• รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251204 #securityonline

    React พบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-55182
    ทีมพัฒนา React ออกประกาศฉุกเฉินหลังพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงสุด (CVSS 10.0) ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้เกิดจากกระบวนการถอดรหัสข้อมูลที่ส่งจาก client ไปยัง server ใน React Server Components (RSC) ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งแฝงเข้ามาและเข้าควบคุมระบบได้ทันที ปัญหานี้กระทบไปถึงเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Next.js, React Router, Waku และอื่น ๆ โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน นักพัฒนาจำเป็นต้องอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
    https://securityonline.info/catastrophic-react-flaw-cve-2025-55182-cvss-10-0-allows-unauthenticated-rce-on-next-js-and-server-components

    WordPress เจอช่องโหว่ CVE-2025-6389 ถูกโจมตีจริงแล้ว
    WordPress ที่ใช้ Sneeit Framework กำลังเผชิญการโจมตีครั้งใหญ่ หลังมีการเปิดเผยช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่นี้เกิดจากฟังก์ชัน sneeit_articles_pagination_callback() ที่เปิดให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลเข้ามาโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน PHP ใด ๆ ได้ตามใจ ผลคือมีการสร้างบัญชีแอดมินปลอมและฝัง backdoor ลงในระบบทันที มีรายงานว่ามีการพยายามโจมตีมากกว่า 131,000 ครั้งแล้ว หากใครยังใช้เวอร์ชัน 8.3 หรือต่ำกว่า ต้องรีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.4 โดยด่วน
    https://securityonline.info/critical-wordpress-flaw-cve-2025-6389-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-rce

    Next.js เจอช่องโหว่ CVE-2025-66478 ระดับสูงสุด นักพัฒนา
    Next.js กำลังเจอวิกฤติครั้งใหญ่ เมื่อพบช่องโหว่ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้ ช่องโหว่นี้เชื่อมโยงกับ React Server Components (CVE-2025-55182) และส่งผลกระทบต่อ Next.js รุ่นใหม่ที่ใช้ App Router โดยตรง เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบคือ Next.js 15.x และ 16.x รวมถึง canary release ของ 14.3.0 ขึ้นไป ทางแก้เดียวคือการอัปเดตไปยังเวอร์ชันที่มีแพตช์ เช่น 15.0.5, 15.1.9 หรือ 16.0.7 หากยังใช้เวอร์ชันที่เสี่ยงอยู่ถือว่าเปิดช่องให้ถูกยึดระบบได้ทันที
    https://securityonline.info/maximum-severity-alert-critical-rce-flaw-hits-next-js-cve-2025-66478-cvss-10-0

    AWS เปิดตัว Frontier Agents: ทีมงาน AI อัตโนมัติ
    ที่งาน re:Invent 2025 AWS สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “Frontier Agents” ซึ่งเป็น AI ที่ทำงานได้เหมือนทีมงานจริง ๆ สามารถรับภารกิจและทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องมีคนคอยกำกับตลอดเวลา มีทั้งหมด 3 ตัวหลักคือ Kiro สำหรับงานพัฒนา, Security Agent สำหรับตรวจสอบความปลอดภัย และ DevOps Agent สำหรับแก้ปัญหาระบบที่ล่ม ตัวอย่างเช่น Kiro สามารถรับงานจาก GitHub แล้วแก้บั๊กหรือเพิ่ม test coverage ได้เอง ส่วน Security Agent ก็ช่วยตรวจสอบช่องโหว่ที่เครื่องมือทั่วไปมองไม่เห็น และ DevOps Agent สามารถหาสาเหตุระบบล่มได้ภายใน 15 นาที ซึ่งปกติวิศวกรอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง จุดสำคัญคือ AWS ต้องการให้คนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปล่อยเวลาไปทำงานเชิงกลยุทธ์แทน
    https://securityonline.info/aws-frontier-agents-autonomous-ai-team-members-take-over-dev-security-and-ops

    AWS S3 Unleashed: ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล AI และ Big Data
    AWS ประกาศอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับ Amazon S3 โดยเพิ่มความสามารถในการเก็บและค้นหาข้อมูลแบบเวกเตอร์ (S3 Vectors) ที่รองรับได้ถึง 20 ล้านล้านเวกเตอร์ และเพิ่มขนาดไฟล์สูงสุดจาก 5 TB เป็น 50 TB ทำให้สามารถเก็บไฟล์ขนาดมหึมา เช่น วิดีโอความละเอียดสูงหรือ dataset สำหรับ AI ได้โดยไม่ต้องแบ่งไฟล์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง batch operations ให้เร็วขึ้น 10 เท่า และเพิ่มฟีเจอร์ replication ข้าม region สำหรับ S3 Tables จุดเด่นคือช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 90% และทำให้การสร้างระบบ AI หรือ RAG ง่ายขึ้นมาก หลายองค์กรใหญ่ เช่น BMW และ Twilio ได้เริ่มใช้งานแล้ว
    https://securityonline.info/aws-s3-unleashed-native-vector-storage-50-tb-max-object-size-for-ai-big-data

    Raspberry Pi ขึ้นราคาเพราะกระแส AI
    Raspberry Pi ประกาศขึ้นราคาทันทีสำหรับบางรุ่นของ Pi 4 และ Pi 5 เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำทั่วโลกที่พุ่งสูงจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น รุ่นที่มีหน่วยความจำมากขึ้นจะขึ้นราคาหนักที่สุด เช่น Pi 5 (16GB) จาก 120 ดอลลาร์เป็น 145 ดอลลาร์ และ Pi 5 (8GB) จาก 80 ดอลลาร์เป็น 95 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Raspberry Pi ก็เปิดตัวรุ่นใหม่ราคาประหยัดคือ Pi 5 (1GB) ที่ 45 ดอลลาร์ เพื่อให้คนทั่วไปยังเข้าถึงได้ CEO Eben Upton ย้ำว่านี่เป็นการปรับราคาชั่วคราว และเมื่อสถานการณ์หน่วยความจำกลับมาปกติ ราคาจะลดลงอีกครั้ง
    https://securityonline.info/raspberry-pi-price-hike-ai-boom-forces-price-increases-on-pi-4-and-pi-5-models

    Android 16 อัปเดตใหม่: AI สรุปแจ้งเตือนและฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้พิการ
    Google ปล่อยอัปเดตใหญ่ครั้งที่สองของ Android 16 โดยเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสรุปข้อความแจ้งเตือนยาว ๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น และมี Notification Organizer ที่ช่วยจัดการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญให้อัตโนมัติ ด้านความปลอดภัยก็มีการกรองข้อความเชิญเข้ากลุ่มจากเบอร์แปลก และ Circle to Search สามารถตรวจสอบข้อความหลอกลวงได้ ฟีเจอร์ใหม่ยังรวมถึงการปรับแต่งไอคอน, Dark Theme ที่ครอบคลุมทุกแอป และ parental control ที่ใช้งานง่ายขึ้น ที่สำคัญคือการปรับปรุงด้าน accessibility เช่น TalkBack ที่ใช้ Gemini ช่วยแก้ไขข้อความด้วยเสียง, กล้องที่ให้คำแนะนำเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา, AutoClick สำหรับผู้ใช้เมาส์ และ Expressive Captions ที่บอกอารมณ์ของผู้พูดในวิดีโอ ฟีเจอร์เหล่านี้เริ่มปล่อยให้ Pixel ก่อนและจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต
    https://securityonline.info/android-16-update-ai-notification-summaries-gemini-powered-accessibility-suite

    AWS Nova Forge: แพลตฟอร์มเปิดให้ปรับแต่งโมเดล Nova 2
    AWS เปิดตัว Nova Forge ที่งาน re:Invent 2025 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล Nova 2 ได้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้น pre-training ไปจนถึง post-training ทำให้สามารถใส่ความรู้เฉพาะองค์กรเข้าไปในโมเดลโดยตรง ไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อภายนอกที่อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เสถียร จุดเด่นคือความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามกฎและความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา AWS ยังเสริมระบบ guardrails เพื่อให้ลูกค้ากำหนดขอบเขตพฤติกรรมของโมเดลได้เอง นอกจากนี้ Nova Forge ยังสามารถใช้ปรับแต่ง Alexa+ ได้โดยตรง ทำให้บริการสำหรับองค์กรมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ถือเป็นการยกระดับการสร้างโมเดล AI ให้ตอบโจทย์ธุรกิจได้จริง
    https://securityonline.info/aws-nova-forge-open-training-platform-enables-deep-customization-of-nova-2-models

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows (CVE-2025-66476)
    มีการค้นพบช่องโหว่ระดับสูงใน Vim เวอร์ชัน Windows ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายได้หากผู้ใช้เปิดไฟล์จากโฟลเดอร์ที่ถูกเจาะแล้ว ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ path ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังสคริปต์ไว้ในไฟล์ที่ดูเหมือนปกติได้ ผลคือผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกควบคุมเครื่องโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดเพื่อป้องกันการโจมตี
    https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders

    แคมเปญ Water Saci ใช้ LLM แปลงมัลแวร์เป็น Python
    นักวิจัยพบการโจมตีใหม่ชื่อ Water Saci ที่ใช้โมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ช่วยแปลงโค้ดมัลแวร์เป็น Python เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ จากนั้นแพร่กระจายผ่าน WhatsApp worm โดยส่งลิงก์ปลอมไปยังผู้ใช้ เมื่อเหยื่อคลิกก็จะติด Banking Trojan ที่ขโมยข้อมูลการเงิน จุดน่าสนใจคือการใช้ AI ในการปรับโค้ดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ทำให้การโจมตียากต่อการตรวจจับมากขึ้น
    https://securityonline.info/water-saci-campaign-uses-llms-to-convert-malware-to-python-spreads-banking-trojan-via-whatsapp-worm

    Synology BeeStation พบช่องโหว่ SQL Injection แบบใหม่
    มีการเปิดเผยช่องโหว่ใน Synology BeeStation ที่สามารถนำไปสู่การเข้าถึงสิทธิ์ root ได้ผ่านเทคนิค “Dirty File Write” ซึ่งเป็นการโจมตี SQL Injection รูปแบบใหม่ นักวิจัยได้เผยแพร่ PoC แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีหากผู้ใช้ยังไม่อัปเดตแพตช์ ความร้ายแรงคือสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยตรง Synology แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
    https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available

    Matanbuchus 3.0 เปลี่ยนจาก Downloader ไปสู่ Ransomware
    มัลแวร์ Matanbuchus ได้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 3.0 โดยเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น downloader ไปสู่การทำงานเป็น ransomware เต็มรูปแบบ ใช้เทคนิคใหม่อย่าง Protobufs และ Intel QuickAssist เพื่อซ่อนการเข้าถึงและทำงานได้อย่างลับ ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น เพราะสามารถเข้ารหัสไฟล์และเรียกค่าไถ่ได้โดยตรง
    https://securityonline.info/matanbuchus-3-0-downloader-pivots-to-ransomware-using-protobufs-and-quickassist-for-stealth-access

    ShadyPanda Spyware แฮ็กผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านราย
    มีรายงานว่า ShadyPanda Spyware ใช้ประโยชน์จากการอัปเดตอัตโนมัติของส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เชื่อถือได้ เพื่อฝังโค้ดอันตรายและเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยตรง ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านรายถูกเจาะข้อมูล การโจมตีนี้อันตรายมากเพราะเกิดขึ้นผ่านช่องทางที่ผู้ใช้เชื่อถืออยู่แล้ว ทำให้ยากต่อการสังเกตหรือป้องกัน
    https://securityonline.info/shadypanda-spyware-hacked-4-3-million-users-by-weaponizing-trusted-browser-extensions-via-auto-updates

    ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress ACF Extended
    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน Advanced Custom Fields: Extended ที่ถูกใช้งานบนเว็บไซต์กว่าแสนแห่งทั่วโลก ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องล็อกอินเข้าระบบ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยที่ค้นพบได้รับเงินรางวัลจากการแจ้งเตือน เนื่องจากความเสี่ยงสูงสุดที่ช่องโหว่นี้สร้างขึ้น ทีมพัฒนาจึงรีบออกแพตช์แก้ไขและแนะนำให้ผู้ดูแลเว็บไซต์รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี
    https://securityonline.info/critical-acf-extended-flaw-cve-2025-13486-cvss-9-8-allows-unauthenticated-rce-on-100k-wordpress-sites

    อินเดียบังคับใช้กฎ SIM-Binding บน WhatsApp และ Telegram
    รัฐบาลอินเดียออกข้อบังคับใหม่ที่เข้มงวดกับแอปแชทชื่อดังอย่าง WhatsApp, Telegram และอีกหลายแพลตฟอร์ม โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องผูกบัญชีเข้ากับซิมการ์ดที่ออกในอินเดีย และต้องยืนยันตัวตนใหม่ทุก ๆ 6 ชั่วโมง หากไม่มีซิมที่เชื่อมโยงอยู่ บัญชีจะถูกล็อกทันที กฎนี้ถูกออกมาเพื่อป้องกันการใช้เบอร์โทรศัพท์อินเดียไปทำการหลอกลวงหรือฟิชชิ่งจากต่างประเทศ แม้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็สร้างคำถามว่าแพลตฟอร์มต่างชาติที่เน้นความเป็นส่วนตัวจะยอมทำตามหรือไม่
    https://securityonline.info/india-mandates-sim-binding-whatsapp-and-telegram-users-must-re-verify-every-6-hours

    OpenAI ยกเลิกแผนโฆษณา หันมาโฟกัสคุณภาพ ChatGPT รับมือ Gemini
    OpenAI เคยทดลองเพิ่มโฆษณาใน ChatGPT เพื่อหารายได้ แต่ล่าสุดบริษัทตัดสินใจหยุดแผนนี้และหันมาเน้นพัฒนาคุณภาพของ ChatGPT ให้ดียิ่งขึ้น เหตุผลสำคัญคือการมาของ Google Gemini ที่กำลังดึงผู้ใช้จำนวนมากไป ทำให้ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ประกาศ “red alert” ภายในบริษัท พร้อมสั่งทีมงานเร่งพัฒนาโมเดล reasoning ใหม่ที่คาดว่าจะเหนือกว่า Gemini 3 รวมถึงปรับปรุงด้าน personalization และความเร็วในการใช้งาน เพื่อรักษาฐานผู้ใช้และความสามารถในการแข่งขัน
    https://securityonline.info/red-alert-at-openai-ad-plans-dropped-to-focus-on-chatgpt-quality-amid-gemini-threat

    Let’s Encrypt เตรียมลดอายุใบรับรองเหลือ 45 วันภายในปี 2028
    เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบอินเทอร์เน็ต องค์กร CA/Browser Forum ได้ตกลงให้ลดอายุการใช้งานของใบรับรอง SSL/TLS จากเดิมเกือบ 400 วัน เหลือเพียง 45 วันเท่านั้น โดย Let’s Encrypt ประกาศว่าจะทยอยปรับตามข้อกำหนดนี้จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2028 การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าผู้ดูแลระบบต้องมีการต่ออายุใบรับรองบ่อยขึ้น และต้องพึ่งพาการทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจทำให้เว็บไซต์ล่ม
    https://securityonline.info/security-tightens-lets-encrypt-will-cap-certificate-validity-at-45-days-by-2028

    อัปเดต Windows ทำ Dark Mode พัง ไฟล์ Explorer กระพริบขาว
    ผู้ใช้ Windows 11 ที่ติดตั้งอัปเดต KB5070311 พบปัญหาน่ารำคาญ เมื่อเปิด File Explorer ในโหมดมืด หน้าต่างจะกระพริบเป็นสีขาวสว่างก่อนโหลดข้อมูล ซึ่งสร้างความไม่สบายตาและทำให้ประสบการณ์ใช้งานสะดุด แม้ Microsoft จะระบุว่านี่เป็นเพียงอัปเดตตัวทดลอง แต่ก็ทำให้ผู้ใช้หลายคนผิดหวัง เพราะฟีเจอร์ที่ควรทำให้ใช้งานราบรื่นกลับสร้างปัญหาแทน ตอนนี้ Microsoft กำลังเร่งแก้ไขเพื่อไม่ให้บั๊กนี้หลุดไปถึงเวอร์ชันเสถียร
    https://securityonline.info/microsoft-update-breaks-dark-mode-file-explorer-now-flashes-white-on-launch

    Google Phone App เพิ่มฟีเจอร์ “Call Reason” ให้โทรศัพท์ดูสำคัญขึ้น
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Phone ที่ชื่อว่า “Call Reason” ผู้โทรสามารถใส่เหตุผลประกอบการโทร เช่น “ด่วนมาก” หรือ “ประชุมสำคัญ” เพื่อให้ผู้รับรู้ทันทีว่าโทรศัพท์นั้นมีความสำคัญแค่ไหน ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนไม่รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือสายที่ไม่ระบุรายละเอียด การเพิ่มข้อความสั้น ๆ ก่อนโทรช่วยให้ผู้รับตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับสายทันทีหรือไม่
    https://securityonline.info/google-phone-app-gets-call-reason-mark-calls-as-urgent-to-ensure-a-pick-up

    AWS Bedrock เปิดตัวครั้งใหญ่ เพิ่ม 18 โมเดล AI และระบบ AgentCore ใหม่
    Amazon Web Services (AWS) ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับ Bedrock โดยเพิ่มโมเดล AI ใหม่ถึง 18 โมเดลจากหลายบริษัท พร้อมปรับปรุงระบบ AgentCore ที่ช่วยให้การทำงานของ AI มีความปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น จุดเด่นคือการรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงการเพิ่มระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่
    https://securityonline.info/aws-bedrock-unleashed-18-new-ai-models-agentcore-upgrades-and-enhanced-security

    AWS เปิดตัวชิป Trainium3 เร็วขึ้น 4.4 เท่า สำหรับงาน AI
    AWS เปิดตัวชิปใหม่ Trainium3 ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ชิปนี้ให้ประสิทธิภาพเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 4.4 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และถูกนำไปใช้ในเซิร์ฟเวอร์ EC2 UltraServers จุดเด่นคือการรองรับงาน AI ที่ซับซ้อน เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของ AWS ให้แข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างแข็งแกร่ง
    https://securityonline.info/aws-unleashes-trainium3-chip-4-4x-faster-ai-performance-for-ec2-ultraservers

    AWS AI Factories นำโครงสร้างพื้นฐาน AI ลงสู่ On-Premises
    AWS เปิดตัวแนวคิด “AI Factories” ที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สมบูรณ์แบบจากระบบคลาวด์มาติดตั้งใช้งานในสถานที่ของตัวเอง (On-Premises) เพื่อรองรับความต้องการด้าน Data Sovereignty หรือการควบคุมข้อมูลให้อยู่ในประเทศหรือองค์กรโดยตรง แนวทางนี้ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการใช้ AI แต่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายหรือความปลอดภัยของข้อมูล
    https://securityonline.info/aws-ai-factories-bringing-full-cloud-ai-infrastructure-on-prem-for-data-sovereignty

    AWS เปิดตัวตระกูลโมเดล Nova 2 รองรับ Multimodal และ Agentic AI
    AWS ประกาศเปิดตัวโมเดลใหม่ในตระกูล Nova 2 ที่สามารถทำงานแบบ Multimodal คือรองรับทั้งข้อความ ภาพ และเสียง พร้อมฟีเจอร์ Agentic Nova Act ที่ช่วยให้ AI สามารถทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น เช่น การตัดสินใจอัตโนมัติและการทำงานแทนมนุษย์ในบางกระบวนการ ถือเป็นการยกระดับความสามารถของ AWS ในการแข่งขันกับผู้ให้บริการ AI รายใหญ่ทั่วโลก
    https://securityonline.info/aws-unveils-nova-2-ai-model-family-with-multimodal-omni-agentic-nova-act

    📌🔐🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠🔐📌 #รวมข่าวIT #20251204 #securityonline 🛡️ React พบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-55182 ทีมพัฒนา React ออกประกาศฉุกเฉินหลังพบช่องโหว่ที่มีความรุนแรงสูงสุด (CVSS 10.0) ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่นี้เกิดจากกระบวนการถอดรหัสข้อมูลที่ส่งจาก client ไปยัง server ใน React Server Components (RSC) ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่งแฝงเข้ามาและเข้าควบคุมระบบได้ทันที ปัญหานี้กระทบไปถึงเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Next.js, React Router, Waku และอื่น ๆ โดยมีการออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน นักพัฒนาจำเป็นต้องอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี 🔗 https://securityonline.info/catastrophic-react-flaw-cve-2025-55182-cvss-10-0-allows-unauthenticated-rce-on-next-js-and-server-components ⚠️ WordPress เจอช่องโหว่ CVE-2025-6389 ถูกโจมตีจริงแล้ว WordPress ที่ใช้ Sneeit Framework กำลังเผชิญการโจมตีครั้งใหญ่ หลังมีการเปิดเผยช่องโหว่ Remote Code Execution (RCE) ที่ทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้โดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่นี้เกิดจากฟังก์ชัน sneeit_articles_pagination_callback() ที่เปิดให้ผู้ใช้ส่งข้อมูลเข้ามาโดยไม่ตรวจสอบ ทำให้แฮกเกอร์สามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน PHP ใด ๆ ได้ตามใจ ผลคือมีการสร้างบัญชีแอดมินปลอมและฝัง backdoor ลงในระบบทันที มีรายงานว่ามีการพยายามโจมตีมากกว่า 131,000 ครั้งแล้ว หากใครยังใช้เวอร์ชัน 8.3 หรือต่ำกว่า ต้องรีบอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.4 โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/critical-wordpress-flaw-cve-2025-6389-under-active-exploitation-allows-unauthenticated-rce 🚨 Next.js เจอช่องโหว่ CVE-2025-66478 ระดับสูงสุด นักพัฒนา Next.js กำลังเจอวิกฤติครั้งใหญ่ เมื่อพบช่องโหว่ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ซึ่งเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ได้ ช่องโหว่นี้เชื่อมโยงกับ React Server Components (CVE-2025-55182) และส่งผลกระทบต่อ Next.js รุ่นใหม่ที่ใช้ App Router โดยตรง เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบคือ Next.js 15.x และ 16.x รวมถึง canary release ของ 14.3.0 ขึ้นไป ทางแก้เดียวคือการอัปเดตไปยังเวอร์ชันที่มีแพตช์ เช่น 15.0.5, 15.1.9 หรือ 16.0.7 หากยังใช้เวอร์ชันที่เสี่ยงอยู่ถือว่าเปิดช่องให้ถูกยึดระบบได้ทันที 🔗 https://securityonline.info/maximum-severity-alert-critical-rce-flaw-hits-next-js-cve-2025-66478-cvss-10-0 🧑‍💻 AWS เปิดตัว Frontier Agents: ทีมงาน AI อัตโนมัติ ที่งาน re:Invent 2025 AWS สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว “Frontier Agents” ซึ่งเป็น AI ที่ทำงานได้เหมือนทีมงานจริง ๆ สามารถรับภารกิจและทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องมีคนคอยกำกับตลอดเวลา มีทั้งหมด 3 ตัวหลักคือ Kiro สำหรับงานพัฒนา, Security Agent สำหรับตรวจสอบความปลอดภัย และ DevOps Agent สำหรับแก้ปัญหาระบบที่ล่ม ตัวอย่างเช่น Kiro สามารถรับงานจาก GitHub แล้วแก้บั๊กหรือเพิ่ม test coverage ได้เอง ส่วน Security Agent ก็ช่วยตรวจสอบช่องโหว่ที่เครื่องมือทั่วไปมองไม่เห็น และ DevOps Agent สามารถหาสาเหตุระบบล่มได้ภายใน 15 นาที ซึ่งปกติวิศวกรอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง จุดสำคัญคือ AWS ต้องการให้คนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปล่อยเวลาไปทำงานเชิงกลยุทธ์แทน 🔗 https://securityonline.info/aws-frontier-agents-autonomous-ai-team-members-take-over-dev-security-and-ops 📦 AWS S3 Unleashed: ยุคใหม่ของการเก็บข้อมูล AI และ Big Data AWS ประกาศอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับ Amazon S3 โดยเพิ่มความสามารถในการเก็บและค้นหาข้อมูลแบบเวกเตอร์ (S3 Vectors) ที่รองรับได้ถึง 20 ล้านล้านเวกเตอร์ และเพิ่มขนาดไฟล์สูงสุดจาก 5 TB เป็น 50 TB ทำให้สามารถเก็บไฟล์ขนาดมหึมา เช่น วิดีโอความละเอียดสูงหรือ dataset สำหรับ AI ได้โดยไม่ต้องแบ่งไฟล์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง batch operations ให้เร็วขึ้น 10 เท่า และเพิ่มฟีเจอร์ replication ข้าม region สำหรับ S3 Tables จุดเด่นคือช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 90% และทำให้การสร้างระบบ AI หรือ RAG ง่ายขึ้นมาก หลายองค์กรใหญ่ เช่น BMW และ Twilio ได้เริ่มใช้งานแล้ว 🔗 https://securityonline.info/aws-s3-unleashed-native-vector-storage-50-tb-max-object-size-for-ai-big-data 💾 Raspberry Pi ขึ้นราคาเพราะกระแส AI Raspberry Pi ประกาศขึ้นราคาทันทีสำหรับบางรุ่นของ Pi 4 และ Pi 5 เนื่องจากความต้องการหน่วยความจำทั่วโลกที่พุ่งสูงจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น รุ่นที่มีหน่วยความจำมากขึ้นจะขึ้นราคาหนักที่สุด เช่น Pi 5 (16GB) จาก 120 ดอลลาร์เป็น 145 ดอลลาร์ และ Pi 5 (8GB) จาก 80 ดอลลาร์เป็น 95 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Raspberry Pi ก็เปิดตัวรุ่นใหม่ราคาประหยัดคือ Pi 5 (1GB) ที่ 45 ดอลลาร์ เพื่อให้คนทั่วไปยังเข้าถึงได้ CEO Eben Upton ย้ำว่านี่เป็นการปรับราคาชั่วคราว และเมื่อสถานการณ์หน่วยความจำกลับมาปกติ ราคาจะลดลงอีกครั้ง 🔗 https://securityonline.info/raspberry-pi-price-hike-ai-boom-forces-price-increases-on-pi-4-and-pi-5-models 📱 Android 16 อัปเดตใหม่: AI สรุปแจ้งเตือนและฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้พิการ Google ปล่อยอัปเดตใหญ่ครั้งที่สองของ Android 16 โดยเพิ่มฟีเจอร์ AI ที่ช่วยสรุปข้อความแจ้งเตือนยาว ๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้น และมี Notification Organizer ที่ช่วยจัดการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญให้อัตโนมัติ ด้านความปลอดภัยก็มีการกรองข้อความเชิญเข้ากลุ่มจากเบอร์แปลก และ Circle to Search สามารถตรวจสอบข้อความหลอกลวงได้ ฟีเจอร์ใหม่ยังรวมถึงการปรับแต่งไอคอน, Dark Theme ที่ครอบคลุมทุกแอป และ parental control ที่ใช้งานง่ายขึ้น ที่สำคัญคือการปรับปรุงด้าน accessibility เช่น TalkBack ที่ใช้ Gemini ช่วยแก้ไขข้อความด้วยเสียง, กล้องที่ให้คำแนะนำเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา, AutoClick สำหรับผู้ใช้เมาส์ และ Expressive Captions ที่บอกอารมณ์ของผู้พูดในวิดีโอ ฟีเจอร์เหล่านี้เริ่มปล่อยให้ Pixel ก่อนและจะขยายไปยังอุปกรณ์อื่นในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/android-16-update-ai-notification-summaries-gemini-powered-accessibility-suite ⚙️ AWS Nova Forge: แพลตฟอร์มเปิดให้ปรับแต่งโมเดล Nova 2 AWS เปิดตัว Nova Forge ที่งาน re:Invent 2025 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งโมเดล Nova 2 ได้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ขั้น pre-training ไปจนถึง post-training ทำให้สามารถใส่ความรู้เฉพาะองค์กรเข้าไปในโมเดลโดยตรง ไม่ต้องพึ่งการเชื่อมต่อภายนอกที่อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เสถียร จุดเด่นคือความยืดหยุ่นในการปรับแต่งตามกฎและความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา AWS ยังเสริมระบบ guardrails เพื่อให้ลูกค้ากำหนดขอบเขตพฤติกรรมของโมเดลได้เอง นอกจากนี้ Nova Forge ยังสามารถใช้ปรับแต่ง Alexa+ ได้โดยตรง ทำให้บริการสำหรับองค์กรมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ถือเป็นการยกระดับการสร้างโมเดล AI ให้ตอบโจทย์ธุรกิจได้จริง 🔗 https://securityonline.info/aws-nova-forge-open-training-platform-enables-deep-customization-of-nova-2-models 🛠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Vim for Windows (CVE-2025-66476) มีการค้นพบช่องโหว่ระดับสูงใน Vim เวอร์ชัน Windows ที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายได้หากผู้ใช้เปิดไฟล์จากโฟลเดอร์ที่ถูกเจาะแล้ว ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ path ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังสคริปต์ไว้ในไฟล์ที่ดูเหมือนปกติได้ ผลคือผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกควบคุมเครื่องโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตแพตช์ล่าสุดเพื่อป้องกันการโจมตี 🔗 https://securityonline.info/high-severity-vim-for-windows-flaw-cve-2025-66476-risks-arbitrary-code-execution-from-compromised-folders 🐍 แคมเปญ Water Saci ใช้ LLM แปลงมัลแวร์เป็น Python นักวิจัยพบการโจมตีใหม่ชื่อ Water Saci ที่ใช้โมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ช่วยแปลงโค้ดมัลแวร์เป็น Python เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ จากนั้นแพร่กระจายผ่าน WhatsApp worm โดยส่งลิงก์ปลอมไปยังผู้ใช้ เมื่อเหยื่อคลิกก็จะติด Banking Trojan ที่ขโมยข้อมูลการเงิน จุดน่าสนใจคือการใช้ AI ในการปรับโค้ดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ทำให้การโจมตียากต่อการตรวจจับมากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/water-saci-campaign-uses-llms-to-convert-malware-to-python-spreads-banking-trojan-via-whatsapp-worm 🐝 Synology BeeStation พบช่องโหว่ SQL Injection แบบใหม่ มีการเปิดเผยช่องโหว่ใน Synology BeeStation ที่สามารถนำไปสู่การเข้าถึงสิทธิ์ root ได้ผ่านเทคนิค “Dirty File Write” ซึ่งเป็นการโจมตี SQL Injection รูปแบบใหม่ นักวิจัยได้เผยแพร่ PoC แล้ว ทำให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีหากผู้ใช้ยังไม่อัปเดตแพตช์ ความร้ายแรงคือสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้โดยตรง Synology แนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี 🔗 https://securityonline.info/synology-beestation-flaw-chain-leads-to-root-rce-via-novel-dirty-file-write-sql-injection-poc-available 🔒 Matanbuchus 3.0 เปลี่ยนจาก Downloader ไปสู่ Ransomware มัลแวร์ Matanbuchus ได้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 3.0 โดยเปลี่ยนบทบาทจากการเป็น downloader ไปสู่การทำงานเป็น ransomware เต็มรูปแบบ ใช้เทคนิคใหม่อย่าง Protobufs และ Intel QuickAssist เพื่อซ่อนการเข้าถึงและทำงานได้อย่างลับ ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและอันตรายมากขึ้น เพราะสามารถเข้ารหัสไฟล์และเรียกค่าไถ่ได้โดยตรง 🔗 https://securityonline.info/matanbuchus-3-0-downloader-pivots-to-ransomware-using-protobufs-and-quickassist-for-stealth-access 🕵️ ShadyPanda Spyware แฮ็กผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านราย มีรายงานว่า ShadyPanda Spyware ใช้ประโยชน์จากการอัปเดตอัตโนมัติของส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่เชื่อถือได้ เพื่อฝังโค้ดอันตรายและเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยตรง ส่งผลให้มีผู้ใช้กว่า 4.3 ล้านรายถูกเจาะข้อมูล การโจมตีนี้อันตรายมากเพราะเกิดขึ้นผ่านช่องทางที่ผู้ใช้เชื่อถืออยู่แล้ว ทำให้ยากต่อการสังเกตหรือป้องกัน 🔗 https://securityonline.info/shadypanda-spyware-hacked-4-3-million-users-by-weaponizing-trusted-browser-extensions-via-auto-updates 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน WordPress ACF Extended มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในปลั๊กอิน Advanced Custom Fields: Extended ที่ถูกใช้งานบนเว็บไซต์กว่าแสนแห่งทั่วโลก ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องล็อกอินเข้าระบบ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยที่ค้นพบได้รับเงินรางวัลจากการแจ้งเตือน เนื่องจากความเสี่ยงสูงสุดที่ช่องโหว่นี้สร้างขึ้น ทีมพัฒนาจึงรีบออกแพตช์แก้ไขและแนะนำให้ผู้ดูแลเว็บไซต์รีบอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี 🔗 https://securityonline.info/critical-acf-extended-flaw-cve-2025-13486-cvss-9-8-allows-unauthenticated-rce-on-100k-wordpress-sites 📱 อินเดียบังคับใช้กฎ SIM-Binding บน WhatsApp และ Telegram รัฐบาลอินเดียออกข้อบังคับใหม่ที่เข้มงวดกับแอปแชทชื่อดังอย่าง WhatsApp, Telegram และอีกหลายแพลตฟอร์ม โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องผูกบัญชีเข้ากับซิมการ์ดที่ออกในอินเดีย และต้องยืนยันตัวตนใหม่ทุก ๆ 6 ชั่วโมง หากไม่มีซิมที่เชื่อมโยงอยู่ บัญชีจะถูกล็อกทันที กฎนี้ถูกออกมาเพื่อป้องกันการใช้เบอร์โทรศัพท์อินเดียไปทำการหลอกลวงหรือฟิชชิ่งจากต่างประเทศ แม้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็สร้างคำถามว่าแพลตฟอร์มต่างชาติที่เน้นความเป็นส่วนตัวจะยอมทำตามหรือไม่ 🔗 https://securityonline.info/india-mandates-sim-binding-whatsapp-and-telegram-users-must-re-verify-every-6-hours 🚨 OpenAI ยกเลิกแผนโฆษณา หันมาโฟกัสคุณภาพ ChatGPT รับมือ Gemini OpenAI เคยทดลองเพิ่มโฆษณาใน ChatGPT เพื่อหารายได้ แต่ล่าสุดบริษัทตัดสินใจหยุดแผนนี้และหันมาเน้นพัฒนาคุณภาพของ ChatGPT ให้ดียิ่งขึ้น เหตุผลสำคัญคือการมาของ Google Gemini ที่กำลังดึงผู้ใช้จำนวนมากไป ทำให้ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ประกาศ “red alert” ภายในบริษัท พร้อมสั่งทีมงานเร่งพัฒนาโมเดล reasoning ใหม่ที่คาดว่าจะเหนือกว่า Gemini 3 รวมถึงปรับปรุงด้าน personalization และความเร็วในการใช้งาน เพื่อรักษาฐานผู้ใช้และความสามารถในการแข่งขัน 🔗 https://securityonline.info/red-alert-at-openai-ad-plans-dropped-to-focus-on-chatgpt-quality-amid-gemini-threat 🔒 Let’s Encrypt เตรียมลดอายุใบรับรองเหลือ 45 วันภายในปี 2028 เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบอินเทอร์เน็ต องค์กร CA/Browser Forum ได้ตกลงให้ลดอายุการใช้งานของใบรับรอง SSL/TLS จากเดิมเกือบ 400 วัน เหลือเพียง 45 วันเท่านั้น โดย Let’s Encrypt ประกาศว่าจะทยอยปรับตามข้อกำหนดนี้จนเสร็จสมบูรณ์ในปี 2028 การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าผู้ดูแลระบบต้องมีการต่ออายุใบรับรองบ่อยขึ้น และต้องพึ่งพาการทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจทำให้เว็บไซต์ล่ม 🔗 https://securityonline.info/security-tightens-lets-encrypt-will-cap-certificate-validity-at-45-days-by-2028 💻 อัปเดต Windows ทำ Dark Mode พัง ไฟล์ Explorer กระพริบขาว ผู้ใช้ Windows 11 ที่ติดตั้งอัปเดต KB5070311 พบปัญหาน่ารำคาญ เมื่อเปิด File Explorer ในโหมดมืด หน้าต่างจะกระพริบเป็นสีขาวสว่างก่อนโหลดข้อมูล ซึ่งสร้างความไม่สบายตาและทำให้ประสบการณ์ใช้งานสะดุด แม้ Microsoft จะระบุว่านี่เป็นเพียงอัปเดตตัวทดลอง แต่ก็ทำให้ผู้ใช้หลายคนผิดหวัง เพราะฟีเจอร์ที่ควรทำให้ใช้งานราบรื่นกลับสร้างปัญหาแทน ตอนนี้ Microsoft กำลังเร่งแก้ไขเพื่อไม่ให้บั๊กนี้หลุดไปถึงเวอร์ชันเสถียร 🔗 https://securityonline.info/microsoft-update-breaks-dark-mode-file-explorer-now-flashes-white-on-launch 📞 Google Phone App เพิ่มฟีเจอร์ “Call Reason” ให้โทรศัพท์ดูสำคัญขึ้น Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในแอป Phone ที่ชื่อว่า “Call Reason” ผู้โทรสามารถใส่เหตุผลประกอบการโทร เช่น “ด่วนมาก” หรือ “ประชุมสำคัญ” เพื่อให้ผู้รับรู้ทันทีว่าโทรศัพท์นั้นมีความสำคัญแค่ไหน ฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่หลายคนไม่รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือสายที่ไม่ระบุรายละเอียด การเพิ่มข้อความสั้น ๆ ก่อนโทรช่วยให้ผู้รับตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะรับสายทันทีหรือไม่ 🔗 https://securityonline.info/google-phone-app-gets-call-reason-mark-calls-as-urgent-to-ensure-a-pick-up ☁️ AWS Bedrock เปิดตัวครั้งใหญ่ เพิ่ม 18 โมเดล AI และระบบ AgentCore ใหม่ Amazon Web Services (AWS) ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับ Bedrock โดยเพิ่มโมเดล AI ใหม่ถึง 18 โมเดลจากหลายบริษัท พร้อมปรับปรุงระบบ AgentCore ที่ช่วยให้การทำงานของ AI มีความปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น จุดเด่นคือการรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงการเพิ่มระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ 🔗 https://securityonline.info/aws-bedrock-unleashed-18-new-ai-models-agentcore-upgrades-and-enhanced-security ⚡ AWS เปิดตัวชิป Trainium3 เร็วขึ้น 4.4 เท่า สำหรับงาน AI AWS เปิดตัวชิปใหม่ Trainium3 ที่ออกแบบมาเพื่อการประมวลผล AI โดยเฉพาะ ชิปนี้ให้ประสิทธิภาพเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 4.4 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และถูกนำไปใช้ในเซิร์ฟเวอร์ EC2 UltraServers จุดเด่นคือการรองรับงาน AI ที่ซับซ้อน เช่น การฝึกโมเดลขนาดใหญ่ และการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของ AWS ให้แข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นได้อย่างแข็งแกร่ง 🔗 https://securityonline.info/aws-unleashes-trainium3-chip-4-4x-faster-ai-performance-for-ec2-ultraservers 🏭 AWS AI Factories นำโครงสร้างพื้นฐาน AI ลงสู่ On-Premises AWS เปิดตัวแนวคิด “AI Factories” ที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่สมบูรณ์แบบจากระบบคลาวด์มาติดตั้งใช้งานในสถานที่ของตัวเอง (On-Premises) เพื่อรองรับความต้องการด้าน Data Sovereignty หรือการควบคุมข้อมูลให้อยู่ในประเทศหรือองค์กรโดยตรง แนวทางนี้ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการใช้ AI แต่มีข้อจำกัดด้านกฎหมายหรือความปลอดภัยของข้อมูล 🔗 https://securityonline.info/aws-ai-factories-bringing-full-cloud-ai-infrastructure-on-prem-for-data-sovereignty 🤖 AWS เปิดตัวตระกูลโมเดล Nova 2 รองรับ Multimodal และ Agentic AI AWS ประกาศเปิดตัวโมเดลใหม่ในตระกูล Nova 2 ที่สามารถทำงานแบบ Multimodal คือรองรับทั้งข้อความ ภาพ และเสียง พร้อมฟีเจอร์ Agentic Nova Act ที่ช่วยให้ AI สามารถทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น เช่น การตัดสินใจอัตโนมัติและการทำงานแทนมนุษย์ในบางกระบวนการ ถือเป็นการยกระดับความสามารถของ AWS ในการแข่งขันกับผู้ให้บริการ AI รายใหญ่ทั่วโลก 🔗 https://securityonline.info/aws-unveils-nova-2-ai-model-family-with-multimodal-omni-agentic-nova-act
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASUS หยุดส่ง ROG Matrix RTX 5090

    รายงานล่าสุดเผยว่า ASUS ได้หยุดการส่งมอบการ์ดจอ ROG Matrix RTX 5090 ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงที่มีราคาสูงถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุเกิดจาก ปัญหาด้านคุณภาพการผลิต (Quality Control) ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ทำให้การ์ดจอรุ่นนี้อาจถูก “พักสายการผลิต” ชั่วคราวหรือแม้กระทั่งถูกยกเลิก

    ปัญหาคุณภาพที่กระทบ Halo Card
    ROG Matrix RTX 5090 ถูกออกแบบมาเป็น Halo Product หรือสินค้าระดับโชว์ศักยภาพสูงสุดของแบรนด์ แต่กลับเจอปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนด ซึ่งสร้างความกังวลในตลาด เนื่องจากการ์ดจอรุ่นนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกจับตามากที่สุดในยุค GPU รุ่นใหม่ของ NVIDIA

    ผลกระทบต่อตลาดและผู้ใช้
    การหยุดส่งมอบครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้ที่ตั้งใจซื้อการ์ดจอรุ่นพิเศษต้องรอโดยไม่มีกำหนด และอาจกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของ ASUS ในฐานะผู้ผลิตที่เน้นคุณภาพสูง ขณะเดียวกันตลาด GPU ระดับพรีเมียมก็อาจสูญเสียแรงดึงดูดชั่วคราว เนื่องจากคู่แข่งอย่าง MSI และ Gigabyte ยังไม่มีรุ่นที่ท้าชน Halo Card ในระดับราคาเดียวกัน

    อนาคตของ ROG Matrix RTX 5090
    ยังไม่ชัดเจนว่า ASUS จะกลับมาแก้ไขและส่งมอบการ์ดจอรุ่นนี้ในอนาคตหรือไม่ หากปัญหาคุณภาพไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา อาจทำให้ ROG Matrix RTX 5090 กลายเป็น โปรเจกต์ที่ถูกยกเลิก ซึ่งจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อกลยุทธ์ Halo Product ของ ASUS

    สรุปสาระสำคัญ

    ASUS หยุดส่งมอบ ROG Matrix RTX 5090
    ราคาสูงถึง 4,000 ดอลลาร์
    ปัญหาควบคุมคุณภาพเป็นสาเหตุหลัก

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด
    ผู้ซื้อที่รอคอยต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
    ตลาด GPU ระดับพรีเมียมขาด Halo Card ที่โดดเด่น

    คำเตือนต่อผู้บริโภค
    การ์ดจอรุ่นนี้อาจถูกยกเลิกหากแก้ไขปัญหาไม่ได้
    ผู้ที่วางแผนซื้อควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/asus-reportedly-halts-rog-matrix-rtx-5090-shipments-usd4-000-halo-card-could-be-dead-in-its-tracks-for-now-due-to-quality-control-issue
    💻 ASUS หยุดส่ง ROG Matrix RTX 5090 รายงานล่าสุดเผยว่า ASUS ได้หยุดการส่งมอบการ์ดจอ ROG Matrix RTX 5090 ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงที่มีราคาสูงถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุเกิดจาก ปัญหาด้านคุณภาพการผลิต (Quality Control) ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ทำให้การ์ดจอรุ่นนี้อาจถูก “พักสายการผลิต” ชั่วคราวหรือแม้กระทั่งถูกยกเลิก ⚠️ ปัญหาคุณภาพที่กระทบ Halo Card ROG Matrix RTX 5090 ถูกออกแบบมาเป็น Halo Product หรือสินค้าระดับโชว์ศักยภาพสูงสุดของแบรนด์ แต่กลับเจอปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนด ซึ่งสร้างความกังวลในตลาด เนื่องจากการ์ดจอรุ่นนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ถูกจับตามากที่สุดในยุค GPU รุ่นใหม่ของ NVIDIA 📉 ผลกระทบต่อตลาดและผู้ใช้ การหยุดส่งมอบครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้ที่ตั้งใจซื้อการ์ดจอรุ่นพิเศษต้องรอโดยไม่มีกำหนด และอาจกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของ ASUS ในฐานะผู้ผลิตที่เน้นคุณภาพสูง ขณะเดียวกันตลาด GPU ระดับพรีเมียมก็อาจสูญเสียแรงดึงดูดชั่วคราว เนื่องจากคู่แข่งอย่าง MSI และ Gigabyte ยังไม่มีรุ่นที่ท้าชน Halo Card ในระดับราคาเดียวกัน 🔮 อนาคตของ ROG Matrix RTX 5090 ยังไม่ชัดเจนว่า ASUS จะกลับมาแก้ไขและส่งมอบการ์ดจอรุ่นนี้ในอนาคตหรือไม่ หากปัญหาคุณภาพไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา อาจทำให้ ROG Matrix RTX 5090 กลายเป็น โปรเจกต์ที่ถูกยกเลิก ซึ่งจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อกลยุทธ์ Halo Product ของ ASUS 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ASUS หยุดส่งมอบ ROG Matrix RTX 5090 ➡️ ราคาสูงถึง 4,000 ดอลลาร์ ➡️ ปัญหาควบคุมคุณภาพเป็นสาเหตุหลัก ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด ➡️ ผู้ซื้อที่รอคอยต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ➡️ ตลาด GPU ระดับพรีเมียมขาด Halo Card ที่โดดเด่น ‼️ คำเตือนต่อผู้บริโภค ⛔ การ์ดจอรุ่นนี้อาจถูกยกเลิกหากแก้ไขปัญหาไม่ได้ ⛔ ผู้ที่วางแผนซื้อควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/asus-reportedly-halts-rog-matrix-rtx-5090-shipments-usd4-000-halo-card-could-be-dead-in-its-tracks-for-now-due-to-quality-control-issue
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมาร์ทโฟนกับสุขภาพเด็ก

    การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กกว่า 10,500 คน ในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งเป็นการติดตามพัฒนาการสมองระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า, โรคอ้วน และการนอนหลับไม่เพียงพอ มากกว่าเด็กที่ยังไม่มีโทรศัพท์

    ผลกระทบต่อพัฒนาการวัยรุ่น
    นักวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงอ่อนไหว แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในด้านการนอนหรือสุขภาพจิตก็อาจส่งผลลึกและยาวนาน เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปมักใช้เวลาน้อยลงในการออกกำลังกาย, พบปะเพื่อนแบบตัวต่อตัว และพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพและพัฒนาการ

    ความสำคัญของการนอนหลับ
    การศึกษายังพบว่า 63% ของเด็กอายุ 11–12 ปีมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน และเกือบ 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การมีสมาร์ทโฟนในห้องนอนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง
    แม้งานวิจัยจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทโฟนเป็น “สาเหตุโดยตรง” ของปัญหาสุขภาพ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า การให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนเร็วเกินไปมีความเสี่ยงสูง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ปกครองควร เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และหากจำเป็นต้องให้ ควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าห้องนอนตอนกลางคืน

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการศึกษาใหม่
    เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี เสี่ยงซึมเศร้า, โรคอ้วน, นอนหลับไม่เพียงพอ

    ข้อมูลจากโครงการใหญ่
    วิเคราะห์เด็กกว่า 10,500 คนในสหรัฐฯ

    ผลกระทบต่อการนอนหลับ
    63% มีอุปกรณ์ในห้องนอน, 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือน

    ความเสี่ยงหากให้เร็วเกินไป
    อาจกระทบพัฒนาการด้านสุขภาพจิตและร่างกาย

    ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
    เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และควบคุมการใช้งานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/a-smartphone-before-age-12-could-carry-health-risks-study-says
    📱 สมาร์ทโฟนกับสุขภาพเด็ก การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2025 วิเคราะห์ข้อมูลจากเด็กกว่า 10,500 คน ในโครงการ Adolescent Brain Cognitive Development Study ซึ่งเป็นการติดตามพัฒนาการสมองระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ พบว่า เด็กที่ได้รับสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี มีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า, โรคอ้วน และการนอนหลับไม่เพียงพอ มากกว่าเด็กที่ยังไม่มีโทรศัพท์ 🧠 ผลกระทบต่อพัฒนาการวัยรุ่น นักวิจัยชี้ว่า วัยรุ่นเป็นช่วงอ่อนไหว แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในด้านการนอนหรือสุขภาพจิตก็อาจส่งผลลึกและยาวนาน เด็กที่ใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปมักใช้เวลาน้อยลงในการออกกำลังกาย, พบปะเพื่อนแบบตัวต่อตัว และพักผ่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นกิจกรรมสำคัญต่อสุขภาพและพัฒนาการ 🛌 ความสำคัญของการนอนหลับ การศึกษายังพบว่า 63% ของเด็กอายุ 11–12 ปีมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน และเกือบ 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา การมีสมาร์ทโฟนในห้องนอนจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เด็กนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ ⚠️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง แม้งานวิจัยจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทโฟนเป็น “สาเหตุโดยตรง” ของปัญหาสุขภาพ แต่ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า การให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนเร็วเกินไปมีความเสี่ยงสูง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้ปกครองควร เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และหากจำเป็นต้องให้ ควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์เข้าห้องนอนตอนกลางคืน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการศึกษาใหม่ ➡️ เด็กที่มีสมาร์ทโฟนก่อนอายุ 12 ปี เสี่ยงซึมเศร้า, โรคอ้วน, นอนหลับไม่เพียงพอ ✅ ข้อมูลจากโครงการใหญ่ ➡️ วิเคราะห์เด็กกว่า 10,500 คนในสหรัฐฯ ✅ ผลกระทบต่อการนอนหลับ ➡️ 63% มีอุปกรณ์ในห้องนอน, 17% ถูกปลุกด้วยการแจ้งเตือน ‼️ ความเสี่ยงหากให้เร็วเกินไป ⛔ อาจกระทบพัฒนาการด้านสุขภาพจิตและร่างกาย ‼️ ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง ⛔ เลื่อนการให้สมาร์ทโฟนออกไป และควบคุมการใช้งานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/a-smartphone-before-age-12-could-carry-health-risks-study-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A smartphone before age 12 could carry health risks, study says
    Researchers found higher rates of depression, poor sleep and obesity among tweens who had early access to a cellphone.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB ราคา $45

    Raspberry Pi เพิ่งเปิดตัวรุ่น Pi 5 RAM 1GB ในราคา $45 พร้อมกับการปรับขึ้นราคาของรุ่นอื่น ๆ เช่น Pi 5 รุ่น 8GB ที่ขึ้นจาก $80 เป็น $95 และรุ่น 16GB ที่ขึ้นจาก $120 เป็น $145 สาเหตุหลักมาจาก การขาดแคลนหน่วยความจำ LPDDR4 ที่เกิดจากความต้องการสูงในตลาด AI infrastructure ตามคำกล่าวของ CEO Eben Upton ที่ย้ำว่าการขึ้นราคานี้เป็น “ชั่วคราว” และจะปรับลดลงเมื่อสถานการณ์ตลาดดีขึ้น

    คู่แข่งที่สเปกดีกว่าในราคาใกล้เคียง
    ตลาด Single Board Computer (SBC) มีการแข่งขันสูง โดยบอร์ดหลายรุ่นให้สเปกที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียง เช่น:
    ArmSoM Forge1 ราคา $23 มาพร้อม CPU Rockchip RK3506J และ RAM 512MB เหมาะกับงาน IoT และอุตสาหกรรม
    Radxa ROCK 3A ราคาเริ่มต้น $30 มี RAM 2GB, CPU Cortex-A55 Quad-core และรองรับ NVMe, PCIe 3.0
    PINE64 ROCK64 ราคา $44.95 มาพร้อม RAM 4GB และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง
    Le Potato AML-S905X-CC ราคา $45 มาพร้อม RAM 2GB และรองรับการเล่นวิดีโอ 4K

    Ecosystem ของ Raspberry Pi ที่ยังเหนือกว่า
    แม้คู่แข่งจะมีสเปกที่ดีกว่า แต่ Raspberry Pi ยังคงได้เปรียบในด้าน Ecosystem ที่ครบวงจร:
    Raspberry Pi OS ที่เสถียรและได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ
    เครื่องมือ Raspberry Pi Imager ที่ทำให้การติดตั้งง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น
    HAT Ecosystem ที่มีบอร์ดเสริมหลายร้อยแบบ รองรับการใช้งานหลากหลายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องไดรเวอร์
    ชุมชนและเอกสารประกอบ ที่กว้างขวางและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเปิดตัว Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB
    ราคา $45 แต่ถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า
    ราคาของรุ่นอื่น ๆ ก็ปรับขึ้นตามภาวะตลาด

    คู่แข่งในตลาด SBC
    ArmSoM Forge1 ($23) สำหรับ IoT
    Radxa ROCK 3A ($30) รองรับ NVMe/PCIe
    PINE64 ROCK64 ($44.95) RAM 4GB
    Le Potato ($45) RAM 2GB และรองรับ 4K

    จุดแข็งของ Raspberry Pi
    Ecosystem ครบวงจร (OS, HAT, Imager)
    ชุมชนและเอกสารประกอบที่แข็งแกร่ง

    คำเตือนต่อผู้ใช้
    รุ่น 1GB อาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ให้ RAM มากกว่าในราคาใกล้เคียง
    ราคาที่ปรับขึ้นอาจกระทบต่อเป้าหมายเดิมของ Raspberry Pi ที่ต้องการ democratize เทคโนโลยี

    https://itsfoss.com/news/raspberry-pi-5-1gb-worth-it/
    💻 Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB ราคา $45 Raspberry Pi เพิ่งเปิดตัวรุ่น Pi 5 RAM 1GB ในราคา $45 พร้อมกับการปรับขึ้นราคาของรุ่นอื่น ๆ เช่น Pi 5 รุ่น 8GB ที่ขึ้นจาก $80 เป็น $95 และรุ่น 16GB ที่ขึ้นจาก $120 เป็น $145 สาเหตุหลักมาจาก การขาดแคลนหน่วยความจำ LPDDR4 ที่เกิดจากความต้องการสูงในตลาด AI infrastructure ตามคำกล่าวของ CEO Eben Upton ที่ย้ำว่าการขึ้นราคานี้เป็น “ชั่วคราว” และจะปรับลดลงเมื่อสถานการณ์ตลาดดีขึ้น ⚙️ คู่แข่งที่สเปกดีกว่าในราคาใกล้เคียง ตลาด Single Board Computer (SBC) มีการแข่งขันสูง โดยบอร์ดหลายรุ่นให้สเปกที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียง เช่น: 💠 ArmSoM Forge1 ราคา $23 มาพร้อม CPU Rockchip RK3506J และ RAM 512MB เหมาะกับงาน IoT และอุตสาหกรรม 💠 Radxa ROCK 3A ราคาเริ่มต้น $30 มี RAM 2GB, CPU Cortex-A55 Quad-core และรองรับ NVMe, PCIe 3.0 💠 PINE64 ROCK64 ราคา $44.95 มาพร้อม RAM 4GB และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง 💠 Le Potato AML-S905X-CC ราคา $45 มาพร้อม RAM 2GB และรองรับการเล่นวิดีโอ 4K 🌐 Ecosystem ของ Raspberry Pi ที่ยังเหนือกว่า แม้คู่แข่งจะมีสเปกที่ดีกว่า แต่ Raspberry Pi ยังคงได้เปรียบในด้าน Ecosystem ที่ครบวงจร: 💠 Raspberry Pi OS ที่เสถียรและได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ 💠 เครื่องมือ Raspberry Pi Imager ที่ทำให้การติดตั้งง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น 💠 HAT Ecosystem ที่มีบอร์ดเสริมหลายร้อยแบบ รองรับการใช้งานหลากหลายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องไดรเวอร์ 💠 ชุมชนและเอกสารประกอบ ที่กว้างขวางและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเปิดตัว Raspberry Pi 5 รุ่น 1GB ➡️ ราคา $45 แต่ถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า ➡️ ราคาของรุ่นอื่น ๆ ก็ปรับขึ้นตามภาวะตลาด ✅ คู่แข่งในตลาด SBC ➡️ ArmSoM Forge1 ($23) สำหรับ IoT ➡️ Radxa ROCK 3A ($30) รองรับ NVMe/PCIe ➡️ PINE64 ROCK64 ($44.95) RAM 4GB ➡️ Le Potato ($45) RAM 2GB และรองรับ 4K ✅ จุดแข็งของ Raspberry Pi ➡️ Ecosystem ครบวงจร (OS, HAT, Imager) ➡️ ชุมชนและเอกสารประกอบที่แข็งแกร่ง ‼️ คำเตือนต่อผู้ใช้ ⛔ รุ่น 1GB อาจไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ให้ RAM มากกว่าในราคาใกล้เคียง ⛔ ราคาที่ปรับขึ้นอาจกระทบต่อเป้าหมายเดิมของ Raspberry Pi ที่ต้องการ democratize เทคโนโลยี https://itsfoss.com/news/raspberry-pi-5-1gb-worth-it/
    ITSFOSS.COM
    Raspberry Pi 5 1GB Variant: Is It Worth $45?
    Other SBCs offer more RAM at this price point. So, should you still pay $45 for a 1 GB Pi?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลเซียนับหนึ่งอีกครั้ง ค้นหาเที่ยวบินปริศนา MH370

    กระทรวงคมนาคมมาเลเซียประกาศว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 จะเริ่มต้นใหม่ โดยบริษัท โอเชียน อินฟินิตี (Ocean Infinity) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังคงมั่นคงในความพยายามในการหาคําตอบ และแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด

    ถ้อยแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ได้ยืนยันต่อรัฐบาลมาเลเซียว่า จะเริ่มดำเนินการค้นหาใต้ทะเลอีกครั้งเป็นเวลา 55 วัน โดยจะดำเนินการเป็นระยะ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ได้รับการประเมินว่ามีโอกาสสูงสุดที่จะระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ ตามข้อตกลงการให้บริการที่ลงนามระหว่างกัน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิจารณ์จากชาวมาเลเซีย ทั้งเห็นด้วยในการค้นหา เพราะต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลถึงสาเหตุที่เครื่องบินหายไป บ้างก็ไม่เห็นด้วยหากต้องใช้เงินภาษีประชาชน แนะว่าให้นำเงินจำนวนมหาศาลไปช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากลำบากดีกว่า ถึงกระนั้น ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชนมีเงื่อนไขก็คือ รัฐบาลจะจ่ายเงินหากพบชิ้นส่วนเครื่องบินเท่านั้น

    หากค้นพบซากเครื่องบิน รัฐบาลมาเลเซียจะต้องจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนดังกล่าว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,230 ล้านบาท)

    เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 ออกจากท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้โดยสาร 227 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และลูกเรือ 12 คน รวม 239 คน แต่ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังออกจากสนามบินต้นทาง

    ตามรายงานการสอบสวน 495 หน้า ระบุว่า ระบบควบคุมของเครื่องบิน อาจถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยเจตนา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และยังไม่ได้สรุปผลว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับการค้นพบซากเครื่องบิน

    แม้จะมีปฎิบัติการค้นหาร่วมกันทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน มีเพียงค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆ ที่เชื่อว่ามาจากเครื่องบินลำดังกล่าวตามแนวชายฝั่งทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศโมซัมบิก มาดากัสการ์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส

    กรณีนี้นอกจากจะเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายแล้ว ยังเป็นบาดแผลทางจิตใจให้กับครอบครัวผู้สูญหาย ซึ่งเรียกร้องให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ บริษัทโบอิ้ง บริษัทโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ และบริษัทประกันภัยอลิอันซ์จ่ายเงินเยียวยา

    #Newskit
    มาเลเซียนับหนึ่งอีกครั้ง ค้นหาเที่ยวบินปริศนา MH370 กระทรวงคมนาคมมาเลเซียประกาศว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 จะเริ่มต้นใหม่ โดยบริษัท โอเชียน อินฟินิตี (Ocean Infinity) ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียยังคงมั่นคงในความพยายามในการหาคําตอบ และแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ถ้อยแถลงของกระทรวงฯ ระบุว่า บริษัท โอเชียน อินฟินิตี ได้ยืนยันต่อรัฐบาลมาเลเซียว่า จะเริ่มดำเนินการค้นหาใต้ทะเลอีกครั้งเป็นเวลา 55 วัน โดยจะดำเนินการเป็นระยะ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายที่ได้รับการประเมินว่ามีโอกาสสูงสุดที่จะระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้ ตามข้อตกลงการให้บริการที่ลงนามระหว่างกัน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเสียงวิจารณ์จากชาวมาเลเซีย ทั้งเห็นด้วยในการค้นหา เพราะต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผลถึงสาเหตุที่เครื่องบินหายไป บ้างก็ไม่เห็นด้วยหากต้องใช้เงินภาษีประชาชน แนะว่าให้นำเงินจำนวนมหาศาลไปช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ยากลำบากดีกว่า ถึงกระนั้น ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชนมีเงื่อนไขก็คือ รัฐบาลจะจ่ายเงินหากพบชิ้นส่วนเครื่องบินเท่านั้น หากค้นพบซากเครื่องบิน รัฐบาลมาเลเซียจะต้องจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนดังกล่าว 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2,230 ล้านบาท) เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MH370 ออกจากท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2557 มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีผู้โดยสาร 227 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน และลูกเรือ 12 คน รวม 239 คน แต่ขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังออกจากสนามบินต้นทาง ตามรายงานการสอบสวน 495 หน้า ระบุว่า ระบบควบคุมของเครื่องบิน อาจถูกบังคับให้ออกนอกเส้นทางโดยเจตนา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และยังไม่ได้สรุปผลว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับการค้นพบซากเครื่องบิน แม้จะมีปฎิบัติการค้นหาร่วมกันทั้งมาเลเซีย ออสเตรเลีย และจีน แต่ก็ยังไม่พบซากเครื่องบิน มีเพียงค้นพบชิ้นส่วนเครื่องบินเล็กๆ ที่เชื่อว่ามาจากเครื่องบินลำดังกล่าวตามแนวชายฝั่งทางตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศโมซัมบิก มาดากัสการ์ และเกาะเรอูนียงของฝรั่งเศส กรณีนี้นอกจากจะเกิดทฤษฎีสมคบคิดมากมายแล้ว ยังเป็นบาดแผลทางจิตใจให้กับครอบครัวผู้สูญหาย ซึ่งเรียกร้องให้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ บริษัทโบอิ้ง บริษัทโรลส์รอยซ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ และบริษัทประกันภัยอลิอันซ์จ่ายเงินเยียวยา #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linus Torvalds ปกป้อง Blue Screen of Death ของ Windows

    Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux ได้กล่าวในวิดีโอร่วมกับ Linus Tech Tips ว่า BSOD ของ Windows ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป แต่บ่อยครั้งมีสาเหตุมาจากฮาร์ดแวร์ที่ไม่เสถียร เช่น หน่วยความจำที่ไม่มีระบบ ECC (Error Correction Code) ซึ่งช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ในหน่วยความจำก่อนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เขาเชื่อว่าผู้ใช้ที่โอเวอร์คล็อกเครื่องมักเจอความไม่เสถียรมากขึ้น และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ Windows แสดง BSOD บ่อยครั้ง

    Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen of Death
    ในปี 2025 Microsoft ได้อัปเดต Windows 11 โดยเปลี่ยน Blue Screen of Death เป็น Black Screen of Death เพื่อให้สอดคล้องกับการออกแบบใหม่และลดภาพลักษณ์เชิงลบ แม้การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเพียงด้านภาพ แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้ระบบมีความเสถียรมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery ที่ช่วยให้เครื่องฟื้นตัวเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหา

    ECC และการวิจารณ์ Intel
    Torvalds เคยวิจารณ์ Intel ว่าเป็นผู้ทำให้ ECC ไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ทั่วไป ทั้งที่ ECC เป็นเทคโนโลยีที่ควรมีในทุกเครื่อง ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์ เขาเชื่อว่าการไม่มี ECC ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเจอกับความเสี่ยงด้านความเสถียรและข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว

    มุมมองทางวัฒนธรรมของ BSOD
    แม้ BSOD จะเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาด แต่ก็กลายเป็น วัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต ที่มีทั้งมีม เสื้อยืด และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ภาพหน้าจอ BSOD การเปลี่ยนเป็น Black Screen จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสี แต่เป็นการปิดฉากหนึ่งในสัญลักษณ์ที่อยู่กับ Windows มานานกว่า 40 ปี

    สรุปสาระสำคัญ
    BSOD ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป
    ปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น หน่วยความจำที่ไม่มี ECC เป็นสาเหตุหลัก

    Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen
    เป็นการปรับภาพลักษณ์และเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery

    ECC มีความสำคัญต่อความเสถียรของระบบ
    Torvalds วิจารณ์ Intel ที่ไม่ผลักดัน ECC ในตลาดผู้ใช้ทั่วไป

    BSOD เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    มีม, เสื้อยืด, และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ประสบการณ์

    การโอเวอร์คล็อกเพิ่มความเสี่ยงต่อ BSOD
    ผู้ใช้ที่ปรับแต่งเครื่องมากเกินไปอาจเจอความไม่เสถียรสูง

    การไม่มี ECC ทำให้ข้อมูลเสี่ยงเสียหาย
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าหน่วยความจำมีข้อผิดพลาดที่ไม่ได้รับการแก้ไข

    https://itsfoss.com/news/torvalds-blue-screen-of-death/
    🖥️ Linus Torvalds ปกป้อง Blue Screen of Death ของ Windows Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux ได้กล่าวในวิดีโอร่วมกับ Linus Tech Tips ว่า BSOD ของ Windows ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป แต่บ่อยครั้งมีสาเหตุมาจากฮาร์ดแวร์ที่ไม่เสถียร เช่น หน่วยความจำที่ไม่มีระบบ ECC (Error Correction Code) ซึ่งช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ในหน่วยความจำก่อนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เขาเชื่อว่าผู้ใช้ที่โอเวอร์คล็อกเครื่องมักเจอความไม่เสถียรมากขึ้น และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ Windows แสดง BSOD บ่อยครั้ง ⚙️ Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen of Death ในปี 2025 Microsoft ได้อัปเดต Windows 11 โดยเปลี่ยน Blue Screen of Death เป็น Black Screen of Death เพื่อให้สอดคล้องกับการออกแบบใหม่และลดภาพลักษณ์เชิงลบ แม้การเปลี่ยนแปลงจะเป็นเพียงด้านภาพ แต่ก็สะท้อนถึงความพยายามของ Microsoft ในการทำให้ระบบมีความเสถียรมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery ที่ช่วยให้เครื่องฟื้นตัวเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหา 🔒 ECC และการวิจารณ์ Intel Torvalds เคยวิจารณ์ Intel ว่าเป็นผู้ทำให้ ECC ไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในคอมพิวเตอร์ผู้ใช้ทั่วไป ทั้งที่ ECC เป็นเทคโนโลยีที่ควรมีในทุกเครื่อง ไม่ใช่แค่เซิร์ฟเวอร์ เขาเชื่อว่าการไม่มี ECC ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเจอกับความเสี่ยงด้านความเสถียรและข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว 💡 มุมมองทางวัฒนธรรมของ BSOD แม้ BSOD จะเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาด แต่ก็กลายเป็น วัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต ที่มีทั้งมีม เสื้อยืด และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ภาพหน้าจอ BSOD การเปลี่ยนเป็น Black Screen จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสี แต่เป็นการปิดฉากหนึ่งในสัญลักษณ์ที่อยู่กับ Windows มานานกว่า 40 ปี 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ BSOD ไม่ได้เกิดจากซอฟต์แวร์เสมอไป ➡️ ปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น หน่วยความจำที่ไม่มี ECC เป็นสาเหตุหลัก ✅ Microsoft เปลี่ยน BSOD เป็น Black Screen ➡️ เป็นการปรับภาพลักษณ์และเพิ่มฟีเจอร์ Quick Machine Recovery ✅ ECC มีความสำคัญต่อความเสถียรของระบบ ➡️ Torvalds วิจารณ์ Intel ที่ไม่ผลักดัน ECC ในตลาดผู้ใช้ทั่วไป ✅ BSOD เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ➡️ มีม, เสื้อยืด, และชุมชนออนไลน์ที่แชร์ประสบการณ์ ‼️ การโอเวอร์คล็อกเพิ่มความเสี่ยงต่อ BSOD ⛔ ผู้ใช้ที่ปรับแต่งเครื่องมากเกินไปอาจเจอความไม่เสถียรสูง ‼️ การไม่มี ECC ทำให้ข้อมูลเสี่ยงเสียหาย ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่รู้ว่าหน่วยความจำมีข้อผิดพลาดที่ไม่ได้รับการแก้ไข https://itsfoss.com/news/torvalds-blue-screen-of-death/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia เสียพื้นที่ให้คู่แข่งในตลาด GPU

    ตลาดการ์ดจอไตรมาส 3 ปี 2025 แสดงให้เห็นว่า Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดเล็กน้อยให้กับ AMD และ Intel โดย Nvidia ยังครองกว่า 90% แต่ AMD และ Intel กำลังค่อย ๆ ขยับขึ้น

    รายงานล่าสุดจาก Jon Peddie Research (JPR) เผยว่าในไตรมาส 3 ปี 2025 Nvidia มีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 94% เหลือ 92% แม้ยังครองตลาดแบบเกือบเบ็ดเสร็จ แต่การลดลงนี้สะท้อนถึงการเติบโตของคู่แข่ง โดยเฉพาะ AMD ที่มีการเปิดตัว Radeon RX 9000 series และ Intel ที่สามารถทะลุ 1% ส่วนแบ่งตลาด ได้เป็นครั้งแรก

    AMD และ Intel กำลังไล่บี้
    AMD ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัว RDNA 4-based Radeon RX 9070 XT ที่ได้รับความนิยมทั้งในสื่อและร้านค้า ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 7% ขณะที่ Intel แม้ยังเป็นผู้เล่นเล็ก แต่การทะลุ 1% ถือเป็นก้าวสำคัญในตลาดที่ถูกครองโดย Nvidia มานาน การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งบอกว่าตลาดเริ่มมีการแข่งขันมากขึ้น

    ปัจจัยภายนอกที่กระทบตลาด
    การเติบโตของตลาด GPU ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 11.4% สาเหตุหลักมาจากการ “panic buying” ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านภาษี ทำให้ยอดขายถูกดึงไปก่อนหน้า ส่งผลให้การเติบโตใน Q3 ต่ำกว่าปกติ

    แนวโน้มในอนาคต
    แม้ Nvidia ยังครองตลาด แต่ JPR คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของตลาด GPU ระหว่างปี 2024-2029 อาจติดลบ (-0.7% CAGR) เนื่องจากความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    Nvidia ยังครองตลาด GPU กว่า 92%
    ลดลงจาก 94% ในไตรมาสก่อนหน้า

    AMD เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 7%
    ได้แรงหนุนจาก Radeon RX 9000 series

    Intel ทะลุ 1% ส่วนแบ่งตลาดเป็นครั้งแรก
    ถือเป็นก้าวสำคัญในตลาดที่แข่งขันสูง

    ตลาด GPU โตเพียง 2.8% ใน Q3 2025
    ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 11.4%

    ความเสี่ยงจากภาษีและเศรษฐกิจโลกยังคงสูง
    อาจทำให้ตลาดเติบโตติดลบในระยะ 5 ปีข้างหน้า

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/latest-gpu-market-analysis-shows-nvidia-losing-ground-to-amd-and-intel-cracks-the-1-percent-share-milestone-for-the-first-time
    📉 Nvidia เสียพื้นที่ให้คู่แข่งในตลาด GPU ตลาดการ์ดจอไตรมาส 3 ปี 2025 แสดงให้เห็นว่า Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดเล็กน้อยให้กับ AMD และ Intel โดย Nvidia ยังครองกว่า 90% แต่ AMD และ Intel กำลังค่อย ๆ ขยับขึ้น รายงานล่าสุดจาก Jon Peddie Research (JPR) เผยว่าในไตรมาส 3 ปี 2025 Nvidia มีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 94% เหลือ 92% แม้ยังครองตลาดแบบเกือบเบ็ดเสร็จ แต่การลดลงนี้สะท้อนถึงการเติบโตของคู่แข่ง โดยเฉพาะ AMD ที่มีการเปิดตัว Radeon RX 9000 series และ Intel ที่สามารถทะลุ 1% ส่วนแบ่งตลาด ได้เป็นครั้งแรก 🔥 AMD และ Intel กำลังไล่บี้ AMD ได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัว RDNA 4-based Radeon RX 9070 XT ที่ได้รับความนิยมทั้งในสื่อและร้านค้า ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 7% ขณะที่ Intel แม้ยังเป็นผู้เล่นเล็ก แต่การทะลุ 1% ถือเป็นก้าวสำคัญในตลาดที่ถูกครองโดย Nvidia มานาน การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งบอกว่าตลาดเริ่มมีการแข่งขันมากขึ้น 🌍 ปัจจัยภายนอกที่กระทบตลาด การเติบโตของตลาด GPU ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 11.4% สาเหตุหลักมาจากการ “panic buying” ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านภาษี ทำให้ยอดขายถูกดึงไปก่อนหน้า ส่งผลให้การเติบโตใน Q3 ต่ำกว่าปกติ 📊 แนวโน้มในอนาคต แม้ Nvidia ยังครองตลาด แต่ JPR คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของตลาด GPU ระหว่างปี 2024-2029 อาจติดลบ (-0.7% CAGR) เนื่องจากความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Nvidia ยังครองตลาด GPU กว่า 92% ➡️ ลดลงจาก 94% ในไตรมาสก่อนหน้า ✅ AMD เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 7% ➡️ ได้แรงหนุนจาก Radeon RX 9000 series ✅ Intel ทะลุ 1% ส่วนแบ่งตลาดเป็นครั้งแรก ➡️ ถือเป็นก้าวสำคัญในตลาดที่แข่งขันสูง ✅ ตลาด GPU โตเพียง 2.8% ใน Q3 2025 ➡️ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 11.4% ‼️ ความเสี่ยงจากภาษีและเศรษฐกิจโลกยังคงสูง ⛔ อาจทำให้ตลาดเติบโตติดลบในระยะ 5 ปีข้างหน้า https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/latest-gpu-market-analysis-shows-nvidia-losing-ground-to-amd-and-intel-cracks-the-1-percent-share-milestone-for-the-first-time
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Latest GPU market analysis shows Nvidia losing ground to AMD — and Intel cracks the 1% share milestone for the first time
    JPR says Nvidia's GPU market share decreased by 1.2% in Q3'25. It still owns over 90% of the market, though.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง ยากูซ่า…ยังซ่าอยู่
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยากูซ่า…ยังซ่าอยู่”
    ตอน 1
    เพิ่งเล่าไปหมาดๆ ในนิทานเรื่องไม่ตกสะเก็ดว่า ยากูซ่าเป็นหมอตำแยทำคลอดพรรค LPD ของญี่ปุ่น ในคุกซุกาโมช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกใหม่ๆ หลังจากทำคลอด ยากูซ่าสาระพัดลาย ยังทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม ช่วยกันป้อนข้าว ป้อนน้ำอุ้มชูดูแล จนพรรค LDP โตไว กล้ามใหญ่ หน้าไหนจะกล้าขัดใจขวางทางเจ้าพ่อยากูซ่า ด้วยเหตุนี้ พรรค LDP จึงคุมการเมืองญี่ปุ่นอยู่มือ อยู่หมัด มาตลอด ตั้งแต่คลอด จนถึงเดี๋ยวนี้ 
    คณะหมอตำแย ประกอบด้วย นายโคดามะ เจ้าพ่อใหญ่ของยากูซ่า หัวหน้าสมาคมมังกรดำ นายซาซากาวา หัวหน้ายากูซ่าอีกกลุ่มที่ ที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันเป็นมือสำคัญ มือหนึ่ง ที่อยู่ข้างหลังประเทศญี่ปุ่น และอีกหนึ่ง ที่เป็นคนประสานงานระหว่าง ฝ่ายยากูซ่า นักการเมืองญี่ปุ่นกับฝ่ายอเมริกา คือ นายคิชิ โนบูซุเกะ Kishi Nobusuke ตาของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน นายชินโซะ อาเบะ นั่นเอง ทีนี่ก็รู้กันแล้วว่า คุณอาเบะ นี่เป็นเด็กเลี้ยงของยากูซ่า อย่าไปขัดใจแกมากนัก
    น่าทึ่งนะครับ นึกถึงญี่ปุ่น อย่านึกถึงแต่ปลาดิบกับกิโมโน เดี๋ยวจะเข้าใจหลายอย่างเกี่ยวกับญี่ปุ่น…ผิดเพี้ยน...
    เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว สื่อฝรั่งต่างพากันลงข่าวว่า ยามากูชิ – กูมิ Yamagushi – gumi ยากูซ่า แก๊งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นขณะนี้ กำลังจะฉลองครบรอบ 100 ปี ของแก๊ง ด้วยการแตกคอกัน และอาจมีการยกพวกตีกันรุนแรง เป็นข่าวหลุดมาจากการประชุมใหญ่ของแก๊ง ที่สำนักงานใหญ่เมืองโกเบ เมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม เขาว่ามันเป็นการเรียกประชุมด่วน บรรดาชายในชุดสูทดำ นิ้วก้อยสั้นทั้งหลาย ต่างทำหน้าเครียด รีบมาเข้าประชุมกันพร้อมหน้า ทั้งหมดเดินทางมาด้วยรถส่วนตัวสีดำ กระจกติดฟิลม์ดำมืด รถยนต์มีแต่ยี่ห้อเมอร์ซิเดซเบนซ์ หรือโตโยต้าเล็กซัสเท่านั้น ยี่ห้ออื่นสงสัยจะไม่เข้ากับ สูทดำและนิ้วก้อยสั้น
    รายงานข่าวว่า ยามากูชิ-กูมิ กำลังร้าวจัดใกล้แตก พวกหนึ่ง ยังคงสน้บสนุนหัวหน้าใหญ่คนปัจจุบัน หนุ่มใหญ่วัย 73 นายชิโนดะ Kenichi Shinoda หรือที่รู้จักกันในนาม Shinobu Tsukasa ส่วนอีกพวก สนับสนุนคู่แข่งที่อยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ข่าวไม่บอกว่าเป็นใคร
    สาเหตุที่แตกคอ มีเรื่องอ้างสาระพัด แต่เรื่องใหญ่เขาว่า น่าจะเป็นเรื่องการค้ายาเสพติด ที่เจ้าพ่อวัย 73 บอก ตามประเพณี ตั้งแต่ตั้งแก๊งมา เราไม่ค้ายา แต่ลูกแก๊งบอก ถ้าไม่ค้ายา เรารวยไม่พอนะ ค้าคน ค้าเงิน ค้าบ่อน ค้าของเมา ค้ากำลัง ฯลฯ มันไม่พอรวย เอ ค้ากำลังอาวุธ นี่ น่าจะพอนะ หรือ ส่วนแบ่งไม่ลงตัว อันนี้ผม ไม่กล้าเดา
    บางข่าว ยังมีเพิ่มเติมว่า หรือจะเป็นการเตรียมตัวกลับมา ของหัวหน้ายากูซ่าใหญ่อีกคนชื่อ นาย โกโตะ Goto Tadamasa ซึ่งเคยใหญ่มาก แต่ตอนหลังถูกขับออกจากแก๊ง ในปี ค.ศ.2008 หลังมีข่าวว่า กระด้างกระเดื่องแยะ และไปมีข้อตกลงกับ FBI ของอเมริกา เอาความในของพวกไปบอก เพื่อแลกกับการผ่าตัดเปลี่ยนตับของเขา หลังจากหายดี นายโกโตะไม่กลับญี่ปุ่น แต่ไปปักหลัก ฝั่งตัวอยู่ ในกัมพูชา
    เรื่องยามากูชิ-กูมิ กำลังร้าวจัด จวนแตกนี่ ทำให้ตำรวจญี่ปุ่น อยู่ในภาวะเตรียมพร้อม ไม่กล้าง่วงไม่กล้าซึม เขาว่า เมื่อยากูซ่า แตกคอใหญ่ในปี ค.ศ.1984 พวกเขาตีกันไม่เลิกถึง 5 ปี มีการปาระเบิดกลางเมือง ยิงกราดกลางถนนเหมือนในหนัง ขับรถบรรทุกพุ่งใส่บ้านพังเป็นแถบๆ (บ้านเล็กน่าเอ็นดูของญี่ปุ่น ท่าทางพังง่ายอยู่แล้ว) คนตายไปหลายสิบ สมัยนั้นส่วนใหญ่ใช้ ปืนกล กับปาระเบิดใส่กันจะๆ เป้าเจาะจง ไม่ใช่เป้าหว่าน แบบวางระเบิดใกล้สี่แยกเหมือนสมัยนี้ เป้ก็ยังไม่ใช้ วิกก็ไม่ใส่กัน ตำรวจญี่ปุ่นบอก ถ้าตีกันงวดนี้ จากพัฒนาการใช้อาวุธอุปกรณ์กันครบครัน ตำรวจก็ไม่กล้าคาดเดาว่า ญี่ปุ่นจะเละขนาดไหน
    ยากูซ่าในญี่ปุ่นมีประมาณ 24 แก๊งใหญ่ จำนวนยากูซ่าทั้งหมดประมาณ 6 หมื่นกว่าคน ทั้งหมดมีรายได้รวมกันต่อปี อย่างน้อย 45 พันล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยออกไหมครับ จำนวนมหึมามาก แก๊งใหญ่อันดับแรกคือ ยามากูชิ-กูมิ ซึ่งไม่ใช่แค่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เขาเป็นกลุ่มอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่ามาเฟียอิตาลี และอเมริกันอีกนะครับ
    ยามากูชิ-กูมิ มีสมาชิกทางการประมาณ 2 หมื่นกว่าคน แต่ตำรวจญี่ปุ่น บอก ตัวเลขจริงน่าจะใกล้ 4 หมื่นกว่าคน มีสาขาเกือบร้อยสาขา ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี และอเมริกา ไทยมีหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เอาว่าไม่มี ดีกว่านะ แก๊งเจ้าพ่อรายนี้ มีบริษัทหน้าฉาก หลายร้อยบริษัท มีบริษัทตรวจสอบบัญชีนับไม่ถ้วนอยู่ในมือ และมีพนักงานทำงานบริหารเป็นพันๆคน เจ้าพ่อเก็บข้อมูลบริษัทธุรกิจ ไว้ใช้ในการ “ทำธุรกิจ” มากมาย และมีข้อมูลส่วนบุคคล ประมาณ 3.2 ล้านคน เอาไว้ทำอะไร คงพอนึกกันออก นอกจากนี้ ยังมีบริษัทนักสืบส่วนบุคคล ไว้ติดตามบุคคล ที่น่าตาม หรือ ต้องตามอีกแยะ
    
###############
ตอน 2
     
    เรื่องยากูซ่าแตกคอกัน นี่น่าสนใจไหม ผมให้ความสนใจ แต่ ไม่ใช่เรื่องเขาจะแตกคอกันผมสนใจเรื่อง “เวลา” ของการเป็นข่าว สนใจคนเขียนข่าว และสนใจเนื้อข่าว บางตอน
     
    “เวลา” ของการเป็นข่าว น่าสนใจเพราะ นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หลานตาเพื่อนรักยากูซ่า กำลังจะบีบให้สภาสูงของญี่ปุ่นผ่านกฏหมาย เพื่อให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองกำลังของตัวเอง ร่อนไปทั่ว
    เพื่อช่วยแบกถาดบริการให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง คอยดักตีห้วเพื่อนบ้าน แถบเอเซียแปซิฟิกได้คล่องตัว ในขณะเดียวกัน ก็มีชาวญี่ปุ่น
    โดยเฉพาะพวกคุณแม่กำลังไม่ยอม ไม่อยากให้ลูกไปทำสงคราม ไม่อยากให้ลูกต้องมีสภาพอย่างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงไม่ต้องการให้สภาผ่านกฏหมายนี้
    และออกมาประท้วงกันแล้ว และอาจจะออกมาประท้วงกันอีก แต่ถ้ายากูซ่ายกพวกตีกัน กลางเมือง พวกคุณแม่คุณลูก ก็คงไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงออกมาชุมนุม
    เผลอๆ อาจถูกลากไปอยู่ข้างไหนของยากูซ่าแบบไม่สมัครใจ หรือไม่ก็เอาข่าวยากูซ่าตีกัน มากลบข่าวเอากฏหมายแบกถาดเข้าสภา เรื่องสร้างข่าวหนึ่ง มากลบอีกข่าวหนึ่งนี่ ถนัดกันนัก
    ช่างเลือกเวลาให้ยากูซ่าทะเลาะกันจริงนะ หลานตา
    เรื่องคนเขียนข่าวนี่ก็แปลก สื่อฝรั่งระดับใหญ่อย่าง the Independent, Guardian, Telegraph, Washington Post ลงข่าวกันหมด แต่ดูไปลึกๆ ข่าวมาจากตอ ต้นเดียวกันทั้งนั้น เพราะเป็นข่าวที่เริ่มมาจาก นาย Jake Adelstien
    นายเจค Jake Adelstien นี่ก็แปลกเอาเรื่องอยู่ และก็มีคนสนใจความแปลกของเขา ขนาดจะเอาเรื่องเขาไปทำหนังแล้ว หนังชื่ออะไรไม่รู้ ผมเห็นข่าวแวบๆ จำได้แต่ว่าจะให้ เจ้าหนู ที่เล่นเป็น แฮรี่ พอตเตอร์ เล่นเป็นตัวนายนักข่าวคนนี้
    นาย เจค เป็นยิวอเมริกัน จากมิสซูรี เดินทางมาญี่ปุ่น เมื่อประมาณเกือบยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 2 หลงไหลเรื่องญี่ปุ่น เลยขอย้ายมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ระหว่างเรียนก็ทำงานหาเงินเป็นค่าเรียน ค่าอยู่ ค่ากิน งานหนึ่ง ที่เขาเล่าว่า เขาทำก็คือ รับจ้างนวดคุณนายญี่ปุ่นที่ร่ำรวยแต่ขี้เหงา เออ ช่างหางานจริงไอ้หนู ระหว่างนั้น ก็มั่วสุมอยู่กับพวกยากูซ่า จนเกิดความสนใจ ศึกษาติดตามชีวิตยากูซ่า เมื่อเรียนจบ พูดเขียนญี่ปุ่นได้คล่อง เนียนไปกับคนญี่ปุ่นแล้ว ก็ไปสมัครงานเป็นผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ Yomiuri Shimbun หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ยอดจำหน่ายสุงสุดของญี่ปุ่น
    นายเจค ทำข่าวเกี่ยวกับชีวิตชาวญี่ปุ่นในอีกโลกหนี่ง เป็นชีวิตสีดำของคนกลางคืน ส่วนใหญ่เป็นข่าวอาชญากรรม วันหนึ่ง ตำรวจญี่ปุ่นคุยให้เขาฟังว่า ยากูซ่าสมัยนี้ เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนยากูซ่าสมัยก่อน ที่เป็นสุภาพบุรุษ แม้จะสักลายพร้อยไปทั้งตัว แต่ก็ไม่ยุ่ง ไม่ทำร้ายคนนอกยากูซ่า นอกจากมีแบล๊กเมล์ หรือทรมานบ้าง แต่ไม่ทำร้ายตำรวจ มาตอนหลัง เกิดยากูซ่าสายพันธ์ใหม่ เช่น พันธุ์ประเภท นายโกโตะ Goto Tadamasa นี่แหละ ยากูซ่าก็ เริ่มเหี้ยมโหด รุนแรงขึ้น เล่นนอกเส้นไปถึงชาวบ้าน จนเดือดร้อนกันไปหมด นายเจคฟังแล้วก็สนใจ คิดจะทำรายงานข่าวพิเศษ เกี่ยวกับนาย โกโตะ เขาว่างั้น
    ก่อนการสนทนานี่ไม่กี่วัน ลูกน้องนายโกโตะที่เข้าใจว่า แปรพักตร์หักหลังเขา ถูกยิงตายที่เมืองไทยของเรานี่เอง หมอนี่ หนีเจ้าพ่อโกโตะอยู่หลายปี แต่ในที่สุดก็หนีไม่พ้น
    เรื่องการถูกยิงตายของยากูซ่าในเมืองไทยนี่เป็นข่าวอยู่ใน นสพ. เนชั่น เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.2011 ว่าไกด์ไทยสารภาพว่า ยิงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ตาย 1 บาดเจ็บสาหัส อีก 1 ระหว่างพาไปปืนเขาท่องเที่ยว อยู่แถวทางเหนือของเมืองไทย จริงๆ ญี่ปุ่นทั้ง 2 คนเป็นยากูซ่า หนีตายจากการรู้เห็นการเก็บกวาด ของยากูซ่าในญี่ปุ่น แต่หนีไม่พ้น ไกด์ไทยเลยงานเข้า เป็นข่าวที่เห็นถึงความไม่เข้าท่า หลายอย่างเหลือเกิน
    
###############
ตอน 3
    เมื่อ นายเจคได้กลิ่นเรื่อง เจ้าพ่อกาโตะ เขาตามติด แล้วนำมาเขียนรายงานข่าวว่า จริงๆเรื่องมันเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่นายกาโตะกำลังดำเนินการอยู่ นาย ก ดันเข้ามาขวางทาง นายกาโตะ จึงสั่งลูกน้องหมายเลข 1 ให้ จัดการนาย ก ผลปรากฏว่า นาย ก ถูกแทงตายกลางถนนแห่งหนึ่งแถว Aoyama เมื่อปี ค.ศ.2006 ตำรวจโตเกียว ใช้เวลาอยู่ 4 ปี ในปี ค.ศ.2009 จึงจับลูกน้องหมายเลข 1 ได้ แล้วออกหมายจับลูกน้องหมายเลข 2 ด้วย หมายเลข 1 ถูกพิพากษาติดคุก 13 ปี ส่วนหมายเลข 2 หนีหาย แต่ในที่สุดปรากฏมาถูกยิงตายอยู่ที่เมืองไทยในปี ค.ศ.2011 นั่นเอง
    นายเจค คุ้ยต่อ ได้เรื่องว่า นายกาโตะ เคยได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ ที่ รพ UCLA Medical Center ในอเมริกา พร้อมลูกน้องอีก 2 คน ภายใต้การจัดการออก วีซ่า และอำนวยความสดวกของ FBI แถมลัดคิวไม่ต้องคอย ตัดหน้าคนที่ลงชื่อขอเปลี่ยนตับไปร้อยกว่าคน FBI บอก เราไม่ได้อะไรมากมายจากนายกาโตะหรอก อ้าว แล้วใจดีจัดการพา ยากูซ่ามาผ่าตัดเปลี่ยนตับ ตัดหน้าคนป่วยอเมริกันร้อยกว่าคนทำไม
    จากการคุ้ยแคะเรื่องนายกาโตะ นายเจคอ้างว่า ทำให้เขาโดนขู่ และโดนทำร้าย ลูกและเมียชาวญี่ปุ่นก็โดนขู่ด้วย แต่นายเจค ก็ยังคงอยู่ในญี่ปุ่นต่อไป ต่อมาเขาลาออกจากหนังสือพิมพ์ Yomiuri มาเป็นสื่ออิสระ แต่ก็ยังตามติดเรื่องยากูซ่า การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจของยากูซ่าต่อ ตัวเขาเองก็ใส่สูทดำ เหมือนพวกยากูซ่าส่วนใหญ่ แถมนั่งรถเมอร์ซิเดซเบนซ์ สีดำ มีคนขับเป็นอดีตยากูซ่านิ่วก้อยซ้ายสั้นหายไป 1 ข้อ เห็นชัด มีคนบอกว่า นายเจคเอง ก็น่าจะเป็น ซีไอเอ ไม่งั้นไม่รอดมาหรอก นายเจคไม่ตอบรับ หรือ ปฏิเสธ เขายังคลุกคลีอยู่กับยากูซ่า ตอนหลังเขาแยกทางกับเมีย ตัวเขายังอยู่ญี่ปุ่นจนทุกวันนี้ ส่วนลูกเมียไปอยู่อเมริกา และมีตำรวจคอยคุ้มกัน
    แต่ นายเจค ยังไม่เลิกเล่น เขาเขียนเรื่องของนายโกโตะ กับ FBI ไปลงใน นสพ. Washington Post และ Los Angeles Times เขารายงานว่า หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนตับเรียบร้อย นายโกโตะ ก็กลับมาญี่ปุ่น บริหารกิจการยากูซ่าต่อ และในปี ค.ศ.2008 ก็ถูกขับออกจากแก๊งยากูซ่า จากนั้น นายกาโตะก็หนีไปอยู่ที่กัมพูชาพร้อมพรรคพวก ตัวนายกาโตะ บวชเป็นพระนุ่งเหลืองห่มเหลืองในพุทธศาสนา
    นายเจคเขียนหนังสือ เกี่ยวกับชีวิตด้านมืดของโตเกียวชื่อ “Tokyo Vice” ที่น่าจะเป็นต้นเรื่องของข่าว ที่ว่าจะมีการสร้างหนัง ส่วนนายกาโตะ ก็มาแบบยากูซ่า เขาบอกว่า แม้จะเขาจะบวชเป็นพระแล้ว ก็ใช่ว่า นายเจค จะได้อยู่สบาย หลังจากนั้น มีข่าวว่า ทนายที่นายเจค จ้างเอาไว้ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเขากับนายกาโตะ ไปพักผ่อนที่ฟิลิปปินส์ เช้าขึ้นมาพบว่านอนตายสนิทอยู่ในห้องพักของโรงแรม มีขวดยานอนหลับกับแก้วไวน์อยู่หัวเตียง ที่ข้อมือมีรอยเชือดยาว แต่ไม่ลึก มีกล่องใส่คัตเตอร์ขนาดต่างๆ วางอยู่ที่หัวเตียงด้วย ตำรวจฟิลิปปินส์ สรุปสำนวนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย วิธีการ การสรุปสำนวนไม่ต่างกับตำรวจไทย
    เล่าเรื่องยากูซ่าแตกคอให้ฟังแล้ว ดูเผินๆ เหมือนเรื่องไม่น่าเป็นเรื่อง มาออกข่าวกันทำไม แถมเรื่องก็ไม่เห็นมีอะไร ลุงนิทานเอามาเขียนทำไม
    เรื่องแบบนี้แหละ ที่คนช่างสงสัยอย่างผม อดคิดมากไม่ได้ ผมไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ!
    นายเจค สาระพัดจะทำตัวคลุกกับยากูซ่า ตีข่าวเสียน่าสนใจ ว่ายากูซ่าจะแตกกัน ตีกัน แต่ตอนเขียนถึงสาเหตุ กลับแสนเบา ไม่มีน้ำหนัก ส่วนเรื่องนายกาโตะ ก็เช่นเดียวกัน ตีข่าวเรื่องเปลี่ยนตับ กับข้อตกลงกับ FBI เหมือนเร้าใจ แต่พอถูกไล่จากแก๊ง ดันไม่เจาะลึก ว่ามาจากสาเหตุอะไร และที่แปลก จนผมต้องเขียนถึงคือ เรื่องยากูซ่า ดันหนี ไปบวชเป็นพระอยู่ในเขมร ! มีที่ให้ไปตั้งแยะ เลือกไปอยู่เขมร มันไม่สงสัยไม่ได้ แถมช่วงเวลา ที่ ยากูซ่าไปอยู่เขมร ก็น่าสนใจสำหรับผม
    ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบก ผ่านมาทางใต้ของไทย ญี่ปุ่น ก็มาบวชเป็นพระอยู่ทางใต้ของเราอยู่นานหลายคน โดยเฉพาะตัว นายพล Tsuji Masanobu ผู้ที่จะมาบัญชาการรบในไทยก็บวช
    ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง การยึดราชประสงค์ และการซุ่มยิงทหารที่สี่แยกคอกวัว การบุกสถานที่ราชการและโรงพยาบาล ในปี พ.ศ.2553 (ค.ศ.2010) ที่มีชายชุดดำ ซุ่มยิงทหาร วางระเบิด เผากรุงเทพฯ เสียวินาศสันตะโร ชายชุดดำมาจากไหนกัน ใครฝึก พฤติกรรมของชายชุดดำเป็นอย่างไร น่ารังเกียจ เหี้ยมโหดขนาดไหน ไม่ใช่พื้นฝอยหาตะเข็บ แต่เป็นเรื่องเจ็บแล้วต้องจำ และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก
    ทำให้ผมนึก ไปได้อีกหลายเรื่องครับ เรื่องบังเอิญไม่มี เขมรกับไทย อยู่ไม่ไกลกัน เข้าง่ายออกง่าย มารถ มาเรือ มารถไฟได้ทั้งนั้น และญี่ปุ่นในไทยก็มากขึ้นทุกวัน ตอนนี้ก็เร่งฝึกแบกถาดให้ไอ้นักล่าใบตองแห้งอยู่ ระวังกันบ้างก็แล้วกัน ไอ้ใบตองแห้งมันวางแผนเก่ง เรื่องล่อให้หลงทางนี่ กระจอกสำหรับมัน
    
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
7 ก.ย. 2558
    เรื่อง ยากูซ่า…ยังซ่าอยู่ นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยากูซ่า…ยังซ่าอยู่” ตอน 1 เพิ่งเล่าไปหมาดๆ ในนิทานเรื่องไม่ตกสะเก็ดว่า ยากูซ่าเป็นหมอตำแยทำคลอดพรรค LPD ของญี่ปุ่น ในคุกซุกาโมช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกใหม่ๆ หลังจากทำคลอด ยากูซ่าสาระพัดลาย ยังทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม ช่วยกันป้อนข้าว ป้อนน้ำอุ้มชูดูแล จนพรรค LDP โตไว กล้ามใหญ่ หน้าไหนจะกล้าขัดใจขวางทางเจ้าพ่อยากูซ่า ด้วยเหตุนี้ พรรค LDP จึงคุมการเมืองญี่ปุ่นอยู่มือ อยู่หมัด มาตลอด ตั้งแต่คลอด จนถึงเดี๋ยวนี้  คณะหมอตำแย ประกอบด้วย นายโคดามะ เจ้าพ่อใหญ่ของยากูซ่า หัวหน้าสมาคมมังกรดำ นายซาซากาวา หัวหน้ายากูซ่าอีกกลุ่มที่ ที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันเป็นมือสำคัญ มือหนึ่ง ที่อยู่ข้างหลังประเทศญี่ปุ่น และอีกหนึ่ง ที่เป็นคนประสานงานระหว่าง ฝ่ายยากูซ่า นักการเมืองญี่ปุ่นกับฝ่ายอเมริกา คือ นายคิชิ โนบูซุเกะ Kishi Nobusuke ตาของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน นายชินโซะ อาเบะ นั่นเอง ทีนี่ก็รู้กันแล้วว่า คุณอาเบะ นี่เป็นเด็กเลี้ยงของยากูซ่า อย่าไปขัดใจแกมากนัก น่าทึ่งนะครับ นึกถึงญี่ปุ่น อย่านึกถึงแต่ปลาดิบกับกิโมโน เดี๋ยวจะเข้าใจหลายอย่างเกี่ยวกับญี่ปุ่น…ผิดเพี้ยน... เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว สื่อฝรั่งต่างพากันลงข่าวว่า ยามากูชิ – กูมิ Yamagushi – gumi ยากูซ่า แก๊งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นขณะนี้ กำลังจะฉลองครบรอบ 100 ปี ของแก๊ง ด้วยการแตกคอกัน และอาจมีการยกพวกตีกันรุนแรง เป็นข่าวหลุดมาจากการประชุมใหญ่ของแก๊ง ที่สำนักงานใหญ่เมืองโกเบ เมื่อประมาณปลายเดือนสิงหาคม เขาว่ามันเป็นการเรียกประชุมด่วน บรรดาชายในชุดสูทดำ นิ้วก้อยสั้นทั้งหลาย ต่างทำหน้าเครียด รีบมาเข้าประชุมกันพร้อมหน้า ทั้งหมดเดินทางมาด้วยรถส่วนตัวสีดำ กระจกติดฟิลม์ดำมืด รถยนต์มีแต่ยี่ห้อเมอร์ซิเดซเบนซ์ หรือโตโยต้าเล็กซัสเท่านั้น ยี่ห้ออื่นสงสัยจะไม่เข้ากับ สูทดำและนิ้วก้อยสั้น รายงานข่าวว่า ยามากูชิ-กูมิ กำลังร้าวจัดใกล้แตก พวกหนึ่ง ยังคงสน้บสนุนหัวหน้าใหญ่คนปัจจุบัน หนุ่มใหญ่วัย 73 นายชิโนดะ Kenichi Shinoda หรือที่รู้จักกันในนาม Shinobu Tsukasa ส่วนอีกพวก สนับสนุนคู่แข่งที่อยู่ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ข่าวไม่บอกว่าเป็นใคร สาเหตุที่แตกคอ มีเรื่องอ้างสาระพัด แต่เรื่องใหญ่เขาว่า น่าจะเป็นเรื่องการค้ายาเสพติด ที่เจ้าพ่อวัย 73 บอก ตามประเพณี ตั้งแต่ตั้งแก๊งมา เราไม่ค้ายา แต่ลูกแก๊งบอก ถ้าไม่ค้ายา เรารวยไม่พอนะ ค้าคน ค้าเงิน ค้าบ่อน ค้าของเมา ค้ากำลัง ฯลฯ มันไม่พอรวย เอ ค้ากำลังอาวุธ นี่ น่าจะพอนะ หรือ ส่วนแบ่งไม่ลงตัว อันนี้ผม ไม่กล้าเดา บางข่าว ยังมีเพิ่มเติมว่า หรือจะเป็นการเตรียมตัวกลับมา ของหัวหน้ายากูซ่าใหญ่อีกคนชื่อ นาย โกโตะ Goto Tadamasa ซึ่งเคยใหญ่มาก แต่ตอนหลังถูกขับออกจากแก๊ง ในปี ค.ศ.2008 หลังมีข่าวว่า กระด้างกระเดื่องแยะ และไปมีข้อตกลงกับ FBI ของอเมริกา เอาความในของพวกไปบอก เพื่อแลกกับการผ่าตัดเปลี่ยนตับของเขา หลังจากหายดี นายโกโตะไม่กลับญี่ปุ่น แต่ไปปักหลัก ฝั่งตัวอยู่ ในกัมพูชา เรื่องยามากูชิ-กูมิ กำลังร้าวจัด จวนแตกนี่ ทำให้ตำรวจญี่ปุ่น อยู่ในภาวะเตรียมพร้อม ไม่กล้าง่วงไม่กล้าซึม เขาว่า เมื่อยากูซ่า แตกคอใหญ่ในปี ค.ศ.1984 พวกเขาตีกันไม่เลิกถึง 5 ปี มีการปาระเบิดกลางเมือง ยิงกราดกลางถนนเหมือนในหนัง ขับรถบรรทุกพุ่งใส่บ้านพังเป็นแถบๆ (บ้านเล็กน่าเอ็นดูของญี่ปุ่น ท่าทางพังง่ายอยู่แล้ว) คนตายไปหลายสิบ สมัยนั้นส่วนใหญ่ใช้ ปืนกล กับปาระเบิดใส่กันจะๆ เป้าเจาะจง ไม่ใช่เป้าหว่าน แบบวางระเบิดใกล้สี่แยกเหมือนสมัยนี้ เป้ก็ยังไม่ใช้ วิกก็ไม่ใส่กัน ตำรวจญี่ปุ่นบอก ถ้าตีกันงวดนี้ จากพัฒนาการใช้อาวุธอุปกรณ์กันครบครัน ตำรวจก็ไม่กล้าคาดเดาว่า ญี่ปุ่นจะเละขนาดไหน ยากูซ่าในญี่ปุ่นมีประมาณ 24 แก๊งใหญ่ จำนวนยากูซ่าทั้งหมดประมาณ 6 หมื่นกว่าคน ทั้งหมดมีรายได้รวมกันต่อปี อย่างน้อย 45 พันล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยออกไหมครับ จำนวนมหึมามาก แก๊งใหญ่อันดับแรกคือ ยามากูชิ-กูมิ ซึ่งไม่ใช่แค่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เขาเป็นกลุ่มอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่ามาเฟียอิตาลี และอเมริกันอีกนะครับ ยามากูชิ-กูมิ มีสมาชิกทางการประมาณ 2 หมื่นกว่าคน แต่ตำรวจญี่ปุ่น บอก ตัวเลขจริงน่าจะใกล้ 4 หมื่นกว่าคน มีสาขาเกือบร้อยสาขา ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี และอเมริกา ไทยมีหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เอาว่าไม่มี ดีกว่านะ แก๊งเจ้าพ่อรายนี้ มีบริษัทหน้าฉาก หลายร้อยบริษัท มีบริษัทตรวจสอบบัญชีนับไม่ถ้วนอยู่ในมือ และมีพนักงานทำงานบริหารเป็นพันๆคน เจ้าพ่อเก็บข้อมูลบริษัทธุรกิจ ไว้ใช้ในการ “ทำธุรกิจ” มากมาย และมีข้อมูลส่วนบุคคล ประมาณ 3.2 ล้านคน เอาไว้ทำอะไร คงพอนึกกันออก นอกจากนี้ ยังมีบริษัทนักสืบส่วนบุคคล ไว้ติดตามบุคคล ที่น่าตาม หรือ ต้องตามอีกแยะ 
###############
ตอน 2   เรื่องยากูซ่าแตกคอกัน นี่น่าสนใจไหม ผมให้ความสนใจ แต่ ไม่ใช่เรื่องเขาจะแตกคอกันผมสนใจเรื่อง “เวลา” ของการเป็นข่าว สนใจคนเขียนข่าว และสนใจเนื้อข่าว บางตอน   “เวลา” ของการเป็นข่าว น่าสนใจเพราะ นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หลานตาเพื่อนรักยากูซ่า กำลังจะบีบให้สภาสูงของญี่ปุ่นผ่านกฏหมาย เพื่อให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองกำลังของตัวเอง ร่อนไปทั่ว เพื่อช่วยแบกถาดบริการให้ไอ้นักล่าใบตองแห้ง คอยดักตีห้วเพื่อนบ้าน แถบเอเซียแปซิฟิกได้คล่องตัว ในขณะเดียวกัน ก็มีชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะพวกคุณแม่กำลังไม่ยอม ไม่อยากให้ลูกไปทำสงคราม ไม่อยากให้ลูกต้องมีสภาพอย่างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงไม่ต้องการให้สภาผ่านกฏหมายนี้ และออกมาประท้วงกันแล้ว และอาจจะออกมาประท้วงกันอีก แต่ถ้ายากูซ่ายกพวกตีกัน กลางเมือง พวกคุณแม่คุณลูก ก็คงไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงออกมาชุมนุม เผลอๆ อาจถูกลากไปอยู่ข้างไหนของยากูซ่าแบบไม่สมัครใจ หรือไม่ก็เอาข่าวยากูซ่าตีกัน มากลบข่าวเอากฏหมายแบกถาดเข้าสภา เรื่องสร้างข่าวหนึ่ง มากลบอีกข่าวหนึ่งนี่ ถนัดกันนัก ช่างเลือกเวลาให้ยากูซ่าทะเลาะกันจริงนะ หลานตา เรื่องคนเขียนข่าวนี่ก็แปลก สื่อฝรั่งระดับใหญ่อย่าง the Independent, Guardian, Telegraph, Washington Post ลงข่าวกันหมด แต่ดูไปลึกๆ ข่าวมาจากตอ ต้นเดียวกันทั้งนั้น เพราะเป็นข่าวที่เริ่มมาจาก นาย Jake Adelstien นายเจค Jake Adelstien นี่ก็แปลกเอาเรื่องอยู่ และก็มีคนสนใจความแปลกของเขา ขนาดจะเอาเรื่องเขาไปทำหนังแล้ว หนังชื่ออะไรไม่รู้ ผมเห็นข่าวแวบๆ จำได้แต่ว่าจะให้ เจ้าหนู ที่เล่นเป็น แฮรี่ พอตเตอร์ เล่นเป็นตัวนายนักข่าวคนนี้ นาย เจค เป็นยิวอเมริกัน จากมิสซูรี เดินทางมาญี่ปุ่น เมื่อประมาณเกือบยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นเขาเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปี 2 หลงไหลเรื่องญี่ปุ่น เลยขอย้ายมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ระหว่างเรียนก็ทำงานหาเงินเป็นค่าเรียน ค่าอยู่ ค่ากิน งานหนึ่ง ที่เขาเล่าว่า เขาทำก็คือ รับจ้างนวดคุณนายญี่ปุ่นที่ร่ำรวยแต่ขี้เหงา เออ ช่างหางานจริงไอ้หนู ระหว่างนั้น ก็มั่วสุมอยู่กับพวกยากูซ่า จนเกิดความสนใจ ศึกษาติดตามชีวิตยากูซ่า เมื่อเรียนจบ พูดเขียนญี่ปุ่นได้คล่อง เนียนไปกับคนญี่ปุ่นแล้ว ก็ไปสมัครงานเป็นผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ Yomiuri Shimbun หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ยอดจำหน่ายสุงสุดของญี่ปุ่น นายเจค ทำข่าวเกี่ยวกับชีวิตชาวญี่ปุ่นในอีกโลกหนี่ง เป็นชีวิตสีดำของคนกลางคืน ส่วนใหญ่เป็นข่าวอาชญากรรม วันหนึ่ง ตำรวจญี่ปุ่นคุยให้เขาฟังว่า ยากูซ่าสมัยนี้ เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนยากูซ่าสมัยก่อน ที่เป็นสุภาพบุรุษ แม้จะสักลายพร้อยไปทั้งตัว แต่ก็ไม่ยุ่ง ไม่ทำร้ายคนนอกยากูซ่า นอกจากมีแบล๊กเมล์ หรือทรมานบ้าง แต่ไม่ทำร้ายตำรวจ มาตอนหลัง เกิดยากูซ่าสายพันธ์ใหม่ เช่น พันธุ์ประเภท นายโกโตะ Goto Tadamasa นี่แหละ ยากูซ่าก็ เริ่มเหี้ยมโหด รุนแรงขึ้น เล่นนอกเส้นไปถึงชาวบ้าน จนเดือดร้อนกันไปหมด นายเจคฟังแล้วก็สนใจ คิดจะทำรายงานข่าวพิเศษ เกี่ยวกับนาย โกโตะ เขาว่างั้น ก่อนการสนทนานี่ไม่กี่วัน ลูกน้องนายโกโตะที่เข้าใจว่า แปรพักตร์หักหลังเขา ถูกยิงตายที่เมืองไทยของเรานี่เอง หมอนี่ หนีเจ้าพ่อโกโตะอยู่หลายปี แต่ในที่สุดก็หนีไม่พ้น เรื่องการถูกยิงตายของยากูซ่าในเมืองไทยนี่เป็นข่าวอยู่ใน นสพ. เนชั่น เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.2011 ว่าไกด์ไทยสารภาพว่า ยิงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ตาย 1 บาดเจ็บสาหัส อีก 1 ระหว่างพาไปปืนเขาท่องเที่ยว อยู่แถวทางเหนือของเมืองไทย จริงๆ ญี่ปุ่นทั้ง 2 คนเป็นยากูซ่า หนีตายจากการรู้เห็นการเก็บกวาด ของยากูซ่าในญี่ปุ่น แต่หนีไม่พ้น ไกด์ไทยเลยงานเข้า เป็นข่าวที่เห็นถึงความไม่เข้าท่า หลายอย่างเหลือเกิน 
###############
ตอน 3 เมื่อ นายเจคได้กลิ่นเรื่อง เจ้าพ่อกาโตะ เขาตามติด แล้วนำมาเขียนรายงานข่าวว่า จริงๆเรื่องมันเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่นายกาโตะกำลังดำเนินการอยู่ นาย ก ดันเข้ามาขวางทาง นายกาโตะ จึงสั่งลูกน้องหมายเลข 1 ให้ จัดการนาย ก ผลปรากฏว่า นาย ก ถูกแทงตายกลางถนนแห่งหนึ่งแถว Aoyama เมื่อปี ค.ศ.2006 ตำรวจโตเกียว ใช้เวลาอยู่ 4 ปี ในปี ค.ศ.2009 จึงจับลูกน้องหมายเลข 1 ได้ แล้วออกหมายจับลูกน้องหมายเลข 2 ด้วย หมายเลข 1 ถูกพิพากษาติดคุก 13 ปี ส่วนหมายเลข 2 หนีหาย แต่ในที่สุดปรากฏมาถูกยิงตายอยู่ที่เมืองไทยในปี ค.ศ.2011 นั่นเอง นายเจค คุ้ยต่อ ได้เรื่องว่า นายกาโตะ เคยได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ ที่ รพ UCLA Medical Center ในอเมริกา พร้อมลูกน้องอีก 2 คน ภายใต้การจัดการออก วีซ่า และอำนวยความสดวกของ FBI แถมลัดคิวไม่ต้องคอย ตัดหน้าคนที่ลงชื่อขอเปลี่ยนตับไปร้อยกว่าคน FBI บอก เราไม่ได้อะไรมากมายจากนายกาโตะหรอก อ้าว แล้วใจดีจัดการพา ยากูซ่ามาผ่าตัดเปลี่ยนตับ ตัดหน้าคนป่วยอเมริกันร้อยกว่าคนทำไม จากการคุ้ยแคะเรื่องนายกาโตะ นายเจคอ้างว่า ทำให้เขาโดนขู่ และโดนทำร้าย ลูกและเมียชาวญี่ปุ่นก็โดนขู่ด้วย แต่นายเจค ก็ยังคงอยู่ในญี่ปุ่นต่อไป ต่อมาเขาลาออกจากหนังสือพิมพ์ Yomiuri มาเป็นสื่ออิสระ แต่ก็ยังตามติดเรื่องยากูซ่า การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจของยากูซ่าต่อ ตัวเขาเองก็ใส่สูทดำ เหมือนพวกยากูซ่าส่วนใหญ่ แถมนั่งรถเมอร์ซิเดซเบนซ์ สีดำ มีคนขับเป็นอดีตยากูซ่านิ่วก้อยซ้ายสั้นหายไป 1 ข้อ เห็นชัด มีคนบอกว่า นายเจคเอง ก็น่าจะเป็น ซีไอเอ ไม่งั้นไม่รอดมาหรอก นายเจคไม่ตอบรับ หรือ ปฏิเสธ เขายังคลุกคลีอยู่กับยากูซ่า ตอนหลังเขาแยกทางกับเมีย ตัวเขายังอยู่ญี่ปุ่นจนทุกวันนี้ ส่วนลูกเมียไปอยู่อเมริกา และมีตำรวจคอยคุ้มกัน แต่ นายเจค ยังไม่เลิกเล่น เขาเขียนเรื่องของนายโกโตะ กับ FBI ไปลงใน นสพ. Washington Post และ Los Angeles Times เขารายงานว่า หลังจากผ่าตัดเปลี่ยนตับเรียบร้อย นายโกโตะ ก็กลับมาญี่ปุ่น บริหารกิจการยากูซ่าต่อ และในปี ค.ศ.2008 ก็ถูกขับออกจากแก๊งยากูซ่า จากนั้น นายกาโตะก็หนีไปอยู่ที่กัมพูชาพร้อมพรรคพวก ตัวนายกาโตะ บวชเป็นพระนุ่งเหลืองห่มเหลืองในพุทธศาสนา นายเจคเขียนหนังสือ เกี่ยวกับชีวิตด้านมืดของโตเกียวชื่อ “Tokyo Vice” ที่น่าจะเป็นต้นเรื่องของข่าว ที่ว่าจะมีการสร้างหนัง ส่วนนายกาโตะ ก็มาแบบยากูซ่า เขาบอกว่า แม้จะเขาจะบวชเป็นพระแล้ว ก็ใช่ว่า นายเจค จะได้อยู่สบาย หลังจากนั้น มีข่าวว่า ทนายที่นายเจค จ้างเอาไว้ดูแลคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเขากับนายกาโตะ ไปพักผ่อนที่ฟิลิปปินส์ เช้าขึ้นมาพบว่านอนตายสนิทอยู่ในห้องพักของโรงแรม มีขวดยานอนหลับกับแก้วไวน์อยู่หัวเตียง ที่ข้อมือมีรอยเชือดยาว แต่ไม่ลึก มีกล่องใส่คัตเตอร์ขนาดต่างๆ วางอยู่ที่หัวเตียงด้วย ตำรวจฟิลิปปินส์ สรุปสำนวนว่า เป็นการฆ่าตัวตาย วิธีการ การสรุปสำนวนไม่ต่างกับตำรวจไทย เล่าเรื่องยากูซ่าแตกคอให้ฟังแล้ว ดูเผินๆ เหมือนเรื่องไม่น่าเป็นเรื่อง มาออกข่าวกันทำไม แถมเรื่องก็ไม่เห็นมีอะไร ลุงนิทานเอามาเขียนทำไม เรื่องแบบนี้แหละ ที่คนช่างสงสัยอย่างผม อดคิดมากไม่ได้ ผมไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ! นายเจค สาระพัดจะทำตัวคลุกกับยากูซ่า ตีข่าวเสียน่าสนใจ ว่ายากูซ่าจะแตกกัน ตีกัน แต่ตอนเขียนถึงสาเหตุ กลับแสนเบา ไม่มีน้ำหนัก ส่วนเรื่องนายกาโตะ ก็เช่นเดียวกัน ตีข่าวเรื่องเปลี่ยนตับ กับข้อตกลงกับ FBI เหมือนเร้าใจ แต่พอถูกไล่จากแก๊ง ดันไม่เจาะลึก ว่ามาจากสาเหตุอะไร และที่แปลก จนผมต้องเขียนถึงคือ เรื่องยากูซ่า ดันหนี ไปบวชเป็นพระอยู่ในเขมร ! มีที่ให้ไปตั้งแยะ เลือกไปอยู่เขมร มันไม่สงสัยไม่ได้ แถมช่วงเวลา ที่ ยากูซ่าไปอยู่เขมร ก็น่าสนใจสำหรับผม ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบก ผ่านมาทางใต้ของไทย ญี่ปุ่น ก็มาบวชเป็นพระอยู่ทางใต้ของเราอยู่นานหลายคน โดยเฉพาะตัว นายพล Tsuji Masanobu ผู้ที่จะมาบัญชาการรบในไทยก็บวช ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง การยึดราชประสงค์ และการซุ่มยิงทหารที่สี่แยกคอกวัว การบุกสถานที่ราชการและโรงพยาบาล ในปี พ.ศ.2553 (ค.ศ.2010) ที่มีชายชุดดำ ซุ่มยิงทหาร วางระเบิด เผากรุงเทพฯ เสียวินาศสันตะโร ชายชุดดำมาจากไหนกัน ใครฝึก พฤติกรรมของชายชุดดำเป็นอย่างไร น่ารังเกียจ เหี้ยมโหดขนาดไหน ไม่ใช่พื้นฝอยหาตะเข็บ แต่เป็นเรื่องเจ็บแล้วต้องจำ และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก ทำให้ผมนึก ไปได้อีกหลายเรื่องครับ เรื่องบังเอิญไม่มี เขมรกับไทย อยู่ไม่ไกลกัน เข้าง่ายออกง่าย มารถ มาเรือ มารถไฟได้ทั้งนั้น และญี่ปุ่นในไทยก็มากขึ้นทุกวัน ตอนนี้ก็เร่งฝึกแบกถาดให้ไอ้นักล่าใบตองแห้งอยู่ ระวังกันบ้างก็แล้วกัน ไอ้ใบตองแห้งมันวางแผนเก่ง เรื่องล่อให้หลงทางนี่ กระจอกสำหรับมัน 
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
7 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยาปฏิชีวนะรักษาสิว อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคจิตเภทได้ถึง 30%

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระและทีมร่วมจากฟินแลนด์ พบหลักฐานที่น่าสนใจว่า doxycycline ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาสิว อาจมีผลช่วยลดโอกาสเกิดโรคจิตเภทในวัยรุ่นที่เคยเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตลงได้ถึง 30–35% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดอื่น การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคทางจิตเวชรุนแรงในอนาคต

    นักวิจัยอธิบายว่า doxycycline สามารถผ่านเข้าสู่สมองและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมถึงช่วยควบคุมกระบวนการ synaptic pruning หรือการตัดแต่งเส้นใยประสาทที่มากเกินไป ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดโรคจิตเภท การศึกษาก่อนหน้านี้ยังพบว่า ยากลุ่ม tetracycline เช่น minocycline ก็มีผลคล้ายกันในการลดการสูญเสียการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ผิดปกติ

    แม้ผลการวิจัยจะน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่เป็นเพียงการศึกษาเชิงสังเกต ไม่ใช่การทดลองแบบสุ่มควบคุม ดังนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่า doxycycline ป้องกันโรคจิตเภทได้จริง จำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์ และเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการดื้อยา

    นอกจากนี้ งานวิจัยใหม่ ๆ ยังชี้ว่าการป้องกันโรคจิตเภทอาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น การลดการอักเสบในสมอง การดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยรุ่น และการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะจิตเภททั่วโลกยังไม่ได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ การค้นพบเกี่ยวกับ doxycycline จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางใหม่ในการป้องกันโรคทางจิตเวชที่รุนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ผลการศึกษาใหม่
    วัยรุ่นที่ได้รับ doxycycline มีความเสี่ยงโรคจิตเภทต่ำลง 30–35%
    การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56,000 คนในฟินแลนด์

    กลไกที่เป็นไปได้
    ยามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและผ่านเข้าสมองได้
    ช่วยควบคุมการตัดแต่งเส้นใยประสาท (synaptic pruning) ที่ผิดปกติ

    ความสำคัญทางการแพทย์
    เปิดโอกาสในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคจิตเภท
    สอดคล้องกับทฤษฎีใหม่ที่ชี้ว่า “การอักเสบในสมอง” มีบทบาทสำคัญ

    ข้อควรระวัง
    การศึกษานี้เป็นเชิงสังเกต ไม่สามารถยืนยันสาเหตุและผลได้
    ไม่ควรใช้ doxycycline เพื่อป้องกันโรคจิตเภทโดยตรงจนกว่าจะมีการทดลองเพิ่มเติม
    การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอาจนำไปสู่การดื้อยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ

    https://www.sciencealert.com/common-acne-medication-linked-with-30-lower-schizophrenia-risk
    📰 ยาปฏิชีวนะรักษาสิว อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคจิตเภทได้ถึง 30% นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระและทีมร่วมจากฟินแลนด์ พบหลักฐานที่น่าสนใจว่า doxycycline ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้กันทั่วไปในการรักษาสิว อาจมีผลช่วยลดโอกาสเกิดโรคจิตเภทในวัยรุ่นที่เคยเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตลงได้ถึง 30–35% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดอื่น การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคทางจิตเวชรุนแรงในอนาคต นักวิจัยอธิบายว่า doxycycline สามารถผ่านเข้าสู่สมองและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมถึงช่วยควบคุมกระบวนการ synaptic pruning หรือการตัดแต่งเส้นใยประสาทที่มากเกินไป ซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดโรคจิตเภท การศึกษาก่อนหน้านี้ยังพบว่า ยากลุ่ม tetracycline เช่น minocycline ก็มีผลคล้ายกันในการลดการสูญเสียการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทที่ผิดปกติ แม้ผลการวิจัยจะน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่เป็นเพียงการศึกษาเชิงสังเกต ไม่ใช่การทดลองแบบสุ่มควบคุม ดังนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่า doxycycline ป้องกันโรคจิตเภทได้จริง จำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์ และเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการดื้อยา นอกจากนี้ งานวิจัยใหม่ ๆ ยังชี้ว่าการป้องกันโรคจิตเภทอาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น การลดการอักเสบในสมอง การดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยรุ่น และการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะจิตเภททั่วโลกยังไม่ได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ การค้นพบเกี่ยวกับ doxycycline จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางใหม่ในการป้องกันโรคทางจิตเวชที่รุนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ผลการศึกษาใหม่ ➡️ วัยรุ่นที่ได้รับ doxycycline มีความเสี่ยงโรคจิตเภทต่ำลง 30–35% ➡️ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56,000 คนในฟินแลนด์ ✅ กลไกที่เป็นไปได้ ➡️ ยามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและผ่านเข้าสมองได้ ➡️ ช่วยควบคุมการตัดแต่งเส้นใยประสาท (synaptic pruning) ที่ผิดปกติ ✅ ความสำคัญทางการแพทย์ ➡️ เปิดโอกาสในการใช้ยาที่มีอยู่แล้วเพื่อป้องกันโรคจิตเภท ➡️ สอดคล้องกับทฤษฎีใหม่ที่ชี้ว่า “การอักเสบในสมอง” มีบทบาทสำคัญ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การศึกษานี้เป็นเชิงสังเกต ไม่สามารถยืนยันสาเหตุและผลได้ ⛔ ไม่ควรใช้ doxycycline เพื่อป้องกันโรคจิตเภทโดยตรงจนกว่าจะมีการทดลองเพิ่มเติม ⛔ การใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอาจนำไปสู่การดื้อยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ https://www.sciencealert.com/common-acne-medication-linked-with-30-lower-schizophrenia-risk
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Common Acne Medication Linked With 30% Lower Schizophrenia Risk
    An antibiotic commonly prescribed for acne management has been linked to a reduced chance of developing schizophrenia.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิกฤติราคา RAM/NAND รุนแรงขึ้น – TeamGroup เตือนปี 2026 จะหนักกว่าเดิม

    ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากผู้ผลิต DRAM และ NAND หันไปทุ่มกำลังผลิตให้กับ HBM (High Bandwidth Memory) ที่ใช้ใน AI accelerators เช่น Nvidia B300 และเซิร์ฟเวอร์ของ AWS, Google, Microsoft ส่งผลให้หน่วยความจำทั่วไปสำหรับ PC และสมาร์ทโฟนขาดแคลนอย่างหนัก

    ข้อมูลล่าสุดเผยว่า ราคาสัญญา DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว ขณะที่ราคา spot ของชิป DDR5 16Gb พุ่งจาก 6.84 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ไปถึงกว่า 27 ดอลลาร์ในเดือนธันวาคม ทำให้โมดูล RAM 16GB มีต้นทุนสูงถึง 225–228 ดอลลาร์โดยไม่รวมค่าขนส่งและภาษี

    ผู้บริหาร TeamGroup เตือนว่าในปี 2026 เมื่อสต็อกสินค้าหมดไป สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย เพราะแม้ผู้ซื้อจะยอมจ่ายแพงก็อาจไม่สามารถหาสินค้าได้ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลานานถึง 3 ปี ทำให้การแก้ปัญหานี้อาจต้องรอถึงปี 2027–2028 หรือหลังจากนั้น

    ผลกระทบชัดเจนแล้วในตลาดผู้บริโภค: ราคาหน่วยความจำสำหรับ PC พุ่งสูงจน 64GB DDR5 มีราคามากกว่าเครื่อง PlayStation 5 และผู้ผลิตบางรายเช่น Framework ต้องหยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า สถานการณ์นี้อาจทำให้ราคาสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์พุ่งสูงตามไปด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาหน่วยความจำพุ่งสูงผิดปกติ
    DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว
    DDR5 16Gb จาก 6.84 ดอลลาร์ → 27 ดอลลาร์

    สาเหตุหลักคือการเบี่ยงกำลังผลิตไปยัง HBM สำหรับ AI
    Nvidia, AWS, Google, Microsoft จองกำลังผลิตล่วงหน้า
    DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดความสำคัญ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด
    RAM 64GB แพงกว่าเครื่อง PS5
    Framework หยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุน

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    ปี 2026 อาจหาซื้อ RAM/NAND ไม่ได้ แม้ยอมจ่ายแพง
    การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลา 3 ปี ทำให้ราคาจะไม่กลับมาปกติจนถึง 2027–2028
    ราคาสมาร์ทโฟนและ PC อาจพุ่งสูงตามต้นทุนหน่วยความจำ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/the-ram-pricing-crisis-has-only-just-started-team-group-gm-warns-says-problem-will-get-worse-in-2026-as-dram-and-nand-prices-double-in-one-month
    💾 วิกฤติราคา RAM/NAND รุนแรงขึ้น – TeamGroup เตือนปี 2026 จะหนักกว่าเดิม ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากผู้ผลิต DRAM และ NAND หันไปทุ่มกำลังผลิตให้กับ HBM (High Bandwidth Memory) ที่ใช้ใน AI accelerators เช่น Nvidia B300 และเซิร์ฟเวอร์ของ AWS, Google, Microsoft ส่งผลให้หน่วยความจำทั่วไปสำหรับ PC และสมาร์ทโฟนขาดแคลนอย่างหนัก ข้อมูลล่าสุดเผยว่า ราคาสัญญา DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว ขณะที่ราคา spot ของชิป DDR5 16Gb พุ่งจาก 6.84 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ไปถึงกว่า 27 ดอลลาร์ในเดือนธันวาคม ทำให้โมดูล RAM 16GB มีต้นทุนสูงถึง 225–228 ดอลลาร์โดยไม่รวมค่าขนส่งและภาษี ผู้บริหาร TeamGroup เตือนว่าในปี 2026 เมื่อสต็อกสินค้าหมดไป สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย เพราะแม้ผู้ซื้อจะยอมจ่ายแพงก็อาจไม่สามารถหาสินค้าได้ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลานานถึง 3 ปี ทำให้การแก้ปัญหานี้อาจต้องรอถึงปี 2027–2028 หรือหลังจากนั้น ผลกระทบชัดเจนแล้วในตลาดผู้บริโภค: ราคาหน่วยความจำสำหรับ PC พุ่งสูงจน 64GB DDR5 มีราคามากกว่าเครื่อง PlayStation 5 และผู้ผลิตบางรายเช่น Framework ต้องหยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า สถานการณ์นี้อาจทำให้ราคาสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์พุ่งสูงตามไปด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาหน่วยความจำพุ่งสูงผิดปกติ ➡️ DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว ➡️ DDR5 16Gb จาก 6.84 ดอลลาร์ → 27 ดอลลาร์ ✅ สาเหตุหลักคือการเบี่ยงกำลังผลิตไปยัง HBM สำหรับ AI ➡️ Nvidia, AWS, Google, Microsoft จองกำลังผลิตล่วงหน้า ➡️ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดความสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด ➡️ RAM 64GB แพงกว่าเครื่อง PS5 ➡️ Framework หยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุน ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ปี 2026 อาจหาซื้อ RAM/NAND ไม่ได้ แม้ยอมจ่ายแพง ⛔ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลา 3 ปี ทำให้ราคาจะไม่กลับมาปกติจนถึง 2027–2028 ⛔ ราคาสมาร์ทโฟนและ PC อาจพุ่งสูงตามต้นทุนหน่วยความจำ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/the-ram-pricing-crisis-has-only-just-started-team-group-gm-warns-says-problem-will-get-worse-in-2026-as-dram-and-nand-prices-double-in-one-month
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ: ไอเดียที่แย่ที่สุดของยุค AI

    บทความนี้เขียนโดยอดีตวิศวกร/นักวิทยาศาสตร์ NASA ที่มีปริญญาเอกด้านอิเล็กทรอนิกส์อวกาศ และเคยทำงานที่ Google มา 10 ปี รวมถึงส่วนของ Cloud ที่รับผิดชอบการติดตั้ง AI capacity ท่านได้ออกมาเตือนว่าแนวคิดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศที่บริษัท AI หลายแห่งกำลังพิจารณาร่วมกับบริษัทดาวเทียม เป็นไอเดียที่แย่มากๆ และไม่สมเหตุสมผลเลย

    สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การระบายความร้อน ความทนทานต่อรังสี และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ GPU และ TPU สำหรับ AI นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ทำงานได้ดีในอวกาศโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศ (ของสถานีอวกาศนานาชาติ ISS) ที่มีขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอเมริกัน สามารถจ่ายไฟได้เพียง 200kW ซึ่งเพียงพอสำหรับ GPU ประมาณ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ของ OpenAI ในนอร์เวย์วางแผนจะติดตั้ง GPU ถึง 100,000 ตัว

    นอกจากนี้ การระบายความร้อนในอวกาศเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีอากาศให้ระบายความร้อนแบบ convection ได้ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดมหึมา ซึ่งระบบระบายความร้อนของ ISS ที่สามารถระบายความร้อนได้ 16kW (เพียงพอสำหรับ GPU 16 ตัว) ต้องใช้แผง radiator ขนาดถึง 42.5 ตารางเมตร ปัญหารังสีในอวกาศยังทำให้ชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเสียหายได้ง่าย โดย GPU และ TPU ที่ใช้ transistor ขนาดเล็กเป็นพิเศษนั้นเสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสีมากที่สุด ชิปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จากปี 2005 เท่านั้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อจำกัดด้านพลังงาน
    แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเท่า ISS (2,500 ตร.ม.) ให้พลังงานเพียง 200kW หรือพอสำหรับ GPU 200 ตัว
    ต้องใช้ดาวเทียมขนาด ISS ถึง 500 ดวง เพื่อเทียบเท่าดาต้าเซ็นเตอร์ 100,000 GPU ของ OpenAI
    เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากกัมมันตรังสี (RTG) ให้พลังงานเพียง 50-150W ไม่พอสำหรับ GPU แม้แต่ตัวเดียว

    ปัญหาการระบายความร้อน
    ไม่มีอากาศในอวกาศ ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนแบบ convection ได้
    ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดใหญ่มาก - ระบบของ ISS ที่ระบายได้ 16kW ต้องใช้พื้นที่ 42.5 ตร.ม.
    สำหรับ GPU 200 ตัว (200kW) ต้องใช้แผง radiator ประมาณ 531 ตร.ม. หรือใหญ่กว่าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 2.6 เท่า

    ความเสี่ยงจากรังสีอวกาศ
    GPU/TPU ใช้ transistor ขนาดเล็กมาก ทำให้เสี่ยงต่อ Single-Event Upset (SEU) และ latch-up สูงมาก
    รังสีสามารถทำให้บิตข้อมูลเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ชิปเสียหายถาวรได้
    ชิปที่ออกแบบสำหรับอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จาก 20 ปีก่อนเท่านั้น
    Total dose effects ทำให้ประสิทธิภาพชิปลดลงเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน

    ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร
    ดาวเทียมส่วนใหญ่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุได้ไม่เกิน 1Gbps
    เทียบกับ server rack บนโลกที่ใช้ interconnect 100Gbps ขึ้นไป ช้ากว่ามาก
    การใช้เลเซอร์สื่อสารต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่ดี

    ข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญ
    ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศขนาดเท่าดาวเทียม ISS จะเทียบเท่า server rack เพียง 3 ชุดบนโลกเท่านั้น
    ต้นทุนสูงมหาศาล ประสิทธิภาพต่ำ และยากต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง
    เป็นไอเดียที่แย่มากในทางเศรษฐศาสตร์และเทคนิค

    https://taranis.ie/datacenters-in-space-are-a-terrible-horrible-no-good-idea/
    🚀 ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศ: ไอเดียที่แย่ที่สุดของยุค AI บทความนี้เขียนโดยอดีตวิศวกร/นักวิทยาศาสตร์ NASA ที่มีปริญญาเอกด้านอิเล็กทรอนิกส์อวกาศ และเคยทำงานที่ Google มา 10 ปี รวมถึงส่วนของ Cloud ที่รับผิดชอบการติดตั้ง AI capacity ท่านได้ออกมาเตือนว่าแนวคิดการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศที่บริษัท AI หลายแห่งกำลังพิจารณาร่วมกับบริษัทดาวเทียม เป็นไอเดียที่แย่มากๆ และไม่สมเหตุสมผลเลย สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดพื้นฐานหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การระบายความร้อน ความทนทานต่อรังสี และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะ GPU และ TPU สำหรับ AI นั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ทำงานได้ดีในอวกาศโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ที่สุดในอวกาศ (ของสถานีอวกาศนานาชาติ ISS) ที่มีขนาดครึ่งสนามฟุตบอลอเมริกัน สามารถจ่ายไฟได้เพียง 200kW ซึ่งเพียงพอสำหรับ GPU ประมาณ 200 ตัวเท่านั้น ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ของ OpenAI ในนอร์เวย์วางแผนจะติดตั้ง GPU ถึง 100,000 ตัว นอกจากนี้ การระบายความร้อนในอวกาศเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เพราะไม่มีอากาศให้ระบายความร้อนแบบ convection ได้ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดมหึมา ซึ่งระบบระบายความร้อนของ ISS ที่สามารถระบายความร้อนได้ 16kW (เพียงพอสำหรับ GPU 16 ตัว) ต้องใช้แผง radiator ขนาดถึง 42.5 ตารางเมตร ปัญหารังสีในอวกาศยังทำให้ชิปอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปเสียหายได้ง่าย โดย GPU และ TPU ที่ใช้ transistor ขนาดเล็กเป็นพิเศษนั้นเสี่ยงต่อความเสียหายจากรังสีมากที่สุด ชิปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จากปี 2005 เท่านั้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อจำกัดด้านพลังงาน ➡️ แผงโซลาร์เซลล์ขนาดเท่า ISS (2,500 ตร.ม.) ให้พลังงานเพียง 200kW หรือพอสำหรับ GPU 200 ตัว ➡️ ต้องใช้ดาวเทียมขนาด ISS ถึง 500 ดวง เพื่อเทียบเท่าดาต้าเซ็นเตอร์ 100,000 GPU ของ OpenAI ➡️ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากกัมมันตรังสี (RTG) ให้พลังงานเพียง 50-150W ไม่พอสำหรับ GPU แม้แต่ตัวเดียว ✅ ปัญหาการระบายความร้อน ➡️ ไม่มีอากาศในอวกาศ ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนแบบ convection ได้ ➡️ ต้องใช้ระบบ radiator panel ขนาดใหญ่มาก - ระบบของ ISS ที่ระบายได้ 16kW ต้องใช้พื้นที่ 42.5 ตร.ม. ➡️ สำหรับ GPU 200 ตัว (200kW) ต้องใช้แผง radiator ประมาณ 531 ตร.ม. หรือใหญ่กว่าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 2.6 เท่า ‼️ ความเสี่ยงจากรังสีอวกาศ ⛔ GPU/TPU ใช้ transistor ขนาดเล็กมาก ทำให้เสี่ยงต่อ Single-Event Upset (SEU) และ latch-up สูงมาก ⛔ รังสีสามารถทำให้บิตข้อมูลเปลี่ยนแปลง หรือทำให้ชิปเสียหายถาวรได้ ⛔ ชิปที่ออกแบบสำหรับอวกาศจริงๆ มีประสิทธิภาพเทียบเท่า PowerPC จาก 20 ปีก่อนเท่านั้น ⛔ Total dose effects ทำให้ประสิทธิภาพชิปลดลงเรื่อยๆ ตลอดอายุการใช้งาน ‼️ ข้อจำกัดด้านการสื่อสาร ⛔ ดาวเทียมส่วนใหญ่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุได้ไม่เกิน 1Gbps ⛔ เทียบกับ server rack บนโลกที่ใช้ interconnect 100Gbps ขึ้นไป ช้ากว่ามาก ⛔ การใช้เลเซอร์สื่อสารต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่ดี ✅ ข้อสรุปจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ดาต้าเซ็นเตอร์ในอวกาศขนาดเท่าดาวเทียม ISS จะเทียบเท่า server rack เพียง 3 ชุดบนโลกเท่านั้น ➡️ ต้นทุนสูงมหาศาล ประสิทธิภาพต่ำ และยากต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง ➡️ เป็นไอเดียที่แย่มากในทางเศรษฐศาสตร์และเทคนิค https://taranis.ie/datacenters-in-space-are-a-terrible-horrible-no-good-idea/
    TARANIS.IE
    Datacenters in space are a terrible, horrible, no good idea.
    There is a rush for AI companies to team up with space launch/satellite companies to build datacenters in space. TL;DR: It's not going to work.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวสุขภาพ: “ชื่อเสียงอาจทำให้นักร้องอายุสั้นลงกว่าคนทั่วไป”

    งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Witten/Herdecke ประเทศเยอรมนีเผยว่า นักร้องที่มีชื่อเสียงระดับเซเลบมีแนวโน้มเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ไม่โด่งดังเฉลี่ยถึง 4.5 ปี โดยการวิเคราะห์ข้อมูลนักร้อง 324 คนที่มีชื่อเสียงระหว่างปี 1950–1990 เทียบกับนักร้องอีก 324 คนที่ไม่เป็นที่รู้จักมาก พบว่า นักร้องดังเสียชีวิตเฉลี่ยอายุ 75 ปี ขณะที่นักร้องที่ไม่ดังมีอายุเฉลี่ยเกือบ 80 ปี

    นักวิจัยชี้ว่า ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังจากนักร้องเริ่มมีชื่อเสียง ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น ปัจจัยสำคัญคือ ความเครียดทางจิตสังคม เช่น การถูกจับตามองจากสาธารณะ การสูญเสียความเป็นส่วนตัว และแรงกดดันในการแสดงต่อผู้ชมจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่พฤติกรรมการรับมือที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การใช้สารเสพติดหรือการทำงานหนักเกินไป

    ผลการศึกษาเพิ่มเติมยังพบว่า นักร้องเดี่ยวมีความเสี่ยงสูงกว่านักร้องที่อยู่ในวง เนื่องจากการอยู่ในวงช่วยแบ่งเบาภาระและมีเพื่อนร่วมทีมคอยสนับสนุน การค้นพบนี้สะท้อนว่าแม้ชื่อเสียงและรายได้สูงจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้อายุยืนขึ้นเสมอไป

    นักวิจัยสรุปว่า ชื่อเสียงอาจเป็นภาระเรื้อรังที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และควรมีมาตรการดูแลสุขภาพเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในสปอตไลท์ เพราะบุคคลเหล่านี้มักเป็นแบบอย่างที่สังคมจับตามองและอาจส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลการศึกษาเกี่ยวกับอายุขัยนักร้อง
    นักร้องดังเสียชีวิตเฉลี่ยอายุ 75 ปี
    นักร้องไม่ดังมีอายุเฉลี่ยเกือบ 80 ปี

    ปัจจัยเสี่ยงจากชื่อเสียง
    ความเครียดจากการถูกจับตามองและแรงกดดันในการแสดง
    พฤติกรรมรับมือที่ไม่ดี เช่น การใช้สารเสพติด

    ความแตกต่างระหว่างนักร้องเดี่ยวและนักร้องวง
    นักร้องเดี่ยวมีความเสี่ยงสูงกว่า
    การอยู่ในวงช่วยแบ่งเบาภาระและลดความเสี่ยง

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การศึกษาไม่สามารถยืนยันว่าชื่อเสียงเป็นสาเหตุโดยตรงของการเสียชีวิตเร็ว
    ผลลัพธ์อาจไม่สามารถนำไปใช้กับอาชีพอื่น เช่น นักแสดงหรือกีฬา

    https://www.sciencealert.com/fame-can-cut-years-from-a-singers-life-study-reveals
    🎤 ข่าวสุขภาพ: “ชื่อเสียงอาจทำให้นักร้องอายุสั้นลงกว่าคนทั่วไป” งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Witten/Herdecke ประเทศเยอรมนีเผยว่า นักร้องที่มีชื่อเสียงระดับเซเลบมีแนวโน้มเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่ไม่โด่งดังเฉลี่ยถึง 4.5 ปี โดยการวิเคราะห์ข้อมูลนักร้อง 324 คนที่มีชื่อเสียงระหว่างปี 1950–1990 เทียบกับนักร้องอีก 324 คนที่ไม่เป็นที่รู้จักมาก พบว่า นักร้องดังเสียชีวิตเฉลี่ยอายุ 75 ปี ขณะที่นักร้องที่ไม่ดังมีอายุเฉลี่ยเกือบ 80 ปี นักวิจัยชี้ว่า ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังจากนักร้องเริ่มมีชื่อเสียง ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น ปัจจัยสำคัญคือ ความเครียดทางจิตสังคม เช่น การถูกจับตามองจากสาธารณะ การสูญเสียความเป็นส่วนตัว และแรงกดดันในการแสดงต่อผู้ชมจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่พฤติกรรมการรับมือที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การใช้สารเสพติดหรือการทำงานหนักเกินไป ผลการศึกษาเพิ่มเติมยังพบว่า นักร้องเดี่ยวมีความเสี่ยงสูงกว่านักร้องที่อยู่ในวง เนื่องจากการอยู่ในวงช่วยแบ่งเบาภาระและมีเพื่อนร่วมทีมคอยสนับสนุน การค้นพบนี้สะท้อนว่าแม้ชื่อเสียงและรายได้สูงจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้อายุยืนขึ้นเสมอไป นักวิจัยสรุปว่า ชื่อเสียงอาจเป็นภาระเรื้อรังที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และควรมีมาตรการดูแลสุขภาพเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในสปอตไลท์ เพราะบุคคลเหล่านี้มักเป็นแบบอย่างที่สังคมจับตามองและอาจส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลการศึกษาเกี่ยวกับอายุขัยนักร้อง ➡️ นักร้องดังเสียชีวิตเฉลี่ยอายุ 75 ปี ➡️ นักร้องไม่ดังมีอายุเฉลี่ยเกือบ 80 ปี ✅ ปัจจัยเสี่ยงจากชื่อเสียง ➡️ ความเครียดจากการถูกจับตามองและแรงกดดันในการแสดง ➡️ พฤติกรรมรับมือที่ไม่ดี เช่น การใช้สารเสพติด ✅ ความแตกต่างระหว่างนักร้องเดี่ยวและนักร้องวง ➡️ นักร้องเดี่ยวมีความเสี่ยงสูงกว่า ➡️ การอยู่ในวงช่วยแบ่งเบาภาระและลดความเสี่ยง ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การศึกษาไม่สามารถยืนยันว่าชื่อเสียงเป็นสาเหตุโดยตรงของการเสียชีวิตเร็ว ⛔ ผลลัพธ์อาจไม่สามารถนำไปใช้กับอาชีพอื่น เช่น นักแสดงหรือกีฬา https://www.sciencealert.com/fame-can-cut-years-from-a-singers-life-study-reveals
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Fame Can Cut Years From a Singer's Life, Study Reveals
    "Being famous, that's a 24-hour job right there," actor Bill Murray once said.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • โปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง

    งานวิจัยใหม่พบว่าโปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง โดยช่วยกำจัดคราบโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคสมองเสื่อมในอนาคต

    นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ทดลองเพิ่มระดับโปรตีน Sox9 ในหนูที่มีภาวะคล้ายโรคอัลไซเมอร์ พบว่าเซลล์สมองชนิด astrocytes ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและกำจัดของเสียในสมอง กลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามารถ “ดูดซับ” คราบโปรตีน amyloid-beta ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานด้านความจำและพฤติกรรมของหนูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    กลไกการทำงานของ Sox9
    ผลการทดลองชี้ว่า Sox9 กระตุ้นการแสดงออกของตัวรับ MEGF10 บนผิวเซลล์ astrocytes ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำจัดคราบโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของสมอง การทดลองในหนูที่ถูกตัดยีน Sox9 ออกกลับพบว่า astrocytes ทำงานแย่ลง ความจำเสื่อม และคราบโปรตีนสะสมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า Sox9 เป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพสมอง

    ความซับซ้อนของโรคอัลไซเมอร์
    แม้การกำจัดคราบ amyloid-beta จะเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคอัลไซเมอร์ แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการรักษาแบบนี้ไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากโรคมีหลายปัจจัยร่วม เช่น การอักเสบในสมอง และการเสื่อมของเซลล์ประสาท การค้นพบ Sox9 จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เน้นการเสริมพลังให้กับ เซลล์ดูแลสมอง มากกว่าการรักษาเฉพาะเซลล์ประสาท

    ความหวังและข้อจำกัด
    แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองกับหนู แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้น เพราะแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูสมองที่เสื่อมแล้ว อาจเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรตีน Sox9 ช่วยฟื้นฟูสมองเสื่อมในหนู
    กระตุ้น astrocytes ให้กำจัดคราบ amyloid-beta ได้ดีขึ้น
    หนูที่ได้รับ Sox9 มีความจำและพฤติกรรมดีขึ้น

    กลไก Sox9 ผ่านตัวรับ MEGF10
    เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดูแลสมอง
    การตัด Sox9 ออกทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น

    แนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์
    เน้นเสริมพลังเซลล์ดูแลสมองมากกว่าการรักษาเซลล์ประสาท
    อาจช่วยแก้ปัญหาที่การรักษาแบบเดิมไม่สำเร็จ

    ข้อจำกัดและความเสี่ยง
    งานวิจัยยังอยู่ในระดับทดลองกับสัตว์
    ต้องมีการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันความปลอดภัย

    https://www.sciencealert.com/boosting-one-protein-reawakens-aging-brain-cells-in-mice-study-shows
    🧠 โปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง งานวิจัยใหม่พบว่าโปรตีน Sox9 สามารถกระตุ้นเซลล์สมองที่เสื่อมในหนูให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง โดยช่วยกำจัดคราบโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาโรคสมองเสื่อมในอนาคต นักวิจัยจาก Baylor College of Medicine ทดลองเพิ่มระดับโปรตีน Sox9 ในหนูที่มีภาวะคล้ายโรคอัลไซเมอร์ พบว่าเซลล์สมองชนิด astrocytes ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและกำจัดของเสียในสมอง กลับมาทำงานได้ดีขึ้น สามารถ “ดูดซับ” คราบโปรตีน amyloid-beta ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานด้านความจำและพฤติกรรมของหนูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 🔬 กลไกการทำงานของ Sox9 ผลการทดลองชี้ว่า Sox9 กระตุ้นการแสดงออกของตัวรับ MEGF10 บนผิวเซลล์ astrocytes ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำจัดคราบโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของสมอง การทดลองในหนูที่ถูกตัดยีน Sox9 ออกกลับพบว่า astrocytes ทำงานแย่ลง ความจำเสื่อม และคราบโปรตีนสะสมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า Sox9 เป็นกุญแจสำคัญต่อสุขภาพสมอง 🧩 ความซับซ้อนของโรคอัลไซเมอร์ แม้การกำจัดคราบ amyloid-beta จะเป็นเป้าหมายหลักของการรักษาโรคอัลไซเมอร์ แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าการรักษาแบบนี้ไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากโรคมีหลายปัจจัยร่วม เช่น การอักเสบในสมอง และการเสื่อมของเซลล์ประสาท การค้นพบ Sox9 จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เน้นการเสริมพลังให้กับ เซลล์ดูแลสมอง มากกว่าการรักษาเฉพาะเซลล์ประสาท 🌍 ความหวังและข้อจำกัด แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองกับหนู แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าน่าตื่นเต้น เพราะแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูสมองที่เสื่อมแล้ว อาจเป็นไปได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรตีน Sox9 ช่วยฟื้นฟูสมองเสื่อมในหนู ➡️ กระตุ้น astrocytes ให้กำจัดคราบ amyloid-beta ได้ดีขึ้น ➡️ หนูที่ได้รับ Sox9 มีความจำและพฤติกรรมดีขึ้น ✅ กลไก Sox9 ผ่านตัวรับ MEGF10 ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดูแลสมอง ➡️ การตัด Sox9 ออกทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น ✅ แนวทางใหม่ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ➡️ เน้นเสริมพลังเซลล์ดูแลสมองมากกว่าการรักษาเซลล์ประสาท ➡️ อาจช่วยแก้ปัญหาที่การรักษาแบบเดิมไม่สำเร็จ ‼️ ข้อจำกัดและความเสี่ยง ⛔ งานวิจัยยังอยู่ในระดับทดลองกับสัตว์ ⛔ ต้องมีการทดสอบในมนุษย์เพื่อยืนยันความปลอดภัย https://www.sciencealert.com/boosting-one-protein-reawakens-aging-brain-cells-in-mice-study-shows
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Boosting One Protein Reawakens Aging Brain Cells in Mice, Study Shows
    A discovery by researchers from the Baylor College of Medicine in the US could lead to treatments that clear the troublesome aggregations of protein thought to play a key role in Alzheimer's disease.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251130 #TechRadar

    ChatGPT ครบรอบ 3 ปี เผยฟีเจอร์ยอดนิยมที่คนใช้จริง
    ChatGPT จาก OpenAI เดินทางมาถึงปีที่ 3 แล้ว และข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะสิ่งที่คนใช้มากที่สุดไม่ใช่การสร้างภาพใหม่ แต่กลับเป็นการ “อัปโหลดภาพ” เพื่อให้ AI ช่วยปรับปรุงหรือแก้ไข นอกจากนี้งานหลักที่คนใช้ในที่ทำงานคือการแก้ไขและวิจารณ์ข้อความ มากกว่าการเขียนใหม่ทั้งหมด ฟีเจอร์ยอดนิยมที่ถูกใช้ทั่วโลกยังรวมถึงการค้นหาข้อมูล การใช้โมเดลเหตุผล การวิเคราะห์ข้อมูล และการพูดเป็นข้อความ ซึ่งสะท้อนว่าผู้ใช้มอง ChatGPT เป็นเครื่องมือช่วยงานจริงจัง ไม่ใช่แค่ของเล่นทดลองอีกต่อไป
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/openai-reveals-chatgpts-most-popular-features-and-the-top-one-might-surprise-you

    FBI เตือนภัย! แฮกเกอร์ใช้ AI หลอกขโมยเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์
    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI สร้างแคมเปญหลอกลวงได้สมจริงยิ่งขึ้น FBI รายงานว่ามีการสูญเสียเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์จากการยึดบัญชีผู้ใช้ผ่านการหลอกให้เปิดเผยรหัสผ่านหรือ OTP เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์สามารถรีเซ็ตรหัสและโอนเงินไปยังบัญชีที่ควบคุมเอง บ่อยครั้งเงินถูกเปลี่ยนเป็นคริปโตเพื่อปกปิดร่องรอย การโจมตีมักมาในรูปแบบอีเมล ปลอมเป็นธนาคาร หรือแม้แต่เว็บไซต์ช้อปปิ้งปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ จุดอันตรายคือผู้ใช้เองเป็นคนกดยืนยันธุรกรรม ทำให้การป้องกันยิ่งยากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/fbi-says-hackers-have-stolen-usd262-million-in-account-takeover-scams-in-2025-so-far-heres-how-you-can-stay-safe

    Meta จ่อดีลใหญ่กับ Google TPU สะเทือนตลาดชิป AI
    ความต้องการชิป AI พุ่งสูงจน Meta ต้องหันไปเจรจากับ Google เพื่อใช้ TPU ของ Google Cloud ในปี 2026 และอาจซื้อโดยตรงในปี 2027 ดีลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนเกม เพราะ Google แต่เดิมใช้ TPU ภายในเท่านั้น ขณะที่ Meta เคยพึ่งพาหลายเจ้า รวมถึง Nvidia การเจรจานี้ทำให้มูลค่า Alphabet พุ่งขึ้นทันที และนักลงทุนเริ่มกังวลว่า Nvidia อาจเสียส่วนแบ่งตลาดมหาศาล ความตึงเครียดในซัพพลายเชนยังคงสูง เพราะความต้องการชิป AI เกินกำลังการผลิตทั่วโลก
    https://www.techradar.com/pro/meta-and-google-could-be-about-to-sign-a-mega-ai-chip-deal-and-it-could-change-everything-in-the-tech-space

    IBM เปิดตัวระบบเก็บข้อมูลใหม่ รองรับสูงสุด 47 เพตะไบต์ต่อแร็ค
    IBM ขยายศักยภาพระบบ Storage Scale System 6000 ด้วย All-Flash Expansion Enclosures ที่ใช้ไดรฟ์ QLC ขนาด 122TB ทำให้รองรับข้อมูลได้ถึง 47PB ต่อแร็ค เหมาะกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล เช่น AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จุดเด่นคือการรองรับการทำงานหลายงานพร้อมกันโดยไม่เกิดคอขวด และยังเชื่อมต่อกับ GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดยังเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนและการอ่านให้สูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อนในระดับองค์กรใหญ่
    https://www.techradar.com/pro/talk-about-a-triple-threat-ibm-says-it-can-now-support-up-to-47pb-on-a-full-rack-so-load-it-up

    โน้ตบุ๊ก RAM 128GB และ 256GB ปี 2025 สำหรับงานโหดสุดๆ
    โน้ตบุ๊กที่มาพร้อม RAM 128GB หรือแม้แต่ 256GB ไม่ใช่ของสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุด เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือผู้ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ รายชื่อรุ่นที่มีให้เลือกในปี 2025 ครอบคลุมแบรนด์ดังอย่าง Dell, HP, Lenovo, MSI, Asus, Alienware และ Razer ราคามีตั้งแต่ประมาณ 1,599 ดอลลาร์ไปจนถึงกว่า 7,000 ดอลลาร์ รุ่นที่รองรับ 256GB ยังมีไม่มาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดโน้ตบุ๊กที่กำลังผลักดันขีดจำกัดของการใช้งานพกพา
    https://www.techradar.com/pro/best-256gb-and-128gb-ram-laptops

    การกำกับดูแลโลกไซเบอร์-กายภาพ กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับรัฐบาลท้องถิ่น
    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการระบบไซเบอร์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และการขนส่ง ไม่ใช่เรื่อง “nice to have” อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลท้องถิ่นต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงของประชาชน แนวคิดนี้กำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการบริหารเมืองอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ
    https://www.techradar.com/pro/cyber-physical-governance-isnt-a-nice-to-have-for-state-and-local-government-its-essential

    หูฟังที่ดีที่สุดสำหรับทุกงบประมาณ ผ่านการทดสอบจริง
    ทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบหูฟังหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงระดับพรีเมียม เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหูฟังแบบครอบหู ไร้สาย หรือแบบอินเอียร์ จุดเด่นคือการทดสอบในสถานการณ์จริง ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าคุณภาพเสียง ความสบาย และความทนทานได้รับการตรวจสอบแล้ว รายการนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกหูฟังที่ตรงกับความต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง
    https://www.techradar.com/audio/headphones/the-best-headphones

    กล้องสำหรับมือใหม่ปี 2025 ตัวเลือกที่เหมาะที่สุด
    สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นถ่ายภาพ บทความนี้แนะนำกล้องที่ใช้งานง่าย ราคาสมเหตุสมผล และมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับผู้เริ่มต้น จุดสำคัญคือการเลือกกล้องที่ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ยังมีคุณภาพภาพถ่ายที่ดีพอจะต่อยอดไปสู่การถ่ายภาพจริงจังในอนาคต
    https://www.techradar.com/cameras/the-best-camera-for-beginners

    รีวิว Panasonic HC-X1200 กล้องวิดีโอที่ซูมได้สุดประทับใจ
    Panasonic HC-X1200 ทำให้หลายคนทึ่งกับความสามารถในการซูมที่ทรงพลัง จนแทบจะทำให้กล้องวิดีโอแบบเต็มรูปแบบกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง คุณภาพภาพและระบบกันสั่นที่ดี ทำให้การถ่ายวิดีโอทั้งงานมืออาชีพและงานส่วนตัวมีความคมชัดและเสถียร จุดขายหลักคือการซูมที่เหนือกว่ากล้องทั่วไปในตลาด
    https://www.techradar.com/cameras/video-cameras/panasonic-hc-x1200-review

    ฟีเจอร์ AirDrop ใหม่บน Google Pixel 10 มีปัญหากับผู้ใช้บางราย
    Google Pixel 10 มาพร้อมฟีเจอร์ AirDrop ที่ตั้งใจให้แชร์ไฟล์ได้สะดวกขึ้น แต่ผู้ใช้บางรายพบว่าฟีเจอร์นี้ยังมีบั๊ก ทำให้การส่งไฟล์ไม่เสถียรหรือเชื่อมต่อไม่สำเร็จ ปัญหานี้กำลังถูกพูดถึงในชุมชนผู้ใช้ และคาดว่า Google จะต้องออกอัปเดตแก้ไขในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้สมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ
    https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/the-new-airdrop-feature-on-the-google-pixel-10-is-proving-buggy-for-some-users

    ปัญหากวนใจใน iOS 26 และวิธีแก้
    อัปเดต iOS 26 ที่หลายคนรอคอย กลับมาพร้อมทั้งฟีเจอร์ใหม่และความเปลี่ยนแปลงที่บางอย่างทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดไม่น้อย เช่น “Liquid Glass” ที่ทำให้หน้าจอดูโปร่งใสเกินไปจนอ่านยาก หลายคนเลือกปิดด้วยการตั้งค่า Reduce Transparency เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น อีกเรื่องคือการถ่ายภาพหน้าจอที่เปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นเต็มจอพร้อมเครื่องมือแก้ไขทันที ซึ่งบางคนไม่ชอบ จึงไปตั้งค่าให้กลับมาเป็นแบบเดิมที่แค่โชว์ตัวอย่างเล็ก ๆ แล้วปัดทิ้งได้สะดวกกว่า Safari ก็ถูกปรับแถบเครื่องมือใหม่จนดูอึดอัดและต้องกดหลายขั้นตอนกว่าจะได้ฟังก์ชันที่เคยง่าย ๆ ผู้ใช้บางคนเลยเลือกปรับกลับให้เหมือนเดิม ส่วนการพิมพ์แบบ “slide-to-type” ที่บางครั้งเผลอไปลากนิ้วแล้วกลายเป็นคำไม่ตั้งใจ ก็สามารถปิดได้ในเมนู Keyboard และสุดท้ายคือการตั้งปลุกที่เคยบังคับ snooze 9 นาที ตอนนี้สามารถเลือกได้เองตั้งแต่ 1–15 นาที ทำให้ชีวิตยืดหยุ่นขึ้นมาก
    https://www.techradar.com/phones/the-5-most-frustrating-things-about-ios-26-and-how-I-fixed-them

    Cyber Resilience: ธุรกิจต้องปรับตัว
    โลกธุรกิจอังกฤษกำลังเผชิญภัยไซเบอร์ครั้งใหญ่ เหตุการณ์โจมตี Jaguar Land Rover ทำความเสียหายมหาศาลกว่า 1.9 พันล้านปอนด์ และยังมีกรณี Marks & Spencer กับ Co-Op ที่โดนโจมตีเช่นกัน รัฐบาลอังกฤษจึงเสนอแนวทางห้ามจ่ายค่าไถ่ ransomware สำหรับหน่วยงานรัฐและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อไม่ให้คนร้ายได้ผลประโยชน์ แต่ผลข้างเคียงคือเอกชนอาจกลายเป็นเป้าหมายหลักแทน สิ่งที่ธุรกิจต้องทำคือสร้าง “ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์” โดยเริ่มจากการพัฒนาทักษะบุคลากร เพราะรายงานล่าสุดชี้ว่ามีช่องว่างทักษะด้านนี้สูงมาก การฝึกอบรมต้องไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ต้องฝังอยู่ในงานประจำทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ฝ่ายการเงินจนถึงบริการลูกค้า เพื่อให้ทุกคนรู้จักรับมือภัย เช่น phishing ที่ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก และที่สำคัญคือบอร์ดบริหารต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เทียบเท่ากับผลประกอบการ เพราะภัยไซเบอร์วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ
    https://www.techradar.com/pro/cyber-resilience-is-a-business-imperative-skills-and-strategy-must-evolve

    Cybersecurity Burnout: เมื่อทีมงานหมดแรง
    งานด้านความปลอดภัยไซเบอร์เป็นงานที่ต้องวิ่งแข่งกับภัยคุกคามตลอดเวลา จนทำให้คนทำงานจำนวนมากเกิดภาวะ “burnout” หรือหมดแรง ล่าสุดมีตัวเลขว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และ 69% บอกว่าหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือการโจมตีที่ไม่หยุดพัก กฎระเบียบใหม่ ๆ ที่ต้องตามให้ทัน และการขาดบุคลากรที่เพียงพอ ผลกระทบไม่ใช่แค่สุขภาพจิต แต่ยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสี่ยงต่อการเกิดช่องโหว่และความเสียหายทางการเงิน บริษัทจึงต้องหาทางแก้ เช่น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนพนักงาน การลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาภาระ รวมถึงการใช้บริการภายนอกอย่าง Managed Detection and Response (MDR) ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าได้จริง และที่สำคัญคือการให้โอกาสเติบโตในสายงาน เพื่อให้คนทำงานรู้สึกว่ามีอนาคต ไม่ใช่แค่ทำงานไปวัน ๆ
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all
    📌📡🔴 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🔴📡📌 #รวมข่าวIT #20251130 #TechRadar 🧠 ChatGPT ครบรอบ 3 ปี เผยฟีเจอร์ยอดนิยมที่คนใช้จริง ChatGPT จาก OpenAI เดินทางมาถึงปีที่ 3 แล้ว และข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะสิ่งที่คนใช้มากที่สุดไม่ใช่การสร้างภาพใหม่ แต่กลับเป็นการ “อัปโหลดภาพ” เพื่อให้ AI ช่วยปรับปรุงหรือแก้ไข นอกจากนี้งานหลักที่คนใช้ในที่ทำงานคือการแก้ไขและวิจารณ์ข้อความ มากกว่าการเขียนใหม่ทั้งหมด ฟีเจอร์ยอดนิยมที่ถูกใช้ทั่วโลกยังรวมถึงการค้นหาข้อมูล การใช้โมเดลเหตุผล การวิเคราะห์ข้อมูล และการพูดเป็นข้อความ ซึ่งสะท้อนว่าผู้ใช้มอง ChatGPT เป็นเครื่องมือช่วยงานจริงจัง ไม่ใช่แค่ของเล่นทดลองอีกต่อไป 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/openai-reveals-chatgpts-most-popular-features-and-the-top-one-might-surprise-you 🛡️ FBI เตือนภัย! แฮกเกอร์ใช้ AI หลอกขโมยเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์ ปี 2025 กลายเป็นปีที่อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI สร้างแคมเปญหลอกลวงได้สมจริงยิ่งขึ้น FBI รายงานว่ามีการสูญเสียเงินกว่า 262 ล้านดอลลาร์จากการยึดบัญชีผู้ใช้ผ่านการหลอกให้เปิดเผยรหัสผ่านหรือ OTP เมื่อได้ข้อมูลแล้ว แฮกเกอร์สามารถรีเซ็ตรหัสและโอนเงินไปยังบัญชีที่ควบคุมเอง บ่อยครั้งเงินถูกเปลี่ยนเป็นคริปโตเพื่อปกปิดร่องรอย การโจมตีมักมาในรูปแบบอีเมล ปลอมเป็นธนาคาร หรือแม้แต่เว็บไซต์ช้อปปิ้งปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ จุดอันตรายคือผู้ใช้เองเป็นคนกดยืนยันธุรกรรม ทำให้การป้องกันยิ่งยากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/fbi-says-hackers-have-stolen-usd262-million-in-account-takeover-scams-in-2025-so-far-heres-how-you-can-stay-safe 💻 Meta จ่อดีลใหญ่กับ Google TPU สะเทือนตลาดชิป AI ความต้องการชิป AI พุ่งสูงจน Meta ต้องหันไปเจรจากับ Google เพื่อใช้ TPU ของ Google Cloud ในปี 2026 และอาจซื้อโดยตรงในปี 2027 ดีลนี้ถือเป็นการเปลี่ยนเกม เพราะ Google แต่เดิมใช้ TPU ภายในเท่านั้น ขณะที่ Meta เคยพึ่งพาหลายเจ้า รวมถึง Nvidia การเจรจานี้ทำให้มูลค่า Alphabet พุ่งขึ้นทันที และนักลงทุนเริ่มกังวลว่า Nvidia อาจเสียส่วนแบ่งตลาดมหาศาล ความตึงเครียดในซัพพลายเชนยังคงสูง เพราะความต้องการชิป AI เกินกำลังการผลิตทั่วโลก 🔗 https://www.techradar.com/pro/meta-and-google-could-be-about-to-sign-a-mega-ai-chip-deal-and-it-could-change-everything-in-the-tech-space 💾 IBM เปิดตัวระบบเก็บข้อมูลใหม่ รองรับสูงสุด 47 เพตะไบต์ต่อแร็ค IBM ขยายศักยภาพระบบ Storage Scale System 6000 ด้วย All-Flash Expansion Enclosures ที่ใช้ไดรฟ์ QLC ขนาด 122TB ทำให้รองรับข้อมูลได้ถึง 47PB ต่อแร็ค เหมาะกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล เช่น AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จุดเด่นคือการรองรับการทำงานหลายงานพร้อมกันโดยไม่เกิดคอขวด และยังเชื่อมต่อกับ GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดยังเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนและการอ่านให้สูงขึ้น เพื่อรองรับการประมวลผลที่ซับซ้อนในระดับองค์กรใหญ่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/talk-about-a-triple-threat-ibm-says-it-can-now-support-up-to-47pb-on-a-full-rack-so-load-it-up 💻 โน้ตบุ๊ก RAM 128GB และ 256GB ปี 2025 สำหรับงานโหดสุดๆ โน้ตบุ๊กที่มาพร้อม RAM 128GB หรือแม้แต่ 256GB ไม่ใช่ของสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุด เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือผู้ทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ รายชื่อรุ่นที่มีให้เลือกในปี 2025 ครอบคลุมแบรนด์ดังอย่าง Dell, HP, Lenovo, MSI, Asus, Alienware และ Razer ราคามีตั้งแต่ประมาณ 1,599 ดอลลาร์ไปจนถึงกว่า 7,000 ดอลลาร์ รุ่นที่รองรับ 256GB ยังมีไม่มาก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดโน้ตบุ๊กที่กำลังผลักดันขีดจำกัดของการใช้งานพกพา 🔗 https://www.techradar.com/pro/best-256gb-and-128gb-ram-laptops 🌐 การกำกับดูแลโลกไซเบอร์-กายภาพ กลายเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับรัฐบาลท้องถิ่น บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการระบบไซเบอร์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ระบบไฟฟ้า น้ำ และการขนส่ง ไม่ใช่เรื่อง “nice to have” อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลท้องถิ่นต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตจริงของประชาชน แนวคิดนี้กำลังถูกผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการบริหารเมืองอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ 🔗 https://www.techradar.com/pro/cyber-physical-governance-isnt-a-nice-to-have-for-state-and-local-government-its-essential 🎧 หูฟังที่ดีที่สุดสำหรับทุกงบประมาณ ผ่านการทดสอบจริง ทีมผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบหูฟังหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ราคาประหยัดไปจนถึงระดับพรีเมียม เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหูฟังแบบครอบหู ไร้สาย หรือแบบอินเอียร์ จุดเด่นคือการทดสอบในสถานการณ์จริง ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าคุณภาพเสียง ความสบาย และความทนทานได้รับการตรวจสอบแล้ว รายการนี้ช่วยให้ผู้ใช้เลือกหูฟังที่ตรงกับความต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเอง 🔗 https://www.techradar.com/audio/headphones/the-best-headphones 📷 กล้องสำหรับมือใหม่ปี 2025 ตัวเลือกที่เหมาะที่สุด สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นถ่ายภาพ บทความนี้แนะนำกล้องที่ใช้งานง่าย ราคาสมเหตุสมผล และมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นกล้อง DSLR หรือ Mirrorless ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับผู้เริ่มต้น จุดสำคัญคือการเลือกกล้องที่ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ยังมีคุณภาพภาพถ่ายที่ดีพอจะต่อยอดไปสู่การถ่ายภาพจริงจังในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/cameras/the-best-camera-for-beginners 🎥 รีวิว Panasonic HC-X1200 กล้องวิดีโอที่ซูมได้สุดประทับใจ Panasonic HC-X1200 ทำให้หลายคนทึ่งกับความสามารถในการซูมที่ทรงพลัง จนแทบจะทำให้กล้องวิดีโอแบบเต็มรูปแบบกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง คุณภาพภาพและระบบกันสั่นที่ดี ทำให้การถ่ายวิดีโอทั้งงานมืออาชีพและงานส่วนตัวมีความคมชัดและเสถียร จุดขายหลักคือการซูมที่เหนือกว่ากล้องทั่วไปในตลาด 🔗 https://www.techradar.com/cameras/video-cameras/panasonic-hc-x1200-review 📱 ฟีเจอร์ AirDrop ใหม่บน Google Pixel 10 มีปัญหากับผู้ใช้บางราย Google Pixel 10 มาพร้อมฟีเจอร์ AirDrop ที่ตั้งใจให้แชร์ไฟล์ได้สะดวกขึ้น แต่ผู้ใช้บางรายพบว่าฟีเจอร์นี้ยังมีบั๊ก ทำให้การส่งไฟล์ไม่เสถียรหรือเชื่อมต่อไม่สำเร็จ ปัญหานี้กำลังถูกพูดถึงในชุมชนผู้ใช้ และคาดว่า Google จะต้องออกอัปเดตแก้ไขในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้สมบูรณ์ตามที่ตั้งใจ 🔗 https://www.techradar.com/phones/google-pixel-phones/the-new-airdrop-feature-on-the-google-pixel-10-is-proving-buggy-for-some-users 📱 ปัญหากวนใจใน iOS 26 และวิธีแก้ อัปเดต iOS 26 ที่หลายคนรอคอย กลับมาพร้อมทั้งฟีเจอร์ใหม่และความเปลี่ยนแปลงที่บางอย่างทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดไม่น้อย เช่น “Liquid Glass” ที่ทำให้หน้าจอดูโปร่งใสเกินไปจนอ่านยาก หลายคนเลือกปิดด้วยการตั้งค่า Reduce Transparency เพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้น อีกเรื่องคือการถ่ายภาพหน้าจอที่เปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นเต็มจอพร้อมเครื่องมือแก้ไขทันที ซึ่งบางคนไม่ชอบ จึงไปตั้งค่าให้กลับมาเป็นแบบเดิมที่แค่โชว์ตัวอย่างเล็ก ๆ แล้วปัดทิ้งได้สะดวกกว่า Safari ก็ถูกปรับแถบเครื่องมือใหม่จนดูอึดอัดและต้องกดหลายขั้นตอนกว่าจะได้ฟังก์ชันที่เคยง่าย ๆ ผู้ใช้บางคนเลยเลือกปรับกลับให้เหมือนเดิม ส่วนการพิมพ์แบบ “slide-to-type” ที่บางครั้งเผลอไปลากนิ้วแล้วกลายเป็นคำไม่ตั้งใจ ก็สามารถปิดได้ในเมนู Keyboard และสุดท้ายคือการตั้งปลุกที่เคยบังคับ snooze 9 นาที ตอนนี้สามารถเลือกได้เองตั้งแต่ 1–15 นาที ทำให้ชีวิตยืดหยุ่นขึ้นมาก 🔗 https://www.techradar.com/phones/the-5-most-frustrating-things-about-ios-26-and-how-I-fixed-them 🛡️ Cyber Resilience: ธุรกิจต้องปรับตัว โลกธุรกิจอังกฤษกำลังเผชิญภัยไซเบอร์ครั้งใหญ่ เหตุการณ์โจมตี Jaguar Land Rover ทำความเสียหายมหาศาลกว่า 1.9 พันล้านปอนด์ และยังมีกรณี Marks & Spencer กับ Co-Op ที่โดนโจมตีเช่นกัน รัฐบาลอังกฤษจึงเสนอแนวทางห้ามจ่ายค่าไถ่ ransomware สำหรับหน่วยงานรัฐและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อไม่ให้คนร้ายได้ผลประโยชน์ แต่ผลข้างเคียงคือเอกชนอาจกลายเป็นเป้าหมายหลักแทน สิ่งที่ธุรกิจต้องทำคือสร้าง “ความยืดหยุ่นทางไซเบอร์” โดยเริ่มจากการพัฒนาทักษะบุคลากร เพราะรายงานล่าสุดชี้ว่ามีช่องว่างทักษะด้านนี้สูงมาก การฝึกอบรมต้องไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ต้องฝังอยู่ในงานประจำทุกตำแหน่ง ตั้งแต่ฝ่ายการเงินจนถึงบริการลูกค้า เพื่อให้ทุกคนรู้จักรับมือภัย เช่น phishing ที่ยังเป็นช่องทางโจมตีหลัก และที่สำคัญคือบอร์ดบริหารต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เทียบเท่ากับผลประกอบการ เพราะภัยไซเบอร์วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ 🔗 https://www.techradar.com/pro/cyber-resilience-is-a-business-imperative-skills-and-strategy-must-evolve 😓 Cybersecurity Burnout: เมื่อทีมงานหมดแรง งานด้านความปลอดภัยไซเบอร์เป็นงานที่ต้องวิ่งแข่งกับภัยคุกคามตลอดเวลา จนทำให้คนทำงานจำนวนมากเกิดภาวะ “burnout” หรือหมดแรง ล่าสุดมีตัวเลขว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และ 69% บอกว่าหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักคือการโจมตีที่ไม่หยุดพัก กฎระเบียบใหม่ ๆ ที่ต้องตามให้ทัน และการขาดบุคลากรที่เพียงพอ ผลกระทบไม่ใช่แค่สุขภาพจิต แต่ยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสี่ยงต่อการเกิดช่องโหว่และความเสียหายทางการเงิน บริษัทจึงต้องหาทางแก้ เช่น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนพนักงาน การลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเบาภาระ รวมถึงการใช้บริการภายนอกอย่าง Managed Detection and Response (MDR) ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าได้จริง และที่สำคัญคือการให้โอกาสเติบโตในสายงาน เพื่อให้คนทำงานรู้สึกว่ามีอนาคต ไม่ใช่แค่ทำงานไปวัน ๆ ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • Airbus สั่งแก้ซอฟต์แวร์ด่วน หลังพบข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย

    Airbus ได้ออกคำสั่งเร่งด่วนให้สายการบินทั่วโลกดำเนินการ อัปเดตซอฟต์แวร์บนเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่เครื่อง JetBlue A321 ต้องเบี่ยงเส้นทางกลางอากาศ เนื่องจากระบบควบคุมการบินเกิดพฤติกรรมผิดปกติ สาเหตุถูกระบุว่าเกิดจาก ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย (data corruption) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ รังสีดวงอาทิตย์ที่รุนแรง ในช่วงนั้น.

    หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป (EASA) ได้ออกคำสั่งบังคับให้สายการบินต้อง ย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า ที่มีความเสถียร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ขณะที่สายการบินหลายแห่งต้องเร่งปรับตารางการบินเพื่อทำการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถทำได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่บางลำจำเป็นต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ซึ่งใช้เวลานานและส่งผลต่อการให้บริการ.

    เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ รังสีคอสมิก (cosmic rays) สามารถทำให้เกิด “bit flips” หรือการเปลี่ยนค่าข้อมูลในหน่วยความจำของระบบควบคุมการบิน แม้ว่าเครื่องบิน A320 จะมีระบบคอมพิวเตอร์แบบ triple-redundant และกลไก cross-checking เพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้.

    Airbus ยืนยันว่าจะทำงานใกล้ชิดกับสายการบินเพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมขอโทษผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์จะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่การสอบสวนยังดำเนินต่อเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดนี้.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คำสั่งอัปเดตซอฟต์แวร์
    ครอบคลุมเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ
    ต้องย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า

    เหตุการณ์ JetBlue A321
    เกิดขึ้นวันที่ 30 ตุลาคม
    ระบบควบคุมการบินผิดปกติจนต้องเบี่ยงเส้นทาง
    มีผู้โดยสารบาดเจ็บจากเหตุการณ์

    สาเหตุที่เป็นไปได้
    รังสีดวงอาทิตย์ทำให้ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย
    เกิด “bit flips” ในหน่วยความจำของระบบ

    ผลกระทบต่อสายการบิน
    อัปเดตซอฟต์แวร์ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
    บางลำต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ส่งผลต่อการให้บริการ

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    แม้มีระบบ triple-redundant แต่ยังมีช่องโหว่จากรังสีคอสมิก
    อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำหากไม่แก้ไขอย่างเร่งด่วน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/airbus-orders-immediate-software-fix-for-6000-a320-jets
    ✈️ Airbus สั่งแก้ซอฟต์แวร์ด่วน หลังพบข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย Airbus ได้ออกคำสั่งเร่งด่วนให้สายการบินทั่วโลกดำเนินการ อัปเดตซอฟต์แวร์บนเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่เครื่อง JetBlue A321 ต้องเบี่ยงเส้นทางกลางอากาศ เนื่องจากระบบควบคุมการบินเกิดพฤติกรรมผิดปกติ สาเหตุถูกระบุว่าเกิดจาก ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย (data corruption) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ รังสีดวงอาทิตย์ที่รุนแรง ในช่วงนั้น. หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป (EASA) ได้ออกคำสั่งบังคับให้สายการบินต้อง ย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า ที่มีความเสถียร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ขณะที่สายการบินหลายแห่งต้องเร่งปรับตารางการบินเพื่อทำการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถทำได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่บางลำจำเป็นต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ซึ่งใช้เวลานานและส่งผลต่อการให้บริการ. เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ รังสีคอสมิก (cosmic rays) สามารถทำให้เกิด “bit flips” หรือการเปลี่ยนค่าข้อมูลในหน่วยความจำของระบบควบคุมการบิน แม้ว่าเครื่องบิน A320 จะมีระบบคอมพิวเตอร์แบบ triple-redundant และกลไก cross-checking เพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้. Airbus ยืนยันว่าจะทำงานใกล้ชิดกับสายการบินเพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมขอโทษผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์จะเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่การสอบสวนยังดำเนินต่อเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดนี้. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คำสั่งอัปเดตซอฟต์แวร์ ➡️ ครอบคลุมเครื่องบิน A320-family กว่า 6,000 ลำ ➡️ ต้องย้อนกลับไปใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันก่อนหน้า ✅ เหตุการณ์ JetBlue A321 ➡️ เกิดขึ้นวันที่ 30 ตุลาคม ➡️ ระบบควบคุมการบินผิดปกติจนต้องเบี่ยงเส้นทาง ➡️ มีผู้โดยสารบาดเจ็บจากเหตุการณ์ ✅ สาเหตุที่เป็นไปได้ ➡️ รังสีดวงอาทิตย์ทำให้ข้อมูลควบคุมการบินเสียหาย ➡️ เกิด “bit flips” ในหน่วยความจำของระบบ ✅ ผลกระทบต่อสายการบิน ➡️ อัปเดตซอฟต์แวร์ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ➡️ บางลำต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ส่งผลต่อการให้บริการ ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ แม้มีระบบ triple-redundant แต่ยังมีช่องโหว่จากรังสีคอสมิก ⛔ อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำหากไม่แก้ไขอย่างเร่งด่วน https://www.tomshardware.com/tech-industry/airbus-orders-immediate-software-fix-for-6000-a320-jets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Samsung Wallet เสื่อมมนต์ขลัง – ผู้ใช้บ่นหนักจนหันไปหา Google Wallet”

    Samsung Wallet เคยเป็นแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลที่โดดเด่น เพราะสามารถเก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และยังมีฟีเจอร์ MST ที่ทำให้จ่ายเงินได้แม้ร้านไม่มี NFC แต่เมื่อฟีเจอร์เหล่านี้ถูกตัดออกไปตั้งแต่ปี 2021 แอปก็เริ่มสูญเสียความแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google Wallet

    ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ
    ผู้ใช้จำนวนมากรายงานว่าเจอ บั๊กบ่อยครั้ง, แอปเด้ง, การแจ้งเตือนสแปม และที่ร้ายแรงคือ บัตรเครดิตถูกยกเลิกในแอปโดยไม่ทราบสาเหตุ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของ Samsung Wallet ลดลงทันที เพราะแอปกระเป๋าเงินควรจะ “เชื่อถือได้” เป็นอันดับแรก

    การเปรียบเทียบกับ Google Wallet
    Google Wallet ถูกมองว่ามีความสะดวกกว่า เพราะสามารถดึงบัตรและตั๋วจาก Gmail มาใส่ในแอปอัตโนมัติ ในขณะที่ Samsung Wallet ต้องทำเองแบบ manual อีกทั้งอินเทอร์เฟซของ Samsung ยังเต็มไปด้วยโฆษณา ต่างจาก Google ที่เน้นความเรียบง่ายและใช้งานทันที

    บทเรียนและแนวโน้ม
    การตัดฟีเจอร์ MST และการบั่นทอนคุณภาพของแอปสะท้อนถึงแนวทาง “ลดต้นทุน” ของ Samsung ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผิดหวัง หากบริษัทต้องการให้ Wallet กลับมาแข่งได้ จำเป็นต้องคืนความแตกต่างและสร้างความเชื่อมั่นใหม่ มิฉะนั้นผู้ใช้จะยังคงย้ายไปใช้ Google Wallet ต่อไป

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Samsung Wallet เคยเป็นแอปที่โดดเด่น
    มีฟีเจอร์ MST ที่จ่ายเงินได้แม้ไม่มี NFC
    ใช้เก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และพาสต่าง ๆ

    ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ
    แอปเด้งและบั๊กบ่อยครั้ง
    การแจ้งเตือนสแปมรบกวน
    บัตรเครดิตถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ

    Google Wallet ได้เปรียบกว่า
    ดึงข้อมูลจาก Gmail อัตโนมัติ
    อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่มีโฆษณา

    ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Samsung Wallet
    ความเสี่ยงในการชำระเงินล้มเหลว
    ความน่าเชื่อถือของระบบลดลง
    อาจถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้แอปอื่น

    https://www.slashgear.com/2036890/samsung-wallet-app-many-users-say-not-worth-it/
    📰 “Samsung Wallet เสื่อมมนต์ขลัง – ผู้ใช้บ่นหนักจนหันไปหา Google Wallet” Samsung Wallet เคยเป็นแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลที่โดดเด่น เพราะสามารถเก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และยังมีฟีเจอร์ MST ที่ทำให้จ่ายเงินได้แม้ร้านไม่มี NFC แต่เมื่อฟีเจอร์เหล่านี้ถูกตัดออกไปตั้งแต่ปี 2021 แอปก็เริ่มสูญเสียความแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google Wallet ⚡ ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ ผู้ใช้จำนวนมากรายงานว่าเจอ บั๊กบ่อยครั้ง, แอปเด้ง, การแจ้งเตือนสแปม และที่ร้ายแรงคือ บัตรเครดิตถูกยกเลิกในแอปโดยไม่ทราบสาเหตุ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของ Samsung Wallet ลดลงทันที เพราะแอปกระเป๋าเงินควรจะ “เชื่อถือได้” เป็นอันดับแรก 🎯 การเปรียบเทียบกับ Google Wallet Google Wallet ถูกมองว่ามีความสะดวกกว่า เพราะสามารถดึงบัตรและตั๋วจาก Gmail มาใส่ในแอปอัตโนมัติ ในขณะที่ Samsung Wallet ต้องทำเองแบบ manual อีกทั้งอินเทอร์เฟซของ Samsung ยังเต็มไปด้วยโฆษณา ต่างจาก Google ที่เน้นความเรียบง่ายและใช้งานทันที 🔮 บทเรียนและแนวโน้ม การตัดฟีเจอร์ MST และการบั่นทอนคุณภาพของแอปสะท้อนถึงแนวทาง “ลดต้นทุน” ของ Samsung ที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกผิดหวัง หากบริษัทต้องการให้ Wallet กลับมาแข่งได้ จำเป็นต้องคืนความแตกต่างและสร้างความเชื่อมั่นใหม่ มิฉะนั้นผู้ใช้จะยังคงย้ายไปใช้ Google Wallet ต่อไป 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Samsung Wallet เคยเป็นแอปที่โดดเด่น ➡️ มีฟีเจอร์ MST ที่จ่ายเงินได้แม้ไม่มี NFC ➡️ ใช้เก็บบัตรเครดิต ตั๋ว และพาสต่าง ๆ ✅ ปัญหาที่ผู้ใช้เจอ ➡️ แอปเด้งและบั๊กบ่อยครั้ง ➡️ การแจ้งเตือนสแปมรบกวน ➡️ บัตรเครดิตถูกยกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ✅ Google Wallet ได้เปรียบกว่า ➡️ ดึงข้อมูลจาก Gmail อัตโนมัติ ➡️ อินเทอร์เฟซเรียบง่าย ไม่มีโฆษณา ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Samsung Wallet ⛔ ความเสี่ยงในการชำระเงินล้มเหลว ⛔ ความน่าเชื่อถือของระบบลดลง ⛔ อาจถูกบังคับให้เปลี่ยนไปใช้แอปอื่น https://www.slashgear.com/2036890/samsung-wallet-app-many-users-say-not-worth-it/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Many Samsung Wallet Users Aren't Happy With The App - Here's Why - SlashGear
    Common user complaints about Samsung Wallet include app crashes, spam, advertising, and general unreliability.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar
    #รวมข่าวIT #20251129 #TechRadar

    AI อาจทำให้หลายงานหายไป
    มีรายงานใหม่ที่ทำให้ผู้บริหารทั่วโลกเริ่มกังวล เพราะผลการสำรวจพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริหารมองว่าตอนนี้บริษัทมีพนักงานมากเกินความจำเป็นราว 10-19% และในอีกสามปีข้างหน้าอาจเกินถึง 30-50% สาเหตุหลักคือการนำ AI มาใช้ในงานประจำ เช่น งานหลังบ้าน งานบริการลูกค้า และงานเริ่มต้นด้านการเงินหรือ HR ที่ AI สามารถทำแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายองค์กรจึงเริ่มคิดใหม่ว่าบทบาทของคนจะเปลี่ยนไปเป็นการทำงานร่วมกับ AI มากกว่าทำงานแทน AI โดยตรง ขณะเดียวกัน Amazon เองก็ยอมรับว่า AI จะทำให้คนทำงานบางส่วนลดลง แม้จะมีงานใหม่เกิดขึ้น แต่ภาพรวมคือจำนวนคนทำงานอาจลดลงในอนาคต
    https://www.techradar.com/pro/another-major-survey-warns-ai-could-lead-to-major-job-cuts-at-your-business

    แฮกเกอร์โจมตีผู้ใช้ Zendesk
    กลุ่ม Scattered Lapsus$ Hunters ที่เคยโจมตี Salesforce ตอนนี้หันมาเล่นงานผู้ใช้ Zendesk โดยใช้วิธีสร้างโดเมนปลอมกว่า 40 แห่งเพื่อหลอกให้คนกรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ บางครั้งถึงขั้นส่งตั๋วซัพพอร์ตปลอมเข้าไปในระบบ Zendesk เพื่อแพร่มัลแวร์และขโมยสิทธิ์การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่ากลยุทธ์นี้อันตรายมาก เพราะมันเจาะตรงไปที่ทีมซัพพอร์ตที่มักต้องตอบสนองอย่างเร่งด่วน ทำให้มีโอกาสตกหลุมพรางสูง แม้จะมีข่าวโยงไปถึงการโจมตี Discord แต่กลุ่มนี้ก็ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง
    https://www.techradar.com/pro/security/zendesk-users-targeted-by-scattered-lapsus-usd-hunters-hackers-and-fake-support-sites

    ยุโรปนำหน้าด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่สหราชอาณาจักรเริ่มตามไม่ทัน
    รายงาน Digital Quality of Life Index 2025 ของ Surfshark เผยว่าประเทศในยุโรปครองอันดับต้น ๆ ด้านความปลอดภัยดิจิทัล เช่น ฟินแลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศส แต่สหราชอาณาจักรกลับตกอันดับจากที่เคยอยู่อันดับ 6 ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในปี 2024 ลงมาอยู่อันดับ 39 ในปีนี้ แม้ยังมีจุดแข็งเรื่องการคุ้มครองข้อมูลตามมาตรฐาน GDPR แต่ความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยกลับช้ากว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรยังมีจุดเด่นด้าน AI ที่ติดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยในอนาคต
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/europe-tops-the-charts-in-digital-security-but-the-uk-might-be-quickly-falling-behind-says-surfshark

    OnePlus 15 เตรียมวางขายในสหรัฐฯ หลังผ่านการอนุมัติ
    สมาร์ทโฟน OnePlus 15 ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับคะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาวจาก TechRadar กำลังจะเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังผ่านการรับรองจาก FCC ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนวางขาย รุ่นนี้โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ และกล้องที่ยอดเยี่ยม จนถูกยกให้ “ดีกว่าสมบูรณ์แบบ” ราคาที่คาดว่าจะเริ่มต้นราว 899.99 ดอลลาร์ ถือเป็นการกลับมาท้าทายตลาดที่มักถูกครองโดย Samsung และ Google Pixel
    https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-clears-its-final-hurdle-for-a-us-launch-heres-why-we-gave-the-flagship-a-rare-five-stars

    รัฐบาลอังกฤษกดดันบริษัทโทรคมนาคมให้โปร่งใสเรื่องราคา
    รัฐบาลอังกฤษโดยรัฐมนตรีการคลังและรัฐมนตรีเทคโนโลยีออกมาเรียกร้องให้บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ เช่น BT/EE, Vodafone, Sky และ TalkTalk แสดงรายละเอียดราคาที่ชัดเจนขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกขึ้นราคาที่ไม่คาดคิด โดยต้องเปลี่ยนจากการแจ้งเป็นเปอร์เซ็นต์มาเป็นตัวเลขจริงเป็นปอนด์และเพนนี นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง 5G SA ภายในปี 2030 และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับกิกะบิตครอบคลุม 99% ภายในปี 2032
    https://www.techradar.com/pro/uk-government-tells-telecoms-to-do-more-to-protect-customers

    หลายเขตในลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์
    มีรายงานว่าหลายสภาท้องถิ่นในกรุงลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ระบบบริการประชาชนบางส่วนหยุดชะงัก การโจมตีครั้งนี้สร้างความกังวลอย่างมากเพราะกระทบต่อข้อมูลและการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่นที่ประชาชนพึ่งพาอยู่ทุกวัน แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐก็เป็นเป้าหมายสำคัญของแฮกเกอร์เช่นกัน และจำเป็นต้องเร่งเสริมมาตรการป้องกัน
    https://www.techradar.com/pro/security/multiple-london-councils-affected-by-apparent-cyberattack

    Cybersecurity Burnout: เมื่อโลกดิจิทัลทำให้คนทำงานหมดแรง
    ในวงการไซเบอร์ ความเร็วและแรงกดดันคือเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ตามมาคือความเหนื่อยล้าสะสมจนกลายเป็น “burnout” ที่กระทบทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน งานวิจัยล่าสุดเผยว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์รู้สึกเหนื่อยล้าในปีที่ผ่านมา และ 69% บอกว่ามันแย่ลงเรื่อย ๆ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ตัวบุคคล แต่ยังทำให้ทีมอ่อนแรง เสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้น ทางออกคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน ลดภาระงาน และใช้บริการเสริมอย่าง MDR ที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้จริง เรื่องนี้สะท้อนว่า “การป้องกันภัยไซเบอร์” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของคนด้วย
    https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all

    Infosys กับแนวคิดทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
    Narayana Murthy ผู้ร่วมก่อตั้ง Infosys จุดกระแสอีกครั้งด้วยการเสนอให้พนักงานทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมองว่านี่คือ “ความขยันที่แท้จริง” แต่เสียงวิจารณ์กลับดังสนั่น เพราะหลักฐานจาก WHO และการทดลองในหลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าการทำงานสั้นลงกลับทำให้ผลผลิตและสุขภาพดีขึ้น การผลักดันให้ทำงานหนักเกินไปจึงถูกมองว่าเป็นการละเลยความเป็นอยู่ของคนทำงาน และอาจย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรเอง
    https://www.techradar.com/pro/infosys-co-founder-once-again-calls-for-longer-than-70-hour-weeks-and-no-hes-not-joking

    ChatGPT อายุครบ 3 ปี: จากกล่องข้อความสู่เครื่องมือสารพัด
    จากวันที่เปิดตัวในปี 2022 ในฐานะ “การทดลองวิจัย” ChatGPT กลายเป็นหนึ่งในแอปที่โตเร็วที่สุดในโลก และวันนี้มันไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนอีเมล แต่เป็นผู้ช่วยที่ทำได้ทั้งวางแผนทริป สร้างสไลด์ ดีบักโค้ด ไปจนถึงสร้างภาพและเสียง สามปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเบื้องหลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจาก GPT-3.5 จนถึง GPT-5.1 พร้อมความสามารถแบบมัลติโหมดที่รองรับข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ แม้ยังไม่ถึงขั้น “AGI” อย่างที่หลายคนฝัน แต่ก็เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้ AI ในชีวิตประจำวันไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt-turns-3-on-sunday-heres-how-far-its-really-come-and-where-its-heading-next

    Amazon Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN แล้ว
    ข่าวดีสำหรับสายสตรีมมิ่ง Amazon ปล่อยอัปเดต Vega OS ให้ Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN เป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่างประเทศและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเพียง NordVPN และ IPVanish ที่พร้อมใช้งานบนระบบใหม่ ส่วนเจ้าอื่นยังตามไม่ทัน การมาของฟีเจอร์นี้ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์สตรีมมิ่งให้ปลอดภัยและหลากหลายขึ้น
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-support-lands-on-next-gen-amazon-fire-tv-stick-but-only-two-vpns-are-ready

    ช่องโหว่ใหม่ใน AI Browser: แค่ “#” ก็โดนเจาะได้
    นักวิจัยเผยเทคนิค “HashJack” ที่ใช้เพียงการใส่ข้อความหลังเครื่องหมาย # ใน URL ก็สามารถสั่งการ AI assistant ในเบราว์เซอร์ให้ทำงานตามคำสั่งแฝงได้ โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว หน้าจอยังแสดงเว็บปกติ แต่เบื้องหลังข้อมูลอาจถูกส่งออกไปหรือถูกบิดเบือน นี่คือช่องโหว่ที่ทำให้การใช้ AI browser เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบแนบเนียน และยากต่อการตรวจจับ การป้องกันจึงต้องเข้มงวดทั้งที่ระดับเครื่องและการออกแบบระบบ ไม่ใช่แค่การตรวจสอบทราฟฟิกทั่วไป
    https://www.techradar.com/pro/thats-not-very-trendy-of-them-ai-browsers-can-be-hacked-with-a-simple-hashtag-experts-warn

    Malicious LLMs: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสร้างมัลแวร์
    นักวิจัยเตือนว่าระบบ AI ที่ถูกปรับแต่งอย่างไม่ถูกต้องสามารถกลายเป็น “ผู้ช่วยสร้างมัลแวร์” ให้แม้แต่แฮกเกอร์มือใหม่ได้ง่าย ๆ เพียงแค่พิมพ์คำสั่งก็สามารถสร้างโค้ดอันตรายที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ทันที นี่คือการเปิดประตูให้ภัยไซเบอร์แพร่กระจายเร็วกว่าเดิม และทำให้โลกดิจิทัลเสี่ยงต่อการถูกโจมตีในวงกว้างมากขึ้น ปัญหานี้สะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างสรรค์ แต่ยังอาจเป็นอาวุธหากถูกใช้ผิดทาง
    https://www.techradar.com/pro/security/malicious-llms-are-letting-even-unskilled-hackers-to-craft-dangerous-new-malware

    Tapo RV30 Max Plus: หุ่นยนต์ดูดฝุ่นราคาดิ่ง
    ใครที่มีปัญหาขนสุนัขเต็มบ้านคงยิ้มได้ เพราะ Tapo RV30 Max Plus ลดราคาหนักในช่วง Black Friday ทำให้การจัดการบ้านสะอาดง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงเอง รุ่นนี้ถูกรีวิวว่าใช้งานง่าย ดูดแรง และช่วยประหยัดเวลาได้มาก การลดราคาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่อยากลองใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นโดยไม่ต้องจ่ายแพง
    https://www.techradar.com/seasonal-sales/tackling-a-sea-of-dog-hair-was-a-daily-headache-for-me-until-i-bought-this-robot-vacuum

    Cloudways vs InMotion Hosting: ศึกโฮสติ้ง WordPress
    สำหรับคนทำเว็บไซต์ WordPress การเลือกโฮสติ้งคือเรื่องสำคัญ บทความนี้เปรียบเทียบ Cloudways และ InMotion Hosting ว่าใครตอบโจทย์มากกว่ากัน ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร การสนับสนุนลูกค้า และราคา ผลลัพธ์คือแต่ละเจ้าเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ต่างกัน Cloudways เด่นเรื่องความยืดหยุ่นและการปรับแต่ง ส่วน InMotion Hosting โดดเด่นด้านบริการลูกค้าและความคุ้มค่า
    https://www.techradar.com/pro/website-hosting/cloudways-vs-inmotion-hosting-which-is-better-for-wordpress-sites

    Commodore 64 กลับมาอีกครั้งหลังหายไป 30 ปี
    เครื่องคอมพิวเตอร์ในตำนาน Commodore 64 ที่เคยครองใจคนยุค 80 กำลังกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง แม้จะไม่ใช่เครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานสมัยใหม่ แต่ก็เป็นการปลุกความทรงจำและความหลงใหลในเทคโนโลยีคลาสสิก หลายคนมองว่ามันคือ “ของสะสม” มากกว่าคอมพิวเตอร์จริง ๆ และการกลับมาครั้งนี้ก็สร้างกระแสความตื่นเต้นในหมู่แฟน ๆ ได้ไม่น้อย
    https://www.techradar.com/computing/the-commodore-64-is-back-on-the-production-line-for-the-first-time-in-30-years-and-i-want-it-even-if-it-makes-zero-sense

    ระวังอีเมลหลอกลวงช่วงโบนัสคริสต์มาส
    ใกล้ช่วงโบนัสปลายปี แฮกเกอร์ก็ไม่พลาดโอกาสปลอมอีเมลหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ โดยอ้างว่าเป็นการแจ้งโบนัสหรือสิทธิพิเศษ เพื่อให้เหยื่อคลิกและกรอกข้อมูลส่วนตัว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงนี้ต้องตรวจสอบอีเมลอย่างละเอียด เพราะการโจมตีลักษณะนี้แพร่หลายมากขึ้น และอาจทำให้สูญเสียข้อมูลหรือเงินโดยไม่รู้ตัว
    ​​​​​​​ https://www.techradar.com/pro/security/excited-for-your-christmas-bonus-so-are-scammers-so-check-your-emails-carefully
    📌📡🟣 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟣📡📌 #รวมข่าวIT #20251129 #TechRadar 🧑‍💻 AI อาจทำให้หลายงานหายไป มีรายงานใหม่ที่ทำให้ผู้บริหารทั่วโลกเริ่มกังวล เพราะผลการสำรวจพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริหารมองว่าตอนนี้บริษัทมีพนักงานมากเกินความจำเป็นราว 10-19% และในอีกสามปีข้างหน้าอาจเกินถึง 30-50% สาเหตุหลักคือการนำ AI มาใช้ในงานประจำ เช่น งานหลังบ้าน งานบริการลูกค้า และงานเริ่มต้นด้านการเงินหรือ HR ที่ AI สามารถทำแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายองค์กรจึงเริ่มคิดใหม่ว่าบทบาทของคนจะเปลี่ยนไปเป็นการทำงานร่วมกับ AI มากกว่าทำงานแทน AI โดยตรง ขณะเดียวกัน Amazon เองก็ยอมรับว่า AI จะทำให้คนทำงานบางส่วนลดลง แม้จะมีงานใหม่เกิดขึ้น แต่ภาพรวมคือจำนวนคนทำงานอาจลดลงในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/pro/another-major-survey-warns-ai-could-lead-to-major-job-cuts-at-your-business 🔒 แฮกเกอร์โจมตีผู้ใช้ Zendesk กลุ่ม Scattered Lapsus$ Hunters ที่เคยโจมตี Salesforce ตอนนี้หันมาเล่นงานผู้ใช้ Zendesk โดยใช้วิธีสร้างโดเมนปลอมกว่า 40 แห่งเพื่อหลอกให้คนกรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ บางครั้งถึงขั้นส่งตั๋วซัพพอร์ตปลอมเข้าไปในระบบ Zendesk เพื่อแพร่มัลแวร์และขโมยสิทธิ์การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ นักวิจัยด้านความปลอดภัยเตือนว่ากลยุทธ์นี้อันตรายมาก เพราะมันเจาะตรงไปที่ทีมซัพพอร์ตที่มักต้องตอบสนองอย่างเร่งด่วน ทำให้มีโอกาสตกหลุมพรางสูง แม้จะมีข่าวโยงไปถึงการโจมตี Discord แต่กลุ่มนี้ก็ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/zendesk-users-targeted-by-scattered-lapsus-usd-hunters-hackers-and-fake-support-sites 🌍 ยุโรปนำหน้าด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่สหราชอาณาจักรเริ่มตามไม่ทัน รายงาน Digital Quality of Life Index 2025 ของ Surfshark เผยว่าประเทศในยุโรปครองอันดับต้น ๆ ด้านความปลอดภัยดิจิทัล เช่น ฟินแลนด์ เยอรมนี และฝรั่งเศส แต่สหราชอาณาจักรกลับตกอันดับจากที่เคยอยู่อันดับ 6 ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในปี 2024 ลงมาอยู่อันดับ 39 ในปีนี้ แม้ยังมีจุดแข็งเรื่องการคุ้มครองข้อมูลตามมาตรฐาน GDPR แต่ความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยกลับช้ากว่าประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม สหราชอาณาจักรยังมีจุดเด่นด้าน AI ที่ติดอันดับ 4 ของโลก ซึ่งอาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยในอนาคต 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/europe-tops-the-charts-in-digital-security-but-the-uk-might-be-quickly-falling-behind-says-surfshark 📱 OnePlus 15 เตรียมวางขายในสหรัฐฯ หลังผ่านการอนุมัติ สมาร์ทโฟน OnePlus 15 ที่เพิ่งเปิดตัวและได้รับคะแนนรีวิวเต็ม 5 ดาวจาก TechRadar กำลังจะเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังผ่านการรับรองจาก FCC ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนวางขาย รุ่นนี้โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพ แบตเตอรี่ และกล้องที่ยอดเยี่ยม จนถูกยกให้ “ดีกว่าสมบูรณ์แบบ” ราคาที่คาดว่าจะเริ่มต้นราว 899.99 ดอลลาร์ ถือเป็นการกลับมาท้าทายตลาดที่มักถูกครองโดย Samsung และ Google Pixel 🔗 https://www.techradar.com/phones/oneplus-phones/the-oneplus-15-clears-its-final-hurdle-for-a-us-launch-heres-why-we-gave-the-flagship-a-rare-five-stars 📡 รัฐบาลอังกฤษกดดันบริษัทโทรคมนาคมให้โปร่งใสเรื่องราคา รัฐบาลอังกฤษโดยรัฐมนตรีการคลังและรัฐมนตรีเทคโนโลยีออกมาเรียกร้องให้บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ เช่น BT/EE, Vodafone, Sky และ TalkTalk แสดงรายละเอียดราคาที่ชัดเจนขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกขึ้นราคาที่ไม่คาดคิด โดยต้องเปลี่ยนจากการแจ้งเป็นเปอร์เซ็นต์มาเป็นตัวเลขจริงเป็นปอนด์และเพนนี นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึง 5G SA ภายในปี 2030 และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับกิกะบิตครอบคลุม 99% ภายในปี 2032 🔗 https://www.techradar.com/pro/uk-government-tells-telecoms-to-do-more-to-protect-customers 🏙️ หลายเขตในลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์ มีรายงานว่าหลายสภาท้องถิ่นในกรุงลอนดอนถูกโจมตีทางไซเบอร์ ทำให้ระบบบริการประชาชนบางส่วนหยุดชะงัก การโจมตีครั้งนี้สร้างความกังวลอย่างมากเพราะกระทบต่อข้อมูลและการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่นที่ประชาชนพึ่งพาอยู่ทุกวัน แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐก็เป็นเป้าหมายสำคัญของแฮกเกอร์เช่นกัน และจำเป็นต้องเร่งเสริมมาตรการป้องกัน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/multiple-london-councils-affected-by-apparent-cyberattack 🛡️ Cybersecurity Burnout: เมื่อโลกดิจิทัลทำให้คนทำงานหมดแรง ในวงการไซเบอร์ ความเร็วและแรงกดดันคือเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ตามมาคือความเหนื่อยล้าสะสมจนกลายเป็น “burnout” ที่กระทบทั้งสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงาน งานวิจัยล่าสุดเผยว่ากว่า 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์รู้สึกเหนื่อยล้าในปีที่ผ่านมา และ 69% บอกว่ามันแย่ลงเรื่อย ๆ ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ตัวบุคคล แต่ยังทำให้ทีมอ่อนแรง เสี่ยงต่อการถูกโจมตีมากขึ้น ทางออกคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน ลดภาระงาน และใช้บริการเสริมอย่าง MDR ที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้จริง เรื่องนี้สะท้อนว่า “การป้องกันภัยไซเบอร์” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของคนด้วย 🔗 https://www.techradar.com/pro/tackling-cybersecurity-burnout-once-and-for-all ⏱️ Infosys กับแนวคิดทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ Narayana Murthy ผู้ร่วมก่อตั้ง Infosys จุดกระแสอีกครั้งด้วยการเสนอให้พนักงานทำงาน 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยมองว่านี่คือ “ความขยันที่แท้จริง” แต่เสียงวิจารณ์กลับดังสนั่น เพราะหลักฐานจาก WHO และการทดลองในหลายประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าการทำงานสั้นลงกลับทำให้ผลผลิตและสุขภาพดีขึ้น การผลักดันให้ทำงานหนักเกินไปจึงถูกมองว่าเป็นการละเลยความเป็นอยู่ของคนทำงาน และอาจย้อนกลับมาทำร้ายองค์กรเอง 🔗 https://www.techradar.com/pro/infosys-co-founder-once-again-calls-for-longer-than-70-hour-weeks-and-no-hes-not-joking 🤖 ChatGPT อายุครบ 3 ปี: จากกล่องข้อความสู่เครื่องมือสารพัด จากวันที่เปิดตัวในปี 2022 ในฐานะ “การทดลองวิจัย” ChatGPT กลายเป็นหนึ่งในแอปที่โตเร็วที่สุดในโลก และวันนี้มันไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนอีเมล แต่เป็นผู้ช่วยที่ทำได้ทั้งวางแผนทริป สร้างสไลด์ ดีบักโค้ด ไปจนถึงสร้างภาพและเสียง สามปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเบื้องหลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจาก GPT-3.5 จนถึง GPT-5.1 พร้อมความสามารถแบบมัลติโหมดที่รองรับข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ แม้ยังไม่ถึงขั้น “AGI” อย่างที่หลายคนฝัน แต่ก็เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้ AI ในชีวิตประจำวันไปแล้วอย่างสิ้นเชิง 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt-turns-3-on-sunday-heres-how-far-its-really-come-and-where-its-heading-next 📺 Amazon Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN แล้ว ข่าวดีสำหรับสายสตรีมมิ่ง Amazon ปล่อยอัปเดต Vega OS ให้ Fire TV Stick รุ่นใหม่รองรับ VPN เป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่างประเทศและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเพียง NordVPN และ IPVanish ที่พร้อมใช้งานบนระบบใหม่ ส่วนเจ้าอื่นยังตามไม่ทัน การมาของฟีเจอร์นี้ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์สตรีมมิ่งให้ปลอดภัยและหลากหลายขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/vpn-support-lands-on-next-gen-amazon-fire-tv-stick-but-only-two-vpns-are-ready ⚠️ ช่องโหว่ใหม่ใน AI Browser: แค่ “#” ก็โดนเจาะได้ นักวิจัยเผยเทคนิค “HashJack” ที่ใช้เพียงการใส่ข้อความหลังเครื่องหมาย # ใน URL ก็สามารถสั่งการ AI assistant ในเบราว์เซอร์ให้ทำงานตามคำสั่งแฝงได้ โดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว หน้าจอยังแสดงเว็บปกติ แต่เบื้องหลังข้อมูลอาจถูกส่งออกไปหรือถูกบิดเบือน นี่คือช่องโหว่ที่ทำให้การใช้ AI browser เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบแนบเนียน และยากต่อการตรวจจับ การป้องกันจึงต้องเข้มงวดทั้งที่ระดับเครื่องและการออกแบบระบบ ไม่ใช่แค่การตรวจสอบทราฟฟิกทั่วไป 🔗 https://www.techradar.com/pro/thats-not-very-trendy-of-them-ai-browsers-can-be-hacked-with-a-simple-hashtag-experts-warn 🧑‍💻 Malicious LLMs: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสร้างมัลแวร์ นักวิจัยเตือนว่าระบบ AI ที่ถูกปรับแต่งอย่างไม่ถูกต้องสามารถกลายเป็น “ผู้ช่วยสร้างมัลแวร์” ให้แม้แต่แฮกเกอร์มือใหม่ได้ง่าย ๆ เพียงแค่พิมพ์คำสั่งก็สามารถสร้างโค้ดอันตรายที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ทันที นี่คือการเปิดประตูให้ภัยไซเบอร์แพร่กระจายเร็วกว่าเดิม และทำให้โลกดิจิทัลเสี่ยงต่อการถูกโจมตีในวงกว้างมากขึ้น ปัญหานี้สะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างสรรค์ แต่ยังอาจเป็นอาวุธหากถูกใช้ผิดทาง 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/malicious-llms-are-letting-even-unskilled-hackers-to-craft-dangerous-new-malware 🤖 Tapo RV30 Max Plus: หุ่นยนต์ดูดฝุ่นราคาดิ่ง ใครที่มีปัญหาขนสุนัขเต็มบ้านคงยิ้มได้ เพราะ Tapo RV30 Max Plus ลดราคาหนักในช่วง Black Friday ทำให้การจัดการบ้านสะอาดง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงเอง รุ่นนี้ถูกรีวิวว่าใช้งานง่าย ดูดแรง และช่วยประหยัดเวลาได้มาก การลดราคาครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่อยากลองใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นโดยไม่ต้องจ่ายแพง 🔗 https://www.techradar.com/seasonal-sales/tackling-a-sea-of-dog-hair-was-a-daily-headache-for-me-until-i-bought-this-robot-vacuum 🌐 Cloudways vs InMotion Hosting: ศึกโฮสติ้ง WordPress สำหรับคนทำเว็บไซต์ WordPress การเลือกโฮสติ้งคือเรื่องสำคัญ บทความนี้เปรียบเทียบ Cloudways และ InMotion Hosting ว่าใครตอบโจทย์มากกว่ากัน ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร การสนับสนุนลูกค้า และราคา ผลลัพธ์คือแต่ละเจ้าเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ต่างกัน Cloudways เด่นเรื่องความยืดหยุ่นและการปรับแต่ง ส่วน InMotion Hosting โดดเด่นด้านบริการลูกค้าและความคุ้มค่า 🔗 https://www.techradar.com/pro/website-hosting/cloudways-vs-inmotion-hosting-which-is-better-for-wordpress-sites 🕹️ Commodore 64 กลับมาอีกครั้งหลังหายไป 30 ปี เครื่องคอมพิวเตอร์ในตำนาน Commodore 64 ที่เคยครองใจคนยุค 80 กำลังกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง แม้จะไม่ใช่เครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานสมัยใหม่ แต่ก็เป็นการปลุกความทรงจำและความหลงใหลในเทคโนโลยีคลาสสิก หลายคนมองว่ามันคือ “ของสะสม” มากกว่าคอมพิวเตอร์จริง ๆ และการกลับมาครั้งนี้ก็สร้างกระแสความตื่นเต้นในหมู่แฟน ๆ ได้ไม่น้อย 🔗 https://www.techradar.com/computing/the-commodore-64-is-back-on-the-production-line-for-the-first-time-in-30-years-and-i-want-it-even-if-it-makes-zero-sense 📧 ระวังอีเมลหลอกลวงช่วงโบนัสคริสต์มาส ใกล้ช่วงโบนัสปลายปี แฮกเกอร์ก็ไม่พลาดโอกาสปลอมอีเมลหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ โดยอ้างว่าเป็นการแจ้งโบนัสหรือสิทธิพิเศษ เพื่อให้เหยื่อคลิกและกรอกข้อมูลส่วนตัว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงนี้ต้องตรวจสอบอีเมลอย่างละเอียด เพราะการโจมตีลักษณะนี้แพร่หลายมากขึ้น และอาจทำให้สูญเสียข้อมูลหรือเงินโดยไม่รู้ตัว ​​​​​​​🔗 https://www.techradar.com/pro/security/excited-for-your-christmas-bonus-so-are-scammers-so-check-your-emails-carefully
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 470 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความขัดแย้งระหว่าง Wingtech และ Nexperia

    ข่าวนี้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัท Wingtech ของจีนและ Nexperia สำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ที่บานปลายจนกระทบต่อการส่งออกเวเฟอร์และสร้างความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

    ความตึงเครียดภายในบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของโลก ปะทุขึ้นเมื่อ Wingtech Technology ผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน กล่าวหาสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ว่า “ปิดกั้นและหลอกลวง” โดยเฉพาะการหยุดส่งเวเฟอร์ไปยังจีน และการตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ของพนักงานจีน ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามติดต่อและเจรจา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายจีน

    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
    การหยุดส่งเวเฟอร์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อ ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนัก เนื่องจาก Nexperia เป็นผู้ผลิตชิป mature-node ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น logic, discretes และ power devices ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์และเครื่องจักร หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก

    การเมืองและการลงทุนที่ซ่อนอยู่
    Wingtech กล่าวหาว่าสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์พยายามสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ใช่จีน” เพื่อกันบริษัทแม่ออกจากการตัดสินใจ ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ประกาศลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความขัดแย้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึง การเมืองและความมั่นคงทางเทคโนโลยี ระหว่างยุโรปและจีน

    การแทรกแซงจากรัฐบาล
    เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี และ กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อหาทางออกระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบริษัท แต่เป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของความขัดแย้ง
    Wingtech กล่าวหาสำนักงานใหญ่เนเธอร์แลนด์หยุดส่งเวเฟอร์และตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT
    ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามเจรจาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

    ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
    ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักเสี่ยงขาดชิป
    ชิป mature-node ของ Nexperia เป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุม

    การลงทุนและการเมือง
    เนเธอร์แลนด์ลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานมาเลเซีย
    ถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

    การแทรกแซงจากรัฐบาล
    จีนหารือกับเยอรมนีและสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออก
    ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ความขัดแย้งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก
    เสี่ยงต่อการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและยุโรป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/wingtech-nexperia-dispute-escalates-as-public-accusations-widen-the-rift
    ⚔️ ความขัดแย้งระหว่าง Wingtech และ Nexperia ข่าวนี้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างบริษัท Wingtech ของจีนและ Nexperia สำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ ที่บานปลายจนกระทบต่อการส่งออกเวเฟอร์และสร้างความกังวลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความตึงเครียดภายในบริษัท Nexperia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปขนาดใหญ่ของโลก ปะทุขึ้นเมื่อ Wingtech Technology ผู้ถือหุ้นใหญ่จากจีน กล่าวหาสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ว่า “ปิดกั้นและหลอกลวง” โดยเฉพาะการหยุดส่งเวเฟอร์ไปยังจีน และการตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ของพนักงานจีน ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามติดต่อและเจรจา แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายจีน 🌍 ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก การหยุดส่งเวเฟอร์ครั้งนี้สร้างความกังวลต่อ ลูกค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนัก เนื่องจาก Nexperia เป็นผู้ผลิตชิป mature-node ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น logic, discretes และ power devices ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุมรถยนต์และเครื่องจักร หากความขัดแย้งยืดเยื้อ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก 💼 การเมืองและการลงทุนที่ซ่อนอยู่ Wingtech กล่าวหาว่าสำนักงานใหญ่ในเนเธอร์แลนด์พยายามสร้าง “ห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ใช่จีน” เพื่อกันบริษัทแม่ออกจากการตัดสินใจ ขณะที่ฝั่งเนเธอร์แลนด์ประกาศลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในโรงงานที่มาเลเซีย ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ความขัดแย้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่ยังสะท้อนถึง การเมืองและความมั่นคงทางเทคโนโลยี ระหว่างยุโรปและจีน 🏛️ การแทรกแซงจากรัฐบาล เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้น รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี และ กรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อหาทางออกระยะยาว แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องภายในบริษัท แต่เป็นประเด็นที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของความขัดแย้ง ➡️ Wingtech กล่าวหาสำนักงานใหญ่เนเธอร์แลนด์หยุดส่งเวเฟอร์และตัดสิทธิ์การเข้าถึงระบบ IT ➡️ ฝั่งเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าพยายามเจรจาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ✅ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ➡️ ลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมหนักเสี่ยงขาดชิป ➡️ ชิป mature-node ของ Nexperia เป็นหัวใจสำคัญในระบบควบคุม ✅ การลงทุนและการเมือง ➡️ เนเธอร์แลนด์ลงทุน 300 ล้านดอลลาร์ในโรงงานมาเลเซีย ➡️ ถูกตีความว่าเป็นการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ✅ การแทรกแซงจากรัฐบาล ➡️ จีนหารือกับเยอรมนีและสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออก ➡️ ความขัดแย้งกลายเป็นประเด็นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ความขัดแย้งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก ⛔ เสี่ยงต่อการแบ่งขั้วทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและยุโรป https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/wingtech-nexperia-dispute-escalates-as-public-accusations-widen-the-rift
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Embattled Dutch chipmaker Nexperia gets into public spat with Chinese owners — accused of deception and obstruction, suspending wafer shipments
    A governance battle inside one of the world’s biggest suppliers of mature-node chips is now spilling into the open.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศูนย์ข้อมูลล่มเพราะระบบทำความเย็นเสีย

    เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน CME ต้องหยุดการซื้อขายทั่วโลก เนื่องจาก ระบบทำความเย็นในศูนย์ข้อมูล CyrusOne เกิดความขัดข้อง ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ประมวลผลการซื้อขายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทีมวิศวกรและผู้รับเหมาถูกเรียกเข้ามาแก้ไขทันที โดยมีการรีสตาร์ทเครื่องทำความเย็นบางส่วนและติดตั้งอุปกรณ์เสริมชั่วคราวเพื่อพยายามฟื้นฟูระบบ

    ผลกระทบต่อการซื้อขายทั่วโลก
    CME เป็นตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมการซื้อขายตั้งแต่สินค้าเกษตร พลังงาน ดัชนีหุ้น ไปจนถึงคริปโตและอัตราดอกเบี้ย การหยุดชะงักครั้งนี้จึงส่งผลกระทบไปถึง ลอนดอน กัวลาลัมเปอร์ และยุโรป โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรและรีโปในยุโรปที่ต้องหยุดทำการ ขณะที่ BrokerTec US และ EU สามารถกลับมาเปิดได้บางส่วน แต่ระบบอื่น ๆ ยังคงหยุดอยู่

    เวลาและความรุนแรงของเหตุการณ์
    เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันศุกร์หลังวันหยุด ทำให้ผลกระทบในตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างจำกัด แต่ในตลาดเอเชียและยุโรปกลับได้รับผลกระทบหนักกว่า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีการซื้อขายหนาแน่น เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึง ความเสี่ยงของการพึ่งพาระบบเดียว ในการขับเคลื่อนธุรกรรมระดับโลกที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์

    ความหมายต่ออนาคตของโครงสร้างพื้นฐานการเงิน
    การหยุดชะงักครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดของ CME และเป็นสัญญาณเตือนว่าการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและพลังงานมีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลก การลงทุนในระบบสำรองและการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินต้องให้ความสำคัญมากขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สาเหตุของการหยุดชะงัก
    ระบบทำความเย็นในศูนย์ข้อมูล CyrusOne ขัดข้อง
    ทีมวิศวกรต้องรีสตาร์ทและติดตั้งอุปกรณ์เสริมชั่วคราว

    ผลกระทบต่อการซื้อขาย
    ตลาดอนุพันธ์ CME ครอบคลุมการซื้อขายทั่วโลก
    ตลาดยุโรปและเอเชียได้รับผลกระทบหนักที่สุด

    เวลาและความรุนแรง
    เกิดขึ้นเช้าวันศุกร์หลังวันหยุด ทำให้ตลาดสหรัฐฯ กระทบจำกัด
    ตลาดยุโรปและเอเชียได้รับผลกระทบมากกว่า

    ความหมายต่ออนาคต
    สะท้อนความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบเดียว
    จำเป็นต้องลงทุนในระบบสำรองและการกระจายความเสี่ยง

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การหยุดชะงักของโครงสร้างพื้นฐาน IT สามารถกระทบเศรษฐกิจโลกทันที
    ตลาดการเงินต้องเตรียมแผนสำรองเพื่อป้องกันการล่มซ้ำอีกครั้ง

    https://www.tomshardware.com/desktops/servers/data-center-cooling-issue-halts-worlds-largest-derivatives-exchange-cme-trading-shutdown-ripples-across-malaysia-uk-and-eu-markets
    🌡️ ศูนย์ข้อมูลล่มเพราะระบบทำความเย็นเสีย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน CME ต้องหยุดการซื้อขายทั่วโลก เนื่องจาก ระบบทำความเย็นในศูนย์ข้อมูล CyrusOne เกิดความขัดข้อง ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ประมวลผลการซื้อขายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทีมวิศวกรและผู้รับเหมาถูกเรียกเข้ามาแก้ไขทันที โดยมีการรีสตาร์ทเครื่องทำความเย็นบางส่วนและติดตั้งอุปกรณ์เสริมชั่วคราวเพื่อพยายามฟื้นฟูระบบ 💹 ผลกระทบต่อการซื้อขายทั่วโลก CME เป็นตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมการซื้อขายตั้งแต่สินค้าเกษตร พลังงาน ดัชนีหุ้น ไปจนถึงคริปโตและอัตราดอกเบี้ย การหยุดชะงักครั้งนี้จึงส่งผลกระทบไปถึง ลอนดอน กัวลาลัมเปอร์ และยุโรป โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรและรีโปในยุโรปที่ต้องหยุดทำการ ขณะที่ BrokerTec US และ EU สามารถกลับมาเปิดได้บางส่วน แต่ระบบอื่น ๆ ยังคงหยุดอยู่ 🕒 เวลาและความรุนแรงของเหตุการณ์ เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันศุกร์หลังวันหยุด ทำให้ผลกระทบในตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างจำกัด แต่ในตลาดเอเชียและยุโรปกลับได้รับผลกระทบหนักกว่า เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีการซื้อขายหนาแน่น เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึง ความเสี่ยงของการพึ่งพาระบบเดียว ในการขับเคลื่อนธุรกรรมระดับโลกที่มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ 🌍 ความหมายต่ออนาคตของโครงสร้างพื้นฐานการเงิน การหยุดชะงักครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดของ CME และเป็นสัญญาณเตือนว่าการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและพลังงานมีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลก การลงทุนในระบบสำรองและการกระจายความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินต้องให้ความสำคัญมากขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สาเหตุของการหยุดชะงัก ➡️ ระบบทำความเย็นในศูนย์ข้อมูล CyrusOne ขัดข้อง ➡️ ทีมวิศวกรต้องรีสตาร์ทและติดตั้งอุปกรณ์เสริมชั่วคราว ✅ ผลกระทบต่อการซื้อขาย ➡️ ตลาดอนุพันธ์ CME ครอบคลุมการซื้อขายทั่วโลก ➡️ ตลาดยุโรปและเอเชียได้รับผลกระทบหนักที่สุด ✅ เวลาและความรุนแรง ➡️ เกิดขึ้นเช้าวันศุกร์หลังวันหยุด ทำให้ตลาดสหรัฐฯ กระทบจำกัด ➡️ ตลาดยุโรปและเอเชียได้รับผลกระทบมากกว่า ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ สะท้อนความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบเดียว ➡️ จำเป็นต้องลงทุนในระบบสำรองและการกระจายความเสี่ยง ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การหยุดชะงักของโครงสร้างพื้นฐาน IT สามารถกระทบเศรษฐกิจโลกทันที ⛔ ตลาดการเงินต้องเตรียมแผนสำรองเพื่อป้องกันการล่มซ้ำอีกครั้ง https://www.tomshardware.com/desktops/servers/data-center-cooling-issue-halts-worlds-largest-derivatives-exchange-cme-trading-shutdown-ripples-across-malaysia-uk-and-eu-markets
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : สนธิชี้รายตัว ใครต้นเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่!?

    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล
    #น้ำท่วม #น้ำท่วมหาดใหญ่ #สาเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่
    Newsstory : สนธิชี้รายตัว ใครต้นเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่!? #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #สนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #น้ำท่วม #น้ำท่วมหาดใหญ่ #สาเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไฟไหม้โกดังเก็บซูเปอร์คาร์ย่านปากเกร็ดเสียหายยับ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท รถหรู–รถ EV รวมกว่า 40 คันถูกเผาวอด ใช้รถน้ำกว่า 20 คันเข้าควบคุมเพลิงนาน 2 ชั่วโมง คาดสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจรจากภาพวงจรปิด เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000114132
    .
    #ไฟไหม้ปากเกร็ด #ซูเปอร์คาร์ไฟไหม้ #EVไฟไหม้ #นนทบุรี #เพลิงไหม้ #News1live #News1
    ไฟไหม้โกดังเก็บซูเปอร์คาร์ย่านปากเกร็ดเสียหายยับ มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท รถหรู–รถ EV รวมกว่า 40 คันถูกเผาวอด ใช้รถน้ำกว่า 20 คันเข้าควบคุมเพลิงนาน 2 ชั่วโมง คาดสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจรจากภาพวงจรปิด เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000114132 . #ไฟไหม้ปากเกร็ด #ซูเปอร์คาร์ไฟไหม้ #EVไฟไหม้ #นนทบุรี #เพลิงไหม้ #News1live #News1
    Like
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 449 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดสาเหตุ เรือกู้ภัยทุกลำ เข้าพื้นที่เขต 8 ไม่ได้!!! 27/11/68 #น้ำท่วมภาคใต้ #สงขลา #เรือกู้ภัย #พื้นที่เขต 8
    เปิดสาเหตุ เรือกู้ภัยทุกลำ เข้าพื้นที่เขต 8 ไม่ได้!!! 27/11/68 #น้ำท่วมภาคใต้ #สงขลา #เรือกู้ภัย #พื้นที่เขต 8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ทำไมโครงการด้าน software ถึงพังพินาท

    บทความจาก IEEE Spectrum วิเคราะห์ว่าแม้การลงทุนด้าน IT จะเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ความล้มเหลวของโครงการซอฟต์แวร์ยังคงเกิดซ้ำๆ โดยมีสาเหตุหลักจากการจัดการผิดพลาด ความซับซ้อนที่ไม่ถูกควบคุม และการไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดเดิม

    วงจรความล้มเหลวที่ไม่สิ้นสุด
    ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2025 การใช้จ่ายด้าน IT ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จของโครงการซอฟต์แวร์ไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย ความล้มเหลวเกิดขึ้นในทุกประเทศและทุกประเภทองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน สาเหตุหลักคือ เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ความซับซ้อนที่จัดการไม่ได้ และการประเมินความเสี่ยงผิดพลาด.

    กรณีศึกษาใหญ่: Phoenix และ Horizon
    Phoenix Payroll (แคนาดา): ใช้งบกว่า 310 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่กลับสร้างปัญหาการจ่ายเงินผิดพลาดให้พนักงานกว่า 70% และยังคงมี backlog กว่า 349,000 เคสที่ไม่ถูกแก้ไขแม้ในปี 2025.

    Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร): ระบบที่ผิดพลาดทำให้พนักงานไปรษณีย์กว่า 3,500 คนถูกกล่าวหาว่าทุจริต โดย 900 คนถูกตัดสินจำคุก ทั้งที่ปัญหามาจากซอฟต์แวร์บั๊กภายในระบบเอง.

    ทั้งสองกรณีสะท้อนว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากเทคนิคอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการ การเมือง และการปกปิดข้อมูล.

    ความพยายามแก้ไขที่ยังไม่สำเร็จ
    แม้จะมีการนำ Agile และ DevOps มาใช้ แต่รายงานบางฉบับชี้ว่าโครงการ Agile ล้มเหลวสูงถึง 65% และ DevOps ล้มเหลวถึง 90% ในบางองค์กร ปัญหาหลักคือ ขาดวินัย ความต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ทำให้แนวทางใหม่ๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน.

    ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
    ในสหรัฐฯ เพียงปี 2022 ความเสียหายจากความล้มเหลวของซอฟต์แวร์สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่างบประมาณกลาโหมทั้งปี ขณะที่การบำรุงรักษาระบบ legacy กินงบกว่า 70–75% ของ IT budget องค์กร ทำให้การพัฒนาใหม่ถูกชะลอและเสี่ยงต่อการล้มเหลวซ้ำอีก.

    สรุปสาระสำคัญ
    การลงทุน IT เพิ่มขึ้นมหาศาล
    จาก 1.7 ล้านล้าน → 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จไม่ดีขึ้น

    กรณีศึกษาใหญ่
    Phoenix Payroll (แคนาดา) และ Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร)

    แนวทางใหม่ยังล้มเหลว
    Agile และ DevOps มีอัตราล้มเหลวสูงเพราะขาดวินัยและการเปลี่ยนวัฒนธรรม

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    ความเสียหายปีเดียวในสหรัฐฯ สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์

    ความเสี่ยงจากการไม่เรียนรู้
    โครงการยังทำผิดซ้ำๆ แม้มีบทเรียนมากมายในอดีต

    ผลกระทบต่อมนุษย์
    พนักงานถูกกล่าวหาผิดๆ สูญเสียชีวิตและอาชีพจากความผิดพลาดของระบบ

    https://spectrum.ieee.org/it-management-software-failures
    💽 ทำไมโครงการด้าน software ถึงพังพินาท บทความจาก IEEE Spectrum วิเคราะห์ว่าแม้การลงทุนด้าน IT จะเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ความล้มเหลวของโครงการซอฟต์แวร์ยังคงเกิดซ้ำๆ โดยมีสาเหตุหลักจากการจัดการผิดพลาด ความซับซ้อนที่ไม่ถูกควบคุม และการไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดเดิม 💻 วงจรความล้มเหลวที่ไม่สิ้นสุด ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2025 การใช้จ่ายด้าน IT ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จของโครงการซอฟต์แวร์ไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วย ความล้มเหลวเกิดขึ้นในทุกประเทศและทุกประเภทองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน สาเหตุหลักคือ เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ความซับซ้อนที่จัดการไม่ได้ และการประเมินความเสี่ยงผิดพลาด. ⚠️ กรณีศึกษาใหญ่: Phoenix และ Horizon 🔷 Phoenix Payroll (แคนาดา): ใช้งบกว่า 310 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่กลับสร้างปัญหาการจ่ายเงินผิดพลาดให้พนักงานกว่า 70% และยังคงมี backlog กว่า 349,000 เคสที่ไม่ถูกแก้ไขแม้ในปี 2025. 🔷 Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร): ระบบที่ผิดพลาดทำให้พนักงานไปรษณีย์กว่า 3,500 คนถูกกล่าวหาว่าทุจริต โดย 900 คนถูกตัดสินจำคุก ทั้งที่ปัญหามาจากซอฟต์แวร์บั๊กภายในระบบเอง. ทั้งสองกรณีสะท้อนว่า ความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากเทคนิคอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการ การเมือง และการปกปิดข้อมูล. 🔄 ความพยายามแก้ไขที่ยังไม่สำเร็จ แม้จะมีการนำ Agile และ DevOps มาใช้ แต่รายงานบางฉบับชี้ว่าโครงการ Agile ล้มเหลวสูงถึง 65% และ DevOps ล้มเหลวถึง 90% ในบางองค์กร ปัญหาหลักคือ ขาดวินัย ความต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ทำให้แนวทางใหม่ๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน. 🌍 ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ ในสหรัฐฯ เพียงปี 2022 ความเสียหายจากความล้มเหลวของซอฟต์แวร์สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่างบประมาณกลาโหมทั้งปี ขณะที่การบำรุงรักษาระบบ legacy กินงบกว่า 70–75% ของ IT budget องค์กร ทำให้การพัฒนาใหม่ถูกชะลอและเสี่ยงต่อการล้มเหลวซ้ำอีก. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การลงทุน IT เพิ่มขึ้นมหาศาล ➡️ จาก 1.7 ล้านล้าน → 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความสำเร็จไม่ดีขึ้น ✅ กรณีศึกษาใหญ่ ➡️ Phoenix Payroll (แคนาดา) และ Horizon EPOS (สหราชอาณาจักร) ✅ แนวทางใหม่ยังล้มเหลว ➡️ Agile และ DevOps มีอัตราล้มเหลวสูงเพราะขาดวินัยและการเปลี่ยนวัฒนธรรม ✅ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ➡️ ความเสียหายปีเดียวในสหรัฐฯ สูงถึง 1.81 ล้านล้านดอลลาร์ ‼️ ความเสี่ยงจากการไม่เรียนรู้ ⛔ โครงการยังทำผิดซ้ำๆ แม้มีบทเรียนมากมายในอดีต ‼️ ผลกระทบต่อมนุษย์ ⛔ พนักงานถูกกล่าวหาผิดๆ สูญเสียชีวิตและอาชีพจากความผิดพลาดของระบบ https://spectrum.ieee.org/it-management-software-failures
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวิจัยใหม่: ลำไส้กับโรคพาร์กินสัน

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น พบความเชื่อมโยงระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้กับการเกิดโรคพาร์กินสัน โดยการวิเคราะห์ตัวอย่างอุจจาระจากผู้ป่วยและคนสุขภาพดีในหลายประเทศ ผลลัพธ์ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงของชุมชนแบคทีเรียในลำไส้ส่งผลให้ร่างกายผลิตวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) และบี 7 (ไบโอติน) ลดลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรค

    แนวทางการรักษาที่เรียบง่าย
    การขาดวิตามินบีเหล่านี้สัมพันธ์กับการลดลงของกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) และโพลีเอมีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างชั้นเมือกป้องกันในลำไส้ เมื่อชั้นป้องกันนี้บางลง ระบบประสาทในลำไส้จึงสัมผัสกับสารพิษมากขึ้น เช่น สารเคมีจากยาฆ่าแมลงหรือสารทำความสะอาด ซึ่งสามารถกระตุ้นการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองและนำไปสู่โรคพาร์กินสันได้ นักวิจัยเสนอว่าการเสริมวิตามินบี 2 และบี 7 อาจช่วยบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินโรค

    ความเสี่ยงและปัจจัยแวดล้อม
    แม้การเสริมวิตามินดูเป็นวิธีง่าย แต่โรคพาร์กินสันมีสาเหตุซับซ้อนและแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สารพิษและคุณภาพการนอนหลับ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ดังนั้นการรักษาอาจต้องปรับตามสภาพร่างกายและวิถีชีวิตของผู้ป่วย ไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกับทุกคนได้

    ความหวังใหม่จากไมโครไบโอม
    การค้นพบนี้ตอกย้ำว่าลำไส้และสมองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าที่เคยคิด การดูแลสุขภาพลำไส้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ลดสารพิษในสิ่งแวดล้อม และเสริมวิตามินที่จำเป็น อาจเป็นแนวทางป้องกันและรักษาโรคพาร์กินสันในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    ความเชื่อมโยงลำไส้-สมอง
    การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ทำให้วิตามินบี 2 และบี 7 ลดลง
    ส่งผลต่อการสร้างชั้นเมือกป้องกันในลำไส้

    แนวทางการรักษา
    การเสริมวิตามินบี 2 และบี 7 อาจช่วยบรรเทาอาการ
    ป้องกันการสะสมโปรตีนผิดปกติในสมอง

    ผลกระทบต่อสุขภาพ
    การขาดวิตามินสัมพันธ์กับการลด SCFAs และโพลีเอมีน
    เพิ่มความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารพิษในระบบประสาท

    ข้อควรระวัง
    โรคพาร์กินสันมีสาเหตุซับซ้อน ไม่ใช่ทุกคนตอบสนองต่อการเสริมวิตามิน
    ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น สารพิษและการนอนหลับ มีผลต่อการเกิดโรค
    ต้องมีการวิเคราะห์รายบุคคลก่อนใช้แนวทางการรักษา

    https://www.sciencealert.com/parkinsons-link-to-gut-bacteria-suggests-unexpectedly-simple-treatment
    🧠 งานวิจัยใหม่: ลำไส้กับโรคพาร์กินสัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น พบความเชื่อมโยงระหว่างจุลินทรีย์ในลำไส้กับการเกิดโรคพาร์กินสัน โดยการวิเคราะห์ตัวอย่างอุจจาระจากผู้ป่วยและคนสุขภาพดีในหลายประเทศ ผลลัพธ์ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงของชุมชนแบคทีเรียในลำไส้ส่งผลให้ร่างกายผลิตวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) และบี 7 (ไบโอติน) ลดลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรค 🌿 แนวทางการรักษาที่เรียบง่าย การขาดวิตามินบีเหล่านี้สัมพันธ์กับการลดลงของกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) และโพลีเอมีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างชั้นเมือกป้องกันในลำไส้ เมื่อชั้นป้องกันนี้บางลง ระบบประสาทในลำไส้จึงสัมผัสกับสารพิษมากขึ้น เช่น สารเคมีจากยาฆ่าแมลงหรือสารทำความสะอาด ซึ่งสามารถกระตุ้นการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมองและนำไปสู่โรคพาร์กินสันได้ นักวิจัยเสนอว่าการเสริมวิตามินบี 2 และบี 7 อาจช่วยบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินโรค ⚠️ ความเสี่ยงและปัจจัยแวดล้อม แม้การเสริมวิตามินดูเป็นวิธีง่าย แต่โรคพาร์กินสันมีสาเหตุซับซ้อนและแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สารพิษและคุณภาพการนอนหลับ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ดังนั้นการรักษาอาจต้องปรับตามสภาพร่างกายและวิถีชีวิตของผู้ป่วย ไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกับทุกคนได้ 🌍 ความหวังใหม่จากไมโครไบโอม การค้นพบนี้ตอกย้ำว่าลำไส้และสมองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าที่เคยคิด การดูแลสุขภาพลำไส้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ลดสารพิษในสิ่งแวดล้อม และเสริมวิตามินที่จำเป็น อาจเป็นแนวทางป้องกันและรักษาโรคพาร์กินสันในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความเชื่อมโยงลำไส้-สมอง ➡️ การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ทำให้วิตามินบี 2 และบี 7 ลดลง ➡️ ส่งผลต่อการสร้างชั้นเมือกป้องกันในลำไส้ ✅ แนวทางการรักษา ➡️ การเสริมวิตามินบี 2 และบี 7 อาจช่วยบรรเทาอาการ ➡️ ป้องกันการสะสมโปรตีนผิดปกติในสมอง ✅ ผลกระทบต่อสุขภาพ ➡️ การขาดวิตามินสัมพันธ์กับการลด SCFAs และโพลีเอมีน ➡️ เพิ่มความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารพิษในระบบประสาท ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ โรคพาร์กินสันมีสาเหตุซับซ้อน ไม่ใช่ทุกคนตอบสนองต่อการเสริมวิตามิน ⛔ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น สารพิษและการนอนหลับ มีผลต่อการเกิดโรค ⛔ ต้องมีการวิเคราะห์รายบุคคลก่อนใช้แนวทางการรักษา https://www.sciencealert.com/parkinsons-link-to-gut-bacteria-suggests-unexpectedly-simple-treatment
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    Parkinson's Link to Gut Bacteria Suggests Unexpectedly Simple Treatment
    Researchers have suspected for some time that the link between our gut and brain plays a role in the onset of Parkinson's disease.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tim Sweeney เตือน: วิกฤตราคา RAM จะกระทบเกมมิ่งหลายปี

    Tim Sweeney ซีอีโอของ Epic Games ออกมาเตือนว่าราคาหน่วยความจำ RAM ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเป็น “ปัญหาใหญ่สำหรับเกมมิ่งระดับสูงไปอีกหลายปี” โดยสาเหตุหลักมาจากความต้องการมหาศาลจาก ศูนย์ข้อมูล AI ที่ยอมจ่ายแพงกว่าผู้ผลิตพีซีทั่วไป ทำให้กำลังการผลิต DRAM ถูกเบี่ยงไปยังตลาด AI

    ราคาที่พุ่งทะยานจนผู้ใช้สะเทือน
    ตัวอย่างเช่น ชุด RAM Crucial Pro DDR5-6000 ที่เคยขายราว 260 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม กลับพุ่งขึ้นเป็น 498 ดอลลาร์ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว แม้จะอยู่ในช่วงเทศกาลลดราคาก็ตาม สถานการณ์นี้สะท้อนว่าตลาดผู้บริโภคกำลังถูกบีบให้จ่ายแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้การอัปเกรดหรือประกอบเครื่องใหม่ต้องเลื่อนออกไป

    ผลกระทบต่อวงการเกมและผู้ผลิต
    การที่ราคาหน่วยความจำสูงขึ้นไม่เพียงกระทบผู้เล่นเกม แต่ยังส่งผลต่อผู้ผลิตพีซีและโน้ตบุ๊กที่ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Asus และ MSI ก็เริ่มกักตุน RAM เพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่บางร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้ระบบ “spot pricing” แทนการตั้งราคาคงที่

    แนวโน้มและสิ่งที่ต้องจับตา
    แม้บางนักวิเคราะห์คาดว่า “ฟองสบู่ AI” อาจแตกในอนาคต แต่ Sweeney เชื่อว่าความต้องการ RAM จากตลาด AI จะยังคงสูงต่อไปอีกหลายปี ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเตรียมรับมือกับราคาที่ไม่ลดลงง่าย ๆ และอาจต้องปรับแผนการอัปเกรดเครื่องระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    คำเตือนจาก Tim Sweeney
    ราคาหน่วยความจำ RAM จะเป็นปัญหาสำหรับเกมมิ่งหลายปี

    ราคาที่พุ่งสูง
    ชุด Crucial DDR5-6000 ขึ้นจาก 260 → 498 ดอลลาร์ในเวลาเดือนเดียว

    ผลกระทบต่อวงการ
    ผู้ผลิตพีซีและร้านค้าปลีกต้องปรับตัว เช่น กักตุนหรือใช้ spot pricing

    แนวโน้มอนาคต
    ความต้องการจาก AI จะยังคงสูง ทำให้ราคายังไม่ลดลงง่าย

    คำเตือนจากนักวิเคราะห์
    แม้บางคนคาดว่า “ฟองสบู่ AI” อาจแตก แต่ยังไม่เกิดขึ้นเร็ว

    ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องเลื่อนการอัปเกรดหรือแบกรับต้นทุนสูงขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/epic-games-ceo-tim-sweeney-says-ram-pricing-crisis-isnt-going-away-anytime-soon-fortnite-boss-says-crunch-will-be-a-real-problem-for-high-end-gaming-for-several-years
    💾 Tim Sweeney เตือน: วิกฤตราคา RAM จะกระทบเกมมิ่งหลายปี Tim Sweeney ซีอีโอของ Epic Games ออกมาเตือนว่าราคาหน่วยความจำ RAM ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจะเป็น “ปัญหาใหญ่สำหรับเกมมิ่งระดับสูงไปอีกหลายปี” โดยสาเหตุหลักมาจากความต้องการมหาศาลจาก ศูนย์ข้อมูล AI ที่ยอมจ่ายแพงกว่าผู้ผลิตพีซีทั่วไป ทำให้กำลังการผลิต DRAM ถูกเบี่ยงไปยังตลาด AI 📈 ราคาที่พุ่งทะยานจนผู้ใช้สะเทือน ตัวอย่างเช่น ชุด RAM Crucial Pro DDR5-6000 ที่เคยขายราว 260 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม กลับพุ่งขึ้นเป็น 498 ดอลลาร์ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว แม้จะอยู่ในช่วงเทศกาลลดราคาก็ตาม สถานการณ์นี้สะท้อนว่าตลาดผู้บริโภคกำลังถูกบีบให้จ่ายแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้การอัปเกรดหรือประกอบเครื่องใหม่ต้องเลื่อนออกไป 🌍 ผลกระทบต่อวงการเกมและผู้ผลิต การที่ราคาหน่วยความจำสูงขึ้นไม่เพียงกระทบผู้เล่นเกม แต่ยังส่งผลต่อผู้ผลิตพีซีและโน้ตบุ๊กที่ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Asus และ MSI ก็เริ่มกักตุน RAM เพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่บางร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้ระบบ “spot pricing” แทนการตั้งราคาคงที่ 🛡️ แนวโน้มและสิ่งที่ต้องจับตา แม้บางนักวิเคราะห์คาดว่า “ฟองสบู่ AI” อาจแตกในอนาคต แต่ Sweeney เชื่อว่าความต้องการ RAM จากตลาด AI จะยังคงสูงต่อไปอีกหลายปี ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเตรียมรับมือกับราคาที่ไม่ลดลงง่าย ๆ และอาจต้องปรับแผนการอัปเกรดเครื่องระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คำเตือนจาก Tim Sweeney ➡️ ราคาหน่วยความจำ RAM จะเป็นปัญหาสำหรับเกมมิ่งหลายปี ✅ ราคาที่พุ่งสูง ➡️ ชุด Crucial DDR5-6000 ขึ้นจาก 260 → 498 ดอลลาร์ในเวลาเดือนเดียว ✅ ผลกระทบต่อวงการ ➡️ ผู้ผลิตพีซีและร้านค้าปลีกต้องปรับตัว เช่น กักตุนหรือใช้ spot pricing ✅ แนวโน้มอนาคต ➡️ ความต้องการจาก AI จะยังคงสูง ทำให้ราคายังไม่ลดลงง่าย ‼️ คำเตือนจากนักวิเคราะห์ ⛔ แม้บางคนคาดว่า “ฟองสบู่ AI” อาจแตก แต่ยังไม่เกิดขึ้นเร็ว ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องเลื่อนการอัปเกรดหรือแบกรับต้นทุนสูงขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/epic-games-ceo-tim-sweeney-says-ram-pricing-crisis-isnt-going-away-anytime-soon-fortnite-boss-says-crunch-will-be-a-real-problem-for-high-end-gaming-for-several-years
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts