตรวจสอบเวอร์ชันและความปลอดภัย
    การใช้ localStorage เก็บข้อมูลสำคัญอาจเสี่ยงต่อการรั่วไหล

    https://simonwillison.net/2025/Dec/10/html-tools/
    🛠️ แนวทางใหม่ในการสร้าง HTML Tools Simon Willison ใช้คำว่า HTML tools เรียกแอปพลิเคชันที่เขาสร้างขึ้นกว่า 150 ตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เขียนขึ้นด้วยความช่วยเหลือจาก LLMs จุดเด่นคือ รวมทุกอย่างไว้ในไฟล์เดียว ทำให้สามารถ copy-paste ไปใช้งานหรือโฮสต์บน GitHub Pages ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ React หรือ build step ที่ซับซ้อน 🌐 เทคนิคสำคัญในการพัฒนา เขาแนะนำให้ โหลด dependencies จาก CDN เพื่อลดความยุ่งยาก และใช้ copy-paste เป็นกลไกหลัก เช่น การสร้างปุ่ม “Copy to clipboard” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีการใช้ localStorage สำหรับเก็บ state หรือ API keys และการเก็บข้อมูลใน URL เพื่อแชร์หรือ bookmark ได้ง่าย ⚡ การต่อยอดด้วย Pyodide และ WebAssembly หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือการใช้ Pyodide เพื่อรัน Python ในเบราว์เซอร์ และการใช้ WebAssembly เพื่อเปิดโอกาสให้ซอฟต์แวร์จากภาษาอื่น ๆ ทำงานบน HTML tools ได้ เช่น OCR หรือการบีบอัดภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ HTML tools สามารถทำงานซับซ้อนโดยไม่ต้องพึ่ง server 🚀 บทเรียนและแรงบันดาลใจ Simon ย้ำว่า การสร้าง HTML tools เป็นวิธีที่สนุกและทรงพลังในการเรียนรู้ความสามารถของ LLMs และยังช่วยให้เข้าใจศักยภาพของ Web APIs ได้ลึกขึ้น เขาแนะนำให้ทุกคนลองสร้างคอลเลกชันของตัวเอง โดยเริ่มจาก GitHub Pages และไฟล์ HTML ง่าย ๆ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิด HTML Tools ➡️ แอปพลิเคชันเล็ก ๆ รวม HTML, CSS, JS ในไฟล์เดียว ➡️ ไม่ต้องใช้ React หรือ build step ✅ เทคนิคการพัฒนา ➡️ โหลด dependencies จาก CDN ➡️ ใช้ copy-paste และปุ่ม clipboard ➡️ เก็บข้อมูลใน URL และ localStorage ✅ การต่อยอดด้วยเทคโนโลยี ➡️ Pyodide สำหรับรัน Python ในเบราว์เซอร์ ➡️ WebAssembly สำหรับ OCR และ image compression ‼️ คำเตือนในการใช้งาน ⛔ การฝัง API key ใน HTML อาจเสี่ยงถูกขโมย ⛔ การพึ่งพา CDN ต้องตรวจสอบเวอร์ชันและความปลอดภัย ⛔ การใช้ localStorage เก็บข้อมูลสำคัญอาจเสี่ยงต่อการรั่วไหล https://simonwillison.net/2025/Dec/10/html-tools/
    SIMONWILLISON.NET
    Useful patterns for building HTML tools
    I’ve started using the term HTML tools to refer to HTML applications that I’ve been building which combine HTML, JavaScript, and CSS in a single file and use them to …
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • Gleam กลายเป็นดาวเด่นใน Advent of Code 2025

    Advent of Code ปีนี้จัดเพียง 12 วัน แต่ความเข้มข้นไม่ลดลง ผู้เขียนเลือก Gleam เป็นภาษาหลัก และพบว่า compiler ของ Gleam ให้ error message ที่ชัดเจนระดับ Rust ทำให้การเรียนรู้และแก้โจทย์เป็นไปอย่างราบรื่น การใช้ pipeline และ functional style ทำให้การแก้โจทย์ที่ซับซ้อน เช่น parsing และการแปลงข้อมูล มีความชัดเจนและกระชับมากขึ้น

    จุดแข็งที่ทำให้ Gleam น่าสนใจ
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ echo ซึ่งช่วย inspect ค่าได้ทันทีโดยไม่ต้อง format string อีกทั้ง Gleam มีฟังก์ชัน list ที่ครบครัน เช่น list.transpose ที่ช่วยแก้โจทย์ day 6 ได้อย่างง่ายดาย และ list.combination_pairs ที่ทำให้การหาคู่ข้อมูลเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ฟังก์ชัน fold_until ยังช่วยให้การหยุด loop ทำได้อย่างชัดเจนและตรงตามเจตนา

    ความท้าทายและข้อจำกัด
    แม้ Gleam จะมีจุดแข็ง แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่มี file I/O ใน standard library, ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex, และ pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร อีกทั้งเมื่อ target ไปที่ JavaScript ต้องระวังเรื่อง big integers ที่ไม่รองรับ arbitrary precision เหมือนบน Erlang VM

    บทเรียนและแรงบันดาลใจ
    ผู้เขียนสรุปว่า Gleam เป็นภาษาที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่าน AoC เพราะทำให้การแก้โจทย์ซับซ้อนชัดเจนขึ้น และยังสร้างแรงบันดาลใจให้นำ Gleam ไปใช้ในโปรเจกต์จริง เช่นการเขียน webserver ในอนาคต การทดลองครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการแก้โจทย์ แต่ยังเป็นการค้นพบเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังสำหรับงานจริง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    จุดแข็งของ Gleam
    Syntax สะอาด และ error message ระดับ Rust
    ฟังก์ชัน list เช่น transpose และ combination_pairs ช่วยแก้โจทย์ได้ง่าย
    echo ทำให้ inspect ค่าได้สะดวก
    fold_until ช่วยหยุด loop ได้ตรงตามเจตนา

    ประสบการณ์ Advent of Code 2025
    ปีนี้มีเพียง 12 วัน แต่โจทย์เข้มข้น
    Gleam ทำให้การเรียนรู้ functional programming สนุกและชัดเจน

    ข้อจำกัดของ Gleam
    ไม่มี file I/O ใน standard library
    ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex
    Pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่น
    Big integers บน JavaScript มีข้อจำกัด ไม่เหมือน Erlang VM

    แรงบันดาลใจต่อยอด
    ผู้เขียนตั้งใจจะลองใช้ Gleam เขียน webserver จริง
    AoC ช่วยให้ค้นพบศักยภาพของ Gleam ในงานจริง

    https://blog.tymscar.com/posts/gleamaoc2025/
    💻 Gleam กลายเป็นดาวเด่นใน Advent of Code 2025 Advent of Code ปีนี้จัดเพียง 12 วัน แต่ความเข้มข้นไม่ลดลง ผู้เขียนเลือก Gleam เป็นภาษาหลัก และพบว่า compiler ของ Gleam ให้ error message ที่ชัดเจนระดับ Rust ทำให้การเรียนรู้และแก้โจทย์เป็นไปอย่างราบรื่น การใช้ pipeline และ functional style ทำให้การแก้โจทย์ที่ซับซ้อน เช่น parsing และการแปลงข้อมูล มีความชัดเจนและกระชับมากขึ้น 🔧 จุดแข็งที่ทำให้ Gleam น่าสนใจ หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ echo ซึ่งช่วย inspect ค่าได้ทันทีโดยไม่ต้อง format string อีกทั้ง Gleam มีฟังก์ชัน list ที่ครบครัน เช่น list.transpose ที่ช่วยแก้โจทย์ day 6 ได้อย่างง่ายดาย และ list.combination_pairs ที่ทำให้การหาคู่ข้อมูลเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ฟังก์ชัน fold_until ยังช่วยให้การหยุด loop ทำได้อย่างชัดเจนและตรงตามเจตนา ⚡ ความท้าทายและข้อจำกัด แม้ Gleam จะมีจุดแข็ง แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ไม่มี file I/O ใน standard library, ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex, และ pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร อีกทั้งเมื่อ target ไปที่ JavaScript ต้องระวังเรื่อง big integers ที่ไม่รองรับ arbitrary precision เหมือนบน Erlang VM 🚀 บทเรียนและแรงบันดาลใจ ผู้เขียนสรุปว่า Gleam เป็นภาษาที่เหมาะกับการเรียนรู้ผ่าน AoC เพราะทำให้การแก้โจทย์ซับซ้อนชัดเจนขึ้น และยังสร้างแรงบันดาลใจให้นำ Gleam ไปใช้ในโปรเจกต์จริง เช่นการเขียน webserver ในอนาคต การทดลองครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการแก้โจทย์ แต่ยังเป็นการค้นพบเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังสำหรับงานจริง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ จุดแข็งของ Gleam ➡️ Syntax สะอาด และ error message ระดับ Rust ➡️ ฟังก์ชัน list เช่น transpose และ combination_pairs ช่วยแก้โจทย์ได้ง่าย ➡️ echo ทำให้ inspect ค่าได้สะดวก ➡️ fold_until ช่วยหยุด loop ได้ตรงตามเจตนา ✅ ประสบการณ์ Advent of Code 2025 ➡️ ปีนี้มีเพียง 12 วัน แต่โจทย์เข้มข้น ➡️ Gleam ทำให้การเรียนรู้ functional programming สนุกและชัดเจน ‼️ ข้อจำกัดของ Gleam ⛔ ไม่มี file I/O ใน standard library ⛔ ต้องใช้ dependency เสริมสำหรับ regex ⛔ Pattern matching บน list ยังไม่ยืดหยุ่น ⛔ Big integers บน JavaScript มีข้อจำกัด ไม่เหมือน Erlang VM ✅ แรงบันดาลใจต่อยอด ➡️ ผู้เขียนตั้งใจจะลองใช้ Gleam เขียน webserver จริง ➡️ AoC ช่วยให้ค้นพบศักยภาพของ Gleam ในงานจริง https://blog.tymscar.com/posts/gleamaoc2025/
    BLOG.TYMSCAR.COM
    I Tried Gleam for Advent of Code, and I Get the Hype
    A 12 day Advent of Code year convinced me Gleam is the real deal, thanks to Rust-like errors, great pipes, and surprisingly ergonomic FP.
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • ลองเชิง ตอนที่ 12

    “ลองเชิง”
    ตอน 12 (จบ)
    ผมเขียนเล่าเรื่อง ที่มาของฉากซีเรียในมิติใหญ่ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายของอเมริกา ที่จะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการครอบครองยูเรเซีย ที่มีรัสเซียและจีน ยืนตัวใหญ่อยู่ในยูเรเซีย และอเมริกาจะครอบครองยูเรเซียได้ อเมริกาจะต้องครอบครอง (พลังงานใน) ตะวันออกกลางเสียก่อน เพื่อไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงพลังงานในตะวันออกกลาง มันเป็นแผน ที่อเมริกาวางไว้ ก่อนเข้าทำสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก
    อเมริกา อมตะวันออกกลางไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว โดยการเข้าไปครอบงำ และชักใยค่าย ซาอุดิอารเบียเสี่ยปั้มใหญ่ กับพวกเสี่ยปั๊มเล็ก สิงห์สำอางค์ทั้งหลาย แต่นั่น ยังไม่ทำให้อเมริกาได้ตะวันออกกลางทั้งหมด เพราะยังมีก้างขวางคออันใหญ่และแหลมคมคือ ค่ายของอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์และพวก และหมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ค่ายนี้กระเทือนคือ การอยู่ หรือการไปของซีเรีย หรือชัดๆ ก็คือ อัสซาด ผู้นำซีเรีย จะอยู่รอดหรือไม่
    และขณะเดียวกัน ซีเรีย ก็เป็นหมากตัวสำคัญ ของสงครามท่อส่งแก๊ส ซึ่ง เป็นการชิงเส้นทางท่อส่งแก๊สไปยุโรป ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ในตะวันออกกลาง และเรื่องท่อส่งแก๊สนี้ จึงเกี่ยวพันกับรัสเซีย ยุโรป และเอเซีย
    ซีเรีย จึงเป็นจุดชี้เป็น ชี้ตายในหลายมิติ และผลสรุปของการลองเชิง ที่ซีเรียน่าจะบอกอะไรเราได้หลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลก
    ในสมัยก่อน การค้าขายหลายประเทศใช้เรือปืนนำหน้า ไปจอดตามอ่าวหน้าบ้านเขา เพื่อบังคับให้เจ้าของบ้านเปิดประตูมาค้าขายกัน และร้อยทั้งร้อย คนเปิดประตูก็เสียเปรียบ เพราะ (ยัง) ไม่มี ปืนใหญ่ไปต่อรองกับเขา ไอ้พวกใช้เรือปืนมาทำการค้านี่ ก็เลยติดสันดานเดิม เริ่มด้วยการข่มขู่ตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังใช้สันดานนี้อยู่ เว้นแต่ประเทศไหนจะมีอำนาจ หรือมีสิ่งต่อรอง
    สหภาพโซเวียต ซึ่งอเมริกามองว่า เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกอเมริกาล๊อกเป้าทำลายไว้แล้ว และอเมริกาก็ทำสำเร็จด้วยการใช้ ทฤษฏีสงครามเย็น ปิดล้อมโซเวียต จะกระดิกแทบไม่ออก ค้าขายไม่ได้ บวกกับการเสี้ยมให้รัฐเล็ก รัฐน้อย ทะยอยกันต้านแม่ใหญ่ ร่วมกับการสร้างหนอนในประเทศ ในที่สุด สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายในปี ค.ศ.1991
    สหภาพโซเสียตล่มสลาย แต่ไม่ตายสนิท รัสเซียฟื้นขึ้นมาได้ และฟื้นเร็วเกินกว่าที่อเมริกาคาด เพราะรัสเซียเรียนรู้จากการถูกปิดล้อมว่า เพื่อความอยู่รอดของรัสเซียใหม่ รัสเซียจะต้องเดินยุทธศาสตร์ประเทศ ที่จะไม่ให้ถูกปิดล้อมง่ายๆ และต้องมีอำนาจต่อรอง
    ด้วยยุทธศาสตร์ท่อส่งของรัสเซีย ที่กระจายไปทั่วยุโรป เอเซีย และกำลังจะมาถึงตะวันออกกลางนี้ ทำให้โอกาสที่อเมริกาจะปิดล้อมรัสเซียทำยากขึ้น เพราะการเดินท่อส่งแก๊สไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งต่อไปเลี้ยงยุโรป แต่ละจุดนั้น เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรอง รัสเซียส่งแก๊สให้ถึงหน้าบ้านยุโรป โดยไม่ต้องเสียเวลาขนส่ง ไม่ต้องเสียเวลาสร้างเรือบรรทุก เอาเวลาไปสร้างเรือรบและอาวุธไว้ป้องกันประเทศดีกว่า และที่สำคัญ ท่อส่งผ่านที่ไหน ก็ลงทุนด้วยกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน ใครจะอยากทุบหม้อข้าวตัวเอง
    ด้วยยุทธศาสตร์นี้ ถึงคนยุโรปจะยังไม่สะดวกใจ ที่จะแหกคอกอเมริกามาคบกับรัสเซีย ขณะเดียวกัน ก็ไม่สะดวกใจ ที่จะรังเกียจแก๊สรัสเซียเหมือนกัน
    และตอนนี้ จีน เพื่อนกันไม่ทิ้งกันของรัสเซีย ก็ใช้ยุทธศาสตร์ท่อส่ง จากอาฟริกา ยาวมาถึงเอเซีย เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน
    ยุทธศาสตร์นี้ทำให้ยุโรปต้องคิดหนัก ถ้าจะเดินตามการชักใยของอเมริกาไปตลอด ถ้ารัสเซียเกิดปิดท่อแก็สที่จะมายุโรป อย่างน้อย ยุโรปจะขาดแก๊สไปถึง 60% ส่วนอเมริกาก็จะยอมให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองอย่างนี้ไม่ได้ ยูเครน ซึ่งอยู่ปลายท่อส่งแก๊สรัสเซียมาออกยุโรป จึงเกิดความไม่สงบอย่างไม่มีวันเลิก และตัวเลือกของอเมริกาจึงถูกส่งเข้ามาเป็นผู้นำยูเครน
    แต่การแก้เกมแบบนี้ของอเมริกา กระเทือนทั้ง 2 ทาง ถ้ายูเครนปิดทางไม่ให้แก๊สออก รัสเซียก็เหนื่อย ขาดรายได้สำคัญ แต่ยุโรปก็อาจแข็งตายไปด้วย ถ้าไม่มีแก๊สจากรัสเซีย ส่วนอเมริกาลอยตัวไม่กระทบกระเทือนอะไรด้วย ยุโรปถูกหลอกใช้ ไม่รู้ตัวเสียที
    รัสเซียจึงสร้างท่อส่งแก๊สอีกเส้น ลอดทะเลไปให้เยอรมัน และท่อส่งนี่ก็เสร็จแล้ว ถ้าแก็สส่งออกไปทางยูเครนไม่ได้ ก็มาออกเยอรมันได้ แล้วน่าคิดไหมครับ ทำไมตอนนี้ ผู้ลี้ภัยถึงมาทะลักกันเต็มอยู่ในเยอรมัน มันเป็นเรื่องการบีบคอเยอรมันหรือไม่ ป้าเข็มขัดเหล็ก คงกำลังเครียดหนัก จนตดแตกอีกแล้ว
    อเมริกา พยายามแก้อำนาจต่อรองของรัสเซียเรื่องท่อส่งแก๊สในยุโรป ด้วยการพยายามเดินท่อส่งสายใหม่ ซึ่งอเมริกาพยายามแก้เกมมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เมื่อเห็นรัสเซีย และจีนเริ่มโต แต่ทั้ง 2 ประเทศ ก็เดินหมากของตัวเองอย่างระวัง
    ท่านผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องราว มองเห็นภาพต่อเนื่อง ถ้าได้อ่านนิทานเรื่อง “หักหน้าหักหลัง” https://www.dropbox.com/s/uvpcetgi2xf2rzo/faceback.pdf ซึ่งแสดงถึงวืธีการเดินแผน ฝั่งรัสเซีย กับการเดินแผนของฝั่งอเมริกาต่อจีน ในนิทานเรื่อง ” แผนชั่ว ” https://www.dropbox.com/s/mzu294f5rhhrkyr/20150914.pdf
    ดังนั้น การสู้รบในซีเรีย จึงมีความหมายเกี่ยวกับการรักษาตำแหน่งพี่เบิ้มของอเมริกา และเป็นความอยู่รอดของฝั่งรัสเซีย จีน ด้วย
    การที่รัสเซีย เข้าไปเล่นในซีเรียใน “ตอนนี้ ” ภายใต้เรื่องราว และสถานการณ์ในซีเรีย ที่ดำเนินอยู่อย่างที่เล่ามาแล้วนั้น รวมทั้งการเลือกเวลาเล่น ให้สอดคล้องกับช่วงการประชุมของสหประชาชาติ รวมทั้งคำแถลง ของรัสเซียจีนและอิหร่านในช่วง นั้น มองอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมกัน มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะแปลว่า รัสเซีย จีน อิหร่าน ซีเรีย ได้แสดงตัวต่ออเมริกาแล้วว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้อง ฟัง หรือ จัดการกับปัญหาที่กระทบกับพวกเขา หรือที่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหา ตามวิธีการของอเมริกาและพวก อีกต่อไปแล้ว
    สรุปสั้นๆ เป็นภาษาแถวบ้านผม ก็คงจะทำนอง “กูไม่ชอบวิธีการของมึง และกูไม่จำเป็นต้องฟังมึงอีกต่อไป เพราะกูไม่กลัวมึง (แล้ว)”
    คำพูดแบบนี้ เป็นลุงนิทานพูด มันก็คงปิดเพจผม รวนเพจผม อย่างที่มันทำกับผมมาตลอด แต่ถ้าคำพูดแบบนี้ ตามความเข้าใจผม เป็นของประเทศใหญ่อย่างรัสเซีย จีน อิหร่าน และวันนี้ เกาหลีเหนือของน้องคิม ก็พูดทำนองนี้ เรื่องซีเรียนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงได้ดิ้นกันเหมือนโดนน้ำร้อนลวกหลังกันเป็นแถวๆ
    และถ้าดูจากปฏิบัติการของกองทัพรัสเซีย ตั้งแต่เข้าไปในซีเรียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้ รวมทั้งข่าวเรื่องการขนทั้งอาวุธหนัก อาวุธเบา และกำลังพลมากมาย ที่ไม่ใช่มาจากข่าวของกระป๋องสีฝั่งตะวันตกแล้ว จะเห็นว่า คุณพี่ปูติน แสดงออกอย่างที่ผมสรุปนั่นแหละ เพราะแกจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ
    และเมื่อรัสเซียกับพวก แสดงออกแบบนี้ อเมริกาและพวก จะแสดงอะไรล่ะ
    แรกๆ ก็คงทำอย่างที่กำลังทำอยู่นี่ คือดาหน้ากันออกมา ด่ารัสเซีย เหน็บแนมการปฎิบัติการของรัสเซีย ทำไมมึงไม่ไปถล่มไอซิส ทำไมมึงไปถล่มแต่พวกกบฏ โธ่เว้ย ถล่มกลุ่มไหน มันก็กลุ่มที่พวกมึงสร้างมาทั้งนั้น เพียงแต่ข้อตกลงภายในมันต่างกัน สุดท้ายคุณพี่ปูตินเขาคงถล่มหมดละน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก
    หลังจากตั้งหลักได้ อเมริกากับพวก มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ เจรจากันให้รู้เรื่องกับฝ่ายรัสเซียและพวก นั่นเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสม และโลกจะสะเทือนน้อยที่สุด แต่อเมริกาจะรู้สึกเสียหน้า แต่จะเจรจาอย่างไร ผมคาดว่า รัสเซียคงยังเดินหน้าเรื่องของซีเรียอยู่ดี
    ถ้าอเมริกาเลือกวิธีนี้ ไม่ได้หมายความว่า อเมริกา “ยอมรับ” ว่าฝ่ายรัสเซียเท่าเทียมตัวแล้ว แต่มันเป็นการ “ซื้อเวลา” ของอเมริกามากกว่า และปฏิบัติการหลากหลายเพื่อตอบโต้ฝ่ายรัสเซีย จะตามมาเป็นชุดและชุดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
    ทางเลือกที่ 2 สำหรับอเมริกาคือ ไม่มีเจรจา ไม่ซื้อเวลา และปฏิบัติการตอบโต้จะตามมารวดเร็ว
    ความต่างของ 2 ทางเลือกคือ ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกายังไม่พร้อม และแปลว่าฝ่ายรัสเซีย เลือกจังหวะเดินหมากถูก ไม่ให้เวลาอเมริกาตั้งตัว แต่ถ้าอเมริกาไม่ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกาพร้อมอยู่แล้ว และทางรัสเซียก็คงต้องรู้อยู่แล้ว จึงเดินหมากบังคับไปก่อน
    อเมริกาจะเลือกทางไหนก็ตาม โลกเราจะไม่มีวันถอยกลับไปที่เดิมอีกแล้ว
    ขั้วอำนาจโลก ไม่ได้มีเพียงขั้วเดียว ที่มีอเมริกาเป็นผู้นำเท่านั้นอีกแล้ว แต่มีอีกขั้วอำนาจใหม่
    ที่มีรัสเซียจีนอิหร่าน จับมือกันเกิดขึ้นแล้ว และการเผชิญหน้ากัน ของ 2 ขั้ว ก็จะรุนแรงขึ้น
    ขั้วไหนจะได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องอะไรบ้าง มีโอกาสจะมาประเมินให้ฟังครับ
    วันนี้ ขอจบนิทานเรื่องลองเชิง ใครลองเชิง ใครเสียเชิง คงพอมองเห็นกัน
    คนเล่านิทาน
    11 ต.ค. 2558
    ลองเชิง ตอนที่ 12 “ลองเชิง” ตอน 12 (จบ) ผมเขียนเล่าเรื่อง ที่มาของฉากซีเรียในมิติใหญ่ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายของอเมริกา ที่จะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการครอบครองยูเรเซีย ที่มีรัสเซียและจีน ยืนตัวใหญ่อยู่ในยูเรเซีย และอเมริกาจะครอบครองยูเรเซียได้ อเมริกาจะต้องครอบครอง (พลังงานใน) ตะวันออกกลางเสียก่อน เพื่อไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงพลังงานในตะวันออกกลาง มันเป็นแผน ที่อเมริกาวางไว้ ก่อนเข้าทำสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก อเมริกา อมตะวันออกกลางไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว โดยการเข้าไปครอบงำ และชักใยค่าย ซาอุดิอารเบียเสี่ยปั้มใหญ่ กับพวกเสี่ยปั๊มเล็ก สิงห์สำอางค์ทั้งหลาย แต่นั่น ยังไม่ทำให้อเมริกาได้ตะวันออกกลางทั้งหมด เพราะยังมีก้างขวางคออันใหญ่และแหลมคมคือ ค่ายของอิหร่าน เสี่ยนิวเคลียร์และพวก และหมากตัวสำคัญ ที่จะทำให้ค่ายนี้กระเทือนคือ การอยู่ หรือการไปของซีเรีย หรือชัดๆ ก็คือ อัสซาด ผู้นำซีเรีย จะอยู่รอดหรือไม่ และขณะเดียวกัน ซีเรีย ก็เป็นหมากตัวสำคัญ ของสงครามท่อส่งแก๊ส ซึ่ง เป็นการชิงเส้นทางท่อส่งแก๊สไปยุโรป ระหว่าง 2 ค่ายใหญ่ในตะวันออกกลาง และเรื่องท่อส่งแก๊สนี้ จึงเกี่ยวพันกับรัสเซีย ยุโรป และเอเซีย ซีเรีย จึงเป็นจุดชี้เป็น ชี้ตายในหลายมิติ และผลสรุปของการลองเชิง ที่ซีเรียน่าจะบอกอะไรเราได้หลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลก ในสมัยก่อน การค้าขายหลายประเทศใช้เรือปืนนำหน้า ไปจอดตามอ่าวหน้าบ้านเขา เพื่อบังคับให้เจ้าของบ้านเปิดประตูมาค้าขายกัน และร้อยทั้งร้อย คนเปิดประตูก็เสียเปรียบ เพราะ (ยัง) ไม่มี ปืนใหญ่ไปต่อรองกับเขา ไอ้พวกใช้เรือปืนมาทำการค้านี่ ก็เลยติดสันดานเดิม เริ่มด้วยการข่มขู่ตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังใช้สันดานนี้อยู่ เว้นแต่ประเทศไหนจะมีอำนาจ หรือมีสิ่งต่อรอง สหภาพโซเวียต ซึ่งอเมริกามองว่า เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกอเมริกาล๊อกเป้าทำลายไว้แล้ว และอเมริกาก็ทำสำเร็จด้วยการใช้ ทฤษฏีสงครามเย็น ปิดล้อมโซเวียต จะกระดิกแทบไม่ออก ค้าขายไม่ได้ บวกกับการเสี้ยมให้รัฐเล็ก รัฐน้อย ทะยอยกันต้านแม่ใหญ่ ร่วมกับการสร้างหนอนในประเทศ ในที่สุด สหภาพโซเวียตก็ล่มสลายในปี ค.ศ.1991 สหภาพโซเสียตล่มสลาย แต่ไม่ตายสนิท รัสเซียฟื้นขึ้นมาได้ และฟื้นเร็วเกินกว่าที่อเมริกาคาด เพราะรัสเซียเรียนรู้จากการถูกปิดล้อมว่า เพื่อความอยู่รอดของรัสเซียใหม่ รัสเซียจะต้องเดินยุทธศาสตร์ประเทศ ที่จะไม่ให้ถูกปิดล้อมง่ายๆ และต้องมีอำนาจต่อรอง ด้วยยุทธศาสตร์ท่อส่งของรัสเซีย ที่กระจายไปทั่วยุโรป เอเซีย และกำลังจะมาถึงตะวันออกกลางนี้ ทำให้โอกาสที่อเมริกาจะปิดล้อมรัสเซียทำยากขึ้น เพราะการเดินท่อส่งแก๊สไปยังจุดต่างๆ เพื่อส่งต่อไปเลี้ยงยุโรป แต่ละจุดนั้น เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทำให้รัสเซียมีอำนาจต่อรอง รัสเซียส่งแก๊สให้ถึงหน้าบ้านยุโรป โดยไม่ต้องเสียเวลาขนส่ง ไม่ต้องเสียเวลาสร้างเรือบรรทุก เอาเวลาไปสร้างเรือรบและอาวุธไว้ป้องกันประเทศดีกว่า และที่สำคัญ ท่อส่งผ่านที่ไหน ก็ลงทุนด้วยกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน ใครจะอยากทุบหม้อข้าวตัวเอง ด้วยยุทธศาสตร์นี้ ถึงคนยุโรปจะยังไม่สะดวกใจ ที่จะแหกคอกอเมริกามาคบกับรัสเซีย ขณะเดียวกัน ก็ไม่สะดวกใจ ที่จะรังเกียจแก๊สรัสเซียเหมือนกัน และตอนนี้ จีน เพื่อนกันไม่ทิ้งกันของรัสเซีย ก็ใช้ยุทธศาสตร์ท่อส่ง จากอาฟริกา ยาวมาถึงเอเซีย เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน ยุทธศาสตร์นี้ทำให้ยุโรปต้องคิดหนัก ถ้าจะเดินตามการชักใยของอเมริกาไปตลอด ถ้ารัสเซียเกิดปิดท่อแก็สที่จะมายุโรป อย่างน้อย ยุโรปจะขาดแก๊สไปถึง 60% ส่วนอเมริกาก็จะยอมให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองอย่างนี้ไม่ได้ ยูเครน ซึ่งอยู่ปลายท่อส่งแก๊สรัสเซียมาออกยุโรป จึงเกิดความไม่สงบอย่างไม่มีวันเลิก และตัวเลือกของอเมริกาจึงถูกส่งเข้ามาเป็นผู้นำยูเครน แต่การแก้เกมแบบนี้ของอเมริกา กระเทือนทั้ง 2 ทาง ถ้ายูเครนปิดทางไม่ให้แก๊สออก รัสเซียก็เหนื่อย ขาดรายได้สำคัญ แต่ยุโรปก็อาจแข็งตายไปด้วย ถ้าไม่มีแก๊สจากรัสเซีย ส่วนอเมริกาลอยตัวไม่กระทบกระเทือนอะไรด้วย ยุโรปถูกหลอกใช้ ไม่รู้ตัวเสียที รัสเซียจึงสร้างท่อส่งแก๊สอีกเส้น ลอดทะเลไปให้เยอรมัน และท่อส่งนี่ก็เสร็จแล้ว ถ้าแก็สส่งออกไปทางยูเครนไม่ได้ ก็มาออกเยอรมันได้ แล้วน่าคิดไหมครับ ทำไมตอนนี้ ผู้ลี้ภัยถึงมาทะลักกันเต็มอยู่ในเยอรมัน มันเป็นเรื่องการบีบคอเยอรมันหรือไม่ ป้าเข็มขัดเหล็ก คงกำลังเครียดหนัก จนตดแตกอีกแล้ว อเมริกา พยายามแก้อำนาจต่อรองของรัสเซียเรื่องท่อส่งแก๊สในยุโรป ด้วยการพยายามเดินท่อส่งสายใหม่ ซึ่งอเมริกาพยายามแก้เกมมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เมื่อเห็นรัสเซีย และจีนเริ่มโต แต่ทั้ง 2 ประเทศ ก็เดินหมากของตัวเองอย่างระวัง ท่านผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องราว มองเห็นภาพต่อเนื่อง ถ้าได้อ่านนิทานเรื่อง “หักหน้าหักหลัง” https://www.dropbox.com/s/uvpcetgi2xf2rzo/faceback.pdf ซึ่งแสดงถึงวืธีการเดินแผน ฝั่งรัสเซีย กับการเดินแผนของฝั่งอเมริกาต่อจีน ในนิทานเรื่อง ” แผนชั่ว ” https://www.dropbox.com/s/mzu294f5rhhrkyr/20150914.pdf ดังนั้น การสู้รบในซีเรีย จึงมีความหมายเกี่ยวกับการรักษาตำแหน่งพี่เบิ้มของอเมริกา และเป็นความอยู่รอดของฝั่งรัสเซีย จีน ด้วย การที่รัสเซีย เข้าไปเล่นในซีเรียใน “ตอนนี้ ” ภายใต้เรื่องราว และสถานการณ์ในซีเรีย ที่ดำเนินอยู่อย่างที่เล่ามาแล้วนั้น รวมทั้งการเลือกเวลาเล่น ให้สอดคล้องกับช่วงการประชุมของสหประชาชาติ รวมทั้งคำแถลง ของรัสเซียจีนและอิหร่านในช่วง นั้น มองอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมกัน มันแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะแปลว่า รัสเซีย จีน อิหร่าน ซีเรีย ได้แสดงตัวต่ออเมริกาแล้วว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้อง ฟัง หรือ จัดการกับปัญหาที่กระทบกับพวกเขา หรือที่พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหา ตามวิธีการของอเมริกาและพวก อีกต่อไปแล้ว สรุปสั้นๆ เป็นภาษาแถวบ้านผม ก็คงจะทำนอง “กูไม่ชอบวิธีการของมึง และกูไม่จำเป็นต้องฟังมึงอีกต่อไป เพราะกูไม่กลัวมึง (แล้ว)” คำพูดแบบนี้ เป็นลุงนิทานพูด มันก็คงปิดเพจผม รวนเพจผม อย่างที่มันทำกับผมมาตลอด แต่ถ้าคำพูดแบบนี้ ตามความเข้าใจผม เป็นของประเทศใหญ่อย่างรัสเซีย จีน อิหร่าน และวันนี้ เกาหลีเหนือของน้องคิม ก็พูดทำนองนี้ เรื่องซีเรียนี้ จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงได้ดิ้นกันเหมือนโดนน้ำร้อนลวกหลังกันเป็นแถวๆ และถ้าดูจากปฏิบัติการของกองทัพรัสเซีย ตั้งแต่เข้าไปในซีเรียเมื่อกลางเดือนสิงหาคมนี้ รวมทั้งข่าวเรื่องการขนทั้งอาวุธหนัก อาวุธเบา และกำลังพลมากมาย ที่ไม่ใช่มาจากข่าวของกระป๋องสีฝั่งตะวันตกแล้ว จะเห็นว่า คุณพี่ปูติน แสดงออกอย่างที่ผมสรุปนั่นแหละ เพราะแกจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ และเมื่อรัสเซียกับพวก แสดงออกแบบนี้ อเมริกาและพวก จะแสดงอะไรล่ะ แรกๆ ก็คงทำอย่างที่กำลังทำอยู่นี่ คือดาหน้ากันออกมา ด่ารัสเซีย เหน็บแนมการปฎิบัติการของรัสเซีย ทำไมมึงไม่ไปถล่มไอซิส ทำไมมึงไปถล่มแต่พวกกบฏ โธ่เว้ย ถล่มกลุ่มไหน มันก็กลุ่มที่พวกมึงสร้างมาทั้งนั้น เพียงแต่ข้อตกลงภายในมันต่างกัน สุดท้ายคุณพี่ปูตินเขาคงถล่มหมดละน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก หลังจากตั้งหลักได้ อเมริกากับพวก มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ เจรจากันให้รู้เรื่องกับฝ่ายรัสเซียและพวก นั่นเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสม และโลกจะสะเทือนน้อยที่สุด แต่อเมริกาจะรู้สึกเสียหน้า แต่จะเจรจาอย่างไร ผมคาดว่า รัสเซียคงยังเดินหน้าเรื่องของซีเรียอยู่ดี ถ้าอเมริกาเลือกวิธีนี้ ไม่ได้หมายความว่า อเมริกา “ยอมรับ” ว่าฝ่ายรัสเซียเท่าเทียมตัวแล้ว แต่มันเป็นการ “ซื้อเวลา” ของอเมริกามากกว่า และปฏิบัติการหลากหลายเพื่อตอบโต้ฝ่ายรัสเซีย จะตามมาเป็นชุดและชุดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเลือกที่ 2 สำหรับอเมริกาคือ ไม่มีเจรจา ไม่ซื้อเวลา และปฏิบัติการตอบโต้จะตามมารวดเร็ว ความต่างของ 2 ทางเลือกคือ ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกายังไม่พร้อม และแปลว่าฝ่ายรัสเซีย เลือกจังหวะเดินหมากถูก ไม่ให้เวลาอเมริกาตั้งตัว แต่ถ้าอเมริกาไม่ซื้อเวลา แปลว่า อเมริกาพร้อมอยู่แล้ว และทางรัสเซียก็คงต้องรู้อยู่แล้ว จึงเดินหมากบังคับไปก่อน อเมริกาจะเลือกทางไหนก็ตาม โลกเราจะไม่มีวันถอยกลับไปที่เดิมอีกแล้ว ขั้วอำนาจโลก ไม่ได้มีเพียงขั้วเดียว ที่มีอเมริกาเป็นผู้นำเท่านั้นอีกแล้ว แต่มีอีกขั้วอำนาจใหม่ ที่มีรัสเซียจีนอิหร่าน จับมือกันเกิดขึ้นแล้ว และการเผชิญหน้ากัน ของ 2 ขั้ว ก็จะรุนแรงขึ้น ขั้วไหนจะได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องอะไรบ้าง มีโอกาสจะมาประเมินให้ฟังครับ วันนี้ ขอจบนิทานเรื่องลองเชิง ใครลองเชิง ใครเสียเชิง คงพอมองเห็นกัน คนเล่านิทาน 11 ต.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • หนูนักล่าในโลกเสมือน Doom

    โครงการฝึกหนูให้เล่นเกม Doom ก้าวหน้าไปอีกขั้น หนูสามารถ “ยิงศัตรู” ได้แล้วผ่านระบบ VR ที่ใช้จอ AMOLED โอบรอบ พร้อมกลไกตอบสนองที่ซับซ้อนขึ้น ถือเป็นการทดลองที่ผสมผสานวิศวกรรม ฮาร์ดแวร์ และพฤติกรรมสัตว์อย่างน่าสนใจ

    การทดลองที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 โดยนักประสาทวิศวกร Viktor Tóth ได้สร้างความฮือฮาเมื่อหนูถูกฝึกให้เคลื่อนที่ในเกม Doom II ผ่านการใช้ลูกบอลทรงกลมและจอภาพ VR แบบโอบรอบ ล่าสุดระบบถูกพัฒนาให้หนูสามารถ “ยิง” ศัตรูได้ด้วยการกดกลไกที่เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถือเป็นการยกระดับจากการเดินไปมาในฉากสู่การมีปฏิสัมพันธ์กับกลไกเกมจริง ๆ

    วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการทดลอง
    การฝึกใช้หลักการ operant conditioning หรือการให้รางวัลเมื่อสัตว์ทำพฤติกรรมที่ถูกต้อง เช่น น้ำหวานผสมที่ถูกจ่ายออกมาเมื่อหนูเดินหรือยิงถูกเป้าหมาย ระบบยังเพิ่มการตอบสนองทางกายภาพ เช่นการเป่าลมเบา ๆ ที่จมูกเพื่อบอกว่าหนูชนกำแพงในเกม วิธีนี้ช่วยให้สัตว์เรียนรู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการลองผิดลองถูกเพียงอย่างเดียว

    ฮาร์ดแวร์และการออกแบบ
    การทดลองใช้จอ AMOLED แบบโค้งที่โอบรอบสายตาของหนู ทำให้ภาพเสมือนสมจริงมากขึ้น พร้อมลูกบอลทรงกลมที่ทำหน้าที่เป็น “ลู่วิ่ง” ให้หนูเคลื่อนไหวในเกม การออกแบบนี้ยังคงเป็นแบบเปิด (open-source) เพื่อให้นักวิจัยและผู้สนใจสามารถนำไปต่อยอดได้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างงานวิศวกรรม DIY และการวิจัยเชิงประสาทวิทยา

    ความหมายต่ออนาคตการวิจัย
    แม้หนูจะไม่ได้เข้าใจเกม Doom ในเชิงกลยุทธ์ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า เกมเอนจิน สามารถเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่นสำหรับการศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในโลกเสมือน การเปิดประตูสู่การทดลองใหม่ ๆ เช่นการใช้ VR เพื่อศึกษาการตัดสินใจ การเรียนรู้ หรือแม้แต่การพัฒนาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรในอนาคต

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ความก้าวหน้าของโครงการฝึกหนูเล่น Doom
    หนูสามารถเคลื่อนไหวและยิงศัตรูในเกมได้จริง
    ใช้ระบบ VR จอ AMOLED โอบรอบสายตา

    วิธีการฝึกและการตอบสนอง
    ใช้การให้รางวัลด้วยน้ำหวานเมื่อทำถูกต้อง
    ใช้การเป่าลมเบา ๆ เพื่อบอกการชนกำแพง

    ฮาร์ดแวร์และการออกแบบระบบ
    ลูกบอลทรงกลมทำหน้าที่เป็นลู่วิ่ง
    ระบบเปิด (open-source) ให้นำไปต่อยอดได้

    ความหมายต่อการวิจัยอนาคต
    เกมเอนจินเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่น
    เปิดทางสู่การศึกษาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักร

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    หนูไม่ได้เข้าใจเกมในเชิงกลยุทธ์หรือเป้าหมายจริง
    การฝึกใช้เวลานานและต้องการการออกแบบที่ซับซ้อน
    อาจมีข้อถกเถียงด้านจริยธรรมการใช้สัตว์ทดลอง

    https://www.tomshardware.com/virtual-reality/rats-are-still-being-taught-to-play-doom-now-with-a-curved-amoled-and-a-shoot-button
    🕹️ หนูนักล่าในโลกเสมือน Doom โครงการฝึกหนูให้เล่นเกม Doom ก้าวหน้าไปอีกขั้น หนูสามารถ “ยิงศัตรู” ได้แล้วผ่านระบบ VR ที่ใช้จอ AMOLED โอบรอบ พร้อมกลไกตอบสนองที่ซับซ้อนขึ้น ถือเป็นการทดลองที่ผสมผสานวิศวกรรม ฮาร์ดแวร์ และพฤติกรรมสัตว์อย่างน่าสนใจ การทดลองที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2021 โดยนักประสาทวิศวกร Viktor Tóth ได้สร้างความฮือฮาเมื่อหนูถูกฝึกให้เคลื่อนที่ในเกม Doom II ผ่านการใช้ลูกบอลทรงกลมและจอภาพ VR แบบโอบรอบ ล่าสุดระบบถูกพัฒนาให้หนูสามารถ “ยิง” ศัตรูได้ด้วยการกดกลไกที่เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถือเป็นการยกระดับจากการเดินไปมาในฉากสู่การมีปฏิสัมพันธ์กับกลไกเกมจริง ๆ 🧠 วิทยาศาสตร์เบื้องหลังการทดลอง การฝึกใช้หลักการ operant conditioning หรือการให้รางวัลเมื่อสัตว์ทำพฤติกรรมที่ถูกต้อง เช่น น้ำหวานผสมที่ถูกจ่ายออกมาเมื่อหนูเดินหรือยิงถูกเป้าหมาย ระบบยังเพิ่มการตอบสนองทางกายภาพ เช่นการเป่าลมเบา ๆ ที่จมูกเพื่อบอกว่าหนูชนกำแพงในเกม วิธีนี้ช่วยให้สัตว์เรียนรู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งการลองผิดลองถูกเพียงอย่างเดียว 🔧 ฮาร์ดแวร์และการออกแบบ การทดลองใช้จอ AMOLED แบบโค้งที่โอบรอบสายตาของหนู ทำให้ภาพเสมือนสมจริงมากขึ้น พร้อมลูกบอลทรงกลมที่ทำหน้าที่เป็น “ลู่วิ่ง” ให้หนูเคลื่อนไหวในเกม การออกแบบนี้ยังคงเป็นแบบเปิด (open-source) เพื่อให้นักวิจัยและผู้สนใจสามารถนำไปต่อยอดได้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างงานวิศวกรรม DIY และการวิจัยเชิงประสาทวิทยา 🌐 ความหมายต่ออนาคตการวิจัย แม้หนูจะไม่ได้เข้าใจเกม Doom ในเชิงกลยุทธ์ แต่การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า เกมเอนจิน สามารถเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่นสำหรับการศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในโลกเสมือน การเปิดประตูสู่การทดลองใหม่ ๆ เช่นการใช้ VR เพื่อศึกษาการตัดสินใจ การเรียนรู้ หรือแม้แต่การพัฒนาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรในอนาคต 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ความก้าวหน้าของโครงการฝึกหนูเล่น Doom ➡️ หนูสามารถเคลื่อนไหวและยิงศัตรูในเกมได้จริง ➡️ ใช้ระบบ VR จอ AMOLED โอบรอบสายตา ✅ วิธีการฝึกและการตอบสนอง ➡️ ใช้การให้รางวัลด้วยน้ำหวานเมื่อทำถูกต้อง ➡️ ใช้การเป่าลมเบา ๆ เพื่อบอกการชนกำแพง ✅ ฮาร์ดแวร์และการออกแบบระบบ ➡️ ลูกบอลทรงกลมทำหน้าที่เป็นลู่วิ่ง ➡️ ระบบเปิด (open-source) ให้นำไปต่อยอดได้ ✅ ความหมายต่อการวิจัยอนาคต ➡️ เกมเอนจินเป็นแพลตฟอร์มราคาถูกและยืดหยุ่น ➡️ เปิดทางสู่การศึกษาอินเตอร์เฟซสมอง-เครื่องจักร ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ หนูไม่ได้เข้าใจเกมในเชิงกลยุทธ์หรือเป้าหมายจริง ⛔ การฝึกใช้เวลานานและต้องการการออกแบบที่ซับซ้อน ⛔ อาจมีข้อถกเถียงด้านจริยธรรมการใช้สัตว์ทดลอง https://www.tomshardware.com/virtual-reality/rats-are-still-being-taught-to-play-doom-now-with-a-curved-amoled-and-a-shoot-button
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • ตะกรุดพระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสูง จ.พัทลุง
    ตะกรุด (ยุคแรก ปี47/48) พระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสูง ต.ชัยบุรี จ.พัทลุง // พระดีพิธีขลัง แจกทหาร-ตำรวจชายแดนภาคใต้ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พระดูง่าย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเด่นชัดด้าน คงกระพัน ป้องกัน การเงิน การงาน, ค้าขายร่ำรวย, หนุนดวงชะตา, เรียกทรัพย์, โชคลาภ, เมตตามหานิยม, และ แคล้วคลาดปลอดภัย **

    ** พระอาจารย์อุทัย อุทโย เจ้าอาวาสวัดวิหารสูง พระนักวิปัสสนากรรมฐาน และพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของ จ.พัทลุง มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติน่ายกย่องนับถือ และเป็นพระนักพัฒนา ที่ได้สร้างความเจริญให้แก่วัดและชุมชนอย่างมากมาย จนเป็นที่เลื่อมใสนับถือศรัทธาของชาวบ้านทั่วไปใน จ.พัทลุงและภาคใต้ ด้านวิชาอาคม และ พุทธาคม นั้น พระอาจารย์อุทัย มีความรู้ความสามารถในการอ่านเขียนภาษาขอม ไทยและบาลี สามารถเรียนรู้วิชาตำรับตำราและคัมภีร์ต่างๆ ทั้งวิชาไสยเวทและการฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างเข้มขลัง **


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พระดูง่าย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    ตะกรุดพระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสูง จ.พัทลุง ตะกรุด (ยุคแรก ปี47/48) พระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสูง ต.ชัยบุรี จ.พัทลุง // พระดีพิธีขลัง แจกทหาร-ตำรวจชายแดนภาคใต้ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พระดูง่าย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเด่นชัดด้าน คงกระพัน ป้องกัน การเงิน การงาน, ค้าขายร่ำรวย, หนุนดวงชะตา, เรียกทรัพย์, โชคลาภ, เมตตามหานิยม, และ แคล้วคลาดปลอดภัย ** ** พระอาจารย์อุทัย อุทโย เจ้าอาวาสวัดวิหารสูง พระนักวิปัสสนากรรมฐาน และพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของ จ.พัทลุง มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติน่ายกย่องนับถือ และเป็นพระนักพัฒนา ที่ได้สร้างความเจริญให้แก่วัดและชุมชนอย่างมากมาย จนเป็นที่เลื่อมใสนับถือศรัทธาของชาวบ้านทั่วไปใน จ.พัทลุงและภาคใต้ ด้านวิชาอาคม และ พุทธาคม นั้น พระอาจารย์อุทัย มีความรู้ความสามารถในการอ่านเขียนภาษาขอม ไทยและบาลี สามารถเรียนรู้วิชาตำรับตำราและคัมภีร์ต่างๆ ทั้งวิชาไสยเวทและการฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างเข้มขลัง ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พระดูง่าย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 Comments 0 Shares 230 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar

    รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S
    เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า
    https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review

    มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร
    นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it

    ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA
    IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA
    https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function

    6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan

    Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่
    ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was

    Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era”
    Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน
    https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all

    EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035
    สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน
    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035

    ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI”
    ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย
    https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture

    สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ
    นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่
    https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know

    AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime”
    ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า
    https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it



    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251214 #TechRadar 🖥️ รีวิวคีย์บอร์ด HHKB Professional Classic Type-S เรื่องราวของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เริ่มจากแนวคิดของศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ต้องการสร้างคีย์บอร์ดสำหรับมืออาชีพ โดยตัดปุ่มที่ไม่จำเป็นออกไป เหลือเพียง 60 ปุ่มในดีไซน์กะทัดรัด ใช้สวิตช์ Topre ที่ขึ้นชื่อเรื่องสัมผัสนุ่มและเงียบ จุดเด่นคือความเล็กและพกพาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่มีปุ่มลูกศร ไม่มีแป้นตัวเลข และต้องใช้ปุ่ม Fn เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด ราคาก็สูงพอสมควรเกือบ 300 ดอลลาร์ จึงเป็นคีย์บอร์ดที่คนรักความมินิมอลอาจหลงใหล แต่สำหรับคนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันใช้งานยากและไม่คุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/computing/keyboards/hhkb-professional-classic-type-s-keyboard-review 💻 มินิพีซี FEVM FAEX1 ขนาด 1 ลิตร นี่คือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดพลังมหาศาลไว้ภายใน ใช้ชิป Ryzen AI Max+ 395 พร้อมการ์ดจอ Radeon 8060S เทียบเท่า RTX 4070 Laptop รองรับแรมสูงสุด 128GB และมีสล็อต SSD ถึงสามช่อง แม้ตัวเครื่องเล็กเพียง 220 x 133 x 35 มม. แต่ยังคงประสิทธิภาพระดับสูง มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง HDMI, DisplayPort, USB4, และ OCuLink ราคาขายในจีนเริ่มต้นราว 1,550 ดอลลาร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในมินิพีซีที่ทรงพลังที่สุดในตลาด แต่ยังไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/this-is-perhaps-the-smallest-mini-pc-with-a-5060-class-gpu-you-can-buy-right-now-but-you-will-have-to-go-all-the-way-to-china-to-get-it 🔌 ที่ชาร์จไร้สาย Qi2.0 จาก IKEA IKEA เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายใหม่ 3 รุ่นในซีรีส์ VÄSTMÄRKE ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน Qi2.0 กำลังชาร์จสูงสุด 15W รุ่นแรกเป็นที่ชาร์จทรงโดนัทสีแดง ราคาเพียง 9.99 ดอลลาร์ มีฟังก์ชันพิเศษเป็นที่จับโทรศัพท์คล้าย PopSocket รุ่นที่สองเป็นแท่นชาร์จทำจากไม้คอร์ก ราคา 24.99 ดอลลาร์ ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนรุ่นสุดท้ายเป็นที่ชาร์จพร้อมไฟส่องสว่างและถาดเล็ก ๆ สำหรับวางของเล็กน้อย เหมาะกับการใช้งานบนโต๊ะหรือหัวเตียง ทั้งสามรุ่นเน้นความเรียบง่ายและราคาย่อมเยาในสไตล์ IKEA 🔗 https://www.techradar.com/phones/phone-accessories/ikea-launches-three-new-qi2-0-wireless-phone-chargers-including-one-with-a-hidden-double-function 🤖 6 คำถามสำคัญในการวางแผน AI Enablement บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าในองค์กรยุคใหม่ พนักงานแทบทุกคนใช้เครื่องมือ AI ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ และหลายครั้งมีการนำข้อมูลภายในไปใส่ในระบบโดยไม่รู้ความเสี่ยง ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Shadow AI” ผู้เขียนเสนอว่าองค์กรต้องมีแผน AI Enablement ที่ชัดเจน โดยตั้งคำถามสำคัญ เช่น จะใช้ AI ในงานใดบ้าง จะเลือกเครื่องมือที่ปลอดภัยอย่างไร จะจัดการบัญชีส่วนตัวของพนักงานอย่างไร และจะสอนนโยบายให้พนักงานเข้าใจได้อย่างไร หากไม่มีการกำกับดูแล อาจนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลและความเสียหายทางธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/six-questions-to-ask-when-crafting-an-ai-enablement-plan 🚗 Tesla Model Y Performance รุ่นใหม่ ครั้งหนึ่ง Tesla เคยสร้างความตื่นตะลึงด้วยสมรรถนะที่เหนือกว่ารถสปอร์ต แต่ในรุ่น Model Y Performance ล่าสุด แม้จะยังเร็ว 0-60 ไมล์ใน 3.3 วินาที และวิ่งได้ไกลถึง 360 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่ความตื่นเต้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคู่แข่งจากยุโรปและจีนก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้หมด การปรับปรุงช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนช่วยให้ขับนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่ได้สร้างความเร้าใจเหมือนเดิม ผู้ทดสอบเล่าว่าลูกชายถึงกับเวียนหัวเมื่อถูกเร่งความเร็วแรง ๆ สุดท้ายจึงสรุปว่า รุ่น Standard และ Long Range อาจคุ้มค่ากว่าด้วยราคาที่ถูกลงและระยะทางวิ่งที่มากกว่า 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/ive-driven-the-new-tesla-model-y-performance-and-despite-it-being-a-great-car-it-isnt-anywhere-near-as-exciting-as-it-once-was 🖌️ Canva เปิดมุมมองใหม่ สร้างยุคแห่ง “Imagination Era” Canva กำลังพลิกโฉมตัวเองจากเครื่องมือออกแบบธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Creative Operating System” หรือระบบปฏิบัติการด้านการสร้างสรรค์ ที่รวมทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การทำงานร่วมทีม ไปจนถึงการเผยแพร่และวัดผลในที่เดียว จุดเด่นคือการผสาน AI ที่เข้าใจโครงสร้างงานดีไซน์จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพสวย ๆ แต่สามารถแก้ไข ปรับแต่ง และทำงานต่อได้อย่างยืดหยุ่น อีกหนึ่งข่าวใหญ่คือ Affinity ซึ่งเคยเป็นซอฟต์แวร์ออกแบบระดับโปร ตอนนี้ถูกทำให้ใช้ฟรีตลอดไป เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงเครื่องมือคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย Canva ยังเสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Ask @Canva ที่ช่วยให้ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมคิด ไม่ใช่ตัวแทนแทนความคิด และการเชื่อมต่อกับ Sheets เพื่อสร้างแอปหรือแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดว่าโลกกำลังเดินเข้าสู่ “Imagination Era” ที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจสำคัญของการทำงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/interview-canva-reveals-what-creativity-in-the-age-of-ai-and-why-affinity-is-free-for-all 🚗 EU ถอยแผนแบนรถเครื่องยนต์สันดาปปี 2035 สหภาพยุโรปเคยประกาศว่าจะยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเลื่อนเป้าหมายไปเป็นปี 2040 พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อย CO2 ลง 90% แทนที่จะเป็น 100% เหตุผลหลักคือการรักษางานอุตสาหกรรมจำนวนมหาศาลและตอบรับเสียงจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่มองว่ากำหนดเดิมเร็วเกินไป หลายค่ายอย่าง Porsche และ Ford ก็ปรับแผนกลับมาใช้ทั้งเครื่องยนต์น้ำมันและไฮบริดควบคู่ไปกับรถไฟฟ้า แม้จะเลื่อนเวลาออกไป แต่ทิศทางใหญ่ยังคงมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เพียงแต่ให้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่าน 🔗 https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/the-inevitable-has-happened-the-eu-has-u-turned-on-its-plan-to-ban-the-sale-of-ice-cars-by-2035 🤖 ยุคใหม่ของ AI: จากโมเดลใหญ่สู่ “Agentic AI” ที่ผ่านมาโลก AI เน้นการสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้นักวิจัยมองว่าทางออกไม่ใช่การเพิ่มขนาด แต่คือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า “Agentic AI” แนวคิดนี้คือการใช้กลุ่มตัวแทนเล็ก ๆ หลายตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างมีเหตุผลและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ตอบคำถามแล้วจบ แต่สามารถเฝ้าสังเกต วิเคราะห์ และปรับตัวตามสถานการณ์จริง เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า หรือความผิดปกติเล็ก ๆ ที่มักหลุดจากสายตา ระบบนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นเอกภาพเพื่อไม่ให้ตัวแทนแต่ละตัวตัดสินใจขัดแย้งกัน จุดสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ตลอดเวลา โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขต ส่วน AI จะทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่รู้จักเหนื่อย 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-next-phase-of-ai-is-agentic-and-it-starts-with-data-architecture 🛂 สหรัฐฯ เตรียมตรวจโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปีในการเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจต้องเจอกับมาตรการใหม่ที่เข้มงวดกว่าที่เคย โดยหน่วยงาน CBP เสนอให้ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดียย้อนหลังถึง 5 ปี รวมถึงข้อมูลส่วนตัวอย่างอีเมล เบอร์โทรศัพท์ ข้อมูลครอบครัว และข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ สแกนม่านตา และ DNA แน่นอนว่ามาตรการนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิทธิเสรีภาพที่มองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจริง ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่ามาตรการนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย เช่น การลบโพสต์เก่า หรือสร้างบัญชีใหม่ที่สะอาด ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ 🔗 https://www.techradar.com/computing/social-media/new-us-border-checks-could-involve-scanning-your-last-five-years-of-social-media-history-heres-what-you-need-to-know ⚙️ AI พาโลกธุรกิจวิ่งสู่ “Zero Downtime” ในยุคดิจิทัล ความน่าเชื่อถือของระบบออนไลน์สำคัญไม่แพ้รายได้ เพราะการหยุดทำงานเพียงไม่กี่นาทีอาจสร้างความเสียหายมหาศาล ปัจจุบัน AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการสร้างระบบที่สามารถคาดการณ์และแก้ไขปัญหาได้เองก่อนที่ผู้ใช้จะรู้ตัว แนวคิด “Self-healing Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ซ่อมตัวเองได้ กำลังถูกนำมาใช้จริงในองค์กรใหญ่ ๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถทำงานต่อเนื่องโดยไม่สะดุด และวิศวกรเองก็มีเวลามากขึ้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่แทนที่จะต้องคอยดับไฟ ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในโลกที่ทุกวินาทีมีค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/the-race-to-zero-downtime-is-on-and-ai-is-leading-it
    WWW.TECHRADAR.COM
    I tested the HHKB Professional Classic Type-S — a niche option for those prepared to learn a new keyboard layout to get Topre key mechanisms
    The HHKB Professional Classic Type-S is a radically deconstructed keyboard design that focuses on compact layout rather than easy adaptability.
    0 Comments 0 Shares 683 Views 0 Reviews
  • การทดลอง “4 Billion If Statements”

    บทความนี้เป็นการเล่าเชิงบันทึกเกี่ยวกับการทดลองเขียนโค้ดที่มีเงื่อนไข if จำนวนมหาศาล (4 พันล้านครั้ง) เพื่อสำรวจประสิทธิภาพและผลกระทบต่อการทำงานของโปรแกรม รวมถึงการสะท้อนถึงความไร้ประโยชน์เชิงปฏิบัติ แต่มีคุณค่าทางการเรียนรู้และความสนุกเชิงทดลอง.

    ผู้เขียนบล็อกได้ทำการทดลองสร้างโปรแกรมที่มี คำสั่ง if จำนวนมหาศาลกว่า 4 พันล้านครั้ง เพื่อดูว่าคอมไพล์เลอร์และระบบจะจัดการอย่างไรกับโค้ดที่ไร้สาระในเชิงปฏิบัติ แต่ท้าทายเชิงเทคนิค. จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อสร้างโปรแกรมที่ใช้งานได้จริง แต่เพื่อสำรวจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบที่ใช้.

    การทดลองนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้โค้ดจะไม่มีประโยชน์ในเชิงการทำงาน แต่ก็สามารถเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับ การจัดการหน่วยความจำ, เวลาในการคอมไพล์, และการทำงานของ optimization ในคอมไพล์เลอร์. สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้พัฒนามีความเข้าใจลึกขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของเครื่องมือที่ใช้งานอยู่ทุกวัน.

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements” ก็คือการแสดงให้เห็นว่าโค้ดที่มีเงื่อนไขจำนวนมหาศาลนั้น ไม่สามารถใช้งานได้จริงในเชิงปฏิบัติ แต่กลับเผยให้เห็นพฤติกรรมที่น่าสนใจของระบบและเครื่องมือที่ใช้ เช่น:
    โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล
    ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล
    คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก
    สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ

    นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในโลกโปรแกรมมิ่ง ที่บางครั้งการทดลองที่ดู “ไร้สาระ” ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกให้กับนักพัฒนาได้ โดยเฉพาะในแง่ของการตั้งคำถามว่า “ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ จะเกิดอะไรขึ้น?” ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้เชิงทดลอง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การทดลองหลัก
    สร้างโปรแกรมที่มี if statements จำนวน 4 พันล้านครั้ง
    จุดประสงค์เพื่อทดสอบขีดจำกัด ไม่ใช่การใช้งานจริง

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements”
    โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล
    ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล
    คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก
    สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ

    สิ่งที่ได้เรียนรู้
    พฤติกรรมของคอมไพล์เลอร์และ optimization เมื่อเจอโค้ดมหาศาล
    ผลกระทบต่อหน่วยความจำและเวลาในการคอมไพล์

    คุณค่าทางการทดลอง
    เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องมือ
    เป็นการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจ

    ข้อควรระวัง
    โค้ดลักษณะนี้ไม่มีประโยชน์เชิงปฏิบัติและอาจทำให้ระบบทำงานช้าหรือค้าง
    ไม่ควรใช้ในโปรเจกต์จริง เนื่องจากเป็นการทดลองเชิงท้าทายเท่านั้น

    https://andreasjhkarlsson.github.io//jekyll/update/2023/12/27/4-billion-if-statements.html
    💻 การทดลอง “4 Billion If Statements” บทความนี้เป็นการเล่าเชิงบันทึกเกี่ยวกับการทดลองเขียนโค้ดที่มีเงื่อนไข if จำนวนมหาศาล (4 พันล้านครั้ง) เพื่อสำรวจประสิทธิภาพและผลกระทบต่อการทำงานของโปรแกรม รวมถึงการสะท้อนถึงความไร้ประโยชน์เชิงปฏิบัติ แต่มีคุณค่าทางการเรียนรู้และความสนุกเชิงทดลอง. ผู้เขียนบล็อกได้ทำการทดลองสร้างโปรแกรมที่มี คำสั่ง if จำนวนมหาศาลกว่า 4 พันล้านครั้ง เพื่อดูว่าคอมไพล์เลอร์และระบบจะจัดการอย่างไรกับโค้ดที่ไร้สาระในเชิงปฏิบัติ แต่ท้าทายเชิงเทคนิค. จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อสร้างโปรแกรมที่ใช้งานได้จริง แต่เพื่อสำรวจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบที่ใช้. การทดลองนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้โค้ดจะไม่มีประโยชน์ในเชิงการทำงาน แต่ก็สามารถเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับ การจัดการหน่วยความจำ, เวลาในการคอมไพล์, และการทำงานของ optimization ในคอมไพล์เลอร์. สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้พัฒนามีความเข้าใจลึกขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของเครื่องมือที่ใช้งานอยู่ทุกวัน. ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements” ก็คือการแสดงให้เห็นว่าโค้ดที่มีเงื่อนไขจำนวนมหาศาลนั้น ไม่สามารถใช้งานได้จริงในเชิงปฏิบัติ แต่กลับเผยให้เห็นพฤติกรรมที่น่าสนใจของระบบและเครื่องมือที่ใช้ เช่น: 💠 โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล 💠 ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล 💠 คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก 💠 สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในโลกโปรแกรมมิ่ง ที่บางครั้งการทดลองที่ดู “ไร้สาระ” ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจและความสนุกให้กับนักพัฒนาได้ โดยเฉพาะในแง่ของการตั้งคำถามว่า “ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ควรทำ จะเกิดอะไรขึ้น?” ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้เชิงทดลอง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การทดลองหลัก ➡️ สร้างโปรแกรมที่มี if statements จำนวน 4 พันล้านครั้ง ➡️ จุดประสงค์เพื่อทดสอบขีดจำกัด ไม่ใช่การใช้งานจริง ✅ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลอง “4 Billion If Statements” ➡️ โปรแกรมใช้เวลาคอมไพล์นานมากจนแทบไม่สมเหตุสมผล ➡️ ขนาดไฟล์ที่สร้างขึ้นใหญ่ผิดปกติและกินทรัพยากรเครื่องมหาศาล ➡️ คอมไพล์เลอร์พยายามทำ optimization เพื่อลดความซ้ำซ้อน แต่ก็ยังต้องใช้เวลาและหน่วยความจำจำนวนมาก ➡️ สุดท้ายโค้ดที่ได้ไม่มีประโยชน์เชิงการทำงาน แต่เป็นการทดลองที่ช่วยให้เข้าใจขีดจำกัดของเครื่องมือและระบบ ✅ สิ่งที่ได้เรียนรู้ ➡️ พฤติกรรมของคอมไพล์เลอร์และ optimization เมื่อเจอโค้ดมหาศาล ➡️ ผลกระทบต่อหน่วยความจำและเวลาในการคอมไพล์ ✅ คุณค่าทางการทดลอง ➡️ เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องมือ ➡️ เป็นการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ โค้ดลักษณะนี้ไม่มีประโยชน์เชิงปฏิบัติและอาจทำให้ระบบทำงานช้าหรือค้าง ⛔ ไม่ควรใช้ในโปรเจกต์จริง เนื่องจากเป็นการทดลองเชิงท้าทายเท่านั้น https://andreasjhkarlsson.github.io//jekyll/update/2023/12/27/4-billion-if-statements.html
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • UK House of Lords พยายามห้ามเยาวชนใช้ VPN

    รายงานจาก Alec Muffett ระบุว่า สภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร (UK House of Lords) กำลังพิจารณากฎหมายที่มีเป้าหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN (Virtual Private Network) โดยให้เหตุผลว่าเป็นการป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย.

    อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์จำนวนมากมองว่ามาตรการนี้เป็นการ ละเมิดเสรีภาพดิจิทัล และอาจทำให้เยาวชนสูญเสียเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวออนไลน์. VPN ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและป้องกันการสอดส่องจากบุคคลที่สาม รวมถึงช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์.

    การห้ามใช้ VPN อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูลของเยาวชน โดยเฉพาะในยุคที่การศึกษาและการสื่อสารจำนวนมากอาศัยแพลตฟอร์มออนไลน์. นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า กฎหมายลักษณะนี้อาจถูกใช้เป็น ข้ออ้างในการควบคุมอินเทอร์เน็ต และเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์มากขึ้น.

    นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ดิจิทัลเตือนว่า หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจเป็น แบบอย่างที่อันตราย ซึ่งประเทศอื่น ๆ อาจนำไปใช้ตาม และจะกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อเสนอจาก UK House of Lords
    ห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN
    อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยและการป้องกันเนื้อหาไม่เหมาะสม

    บทบาทของ VPN
    ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและปกป้องความเป็นส่วนตัว
    ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    เยาวชนสูญเสียเครื่องมือปกป้องข้อมูลออนไลน์
    กระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูล

    ข้อกังวลและคำเตือน
    อาจเป็นการละเมิดเสรีภาพดิจิทัลและเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์
    หากผ่านกฎหมาย อาจเป็นแบบอย่างที่ประเทศอื่นนำไปใช้ตาม

    https://alecmuffett.com/article/134925
    🛑 UK House of Lords พยายามห้ามเยาวชนใช้ VPN รายงานจาก Alec Muffett ระบุว่า สภาขุนนางแห่งสหราชอาณาจักร (UK House of Lords) กำลังพิจารณากฎหมายที่มีเป้าหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN (Virtual Private Network) โดยให้เหตุผลว่าเป็นการป้องกันการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย. อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์จำนวนมากมองว่ามาตรการนี้เป็นการ ละเมิดเสรีภาพดิจิทัล และอาจทำให้เยาวชนสูญเสียเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวออนไลน์. VPN ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและป้องกันการสอดส่องจากบุคคลที่สาม รวมถึงช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์. การห้ามใช้ VPN อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูลของเยาวชน โดยเฉพาะในยุคที่การศึกษาและการสื่อสารจำนวนมากอาศัยแพลตฟอร์มออนไลน์. นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า กฎหมายลักษณะนี้อาจถูกใช้เป็น ข้ออ้างในการควบคุมอินเทอร์เน็ต และเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์มากขึ้น. นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ดิจิทัลเตือนว่า หากกฎหมายนี้ผ่าน อาจเป็น แบบอย่างที่อันตราย ซึ่งประเทศอื่น ๆ อาจนำไปใช้ตาม และจะกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อเสนอจาก UK House of Lords ➡️ ห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ VPN ➡️ อ้างเหตุผลด้านความปลอดภัยและการป้องกันเนื้อหาไม่เหมาะสม ✅ บทบาทของ VPN ➡️ ช่วยเข้ารหัสการเชื่อมต่อและปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ ใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์ ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ เยาวชนสูญเสียเครื่องมือปกป้องข้อมูลออนไลน์ ➡️ กระทบต่อการเรียนรู้และการเข้าถึงข้อมูล ‼️ข้อกังวลและคำเตือน ⛔ อาจเป็นการละเมิดเสรีภาพดิจิทัลและเปิดทางให้เกิดการเซ็นเซอร์ ⛔ หากผ่านกฎหมาย อาจเป็นแบบอย่างที่ประเทศอื่นนำไปใช้ตาม https://alecmuffett.com/article/134925
    ALECMUFFETT.COM
    IT GETS WORSE: UK House of Lords attempting to ban use of VPNs by anyone under 16
    This is deranged, each nation’s boomers and reactionaries attempting to outdo the others: “Action to prohibit the provision of VPN services to children in the United Kingdom” … th…
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
More Results