• “Alterego เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ ‘ใกล้เคียงโทรจิต’ พิมพ์ด้วยความคิด คุยเงียบๆ ได้ และแปลภาษาแบบไร้เสียง — ก้าวใหม่ของการสื่อสารมนุษย์กับ AI”

    ถ้าคุณเคยฝันถึงการสื่อสารแบบไม่ต้องพูด ไม่ต้องพิมพ์ แค่ “คิด” แล้วคำพูดก็ปรากฏ — ตอนนี้มันไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป เพราะสตาร์ทอัพชื่อ Alterego ได้เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ที่อ้างว่าเป็น “wearable ใกล้เคียงโทรจิตตัวแรกของโลก” ที่สามารถพิมพ์ข้อความด้วยความคิด ควบคุมอุปกรณ์แบบไร้มือ และสื่อสารกับคนอื่นแบบเงียบๆ ได้

    อุปกรณ์นี้พัฒนาโดย Arnav Kapur จาก MIT Media Lab และ Max Newlon จาก Harvard Innovation Labs โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Silent Sense” ซึ่งไม่ใช่การอ่านความคิดโดยตรง แต่เป็นการตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อที่สมองส่งไปยังระบบพูด ก่อนที่เราจะเปล่งเสียงออกมา — ทำให้สามารถแปลงความตั้งใจเป็นคำสั่งหรือข้อความได้ทันที

    ในวิดีโอสาธิต Kapur ใช้อุปกรณ์นี้พิมพ์ข้อความโดยไม่แตะคีย์บอร์ด ตั้งเตือนในมือถือ และถามคำถามเกี่ยวกับภาพที่เห็นผ่านกล้องขนาดเล็กในตัวอุปกรณ์ จากนั้นเขาสื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้ร่วมก่อตั้งผ่าน bone-conduction audio โดยไม่มีเสียงใดๆ ออกมา

    ที่น่าทึ่งคือการแปลภาษาแบบไร้เสียง — Kapur พูดภาษาอังกฤษ แล้วผู้ร่วมสนทนาที่พูดภาษาจีนเข้าใจทันทีผ่านระบบแปลในตัว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการพูด เช่น ALS หรือผู้พิการทางเสียง

    แม้จะดูเหมือนหลุดมาจากนิยายไซไฟ แต่ Alterego ยืนยันว่าอุปกรณ์นี้ไม่อ่านความคิดลึกๆ และไม่มีการเก็บข้อมูลสมองโดยตรง ต่างจากเทคโนโลยีฝังชิปอย่าง Neuralink หรือ EMG แบบสายรัดข้อมือของ Meta — โดยเน้นความปลอดภัยและการควบคุมจากผู้ใช้เป็นหลัก

    ความสามารถของอุปกรณ์ Alterego
    พิมพ์ข้อความด้วยความคิดโดยไม่ต้องใช้คีย์บอร์ด
    สื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้อื่นผ่าน bone-conduction audio
    ควบคุมอุปกรณ์และแอปพลิเคชันแบบไร้มือ
    ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแบบไร้เสียง
    ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวผ่านกล้องในตัว
    แปลภาษาแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพูดออกเสียง
    ช่วยฟื้นฟูการพูดสำหรับผู้มีปัญหาด้านเสียงหรือระบบประสาท

    เทคโนโลยีเบื้องหลัง
    ใช้การตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อจากใบหน้าและลำคอ
    ไม่ใช่การอ่านคลื่นสมองหรือ EEG
    ส่งข้อมูลผ่าน bone-conduction กลับไปยังผู้ใช้
    พัฒนาโดยทีมจาก MIT และ Harvard Innovation Labs

    การใช้งานจริงในวิดีโอสาธิต
    พิมพ์ข้อความ ตั้งเตือน และถามคำถามจากภาพ
    สื่อสารแบบเงียบกับผู้ร่วมก่อตั้ง
    แปลภาษาอังกฤษ–จีนแบบไร้เสียง
    ใช้กล้องในตัวเพื่อเข้าใจสิ่งแวดล้อม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยีนี้เคยถูกนำเสนอใน TED ปี 2019
    เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องฝังชิปหรือใช้สายรัดกล้ามเนื้อ
    เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่เสียงดัง เช่น โรงงานหรือสนามบิน
    อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการสื่อสารมนุษย์กับ AI ในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/alterego-demoes-worlds-first-near-telepathic-wearable-that-enables-typing-at-the-speed-of-thought-other-abilities-device-said-to-enable-silent-communication-with-others-control-devices-hands-free-and-restore-speech-for-impaired
    🧠 “Alterego เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ ‘ใกล้เคียงโทรจิต’ พิมพ์ด้วยความคิด คุยเงียบๆ ได้ และแปลภาษาแบบไร้เสียง — ก้าวใหม่ของการสื่อสารมนุษย์กับ AI” ถ้าคุณเคยฝันถึงการสื่อสารแบบไม่ต้องพูด ไม่ต้องพิมพ์ แค่ “คิด” แล้วคำพูดก็ปรากฏ — ตอนนี้มันไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป เพราะสตาร์ทอัพชื่อ Alterego ได้เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ที่อ้างว่าเป็น “wearable ใกล้เคียงโทรจิตตัวแรกของโลก” ที่สามารถพิมพ์ข้อความด้วยความคิด ควบคุมอุปกรณ์แบบไร้มือ และสื่อสารกับคนอื่นแบบเงียบๆ ได้ อุปกรณ์นี้พัฒนาโดย Arnav Kapur จาก MIT Media Lab และ Max Newlon จาก Harvard Innovation Labs โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Silent Sense” ซึ่งไม่ใช่การอ่านความคิดโดยตรง แต่เป็นการตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อที่สมองส่งไปยังระบบพูด ก่อนที่เราจะเปล่งเสียงออกมา — ทำให้สามารถแปลงความตั้งใจเป็นคำสั่งหรือข้อความได้ทันที ในวิดีโอสาธิต Kapur ใช้อุปกรณ์นี้พิมพ์ข้อความโดยไม่แตะคีย์บอร์ด ตั้งเตือนในมือถือ และถามคำถามเกี่ยวกับภาพที่เห็นผ่านกล้องขนาดเล็กในตัวอุปกรณ์ จากนั้นเขาสื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้ร่วมก่อตั้งผ่าน bone-conduction audio โดยไม่มีเสียงใดๆ ออกมา ที่น่าทึ่งคือการแปลภาษาแบบไร้เสียง — Kapur พูดภาษาอังกฤษ แล้วผู้ร่วมสนทนาที่พูดภาษาจีนเข้าใจทันทีผ่านระบบแปลในตัว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการพูด เช่น ALS หรือผู้พิการทางเสียง แม้จะดูเหมือนหลุดมาจากนิยายไซไฟ แต่ Alterego ยืนยันว่าอุปกรณ์นี้ไม่อ่านความคิดลึกๆ และไม่มีการเก็บข้อมูลสมองโดยตรง ต่างจากเทคโนโลยีฝังชิปอย่าง Neuralink หรือ EMG แบบสายรัดข้อมือของ Meta — โดยเน้นความปลอดภัยและการควบคุมจากผู้ใช้เป็นหลัก ✅ ความสามารถของอุปกรณ์ Alterego ➡️ พิมพ์ข้อความด้วยความคิดโดยไม่ต้องใช้คีย์บอร์ด ➡️ สื่อสารแบบเงียบๆ กับผู้อื่นผ่าน bone-conduction audio ➡️ ควบคุมอุปกรณ์และแอปพลิเคชันแบบไร้มือ ➡️ ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแบบไร้เสียง ➡️ ถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวผ่านกล้องในตัว ➡️ แปลภาษาแบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพูดออกเสียง ➡️ ช่วยฟื้นฟูการพูดสำหรับผู้มีปัญหาด้านเสียงหรือระบบประสาท ✅ เทคโนโลยีเบื้องหลัง ➡️ ใช้การตรวจจับสัญญาณประสาทกล้ามเนื้อจากใบหน้าและลำคอ ➡️ ไม่ใช่การอ่านคลื่นสมองหรือ EEG ➡️ ส่งข้อมูลผ่าน bone-conduction กลับไปยังผู้ใช้ ➡️ พัฒนาโดยทีมจาก MIT และ Harvard Innovation Labs ✅ การใช้งานจริงในวิดีโอสาธิต ➡️ พิมพ์ข้อความ ตั้งเตือน และถามคำถามจากภาพ ➡️ สื่อสารแบบเงียบกับผู้ร่วมก่อตั้ง ➡️ แปลภาษาอังกฤษ–จีนแบบไร้เสียง ➡️ ใช้กล้องในตัวเพื่อเข้าใจสิ่งแวดล้อม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยีนี้เคยถูกนำเสนอใน TED ปี 2019 ➡️ เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องฝังชิปหรือใช้สายรัดกล้ามเนื้อ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้งานในพื้นที่เสียงดัง เช่น โรงงานหรือสนามบิน ➡️ อาจเป็นจุดเปลี่ยนของการสื่อสารมนุษย์กับ AI ในอนาคต https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/alterego-demoes-worlds-first-near-telepathic-wearable-that-enables-typing-at-the-speed-of-thought-other-abilities-device-said-to-enable-silent-communication-with-others-control-devices-hands-free-and-restore-speech-for-impaired
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง”

    Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง

    เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ

    แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2

    เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

    ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง
    เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน
    ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์
    สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow

    ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง
    การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
    การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ
    การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย
    การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory)
    การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่
    ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น

    ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ
    การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack
    ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้

    ความเปราะบางของระบบประสาท
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว
    หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ”
    ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน
    การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม

    https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    🎙️ เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง” Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2 เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ✅ ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง ➡️ เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน ➡️ ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์ ➡️ สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow ✅ ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ➡️ การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ ➡️ การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย ➡️ การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory) ➡️ การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ ➡️ ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ ⛔ การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack ⛔ ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้ ‼️ ความเปราะบางของระบบประสาท ⛔ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว ⛔ หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้ ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ” ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน ⛔ การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    WWW.HENRIKKARLSSON.XYZ
    Almost anything you give sustained attention to will begin to loop on itself and bloom
    When people talk about the value of paying attention and slowing down, they often make it sound prudish and monk-like. But we shouldn’t forget how interesting and overpoweringly pleasurable sustained attention can be.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา

    งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน

    ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก

    ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว

    นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า

    นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา

    ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง
    EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่
    การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ
    ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน

    ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง
    ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง”
    กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน
    การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์

    ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI
    ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ
    สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้
    งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์

    ข้อเสนอจากนักวิจัย
    ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ
    การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ
    การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี

    https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก EEG: เมื่อ ChatGPT ไม่ได้แค่ช่วยเขียน แต่กำลัง “เขียนใหม่” ระบบประสาทของเรา งานวิจัยล่าสุดจาก MIT Media Lab ชื่อว่า “Your Brain on ChatGPT” ได้ทดลองให้ผู้เข้าร่วม 54 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มที่เขียนด้วยสมองตัวเอง, กลุ่มที่ใช้ Search Engine, และกลุ่มที่ใช้ LLM (เช่น ChatGPT หรือ Grok) เพื่อช่วยเขียนเรียงความ SAT โดยใช้ EEG สแกนสมองระหว่างทำงาน ผลลัพธ์ชัดเจน: กลุ่มที่ใช้ LLM มีการเชื่อมต่อของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในคลื่น alpha, beta, delta และ theta ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดจ่อ, การมองเห็น, และการประมวลผลเชิงลึก ที่น่าตกใจคือ เมื่อให้เขียนโดยไม่ใช้ AI ใน Session 4 ผู้ที่เคยใช้ LLM กลับไม่สามารถฟื้นฟูการทำงานของสมองได้เหมือนเดิม—แสดงถึง “ความเสียหายตกค้าง” ที่อาจกลายเป็นภาวะถดถอยทางปัญญาระยะยาว นอกจากนี้ 83.3% ของผู้ใช้ LLM ไม่สามารถจำแม้แต่ประโยคเดียวจากเรียงความที่เพิ่งเขียนได้ ขณะที่กลุ่มที่ใช้สมองหรือ Search Engine สามารถอ้างอิงได้อย่างแม่นยำ และยังรู้สึกเป็นเจ้าของงานเขียนของตัวเองมากกว่า นักวิจัยเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “cognitive offloading” คือสมองเริ่มปรับตัวให้ใช้พลังงานน้อยลงเมื่อมีเครื่องมือช่วย—แต่ผลที่ตามมาคือการลดลงของการเรียนรู้เชิงลึก, การสังเคราะห์ข้อมูล, และความพยายามในการแก้ปัญหา ✅ ผลกระทบของการใช้ LLM ต่อสมอง ➡️ EEG แสดงการลดลงของการเชื่อมต่อสมองในหลายคลื่นความถี่ ➡️ การใช้ LLM ทำให้สมองไม่กระตุ้นเครือข่ายการมองเห็นและความสนใจ ➡️ ผู้ใช้ LLM มีความจำและการจดจำเนื้อหาลดลงอย่างชัดเจน ✅ ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อผลงานของตัวเอง ➡️ ผู้ใช้ LLM มักตอบว่า “50/50” หรือ “ไม่แน่ใจว่าเป็นของตัวเอง” ➡️ กลุ่มที่ใช้สมองเองรายงานความรู้สึกเป็นเจ้าของงานอย่างชัดเจน ➡️ การใช้ AI ทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวจากกระบวนการสร้างสรรค์ ✅ ผลกระทบระยะยาวจากการใช้ AI ➡️ ผู้ใช้ LLM ที่เปลี่ยนกลับมาเขียนเองยังคงมีการทำงานของสมองต่ำกว่าปกติ ➡️ สมองปรับตัวให้ “ประหยัดพลังงาน” แต่แลกด้วยการลดความสามารถในการเรียนรู้ ➡️ งานเขียนจาก LLM มักสั้นลง, มีโครงสร้างจำกัด, และขาดการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ ✅ ข้อเสนอจากนักวิจัย ➡️ ควรใช้ AI อย่างมีขอบเขต และให้สมองได้ทำงานจริงเป็นระยะ ➡️ การใช้ AI เพื่อความสะดวกอาจนำไปสู่ “หนี้ทางปัญญา” ที่สะสมเรื่อย ๆ ➡️ การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องใช้ความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่ดูดี https://publichealthpolicyjournal.com/mit-study-finds-artificial-intelligence-use-reprograms-the-brain-leading-to-cognitive-decline/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ

    ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD

    ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์

    สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด

    ผลกระทบทางสมองจาก HVB
    ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40%
    เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus
    ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย

    ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB
    ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย
    คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์
    HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

    กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง
    HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด
    ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง
    ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic

    ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก
    ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD
    การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า
    HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น

    ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป
    อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน
    การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด

    ข้อจำกัดของงานวิจัย
    ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว
    ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV
    แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก
    ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป

    https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    🎙️ เรื่องเล่าจากลมหายใจ: เมื่อการหายใจลึกกลายเป็นประตูสู่จิตวิญญาณ ในยุคที่ผู้คนแสวงหาวิธีเยียวยาจิตใจโดยไม่พึ่งยา งานวิจัยล่าสุดจาก Brighton and Sussex Medical School ได้เปิดเผยว่า “การหายใจแบบแรงและเร็ว” หรือ High Ventilation Breathwork (HVB) เมื่อทำร่วมกับดนตรี สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึก (Altered States of Consciousness – ASC) ที่คล้ายกับผลของสารไซคีเดลิก เช่น psilocybin หรือ LSD ผู้เข้าร่วมทดลองหายใจแบบ HVB เป็นเวลา 20–30 นาที พร้อมฟังดนตรีที่เร้าอารมณ์ แล้วตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกภายใน 30 นาทีหลังจบกิจกรรม ผลลัพธ์น่าทึ่ง: ผู้เข้าร่วมรายงานว่ารู้สึกถึง “Oceanic Boundlessness” หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ความสุขล้น และการปลดปล่อยทางอารมณ์ สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ HVB จะลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมอง แต่กลับเพิ่มการไหลเวียนในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ เช่น amygdala และ hippocampus ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญของผลการบำบัด ✅ ผลกระทบทางสมองจาก HVB ➡️ ลดการไหลเวียนเลือดทั่วสมองโดยเฉลี่ย 30–40% ➡️ เพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดใน amygdala และ anterior hippocampus ➡️ ลดการไหลเวียนใน posterior insula และ parietal operculum ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ภายในร่างกาย ✅ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจาก HVB ➡️ ผู้เข้าร่วมรายงานความรู้สึก “Oceanic Boundlessness” (OBN) ซึ่งรวมถึงความสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และการปลดปล่อย ➡️ คะแนน OBN สูงสุดเกิดในห้องทดลอง (LAB) รองลงมาคือ MRI และต่ำสุดในแบบออนไลน์ ➡️ HVB ลดความรู้สึกด้านลบ เช่น ความกลัวและอารมณ์ลบ โดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง ✅ กลไกทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง ➡️ HVB ทำให้เกิด respiratory alkalosis จากการลด CO₂ ในเลือด ➡️ ส่งผลให้เกิด vasoconstriction และเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดในสมอง ➡️ ลด HRV (Heart Rate Variability) ซึ่งสะท้อนถึงการกระตุ้นระบบประสาท sympathetic ✅ ความเชื่อมโยงกับการบำบัดแบบไซคีเดลิก ➡️ ประสบการณ์ OBN มีความคล้ายคลึงกับผลของ psilocybin และ LSD ➡️ การเปลี่ยนแปลงใน insula และ amygdala คล้ายกับผลของยาไซคีเดลิกในการบำบัดภาวะซึมเศร้า ➡️ HVB อาจช่วยให้ผู้เข้าร่วมเผชิญและประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ได้ดีขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการลด CO₂ มากเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัวหรือหมดสติในผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อน ⛔ การลด CO₂ มากเกินไปอาจกระทบสมดุลกรด-ด่างในเลือด ‼️ ข้อจำกัดของงานวิจัย ⛔ ขนาดกลุ่มตัวอย่างยังเล็ก และไม่มีกลุ่มควบคุมที่ฟังเพลงอย่างเดียว ⛔ ผลลัพธ์อาจไม่สามารถสรุปกับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ HVB มาก่อน ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HRV ⛔ แม้ HRV ลดลงจะสะท้อนถึงความเครียด แต่ในบริบท HVB อาจหมายถึงการเปิดรับประสบการณ์เชิงบวก ⛔ ต้องระวังไม่ตีความ HRV ต่ำว่าเป็นผลเสียเสมอไป https://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0329411
    JOURNALS.PLOS.ORG
    Neurobiological substrates of altered states of consciousness induced by high ventilation breathwork accompanied by music
    The popularity of breathwork as a therapeutic tool for psychological distress is rapidly expanding. Breathwork practices that increase ventilatory rate or depth, facilitated by music, can evoke subjective experiential states analogous to altered states of consciousness (ASCs) evoked by psychedelic substances. These states include components such as euphoria, bliss, and perceptual differences. However, the neurobiological mechanisms underlying the profound subjective effects of high ventilation breathwork (HVB) remain largely unknown and unexplored. In this study, we investigated the neurobiological substrates of ASCs induced by HVB in experienced practitioners. We demonstrate that the intensity of ASCs evoked by HVB was proportional to cardiovascular sympathetic activation and to haemodynamic alterations in cerebral perfusion within clusters spanning the left operculum/posterior insula and right amygdala/anterior hippocampus; regions implicated in respiratory interoceptive representation and the processing of emotional memories, respectively. These observed regional cerebral effects may underlie pivotal mental experiences that mediate positive therapeutic outcomes of HVB.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6]

    **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ Choawalit Chotwattanaphong เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron Choawalit Chotwattanaphong เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ Choawalit Chotwattanaphong

    ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน Choawalit Chotwattanaphong เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ Choawalit Chotwattanaphong

    มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส Choawalit Chotwattanaphong ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ Choawalit Chotwattanaphong

    **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13]

    **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16]

    สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18]

    โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน.

    https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0
    https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4

    https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    ✍️ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19 ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6] **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ [1] เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron [1] เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ [1] ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน [1] เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ [1] มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส [1] ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ [1] **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13] **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16] สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18] โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน. https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0 https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4 https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากอัมพาตสู่การควบคุมดิจิทัลด้วย “ความคิด”

    ย้อนกลับไปในปี 2016 Noland Arbaugh ประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำ ทำให้เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป และใช้ชีวิตบนรถเข็นมานานหลายปี จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink บริษัทของ Elon Musk

    การผ่าตัดใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมง โดยหุ่นยนต์ของ Neuralink ฝังชิปขนาดเท่าเหรียญเข้าไปในสมอง พร้อมเชื่อมเส้นใยขนาดเล็กกว่าเส้นผมกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาทในสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว

    ผลลัพธ์คือ Arbaugh สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยความคิด เช่น เล่น Mario Kart, เปิด–ปิดเครื่องฟอกอากาศ, ควบคุมทีวี และพิมพ์ข้อความโดยไม่ต้องขยับร่างกายเลยแม้แต่นิ้วเดียว

    เขาใช้ระบบนี้วันละประมาณ 10 ชั่วโมง และบอกว่า “ง่ายมาก” ในการเรียนรู้วิธีใช้งาน วันแรกที่ลองใช้ เขาสามารถทำลายสถิติโลกปี 2017 ด้านความเร็วและความแม่นยำในการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI

    แม้จะมีปัญหาในช่วงแรก เช่น เส้นใยบางส่วนหลุดออกจากเนื้อสมอง ทำให้ประสิทธิภาพลดลง แต่ทีม Neuralink ก็สามารถปรับแต่งระบบให้กลับมาใช้งานได้เกือบเต็มรูปแบบ

    ปัจจุบัน Arbaugh กลับไปเรียนที่วิทยาลัยในรัฐแอริโซนา และเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง พร้อมรับงานพูดในที่สาธารณะ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพอีกครั้ง” และเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ในอนาคต แม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Noland Arbaugh เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink ในปี 2024
    การผ่าตัดใช้หุ่นยนต์ฝังชิปและเชื่อมเส้นใยกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาท
    ชิปสามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งดิจิทัลเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ
    Arbaugh สามารถเล่นเกม, พิมพ์ข้อความ, และควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยความคิด
    ใช้งานระบบวันละประมาณ 10 ชั่วโมง และเรียนรู้ได้ง่าย
    วันแรกที่ใช้งาน Arbaugh ทำลายสถิติโลกด้านการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI
    ปัจจุบันเขากลับไปเรียนและเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง
    เขาเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ แม้จะมีความเสี่ยง
    Neuralink ใช้ระบบชาร์จแบบไร้สายผ่านหมวกที่ฝังขดลวดไว้
    ระบบได้รับการปรับปรุงให้สามารถใช้งานขณะชาร์จได้แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BCI (Brain-Computer Interface) เป็นเทคโนโลยีที่มีการศึกษามานานกว่า 50 ปี
    บริษัทอื่น เช่น Synchron และ Blackrock Neurotech ก็มีการทดลองฝังชิปสมองเช่นกัน
    Neuralink ใช้การฝังใน motor cortex ซึ่งเป็นบริเวณควบคุมการเคลื่อนไหวโดยตรง
    ชิปของ Neuralink เป็นแบบไร้สาย ต่างจากบางบริษัทที่ยังใช้สายเชื่อมต่อผ่านกะโหลก
    การฝังชิปสมองอาจเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาตและโรคทางระบบประสาท

    https://fortune.com/2025/08/23/neuralink-participant-1-noland-arbaugh-18-months-post-surgery-life-changed-elon-musk/
    🧠 จากอัมพาตสู่การควบคุมดิจิทัลด้วย “ความคิด” ย้อนกลับไปในปี 2016 Noland Arbaugh ประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำ ทำให้เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป และใช้ชีวิตบนรถเข็นมานานหลายปี จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink บริษัทของ Elon Musk การผ่าตัดใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมง โดยหุ่นยนต์ของ Neuralink ฝังชิปขนาดเท่าเหรียญเข้าไปในสมอง พร้อมเชื่อมเส้นใยขนาดเล็กกว่าเส้นผมกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาทในสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว ผลลัพธ์คือ Arbaugh สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยความคิด เช่น เล่น Mario Kart, เปิด–ปิดเครื่องฟอกอากาศ, ควบคุมทีวี และพิมพ์ข้อความโดยไม่ต้องขยับร่างกายเลยแม้แต่นิ้วเดียว เขาใช้ระบบนี้วันละประมาณ 10 ชั่วโมง และบอกว่า “ง่ายมาก” ในการเรียนรู้วิธีใช้งาน วันแรกที่ลองใช้ เขาสามารถทำลายสถิติโลกปี 2017 ด้านความเร็วและความแม่นยำในการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI แม้จะมีปัญหาในช่วงแรก เช่น เส้นใยบางส่วนหลุดออกจากเนื้อสมอง ทำให้ประสิทธิภาพลดลง แต่ทีม Neuralink ก็สามารถปรับแต่งระบบให้กลับมาใช้งานได้เกือบเต็มรูปแบบ ปัจจุบัน Arbaugh กลับไปเรียนที่วิทยาลัยในรัฐแอริโซนา และเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง พร้อมรับงานพูดในที่สาธารณะ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพอีกครั้ง” และเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ในอนาคต แม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Noland Arbaugh เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink ในปี 2024 ➡️ การผ่าตัดใช้หุ่นยนต์ฝังชิปและเชื่อมเส้นใยกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาท ➡️ ชิปสามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งดิจิทัลเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ➡️ Arbaugh สามารถเล่นเกม, พิมพ์ข้อความ, และควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยความคิด ➡️ ใช้งานระบบวันละประมาณ 10 ชั่วโมง และเรียนรู้ได้ง่าย ➡️ วันแรกที่ใช้งาน Arbaugh ทำลายสถิติโลกด้านการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI ➡️ ปัจจุบันเขากลับไปเรียนและเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง ➡️ เขาเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ แม้จะมีความเสี่ยง ➡️ Neuralink ใช้ระบบชาร์จแบบไร้สายผ่านหมวกที่ฝังขดลวดไว้ ➡️ ระบบได้รับการปรับปรุงให้สามารถใช้งานขณะชาร์จได้แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BCI (Brain-Computer Interface) เป็นเทคโนโลยีที่มีการศึกษามานานกว่า 50 ปี ➡️ บริษัทอื่น เช่น Synchron และ Blackrock Neurotech ก็มีการทดลองฝังชิปสมองเช่นกัน ➡️ Neuralink ใช้การฝังใน motor cortex ซึ่งเป็นบริเวณควบคุมการเคลื่อนไหวโดยตรง ➡️ ชิปของ Neuralink เป็นแบบไร้สาย ต่างจากบางบริษัทที่ยังใช้สายเชื่อมต่อผ่านกะโหลก ➡️ การฝังชิปสมองอาจเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาตและโรคทางระบบประสาท https://fortune.com/2025/08/23/neuralink-participant-1-noland-arbaugh-18-months-post-surgery-life-changed-elon-musk/
    FORTUNE.COM
    Neuralink’s first study participant says his whole life has changed
    Noland Arbaugh became P1 at Neuralink last year and it’s opened up a host of opportunities for him.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว

  • เทคโนโลยีขนาดใหญ่วางแผนที่จะใช้ชิปสมองเพื่ออ่านผู้ใช้’ ความคิด: การศึกษา

    25 สิงหาคม 2568

    Big Tech กําลังวางแผนที่จะปรับใช้ชิปสมองที่สามารถอ่านความคิดของผู้ใช้’ ตามการศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายระบบประสาทหรือที่เรียกว่าอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) ซึ่งอาจเปิดเผยความลับภายในสุดในขณะที่ปลอมตัวเป็นตัวช่วยสําหรับบุคคลที่เป็นอัมพาตในการ สื่อสาร

    ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เซลล์การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถอดรหัสสัญญาณสมองเพื่อสร้างคําพูดสังเคราะห์ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนและความพยายามเพียงเล็กน้อย ทําให้เกิดสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการบุกรุกความเป็นส่วนตัวในขณะที่บริษัทอย่าง Neuralink ผลักดันให้มีการนําไปใช้อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้เสนอเสนอผลประโยชน์สําหรับผู้พิการ นักวิจารณ์เตือนว่าการบูรณาการที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลประสาทเพื่อการเฝ้าระวัง การจัดการ หรือผลกําไร โดยเปลี่ยนการรับรู้ส่วนบุคคลให้เป็นทรัพยากรที่เป็นสินค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม

    ความทันสมัย.ข่าวสาร รายงาน: BCI ทํางานโดยใช้อาร์เรย์อิเล็กโทรดขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบกิจกรรมในเยื่อหุ้มสมองสั่งการของสมอง, ภูมิภาคที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด จนถึงขณะนี้ เทคโนโลยีนี้อาศัยสัญญาณจากบุคคลที่เป็นอัมพาตที่พยายามพูดอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ทีมงานสแตนฟอร์ดค้นพบว่าแม้แต่คําพูดในจินตนาการก็ยังสร้างสัญญาณที่คล้ายกันในเยื่อหุ้มสมองสั่งการ แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์, พวกเขาแปลสัญญาณจาง ๆ เหล่านั้นเป็นคําที่มีความแม่นยําสูงสุด 74% จากคําศัพท์ 125,000 คํา

    “เรากําลังบันทึกสัญญาณขณะที่พวกเขากําลังพยายามพูดและแปลสัญญาณประสาทเหล่านั้นเป็นคําที่พวกเขาพยายามจะพูด ” erin Kunz นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Neural Prosthetics Translational Laboratory ของ Stanford กล่าว

    แต่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้ทําให้เกิดธงแดงในหมู่นักวิจารณ์ที่เตือนถึงอนาคตดิสโทเปียที่ความคิดส่วนตัวของคุณอาจถูกเปิดเผย

    Nita Farahany ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและปรัชญาของมหาวิทยาลัย Duke และผู้เขียน การต่อสู้เพื่อสมองของคุณ, ส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยบอก เอ็นพีอาร์, “ยิ่งเราผลักดันงานวิจัยนี้ไปข้างหน้า สมองของเราก็จะโปร่งใสมากขึ้นเท่านั้น”

    ฟาราฮานีแสดงความกังวลว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google และ Meta สามารถใช้ประโยชน์จาก BCI เพื่อเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเรียกร้องให้มีการป้องกัน เช่น รหัสผ่าน เพื่อปกป้องความคิดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นส่วนตัว

    “เราต้องตระหนักว่ายุคใหม่ของความโปร่งใสของสมองนี้เป็นขอบเขตใหม่สําหรับเราจริงๆ,” Farahany กล่าว

    ในขณะที่โลกจับจ้องไปที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้หวดที่หนักที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบางคนกําลังทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับ BCI Elon Musk ชายที่ร่ํารวยที่สุดในโลกได้ระดมทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สําหรับกิจการ Neuralink ของเขาซึ่งขณะนี้กําลังดําเนินการทดลองทางคลินิกร่วมกับสถาบันชั้นนําเช่น Barrow Neurological Institute, The Miami Project to Cure Paralysis และ Cleveland Clinic Abu Dhabi

    ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกคนกําลังเข้าสู่การต่อสู้

    Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI กําลังเปิดตัว Merge Labs เพื่อท้าทาย Neuralink ของ Musk Merge Labs ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมทุนของ OpenAI และมีมูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ โดยกําลังมองหาเงินทุน 250 ล้านดอลลาร์ ไฟแนนเชียลไทมส์● แม้ว่าอัลท์แมนจะทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับอเล็กซ์ บลาเนียในโครงการสแกนม่านตาโลก แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาจะไม่รับบทบาทปฏิบัติการ



    เทคโนโลยีขนาดใหญ่วางแผนที่จะใช้ชิปสมองเพื่ออ่านผู้ใช้’ ความคิด: การศึกษา 25 สิงหาคม 2568 Big Tech กําลังวางแผนที่จะปรับใช้ชิปสมองที่สามารถอ่านความคิดของผู้ใช้’ ตามการศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายระบบประสาทหรือที่เรียกว่าอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) ซึ่งอาจเปิดเผยความลับภายในสุดในขณะที่ปลอมตัวเป็นตัวช่วยสําหรับบุคคลที่เป็นอัมพาตในการ สื่อสาร ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เซลล์การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถอดรหัสสัญญาณสมองเพื่อสร้างคําพูดสังเคราะห์ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนและความพยายามเพียงเล็กน้อย ทําให้เกิดสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการบุกรุกความเป็นส่วนตัวในขณะที่บริษัทอย่าง Neuralink ผลักดันให้มีการนําไปใช้อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้เสนอเสนอผลประโยชน์สําหรับผู้พิการ นักวิจารณ์เตือนว่าการบูรณาการที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลประสาทเพื่อการเฝ้าระวัง การจัดการ หรือผลกําไร โดยเปลี่ยนการรับรู้ส่วนบุคคลให้เป็นทรัพยากรที่เป็นสินค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม ความทันสมัย.ข่าวสาร รายงาน: BCI ทํางานโดยใช้อาร์เรย์อิเล็กโทรดขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบกิจกรรมในเยื่อหุ้มสมองสั่งการของสมอง, ภูมิภาคที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด จนถึงขณะนี้ เทคโนโลยีนี้อาศัยสัญญาณจากบุคคลที่เป็นอัมพาตที่พยายามพูดอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ทีมงานสแตนฟอร์ดค้นพบว่าแม้แต่คําพูดในจินตนาการก็ยังสร้างสัญญาณที่คล้ายกันในเยื่อหุ้มสมองสั่งการ แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์, พวกเขาแปลสัญญาณจาง ๆ เหล่านั้นเป็นคําที่มีความแม่นยําสูงสุด 74% จากคําศัพท์ 125,000 คํา “เรากําลังบันทึกสัญญาณขณะที่พวกเขากําลังพยายามพูดและแปลสัญญาณประสาทเหล่านั้นเป็นคําที่พวกเขาพยายามจะพูด ” erin Kunz นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Neural Prosthetics Translational Laboratory ของ Stanford กล่าว แต่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้ทําให้เกิดธงแดงในหมู่นักวิจารณ์ที่เตือนถึงอนาคตดิสโทเปียที่ความคิดส่วนตัวของคุณอาจถูกเปิดเผย Nita Farahany ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและปรัชญาของมหาวิทยาลัย Duke และผู้เขียน การต่อสู้เพื่อสมองของคุณ, ส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยบอก เอ็นพีอาร์, “ยิ่งเราผลักดันงานวิจัยนี้ไปข้างหน้า สมองของเราก็จะโปร่งใสมากขึ้นเท่านั้น” ฟาราฮานีแสดงความกังวลว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google และ Meta สามารถใช้ประโยชน์จาก BCI เพื่อเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเรียกร้องให้มีการป้องกัน เช่น รหัสผ่าน เพื่อปกป้องความคิดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นส่วนตัว “เราต้องตระหนักว่ายุคใหม่ของความโปร่งใสของสมองนี้เป็นขอบเขตใหม่สําหรับเราจริงๆ,” Farahany กล่าว ในขณะที่โลกจับจ้องไปที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้หวดที่หนักที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบางคนกําลังทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับ BCI Elon Musk ชายที่ร่ํารวยที่สุดในโลกได้ระดมทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สําหรับกิจการ Neuralink ของเขาซึ่งขณะนี้กําลังดําเนินการทดลองทางคลินิกร่วมกับสถาบันชั้นนําเช่น Barrow Neurological Institute, The Miami Project to Cure Paralysis และ Cleveland Clinic Abu Dhabi ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกคนกําลังเข้าสู่การต่อสู้ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI กําลังเปิดตัว Merge Labs เพื่อท้าทาย Neuralink ของ Musk Merge Labs ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมทุนของ OpenAI และมีมูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ โดยกําลังมองหาเงินทุน 250 ล้านดอลลาร์ ไฟแนนเชียลไทมส์● แม้ว่าอัลท์แมนจะทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับอเล็กซ์ บลาเนียในโครงการสแกนม่านตาโลก แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาจะไม่รับบทบาทปฏิบัติการ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ AI แนะนำผิด ชีวิตเกือบพัง: กรณีพิษโบรไมด์จากคำแนะนำของ ChatGPT

    ชายวัย 60 ปีในนิวยอร์กต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากใช้ ChatGPT เพื่อหาทางลดการบริโภคเกลือ โดยเขาต้องการแทนที่ “โซเดียมคลอไรด์” (เกลือทั่วไป) ด้วยสารอื่นที่ “ดูเหมือนจะปลอดภัย” ซึ่ง ChatGPT แนะนำว่า “โซเดียมโบรไมด์” สามารถใช้แทนได้

    เขาจึงซื้อโซเดียมโบรไมด์ทางออนไลน์และบริโภคทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน ผลที่ตามมาคือเขาเริ่มมีอาการหลอน นอนไม่หลับ เห็นภาพและเสียงที่ไม่มีอยู่จริง และเชื่อว่ามีเพื่อนบ้านพยายามวางยาพิษเขา จนต้องถูกกักตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการทางจิต

    แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นพิษจากโบรไมด์ (bromism) ซึ่งเคยพบได้บ่อยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อโบรไมด์ถูกใช้ในยาระงับประสาทและยานอนหลับ แต่ถูกห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์บริโภคตั้งแต่ปี 1975 เพราะมีผลข้างเคียงรุนแรงต่อระบบประสาท

    แม้จะไม่มีบันทึกการสนทนากับ ChatGPT แต่ทีมแพทย์ทดลองถามคำถามคล้ายกันกับเวอร์ชัน 3.5 และพบว่า AI แนะนำโบรไมด์โดยไม่มีคำเตือนเรื่องพิษหรือถามเจตนาของผู้ใช้ ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบ AI ที่ขาดบริบทและวิจารณญาณทางการแพทย์

    เหตุการณ์และอาการของผู้ป่วย
    ผู้ป่วยอายุ 60 ปีต้องการลดการบริโภคเกลือ
    ใช้ ChatGPT เพื่อหาสารแทนโซเดียมคลอไรด์
    ได้รับคำแนะนำให้ใช้โซเดียมโบรไมด์แทน
    บริโภคทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนจนเกิดพิษ
    มีอาการหลอน นอนไม่หลับ หวาดระแวง และพฤติกรรมทางจิต

    การวินิจฉัยและการรักษา
    แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น bromism หรือพิษจากโบรไมด์
    ระดับโบรไมด์ในเลือดสูงถึง 1,700 mg/L (ปกติคือ 0.9–7.3 mg/L)
    รักษาด้วยการให้สารน้ำและยาต้านอาการทางจิต
    อาการดีขึ้นภายใน 3 สัปดาห์และกลับบ้านได้

    จุดอ่อนของ AI ในการให้คำแนะนำด้านสุขภาพ
    ChatGPT แนะนำโบรไมด์โดยไม่มีคำเตือนเรื่องพิษ
    ไม่ถามเจตนาของผู้ใช้หรือให้บริบททางการแพทย์
    ข้อมูลที่ให้มาจากแหล่งวิทยาศาสตร์แต่ขาดการคัดกรอง
    อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดโดยผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานทางการแพทย์

    ข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีระบบตรวจสอบความเสี่ยงและฐานข้อมูลทางการแพทย์ใน AI
    คำถามด้านสุขภาพควรมีการแจ้งเตือนหรือแนะนำให้ปรึกษาแพทย์
    AI ควรเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนของผู้เชี่ยวชาญ
    ควรมีการกำกับดูแลระดับโลกเกี่ยวกับการใช้ AI ในด้านสุขภาพ

    https://wccftech.com/a-60-year-old-man-who-turned-to-chatgpt-for-diet-advice-ended-up-poisoning-himself-and-landed-in-the-hospital/
    🧠 เมื่อ AI แนะนำผิด ชีวิตเกือบพัง: กรณีพิษโบรไมด์จากคำแนะนำของ ChatGPT ชายวัย 60 ปีในนิวยอร์กต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากใช้ ChatGPT เพื่อหาทางลดการบริโภคเกลือ โดยเขาต้องการแทนที่ “โซเดียมคลอไรด์” (เกลือทั่วไป) ด้วยสารอื่นที่ “ดูเหมือนจะปลอดภัย” ซึ่ง ChatGPT แนะนำว่า “โซเดียมโบรไมด์” สามารถใช้แทนได้ เขาจึงซื้อโซเดียมโบรไมด์ทางออนไลน์และบริโภคทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน ผลที่ตามมาคือเขาเริ่มมีอาการหลอน นอนไม่หลับ เห็นภาพและเสียงที่ไม่มีอยู่จริง และเชื่อว่ามีเพื่อนบ้านพยายามวางยาพิษเขา จนต้องถูกกักตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการทางจิต แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นพิษจากโบรไมด์ (bromism) ซึ่งเคยพบได้บ่อยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อโบรไมด์ถูกใช้ในยาระงับประสาทและยานอนหลับ แต่ถูกห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์บริโภคตั้งแต่ปี 1975 เพราะมีผลข้างเคียงรุนแรงต่อระบบประสาท แม้จะไม่มีบันทึกการสนทนากับ ChatGPT แต่ทีมแพทย์ทดลองถามคำถามคล้ายกันกับเวอร์ชัน 3.5 และพบว่า AI แนะนำโบรไมด์โดยไม่มีคำเตือนเรื่องพิษหรือถามเจตนาของผู้ใช้ ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบ AI ที่ขาดบริบทและวิจารณญาณทางการแพทย์ ✅ เหตุการณ์และอาการของผู้ป่วย ➡️ ผู้ป่วยอายุ 60 ปีต้องการลดการบริโภคเกลือ ➡️ ใช้ ChatGPT เพื่อหาสารแทนโซเดียมคลอไรด์ ➡️ ได้รับคำแนะนำให้ใช้โซเดียมโบรไมด์แทน ➡️ บริโภคทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนจนเกิดพิษ ➡️ มีอาการหลอน นอนไม่หลับ หวาดระแวง และพฤติกรรมทางจิต ✅ การวินิจฉัยและการรักษา ➡️ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น bromism หรือพิษจากโบรไมด์ ➡️ ระดับโบรไมด์ในเลือดสูงถึง 1,700 mg/L (ปกติคือ 0.9–7.3 mg/L) ➡️ รักษาด้วยการให้สารน้ำและยาต้านอาการทางจิต ➡️ อาการดีขึ้นภายใน 3 สัปดาห์และกลับบ้านได้ ✅ จุดอ่อนของ AI ในการให้คำแนะนำด้านสุขภาพ ➡️ ChatGPT แนะนำโบรไมด์โดยไม่มีคำเตือนเรื่องพิษ ➡️ ไม่ถามเจตนาของผู้ใช้หรือให้บริบททางการแพทย์ ➡️ ข้อมูลที่ให้มาจากแหล่งวิทยาศาสตร์แต่ขาดการคัดกรอง ➡️ อาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดโดยผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานทางการแพทย์ ✅ ข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีระบบตรวจสอบความเสี่ยงและฐานข้อมูลทางการแพทย์ใน AI ➡️ คำถามด้านสุขภาพควรมีการแจ้งเตือนหรือแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ ➡️ AI ควรเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนของผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ควรมีการกำกับดูแลระดับโลกเกี่ยวกับการใช้ AI ในด้านสุขภาพ https://wccftech.com/a-60-year-old-man-who-turned-to-chatgpt-for-diet-advice-ended-up-poisoning-himself-and-landed-in-the-hospital/
    WCCFTECH.COM
    A 60-Year-Old Man Who Turned To ChatGPT For Diet Advice Ended Up Poisoning Himself And Landed In The Hospital
    A 60-year-old man has developed bromism after following ChatGPT's dietary advice and replacing salt with sodium bromide
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 321 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลที่คุณต้องรู้ ก่อนฉีดวัคซีนใดๆ
    ความเสียหายทางระบบประสาทจากวัคซีนได้รับการบันทึกมานานกว่า 200 ปี
    https://expose-news.com/2025/07/02/neurological-damage-from-vaccines/
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นจริงหรือ?
    https://www.facebook.com/share/p/1BVHA1t4me/
    วัคซีนงูสวัด จำเป็นแค่ไหน?
    https://www.facebook.com/share/p/1CcF8xosgf/
    วัคซีนฝีดาษลิง จำเป็นแค่ไหน?
    https://www.facebook.com/share/p/1CSQHJ763n/
    ข้อมูลอันตรายของวัคซีนมะเร็งปากมดลูก HPV
    https://www.facebook.com/share/p/1FvDtVqa3N/
    วัคซีนป้องกันบาดทะยักอาจอันตรายถึงชีวิต
    https://expose-news.com/2025/06/02/tetanus-vaccines-can-cause-harm-even-death/
    วัคซีนป้องกันไวรัส RSV (ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง) ปลอดภัยจริงหรือ
    https://www.facebook.com/share/p/1HQToxr4DM/
    วัคซีนไอกรน ตรรกะวิบัติสร้างความกลัว
    https://www.tiktok.com/@adithepchawla01/video/7437361882270272775?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7359944913523705351
    https://t.me/goodthaidoctorclip/1587
    วัคซีนป้องกันมะเร็งตัวใหม่ชนิด มรณา mRNA ก็จะยังคงกระจายตัวไปตามอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อหัวใจ
    เทเลแกรม : Mel Gibson https://t.me/RYhGQIPoxmOTk0/402
    https://www.facebook.com/61569418676886/videos/1477875523214599
    วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีปลอดภัยและจำเป็นจริงหรือ?
    https://www.facebook.com/share/p/1BBG9G8ZaS/
    เส้นเลือด ตีบ แตก หลังฉีดวัคซีนโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/1FMv6fvTTx/
    กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลัง​จากมีการฉีดวัคซีน​โควิด
    https://www.facebook.com/share/p/1BC2kyWTx7/
    มะเร็งเกิดขึ้นหรือถูกกระตุ้นให้กลับมาหลังฉีดวัคซีนโควิด
    https://www.facebook.com/share/p/19coWy5tEV/
    ออทิสติคส์ ความจริงที่ถูกปิดกั้น
    https://www.facebook.com/share/p/1Cwnup2WRN/
    วัคซีนเล่มสีชมพู – ดร. เชอร์รี เทนเพนนี
    https://www.rookon.com/?p=1112
    หมอคานาดา ออกมาพูดเรื่อง การเสียชีวิตของทารกน้อยในครรภ์หลังจากที่แม่ได้รับวัkซีu https://www.bitchute.com/video/wSPhikTOBEZr/
    วัคซีนทำให้แท้ง ไปสะสมที่รังไข่และสมองของแม่ และส่งผลต่อทารกในครรภ์
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122114049056647289/?
    เด็กและคนท้องไม่ต้องฉีดโควิด โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ประกาศ 27พ.ค.2568
    https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121646353337011&set=a.407239901444330
    งานวิจัยหลากหลายชิ้น คอนเฟิร์มว่าเด็กที่ฉีดวัคซีน จะป่วยและเป็นโรคได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ฉีดเลยหลายเท่า
    https://www.facebook.com/share/p/16LRcRdzGv/
    เมื่อลูกสาวเจ้าพ่อวัคซีนไม่เคยรับวัคซีนทุกชนิด
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113737374647289/?
    เด็กที่ไม่ฉีดวัคซีนต่างๆสุขภาพดีกว่า
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/pfbid02JmQX1hm7PR6MN6YUTTHrJ5PcZoEH3KoVVqBwtdmY9m17HAxqH4yunYDFHTevfn9Ml/?
    https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113613522647289/?
    อย่าให้เด็กรับวัคซีนหากคุณไม่ได้ดูข้อมูลนี้
    https://www.facebook.com/share/p/1FHoBGKg3S/
    รวบรวมโดย
    ทีมแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ✍️ข้อมูลที่คุณต้องรู้ ก่อนฉีดวัคซีนใดๆ ✅ ความเสียหายทางระบบประสาทจากวัคซีนได้รับการบันทึกมานานกว่า 200 ปี https://expose-news.com/2025/07/02/neurological-damage-from-vaccines/ ✅ วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นจริงหรือ? https://www.facebook.com/share/p/1BVHA1t4me/ ✅ วัคซีนงูสวัด จำเป็นแค่ไหน? https://www.facebook.com/share/p/1CcF8xosgf/ ✅ วัคซีนฝีดาษลิง จำเป็นแค่ไหน? https://www.facebook.com/share/p/1CSQHJ763n/ ✅ ข้อมูลอันตรายของวัคซีนมะเร็งปากมดลูก HPV https://www.facebook.com/share/p/1FvDtVqa3N/ ✅ วัคซีนป้องกันบาดทะยักอาจอันตรายถึงชีวิต https://expose-news.com/2025/06/02/tetanus-vaccines-can-cause-harm-even-death/ ✅ วัคซีนป้องกันไวรัส RSV (ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง) ปลอดภัยจริงหรือ https://www.facebook.com/share/p/1HQToxr4DM/ ✅ วัคซีนไอกรน ตรรกะวิบัติสร้างความกลัว https://www.tiktok.com/@adithepchawla01/video/7437361882270272775?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7359944913523705351 https://t.me/goodthaidoctorclip/1587 ✅วัคซีนป้องกันมะเร็งตัวใหม่ชนิด มรณา mRNA ก็จะยังคงกระจายตัวไปตามอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อหัวใจ เทเลแกรม : Mel Gibson https://t.me/RYhGQIPoxmOTk0/402 https://www.facebook.com/61569418676886/videos/1477875523214599 ✅วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีปลอดภัยและจำเป็นจริงหรือ? https://www.facebook.com/share/p/1BBG9G8ZaS/ ✅ เส้นเลือด ตีบ แตก หลังฉีดวัคซีนโควิด https://www.facebook.com/share/p/1FMv6fvTTx/ ✅ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลัง​จากมีการฉีดวัคซีน​โควิด https://www.facebook.com/share/p/1BC2kyWTx7/ ✅ มะเร็งเกิดขึ้นหรือถูกกระตุ้นให้กลับมาหลังฉีดวัคซีนโควิด https://www.facebook.com/share/p/19coWy5tEV/ ✅ ออทิสติคส์ ความจริงที่ถูกปิดกั้น https://www.facebook.com/share/p/1Cwnup2WRN/ ✅ วัคซีนเล่มสีชมพู – ดร. เชอร์รี เทนเพนนี https://www.rookon.com/?p=1112 ✅ หมอคานาดา ออกมาพูดเรื่อง การเสียชีวิตของทารกน้อยในครรภ์หลังจากที่แม่ได้รับวัkซีu https://www.bitchute.com/video/wSPhikTOBEZr/ ✅ วัคซีนทำให้แท้ง ไปสะสมที่รังไข่และสมองของแม่ และส่งผลต่อทารกในครรภ์ https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122114049056647289/? ✅ เด็กและคนท้องไม่ต้องฉีดโควิด โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ประกาศ 27พ.ค.2568 https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121646353337011&set=a.407239901444330 ✅ งานวิจัยหลากหลายชิ้น คอนเฟิร์มว่าเด็กที่ฉีดวัคซีน จะป่วยและเป็นโรคได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ฉีดเลยหลายเท่า https://www.facebook.com/share/p/16LRcRdzGv/ ✅ เมื่อลูกสาวเจ้าพ่อวัคซีนไม่เคยรับวัคซีนทุกชนิด https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113737374647289/? ✅ เด็กที่ไม่ฉีดวัคซีนต่างๆสุขภาพดีกว่า https://www.facebook.com/61569418676886/posts/pfbid02JmQX1hm7PR6MN6YUTTHrJ5PcZoEH3KoVVqBwtdmY9m17HAxqH4yunYDFHTevfn9Ml/? https://www.facebook.com/61569418676886/posts/122113613522647289/? ✅ อย่าให้เด็กรับวัคซีนหากคุณไม่ได้ดูข้อมูลนี้ https://www.facebook.com/share/p/1FHoBGKg3S/ รวบรวมโดย ทีมแพทย์และจิตอาสาคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 527 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

    ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์

    พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่:
    - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง
    - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์
    - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน

    ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า:
    - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17%
    - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³

    นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น

    การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม
    วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก

    งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ
    ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย

    พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม
    PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน

    PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³
    พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง

    NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³
    มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล

    เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³
    มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม

    นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม
    รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม

    WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน
    โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา

    กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress
    ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท

    มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น
    ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์

    กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า
    แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย

    มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม

    ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป
    เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน

    การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต
    ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว

    การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง
    ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

    https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    🧠🌫️ เรื่องเล่าจากอากาศที่เราหายใจ: มลพิษกลางแจ้งกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ลองจินตนาการว่าอากาศที่เราหายใจทุกวัน ไม่ใช่แค่ทำให้ไอหรือหอบ แต่อาจค่อย ๆ ทำลายความทรงจำของเราไปทีละนิด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก และพบว่า “การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาว” มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ พวกเขาเจาะลึกถึง 51 งานวิจัย และพบว่า 3 ชนิดของมลพิษที่มีผลชัดเจน ได้แก่: - PM2.5: ฝุ่นขนาดเล็กมากที่สามารถเข้าสู่ปอดลึกและแม้แต่สมอง - NO₂: ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ไอเสียรถยนต์ - เขม่าควัน (Soot): อนุภาคจากการเผาไหม้ เช่น เตาไม้หรือโรงงาน ผลกระทบไม่ใช่แค่เรื่องปอดหรือหัวใจ แต่ยังรวมถึงสมอง โดยพบว่า: - ทุก 10 μg/m³ ของ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมขึ้น 17% - NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ - เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ นักวิจัยยังชี้ว่า การวางผังเมือง การขนส่ง และนโยบายสิ่งแวดล้อม ควรมีบทบาทร่วมในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่ใช่แค่ระบบสาธารณสุขเท่านั้น ✅ การสัมผัสมลพิษทางอากาศกลางแจ้งในระยะยาวเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม ➡️ วิเคราะห์จากข้อมูลของผู้คนกว่า 29 ล้านคนทั่วโลก ✅ งานวิจัยรวม 51 ชิ้น โดย 34 ชิ้นถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติ ➡️ ครอบคลุมจากอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ✅ พบความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่าง 3 มลพิษกับโรคสมองเสื่อม ➡️ PM2.5, NO₂ และเขม่าควัน ✅ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม 17% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ พบมากในไอเสียรถยนต์ โรงงาน และฝุ่นก่อสร้าง ✅ NO₂ เพิ่มความเสี่ยง 3% ต่อ 10 μg/m³ ➡️ มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซล ✅ เขม่าควันเพิ่มความเสี่ยง 13% ต่อ 1 μg/m³ ➡️ มาจากเตาไม้และการเผาไหม้ในบ้านหรืออุตสาหกรรม ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้แนวทางสหวิทยาการในการป้องกันโรคสมองเสื่อม ➡️ รวมถึงการออกแบบเมืองและนโยบายสิ่งแวดล้อม ✅ WHO ระบุว่า 99% ของประชากรโลกหายใจอากาศที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน ➡️ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และประเทศกำลังพัฒนา ✅ กลไกที่มลพิษอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมคือการอักเสบและ oxidative stress ➡️ ส่งผลต่อเซลล์สมองและการทำงานของระบบประสาท ✅ มลพิษสามารถเข้าสู่สมองผ่านเส้นเลือดหรือเส้นประสาทรับกลิ่น ➡️ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองที่คล้ายกับอัลไซเมอร์ ✅ กลุ่มประชากรชายขอบมักได้รับผลกระทบจากมลพิษมากกว่า ➡️ แต่กลับมีตัวแทนในงานวิจัยน้อย ‼️ มลพิษทางอากาศอาจเป็นภัยเงียบที่ทำลายสมองโดยไม่รู้ตัว ⛔ โดยเฉพาะในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและโรงงานอุตสาหกรรม ‼️ ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอาจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากมลพิษที่พบทั่วไป ⛔ เช่น PM2.5 ที่พบในระดับ 10 μg/m³ บนถนนในลอนดอน ‼️ การไม่ควบคุมมลพิษอาจเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขในอนาคต ⛔ ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว ‼️ การวิจัยยังขาดความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่าง ⛔ ทำให้ไม่สามารถประเมินผลกระทบในประชากรบางกลุ่มได้อย่างแม่นยำ https://www.cam.ac.uk/research/news/long-term-exposure-to-outdoor-air-pollution-linked-to-increased-risk-of-dementia
    WWW.CAM.AC.UK
    Long-term exposure to outdoor air pollution linked to increased risk of dementia
    An analysis of studies incorporating data from almost 30 million people has highlighted the role that air pollution – including that coming from car exhaust
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออก

    เดือนนี้ การเงินดี จะมีเงินทองเก่าเก็บที่หลงลืมไปแล้วจะกลับได้คืนมาให้ดีใจ ธุรกิจค้าขาย การทำงาน จะมี การขยับขยาย ต้องแข่งขันขัดแย้งก่อนจึงจะพบประสบความสำเร็จได้ ส่งผลให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ที่ลุ้นตำแหน่งมานานจะได้ปรับเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือน ส่วนนักวิชาการจะมีตำแหน่งหน้าที่ดี จะมีผู้มีบารมีช่วย เหลือให้ได้รับตำแหน่งใหม่ๆให้มีชื่อเสียง มีเรื่องมงคลงานชื่นชมสิริมงคลในบ้าน หรือลูกหลานที่ห่างหายไปนาน จะกลับมาเยี่ยมเยียน หากขอพรจากองค์พระโพธิสัตย์กวนอิมปางอุ้มเด็ก จะได้อภิชาตบุตรอยู่ในโอวาท แต่ชอบ เอาชนะ ก้าวร้าว อารมณ์ร้าย บุรุษจะปวดตาสตรีจะปวดที่ขา รู้สึกร้อนที่แขน ขา ควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกาย ที่ระบบประสาทและตับ

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออก เดือนนี้ การเงินดี จะมีเงินทองเก่าเก็บที่หลงลืมไปแล้วจะกลับได้คืนมาให้ดีใจ ธุรกิจค้าขาย การทำงาน จะมี การขยับขยาย ต้องแข่งขันขัดแย้งก่อนจึงจะพบประสบความสำเร็จได้ ส่งผลให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ที่ลุ้นตำแหน่งมานานจะได้ปรับเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือน ส่วนนักวิชาการจะมีตำแหน่งหน้าที่ดี จะมีผู้มีบารมีช่วย เหลือให้ได้รับตำแหน่งใหม่ๆให้มีชื่อเสียง มีเรื่องมงคลงานชื่นชมสิริมงคลในบ้าน หรือลูกหลานที่ห่างหายไปนาน จะกลับมาเยี่ยมเยียน หากขอพรจากองค์พระโพธิสัตย์กวนอิมปางอุ้มเด็ก จะได้อภิชาตบุตรอยู่ในโอวาท แต่ชอบ เอาชนะ ก้าวร้าว อารมณ์ร้าย บุรุษจะปวดตาสตรีจะปวดที่ขา รู้สึกร้อนที่แขน ขา ควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกาย ที่ระบบประสาทและตับ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ไอ้นี้เห็นกลับมาก็ไม่เคยไว้วางใจมันแล้ว,ไม่ให้ค่ามันอีกเลย,หลีภัยในเขมรด้วย ความลับในตัวมันตรึม,กูรูมากมายก็แฉมันอนาถแล้ว,ถูกเรียกกลับมาใข้งานย่อมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย,และตัวมันเองกระสั่นกินิยาท่าทางบ่งบอกแสดงพฤติกรรมออกมาชัดเจนในตัวแล้ว,แอบซ่อนไม่สนิทนั้นเอง ไม่ต่างจากยุคเผาเลยพี่น้อง เผาเลย นายมันบอกว่าจะรับผิดชอบเอง อยู่ในขบวนล้มสถาบันชัดเจนในยุคนั้นนั้นเอง หมาไม่สามารถเลิกกินขี้ได้,คนลงใจเจตนาใจในการทรยศชาติขายชาติแล้วมีจังหวะตอนไหนยอมสมยอมเข้าข้างศัตรูของประเทศไทย ปกป้องเขมรนั้นล่ะ ทั่งกลับดำให้เป็นขาวให้เนียนๆได้ด้วย,คือมีปัญหาทางระบบประสาทแล้วนั้นเอง,มุ่งหน้าคาดหมายให้บรรลุถึงความสำเร็จที่ค้างคาใจมันมานานให้ได้ที่โสหนีตายทำกูเกือบตายต้องกลับมาแก้แค้นประเทศไทยให้ได้เพราะมีพวกมันตรึมว่าอยู่ในวงการที่รองรับการแสดงของมันอยู่,ฝูงหมามันจะกล้าและปากเห่าหอนดีเมื่ออยู่ร่วมกันเป็นฝูง มีฝูงมีคณะมันจึงกล้าแสดงบทบาท,แต่เมื่อไร้ฝูงอยู่ตัวเดียวมันจะกล้าอะไรแบบนั้น,
    ..พวกนี้อย่าอนุญาตให้พวกมันออกสื่อเถอะ ทหารไทยเราสั่งการผ่านสื่อทั่วไทยอย่าให้คนประเภทนี้ออกสื่อบิดเบือนชี้นำไปทางลเวทรามแบบนี้ให้ตกเป็นบ๋อยศัตรูทำเหมือนประเทศไทยเป็นคนลงมือเปิดก่อนซึ่งค่าจริงชัดเจน,ยังหน้ามึนหน้าด้านจะบิดเบือนช่วยมันเขมรจนวินาทีสุดท้าย,มันขายชาติไปแล้ว ใจเขมรชัดเจน อยู่ในเขมรนานหลายปี หนีคดีในเขมรหลายปี คนพวกนีักลับนั่งหน้าลอยตาออกสื่อได้เนาะ,มีอำนาจตำแหน่งในราชการการเมืองอีก,แสดงว่าต้องแสดงแอ็คชั่นอยู่ในกลุ่มล้มเจ้าล้มสถาบันจึงจะค้ำประกันว่าจะได้เป็นเจ้าใหญ่นายโตเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งได้ดีแบบยึดอำนาจเสร็จก็มีตำแหน่งแทนป๋าเลยในเดอะทีมป๋าโน้น,บ้านเมืองไทยเราจงพากันมุ่งทำชั่วเลวเถิดจะได้ดีแน่นอนประมาณนั้น,ทหารไทยเราต้องกวาดล้างกำจัดคนทรยศชาติขายชาติกันจริงจังจริงๆ,มิให้มาเสนอหน้าลอยหน้าลอยตาได้อีกสร้างค่านิยมที่ผิด เยาวชนเด็กไทยเราดู ไอ้ห่านี้ล้มสถาบันอยู่ในกลุ่มเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองสมัยเสื้อแดงยังได้ดิบได้ดีไม่ถูกลงโทษห่าอะไรเลยพ้นเวลาคดีความก็กลับมานั่งในตำแหน่งใหญ่โตในอำนาจบ้านเมืองนี้ได้,มันบัดสบมั้ยล่ะ.สงครามภายในเราต้องกลับมาระเบิดมันทิ้งทุกๆตัวด้วย.พวกนี้ยิ่งอยู่ปะปนในฐานอำนาจฝ่ายรัฐบาลยิ่งสามารถที่จะพร้อมสร้างความบรรลัยและหายนะต่อประชาชนต่อประเทศชาติไทยได้ตลอดเวลา,วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดอย่าให้มีชีวิตกลับมาทวนกระแสชั่วต่อบ้านต่อเมืองได้อีก,ขาดคนประเทศนี้ไป ประเทศไทยพังพินาศก็ให้มันรู้ไป.

    https://youtube.com/watch?v=GkUhaQJBSQg&si=TeRHc9g3-zUUjFZJ
    ..ไอ้นี้เห็นกลับมาก็ไม่เคยไว้วางใจมันแล้ว,ไม่ให้ค่ามันอีกเลย,หลีภัยในเขมรด้วย ความลับในตัวมันตรึม,กูรูมากมายก็แฉมันอนาถแล้ว,ถูกเรียกกลับมาใข้งานย่อมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย,และตัวมันเองกระสั่นกินิยาท่าทางบ่งบอกแสดงพฤติกรรมออกมาชัดเจนในตัวแล้ว,แอบซ่อนไม่สนิทนั้นเอง ไม่ต่างจากยุคเผาเลยพี่น้อง เผาเลย นายมันบอกว่าจะรับผิดชอบเอง อยู่ในขบวนล้มสถาบันชัดเจนในยุคนั้นนั้นเอง หมาไม่สามารถเลิกกินขี้ได้,คนลงใจเจตนาใจในการทรยศชาติขายชาติแล้วมีจังหวะตอนไหนยอมสมยอมเข้าข้างศัตรูของประเทศไทย ปกป้องเขมรนั้นล่ะ ทั่งกลับดำให้เป็นขาวให้เนียนๆได้ด้วย,คือมีปัญหาทางระบบประสาทแล้วนั้นเอง,มุ่งหน้าคาดหมายให้บรรลุถึงความสำเร็จที่ค้างคาใจมันมานานให้ได้ที่โสหนีตายทำกูเกือบตายต้องกลับมาแก้แค้นประเทศไทยให้ได้เพราะมีพวกมันตรึมว่าอยู่ในวงการที่รองรับการแสดงของมันอยู่,ฝูงหมามันจะกล้าและปากเห่าหอนดีเมื่ออยู่ร่วมกันเป็นฝูง มีฝูงมีคณะมันจึงกล้าแสดงบทบาท,แต่เมื่อไร้ฝูงอยู่ตัวเดียวมันจะกล้าอะไรแบบนั้น, ..พวกนี้อย่าอนุญาตให้พวกมันออกสื่อเถอะ ทหารไทยเราสั่งการผ่านสื่อทั่วไทยอย่าให้คนประเภทนี้ออกสื่อบิดเบือนชี้นำไปทางลเวทรามแบบนี้ให้ตกเป็นบ๋อยศัตรูทำเหมือนประเทศไทยเป็นคนลงมือเปิดก่อนซึ่งค่าจริงชัดเจน,ยังหน้ามึนหน้าด้านจะบิดเบือนช่วยมันเขมรจนวินาทีสุดท้าย,มันขายชาติไปแล้ว ใจเขมรชัดเจน อยู่ในเขมรนานหลายปี หนีคดีในเขมรหลายปี คนพวกนีักลับนั่งหน้าลอยตาออกสื่อได้เนาะ,มีอำนาจตำแหน่งในราชการการเมืองอีก,แสดงว่าต้องแสดงแอ็คชั่นอยู่ในกลุ่มล้มเจ้าล้มสถาบันจึงจะค้ำประกันว่าจะได้เป็นเจ้าใหญ่นายโตเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งได้ดีแบบยึดอำนาจเสร็จก็มีตำแหน่งแทนป๋าเลยในเดอะทีมป๋าโน้น,บ้านเมืองไทยเราจงพากันมุ่งทำชั่วเลวเถิดจะได้ดีแน่นอนประมาณนั้น,ทหารไทยเราต้องกวาดล้างกำจัดคนทรยศชาติขายชาติกันจริงจังจริงๆ,มิให้มาเสนอหน้าลอยหน้าลอยตาได้อีกสร้างค่านิยมที่ผิด เยาวชนเด็กไทยเราดู ไอ้ห่านี้ล้มสถาบันอยู่ในกลุ่มเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองสมัยเสื้อแดงยังได้ดิบได้ดีไม่ถูกลงโทษห่าอะไรเลยพ้นเวลาคดีความก็กลับมานั่งในตำแหน่งใหญ่โตในอำนาจบ้านเมืองนี้ได้,มันบัดสบมั้ยล่ะ.สงครามภายในเราต้องกลับมาระเบิดมันทิ้งทุกๆตัวด้วย.พวกนี้ยิ่งอยู่ปะปนในฐานอำนาจฝ่ายรัฐบาลยิ่งสามารถที่จะพร้อมสร้างความบรรลัยและหายนะต่อประชาชนต่อประเทศชาติไทยได้ตลอดเวลา,วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดอย่าให้มีชีวิตกลับมาทวนกระแสชั่วต่อบ้านต่อเมืองได้อีก,ขาดคนประเทศนี้ไป ประเทศไทยพังพินาศก็ให้มันรู้ไป. https://youtube.com/watch?v=GkUhaQJBSQg&si=TeRHc9g3-zUUjFZJ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..อ่านเพลินๆ

    มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นโครงการของรัฐบาลลึก

    อ่านทุกคำ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือการประกาศสงครามกับชีววิทยาของคุณ ชนชั้นสูงสร้างมะเร็งขึ้นมา และคุณก็จมอยู่กับพิษของพวกเขามาตลอดชีวิต

    เซราไมด์ เป็นคำที่พวกเขาไม่เคยอยากให้คุณได้ยิน ไม่ใช่แค่โมเลกุล แต่เป็นระเบิดเวลาทางชีวเคมี คุณไม่ได้เกิดมาพัง คุณถูกสร้างมาให้ล้มเหลว เซราไมด์ถูกบรรจุอยู่ในน้ำมันเมล็ดพืช จีเอ็มโอ อาหารแปรรูป น้ำประปา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แม้แต่นมผงสำหรับเด็ก สารทำลายไขมันเหล่านี้จะทำลายตับของคุณ รัดคอตับอ่อนของคุณ ทำลายการเผาผลาญของคุณ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณพังทลาย ร่างกายของคุณกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นพิษ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเนื้องอก

    นี่ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นการทำลายล้างโดยเจตนา
    การฉ้อโกงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของฟาวซีไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอะไร แต่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมให้ร่างกายของคุณให้ป่วย สถาบันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้พยายามหาทางรักษา พวกเขาให้ทุนสนับสนุนระบบนิเวศสงครามชีวภาพที่บริษัทยาขนาดใหญ่ฉีดโรค ขายเคมีบำบัด แสวงหากำไรจากความเจ็บปวด และทำซ้ำ เซราไมด์คือสวิตช์หยุดการทำงาน พวกมันกักเก็บความตายไว้ในเซลล์ไขมันของคุณ ส่งผลให้เลือดของคุณสูบฉีดพิษจากการเผาผลาญ

    มะเร็งไม่ใช่ "โชคร้าย" แต่คือแผน

    กลุ่มคนชั้นสูงเลี้ยงดูมัน ระดมทุน และกินมัน เคมีบำบัดไม่รักษาให้หาย มันทำให้ทรมานนานขึ้นในขณะที่เรียกเก็บเงินคุณเพื่อให้ตายช้าลง การฉายรังสี? มันคือการทำลายร่างกายของคุณอย่างมีการควบคุม แพทย์ทุกคนที่บอกคุณว่า "กินน้อยลง เคลื่อนไหวมากขึ้น" ล้วนเป็นคนโกหกหรือเป็นเบี้ย

    แต่ตอนนี้ม่านกำลังจะเปิดขึ้น

    พวกเขากลัวการดีท็อกซ์ พวกเขากลัวทุกสิ่งที่ขับเซราไมด์ออกจากระบบของคุณ เพราะนั่นคือรากฐานของคุกมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขา และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้น

    Ikaria Lean Belly Juice ไม่ใช่ "สุขภาพ" แต่เป็นสงครามเคมีแบบย้อนกลับ ทุกช้อนคือการโจมตีกลุ่มการแพทย์ของ Deep State

    Fucoxanthin ทำลายคลัสเตอร์เซราไมด์

    โสมสร้างภูมิคุ้มกันใหม่เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์ที่ก่อกวน

    Bioperine ขยายการโจมตี

    Resveratrol ทำให้เนื้องอกอดอาหาร

    EGCG ซ่อมแซม DNA

    Milk Thistle สร้างตับของคุณขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในการล้างพิษของร่างกาย

    นี่คือรหัสทำลายล้างที่จะทำลายระบบของพวกเขาจากภายใน
    ขับพิษ เผาอาณาจักรของพวกเขา

    คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อป่วย
    คุณถูกทำให้ป่วย

    ตอนนี้ ทำให้พวกเขาต้องชดใช้

    สงครามทั้งหมดเริ่มขึ้นภายในเซลล์ของคุณ นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านสุขภาพ
    นี่คือการกระทำแห่งการกบฏ

    1_Ikaria Lean Belly Juice คือ อาหารเสริมประเภทผงที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนัก โดยอ้างว่าช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และเพิ่มพลังงาน โดยอ้างอิงจากส่วนผสมจากธรรมชาติ

    2_ฟูโคแซนธิน (Fucoxanthin) คือ สารสีส้มในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่พบได้ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ทำหน้าที่เป็นสารเก็บเกี่ยวแสงและป้องกันแสงในสาหร่าย นอกจากนี้ ฟูโคแซนธินยังมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านโรคอ้วน

    3_ไบโอเพอรีน (BioPerine) คือ สารสกัดจากพริกไทยดำที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไพเพอรีน (Piperine) ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย โดยทั่วไปมีปริมาณไพเพอรีนอย่างน้อย 95%. ไบโอเพอรีนถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย
    สรุป: ไบโอเพอรีนคือสารสกัดจากพริกไทยดำที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย

    4_เรสเวอราทรอล (Resveratrol) คือ สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่พบได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในองุ่นแดง, เบอร์รี่, ถั่วลิสง, และไวน์แดง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ, ชะลอความเสื่อมของเซลล์, และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง

    5_Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นโพลีฟีนอลที่พบมากที่สุดในชาเขียว EGCG มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพังผืด ต้านการปรับโครงสร้าง และปกป้องเนื้อเยื่อหลากหลายชนิด โดยอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และการเผาผลาญอาหาร

    6_Silybum marianum เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหนาม มีชื่อเรียกทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ milk thistle, Blessed milkthistle, Marian thistle, Mary thistle, Saint Mary's thistle, Mediterranean milk thistle, variegated thistle และ Scotch thistle พืชชนิดนี้เป็นพืชประจำปีหรือล้มลุกในวงศ์ Asteraceae (คล้ายดอกบานไม่รู้โรยกับไมยราพ ต้องศึกษาสรรพคุณ)
    ..อ่านเพลินๆ มะเร็งไม่ใช่โรค แต่เป็นโครงการของรัฐบาลลึก อ่านทุกคำ นี่ไม่ใช่ทฤษฎี นี่คือการประกาศสงครามกับชีววิทยาของคุณ ชนชั้นสูงสร้างมะเร็งขึ้นมา และคุณก็จมอยู่กับพิษของพวกเขามาตลอดชีวิต เซราไมด์ เป็นคำที่พวกเขาไม่เคยอยากให้คุณได้ยิน ไม่ใช่แค่โมเลกุล แต่เป็นระเบิดเวลาทางชีวเคมี คุณไม่ได้เกิดมาพัง คุณถูกสร้างมาให้ล้มเหลว เซราไมด์ถูกบรรจุอยู่ในน้ำมันเมล็ดพืช จีเอ็มโอ อาหารแปรรูป น้ำประปา ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แม้แต่นมผงสำหรับเด็ก สารทำลายไขมันเหล่านี้จะทำลายตับของคุณ รัดคอตับอ่อนของคุณ ทำลายการเผาผลาญของคุณ และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณพังทลาย ร่างกายของคุณกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เป็นพิษ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเนื้องอก นี่ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็นการทำลายล้างโดยเจตนา การฉ้อโกงมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ของฟาวซีไม่ได้เกี่ยวกับการรักษาอะไร แต่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมให้ร่างกายของคุณให้ป่วย สถาบันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้พยายามหาทางรักษา พวกเขาให้ทุนสนับสนุนระบบนิเวศสงครามชีวภาพที่บริษัทยาขนาดใหญ่ฉีดโรค ขายเคมีบำบัด แสวงหากำไรจากความเจ็บปวด และทำซ้ำ เซราไมด์คือสวิตช์หยุดการทำงาน พวกมันกักเก็บความตายไว้ในเซลล์ไขมันของคุณ ส่งผลให้เลือดของคุณสูบฉีดพิษจากการเผาผลาญ มะเร็งไม่ใช่ "โชคร้าย" แต่คือแผน กลุ่มคนชั้นสูงเลี้ยงดูมัน ระดมทุน และกินมัน เคมีบำบัดไม่รักษาให้หาย มันทำให้ทรมานนานขึ้นในขณะที่เรียกเก็บเงินคุณเพื่อให้ตายช้าลง การฉายรังสี? มันคือการทำลายร่างกายของคุณอย่างมีการควบคุม แพทย์ทุกคนที่บอกคุณว่า "กินน้อยลง เคลื่อนไหวมากขึ้น" ล้วนเป็นคนโกหกหรือเป็นเบี้ย แต่ตอนนี้ม่านกำลังจะเปิดขึ้น พวกเขากลัวการดีท็อกซ์ พวกเขากลัวทุกสิ่งที่ขับเซราไมด์ออกจากระบบของคุณ เพราะนั่นคือรากฐานของคุกมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ของพวกเขา และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้น Ikaria Lean Belly Juice ไม่ใช่ "สุขภาพ" แต่เป็นสงครามเคมีแบบย้อนกลับ ทุกช้อนคือการโจมตีกลุ่มการแพทย์ของ Deep State Fucoxanthin ทำลายคลัสเตอร์เซราไมด์ โสมสร้างภูมิคุ้มกันใหม่เพื่อค้นหาและทำลายเซลล์ที่ก่อกวน Bioperine ขยายการโจมตี Resveratrol ทำให้เนื้องอกอดอาหาร EGCG ซ่อมแซม DNA Milk Thistle สร้างตับของคุณขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ในการล้างพิษของร่างกาย นี่คือรหัสทำลายล้างที่จะทำลายระบบของพวกเขาจากภายใน ขับพิษ เผาอาณาจักรของพวกเขา คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อป่วย คุณถูกทำให้ป่วย ตอนนี้ ทำให้พวกเขาต้องชดใช้ สงครามทั้งหมดเริ่มขึ้นภายในเซลล์ของคุณ นี่ไม่ใช่คำแนะนำด้านสุขภาพ นี่คือการกระทำแห่งการกบฏ 1_Ikaria Lean Belly Juice คือ อาหารเสริมประเภทผงที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนัก โดยอ้างว่าช่วยเผาผลาญไขมัน ลดความอยากอาหาร และเพิ่มพลังงาน โดยอ้างอิงจากส่วนผสมจากธรรมชาติ 2_ฟูโคแซนธิน (Fucoxanthin) คือ สารสีส้มในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่พบได้ในสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ทำหน้าที่เป็นสารเก็บเกี่ยวแสงและป้องกันแสงในสาหร่าย นอกจากนี้ ฟูโคแซนธินยังมีคุณสมบัติทางชีวภาพมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านโรคอ้วน 3_ไบโอเพอรีน (BioPerine) คือ สารสกัดจากพริกไทยดำที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไพเพอรีน (Piperine) ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย โดยทั่วไปมีปริมาณไพเพอรีนอย่างน้อย 95%. ไบโอเพอรีนถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย สรุป: ไบโอเพอรีนคือสารสกัดจากพริกไทยดำที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและส่วนผสมอื่นๆ ในร่างกาย 4_เรสเวอราทรอล (Resveratrol) คือ สารประกอบโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่พบได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะในองุ่นแดง, เบอร์รี่, ถั่วลิสง, และไวน์แดง มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ, ชะลอความเสื่อมของเซลล์, และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง 5_Epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นโพลีฟีนอลที่พบมากที่สุดในชาเขียว EGCG มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านพังผืด ต้านการปรับโครงสร้าง และปกป้องเนื้อเยื่อหลากหลายชนิด โดยอาจมีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ และการเผาผลาญอาหาร 6_Silybum marianum เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีหนาม มีชื่อเรียกทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ milk thistle, Blessed milkthistle, Marian thistle, Mary thistle, Saint Mary's thistle, Mediterranean milk thistle, variegated thistle และ Scotch thistle พืชชนิดนี้เป็นพืชประจำปีหรือล้มลุกในวงศ์ Asteraceae (คล้ายดอกบานไม่รู้โรยกับไมยราพ ต้องศึกษาสรรพคุณ)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 712 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เตียงmedbeds น่าจะเปิดตัวในไทยเร็วๆนี้เช่นกันและจะดีมากต่อคนรับวัคซีนไปแล้ว,นายกฯคนใหม่ต้องจริงใจประกาศฟื้นฟูสุขภาพการรักษาคนได้รับการบาดเจ็บจากอาวุธชีวภาพจากพิษวัคซีนโควิดได้แล้ว,เปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้นจริงๆ.เช่นกัน,จริงๆให้คณะรวมพลังแผ่นดินไทย ตั้งเดอะทีมหลักทีมรองทีมย่อยในนามภาคมหามวลประชาชนขึ้นวิจัยทดลองงานบริหารจัดการปกครองประเทศสัก10-20ปีในนามภาคประชาชนแทนภาคนักการเมืองดูก็ดีก็ได้,เพราะสาระพัดสีเสื้อไทยได้รวมใจเป็นหนึ่งเพื่อประชาชนเพื่อชาติแล้วมากมายหลากหลายคณะที่เจอต้นตอปัญหาจริงทุจริตเห็นด้วยตาจริงในหมู่องค์กรหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ชั่วเลวสมคบคิดกันจึงได้ออกมาประท้วงลงถนนในแต่ละคณะจนมารวมเป็นหมู่คณะมหาภาคใหญ่มากมายในนามคณะรวมพลังแผ่นดินไทยเรา,สมควรให้อาสนธิขึ้นเป็นนายกฯก็ได้หากมิใช่คนของdeep stateอะไรก็ว่า,ลูกทักษิณ2คนก็เป็นนายกแล้วกระทั่งตัวทักษิณเอง ,อาสนธิและทีมคณะรักแผ่นดินไทยจะขึ้นบริหารชาติจะเป็นอะไร,จัดชุดทีมรุกรบฉุกเฉินแต่ละทัพหลักทัพย่อยสบายประสานกันลงหน้างานจริงแก่ปัญหาประชาชนจริงทั่วประเทศเพราะยุคใหม่ที่จะมาถึงหนักหนาสาหัสมากจึงจะผ่านพ้นไปได้เพราะความสามัคคีทุกๆฝ่ายที่มีใจรักชาติไทยรักแผ่นดินไทยเราเท่านั้นถึจะตีผ่าออกไปได้,ประชาชนเราพร้อม ทหารตำรวจผู้รักชาติเราพร้อมอยู่แล้ว ,ถีบรัฐบาลสมยอมออกไปแล้วที่ไม่พร้อมห่าเหวอะไรเลย,เรา..ต้องเร่งรีบจัดขบวนทัพใหม่ทันทีจริง.,และสุขภาพคนไทยต้องได้รับการฟื้นฟูรักษาอย่างเร่งด่วนให้ถูกทางควบคู่ขนาดเทคโนโลยีล้ำๆกับสมุนไพรไทยเราด้วยจะฟื้นฟูได้รวดเร็วในการรักษาแน่นอน.
    ..
    ..เปิดตัว IONIC Care ROBERT F. KENNEDY JR: เราจะทำให้ประเทศอเมริกามีสุขภาพดีอีกครั้ง - และเริ่มต้นทันที!

    อเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพ โรคเรื้อรังกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีความดันโลหิตสูง เบาหวาน การอักเสบ โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน โรคหัวใจ อาการปวดข้อ และความเหนื่อยล้ากำลังส่งผลกระทบ และยาแผนปัจจุบันไม่เพียงพอ เราต้องการโซลูชันที่ทำงานร่วมกับร่างกายเพื่อการรักษาที่แท้จริง

    นั่นคือเหตุผลที่เราเปิดตัว IONIC Care เพราะชาวอเมริกันสมควรได้รับโซลูชันที่แท้จริง เรากำลังนำการบำบัดด้วยความถี่ขั้นสูงและพลังงานการแพทย์มาสู่ประชาชนโดยตรง โดยใช้พลังของการบำบัดด้วยเทราเฮิรตซ์และการบำบัดด้วยควอนตัมเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว สร้างใหม่ และเจริญเติบโต

    เรากำลังรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 50% เพื่อให้เข้าถึงได้สำหรับผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    เรายืนหยัดเคียงข้างผู้คนนับล้านที่กลับมาควบคุมและเลือกการรักษาที่แท้จริง ได้เวลาแล้วที่จะกำหนดนิยามการดูแลสุขภาพใหม่และให้การรักษากลับไปอยู่ในมือของประชาชน!

    ..เตียงmedbeds น่าจะเปิดตัวในไทยเร็วๆนี้เช่นกันและจะดีมากต่อคนรับวัคซีนไปแล้ว,นายกฯคนใหม่ต้องจริงใจประกาศฟื้นฟูสุขภาพการรักษาคนได้รับการบาดเจ็บจากอาวุธชีวภาพจากพิษวัคซีนโควิดได้แล้ว,เปลี่ยนรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้นจริงๆ.เช่นกัน,จริงๆให้คณะรวมพลังแผ่นดินไทย ตั้งเดอะทีมหลักทีมรองทีมย่อยในนามภาคมหามวลประชาชนขึ้นวิจัยทดลองงานบริหารจัดการปกครองประเทศสัก10-20ปีในนามภาคประชาชนแทนภาคนักการเมืองดูก็ดีก็ได้,เพราะสาระพัดสีเสื้อไทยได้รวมใจเป็นหนึ่งเพื่อประชาชนเพื่อชาติแล้วมากมายหลากหลายคณะที่เจอต้นตอปัญหาจริงทุจริตเห็นด้วยตาจริงในหมู่องค์กรหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ชั่วเลวสมคบคิดกันจึงได้ออกมาประท้วงลงถนนในแต่ละคณะจนมารวมเป็นหมู่คณะมหาภาคใหญ่มากมายในนามคณะรวมพลังแผ่นดินไทยเรา,สมควรให้อาสนธิขึ้นเป็นนายกฯก็ได้หากมิใช่คนของdeep stateอะไรก็ว่า,ลูกทักษิณ2คนก็เป็นนายกแล้วกระทั่งตัวทักษิณเอง ,อาสนธิและทีมคณะรักแผ่นดินไทยจะขึ้นบริหารชาติจะเป็นอะไร,จัดชุดทีมรุกรบฉุกเฉินแต่ละทัพหลักทัพย่อยสบายประสานกันลงหน้างานจริงแก่ปัญหาประชาชนจริงทั่วประเทศเพราะยุคใหม่ที่จะมาถึงหนักหนาสาหัสมากจึงจะผ่านพ้นไปได้เพราะความสามัคคีทุกๆฝ่ายที่มีใจรักชาติไทยรักแผ่นดินไทยเราเท่านั้นถึจะตีผ่าออกไปได้,ประชาชนเราพร้อม ทหารตำรวจผู้รักชาติเราพร้อมอยู่แล้ว ,ถีบรัฐบาลสมยอมออกไปแล้วที่ไม่พร้อมห่าเหวอะไรเลย,เรา..ต้องเร่งรีบจัดขบวนทัพใหม่ทันทีจริง.,และสุขภาพคนไทยต้องได้รับการฟื้นฟูรักษาอย่างเร่งด่วนให้ถูกทางควบคู่ขนาดเทคโนโลยีล้ำๆกับสมุนไพรไทยเราด้วยจะฟื้นฟูได้รวดเร็วในการรักษาแน่นอน. .. ..เปิดตัว IONIC Care 💥ROBERT F. KENNEDY JR: เราจะทำให้ประเทศอเมริกามีสุขภาพดีอีกครั้ง - และเริ่มต้นทันที! อเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพ โรคเรื้อรังกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีความดันโลหิตสูง เบาหวาน การอักเสบ โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน โรคหัวใจ อาการปวดข้อ และความเหนื่อยล้ากำลังส่งผลกระทบ และยาแผนปัจจุบันไม่เพียงพอ เราต้องการโซลูชันที่ทำงานร่วมกับร่างกายเพื่อการรักษาที่แท้จริง นั่นคือเหตุผลที่เราเปิดตัว IONIC Care เพราะชาวอเมริกันสมควรได้รับโซลูชันที่แท้จริง เรากำลังนำการบำบัดด้วยความถี่ขั้นสูงและพลังงานการแพทย์มาสู่ประชาชนโดยตรง โดยใช้พลังของการบำบัดด้วยเทราเฮิรตซ์และการบำบัดด้วยควอนตัมเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว สร้างใหม่ และเจริญเติบโต เรากำลังรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 50% เพื่อให้เข้าถึงได้สำหรับผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรายืนหยัดเคียงข้างผู้คนนับล้านที่กลับมาควบคุมและเลือกการรักษาที่แท้จริง ได้เวลาแล้วที่จะกำหนดนิยามการดูแลสุขภาพใหม่และให้การรักษากลับไปอยู่ในมือของประชาชน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 681 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ..สมุนไพรดีๆปลูกสกัดทำยาให้โรงพยาบาลรัฐบาลไทยเราฟรีๆได้หมด,โดยรัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลภาคประชาชนจริงๆ จะมีวิธีการมากมายสร้างสรรค์สิ่งดีๆต่อประชาชน กระทั่งสร้่งรายได้ช่วยประชาชนอย่างยั่งยืนได้ แต่อดีตและถึงปัจจุบันเหี้ยหมด,เป็นรัฐบาลเพื่อกอบโกยใส่ตัว จากทุจริตโกงกินธรรมดาสู่พัฒนาการโกงกินเชิงนโยบาย แล้วก็พัฒนาการเปิดเผยถึงขนาดแลกอธิปไตยชาติในนามรัฐบาลตนเพื่อผลประโยชน์เดอะแก๊งตนพ้องพวกตนเป็นคณะและโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลตนทั้งหมดผ่านอำนาจรัฐบาลที่ตนถือครอง,จึงเป็นอันมากที่เป็นต้นเหตุอัตราคนไทยถือบัตรคนจนพุ่งสูงขึ้น.,ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเหลือเขาอย่างแท้จริงอะไรมากนัก,มอบสถานะที่บัดสบแก่ประชาชนคนไทยภายใต้การปกครองที่กากๆไม่สร้างสรรค์อะไร มุ่งแต่จะเอาเปรียบประชาชนคนในประเทศตนเอง แต่ยกสมบัติชาติของมีค่ามากเงินตราแก่ต่างชาตต่างประเทศให้เขาร่ำรวยฝ่ายเดียวเช่นบ่อน้ำมันบ่อทองคำเราเป็นต้น ตลอดกัญชาเสรีน้ำมันเขียวยาดีครอบจักรวาลก็ปิดกั้นองค์รู้ประชาชนไม่ตีแผ่ความดีประโยชน์จริงในการใช้ให้ถูกวิธี,สร้างตังรายได้ช่วยเหลือประชาชนก็ได้แต่ก็ทำมาหาแดกเอง.

    สรรพคุณของน้ำมันกัญชา สูตรท่าน อ.หมอเดชา ศิริภัทร

    สามารถหยุดการแพร่กระจายของมะเร็งไม่ให้ลุกลามและกำจัดเซลล์มะเร็งได้
    สามารถรักษาต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม
    สามารถรักษาและป้องกันโรคอัลไซเมอร์
    สามารถช่วยลดอาการอักเสบต่างๆของร่างกาย
    สามารถควบคุมและรักษาโรคลมชัก
    สามารถลดความเจ็บปวดจากโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม
    สามารถรักษาโรคโครห์น ความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ได้
    สามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม
    สามารถลดความวิตกกังวล คลายเครียดได้
    สามารถช่วยในการยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งและปรับปรุงสุขภาพปอดได้
    สามารถลดความเจ็บปวดและอาการแพ้จากเคมีบำบัดได้
    สามารถปรับปรุงอาการของโรคลูปัส หรือโรค SLE หรือโรคพุ่มพวงได้
    สามารถช่วยป้องกันสมองจากความเสียหายของโรคหลอดเลือดสมองได้
    สามารถควบคุมกล้ามเนื้อกระตุกได้
    สามารถรักษาโรคลำไส้อักเสบ
    สามารถช่วยขจัดฝันร้ายและนอนไม่หลับ
    สามารถป้องกันสมองจากการถูกกระทบกระแทกและการบาดเจ็บ
    สามารถช่วยให้เจริญอาหารกินข้าวได้
    สามารถช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม
    สามารถแก้โรคบิดแก้ปวดท้องและโรคท้องร่วง
    สามารถช่วยแก้อาการประจำเดือนไม่ปกติของสตรี
    สามารถแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อนและสะเก็ดเงิน
    สามารถแก้ปวดและรักษาไมเกรน
    สามารถช่วยรักษาการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง
    สามารถช่วยบำบัดผู้ติดยาเสพติดชนิดรุนแรงเช่นเฮโรอีน
    สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตรักษาเบาหวานและโรคความดันสูง
    สามารถช่วยรักษาแผลสดแผลหายยากจากเบาหวานให้แห้งและหายได้
    สามารถช่วยทำให้มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใสมีสมาธิและจิตใจสงบ
    สามารถช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV หรือเอดส์ให้สามารถใช้ชีวิตได้ดีและมีอายุยืนนาน
    สามารถรักษาและช่วยป้องกันโรคตับแข็ง
    สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    สามารถช่วยรักษาอาการกระดูกหักให้หายไวขึ้นและยังทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย
    สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายของระบบเส้นประสาททั้งร่างกายและระบบเชื่อมต่อในสมอง
    สามารถช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน
    สามารถรักษาความอ้วนผิดปกติ
    สามารถรักษาและป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง
    สามารถรักษาโรคเก๊าท์ข้อเข่าเสื่อมและรูมาตอยด์ได้
    สามารถทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงมากขึ้น
    สามารถรักษาและป้องกันจอประสาทตา
    สามารถรักษาอาการซึมเศร้า รักษาเสถียรภาพทางอารมณ์ โรคสมาธิสั้น และออทิสติก


    ..สมุนไพรดีๆปลูกสกัดทำยาให้โรงพยาบาลรัฐบาลไทยเราฟรีๆได้หมด,โดยรัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลภาคประชาชนจริงๆ จะมีวิธีการมากมายสร้างสรรค์สิ่งดีๆต่อประชาชน กระทั่งสร้่งรายได้ช่วยประชาชนอย่างยั่งยืนได้ แต่อดีตและถึงปัจจุบันเหี้ยหมด,เป็นรัฐบาลเพื่อกอบโกยใส่ตัว จากทุจริตโกงกินธรรมดาสู่พัฒนาการโกงกินเชิงนโยบาย แล้วก็พัฒนาการเปิดเผยถึงขนาดแลกอธิปไตยชาติในนามรัฐบาลตนเพื่อผลประโยชน์เดอะแก๊งตนพ้องพวกตนเป็นคณะและโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลตนทั้งหมดผ่านอำนาจรัฐบาลที่ตนถือครอง,จึงเป็นอันมากที่เป็นต้นเหตุอัตราคนไทยถือบัตรคนจนพุ่งสูงขึ้น.,ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเหลือเขาอย่างแท้จริงอะไรมากนัก,มอบสถานะที่บัดสบแก่ประชาชนคนไทยภายใต้การปกครองที่กากๆไม่สร้างสรรค์อะไร มุ่งแต่จะเอาเปรียบประชาชนคนในประเทศตนเอง แต่ยกสมบัติชาติของมีค่ามากเงินตราแก่ต่างชาตต่างประเทศให้เขาร่ำรวยฝ่ายเดียวเช่นบ่อน้ำมันบ่อทองคำเราเป็นต้น ตลอดกัญชาเสรีน้ำมันเขียวยาดีครอบจักรวาลก็ปิดกั้นองค์รู้ประชาชนไม่ตีแผ่ความดีประโยชน์จริงในการใช้ให้ถูกวิธี,สร้างตังรายได้ช่วยเหลือประชาชนก็ได้แต่ก็ทำมาหาแดกเอง. ☘️☘️🌷🌷👉 สรรพคุณของน้ำมันกัญชา สูตรท่าน อ.หมอเดชา ศิริภัทร 🌱🌷 สามารถหยุดการแพร่กระจายของมะเร็งไม่ให้ลุกลามและกำจัดเซลล์มะเร็งได้ 🌱 🌷 สามารถรักษาต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม 🌱🌷 สามารถรักษาและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ 🌱 🌷 สามารถช่วยลดอาการอักเสบต่างๆของร่างกาย 🌱🌷 สามารถควบคุมและรักษาโรคลมชัก 🌱🌷 สามารถลดความเจ็บปวดจากโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม 🌱🌷 สามารถรักษาโรคโครห์น ความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ได้ 🌱🌷 สามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม 🌱🌷 สามารถลดความวิตกกังวล คลายเครียดได้ 🌱🌷 สามารถช่วยในการยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งและปรับปรุงสุขภาพปอดได้ 🌱🌷 สามารถลดความเจ็บปวดและอาการแพ้จากเคมีบำบัดได้ 🌱🌷 สามารถปรับปรุงอาการของโรคลูปัส หรือโรค SLE หรือโรคพุ่มพวงได้ 🌱🌷 สามารถช่วยป้องกันสมองจากความเสียหายของโรคหลอดเลือดสมองได้ 🌱🌷 สามารถควบคุมกล้ามเนื้อกระตุกได้ 🌱🌷 สามารถรักษาโรคลำไส้อักเสบ 🌱🌷 สามารถช่วยขจัดฝันร้ายและนอนไม่หลับ 🌱🌷 สามารถป้องกันสมองจากการถูกกระทบกระแทกและการบาดเจ็บ 🌱🌷 สามารถช่วยให้เจริญอาหารกินข้าวได้ 🌱🌷 สามารถช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม 🌱🌷 สามารถแก้โรคบิดแก้ปวดท้องและโรคท้องร่วง 🌱🌷 สามารถช่วยแก้อาการประจำเดือนไม่ปกติของสตรี 🌱🌷 สามารถแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อนและสะเก็ดเงิน 🌱🌷 สามารถแก้ปวดและรักษาไมเกรน 🌱🌷 สามารถช่วยรักษาการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง 🌱🌷 สามารถช่วยบำบัดผู้ติดยาเสพติดชนิดรุนแรงเช่นเฮโรอีน 🌱🌷 สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตรักษาเบาหวานและโรคความดันสูง 🌱🌷 สามารถช่วยรักษาแผลสดแผลหายยากจากเบาหวานให้แห้งและหายได้ 🌱🌷 สามารถช่วยทำให้มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใสมีสมาธิและจิตใจสงบ 🌱🌷 สามารถช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV หรือเอดส์ให้สามารถใช้ชีวิตได้ดีและมีอายุยืนนาน 🌱🌷 สามารถรักษาและช่วยป้องกันโรคตับแข็ง 🌱🌷 สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 🌱🌷 สามารถช่วยรักษาอาการกระดูกหักให้หายไวขึ้นและยังทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย 🌱🌷 สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายของระบบเส้นประสาททั้งร่างกายและระบบเชื่อมต่อในสมอง 🌱🌷 สามารถช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน 🌱🌷 สามารถรักษาความอ้วนผิดปกติ 🌱🌷 สามารถรักษาและป้องกันโรคไขมันในเลือดสูง 🌱🌷 สามารถรักษาโรคเก๊าท์ข้อเข่าเสื่อมและรูมาตอยด์ได้ 🌱🌷 สามารถทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงมากขึ้น 🌱🌷 สามารถรักษาและป้องกันจอประสาทตา 🌱🌷 สามารถรักษาอาการซึมเศร้า รักษาเสถียรภาพทางอารมณ์ โรคสมาธิสั้น และออทิสติก ☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️☘️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 676 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวลานั่งรอคิวหมอ หรือขึ้นรถไฟฟ้า หลายคนก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดโซเชียลฯ แบบอัตโนมัติ เพราะมันสนุก ดูง่าย และ “ให้ความสุขเล็ก ๆ” ผ่านวิดีโอ รูปภาพ หรือการแจ้งเตือนต่าง ๆ

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สมองเราถูกกระตุ้นตลอดเวลา — ผ่านโดพามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกดีและเป็นรางวัลในสมอง คล้ายกับเวลาทานของหวาน คาเฟอีน หรือได้ Like บน IG

    ฟังดูดี แต่ถ้าได้รับมากเกินไป สมองจะเริ่ม “ด้านชา” ต้องการสิ่งเร้าที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ต้องเลื่อนคลิปเร็วกว่าเดิม หรือเล่นโซเชียลหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน ซึ่งอาจกลายเป็น อาการเสพติดสิ่งเร้าแบบไม่รู้ตัว เช่น เบื่อดูหนังยาว ๆ เบื่อเล่นบอร์ดเกม เพราะ “ไม่เร้าใจพอ”

    แนวทางแก้คือ Dopamine Detox หรือการลดสิ่งเร้าลง ไม่ใช่หยุดความสุข แต่ให้สมอง “พักและรีเซตระบบบ้าง” เพื่อกลับมารับรู้ความสุขจากเรื่องธรรมดาให้ได้อีกครั้ง เช่น การอ่านหนังสือ, วาดรูป, เดินเล่นแบบไม่ฟังเพลง ฯลฯ

    สมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียทำให้สมองหลั่ง dopamine ต่อเนื่อง จนกลายเป็นภาวะ overstimulation  
    • เมื่อถูกกระตุ้นบ่อย สมองต้องการสิ่งเร้าที่แรงขึ้นเพื่อรู้สึกเท่าเดิม  
    • คล้ายกลไกเดียวกับการเสพติดพฤติกรรมหรือสารบางชนิด

    Dopamine Detox คือการลดสิ่งเร้าที่มากเกินไปเพื่อให้ระบบประสาทฟื้นสมดุล  
    • ไม่ใช่การงดทุกความสุข แต่เป็นการ “รีเซตจังหวะสมอง”

    ตัวอย่างกิจกรรมที่แนะนำในการ Detox:  
    • ปิดการแจ้งเตือน / ลดเวลาใช้หน้าจอก่อนนอน  
    • หยุดฟังพอดแคสต์/เพลงระหว่างทำอย่างอื่น เพื่อฝึกโฟกัส  
    • ทำกิจกรรมอนาล็อก เช่น อ่านหนังสือ เดินเล่น วาดรูป

    หากทำต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้ สงบใจ และกลับมาสนุกกับกิจกรรมเรียบง่ายได้อีกครั้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/22/039dopamine-detox039-why-it-pays-to-put-your-phone-away
    เวลานั่งรอคิวหมอ หรือขึ้นรถไฟฟ้า หลายคนก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดโซเชียลฯ แบบอัตโนมัติ เพราะมันสนุก ดูง่าย และ “ให้ความสุขเล็ก ๆ” ผ่านวิดีโอ รูปภาพ หรือการแจ้งเตือนต่าง ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สมองเราถูกกระตุ้นตลอดเวลา — ผ่านโดพามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกดีและเป็นรางวัลในสมอง คล้ายกับเวลาทานของหวาน คาเฟอีน หรือได้ Like บน IG ฟังดูดี แต่ถ้าได้รับมากเกินไป สมองจะเริ่ม “ด้านชา” ต้องการสิ่งเร้าที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ต้องเลื่อนคลิปเร็วกว่าเดิม หรือเล่นโซเชียลหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน ซึ่งอาจกลายเป็น อาการเสพติดสิ่งเร้าแบบไม่รู้ตัว เช่น เบื่อดูหนังยาว ๆ เบื่อเล่นบอร์ดเกม เพราะ “ไม่เร้าใจพอ” แนวทางแก้คือ Dopamine Detox หรือการลดสิ่งเร้าลง ไม่ใช่หยุดความสุข แต่ให้สมอง “พักและรีเซตระบบบ้าง” เพื่อกลับมารับรู้ความสุขจากเรื่องธรรมดาให้ได้อีกครั้ง เช่น การอ่านหนังสือ, วาดรูป, เดินเล่นแบบไม่ฟังเพลง ฯลฯ ✅ สมาร์ตโฟนและโซเชียลมีเดียทำให้สมองหลั่ง dopamine ต่อเนื่อง จนกลายเป็นภาวะ overstimulation   • เมื่อถูกกระตุ้นบ่อย สมองต้องการสิ่งเร้าที่แรงขึ้นเพื่อรู้สึกเท่าเดิม   • คล้ายกลไกเดียวกับการเสพติดพฤติกรรมหรือสารบางชนิด ✅ Dopamine Detox คือการลดสิ่งเร้าที่มากเกินไปเพื่อให้ระบบประสาทฟื้นสมดุล   • ไม่ใช่การงดทุกความสุข แต่เป็นการ “รีเซตจังหวะสมอง” ✅ ตัวอย่างกิจกรรมที่แนะนำในการ Detox:   • ปิดการแจ้งเตือน / ลดเวลาใช้หน้าจอก่อนนอน   • หยุดฟังพอดแคสต์/เพลงระหว่างทำอย่างอื่น เพื่อฝึกโฟกัส   • ทำกิจกรรมอนาล็อก เช่น อ่านหนังสือ เดินเล่น วาดรูป ✅ หากทำต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับรู้ สงบใจ และกลับมาสนุกกับกิจกรรมเรียบง่ายได้อีกครั้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/22/039dopamine-detox039-why-it-pays-to-put-your-phone-away
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'Dopamine detox': Why it pays to put your phone away
    What do you do while sitting in a doctor's waiting room? Or after settling into a train seat on your commute home from work? Or standing at the kitchen stove as the noodle water creeps towards a boil?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • SiPEP2 กลับมาแล้วจ้า! โอกาสพิเศษสำหรับนักเรียนม.ปลาย และคุณครูสายวิทย์

    ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอประกาศเชิญชวนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา Siriraj Physiology Education Program (SiPEP)

    ในวันที่ 5-7 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00-15.30 น. ณ ภาควิชาสรีรวิทยา ชั้น 12 อาคารศรีสวรินทิรา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

    ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย

    เจาะลึกการทำงานทางสรีรวิทยาในระบบต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมสนุก ๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้และให้ทุกคนได้ลงมือทำจริง!
    ✦ ระบบประสาทและการมองเห็น
    ✦ ระบบกล้ามเนื้อ
    ✦ ระบบหัวใจและหลอดเลือด
    ✦ ระบบหายใจ

    🙋🏻‍♀️คุณสมบัติผู้เข้าร่วม:
    ✦ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6
    ✦ โรงเรียนละ 1 ทีม ประกอบด้วยนักเรียน 4 คน และคุณครู 1 คน
    ✦ เข้าอบรมได้เพียง 1 วันเท่านั้น

    เปิดระบบรับสมัครในวันที่ 30 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2568 รับจำนวนจำกัดเพียง 36 โรงเรียน

    ติดตามรายละเอียดและการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81
    โทร: 02-419-5237
    Email: siphysio.sipep@gmail.com

    มาร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเรียนวิชาสรีรวิทยาไปด้วยกันนะครับ ‎*

    #SiPEP2 #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology #อบรมฟรี
    📢 SiPEP2 กลับมาแล้วจ้า! โอกาสพิเศษสำหรับนักเรียนม.ปลาย และคุณครูสายวิทย์ 🔬👀 ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอประกาศเชิญชวนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการเรียนรู้สรีรวิทยา Siriraj Physiology Education Program (SiPEP) ในวันที่ 5-7 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00-15.30 น. ณ ภาควิชาสรีรวิทยา ชั้น 12 อาคารศรีสวรินทิรา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 🆓ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย🆓 🔍 เจาะลึกการทำงานทางสรีรวิทยาในระบบต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมสนุก ๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้และให้ทุกคนได้ลงมือทำจริง! ✦ ระบบประสาทและการมองเห็น ✦ ระบบกล้ามเนื้อ ✦ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ✦ ระบบหายใจ 🙋🏻‍♀️คุณสมบัติผู้เข้าร่วม: ✦ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ✦ โรงเรียนละ 1 ทีม ประกอบด้วยนักเรียน 4 คน และคุณครู 1 คน ✦ เข้าอบรมได้เพียง 1 วันเท่านั้น ‼️‼️เปิดระบบรับสมัครในวันที่ 30 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2568 รับจำนวนจำกัดเพียง 36 โรงเรียน‼️‼️ ติดตามรายละเอียดและการรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ https://sites.google.com/view/sipep-siriraj/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81 โทร: 02-419-5237 Email: siphysio.sipep@gmail.com มาร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเรียนวิชาสรีรวิทยาไปด้วยกันนะครับ ‎*🫀👀🧠🫁﹆ #SiPEP2 #ศิริราช #สรีรวิทยา #SirirajPhysiology #อบรมฟรี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 692 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวการทดลองทางคลินิก BCI แบบฝังครั้งแรก
    ศูนย์วิจัย Center for Excellence in Brain Science and Intelligence Technology (CEBSIT) ในเซี่ยงไฮ้ ได้เริ่มการทดลองทางคลินิกของ อินเทอร์เฟซสมอง-คอมพิวเตอร์ (BCI) แบบฝัง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตสี่แขนขาสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์และเล่นเกมแข่งรถได้ภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์.

    รายละเอียดการทดลอง
    ผู้ป่วยอัมพาตสี่แขนขาได้รับการปลูกถ่าย BCI เมื่อวันที่ 25 มีนาคม และสามารถควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยความคิดได้ภายใน 2-3 สัปดาห์.
    BCI ของ CEBSIT มีขนาดเล็กและยืดหยุ่นกว่าของ Neuralink โดยมีพื้นที่หน้าตัดเพียง 1/5 ถึง 1/7 ของอิเล็กโทรดของ Neuralink และมีความยืดหยุ่นมากกว่า 100 เท่า.
    ไม่มีรายงานการติดเชื้อหรือความล้มเหลวของอิเล็กโทรดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการทดลองระยะยาว.
    แผนระยะยาวของ CEBSIT รวมถึงการควบคุมแขนกลและการฝึกฝนกับอุปกรณ์อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    BCI แบบฝังต้องได้รับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อสมอง.
    การทดลองทางคลินิกต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ก่อนที่จะสามารถนำไปใช้ในตลาดได้.
    BCI อาจมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้กับระบบประสาทของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งต้องมีการปรับแต่งเฉพาะบุคคล.

    แนวทางการพัฒนาและการนำไปใช้
    BCI สามารถช่วยผู้ป่วยอัมพาตให้มีความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มคุณภาพชีวิต.
    การพัฒนา BCI ที่มีขนาดเล็กและยืดหยุ่นช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อสมอง และเพิ่มโอกาสในการใช้งานระยะยาว.
    การทดลองขนาดใหญ่ได้รับการอนุมัติแล้ว และคาดว่า BCI จะได้รับการรับรองและเข้าสู่ตลาดจีนภายในปี 2028.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BCI และเทคโนโลยีสมอง
    Neuralink ของ Elon Musk กำลังพัฒนา BCI ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตควบคุมคอมพิวเตอร์และแขนกล.
    Beinao-2 ซึ่งเป็น BCI อีกตัวหนึ่งของจีน กำลังถูกทดสอบในลิง และคาดว่าจะพร้อมสำหรับการทดลองในมนุษย์ภายในสิ้นปี 2025.
    BCI ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ใช้ และต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน.

    https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/china-launches-first-ever-invasive-brain-computer-interface-clinical-trial-tetraplegic-patient-could-skillfully-operate-racing-games-after-just-three-weeks
    จีนเปิดตัวการทดลองทางคลินิก BCI แบบฝังครั้งแรก ศูนย์วิจัย Center for Excellence in Brain Science and Intelligence Technology (CEBSIT) ในเซี่ยงไฮ้ ได้เริ่มการทดลองทางคลินิกของ อินเทอร์เฟซสมอง-คอมพิวเตอร์ (BCI) แบบฝัง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตสี่แขนขาสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์และเล่นเกมแข่งรถได้ภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์. รายละเอียดการทดลอง ✅ ผู้ป่วยอัมพาตสี่แขนขาได้รับการปลูกถ่าย BCI เมื่อวันที่ 25 มีนาคม และสามารถควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยความคิดได้ภายใน 2-3 สัปดาห์. ✅ BCI ของ CEBSIT มีขนาดเล็กและยืดหยุ่นกว่าของ Neuralink โดยมีพื้นที่หน้าตัดเพียง 1/5 ถึง 1/7 ของอิเล็กโทรดของ Neuralink และมีความยืดหยุ่นมากกว่า 100 เท่า. ✅ ไม่มีรายงานการติดเชื้อหรือความล้มเหลวของอิเล็กโทรดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการทดลองระยะยาว. ✅ แผนระยะยาวของ CEBSIT รวมถึงการควบคุมแขนกลและการฝึกฝนกับอุปกรณ์อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ BCI แบบฝังต้องได้รับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อเนื้อเยื่อสมอง. ‼️ การทดลองทางคลินิกต้องผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ก่อนที่จะสามารถนำไปใช้ในตลาดได้. ‼️ BCI อาจมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้กับระบบประสาทของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งต้องมีการปรับแต่งเฉพาะบุคคล. แนวทางการพัฒนาและการนำไปใช้ ✅ BCI สามารถช่วยผู้ป่วยอัมพาตให้มีความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มคุณภาพชีวิต. ✅ การพัฒนา BCI ที่มีขนาดเล็กและยืดหยุ่นช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อสมอง และเพิ่มโอกาสในการใช้งานระยะยาว. ✅ การทดลองขนาดใหญ่ได้รับการอนุมัติแล้ว และคาดว่า BCI จะได้รับการรับรองและเข้าสู่ตลาดจีนภายในปี 2028. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BCI และเทคโนโลยีสมอง ✅ Neuralink ของ Elon Musk กำลังพัฒนา BCI ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยอัมพาตควบคุมคอมพิวเตอร์และแขนกล. ✅ Beinao-2 ซึ่งเป็น BCI อีกตัวหนึ่งของจีน กำลังถูกทดสอบในลิง และคาดว่าจะพร้อมสำหรับการทดลองในมนุษย์ภายในสิ้นปี 2025. ‼️ BCI ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้ใช้ และต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน. https://www.tomshardware.com/peripherals/wearable-tech/china-launches-first-ever-invasive-brain-computer-interface-clinical-trial-tetraplegic-patient-could-skillfully-operate-racing-games-after-just-three-weeks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 339 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/4
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นจริงหรือ?
    ยาต้านไข้หวัดใหญ่เกือบทั้งหมดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
    https://www.facebook.com/share/p/12MUpcXzhix/
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วติดมากขึ้น
    https://www.facebook.com/share/p/1EtbSXvysA/
    การศึกษาในสหรัฐเองพบว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กลับติดมากขึ้น
    https://www.facebook.com/share/p/1Ev49KVPiF/
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งยารักษา มีประสิทธิภาพจำกัด
    https://www.facebook.com/share/p/19MnnaM6Xy/
    ข้อสงสัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่และยาต้าน
    https://www.facebook.com/share/p/1AVAQJRB3W/
    การทดลองของ บริษัทยา พบว่ายาต้านไวรัส ไข้หวัดใหญ่ baloxavir อาจช่วยลดการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ในครัวเรือนได้ แต่ไม่ช่วยเรื่องอาการ
    https://www.facebook.com/share/p/15gVerMQdu/
    วัคซีน ไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่น ข้อควรระวัง ไวรัส วัคซีน ปลดปล่อยออกไปได้ สู่คนอื่นโดยเฉพาะ คนเปราะบาง
    https://www.facebook.com/share/p/15vdADs7EX/
    โคลอสตรุ้ม หัวน้ำนม นมแม่ ประโยชน์มหาศาลเช่น ป้องกันไข้หวัดใหญ่
    https://www.facebook.com/share/p/14dkhKZpMT/
    กระบวนการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นำมาใช้ ไม่ใช่ใช้เพราะเป็นเพียงแต่ความเชื่อ
    https://www.facebook.com/share/p/16FphP1NoG/
    การบูลลี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำกันโดยเฉพาะผู้ที่บอกคนอื่นว่าตนเป็นแพทย์
    https://www.facebook.com/share/p/1HqVz45t6n/
    https://www.facebook.com/share/p/16CJH6XQqL/
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดฉีดพ่น อันตรายแพร่ถึงคนที่ไม่ได้ฉีด
    https://www.facebook.com/share/p/1CCzQtyWtr/
    หมอดื้อยกข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ตอบข้อกล่าวหา
    https://www.facebook.com/share/p/1BrtYfLuA3/
    ประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และยาต้านไวรัสเมื่อมีอาการแล้ว
    https://www.facebook.com/share/p/14tUYkZRR6A/
    หวัดใหญ่ทำไมติดบาน วัคซีนจะฉีดไหม
    https://www.facebook.com/share/p/19wichtfbz/
    กัญชา,ฟ้าทะลายโจร เมื่อการสาธารณสุขถูกครอบงำ แต่ความจริงก็ไม่อาจปกปิด

    กัญชา
    “หมอธีระวัฒน์” ชี้เรื่องกัญชา สะท้อนความนิ่งเฉย เสื่อมน้ำใจและความเมตตา ลั่นถอยไม่ได้แล้ว
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000039410#google_vignette
    “กัญชา-บุหรี่และแอลกอฮอล์” ควรนำสิ่งใดกลับสู่ยาเสพติด?
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000042065
    กัญชา กัญชง ลดการอักเสบ
    https://youtu.be/-j9HYHTUugU?si=E3RbUpfpJRmspEXX
    “หมอธีระวัฒน์” เผยใช้สารเดี่ยว CBD รักษาลมชักให้ทำให้โรคดื้อยา ทำไมไม่ใช้ตำรับบ้านๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล กลับชง “กัญชา” เป็นยาเสพติด
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000047356
    หมอธวัชชัย” ชี้ดึงกัญชากลับสู่ยาเสพติดวุ่นวายแน่ ยันก่อนปลดล็อกผ่านการศึกษาข้อมูลมากแล้ว เริ่มจากยุค “หมอปิยะสกล” ไม่ใช่การเมือง
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000049253
    “ปานเทพ” แฉ 5 ประเด็นบิดเบือนข้อมูลกัญชา ดึงกลับเป็นยาเสพติด ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000050912
    เผยงานวิจัย ยากัญชาไทยรักษาเด็กโรคลมชักดื้อยา ได้ผลดีกว่ายาฝรั่ง จะช่วยประหยัดเงินได้สูงถึง 7.3 หมื่นล้านบาท
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000055043
    วันที่ 5 ก.ค.2567 รายการสภากาแฟ ช่อง News1 สัมภาษณ์ ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร และคุณประสิทธิชัย หนูนวล หัวข้อ ฟังความเป็นจริงของสถานการณ์ กัญชา และ ระบบทรราชทางการแพทย์ (Medical Tyranny)
    https://www.youtube.com/live/kBdl3ud3RDE
    “อ.ปานเทพ”ค้านนำช่อดอกกัญชากัญชงเป็นยาเสพติด บังคับใช้ กม.ไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ กระทบผู้ป่วย เกษตรกร แพทย์แผนไทย
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000057536?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2n0WMI0yEvvFrhmDEvvIYDVFiFmi74wgnBcb-NGMeeRL3peNb34PE72t0_aem_RLFy41fdTyNwRVhW-BqJDA
    “อ.ปานเทพ” ยื่นหนังสือ 12 ก.ค.2567
    จี้ รมว.สธ.ทบทวนประกาศกัญชาเป็นยาเสพติด พร้อมแถลงแนวทางใหม่แก้ปัญหา
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000059092
    มหัศจรรย์กัญชา เด็กหนุ่มเลือดออกในสมอง หมอบอกจะเสียชีวิต แต่กลับคืนมาใช้ชีวิตตามปกติได้
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000059188
    อ.ปานเทพ ยื่นหนังสือให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เหตุที่ต้องทบทวนมติ ช่อดอกกัญชา ช่อดอกกันชงยาเสพติด 12 ก.ค.2567 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
    https://youtu.be/F9Llyj2B5PE?si=uFlm9ovYpEfhH28-
    วันที่ 8 ก.ค.2567 ประชาชนและเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่สะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อทวงสิทธิทางกัญชาเพื่อประชาชน
    https://www.amarintv.com/news/detail/224142
    https://ch3plus.com/news/social/morning/407582
    รวมภาพ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0SsB5c3wJo44TqTkXmo5TqC9iEEuNat8Wt8gTNuvj8RiKfikXAZcLZa36vYfdfKUkl&id=100002610663072
    คลิปอาจารย์เดชา ศิริภัทร และม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0hC9uN9iSm2444FgBUbyBcGnNc91Ef4txT4YcnTSnzZiWCv16o98eAD9odrT6Zfcxl&id=100007418351447
    “อ.ปานเทพ” เปิดหลักฐานกลุ่มผลประโยชน์ ล็อกสเปกกัญชาเป็นยาเสพติด เอื้อทุนใหญ่- กีดกันแพทย์แผนไทย
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000061226
    วันที่ 23 ก.ค.2567 แหล่งข่าวจากคณะรัฐมนตรี เรื่องกัญชา สรุป คณะรัฐมนตรีวันนี้ นายกรัฐมนตรีให้นำเรื่องกัญชา กัญชงตราเป็นพระราชบัญญัติ ทุกพรรค ทุกกลุ่มสามารถเสนอร่างของตัวเองต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป
    แปลว่าไม่ใช่นำกัญชา กัญชงเข้าสู่บัญชียาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่ให้มีกฎหมายเฉพาะสำหรับใช้ประโยชน์และควบคุมกัญชา กัญชง
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1017634479730252/?
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000062202
    “หมอธีระวัฒน์” เผยผลวิจัยใช้กัญชาคลายเครียดแต่พองาม ช่วยลดสมองเสื่อม
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000083401
    ฟ้าทะลายโจร
    แนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สําหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง วันที่ 5 มิถุนายน 2567
    ได้ถอดฟ้าทะลายโจรออกจากการรักษาแล้ว
    https://eid.dms.go.th/Content/Select_Eid_Landding_page?contentId=182&bannerId=1
    คำถามกรณีการตัดฟ้าทะลายโจรออกจากเวชปฏิบัติการรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาล เพื่อผลประโยชน์ของใครกันแน่ ?/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/990160812477619/?
    “ปานเทพ” ถาม ตัด “ฟ้าทะลายโจร” ออกจากแนวทางรักษาโควิด เอื้อประโยชน์ใครหรือไม่
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000048616
    “หมอธีระวัฒน์” ชี้ผลศึกษา “ฟ้าทะลายโจร” เป็นที่ตื่นเต้นทั่วโลก รักษาโควิด-โรคไวรัสทางระบบหายใจได้ผล
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000059905
    https://youtu.be/4N7GL1BbcH4?si=1aov92cn7xEXWSuV
    ยาไทยฟ้าทะลายโจร ภูมิปัญญา..สู้ยานอก โดย หมอดื้อ
    https://www.thairath.co.th/news/local/2804216?
    วันที่ 16 กรกฎาคม 67 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรม และระบบประสาท ในฐานะที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา เข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เพื่อยื่นข้อเสนอกรณีถอด “ฟ้าทะลายโจร” ออกจากแนวทางรักษา ทั้งที่มีประสิทธิภาพ พร้อมนำข้อมูลตีแผ่ต่อสาธารณะ ถึงสาเหตุถอดสมุนไพรไทยดังกล่าว ทั้งที่ช่วงโควิดเป็นสมุนไพรรักษาที่ดี ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก
    https://www.hfocus.org/content/2024/07/31098?
    https://www.hfocus.org/content/2024/07/31097
    https://youtu.be/rjUdN1cFr7I?si=p8Pl1398CpXUjpJQ
    กรมการแพทย์ยอมใช้ฟ้าทะลายโจรกลับมารักษาโควิดได้แล้ว รวมทั้งแพทย์จ่ายได้และรักษาไม่คิดค่าใช้จ่าย 23 ก.ค.2567
    https://www.hfocus.org/content/2024/07/31153?
    “หมอธีระวัฒน์” ทวง รมว.สธ.แจงเบื้องหลังถอดฟ้าทะลายโจรพ้นเวชปฏิบัติรักษาโควิด ชี้คนไทยเสียประโยชน์ต้องมีผู้รับผิดชอบ
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000067814
    “ปานเทพ” ถาม “สมศักดิ์” ทวงคืนฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วยกี่โมง
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000067977
    “อ.ปานเทพ” เผยข่าวดี! กรมการแพทย์ ยอมคืนฟ้าทะลายโจรให้กับผู้ป่วยโควิด-19 แล้ว
    https://www.hfocus.org/content/2024/08/31270
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000070325
    หัวข้อ : 3 หมอ กอบกู้"โลก" รักษา"โรค" ด้วยสมุนไพร
    ระดมพลังบรรยายโดย 1. นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง 2.พญ. สุภาพร มีลาภ และ 3. นพ. พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
    ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ 3 พฤษภาคม 2567 คลิกชม
    https://www.facebook.com/share/v/K8yDn5N29sbiaqVm/?mibextid=oFDknk
    2/4 ✅วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นจริงหรือ? ✍️ยาต้านไข้หวัดใหญ่เกือบทั้งหมดมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย https://www.facebook.com/share/p/12MUpcXzhix/ ✍️วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วติดมากขึ้น https://www.facebook.com/share/p/1EtbSXvysA/ ✍️การศึกษาในสหรัฐเองพบว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กลับติดมากขึ้น https://www.facebook.com/share/p/1Ev49KVPiF/ ✍️วัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งยารักษา มีประสิทธิภาพจำกัด https://www.facebook.com/share/p/19MnnaM6Xy/ ✍️ข้อสงสัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่และยาต้าน https://www.facebook.com/share/p/1AVAQJRB3W/ ✍️การทดลองของ บริษัทยา พบว่ายาต้านไวรัส ไข้หวัดใหญ่ baloxavir อาจช่วยลดการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ในครัวเรือนได้ แต่ไม่ช่วยเรื่องอาการ https://www.facebook.com/share/p/15gVerMQdu/ ✍️วัคซีน ไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่น ข้อควรระวัง ไวรัส วัคซีน ปลดปล่อยออกไปได้ สู่คนอื่นโดยเฉพาะ คนเปราะบาง https://www.facebook.com/share/p/15vdADs7EX/ ✍️โคลอสตรุ้ม หัวน้ำนม นมแม่ ประโยชน์มหาศาลเช่น ป้องกันไข้หวัดใหญ่ https://www.facebook.com/share/p/14dkhKZpMT/ ✍️กระบวนการหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นำมาใช้ ไม่ใช่ใช้เพราะเป็นเพียงแต่ความเชื่อ https://www.facebook.com/share/p/16FphP1NoG/ ✍️การบูลลี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำกันโดยเฉพาะผู้ที่บอกคนอื่นว่าตนเป็นแพทย์ https://www.facebook.com/share/p/1HqVz45t6n/ https://www.facebook.com/share/p/16CJH6XQqL/ ✍️วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดฉีดพ่น อันตรายแพร่ถึงคนที่ไม่ได้ฉีด https://www.facebook.com/share/p/1CCzQtyWtr/ ✍️หมอดื้อยกข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ตอบข้อกล่าวหา https://www.facebook.com/share/p/1BrtYfLuA3/ ✍️ประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และยาต้านไวรัสเมื่อมีอาการแล้ว https://www.facebook.com/share/p/14tUYkZRR6A/ ✍️หวัดใหญ่ทำไมติดบาน วัคซีนจะฉีดไหม https://www.facebook.com/share/p/19wichtfbz/ กัญชา,ฟ้าทะลายโจร เมื่อการสาธารณสุขถูกครอบงำ แต่ความจริงก็ไม่อาจปกปิด 🌿กัญชา ✍️“หมอธีระวัฒน์” ชี้เรื่องกัญชา สะท้อนความนิ่งเฉย เสื่อมน้ำใจและความเมตตา ลั่นถอยไม่ได้แล้ว https://mgronline.com/qol/detail/9670000039410#google_vignette ✍️“กัญชา-บุหรี่และแอลกอฮอล์” ควรนำสิ่งใดกลับสู่ยาเสพติด? https://mgronline.com/daily/detail/9670000042065 ✍️กัญชา กัญชง ลดการอักเสบ https://youtu.be/-j9HYHTUugU?si=E3RbUpfpJRmspEXX ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยใช้สารเดี่ยว CBD รักษาลมชักให้ทำให้โรคดื้อยา ทำไมไม่ใช้ตำรับบ้านๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล กลับชง “กัญชา” เป็นยาเสพติด https://mgronline.com/qol/detail/9670000047356 ✍️หมอธวัชชัย” ชี้ดึงกัญชากลับสู่ยาเสพติดวุ่นวายแน่ ยันก่อนปลดล็อกผ่านการศึกษาข้อมูลมากแล้ว เริ่มจากยุค “หมอปิยะสกล” ไม่ใช่การเมือง https://mgronline.com/qol/detail/9670000049253 ✍️“ปานเทพ” แฉ 5 ประเด็นบิดเบือนข้อมูลกัญชา ดึงกลับเป็นยาเสพติด ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา https://mgronline.com/politics/detail/9670000050912 ✍️เผยงานวิจัย ยากัญชาไทยรักษาเด็กโรคลมชักดื้อยา ได้ผลดีกว่ายาฝรั่ง จะช่วยประหยัดเงินได้สูงถึง 7.3 หมื่นล้านบาท https://mgronline.com/qol/detail/9670000055043 ✍️วันที่ 5 ก.ค.2567 รายการสภากาแฟ ช่อง News1 สัมภาษณ์ ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร และคุณประสิทธิชัย หนูนวล หัวข้อ ฟังความเป็นจริงของสถานการณ์ กัญชา และ ระบบทรราชทางการแพทย์ (Medical Tyranny) https://www.youtube.com/live/kBdl3ud3RDE ✍️“อ.ปานเทพ”ค้านนำช่อดอกกัญชากัญชงเป็นยาเสพติด บังคับใช้ กม.ไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ กระทบผู้ป่วย เกษตรกร แพทย์แผนไทย https://mgronline.com/politics/detail/9670000057536?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2n0WMI0yEvvFrhmDEvvIYDVFiFmi74wgnBcb-NGMeeRL3peNb34PE72t0_aem_RLFy41fdTyNwRVhW-BqJDA ✍️“อ.ปานเทพ” ยื่นหนังสือ 12 ก.ค.2567 จี้ รมว.สธ.ทบทวนประกาศกัญชาเป็นยาเสพติด พร้อมแถลงแนวทางใหม่แก้ปัญหา https://mgronline.com/qol/detail/9670000059092 ✍️มหัศจรรย์กัญชา เด็กหนุ่มเลือดออกในสมอง หมอบอกจะเสียชีวิต แต่กลับคืนมาใช้ชีวิตตามปกติได้ https://mgronline.com/qol/detail/9670000059188 ✍️ อ.ปานเทพ ยื่นหนังสือให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เหตุที่ต้องทบทวนมติ ช่อดอกกัญชา ช่อดอกกันชงยาเสพติด 12 ก.ค.2567 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://youtu.be/F9Llyj2B5PE?si=uFlm9ovYpEfhH28- ✍️วันที่ 8 ก.ค.2567 ประชาชนและเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่สะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อทวงสิทธิทางกัญชาเพื่อประชาชน https://www.amarintv.com/news/detail/224142 https://ch3plus.com/news/social/morning/407582 รวมภาพ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0SsB5c3wJo44TqTkXmo5TqC9iEEuNat8Wt8gTNuvj8RiKfikXAZcLZa36vYfdfKUkl&id=100002610663072 คลิปอาจารย์เดชา ศิริภัทร และม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0hC9uN9iSm2444FgBUbyBcGnNc91Ef4txT4YcnTSnzZiWCv16o98eAD9odrT6Zfcxl&id=100007418351447 ✍️“อ.ปานเทพ” เปิดหลักฐานกลุ่มผลประโยชน์ ล็อกสเปกกัญชาเป็นยาเสพติด เอื้อทุนใหญ่- กีดกันแพทย์แผนไทย https://mgronline.com/politics/detail/9670000061226 ✍️วันที่ 23 ก.ค.2567 แหล่งข่าวจากคณะรัฐมนตรี เรื่องกัญชา สรุป คณะรัฐมนตรีวันนี้ นายกรัฐมนตรีให้นำเรื่องกัญชา กัญชงตราเป็นพระราชบัญญัติ ทุกพรรค ทุกกลุ่มสามารถเสนอร่างของตัวเองต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป แปลว่าไม่ใช่นำกัญชา กัญชงเข้าสู่บัญชียาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่ให้มีกฎหมายเฉพาะสำหรับใช้ประโยชน์และควบคุมกัญชา กัญชง https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1017634479730252/? https://mgronline.com/qol/detail/9670000062202 ✍️“หมอธีระวัฒน์” เผยผลวิจัยใช้กัญชาคลายเครียดแต่พองาม ช่วยลดสมองเสื่อม https://mgronline.com/qol/detail/9670000083401 🌿ฟ้าทะลายโจร ✍️แนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สําหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง วันที่ 5 มิถุนายน 2567 ได้ถอดฟ้าทะลายโจรออกจากการรักษาแล้ว https://eid.dms.go.th/Content/Select_Eid_Landding_page?contentId=182&bannerId=1 ✍️คำถามกรณีการตัดฟ้าทะลายโจรออกจากเวชปฏิบัติการรักษาโควิด-19 ในโรงพยาบาล เพื่อผลประโยชน์ของใครกันแน่ ?/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ https://www.facebook.com/100044511276276/posts/990160812477619/? ✍️“ปานเทพ” ถาม ตัด “ฟ้าทะลายโจร” ออกจากแนวทางรักษาโควิด เอื้อประโยชน์ใครหรือไม่ https://mgronline.com/qol/detail/9670000048616 ✍️“หมอธีระวัฒน์” ชี้ผลศึกษา “ฟ้าทะลายโจร” เป็นที่ตื่นเต้นทั่วโลก รักษาโควิด-โรคไวรัสทางระบบหายใจได้ผล https://mgronline.com/qol/detail/9670000059905 https://youtu.be/4N7GL1BbcH4?si=1aov92cn7xEXWSuV ✍️ยาไทยฟ้าทะลายโจร ภูมิปัญญา..สู้ยานอก โดย หมอดื้อ https://www.thairath.co.th/news/local/2804216? ✍️วันที่ 16 กรกฎาคม 67 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรม และระบบประสาท ในฐานะที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา เข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เพื่อยื่นข้อเสนอกรณีถอด “ฟ้าทะลายโจร” ออกจากแนวทางรักษา ทั้งที่มีประสิทธิภาพ พร้อมนำข้อมูลตีแผ่ต่อสาธารณะ ถึงสาเหตุถอดสมุนไพรไทยดังกล่าว ทั้งที่ช่วงโควิดเป็นสมุนไพรรักษาที่ดี ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก https://www.hfocus.org/content/2024/07/31098? https://www.hfocus.org/content/2024/07/31097 https://youtu.be/rjUdN1cFr7I?si=p8Pl1398CpXUjpJQ ✍️กรมการแพทย์ยอมใช้ฟ้าทะลายโจรกลับมารักษาโควิดได้แล้ว รวมทั้งแพทย์จ่ายได้และรักษาไม่คิดค่าใช้จ่าย 23 ก.ค.2567 https://www.hfocus.org/content/2024/07/31153? ✍️“หมอธีระวัฒน์” ทวง รมว.สธ.แจงเบื้องหลังถอดฟ้าทะลายโจรพ้นเวชปฏิบัติรักษาโควิด ชี้คนไทยเสียประโยชน์ต้องมีผู้รับผิดชอบ https://mgronline.com/qol/detail/9670000067814 ✍️“ปานเทพ” ถาม “สมศักดิ์” ทวงคืนฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วยกี่โมง https://mgronline.com/qol/detail/9670000067977 ✍️“อ.ปานเทพ” เผยข่าวดี! กรมการแพทย์ ยอมคืนฟ้าทะลายโจรให้กับผู้ป่วยโควิด-19 แล้ว https://www.hfocus.org/content/2024/08/31270 https://mgronline.com/qol/detail/9670000070325 ✍️หัวข้อ : 3 หมอ กอบกู้"โลก" รักษา"โรค" ด้วยสมุนไพร ระดมพลังบรรยายโดย 1. นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง 2.พญ. สุภาพร มีลาภ และ 3. นพ. พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ 3 พฤษภาคม 2567 👇คลิกชม👇 https://www.facebook.com/share/v/K8yDn5N29sbiaqVm/?mibextid=oFDknk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 968 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..การรั่วไหลใหม่เปิดเผย SkyNet 2.0 และการควบคุมสภาพอากาศ: วิศวกรรมธรณีวิทยาที่ใช้เคมีเทรล อะลูมิเนียม แบเรียม อนุภาคนาโน และอาวุธพลังงานกำกับเพื่อวางยาพิษบนท้องฟ้าของเรา!

    ความจริงเบื้องหลังการจัดการสภาพอากาศนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด พวกผู้มีอำนาจกำลังทำสงครามกับมนุษยชาติโดยใช้ท้องฟ้าเป็นสนามรบ มันไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่มันเป็นเรื่องของการควบคุมทั้งหมด ควบคุมสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และตัวคุณเอง

    สารเคมีอันตรายและสเปรย์พิษ สารเคมีอันตราย (อะลูมิเนียม แบเรียม สตรอนเซียม) จะถูกฉีดพ่นทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อวางยาพิษในอากาศ น้ำและดิน สูตรใหม่มีอนุภาคนาโนอันตรายที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เปลี่ยนแปลง DNA และก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท นี่คือสงครามชีวภาพในระดับโลก

    การควบคุมผ่านการจัดการสภาพอากาศ ไม่ได้มีเพียงการฉีดพ่นเท่านั้น มันคือการควบคุมสภาพอากาศทั้งหมด พายุเฮอริเคน ไฟป่า แผ่นดินไหว ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความวุ่นวายและทำให้ประเทศชาติไม่มั่นคง เอกสารที่รั่วไหลเมื่อไม่นานมานี้ยืนยันว่าอาวุธพลังงานกำกับทิศทาง (DEW) ที่ใช้ในการกำกับพายุและก่อให้เกิดภัยพิบัติ อยู่เบื้องหลังไฟป่าในแคนาดาเมื่อปี 2024 และแผ่นดินไหวในตุรกี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมชาติ

    ระบบ HAARP ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในคลังอาวุธนี้ จะปรับเปลี่ยนสภาพอากาศทั่วโลก โดยเลือกภูมิภาคที่จะทำให้เกิดภัยแล้ง ขาดแคลนอาหาร และน้ำท่วม เป้าหมายของพวกเขาคือครอบงำสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง ทำลายพืชผล ทำให้ประชากรอ่อนแอลง และบังคับให้รัฐบาลต้องพึ่งพาพวกเขา

    นาโนเทคโนโลยีและการจัดการสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ชนชั้นนำได้ยกระดับเกมของพวกเขาขึ้น ในปี 2024 ผู้แจ้งเบาะแสได้เปิดโปง “ฝุ่นอัจฉริยะ” (ขับเคลื่อนด้วย 5G) ที่ถูกพ่นด้วยสารเคมีเทรล เทคโนโลยีนี้จะบุกรุกร่างกายของคุณ ทำให้สามารถควบคุมความคิด อารมณ์ และแม้แต่สุขภาพร่างกายได้ผ่านทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมืองต่างๆ กำลังถูกน้ำท่วมด้วยฝุ่นละออง ทำให้ประชากรต้องกลายเป็นผู้รับสัญญาณ 5G ที่ควบคุมได้

    วิกฤตสุขภาพจิต การระบาดของความรุนแรง และโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่? มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นการโจมตีมนุษยชาติโดยเจตนา

    การสมรู้ร่วมคิดระดับโลกและการครอบงำขององค์กร นี่คือการดำเนินการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหประชาชาติและฟอรัมเศรษฐกิจโลกต่างก็มีส่วนรู้เห็นในวาระการประชุมนี้ บริษัทต่างๆ เช่น BlackRock และ Vanguard กำลังซื้อที่ดินทำการเกษตรและสิทธิการใช้น้ำทั่วโลก ซึ่งเป็นการสร้างเวทีสำหรับการควบคุมอุปทานอาหารโดยสมบูรณ์

    Bill Gates ได้ให้เงินทุนสนับสนุนโครงการวิศวกรรมภูมิอากาศเหล่านี้มาหลายปี โดยผูกขาดอุตสาหกรรมการเกษตรระดับโลกและผลักดันให้เกษตรกรอิสระสูญพันธุ์ เนื้อสังเคราะห์และอาหารที่ปลูกในห้องแล็ปของคุณ? ออกแบบมาเพื่อให้ประชากรต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์เทียมที่ควบคุมโดยบริษัทต่างๆ

    SkyNet 2.0: วิศวกรรมธรณีศาสตร์จากอวกาศปี 2024 ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารได้รั่วไหลรายละเอียดของ SkyNet 2.0 ซึ่งเป็นเครือข่ายดาวเทียมระดับความลับที่สามารถควบคุมสภาพอากาศในระดับดาวเคราะห์ได้ ระบบบนอวกาศเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในสงครามลับเพื่อสร้างความไม่มั่นคงให้กับประเทศ เป้าหมายชัดเจน: บังคับให้ทุกประเทศยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำระดับโลก ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา

    การลดจำนวนประชากรและผลลัพธ์ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุม แต่มันคือเรื่องของการลดจำนวนประชากร การประชุมของกลุ่มโลกาภิวัตน์เปิดเผยเป้าหมายของพวกเขา นั่นคือการลดจำนวนประชากรลงร้อยละ 90 ภายในปี 2050 ผู้รอดชีวิตจะได้ใช้ชีวิตในโลกอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งทุกแง่มุมของชีวิตจะถูกควบคุมโดยชนชั้นสูง ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว? มนุษยนิยมแบบทรานส์ฮิวแมนิสม์ กลุ่มชนชั้นนำจินตนาการถึงการรวมตัวกับเครื่องจักร ในขณะที่มนุษยชาติที่เหลือจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป
    ..การรั่วไหลใหม่เปิดเผย SkyNet 2.0 และการควบคุมสภาพอากาศ: วิศวกรรมธรณีวิทยาที่ใช้เคมีเทรล อะลูมิเนียม แบเรียม อนุภาคนาโน และอาวุธพลังงานกำกับเพื่อวางยาพิษบนท้องฟ้าของเรา! ความจริงเบื้องหลังการจัดการสภาพอากาศนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด พวกผู้มีอำนาจกำลังทำสงครามกับมนุษยชาติโดยใช้ท้องฟ้าเป็นสนามรบ มันไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่มันเป็นเรื่องของการควบคุมทั้งหมด ควบคุมสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และตัวคุณเอง สารเคมีอันตรายและสเปรย์พิษ สารเคมีอันตราย (อะลูมิเนียม แบเรียม สตรอนเซียม) จะถูกฉีดพ่นทุกวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เส้นทางที่ไม่เป็นอันตราย แต่เป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อวางยาพิษในอากาศ น้ำและดิน สูตรใหม่มีอนุภาคนาโนอันตรายที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เปลี่ยนแปลง DNA และก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท นี่คือสงครามชีวภาพในระดับโลก การควบคุมผ่านการจัดการสภาพอากาศ ไม่ได้มีเพียงการฉีดพ่นเท่านั้น มันคือการควบคุมสภาพอากาศทั้งหมด พายุเฮอริเคน ไฟป่า แผ่นดินไหว ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความวุ่นวายและทำให้ประเทศชาติไม่มั่นคง เอกสารที่รั่วไหลเมื่อไม่นานมานี้ยืนยันว่าอาวุธพลังงานกำกับทิศทาง (DEW) ที่ใช้ในการกำกับพายุและก่อให้เกิดภัยพิบัติ อยู่เบื้องหลังไฟป่าในแคนาดาเมื่อปี 2024 และแผ่นดินไหวในตุรกี สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมชาติ ระบบ HAARP ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในคลังอาวุธนี้ จะปรับเปลี่ยนสภาพอากาศทั่วโลก โดยเลือกภูมิภาคที่จะทำให้เกิดภัยแล้ง ขาดแคลนอาหาร และน้ำท่วม เป้าหมายของพวกเขาคือครอบงำสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง ทำลายพืชผล ทำให้ประชากรอ่อนแอลง และบังคับให้รัฐบาลต้องพึ่งพาพวกเขา นาโนเทคโนโลยีและการจัดการสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ชนชั้นนำได้ยกระดับเกมของพวกเขาขึ้น ในปี 2024 ผู้แจ้งเบาะแสได้เปิดโปง “ฝุ่นอัจฉริยะ” (ขับเคลื่อนด้วย 5G) ที่ถูกพ่นด้วยสารเคมีเทรล เทคโนโลยีนี้จะบุกรุกร่างกายของคุณ ทำให้สามารถควบคุมความคิด อารมณ์ และแม้แต่สุขภาพร่างกายได้ผ่านทางสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมืองต่างๆ กำลังถูกน้ำท่วมด้วยฝุ่นละออง ทำให้ประชากรต้องกลายเป็นผู้รับสัญญาณ 5G ที่ควบคุมได้ วิกฤตสุขภาพจิต การระบาดของความรุนแรง และโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่? มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นการโจมตีมนุษยชาติโดยเจตนา การสมรู้ร่วมคิดระดับโลกและการครอบงำขององค์กร นี่คือการดำเนินการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับองค์กรและรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหประชาชาติและฟอรัมเศรษฐกิจโลกต่างก็มีส่วนรู้เห็นในวาระการประชุมนี้ บริษัทต่างๆ เช่น BlackRock และ Vanguard กำลังซื้อที่ดินทำการเกษตรและสิทธิการใช้น้ำทั่วโลก ซึ่งเป็นการสร้างเวทีสำหรับการควบคุมอุปทานอาหารโดยสมบูรณ์ Bill Gates ได้ให้เงินทุนสนับสนุนโครงการวิศวกรรมภูมิอากาศเหล่านี้มาหลายปี โดยผูกขาดอุตสาหกรรมการเกษตรระดับโลกและผลักดันให้เกษตรกรอิสระสูญพันธุ์ เนื้อสังเคราะห์และอาหารที่ปลูกในห้องแล็ปของคุณ? ออกแบบมาเพื่อให้ประชากรต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์เทียมที่ควบคุมโดยบริษัทต่างๆ SkyNet 2.0: วิศวกรรมธรณีศาสตร์จากอวกาศปี 2024 ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารได้รั่วไหลรายละเอียดของ SkyNet 2.0 ซึ่งเป็นเครือข่ายดาวเทียมระดับความลับที่สามารถควบคุมสภาพอากาศในระดับดาวเคราะห์ได้ ระบบบนอวกาศเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในสงครามลับเพื่อสร้างความไม่มั่นคงให้กับประเทศ เป้าหมายชัดเจน: บังคับให้ทุกประเทศยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นนำระดับโลก ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมา การลดจำนวนประชากรและผลลัพธ์ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการควบคุม แต่มันคือเรื่องของการลดจำนวนประชากร การประชุมของกลุ่มโลกาภิวัตน์เปิดเผยเป้าหมายของพวกเขา นั่นคือการลดจำนวนประชากรลงร้อยละ 90 ภายในปี 2050 ผู้รอดชีวิตจะได้ใช้ชีวิตในโลกอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งทุกแง่มุมของชีวิตจะถูกควบคุมโดยชนชั้นสูง ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว? มนุษยนิยมแบบทรานส์ฮิวแมนิสม์ กลุ่มชนชั้นนำจินตนาการถึงการรวมตัวกับเครื่องจักร ในขณะที่มนุษยชาติที่เหลือจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 666 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

    เดือนนี้ มีเรื่องมงคลงานชื่นชมสิริมงคลในบ้าน หากขอพรจากองค์พระโพธิสัตย์กวนอิมปางอุ้มเด็ก จะได้ อภิชาตบุตรอยู่ในโอวาท แต่จะชอบเอาชนะ ก้าวร้าว อารมณ์ร้าย หรือลูกหลานที่ห่างหายไปนานจะกลับมา เยี่ยมเยียน ส่วนธุรกิจการทำงานจะมีการขยับขยาย ต้องแข่งขันขัดแย้งก่อนจึงจะพบประสบความสำเร็จได้ ส่งผลให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ที่ลุ้นตำแหน่งมานานจะได้ปรับเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือน นักวิชาการจะมี ตำแหน่งหน้าที่ดี จะมีผู้มีบารมีช่วยเหลือให้ได้รับตำแหน่งใหม่ๆให้มีชื่อเสียง การเงินดีจะมีเงินทองเก่าเก็บที่ หลงลืม ไปแล้วจะกลับได้คืนมาให้ดีใจ ควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายที่ตับและระบบประสาท รู้สึกร้อนที่แขนขา ชายจะปวดตา หญิงจะปวดที่ขา
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เดือนนี้ มีเรื่องมงคลงานชื่นชมสิริมงคลในบ้าน หากขอพรจากองค์พระโพธิสัตย์กวนอิมปางอุ้มเด็ก จะได้ อภิชาตบุตรอยู่ในโอวาท แต่จะชอบเอาชนะ ก้าวร้าว อารมณ์ร้าย หรือลูกหลานที่ห่างหายไปนานจะกลับมา เยี่ยมเยียน ส่วนธุรกิจการทำงานจะมีการขยับขยาย ต้องแข่งขันขัดแย้งก่อนจึงจะพบประสบความสำเร็จได้ ส่งผลให้หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า ที่ลุ้นตำแหน่งมานานจะได้ปรับเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือน นักวิชาการจะมี ตำแหน่งหน้าที่ดี จะมีผู้มีบารมีช่วยเหลือให้ได้รับตำแหน่งใหม่ๆให้มีชื่อเสียง การเงินดีจะมีเงินทองเก่าเก็บที่ หลงลืม ไปแล้วจะกลับได้คืนมาให้ดีใจ ควรใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายที่ตับและระบบประสาท รู้สึกร้อนที่แขนขา ชายจะปวดตา หญิงจะปวดที่ขา ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยา และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การลาออกของแพทย์ในประเทศไทย โดยระบุว่าระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญปัญหาหนัก และบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ ตั้งแต่แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไปจนถึงเจ้าหน้าที่เวรเปล กำลังแบกรับภาระงานที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ

    วันนี้ (16 เม.ย.) นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยา และสมาชิกวุฒิสภาออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาแพทย์ลาออก ชี้ระบบสาธารณสุขไทยกำลังมีปัญหา บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับกำลังเผชิญภาระงานที่หนักขึ้นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะแพทย์กำลังลาออกเนื่องจากปัญหาเรื่องการเงิน ระบบที่ไม่เห็นคุณค่า ภาระงานที่มากเกินไป และนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง หากไม่เร่งแก้ไข ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์จะรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยในที่สุด ผู้โพสต์ในฐานะแพทย์และวุฒิสมาชิกยืนยันที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035970

    #MGROnline #แพทย์ #สมาชิกวุฒิสภา
    นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยา และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์การลาออกของแพทย์ในประเทศไทย โดยระบุว่าระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญปัญหาหนัก และบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ ตั้งแต่แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไปจนถึงเจ้าหน้าที่เวรเปล กำลังแบกรับภาระงานที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ • วันนี้ (16 เม.ย.) นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทวิทยา และสมาชิกวุฒิสภาออกมาโพสต์ข้อความแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาแพทย์ลาออก ชี้ระบบสาธารณสุขไทยกำลังมีปัญหา บุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับกำลังเผชิญภาระงานที่หนักขึ้นโดยไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ โดยเฉพาะแพทย์กำลังลาออกเนื่องจากปัญหาเรื่องการเงิน ระบบที่ไม่เห็นคุณค่า ภาระงานที่มากเกินไป และนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง หากไม่เร่งแก้ไข ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์จะรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการรักษาผู้ป่วยในที่สุด ผู้โพสต์ในฐานะแพทย์และวุฒิสมาชิกยืนยันที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035970 • #MGROnline #แพทย์ #สมาชิกวุฒิสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 499 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้เล่าถึงการค้นพบวิธีใหม่ในการลดอาการเมารถหรือ Motion Sickness โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน ซึ่งช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที

    ทีมวิจัยนำโดย Takumi Kagawa และ Masashi Kato พบว่าการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ซึ่งเป็นเสียงระดับ Mid-Bass สามารถกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นในที่ควบคุมการทรงตัวและการรับรู้ตำแหน่งในอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกที่มักเสียสมดุลในผู้ที่มีอาการเมารถ

    การทดลองใช้คลื่นเสียงนี้กับผู้เข้าร่วมที่ถูกกระตุ้นอาการเมารถด้วยการนั่งรถจำลองและการแกว่ง พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการลดลงอย่างชัดเจน เช่น อาการเวียนหัวและคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีการวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และแบบสอบถามเกี่ยวกับอาการเมารถ

    การค้นพบวิธีลดอาการเมารถ
    - ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่าพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน
    - คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้

    ผลการทดลอง
    - ผู้เข้าร่วมมีอาการเมารถลดลงหลังการใช้คลื่นเสียง
    - การวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัวและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงผลลัพธ์ที่ดี

    ความปลอดภัยของเทคโนโลยี
    - คลื่นเสียงนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
    - เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้งานอย่างเหมาะสม

    ข้อจำกัดของการใช้งาน
    - การใช้งานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียง
    - อาจต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ

    ผลกระทบต่อการเดินทาง
    - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยลดอาการเมารถในการเดินทางทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
    - การพัฒนาเพิ่มเติมอาจช่วยให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น

    https://www.neowin.net/news/are-you-motion-sick-study-shows-how-just-a-minute-of-a-mid-bass-frequency-could-help-you/
    ข่าวนี้เล่าถึงการค้นพบวิธีใหม่ในการลดอาการเมารถหรือ Motion Sickness โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน ซึ่งช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที ทีมวิจัยนำโดย Takumi Kagawa และ Masashi Kato พบว่าการใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ซึ่งเป็นเสียงระดับ Mid-Bass สามารถกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นในที่ควบคุมการทรงตัวและการรับรู้ตำแหน่งในอวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคลื่นเสียงนี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกที่มักเสียสมดุลในผู้ที่มีอาการเมารถ การทดลองใช้คลื่นเสียงนี้กับผู้เข้าร่วมที่ถูกกระตุ้นอาการเมารถด้วยการนั่งรถจำลองและการแกว่ง พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการลดลงอย่างชัดเจน เช่น อาการเวียนหัวและคลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีการวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัว การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และแบบสอบถามเกี่ยวกับอาการเมารถ ✅ การค้นพบวิธีลดอาการเมารถ - ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยนาโกย่าพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นระบบประสาทในหูชั้นใน - คลื่นเสียงที่มีความถี่ 100 Hz ช่วยลดอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ ✅ ผลการทดลอง - ผู้เข้าร่วมมีอาการเมารถลดลงหลังการใช้คลื่นเสียง - การวัดผลด้วยการทดสอบการทรงตัวและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงผลลัพธ์ที่ดี ✅ ความปลอดภัยของเทคโนโลยี - คลื่นเสียงนี้มีระดับต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน - เทคโนโลยีนี้คาดว่าจะปลอดภัยเมื่อใช้งานอย่างเหมาะสม ℹ️ ข้อจำกัดของการใช้งาน - การใช้งานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียง - อาจต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ℹ️ ผลกระทบต่อการเดินทาง - เทคโนโลยีนี้อาจช่วยลดอาการเมารถในการเดินทางทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ - การพัฒนาเพิ่มเติมอาจช่วยให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากขึ้น https://www.neowin.net/news/are-you-motion-sick-study-shows-how-just-a-minute-of-a-mid-bass-frequency-could-help-you/
    WWW.NEOWIN.NET
    Are you motion sick? Study shows how just a minute of bass could help you
    Scientists conducted a study and found that just a minute of a particular mid-bass sound frequency can help cure motion sicknesses like car sickness.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • To Gen-Y and Gen -X
    “เหวี่ยงง่าย หงุดหงิดหนัก อารมณ์แปรปรวน…ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าฮอร์โมนกำลังจะพัง!”

    คุณเคยไหมครับ…
    ตื่นเช้ามาแบบยังไม่ทันมีใครทำอะไร ก็รู้สึกหงุดหงิด
    ขับรถอยู่ก็รู้สึกอยากตะโกนใส่ทุกคันที่แทรกหน้า
    หรือบางวันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

    บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
    ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่า “เราไม่ได้อยากเหวี่ยงใคร”
    แต่มันก็ยั้งไม่อยู่จริงๆ

    และเมื่ออาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ
    หลายคนกลับคิดว่า…
    “เป็นเพราะฉันเครียดมั้ง”
    “แค่เหนื่อยเฉยๆ เดี๋ยวก็หาย”
    แต่ความจริงคือ มันไม่หายครับ ถ้าต้นเหตุมันยังอยู่

    ผู้หญิงวัย 40+ กับคลื่นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากใจ แต่เกิดจาก “ฮอร์โมน”

    เมื่อร่างกายเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause)
    ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
    แต่ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนจะ “แปรปรวน” มากกว่า “ลดลงเฉยๆ”
    ซึ่งทำให้สมองและระบบประสาทรับผลกระทบโดยตรง

    ✨️งานวิจัยจาก Harvard Medical School ระบุว่า
    “ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ความทรงจำ และสมาธิ”
    เมื่อฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวนแบบฉับพลัน เหวี่ยงง่าย และรู้สึกไม่มั่นคงทางใจได้โดยไม่รู้ตัว

    ❓️ทำไมผู้หญิงวัย 40+ ถึงอารมณ์แกว่งได้ง่ายกว่าที่คิด?
    1. ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็ว → สมองไวต่อความเครียด
    2. การหลับไม่ลึก → ฮอร์โมนความสุขหลั่งไม่พอ
    3. ระบบเผาผลาญช้าลง → ร่างกายรู้สึกหนัก เหนื่อยง่าย → หงุดหงิด
    4. โภชนาการที่ไม่สมดุล → ขาดกรดไขมันดีและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์

    ไม่ใช่ป่วยทางจิต ไม่ใช่เป็นอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายส่งสัญญาณว่า “ฉันกำลังต้องการความเข้าใจ”

    การเข้าใจอาการอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน”
    แต่คือการ “ฟังร่างกายอย่างเข้าใจ”
    และเลือกดูแลตัวเองแบบไม่ต้องรู้สึกผิด

    5 เทคนิคง่ายๆ ปรับสมดุลอารมณ์ในวัย 40+

    1. งดน้ำตาล & คาเฟอีนช่วงบ่ายถึงค่ำ

    น้ำตาลและกาแฟทำให้ฮอร์โมน Cortisol พุ่งสูงในช่วงที่ควรจะลดลง ส่งผลให้สมองตึง อารมณ์พุ่ง

    2. กินอาหารไขมันดี & แมกนีเซียมสูง

    อะโวคาโด, เมล็ดแฟลกซ์, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียว ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และลดอาการซึมเศร้า

    3. เดินกลางแดดเช้าอย่างน้อย 10 นาที/วัน

    แสงแดดกระตุ้นเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้นตอนกลางคืน

    4. ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing)

    ใช้เวลา 5 นาที/วัน หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 4 วินาที และออก 6 วินาที
    ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเหวี่ยงได้จริง

    5. ฝึกขอบคุณเล็กๆ ก่อนนอน

    เขียน 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน
    จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบและทำให้ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น

    สรุป
    ถ้าท่านรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่มั่นคงในช่วงวัย 40+
    อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่าใจไม่แข็ง หรือว่าเป็นคนไม่ดี
    เพราะความจริง…ท่านแค่ต้องการ “การดูแลจากภายใน”

    ฮอร์โมนที่แปรปรวน คือธรรมชาติของร่างกาย
    แต่เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ด้วยความเข้าใจและความรักตัวเองอย่างถูกวิธี

    ดูแลหัวใจให้ดี แล้วใจจะดูแลเราตอบแทนกลับมาเสมอครับ
    ♥️To Gen-Y and Gen -X♥️ 👉“เหวี่ยงง่าย หงุดหงิดหนัก อารมณ์แปรปรวน…ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าฮอร์โมนกำลังจะพัง!” 😡คุณเคยไหมครับ… ตื่นเช้ามาแบบยังไม่ทันมีใครทำอะไร ก็รู้สึกหงุดหงิด ขับรถอยู่ก็รู้สึกอยากตะโกนใส่ทุกคันที่แทรกหน้า หรือบางวันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ใจลึกๆ ก็รู้ว่า “เราไม่ได้อยากเหวี่ยงใคร” แต่มันก็ยั้งไม่อยู่จริงๆ 👉และเมื่ออาการแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ หลายคนกลับคิดว่า… “เป็นเพราะฉันเครียดมั้ง” “แค่เหนื่อยเฉยๆ เดี๋ยวก็หาย” แต่ความจริงคือ มันไม่หายครับ ถ้าต้นเหตุมันยังอยู่ 🟢 ผู้หญิงวัย 40+ กับคลื่นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากใจ แต่เกิดจาก “ฮอร์โมน” 🟢 เมื่อร่างกายเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน (Perimenopause) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ที่สำคัญคือ ฮอร์โมนจะ “แปรปรวน” มากกว่า “ลดลงเฉยๆ” ซึ่งทำให้สมองและระบบประสาทรับผลกระทบโดยตรง ✨️งานวิจัยจาก Harvard Medical School ระบุว่า “ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนควบคุมอารมณ์ ความทรงจำ และสมาธิ” เมื่อฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล จะทำให้เกิดอาการอารมณ์แปรปรวนแบบฉับพลัน เหวี่ยงง่าย และรู้สึกไม่มั่นคงทางใจได้โดยไม่รู้ตัว ❓️ทำไมผู้หญิงวัย 40+ ถึงอารมณ์แกว่งได้ง่ายกว่าที่คิด? 1. ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็ว → สมองไวต่อความเครียด 2. การหลับไม่ลึก → ฮอร์โมนความสุขหลั่งไม่พอ 3. ระบบเผาผลาญช้าลง → ร่างกายรู้สึกหนัก เหนื่อยง่าย → หงุดหงิด 4. โภชนาการที่ไม่สมดุล → ขาดกรดไขมันดีและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ 🟢ไม่ใช่ป่วยทางจิต ไม่ใช่เป็นอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายส่งสัญญาณว่า “ฉันกำลังต้องการความเข้าใจ” การเข้าใจอาการอารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน” แต่คือการ “ฟังร่างกายอย่างเข้าใจ” และเลือกดูแลตัวเองแบบไม่ต้องรู้สึกผิด 🎯 5 เทคนิคง่ายๆ ปรับสมดุลอารมณ์ในวัย 40+ 1. งดน้ำตาล & คาเฟอีนช่วงบ่ายถึงค่ำ น้ำตาลและกาแฟทำให้ฮอร์โมน Cortisol พุ่งสูงในช่วงที่ควรจะลดลง ส่งผลให้สมองตึง อารมณ์พุ่ง 2. กินอาหารไขมันดี & แมกนีเซียมสูง อะโวคาโด, เมล็ดแฟลกซ์, ปลาแซลมอน, ผักใบเขียว ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และลดอาการซึมเศร้า 3. เดินกลางแดดเช้าอย่างน้อย 10 นาที/วัน แสงแดดกระตุ้นเซโรโทนิน ฮอร์โมนแห่งความสุข และช่วยให้นอนหลับลึกขึ้นตอนกลางคืน 4. ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing) ใช้เวลา 5 นาที/วัน หายใจเข้า 4 วินาที กลั้น 4 วินาที และออก 6 วินาที ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเหวี่ยงได้จริง 5. ฝึกขอบคุณเล็กๆ ก่อนนอน เขียน 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบและทำให้ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น ♥️สรุป ถ้าท่านรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองไม่มั่นคงในช่วงวัย 40+ อย่าเพิ่งโทษตัวเองว่าใจไม่แข็ง หรือว่าเป็นคนไม่ดี เพราะความจริง…ท่านแค่ต้องการ “การดูแลจากภายใน” ฮอร์โมนที่แปรปรวน คือธรรมชาติของร่างกาย แต่เราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ด้วยความเข้าใจและความรักตัวเองอย่างถูกวิธี ดูแลหัวใจให้ดี แล้วใจจะดูแลเราตอบแทนกลับมาเสมอครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
  • To Gen-Xสิ่งที่ควรรู้
    “ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS”
    คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม?
    • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ
    • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ
    • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ
    • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ

    ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ
    แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน

    อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก

    ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน”
    ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์

    เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า…

    Vasomotor Symptoms
    = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว

    ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย
    • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ
    • ระบบเผาผลาญรวน
    • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว

    และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม❌️ นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ
    อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นี่คือสัญญาณที่ร่างกายบอกว่า ฉันกำลังเสียสมดุล
    อาการร้อนวูบวาบเจอสั่น
    เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดง อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็น"ภาวะเรื้อรัง" ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว มันเกี่ยวข้องกับหัวใจความดันมะเร็ง และความเสื่อมของระบบประสาทแบบที่หลายคนไม่เคยรู้

    5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ

    1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น
    • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น
    • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก

    2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป
    • ลดการอักเสบภายใน
    • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น
    • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน

    3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที
    • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล
    • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น

    4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน
    • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์
    • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน
    • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป

    5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน
    • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย
    • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    ♥️To Gen-Xสิ่งที่ควรรู้♥️ 👉“ร้อนวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือสัญญาณร่างกายกำลัง SOS” 👇คุณเคยมีอาการแบบนี้บ้างไหม? • อยู่ดีๆ ก็ร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกเฉยๆ • กลางดึกตื่นมาทั้งที่เปิดแอร์ แต่เสื้อเปียกเหงื่อ • ใจสั่นแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ • หรือรู้สึกเหมือนจะวูบ ทั้งที่นั่งเฉยๆ ถ้าเคย นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ แต่มันคือ “เสียงเตือนจากฮอร์โมน” ที่กำลังแปรปรวน 👉อะไร❓️ทำให้เกิดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออก 👉ผู้หญิงวัย 40+ จะเริ่มมีการลดลงของ “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอโรน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบประสาท อุณหภูมิ และอารมณ์ เมื่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า… Vasomotor Symptoms = ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายผิดปกติ จึงเกิด “ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ใจสั่น” โดยไม่รู้ตัว ฮอร์โมนที่ลดลงยังส่งผลให้ร่างกาย • เสียสมดุลการควบคุมอุณหภูมิ • ระบบเผาผลาญรวน • ความดันผันผวน → ใจสั่น หวิว 👉และถ้าคุณมีภาวะเครียดสะสม❌️ นอนไม่พอ หรือกินน้ำตาลเยอะ อาการพวกนี้จะชัดเจนและถี่ขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ👉สัญญาณที่ร่างกายบอกว่า ฉันกำลังเสียสมดุล 👉อาการร้อนวูบวาบเจอสั่น 👉 เหงื่อออกตอนกลางคืน อาจไม่ได้แสดง อันตรายทันที แต่ถ้าปล่อยไว้มันจะเป็น😡"ภาวะเรื้อรัง" ที่ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข และในระยะยาว มันเกี่ยวข้องกับหัวใจความดันมะเร็ง ✴️และความเสื่อมของระบบประสาทแบบที่หลายคนไม่เคยรู้ ✴️5 วิธีลดอาการวูบวาบ ใจสั่น เหงื่อออกแบบธรรมชาติ 1. งดแอลกอฮอล์ น้ำตาล และคาเฟอีนช่วงเย็น • เพราะทั้งหมดนี้กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยายเร็วขึ้น • ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบง่ายและหลับไม่ลึก 2. ทำ IF (Intermittent Fasting) แบบค่อยเป็นค่อยไป • ลดการอักเสบภายใน • ปรับสมดุลน้ำตาล → ลดภาวะใจสั่น • ช่วยให้ร่างกายไม่หลั่งอินซูลินเกินจำเป็นตอนกลางคืน 3. ฝึกหายใจช้าๆ วันละ 5-10 นาที • ช่วยปรับระบบประสาทอัตโนมัติให้สมดุล • ลดความตื่นตัวของร่างกาย → ลดโอกาสวูบวาบใจสั่น 4. กินไขมันดีเสริมฮอร์โมน • เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เมล็ดแฟลกซ์ • ไขมันดี = วัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมน • ช่วยให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนเร็วเกินไป 5. แช่เท้าในน้ำอุ่นก่อนนอน • เป็นการกระจายความร้อนจากส่วนบนของร่างกาย • ลดอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดีมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 610 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts