• 17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498
    วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต

    หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า

    “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8”

    ————

    "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด"


    ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด

    เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

    สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่

    1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้:

    “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489

    ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้

    แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น

    บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย

    ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498”

    ................

    2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

    ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว

    ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ

    แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น

    ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’”

    ..................

    3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้:

    “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด

    เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้

    ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗)

    และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’”

    ----------

    ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม

    จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว

    ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย

    ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า)

    ………

    ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย

    —————-

    ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้:


    “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา

    น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ

    น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต

    ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย

    ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย)

    มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.”

    (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย)

    ------------

    จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

    พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ

    แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ

    ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ

    ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…”

    ……….

    ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย

    จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ

    ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn
    ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    17 กุมภาพันธ์ พ ศ 2498 วันประหารชีวิต สามนักโทษกรณีสวรรคต หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า “มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน พยายามสื่อสารให้เข้าใจว่า รัชกาลที่เก้าเป็นผู้ปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8” ———— "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด" ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด เพราะมีสื่อต่างๆที่นำเสนอข้อมูลบางตอนที่ “อาจจะ” ทำให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หากไม่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน สื่อต่างๆที่ว่านี้ ได้แก่ 1. THE STANDARD TEAM เรื่อง “17 กุมภาพันธ์ 2498 – ประหารชีวิต ชิต, บุศย์, เฉลียว จำเลยคดีสวรรคตในหลวง ร.8” เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความดังนี้: “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2478 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 9 พรรษา พระองค์สวรรคตด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้ง 3 คน คือ เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และ บุศย์ ปัทมศริน อ้างอิงจากแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทย ดังนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทย ตามที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมะศิรินทร์ จำเลยในคดีต้องหาว่าประทุษร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล และจำเลยทั้งสามได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษนั้น บัดนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามเสีย ทางราชทัณฑ์จึงได้นำตัวจำเลยทั้งสาม ไปประหารชีวิตตามคำพิพากษา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลา 05.00 น. ณ เรือนจำกลางบางขวาง ต่อหน้าคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เชื้อ พัฒนเจริญ และนายหลอม บุญอ่อน รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าแผนกควบคุมเรือนจำกลางบางขวางเป็นกรรมการ ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเป็นการเสร็จไปแล้ว จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกันกระทรวงมหาดไทย วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498” ................ 2. สถาบันปรีดี พนมยงค์ เรื่อง “สามจำเลยผู้บริสุทธิ์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล เผยแพร่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีข้อความบางตอนดังนี้ “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน เมื่อ 12 ตุลาคม 2497 แล้ว ต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสามได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามนั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. 2519 มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. 2498-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ทนจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า 647) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุดตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์’” .................. 3. “ปัจฉิมวาจาของ ๓ นักโทษประหาร” มีข้อความบางตอนดังนี้: “หลังจากที่ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง ๓ คน เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๙๗ แล้วต่อมาในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๗ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่ฎีกาดังกล่าวได้ตกไปในที่สุด เกี่ยวกับการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้ง ๓ นั้น พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (บุตรชายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้เขียนไว้ในหนังสือ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์การพิมพ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความตอนหนึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม (ผู้เขียน) กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้นลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศญี่ปุ่นว่าดังนี้ ‘...ข้าพเจ้าจึงระงับใจไม่ได้ที่ต้องเรียนถามจอมพล ป. พิบูลสงคราม วันหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ในฐานะที่เวลานั้น (พ.ศ. ๒๔๙๘-ผู้เขียน) ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้จำเลยสามคนที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง ได้พยายามทำหน้าที่ของพ่อจนถึงที่สุดแล้ว ในอดีตที่ผ่านมา มีน้อยครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเสียใจบ้างเมื่อทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นครั้งใดที่ท่านจะเสียใจหนักยิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้ากำลังเห็นท่านครั้งนั้น ขณะเมื่อได้ตอบคำถามของข้าพเจ้าจบ ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและสนเท่ห์ใจไม่เปลี่ยนแปลง’ (จากหนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หน้า ๖๘๗) และก็สอดคล้องกับหนังสือแจกงานศพของนายชิต สิงหเสนี ที่บุตรสาวของท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือนั้น มีความว่า ‘ภายหลังที่พ่อถูกประหารชีวิตแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ส่งนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัวของท่านไปหาพวกเรา แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลยินดีจะให้การอุปการะความเป็นอยู่การศึกษาแก่พวกเราทุกประการ พวกเราปรึกษาหารือกัน และในที่สุด ตกลงรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในความบริสุทธิ์ของพ่อ รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือแก่พวกเรา ความช่วยเหลือนี้พึ่งมายกเลิกในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์’” ---------- ผู้เขียนได้สืบค้นเงื่อนไขการขอพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พบว่า บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น ทำให้พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ต้องถูกลิดรอนลงจากเดิม จากการใช้พระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระมาสู่การใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญแล้ว ยังทำให้แนวความคิดและรูปแบบของการใช้พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อพุทธศักราช 2477 โดยได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ในภาค 7 ว่าด้วยอภัยโทษเปลี่ยนโทษหนักเป็นเบา และลดโทษมาตรา 259 ถึงมาตรา 267 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ถวายความเห็นและคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ แม้ว่าในบางกรณีความเห็นของกระทรวงมหาดไทยขัดแย้งกับความเห็นของคณะรัฐมนตรีก็ตาม (สรุปและเรียบเรียงจากหัวข้อ พระราชทานอภัยโทษ ฐานข้อมูล สถาบันพระปกเกล้า) ……… ในการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย —————- ผู้เขียนได้ไปสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ ๘๕/๒๔๙๗ วันพุธที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๗ มีข้อความทั้งหมดที่เกี่ยวกับกรณีการขอพระราชทานอภัยลดโทษของนักโทษคดีสวรรคตรัชกาลที่แปด ดังนี้: “๙. เรื่อง นักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน ขอพระราชทานอภัยลดโทษ (กระทรวงมหาดไทยนำส่งฎีกาพร้อมด้วยเอกสารการสอบสวนของนักโทษเด็ดขาดชาย เฉลียว ปทุมรส นักโทษเด็ดขาดชาย ชิต สิงหเสนี และนักโทษเด็ดขาดชาย บุศย์ ปัทมศริน เรือนจำกลาง บางขวาง ต้องโทษฐานสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) กำหนดโทษประหารชีวิต ขอพระราชทานชีวิตให้คงไว้ มา น.ช. เฉลียว ฯ อ้างว่า ตนยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป ไม่เคยคิดที่จะหมิ่มพระบรมเดชานุภาพอย่างใด ขณะนี้ครอบครัวขาดผู้อุปการะ น.ช. ชิต ฯ อ้างว่า บรรพบุรุษในตระกูลของตน ซึ่งมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เป็นต้นตระกูล ตลอดจนบิดา ได้เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต ส่วน น.ช. บุศย์ ฯ อ้างว่า ชีวิตของตนได้เติบโตขึ้นมาก็โดยความอุปการะในพระบรมราชตระกูลที่ได้ทรงชุบเลี้ยง การเข้ารับราชการจึงเป็นไปด้วยความจงรักภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพล ป พิบูลสงคราม) ได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ให้โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย) มติ - เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้.” (นอกจาก จอมพล ป จะเป็น รมต มหาดไทยแล้ว ยังเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย) ------------ จากข้อความในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีข้างต้นและจากการเปลี่ยนแปลงพระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ถูกลิดรอนลงจากเดิมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระมหากษัตริย์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดและเป็นอิสระ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามขอบเขตในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพระมหากษัตริย์/ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักลงมติให้อภัยโทษหรือระงับฎีกาตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีเสมอ ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของ พล.ต. อนันต์ พิบูลสงคราม ที่กล่าวถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นบิดาว่า “…ท่านตอบข้าพเจ้าทันทีอย่างหนักแน่นว่า พ่อได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึงสามครั้ง…” ………. ผู้เขียนใคร่เรียนขอว่า ถ้ามีใครมีหลักฐานการขอพระราชอภัยโทษอีกสองครั้ง โปรดกรุณานำมาเผยแพร่ด้วย จักเป็นประโยชน์ต่อวงการวิชาการประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์และต่อสาธารณชน ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ ป ล หลังจากศึกษาค้นคว้าข้อมูลแล้ว เห็นว่า มีผู้จงใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้รัชกาลที่เก้าเป็นผู้รับผิดชอบการปฏิเสธการขอพระราชทานอภัยลดโทษประหารชีวิตของสามนักโทษ ที่มา : เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 504 มุมมอง 0 รีวิว
  • 70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม?

    ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย

    ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489

    แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่?

    ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8
    9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม
    ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง

    🔎 ลักษณะพระบรมศพ
    มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย

    💡 คำถามที่เกิดขึ้น
    เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์?
    หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ?

    มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต
    หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด

    1. นายเฉลียว ปทุมรส
    อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต

    2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม
    อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์

    3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง
    เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต

    💭 ข้อโต้แย้ง
    มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์

    ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร
    หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ
    - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน
    - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม
    - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม

    17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล
    ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
    ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร
    ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร
    ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร

    หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น

    👀 ความน่าสงสัย
    - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน
    - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี

    ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง?
    แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด

    🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ"
    ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน
    มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง

    🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์"
    มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง
    ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร

    🔴 ข้อโต้แย้ง
    ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ

    🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป"
    สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง
    หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย

    คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ
    แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง

    ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥
    - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์?
    - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่?

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568

    #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    70 ปี ยิงเป้าสามมหาดเล็ก พัวพันคดีสวรรคต ร.8 ทฤษฎีสมคบคิดปริศนา ลอบปลงพระชนม์ หรืออัตวินิบาตกรรม? ปริศนาที่ยังไร้คำตอบ เมื่อพูดถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังคงเป็นปริศนา และข้อถกเถียงมาจนถึงทุกวันนี้ "คดีสวรรคต รัชกาลที่ 8" คือหนึ่งในคดี ที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อสงสัยมากมาย ย้อนกลับไปเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ณ เรือนจำกลางบางขวาง สามมหาดเล็กในพระองค์ ได้แก่ นายเฉลียว ปทุมรส, นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน ถูกนำตัวเข้าสู่ลานประหาร และถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ฐานพัวพันกับการสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่คำถามสำคัญ ที่ยังคงค้างคาใจหลายคนก็คือ คดีนี้จบลงแล้วจริงหรือ? และสามมหาดเล็ก ที่ถูกประหารชีวิตเป็น "แพะรับบาป" หรือไม่? ปูมหลังคดีสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 8 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 วันแห่งโศกนาฏกรรม ช่วงสายวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ภายในห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน พระบรมมหาราชวัง 🔎 ลักษณะพระบรมศพ มีบาดแผล กลางพระนลาฏ หรือหน้าผาก ทะลุผ่านพระปฤษฎางค์ หรือท้ายทอย ข้างพระบรมศพพบ ปืนพกสั้น โคลต์ .45 ตกอยู่ ด้ามปืนหันออกจากพระวรกาย 💡 คำถามที่เกิดขึ้น เป็นอุบัติเหตุ หรือการลอบปลงพระชนม์? หากเป็นอัตวินิบาตกรรม เหตุใดจึงมีบาดแผล กระสุนทะลุจากหน้าผากไปท้ายทอย ซึ่งขัดแย้งกับ กลไกการยิงตัวตาย ตามธรรมชาติ? มหาดเล็กทั้งสามนาย จากข้าราชการใกล้ชิด สู่จำเลยประหารชีวิต หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่นาน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งในช่วงแรก ไม่มีใครถูกกล่าวหา แต่เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 คดีได้ถูกพลิกกลับ โดยบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย ถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิด 1. นายเฉลียว ปทุมรส อดีตมหาดเล็ก และราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 8 สมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนลอบปลงพระชนม์ ถูกศาลฎีกาพิพากษา ตัดสินประหารชีวิต 2. นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กห้องพระบรรทม อยู่ในพระที่นั่งบรมพิมานในวันเกิดเหตุ ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ และถูกศาลฎีกา พิพากษายืน ประหารชีวิตตามศาลอุทธรณ์ 3. นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งในบุคคลสุดท้าย ที่เห็นในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์ และถูกศาลฎีกา พิกากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินประหารชีวิต 💭 ข้อโต้แย้ง มหาดเล็กทั้งสามนาย ยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชัดเจน ที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ ศาลฎีกาตัดสิน คำพิพากษาที่นำไปสู่ลานประหาร หลังการสอบสวน คดีนี้ผ่านการพิจารณาของ ศาล 3 ระดับ - ศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิต ทั้งสามคน - ศาลอุทธรณ์ ยืนยันคำพิพากษาเดิม - ศาลฎีกา พิพากษายืน ตามคำตัดสินเดิม 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 วันที่สามมหาดเล็ก ถูกยิงเป้าด้วยปืนกล ⏰ 02.00 น. อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ⏰ 02.20 น. นายเฉลียว ถูกประหาร ⏰ 02.40 น. นายชิต ถูกประหาร ⏰ 03.00 น. นายบุศย์ ถูกประหาร หลังจากการยิงเป้าประหารชีวิต ศพนักโทษทั้ง 3 ราย ถูกใส่ในช่องเก็บศพ เเล้วนำร่างออกจากประตูเเดง หรือประตูผีของวัดบางแพรกใต้ ในวันรุ่งขึ้น 👀 ความน่าสงสัย - คำร้องขออภัยโทษถูก "ยกฎีกา" อย่างกะทันหัน - ไม่มีการสืบสวนใหม่ แม้จะมีหลักฐานที่อาจเปลี่ยนคดี ทฤษฎีสมคบคิด ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง? แม้ว่าศาลจะตัดสินประหารชีวิต สามมหาดเล็กไปแล้ว แต่ปริศนาการสวรรคต ยังคงเป็นหัวข้อ ที่ถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด 🕵️‍♂️ ทฤษฎี "อุบัติเหตุ" ในหลวงรัชกาลที่ 8 อาจทรงทำปืนลั่นเองขณะถือปืน มีหลักฐานว่า พระองค์ทรงสนใจปืน และเคยมีอุบัติเหตุปืนลั่นมาก่อน 🔴 ข้อโต้แย้ง ตำแหน่งบาดแผล ไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุ จากการยิงตัวเอง 🏴‍☠️ ทฤษฎี "ลอบปลงพระชนม์" มีการตั้งข้อสงสัยว่า ฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม อาจอยู่เบื้องหลัง ขณะนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างกลุ่มนิยมเจ้า กับคณะราษฎร 🔴 ข้อโต้แย้ง ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ลงมือ 🤔 ทฤษฎี "แพะรับบาป" สามมหาดเล็ก อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ ในการปกปิดความจริง หลักฐานหลายอย่างถูกทำลาย หรือไม่ถูกเปิดเผย คดีปริศนาที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 70 ปี แต่คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน อย่างกว้างขวาง ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และใครคือผู้กระทำผิดตัวจริง ⏳ คำถามที่ยังไร้คำตอบ 🔥 - ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำอัตวินิบาตกรรม หรือถูกลอบปลงพระชนม์? - สามมหาดเล็กที่ถูกประหาร เป็นแพะรับบาปหรือไม่? ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 171005 ก.พ. 2568 #คดีสวรรคต #รัชกาลที่8 #70ปีปริศนา #สมคบคิด #ลับลวงพราง #ประวัติศาสตร์ไทย #คดีสะเทือนขวัญ #ยิงเป้าสามมหาดเล็ก #ThailandMystery #HistoryUnsolved
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 521 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติจะมาโพสต์อาทิตย์ละครั้ง แต่วันนี้มีควันหลงจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาแบ่งปันต่อแฟนคลับของใต้เท้าลู่ เป็นเรื่องที่ Storyฯ อ่านเจอโดยบังเอิญ

    ความมีอยู่ว่า
    ... ชายในชุดเขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของจินเซี่ยขณะนี้ก็คือบุตรชายของลู่ปิ่ง นามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งเป็นจอหงวนบู๊ ส่วนฝีมือของลู่อี้ผู้เป็นลูกนั้น ได้ยินมาว่าสูงส่งไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร...
    - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ
    (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ยอดองค์รักษ์เสื้อแพร> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้)

    ที่ต้องมาพูดถึงใต้เท้าลู่อี้และบิดาของเขา เป็นเพราะ Storyฯ อ่านเจอมาอย่างเซอร์ไพรส์ว่า ทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์! ในละครบิดาของลู่อี้ชื่อว่าลู่ถิง แต่ในหนังสือเขาชื่อลู่ปิ่ง

    ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ปรากฏมีผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อว่าลู่ปิ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) มีบุตรชายคนที่สามนามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หกปีก็เสียชีวิตลง ลู่อี้ซึ่งในขณะนั้นรับราชการเป็นองครักษ์เสื้อแพรด้วย จึงขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้แทนผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้

    จากเรื่องราวที่บันทึกไว้ ในชีวิตจริงลู่อี้เป็นคนที่รอบรู้และมีผลงานมากมาย ทั้งชีวิตมีภรรยาเดียว (ซึ่งต่างจากข้าราชการระดับสูงทั่วไปในสมัยนั้น) คือบุตรีของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ในระหว่างที่รับราชการนั้น เคยถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะถูกรื้อฟื้นเรื่องที่บิดาของเขาเคยสมคบคิดกับเหยียนซงซึ่งเป็นขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้ร้ายขุนนางน้ำดีนามว่าเซี่ยเหยียน ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยจึงได้รับการอภัยโทษและคืนยศให้ (เหมือนในละครเล้ย)

    จะเห็นว่าทั้งนิยายและละครคงความเป็น “ลู่อี้” ได้ค่อนข้างครบถ้วนตามประวัติศาสตร์ทีเดียว

    ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยแชร์กันด้วยนะคะ

    Credit รูปภาพจาก: https://j.17qq.com/article/fggpidhdz.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.tspweb.com/key/%E9%94%A6%E8%A1%A3%E5%8D%AB%E9%99%86%E7%BB%8E%E7%9A%84%E5%A6%BB%E5%AD%90%E5%90%B4%E6%B0%8F.html
    https://ld.sogou.com/article/i5630311.htm?ch=lds.pc.art.media.all

    #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #องครักษ์เสื้อแพร #ลู่อี้ #ใต้เท้าลู่ #ราชวงศ์หมิง #StoryfromStory
    ปกติจะมาโพสต์อาทิตย์ละครั้ง แต่วันนี้มีควันหลงจากละครเรื่อง <ยอดองครักษ์เสื้อแพร> มาแบ่งปันต่อแฟนคลับของใต้เท้าลู่ เป็นเรื่องที่ Storyฯ อ่านเจอโดยบังเอิญ ความมีอยู่ว่า ... ชายในชุดเขียวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของจินเซี่ยขณะนี้ก็คือบุตรชายของลู่ปิ่ง นามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งเป็นจอหงวนบู๊ ส่วนฝีมือของลู่อี้ผู้เป็นลูกนั้น ได้ยินมาว่าสูงส่งไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นยอดฝีมือลำดับต้นๆ ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร... - จากเรื่อง <เบื้องล่างของเสื้อแพร> ผู้แต่ง หลานเส้อซือ (หมายเหตุ ละครเรื่อง <ยอดองค์รักษ์เสื้อแพร> ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่องนี้) ที่ต้องมาพูดถึงใต้เท้าลู่อี้และบิดาของเขา เป็นเพราะ Storyฯ อ่านเจอมาอย่างเซอร์ไพรส์ว่า ทั้งสองคนนี้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์! ในละครบิดาของลู่อี้ชื่อว่าลู่ถิง แต่ในหนังสือเขาชื่อลู่ปิ่ง ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ปรากฏมีผู้บัญชาการสูงสุดขององครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อว่าลู่ปิ่งอยู่ในยุคสมัยขององค์หมิงสื้อจง (ค.ศ. 1521-1567) มีบุตรชายคนที่สามนามว่าลู่อี้ ลู่ปิ่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หกปีก็เสียชีวิตลง ลู่อี้ซึ่งในขณะนั้นรับราชการเป็นองครักษ์เสื้อแพรด้วย จึงขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้แทนผู้เป็นบิดา เนื่องจากพี่ชายสองคนของเขาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ จากเรื่องราวที่บันทึกไว้ ในชีวิตจริงลู่อี้เป็นคนที่รอบรู้และมีผลงานมากมาย ทั้งชีวิตมีภรรยาเดียว (ซึ่งต่างจากข้าราชการระดับสูงทั่วไปในสมัยนั้น) คือบุตรีของเสนาบดีกระทรวงขุนนาง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ในระหว่างที่รับราชการนั้น เคยถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะถูกรื้อฟื้นเรื่องที่บิดาของเขาเคยสมคบคิดกับเหยียนซงซึ่งเป็นขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อให้ร้ายขุนนางน้ำดีนามว่าเซี่ยเหยียน ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัชสมัยจึงได้รับการอภัยโทษและคืนยศให้ (เหมือนในละครเล้ย) จะเห็นว่าทั้งนิยายและละครคงความเป็น “ลู่อี้” ได้ค่อนข้างครบถ้วนตามประวัติศาสตร์ทีเดียว ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยแชร์กันด้วยนะคะ Credit รูปภาพจาก: https://j.17qq.com/article/fggpidhdz.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.tspweb.com/key/%E9%94%A6%E8%A1%A3%E5%8D%AB%E9%99%86%E7%BB%8E%E7%9A%84%E5%A6%BB%E5%AD%90%E5%90%B4%E6%B0%8F.html https://ld.sogou.com/article/i5630311.htm?ch=lds.pc.art.media.all #ยอดองครักษ์เสื้อแพร #องครักษ์เสื้อแพร #ลู่อี้ #ใต้เท้าลู่ #ราชวงศ์หมิง #StoryfromStory
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 340 มุมมอง 0 รีวิว
  • Cr.mindsetoftheaware:🔊คุณคิดอย่างไรคะ🤔"ที่คุณหมอต่างๆทั่วโลก ต้องให้เราเซ็นยินยอมก่อนเข้ารับการผ่าตัดสมอง,หัวใจ,ลำไส้ฯลฯทุกอย่างเพื่อไม่ต้องรับโทษใดๆเลยถ้าคนไข้เสียชีวิตพิการหรือผิดพลาดในทุกกรณี #ทั้งๆที่ฝาผนังติดใบประกาศความสำเร็จไว้มากมายว่าได้ผ่านการอบรมจากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีใบรับรองการเรียนรู้เรื่องยาเรื่องโรคมาแล้วแต่กลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย?"ถ้าไม่ได้ทำผิดอะไร จะขออภัยโทษ..Why?ตอนเราต้องฉีดวัคซีนโควิดเราก็ต้องเซ็นยินยอมและไม่เอาผิดทั้งๆที่เราต้องทรมานจากพิษร่างกายอ่อนแอลง วูบ หัวใจเต้นเร็ว ภูมิแพ้ผื่นขึ้น ทำได้อย่าเดียวคือทำใจ🖤
    Cr.mindsetoftheaware:🔊คุณคิดอย่างไรคะ🤔"ที่คุณหมอต่างๆทั่วโลก ต้องให้เราเซ็นยินยอมก่อนเข้ารับการผ่าตัดสมอง,หัวใจ,ลำไส้ฯลฯทุกอย่างเพื่อไม่ต้องรับโทษใดๆเลยถ้าคนไข้เสียชีวิตพิการหรือผิดพลาดในทุกกรณี #ทั้งๆที่ฝาผนังติดใบประกาศความสำเร็จไว้มากมายว่าได้ผ่านการอบรมจากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีใบรับรองการเรียนรู้เรื่องยาเรื่องโรคมาแล้วแต่กลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย?"ถ้าไม่ได้ทำผิดอะไร จะขออภัยโทษ..Why?ตอนเราต้องฉีดวัคซีนโควิดเราก็ต้องเซ็นยินยอมและไม่เอาผิดทั้งๆที่เราต้องทรมานจากพิษร่างกายอ่อนแอลง วูบ หัวใจเต้นเร็ว ภูมิแพ้ผื่นขึ้น ทำได้อย่าเดียวคือทำใจ🖤
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 2 0 รีวิว
  • จาเร็ด​ คุชเนอร์ (Jared Kushner) สามีของอิวังก้า ทรัมป์ ลูกสาวคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกสื่อมวลชนเปิดโปงว่าคือผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดให้สหรัฐเข้ายึดครองกาซา และขับไล่ชาวปาเลสไตน์เกือบสองล้านคนออกไปจากถิ่นกำเนิดพวกเขา เพื่อสร้างกาซาขึ้นใหม่

    เนื่องจากแผนการของทรัมป์ คือสิ่งที่ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยของเขา เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ว่าอิสราเอลควรขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซาและพัฒนาพื้นที่ริมทะเลแห่งนี้ขึ้นใหม่ โดยเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “มีค่ามหาศาล” (very valuable)

    นายจาเร็ด คุชเนอร์ ชาวยิวที่มีบรรพบุรุษมาจากเบลารุส ปู่และย่าของเขารอดชีวิตจากค่ายกักกันที่นาซีเยอรมนีดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างยึดครองเบลารุสอยู่ และอพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2492 ต่อมา "ชาร์ล คุชเนอร์" พ่อของจาเร็ดก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ จนประสบความสำเร็จมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมาก

    ทรัมป์สมัยแรก แต่งตั้งให้ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรดเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาระดับอาวุโสในทำเนียบขาว โดยให้คำปรึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อทรัมป์โดยตรง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็น "มือขวา" ของทรัมป์ในสมัยนั้น

    เขาเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน และเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ New York Observer

    ต่อมาในทรัมป์สมัยที่สอง ได้สร้างความฮือฮาด้วยการแต่งตั้ง ชาร์ลส์ คุชเนอร์ วัย 70 ปี พ่อของจาเร็ด เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำฝรั่งเศส ทั้งที่เคยถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีเมื่อปี 2548 หลังจากรับสารภาพในความผิด 18 กระทงในคดีบริจาคเงินหาเสียงอย่างผิดกฎหมาย เลี่ยงภาษี และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนายความในรัฐนิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก และเพนซิลเวเนีย แต่ได้รับการอภัยโทษทั้งหมดจากทรัมป์ในปี 2563 เมื่อครั้งที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก





    จาเร็ด​ คุชเนอร์ (Jared Kushner) สามีของอิวังก้า ทรัมป์ ลูกสาวคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกสื่อมวลชนเปิดโปงว่าคือผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดให้สหรัฐเข้ายึดครองกาซา และขับไล่ชาวปาเลสไตน์เกือบสองล้านคนออกไปจากถิ่นกำเนิดพวกเขา เพื่อสร้างกาซาขึ้นใหม่ เนื่องจากแผนการของทรัมป์ คือสิ่งที่ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยของเขา เคยกล่าวไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ว่าอิสราเอลควรขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซาและพัฒนาพื้นที่ริมทะเลแห่งนี้ขึ้นใหม่ โดยเรียกพื้นที่ตรงนั้นว่า “มีค่ามหาศาล” (very valuable) นายจาเร็ด คุชเนอร์ ชาวยิวที่มีบรรพบุรุษมาจากเบลารุส ปู่และย่าของเขารอดชีวิตจากค่ายกักกันที่นาซีเยอรมนีดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างยึดครองเบลารุสอยู่ และอพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2492 ต่อมา "ชาร์ล คุชเนอร์" พ่อของจาเร็ดก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ จนประสบความสำเร็จมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมาก ทรัมป์สมัยแรก แต่งตั้งให้ จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรดเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาระดับอาวุโสในทำเนียบขาว โดยให้คำปรึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อทรัมป์โดยตรง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็น "มือขวา" ของทรัมป์ในสมัยนั้น เขาเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน และเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ New York Observer ต่อมาในทรัมป์สมัยที่สอง ได้สร้างความฮือฮาด้วยการแต่งตั้ง ชาร์ลส์ คุชเนอร์ วัย 70 ปี พ่อของจาเร็ด เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำฝรั่งเศส ทั้งที่เคยถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีเมื่อปี 2548 หลังจากรับสารภาพในความผิด 18 กระทงในคดีบริจาคเงินหาเสียงอย่างผิดกฎหมาย เลี่ยงภาษี และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนายความในรัฐนิวเจอร์ซีย์ นิวยอร์ก และเพนซิลเวเนีย แต่ได้รับการอภัยโทษทั้งหมดจากทรัมป์ในปี 2563 เมื่อครั้งที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งนับสิบครอบคลุมประเด็นโลกร้อนไปจนถึงคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งตามที่ลั่นวาจาไว้
    .
    คำสั่งฝ่ายบริหารบางส่วนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว เช่น การอภัยโทษผู้ประท้วงจำนวนมากที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ยังมีคำสั่งอีกจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเกินคาด เช่น การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
    .
    ต่อไปนี้คือสรุปคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามในสนามกีฬาที่วอชิงตันท่ามกลางผู้สนับสนุนจำนวนมาก และที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมาภายหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง
    .
    คนเข้าเมือง
    .
    ทรัมป์เซ็นคำสั่งหลายฉบับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีที่อเมริกาจัดการปัญหาคนเข้าเมืองและความเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดนทางใต้
    ประมุขทำเนียบขาวคนใหม่ยังสัญญาว่า จะจัดการเนรเทศครั้งใหญ่ซึ่งจะมีกองทัพร่วมปฏิบัติการด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่ “อาชญากรต่างด้าว”
    .
    ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ลงนามคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติจากการเกิดในประเทศ อย่างไรก็ดี ทรัมป์อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายเนื่องจากการให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัตินี้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ
    .
    ม็อบบุกสภา 6 มกราคม
    .
    ทรัมป์ลงนามอภัยโทษผู้สนับสนุนตนเองบางส่วนจากทั้งหมด 1,500 คนที่บุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 โดยเรียกคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินความผิดหรือยอมรับผิดในการก่อจลาจลว่าเป็น “ตัวประกัน”
    .
    ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่าง
    .
    ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกายกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในหน่วยงานรัฐบาล ภาคธุรกิจ และบริการสาธารณสุข รวมถึงสิทธิของคนอเมริกันกลุ่ม LGBTQ ตามที่สัญญาไว้ว่าจะจัดการวัฒนธรรม “การตื่นรู้”
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่า ต่อไปรัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับคนเพียงสองเพศคือชายกับหญิงเท่านั้น
    .
    ข้อตกลงโลกร้อนปารีส
    .
    ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสเหมือนที่เคยทำมาตอนรับตำแหน่งสมัยแรก ตอกย้ำการปฏิเสธความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ภัยพิบติธรรมชาติรุนแรงขึ้นทั่วโลก
    .
    อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลา 1 ปีหลังจากยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อกรอบข้อตกลงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฉบับนี้ อเมริกาจึงจะสามารถถอนตัวได้
    .
    การขุดเจาะน้ำมัน
    .
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก
    .
    เวิร์ก ฟอร์ม โฮม
    .
    นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกลับไปทำงานในสำนักงานเต็มเวลา เพื่อยุติการอนุญาตการทำงานจากที่บ้านส่วนใหญ่ที่ริเริ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด
    .
    ถอนตัวจาก WHO
    .
    ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้อเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดยยืนยันว่า ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ จ่ายเงินสมทบองค์กรนี้มากกว่าที่จีนจ่าย
    .
    ติ๊กต็อก Tiktok
    .
    ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกไป 75 วัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชะลอการดำเนินการห้ามการเผยแพร่และอัปเดตแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในอเมริกาที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ม.ค.)
    .
    ทรัมป์ระบุว่า ต้องการให้ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อกที่อยู่ในจีน ตกลงขายหุ้นติ๊กต็อก 50% ให้นักลงทุนในอเมริกา
    .
    ผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์
    .
    ทรัมป์ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันของคณะบริหารของไบเดนต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์
    .
    คิวบา
    .
    ทรัมป์ล้มล้างอีกหนึ่งคำสั่งของไบเดนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในการถอดคิวบาออกจากบัญชีดำประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยนักโทษ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006613
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งนับสิบครอบคลุมประเด็นโลกร้อนไปจนถึงคนเข้าเมือง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งตามที่ลั่นวาจาไว้ . คำสั่งฝ่ายบริหารบางส่วนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว เช่น การอภัยโทษผู้ประท้วงจำนวนมากที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต แต่ยังมีคำสั่งอีกจำนวนหนึ่งที่ถือว่าเกินคาด เช่น การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) . ต่อไปนี้คือสรุปคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามในสนามกีฬาที่วอชิงตันท่ามกลางผู้สนับสนุนจำนวนมาก และที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมาภายหลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง . คนเข้าเมือง . ทรัมป์เซ็นคำสั่งหลายฉบับเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีที่อเมริกาจัดการปัญหาคนเข้าเมืองและความเป็นพลเมือง ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบริเวณชายแดนทางใต้ ประมุขทำเนียบขาวคนใหม่ยังสัญญาว่า จะจัดการเนรเทศครั้งใหญ่ซึ่งจะมีกองทัพร่วมปฏิบัติการด้วย โดยเป้าหมายอยู่ที่ “อาชญากรต่างด้าว” . ที่ห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์ลงนามคำสั่งยกเลิกการให้สัญชาติจากการเกิดในประเทศ อย่างไรก็ดี ทรัมป์อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายเนื่องจากการให้สัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัตินี้กำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญ . ม็อบบุกสภา 6 มกราคม . ทรัมป์ลงนามอภัยโทษผู้สนับสนุนตนเองบางส่วนจากทั้งหมด 1,500 คนที่บุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อล้มล้างผลการเลือกตั้งปี 2020 โดยเรียกคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินความผิดหรือยอมรับผิดในการก่อจลาจลว่าเป็น “ตัวประกัน” . ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การยอมรับความแตกต่าง . ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของอเมริกายกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมโครงการความหลากหลายและความเท่าเทียมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในหน่วยงานรัฐบาล ภาคธุรกิจ และบริการสาธารณสุข รวมถึงสิทธิของคนอเมริกันกลุ่ม LGBTQ ตามที่สัญญาไว้ว่าจะจัดการวัฒนธรรม “การตื่นรู้” . ทรัมป์ยังประกาศว่า ต่อไปรัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับคนเพียงสองเพศคือชายกับหญิงเท่านั้น . ข้อตกลงโลกร้อนปารีส . ผู้นำใหม่ของสหรัฐฯ นำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อนปารีสเหมือนที่เคยทำมาตอนรับตำแหน่งสมัยแรก ตอกย้ำการปฏิเสธความพยายามของทั่วโลกในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ขณะที่ภัยพิบติธรรมชาติรุนแรงขึ้นทั่วโลก . อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลา 1 ปีหลังจากยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อกรอบข้อตกลงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฉบับนี้ อเมริกาจึงจะสามารถถอนตัวได้ . การขุดเจาะน้ำมัน . ทรัมป์ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อขยายการขุดเจาะในอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลก . เวิร์ก ฟอร์ม โฮม . นอกจากนั้น ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกลับไปทำงานในสำนักงานเต็มเวลา เพื่อยุติการอนุญาตการทำงานจากที่บ้านส่วนใหญ่ที่ริเริ่มขึ้นในช่วงที่โควิด-19 ระบาด . ถอนตัวจาก WHO . ทรัมป์เซ็นคำสั่งให้อเมริกาถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก โดยยืนยันว่า ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ จ่ายเงินสมทบองค์กรนี้มากกว่าที่จีนจ่าย . ติ๊กต็อก Tiktok . ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้สั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกไป 75 วัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชะลอการดำเนินการห้ามการเผยแพร่และอัปเดตแพลตฟอร์มติ๊กต็อกในอเมริกาที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 ม.ค.) . ทรัมป์ระบุว่า ต้องการให้ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต็อกที่อยู่ในจีน ตกลงขายหุ้นติ๊กต็อก 50% ให้นักลงทุนในอเมริกา . ผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ . ทรัมป์ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันของคณะบริหารของไบเดนต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ . คิวบา . ทรัมป์ล้มล้างอีกหนึ่งคำสั่งของไบเดนที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในการถอดคิวบาออกจากบัญชีดำประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้าย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยนักโทษ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006613 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1705 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) โดยกล่าวปราศรัยประกาศว่า “ยุคทอง” ของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว จากนั้นก็ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกจำนวนหลายสิบฉบับ ซึ่งมีทั้งการให้อภัยโทษพวกผู้สนับสนุนเขาที่ใช้ความรุนแรงบุกโจมตีอาคารรัฐสภา ไปจนถึงการออกมาตรการคุมเข้มผู้อพยพ และการยุตินโยบายรับมือปัญหาโลกร้อน และถึงแม้ยังไม่มีการขึ้นภาษีศุลกากรใดๆ ในวันแรกของการครองตำแหน่งคราวนี้ แต่เขาก็ขู่รีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก 25% ตั้งแต่ 1 ก.พ.ขณะที่แสดงท่าทีแปลกกรณีสงครามยูเครน โดยหันมาวิพากษ์วลาดิมีร์ ปูติน ว่ากำลังทำลายรัสเซียจากการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติศึก
    .
    ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวปราศรัยหลังทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งต้องจัดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา เนื่องจากอากาศข้างนอกหนาวจัด โดยบอกว่า การตกต่ำของอเมริกายุติลงแล้ว ซึ่งหมายถึงช่วงเวลา 4 ปีภายใต้คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต และประกาศการเริ่มต้นยุคทองของอเมริกาซึ่งจะมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและเป็นที่เคารพของทั่วโลกอีกครั้ง
    .
    จากนั้น ทรัมป์ซึ่งอยู่ในวัย 78 ปี จึงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดขณะสาบานตนรับตำแหน่ง ได้เดินทางไปยังที่ชุมนุมของพวกผู้สนับสนุนเขา ณ สนามกีฬาในร่มแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเขาได้กล่าวปราศรัยในสไตล์หาเสียง ก่อนโยนปากกาที่ใช้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับในรอบแรกไปแล้วหมาดๆ ให้ฝูงชนที่อัดแน่นคอยต้อนรับเขา
    .
    ถัดมา ทรัมป์จึงได้เดินทางกลับไปยังทำเนียบในแบบผู้พิชิต 4 ปีหลังจากที่เขาต้องจากไปด้วยความเสื่อมเสียเกียรติ เป็นการเสร็จสิ้นครบถ้วนการหวนกลับคืนมาได้อย่างโดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของสหรัฐฯ
    .
    ณ ห้องทำงานรูปไข่ ของทำเนียบขาว ทรัมป์จัดให้มีการแถลงข่าวเป็นเวลาราว 50 นาทีโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า พร้อมกับลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการอภัยโทษผู้ก่อจลาจลราว 1,500 คนที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อพยายามขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน
    .
    ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนติดกับเม็กซิโก และระบุว่า จะส่งทหารไปจัดการการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งเป็นประเด็นหาเสียงสำคัญที่ทำให้เขาชนะอดีตรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต
    .
    ทรัมป์ยังไฟเขียวให้ขยายการขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งยกเลิกกฎระเบียบที่ต้องการโน้มน้าวให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    นอกจากนั้น เขาประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก และข้อตกลงปารีสที่นานาประเทศรวมทั้งอเมริกาให้สัญญาระบุเป้าหมายของตนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
    .
    ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันผู้นี้แสดงการเชิดชูลัทธิชาตินิยม ด้วยการประกาศเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และขู่ยึดคลองปานานาคืนหลังจากยกสิทธิการควบคุมให้ปานามาตั้งแต่ปี 1999 โดยอ้างว่า จีนเป็นผู้ควบคุมคลองปานามาตัวจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงคือ บริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกงซึ่งชนะการประมูล ได้สิทธิเข้าบริหารดำเนินงานคลองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้
    .
    ทรัมป์ยังประกาศว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นสมาชิกนาโตเช่นเดียวกับอเมริกา ขณะที่รัสเซียเข้าไปดำเนินการในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นหลังจากน้ำแข็งละลายอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    .
    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ลดความขึงขังเรื่องยูเครนจากที่เคยสัญญาว่า จะผลักดันข้อตกลงสันติภาพให้ลุล่วงก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยชื่นชมก็มาวิจารณ์ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียว่า กำลังทำลายรัสเซียด้วยการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน โดยเขาอ้างอิงสถานะเศรษฐกิจและการสูญเสียในสนามรบของรัสเซีย แต่ยังคงยืนยันว่า จะพบปะหารือกับปูตินโดยเร็ว
    .
    ขณะเดียวกัน เมื่อผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวถามว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศอย่างที่ประกาศเอาไว้หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า อาจจะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และเมื่อถามถึงการขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโก ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ตอบว่า เล็งเรียกเก็บภาษีราว 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เนื่องจากสองประเทศนี้ปล่อยให้มีผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมากแอบเดินทางเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งปล่อยให้มีการการขนส่งยาเสพติดเฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา
    .
    ทั้งนี้ ตามรายละเอียดในบันทึกช่วยจำของประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์สั่งให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์ รวมถึงสำนักงานการค้าสหรัฐฯ ตรวจสอบความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติจากการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาล พร้อมเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสม เช่น การเรียกเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกหรือนโยบายอื่นๆ เพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้า
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006612
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยสองอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ (20 ม.ค.) โดยกล่าวปราศรัยประกาศว่า “ยุคทอง” ของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว จากนั้นก็ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีเนื้อหาสร้างความแตกแยกจำนวนหลายสิบฉบับ ซึ่งมีทั้งการให้อภัยโทษพวกผู้สนับสนุนเขาที่ใช้ความรุนแรงบุกโจมตีอาคารรัฐสภา ไปจนถึงการออกมาตรการคุมเข้มผู้อพยพ และการยุตินโยบายรับมือปัญหาโลกร้อน และถึงแม้ยังไม่มีการขึ้นภาษีศุลกากรใดๆ ในวันแรกของการครองตำแหน่งคราวนี้ แต่เขาก็ขู่รีดภาษีแคนาดาและเม็กซิโก 25% ตั้งแต่ 1 ก.พ.ขณะที่แสดงท่าทีแปลกกรณีสงครามยูเครน โดยหันมาวิพากษ์วลาดิมีร์ ปูติน ว่ากำลังทำลายรัสเซียจากการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติศึก . ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวปราศรัยหลังทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งต้องจัดขึ้นภายในอาคารรัฐสภา เนื่องจากอากาศข้างนอกหนาวจัด โดยบอกว่า การตกต่ำของอเมริกายุติลงแล้ว ซึ่งหมายถึงช่วงเวลา 4 ปีภายใต้คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต และประกาศการเริ่มต้นยุคทองของอเมริกาซึ่งจะมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองและเป็นที่เคารพของทั่วโลกอีกครั้ง . จากนั้น ทรัมป์ซึ่งอยู่ในวัย 78 ปี จึงสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดขณะสาบานตนรับตำแหน่ง ได้เดินทางไปยังที่ชุมนุมของพวกผู้สนับสนุนเขา ณ สนามกีฬาในร่มแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเขาได้กล่าวปราศรัยในสไตล์หาเสียง ก่อนโยนปากกาที่ใช้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับในรอบแรกไปแล้วหมาดๆ ให้ฝูงชนที่อัดแน่นคอยต้อนรับเขา . ถัดมา ทรัมป์จึงได้เดินทางกลับไปยังทำเนียบในแบบผู้พิชิต 4 ปีหลังจากที่เขาต้องจากไปด้วยความเสื่อมเสียเกียรติ เป็นการเสร็จสิ้นครบถ้วนการหวนกลับคืนมาได้อย่างโดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของสหรัฐฯ . ณ ห้องทำงานรูปไข่ ของทำเนียบขาว ทรัมป์จัดให้มีการแถลงข่าวเป็นเวลาราว 50 นาทีโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า พร้อมกับลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการอภัยโทษผู้ก่อจลาจลราว 1,500 คนที่บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 เพื่อพยายามขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน . ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนติดกับเม็กซิโก และระบุว่า จะส่งทหารไปจัดการการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งเป็นประเด็นหาเสียงสำคัญที่ทำให้เขาชนะอดีตรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต . ทรัมป์ยังไฟเขียวให้ขยายการขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งยกเลิกกฎระเบียบที่ต้องการโน้มน้าวให้ผู้ขับขี่เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า . นอกจากนั้น เขาประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก และข้อตกลงปารีสที่นานาประเทศรวมทั้งอเมริกาให้สัญญาระบุเป้าหมายของตนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ . ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันผู้นี้แสดงการเชิดชูลัทธิชาตินิยม ด้วยการประกาศเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และขู่ยึดคลองปานานาคืนหลังจากยกสิทธิการควบคุมให้ปานามาตั้งแต่ปี 1999 โดยอ้างว่า จีนเป็นผู้ควบคุมคลองปานามาตัวจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงคือ บริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกงซึ่งชนะการประมูล ได้สิทธิเข้าบริหารดำเนินงานคลองสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ . ทรัมป์ยังประกาศว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์กที่เป็นสมาชิกนาโตเช่นเดียวกับอเมริกา ขณะที่รัสเซียเข้าไปดำเนินการในบริเวณดังกล่าวมากขึ้นหลังจากน้ำแข็งละลายอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ . อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ลดความขึงขังเรื่องยูเครนจากที่เคยสัญญาว่า จะผลักดันข้อตกลงสันติภาพให้ลุล่วงก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยชื่นชมก็มาวิจารณ์ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียว่า กำลังทำลายรัสเซียด้วยการไม่ยอมทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน โดยเขาอ้างอิงสถานะเศรษฐกิจและการสูญเสียในสนามรบของรัสเซีย แต่ยังคงยืนยันว่า จะพบปะหารือกับปูตินโดยเร็ว . ขณะเดียวกัน เมื่อผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวถามว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศอย่างที่ประกาศเอาไว้หรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า อาจจะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ และเมื่อถามถึงการขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโก ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ตอบว่า เล็งเรียกเก็บภาษีราว 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. เนื่องจากสองประเทศนี้ปล่อยให้มีผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมากแอบเดินทางเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งปล่อยให้มีการการขนส่งยาเสพติดเฟนทานิล เข้าสู่อเมริกา . ทั้งนี้ ตามรายละเอียดในบันทึกช่วยจำของประธานาธิบดีนั้น ทรัมป์สั่งให้กระทรวงการคลังและพาณิชย์ รวมถึงสำนักงานการค้าสหรัฐฯ ตรวจสอบความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติจากการขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาล พร้อมเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสม เช่น การเรียกเก็บภาษีศุลกากรทั่วโลกหรือนโยบายอื่นๆ เพื่อแก้ไขการขาดดุลการค้า . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006612 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1651 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้

    บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก

    บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena)

    บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต

    ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

    จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์”

    ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน

    นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ

    ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

    -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations)

    -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร

    -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

    -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป

    -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ

    -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

    ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena) บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์” ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่ ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 480 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ป๋าตั๊ม ให้ #อภัยโทษ #ผู้ต้องขังคดี
    #บุกทำเนียบรัฐสภา ประท้วงพ่ายแพ้
    #เลือกต้ม 4 ปีก่อน

    BREAKING: Trump pardons approximately 1,500 defendants charged in January 6, 2021 Capitol riot and commutes 6 sentences.
    #ป๋าตั๊ม ให้ #อภัยโทษ #ผู้ต้องขังคดี #บุกทำเนียบรัฐสภา ประท้วงพ่ายแพ้ #เลือกต้ม 4 ปีก่อน BREAKING: Trump pardons approximately 1,500 defendants charged in January 6, 2021 Capitol riot and commutes 6 sentences.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 374 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ให้สัญญาปิดฉากความตกต่ำนาน 4 ปีและนำอเมริกาสู่ยุคทอง ลั่นพร้อมเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งรวมถึงการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองนับล้าน และการปรับบทบาทใหม่ของอเมริกาในเวทีโลก
    .
    การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาอย่างผู้ชนะเต็มตัวของ “ดิสรัปเตอร์ทางการเมือง” ที่รอดจากการถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึงสองครั้ง รวมถึงการถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นยังเผชิญความพยายามในการลอบสังหารสองครั้ง และการถูกฟ้องร้องจากความพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
    .
    ทรัมป์ วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ใหม่แทนที่ โจ ไบเดน ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุมากที่สุดขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถัดจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (ปี 1885-1889 และปี1893-1897) ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่อง
    .
    พิธีสาบานตนกำหนดเริ่มต้นขึ้นเวลา 12.00 น. วันจันทร์ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน (ตรงกับเวลา เที่ยงคืน คืนวันจันทร์ ตามเวลาเมืองไทย) ภายในอาคารรัฐสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการจัดพิธีภายในอาคาร ทั้งนี้ เนื่องจากพยากรณ์อากาศระบุว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจัด
    .
    ก่อนหน้าที่พิธีจะเริ่มต้นหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางผู้สนับสนุนที่อัดแน่นในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน โดยให้สัญญาว่า จะปิดฉากความตกต่ำที่ดำเนินมานาน 4 ปี ซึ่งก็คือหมายถึงสมัยการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และเริ่มต้นอเมริกายุคใหม่ที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง รวมทั้งเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว
    .
    ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากในการปราศรัยนานหนึ่งชั่วโมงคราวนี้โฟกัสที่ปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของอเมริกาผู้นี้ ประกาศว่า จะหยุดยั้งการบุกรุกข้ามแดนและจัดการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองทันที
    .
    ทรัมป์สัญญาว่า จะใช้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนทางใต้ติดกับเม็กซิโก ยกเลิกนโยบาย “การตื่นรู้” ที่รวมถึง “ความบ้าคลั่งของการยอมรับคนข้ามเพศ” ในโรงเรียน ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เขาจะเซ็นประกาศใช้อำนาจฝ่ายบริหารถึงราว 200 ฉบับ
    .
    เขายังย้ำคำสัญญาในการเผยแพร่ไฟล์ข้อมูลการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และน้องชาย บ็อบบี้ เคนเนดี้ รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง
    .
    ทรัมป์สำทับว่า จะอภัยโทษผู้ต้องหาจำนวนมาก จากกว่า 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน
    .
    สำหรับทางด้านไบเดนเดินทางไปรัฐเซาท์แคโรไลนาเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา และกล่าวเรียกร้องให้คนอเมริกันเชื่อมั่นว่า วันที่ดีกว่านี้กำลังจะมาถึง พร้อมให้สัญญา “จะไม่ไปไหน” โดยไบเดนมีกำหนดกลับไปกรุงวอชิงตันเพื่อร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งให้ทรัมป์ที่เขาเคยตราหน้าว่า เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย อีกทั้งยังถือเป็นการ “ตบหน้า” ทรัมป์กลายๆ เนื่องจาก ทรัมป์นั้นไม่ยอมรับเลยว่าพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 และไม่ยอมร่วมพิธีสาบานตนของไบเดนในเดือนมกราคม 2021
    .
    ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียอีก ทรัมป์ก็แสดงบทบาทเข้าสู่กรณีระดับโลก หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยม ยกความดีความชอบว่า “ความชัดเจน” ของทรัมป์ทำให้ติ๊กต็อกกลับมาให้บริการอีกครั้งในอเมริกา หลังขึ้นจอดำนานหลายชั่วโมง
    .
    วันเดียวกันนั้น ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอล 3 คนภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่ทีมงานของทรัมป์มีส่วนร่วมผลักดันโดยทำงานร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของไบเดน
    .
    ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างมองการกลับมาของทรัมป์ ว่าจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้แล้วว่าเตรียมเขย่าระเบียบโลกอีกคำรบหนึ่ง ด้วยการให้สัญญาเก็บภาษีศุลกากรแบบเหวี่ยงแหจากทั้งประเทศอริอย่างเช่นจีน และประเทศที่เป็นมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนั้นเขายังข่มขู่เข้ายึดคลองปานานา กดดันให้แคนาดายอมถูกผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และบีบคั้นให้เดนมาร์กยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่สหรัฐฯ ตลอดจนตั้งข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือยูเครนของอเมริกา โดยที่มีแผนจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006227
    ..............
    Sondhi X
    ทรัมป์เตรียมสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ให้สัญญาปิดฉากความตกต่ำนาน 4 ปีและนำอเมริกาสู่ยุคทอง ลั่นพร้อมเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งรวมถึงการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองนับล้าน และการปรับบทบาทใหม่ของอเมริกาในเวทีโลก . การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาอย่างผู้ชนะเต็มตัวของ “ดิสรัปเตอร์ทางการเมือง” ที่รอดจากการถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึงสองครั้ง รวมถึงการถูกศาลตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงหนึ่งครั้ง นอกจากนั้นยังเผชิญความพยายามในการลอบสังหารสองครั้ง และการถูกฟ้องร้องจากความพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ . ทรัมป์ วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ใหม่แทนที่ โจ ไบเดน ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอายุมากที่สุดขณะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ถัดจากโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (ปี 1885-1889 และปี1893-1897) ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่อง . พิธีสาบานตนกำหนดเริ่มต้นขึ้นเวลา 12.00 น. วันจันทร์ตามเวลาในกรุงวอชิงตัน (ตรงกับเวลา เที่ยงคืน คืนวันจันทร์ ตามเวลาเมืองไทย) ภายในอาคารรัฐสภา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการจัดพิธีภายในอาคาร ทั้งนี้ เนื่องจากพยากรณ์อากาศระบุว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจัด . ก่อนหน้าที่พิธีจะเริ่มต้นหนึ่งวัน ทรัมป์ได้ไปกล่าวปราศรัยท่ามกลางผู้สนับสนุนที่อัดแน่นในสนามกีฬาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน โดยให้สัญญาว่า จะปิดฉากความตกต่ำที่ดำเนินมานาน 4 ปี ซึ่งก็คือหมายถึงสมัยการเป็นประธานาธิบดีของโจ ไบเดน และเริ่มต้นอเมริกายุคใหม่ที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง รวมทั้งเริ่มทำงาน “รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์” เพื่อแก้ไขทุกวิกฤตที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่นับจากวันแรกที่กลับสู่ทำเนียบขาว . ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากในการปราศรัยนานหนึ่งชั่วโมงคราวนี้โฟกัสที่ปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของอเมริกาผู้นี้ ประกาศว่า จะหยุดยั้งการบุกรุกข้ามแดนและจัดการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าเมืองทันที . ทรัมป์สัญญาว่า จะใช้อำนาจฝ่ายบริหารตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติบริเวณชายแดนทางใต้ติดกับเม็กซิโก ยกเลิกนโยบาย “การตื่นรู้” ที่รวมถึง “ความบ้าคลั่งของการยอมรับคนข้ามเพศ” ในโรงเรียน ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เขาจะเซ็นประกาศใช้อำนาจฝ่ายบริหารถึงราว 200 ฉบับ . เขายังย้ำคำสัญญาในการเผยแพร่ไฟล์ข้อมูลการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ และน้องชาย บ็อบบี้ เคนเนดี้ รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง . ทรัมป์สำทับว่า จะอภัยโทษผู้ต้องหาจำนวนมาก จากกว่า 1,500 คนที่เกี่ยวข้องกับการบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 เพื่อขัดขวางการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของไบเดน . สำหรับทางด้านไบเดนเดินทางไปรัฐเซาท์แคโรไลนาเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา และกล่าวเรียกร้องให้คนอเมริกันเชื่อมั่นว่า วันที่ดีกว่านี้กำลังจะมาถึง พร้อมให้สัญญา “จะไม่ไปไหน” โดยไบเดนมีกำหนดกลับไปกรุงวอชิงตันเพื่อร่วมพิธีส่งมอบตำแหน่งให้ทรัมป์ที่เขาเคยตราหน้าว่า เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย อีกทั้งยังถือเป็นการ “ตบหน้า” ทรัมป์กลายๆ เนื่องจาก ทรัมป์นั้นไม่ยอมรับเลยว่าพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 และไม่ยอมร่วมพิธีสาบานตนของไบเดนในเดือนมกราคม 2021 . ตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเสียอีก ทรัมป์ก็แสดงบทบาทเข้าสู่กรณีระดับโลก หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยม ยกความดีความชอบว่า “ความชัดเจน” ของทรัมป์ทำให้ติ๊กต็อกกลับมาให้บริการอีกครั้งในอเมริกา หลังขึ้นจอดำนานหลายชั่วโมง . วันเดียวกันนั้น ฮามาสปล่อยตัวประกันอิสราเอล 3 คนภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาที่ทีมงานของทรัมป์มีส่วนร่วมผลักดันโดยทำงานร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารของไบเดน . ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต่างมองการกลับมาของทรัมป์ ว่าจะต้องเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยที่ทรัมป์ประกาศเอาไว้แล้วว่าเตรียมเขย่าระเบียบโลกอีกคำรบหนึ่ง ด้วยการให้สัญญาเก็บภาษีศุลกากรแบบเหวี่ยงแหจากทั้งประเทศอริอย่างเช่นจีน และประเทศที่เป็นมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนั้นเขายังข่มขู่เข้ายึดคลองปานานา กดดันให้แคนาดายอมถูกผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และบีบคั้นให้เดนมาร์กยอมขายเกาะกรีนแลนด์แก่สหรัฐฯ ตลอดจนตั้งข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือยูเครนของอเมริกา โดยที่มีแผนจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว และบีบให้ยูเครนยอมสละดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006227 .............. Sondhi X
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1175 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อภัยโทษฉ่ำๆจนวันสุดท้าย"

    โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งอภัยโทษ
    - พลเอก มาร์ก มิลลีย์ อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ
    - ดร. แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐและหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

    นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่อีกหลายรายที่ได้รับการอภัยโทษครั้งนี้

    ภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีมีอำนาจอภัยโทษล่วงหน้า แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก แต่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    "อภัยโทษฉ่ำๆจนวันสุดท้าย" โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งอภัยโทษ - พลเอก มาร์ก มิลลีย์ อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ - ดร. แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐและหัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่อีกหลายรายที่ได้รับการอภัยโทษครั้งนี้ ภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีมีอำนาจอภัยโทษล่วงหน้า แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก แต่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สนธิ”กับ‘วันชัย สอนศิริ ’มาตรฐานต่างกัน
    ราว “พญาเหยี่ยว”กับ‘นกกระจอก’
    .
    เรื่องของผม สนธิ ลิ้มทองกุลกับคุณวันชัย สอนศิริ ผมกลับมานอนคิดสะระตะแล้ว เฮ้ย! ความผิดอยู่ที่เรานี่หว่า ผมพลาดไปเองที่ใช้มาตรฐานผมเป็นตัวตั้ง แล้วผมก็หวังว่าคุณคงจะมีมาตรฐานเหมือนผม นี่คือข้อผิดพลาดในชีวิตของผม ผมเพิ่งจะรู้ว่ามาตรฐานของคุณกับผมมันห่างกันเหลือเกินเป็นพันๆ ลี้ อุปมาอุปไมยผมเหมือนพญาเหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่คุณคือนกกระจอก นกกระจิบ ที่บินอยู่ข้างล่าง หากินกับไส้เดือนบนพื้นดิน
    .
    มาตรฐานของผมคือ “อะไรที่ถูกต้อง ผมไม่ถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว” จนวันนี้ก็ยังไม่ถอย ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง จากวันนั้นถึงวันนี้ผมไม่เคยเปลี่ยน และผมยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
    .
    หลักการตรงนี้อยู่ติดตัวผมมานานแล้ว มาจนกระทั่งทุกวันนี้ที่ผมสนับสนุนและส่งเสริมให้อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำเรื่องน้องแตงโมนั้น ก็เพราะว่าหลักการของสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ ให้ประชาชนได้รับรู้อีกด้านหนึ่ง
    .
    คุณวันชัย คุณรู้หรือเปล่าว่าผมสู้มาตั้งแต่ปี 2548 ยี่สิบปีแล้วที่ผมออกมาสู้ มาถึงวันนี้ ฝนตก แดดออก พายุเข้า พอทุกอย่างฟ้าใสแจ้งจางปาง พระอาทิตย์ออก ประชาชนเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่คุณวันชัยต้องยอมรับกับผมนะว่า ประเทศไทยมีคนอยู่ไม่น้อยเลยที่ยอมเสียหลักการของตัวเอง เพื่อเลียคนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ผมไม่ทราบว่าคุณวันชัย เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่า
    .
    ชีวิตผมอยู่ได้ด้วยความไม่กลัว ความกลัวคือความเสื่อม แล้วอีกอันหนึ่งที่ผมอยู่ได้เพราะ ธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ผมที่คุณดูถูก เยาะเย้ย เหยียดหยามหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า “สนธิ ธรรมชนะอธรรม ชนะอวิชชา ธรรมจะใช้เวลานิดหนึ่ง” เหมือนกับที่ผมต้องใช้เวลาถึง 17 ปี ผมและพันธมิตรฯ ทุกคนถึงได้รับการนิรโทษกรรมทางใจว่าพวกผมสู้มาไม่ผิด แต่ต้องรอตั้ง 17 ปี กว่า "ธรรม" ที่หลวงตามหาบัวสอนผมมาเป็นความจริง พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ธรรมนำหน้าของผมที่ต่อสู้กับเจ้านายคุณ คือทักษิณ ชินวัตรนั้น เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก เพราะนายคุณยอมรับสารภาพในราชกิจจานุเบกษาว่าได้ทำผิดจริง ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวงจริง 1..2..3..4.. ถึงโดนโทษจำคุก 8 ปี แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว
    .
    ผมเป็นคนเชื่อในหลักนิติธรรม และผมเคารพในหลักนิติธรรม ไม่ยอมปฏิเสธ ไม่หลบหนี มาตรฐานของผมบอกว่า ขนาดผมยังยอมเดินเข้าคุก ไม่หนี ติดคุกอยู่ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน แล้วได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา เนื่องในวาระของราชาภิเษก ให้รัชกาลที่ 10 ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ตอนนั้น ของผมถูกต้องตามระเบียบทุกประการ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คุณวันชัยครับ เผอิญว่านี่ก็คือมาตรฐานของผมอย่างหนึ่งเช่นกัน ยี่สิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเรียกร้องตำแหน่ง ผมไม่เคยต้องไปเลียรองเท้าของนายพลต่างๆ เพื่อให้นายพลตั้งตัวเองเป็น สว. พอเริ่มรู้ว่าตัวเองจะหมดอำนาจแล้วตั้งแต่สิงหาคม ก็เริ่มเลียการเมือง ผมไม่ได้พูดถึงใครนะครับคุณวันชัย อย่าเดือดร้อน
    .
    เพราะฉะนั้นแล้ว คุณจะไปตกลงอะไรกับทักษิณ ชินวัตร คุณตอบผมสักคำได้ไหมว่า นายใหม่คุณ เจ้าของคอกหมา ซึ่งคุณเข้าไปในคอกนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำอะไรให้บ้างตั้งแต่เขากลับมา นอกจากสร้างความวุ่นวายในเรื่องหลักนิติธรรมให้วุ่นวายทั่วประเทศ วิสัยทัศน์เขามีอะไร นอกจากการพนัน ตั้งบ่อนกาสิโน นอกจากแจกเงิน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ที่คุณบอกเป็นนารีกู้แผ่นดิน คุณวันชัยครับ ประชาชนเขาหัวเราะขำคำว่า "นารีกู้แผ่นดิน" ของคุณ
    .
    คุณวันชัย คุณเป็นทนาย คุณก็รู้ว่าในศาลเขาแพ้ชนะกันที่ประจักษ์พยานไม่ใช่หรือ แล้วคุณจะมาว่าผมสร้างความวุ่นวายได้อย่างไร ตัววุ่นวายคือนายคุณ ที่สร้างความวุ่นวาย แล้วคุณก็เป็นลูกคู่ที่เข้าไปช่วยทำให้ความวุ่นวายนั้นมันวุ่นวายมากขึ้น
    .
    มาตรฐานผม ผมไม่เคยถอย คุณบอกคุณเป็นนักเลง นักเลงกล้าได้กล้าเสีย แต่ผมเป็นนักเลงโบราณซึ่งนักเลงทั่วๆไปไม่มี คือผมเป็นคนที่มีสัจจะที่มีคนเชื่อผมเป็นแสนๆเป็นล้านคนทุกวันนี้ คุณไม่ต้องท้าผม ถึงเวลา ถ้าจำเป็น ผมจะลงถนนแน่นอน ผมจะลงถนนแน่นอน ถ้าการกระทำของรัฐบาลนี้ส่อให้เกิดการสูญเสียอธิปไตยของประเทศ ผมพร้อมเสมอ อย่ามาบอกว่าเดี๋ยวนี้ผมเรียกคนไม่ได้ คุณจะลองมั้ย ถึงวันนั้นแล้วคุณอย่าเสียใจนะว่าคุณปากไม่ดี พูดไม่ดี คุณวันชัย อยากจะพล่ามอะไรก็พล่าม เพราะคุณจำเป็นต้องพล่ามให้มากๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นายคุณ ว่าผมทำงานให้แล้วนะ ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลถ้ามี ตั้งผมหน่อย
    .
    คุณจำไว้อย่างนะคุณวันชัย ผมไม่เคยเลียแข้งเลียขาใครเพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่ง อย่างเช่นเป็น สว. ไม่เคย ให้ตายสิ พอผมพูดถึงคุณแล้ว เขาหัวเราะกัน ประพันธ์ คูณมีบอกว่า พี่อย่าไปสนใจเลยไอ้คนประเภทนี้ คุณวันชัย เชิญคุณตามสบาย จะยั่วยุอย่างไร ยั่วยุไม่สำเร็จหรอก เพราะคุณกับผมมันคนละมาตรฐานกัน
    “สนธิ”กับ‘วันชัย สอนศิริ ’มาตรฐานต่างกัน ราว “พญาเหยี่ยว”กับ‘นกกระจอก’ . เรื่องของผม สนธิ ลิ้มทองกุลกับคุณวันชัย สอนศิริ ผมกลับมานอนคิดสะระตะแล้ว เฮ้ย! ความผิดอยู่ที่เรานี่หว่า ผมพลาดไปเองที่ใช้มาตรฐานผมเป็นตัวตั้ง แล้วผมก็หวังว่าคุณคงจะมีมาตรฐานเหมือนผม นี่คือข้อผิดพลาดในชีวิตของผม ผมเพิ่งจะรู้ว่ามาตรฐานของคุณกับผมมันห่างกันเหลือเกินเป็นพันๆ ลี้ อุปมาอุปไมยผมเหมือนพญาเหยี่ยวที่บินอยู่บนท้องฟ้า แต่คุณคือนกกระจอก นกกระจิบ ที่บินอยู่ข้างล่าง หากินกับไส้เดือนบนพื้นดิน . มาตรฐานของผมคือ “อะไรที่ถูกต้อง ผมไม่ถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว” จนวันนี้ก็ยังไม่ถอย ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง จากวันนั้นถึงวันนี้ผมไม่เคยเปลี่ยน และผมยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ . หลักการตรงนี้อยู่ติดตัวผมมานานแล้ว มาจนกระทั่งทุกวันนี้ที่ผมสนับสนุนและส่งเสริมให้อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทำเรื่องน้องแตงโมนั้น ก็เพราะว่าหลักการของสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ ให้ประชาชนได้รับรู้อีกด้านหนึ่ง . คุณวันชัย คุณรู้หรือเปล่าว่าผมสู้มาตั้งแต่ปี 2548 ยี่สิบปีแล้วที่ผมออกมาสู้ มาถึงวันนี้ ฝนตก แดดออก พายุเข้า พอทุกอย่างฟ้าใสแจ้งจางปาง พระอาทิตย์ออก ประชาชนเห็นว่าผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่คุณวันชัยต้องยอมรับกับผมนะว่า ประเทศไทยมีคนอยู่ไม่น้อยเลยที่ยอมเสียหลักการของตัวเอง เพื่อเลียคนที่มีอำนาจเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ผมไม่ทราบว่าคุณวันชัย เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่า . ชีวิตผมอยู่ได้ด้วยความไม่กลัว ความกลัวคือความเสื่อม แล้วอีกอันหนึ่งที่ผมอยู่ได้เพราะ ธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ผมที่คุณดูถูก เยาะเย้ย เหยียดหยามหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า “สนธิ ธรรมชนะอธรรม ชนะอวิชชา ธรรมจะใช้เวลานิดหนึ่ง” เหมือนกับที่ผมต้องใช้เวลาถึง 17 ปี ผมและพันธมิตรฯ ทุกคนถึงได้รับการนิรโทษกรรมทางใจว่าพวกผมสู้มาไม่ผิด แต่ต้องรอตั้ง 17 ปี กว่า "ธรรม" ที่หลวงตามหาบัวสอนผมมาเป็นความจริง พิสูจน์ให้เห็นว่าการใช้ธรรมนำหน้าของผมที่ต่อสู้กับเจ้านายคุณ คือทักษิณ ชินวัตรนั้น เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก เพราะนายคุณยอมรับสารภาพในราชกิจจานุเบกษาว่าได้ทำผิดจริง ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวงจริง 1..2..3..4.. ถึงโดนโทษจำคุก 8 ปี แต่ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว . ผมเป็นคนเชื่อในหลักนิติธรรม และผมเคารพในหลักนิติธรรม ไม่ยอมปฏิเสธ ไม่หลบหนี มาตรฐานของผมบอกว่า ขนาดผมยังยอมเดินเข้าคุก ไม่หนี ติดคุกอยู่ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน แล้วได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา เนื่องในวาระของราชาภิเษก ให้รัชกาลที่ 10 ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ตอนนั้น ของผมถูกต้องตามระเบียบทุกประการ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น คุณวันชัยครับ เผอิญว่านี่ก็คือมาตรฐานของผมอย่างหนึ่งเช่นกัน ยี่สิบปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเรียกร้องตำแหน่ง ผมไม่เคยต้องไปเลียรองเท้าของนายพลต่างๆ เพื่อให้นายพลตั้งตัวเองเป็น สว. พอเริ่มรู้ว่าตัวเองจะหมดอำนาจแล้วตั้งแต่สิงหาคม ก็เริ่มเลียการเมือง ผมไม่ได้พูดถึงใครนะครับคุณวันชัย อย่าเดือดร้อน . เพราะฉะนั้นแล้ว คุณจะไปตกลงอะไรกับทักษิณ ชินวัตร คุณตอบผมสักคำได้ไหมว่า นายใหม่คุณ เจ้าของคอกหมา ซึ่งคุณเข้าไปในคอกนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำอะไรให้บ้างตั้งแต่เขากลับมา นอกจากสร้างความวุ่นวายในเรื่องหลักนิติธรรมให้วุ่นวายทั่วประเทศ วิสัยทัศน์เขามีอะไร นอกจากการพนัน ตั้งบ่อนกาสิโน นอกจากแจกเงิน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ที่คุณบอกเป็นนารีกู้แผ่นดิน คุณวันชัยครับ ประชาชนเขาหัวเราะขำคำว่า "นารีกู้แผ่นดิน" ของคุณ . คุณวันชัย คุณเป็นทนาย คุณก็รู้ว่าในศาลเขาแพ้ชนะกันที่ประจักษ์พยานไม่ใช่หรือ แล้วคุณจะมาว่าผมสร้างความวุ่นวายได้อย่างไร ตัววุ่นวายคือนายคุณ ที่สร้างความวุ่นวาย แล้วคุณก็เป็นลูกคู่ที่เข้าไปช่วยทำให้ความวุ่นวายนั้นมันวุ่นวายมากขึ้น . มาตรฐานผม ผมไม่เคยถอย คุณบอกคุณเป็นนักเลง นักเลงกล้าได้กล้าเสีย แต่ผมเป็นนักเลงโบราณซึ่งนักเลงทั่วๆไปไม่มี คือผมเป็นคนที่มีสัจจะที่มีคนเชื่อผมเป็นแสนๆเป็นล้านคนทุกวันนี้ คุณไม่ต้องท้าผม ถึงเวลา ถ้าจำเป็น ผมจะลงถนนแน่นอน ผมจะลงถนนแน่นอน ถ้าการกระทำของรัฐบาลนี้ส่อให้เกิดการสูญเสียอธิปไตยของประเทศ ผมพร้อมเสมอ อย่ามาบอกว่าเดี๋ยวนี้ผมเรียกคนไม่ได้ คุณจะลองมั้ย ถึงวันนั้นแล้วคุณอย่าเสียใจนะว่าคุณปากไม่ดี พูดไม่ดี คุณวันชัย อยากจะพล่ามอะไรก็พล่าม เพราะคุณจำเป็นต้องพล่ามให้มากๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นายคุณ ว่าผมทำงานให้แล้วนะ ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลถ้ามี ตั้งผมหน่อย . คุณจำไว้อย่างนะคุณวันชัย ผมไม่เคยเลียแข้งเลียขาใครเพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่ง อย่างเช่นเป็น สว. ไม่เคย ให้ตายสิ พอผมพูดถึงคุณแล้ว เขาหัวเราะกัน ประพันธ์ คูณมีบอกว่า พี่อย่าไปสนใจเลยไอ้คนประเภทนี้ คุณวันชัย เชิญคุณตามสบาย จะยั่วยุอย่างไร ยั่วยุไม่สำเร็จหรอก เพราะคุณกับผมมันคนละมาตรฐานกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 645 มุมมอง 0 รีวิว
  • โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้บุคคลต่างๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เตรียมหวนคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคมนี้
    .
    "มันยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการตัดสินใจ" ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ตอบคำถามหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนิรโทษกรรมล่วงหน้า
    .
    ไบเดน ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความกังวลที่โผล่ขึ้นมาภายในพรรคเดโมแครต ตามหลังผลงานการดีเบตกับทรัมป์ ที่ก่อความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรค ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปรับรองแฮร์ริส แต่ว่าเธอก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้ทรัมป์
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงถึงเจตนาจะเอาผิดกับทุกคนที่เขามองเป็นศัตรู "ในนั้นรวมถึงแฮร์ริส และโจ ไบเดน บุคคลที่เขามองว่าเป็นประธานาธิบดีคอร์รัปชันเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงครอบครัวอาชญากรของเขาด้วย"
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวิพากษ์วิจารณ์ไบเดน สำหรับกรณีนิรโทษกรรมให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายตนเองในเดือนธันวาคม กลับลำจากที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนนั้น ทั้งนี้ ไบเดน อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ แม้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน และศาลมีกำหนดตัดสินระวางโทษในเดือนธันวาคม
    .
    ทรัมป์ เรียกการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็น "การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม" และหยิบยกเรื่องนี้พาดพิงถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาที่ถูกจำคุกฐานก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 "การนิรโทษกรรมที่ไบเดนมอบให้ฮันเตอร์ ได้นับรวมกลุ่ม J-6 Hostages ด้วยหรือเปล่า เวลานี้พวกเขาถูกคุมขังมานานหลายปีแล้ว มันเป็นการละเมิดและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม!" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล
    .
    นอกจากนี้ ว่าที่ประธานาธิบดียังเรียกร้องให้สืบสวนอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และลิซ เชนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาตลอด
    .
    ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ขู่ดำเนินคดีอย่างที่ไม่มีมาก่อน กับบุคคลต่างๆ ที่เขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้ง "ขอให้ทราบว่าความเสี่ยงถูกดำเนินการทางกฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงพวกทนายความ พวกผู้ใช้อุบายในทางการเมือง บรรดาผู้บริจาค ผู้ใช้สิทธิใช้เสียงแบบผิดกฎหมายและพวกเจ้าหน้าที่เลือกตั้งที่คอร์รัปชัน" ทรัมป์โพสต์บนทรัสต์โซเชียล หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางในปี 2020
    .
    ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำเมื่อปีที่แล้ว ว่าเขาจะไล่ออก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลการสืบสวนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากรีพับลิกันรายนี้ จนกระทั่ง สมิธ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.)
    .
    เมื่อถามว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้ตนเองหรือไม่ ทาง ไบเดน ปฏิเสธความคิดนี้ โดยบอกว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"
    .
    มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีอาจมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำผิดใดๆ ตามกฎหมายรัฐบาลกลางในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งยังไม่ถูกยื่นฟ้องดำเนินคดีก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่สามารถใช้กับความผิดทางอาญาตามกฎหมายในแต่ละรัฐหรือความผิดใดๆ ในอนาคต
    .
    ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่ารูปแบบการนิรโทษกรรมที่ไบเดนกำลังพิจารณาอยู่นั้น น่าจะเป็นการนิรโทษกรรมภายใต้ขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดี
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003513
    ..............
    Sondhi X
    โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังพิจารณาประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าให้บุคคลต่างๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . ทรัมป์ ซึ่งเอาชนะ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 เตรียมหวนคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคมนี้ . "มันยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการตัดสินใจ" ไบเดน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) ตอบคำถามหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะนิรโทษกรรมล่วงหน้า . ไบเดน ถอนตัวจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางความกังวลที่โผล่ขึ้นมาภายในพรรคเดโมแครต ตามหลังผลงานการดีเบตกับทรัมป์ ที่ก่อความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรค ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปรับรองแฮร์ริส แต่ว่าเธอก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งให้ทรัมป์ . ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงถึงเจตนาจะเอาผิดกับทุกคนที่เขามองเป็นศัตรู "ในนั้นรวมถึงแฮร์ริส และโจ ไบเดน บุคคลที่เขามองว่าเป็นประธานาธิบดีคอร์รัปชันเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา รวมถึงครอบครัวอาชญากรของเขาด้วย" . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวิพากษ์วิจารณ์ไบเดน สำหรับกรณีนิรโทษกรรมให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายตนเองในเดือนธันวาคม กลับลำจากที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนนั้น ทั้งนี้ ไบเดน อภัยโทษให้ ฮันเตอร์ แม้ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน และศาลมีกำหนดตัดสินระวางโทษในเดือนธันวาคม . ทรัมป์ เรียกการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็น "การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม" และหยิบยกเรื่องนี้พาดพิงถึงบรรดาผู้สนับสนุนของเขาที่ถูกจำคุกฐานก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 "การนิรโทษกรรมที่ไบเดนมอบให้ฮันเตอร์ ได้นับรวมกลุ่ม J-6 Hostages ด้วยหรือเปล่า เวลานี้พวกเขาถูกคุมขังมานานหลายปีแล้ว มันเป็นการละเมิดและบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม!" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล . นอกจากนี้ ว่าที่ประธานาธิบดียังเรียกร้องให้สืบสวนอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และลิซ เชนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์มาตลอด . ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ทรัมป์ขู่ดำเนินคดีอย่างที่ไม่มีมาก่อน กับบุคคลต่างๆ ที่เขากล่าวหาว่าโกงเลือกตั้ง "ขอให้ทราบว่าความเสี่ยงถูกดำเนินการทางกฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงพวกทนายความ พวกผู้ใช้อุบายในทางการเมือง บรรดาผู้บริจาค ผู้ใช้สิทธิใช้เสียงแบบผิดกฎหมายและพวกเจ้าหน้าที่เลือกตั้งที่คอร์รัปชัน" ทรัมป์โพสต์บนทรัสต์โซเชียล หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้งอย่างกว้างขวางในปี 2020 . ทรัมป์ ยังได้เน้นย้ำเมื่อปีที่แล้ว ว่าเขาจะไล่ออก แจ็ค สมิธ ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลการสืบสวนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากรีพับลิกันรายนี้ จนกระทั่ง สมิธ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันศุกร์ (10 ม.ค.) . เมื่อถามว่าเขาจะนิรโทษกรรมให้ตนเองหรือไม่ ทาง ไบเดน ปฏิเสธความคิดนี้ โดยบอกว่า "ผมไม่ได้ทำอะไรผิด" . มีความเป็นไปได้ว่าประธานาธิบดีอาจมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะประกาศนิรโทษกรรมล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง ต่อการกระทำผิดใดๆ ตามกฎหมายรัฐบาลกลางในอดีตที่ผ่านมา แม้กระทั่งยังไม่ถูกยื่นฟ้องดำเนินคดีก็ตาม อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่สามารถใช้กับความผิดทางอาญาตามกฎหมายในแต่ละรัฐหรือความผิดใดๆ ในอนาคต . ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่ารูปแบบการนิรโทษกรรมที่ไบเดนกำลังพิจารณาอยู่นั้น น่าจะเป็นการนิรโทษกรรมภายใต้ขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดี . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003513 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1448 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11 มกราคม 2568-รายงานพิเศษของเว็บไซต์ The Structure เกี่ยวกับประเด็นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โดยรศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ได้สะท้อนภาพจากเหตุการณ์ลอบสังหาร “ลิม กิมยา”กลางกรุงเทพมหานครว่า เกิดอะไรขึ้น กับประเทศไทย? ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ ลอบสังหาร ‘ลิม กินยา’ กลางกรุงเทพมหานคร
    On 2025-01-10
    สืบเนื่องจากกรณีการลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกลอบยิงที่บริเวณเกาะกลางถนน วงเวียนสิบสามห้าง ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ม.ค. 2568

    ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย สามารถระบุตัวคนร้ายจนพบว่าเป็นจ่าเอ็ม-เอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารนาวิกโยธินของไทย ซึ่งถูกให้ออกจากราชการไปตั้งแต่ปี 2566 แล้ว และสามารถตามจับตัวจ่าเอ็มได้ที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ในช่วงค่ำวันที่ 8 ม.ค. 2568

    และในเวลานี้ จ่าเอ็มยังอยู่ในระหว่างการควบคุมตัวเพื่อสอบสวนของทางการกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจะมีการดำเนินคดีกับจ่าเอ็มในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก่อน

    รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ได้กล่าวว่ากรณีนี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดช่องว่าง หรืออุปสรรค์ในการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงของไทย ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตำรวจสันติบาล, ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, สำนักข่าวกรอง หรือแม้แต่สภาความมั่นคงเอง

    ที่อาจจะต้องทำงานให้สอดประสานกันเพื่อการกำหนดแนวทางการคุ้มกันบุคคลสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีการกำหนดหลักปฎิบัติ หรือระเบียบปฎิบัติประจำ (รปจ.) อยู่แล้ว

    แต่สำหรับกรณีนี้ ถึงแม้ว่าตัวผู้ถูกลอบสังหารจะไม่ได้ทำการร้องขอการคุ้มกันจากฝ่ายไทย จึงทำให้การจัดชุดรักษาความปลอดภัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ในเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ลิม กินยานั้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจจะถูกคุกคาม จนมีความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย

    หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจส่งชุดรักษาความปลอดภัยไปดูแลลิม กินยา ตั้งแต่เข้าเมือง หรืออาจจะปฎิเสธการให้เข้าเมืองตั้งแต่แรกเลยก็ทำได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าอาจจะคุ้มครองเขาไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทางการไทยนั้นมีประสบการณ์ในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านมามากพอสมควร ไม่ว่าจะจากลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และเมียนมา ไทยก็เคยให้การดูแลคุ้มกันมาแล้ว

    ทางการไทยจะต้องมีการดำเนินการเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ว่าเป็นพื้นที่สังหารบุคคลสำคัญ, ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว หรือมีการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธต่าง ๆ โดยมีการใช้คนไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องดูแลกันให้ดี

    สำหรับแนวทางในการนำตัวจ่าเอ็ม ผู้ก่อเหตุกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่

    1 การดำเนินการตามช่องทางปกติ โดยจะต้องมีการดำเนินคดีในฝั่งกัมพูชาก่อนสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะมีการพิจารณาลงโทษ-ลดโทษ-อภัยโทษ แล้วส่งคืนมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่อาจจะมีการกล่าวโทษในคดีอื่นเพิ่มเช่น พกพาอาวุธ และความมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานและสร้างความคลุมเครือ

    2 การดำเนินการในช่องทางพิเศษ ด้วยวิธีต่างตอบแทน โดยการแลกตัว หรือร้องขอให้ทางกัมพูชาส่งตัวผู้ก่อเหตุให้มาถูกดำเนินคดีในไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และต้องพิจารณาความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะว่าเรื่องนี้นั้นจะเป็นการสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ หรือเรื่องราวมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด

    แต่ทั้งนี้นั้น ควรจะต้องมีการดำเนินการผ่านกลไกของอาเซียน และตำรวจสากล ที่มีข้อตกลงที่ค่อนข้างชัดเจน และเป็นทางการ แทนการใช้ระบบต่างตอบแทน เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือห่างเหินระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศในบางสมัย ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ผ่านทางอาเซียน

    สำหรับคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการคุ้มครองผู้เห็นต่างทางการเมืองจากประเทศอื่นที่เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยหรือไม่ รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่า ในบางช่วงประเทศไทยก็มีขีดความสามารถในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ดี

    ไทยเคยสามารถจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้หลายครั้ง อย่างกรณี “ฮัม บาลี” ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ วิกเตอร์ บุช ผู้ค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย และมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางได้ และได้รับความชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก

    อีกทั้งยังเคยสามารถสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยเข้าประเทศ อย่างเช่นกลุ่มจากประเทศเกาหลีเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อกว่า 30 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดี แต่บางครั้งเราก็มีปัญหา ซึ่งในภาพรวมแล้วเราควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก และกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

    สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชากล่าวหาฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่าเรื่องนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการกระทบในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    แต่ทั้งนี้การที่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านกล่าวหาพุ่งเป้าใส่กัน โดยมีการดึงประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย อีกทั้งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้ทำเรื่องร้องขอให้มีการส่งตัวนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา เช่น สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชากลับ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทางการไทยส่งตัวกลับ และไม่ส่งตัวกลับ

    ดังนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และหน่วยงานราชการไทย และฝ่ายความมั่นคงนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี

    แต่ทั้งนี้ไทยต้องดำเนินการป้องกันให้มากกว่านี้ เพื่อการป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับลาว, เมียนมา และมาเลเซียด้วย

    นอกจากนี้ ทางการไทยเองก็มีการดำเนินการขอตัวแกนนำสั่งการต่าง ๆ ที่อยู่ในมาเลเซีย มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางกรณีมีการเสียชีวิตในระหว่างทาง ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทยไปมากกว่านี้

    สำหรับการสืบสาวหาต้นตอ/ขบวนการ/ผู้จ้างวาน ให้มีการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนัก เพราะทราบมาว่าฝ่ายนั้นมีการดำเนินการสื่อสารผ่านระบบสมัยใหม่ ซึ่งทางเราสามารถดักจับ และบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของเรา

    ดังนั้นการดำเนินการสืบค้นเพื่อเอาหลักฐานเหล่านั้นมาพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางกัมพูชาด้วย

    อย่างไรก็ดี การที่ลิม กินยานั้น เป็นผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วยนั้น ทำให้ฝรั่งเศส, สหภาพยุโรป และนานาชาติต่างก็จับตาดูกรณีนี้เป็นพิเศษ และก็คงจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของลิม กินยา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และอาจจะเข้ามาร่วมประสานงานกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น

    (ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการติดตามการสืบสวนของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้)

    ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องมีการตั้งชุดทำงานขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ และในขณะนี้เกิดความแปรปรวนขึ้นพอสมควร เนื่องจากเกิดความเชื่อหลายอย่างขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
    11 มกราคม 2568-รายงานพิเศษของเว็บไซต์ The Structure เกี่ยวกับประเด็นเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โดยรศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ได้สะท้อนภาพจากเหตุการณ์ลอบสังหาร “ลิม กิมยา”กลางกรุงเทพมหานครว่า เกิดอะไรขึ้น กับประเทศไทย? ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ สะท้อนภาพที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ ลอบสังหาร ‘ลิม กินยา’ กลางกรุงเทพมหานคร On 2025-01-10 สืบเนื่องจากกรณีการลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party) และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ถูกลอบยิงที่บริเวณเกาะกลางถนน วงเวียนสิบสามห้าง ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ม.ค. 2568 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทย สามารถระบุตัวคนร้ายจนพบว่าเป็นจ่าเอ็ม-เอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารนาวิกโยธินของไทย ซึ่งถูกให้ออกจากราชการไปตั้งแต่ปี 2566 แล้ว และสามารถตามจับตัวจ่าเอ็มได้ที่จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา ในช่วงค่ำวันที่ 8 ม.ค. 2568 และในเวลานี้ จ่าเอ็มยังอยู่ในระหว่างการควบคุมตัวเพื่อสอบสวนของทางการกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาจะมีการดำเนินคดีกับจ่าเอ็มในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก่อน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง ได้กล่าวว่ากรณีนี้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าได้เกิดช่องว่าง หรืออุปสรรค์ในการรักษาความปลอดภัยของฝ่ายความมั่นคงของไทย ทั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ตำรวจสันติบาล, ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ, สำนักข่าวกรอง หรือแม้แต่สภาความมั่นคงเอง ที่อาจจะต้องทำงานให้สอดประสานกันเพื่อการกำหนดแนวทางการคุ้มกันบุคคลสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีการกำหนดหลักปฎิบัติ หรือระเบียบปฎิบัติประจำ (รปจ.) อยู่แล้ว แต่สำหรับกรณีนี้ ถึงแม้ว่าตัวผู้ถูกลอบสังหารจะไม่ได้ทำการร้องขอการคุ้มกันจากฝ่ายไทย จึงทำให้การจัดชุดรักษาความปลอดภัยนั้นอาจจะทำได้ไม่เต็มที่ แต่ในเมื่อพิจารณาดูแล้วว่า ลิม กินยานั้นเป็นเป้าหมายสำคัญที่อาจจะถูกคุกคาม จนมีความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจส่งชุดรักษาความปลอดภัยไปดูแลลิม กินยา ตั้งแต่เข้าเมือง หรืออาจจะปฎิเสธการให้เข้าเมืองตั้งแต่แรกเลยก็ทำได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าอาจจะคุ้มครองเขาไม่ได้ ซึ่งกรณีนี้จะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ทางการไทยนั้นมีประสบการณ์ในการให้ความคุ้มครองบุคคลสำคัญจากประเทศเพื่อนบ้านมามากพอสมควร ไม่ว่าจะจากลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และเมียนมา ไทยก็เคยให้การดูแลคุ้มกันมาแล้ว ทางการไทยจะต้องมีการดำเนินการเพื่อการป้องกันเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ว่าเป็นพื้นที่สังหารบุคคลสำคัญ, ไม่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว หรือมีการซ่องสุมกองกำลังติดอาวุธต่าง ๆ โดยมีการใช้คนไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการปฏิบัติการหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญที่จะต้องดูแลกันให้ดี สำหรับแนวทางในการนำตัวจ่าเอ็ม ผู้ก่อเหตุกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 2 แนวทาง ได้แก่ 1 การดำเนินการตามช่องทางปกติ โดยจะต้องมีการดำเนินคดีในฝั่งกัมพูชาก่อนสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะมีการพิจารณาลงโทษ-ลดโทษ-อภัยโทษ แล้วส่งคืนมายังไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งนี้ได้มีการตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่อาจจะมีการกล่าวโทษในคดีอื่นเพิ่มเช่น พกพาอาวุธ และความมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามแดน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลานานและสร้างความคลุมเครือ 2 การดำเนินการในช่องทางพิเศษ ด้วยวิธีต่างตอบแทน โดยการแลกตัว หรือร้องขอให้ทางกัมพูชาส่งตัวผู้ก่อเหตุให้มาถูกดำเนินคดีในไทยได้อย่างรวดเร็ว แต่กรณีนี้จะต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และต้องพิจารณาความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาด้วย เพราะว่าเรื่องนี้นั้นจะเป็นการสะท้อนถึงระดับความสัมพันธ์ หรือเรื่องราวมีความซับซ้อนมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้นั้น ควรจะต้องมีการดำเนินการผ่านกลไกของอาเซียน และตำรวจสากล ที่มีข้อตกลงที่ค่อนข้างชัดเจน และเป็นทางการ แทนการใช้ระบบต่างตอบแทน เพื่อป้องกันข้อครหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือห่างเหินระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศในบางสมัย ซึ่งจะต้องมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ผ่านทางอาเซียน สำหรับคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการคุ้มครองผู้เห็นต่างทางการเมืองจากประเทศอื่นที่เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทยหรือไม่ รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่า ในบางช่วงประเทศไทยก็มีขีดความสามารถในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้ดี ไทยเคยสามารถจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศได้หลายครั้ง อย่างกรณี “ฮัม บาลี” ผู้ก่อเหตุวางระเบิดในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ วิกเตอร์ บุช ผู้ค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย และมีการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางได้ และได้รับความชื่นชมจากนานาชาติเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคยสามารถสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มบุคคลต้องสงสัยเข้าประเทศ อย่างเช่นกลุ่มจากประเทศเกาหลีเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อกว่า 30 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดี แต่บางครั้งเราก็มีปัญหา ซึ่งในภาพรวมแล้วเราควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก และกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านของกัมพูชากล่าวหาฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวว่าเรื่องนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน ที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการกระทบในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ทั้งนี้การที่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านกล่าวหาพุ่งเป้าใส่กัน โดยมีการดึงประเทศไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย อีกทั้งตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้ทำเรื่องร้องขอให้มีการส่งตัวนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา เช่น สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชากลับ ซึ่งก็มีทั้งกรณีที่ทางการไทยส่งตัวกลับ และไม่ส่งตัวกลับ ดังนั้นเรื่องนี้นั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และหน่วยงานราชการไทย และฝ่ายความมั่นคงนั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ไทยต้องดำเนินการป้องกันให้มากกว่านี้ เพื่อการป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับกัมพูชาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับลาว, เมียนมา และมาเลเซียด้วย นอกจากนี้ ทางการไทยเองก็มีการดำเนินการขอตัวแกนนำสั่งการต่าง ๆ ที่อยู่ในมาเลเซีย มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางกรณีมีการเสียชีวิตในระหว่างทาง ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะเกิดความเสียหายกับประเทศไทยไปมากกว่านี้ สำหรับการสืบสาวหาต้นตอ/ขบวนการ/ผู้จ้างวาน ให้มีการลอบสังหารในครั้งนี้นั้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากนัก เพราะทราบมาว่าฝ่ายนั้นมีการดำเนินการสื่อสารผ่านระบบสมัยใหม่ ซึ่งทางเราสามารถดักจับ และบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลของเรา ดังนั้นการดำเนินการสืบค้นเพื่อเอาหลักฐานเหล่านั้นมาพิสูจน์ในทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทางกัมพูชาด้วย อย่างไรก็ดี การที่ลิม กินยานั้น เป็นผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วยนั้น ทำให้ฝรั่งเศส, สหภาพยุโรป และนานาชาติต่างก็จับตาดูกรณีนี้เป็นพิเศษ และก็คงจะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของลิม กินยา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย และอาจจะเข้ามาร่วมประสานงานกับประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น (ทางการฝรั่งเศสได้ประกาศว่าจะมีการติดตามการสืบสวนของฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้) ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศจะต้องมีการตั้งชุดทำงานขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบมากไปกว่านี้ และในขณะนี้เกิดความแปรปรวนขึ้นพอสมควร เนื่องจากเกิดความเชื่อหลายอย่างขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 867 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยเราเสียหาย
    และเสียโอกาส
    ที่จะเป็นฐานการผลิต ซิบ
    เพราะ พ่อมันเรียกรับ %
    จากนักธุรกิจ ต่างชาติ
    จริงหรือไม่ คนไม่ไร้ปัญญา
    ฟังก็จะบรรลุ ธรรม ที่ต้อง ทำ ครับ
    https://www.youtube.com/live/4I_8MEbdnsM?si=iUjfAXSyPLznZOn9
    เมื่อเราหยุดความเหี้ยของมันไม่ได้ ขนาด มันโกงที่ พระมหากษัตริย์
    ลดอภัยโทษให้เหลือ 1 ปี
    มันยังโดงได้ลงคอ
    พวกเราได้แต่ยืนดูการโกง เพราะคนส่วนใหญ่ที่โง่ ยังยอมให้มันโกง ด้วยการยืนยันแสดงออกให้มันโกงต่อไป
    ด้วยการเลือก คนของพรรคของมันที่ส่งลงสมัคร
    เราก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่

    จึงขอเชิญเพื่อน ๆ
    ื หันมาดูแลสุขภาพ
    แบบคนจนก้น ด้วยการ
    รักษาสุขภาพ แบบคนจน เอาไว้
    เพื่อรอธรรมะเวลาที่จะจัดเวลามาถึง ว่าไอ้คนที่ขายแผ่นดิน โกงสัมปทาน เอาหุ้นของรัฐไปขาย

    มันจะพบกับความ วิบัติ หรือไม่

    มารอดูกรรม ที่มัน ทำ กำหนดกัน

    https://www.facebook.com/share/v/18g2utqCKq/
    ไทยเราเสียหาย และเสียโอกาส ที่จะเป็นฐานการผลิต ซิบ เพราะ พ่อมันเรียกรับ % จากนักธุรกิจ ต่างชาติ จริงหรือไม่ คนไม่ไร้ปัญญา ฟังก็จะบรรลุ ธรรม ที่ต้อง ทำ ครับ https://www.youtube.com/live/4I_8MEbdnsM?si=iUjfAXSyPLznZOn9 เมื่อเราหยุดความเหี้ยของมันไม่ได้ ขนาด มันโกงที่ พระมหากษัตริย์ ลดอภัยโทษให้เหลือ 1 ปี มันยังโดงได้ลงคอ พวกเราได้แต่ยืนดูการโกง เพราะคนส่วนใหญ่ที่โง่ ยังยอมให้มันโกง ด้วยการยืนยันแสดงออกให้มันโกงต่อไป ด้วยการเลือก คนของพรรคของมันที่ส่งลงสมัคร เราก็ต้องยอมเสียงส่วนใหญ่ จึงขอเชิญเพื่อน ๆ ื หันมาดูแลสุขภาพ แบบคนจนก้น ด้วยการ รักษาสุขภาพ แบบคนจน เอาไว้ เพื่อรอธรรมะเวลาที่จะจัดเวลามาถึง ว่าไอ้คนที่ขายแผ่นดิน โกงสัมปทาน เอาหุ้นของรัฐไปขาย มันจะพบกับความ วิบัติ หรือไม่ มารอดูกรรม ที่มัน ทำ กำหนดกัน https://www.facebook.com/share/v/18g2utqCKq/
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ติ่นส่าวิ่นจ่อ"นางแบบเซ็กซี่ชื่อดังของเมียนมา ถูกปล่อยตัวแล้วในวันชาติ 4 มกราคม หลังติดคุกนานกว่า 1 ปี ในข้อหาถ่ายภาพวาบหวิวเผยแพร่ในสื่อออนไลน์

    วันนี้ (4 ม.ค.) เป็นวันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติของเมียนมา ซึ่งชาวเมียนมาทุกชาติพันธุ์ถือเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่เมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ และทุกปี รัฐบาลเมียนมาจะประกาศให้อภัยโทษแก่นักโทษจำนวนมากที่ถูกจำคุกอยู่ในทุกเรือนจำทั่วประเทศ

    ปีนี้ รัฐบาลทหารของสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ได้ให้อภัยโทษแก่นักโทษรวม 5,864 คน และ 1 ในนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระในครั้งนี้ คือ ติ่นส่าวิ่นจ่อ อดีตนางแบบเซ็กซี่ชื่อดัง

    ช่วงบ่ายวันนี้ สื่อหลายแห่งในเมียนมา ได้เผยแพร่ภาพของติ่นส่าวิ่นจ่อสวมเสื้อยืดรัดรูปแขนยาวสีดำ คอกว้าง นุ่งซิ่นลายดอกสีน้ำตาล เดินหิ้วสัมภาระออกจากประตูเรือนจำ โดยมีผู้คุมหญิง 2 คนเดินออกมาส่ง ผู้คุมคนหนึ่งช่วยเธอหิ้วกระเป๋าสีเขียวอ่อน ส่วนอีกหนึ่งคนช่วยถือถุงกระดาษ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000000963

    #MGROnline #ติ่นส่าวิ่นจ่อ #นางแบบเซ็กซี่ #เมียนมา #วันชาติ #ถ่ายภาพวาบหวิว
    "ติ่นส่าวิ่นจ่อ"นางแบบเซ็กซี่ชื่อดังของเมียนมา ถูกปล่อยตัวแล้วในวันชาติ 4 มกราคม หลังติดคุกนานกว่า 1 ปี ในข้อหาถ่ายภาพวาบหวิวเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ • วันนี้ (4 ม.ค.) เป็นวันประกาศอิสรภาพหรือวันชาติของเมียนมา ซึ่งชาวเมียนมาทุกชาติพันธุ์ถือเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่เมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ และทุกปี รัฐบาลเมียนมาจะประกาศให้อภัยโทษแก่นักโทษจำนวนมากที่ถูกจำคุกอยู่ในทุกเรือนจำทั่วประเทศ • ปีนี้ รัฐบาลทหารของสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ได้ให้อภัยโทษแก่นักโทษรวม 5,864 คน และ 1 ในนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระในครั้งนี้ คือ ติ่นส่าวิ่นจ่อ อดีตนางแบบเซ็กซี่ชื่อดัง • ช่วงบ่ายวันนี้ สื่อหลายแห่งในเมียนมา ได้เผยแพร่ภาพของติ่นส่าวิ่นจ่อสวมเสื้อยืดรัดรูปแขนยาวสีดำ คอกว้าง นุ่งซิ่นลายดอกสีน้ำตาล เดินหิ้วสัมภาระออกจากประตูเรือนจำ โดยมีผู้คุมหญิง 2 คนเดินออกมาส่ง ผู้คุมคนหนึ่งช่วยเธอหิ้วกระเป๋าสีเขียวอ่อน ส่วนอีกหนึ่งคนช่วยถือถุงกระดาษ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/indochina/detail/9680000000963 • #MGROnline #ติ่นส่าวิ่นจ่อ #นางแบบเซ็กซี่ #เมียนมา #วันชาติ #ถ่ายภาพวาบหวิว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 552 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    สัประยุทธ์ “ธรรมะ-อธรรม” #เปลวสีเงินplewเปลว สีเงิน“กฎหมาย” มีไว้สร้างสมดุลทาง “สังคมเป็นธรรม”แต่ทุกวันนี้คนใน “๓ สถาบันอำนาจ” คือ อำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ “บางคน”ใช้กฎหมายสร้าง “สังคมอยุติธรรม” ทำลายสมดุลความเป็นคนที่เท่าเทียมทางกฎหมาย จนเกิดคำว่า “ป่วยทิพย์-คุกทิพย์”บ่งบอกถึง “เลือกปฎิบัติ-สองมาตรฐาน” ซึ่งชาวบ้านทั่วไป ไม่มีสิทธิได้รับโอกาสนั้น (เว้นแต่มีเงิน)คนใน ๓ สถาบันอำนาจเท่านั้น….ที่จะทำให้ “สังคมเป็นธรรม” กลายเป็น “สังคมระยำ” เช่นนั้นได้!มันก็แปลก คนกินเงินเดือนจากภาษีประชาชนที่เรียกเรียก “เจ้าหน้าที่รัฐ” กลับมีอำนาจ “เหนือชีวิตประชาชน”นายจ้าง คือคนเสียภาษีแท้ๆ กลับถูก “ส้นตีนอำนาจ” ยัดปากตลอดกาลแค่จะคุกเข่า ยกสองมืออ่อนล้า วอนเมตตาและความเป็นธรรม ก็ยังถูกตราหน้า “พวกทำให้บ้านเมืองเสียโอกาส”โอกาสโกงบ้าน-กินเมืองละก็ใช่แต่ไมใช่โอกาสคืนความชอบธรรมให้กับบ้านเมือง!สังคมชาติที่ผู้คน “ตัวใคร-ตัวมัน” เห็นประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ประโยชน์กู แล้วต่างทอดธุระและชาวบ้านก็เอาแต่ “ชะแง้รอแจก”ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ สยบยอมโจร ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่เป็นกุญแจไข เปิดทางให้มัน “ปล้นบ้าน-ชำเราเมือง” จนย่ามใจ กร่างใหญ่คับประเทศผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ ทำได้เพียง “รักบ้าน-รักเมือง” ด้วยปากไปวันๆเมื่อสัปดาห์ก่อน เห็นคนที่ไม่เอาแต่นั่งทอดถอนใจอย่างผม เขาเห็นการประทำย่ำยีบ้านเมืองจากไอ้ตัวกาลีเมืองแล้ว พวกเขาร้อนใจนัดกันไปคุยตามประสาคนห่วงบ้าน-ห่วงเมือง ผมอ่านข่าว ก็มีท่านเหล่านี้แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิม ศักดิ์ ปิ่นทอง, ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, ขวัญสรวง อติโพธิ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอมจตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์,สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, พิชิต ไชยมงคล,สาวิทย์ แก้วหวาน, ประสาร มฤคพิทักษ์, ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์สมชาย แสวงการ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ปรีดา เตียสุวรรณ์ และฯลฯหลายท่าน รู้จักมักคุ้น หลายท่านได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยพบสรุป ท่านเหล่านั้น มีที่มาเดียวกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดและทำเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างแต่ที่สุดแล้ว หนีหลักธรรมชาติไม่พ้นธรรมะ คือธรรมชาติ สิ่งจัดสรรมนุษย์คือธรรมชาติ รวงข้าว เมื่อแก่ ย่อมค้อมรวงบัว เกิดจากโคลนตม เมื่อพ้นน้ำ ย่อมปลดเปลื้องจากโคลนตม พิสุทธิ์แทนใจ บูชาธรรมคณะบุคคลเหล่านั้น ก็ประมาณนี้ …..ในความต่างที่มา ที่คิด ที่ทำ ในความเป็นบัณฑิตแห่งธาตุคน ที่สุดแล้ว คนธาตุบัณฑิตย่อมไหลรวมในหมู่บัณฑิตด้วยกันจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าอะไรดีล่ะ?เพราะมีทั้ง พันธมิตรฯ ทั้ง กปปส. ทั้งกลุ่มหลอมรวม ทั้งเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ทั้งกลุ่มสันติอโศกเรียกคณะ “ปชพช.” ดีมั้ย ….เป็นอักษรรวมความเพื่อให้ “เรียกง่าย-จำง่าย”ปชพช. “คณะปัญญาชนพิทักษ์ชาติ” ดูเหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อวาน (๑๘ ธค.๖๗)คือ คณะปัญญาชนพากันเดินไปที่ “สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ “​(ป.ป.ช.​)ไม่ได้ไปก่อกวน ก้าวร้าว เยี่ยงอันธพาลเมือง แต่ไปเยี่ยงบัณฑิต กระทำเยี่ยงบัณฑิตเพื่อยื่นหนังสือให้ป.ป.ช.ตระหนักคิด กรณี ป.ป.ช.​ รับพิจารณาข้อกล่าวหา….“นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำ แพทย์รพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจ รวม ๑๒ คนส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ให้ป.ป.ช.เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ ในหนังสือ มี ๔ ข้อ๑.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่า มีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าวและยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจซึ่งพิธีการทั้งหมดนี้ ขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร ก็ไม่ได้รับจึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่า พฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน๒.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้าง นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดินขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้แต่ปรากฏว่า หลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย๓.เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษแต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัดปล่อยให้กระบวนการทุจริต ตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสานเป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา๔.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ ๒ ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้าขบวนการ ก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้ แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วยถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ“นี่คือหายนะที่เห็นได้ชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง”ขณะเดียวกัน ​”คณะปชพช.” ยังบอกว่า….จะยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ทั้ง ​”พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง” ​รมว.ยุติธรรม และ “​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน” ปลัดฯ ยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​อาจารย์ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์และรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อหน้าเลขาฯ ป.ป.ช.ว่า“มั่นใจในการทำงาน ป.ป.ช.และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูก-ที่ควร​ จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่​และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นานพร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่ กลับไปเข้าคุกเป็นอำนาจ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง” ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้“จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช.เพราะคดีนี้ เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ​ เตรียมตัวได้​”อาจารย์แก้วสรร ยังสัมโมทนียกถาว่า “หากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง จะยอมกราบเลย”“จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตแกนนำนปช.ผู้พ้นขอบเหวคืนสู่ฟากฝั่ง กล่าวว่า“มาให้กำลังใจป.ป.ช.ทั้งมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเองวันนี้มาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน ๑๒ คนนี้ ใครไม่ผิด คือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ “ดำเป็นขาว- ขาวเป็นดำ” แต่ต้องการมาให้ “ถูกเป็นถูก-ผิดเป็นผิด, ดีเป็นดี- ชั่วเป็นชั่ว”ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวน วันนี้ “ยังไม่ไว้ใจป.ป.ช.” จนกว่าจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตถึงวันนั้น ผมและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้งขณะนี้ เป็นที่ประจักษ์ นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน….”ครับ….ผมก็เกรงว่า คุณจตุพรจะเห็นแต่ “ขนมจีน” เท่านั้นแหละ ตามกฎหมายป.ป.ช.มาตรา ๕๑ ให้กรอบเวลาไว้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนเองทั้งคณะ ต้องทำให้เสร็จภายใน ๒ ปี ถ้าไม่เสร็จ ขยายเวลาได้อีก ๑ ปีสรุป “รอไปอีก ๓ ปี” กว่าจะเสร็จขั้นไต่สวน!ตอนนี้ ป.ป.ช.ครบวาระ ๓ ท่าน อยู่ช่วงกรรมการสรรหากำลังพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร กว่าจะได้ครบ ก็คงกลางปีหน้าโน่นและถ้าถึงขั้นชี้มูลความผิด ต้องเรียก ๑๒ ผู้ถูกกล่าวหามาให้ปากคำ กี่ปีถึงครบ ๑๒ ปากล่ะ ?เอาว่า “๕ ปี” เร็วสุด!ที่อาจารย์แก้วสรรบอก “คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน” นั้นรออีก ๕-๘ ปี นานมั้ย?เห็นที คณะปชพช.คงต้องทำหน้าที่ “ไม้แยงก้น” ป.ป.ช.เป็นรายการ “ทวงถามรายเดือน” แล้วหละไม่งั้น “กราบป.ป.ช.” ของอาจารย์แก้วสรรสู้ “กราบแผ่นดิน” ของ “พระเจ้ามูลเมือง” ผู้กลับชาติมาเกิดไม่ได้หรอก!เปลว สีเงิน๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Love
    Like
    Yay
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1273 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันที่ 18 ธ.ค. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สนามบินน้ำ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำเสื้อเหลือง และอดีตแกนนำเสื้อแดงประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประพันธ์ คูณมี นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ นายเสน่ห์ หงษ์ทอง น.ส.นีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว นายใจเพชร กล้าจน นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ คอนเทนต์แนะนำพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาทำกิจกรรม พร้อมอ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กำลังใจป.ป.ช. ภายหลังมีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ปมนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้ และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายพิชิต​ ได้อ่านแถลงการณ์ ดังนี้​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏ หลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาต ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวง ทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไรก็ไม่ได้รับ จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าขทุจริตช่วยเหลือกัน โดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่า​ นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่งเดินขึ้นบันไดอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่างจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า การพักโทษ มาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ ดังนั้นจึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบ เกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​ สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และ หัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กับหลีกเลี่ยงแสงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุด ยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ พร้อมกับย้ำว่านี่คือหายนะ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝากปปช ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง​ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​พันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม และ​ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​ จากนั้นนายแก้วสรร กล่าวว่า ตนก็รู้สึกดีใจที่ ป.ป.ช.มีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าพวกเรามาบีบบังคับแล้วท่านก็คล้อยตามพวกเรา โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะนักกฎหมาย และเคยตรวจสอบยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว ก็อยากจะบอกว่างานนี้ทั้งหลักฐานและข้อกฎหมายมันชัดเจนเห็นตรงกันว่ามีมูล และ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มาแล้ว ในฐานะที่ตนเคยตรวจสอบมาพออ่านเกมออก งานนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจมีหลักฐานว่าป่วยจริงก็แค่เอามาให้ ป.ป.ช. ซึ่งก็จะไม่มามาถึงวันนี้แน่นอน แต่การที่กลบหลักฐาน ไม่ยอมให้หลักฐานอะไรเลย รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าเห็นนายทักษิณนั่งยิ้มกินข้าวเหนียวมะม่วง แถมออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ใส่ปลอกคอแค่พักเดียว ก็เดินไปทั่วประเทศ เพียงเท่านี้ก็มีมูลชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายแก้วสรร กล่าวว่า ดังนั้นวันนี้ตนมั่นใจใน ป.ป.ช. ว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร งานนี้ไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่สร้างขึ้นมา วันนี้ ป.ป.ช.กำลังเจอกับกระบวนการทุจริตแห่งชาติ เพราะฉะนั้นกำลังใจจึงสำคัญ ตนและประชาชนขอให้ท่านเดินหน้าเต็มที่ ใครไม่ผิดก็ปล่อยเขาไป แต่ใครที่เป็นตัวการจริงๆ และให้ความเห็นว่าหากนายทักษิณอยู่เรือนจำต้องต้องตายแน่ ถามว่ามีหรือไม่ และหมอคนนั้นคือใคร ขอให้นำหลักฐานมา เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปเมื่อไต่สวนคดี สิ่งที่เราจะเห็นคืออำนาจเด็ดขาด หากไม่ให้เอกสาร ไม่ให้ปากคำจะต้องติดคุก แค่ถามว่าป่วยจริงไหม ใครเกี่ยวข้อง ใครให้ความเห็นเท่านั้น เรื่องจะไม่ช้าแน่นอน เมื่อตรวจสอบเพียงพอแล้วต้องสรุปข้อกล่าวหาส่งให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ใครเห็นว่าไม่ทุจริตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา แต่ใครที่นั่งเงียบๆ แล้วหลักฐานไปถึง ขอให้เรียกเข้ามาตั้งข้อหาเพิ่ม จากนั้นแจ้งข้อหาให้มีการต่อสู้ เชื่อว่างานนี้จะไม่นาน นายแก้วสรร กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรกับนายทักษิณ ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังแล้วไม่มีการขังตามหมาย ก็ต้องออกหมายใหม่ เพื่อให้กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจ ของศาลคดีอาญาทางการเมือง ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอผลคดีนี้ ที่เป็นคดีของเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยตัวให้ไปรักษาถูกต้องหรือไม่ และมีใครทุจริตหรือไม่ ส่วนการขังที่ไม่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะมีคนทุจริตกี่คนหรือทุจริตหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยว ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้ ด้านนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ เพราะนายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องเวชระเบียน หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. โรงพยาบาลตำรวจ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การทำการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นเยอะ ณ วันนี้เรามาด้วยความหวัง และให้กำลังใจ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ในจำนวน 12 คนนี้ ถ้าใครไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าใครผิดก็ว่าตามผิด วันนี้ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว หรือขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาทำให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่เช่นนั้นเราจะมีความหวังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตนฝากไปถึงเลขา ป.ป.ช.ตนวาดหวังว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจการไต่สวน จนกว่าจะมีการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยแล้วว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน นพ.วรงค์ กล่าวว่า การพักโทษกรณีพิเศษในช่วง 6 เดือนหลัง ถือว่านักโทษอายุเกิน 70 ปีต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และนักโทษคนนี้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม หรือโอกาสที่จะทำผิดซ้ำนั้นมีน้อยมาก ถามว่าแล้ววันนี้เป็นอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสังคม สังคมจะกลียุคและฆ่ากันตาย ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องรีบดำเนินการ และยืนยันว่าการพักโทษกรณีนี้ไม่ได้ไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัว ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่อิสระอย่างแท้จริง ต้องตรวจสอบและถ่วงดุล เพราะสภาฯทำหน้าที่ไม่ได้ จึงต้องมาอาศัย ป.ป.ช. เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้และประชาธิปไตยอยู่รอด ถ้า ป.ป.ช.ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่มีอีกต่อไป ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งองค์คณะได้ตั้งไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ในการดำเนินการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติค่อนข้างชัดเจนว่า หากไต่สวนพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าในส่วนของ ป.ป.ช. เราทำหน้าที่ไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานตามพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดังนั้นในบางเรื่องอาจจะไม่ตรงตามใจที่ประชาชนรับทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะการพิจารณาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก และพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
    วันที่ 18 ธ.ค. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สนามบินน้ำ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำเสื้อเหลือง และอดีตแกนนำเสื้อแดงประกอบด้วย นายแก้วสรร อติโพธิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายคมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นายประพันธ์ คูณมี นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ นายปรีดา เตียสุวรรณ์ นายแซมดิน เลิศบุศย์ นายเสน่ห์ หงษ์ทอง น.ส.นีรนุช จิตต์สม นายมานพ เกื้อรัตน์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา นายอานนท์ กลิ่นแก้ว นายใจเพชร กล้าจน นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีหมะ คอนเทนต์แนะนำพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมาทำกิจกรรม พร้อมอ่านแถลงการณ์ และยื่นหนังสือให้กำลังใจป.ป.ช. ภายหลังมีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ปมนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้ และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​ โดยมีนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นตัวแทนรับหนังสือ โดยนายพิชิต​ ได้อ่านแถลงการณ์ ดังนี้​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำพบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏ หลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาต ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวง ทั้งสิ้น และไม่ว่าป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไรก็ไม่ได้รับ จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าขทุจริตช่วยเหลือกัน โดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่า​ นักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่งเดินขึ้นบันไดอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่างจึงไม่อาจเชื่อได้ว่า การพักโทษ มาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​ ดังนั้นจึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของป.ป.ช.ด้วย ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบ เกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​ สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และ หัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษ ว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กับหลีกเลี่ยงแสงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้งและล่าสุด ยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ พร้อมกับย้ำว่านี่คือหายนะ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝากปปช ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง​ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​พันตำรวจเอกทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​ยุติธรรม และ​ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​ จากนั้นนายแก้วสรร กล่าวว่า ตนก็รู้สึกดีใจที่ ป.ป.ช.มีมติสั่งสอบ 12 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจดังกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นก็จะหาว่าพวกเรามาบีบบังคับแล้วท่านก็คล้อยตามพวกเรา โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น ในฐานะนักกฎหมาย และเคยตรวจสอบยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว ก็อยากจะบอกว่างานนี้ทั้งหลักฐานและข้อกฎหมายมันชัดเจนเห็นตรงกันว่ามีมูล และ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มาแล้ว ในฐานะที่ตนเคยตรวจสอบมาพออ่านเกมออก งานนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจมีหลักฐานว่าป่วยจริงก็แค่เอามาให้ ป.ป.ช. ซึ่งก็จะไม่มามาถึงวันนี้แน่นอน แต่การที่กลบหลักฐาน ไม่ยอมให้หลักฐานอะไรเลย รวมถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสรีพิศุทธ์ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย บอกว่าเห็นนายทักษิณนั่งยิ้มกินข้าวเหนียวมะม่วง แถมออกจากโรงพยาบาลมาแล้วก็ใส่ปลอกคอแค่พักเดียว ก็เดินไปทั่วประเทศ เพียงเท่านี้ก็มีมูลชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ยอมให้ความร่วมมือ นายแก้วสรร กล่าวว่า ดังนั้นวันนี้ตนมั่นใจใน ป.ป.ช. ว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร งานนี้ไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรมที่สร้างขึ้นมา วันนี้ ป.ป.ช.กำลังเจอกับกระบวนการทุจริตแห่งชาติ เพราะฉะนั้นกำลังใจจึงสำคัญ ตนและประชาชนขอให้ท่านเดินหน้าเต็มที่ ใครไม่ผิดก็ปล่อยเขาไป แต่ใครที่เป็นตัวการจริงๆ และให้ความเห็นว่าหากนายทักษิณอยู่เรือนจำต้องต้องตายแน่ ถามว่ามีหรือไม่ และหมอคนนั้นคือใคร ขอให้นำหลักฐานมา เพราะฉะนั้นนับแต่นี้ต่อไปเมื่อไต่สวนคดี สิ่งที่เราจะเห็นคืออำนาจเด็ดขาด หากไม่ให้เอกสาร ไม่ให้ปากคำจะต้องติดคุก แค่ถามว่าป่วยจริงไหม ใครเกี่ยวข้อง ใครให้ความเห็นเท่านั้น เรื่องจะไม่ช้าแน่นอน เมื่อตรวจสอบเพียงพอแล้วต้องสรุปข้อกล่าวหาส่งให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจง ใครเห็นว่าไม่ทุจริตก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา แต่ใครที่นั่งเงียบๆ แล้วหลักฐานไปถึง ขอให้เรียกเข้ามาตั้งข้อหาเพิ่ม จากนั้นแจ้งข้อหาให้มีการต่อสู้ เชื่อว่างานนี้จะไม่นาน นายแก้วสรร กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรกับนายทักษิณ ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังแล้วไม่มีการขังตามหมาย ก็ต้องออกหมายใหม่ เพื่อให้กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจ ของศาลคดีอาญาทางการเมือง ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอผลคดีนี้ ที่เป็นคดีของเจ้าหน้าที่ว่าปล่อยตัวให้ไปรักษาถูกต้องหรือไม่ และมีใครทุจริตหรือไม่ ส่วนการขังที่ไม่เกิดขึ้นนั้นไม่ว่าจะมีคนทุจริตกี่คนหรือทุจริตหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยว ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้ ด้านนายจตุพร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการตรวจสอบ เพราะนายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ส่วนเรื่องเวชระเบียน หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. โรงพยาบาลตำรวจ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้การทำการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นเยอะ ณ วันนี้เรามาด้วยความหวัง และให้กำลังใจ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เจ้าหน้าที่ในจำนวน 12 คนนี้ ถ้าใครไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่ถ้าใครผิดก็ว่าตามผิด วันนี้ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว หรือขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาทำให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ไม่เช่นนั้นเราจะมีความหวังได้อย่างไร เพราะฉะนั้นตนฝากไปถึงเลขา ป.ป.ช.ตนวาดหวังว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจการไต่สวน จนกว่าจะมีการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยแล้วว่าได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วน นพ.วรงค์ กล่าวว่า การพักโทษกรณีพิเศษในช่วง 6 เดือนหลัง ถือว่านักโทษอายุเกิน 70 ปีต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และนักโทษคนนี้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม หรือโอกาสที่จะทำผิดซ้ำนั้นมีน้อยมาก ถามว่าแล้ววันนี้เป็นอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสังคม สังคมจะกลียุคและฆ่ากันตาย ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องรีบดำเนินการ และยืนยันว่าการพักโทษกรณีนี้ไม่ได้ไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัว ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่อิสระอย่างแท้จริง ต้องตรวจสอบและถ่วงดุล เพราะสภาฯทำหน้าที่ไม่ได้ จึงต้องมาอาศัย ป.ป.ช. เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้และประชาธิปไตยอยู่รอด ถ้า ป.ป.ช.ไม่เป็นที่พึ่งของประชาชน ประเทศก็จะอยู่ไม่ได้ และ ป.ป.ช.ก็จะไม่มีอีกต่อไป ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ซึ่งตอนนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งองค์คณะได้ตั้งไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ในการดำเนินการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติค่อนข้างชัดเจนว่า หากไต่สวนพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าในส่วนของ ป.ป.ช. เราทำหน้าที่ไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานตามพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดังนั้นในบางเรื่องอาจจะไม่ตรงตามใจที่ประชาชนรับทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลต่างๆ เพราะการพิจารณาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลัก และพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 973 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนวยอานนท์ เตรียมรับโทษเพิ่มในวันพฤหัสนี้ ศาลจะตัดสินคดีที่ 7 และถือเป็นคดี 112 คดีที่ 6 จากทั้งหมดสิบกว่าคดี โทษจำคุกตอนนี้ 16 ปี กำลังจะได้เพิ่มอีก 2 ปีเป็นอย่างน้อย ส่วนคดีที่เหลือ หากนับคร่าวๆ ทนวยปากม๋าน่าจะได้นอนซังเตยาวกว่า 30 ปี อย่าขออภัยโทษนะเมิง ไปด่าว่าเค้าไว้อย่าใจม๋าขออภัยโทษ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ทนวยอานนท์ เตรียมรับโทษเพิ่มในวันพฤหัสนี้ ศาลจะตัดสินคดีที่ 7 และถือเป็นคดี 112 คดีที่ 6 จากทั้งหมดสิบกว่าคดี โทษจำคุกตอนนี้ 16 ปี กำลังจะได้เพิ่มอีก 2 ปีเป็นอย่างน้อย ส่วนคดีที่เหลือ หากนับคร่าวๆ ทนวยปากม๋าน่าจะได้นอนซังเตยาวกว่า 30 ปี อย่าขออภัยโทษนะเมิง ไปด่าว่าเค้าไว้อย่าใจม๋าขออภัยโทษ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    2
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4 ลูกเรือไทยโดนจำคุก ขออภัยโทษแล้ว ยันปล่อยหลังปีใหม่ (16/12/67) #news1#จำคุก4ลูกเรือไทย
    4 ลูกเรือไทยโดนจำคุก ขออภัยโทษแล้ว ยันปล่อยหลังปีใหม่ (16/12/67) #news1#จำคุก4ลูกเรือไทย
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1040 มุมมอง 46 0 รีวิว
  • "อะไรไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น"

    โจ ไบเดน ลงนามการอภัยโทษและลดโทษให้แก่ผู้ที่ถูกตัดสินให้มีความผิดในดดีต่างๆกว่า 1,000 คน นับเป็นสถิติการอภัยโทษในวันเดียวมากที่สุดโดยผู้นำสหรัฐฯ

    กฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ได้มอบอำนาจให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการอภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดได้ ยกเว้นกรณีการฟ้องร้องถอดถอน โดยคดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงดังกล่าว รวมถึงผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย

    เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งออกคำสั่งอภัยโทษให้แก่ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของเขา ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการตรวจสอบประวัติการซื้อปืน และหลีกเลี่ยงภาษี ทั้งที่เคยพูดว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดีเหล่านี้

    โดยรัฐบาลไบเดนและรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันกำลังหมดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า ซึ่งการอภัยโทษให้แก่ฮันเตอร์รวมถึงนักโทษกลุ่มล่าสุดถูกมองว่า เป็นการทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่ง
    "อะไรไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น" โจ ไบเดน ลงนามการอภัยโทษและลดโทษให้แก่ผู้ที่ถูกตัดสินให้มีความผิดในดดีต่างๆกว่า 1,000 คน นับเป็นสถิติการอภัยโทษในวันเดียวมากที่สุดโดยผู้นำสหรัฐฯ กฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ได้มอบอำนาจให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการอภัยโทษแก่ผู้กระทำผิดได้ ยกเว้นกรณีการฟ้องร้องถอดถอน โดยคดีที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงดังกล่าว รวมถึงผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งออกคำสั่งอภัยโทษให้แก่ ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของเขา ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการตรวจสอบประวัติการซื้อปืน และหลีกเลี่ยงภาษี ทั้งที่เคยพูดว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดีเหล่านี้ โดยรัฐบาลไบเดนและรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันกำลังหมดวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า ซึ่งการอภัยโทษให้แก่ฮันเตอร์รวมถึงนักโทษกลุ่มล่าสุดถูกมองว่า เป็นการทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่ง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์” ย้ำเดินหน้าแผนรีดภาษีศุลกากร เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ของตัวเอง ล้างแค้นศัตรูทางการเมือง นอกจากนั้น ยังขู่ถอนตัวจากนาโต และเตือนยูเครนเตรียมพร้อมถูก “ตัด” ความช่วยเหลือสำหรับการทำศึกกับรัสเซีย
    .
    ระหว่างให้สัมภาษณ์รายการ “มีต เดอะ เพรสส์ วิธ คริสเตน เวลเกอร์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีที่บันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ) โดยถือเป็นการให้สัมภาษณ์ทางทีวีครั้งแรกนับจากการเลือกตั้งนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ย้ำคำขู่นำอเมริกาถอนตัวจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถ้าชาติสมาชิกไม่รับผิดชอบต้นทุนการปกป้องตนเองอย่างเหมาะสม
    .
    ทรัมป์เสริมว่า ยูเครนควรเตรียมตัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียลดน้อยลง รวมทั้งยังเรียกร้องการหยุดยิงทันที
    .
    เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินนั้น แรกทีเดียวทรัมป์บอกว่า ไม่ได้คุยกับผู้นำรัสเซียตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนเปลี่ยนมาใช้คำว่า ช่วงหลังมานี้ไม่ได้คุยกับปูตินเลย และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้า เขาก็บอกเพียงว่า ไม่ต้องการทำอะไรที่อาจเป็นการขัดขวางการเจรจา
    .
    เขายังย้ำคำสัญญาระหว่างหาเสียงเรื่องการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งรวมถึงสินค้าของพวกคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน และสำทับว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเขาจะใช้เครื่องมือนี้นอกเหนือจากความุ่งหมายในทางเศรษฐกิจด้วย
    .
    สำหรับข้อสงสัยว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่นั้น ทรัมป์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ทั้งที่ตอนหาเสียงเคยโฆษณาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือปัญหาข้าวของแพง
    .
    เนรเทศครั้งใหญ่
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังบอกว่า จะเดินหน้าสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เป็นการเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในอเมริกา รวมทั้งอาจใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพื่อยุติการได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยอาศัย “สิทธิโดยกำเนิด” ถึงแม้เขายอมรับว่า เรื่องนี้อาจหมายถึงต้องหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองสิทธินี้สำหรับทุกคนที่เกิดในอเมริกา
    .
    ทรัมป์บอกว่า จะทำงานร่วมกับเดโมแครตเกี่ยวกับพวก “ดรีมเมอร์” หรือคนที่เติบโตในอเมริกาหลังจากเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายขณะเป็นเด็ก และช่วงหลายปีมานี้ได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ กระนั้น เขาชี้ว่า แม้แต่ “พลเมืองอเมริกัน” ก็อาจถูกเนรเทศได้ถ้ามีสมาชิกครอบครัวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทางเดียวที่จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกคือ การเนรเทศออกจากอเมริกาทั้งครอบครัว
    .
    ชำระแค้นศัตรูทางการเมือง
    .
    ทรัมป์ที่ถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้ง และถูกตั้งข้อหาคดีอาญาจากการพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 รวมถึงขู่ว่า สมาชิกรัฐสภาที่สอบสวนตนเรื่องม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ต่างหากที่ควรเข้าคุก ส่วนพวกผู้สนับสนุนตนที่ถูกจับจากคดีดังกล่าวจะได้รับการอภัยโทษ “อย่างรวดเร็วมาก”
    .
    เมื่อถูกถามว่า แคช พาเทล ที่ได้รับเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐฯ จะสนองตอบคำขู่ตามล่าศัตรูทางการเมืองของเขาหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า เขาคิดว่า พาเทลมีหน้าที่ในการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง
    .
    ทรัมป์ยังบอกว่า ตนมีอำนาจสูงสุดในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการดำเนินคดีกับศัตรูในประเทศ แต่ “ไม่สนใจ” จะใช้อำนาจนั้น และจะมุ่งทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองมากกว่า
    .
    อย่างไรก็ตาม สมาชิกชั้นนำของพรรคเดโมแครตต่างกังวลกับคำขู่ดังกล่าว กระทั่งมีรายงานว่า โจ ไบเดน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังพิจารณาประกาศอภัยโทษล่วงหน้าเพื่อปกป้องสมาชิกสำคัญในคณะบริหารของตน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118427
    ..............
    Sondhi X
    “ทรัมป์” ย้ำเดินหน้าแผนรีดภาษีศุลกากร เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณอาจใช้ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ของตัวเอง ล้างแค้นศัตรูทางการเมือง นอกจากนั้น ยังขู่ถอนตัวจากนาโต และเตือนยูเครนเตรียมพร้อมถูก “ตัด” ความช่วยเหลือสำหรับการทำศึกกับรัสเซีย . ระหว่างให้สัมภาษณ์รายการ “มีต เดอะ เพรสส์ วิธ คริสเตน เวลเกอร์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีที่บันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และออกอากาศในวันอาทิตย์ (8 ) โดยถือเป็นการให้สัมภาษณ์ทางทีวีครั้งแรกนับจากการเลือกตั้งนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า ย้ำคำขู่นำอเมริกาถอนตัวจากองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถ้าชาติสมาชิกไม่รับผิดชอบต้นทุนการปกป้องตนเองอย่างเหมาะสม . ทรัมป์เสริมว่า ยูเครนควรเตรียมตัวที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกาในการต่อต้านการรุกรานของรัสเซียลดน้อยลง รวมทั้งยังเรียกร้องการหยุดยิงทันที . เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินนั้น แรกทีเดียวทรัมป์บอกว่า ไม่ได้คุยกับผู้นำรัสเซียตั้งแต่วันเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนเปลี่ยนมาใช้คำว่า ช่วงหลังมานี้ไม่ได้คุยกับปูตินเลย และเมื่อถูกจี้ถามหนักเข้า เขาก็บอกเพียงว่า ไม่ต้องการทำอะไรที่อาจเป็นการขัดขวางการเจรจา . เขายังย้ำคำสัญญาระหว่างหาเสียงเรื่องการรีดภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งรวมถึงสินค้าของพวกคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน และสำทับว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเขาจะใช้เครื่องมือนี้นอกเหนือจากความุ่งหมายในทางเศรษฐกิจด้วย . สำหรับข้อสงสัยว่า ภาษีดังกล่าวจะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายแพงขึ้นหรือไม่นั้น ทรัมป์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่สามารถรับประกันอะไรได้ ทั้งที่ตอนหาเสียงเคยโฆษณาว่า หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือปัญหาข้าวของแพง . เนรเทศครั้งใหญ่ . ว่าที่ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังบอกว่า จะเดินหน้าสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า เป็นการเนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายครั้งใหญ่ในอเมริกา รวมทั้งอาจใช้อำนาจฝ่ายบริหารเพื่อยุติการได้เป็นพลเมืองอเมริกัน โดยอาศัย “สิทธิโดยกำเนิด” ถึงแม้เขายอมรับว่า เรื่องนี้อาจหมายถึงต้องหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับรองสิทธินี้สำหรับทุกคนที่เกิดในอเมริกา . ทรัมป์บอกว่า จะทำงานร่วมกับเดโมแครตเกี่ยวกับพวก “ดรีมเมอร์” หรือคนที่เติบโตในอเมริกาหลังจากเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายขณะเป็นเด็ก และช่วงหลายปีมานี้ได้รับการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ กระนั้น เขาชี้ว่า แม้แต่ “พลเมืองอเมริกัน” ก็อาจถูกเนรเทศได้ถ้ามีสมาชิกครอบครัวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เพราะทางเดียวที่จะไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกคือ การเนรเทศออกจากอเมริกาทั้งครอบครัว . ชำระแค้นศัตรูทางการเมือง . ทรัมป์ที่ถูกรัฐสภาไต่สวนเพื่อถอดถอนถึง 2 ครั้ง และถูกตั้งข้อหาคดีอาญาจากการพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 รวมถึงขู่ว่า สมาชิกรัฐสภาที่สอบสวนตนเรื่องม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021 ต่างหากที่ควรเข้าคุก ส่วนพวกผู้สนับสนุนตนที่ถูกจับจากคดีดังกล่าวจะได้รับการอภัยโทษ “อย่างรวดเร็วมาก” . เมื่อถูกถามว่า แคช พาเทล ที่ได้รับเสนอชื่อจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สหรัฐฯ จะสนองตอบคำขู่ตามล่าศัตรูทางการเมืองของเขาหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า เขาคิดว่า พาเทลมีหน้าที่ในการจัดการนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง . ทรัมป์ยังบอกว่า ตนมีอำนาจสูงสุดในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย” ในการดำเนินคดีกับศัตรูในประเทศ แต่ “ไม่สนใจ” จะใช้อำนาจนั้น และจะมุ่งทำงานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและหยุดยั้งการลักลอบเข้าเมืองมากกว่า . อย่างไรก็ตาม สมาชิกชั้นนำของพรรคเดโมแครตต่างกังวลกับคำขู่ดังกล่าว กระทั่งมีรายงานว่า โจ ไบเดน ที่กำลังจะอำลาตำแหน่งประธานาธิบดี กำลังพิจารณาประกาศอภัยโทษล่วงหน้าเพื่อปกป้องสมาชิกสำคัญในคณะบริหารของตน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118427 .............. Sondhi X
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1008 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผมกล้าพูดว่า MOU2544 คือ MOU ขายชาติ
    .
    คำถามมีว่า MOU2544 นั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยไม่คำนึงถึงพระบรมราชโองการในปี 2516 เกิดขึ้นได้เพราะทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีตอนนั้น ไปจับมือกับฮุนเซน นายกรัฐมนยตรีของเขมร เพื่อร่าง MOU2544 ร่างขึ้นมาทำไม?ร่างเพื่อให้โอกาสเขมรซีซั้วร่างเส้นเขมรเอง เข้ามากินในพื้นที่ของประเทศไทย และคนร่าง MOU2544 คือ ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ทำไมถึงกล้าร่าง MOU2544 โดยไม่สนใจพระบรมราชโองการเลยแม้แต่นิดเดียว แสดงว่าคุณไม่เห็นความสำคัญของพระบรมราชโองการในปี 2516 เลย แต่ว่าทำไมในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 คุณทักษิณถึงยอมรับพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษให้คุณ
    .
    อะไรที่เป็นพระบรมราชโองการที่ให้ประโยชน์กับคุณ คุณเอาใช่ไหม แต่ถ้าอะไรที่คุณไม่ได้ประโยชน์เหมือนพระบรมราชโองการ 2516 คุณไม่เอา
    .
    พ่อแม่พี่น้องนี่คือความจริง ผมถึงกล้าพูดได้ว่า MOU2544 คือ MOU ขายชาติ ประเทศไทยไม่เคยมีพื้นที่ทับซ้อน แต่เรามีนายกรัฐมนตรีทับซ้อน
    .
    เพราะฉะนั้นแล้ว MOU2544 ถ้ายึดตามพระบรมราชโองการปี 2516 จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ารัฐบาลทักษิณ ชินวัตร สุรเกียรติ เสถียรไทยยอมรับในพระบรมราชโองการนี้ ก็ไม่มีวันที่จะเซ็น MOU2544
    ผมกล้าพูดว่า MOU2544 คือ MOU ขายชาติ . คำถามมีว่า MOU2544 นั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยไม่คำนึงถึงพระบรมราชโองการในปี 2516 เกิดขึ้นได้เพราะทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีตอนนั้น ไปจับมือกับฮุนเซน นายกรัฐมนยตรีของเขมร เพื่อร่าง MOU2544 ร่างขึ้นมาทำไม?ร่างเพื่อให้โอกาสเขมรซีซั้วร่างเส้นเขมรเอง เข้ามากินในพื้นที่ของประเทศไทย และคนร่าง MOU2544 คือ ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ทำไมถึงกล้าร่าง MOU2544 โดยไม่สนใจพระบรมราชโองการเลยแม้แต่นิดเดียว แสดงว่าคุณไม่เห็นความสำคัญของพระบรมราชโองการในปี 2516 เลย แต่ว่าทำไมในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 คุณทักษิณถึงยอมรับพระบรมราชโองการพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษให้คุณ . อะไรที่เป็นพระบรมราชโองการที่ให้ประโยชน์กับคุณ คุณเอาใช่ไหม แต่ถ้าอะไรที่คุณไม่ได้ประโยชน์เหมือนพระบรมราชโองการ 2516 คุณไม่เอา . พ่อแม่พี่น้องนี่คือความจริง ผมถึงกล้าพูดได้ว่า MOU2544 คือ MOU ขายชาติ ประเทศไทยไม่เคยมีพื้นที่ทับซ้อน แต่เรามีนายกรัฐมนตรีทับซ้อน . เพราะฉะนั้นแล้ว MOU2544 ถ้ายึดตามพระบรมราชโองการปี 2516 จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ารัฐบาลทักษิณ ชินวัตร สุรเกียรติ เสถียรไทยยอมรับในพระบรมราชโองการนี้ ก็ไม่มีวันที่จะเซ็น MOU2544
    Love
    Like
    Wow
    8
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1035 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ นิรโทษแบบไทยๆ อภัยโทษแบบมะกัน
    #7ดอกจิก
    ♣ นิรโทษแบบไทยๆ อภัยโทษแบบมะกัน #7ดอกจิก
    Like
    Wow
    Sad
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 9 0 รีวิว
  • ♣ เพิ่งจะรู้ว่าคุยอะไรกัน ดีลไม่ลับไทยสหรัฐ ใช้อำนาจให้อภัยโทษคนในครอบครัว
    #7ดอกจิก
    ♣ เพิ่งจะรู้ว่าคุยอะไรกัน ดีลไม่ลับไทยสหรัฐ ใช้อำนาจให้อภัยโทษคนในครอบครัว #7ดอกจิก
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts