• อย่าทำงานแบบหุ่นยนต์ที่ป้อน prompt แต่ทำงานแบบมนุษย์ด้วยกัน .สรุป Session พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง HOW TO EMPOWER PEOPLE IN FRAGMENTED WORLD โดยคุณเอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม Roundfinger ) ในงาน PEOPLE PERFORMANCE CONFERENCE 2025.🔸 พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง? .“โลกไร้ทิศทาง” ยุคสมัยนี้ เป็นยุคสมัยที่อยู่ยากมากที่สุดยุคหนึ่ง ท้าทายคนทำงานในทุกอาชีพ.เราควรตระหนักว่าเราอยู่ในสภาพที่ไม่ง่าย เราทุกคนที่ยังสามารถทำงานใช้ชีวิตประคองตัวเองในโลกทุกวันนี้ได้เป็นคนที่ ”เก่ง” มาก .“ความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร” คำถามนี้อาจเป็นคำถามที่หลายคนรู้สึกยากที่จะตอบ มันไม่ง่ายที่เราถูกจู่โจมด้วยทุกสิ่ง แม้กายเราอยู่ที่นี่ แต่ใจเราอาจอยู่ในข่าว อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ อยู่ในกรุ๊ปที่ถูกตามงาน เราอยู่ห่างจากตัวเองมาก ขนาดคำถามง่าย ๆ อย่างเรารู้สึกอย่างไรยังตอบยาก .ในการพัฒนาคน พัฒนาองค์กร คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญ .โลกไร้ทิศทางจากการที่ทั้ง Tech การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม คุณค่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อคุณค่าที่มนุษย์ให้กับตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ลดความเร็ว มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย.🔸 แล้วโลกไร้ทิศทางนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร?1️⃣ เรามีข้อมูลเยอะมาก แต่มีปัญญาน้อยลง : ปัญญาคือการ รู้จักตัวเอง รู้วิธีมีความสุข รู้ความหมายชีวิต รู้ถึงความจริงรู้ถึงสัจธรรม2️⃣ โลกไม่มีเป้าหมายร่วม : ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละประเทศจำเป็นต้องฟื้นฟู สงครามเย็นทำให้เกิดการแบ่งขั้ว จากนั้นก็ยุคโลกาภิวัฒน์ที่โลกเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่พอมาถึงยุคนี้ เราเข้าสู่คำถามใหม่ว่า ตกลงแล้วเป้าหมายแต่ละประเทศ แต่ละคนคืออะไร? เมื่อโลกไร้เป้าหมาย ปัจเจกก็สับสน .3️⃣ ไม่มี ‘เรื่องเล่าใหญ่’ อีกต่อไป : สังคมขาดความเชื่อร่วมกัน เช่น ศาสนา ชาติ พระเจ้า ฯลฯ ถ้าเราไม่มี เรื่องเล่าใหญ่ เมื่อเราทำงานหนัก ทำงานเหนื่อยเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเหนื่อยไปเพื่ออะไร.4️⃣ พลังกำหนดอนาคตอยู่ในมือไม่กี่คน : ในโลกที่อยู่ในเงื้อมมือคนตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น big tech, big finance, big state เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ดูสิ้นเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้บ้าง? บางทีเราเลยรู้สึก lost ในการมีชีวิตอยู่.5️⃣ Speed ปัจจุบันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ : แต่ปฏิเสธไม่ได้นี่คือโลกที่พวกเราอยู่ .คนจึงเกิดความคิดที่ว่า “ฉันไม่เหมาะกับโลกใบนี้” ฉันช้า แก่ เหนื่อย อยู่ผิดที่ ยอมแพ้ นำไปสู่ความหมดไฟไม่อยากทำงาน นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทำหน้าที่บริหารคน เรากำลังมุ่งหน้าไปข้างหน้าเหมือนรถที่วิ่งแบบจรวด แต่รถคันนั้นไม่ตอบคำถามว่า 'เรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน' พอเราล้า ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากพัฒนาแล้ว.ดังนั้น “ทิศที่ถูก” จึงสำคัญกว่า “ความเร็ว” การตั้งต้นว่าเราจะไปทิศไหนจึงสำคัญกับการพัฒนาตน คน องค์กร.🔸จะพัฒนาคนยังไง?.การเรียนรู้ Design Thinking, Digital Mindset, Upskill, Reskill, Relearn ที่ศึกษากันอยู่นั้นพอไหม?.เราเรียนรู้ชุดความรู้หลายด้านมาก ไม่ว่าจะเป็นSkillset > learning ability Mindset > Growth Mindsetแต่เรามี Heartset หรือยัง? .🔸Heartset ชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คือสิ่งที่คุณเอ๋ อยากชวนมาเจาะลึกลงไป .ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่คนเก่งไม่พอ ไม่ใช่คนไม่อยากเก่ง แต่พอเก่งมากแล้วต้องวิ่งไล่ทุกสิ่ง คำถามคือ ฉันจะเก่งไปเพื่ออะไรดี ดังนั้นเราต้องการเข็มทิศที่ดี จะได้รู้ว่าจะไปทางไหน คุณเอ๋เลยอยากชวนคิดชวนคุยมุมนี้ว่า “ทำไมเราถึงอยากเก่ง” “ทำไมเราถึงอยากพัฒนาคน”.🔸 โลกกำลังอยู่ในยุค AI และ IA (Inner Awareness).เราต้องการ IA อย่างมาก เพราะยิ่งมันเร็ว เรายิ่งต้องเข้าใจตัวเอง AI ทำให้เราทำงานดีขึ้น แต่ IA คือตอบว่าเราทำงานดีไปทำไม และเราต้องอย่าลืมมีจิตใจที่มั่นคงยืดหยุ่น ไม่เปราะบาง ไม่งั้นการพัฒนาองค์กร คือการใช้คนแล้วทิ้ง มีคนเจ็บป่วยทางสุขภาพจิตแล้วเมื่อเขาอยู่ในระบบนี้ไม่ได้ก็ถูกปัดออก การพัฒนาคน องค์กรที่ดี ต้องรักษาคนและหัวใจคนด้วย.🔸 ทำยังไงให้ทีมรู้จักตัวเอง?.พลังที่แท้จริงเกิดจากการเข้าใจข้างใน เป็นสิ่งที่ทีมผู้บริหารองค์กรช่วยได้มากและเราควบคุมได้ คำตอบข้างใน เช่น การรักตัวเองในแบบที่เป็น ได้สร้างประโยชน์ เป็นต้น เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็จะเป็นคนที่ไม่เปรียบเทียบ ไม่เร่งรีบ ไม่ตัดสินตัวเอง เมื่อ IA เกิดก็จะเกิดพร้อม EQ / Resilience / Creativity.แต่คนทำงานองค์กรรู้อยู่เสมอว่ามีคนประเมิน performance / KPI เราเสมอ แต่ถ้าเรา blend สิ่งเหล่านี้เข้าไปก็จะทำให้องค์กรมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น.🔸เราจะสร้าง IA ได้อย่างไร?.1️⃣ ให้สังเกตตัวเองโดยไม่ตัดสิน2️⃣ รับรู้ความรู้สึก ไม่ผลักไส3️⃣ เห็นแพทเทิร์นความคิดตัวเอง 4️⃣ ฟังร่างกาย5️⃣ มีความหมายของตัวเองที่ไม่ใช่ที่คนอื่นวางให้ .🔸 วิธีฝึกการสร้าง IA 1️⃣ สังเกตลมหายใจ2️⃣ สังเกตร่างกาย3️⃣ สังเกตอารมณ์ ความคิด4️⃣ เขียนระบายใส่กระดาษ5️⃣ ถามกัน ตอนนี้รู้สึกยังไง .🔸 หัวหน้า 2 คน เรื่องเล่าจากคุณเอ๋ - นิ้วกลม.👉 หัวหน้าคนแรก คนที่เข้าไปคุยด้วยแล้วตัวลีบตัวสั่น👉 หัวหน้าคนที่สอง คนที่ป้วนเปี้ยนคุยงานไร้สาระได้ อธิบายไอเดียโง่ ๆ ได้ อย่างเช่นตอนเสนอไอเดีย พอหัวหน้าฟังแล้วช่วย develop งานได้ดีน้อยกว่าที่คุณเอ๋คิด คุณเอ๋เลยตระหนักได้ว่า เมื่อหัวหน้าโง่ได้ เราก็โง่กว่าหัวหน้าได้ วิธีการทำงานแบบนี้ทำให้ทีมคุณนิ้วกลมทำงานชนะได้หลายรางวัลมาก ตรงข้ามกับแบบแรกเพราะ ความโง่นั้นนำมาซึ่ง “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะเรากล้าคิดมันออกมา.องค์กรสามารถสร้างความปลอดภัยต่อการเป็นมนุษย์ได้ ไม่ต้องเก๊กว่าตัวเองจะต้อง Perfect เผยความรู้ได้โดยไม่ต้องปิดบัง โลกที่หมุนไวผลักภาระมาให้มนุษย์จนเจ็บป่วย .ให้รางวัลคนที่รองรับความรู้สึกเพื่อนร่วมงาน การที่เขาหายไป ทีมอาจ collapse ได้ มองเห็นคนที่ชุบชูใจคนอื่น ไม่ใช่วัดแค่ประสิทธิภาพ แต่วัดสภาพจิตใจด้วย และนอกจาก performance ก็ต้องวัดความมั่นคงทางจิตใจด้วย เพราะถ้าทุกคนแกว่งหมดองค์กรก็อยู่ไม่ได้ รวมถึงผู้นำที่ก็ต้องกล้าแสดงความรู้สึกออกมา .ปลอดภัย ช้าบางจังหวะ ฟังลึก ตั้งคำถามสะท้อนกัน ผู้นำเปลือยใจ “ทำงานในบรรยากาศของมนุษย์”.🔸 เราเกิดมาทำไม?.มนุษย์เราทำแค่ 3 เรื่องนี้ What How Why คุณเอ๋อยากให้เรามาตอบ How ให้ได้ อย่างคุณเอ๋ก็พบว่า How ของตัวเองคือการสื่อสารด้วยตัวหนังสือ บางคนอาจมีความสามารถต่างไป เราแค่เป็นเรา ส่งเสริมให้คนในทีมเป็นเขา และเชิดชูใน How ของเขา .เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม และรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร .ในโลก AI เราต้องการ IA : Inner Awareness is the NEW RICH ความรวยปัญญา ทำงานเพื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้จักตัวเอง ความหมายชีวิต และสัจธรรม ยอมรับความจริงข้อนี้แล้วคนจะอยากทำงานกับองค์กรที่ไม่ใช่ให้แค่เงินเดือน แต่ทำให้เขาได้รู้ตัวเองและรวยปัญญา รวยปัญญา = รวยความสุข..#Skooldio #PPC2025 #PEOPLEPERFORMANCEConference2025 #CREATIVETALK #QGEN #นิ้วกลม #AI #Selfawareness #selfdevelopment #พัฒนาตัวเอง #mentalhealth #books
    อย่าทำงานแบบหุ่นยนต์ที่ป้อน prompt แต่ทำงานแบบมนุษย์ด้วยกัน .สรุป Session พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง HOW TO EMPOWER PEOPLE IN FRAGMENTED WORLD โดยคุณเอ๋-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม Roundfinger ) ในงาน PEOPLE PERFORMANCE CONFERENCE 2025.🔸 พัฒนาคนอย่างไร ในวันที่โลกไร้ทิศทาง? .“โลกไร้ทิศทาง” ยุคสมัยนี้ เป็นยุคสมัยที่อยู่ยากมากที่สุดยุคหนึ่ง ท้าทายคนทำงานในทุกอาชีพ.เราควรตระหนักว่าเราอยู่ในสภาพที่ไม่ง่าย เราทุกคนที่ยังสามารถทำงานใช้ชีวิตประคองตัวเองในโลกทุกวันนี้ได้เป็นคนที่ ”เก่ง” มาก .“ความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร” คำถามนี้อาจเป็นคำถามที่หลายคนรู้สึกยากที่จะตอบ มันไม่ง่ายที่เราถูกจู่โจมด้วยทุกสิ่ง แม้กายเราอยู่ที่นี่ แต่ใจเราอาจอยู่ในข่าว อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์ อยู่ในกรุ๊ปที่ถูกตามงาน เราอยู่ห่างจากตัวเองมาก ขนาดคำถามง่าย ๆ อย่างเรารู้สึกอย่างไรยังตอบยาก .ในการพัฒนาคน พัฒนาองค์กร คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญ .โลกไร้ทิศทางจากการที่ทั้ง Tech การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม คุณค่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อคุณค่าที่มนุษย์ให้กับตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ลดความเร็ว มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย.🔸 แล้วโลกไร้ทิศทางนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร?1️⃣ เรามีข้อมูลเยอะมาก แต่มีปัญญาน้อยลง : ปัญญาคือการ รู้จักตัวเอง รู้วิธีมีความสุข รู้ความหมายชีวิต รู้ถึงความจริงรู้ถึงสัจธรรม2️⃣ โลกไม่มีเป้าหมายร่วม : ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละประเทศจำเป็นต้องฟื้นฟู สงครามเย็นทำให้เกิดการแบ่งขั้ว จากนั้นก็ยุคโลกาภิวัฒน์ที่โลกเชื่อมโยงเข้าหากัน แต่พอมาถึงยุคนี้ เราเข้าสู่คำถามใหม่ว่า ตกลงแล้วเป้าหมายแต่ละประเทศ แต่ละคนคืออะไร? เมื่อโลกไร้เป้าหมาย ปัจเจกก็สับสน .3️⃣ ไม่มี ‘เรื่องเล่าใหญ่’ อีกต่อไป : สังคมขาดความเชื่อร่วมกัน เช่น ศาสนา ชาติ พระเจ้า ฯลฯ ถ้าเราไม่มี เรื่องเล่าใหญ่ เมื่อเราทำงานหนัก ทำงานเหนื่อยเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเหนื่อยไปเพื่ออะไร.4️⃣ พลังกำหนดอนาคตอยู่ในมือไม่กี่คน : ในโลกที่อยู่ในเงื้อมมือคนตัวใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น big tech, big finance, big state เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ดูสิ้นเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้บ้าง? บางทีเราเลยรู้สึก lost ในการมีชีวิตอยู่.5️⃣ Speed ปัจจุบันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อมนุษย์ : แต่ปฏิเสธไม่ได้นี่คือโลกที่พวกเราอยู่ .คนจึงเกิดความคิดที่ว่า “ฉันไม่เหมาะกับโลกใบนี้” ฉันช้า แก่ เหนื่อย อยู่ผิดที่ ยอมแพ้ นำไปสู่ความหมดไฟไม่อยากทำงาน นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทำหน้าที่บริหารคน เรากำลังมุ่งหน้าไปข้างหน้าเหมือนรถที่วิ่งแบบจรวด แต่รถคันนั้นไม่ตอบคำถามว่า 'เรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน' พอเราล้า ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากพัฒนาแล้ว.ดังนั้น “ทิศที่ถูก” จึงสำคัญกว่า “ความเร็ว” การตั้งต้นว่าเราจะไปทิศไหนจึงสำคัญกับการพัฒนาตน คน องค์กร.🔸จะพัฒนาคนยังไง?.การเรียนรู้ Design Thinking, Digital Mindset, Upskill, Reskill, Relearn ที่ศึกษากันอยู่นั้นพอไหม?.เราเรียนรู้ชุดความรู้หลายด้านมาก ไม่ว่าจะเป็นSkillset > learning ability Mindset > Growth Mindsetแต่เรามี Heartset หรือยัง? .🔸Heartset ชุดความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ คือสิ่งที่คุณเอ๋ อยากชวนมาเจาะลึกลงไป .ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่คนเก่งไม่พอ ไม่ใช่คนไม่อยากเก่ง แต่พอเก่งมากแล้วต้องวิ่งไล่ทุกสิ่ง คำถามคือ ฉันจะเก่งไปเพื่ออะไรดี ดังนั้นเราต้องการเข็มทิศที่ดี จะได้รู้ว่าจะไปทางไหน คุณเอ๋เลยอยากชวนคิดชวนคุยมุมนี้ว่า “ทำไมเราถึงอยากเก่ง” “ทำไมเราถึงอยากพัฒนาคน”.🔸 โลกกำลังอยู่ในยุค AI และ IA (Inner Awareness).เราต้องการ IA อย่างมาก เพราะยิ่งมันเร็ว เรายิ่งต้องเข้าใจตัวเอง AI ทำให้เราทำงานดีขึ้น แต่ IA คือตอบว่าเราทำงานดีไปทำไม และเราต้องอย่าลืมมีจิตใจที่มั่นคงยืดหยุ่น ไม่เปราะบาง ไม่งั้นการพัฒนาองค์กร คือการใช้คนแล้วทิ้ง มีคนเจ็บป่วยทางสุขภาพจิตแล้วเมื่อเขาอยู่ในระบบนี้ไม่ได้ก็ถูกปัดออก การพัฒนาคน องค์กรที่ดี ต้องรักษาคนและหัวใจคนด้วย.🔸 ทำยังไงให้ทีมรู้จักตัวเอง?.พลังที่แท้จริงเกิดจากการเข้าใจข้างใน เป็นสิ่งที่ทีมผู้บริหารองค์กรช่วยได้มากและเราควบคุมได้ คำตอบข้างใน เช่น การรักตัวเองในแบบที่เป็น ได้สร้างประโยชน์ เป็นต้น เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็จะเป็นคนที่ไม่เปรียบเทียบ ไม่เร่งรีบ ไม่ตัดสินตัวเอง เมื่อ IA เกิดก็จะเกิดพร้อม EQ / Resilience / Creativity.แต่คนทำงานองค์กรรู้อยู่เสมอว่ามีคนประเมิน performance / KPI เราเสมอ แต่ถ้าเรา blend สิ่งเหล่านี้เข้าไปก็จะทำให้องค์กรมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น.🔸เราจะสร้าง IA ได้อย่างไร?.1️⃣ ให้สังเกตตัวเองโดยไม่ตัดสิน2️⃣ รับรู้ความรู้สึก ไม่ผลักไส3️⃣ เห็นแพทเทิร์นความคิดตัวเอง 4️⃣ ฟังร่างกาย5️⃣ มีความหมายของตัวเองที่ไม่ใช่ที่คนอื่นวางให้ .🔸 วิธีฝึกการสร้าง IA 1️⃣ สังเกตลมหายใจ2️⃣ สังเกตร่างกาย3️⃣ สังเกตอารมณ์ ความคิด4️⃣ เขียนระบายใส่กระดาษ5️⃣ ถามกัน ตอนนี้รู้สึกยังไง .🔸 หัวหน้า 2 คน เรื่องเล่าจากคุณเอ๋ - นิ้วกลม.👉 หัวหน้าคนแรก คนที่เข้าไปคุยด้วยแล้วตัวลีบตัวสั่น👉 หัวหน้าคนที่สอง คนที่ป้วนเปี้ยนคุยงานไร้สาระได้ อธิบายไอเดียโง่ ๆ ได้ อย่างเช่นตอนเสนอไอเดีย พอหัวหน้าฟังแล้วช่วย develop งานได้ดีน้อยกว่าที่คุณเอ๋คิด คุณเอ๋เลยตระหนักได้ว่า เมื่อหัวหน้าโง่ได้ เราก็โง่กว่าหัวหน้าได้ วิธีการทำงานแบบนี้ทำให้ทีมคุณนิ้วกลมทำงานชนะได้หลายรางวัลมาก ตรงข้ามกับแบบแรกเพราะ ความโง่นั้นนำมาซึ่ง “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะเรากล้าคิดมันออกมา.องค์กรสามารถสร้างความปลอดภัยต่อการเป็นมนุษย์ได้ ไม่ต้องเก๊กว่าตัวเองจะต้อง Perfect เผยความรู้ได้โดยไม่ต้องปิดบัง โลกที่หมุนไวผลักภาระมาให้มนุษย์จนเจ็บป่วย .ให้รางวัลคนที่รองรับความรู้สึกเพื่อนร่วมงาน การที่เขาหายไป ทีมอาจ collapse ได้ มองเห็นคนที่ชุบชูใจคนอื่น ไม่ใช่วัดแค่ประสิทธิภาพ แต่วัดสภาพจิตใจด้วย และนอกจาก performance ก็ต้องวัดความมั่นคงทางจิตใจด้วย เพราะถ้าทุกคนแกว่งหมดองค์กรก็อยู่ไม่ได้ รวมถึงผู้นำที่ก็ต้องกล้าแสดงความรู้สึกออกมา .ปลอดภัย ช้าบางจังหวะ ฟังลึก ตั้งคำถามสะท้อนกัน ผู้นำเปลือยใจ “ทำงานในบรรยากาศของมนุษย์”.🔸 เราเกิดมาทำไม?.มนุษย์เราทำแค่ 3 เรื่องนี้ What How Why คุณเอ๋อยากให้เรามาตอบ How ให้ได้ อย่างคุณเอ๋ก็พบว่า How ของตัวเองคือการสื่อสารด้วยตัวหนังสือ บางคนอาจมีความสามารถต่างไป เราแค่เป็นเรา ส่งเสริมให้คนในทีมเป็นเขา และเชิดชูใน How ของเขา .เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าเราเกิดมาทำไม และรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร .ในโลก AI เราต้องการ IA : Inner Awareness is the NEW RICH ความรวยปัญญา ทำงานเพื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้จักตัวเอง ความหมายชีวิต และสัจธรรม ยอมรับความจริงข้อนี้แล้วคนจะอยากทำงานกับองค์กรที่ไม่ใช่ให้แค่เงินเดือน แต่ทำให้เขาได้รู้ตัวเองและรวยปัญญา รวยปัญญา = รวยความสุข..#Skooldio #PPC2025 #PEOPLEPERFORMANCEConference2025 #CREATIVETALK #QGEN #นิ้วกลม #AI #Selfawareness #selfdevelopment #พัฒนาตัวเอง #mentalhealth #books
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA Novosti เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ของจีนและมุมมองของปักกิ่งเกี่ยวกับนโยบายปลดอาวุธ ระหว่างเยือนมอสโก ประเทศรัสเซีย

    ➡️ จีนยึดมั่นในยุทธศาสตร์การป้องกันตนเองด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และไม่เคยมีเจตนาแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์กับประเทศใด

    ➡️ ปักกิ่งยังคงรักษาคลังอาวุธนิวเคลียร์ในระดับต่ำเท่าที่จำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ

    ➡️ กองกำลังนิวเคลียร์ของจีน นับว่ามีส่วนสนับสนุนที่สำคัญต่อสันติภาพของโลก

    ➡️ การปลดอาวุธนิวเคลียร์ต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน และยึดตามหลักการไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของจีนและของประเทศใด


    ➡️ จำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของจีนยังห่างไกลจากจำนวนที่สหรัฐอเมริกาครอบครองไว้อย่างที่ไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้

    ➡️ ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ให้จีนเข้าร่วมการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์นั้นไม่ยุติธรรมและไม่สมจริง

    ➡️ สหรัฐฯ ต้องลดบทบาทของอาวุธนิวเคลียร์ในนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ หยุดสร้าง "พันธมิตรนิวเคลียร์" การป้องกันขีปนาวุธระดับโลก และติดตั้งขีปนาวุธภาคพื้นดินพิสัยกลางและกองกำลังยุทธศาสตร์อื่น ๆ ใกล้ชายแดนประเทศอื่นได้แล้ว
    หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RIA Novosti เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ของจีนและมุมมองของปักกิ่งเกี่ยวกับนโยบายปลดอาวุธ ระหว่างเยือนมอสโก ประเทศรัสเซีย ➡️ จีนยึดมั่นในยุทธศาสตร์การป้องกันตนเองด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และไม่เคยมีเจตนาแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์กับประเทศใด ➡️ ปักกิ่งยังคงรักษาคลังอาวุธนิวเคลียร์ในระดับต่ำเท่าที่จำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ ➡️ กองกำลังนิวเคลียร์ของจีน นับว่ามีส่วนสนับสนุนที่สำคัญต่อสันติภาพของโลก ➡️ การปลดอาวุธนิวเคลียร์ต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน และยึดตามหลักการไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงของจีนและของประเทศใด ➡️ จำนวนอาวุธนิวเคลียร์ของจีนยังห่างไกลจากจำนวนที่สหรัฐอเมริกาครอบครองไว้อย่างที่ไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ ➡️ ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ให้จีนเข้าร่วมการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์นั้นไม่ยุติธรรมและไม่สมจริง ➡️ สหรัฐฯ ต้องลดบทบาทของอาวุธนิวเคลียร์ในนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ หยุดสร้าง "พันธมิตรนิวเคลียร์" การป้องกันขีปนาวุธระดับโลก และติดตั้งขีปนาวุธภาคพื้นดินพิสัยกลางและกองกำลังยุทธศาสตร์อื่น ๆ ใกล้ชายแดนประเทศอื่นได้แล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • โพสต์ล้อเล่น “วันโกหก” ระวังเจอคุก! รู้ทันกฎหมายก่อนแชร์ ในวันเอพริลฟูลเดย์

    🤡 วันเอพริลฟูลเดย์ วัฒนธรรมตะวันตกที่คนไทยควร “เล่นอย่างมีสติ” เพราะพลาดเพียงนิดเดียว อาจโดนโทษหนักจาก พ.ร.บ.คอมพ์ฯ 😰

    🧠 วันโกหกที่ไม่ควรโกหก ในทุกวันที่ 1 เมษายนของทุกปี ผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลอง “วันเมษาหน้าโง่” หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า April Fool’s Day วันที่คนส่วนใหญ่ มักใช้เล่นมุกล้อขำขัน สร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง...แต่เดี๋ยวก่อน!

    ✋📱 แม้จะดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ในประเทศไทย การโพสต์หรือแชร์ “ข่าวปลอม” หรือ “ข้อมูลอันเป็นเท็จ” ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อาจทำให้คุณต้องเผชิญกับ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท 😱

    🎭 วันเอพริลฟูลเดย์ (April Fool's Day) เป็นเทศกาลที่คนในประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และหลายประเทศในยุโรป เล่นมุกหลอกกันเพื่อความสนุกสนาน ในวันที่ 1 เมษายน

    ตามธรรมเนียม วัตถุประสงค์ของวันนี้ ไม่ใช่การโกหกแบบจริงจัง แต่เป็นการ เล่นมุกขำขัน โดยต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดผลเสียจริง เช่น ทำให้คนตกใจ เข้าใจผิด หรือเสียหาย

    🌍 ความนิยมของวันโกหก เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยสื่อและบุคคลต่าง ๆ จะโพสต์เรื่องหลอกในวันนี้ และเฉลยความจริงในวันถัดมา

    📚 ต้นกำเนิดของวันโกหกจากตะวันตก มีหลายทฤษฎี เกี่ยวกับต้นกำเนิดของ April Fool’s Day

    ยุคกลางของยุโรป เคยมีการฉลองปีใหม่ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึง 1 เมษายน เมื่อมีการเปลี่ยนมาใช้วันที่ 1 มกราคมแทน คนที่ยังเฉลิมฉลองในช่วงเดิม จึงถูกมองว่า "โง่" 🤦

    มีการเชื่อมโยงกับเทศกาลโรมันชื่อว่า Hilaria ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม เป็นการเฉลิมฉลองความสนุกสนาน และการแต่งตัวล้อเลียน

    ตำนานแคนเตอร์บรีของชอเซอร์ (ปี ค.ศ. 1392) มีคำบรรยายที่ตีความว่า “32 มีนาคม” ซึ่งก็คือวันที่ 1 เมษายน

    🕰️ ไม่ว่าต้นกำเนิดจะมาจากไหน แต่แน่นอนว่าวันนี้กลายเป็น “วันแห่งการหลอกแบบเบา ๆ” ที่ยังมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบัน

    ⚖️ กฎหมายไทยไม่ขำด้วย! รู้จัก พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 แม้ว่าจะเป็นวันล้อเล่น ในวัฒนธรรมตะวันตก แต่ในประเทศไทย การโพสต์ ข้อมูลเท็จ หรือข่าวปลอม ไม่ว่าจะมีเจตนาขำหรือไม่ ก็ถือว่าผิดกฎหมาย!

    📌 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ระบุว่า "ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือประเทศชาติ ถือว่ามีความผิด"

    👮‍♂️ โทษหนักมาก! จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ!

    ❗ แม้จะเป็นการล้อเล่น ถ้าทำให้คนตื่นตระหนก หรือเชื่อผิดจริง ก็ถือว่ามีความผิด ตามกฎหมายนี้ได้เช่นกัน

    🧨 ข่าวปลอมที่คิดว่า “เล่นๆ” แต่ผิดจริง! หลายคนอาจเคยเห็นโพสต์ ในวันเอพริลฟูล เช่น

    “รัฐบาลจะล็อกดาวน์ประเทศ!”
    “ธนาคารกำลังจะล้ม”
    “มีเอเลี่ยนบุกกรุงเทพ”

    แม้จะโพสต์แบบขำ ๆ แต่หากไม่มีการระบุชัดเจนว่าเป็น “มุกล้อเล่น” และส่งผลให้คนตื่นตกใจ หรือแชร์ต่อกันเป็นวงกว้าง ก็มีโอกาสโดนแจ้งความจริง!

    📂 ตัวอย่างคดีจริงในไทยจากวันโกหก เคสข่าวลือวัคซีนหมด ผู้โพสต์บอกว่า "วัคซีนโควิดหมดแล้ว!" แต่ประชาชนบางส่วนเชื่อจริง และแห่กันไปโรงพยาบาล ถูกตำรวจเรียกตัว และแจ้งความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ. คอมฯ

    เคสข่าวปลอมเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติ โพสต์ข่าวแผ่นดินไหวรุนแรงในเชียงใหม่ ทำให้คนตกใจกลัว สุดท้ายพบว่า เป็นมุกในวันเอพริลฟูล แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขำด้วย 😬

    ✅ วิธีโพสต์มุกวันโกหกแบบ “ปลอดภัย” เพื่อไม่ให้เจอปัญหา นี่คือแนวทางการล้อเล่นแบบ “ขำได้ไม่ผิดกฎหมาย

    💡 ต้องมี “คำชี้แจง” ใส่ #มุกวันโกหก หรือ #AprilFools ใช้ emoji อย่าง 🤡😂🃏 เพื่อสื่อความขำขัน เขียนท้ายโพสต์ว่า “เรื่องนี้ไม่จริงนะครับ/ค่ะ เป็นมุกวันโกหก”

    🙅‍♂️ หลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว ความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ เช่น “ธนาคารล้ม” สุขภาพ เช่น “โรคใหม่ระบาด” เหตุการณ์ร้ายแรง เช่น “มีระเบิดในห้าง”

    🎨 ตัวอย่างมุกล้อเล่นที่ปลอดภัย และสร้างสรรค์
    “วันนี้จะลาออกไปเปิดร้านกาแฟบนดาวอังคารแล้วนะ ☕🚀”
    “Apple จะออก iPhone กลิ่นต้มยำในรุ่นถัดไป 🍜📱”
    “บีทีเอสเปิดให้ขึ้นฟรีตลอดปี ถ้าใส่เสื้อสีม่วงทุกวัน 😆”

    🔍 วิธีตรวจสอบข่าว ก่อนโพสต์หรือแชร์ ก่อนจะแชร์อะไรในวันโกหก อย่าลืมตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่!

    ✅ เช็คยังไง? ดูแหล่งข่าว ตรวจสอบว่าเป็นสื่อชั้นนำที่น่าเชื่อถือ ดูวันที่ข่าว ข่าวเก่าบางข่าวถูกนำมาแชร์ใหม่ ใช้เว็บไซต์ตรวจสอบข่าวปลอม เช่น Anti-Fake News Center

    👤 ความรับผิดชอบของผู้ใช้โซเชียล การใช้โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่ความสนุก แต่คือ “ความรับผิดชอบ” เราทุกคนมีส่วนในการสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย อย่าแชร์ถ้าไม่แน่ใจ อย่าทำให้คนอื่นตกใจ อย่าล้อในเรื่องที่กระทบสังคม

    ⚠️ ข้อควรระวัง แชร์โพสต์ของคนอื่นก็ผิดได้! แม้ไม่ได้เป็นคนเขียนโพสต์ต้นฉบับ แต่หาก “แชร์” ข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยไม่ได้ตรวจสอบก่อน ก็อาจถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เช่นกัน!

    👩‍⚖️ ถ้าโดนแจ้งความ ให้ติดต่อทนายความทันที อย่าเพิกเฉยต่อหมายเรียก ให้ข้อมูลตามจริง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่

    🔚 ขำได้...แต่อย่าผิดกฎหมาย! วันเอพริลฟูลเดย์ เป็นวันที่ให้เสียงหัวเราะ แต่ในโลกยุคดิจิทัล การล้อเล่นโดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีกฎหมายควบคุม “ข้อมูลเท็จ” อย่างจริงจัง เช่นประเทศไทย

    คิดก่อนโพสต์ แชร์อย่างรับผิดชอบ ล้อเล่นแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้วันโกหกยังคงเป็นวันสนุก...โดยไม่ต้องเจอคุก! 🤝✨

    📌 อยากให้วันโกหกเป็นเรื่องขำ...ไม่ใช่เรื่องคุก ขอแค่ “คิดก่อนคลิก แชร์อย่างรู้ทัน” ก็ปลอดภัยทุกฝ่าย 😊

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 011152 เม.ย. 2568

    📌 #วันเอพริลฟูลเดย์ #ข่าวปลอม #โพสต์ล้อเล่น #พรกคอมพ์ #วันโกหก #AprilFools #ล้อเล่นอย่างมีสติ #แชร์อย่างรับผิดชอบ #กฎหมายออนไลน์ #โทษโพสต์เท็จ

    โพสต์ล้อเล่น “วันโกหก” ระวังเจอคุก! รู้ทันกฎหมายก่อนแชร์ ในวันเอพริลฟูลเดย์ 🤡 วันเอพริลฟูลเดย์ วัฒนธรรมตะวันตกที่คนไทยควร “เล่นอย่างมีสติ” เพราะพลาดเพียงนิดเดียว อาจโดนโทษหนักจาก พ.ร.บ.คอมพ์ฯ 😰 🧠 วันโกหกที่ไม่ควรโกหก ในทุกวันที่ 1 เมษายนของทุกปี ผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลอง “วันเมษาหน้าโง่” หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า April Fool’s Day วันที่คนส่วนใหญ่ มักใช้เล่นมุกล้อขำขัน สร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง...แต่เดี๋ยวก่อน! ✋📱 แม้จะดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ในประเทศไทย การโพสต์หรือแชร์ “ข่าวปลอม” หรือ “ข้อมูลอันเป็นเท็จ” ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อาจทำให้คุณต้องเผชิญกับ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท 😱 🎭 วันเอพริลฟูลเดย์ (April Fool's Day) เป็นเทศกาลที่คนในประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และหลายประเทศในยุโรป เล่นมุกหลอกกันเพื่อความสนุกสนาน ในวันที่ 1 เมษายน ตามธรรมเนียม วัตถุประสงค์ของวันนี้ ไม่ใช่การโกหกแบบจริงจัง แต่เป็นการ เล่นมุกขำขัน โดยต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดผลเสียจริง เช่น ทำให้คนตกใจ เข้าใจผิด หรือเสียหาย 🌍 ความนิยมของวันโกหก เริ่มตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยสื่อและบุคคลต่าง ๆ จะโพสต์เรื่องหลอกในวันนี้ และเฉลยความจริงในวันถัดมา 📚 ต้นกำเนิดของวันโกหกจากตะวันตก มีหลายทฤษฎี เกี่ยวกับต้นกำเนิดของ April Fool’s Day ยุคกลางของยุโรป เคยมีการฉลองปีใหม่ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึง 1 เมษายน เมื่อมีการเปลี่ยนมาใช้วันที่ 1 มกราคมแทน คนที่ยังเฉลิมฉลองในช่วงเดิม จึงถูกมองว่า "โง่" 🤦 มีการเชื่อมโยงกับเทศกาลโรมันชื่อว่า Hilaria ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม เป็นการเฉลิมฉลองความสนุกสนาน และการแต่งตัวล้อเลียน ตำนานแคนเตอร์บรีของชอเซอร์ (ปี ค.ศ. 1392) มีคำบรรยายที่ตีความว่า “32 มีนาคม” ซึ่งก็คือวันที่ 1 เมษายน 🕰️ ไม่ว่าต้นกำเนิดจะมาจากไหน แต่แน่นอนว่าวันนี้กลายเป็น “วันแห่งการหลอกแบบเบา ๆ” ที่ยังมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบัน ⚖️ กฎหมายไทยไม่ขำด้วย! รู้จัก พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 แม้ว่าจะเป็นวันล้อเล่น ในวัฒนธรรมตะวันตก แต่ในประเทศไทย การโพสต์ ข้อมูลเท็จ หรือข่าวปลอม ไม่ว่าจะมีเจตนาขำหรือไม่ ก็ถือว่าผิดกฎหมาย! 📌 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ระบุว่า "ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือประเทศชาติ ถือว่ามีความผิด" 👮‍♂️ โทษหนักมาก! จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ! ❗ แม้จะเป็นการล้อเล่น ถ้าทำให้คนตื่นตระหนก หรือเชื่อผิดจริง ก็ถือว่ามีความผิด ตามกฎหมายนี้ได้เช่นกัน 🧨 ข่าวปลอมที่คิดว่า “เล่นๆ” แต่ผิดจริง! หลายคนอาจเคยเห็นโพสต์ ในวันเอพริลฟูล เช่น “รัฐบาลจะล็อกดาวน์ประเทศ!” “ธนาคารกำลังจะล้ม” “มีเอเลี่ยนบุกกรุงเทพ” แม้จะโพสต์แบบขำ ๆ แต่หากไม่มีการระบุชัดเจนว่าเป็น “มุกล้อเล่น” และส่งผลให้คนตื่นตกใจ หรือแชร์ต่อกันเป็นวงกว้าง ก็มีโอกาสโดนแจ้งความจริง! 📂 ตัวอย่างคดีจริงในไทยจากวันโกหก เคสข่าวลือวัคซีนหมด ผู้โพสต์บอกว่า "วัคซีนโควิดหมดแล้ว!" แต่ประชาชนบางส่วนเชื่อจริง และแห่กันไปโรงพยาบาล ถูกตำรวจเรียกตัว และแจ้งความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ. คอมฯ เคสข่าวปลอมเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติ โพสต์ข่าวแผ่นดินไหวรุนแรงในเชียงใหม่ ทำให้คนตกใจกลัว สุดท้ายพบว่า เป็นมุกในวันเอพริลฟูล แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขำด้วย 😬 ✅ วิธีโพสต์มุกวันโกหกแบบ “ปลอดภัย” เพื่อไม่ให้เจอปัญหา นี่คือแนวทางการล้อเล่นแบบ “ขำได้ไม่ผิดกฎหมาย 💡 ต้องมี “คำชี้แจง” ใส่ #มุกวันโกหก หรือ #AprilFools ใช้ emoji อย่าง 🤡😂🃏 เพื่อสื่อความขำขัน เขียนท้ายโพสต์ว่า “เรื่องนี้ไม่จริงนะครับ/ค่ะ เป็นมุกวันโกหก” 🙅‍♂️ หลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว ความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจ เช่น “ธนาคารล้ม” สุขภาพ เช่น “โรคใหม่ระบาด” เหตุการณ์ร้ายแรง เช่น “มีระเบิดในห้าง” 🎨 ตัวอย่างมุกล้อเล่นที่ปลอดภัย และสร้างสรรค์ “วันนี้จะลาออกไปเปิดร้านกาแฟบนดาวอังคารแล้วนะ ☕🚀” “Apple จะออก iPhone กลิ่นต้มยำในรุ่นถัดไป 🍜📱” “บีทีเอสเปิดให้ขึ้นฟรีตลอดปี ถ้าใส่เสื้อสีม่วงทุกวัน 😆” 🔍 วิธีตรวจสอบข่าว ก่อนโพสต์หรือแชร์ ก่อนจะแชร์อะไรในวันโกหก อย่าลืมตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่! ✅ เช็คยังไง? ดูแหล่งข่าว ตรวจสอบว่าเป็นสื่อชั้นนำที่น่าเชื่อถือ ดูวันที่ข่าว ข่าวเก่าบางข่าวถูกนำมาแชร์ใหม่ ใช้เว็บไซต์ตรวจสอบข่าวปลอม เช่น Anti-Fake News Center 👤 ความรับผิดชอบของผู้ใช้โซเชียล การใช้โซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่ความสนุก แต่คือ “ความรับผิดชอบ” เราทุกคนมีส่วนในการสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัย อย่าแชร์ถ้าไม่แน่ใจ อย่าทำให้คนอื่นตกใจ อย่าล้อในเรื่องที่กระทบสังคม ⚠️ ข้อควรระวัง แชร์โพสต์ของคนอื่นก็ผิดได้! แม้ไม่ได้เป็นคนเขียนโพสต์ต้นฉบับ แต่หาก “แชร์” ข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยไม่ได้ตรวจสอบก่อน ก็อาจถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เช่นกัน! 👩‍⚖️ ถ้าโดนแจ้งความ ให้ติดต่อทนายความทันที อย่าเพิกเฉยต่อหมายเรียก ให้ข้อมูลตามจริง และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ 🔚 ขำได้...แต่อย่าผิดกฎหมาย! วันเอพริลฟูลเดย์ เป็นวันที่ให้เสียงหัวเราะ แต่ในโลกยุคดิจิทัล การล้อเล่นโดยไม่ระวัง อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีกฎหมายควบคุม “ข้อมูลเท็จ” อย่างจริงจัง เช่นประเทศไทย คิดก่อนโพสต์ แชร์อย่างรับผิดชอบ ล้อเล่นแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้วันโกหกยังคงเป็นวันสนุก...โดยไม่ต้องเจอคุก! 🤝✨ 📌 อยากให้วันโกหกเป็นเรื่องขำ...ไม่ใช่เรื่องคุก ขอแค่ “คิดก่อนคลิก แชร์อย่างรู้ทัน” ก็ปลอดภัยทุกฝ่าย 😊 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 011152 เม.ย. 2568 📌 #วันเอพริลฟูลเดย์ #ข่าวปลอม #โพสต์ล้อเล่น #พรกคอมพ์ #วันโกหก #AprilFools #ล้อเล่นอย่างมีสติ #แชร์อย่างรับผิดชอบ #กฎหมายออนไลน์ #โทษโพสต์เท็จ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เสียหายสาวแจ้งความดำเนินคดี "ลุงสมนิจ" แอบอ้างเป็นภรรยาท้อง 4 เดือน ติดอยู่ในซากตึก สตง.พังถล่ม จนมีประชาชนสงสารโอนเงินให้จำนวนมาก ยอมรับตกใจไม่รู้เอาบัตรไปได้อย่างไร ชื่อเสียงตนเองและครอบครัวเสียหายหนัก

    วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ สน.บางซื่อ น.ส.กรวิภา (สงวนนามสกุล) หรือมายด์ อายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กรณี นายสมนิจ ดวงเนตร อายุ 50 ปี นำชื่อไปอ้างว่า ภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียนโซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้ เนื่องจากติดอยู่ใต้ซากตึก ต่อมาพบว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    น.ส.กรวิภา กล่าวว่า บัตรดังกล่าวคือบัตรที่ตนเคยเป็นพนักงาน ภายในห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อปี 2019 หลังจากนั้นได้นำบัตรคืนกับทางห้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าบัตรตนไปอยู่กับ ลุงสมนิจ รู้สึกตกใจและช็อกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าลุงเอาบัตรของตนไปได้อย่างไร เมื่อครอบครัวทราบข่าวตกใจมากนึกว่าลูกสาวเสียชีวิต

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030753

    #MGROnline #ลุงสมนิจ #แผ่นดินไหว #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.
    ผู้เสียหายสาวแจ้งความดำเนินคดี "ลุงสมนิจ" แอบอ้างเป็นภรรยาท้อง 4 เดือน ติดอยู่ในซากตึก สตง.พังถล่ม จนมีประชาชนสงสารโอนเงินให้จำนวนมาก ยอมรับตกใจไม่รู้เอาบัตรไปได้อย่างไร ชื่อเสียงตนเองและครอบครัวเสียหายหนัก • วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ สน.บางซื่อ น.ส.กรวิภา (สงวนนามสกุล) หรือมายด์ อายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กรณี นายสมนิจ ดวงเนตร อายุ 50 ปี นำชื่อไปอ้างว่า ภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียนโซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้ เนื่องจากติดอยู่ใต้ซากตึก ต่อมาพบว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง • น.ส.กรวิภา กล่าวว่า บัตรดังกล่าวคือบัตรที่ตนเคยเป็นพนักงาน ภายในห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อปี 2019 หลังจากนั้นได้นำบัตรคืนกับทางห้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าบัตรตนไปอยู่กับ ลุงสมนิจ รู้สึกตกใจและช็อกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าลุงเอาบัตรของตนไปได้อย่างไร เมื่อครอบครัวทราบข่าวตกใจมากนึกว่าลูกสาวเสียชีวิต • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030753 • #MGROnline #ลุงสมนิจ #แผ่นดินไหว #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ส่งผลกระทบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่โรงงานในไทยที่เป็นฐานการผลิตสำคัญไม่ได้รับความเสียหาย บริษัทเทคโนโลยีรายงานว่าดำเนินงานตามปกติ และมีแนวโน้มขยายการผลิตในพื้นที่เพื่อเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชน

    การดำเนินการหลังเหตุการณ์:
    - บริษัทในไทยหลายแห่ง เช่น Zhen Ding Tech และ Delta Electronics ทำการอพยพพนักงานชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและกลับมาดำเนินงานได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

    ความสำคัญของประเทศไทยในอุตสาหกรรม:
    - ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับบริษัทอย่าง Intel, Seagate และ Western Digital และเหตุการณ์นี้เป็นการทดสอบความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้

    แนวโน้มการขยายการผลิต:
    - หลายบริษัทกำลังเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม

    ความมั่นคงของโรงงาน:
    - โรงงานในพื้นที่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เช่น จังหวัดระยองและชลบุรี ไม่มีรายงานความเสียหาย และยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/can-earthquake-in-myanmar-disrupt-pc-hardware-production-manufacturers-are-checking-out
    เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาร์ส่งผลกระทบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่โรงงานในไทยที่เป็นฐานการผลิตสำคัญไม่ได้รับความเสียหาย บริษัทเทคโนโลยีรายงานว่าดำเนินงานตามปกติ และมีแนวโน้มขยายการผลิตในพื้นที่เพื่อเสริมความมั่นคงของซัพพลายเชน การดำเนินการหลังเหตุการณ์: - บริษัทในไทยหลายแห่ง เช่น Zhen Ding Tech และ Delta Electronics ทำการอพยพพนักงานชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและกลับมาดำเนินงานได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ความสำคัญของประเทศไทยในอุตสาหกรรม: - ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับบริษัทอย่าง Intel, Seagate และ Western Digital และเหตุการณ์นี้เป็นการทดสอบความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคนี้ แนวโน้มการขยายการผลิต: - หลายบริษัทกำลังเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศไทยเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม ความมั่นคงของโรงงาน: - โรงงานในพื้นที่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว เช่น จังหวัดระยองและชลบุรี ไม่มีรายงานความเสียหาย และยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง https://www.tomshardware.com/tech-industry/can-earthquake-in-myanmar-disrupt-pc-hardware-production-manufacturers-are-checking-out
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion

    ข้อดีของ Radiocarbon:
    - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ.

    การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
    - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน.

    แอปพลิเคชันที่หลากหลาย:
    - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ.

    ความท้าทายและอนาคต:
    - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion ข้อดีของ Radiocarbon: - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ. การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ: - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน. แอปพลิเคชันที่หลากหลาย: - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ. ความท้าทายและอนาคต: - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nuclear-powered battery could eliminate need for recharging
    A team led by Su-Il In, a professor at South Korea's Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology, is developing an innovative solution: radiocarbon-powered nuclear batteries that...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัสเซียได้พัฒนาโดรนเจอเรเนียม (Geranium) ให้สามารถติดตั้งกล้องเพื่อทำการลาดตระเวนในระหว่างการโจมตีได้

    ‼️ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกลยุทธ์การโจมตีด้วยโดรนใหม่ดังนี้:

    เดิมทีโดรนจะบินไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้ทีละลำทิ้งระยะห่างกันไม่กี่นาทีในการเข้าโจมตีเป้าหมาย แต่การปรับปรุงครั้งนี้ โดรนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่(หลายสิบลำหรือมากกว่านั้น) ก่อนถึงเป้าหมายหลายกิโลเมตรที่ระดับความสูงหลายพันเมตร เมื่อถึงระยะที่กำหนด โดรนทั้งหมดจะบินเข้าโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน

    ด้วยวิธีนี้ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพจากการถูกสกัดกั้นมากกว่าเดิม แม้จะถูกทำลายไปบ้างแต่ทั้งหมดยังเดินหน้าถึงเป้าหมายได้ และสร้างอานุภาพจากแรงระเบิดได้มากกว่าสิบเท่า
    รัสเซียได้พัฒนาโดรนเจอเรเนียม (Geranium) ให้สามารถติดตั้งกล้องเพื่อทำการลาดตระเวนในระหว่างการโจมตีได้ ‼️ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกลยุทธ์การโจมตีด้วยโดรนใหม่ดังนี้: เดิมทีโดรนจะบินไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้ทีละลำทิ้งระยะห่างกันไม่กี่นาทีในการเข้าโจมตีเป้าหมาย แต่การปรับปรุงครั้งนี้ โดรนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่(หลายสิบลำหรือมากกว่านั้น) ก่อนถึงเป้าหมายหลายกิโลเมตรที่ระดับความสูงหลายพันเมตร เมื่อถึงระยะที่กำหนด โดรนทั้งหมดจะบินเข้าโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยวิธีนี้ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพจากการถูกสกัดกั้นมากกว่าเดิม แม้จะถูกทำลายไปบ้างแต่ทั้งหมดยังเดินหน้าถึงเป้าหมายได้ และสร้างอานุภาพจากแรงระเบิดได้มากกว่าสิบเท่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 23 1 รีวิว
  • ข่าวจริงหรือเฟกนิวส์ หลังพบมีนายหน้าประกาศขายตึก “สาธร ยูนีค” ราคา 4 พันล้านบาท ล่าสุดเผยว่ามีติดต่อมาแล้ว 5 รายใหญ่

    จากกรณี จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยรู้สึกถึงความสั่นไหวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บนถนนกำแพงเพชร 2 ตรงข้ามศูนย์การค้าเจเจมอลล์ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตได้นำตึกของ สตง.ไปเปรียบเทียบกับ ตึกใบหยก , ตึกช้างและตึกสาธร ยูนีค

    อย่างไรก็ตาม พบว่าเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ชาวเน็ตแห่แชร์โพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งอ้างว่าตนเองเป็นนายหน้า ประกาศขายตึกสาธร ยูนีค ในราคา 4 พันล้าน โดยได้ระบุข้อความว่า

    “#ขายตึกสูง 49ชั้น #ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา #ตึกสาธร ยูนิท ที่ดิน3.19ไร่ ตึกยังสร้างไม่เสร็จ เจอ I M F,เสียก่อน ‼️อยู่ถนนเจริญกรุง ไม่โดนมรดกโลกปิดบังทัศนียภาพ ผู้ออกแบบสถาปนิก อ,รังสรรถ้าสร้างเสร็จจะสวยดั่งรูปภาพแบบคอนโดที่หรูที่สุดในใจกลางเมืองมีสระว่ายน้ำรวมอยู่ด้วยใกล้สถานี BTS ไกล้ห้างโรบิลสัน ร,ร,แซงการิล่า หรือโอเร็นเต้ลริมแม่น้ำ สวยสุดแปลงที่เหลือ ขาย 4,000ล้านบาท สี่พันล้านบาท)ราคามาคุยกันได้คับ

    ออกแบบรองรับ แผ่นดินไหว โดยผู้เชี่ยชาญ สถาปนิกมือหนึ่งของไทยและ จากต่างประเทศ ขาย 4 พันล้านถ้วน “

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030057

    #MGROnline #สาธรยูนีค #สาทรยูนีค #ตึกร้างกรุงเทพ #อสังหาริมทรัพย์ไทย
    ข่าวจริงหรือเฟกนิวส์ หลังพบมีนายหน้าประกาศขายตึก “สาธร ยูนีค” ราคา 4 พันล้านบาท ล่าสุดเผยว่ามีติดต่อมาแล้ว 5 รายใหญ่ • จากกรณี จากกรณีเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยรู้สึกถึงความสั่นไหวในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บนถนนกำแพงเพชร 2 ตรงข้ามศูนย์การค้าเจเจมอลล์ แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตได้นำตึกของ สตง.ไปเปรียบเทียบกับ ตึกใบหยก , ตึกช้างและตึกสาธร ยูนีค • อย่างไรก็ตาม พบว่าเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ชาวเน็ตแห่แชร์โพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งอ้างว่าตนเองเป็นนายหน้า ประกาศขายตึกสาธร ยูนีค ในราคา 4 พันล้าน โดยได้ระบุข้อความว่า “#ขายตึกสูง 49ชั้น #ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา #ตึกสาธร ยูนิท ที่ดิน3.19ไร่ ตึกยังสร้างไม่เสร็จ เจอ I M F,เสียก่อน ‼️อยู่ถนนเจริญกรุง ไม่โดนมรดกโลกปิดบังทัศนียภาพ ผู้ออกแบบสถาปนิก อ,รังสรรถ้าสร้างเสร็จจะสวยดั่งรูปภาพแบบคอนโดที่หรูที่สุดในใจกลางเมืองมีสระว่ายน้ำรวมอยู่ด้วยใกล้สถานี BTS ไกล้ห้างโรบิลสัน ร,ร,แซงการิล่า หรือโอเร็นเต้ลริมแม่น้ำ สวยสุดแปลงที่เหลือ ขาย 4,000ล้านบาท สี่พันล้านบาท)ราคามาคุยกันได้คับ ออกแบบรองรับ แผ่นดินไหว โดยผู้เชี่ยชาญ สถาปนิกมือหนึ่งของไทยและ จากต่างประเทศ ขาย 4 พันล้านถ้วน “ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030057 • #MGROnline #สาธรยูนีค #สาทรยูนีค #ตึกร้างกรุงเทพ #อสังหาริมทรัพย์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพจเฟซบุ๊ก กรมอุตุนิยมวิทยา โพสต์ข้อความว่า 29 มี.ค. 68 เวลา 16.20 น. เกิดแผ่นดินไหวในเมียนมา ขนาด 5.9 เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ประชาชนรู้สึกแรงสั่นไหว ที่ อ.ปาย อ.ขุนยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน และ อ.เมืองเชียงใหม่ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย

    ขณะที่ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) รายงานเหตุแผ่นดินไหวในเมียนม่า ครั้งล่าสุด เมื่อเวลา 16.20 น.ที่ผ่านมา ตามเวลาในไทย จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงเนปิดอ เมืองหลวงของเมียนม่า ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 19 กิโลเมตร ที่ระดับความลึกจากพื้นดิน 10 กิโลเมตร

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030075

    #MGROnline #กรมอุตุนิยมวิทยา #แม่ฮ่องสอน #เชียงใหม่ #แผ่นดินไหว
    เพจเฟซบุ๊ก กรมอุตุนิยมวิทยา โพสต์ข้อความว่า 29 มี.ค. 68 เวลา 16.20 น. เกิดแผ่นดินไหวในเมียนมา ขนาด 5.9 เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ประชาชนรู้สึกแรงสั่นไหว ที่ อ.ปาย อ.ขุนยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน และ อ.เมืองเชียงใหม่ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย • ขณะที่ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) รายงานเหตุแผ่นดินไหวในเมียนม่า ครั้งล่าสุด เมื่อเวลา 16.20 น.ที่ผ่านมา ตามเวลาในไทย จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากกรุงเนปิดอ เมืองหลวงของเมียนม่า ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 19 กิโลเมตร ที่ระดับความลึกจากพื้นดิน 10 กิโลเมตร • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030075 • #MGROnline #กรมอุตุนิยมวิทยา #แม่ฮ่องสอน #เชียงใหม่ #แผ่นดินไหว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการค้นหาและกู้ซากรถกู้ภัยหุ้มเกราะ M88A2 “Hercules” ของกองทัพสหรัฐฯ ที่จมโคลนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ 4 นาย ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตแล้ว ยังคงดำเนินต่อไปในลิทัวเนีย

    กองกำลังพิเศษที่ประกอบด้วยทหาร 50 นายและยุทโธปกรณ์หนักจากกองทัพโปแลนด์รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ ของ NATO ยังคงทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อกู้รถหุ้มเกราะพร้อมด้วยร่างของทหารอเมริกัน 4 นายซึ่งจมลงไปในหนองน้ำระดับความลึก 5 เมตร นานกว่า 1 วัน ระหว่างการซ้อมรบร่วมเมื่อวันอังคารในลิทัวเนียตะวันออกห่างจากชายแดนเพียงไม่กี่ไมล์

    คาดว่าการกู้ซากอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการระบายน้ำออก และขุดลงไปในโคลนลึกซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ
    ปฏิบัติการค้นหาและกู้ซากรถกู้ภัยหุ้มเกราะ M88A2 “Hercules” ของกองทัพสหรัฐฯ ที่จมโคลนพร้อมกับเจ้าหน้าที่ 4 นาย ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตแล้ว ยังคงดำเนินต่อไปในลิทัวเนีย กองกำลังพิเศษที่ประกอบด้วยทหาร 50 นายและยุทโธปกรณ์หนักจากกองทัพโปแลนด์รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารอื่นๆ ของ NATO ยังคงทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อกู้รถหุ้มเกราะพร้อมด้วยร่างของทหารอเมริกัน 4 นายซึ่งจมลงไปในหนองน้ำระดับความลึก 5 เมตร นานกว่า 1 วัน ระหว่างการซ้อมรบร่วมเมื่อวันอังคารในลิทัวเนียตะวันออกห่างจากชายแดนเพียงไม่กี่ไมล์ คาดว่าการกู้ซากอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการระบายน้ำออก และขุดลงไปในโคลนลึกซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย

    📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ

    🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ

    เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳

    📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀

    จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน

    แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ

    ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ

    📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต
    🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น.
    - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ
    - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ
    - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน
    - ผู้สูญหาย 47 คน
    - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน

    การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D
    📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย
    📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย
    📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย

    การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย

    💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว

    🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร

    👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ

    โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง

    🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน

    โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น
    - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน”
    - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form)
    - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ
    - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว

    👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น...

    🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน
    - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้

    - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง”

    - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น

    🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง
    – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

    – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

    – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก

    ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด

    หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568

    🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    ยุติค้นหา ตึกใหม่ สตง. ถล่ม! ยืนยันตาย 7 ศพ สูญหาย 47 คน เปิดเบื้องหลังบริษัทยักษ์ใหญ่จีน ชิมลางสร้างตึกสูงในไทย แห่งแรกในต่างแดน ที่จบไม่สวย 📌 เหตุการณ์สั่นสะเทือนวงการก่อสร้างไทย-จีน ที่สะท้อนความเสี่ยงระดับชาติ 🏗️ แผ่นดินไหวแรงสะเทือนถึงใจ ตึกใหม่ สตง. ถล่มกลางกรุง! ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น... อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในย่านจตุจักร กรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างรุนแรง หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลมาถึงกรุงเทพฯ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะเทือนชีวิตผู้คน มีผู้เสียชีวิตยืนยันแล้ว 7 ศพ สูญหาย 47 คน และมีผู้ติดอยู่ใต้ซากอาคาร 30 คน แต่ยังเป็น จุดจบของความหวังทางยุทธศาสตร์ ที่จะให้บริษัทจีนเข้ามาชิมลาง สร้างอาคารสูงพิเศษในไทย เป็นครั้งแรกในต่างแดน 🇹🇭🇨🇳 📌 เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีศูนย์กลางลึกใต้ดินกว่า 90 กม. แม้จะห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือน สามารถรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล 🌀 จุดพังถล่มคือ อาคารสำนักงาน สตง. แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และเพิ่งสร้างโครงสร้างเสร็จไปได้เพียง 30% ของแผนงาน แม้อาคารจะยังไม่เปิดใช้งาน แต่ในขณะนั้นมีวิศวกร ช่างเทคนิค และคนงานกว่า 100 ชีวิต อยู่ภายใน เนื่องจากกำลังเร่งติดตั้งระบบภายใน เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และระบบอาคารอัจฉริยะต่างๆ ⛑️ ทันทีหลังจากเหตุการณ์ถล่ม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายทีม ได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมอุปกรณ์ค้นหา และกู้ภัยทันสมัย เช่น กล้องจับความร้อน, โดรน, เครื่องตรวจจับเสียง ฯลฯ 📉 ภาพรวมความเสียหาย และภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต 🚨 สรุปสถานการณ์ ณ วันที่ 29 มีนาคม เวลา 05.00 น. - เสียชีวิตแล้ว 7 ศพ นำออกมาได้แล้ว 5 ศพ - ผู้รอดชีวิต 9 คน บาดเจ็บหลากหลายระดับ - ผู้ติดใต้ซาก 30 คน มีสัญญาณชีพ 15 คน - ผู้สูญหาย 47 คน - ยืนยันตัวตนแล้ว 85 คน การค้นหาแบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่ A, B, C, D 📍โซน A พบผู้มีสัญญาณชีพ 10 ราย 📍โซน B พบผู้มีสัญญาณชีพ 2 ราย 📍โซน D พบผู้มีสัญญาณชีพ 3 ราย การค้นหาต้องหยุดชั่วคราว เพื่อประเมินแผนใหม่ เนื่องจากโครงสร้างบางจุดยังไม่เสถียร เสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ค้นหาเองด้วย 💬 “เรากำลังแข่งกับเวลา และแข่งกับซากปูนที่อาจถล่มซ้ำอีกทุกวินาที” หนึ่งในทีมกู้ภัยกล่าว 🏢 โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. เป้าหมายสู่อนาคตรัฐ อาคารสำนักงานแห่งใหม่นี้ ถูกวางเป้าหมายให้เป็น ศูนย์กลางการเงิน และการควบคุมงบประมาณของรัฐ โดยมีโครงสร้าง 30 ชั้น ความสูงรวม 137 เมตร รวมพื้นที่ก่อสร้างกว่า 96,000 ตารางเมตร 👉 อาคารนี้ประกอบด้วย อาคารสำนักงานหลัก อาคารประชุม และอาคารจอดรถอัตโนมัติ โครงการเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2563 ด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท โดยผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก คือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี และควบคุมงานโดยกลุ่มวิศวกร PKW โดยมีการลงนาม Integrity Pact กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อความโปร่งใสในการจัดจ้าง 🏗️ "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10" บริษัทยักษ์จากจีนผู้หวังปักหมุดในไทย “China Railway No.10 Engineering Group” หรือ CRCC เป็นบริษัทลูกของกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีน ที่มีชื่อเสียงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการ สตง. คือ โครงการอาคารสูงพิเศษแห่งแรกในต่างแดน ของบริษัทนี้ นำเทคโนโลยีล้ำสมัยจากจีนเข้ามาใช้เต็มที่ เช่น - ระบบ “แกนกลางรับแรง + พื้นไร้คาน” - เทคนิคแบบสไลด์คอนกรีต (Slip Form) - ระบบนั่งร้านปีนไต่อัตโนมัติ - ระบบติดตั้งไฟฟ้า แบบไม่ให้ท่อชนกันแม้แต่นิดเดียว 👷 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความพร้อมด้านวิศวกรรม และความหวังจะก้าวเข้าตลาดอาเซียนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นวิกฤตแห่งความเชื่อมั่น... 🔍 ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ตึกถล่ม แต่คือภาพลักษณ์ล่มสลาย ผลกระทบหลัก 3 ด้าน - ชีวิตคนงาน การสูญเสียชีวิต7 ศพ และผู้ติดอยู่ใต้ซากหลายสิบคน คือความสูญเสียที่ไม่มีเม็ดเงินใดทดแทนได้ - ความเชื่อมั่นในบริษัทจีน โครงการนี้เคยเป็นความหวังว่าจะเป็น “โชว์เคสระดับอาเซียน” กลายเป็น “บทเรียนราคาแพง” - ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน โครงการยุทธศาสตร์ไทย-จีนในอนาคตอาจถูกชะลอ ตรวจสอบมากขึ้น และถูกตั้งคำถามมากขึ้น 🧑‍💼 การตอบสนองของหน่วยงานรัฐ เดินหน้าแก้ไข เร่งค้นหาความจริง – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่พร้อมทีมวิศวกรกว่า 100 คน เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารทั่วกรุงเทพฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว – นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เร่งตรวจสอบคุณภาพโครงการ และประเมินความเสียหาย พร้อมยืนยัน จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส – นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กทม. รายงานสถานการณ์ค้นหาอย่างต่อเนื่อง พร้อมแบ่งโซนและใช้เทคโนโลยี ช่วยระบุตำแหน่งผู้ติดใต้ซาก ✅ จุดจบที่ไม่ควรเกิด กับความหวังที่ดับไปกลางซากอาคาร โศกนาฏกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเตือนที่สะเทือนใจว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่อาจวัดด้วยเทคโนโลยี หรือเงินทุนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัย มาตรฐาน ความปลอดภัย และความโปร่งใสระดับสูงสุด หากสิ่งเหล่านี้ขาดหายไป... แม้จะเป็นโครงการที่ดูดีแค่ไหน ก็พร้อมจะพังถล่มลงมาในพริบตา 🕯️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 291100 มี.ค. 2568 🔖#ตึกสตงถล่ม #CRCCไทย #ไชน่าเรลเวย์10 #ข่าวด่วน #แผ่นดินไหว #อาคารสูงพิเศษ #ก่อสร้างไทยจีน #ข่าวโศกนาฏกรรม #ตึกถล่ม #ไทยจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • กทม. ออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยในพื้นที่ ระดับ 2 ด้วยวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.20 น. ได้เกิดสถานการณ์แผ่นดินไหว ขนาดประมาณ 7.5 ใกล้เมืองมัณดาเลย์ ประเทศเมียนมา ห่างจากอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 366 กิโลเมตร และแรงสั่นสะเทือนส่งผลถึงประเทศไทยภาคเหนือ ภาคกลาง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครหลายจุด ซึ่งมีผลกระทบกับอาคารต่างๆ ในพื้นที่หลายเขต ซึ่งขณะนี้สถานการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวยังอาจสามารถก่อให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกได้ ทำให้กรุงเทพมหานครยังคงต้องเร่งสำรวจพื้นที่ความเสียหาย และเฝ้าระวังในหลายพื้นที่ พร้อมทั้งเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนพร้อมการแก้ไขพื้นที่ที่อาจยังมีอันตรายและมีผลกระทบต่อสาธารณชน อันเป็นสาธารณภัยตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดการสาธารณภัยให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564- 2570 ผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร จึงประกาศให้พื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในเขตพื้นที่ประสบภัยดังกล่าว ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564- 2570 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ในการบริหารจัดการสาธารณภัยระดับที่สอง โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้บัญชาการ หรือแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายระเบียบ คำสั่งประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไปประกาศ ณ วันที่ 28 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2568
    กทม. ออกประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยในพื้นที่ ระดับ 2 ด้วยวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 13.20 น. ได้เกิดสถานการณ์แผ่นดินไหว ขนาดประมาณ 7.5 ใกล้เมืองมัณดาเลย์ ประเทศเมียนมา ห่างจากอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประมาณ 366 กิโลเมตร และแรงสั่นสะเทือนส่งผลถึงประเทศไทยภาคเหนือ ภาคกลาง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครหลายจุด ซึ่งมีผลกระทบกับอาคารต่างๆ ในพื้นที่หลายเขต ซึ่งขณะนี้สถานการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าวยังอาจสามารถก่อให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกได้ ทำให้กรุงเทพมหานครยังคงต้องเร่งสำรวจพื้นที่ความเสียหาย และเฝ้าระวังในหลายพื้นที่ พร้อมทั้งเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนพร้อมการแก้ไขพื้นที่ที่อาจยังมีอันตรายและมีผลกระทบต่อสาธารณชน อันเป็นสาธารณภัยตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดการสาธารณภัยให้เป็นไปตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564- 2570 ผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร จึงประกาศให้พื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในเขตพื้นที่ประสบภัยดังกล่าว ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564- 2570 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร ในการบริหารจัดการสาธารณภัยระดับที่สอง โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้บัญชาการ หรือแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกฎหมายระเบียบ คำสั่งประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไปประกาศ ณ วันที่ 28 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2568
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน

    ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌

    จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา

    📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭

    🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍

    นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅

    ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

    📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈

    แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง

    📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞

    วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร

    พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง

    🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮

    นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง

    📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸

    แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨

    📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉

    ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน

    🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑

    พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย

    🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า...

    “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์”

    ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱

    💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน

    เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘

    📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐

    เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞

    และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568

    📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    📰 61 ปี หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” จากบางกอกเดลิเมล์ สู่เดลินิวส์ออนไลน์ บันทึกความทรงจำของสื่อไทย ที่เติบโตเคียงข้างประชาชน ✨ 61 ปี แห่งการเปลี่ยนผ่านของสื่อที่ไม่หยุดนิ่ง ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยข่าวสารและเทคโนโลยี 🌐 มีไม่กี่สื่อ ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ “เดลินิวส์” คือหนึ่งในนั้น 🙌 จากวันแรกของการก่อตั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 สู่การเป็นผู้นำข่าวระดับประเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์และออนไลน์ 🖥️ เส้นทางของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น ไม่เพียงแต่สะท้อนวิวัฒนาการ ของวงการสื่อไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และการเมืองไทยตลอด 61 ปี ที่ผ่านมา 📆 ย้อนเวลาสำรวจเส้นทางของหนังสือพิมพ์ ที่เริ่มต้นจาก “บางกอกเดลิเมล์” สู่การเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” และ “เดลินิวส์ออนไลน์” ในวันนี้ พร้อมทั้งเผยเบื้องหลังความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ และจุดยืนของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งภารกิจเพื่อประชาชนไทย 🇹🇭 🕰 จุดเริ่มต้นจากบางกอกเดลิเมล์ ความกล้าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2493 ประเทศไทยอยู่ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง 📜 สื่อยังถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเข้มงวด การเปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “นายห้างแสง เหตระกูล” ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจ "โรงพิมพ์ประชาช่าง" กลับกล้าเสี่ยง 🔍 นายห้างแสงตัดสินใจซื้อกิจการ "หนังสือพิมพ์บางกอกเดลิเมล์" (Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 และรื้อฟื้นมันขึ้นใหม่ ในรูปแบบหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อว่า “เดลิเมล์วันจันทร์” ออกฉบับแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 📅 ฉบับแรกมีพาดหัวว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.” เป็นการสะท้อนจุดยืนของสื่อ ที่กล้าแตะประเด็นทางสังคม การเมืองอย่างตรงไปตรงมา 📰 เปลี่ยนผ่านอย่างมีทิศทาง จากเดลิเมล์ สู่แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในช่วง พ.ศ. 2500 “บางกอกเดลิเมล์รายวัน” ขยับสู่การเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างเต็มรูปแบบ ขยายขนาดหน้ากระดาษจาก 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว 🖨 ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการสื่อขณะนั้น 📈 แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อรัฐบาล "จอมพลแปลก พิบูลสงคราม" ถูกโค่นล้มโดย "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ซึ่งส่งผลให้สื่อหลายฉบับถูกตรวจสอบ และปิดตัวลง ❌ ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 “เดลิเมล์รายวัน” ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีการ ล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ และลงครั่งประทับ ปิดฉากความกล้าหาญของสื่อเสรีในยุคนั้น อย่างสิ้นเชิง 📢 เดลินิวส์ฉบับแรก กำเนิดเกิดใหม่ในนาม “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” แม้จะถูกสั่งปิด แต่ “นายห้างแสง” ไม่ยอมแพ้ ✊ เดินหน้าสู่บทใหม่ ซื้อหัวหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” และรวมเข้ากับชื่อเดิม กลายเป็น “แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์” 🗞 วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกวางแผงเป็นครั้งแรก โดยมี "นายประพันธ์ เหตระกูล" บุตรชายเป็นบรรณาธิการบริหาร พาดหัวฉบับแรกสร้างเสียงฮือฮาทันที “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น” 😲 นำเสนอข่าวแบบเจาะลึกถึงตัวบุคคล และโครงสร้างอำนาจการเมือง 🔍 ข่าวเด่นยุคแรก กล้าท้าชนอำนาจรัฐ เดลินิวส์มีจุดขายที่ชัดเจน คือการเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา 💥 โดยเฉพาะเรื่องของ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนุภรรยากว่า 103 คน และทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2,874 ล้านบาท 😮 นอกจากนี้ยังเปิดโปงคดีอาชญากรรม การทุจริต และประเด็นอ่อนไหวที่สื่ออื่นหลีกเลี่ยง จึงได้รับความนิยมจากผู้อ่านในวงกว้าง และถือเป็น “กระบอกเสียงของประชาชน” ที่แท้จริง 📈 ก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจ ปรับคุณภาพเพื่อความอยู่รอด ช่วง พ.ศ. 2516 - 2517 ทั่วโลกประสบปัญหาน้ำมันขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตหนังสือพิมพ์สูงขึ้น 📉 หนังสือพิมพ์หลายฉบับต้องขึ้นราคาขาย เดลินิวส์ก็เช่นกัน โดยปรับขึ้น 50 สตางค์ 💸 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดลินิวส์ ไม่ลดคุณภาพข่าว ตรงกันข้ามกลับเพิ่มคอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง และข่าวสังคม มากขึ้น ส่งผลให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้อ่าน อย่างต่อเนื่อง ✨ 📚 เปลี่ยนชื่อเป็น “เดลินิวส์” อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์เป็น “เดลินิวส์” และได้รับอนุญาตในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 🎉 ต่อมา เดลินิวส์ได้ขยายสำนักงานจากถนนสี่พระยา มาที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน 🏢 พร้อมขยายจำนวนหน้าจาก 16 เป็น 48 หน้า และเพิ่มราคาจำหน่ายจาก 1 บาท เป็น 10 บาทในปัจจุบัน 🖨 นวัตกรรมการพิมพ์ ก้าวสู่งานข่าวสีเต็มรูปแบบ ในปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มพิมพ์ภาพข่าวสี่สีครั้งแรก คือ ภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศ “แชลเลนเจอร์” 🚀 และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 ตีพิมพ์ภาพ “ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” คว้ามงกุฎนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน 👑 พร้อมลงทุนในระบบพิมพ์ แซตเติลไลต์ ยูนิต และโฟร์ไฮ ที่สามารถพิมพ์ได้เร็วถึง 120,000 ฉบับ ต่อชั่วโมง 🚀 สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ไทย 🌐 เดลินิวส์ออนไลน์ ปฏิวัติวงการข่าวดิจิทัล ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541 เดลินิวส์เข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มตัว เปิดเว็บไซต์ www.dailynews.co.th 💻 พร้อมคอนเซปต์ว่า... “ให้ข่าวสารพาไปไกลกว่าแค่ ‘รู้’ แต่คือ รู้ลึก รู้จริง และรู้เท่าทันทุกสถานการณ์” ในวันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ข่าว 🗂️ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง กีฬา ไลฟ์สไตล์ รวมถึง วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และ คอนเทนต์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ⏱ 💡 ปณิธานของ “เดลินิวส์” ข่าวเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำให้ “เดลินิวส์” อยู่ได้มากว่า 61 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะยอดขายหรือชื่อเสียง 🏆 แต่เป็นเพราะความตั้งใจจริงของคณะผู้บริหาร ในการทำสื่อเพื่อประชาชน เดลินิวส์นำเสนอข่าวสารที่ครอบคลุม ทั้งข่าวสังคมที่ใกล้ตัว และข่าวเศรษฐกิจระดับชาติ โดยยึดมั่นในหลักจริยธรรมข่าว สร้างความเข้าใจ ที่มากกว่าแค่การรับรู้ข้อมูล 📘 📌 เดลินิวส์…มากกว่าข่าว คือความเข้าใจ จาก “บางกอกเดลิเมล์” ที่เคยถูกล่ามแท่นพิมพ์ด้วยโซ่ จนถึง “เดลินิวส์ออนไลน์” ที่ไหลลื่นในโลกดิจิทัล 🌐 เส้นทางกว่า 61 ปี ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย และบทบาทของสื่อ ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน 💞 และไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เดลินิวส์ยังคงทำหน้าที่ ด้วยหัวใจของนักข่าวเพื่อประชาชน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 280955 มี.ค. 2568 📢 #เดลินิวส์ #ประวัติเดลินิวส์ #หนังสือพิมพ์ไทย #สื่อไทย #ข่าวออนไลน์ #เดลินิวส์ออนไลน์ #ข่าวเพื่อประชาชน #61ปีเดลินิวส์ #DailyNewsTH #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ปรับ Game Bar บน Windows 11 ให้ใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการออกแบบที่ใกล้เคียงกับ Windows 11 และเพิ่มความสะดวกในการควบคุมผ่านตัวควบคุมเกม นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่บน Xbox Cloud Gaming ที่ทำให้ผู้เล่นเปลี่ยนเกมในซีรีส์ Assassin's Creed ได้อย่างรวดเร็ว อัปเดตเหล่านี้เหมาะสำหรับนักเล่นเกมบนพีซีและ Windows Handheld ที่ต้องการความสะดวกสบายและทันสมัย

    ปรับแต่งอินเทอร์เฟซใหม่:
    - ในโหมด "Default" ขนาดและการจัดวาง UI ต่าง ๆ เช่น Widget ที่เกี่ยวข้องกับการจับภาพ การตรวจสอบประสิทธิภาพ และการตั้งค่า ถูกปรับให้ใช้งานง่ายขึ้นด้วยการเพิ่มระยะห่างที่ชัดเจนระหว่างองค์ประกอบแต่ละส่วน.

    สีสันที่ปรับปรุงใหม่:
    - สีพื้นหลังของ Game Bar ถูกปรับเล็กน้อยให้ดูเหมาะสมและสอดคล้องกับธีมของ Windows 11 สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลและทันสมัย.

    การนำไปใช้กับแพลตฟอร์มเกมบนคลาวด์:
    - Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Xbox Cloud Gaming ที่ทำให้การสลับระหว่างเกมในซีรีส์ Assassin's Creed ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องออกจากเกมเพื่อกลับไปหน้าเมนูหลัก.

    อนาคตของการเล่นเกมบน Windows Handheld:
    - การปรับปรุง Game Bar ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Microsoft ในการพัฒนาระบบสำหรับ Windows Handheld และพีซีพกพา เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต.

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/microsoft-updates-the-windows-game-bar-to-be-more-user-friendly-with-pc-handhelds
    Microsoft ปรับ Game Bar บน Windows 11 ให้ใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการออกแบบที่ใกล้เคียงกับ Windows 11 และเพิ่มความสะดวกในการควบคุมผ่านตัวควบคุมเกม นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่บน Xbox Cloud Gaming ที่ทำให้ผู้เล่นเปลี่ยนเกมในซีรีส์ Assassin's Creed ได้อย่างรวดเร็ว อัปเดตเหล่านี้เหมาะสำหรับนักเล่นเกมบนพีซีและ Windows Handheld ที่ต้องการความสะดวกสบายและทันสมัย ปรับแต่งอินเทอร์เฟซใหม่: - ในโหมด "Default" ขนาดและการจัดวาง UI ต่าง ๆ เช่น Widget ที่เกี่ยวข้องกับการจับภาพ การตรวจสอบประสิทธิภาพ และการตั้งค่า ถูกปรับให้ใช้งานง่ายขึ้นด้วยการเพิ่มระยะห่างที่ชัดเจนระหว่างองค์ประกอบแต่ละส่วน. สีสันที่ปรับปรุงใหม่: - สีพื้นหลังของ Game Bar ถูกปรับเล็กน้อยให้ดูเหมาะสมและสอดคล้องกับธีมของ Windows 11 สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลและทันสมัย. การนำไปใช้กับแพลตฟอร์มเกมบนคลาวด์: - Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Xbox Cloud Gaming ที่ทำให้การสลับระหว่างเกมในซีรีส์ Assassin's Creed ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องออกจากเกมเพื่อกลับไปหน้าเมนูหลัก. อนาคตของการเล่นเกมบน Windows Handheld: - การปรับปรุง Game Bar ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Microsoft ในการพัฒนาระบบสำหรับ Windows Handheld และพีซีพกพา เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต. https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/microsoft-updates-the-windows-game-bar-to-be-more-user-friendly-with-pc-handhelds
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์เสนอชื่อ Arielle Roth ให้บริหารโครงการนำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าสู่พื้นที่ห่างไกล โดยเธอยืนยันว่าจะบริหารโครงการเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อบริษัท Starlink หรือ Elon Musk อย่างไรก็ตาม พรรคเดโมแครตแสดงความกังวลถึงความโปร่งใส และมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางโครงการเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและครอบคลุมยิ่งขึ้น

    การวิจารณ์โครงการโดยพรรคเดโมแครต:
    - พรรคเดโมแครตชี้ว่าโครงการนี้อาจเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญกับการใช้สายไฟเบอร์ที่มีราคาถูก ไปสนับสนุนบริการดาวเทียม ซึ่งอาจทำให้ Elon Musk ได้รับผลประโยชน์ถึง 20 พันล้านดอลลาร์.

    คำแถลงของ Roth:
    - เธอยืนยันว่าเธอจะบริหารโครงการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอเมริกันโดยรวม ไม่ใช่เพื่อบริษัทหรือบุคคลใดเป็นพิเศษ.

    จุดยืนของพรรครีพับลิกัน:
    - พรรครีพับลิกันกล่าวหาโครงการนี้ว่าในอดีตยังไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้ประชาชนคนใดเลย ทั้งที่ได้รับอนุมัติในปี 2021 และชี้ว่าแนวทางที่รัฐบาลเดิมจัดการอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง.

    การเปลี่ยนแปลงในแนวทาง:
    - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเมื่อต้นเดือนว่ากำลังพิจารณาแนวทางใหม่ที่มุ่งเน้นให้รัฐต่าง ๆ เลือกโครงสร้างระบบอินเทอร์เน็ตตามผลลัพธ์และต้นทุนต่ำที่สุด โดยไม่มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีเฉพาะอย่าง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/28/trump-nominee-says-she-would-not-administer-internet-program-to-benefit-elon-musk
    รัฐบาลทรัมป์เสนอชื่อ Arielle Roth ให้บริหารโครงการนำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าสู่พื้นที่ห่างไกล โดยเธอยืนยันว่าจะบริหารโครงการเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เพื่อบริษัท Starlink หรือ Elon Musk อย่างไรก็ตาม พรรคเดโมแครตแสดงความกังวลถึงความโปร่งใส และมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวทางโครงการเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและครอบคลุมยิ่งขึ้น การวิจารณ์โครงการโดยพรรคเดโมแครต: - พรรคเดโมแครตชี้ว่าโครงการนี้อาจเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญกับการใช้สายไฟเบอร์ที่มีราคาถูก ไปสนับสนุนบริการดาวเทียม ซึ่งอาจทำให้ Elon Musk ได้รับผลประโยชน์ถึง 20 พันล้านดอลลาร์. คำแถลงของ Roth: - เธอยืนยันว่าเธอจะบริหารโครงการให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอเมริกันโดยรวม ไม่ใช่เพื่อบริษัทหรือบุคคลใดเป็นพิเศษ. จุดยืนของพรรครีพับลิกัน: - พรรครีพับลิกันกล่าวหาโครงการนี้ว่าในอดีตยังไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตให้ประชาชนคนใดเลย ทั้งที่ได้รับอนุมัติในปี 2021 และชี้ว่าแนวทางที่รัฐบาลเดิมจัดการอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง. การเปลี่ยนแปลงในแนวทาง: - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเมื่อต้นเดือนว่ากำลังพิจารณาแนวทางใหม่ที่มุ่งเน้นให้รัฐต่าง ๆ เลือกโครงสร้างระบบอินเทอร์เน็ตตามผลลัพธ์และต้นทุนต่ำที่สุด โดยไม่มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีเฉพาะอย่าง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/28/trump-nominee-says-she-would-not-administer-internet-program-to-benefit-elon-musk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump nominee says she would not administer internet program to benefit Elon Musk
    WASHINGTON (Reuters) -The Trump administration's nominee to oversee a $42 billion government fund to bring high-speed broadband internet to unserved or underserved parts of the United States denied on Thursday that she would administer the program to benefit Starlink owner Elon Musk.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28/3/68

    เวนิส: เมืองที่ลอยอยู่บนป่าจมใต้น้ำ 🌊🌳

    ตั้งแต่ปี ค.ศ. 421 เวนิสได้ยืนหยัดอยู่บนเสาไม้หลายล้านต้นที่ปักลงไปในดินเหนียวของทะเลสาบ ไม่ใช่เหล็กหรือคอนกรีต แต่เป็นไม้แอลเดอร์เป็นส่วนใหญ่ และไม้โอ๊คบางส่วน ที่รองรับทั้งเมืองเอาไว้

    ในน้ำเค็ม เสาไม้เหล่านี้ค่อยๆ แข็งตัวจนกลายเป็นหิน หอระฆังเซนต์มาร์กเพียงแห่งเดียวใช้เสาไม้ถึง 100,000 ต้น

    ในขณะที่มหาวิหารซานตามาเรียเดลลา ซาลูเต ต้องใช้เสาไม้มากกว่าหนึ่งล้านต้น

    ช่างสมัยโบราณได้ตอกเสาเหล่านี้ลงไปในพื้นดิน สร้างเป็นป่าจมใต้น้ำอย่างแท้จริง

    โครงสร้างพิเศษนี้มีความลึกถึง 3 เมตร โดยเสาแต่ละต้นถูกปักห่างกันเพียง ครึ่งเมตร ที่ระดับความลึก 1.6 เมตร ใต้แนวน้ำ

    ผลงานชิ้นเอกของวิศวกรรมยุคกลางนี้ยังคงรองรับหนึ่งในเมืองที่น่าหลงใหลที่สุดในโลกมานานกว่า 1,500 ปี 🏛️⚒️
    28/3/68 เวนิส: เมืองที่ลอยอยู่บนป่าจมใต้น้ำ 🌊🌳 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 421 เวนิสได้ยืนหยัดอยู่บนเสาไม้หลายล้านต้นที่ปักลงไปในดินเหนียวของทะเลสาบ ไม่ใช่เหล็กหรือคอนกรีต แต่เป็นไม้แอลเดอร์เป็นส่วนใหญ่ และไม้โอ๊คบางส่วน ที่รองรับทั้งเมืองเอาไว้ ในน้ำเค็ม เสาไม้เหล่านี้ค่อยๆ แข็งตัวจนกลายเป็นหิน หอระฆังเซนต์มาร์กเพียงแห่งเดียวใช้เสาไม้ถึง 100,000 ต้น ในขณะที่มหาวิหารซานตามาเรียเดลลา ซาลูเต ต้องใช้เสาไม้มากกว่าหนึ่งล้านต้น ช่างสมัยโบราณได้ตอกเสาเหล่านี้ลงไปในพื้นดิน สร้างเป็นป่าจมใต้น้ำอย่างแท้จริง โครงสร้างพิเศษนี้มีความลึกถึง 3 เมตร โดยเสาแต่ละต้นถูกปักห่างกันเพียง ครึ่งเมตร ที่ระดับความลึก 1.6 เมตร ใต้แนวน้ำ ผลงานชิ้นเอกของวิศวกรรมยุคกลางนี้ยังคงรองรับหนึ่งในเมืองที่น่าหลงใหลที่สุดในโลกมานานกว่า 1,500 ปี 🏛️⚒️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • 48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ 🇪🇸✈️ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก

    🌫️ โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ 🔥 ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน

    ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน

    ✈️💥 บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว ✋🔴

    เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก

    🕰️ จุดเริ่มต้นของหายนะ 🧨
    - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน
    - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน

    หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ

    🚧 จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am

    ☁️ หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ 🗣️ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที

    📻 หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน

    ✋ จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน!

    สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff” 😓📡

    📌 ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า

    “We are now at takeoff.”

    ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า

    “OK, stand by for takeoff, I will call you.”

    แต่...❗เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ

    🔥 การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น 💔 KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น

    ผลลัพธ์คือ ❌

    ✈️ เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง

    💥 ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที

    - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0)
    - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน)

    😢 บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ 🔍
    ปัจจัยมนุษย์ (Human Error)
    - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์ 🕒
    - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน 📻
    - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน 🗣️

    ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
    - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน ❌
    - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์ 🌫️
    - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ 🚫

    📚🛫 หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง
    ✅ การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology)
    ✅ ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน
    ✅ มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ
    ✅ ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก

    😨 เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542 🛬
    เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา ✈️
    - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน
    - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน

    เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น 😱

    🕯️ 583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม ✈️ “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ✈️🧠

    แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568

    📲 #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    48 ปี โศกนาฏกรรมกลางรันเวย์ “โบอิง 747” ชนกันที่เตเนริเฟ 🇪🇸✈️ สำเนียงสเปนพ่นพิษ นักบินสื่อสารผิดพลาด 583 ศพ บทเรียนราคาแพงจากท่าอากาศยาน ท่ามกลางหมอกหนา ความเครียด และสำเนียงที่ฟังยาก 🌫️ โศกนาฏกรรมแห่งเตเนริเฟ 🔥 ย้อนไปเมื่อ 48 ปี ที่ผ่านมา ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 เป็นวันที่โลกต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน เมื่อเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ โบอิง 747 ของสายการบิน KLM และ Pan Am ชนกันกลางรันเวย์ที่สนามบินโลสโรเดโอส ปัจจุบันคือท่าอากาศยานเตเนริเฟนอร์เต เกาะเตเนริเฟ ประเทศสเปน ผลที่ตามมาคือ ผู้เสียชีวิต 583 ราย และบาดเจ็บ 61 คน เป็นอุบัติเหตุทางอากาศ ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก เหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีขัดข้อง หากแต่เป็นผลพวงจากปัจจัยมนุษย์ (Human Error) และการสื่อสารที่ผิดพลาด ท่ามกลางความกดดัน ✈️💥 บริบทก่อนเกิดเหตุ ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520 "สนามบินกรันกานาเรีย" ซึ่งเป็นสนามบินหลักของหมู่เกาะคานารี ถูกขู่วางระเบิด ทำให้ต้องปิดการใช้งานชั่วคราว ✋🔴 เครื่องบินหลายลำ รวมถึงเที่ยวบิน KLM 4805 และ Pan Am 1736 จำเป็นต้องลงจอดที่สนามบินสำรองอย่าง “โลสโรเดโอส” ซึ่งเป็นสนามบินขนาดเล็ก ที่ไม่มีความพร้อมรองรับ เครื่องบินลำใหญ่จำนวนมาก 🕰️ จุดเริ่มต้นของหายนะ 🧨 - KLM 4805 เดินทางจากอัมสเตอร์ดัม พร้อมผู้โดยสาร 234 คน และลูกเรือ 14 คน - Pan Am 1736:เดินทางจากลอสแอนเจลิส แวะนิวยอร์ก มุ่งหน้ากรุงมาดริด พร้อมผู้โดยสาร 380 คน และลูกเรือ 16 คน หลังจากเครื่องบินหลายลำลงจอด และจอดเรียงรายกันในพื้นที่จำกัด เจ้าหน้าที่ต้องบริหารพื้นที่ อย่างเร่งด่วน ก่อให้เกิดความเครียด ทั้งในหอบังคับการบินและลูกเรือ 🚧 จุดเปลี่ยนสำคัญคือ กัปตันของ KLM ตัดสินใจเติมน้ำมันให้เต็มถัง เพื่อเลี่ยงเติมที่สนามบินปลายทางเ พราะราคาถูกกว่า ทำให้ต้องจอดนานกว่าเดิม และขัดขวางการเคลื่อนตัวของ Pan Am ☁️ หมอกและความสับสน ภัยเงียบแห่งรันเวย์ 🗣️ เมื่อสนามบินกรันกานาเรียเปิดใช้งานอีกครั้ง การจราจรทางอากาศในโลสโรเดโอส วุ่นวายทันที 📻 หอบังคับการบิน ต้องจัดการเครื่องบินหลายลำ แต่ขาดเรดาร์ภาคพื้นดิน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นตำแหน่งเครื่องบิน ต้องอาศัยการสื่อสารวิทยุแทน ✋ จุดวิกฤตเกิดขึ้นเมื่อ KLM เข้าใจผิดว่า สามารถนำเครื่องขึ้นได้ทันที ขณะที่ Pan Am ยังอยู่บนรันเวย์เดียวกัน! สำเนียงสเปน กับความคลุมเครือของคำว่า “Takeoff” 😓📡 📌 ขณะที่ KLM กำลังเตรียมนำเครื่องขึ้น นักบินผู้ช่วยพูดว่า “We are now at takeoff.” ซึ่งไม่ใช่ประโยคขออนุญาตขึ้นบินโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจคลุมเครือ หอบังคับการบินตอบกลับว่า “OK, stand by for takeoff, I will call you.” แต่...❗เสียงตอบกลับนั้น ถูกกลืนหายไปกับคลื่นรบกวน ทำให้นักบิน KLM ไม่ได้ยินคำสั่งเต็ม ๆ 🔥 การชนที่ไม่ควรเกิดขึ้น 💔 KLM เร่งนำเครื่องขึ้น โดยเข้าใจว่าได้รับอนุญาต ขณะที่ Pan Am กำลังเคลื่อนผ่านทางแยก วิ่งบนรันเวย์เดียวกัน หมอกหนาทำให้มองไม่เห็น ผลลัพธ์คือ ❌ ✈️ เครื่องบิน KLM ชนเข้ากลางลำ Pan Am อย่างรุนแรง 💥 ไฟลุกท่วมเครื่องบินทั้งสองลำในทันที - เสียชีวิตจาก KLM 248 ศพ (รอด = 0) - เสียชีวิตจาก Pan Am 335 ศพ (รอด = 61 คน) 😢 บทวิเคราะห์: สาเหตุแห่งหายนะ 🔍 ปัจจัยมนุษย์ (Human Error) - ความเครียดของกัปตัน KLM ที่ต้องรับแรงกดดัน จากบริษัทห้ามดีเลย์ 🕒 - ขาดการสื่อสารชัดเจน ระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน 📻 - สำเนียงสเปน ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ชัดเจน 🗣️ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม - สนามบินโลสโรเดโอส ไม่มีเรดาร์พื้นดิน ❌ - หมอกลงจัด มองไม่เห็นปลายรันเวย์ 🌫️ - พื้นที่สนามบิน ไม่พร้อมรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่หลายลำ 🚫 📚🛫 หลังเหตุการณ์นี้ อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ได้ปรับปรุงมาตรการอย่างจริงจัง ✅ การสื่อสารต้องใช้ภาษามาตรฐาน และชัดเจนมากขึ้น (Standard Phraseology) ✅ ห้ามนักบินตีความเอง โดยไม่มีการอนุญาตชัดเจน ✅ มีการพัฒนา Cockpit Resource Management (CRM) เพื่อเน้นการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกเรือ ✅ ระบบเรดาร์พื้นดิน (Ground Radar) ถูกติดตั้งในสนามบินใหญ่ ๆ ทั่วโลก 😨 เหตุการณ์ที่เกือบซ้ำรอยในปี 2542 🛬 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542 ที่สนามบินโอแฮร์ สหรัฐอเมริกา ✈️ - Korean Air เที่ยวบิน 36 Boeing 747 พร้อมผู้โดยสาร 340 คน - China Airlines เที่ยวบิน 9018 Boeing 747 เช่นกัน เกือบชนกันกลางรันเวย์ เนื่องจากความเข้าใจผิด ในการจราจรทางอากาศ แต่โชคดีที่หลีกเลี่ยงได้ทันโดยเครื่องบินอยู่ห่างกันเพียง 75 ฟุตเท่านั้น 😱 🕯️ 583 ชีวิต กับบทเรียนที่ไม่มีวันลืม ✈️ “โศกนาฏกรรมเตเนริเฟ” เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สอนเราให้ระมัดระวังในการสื่อสาร การจัดการความเสี่ยง และให้ความสำคัญ กับมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ✈️🧠 แม้เวลาจะผ่านไป 48 ปี... แต่ความสูญเสีย และบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ ยังคงส่องแสงเป็นคำเตือน ถึงทุกคนในวงการการบินเสมอ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 271250 มี.ค. 2568 📲 #TenerifeDisaster #Boeing747 #PlaneCrashHistory #AirlineSafety #KLM4805 #PanAm1736 #AirCrashInvestigation #อุบัติเหตุทางการบิน #โบอิง747ชนกัน #บทเรียนการบิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 441 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
    ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป

    เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว

    จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้

    วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ?
    แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
    ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

    ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540

    สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ

    ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง

    โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

    เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน

    จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
    ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล

    พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น

    - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6%

    - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี

    - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น

    แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้

    ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567

    แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ?

    สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย

    แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567

    ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น

    ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท
    ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท
    ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท

    เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น

    ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี

    นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท

    Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน
    ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ
    ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก

    รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น
    - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ
    - PLN บริษัทไฟฟ้า
    - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม

    แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล

    เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73%

    เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย
    ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ

    จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย

    ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%)

    ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5%

    โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง

    ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

    อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย

    แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว
    ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน

    สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้..

    ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ

    รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara
    ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย
    ╔═══════════╗
    ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
    ╚═══════════╝
    ติดตามลงทุนแมนได้ที่
    Website - longtunman.com
    Blockdit - blockdit.com/longtunman
    Facebook - facebook.com/longtunman
    Twitter - twitter.com/longtunman
    Instagram - instagram.com/longtunman
    YouTube - youtube.com/longtunman
    TikTok - tiktok.com/@longtunman
    Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
    Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
    Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
    References
    -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com
    -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played
    -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators
    -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html
    -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    รายงานวิเคราะห์จากเพจลงทุนแมน เกี่ยวกับสรุปวิกฤติค่าเงิน อินโดนีเซีย อ่อนสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้ง ในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน ถ้าบอกว่า อินโดนีเซียยังเป็นประเทศดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทุกอย่างกำลังดูดี โพสต์นี้อาจทำให้หลายคนมองภาพประเทศนี้เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ อินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติเงินรูเปียอ่อนค่าอย่างหนัก ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เลยทีเดียว จนธนาคารกลางอินโดนีเซีย ต้องนำเงินทุนสำรองมาพยุงค่าเงินรูเปียไม่ให้อ่อนค่าไปมากกว่านี้ วิกฤติค่าเงินของอินโดนีเซียรุนแรงแค่ไหน ? แล้วเกิดขึ้นเพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงไปแตะระดับ 16,600 รูเปียต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่ามากที่สุด ระดับเดียวกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 สถานการณ์ของอินโดนีเซียในครั้งนี้ อาจไม่ได้ซ้ำรอยกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เริ่มต้นจากการถล่มค่าเงินในภูมิภาค แต่เกิดขึ้นจากรากฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่อ่อนแอลง และถูกซ้ำเติมด้วยนโยบายภาครัฐ ก่อนหน้านี้ อินโดนีเซีย คือหนึ่งในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนและการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากถึง 1.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า และมี GDP เติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตดี มีฐานประชากรกว่า 281 ล้านคน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย ดำเนินนโยบายแบบขาดดุลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอินโดนีเซียมีกรอบนโยบายขาดดุลงบประมาณราว -3% ต่อ GDP อย่างยาวนาน จนมาถึงยุคของ ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงปลายปี 2567 ก็ยังคงเดินตามแบบแผนเดิม ๆ คือ การตั้งงบประมาณแบบขาดดุล พร้อมกับนโยบายประชานิยมหลากหลายอย่าง ที่เขาได้ประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็น - ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 6.5% สูงกว่าข้อเสนอของกระทรวงแรงงานที่เสนอไว้ 6% - อาหารกลางวันฟรี ให้กับประชาชนกว่า 83 ล้านคน โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 950,000 ล้านบาทต่อปี - สั่งเบรกอัตราภาษี VAT ที่จะต้องปรับขึ้นเป็น 12% ในสินค้าทุกรายการ เป็นบังคับใช้เพียงสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น แน่นอนว่า การทำนโยบายประชานิยม ก็ยิ่งกดดันให้อินโดนีเซียต้องขาดดุลมากขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเลยกรอบ 3% ต่อ GDP ที่วางไว้ ซึ่งในปี 2568 รัฐบาลอินโดนีเซีย ตั้งเป้างบประมาณขาดดุลไว้ที่ 2.53% เพิ่มขึ้นจาก 2.29% ในปี 2567 แล้วภาพเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นอย่างไร ? สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ในปี 2567 อยู่ที่ 39% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย แต่หากดูในภาพรวม จะพบว่า GDP ของอินโดนีเซีย กำลังเติบโตลดลงทีละน้อย จาก 5.31% ในปี 2565 เหลือ 5.03% ในปี 2567 ในขณะที่รายได้ของรัฐ เริ่มส่งสัญญาณโตไม่ทันรายจ่าย ทำให้ภาครัฐขาดดุลมากขึ้น ปี 2565 ขาดดุล 943,236 ล้านบาท ปี 2566 ขาดดุล 994,387 ล้านบาท ปี 2567 ขาดดุล 1,070,091 ล้านบาท เมื่อมีแนวโน้มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลับเริ่มอ่อนแรง การกู้เงินมาใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีปราโบโวเอง ก็เคยบอกไว้ว่ามีแผนจะปรับระดับเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP อินโดนีเซีย ไปอยู่ในระดับ 50% ภายในเวลา 5 ปี นอกจากเรื่องการขาดดุลอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ ยังต้องการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ชื่อว่า Danantara ที่คาดว่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการกว่า 30 ล้านล้านบาท Danantara มีโมเดลคล้าย Temasek กองทุน ความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เน้นนำเงินของประเทศ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง รัฐวิสาหกิจของอินโดนีเซีย กว่า 40 แห่ง ที่จะถูกรวมเข้ามาเป็นสินทรัพย์ภายใต้กองทุน เช่น - Pertamina บริษัทน้ำมันและก๊าซ - PLN บริษัทไฟฟ้า - Telkom Indonesia บริษัทโทรคมนาคม แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้ต้องใช้เงินมหาศาลในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลอินโดนีเซียทำ เป็นความเสี่ยงที่หลายคนกังวล เพราะรัฐบาลหาเงินมาทำกองทุนนี้ ด้วยการตัดงบประมาณบริการสาธารณะที่จำเป็น รวมถึงการลดเงินทุนสำหรับการศึกษาระดับประถมลง 24% และลดงบประมาณการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยลง 39% ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง 19% และที่สำคัญคือ การลดโครงการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานลง 73% เรียกได้ว่า กองทุนนี้มีเงินตั้งต้นจากการลดค่าใช้จ่าย ในเศรษฐกิจ ที่เป็นอนาคตสำคัญของประเทศ จากปัญหาหลักทั้ง 2 เรื่องนี้ นั่นก็คือ การขาดดุลงบประมาณ และการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจ และศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาวของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย จนดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (IDX Composite) ปรับตัวลงไปแล้ว -10% นับจากต้นปี (ยังดีกว่าดัชนี SET ของไทยที่ -14%) ซึ่งวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียได้มีการประกาศหยุดซื้อขายหุ้นชั่วคราว หลังจากดัชนีหลักทรัพย์ร่วงไป -5% โดยแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ยังเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงอีกทาง ในที่สุด ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่ำสุด นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี 2540 ไปแล้ว (ในขณะที่ค่าเงินบาทไทยยังห่างไกลจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่อ่อนค่าลงไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ก็อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา และความท้าทายทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลาย แต่ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้ผู้นำที่ชื่อว่า ปราโบโว ซูเบียนโต ยังทำแบบเดิม ๆ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ยังไม่ฟื้นคืน สุดท้าย ก็อาจทำให้ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ร่วงหนักไปมากกว่านี้ก็ได้.. ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Danantara ของอินโดนีเซีย มีคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาอีกด้วย ╔═══════════╗ ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download ╚═══════════╝ ติดตามลงทุนแมนได้ที่ Website - longtunman.com Blockdit - blockdit.com/longtunman Facebook - facebook.com/longtunman Twitter - twitter.com/longtunman Instagram - instagram.com/longtunman YouTube - youtube.com/longtunman TikTok - tiktok.com/@longtunman Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829 Soundcloud - soundcloud.com/longtunman References -https://www.reuters.com/markets/currencies/indonesia-cbank-says-rupiah-weakness-reflects-global-domestic-factors-2025-03-25/?utm_source=chatgpt.com -https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-03-26/indonesia-stock-market-why-are-investors-fleeing-what-role-has-prabowo-played -https://tradingeconomics.com/indonesia/indicators -https://www.bps.go.id/en/statistics-table/2/MTA4NSMy/actual-government-expenditures--finance-.html -https://asiatimes.com/2025/03/danantara-indonesias-ticking-financial-time-bomb
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🌸✨ ทัวร์ไต้หวันสงกรานต์! ✨🌸
    10-14 เม.ย. 2025 ราคาเพียง 24,990 บาท 💥
    ⏳ เหลือ 5 ท่านสุดท้าย! รีบจองด่วน! 🚨

    🚂 เที่ยวครบจบใน 5 วัน!
    - เมืองเจียอี้ 🏙️
    - อุทยานแห่งชาติอาลีซาน 🌲
    - รถไฟสายโบราณ 🚋
    - ร้านชาอู่หลง 🍵
    - ร้านเอ็นไซม์ 🧴
    - วัดต้าซี 🏯
    - เมืองไทเป 🏙️
    - หมู่บ้านประวัติศาสตร์ซื่อซื่อหนันซุน ⛩️
    - ถ่ายรูปคู่ตึกไทเป 101 🏢
    - วัดหลงซาน 🛕
    - ศูนย์สร้อยสุขภาพ 💎
    - ร้านขนมพายสับปะรด 🍍
    - อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก 🇹🇼
    - ซีเหมินติง 🛍️
    - ร้านเครื่องสำอาง 💄
    - บูราโนแห่งไต้หวัน 🌊
    - หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น 🏘️
    - เมืองผิงซี 🌄
    - ช้อปปิ้งที่ห้างเอาท์เล็ทมิตซุย 🛒

    📅 ทัวร์สงกรานต์ 5 วัน 4 คืน ครบทุกไฮไลต์! 🌟

    #ทัวร์ไต้หวัน #สงกรานต์2025 #เที่ยวไต้หวัน #ทัวร์ไต้หวันราคาถูก #สงกรานต์สุดคุ้ม #อาลีซาน #ไทเป #เที่ยวไทเป #ทัวร์ลดราคา #สงกรานต์กับเพื่อน

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e09e92

    ดูทัวร์ไต้หวันทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/b999ee

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395
    🌸✨ ทัวร์ไต้หวันสงกรานต์! ✨🌸 10-14 เม.ย. 2025 ราคาเพียง 24,990 บาท 💥 ⏳ เหลือ 5 ท่านสุดท้าย! รีบจองด่วน! 🚨 🚂 เที่ยวครบจบใน 5 วัน! - เมืองเจียอี้ 🏙️ - อุทยานแห่งชาติอาลีซาน 🌲 - รถไฟสายโบราณ 🚋 - ร้านชาอู่หลง 🍵 - ร้านเอ็นไซม์ 🧴 - วัดต้าซี 🏯 - เมืองไทเป 🏙️ - หมู่บ้านประวัติศาสตร์ซื่อซื่อหนันซุน ⛩️ - ถ่ายรูปคู่ตึกไทเป 101 🏢 - วัดหลงซาน 🛕 - ศูนย์สร้อยสุขภาพ 💎 - ร้านขนมพายสับปะรด 🍍 - อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก 🇹🇼 - ซีเหมินติง 🛍️ - ร้านเครื่องสำอาง 💄 - บูราโนแห่งไต้หวัน 🌊 - หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่น 🏘️ - เมืองผิงซี 🌄 - ช้อปปิ้งที่ห้างเอาท์เล็ทมิตซุย 🛒 📅 ทัวร์สงกรานต์ 5 วัน 4 คืน ครบทุกไฮไลต์! 🌟 #ทัวร์ไต้หวัน #สงกรานต์2025 #เที่ยวไต้หวัน #ทัวร์ไต้หวันราคาถูก #สงกรานต์สุดคุ้ม #อาลีซาน #ไทเป #เที่ยวไทเป #ทัวร์ลดราคา #สงกรานต์กับเพื่อน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e09e92 ดูทัวร์ไต้หวันทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/b999ee LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • FD เพิ่มเที่ยวบินสุวรรณภูมิ ส่งรูทเชียงใหม่ชิงไทเป-ซัปโปโร

    ช่วงนี้สายการบินไทยแอร์เอเชีย (FD) ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV มีความเคลื่อนไหวหลายอย่าง เริ่มจากการสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A321neo จำนวน 6 ลำ โดยเครื่องบินใหม่ลำแรกทะเบียน HS-EAU จากโรงงานแอร์บัสที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี มาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อเวลา 05.44 น. วันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา นำมาให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มี.ค.เที่ยวบิน FD3437 ดอนเมือง-เชียงใหม่ ส่วนที่เหลืออีก 5 ลำจะทยอยส่งมอบต่อไป ซึ่งจะทำให้ไทยแอร์เอเชียมีฝูงบินรวมกัน 66 ลำ

    อย่างต่อมา คือ การเพิ่มเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเป็นฮับของไทยแอร์เอเชีย ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ชูจุดขายบินในประเทศเลือกได้ 2 สนามบิน นอกจากเส้นทางยอดนิยมอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ และหาดใหญ่แล้ว เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาได้เพิ่มเส้นทางขอนแก่น และอุดรธานี ล่าสุดประกาศว่าได้เพิ่มเส้นทางสุราษฎร์ธานี นราธิวาส และบุรีรีมย์ (ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์) ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป รวมเส้นทางจากสุวรณภูมิทั้งสิ้น 9 เส้นทาง ขณะเดียวกัน AAV มีแผนที่จะเพิ่มเส้นทางไปพิษณุโลก อุบลราชธานี นครพนม ลำปาง และการกลับมาของเชียงราย

    ก่อนหน้านี้การบินไทยยกเลิกเส้นทางสุวรรณภูมิ-นราธิวาส เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2567 ทำให้ท่าอากาศยานนราธิวาส มีเพียงเที่ยวบินไทยแอร์เอเชีย ดอนเมือง-นราธิวาสเพียงวันละ 1-2 เที่ยวบิน ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกแก่ผู้โดยสารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2564 ไทยแอร์เอเชียเคยบินตรงสุวรรณภูมิไปน่านและนครศรีธรรมราช แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

    อีกด้านหนึ่ง คือ การเปิดเส้นทางใหม่ เชียงใหม่-ไทเป-ซัปโปโร ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.เป็นต้นไป โดยใช้สิทธิทางการบินที่ 5 (Fifth Freedom) ต่อจากดอนเมือง-ไทเป-โอกินาว่า และดอนเมือง-เกาสง-โตเกียว (นาริตะ) เชื่อมระหว่างประเทศไทย ไปยังไต้หวันและญี่ปุ่น เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไต้หวันไปญี่ปุ่น ซึ่งต้องแข่งขันกับคู่แข่งอีก 5 ราย ได้แก่ สกู๊ตที่ใช้สิทธิในเส้นทางสิงคโปร์-ไทเป-ซัปโปโร ไทเกอร์แอร์ อีวีเอแอร์ ไชน่าแอร์ไลน์ และสตาร์ลักซ์แอร์ไลน์ที่บินตรง ส่วนชาวไทยจากเชียงใหม่ไปซัปโปโรได้โดยไม่ต้องไปต่อเครื่องที่ดอนเมือง

    นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มบริการเที่ยวบินพร้อมรถรับส่ง พัทยา-อินเดีย ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป โดยจุดจอดท่าอากาศยานดอนเมืองอยู่ที่อาคาร Service Hall และพัทยารถจอดที่ห้างเซ็นทรัลพัทยา ชั้น 1 ประตู 5 ข้างซอยพัทยา 9

    #Newskit
    FD เพิ่มเที่ยวบินสุวรรณภูมิ ส่งรูทเชียงใหม่ชิงไทเป-ซัปโปโร ช่วงนี้สายการบินไทยแอร์เอเชีย (FD) ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV มีความเคลื่อนไหวหลายอย่าง เริ่มจากการสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A321neo จำนวน 6 ลำ โดยเครื่องบินใหม่ลำแรกทะเบียน HS-EAU จากโรงงานแอร์บัสที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี มาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อเวลา 05.44 น. วันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา นำมาให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 มี.ค.เที่ยวบิน FD3437 ดอนเมือง-เชียงใหม่ ส่วนที่เหลืออีก 5 ลำจะทยอยส่งมอบต่อไป ซึ่งจะทำให้ไทยแอร์เอเชียมีฝูงบินรวมกัน 66 ลำ อย่างต่อมา คือ การเพิ่มเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเป็นฮับของไทยแอร์เอเชีย ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ชูจุดขายบินในประเทศเลือกได้ 2 สนามบิน นอกจากเส้นทางยอดนิยมอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ และหาดใหญ่แล้ว เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาได้เพิ่มเส้นทางขอนแก่น และอุดรธานี ล่าสุดประกาศว่าได้เพิ่มเส้นทางสุราษฎร์ธานี นราธิวาส และบุรีรีมย์ (ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์) ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป รวมเส้นทางจากสุวรณภูมิทั้งสิ้น 9 เส้นทาง ขณะเดียวกัน AAV มีแผนที่จะเพิ่มเส้นทางไปพิษณุโลก อุบลราชธานี นครพนม ลำปาง และการกลับมาของเชียงราย ก่อนหน้านี้การบินไทยยกเลิกเส้นทางสุวรรณภูมิ-นราธิวาส เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2567 ทำให้ท่าอากาศยานนราธิวาส มีเพียงเที่ยวบินไทยแอร์เอเชีย ดอนเมือง-นราธิวาสเพียงวันละ 1-2 เที่ยวบิน ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกแก่ผู้โดยสารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2564 ไทยแอร์เอเชียเคยบินตรงสุวรรณภูมิไปน่านและนครศรีธรรมราช แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อีกด้านหนึ่ง คือ การเปิดเส้นทางใหม่ เชียงใหม่-ไทเป-ซัปโปโร ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.เป็นต้นไป โดยใช้สิทธิทางการบินที่ 5 (Fifth Freedom) ต่อจากดอนเมือง-ไทเป-โอกินาว่า และดอนเมือง-เกาสง-โตเกียว (นาริตะ) เชื่อมระหว่างประเทศไทย ไปยังไต้หวันและญี่ปุ่น เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไต้หวันไปญี่ปุ่น ซึ่งต้องแข่งขันกับคู่แข่งอีก 5 ราย ได้แก่ สกู๊ตที่ใช้สิทธิในเส้นทางสิงคโปร์-ไทเป-ซัปโปโร ไทเกอร์แอร์ อีวีเอแอร์ ไชน่าแอร์ไลน์ และสตาร์ลักซ์แอร์ไลน์ที่บินตรง ส่วนชาวไทยจากเชียงใหม่ไปซัปโปโรได้โดยไม่ต้องไปต่อเครื่องที่ดอนเมือง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มบริการเที่ยวบินพร้อมรถรับส่ง พัทยา-อินเดีย ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป โดยจุดจอดท่าอากาศยานดอนเมืองอยู่ที่อาคาร Service Hall และพัทยารถจอดที่ห้างเซ็นทรัลพัทยา ชั้น 1 ประตู 5 ข้างซอยพัทยา 9 #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568
    เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย

    📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก

    ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า...

    👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?”

    และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️

    📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร

    แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇

    “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ”

    📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ

    ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

    📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง

    😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน"

    🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ

    🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล

    ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว...

    👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ

    ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่
    - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ
    - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก
    - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า
    - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

    💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓

    แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป

    นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง

    🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting
    เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ

    หลักการสำคัญ มีดังนี้
    - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ
    - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด
    - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ”

    ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น

    🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
    - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน
    - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม
    - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ
    - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด
    - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่

    📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ”

    เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌

    เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ”

    สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง

    🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
    - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
    - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น
    - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่
    - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น

    ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม?
    A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย

    Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี?
    A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี

    Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง?
    A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง

    Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่?
    A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด

    Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่?
    A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก

    Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร?
    A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300

    📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก

    การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568

    📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    👨‍👩‍👧‍👦 การตีไม่ใช่การสอน: เจาะลึก พ.ร.บ.ใหม่ ห้ามทารุณกรรมบุตร พ.ศ. 2568 เมื่อกฎหมายบอกว่า "พ่อแม่ตีลูกไม่ได้": ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของครอบครัวไทย 📌 เจาะลึกถึงกฎหมายใหม่ห้ามตีลูก พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การทำโทษต้องไม่เป็นการทารุณกรรม หรือรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แนวทางการปรับทัศนคติพ่อแม่ สู่การเลี้ยงดูเชิงบวก ✨ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ในสังคมไทยที่ผ่านมา คำว่า "ไม้เรียวคือรัก" หรือ "ตีเพราะรัก" เป็นสิ่งที่หลายครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับแนวคิดนี้ แต่ปัจจุบัน เมื่อสังคมเปลี่ยน โลกเปลี่ยน และองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาเด็ก พัฒนาไปมากขึ้น ก็เริ่มมีคำถามว่า... 👉 “การตีลูก = การอบรมจริงหรือ?” และแล้ว... คำตอบจากรัฐ ก็มาในรูปแบบของ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 🗓️ 📖 พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ซึ่งแต่เดิมเคยระบุว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง สามารถทำโทษบุตร เพื่ออบรมสั่งสอนได้ตามสมควร แต่ในฉบับใหม่ ปี 2568 นี้ ระบุเพิ่มเติมไว้อย่างชัดเจนว่า 👇 “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หรือปรับพฤติกรรม โดยต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรม หรือทำร้ายด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือกระทำโดยมิชอบ” 📌 สรุปคือ พ่อแม่ ยังสามารถอบรมลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือการกระทำที่เป็นอันตราย ทั้งทางกายและจิตใจ ❓ ทำไมถึงต้องออกกฎหมายนี้? สาเหตุหลัก ๆ ของการออกกฎหมายนี้ มาจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น 📉 ผลกระทบทางจิตใจ เด็กที่ถูกตีบ่อย มีแนวโน้มจะขาดความมั่นใจ เกิดบาดแผลทางใจเรื้อรัง 😢 การใช้ความรุนแรง แฝงรูปแบบการทารุณกรรม ที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า "การสั่งสอน" 🤝 ความรับผิดชอบของรัฐไทย ในฐานะภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่ต้องปกป้องสิทธิเด็ กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ 🔄 การพัฒนาแนวทางเลี้ยงดูเชิงบวก (Positive Parenting) ที่เริ่มเป็นมาตรฐานสากล ⚖️ หัวใจสำคัญของกฎหมาย “ตีลูกไม่ได้” หมายถึงอะไร หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า กฎหมายนี้ ห้ามไม่ให้พ่อแม่อบรมลูกเลย ❌ แต่ในความจริงแล้ว... 👉 "การสั่งสอนลูกยังทำได้" แต่ต้องเป็นการสั่งสอน ที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ดูถูก หรือทำให้ลูกเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างของพฤติกรรมที่ “ผิด” ตามกฎหมายใหม่ - ตีด้วยของแข็ง เช่น ไม้แข็ง, สายไฟ - ดุด่าด้วยคำรุนแรง หรือดูถูก - บังคับให้ลูกกลัว หรือรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า - ทำโทษด้วยวิธีที่ขัดกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 💔 ทัศนคติแบบเดิม ความเข้าใจผิดที่ส่งผลเสีย “ลูกโดนตีตอนเด็ก โตขึ้นมาถึงรู้จักผิดชอบชั่วดี” ประโยคนี้คือความเข้าใจผิด ที่ฝังรากลึกในหลายครอบครัว 😓 แต่ข้อมูลจากจิตแพทย์เด็ก และองค์กรเพื่อสิทธิเด็กทั่วโลก ชี้ว่า... เด็กที่เติบโตในครอบครัว ที่ใช้ความรุนแรง มักจะมีแนวโน้ม ถ่ายทอดความรุนแรงนั้นต่อไป นั่นคือวงจรของ “ความรุนแรงในครอบครัว” ที่ไม่เคยสิ้นสุด 💢 กฎหมายใหม่นี้จึงไม่ได้มาเพื่อ "ลงโทษพ่อแม่" แต่เพื่อหยุดวงจรของความรุนแรงตั้งแต่ต้นทาง 🌈 การเลี้ยงลูกเชิงบวก แนวคิดนี้เรียกว่า Positive Discipline หรือ Positive Parenting เป็นการสั่งสอนลูกโดยใช้ความเข้าใจ ความรัก และเหตุผล มากกว่าความกลัวหรือการบังคับ หลักการสำคัญ มีดังนี้ - สร้างวินัยด้วยข้อตกลง ไม่ใช่การขู่เข็ญ - สอนให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ใช่รู้สึกผิด - ใช้ “ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ” แทน “การลงโทษ” ตัวอย่าง แทนที่จะตีลูกที่ไม่ยอมทำการบ้าน → อธิบายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น คะแนนไม่ดี หรือไม่มีเวลาเล่น 🛠️ วิธีอบรมลูกโดยไม่ใช้ความรุนแรง - ใช้เวลาฟังลูกมากขึ้น 👂 ให้ลูกพูดสิ่งที่รู้สึกหรือคิด โดยไม่ตัดสิน - สร้างกฎร่วมกันในบ้าน 📜 เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้น ถ้ารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม - สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ 💬 เวลาลูกทำผิด ให้ถาม-ตอบ ชวนคิดถึงผลกระทบ - เสริมแรงทางบวก 🌟 ชมลูกเมื่อทำสิ่งที่ดี แทนที่จะเน้นเฉพาะเวลาทำผิด - เป็นแบบอย่างที่ดี 👨‍👩‍👧 เด็กเรียนรู้พฤติกรรม จากการสังเกตพ่อแม่ 📣 เสียงสะท้อนจากสังคมไทย หลังการประกาศกฎหมายฉบับนี้ มีทั้งเสียงเห็นด้วย และเสียงที่ยัง “ไม่เข้าใจ” เสียงเห็นด้วย “กฎหมายนี้ช่วยให้พ่อแม่ หันมาสนใจพัฒนาวิธีสื่อสารกับลูกมากขึ้น ไม่ใช้แต่กำลัง” 🙌 เสียงคัดค้าน “กลัวว่าเด็กจะไม่กลัว ไม่เชื่อฟัง ถ้าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ทำโทษ” สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจใหม่ว่า 👉 การสร้างวินัย ไม่เท่ากับการใช้กำลัง 🧠 พ่อแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร? - เรียนรู้เรื่อง จิตวิทยาพัฒนาการเด็ก - เข้าอบรมเรื่อง การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่หลายหน่วยงานจัดขึ้น - พูดคุยแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่น ๆ เพื่อหาแนวทางใหม่ - ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ได้ช่วยให้ลูกดีขึ้น แต่ ทำให้ห่างกันมากขึ้น ❓ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) Q1 ถ้าแค่ตีเบา ๆ ยังผิดกฎหมายไหม? A ถ้าการตีทำให้เด็กเจ็บทั้งกายหรือใจ หรือทำด้วยอารมณ์ ไม่ถือว่าเบา และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย Q2 แล้วจะอบรมลูกที่ดื้อยังไงดี? A ใช้หลักการ "พูด-ฟัง-เข้าใจ" และเสริมแรงทางบวก เช่น ให้รางวัลเมื่อทำดี Q3 ถ้าลูกก้าวร้าวก่อน พ่อแม่ต้องทำยังไง? A หลีกเลี่ยงการตอบโต้ ใช้วิธีตั้งสติ พูดคุยหลังเหตุการณ์สงบลง Q4 จะรู้ได้ยังไง ว่าเราทำผิดตามกฎหมายหรือไม่? A หากมีการทำโทษที่รุนแรง หรือทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า อาจเข้าข่ายผิด Q5 กฎหมายนี้ใช้กับครู หรือเฉพาะพ่อแม่? A แม้จะเน้นที่ผู้ปกครอง แต่หลักการเดียวกัน ควรใช้กับผู้ใหญ่ทุกคนที่ดูแลเด็ก Q6 ถ้ารู้ว่ามีคนใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะทำอย่างไร? A แจ้งสำนักงานพัฒนาสังคม หรือมูลนิธิเพื่อเด็ก เช่น มูลนิธิเด็ก หรือสายด่วน 1300 📌 การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ ต้องอาศัยทั้งความรัก ความเข้าใจ และการเรียนรู้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้มาเพื่อควบคุมพ่อแม่ แต่มาเพื่อปกป้องเด็ก การตี ไม่ใช่การสอนอีกต่อไป... และลูกก็สมควรได้รับการอบรม อย่างมีศักดิ์ศรี ❤️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 252012 มี.ค. 2568 📲 #ห้ามตีลูก #กฎหมายใหม่2568 #การเลี้ยงลูกเชิงบวก #สิทธิเด็กไทย #ราชกิจจานุเบกษา #ครอบครัวไทย #ตีไม่ใช่สอน #เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ #จิตวิทยาเด็ก #พ่อแม่ยุคใหม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า สหรัฐส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ B-2 Spirit อย่างน้อย 3 ลำ และเครื่องบินขับไล่หลายสิบลำไปยังฐานทัพดิเอโก การ์เซีย ( Diego Garcia Base)

    ฐานทัพแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากเยเมนมากกว่า 3,500 กม. ซึ่งปลอดภัยจากการโจมตีใดๆ

    หากสหรัฐตัดสินใจโจมตีอิหร่าน ฐานทัพดิเอโก การ์เซียจะเป็นฐานทัพสนับสนุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของพวกเขา

    ครั้งสุดท้ายที่ฐานทัพนี้คือการทิ้งระเบิดเยเมน
    มีรายงานว่า สหรัฐส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ B-2 Spirit อย่างน้อย 3 ลำ และเครื่องบินขับไล่หลายสิบลำไปยังฐานทัพดิเอโก การ์เซีย ( Diego Garcia Base) ฐานทัพแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากเยเมนมากกว่า 3,500 กม. ซึ่งปลอดภัยจากการโจมตีใดๆ หากสหรัฐตัดสินใจโจมตีอิหร่าน ฐานทัพดิเอโก การ์เซียจะเป็นฐานทัพสนับสนุนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของพวกเขา ครั้งสุดท้ายที่ฐานทัพนี้คือการทิ้งระเบิดเยเมน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความดีสร้างไว้
    ว่ายเวียนมาไป
    ทางสว่างได้
    ให้สบายใจ

    ความชั่วพายุ่ง
    มุ่งสู่ทุกข์ภัย
    ทางมืดเลวร้าย
    ไม่สบายใจ

    กรรมดีรื่นไหล
    ให้ติดขัดหาย
    การงานขวนขวาย
    ใช้คุณปัญญา

    ทานศีลปลุกเสก
    เนกขัมมะมา
    เหตุภาวนา
    ปัญญาธรรมได้

    ยิ่งเพียรอดทน
    หนทางมุ่งไป
    เห็นความจริงได้
    ไว้อธิษฐาน

    ปรารถนาดี
    มีทุกข์พ้นผ่าน
    เมตตาชำนาญ
    ผ่านอุเบกขา

    บารมีธรรม
    บำเพ็ญนำพา
    ยิ่งทำยิ่งมา
    พาห่างทุกข์ไกล

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ความดีสร้างไว้ ว่ายเวียนมาไป ทางสว่างได้ ให้สบายใจ ความชั่วพายุ่ง มุ่งสู่ทุกข์ภัย ทางมืดเลวร้าย ไม่สบายใจ กรรมดีรื่นไหล ให้ติดขัดหาย การงานขวนขวาย ใช้คุณปัญญา ทานศีลปลุกเสก เนกขัมมะมา เหตุภาวนา ปัญญาธรรมได้ ยิ่งเพียรอดทน หนทางมุ่งไป เห็นความจริงได้ ไว้อธิษฐาน ปรารถนาดี มีทุกข์พ้นผ่าน เมตตาชำนาญ ผ่านอุเบกขา บารมีธรรม บำเพ็ญนำพา ยิ่งทำยิ่งมา พาห่างทุกข์ไกล ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานีขนส่งรัฐเปอร์ลิส ย้ายจากบูกิตลากีไปที่ใหม่

    เปิดให้บริการแล้ว สำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการของรัฐเปอร์ลิส (Terminal Perlis Sentral) ทางภาคเหนือของมาเลเซีย ตั้งอยู่ที่สี่แยกระหว่างถนนสายกานการ์-อลอร์สตาร์ กับทางหลวงสายชางลูน-กัวลาเปอร์ลิส เมืองกานการ์ (Kangar) รัฐเปอร์ลิส ห่างจากสถานีขนส่งย่านบูกิต ลากี (Bukit Lagi) ประมาณ 7 กิโลเมตร โดยสภาเทศบาลเมืองกานการ์ประกาศว่าจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. เป็นต้นไป คาดว่าภายใน 1 เดือนผู้ประกอบการจะย้ายไปยังสถานีขนส่งแห่งใหม่ทั้งหมด

    ยกเว้นรถประจำทางท้องถิ่น (Bas.My Kangar) จากชางลูน ปาดังเบซาร์ กัวลาเปอร์ลิส อลอร์สตาร์ (ทั้งสายไอร์อิตัมและสายจิตรา) เซเรียบ (ทั้งสายกัมปุงปังเกา และสายปาดังเบฮอร์) และกิลังกูลา ยังคงจอดที่ย่านบูกิต ลากี เช่นเดิม ระหว่างรอดำเนินการจากสำนักงานขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) กรมการขนส่งทางบกมาเลเซีย (RTD) แต่สามารถเดินทางไปยังสถานีขนส่งแห่งใหม่ได้ ผ่านทางบริการ e-Hailing เช่น Grab ค่าโดยสารประมาณ 8 ริงกิต แต่ต้องปักหมุดด้วยตัวเอง

    ผู้ประกอบการเดินรถส่วนหนึ่ง ประกาศย้ายไปจอดที่สถานีขนส่งแห่งใหม่แล้ว เช่น บริษัทปันจารัน มาตาฮาริ (Pancaran Matahari) แจ้งว่าได้ย้ายไปที่สถานีขนส่งแห่งใหม่แล้ว ซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์สถานีแห่งใหม่หรือเว็บไซต์ pancaranmatahari.com.my ซึ่งมีรถไปยังปลายทางโกตาบารู ตานาห์เมราห์ กัวลาลัมเปอร์ (สถานีขนส่งทีบีเอส และเฮนเตียนดูตา) ชาห์อลาม กาจัง ปูตราจายา เซเรมบัน มะละกา และยะโฮร์บาห์รู

    สถานีขนส่งแห่งใหม่ของรัฐเปอร์ลิส ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งหลักทางภาคเหนือของมาเลเซีย เชื่อมต่อจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง โกตาบารู อิโปห์ ปาหัง ตรังกานู เซเรมบัน มะละกา ยะโฮร์ และประเทศสิงคโปร์ ประกอบด้วย ชานชาลาขาออก 3 ช่อง ชานชาลาขาเข้า 3 ช่อง ที่จอดรถบัสชั่วคราว 6 ช่อง ที่จอดรถแท็กซี่สาธารณะ 25 คัน ห้องละหมาด ห้องสุขา ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อม พื้นที่เชิงพาณิชย์ และช่องขายตั๋ว สถานที่ใกล้เคียง ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดเปอร์ลิส (IPK Perlis) โครงการกานการ์จายา (Kangar Jaya) ที่มีร้านเคเอฟซี มิสเตอร์ดีไอวาย และสตาร์บัคส์

    สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีรถโดยสารผ่านมาที่เมืองกานการ์โดยตรง เพราะไม่ใช่ทางผ่าน ส่วนมากรถทัวร์จาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จะให้บริการไปยังเมืองหลัก เช่น กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง อิโปห์ เซเรมบัน มะละกา ยะโฮร์บาห์รู และประเทศสิงคโปร์ ส่วนการเดินทางมายังเมืองกานการ์ จากศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ มีรถเมล์สาย T11 กานการ์-ปาดังเบซาร์ให้บริการ

    #Newskit
    สถานีขนส่งรัฐเปอร์ลิส ย้ายจากบูกิตลากีไปที่ใหม่ เปิดให้บริการแล้ว สำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารแบบบูรณาการของรัฐเปอร์ลิส (Terminal Perlis Sentral) ทางภาคเหนือของมาเลเซีย ตั้งอยู่ที่สี่แยกระหว่างถนนสายกานการ์-อลอร์สตาร์ กับทางหลวงสายชางลูน-กัวลาเปอร์ลิส เมืองกานการ์ (Kangar) รัฐเปอร์ลิส ห่างจากสถานีขนส่งย่านบูกิต ลากี (Bukit Lagi) ประมาณ 7 กิโลเมตร โดยสภาเทศบาลเมืองกานการ์ประกาศว่าจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. เป็นต้นไป คาดว่าภายใน 1 เดือนผู้ประกอบการจะย้ายไปยังสถานีขนส่งแห่งใหม่ทั้งหมด ยกเว้นรถประจำทางท้องถิ่น (Bas.My Kangar) จากชางลูน ปาดังเบซาร์ กัวลาเปอร์ลิส อลอร์สตาร์ (ทั้งสายไอร์อิตัมและสายจิตรา) เซเรียบ (ทั้งสายกัมปุงปังเกา และสายปาดังเบฮอร์) และกิลังกูลา ยังคงจอดที่ย่านบูกิต ลากี เช่นเดิม ระหว่างรอดำเนินการจากสำนักงานขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) กรมการขนส่งทางบกมาเลเซีย (RTD) แต่สามารถเดินทางไปยังสถานีขนส่งแห่งใหม่ได้ ผ่านทางบริการ e-Hailing เช่น Grab ค่าโดยสารประมาณ 8 ริงกิต แต่ต้องปักหมุดด้วยตัวเอง ผู้ประกอบการเดินรถส่วนหนึ่ง ประกาศย้ายไปจอดที่สถานีขนส่งแห่งใหม่แล้ว เช่น บริษัทปันจารัน มาตาฮาริ (Pancaran Matahari) แจ้งว่าได้ย้ายไปที่สถานีขนส่งแห่งใหม่แล้ว ซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์สถานีแห่งใหม่หรือเว็บไซต์ pancaranmatahari.com.my ซึ่งมีรถไปยังปลายทางโกตาบารู ตานาห์เมราห์ กัวลาลัมเปอร์ (สถานีขนส่งทีบีเอส และเฮนเตียนดูตา) ชาห์อลาม กาจัง ปูตราจายา เซเรมบัน มะละกา และยะโฮร์บาห์รู สถานีขนส่งแห่งใหม่ของรัฐเปอร์ลิส ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งหลักทางภาคเหนือของมาเลเซีย เชื่อมต่อจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง โกตาบารู อิโปห์ ปาหัง ตรังกานู เซเรมบัน มะละกา ยะโฮร์ และประเทศสิงคโปร์ ประกอบด้วย ชานชาลาขาออก 3 ช่อง ชานชาลาขาเข้า 3 ช่อง ที่จอดรถบัสชั่วคราว 6 ช่อง ที่จอดรถแท็กซี่สาธารณะ 25 คัน ห้องละหมาด ห้องสุขา ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อม พื้นที่เชิงพาณิชย์ และช่องขายตั๋ว สถานที่ใกล้เคียง ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดเปอร์ลิส (IPK Perlis) โครงการกานการ์จายา (Kangar Jaya) ที่มีร้านเคเอฟซี มิสเตอร์ดีไอวาย และสตาร์บัคส์ สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีรถโดยสารผ่านมาที่เมืองกานการ์โดยตรง เพราะไม่ใช่ทางผ่าน ส่วนมากรถทัวร์จาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จะให้บริการไปยังเมืองหลัก เช่น กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง อิโปห์ เซเรมบัน มะละกา ยะโฮร์บาห์รู และประเทศสิงคโปร์ ส่วนการเดินทางมายังเมืองกานการ์ จากศูนย์ ICQS ปาดังเบซาร์ มีรถเมล์สาย T11 กานการ์-ปาดังเบซาร์ให้บริการ #Newskit
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถกเข้ม! ห้าง-ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง ปมแม่ค้ารับหิ้วซัดกันนัวจองกระเป๋าแบรนด์เนมดัง เพิ่มความปลอดภัย ตร.ยันรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว

    จากกรณีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 เพจ “ผู้บริโภค” แชร์ภาพเหตุการณ์ชายหญิงนับสิบคนทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันบริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยระบุข้อความว่า “หน้าเซ็นทรัลเวสต์เกตตอนนี้กับเรื่องวุ่นๆ ของวัยรุ่นกระเป๋า Merge” ทำให้มีประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์บันทึกภาพและวิดีโอเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยภายในศูนย์การค้า

    ล่าสุด วันนี้ (23 มี.ค.) เวลา 14.00 น. พ.ต.อ.สิรภพ อนุศิริ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางใหญ่ นายวรรธนะ รักเจริญ ปลัดอำเภอบางใหญ่ พร้อมด้วย ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต และตัวแทนจากแบรนด์ Merge ได้เข้าร่วมประชุมหารือแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำขึ้นอีก โดยมีการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้า จุดเกิดเหตุหน้าห้าง และเดินตรวจตราภายในศูนย์การค้า เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแนวทางเฝ้าระวัง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000027605

    #MGROnline #กระเป๋าแบรนด์เนม
    ถกเข้ม! ห้าง-ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง ปมแม่ค้ารับหิ้วซัดกันนัวจองกระเป๋าแบรนด์เนมดัง เพิ่มความปลอดภัย ตร.ยันรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว • จากกรณีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 เพจ “ผู้บริโภค” แชร์ภาพเหตุการณ์ชายหญิงนับสิบคนทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกันบริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยระบุข้อความว่า “หน้าเซ็นทรัลเวสต์เกตตอนนี้กับเรื่องวุ่นๆ ของวัยรุ่นกระเป๋า Merge” ทำให้มีประชาชนที่พบเห็นเหตุการณ์บันทึกภาพและวิดีโอเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยภายในศูนย์การค้า • ล่าสุด วันนี้ (23 มี.ค.) เวลา 14.00 น. พ.ต.อ.สิรภพ อนุศิริ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบางใหญ่ นายวรรธนะ รักเจริญ ปลัดอำเภอบางใหญ่ พร้อมด้วย ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต และตัวแทนจากแบรนด์ Merge ได้เข้าร่วมประชุมหารือแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำขึ้นอีก โดยมีการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้า จุดเกิดเหตุหน้าห้าง และเดินตรวจตราภายในศูนย์การค้า เพื่อประเมินสถานการณ์และวางแนวทางเฝ้าระวัง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000027605 • #MGROnline #กระเป๋าแบรนด์เนม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts